จารใจรัก 50.3-59

ตอนที่ 50-3 ปกปิด

 

หลูเสวี่ยอิ๋งขังตัวเองเอาไว้ในห้องไม่ยอมออกมา


เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับฮูหยินของเขาก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี ดังนั้น เมื่อฉินห้าวมาเยี่ยมถึงบ้าน เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับฮูหยินก็สั่งให้ทุกคนในจวนทำความสะอาดเพื่อต้อนรับเขา ปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงลูกเขยอย่างแท้จริง


ฉินห้าวสุภาพและมีมารยาท บนใบหน้ามักจะประดับรอยยิ้มไว้เสมอ ทั้งยังอ่อนโยนต่อผู้อื่นและพูดจาไพเราะ แม้ฮูหยินของเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะไม่พอใจกับฐานะของเขา แต่เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ชื่นชอบเขาขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยภายในใจก็มีความคิดเห็นอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเป็นลูกชายคนโตของชายองรองจึงรู้สึกต้อยต่ำ แต่บัดนี้ดำรงตำแหน่งกรมการคลัง ได้ยินว่าใกล้จะได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งยังมีอิงชินอ๋องคอยประคองอยู่เบื้องหลัง หากเสนาบดีฝ่ายซ้ายช่วยเหลืออีกแรง เขาจะต้องมีอนาคตอันยาวไกลแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ ถึงจะเป็นลูกชายที่เกิดจากภรรยารองแล้วอย่างไร ถึงแม้ฉินเจิงผู้นั้นจะสืบทอดตำแหน่งของจวนอิงชินอ๋อง แต่ถ้าหากไม่สนใจ ไม่อดทน และไม่มีความรู้ความสามารถมากพอ ก็สามารถถูกเขาควบคุมเอาไว้ได้เช่นกัน


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็สบายใจขึ้นและรู้สึกว่าฉินห้าวเหมาะสมกว่าฉินเจิงที่หลูเสวี่ยอิ๋งชอบ


นอกจากหลูเสวี่ยอิ๋งที่ไม่ได้ปรากฏตัว จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็รับแขกได้อย่างคึกคักมาก


จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายชวนให้ฉินห้าวอยู่ทานอาหารเที่ยงและเย็น จนถึงดึกดื่น ฉินห้าวถึงได้กลับมาถึงจวนอิงชินอ๋องด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า


คนเฝ้าประตูเปิดประตูให้ฉินห้าวเข้ามา เขาเห็นแสงสว่างออกมาจากห้องหนังสือของอิงชินอ๋องจึงเอ่ยถาม “ท่านพ่อยังไม่นอนหรือ”


“วันนี้ท่านอ๋องจะพักที่ห้องหนังสือขอรับ” คนเฝ้าประตูส่ายศีรษะพลางกล่าวเสียงเบา


ฉินห้าวมึนงงพลางถามอีก “พระชายาทำให้ท่านพ่อโกรธอีกแล้วหรือ? เพื่อน้องรอง?”


คนเฝ้าประตูมองเข้าไปข้างในแวบหนึ่งก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า


ฉินห้าวแค่นเสียงในลำคอเล็กน้อยด้วยความเย็นชา แต่เพราะเสียงของเขาเบาเกินไปจึงถูกลมพัดพาไปโดยปริยายจนคนเฝ้าประตูไม่ได้ยิน จากนั้นเขาก็เดินไปยังห้องหนังสือ


“ท่านพ่อ!” เมื่อมาถึงหน้าประตู เขาก็เอ่ยเรียกคนข้างในเสียงดัง


“ฉินห้าว?” อิงชินอ๋องรีบตอบรับ


“ข้าเองขอรับ!” ฉินห้าวตอบ


“ครึ่งค่อนคืนแล้วเจ้ายังไม่นอนอีก มาทำอะไรที่นี่” อิงชินอ๋องเอ่ยถาม


“ลูกเพิ่งกลับมาจากจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เสนาบดีฝ่ายซ้ายให้ข้าอยู่ทานอาหารและดื่มเหล้าจนดึกดื่นขอรับ” ฉินห้าวตอบอย่างมีมารยาท


อิงชินอ๋องเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยคำสั่ง “ในเมื่อเพิ่งกลับมาก็รีบกลับไปนอนเถอะ!”


ฉินห้าวเห็นว่าอิงชินอ๋องไม่ได้อยากพบตนจึงพยักหน้าขานรับแล้วเดินกลับไปยังเรือนของตนเอง ขณะเดินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องจึงหันกลับไปอย่างรวดเร็ว แสงไฟในห้องหนังสือของอิงชินอ๋องยังสว่างอยู่ แม้บทสนทนาเมื่อครู่จะสั้น แต่เขาอยู่ข้างกายอิงชินอ๋องมานานย่อมแยกออกว่ามีบางสิ่งผิดปกติไป


หากเป็นเมื่อก่อน แม้จะดึกดื่นเพียงใด อิงชินอ๋องก็มักจะเรียกเขาเข้าไปถามว่าวันนี้ทำสิ่งใดที่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปบ้าง เสนาบดีฝ่ายซ้ายได้พูดอะไรกับเขาหรือไม่ เขาแสดงออกอย่างไร ตอบคำถามอย่างไร หากแต่วันนี้กลับไม่เอ่ยถามเลยสักประโยค


ดังนั้นจึงสามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าพระชายาทำให้เขาโกรธอีกแล้วจึงอารมณ์ไม่ดี


แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่ใช่แค่นั้น จะต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะน้ำเสียงกับอารมณ์ไม่ค่อยดีที่อิงชินอ๋องพูดกับเขา


คิดได้ดังนั้นเขาจึงสะดุ้งตกใจในทันที ทั้งยังสร่างเมาแล้วครึ่งหนึ่ง เมื่อมองออกไปและเห็นว่าเรือนตะวันตกยังสว่างอยู่ เขาจึงรีบเดินไปที่นั่นทันที


เขาเคาะประตูเมื่อมาถึง


“คุณชายใหญ่?” หญิงรับใช้เฝ้ายามตอนกลางคืนรีบออกมาเปิดประตูให้ เมื่อเห็นว่าเป็นเขาที่โผล่มากลางดึกจึงแปลกใจ


“แม่ข้าหลับแล้วหรือ” ฉินห้าวพยักหน้า


“พระชายารองยังไม่หลับเพคะ!” หญิงรับใช้รีบคลายสีหน้าแปลกใจ หากเป็นเมื่อก่อน ดึกดื่นขนาดนี้ คุณชายใหญ่จะไม่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ แต่เมื่อคิดได้ว่าวันนี้คุณชายใหญ่ส่งคนมาบอกว่าจะไม่กลับมาทานอาหารเที่ยงและเย็นที่จวน เพราะอยู่ที่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย แสดงว่าคงมีเรื่องต้องปรึกษากับพระชายารองจึงรีบเข้าไปรายงานในห้อง


เดิมทีชายารองหลิวก็นอนไม่หลับ หญิงรับใช้ที่คอยปรนนิบัตินางจึงอยู่พูดคุยเป็นเพื่อน บัดนี้ได้ยินว่าฉินห้าวกลับมาแล้ว แถมยังมาหานางถึงที่นี่จึงรีบสั่ง “รีบเชิญคุณชายใหญ่เข้ามา!”


ฉินห้าวเดินเข้ามาในห้องทันที


เมื่อชายารองหลิวมองเขา สีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย ลูกชายของนางแม้จะไม่ได้หล่อเหลาเท่าฉินเจิง แต่ก็มีความสามารถ หากเอ่ยถึงความสามารถท่ามกลางกลุ่มชนรุ่นหลังผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงหนานฉิน ลูกชายของนางนับว่าจัดอยู่ในแถวหน้า เชิดหน้าชูตาให้ผู้เป็นแม่เช่นนางไม่น้อย


“สีหน้าของท่านแม่ไม่ค่อยดี ดึกขนาดนี้เหตุใดจึงยังไม่นอน” ฉินห้าวนั่งลง ถอดเสื้อกันลมออกแล้วเอ่ยถาม


ชายารองหลิวข่มความโกรธเอาไว้แล้วกล่าว “เพราะคนแห่งเรือนหลักผู้นั้นกับเด็กจากเรือนลั่วเหมยนั่นก่อเรื่องน่ะสิ”


“พวกเขาก่อเรื่องอันใดอีกแล้ว” ฉินห้าวถาม


ชายารองหลิวรู้ว่าวันนี้ฉินห้าวไม่ได้อยู่ที่จวน อีกทั้งในจวนต่างปิดข่าวเงียบสนิท จึงยังไม่รู้เรื่องการทะเลาะกันหน้าประตูจวนอิงชินอ๋อง นางเล่าให้ฟังรอบหนึ่ง โดยเฉพาะจุดสำคัญที่ฉินเจิงขู่บังคับให้อิงชินอ๋องเขียนกระดาษสัญญา


ฉินห้าวฟังจบแล้วจึงเงียบไป สีหน้าไม่น่ามองเล็กน้อย


สีหน้าของชายารองหลิวไม่น่ามองยิ่งกว่าพลางกล่าวอย่างอึดอัด “ตัวเขาเองไม่ต้องการหลูเสวี่ยอิ๋งจึงผลักไสมาให้เจ้า เขารู้ดีว่าฮ่องเต้กับท่านอ๋องแห่งจวนเราต้องไม่ละเลยเรื่องงานแต่งงานของเขา ซ้ำยังมักถามถึงอยู่บ่อยๆ แต่บัดนี้กลับคิดไม่ถึงว่าจะบังคับให้ท่านอ๋องเขียนกระดาษสัญญาให้ เขาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่”


“ในใจของต้องมีคนที่ชอบอยู่แล้วแน่นอน อีกทั้งยังเป็นคนที่ฮ่องเต้และท่านพ่อไม่อนุญาตให้แต่งงานด้วย” ฉินห้าวครุ่นคิดก่อนจะตอบอย่างหนักแน่น


“เขาน่ะหรือ” ชายารองหลิวมึนงงแล้วหลุดปากถาม “แม้แต่คุณหนูสายตรงแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายยังไม่สนใจ เขาจะชอบใครได้”


ฉินห้าวหัวเราะเยาะ เขาไม่ได้เห็นว่าจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะน่าเคารพนบนอบจึงกล่าวเยาะเย้ย “คุณหนูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ได้เป็นสตรีที่ดีที่สุด เขาจะไม่สนใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”


ชายารองหลิวมึนงงอีกครั้ง


ฉินห้าวเก็บสีหน้าพลางกล่าวอย่างเย็นชา “หากพิจารณาตามฐานะของตระกูล จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ได้มีเกียรติสูงศักดิ์เท่าจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ไม่ได้มีตำแหน่งสูงเท่าจวนหย่งคังโหว ไม่ได้มีความซื่อสัตย์เท่าจวนผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักฮั่นหลิน ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานเท่าจวนผู้ตรวจการณ์ราชสำนัก และไม่ได้ร่ำรวยมีเกียรติเท่าจวนจงหย่งโหว”


ชายารองหลิวได้สติแล้วถอนหายใจ “แน่นอนว่าเทียบกับจวนอื่นๆ ไม่ได้ แต่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็มีตำแหน่งเท่าเทียมกับจวนอื่นๆ เช่นกัน เจ้าแต่งงานกับหลูเสวี่ยอิ๋งได้ก็นับว่าไม่เลว”


“ข้าเกือบจะได้แต่งงานกับคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว” ฉินห้าวกล่าว


ชายารองหลิวไม่พอใจในทันที “ฐานะของจวนจงหย่งโหวสูงส่งและมีรากฐานที่มั่นคง แม้แต่ต้นกำเนิดของราชสำนักหนานฉินยังเทียบไม่ได้กับตระกูลเซี่ย แต่คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวก็ป่วยร้ายแรง แต่งเข้ามาจะไม่เป็นความโชคร้ายหรือ? ฐานะของตระกูลดีแล้วจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อแบกรับภาระสิ่งใดไม่ได้ หยิบจับสิ่งใดก็ไม่ได้ ไหนเลยจะเทียบกับคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ นางเก่งทั้งบู๊และบุ๋น”


“ท่านแม่ไม่เคยพบคุณหนูแห่งจวนจงหย่วโหว มีแต่ข่าวลือแพร่ออกมาว่านางป่วยและอ่อนแอ ความจริงเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ จึงไม่อาจพูดได้” ฉินห้าวมองชายารองหลิวแวบหนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าว


ทันใดนั้นชายารองหลิวก็แปลกใจ “เจ้าจะบอกว่ามีสิ่งใดปกปิดอยู่หรือ”


“มีหรือไม่ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีร่องรอย” ถึงอย่างไรฉินห้าวก็ถูกอบรมเลี้ยงดูข้างกายอิงชินอ๋องมาหลายปี แน่นอนว่าต้องไม่คล้อยตามผู้อื่น เขาต้องพิจารณาก่อนไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม “หรือคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวจะป่วยจนไม่มีใครเคยพบเห็นเลยสักคนจริงๆ? แต่นางเกิดมาและเติบโตถึงขนาดนี้ก็ไม่เคยได้ยินว่านางมีโรคอะไรร้ายแรงไม่ใช่หรือ วันเกิดปีนั้นของจงหย่งโหว นางเคยออกมาให้พบครั้งหนึ่ง เวลานั้นลูกก็มองเห็นนางจากที่ไกลๆ”


“พอเจ้าพูดเช่นนี้ก็ดูมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง” ชายารองหลิวพยักหน้า


“น่าเสียดาย ข่าวเรื่องเขาไร้นามถูกทำลายลงแพร่ขยายเป็นวงกว้างในเมืองหลวง ฮ่องเต้จึงเรียกพบขุนนางเพื่อหารือ ตำแหน่งของข้ายังต่ำเกินไปจึงถูกขัดขวางเอาไว้ข้างนอก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฮองเฮาฉวยโอกาสไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย เรื่องแบบนี้มีแต่น้องรองเท่านั้นที่ทำได้” ฉินห้าวกล่าว


“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วก็อย่ามัวคิดมากอยู่เลย วันนี้เจ้าไปจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายมามิใช่หรือถึงเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับฮูหยินของเขาปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรบ้าง” ชายารองหลิวกังวลเรื่องนี้เป็นที่สุด แม้ฉินเจิงจะหาเรื่องผลักไสหลูเสวี่ยอิ๋งให้กับลูกชายของนาง แต่นางก็พอใจกับเรื่องแต่งงานครั้งนี้ หากไม่ใช่เช่นนี้ ในสายตาของหลูเสวี่ยอิ๋งก็เอาแต่มองหาฉินเจิง ไม่สนใจลูกชายของนาง เช่นนั้นแล้วจะตะกายขึ้นไปแต่งงานจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้อย่างไร


“ปฏิบัติต่อข้าดีมาก!” ฉินห้าวตอบ


“ดีอย่างไร มีประโยชน์ต่อเส้นทางขุนนางของเจ้าหรือไม่” ชายารองหลิวรีบถามต่อ


ฉินห้าวพยักหน้า “เรื่องนี้ถูกตัดสินไว้อย่างเด็ดขาดแล้ว เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับฮูหยินเข้าใจดี พวกเราแค่ถูกผูกเอาไว้บนเส้นด้ายเท่านั้น ถึงแม้ฮ่องเต้ตั้งใจจะเลื่อนตำแหน่งให้ข้า แต่บัดนี้เรื่องที่ฉินอวี้ยังอยู่ในกองทัพม่อเป่ยก็กำลังรอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยอยู่ อีกทั้งหิมะยังตกหนัก หลายแห่งเกิดดภัยพิบัติจากหิมะ ฎีกากองสูงท่วมราวกับเกล็ดหิมะหนา เกรงว่าก่อนปีใหม่ก็คงยังไม่ถึงเรื่องเลื่อนขั้นของข้า แต่เสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าใจแจ่มแจ้ง หลังปีใหม่แน่นอนว่าจะถวายฎีกาเรื่องเลื่อนตำแหน่งให้ข้าก่อน”


“ยังเหลืออีกครึ่งเดือนกว่าจะถึงปีใหม่แต่ก็เร็วอยู่เช่นกัน” ชายารองหลิวถอนหายใจอย่างโล่งอก


ฉินห้าวพยักหน้า


สิ่งที่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายปฏิบัติต่อฉินห้าวทำให้ชายารองหลิวสบายใจขึ้น ทั้งยังเอ่ยถาม “แล้วหลูเสวี่ยอิ๋งล่ะ”


“ไม่ยอมออกมาพบหน้า!” ฉินห้าวกล่าวอย่างเย็นชา


“นางเตรียมตัวเป็นสตรีที่กำลังจะแต่งงาน ไม่สมควรออกมาพบเจ้าก็ถูกต้องแล้ว” ชายารองหลิวกล่าว


“นางไม่อยากแต่งงานกับข้า!” ฉินห้าวหัวเราะเสียงเย็น


“ถึงนางจะไม่ยอมรับเรื่องนี้แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว! มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาง” ชายารองหลิวมองฉินห้าวก่อนจะกล่าวคลายกังวล “เจ้าอย่ากังวลไปเลย ผู้หญิงก็เป็นเช่นนี้ล่ะ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร รอจนกว่านางจะแต่งเข้ามาในตระกูล ไม่ว่าบ้านฝ่ายหญิงจะมีเกียรติเพียงใด แต่เมื่อแต่งเข้ามาในบ้านฝ่ายชายก็ต้องยึดถือสามีเป็นผืนฟ้า ถึงเวลานั้นไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร นางก็ต้องฟังเจ้า”


ฉินห้าวไม่ได้สนใจแล้วลุกขึ้นยืน “ท่านแม่รีบพักผ่อนเถอะ ข้าจะกลับแล้ว”


ชายารองหลิวมองท้องฟ้าแล้วพบว่าเลยเที่ยงคืนมาแล้ว นางไม่อยากให้เขากลับไปที่เรือนของตัวเองและอยากให้เขาพักอยู่ในห้องข้างๆ นาง แต่นึกขึ้นได้ว่าแม้แต่เขาจะเรียกนางว่าแม่ยังต้องเรียกเป็นการส่วนตัว เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็ต้องเรียกนางว่าชายารอง พระชายาหรือเสด็จแม่ ดึกดื่นแล้วยังอยู่ที่นี่ แม้จะเป็นแม่ลูกกัน แต่ก็ไม่เหมาะสม หากแพร่งพรายออกมาจะไม่เป็นการดีต่อเส้นทางขุนนางของเขา ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่กำชับให้เขาเดินระวังๆ


ฉินห้าวออกมาจากเรือนตะวันตกแล้วกลับไปที่เรือนของตัวเอง เมื่อเดินออกมาเขาก็หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นชายารองหลิวพิงประตูยืนส่งพลันสายตาของเขาก็อบอุ่นขึ้นมา เมื่อก่อนเขาเอาแต่คิดว่าเหตุใดจึงไม่มีวาสนาได้เกิดมาในท้องของพระชายาบ้าง บัดนี้เขาไม่ได้คิดเช่นนั้นอีกแล้ว แม้ไม่มีวาสนาแล้วยังต้องกลัวสิ่งใดอีก ในเมื่อเขาก็ได้ในสิ่งที่เขาต้องการทุกอย่างเช่นกัน 

 

 


ตอนที่ 50-4 ปกปิด

 

เซี่ยฟางหวากำลังหลับลึก จู่ๆ ก็มีเสียงการเคลื่อนไหวข้างนอกหน้าต่างดังขึ้น ดวงตาที่กำลังปิดพลันลืมตาขึ้นในทันที


“คุณชาย!” เงาดำยืนอยู่นอกหน้าต่างพลางส่งเสียงเรียกเบาๆ


ฉินเจิงส่งเสียง ‘อืม’ ตอบรับเล็กน้อยจากในห้อง


เซี่ยฟางหวามองไปยังห้องข้างในแวบหนึ่ง ที่แท้ฉินเจิงก็ตื่นตัวอยู่เสมอเหมือนกับนาง กลางดึกเช่นนี้ คนข้างนอกเข้ามาอย่างเงียบเชียบ เห็นได้ชัดว่าวิชากลั้นลมหายใจไม่ได้ด้อยไปกว่าเหยียนเฉิน ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องต้องรายงาน


“คุณชายใหญ่ไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายยามอู่ เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับฮูหยินเชื้อเชิญให้ทานอาหารเที่ยงและเย็นด้วยกัน หลังอาหารเย็น เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็พูดคุยกับคุณชายใหญ่ที่ห้องหนังสือ ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วยามคุณชายใหญ่เพิ่งจะกลับถึงจวน เขาไปพบท่านอ๋องที่ห้องหนังสือก่อนแต่ท่านอ๋องไม่ให้เข้าพบ เขาจึงไปยังเรือนตะวันตกเพื่อพูดคุยกับชายารองหลิวอีกครึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับไปยังเรือนของตัวเองแล้วขอรับ” คนข้างนอกกล่าวรายงานด้วยเสียงที่เบามาก


ฉินเจิงส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคออีกครั้ง


“วันนี้หลังจากพระชายากลับไปก็สั่งให้สายลับถอนกำลังออกจากตลาดมืด ในเวลาเดียวกันก็ส่งคนไปส่งข่าวให้กับฝั่งของตระกูลชุยแห่งชิงเหอด้วย มีคำสั่งว่าไม่จำเป็นต้องสืบหาแล้วขอรับ” คนข้างนอกกล่าวอีก


ฉินเจิงส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคออีกครั้ง


“นอกจากพระชายาแล้ว ยังมีอีกหลายกลุ่มที่อยู่ที่ตลาดมืด ข้าน้อยพบว่าในนั้นมีสองกลุ่มที่มาจากวังหลวง” คนข้างนอกกล่าวถึงตรงนี้ก็หันมามองทางห้องของเซี่ยฟางหวาราวกับลังเลที่จะกล่าว


“ไม่เป็นไร พูดต่อ!” น้ำเสียงของฉินเจิงเย็นชา เพราะเพิ่งตื่นจึงมีเสียงต่ำเล็กน้อย


“ข้าน้อยรู้สึกว่าน่าจะมาจากฮ่องเต้และฮองเฮาขอรับ” คนข้างนอกกล่าว “แต่คล้ายกับจะไม่เจอเบาะแสใดเหมือนกับพระชายาและพวกเรา ฮ่องเต้กลัวว่าในใจของแม่นางทิงอินอาจจะมีความคิดแอบแฝงบางอย่าง ฮองเฮาเองก็ทรงก็คิดเช่นนั้น”


เซี่ยฟางหวากะพริบตา นางคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาก็สืบหาประวัตินางที่เป็นเพียงหญิงรับใช้ข้างกายของฉินเจิง


ฉินเจิงเงียบไปสักพักจากนั้นก็ออกคำสั่ง “เจ้าคิดหาวิธีให้มีข่าวรั่วไหลออกไปถึงหูของฝั่งวังหลวงว่านางเป็นคนของค่ายองครักษ์ของข้าที่ถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก แต่ที่ข้าฉวยโอกาสมอบตำแหน่งไว้ข้างกายให้ก็เพราะเพื่อขัดขวางที่ผู้อื่นมักส่งสตรีมาให้ข้าไม่หยุดหย่อน”


“คุณชาย?” คนข้างนอกตกใจ


เซี่ยฟางหวาเองก็ตกใจเช่นกัน ฉินเจิงกำลังช่วยนางปิดบังตัวตนโดยการจัดฐานะของนางให้อยู่ในค่ายของตัวเอง? ไม่ให้ฮ่องเต้สนใจนางอีก? หากกล่าวว่านางเป็นคนของค่ายองครักษ์ของฉินเจิงก็สามารถอธิบายถึงความว่างเปล่าที่ผ่านมาของนางได้


ส่วนเรื่องการกำจัดฐานะของนางที่ตลาดมืดออกไปน่าจะเป็นเหยียนเฉินที่เป็นผู้จัดการให้หลังจากนางถูกฉินเจิงชิงตัวไปที่จวนอิงชินอ๋อง เพราะนางต้องอยู่ข้างกายของฉินเจิง สายตาโดยรอบก็มารวมอยู่ที่นางในพริบตา ฐานะหญิงใบ้ของนางไม่ใช่แค่ดึงดูดความสนใจของผู้คนเท่านั้น เบื้องหลังความเป็นมาของนางก็ถูกคนสืบหาเช่นกัน หากไม่อยากให้ถูกคนพบร่องรอยเข้า ก็ได้แต่กำจัดมันออกไปให้หมด ถึงแม้จะทำให้ผู้คนสงสัย แต่ก็เป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุด เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ส่งคนมาสืบหาประวัติของนาง


ถึงอย่างไรฐานะของฉินเจิงก็สำคัญเกินไป ยังมีเรื่องของหลูเสวี่ยอิ๋งที่ถูกฉินเจิงผลักไสให้แต่งงานกับฉินห้าวเพราะความโกรธจึงทำให้ฮ่องเต้นึกสงสัย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่การได้รับความสนใจจากฮ่องเต้นั้นไม่ใช่เรื่องดี


“ฮ่องเต้จะเชื่อหรือขอรับ” คนข้างนอกถามอีก


“จวนอิงชินอ๋องมีองครักษ์ ลูกชายสายตรงมีค่ายองครักษ์และสามารถควบคุมดูแลเป็นการส่วนตัวได้ ทิงอินแค่กีดขวางข้า ไม่ได้ขัดขวางอำนาจฮ่องเต้ เหตุใดเสด็จอาถึงต้องไม่เชื่อด้วย” น้ำเสียงของฉินเจิงราบเรียบ “ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อ วันข้างหน้าเขาก็ไม่มีเวลาจะไปสืบหาความจริงที่ลึกกว่านี้ได้ เขายังมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ เช่นเรื่องของฉินอวี้หรือภัยพิบัติจากหิมะ”


คนข้างนอกพยักหน้า “ประเดี๋ยวข้าน้อยจะปล่อยข่าวออกไปขอรับ”


ฉินเจิงตอบรับในลำคอ


คนข้างนอกไม่มีเรื่องอื่นให้รายงานอีก เมื่อเห็นว่าฉินเจิงไม่ได้ออกคำสั่งเพิ่ม เขาจึงถอยออกไป


ฉินเจิงลุกขึ้นนั่งแล้วรินน้ำให้ตนเอง หลังดื่มเสร็จแล้วก็เอนตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง


เซี่ยฟางหวาลืมตาจ้องมองหลังคา ฉินเจิงน่าจะเดาออกว่านางตื่นขึ้นมาแล้ว แม้ทั้งสองจะพูดคุยด้วยเสียงที่เบามาก แต่ก็ทำให้นางที่มีวรยุทธ์ได้ยินอยู่ดี แต่เขาก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงนาง ชั่วเวลาหนึ่งก็มีความรู้สึกแปลกบางอย่างอัดอั้นอยู่ในใจ


ไม่นานฉินเจิงก็หลับไปอีกครั้ง เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังลอดออกมา


เซี่ยฟางหวานอนไม่หลับจนกระทั่งฟ้าใกล้สว่าง นางจึงค่อยหลับไป


ตอนที่เซี่ยฟางหวาตื่นขึ้นมาอีกครั้งฟ้าก็สว่างแล้ว ลมหนาวที่พัดอย่างรุนแรงเมื่อคืนก็สงบลงแล้ว ภายในห้องจุดเตาผิงเอาไว้จนเกิดความอบอุ่นไปทั่ว นางลุกขึ้นนั่งแล้วเลิกม่านออกไปมองแวบหนึ่ง เวลานี้กลัวว่าแม้แต่เวลาอาหารเช้าก็คงผ่านไปเสียแล้ว


นางแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากเตียง หวีผมเสร็จแล้วถึงเดินออกมาจากห้อง ประจวบเหมาะกับที่ฉินเจิงและทิงเหยียนถือกระบี่เข้ามาพอดี ฉินเจิงยังคงเปล่งประกาย หากแต่ทิงเหยียนนั้นมีเหงื่อเกาะเต็มหน้าผาก นางเลิกคิ้วมองทั้งสองคน


“ตื่นแล้วหรือ” ฉินเจิงเอ่ยถาม


เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ไม่รู้ว่าเขาออกมาจากห้องได้อย่างไรถึงไม่ได้เกิดเสียงรบกวนนางแม้แต่น้อย


“ทิงอิน เจ้าตื่นก็ดีแล้ว คุณชายบอกข้าว่าเมื่อวานเจ้าช่วยข้าต้มยาจนดึกดื่น วันนี้จึงหลับลึก เขาไม่อยากรบกวนการนอนของเจ้าจึงออกมาจากทางหน้าต่างแล้วลากข้าออกไปฝึกกระบี่ ข้าไม่ได้ฝึกกระบี่เป็นเพื่อนคุณชายตั้งหลายวัน บัดนี้แม้แต่แขนเห็นทีจะยกไม่ไหวแล้ว” ทิงเหยียนกอดกระบี่เอาไว้พลางระบายความทุกข์ใจกับเซี่ยฟางหวา


เซี่ยฟางหวามองทิงเหยียนที่คล้ายกับไปวิ่งวุ่นบนถนนแล้วเพิ่งกลับมาก็นึกสงสารเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา


“คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะยิ้มออกมา?” ทิงเหยียนกล่าวด้วยความไม่พอใจ “วรยุทธ์เจ้าร่ำเรียนมาจากที่ใด ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ข้าโตมาพร้อมกับคุณชายตั้งแต่เด็ก ทั้งยังฝึกซ้อมเป็นเพื่อนเขาทุกวัน แต่ฝีมือข้าก็ยังด้อยกว่าคุณชายมากนัก ทุกครั้งที่ได้ประมือกับเขา เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็แพ้แล้ว แต่เจ้านั้นต่างออกไป คิดไม่ถึงว่าจะสามารถต่อสู้กับคุณชายได้ แถมยังสามารถเกี่ยวหยกห้อยของคุณชายจนตกลงมา…”


“ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้!” ฉินเจิงสะบัดมือใส่ทิงเหยียน


ทิงเหยียนรีบหดคอหนี จากนั้นก็ลากขาอันเหนื่อยล้ากลับไปยังห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว


“ในเมื่อเจ้าตื่นแล้วก็ไปทำอาหารเถอะ หลังเลิกเรียนตอนเช้าพวกเยี่ยนถิงจะมาที่นี่ วันนี้จำเป็นต้องให้พวกเขาอยู่กินข้าวที่นี่ด้วย” ฉินเจิงเข้าไปในห้อง วางกระบี่ลงแล้วหันมาสั่งเซี่ยฟางหวา


เซี่ยฟางหวามองเขา พวกเยี่ยนถิงมาอีกแล้ว? มาทำอะไร?


“แม่ข้าส่งคนไปลาเรียนให้ข้าที่ห้องหนังสือ พวกเขาต้องอยากมาเยี่ยมข้าแน่นอน” ฉินเจิงกล่าว


เซี่ยฟางหวาพยักหน้า จากนั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปยังห้องครัว


ฉินเจิงล้างหน้าล้างตาโดยไม่บอกกล่าว เสร็จแล้วก็หวีผมด้วยตัวเอง หลังจากนั้นก็มาช่วยนางก่อไฟที่ห้องครัวเช่นกัน


ไม่ผิดไปจากที่ฉินเจิงคาดเดาเอาไว้ ครึ่งชั่วยามต่อมา เยี่ยนถิง หลี่มู่ชิง เซี่ยม่อหาน เฉิงหมิง ซ่งฟาง และเด็กหนุ่มอีกสามคนที่เซี่ยฟางหวาไม่เคยพบมาก่อนก็มาถึงเรือนลั่วเหมย


ทิงเหยียนได้ยินเสียงจึงรีบออกไปต้อนรับทุกท่าน


“พี่ฉินเจิงศีรษะกระแทกจนลุกออกจากเตียงไม่ได้จริงหรือ” เยี่ยนถิงไม่เชื่อว่าฉินเจิงจะหกล้มจนบาดเจ็บได้


“ไม่ใช่ขอรับ คุณชายอยู่ที่ห้องครัวเล็ก” ทิงเหยียนรีบตอบ


“หืม?” เยี่ยนถิงเกิดความสนใจพลางกวาดตามองไปยังห้องครัวเล็กที่มีควันลอยออกมา ทั้งยังมีกลิ่นหอมของอาหารโชยมาเล็กน้อยจึงรีบเปลี่ยนทิศทางการเดิน


“คุณชายเล็กเยี่ยน พวกท่านเข้าไปรอคุณชายในห้องดีกว่าขอรับ! อีกประเดี๋ยวคุณชายก็กลับมาแล้ว” ทิงเหยียนไม่อยากให้พวกเขาเห็นสภาพของคุณชายกำลังก่อไฟเพราะจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์จึงรีบเอ่ยห้าม


“ข้าจะไปดูว่าเขาทำอะไรอยู่ในห้องครัว เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องสนใจพวกเรา” เยี่ยนถิงไล่เขา


ทิงเหยียนยับยั้งไว้ไม่ได้จึงได้แต่ยอมให้พวกเขาไป


หลี่มู่ชิงกับเซี่ยม่อหานมองหน้ากันแวบหนึ่งแล้วตามเยี่ยนถิงไปยังห้องครัวเล็ก


เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอกจึงรู้ว่าเยี่ยนถิงและคนอื่นๆ มาถึงแล้วแต่นางกำลังทำอาหารอยู่ นางเหลือบมองฉินเจิงแวบหนึ่งแต่เขากลับทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนั้น ทั้งยังคงคุกเข่าลงข้างเตาและก่อไฟอย่างตั้งใจ ในเมื่อเขาไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะเข้ามา นางก็ไม่จำเป็นต้องถือสาจึงไม่ได้สนใจอีก


“เอ๋? พี่ฉินเจิง เป็นไปไม่ได้น่า? ท่าน…ท่านน่ะหรือกำลังก่อไฟ?” เยี่ยนถิงมาถึงหน้าประตูแล้วมองเข้าไป จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังพลางมองฉินเจิงอย่างไม่เชื่อสายตา


หลี่มู่ชิง เซี่ยม่อหานและคนอื่นๆ มาถึง เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในห้องครัวต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน


ฉินเจิงเงยหน้ามองพวกเขาแวบหนึ่งแล้วโบกมือไล่อย่างทุกครั้ง “หากพวกเจ้ายังอยากอยู่กินข้าวที่นี่ก็เข้าไปรอในห้อง ถ้าหากไม่อยากรอก็เข้ามาช่วยข้าก่อไฟได้”


เยี่ยนถิงโบกมือปัดในทันที “ข้าก่อไฟไม่เป็น!” พูดจบก็หันไปเอ่ยถามคนอื่นๆ “พวกเจ้าก่อเป็นหรือไม่”


“ไม่เป็น!” ทุกคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพียง


“สมกับเป็นพี่ฉินเจิง มีคำพูดกล่าวว่าคุณชายไม่ยุ่งเกี่ยวกับห้องครัว แท้จริงแล้วท่านอาจจะไม่ใช่คุณชาย!” เยี่ยนถิงกล่าว


ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ เหยียดหยามคำพูดที่กล่าวถึงคุณชายอย่างเห็นได้ชัด


“กลิ่นหอมดีมาก ไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร” เยี่ยนถิงสูดหายใจดมกลิ่นหอมพลางมองเซี่ยฟางหวาแล้วกล่าว


ฉินเจิงเหลือบตามองเขาแวบเงียบๆ


“ลาภปากพวกเจ้าสามคนแล้ว เมื่อหลายวันก่อนเห็นว่าพวกเจ้าไม่ว่างจึงให้ตามพวกเรามาในวันนี้ คิดไม่ถึงว่าจะได้กินอาหารฝีมือของแม่นางทิงอินด้วย” เยี่ยนถิงหันไปกล่าวกับเด็กหนุ่มสามคนที่เซี่ยฟางหวาไม่เคยพบมาก่อน


“นางคือแม่นางทิงอินผู้นั้นหรือ” เด็กหนุ่มไม่คุ้นหน้าผู้หนึ่งมองเซี่ยฟางหวาอย่างอยากรู้อยากเห็น


“ใช่แล้ว! นางคือแม่นางทิงอิน วันนี้พวกเขาไม่ได้มาแค่เพื่อเยี่ยมพี่ฉินเจิงเท่านั้น แต่มาเพราะอยากเห็นเจ้าด้วย เจ้าหันหน้ามาให้พวกเขาดูสักหน่อยเถอะ ข้าบอกว่าเจ้าก็หน้าตางั้นๆ แต่พวกเขาทั้งสามไม่เชื่อแล้วบอกว่า ในเมื่อหน้าตาธรรมดา เหตุใดคนภายนอกจึงบอกว่าเจ้าเหมือนกับเทพธิดาได้ ทั้งยังบอกว่าเป็นหากหญิงรับใช้ที่พี่ฉินเจิงสนใจจะมีหน้าตาธรรมดาได้อย่างไร? ต้องงดงามมากแน่นอน” เยี่ยนถิงกล่าวกับเซี่ยฟางหวา


เซี่ยฟางหวาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทั้งยังไม่แม้แต่จะหันไปมอง


ทั้งสามรอให้นางหันกลับมาอยู่นาน แต่นางก็ไม่หันมาจึงเห็นเพียงแผ่นหลังเท่านั้นแต่ก็สัมผัสได้ว่าร่างกายบอบบางเป็นอย่างยิ่ง แม้จะสวมชุดผ้าแพรต่วนทำอาหาร แต่ก็ไม่รู้สึกว่ากำลังคลุกฝุ่นควันจึงอดไม่ได้ที่อยากรู้มากขึ้นไปอีก


“นี่ แม่นางทิงอิน เจ้าไว้หน้าข้าหน่อยเถอะ!”  เยี่ยนถิงกล่าวอย่างไม่พอใจ


“อยากมีหน้ามีตาก็กลับไปที่บ้านเจ้า!” ฉินเจิงถลึงตามอง


ทันใดนั้นเยี่ยนถิงก็ยิ้มแห้งๆ แล้วหันไปกล่าวกับทั้งสาม “เห็นหรือยัง! ข้าพูดไว้มิผิด เจ้านายเป็นแบบใดก็ย่อมหาหญิงรับใช้แบบนั้นมา แม่นางทิงอินผู้นี้อารมณ์ร้ายเหมือนกับพี่ฉินเจิงมิผิด ดวงตามองเหนือกว่าเสมอ อยากสนใจผู้ใดก็มอง ไม่อยากสนใจผู้ใดก็ไม่เหลียวแล”


ทั้งสามไม่ตอบ แต่ในใจก็รู้สึกเห็นด้วยกับเยี่ยนถิง


“ไปเถอะ! พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าแม่นางทิงอินกับน้องฉินเจิงกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหาร? อย่าวุ่นวายอยู่เลย พวกเราเข้าไปรอในห้องดีกว่า!” เซี่ยม่อหานกล่าว เขาไม่อยากให้น้องสาวถูกคนอื่นเชยชม แต่เพราะฐานะของนางในตอนนี้จึงทำอะไรไม่ได้


“ใช่ พวกเราก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เข้าห้องเถอะ!” หลี่มู่ชิงกล่าว


ทั้งหมดต่างพยักหน้าแล้วพากันเดินออกไป 

 

 


ตอนที่ 50-5 ปกปิด

 

เยี่ยนถิงกลับยืนนิ่งตรงหน้าประตูพลางมองมา แล้วกล่าวกับฉินเจิง “เมื่อเช้าราชสำนักตัดสินเรื่องของฉินอวี้แล้ว ฮ่องเต้กล่าวถึงความเดิมว่าได้เนรเทศฉินอวี้ออกไปจากเมืองเพื่อให้เขาไปเผชิญหน้ากับคุกจิ่วถังแห่งเขาไร้นามก่อนจึงค่อยกลับมาฟื้นคืนฐานะของตนเอง แต่บัดนี้เขาไร้นามถูกทำลายลงไปแล้ว เขาก็ไม่มีคุกใดให้ไปเผชิญอีก นับว่าต้องรับชะตากรรมจากเขาไร้นามไว้ครึ่งหนึ่ง และต้องรับโทษจากความผิดที่ก่ออีกครึ่งหนึ่ง จึงจะฟื้นคืนฐานะองค์ชายสี่กลับมาได้ แต่บัดนี้ต้องเกณฑ์ทหารอยู่ในกองทัพม่อเป่ยแทน”


ฉินเจิงพยักหน้า เขาคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วจึงไม่ได้แปลกใจ


“เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขุนนางกลุ่มหนึ่งต่างเห็นด้วยกับการตัดสินใจของฮ่องเต้ พระราชโองการก็ออกมาแล้ว ฮ่องเต้ส่งคนสนิทข้างกายให้นำพระราชโองการไปยังม่อเป่ยโดยการขี่ม้าเร็วเดินทางทั้งวันทั้งคืน ปีใหม่คงถึงกองทัพป้องกันพรมแดนม่อเป่ยพอดี” เยี่ยนถิงกล่าวอีก “ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเขาจะได้กลับมาเมืองหลวงอีกเมื่อใด ฮ่องเต้ไม่ได้กำหนดวันเอาไว้ อาจจะหนึ่งปี สองปี หรือสาม ห้า เจ็ด แปดปีก็เป็นได้”


“ทางที่ดีก็ไม่ต้องกลับมาเลยตลอดชีวิต!” ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ


“ไม่ใช่ว่าท่านยังจำเรื่องที่เจ้าอาวาสวัดฝ่าฝอซื่อทำนายดวงชะตาให้พวกท่านได้นะ?” เยี่ยนถิงมองกลางถามอย่างประหลาดใจ


“จำได้!” ฉินเจิงมองเขา


“ครั้งนี้ฉินอวี้โชคร้ายจริงๆ ยังมีท่านคอยภาวนาให้เขาตายอีก ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีกี่เดือนเขาจึงจะได้กลับมา!” เยี่ยนถิงตบหน้าผากอย่างเวทนา


ฉินเจิงโยนฟืนแห้งลงไปในเตาไฟเงียบๆ


“นี่ แม่นางทิงอิน เจ้ารู้จักทั้งสามคนที่เพิ่งมาวันนี้หรือไม่” เยี่ยนถิงไม่คุยกับฉินเจิง กลับคุยกับเซี่ยฟางหวาแทน “ฐานะของพวกเขาสามคนก็ไม่ได้ต่ำต้อยเลย ดูสิ ชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังไปทั่วแล้ว พวกเขาทั้งสามยังอดไม่ได้ที่จะมาดูเจ้าให้เห็นกับตา”


เซี่ยฟางหวาไม่สนใจเยี่ยนถิง


เยี่ยนถิงคุ้นชินกับท่าทางของนางแล้วจึงไม่ได้ถือสาแล้วกล่าวต่อ “ถึงอย่างไรเจ้าก็พูดไม่ได้ จึงพูดว่าอยากรู้ต่อข้าไม่ได้แต่ในใจต้องอยากรู้แน่นอนใช่หรือไม่ ข้าใจดีจึงจะบอกเจ้าให้! พวกเขาสามคนคือหวางอู๋ ลูกชายคนที่สองของผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักฮั่นหลิน เจิ้งอี้ ลูกชายคนโตของผู้ตรวจการณ์ราชสำนักเจิ้ง และองค์ชายแปดฉินชิงที่ไท่เฟยรับไปเลี้ยงดู”


เซี่ยฟางหวาชะงักมือที่กำลังทำอาหาร คิดไม่ถึงว่าภูมิหลังของทั้งสามจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน


ในราชสำนักมีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายมาตั้งแต่สมัยก่อนมากมาย


มีกลุ่มเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ยังไม่มั่นคงแต่ก็แสดงความสามารถออกมาจนหมดเปลือก กลุ่มเสนาบดีฝ่ายขวาที่เป็นกลางไม่ฝักฝ่ายใด ยังมีกลุ่มจวนจงหย่งโหวและจวนหย่งคังโหวที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์ในตระกูลทั้งยังมีความระมัดระวังรอบคอบ ยังมีกลุ่มของอิงชินอ๋องที่จงรักภักดีจนได้รับความไว้วางใจจากราชสำนัก และยังมีกลุ่มของสำนักตรวจสอบ ผู้ตรวจการณ์ราชสำนัก สำนักฮั่นหลิน ศาลต้าหลี่ที่มีทั้งอำนาจและความซื่อสัตย์


ยิ่งมีกลุ่มมาก ฮ่องเต้ก็ยิ่งมีความสุข ฮ่องเต้ไม่อยากให้ขุนนางของเขาเป็นเสียงเสียงหนึ่งหรือเพียงท่วงทำนอง


ดังนั้น เมื่อองค์หญิงและองค์ชายบรรลุนิติภาวะ ฮ่องเต้นับวันยิ่งชราลง ขุนนางจากจวนต่างๆ กับขุนนางทั้งหมดในราชสำนักก็เพิ่งรู้สึกตัว


โดยเฉพาะที่องค์ชายสี่ฉินอวี้ถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวง ทำให้แม่น้ำในเมืองขุ่นขึ้น


ตำแหน่งของบรรดาขุนนางก็ตัดสินจากการไปมาหาสู่ของบรรดาลูกหลานในจวน


แต่ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองหลวงหนานฉินมา มีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นก็ไม่กลัวการไปมาหาสู่กับจวนขุนนางอื่นๆ นั่นคือจวนอิงชินอ๋อง


แม้จะเป็นฮ่องเต้ หรือท่านอ๋อง จวิ้นจู่และตำแหน่งอื่นๆ ในราชสำนัก แม้กระทั่งลูกหลานขุนนางคนอื่นๆ ในราชสำนักก็เช่นกัน


อิงชินอ๋องได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ จึงไม่จำเป็นต้องคอยพะวงเรื่องการไปมาหาสู่กับผู้อื่น แม้ฮองเฮาจะอยากคบด้วยก็ยังไม่สามารถ รวมไปถึงสนมคนอื่นแห่งวังหลังด้วย ผู้ให้กำเนิดองค์ชายสามคือหลิ่วเฟยแห่งตำหนักอี่ชุ่ย ส่วนผู้ให้กำเนิดองค์ชายห้าคือเฉินเฟยแห่งตำหนักอวี้ฝู ทั้งสองท่านนี้คือสนมที่ฮ่องเต้ปันความรักจากฮองเฮามาให้พวกนาง อีกทั้งลูกชายของทั้งสองก็เติบโตมาข้างกายของฮ่องเต้ ดังนั้น หลังจากองค์ชายสี่ออกไปจากเมือง ก็นับว่าพวกนางชนะแล้ว แต่เวลานี้กลับไม่ได้ยินข่าวคราวจากทั้งสองตำหนักและองค์ชายทั้งสอง คงจะหาจังหวะรอจัดการอย่างเงียบๆ


นอกจากองค์ชายสามกับองค์ชายห้า ฮ่องเต้ยังมีองค์ชายน้อยอีกสามท่าน คือ องค์ชายแปด องค์ชายสิบเอ็ด และองค์ชายสิบสาม องค์ชายแปดเพิ่งจะอายุสิบสี่ ส่วนองค์ชายสิบเอ็ดกับองค์ชายสิบสามอายุแปดและเจ็ดขวบตามลำดับ


ฐานะของมารดาองค์ชายแปดนั้นแม้จะเป็นกุ้ยเฟย แต่ตระกูลฝ่ายแม่นั้นไม่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ เพียงแค่เลือกมาจากสตรีสามัญชนทั่วไปเท่านั้น บางทีอาจเป็นเพราะใบหน้างดงามจึงได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษ จึงสามารถไต่ขึ้นมาเป็นกุ้ยเฟยได้แม้จะเป็นเพียงสตรีสามัญชน ด้วยเหตุนี้ทำให้บรรดาสนมคนอื่นอิจฉา ดังนั้น หลังให้กำเนิดองค์ชายแปดจึงถูกคนลอบทำร้ายจนตาย หลินไท่เฟยสงสารองค์ชายแปดเลยรับมาเลี้ยงดูข้างกายจึงจะสามารถเติบโตมาได้อย่างปลอดภัย


องค์ชายสิบเอ็ดกับองค์ชายสิบสามล้วนเกิดจากสนมทั้งหมด บัดนี้มารดายังคงมีชีวิตอยู่ แต่มีฐานะต่ำต้อยกว่าเล็กน้อยและไม่มีใครคอยให้การสนับสนุน


บัดนี้ภายในวังยังไม่มีไทเฮา หลินไท่เฟยอาวุโสที่สุด แม้จะเลี้ยงดูองค์ชายแปดมาแต่ก็มีเกียรติสูงศักดิ์ แต่เพราะเขาไม่มีภูมิหลังฝ่ายแม่ ทั้งหลินไท่เฟยเองก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวระหว่างศึกแย่งชิงของสนมวังหลังกับเรื่องราวของราชสำนัก เขาจึงไม่ถูกสายตาของฮองเฮา หลิ่วเฟย และเฉินเฟยจับจ้อง


ดังนั้น เขาสามารถมาเยี่ยมฉินเจิงที่นี่พร้อมกับลูกชายคนโตของผู้ตรวจการณ์ราชสำนักกับลูกชายคนรองของผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักฮั่นหลินได้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก


เขาไม่เหมือนกับองค์ชายสามและองค์ชายห้าที่มีจุดประสงค์แอบแฝง จึงไม่กล้ารวมกลุ่มหรือคบหากับใครต่อหน้า โดยเฉพาะจวนอิงชินอ๋องที่ผู้อื่นไม่สามารถไปมาหาสู่โดยไม่ระวังได้ สำหรับพวกเขากลับต้องระวังมากเป็นเท่าตัว แม้แต่ประตูก็เข้ามาไม่ง่าย


“นี่ พี่ฉินเจิง ทิงอินของท่านโดดเด่นจริงๆ นางรู้ฐานะของทั้งสามแล้วก็ยังไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาเลย” เยี่ยนถิงเดินเข้าไปในห้องครัวเล็กแล้วยืนข้างๆ เซี่ยฟางหวา จากนั้นก็เอียงหน้ามองนางอยู่นานสองนานก่อนจะเอ่ยชม


ฉินเจิงหยิบฟืนแห้งท่อนหนึ่งตีเขา


เยี่ยนถิงรีบถอยหลังหลบไปสองก้าวแล้วหันไปหาฉินเจิง “ท่านตีข้าทำไม”


“ยืนให้ห่างจากนาง” สีหน้าของฉินเจิงไม่น่าชม


เยี่ยนถิงเข้าใจในทันทีจึงหัวเราะแหะๆ ออกมา สีหน้าปรากฏเข้าใจปรากฏบนใบหน้า “ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่สนใจทิงอินของท่าน นางคาดเดายาก หากท่านชอบนาง ข้าก็จะไม่ชอบนางหรอก”


“จำคำพูดของเจ้าไว้!” สีหน้าแห่งความโกรธของฉินเจิงค่อยๆ คลายง


“จำได้แน่นอน! ข้าเคยไม่รักษาคำพูดหรือ” เยี่ยนถิงเลิกคิ้วพลางเดินเข้าไปใกล้ฉินเจิงพร้อมกล่าวด้วยความอยากลอง “ไหน ให้ข้าลองเผาดูบ้าง! ข้าอยากลองเรียนดู วันข้างหน้าต้องแต่งงาน ข้าก็อยากให้นางทำอาหาร ส่วนข้าจะช่วยก่อไฟให้นาง”


ฉินเจิงรีบหลีกทางให้


เยี่ยนถิงไม่คิดว่าฉินเจิงจะว่าง่ายเช่นนี้จึงตบไหล่เขา “พี่น้องที่ดี ท่าช่างไว้หน้าข้าจริงๆ” พูดจบ เขาก็โยนท่อนฟืนลงไปในเตาไฟ ครู่หนึ่งเปลวไฟก็มอดลง เขาเบิกตาค้างทันทีแล้วเอ่ยถามฉินเจิง “ทำอย่างไร”


“เจ้าใส่ฟืนมากเกินไป หยิบออกมา!” ฉินเจิงกล่าว


เยี่ยนถิงรีบหยิบฟืนออกมาสองสามท่อน แต่เปลวไฟก็ยังไม่ลุกโชนขึ้นมา เขาจึงหันไปมองฉินเจิงอีกครั้ง


“ใช้ปากเป่า” ฉินเจิงกล่าว


เยี่ยนถิงรีบย่อตัวลงพลางยื่นศีรษะเข้าไปใกล้ๆ เตา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยออกมาสุดแรง


ทันใดนั้นภายในเตาก็เกิดเสียงแตกเปรี๊ยะ จากนั้นเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นมา


เยี่ยนถิงส่งเสียง ‘อ๊า’ ออกมา เขาปิดตาเอาไว้แล้วกลิ้งหลบไปไกล


เซี่ยฟางหวาเอียงหน้ามองตามจึงเห็นว่าเขากลิ้งไปจนถึงข้างโอ่งน้ำ ครู่หนึ่งจึงปล่อยมือที่ปิดตาเอาไว้ออก แม้จะหลบได้อย่างรวดเร็ว แต่ผมที่หน้าผากก็ถูกไฟเผาไหม้ไปปอยหนึ่ง แม้มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยขี้เถ้า เขาก็ยังเอาไปเช็ดบนใบหน้า ทันใดนั้นใบหน้าที่เคยสะอาดก็เปื้อนเป็นหย่อมๆ ภายในใจนางนึกขบขันก่อนจะละสายตาออกมาแล้วมองฉินเจิง


ฉินเจิงกลับไม่แม้แต่จะกระตุกยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนถิงแย่แล้ว เขาอารมณ์ไม่ดีแล้ว


เซี่ยฟางหวาพลางคิดว่าเขาต้องจงใจอย่างแน่นอน! จงใจแกล้งเยี่ยนถิง!


เยี่ยนถิงได้รับการชี้นำเช่นนี้ เกรงว่าตลอดชีวิตนี้คงไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในห้องครัวอีก จะก่อไฟก็ไม่ต้องคิดถึงแล้ว!


เจ้าคนเลวนี่!


“พี่ฉินเจิง ท่านมีน้ำใจจริงๆ หรือกลั้นแกล้งไม่ให้ข้าก่อไฟได้กันแน่” เยี่ยนถิงได้สติกลับคืนมา


ฉินเจิงมองเขาอย่างผู้บริสุทธิ์ “ครั้งแรกที่ข้าก่อไฟก็เหมือนเจ้า”


“ใช่หรือ” เยี่ยนถิงมองเขาอย่างสงสัย


ฉินเจิงพยักหน้าพลางกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เจ้าคิดว่าก่อไฟทำอาหารง่ายหรือ? ถ้าหากคิดเช่นนี้ เจ้าคิดผิดแล้ว! นี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุด!”


เยี่ยนถิงถอนหายใจออกมาพลางดึงผมที่ถูกเผาจนเกรียม จากนั้นก็ลุกขึ้นไปชะโงกหน้าส่องกับน้ำในโอ่ง “จริง มันไม่ง่ายเลยจริงๆ!”


“ดังนั้น ต่อไปเวลากินข้าวอย่าเลือกกินอีก! ต้องฝึกให้เป็นนิสัย” ฉินเจิงกล่าว


เยี่ยนถิงพยักหน้าเห็นด้วย


“ทิงเหยียน!” ฉินเจิงสั่งสอนเสร็จก็ตะโกนเรียก


“คุณชาย” เดิมทีทิงเหยียนกำลังปรนนิบัติรับใช้แขกอยู่ในห้องกลาง เมื่อได้ยินก็รีบวิ่งมาที่ห้องครัวเล็กทันที


“พาคุณชายเล็กเยี่ยนไปล้างหน้าล้างตา เสื้อผ้าของเขาใส่ไม่ได้แล้ว นำเสื้อผ้าใหม่ของข้าให้เขาเปลี่ยนด้วย” ฉินเจิงสั่ง


“ขอรับ!” ทิงเหยียนมองเยี่ยนถิงก่อนจะแอบหัวเราะต่อท่าทางอันจนตรอกของเขาในใจ จากนั้นก็รีบแสดงท่าทางเชื้อเชิญให้เขาเดินนำไป


เยี่ยนถิงออกไปจากห้องครัวเล็กด้วยหน้าตามอมแมม เขาเดินพลางตบขี้เถ้าบนตัวพลาง 

 

 


ตอนที่ 50-6 ปกปิด

 

หลังเยี่ยนถิงออกไป ฉินเจิงก็ค่อยๆ หยิบฟืนออกมา จากนั้นก็ใส่เข้าไปในเตาใหม่อย่างเชื่องช้า เปลวไฟข้างในเผาไหม้จนมีควันลอยออกมา เขาใช้ไม้เขี่ยขี้เถ้าออกจนถ่านปรากฏสีแดงๆ ขึ้นมา จากนั้นฟืนก็เผาจนเกิดเปลวไฟลุกโชน


เซี่ยฟางหวาพลางคิดว่าหากไม่นับคนและไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติของฉินเจิงก็ควรยกนิ้วชมเชยเขาให้กับวิธีกลั่นแกล้งผู้อื่นจนหาจุดบกพร่องไม่ได้ ผู้ใดคิดจะเป็นศัตรูกับเขานั้นช่างน่าโชคร้ายเหลือเกิน


ไม่นานก็ทำอาหารจานสุดท้ายเสร็จ เซี่ยฟางหวาวางจานลงบนถาดแล้วเดินไปล้างมือ


ฉินเจิงเก็บกวาดขี้เถ้าให้กองรวมกันไว้ในเตาอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปล้างมือ


ทั้งสองยกถาดอาหารขึ้นมา ข้างในวางอาหารเอาไว้สี่อย่าง จากนั้นก็ตรงไปยังห้องกลาง


ทิงเหยียนได้ยินเสียงเดินจึงรีบมาเลิกม่านให้


“กลิ่นหอมมาก!” หลี่มู่ชิงเอ่ยชม


“ต้องกินก่อนจึงจะรู้ว่าอร่อยหรือไม่ แค่กลิ่นหอมอย่างเดียวไม่ช่วยอะไร” เซี่ยม่อหานพลางแอบคิด น้องสาวเขาจากเมืองหลวงไปถึงแปดปี เขายังกังวลใจว่าหลังนางกลับมาแล้วจะไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตเยี่ยงสตรีอื่นในเมืองหลวง ดูเหมือนว่าบัดนี้จะไม่ต้องกังวลใจแล้ว ไม่เสียแรงที่เติบโตมาในจวนจงหย่งโหว ฉินเจิงเองก็อบรมมาอย่างดี ราวกับหญิงรับใช้ผู้หนึ่งเป็นคุณหนูผู้สูงส่งที่หาไม่ได้อีกในหนานฉิน


เฉิงหมิงกับซ่งฟางก็พยักหน้าเห็นด้วย


เยี่ยนถิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเตี้ยกว่าฉินเจิงเล็กน้อย เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าของฉินเจิงบนร่างของเขาจึงค่อนข้างยาวอย่างเห็นได้ชัด เขามองไปยังฉินเจิงที่ยกอาหารเข้ามาด้วยความไม่พอใจ “ทำไมถึงสูงไวขนาดนี้ ข้าจำได้ว่าตอนเด็กข้าสูงกว่าท่าน”


“เพราะหลายปีมานี้เจ้าเอาแต่เลือกกิน” ฉินเจิงวางอาหารลงบนโต๊ะ


เยี่ยนถิงพูดไม่ออกในทันที เพราะเขาเลือกกินจริงๆ


เดิมทีองค์ชายแปด หวางอู๋ และเจิ้งอี้ ทั้งสามต่างรู้ว่าการที่ฉินเจิงจะลงมือก่อไฟทำอาหารนั้นเป็นเรื่องยาก บัดนี้เห็นเขายกอาหารเข้ามาด้วยตัวเองก็ยิ่งเบิกตากว้างกว่าเดิม เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวาที่เดินตามหลังเขาเข้ามา ดวงตาทั้งสามคู่ก็ชะงักในทันที


บางครั้ง ส่วนพิเศษบนร่างกายก็เป็นสิ่งที่ปกคลุมรูปลักษณ์ภายนอกเอาไว้ ด้วยเหตุนี้จึงมองข้ามใบหน้าของนางไปได้


ทิงอินเป็นสตรีแบบนั้น!


ทำให้ผู้คนที่พบเห็นนางอดที่จะไม่กล่าวว่านางไม่งดงามไม่ได้ ความงามของนางไม่ได้อยู่ที่ใบหน้า แต่เป็นอากัปกริยาต่างหาก


ทั้งสามคล้ายจะแปลกใจและไม่แปลกใจกับนาง


“พวกเจ้าสามคนระวังหน่อย อย่าแสดงท่าทางนิ่งค้างเช่นนี้ราวกับไม่เคยพบสตรีที่ใดมาก่อน ระวังพี่ฉินเจิงจะโมโหเอา เขาปกป้องทิงอินของเขาราวกับเป็นของล้ำค่า ผู้ใดก็ไม่สามารถจ้องมองอย่างไม่วางตาได้” เยี่ยนถิงเตือน


หวางอู๋ไอโขลกออกมา ก่อนจะละสายตาไปเป็นคนแรก


เจิ้งอี้มึนงงพลางคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ละสายตาตามไปเช่นกัน


ฉินชิงไม่ได้รีบร้อนที่จะละสายตาออกมา แต่กลับจ้องมองนางต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะหันไปกล่าวกับฉินเจิง “พี่เจิง ข้าได้ยินว่านางขว้างกระบี่ออกไปจึงล่าจิ้งจอกขาวมาได้? เป็นเรื่องจริงหรือ”


ฉินเจิงนั่งลงแล้วส่งเสียง ‘อืม’


“จิ้งจอกขาวตัวนั้นล่ะ” ฉินชิงเอ่ยถาม


“วิ่งเล่นกับเตียวม่วงอยู่ข้างนอก” น้ำเสียงของฉินเจิงที่กล่าวกับฉินชิงนั้นอ่อนโยนกว่ามาก


“เมื่อครู่ข้าไม่เห็นมันเลย?” ฉินชิงรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตู ดวงตาคู่นั้นกวาดมองรอบๆ ลาน ก่อนจะเอ่ยถามกับทิงเหยียนที่ยืนอยู่ตรงประตู “อยู่ที่ใด”


“น่าจะวิ่งไปเล่นที่ลานข้างหลังแล้วขอรับ ที่นั่นยังไม่ได้กวาดหิมะออกไป” ทิงเหยียนตอบ


“ไปกัน เจ้าพาข้าไปหาพวกมันหน่อย” ฉินชิงรีบออกคำสั่งกับทิงเหยียน


ทิงเหยียนหันไปมองฉินเจิง


ฉินเจิงมองฉินชิงแวบหนึ่ง “กินข้าวก่อน หลังกินเสร็จแล้วค่อยไปดู!”


“ไม่เอาหรอก พี่เจิง ท่านก็รู้ว่าข้าชอบจิ้งจอกขาวและคิดอยากจะเลี้ยงมาโดยตลอด” ท่าทางของฉินชิงอยากรีบไปดูเหลือเกิน


ฉินเจิงย่นคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ตวัดตามองไปยังเซี่ยฟางหวาที่กำลังเดินไปรินน้ำแล้วสั่งว่า “ทิงอิง เจ้าไม่ต้องคอยรับใช้อยู่ที่นี่แล้ว ให้ทิงเหยียนมารับใช้แทน เจ้าพาองค์ชายแปดไปหาจิ้งจอกขาวเถอะ!”


เซี่ยฟางหวาวางน้ำลงแล้วพยักหน้า จากนั้นก็เดินออกไปจากประตู


ฉินชิงถูกใจเป็นอย่างยิ่งแล้วรีบตามหลังนางออกไป


เยี่ยนถิงเบิกตากว้างพลางมองฉินเจิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “พี่ฉินเจิง เมื่อก่อนท่านคอยจับตามองไม่ให้ห่าง เหตุใดวันนี้จึงยอมปล่อยให้นางออกไปเป็นเพื่อนฉินชิงโดยลำพังได้? ท่านไม่กลัวว่าเด็กคนนั้นจะชอบนางหรือ”


“เจ้าคิดว่าทุกคนต้องเป็นเหมือนเจ้าหรือ แค่เห็นผู้หญิงก็ชอบแล้ว?” ฉินเจิงแค่นเสียงเบาๆ


เยี่ยนถิงอึ้งพลันโมโหในทันที “ข้าไปเห็นผู้หญิงแล้วก็ชอบขึ้นมาทันทีตั้งแต่เมื่อใด ไม่ใช่ว่าข้าชอบเพียงแค่…” เขาเกือบจะหลุดปากออกมา สายตาเหลือบไปเห็นว่าเซี่ยม่อหานกำลังขมวดคิ้วมองมาจึงรีบกลืนคำพูดกลับลงคอไปทันที


“ขอบใจพวกเจ้ามากที่อุตส่าห์มาเยี่ยมข้า! ทิงเหยียน ไปเอาเหล้าดีมาสองไห!” ฉินเจิงสั่ง


ทิงเหยียนรีบขานรับแล้วออกไปทันที


“ยังจะดื่มเหล้าอีกหรือ ข้าได้ยินว่าเมื่อวานท่านดื่มจนเมาที่จวนจงหย่งโหว เมื่อกลับมาถึงประตูจวนก็ล้มลงจนศีรษะกระแทก ดื่มเหล้าจนศีรษะบาดเจ็บ ท่านยังไม่กลัว? วันนี้ยังจะดื่มอีก?” หลี่มู่ชิงมองฉินเจิงพลางยิ้มกล่าว


“พวกเจ้าดื่ม ส่วนข้านั่งดู!” ฉินเจิงกล่าว


“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ล้มแรง” หวางอู๋ก็กล่าวติดตลกสมทบ


“แน่นอนอยู่แล้ว มิฉะนั้นพระชายาอิงชินอ๋อง คงร้อนรนกว่านี้! นอกจากส่งคนไปลาเรียนให้เขาที่ห้องหนังสือ ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาเพิ่มอีก” เจิ้งอี้ยิ้มกล่าว


ฉินเจิงเลิกคิ้วไม่แสดงความเห็น


ไม่นานทิงเหยียนก็ยกไหเหล้ามาถึง ทุกคนจึงนั่งล้อมโต๊ะ


คนเหล่านี้ยังหนุ่มยังแน่น คนที่อายุมากที่สุดอย่างเจิ้งอี้กับเซี่ยม่อหานก็อายุไม่เกินสิบเก้าปี คนอื่นๆ ก็อายุไล่เลี่ยกันประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี ด้วยเหตุนี้จึงมีเรื่องให้พูดคุยมากมายและคึกคักอยู่เป็นเวลานาน


เซี่ยฟางหวาออกมาจากเรือนลั่วเหมยแล้วเดินไปยังลานข้างหลังที่เป็นสถานที่ที่ฉินเจิงฝึกซ้อมกระบี่ทุกวัน


ที่นั่นฉินเจิงลงกลอนเอาไว้ นอกจากเขาจะใช้เป็นที่ฝึกกระบี่แล้ว ที่นั่นยังใช้เป็นที่ที่เขาเก็บอาวุธไว้ด้วยจึงไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป


เมื่อฉินชิงหลุดพ้นจากสายตาของฉินเจิงก็มีความกล้ามากขึ้น เขารีบก้าวเท้าไวๆ มาขวางตรงหน้าเซี่ยฟางหวา จากนั้นก็มองนางอย่างละเอียด


เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้วใส่เขา


ฉินชิงเพ่งมองใบหน้าของนางอย่างละเอียดพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “หน้าตาธรรมดาจริง เหตุใดคนภายนอกจึงพากันบอกว่าเจ้าเหมือนกับเทพธิดาล่ะ”


เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ เด็กหนุ่มตรงหน้านางมีดวงตาสุกใส สายตาที่เขามองนางเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ นางจึงไม่ได้ไม่พอใจ


ปีนั้น คนที่ได้รับความรักความเอ็นดูจากฮ่องเต้ว่ากันว่าไม่ใช่หญิงงามครองเมืองอันใด แต่แม้แต่ฮองเฮาเองก็ยังหลีกเลี่ยงกุ้ยเฟยผู้นั้น เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้งดงามเท่าฉินเจิง แต่ดวงตาคู่นี้ช่างใสราวกับน้ำสะอาดในบ่อน้ำสวรรค์ชั้นสูงสุด นางเคยพบฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่ได้มีดวงตาเช่นนี้ เขาน่าจะได้รับดวงตามากจากมารดา


“นั่น! เจ้าจิ้งจอกขาว” ฉินชิงหันหลังไปก่อนจะตะโกนเสียงดัง


เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามอง เห็นร่างของจิ้งจอกขาวกับเตียวม่วงกำลังวิ่งไล่กันอยู่ นางพลางคิดว่าสัตว์นั้นไม่รู้จักความกลัดกลุ้มใจ แม้จะถูกขังเอาไว้ที่นี่ แต่พวกมันก็ราวกับหาที่พักอันสงบเจอแล้ว


ฉินชิงมองพวกมันด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงก้มหน้าลงแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยความเศร้าโศก “เดิมทีพี่สี่เคยกล่าวกับข้าไว้ว่า เมื่อหิมะตกหนักของปีนี้มาถึง เขาจะจับจิ้งจอกขาวเป็นๆ ตัวหนึ่งมาให้ข้าเลี้ยงในวัง แต่บัดนี้เขากลับต้องไปยังม่อเป่ย”


เซี่ยฟางหวาชะงักพลางมองเขา


“อ้อ เจ้าคงยังไม่รู้ว่าข้าคือใครสินะ? ข้าคือองค์ชายแปดฉินชิง พี่สี่ของข้าคือองค์ชายสี่ฉินอวี้” ฉินชิงอธิบาย


เซี่ยฟางหวาละสายตากลับมา แล้วพยักหน้ารับอย่างเรียบเฉย 

 

 


ตอนที่ 51 นึกถึงข้าให้มาก

 

           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดว่าเซี่ยอวิ๋นหลานหายไปไหน


 


 


           หลังจากสารภาพกับนางว่าตนมีความทรงจำเมื่อชาติก่อนก็สะกดจุดนอนหลับบนตัวนาง ไม่อยากให้นางรู้เรื่องใดกันแน่


 


 


           ต่อไปไม่อยากพบนางอีกแล้วใช่หรือไม่


 


 


           เบื้องหน้านางเสมือนปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ บางสิ่งคล้ายมองไม่ชัด มองไม่ออก และไม่เข้าใจ


 


 


           “คุณหนู” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นว่านางเหม่อลอย ไม่เอ่ยคำใดเนิ่นนาน ทอดสายตามองไปยังที่แสนไกล ทั้งนัยน์ตาคู่นั้นดูพร่าเลือน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงเบาด้วยความเป็นห่วง “ท่านเป็นห่วงคุณชายอวิ๋นหลานใช่หรือไม่ นอกจากบ่าวแปดคน คนอื่นยังไม่ถอนกำลังกลับมา ยังคงค้นหาตัวคุณชายอวิ๋นหลานอยู่”


 


 


           “ข้ากังวลอยู่บ้าง” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก


 


 


           “เนื่องจากท่านให้ชิงเกอไปทำภารกิจอื่น ผนวกกับเยว่ลั่วองครักษ์ลับของรัชทายาทนำองครักษ์ลับราชสำนักติดตามลับๆ ดังนั้นชิงเกอจึงมิได้ติดตามออกจากเมืองหลวงมายังอารามลี่อวิ๋นด้วย” ซื่อฮว่าแนะนำเสียงเบา “คุณหนู หากลำพังแค่ผู้คุ้มกันจวนจงหย่งโหวของเราไม่พอ ท่านว่า…”


 


 


           “พวกเจ้ารับผิดชอบการค้นหาไปก่อนแล้วกัน” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขัดพลางส่ายหน้า


 


 


           ซื่อฮว่าไม่เอ่ยคำใดอีก


 


 


           เซี่ยฟางหวายืนใต้ต้นไม้อีกพักหนึ่งก่อนตะโกนเรียกเสียงเบา “เยว่ลั่ว”


 


 


           “พระชายาน้อย” เยว่ลั่วขานรับพร้อมปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านาง


 


 


           เซี่ยฟางหวาพินิจมองเขาตั้งแต่หัวจดเท้า พบว่าเขาเองก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเช่นกัน ไม่เหลือเค้าความกระเซอะกระเซิงอย่างก่อนหน้านี้แล้ว จึงเอ่ยขึ้น “จากเมืองหลวงมายังอารามลี่อวิ๋น เจ้าติดตามข้าลับๆ มาตลอดทางใช่หรือไม่”


 


 


           “เรียนพระชายาน้อย ใช่ขอรับ” เยว่ลั่วผงกศีรษะ


 


 


           “ข้าถามเจ้า ในเมื่อเจ้าอยู่ในที่ลับตลอดเวลา ได้สังเกตเห็นสิ่งใดผิดปกติหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม “อย่างเช่นที่พักเจ้าอารามอาวุโสของอารามลี่อวิ๋นถล่มลงได้อย่างไร ต่อมาอารามลี่อวิ๋นก็เกิดดินถล่ม ข้ากับพี่อวิ๋นหลานไปตรวจสอบด้วยกัน เจ้าอยู่ในที่ลับ สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวใดหรือไม่ หรือว่าจุดใดที่ผิดปกติ”


 


 


           เยว่ลั่วครุ่นคิด ก่อนมองนางแวบหนึ่ง


 


 


           “บอกมาตามตรง ไม่ต้องกังวลสิ่งใดทั้งนั้น” เซี่ยฟางหวามองเห็นถึงความรู้สึกบางอย่างจากสายตาเขาจึงเอ่ยบอก


 


 


           เยว่ลั่วลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อมาถึงอารามลี่อวิ๋น หลังท่านช่วยปลุกท่านหญิงจินเยี่ยนแล้วก็พักผ่อน ประมาณยามจื่อเพิ่งเลยผ่านไป ข้าก็ได้ยินเสียงห้องถล่มจากเขาด้านหน้า เดิมจะรายงานท่านว่าให้ไปตรวจสอบดูหรือไม่ ทว่าคุณชายอวิ๋นหลานก็ห้ามข้าไว้ก่อน”


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่งเสียง “หืม” แล้วมองไปยังเขา “พี่อวิ๋นหลานบอกว่าอะไร”


 


 


           “เขาบอกว่า เพื่อช่วยท่านหญิงจินเยี่ยน ท่านเสียพลังไปมากและเหนื่อยล้าแล้ว น่าจะเพิ่งเข้านอน ดังนั้นจึงอย่าไปรบกวนท่านดีกว่า” เยว่ลั่วตอบ


 


 


           “ยังมีหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           เยว่ลั่วครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อ “ข้าถามว่าให้ส่งคนไปตรวจสอบหรือไม่ แต่คุณชายอวิ๋นหลานบอกว่า ในเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ถึงดูไปก็ไม่มีประโยชน์ ฟ้าสว่างแล้วค่อยว่ากัน” เยว่ลั่วบอก “ข้าคิดว่ามีเหตุผลจึงไม่ออกไปดู”


 


 


           “ยังมีหรือไม่” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “กลางดึกเมื่อคืน หลังจากท่านกับคุณชายอวิ๋นหลานตกจากหน้าผาสูง พวกเราก็ทำการค้นหาเลียบภูเขา พบว่าภูเขาที่ล้อมรอบอารามลี่อวิ๋นแห่งนี้ไม่คล้ายกับเป็นดินถล่มและโคลนไถลที่เกิดขึ้นเอง แต่คล้ายถูกคนนำดินปืนไปฝังไว้ จงใจระเบิดอารามลี่อวิ๋นทั้งหลัง แม้ฝนตกหนักจนทำให้คล้ายกับเกิดดินถล่ม ทั้งเก็บกวาดร่องรอยดินปืนไปจนหมด แต่เมื่อตรวจสอบละเอียดแล้ว กลับไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือมนุษย์ เพียงแต่ผู้ลงมือรู้จักภูมิประเทศและสภาพพื้นดินดีมาก จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพราะฝนตกหนักเกินไป” เยว่ลั่วมีสีหน้าเคร่งขรึมทันที


 


 


           “ยังมีหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถามอย่างไม่แปลกใจ


 


 


           “ยังมี…” เยว่ลั่วมองไปยังห้องหลักแวบหนึ่ง พบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดก็เอ่ยเสียงทุ้มเบา “หลังจากพวกเราตามหาท่านกับคุณชายอวิ๋นหลานบนภูเขาไม่พบ จึงตัดสินใจลงมาค้นหาที่หุบเขาแทน พบว่ามีคนมาค้นหาในหุบเขาก่อนแล้ว เพราะมีร่องรอยคนเดินลุยหญ้าน้ำ”


 


 


           “พวกเจ้าคิดได้ตอนไหนว่าควรลงไปหาในหุบเขา” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง


 


 


           “ประมาณสองชั่วยามหลังจากท่านกับคุณชายอวิ๋นหลานหายไป” เยว่ลั่วตอบ “ความจริงช่วงเวลาที่เราคิดได้ว่าต้องลงไปหาในหุบเขานั้นไม่ช้านัก แต่ก้นผาที่ท่านอยู่นั้นลึกลับซับซ้อนเกินไป เป็นหุบเขาที่โอบล้อมภูเขาเอาไว้อีกที พวกเราค้นหาเลียบหุบเขาไปเรื่อยๆ แต่ทิศทางไม่ถูกต้อง ทำให้เสียเวลาไปมาก กว่าจะพบท่านก็เช้าวันนี้”


 


 


           “จากร่องรอยแล้วพอจะวิเคราะห์ได้หรือไม่ว่าเป็นใคร” เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ


 


 


           “นอกจากร่องรอยลุยหญ้าน้ำเพียงเล็กน้อยก็ไม่พบร่องรอยใดเลย จึงวิเคราะห์มิได้ว่าเป็นใคร” เยว่ลั่วส่ายหน้าตอบ


 


 


           “เจ้าคิดว่า การที่พี่อวิ๋นหลานหายไปเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนั้นหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “ตอนหาท่านพบ ท่านกำลังหมดสติอยู่ในถ้ำ ข้าน้อยเดาว่าคนที่ตกลงมาตรงนั้นพร้อมท่านคือคุณชายอวิ๋นหลาน ไม่มีคนอื่นแล้ว ในเมื่อท่านปลอดภัยดี เขาก็น่าจะปลอดภัยดีเช่นกัน บางทีอาจเกี่ยวข้องกับเขา” เยว่ลั่วตอบ “ถึงอย่างไรตรงอื่นก็ไม่พบร่องรอยเหยียบหญ้าน้ำเลย มีเพียงหุบเขาที่ท่านอยู่เท่านั้น และพวกเราเองก็ไม่พบเขา พบแค่ท่านเพียงผู้เดียว เป็นไปได้ว่าอาจหนีไปก่อนหาท่านพบ”


 


 


           “บอกเรื่องพวกนี้กับฉินเจิงหรือยัง” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยมิได้ถาม” เยว่ลั่วก้มหน้าลง


 


 


           “บอกฉินอวี้แล้วรึ” เซี่ยฟางหวาถามอีก


 


 


           “เมื่อครู่ได้ส่งข่าวรายงานองค์รัชทายาทแล้ว” เยว่ลั่วก้มหน้ามองปลายเท้าตนเอง


 


 


           “เจ้าไปได้” เซี่ยฟางหวายกมือไล่


 


 


           เยว่ลั่วถอยกลับออกไป


 


 


           เซี่ยฟางหวายืนนิ่งตรงที่เดิมพักหนึ่ง ก่อนหันหลังกลับเข้าห้อง


 


 


           ซื่อฮว่าเห็นว่าเซี่ยฟางหวาจะกลับห้องแล้วก็เอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนู เตรียมอาหารพร้อมแล้ว ท่านกับท่านอ๋องน้อย…”


 


 


           “เขาหลับอยู่ ข้าจะเข้าไปดูก่อน ถ้าเขาตื่นแล้วค่อยเรียกพวกเจ้า แต่ถ้ายังหลับอยู่ก็รอให้เขาตื่นก่อนค่อยว่ากัน” เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดก่อนเอ่ยตอบ


 


 


           ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน


 


 


           เซี่ยฟางหวาผลักประตูเข้าห้องแผ่วเบา ฉินเจิงยังนอนหลับโดยผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมออยู่ภายในห้องชั้นใน นางปิดประตูลงแล้วเดินมาหน้าเตียง ยืนมองเขาพักหนึ่งแล้วถอดรองเท้าออกแช่มช้าก่อนขึ้นเตียง พิงหมอนอิงเข้ากับหัวเตียง


 


 


            เวลาราวครึ่งชั่วยามถัดมา มือของนางก็ถูกกุมไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง


 


 


           เซี่ยฟางหวาผินหน้ามอง พบว่าฉินเจิงตื่นแล้ว หลังได้งีบหลับเป็นเวลาสั้นๆ ก็ช่วยขับไล่ความเหนื่อยล้าไปได้บ้าง นางส่งยิ้มให้เขา “ตื่นแล้วหรือ”


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า


 


 


           “หิวหรือยัง ข้าจะได้ให้คนยกอาหารเข้ามา” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           ฉินเจิงจับมือนาง กระชับฝ่ามือแน่นขึ้น ไม่เอ่ยคำใด


 


 


           “หืม” เซี่ยฟางหวามองเขา เห็นว่าเขาไม่พูดก็ยื่นมืออีกข้างไปตรวจชีพจรให้


 


 


           “แต่งกับภรรยามีวิชาแพทย์เป็นเช่นนี้เอง เหมือนมีหมอหลวงไม่ห่างกาย” ฉินเจิงพลันหัวเราะขึ้นมา


 


 


           “หมอหลวงเทียบข้าไม่ได้” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           ฉินเจิงเลิกคิ้วครู่หนึ่งแล้วยิ้มกล่าว “อืม หมอหลวงเทียบเจ้าไม่ได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “แต่ก็ไม่ได้โอ้อวดตนเองเหมือนจ้าเช่นนี้ เรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ข้า”


 


 


           เซี่ยฟางหวากำลังจะหยอกล้อตอบ หากแต่ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงชีพจรผิดปกติจึงขมวดคิ้วกล่าวขึ้น “เจ้าบาดเจ็บหรือ เกิดอะไรขึ้น”


 


 


           “ระหว่างตามหาเจ้าพบคนกลุ่มหนึ่งจึงประมือกัน ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” ฉินเจิงตอบสั้นๆ แต่กระชับ


 


 


           เซี่ยฟางหวาแม้ได้ยินเขาตอบฉะฉาน แต่ดูจากสภาพชีพจรนั้นก็รู้ว่าบาดเจ็บภายในไม่น้อย จึงเอ่ยถามอีก “ฝีมือดีขนาดนั้นเชียวหรือ นึกไม่ถึงว่าใช้พลังภายในทำร้ายเจ้าได้”


 


 


           “ไม่รู้” ฉินเจิงส่ายหน้า


 


 


           “ด้วยความสามารถของเจ้า นึกไม่ถึงว่าเดาไม่ออกว่าเป็นใครหรือมีฐานะใด” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง


 


 


           “ข้ามิยักรู้ว่า ในใจเจ้าข้าผู้เป็นสามีนั้นต้องรู้และทำเป็นทุกอย่าง” ฉินเจิงมองนางด้วยความขบขัน


 


 


           เซี่ยฟางหวาขึงตามองเขาก่อนดึงมือกลับมา กล่าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง “บาดเจ็บไม่เบา เจ้ายังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก หากข้าไม่ตรวจชีพจรให้ เจ้าก็คงไม่ตามหมอมาหรอกใช่ไหม” พูดจบก็พลันโมโหขึ้นมา “บาดเจ็บอยู่แท้ๆ แต่ยังจะอุ้มข้าเดินมาตลอดทางอีก เจ้านี่ไม่แม้แต่จะ…”


 


 


           จู่ๆ ฉินเจิงก็ยื่นมือไปปิดปากนาง “พูดพร่ำไม่หยุด กลายเป็นคนแก่เสียแล้ว”


 


 


           “ฉินเจิง” เซี่ยฟางหวาปัดมือเขาออก


 


 


           “ต่อไปข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว ไม่ว่าเจ้ามีข้อกังหาหรือคิดไม่ออกก็ตาม ต้องนึกถึงข้าให้มาก เทียบกับเจ้าเป็นอะไรไปแล้ว ข้าถูกใครทำร้ายยังดีเสียกว่า” ฉินเจิงลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า ก่อนดึงนางเข้ามากอดแล้วเอ่ยเสียงเบา


 


 


           เซี่ยฟางหวาพลันรู้สึกไร้จุดยืน ความกลัดกลุ้มกัดกินหัวใจ ทั้งรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาเล็กน้อย นางพยักหน้ารับ “อืม”


 


 


           ฉินเจิงกอดนางอีกพักหนึ่งแล้วผละตัวออก ยกมือไปกดหน้าผากนาง ก่อนถอนหายใจออกมา “ต่อให้ตลอดชีวิตนี้เป็นเวรกรรม ข้าก็ยินดีรับไว้เช่นกัน”


 


 


           “ข้าเป็นเวรกรรมหรือ” เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           “ข้าต่างหาก” ฉินเจิงพูดจบก็ตะโกนขึ้น “ยกอาหารเข้ามา” จากนั้นก็ไม่สนทนากับนางต่อ จูงมือนางลงจากเตียงเพื่อเดินไปยังโต๊ะอาหาร


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อขานรับจากนอกห้อง แล้วรีบเดินออกไป


 


 


           ฉินเจิงนั่งตรงหน้าโต๊ะแล้วรินน้ำสามแก้วติดกัน ก่อนยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด


 


 


           เซี่ยฟางหวากางกระดาษเซวียนจื่อ จับพู่กันเขียนใบสั่งยาลงไปอย่างรวดเร็ว เห็นว่าฉินเจิงมองมาก็เอ่ยขึ้น “เจ้าต้องดื่มยา”


 


 


           “เจ้าก็ตากไอลมเย็นมา ต้องเขียนใบสั่งยาให้ตัวเองด้วยเช่นกัน” ฉินเจิงเลิกคิ้วมองนาง


 


 


           เซี่ยฟางหวาคิดจะบอกว่าตนไม่เป็นไร แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาของเขาก็กลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงไปจนหมด พยักหน้ารับแล้วเขียนใบสั่งยาให้ตัวเองด้วย


 


 


           ไม่นานซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ยาอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะ เซี่ยฟางหวายื่นใบสั่งยาสองแผ่นให้พวกนาง ทั้งสองรับไว้แล้วเดินถือออกไป


 


 


           หลังทานอาหารเสร็จ ฉินเจิงก็เอ่ยขึ้น “พักผ่อนหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยกลับเมืองกัน”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใดอีก พิงพนักเก้าอี้พักสายตา


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขาพักหนึ่ง เห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยถามขึ้นเลย ที่สุดแล้วก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามเองอย่างทนไม่ไหว “เจ้าไม่มีสิ่งใดจะถามข้าหรือ”


 


 


           “ถ้าเจ้าอยากบอกก็คงบอกข้าเอง หากไม่อยากบอก ถึงข้าถามเจ้าก็ไม่ยอมบอกอยู่ดี” ฉินเจิงลืมตาขึ้น


 


 


           เซี่ยฟางหวาหลุบตาลงจ้องมองผิวโต๊ะ มองครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ฉินเจิง เจ้าคลายปมในใจได้หรือยัง”


 


 


           ฉินเจิงไม่ตอบ


 


 


           “ยังคลายไม่ได้หรือ” เซี่ยฟางหวาตวัดตามอง


 


 


           ฉินเจิงมองนางตอบ ทั้งคู่สบตามองกันพักหนึ่ง เขาก็ยิ้มออกมา “เรื่องบางเรื่องไม่เกี่ยวกับปมในใจ”


 


 


           เซี่ยฟางหวายกยิ้มมุมปากแล้วก้มหน้าลงใหม่ เงียบไปพักหนึ่งก็เล่าว่านางออกจากเมืองมาอย่างไร ไปยังอารามลี่อวิ๋นอย่างไร ช่วยจินเยี่ยนอย่างไร ทั้งออกจากอารามลี่อวิ๋นแล้วกลับขึ้นไปใหม่อย่างไร สุดท้ายร่วงตกหน้าผาได้อย่างไร ทว่าเรื่องความทรงจำสองชาติของเซี่ยอวิ๋นหลานนั้น นางยังคงปิดบังไว้ก่อน


 


 


           ฉินเจิงฟังจบก็ไม่พูดอันใดเนิ่นนาน


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขา เงียบลงอีกพักหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “พี่อวิ๋นหลาน…ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน คงไม่เป็นไร…”


 


 


           “เขาไม่เป็นไรหรอก” ฉินเจิงบอก


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           ฉินเจิงหยิบถ้วยชาใบหนึ่งมากุมไว้ในมือ จากนั้นก็หมุนลงบนผิวโต๊ะแผ่วเบา ถ้วยชาหมุนติ้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนหยุดแน่นิ่ง เขาพลันเอ่ยขึ้นว่า “จ้าวเคอเป็นชาวภูตผี” 

 

 


ตอนที่ 51-1 สู่ขอนาง

 

ดูแล้วองค์ชายสี่และองค์ชายแปดคงสนิทสนมกันไม่น้อย มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำให้องค์ชายแปดนั้นครุ่นคะนึงถึงเขาอยู่เป็นนิจได้ เมื่อคิดถึงขึ้นมาสีหน้าแววตาก็พลันหม่นหมองลง


“เจ้าไม่เหมือนสาวใช้เอาเสียเลยจริงๆ!” ฉินชิงเห็นนางแนะนำฐานะตนเอง เซี่ยฟางหวาเองก็ไม่ได้ทำความเคารพเขาอย่างนบนอบเท่าใด จึงมองนางพลางพิเคราะห์ด้วยความแปลกใจ “ข้าไม่เคยเห็นสาวใช้คนใดใจกล้าเช่นเจ้ามาก่อน”


สีหน้าแววตาของเซี่ยฟางหวาไม่เปลี่ยนแปร สายเลือดในร่างนางกำหนดให้นางไม่เกรงอำนาจสูงส่งใด ถึงแม้ยามนี้นางอยู่ในฐานะสาวใช้ แต่ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่นางอยากปิดบังแต่ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉtนั้น จึงได้แต่ปล่อยไปตามธรรมชาติ


“แต่จะคิดๆ ไปก็ไม่มีอะไรน่าแปลกนักหรอก คนเช่นพี่เจิง ล้วนเลือกเฟ้นแต่สิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ เมื่อเลือกเจ้ามา แน่นอนว่าก็ไม่อาจเอาไปเปรียบกับสาวใช้ธรรมดาได้” ฉินชิงเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย


เซี่ยฟางหวายิ้มน้อยๆ คนในเมืองหลวงแห่งแคว้นหนานฉินราวกับว่าเข้าใจฉินเจิงดีไปเสียทุกคน แต่เกรงว่าแต่ละคนคงไม่ได้เข้าใจเขาอย่างถ่องแท้ ท่ามกลางลมหนาวเขาสามารถนั่งหลับบนรถม้าที่มีสินค้าวางอยู่เต็มได้ กินอาหารที่หากไม่หวานแสบคอก็เค็มแสบไส้ที่นางทำได้ หากน้ำไม่เย็นก็ไม่เอามาใช้ล้างหน้า ไม่ได้เห็นว่าเขาจะทำตัวมากยศหรือมากเรื่องให้สมฐานะเลยแม้แต่น้อย


“หากข้าไปหาพี่เจิงเพื่อขอเจ้าตัวเล็กคู่นี้ เจ้าว่าเขาจะให้ข้าไหม?” ฉินชิงมองจิ้งจอกขาวและเตียวม่วงพลางเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า เรื่องนี้นางไม่รู้จริงๆ


“ไปเถอะ! พวกเรากลับไปถามเขาดูกัน” ฉินชิงสะบัดหน้าเดินย้อนกลับไป


ที่จริงแล้วเซี่ยฟางหวาก็ไม่ได้อยากกลับไปเท่าใดนัก ในเรือนลั่วเหมยมีคนเต็มเรือนเอะอะเสียงดัง ไม่สงบเงียบเท่าที่นี่


ฉินชิงเดินไปสองก้าว จู่ๆ ก็หันกลับมาถามนาง “เจ้าชอบพี่เจิงไหม?”


เซี่ยฟางหวาตกตะลึงครู่หนึ่ง


ฉินชิงพลันยิ้ม ไม่ได้รอคำตอบของนางอีก หมุนกายเดินจากไป


เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม พลางคิดว่าคนที่เติบโตในราชสำนักไหนเลยจะมีแววตาใสซื่อจริงใจได้? ฉินชิงเพิ่งอายุสิบสี่ปี แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา ที่ควรรู้เขาก็รู้ ที่ไม่ควรรู้ก็เกรงว่าจะรู้อยู่ไม่น้อย


เมื่อมาถึงเรือนลั่วเหมย ภายในนั้นก็ดื่มกินครึกครื้นเสียงดังกันเสียแล้ว


“โอ๊ะ ฉินชิงกลับมาแล้ว!” เยี่ยนถิงหัวเราะเหอะๆ “พวกเราดื่มสุรากันครบวงแล้ว เจ้าต้องถูกปรับสามจอก”


ฉินชิงรีบทำท่าขอออภัย “หากข้าเมามายไม่ได้สติกลับวัง เกรงว่าเสด็จพ่อคงทำโทษให้ข้าคุกเข่าที่บันไดวังเสียน่ะสิ”


“ถึงตอนนั้นเจ้าก็กลับไปเงียบๆ ก็ได้แล้วนี่นา? จะได้ไม่โดนฝ่าบาททรงรู้เข้า” เยี่ยนถิงไม่ได้ใส่ใจ


“เจ้าพูดง่ายๆ ในวังไม่ว่าจะต้นไม้ใบหญ้าหรือว่าผู้คนปิดบังเสด็จพ่อได้เมื่อไรกัน?” ฉินชิงส่ายหน้า


“เช่นนั้น เจ้าก็คงได้แต่ดูพวกเราดื่มแล้ว!” เยี่ยนถิงมองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ


ฉินชิงพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่เว้นไว้ให้เขาพลางหันไปเอ่ยถามฉินเจิง “พี่เจิง เจ้าตัวเล็กคู่นั้นท่านให้ข้าเถอะนะ? ได้ไหม?”


ฉินเจิงได้ยินก็หันหน้ามามองเขาพลางเลิกคิ้วขึ้น


ฉินชิงรีบขยับเข้าไปใกล้ทำท่าประจบ “ข้าเอากระบี่ทองที่เสด็จพ่อพระราชทานมาแลกกับท่าน”


ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “กระบี่ทองนั้นหรูหราแต่ใช้การจริงมิได้ ข้าจะอยากได้มันมาทำอะไรรึ!”


ฉินชิงเกาศีรษะทันที “เช่นนั้นท่านว่ามา ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้ามีก็แลกให้ท่านได้หมด”


พลันหลี่มู่ชิงก็ยิ้มพลางเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “พี่เยี่ยนถิง ท่านพูดผิดมาเสียแต่แรกแล้วล่ะ ที่องค์ชายแปดพึงใจหาใช่แม่นางทิงอิน แต่เป็นจิ้งจอกขาวและเตียวม่วงที่พวกเขาช่วยกันล่ามาได้ต่างหากเล่า”


“ในเมื่อเป็นสิ่งที่ล่าร่วมกัน เจ้านึกว่าข้าจะแลกกับเจ้าได้หรือ?” ฉินเจิงฟังแล้วหันไปถามฉินชิง


ฉินชิงคอตกทันที “นับตั้งแต่พี่สี่จากไปแล้ว ในวังหลวงก็ไม่มีเรื่องน่าสนุกเลยสักนิด ข้าคิดว่าถ้ามีเจ้าตัวเล็กทั้งสองนั่นก็คงช่วยแก้เบื่อได้บ้าง”


ฉินเจิงพ่นเสียงฮึ “เขาไปแล้วสิถึงดี! ไม่เช่นนั้นก็ขวางหูขวางตาข้า”


ฉินชิงหมดแรงชั่วขณะ เงยหน้าขึ้น ยิ้มขื่นพลางเอ่ยว่า “พี่เจิง ท่านมองพี่สี่ขัดตาไปทุกเรื่องก็เพราะคำทำนายของพระชราจากวัดฝ่าฝอซื่อซื่อเท่านั้นเองรึ เขาไปม่อเป่ยแล้ว ถึงยามนี้จะแย่งภรรยาคนเดียวกับท่านได้อย่างไรเล่า?”


ฉินเจิงเอ่ยว่า “นั่นก็ไม่แน่”


ฉินชิงมองเขา “จะว่าไปภรรยาของท่านก็ยังไม่เห็นแม้เงาเลย!”


“ก็เพราะว่ายังไม่เห็นแม้แต่เงาถึงต้องป้องกันไว้ก่อนไงเล่า!” เยี่ยนถิงพูดพลางหัวเราะเหอะๆ “ข้าเองก็กำลังแปลกใจอยู่ครามครัน ผู้คนต่างก็บอกว่าเจ้าอาวาสวัดฝ่าฝอซื่อมีวิชาอาคมล้ำลึก สามารถมองเห็นความลับแห่งสวรรค์ได้กระจ่างชัดเจน ไม่รู้ว่าการทำนายครั้งนี้จะเป็นจริงหรือแม่นยำหรือไม่”


“รอไปเถอะน่า! แม่นยำหรือไม่ไว้ถึงเวลาก็รู้เอง” หลี่มู่ชิงพูดยิ้มๆ


“ไม่ผิด!” เยี่ยนถิงตบบ่าฉินชิง เห็นว่าเซี่ยฟางหวาไม่ได้เข้ามาในห้อง แต่กลับเข้าไปในห้องครัวเล็ก เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าไม่ได้แย่งคนไป แต่กลับมาขอเอาจิ้งจอกขาวกับเตียวม่วงก็ถือว่ามาแย่งชิงเช่นกัน เจ้าเองก็กล้าพูดออกมาได้? เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขาหวงทิงอินอย่างกับอะไร? เจ้าสองตัวนั่นผ่านมือนางมาแล้ว จะให้เจ้าได้หรือ?”


ฉินชิงยู่ปาก “ข้าก็แค่ถามดู ไม่ให้ก็แล้วไปสิ”


เยี่ยนถิงรามือ พูดด้วยท่าทางมั่นใจว่า “วันหลังข้าจับเป็นๆ มาให้เจ้าสักตัว!”


“เช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน! คำไหนคำนั้น! ไท่เฟยเข้มงวดกับข้านัก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยอนุญาตให้ข้าไปร่วมล่าสัตว์ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่ถึงขั้นได้แต่มองพวกเจ้าเล่นสนุกกันหรอก” ฉินชิงเอ่ย


เยี่ยนถิงตบอกรับรอง “คำไหนคำนั้นแน่นอนอยู่แล้ว!”


“พี่เยี่ยนถิง อย่าได้คุยโตโอ้อวดให้มากเลย! ท่านจับจิ้งจอกขาวเป็นๆ ได้หรือ? พวกเราไม่กี่คนนี่มีหูกันทั้งนั้น” เฉิงหมิงพูดขึ้นเสียงดัง “ถึงยามนั้นก็หาของมาให้องค์ชายแปดไม่ได้”


“ทำไมจะไม่ได้? พวกเจ้าดูถูกข้า!” เยี่ยนถิงสะบัดหมัดออกไป


เฉิงหมิงหลบหลีกวุ่นวาย


“อย่าเอะอะไปน่า ดื่มสุรากินของอร่อยกันเถอะ!” ฉินเจิงห้ามปรามการทะเลาะกันของทั้งสองคน


เพียงพริบตา เรื่องนี้ก็ผ่านไป กลุ่มคนก็พูดเรื่องอื่นสนุกสำราญกันต่อไป


เซี่ยฟางหวาเข้าไปในครัวเล็ก นั่งลงข้างๆ เตา ทิงเหยียนคอยรับใช้รินสุราให้กลุ่มคนภายในห้อง ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้นาง นางจึงได้อยู่เงียบๆ บ้าง เมื่อว่างไม่มีอะไรทำเข้า นางก็หยิบเอายาไม่กี่ชุดที่เหลืออยู่ของฉินเจิงออกมาต้ม


ไม่นาน กลิ่นยาก็ลอยอบอวลไปทั่วห้องครัว


“นี่!” มีเสียงเล็กแหลมดังมาจากหน้าต่างด้านหลัง


เซี่ยฟางหวาหันไปทันที เห็นเพียงศีรษะเล็กๆ โผล่มาจากหน้าต่างด้านหลัง เสียงร้องเรียกก็ดังมาจากทางนั้น นางมองคนผู้นั้น ดูจากหน้าตาน่าจะอายุราวสิบสี่ถึงสิบห้าปี มีเค้าความงามชวนมอง สวมหมวกขันที แต่ดวงตาแหลมคมของนางก็มองออกว่าลำคอของขันทีน้อยนี้ไม่มีลูกกระเดือก เป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นขันที นางเลิกคิ้วมองเด็กสาวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง


“นี่ เจ้าช่วยเปิดหน้าต่างให้ข้าเข้าไปหน่อย” สตรีนางนั้นเห็นนางมองมา ก็ดีใจขึ้นมาพลางเอ่ยกับนาง


เซี่ยฟางหวานั่งนิ่ง นางไม่รู้จักเด็กสาวคนนี้เสียหน่อย แล้วจะให้นางเข้ามาได้อย่างไร


“เจ้าชื่อทิงอินใช่ไหม?” หญิงสาวนางนั้นเห็นนางไม่ขยับ ก็กะพริบตาปริบๆ ถามเสียงเบา


เซี่ยฟางหวามองนางไม่ไหวติง


“หากข้าไม่บอกเจ้าว่าข้าคือใคร เจ้าก็คงไม่ให้ข้าเข้าไปแน่ บอกเจ้าก็ได้! ข้าคือฉินเหลียน” สตรีนางนั้นเอ่ยพลางถอนใจ


เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว เพ่งพินิจมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ชาติที่แล้วนางเคยพบฉินเหลียนอย่างมากก็ไม่เกินสองครั้ง ล้วนเป็นการเข้าไปร่วมงานเลี้ยงในวัง นางนั่งเรียบร้อยอยู่ข้างกายองค์ฮองเฮา มิใช่องค์หญิงแต่กลับสง่ายิ่งกว่าองค์หญิง ฮองเฮาอบรมเลี้ยงดูให้นางมีท่าทีสง่างามนุ่มนวล มีท่าทีของฮองเฮาแฝงเร้นในกิริยา นางกับพระชายาอิงชินอ๋องที่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดนอกจากหน้าตาคล้ายคลึงกันแล้ว กิริยาท่าทางล้วนไม่เหมือนกันเลย ลักษณะของนางในยามนี้ก็ไม่แปลกที่เซี่ยฟางหวาจะจำไม่ได้


“ข้าฉวยโอกาสที่ฮองเฮาบรรทมหลับแล้วลอบออกจากวังมา ไม่ง่ายเลยสักนิด เจ้ารีบให้ข้าเข้าไปเถอะนะ” ฉินเหลียนเอ่ยอย่างเร่งร้อน


เซี่ยฟางหวาหันไปมองประตูครัวแวบหนึ่ง สื่อความหมายว่าในเมื่อนางกลับบ้าน มาจนถึงตรงนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่เข้าประตู? ทำทีลับๆ ล่อๆ ราวกับเป็นโจรเสียอย่างนั้น


ฉินเหลียนเห็นนางไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมาเลยถึงแม้นางจะบอกฐานะตนเองไปแล้ว ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถอดใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่ได้ขอราชโองการ แอบลอบออกมาเอง จะกล้าเข้าไปในจวนอย่างสง่าผ่าเผยได้อย่างไร? นอกจากนี้ในเรือนลั่วเหมยก็มีคนมากมายเช่นนั้น ข้าอยู่ที่นี่ก็ยังได้ยินเสียง หากข้าออกไป พวกเขาก็ต้องจำได้”


เซี่ยฟางหวาคิดๆ แล้วก็เห็นว่ามีเหตุผล แต่ก็เห็นว่านางยังพูดไม่จบความ จึงยังนั่งอยู่ไม่ขยับ


ฉินเหลียนมองนาง ก่อนจะยอมแพ้เอ่ยเสียงเบาๆ อีกครั้งว่า “พี่ชายไม่ให้ข้ากลับมาที่จวนบ่อยๆ”


เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว ฉินเจิงไม่ให้น้องสาวกลับจวน?


สีหน้าฉินเหลียนขรึมลง “พี่ชายบอกว่าทุกครั้งที่ข้ากลับมา พอกลับไปก็เป็นเรื่องให้ท่านแม่ต้องช้ำใจ ท่านแม่ไม่เห็นข้าในดวงตานางก็มีเพียงลูกชายคนเดียว วันทั้งวันก็ใส่ใจเขาเพียงคนเดียว สุขสำราญใจไปได้ทั้งวัน ข้ากลับมาครั้งหนึ่ง นางก็ไม่สบายใจไปหลายวัน เพราะฉะนั้น จึงไม่ให้ข้ากลับมา”


เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดฉินเหลียนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของพระชายาอิงชินอ๋อง เดิมทีนางควรมีลูกสาวลูกชายล้อมรอบเคียงกาย แต่กลับโดนฮองเฮาแย่งเอาส่วนเนื้อไปเสีย ในใจก็ย่อมเกิดความอาวรณ์ แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีในครั้งนั้นฮองเฮาต้องการเตรียมการณ์กันไว้ หมายจะดึงเอาอิงชินอ๋องเข้ามาอยู่ในฝ่ายตนเพื่อสนับสนุนบุตรชายของนาง แต่ฮ่องเต้กับอิงชินอ๋องกลับตกปากรับคำทันที ไม่รู้ว่าตอนนั้นกำลังวางแผนใดกันอยู่ 

 

 


ตอนที่ 51-2 สู่ขอนาง

 

“ข้าพูดไปก็ตั้งมาก เหตุใดเจ้ายังไม่เปิดหน้าต่างให้ข้าอีก?” ฉินเหลียนเห็นนางนั่งนิ่งไม่ขยับก็ร้อนใจขึ้นมา


เซี่ยฟางหวาหันไปมองแวบหนึ่ง คนในห้องยังคงครึกครื้น นางหยิบพู่กันกระดาษขึ้นมาจากโต๊ะ เขียนอักษรแถวหนึ่ง ก่อนจะคลี่ออกให้ฉินเหลียนอ่าน


เมื่อฉินเหลียนเห็นอักษรแถวนั้น ก็แทบจะเป็นลมสลบไป


เห็นเพียงนางเขียนไว้ว่า “ในเมื่อพี่ชายเจ้าไม่ให้เจ้าเข้ามา เช่นนั้นข้ายิ่งให้เจ้าเข้ามาไม่ได้!”


ฉินเหลียนใช้ชีวิตในวังมาเนิ่นนาน เห็นมามาก ได้ยินมาก็ไม่น้อย โดยเฉพาะหูตายิ่งกว้างขวางล้ำลึก นางไม่เคยเห็นสาวใช้เช่นนี้ นี่คือสาวใช้หรือ? วางท่าใหญ่โตยิ่งกว่านางที่เป็นจวิ้นจู่*[1]เสียอีก


เซี่ยฟางหวาวางพู่กันลงในมือ ไม่หันไปมองนางอีก


ฉินเหลียนยืนพิงหน้าต่าง ขุ่นเคืองอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยวิงวอนน่าสงสารว่า “พี่ทิงอิน ข้าบอกเจ้าอีกเรื่อง พอเจ้ารู้เรื่องแล้ว ก็ให้ข้าเข้าไปได้ไหม?”


เซี่ยฟางหวาได้ยินก็หันกลับไปมองนางอีกครั้ง


ฉินเหลียนดูกระฉับกระเฉงขึ้นมา ก่อนจะพูดเบาๆ “ความจริงแล้วไม่ใช่เพียงเพราะท่านแม่เมื่อเห็นข้าแล้วจะเศร้าใจ แต่ยังเพราะกลัวว่าข้าจะไปขโมยของในห้องหนังสือเขาจนหมดเกลี้ยงน่ะซิ” เมื่อพูดจบ นางก็เอ่ยเสริมว่า “เจ้าก็รู้ว่า พี่ชายนั้นชอบสะสมของมีค่า ข้าเห็นแล้วก็อดไม่ได้อยากจะเอาไปด้วย เมื่อเขาไม่ให้ข้า ข้าก็ได้แต่แอบขโมยหยิบออกไป”


เซี่ยฟางหวาก้มหน้าลง


“นี่ ข้าเรียกเจ้าว่าพี่แล้วนะ เจ้าเองก็รับปากข้าแล้ว จะผิดคำพูดไม่ได้นะ” ฉินเหลียนเคาะหน้าต่าง


เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองนาง แววตาใสซื่อ สื่อความว่านางรับปากเมื่อไหร่กันว่าจะให้เข้ามา? นางเป็นจวิ้นจู่ มาเรียกนางว่าพี่สาวนางคงไม่อาจเอื้อม


“เมื่อกี้เจ้าเงยหน้ามองข้าแล้ว” ฉินเหลียนเอ่ย


เซี่ยฟางหวาละสายตาไปอีกครั้ง แค่เงยหน้ามามองก็ถือว่ารับคำหรือ? สามารถพูดเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?


ฉินเหลียนกัดฟัน นางไม่เคยเห็นสตรีที่หัวดื้อเช่นนี้มาก่อน นางโมโหขึ้นมาอีกชั่วครู่ ก่อนจะพยายามดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย “ก็ได้! ข้าจะบอกความลับของท่านพี่ให้เจ้าอีกเรื่อง”


เซี่ยฟางหวารู้สึกสนใจขึ้นมาอีกหน่อย หันไปมองนางอีกครั้ง


ฉินเหลียนได้บทเรียนแล้วครั้งนี้ จึงได้หันไปขอคำมั่นจากนาง “เมื่อเจ้าฟังจบแล้วต้องให้ข้าเข้าไปนะ”


เซี่ยฟางหวาไม่ได้ส่ายหน้าแต่ก็ไม่ได้พยักหน้ารับ แววเรียบนิ่งในดวงตาสื่อให้นางรู้ว่า ต้องดูว่าความลับของนางนั้นคุ้มค่าพอจะเปิดประตูหรือไม่


ฉินเหลียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองไปรอบๆ บริเวณแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนางจึงพูดเบาราวกับเสียงยุงว่า “คุณหนูหลี่หรูปี้แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวานั้นชอบพี่ชายข้ามากกว่าคุณหนูหลูเสวี่ยอิ๋งแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายเสียอีก”


เซี่ยฟางหวาหรุบตาลง สตรีที่ชอบฉินเจิงมีมากมายมีอะไรน่าแปลกใจกัน


ฉินเหลียนเห็นนางนิ่งไม่ไหวติง ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “พี่ชายข้าก็ชอบนาง”


ดวงตาเซี่ยฟางหวามีแวววูบไหว


“รีบเปิดหน้าต่างเถอะน่า! เรื่องนี้มีแต่ข้าที่รู้ คนอื่นไม่มีใครรู้สักคน พี่ชายข้าปิดบังไว้แน่นหนา ท่านแม่ข้าเองก็ไม่รู้ หากรู้คงวิ่งไปเจรจาสู่ขอที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวาเสียนานแล้ว” ฉินเหลียนเอ่ย


เซี่ยฟางหวามองนาง แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนขยับกาย


“ไอหยา เจ้าจะเปิดหน้าต่างให้ข้าหรือไม่เล่า?” ฉินเหลียนร้อนใจจนแทบกระทืบเท้า แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงดัง เมื่อเห็นว่าเซี่ยฟางหวาไม่เชื่อนาง นางก็อธิบายต่อไปว่า “เพราะหลี่หรูปี้ยังไม่เข้าพิธีปักปิ่น พี่ชายข้าย่อมเกรงว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงนาง เพราะฉะนั้น จึงได้รอให้ผ่านปีใหม่ นางเข้าพิธีปักปิ่นไปแล้ว เจ้ารอดูเถอะ เขาต้องนั่งไม่ติดแน่ เพราะอย่างไรเสียหลี่หรูปี้ก็งามราวดอกไม้แรกแย้ม คนอีกมากเข้าแถวรอจะสู่ขอนาง”


เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดถึงลักษณะท่าทางของหลี่หรูปี้อย่างละเอียดลออ พบว่านอกจากเรื่องที่จวนจงหย่งโหวโดนกวาดล้างทั้งตระกูลแล้ว ความจำทุกๆ เรื่องกลับเลือนรางยิ่ง บางคราอาจเป็นเวลาที่พาให้ลืมเลือนไป มีเพียงเงาร่างรางเลือน จึงไม่ได้นึกต่อไปอีก


“ความลับนี้ก็ไม่อาจทำให้เจ้าหวั่นไหวได้หรือ?” ฉินเหลียนแทบจะสิ้นหวังแล้ว “เหตุใดเจ้าจึงได้รับมือยากเช่นนี้เล่า!”


เซี่ยฟางหวามองนางนิ่งๆ


พลัน ฉินเหลียนก็ยกมือขึ้นโบกไปมาหลับหูหลับตาเอ่ยไป “เอาล่ะๆ ข้าหลอกเจ้าไม่ได้ ความลับที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นั้นไม่ถูก หลี่หรูปี้ชอบพี่ข้านั้นเป็นเรื่องจริง แต่พี่ชายข้าไม่ได้ชอบนาง คนที่พี่ชายข้าชมชอบก็คือ……..”


“ฉินเหลียน!” พลัน เสียงฉินเจิงก็แว่วดังมาจากห้องใหญ่


ฉินเหลียนหน้าซีดลงทันที เสียงกระแทกดังขึ้น เหนี่ยวร่างปีนลงจากหน้าต่าง


เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงอุทาน “โอ๊ย” ดังขึ้น พลางคิดว่านางคงร่วงลงไปกระแทกลงไม่เบาเลย เพราะหน้าต่างของห้องครัวเล็กนั้นสูงจากพื้นราวสองเมตร นางเหนี่ยวร่างพิงกับผนัง จู่ๆ ก็ร่วงหล่นลงไปเช่นนั้น จะอย่างไรก็ต้องบาดเจ็บบ้าง


“พี่ฉินเจิง จู่ๆ ท่านก็ตะโกนอะไรกันรึ?” น้ำเสียงเนิบช้าเพราะความมึนเมาของเยี่ยนถิงพลันก็แว่วตามมา


ฉินเจิงเอ่ยตอบอย่างไม่ยี่หระ “ไม่มีอะไร จู่ๆ ข้าก็คิดถึงน้องสาวขึ้นมาได้ เลยเรียกชื่อนางเสียหน่อย”


“ท่านนี่จริงๆ เลย……” เยี่ยนถิงชี้มาทางเขา “ท่านยังไม่ได้ดื่มนี่! หรือจะว่ายังไม่สร่างจากสุราที่ดื่มในจวนจงหย่งโหว? ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง? ไม่มีอะไรแล้วจะร้องเรียกขึ้นทำไมกันเล่า ข้าตกใจแทบแย่เกือบจะสำลักเหล้าเข้าเสียแล้ว”


ฉินเจิงส่งเสียงเฮอะในลำคอพลางลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าดื่มกันไปก่อน ข้าไปดูที่ครัวหน่อยว่าทิงอินกำลังทำอะไร”


“เขาว่ากันว่าไม่พบหน้าหนึ่งวันราวผ่านไปสามปี ท่านนี่เพียงแค่ไม่เห็นกันเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามใช่ไหม? ก็คิดถึงแล้วรึ?” เยี่ยนถิงเอ่ยเสียงชอบกล


ฉินเจิงไม่สนใจเขา หมุนร่างเดินออกประตูห้องไป


“มา มา พวกเรามาดื่มกันต่อ ไม่ต้องไปสนใจเขา! ทิงอินสุดรักสุดหวงนั้นเหล่าสหายก็มองให้น้อยๆ ลง หาเรื่องนางให้น้อยล่ะ! ไม่เช่นนั้นไปทำให้เขาโมโหเข้า อาจได้หยิบดาบมาตัดมือใครเข้าก็ได้” เยี่ยนถิงพึมพำพร่ำบ่นต่อไป


เฉิงหมิง ซ่งฟางนึกถึงเรื่องที่พวกเขาเกือบโดนฉินเจิงตัดมือเข้าในวันนั้นแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย


ฉินเจิงเดินตรงมาที่ครัวเล็ก เห็นเพียงเซี่ยฟางหวานั่งอยู่บนตั่งเตี้ยในครัว เขาก็เลิกคิ้วขึ้น


เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นางรู้ดีแก่ใจ น่ากลัวว่าฉินเหลียนมาถึงจวนเขาก็รู้เรื่องเข้าแล้ว ฉินเหลียนมาถึงเรือนลั่วเหมยเขายิ่งควรรู้ในทันที คนของเขาที่ปรากฏตัวในค่ายองครักษ์เงาคงไม่ได้แต่กินๆ นอนๆ ไปวันๆ ยุงสักตัวเข้ามาก็คงมองสำรวจไปตัวละสามรอบ นับประสาอะไรกับคนทั้งคน? อย่างไรเสียครัวเล็กก็ไม่ได้ห่างจากห้องใหญ่นัก คนอื่นๆ กำลังเอะอะเสียงดังย่อมไม่ได้สังเกตุอะไรให้รอบคอบ หรืออาจจะมีองครักษ์เงาเข้ามารายงานแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างหูตาเขานั้นเฉียบคมว่องไวอยู่แล้ว


“เจ้ากำลังต้มยาให้ข้า?” ฉินเจิงยืนถามที่ประตู


เซี่ยฟางหวาจ้องเขาครู่หนึ่ง รู้แก่ใจยังมาถาม


“เช่นนั้นก็ยกมาให้ข้าเถอะ! ข้าจะดื่มมันเสีย” ฉินเจิงเอ่ย


เซี่ยฟางหวาเทยาออกจากหม้อดินเผา เทน้ำเย็นรองก้นถ้วยไว้เล็กน้อย ก่อนจะยกให้เขา ยาชุดที่หมอหลวงซุนกำหนดมาให้นี้ประกอบด้วยของบำรุงไปเสียแปดส่วน ร่างกายเขาแข็งแรงราวกับวัว ไม่กลัวว่าจะบำรุงมากเกินควรไปหรือ


ฉินเจิงรับถ้วยยา มาจรดริมฝีปาก ขมวดคิ้วก่อนจะดื่มยาลงไป


เซี่ยฟางหวานึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาได้ ฉุกคิดได้จึงถอยออกมาห่างจากเขาสามก้าว


ฉินเจิงมองนางแวบหนึ่ง ชะงักการดื่มยาไปชั่วขณะ แววตาเข้มขึง “เข้ามาใกล้หน่อย!”


เซี่ยฟางหวายืนนิ่งไม่ขยับ สีหน้าลำบากใจเล็กน้อย


“เจ้าเข้ามาใกล้อีกนิด ข้าไม่กอดเจ้าเหมือนเมื่อวานแล้ว” ฉินเจิงเอ่ย


เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง


“ข้าเคยพูดไม่เป็นคำพูดเมื่อไรเล่า?” ฉินเจิงมองนาง


เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดคนผู้นี้แม้จะร้ายกาจ แต่เหมือนว่าเขายังไม่เคยผิดคำพูดเลยแม้แต่ครั้งเดียวจริงๆ ในเมื่อเขาก็รับปากแล้ว นางยังกลัวอะไรอีก?จึงขยับเข้าไปอีกสองก้าว


ฉินเจิงยิ้มที่มุมปากอย่างพึงใจ ก่อนจะดื่มยาที่เหลือจนหมด หลังจากนั้นจึงยื่นถ้วยเปล่าคืนให้นางพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับที่มุมปาก ก่อนจะผินหน้าเดินออกไปด้านนอก “ครัวเล็กนี่มีหนูขี้ขโมยเข้ามา เจ้าออกไปดูกับข้าหน่อย”


เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ มาจากกำแพงด้านหลัง นางแอบนึกชังเขาในใจ เปรียบน้องสาวเป็นหนูขี้ขโมย คงมีแต่พี่ชายเยี่ยงเขาที่ทำได้


ฉินเจิงเดินออกจากประตูครัวเล็ก เดินตรงไปที่กำแพงด้านหลัง


เซี่ยฟางหวาเดินตามเขาไปที่กำแพงด้านหลังเช่นกัน


เห็นเพียงฉินเหลียนในชุดขันที ทรุดนั่งพิงริมกำแพงกอดขา อ้าปาก มองจ้องคนทั้งสองด้วยแววตาขุ่นเคือง


ฉินเจิงเห็นนางพลันก็ยิ้มออกมา “ขันทีใจกล้าที่ไหนกัน ปลอมเป็นหนูมาขโมยของกิน?”


ฉินเหลียงส่งเสียงฮึ สะบัดหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “มีพี่ชายอย่างเจ้าที่ไหนกัน? เจ้าเหมือนฉินอวี้พี่ชายข้าที่ไหนกัน?”


สีหน้าฉินเจิงคล้ำเคร่งลงทันที “ข้าไม่เหมือนพี่ชายเจ้า เจ้าก็ไปหาฉินอวี้สิ เขาอยู่ที่ม่อเป่ย เกรงว่าตลอดชาติก็คงไม่ได้กลับมา”


ฉินเหลียนถลึงตาจ้องเขาก่อนจะเอ่ยต่ออย่างขุ่นเคือง “ไม่เป็นเช่นนั้นแน่ อีกไม่นานเขาก็ต้องกลับมา!”


ฉินเจิงหลับตาลง


ฉินเหลียนมองเขา พลันก็ตัวสั่นเทาพลางเม้มริมฝีปาก ก่อนจะร้องโฮออกมา “ข้าโดนพาไปอยู่กับฮองเฮาตั้งแต่เล็ก คิดถึงท่านแม่ก็ไม่กล้ากลับมา จะกลับมาได้สักครั้งก็ไม่ง่าย เจ้ายังกล้ารังแกข้า ข้าจะฟ้องท่านแม่”


ฉินเจิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “หากเจ้าไปฟ้องท่านแม่ ท่านแม่ก็ต้องไปวุ่นวายถึงในวัง ถึงยามนั้นเจ้าโดนบีบอยู่ตรงกลางระหว่างท่านแม่กับฮองเฮาอย่ามาหาเรื่องข้าแล้วกัน”


ฉินเหลียนชะงักค้างไปทั่วร่างชั่วขณะ


“ถือโอกาสที่ยังไม่มีใครเห็นเจ้า รีบกลับไปเถอะ!” ฉินเจิงหมุนกายเดินกลับไป


ฉินเหลียนรู้สึกอับอายจนขุ่นเคืองเอ่ยขึ้นว่า “ข้าหกล้มขาเจ็บ เจ้านึกว่าข้ารอให้เจ้ามาไล่หรือไร?”


“สมน้ำหน้า! เจ้าคิดหาทางกลับไปเองเถอะ อย่าหวังว่าข้าจะช่วยเจ้า ลอบออกมจากวัง เจ้านึกว่าฮองเฮาไม่รู้หรือไร? อยู่ในวังมาเสียนาน ไม่ได้ฉลาดขึ้นมาเลยสักเสี้ยว” ฉินเจิงเดินต่อไปไม่ได้ชะงักก้าวเดินเลยแม้แต่น้อย เพียงครู่เดียวก็กลับมาถึงด้านหน้า


“นี่!” ฉินเหลียนร้องตะโกนขึ้น แต่ก็เรียกฉินเจิงไว้ไม่ได้ ได้แต่ถลึงตาอย่างโมโห


เซี่ยฟางหวามองเห็นการอยู่ร่วมกันของพี่น้องคู่นี้ด้วยตนเองพลางคิดว่าวังอิงชินอ๋องนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ อิงชินอ๋องกับฉินเจิงสองพ่อลูกไม่ลงรอยกัน ฉินเหลียนโดนพาไปอยู่ในวังกับฮองเฮาตั้งแต่เล็ก ฉินอวี้เป็นบุตรที่เกิดจากฮองเฮา สนิทสนมกับฉินเหลียนก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ฉินเจิงกับฉินอวี้กลับไม่ถูกกันราวน้ำกับไฟ น่ากลัวว่าไม่ได้เป็นเพียงเพราะคำทำนายของภิกษุชราเพียงอย่างเดียว ส่วนหนึ่งคงเกี่ยวพันกับการต้องยกน้องสาวให้เขาไปด้วย ประโยคสุดท้ายเห็นได้ชัดว่าเขากำลังตักเตือนน้องสาว แต่คำพูดและน้ำเสียงกลับไม่ชวนฟังเลยสักนิด คนผู้นี้นี่!


ยามนี้ นางพลันรู้สึกว่าที่จริงแล้วฉินเหลียนก็ไม่ได้โชคดีไปกว่านางเท่าใดนัก


พ่อแม่ของนางแม้จะยังแข็งแรง แต่กลับได้เพียงเฝ้ามองไม่อาจเข้าใกล้


[1]*จวิ้นจู่ ตำแหน่งเจ้านายฝ่ายหญิงเทียบได้กับพระองค์เจ้าหญิงของไทย มักเป็นตำแหน่งของเจ้านายฝ่ายหญิงที่เป็นหลานลุงหรือหลานอาของฮ่องเต้ 

 

 


ตอนที่ 51-3 สู่ขอนาง

 

“นี่ เจ้ามองข้าแบบนั้นหมายความว่าอะไรกัน?” ฉินเหลียนข่มเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ฉินเจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาเห็นแววตาของเซี่ยฟางหวา พลันก็โมโหขึ้นมา “เห็นเขารังแกน้องสาวแล้วเจ้าดีใจใช่ไหมล่ะ?”


เซี่ยฟางหวามองสำรวจนางอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่ง ก็หมุนตัวเดินออกไป


“นี่ ข้ามาวันนี้ก็เพราะตั้งใจมาดูเจ้าโดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้นเจ้านึกว่าข้าอยากมาที่นี่นักรึ แล้วยังมาโดนเขาดุด่าไปอีกรอบ? เจ้าก็ปล่อยข้าไว้แล้วจากไปเช่นนี้ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฉินเหลียนเห็นนางจะจากไป ก็ร้อนใจขึ้นมา


เซี่ยฟางหวาทำทีเป็นไม่ได้ยิน นางมาพบตนเพราะความอยากรู้อยากเห็น นางควรรับน้ำใจไว้หรือ?


“นี่ เจ้าจะทิ้งข้าไว้ไม่สนใจไม่ได้นะ ขาข้าแพลงไปแล้ว เดินไม่ได้ เขาไม่สนใจข้า เจ้าก็ไม่แลข้า จะอย่างไรวันนี้ข้าก็คงกลับวังเองไม่ไหวแน่” ฉินเหลียนตาแดงเรื่อทันที


เซี่ยฟางหวาราวกับไม่ได้ยิน ร่างนางหายลับไปที่มุมกำแพง


ฉินเหลียนคิดไม่ถึงว่าคนทั้งสองจะเลือดเย็นเช่นนี้ เมื่อเห็นนางไม่สนใจจริงๆ การแกล้งร้องไห้ที่ทำต่อหน้าฉินเจิงเมื่อครู่ ยามนี้นางก็กลับร้องไห้ออกมาจริงๆ ด้วยความอัดอั้น


เซี่ยฟางหวาเลี้ยวผ่านมุมเลี้ยวไป ก็เห็นฉินเจิงที่สีหน้าสงบนิ่งยืนอยู่ตรงนั้นยังไม่ได้กลับไป นางจึงได้แต่เลิกคิ้วขึ้น


ฉินเจิงมองนางครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มน้อยๆ พลางยกมือชี้ไปด้านหลัง ขยับริมฝีปากว่า “ข้ายกนางให้เจ้าแล้วกัน”


เซี่ยฟางหวาค้อนเขาตากลับ


ฉินเจิงหมุนกายเดินกลับไปผ่านห้องครัวเล็ก ไม่นาน ก็เข้าไปในห้องที่กำลังเสียงดังครึกครื้น


เซี่ยฟางหวาหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่ง ฟังเสียงร้องไห้ที่ยิ่งนานยิ่งอัดอั้น แต่ก็ไม่กล้าร้องเสียงดังให้คนในห้องที่กำลังเอะเอะเสียงดังได้ยินเข้า เป็นเสียงร้องไห้ที่อัดอั้นตันใจมากเป็นพิเศษ เมื่อคิดถึงวาจาท่าทางของนางเมื่อครู่แล้ว นางก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ อยู่ในวังมาตั้งแต่เล็กแต่ก็ยังรักษาความซื่อตรงจริงใจไว้ได้นั้นไม่ง่ายเลยทีเดียว นางก็หมุนกายเดินกลับไป


ฉินเหลียนกอดแขน ก้มหน้าซุกในอ้อมแขนตน ไหล่สั่นสะท้าน ร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเหลือคณา


เซี่ยฟางหวาเดินไปใกล้ๆ นาง


ฉินเหลียนรู้สึกตัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ในดวงตามีน้ำตากลบตา ชะงักอยู่ตรงนั้น


เซี่ยฟางหวามองนางนิ่งๆ


ตั้งแต่เล็กจนโตฉินเหลียนไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว พลันนางก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาพลางเอ่ยเสียงขุ่น “เจ้าไม่ได้ไปแล้วหรอกหรือ? ทำไมยังกลับมาอีก? มาหัวเราะเยาะข้าหรือไร? พี่ชายที่รังแกน้องสาวเป็นพี่ชายประสาอะไรกัน! เขาดีกับข้าไม่ได้ครึ่งของพี่ฉินอวี้เลย”


เซี่ยฟางหวายิ้มน้อยๆ นางไม่เข้าใจหรือ? ฉินอวี้ดีต่อนางเพียงใดก็เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ฉินเจิงไม่ดีกับนางเท่าใด แต่ก็เป็นพี่ชายแท้ๆ


ฉินเหลียนราวกับเข้าใจความหมายของนาง สีหน้าเปลี่ยนแปรไปชั่วขณะ สะบัดหน้าเบือนหนีพลางก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา


เซี่ยฟางหวานั่งคุกเข่า จับมือนางออกมา


“เจ้าจะทำอะไร?” ฉินเหลียนมองนางด้วยท่าทางระแวดระวัง


เซี่ยฟางหวาชี้ที่เท้าของนาง


ฉินเหลียนมองนางด้วยแววตาฉงนสงสัย “เจ้าจะช่วยข้ารักษาเท้า?”


เซี่ยฟางหวาไม่ได้ตอบคำ สื่อความว่าไม่พูดก็เข้าใจ


ฉินเหลียนมองนางอย่างวิตกกังวล “เจ้าเข้าใจเรื่องการแพทย์รึ? ข้าไม่อยากเจ็บซ้ำซ้อนหรอกนะ” เมื่อจบคำ ก็เห็นเซี่ยฟางหวาเตรียมจะลุกขึ้น นางรีบยื่นมือไปขวางไว้ทันที พลางพูดด้วยท่าทางใจกว้าง “ช่างเถอะ ม้าตายมาลองรักษาก็อาจคืนชีพเป็นม้าเป็น*ได้[1]! อย่างไรเสียข้าอยู่ที่นี่ก็เรียกหมอหลวงไม่ได้ ข้ายังต้องรีบหาทางกลับวังอีก ฮองเฮายังคงทรงประชวรเพราะพี่ฉินอวี้ต้องอยู่ในค่ายทหารที่ม่อเป่ย แม้เขาไร้นามโดนทำลายไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้กลับวัง ข้าไม่ควรทำเรื่องให้นางหนักใจเพิ่มขึ้นอีก”


เซี่ยฟางหวาเห็นว่านางเห็นดีด้วยแล้ว ก็ทำท่าบอกให้นางถอดรองเท้าออก


ฉินเหลียนกัดฟันดึงรองเท้าออก


เซี่ยฟางหวากดที่ข้อเท้าของนาง นางสูดปากด้วยความเจ็บปวดครู่หนึ่ง เซี่ยฟางหวาค่อยๆ กดคลึงนวดไปทั่วทุกส่วน  ทันใดนั้น นางก็บิดข้อมือเต็มแรง ได้ยินเสียงกระดูกลั่นกึกกัก ฉินเหลียนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลพรากๆ ลงมา นางปล่อยมือออกจากข้อเท้า พลางลุกขึ้นยืน


ฉินเหลียนเช็ดน้ำตา ก่อนจะยื่นมือไปกอดข้อเท้าพลางอุทาน “เอ๋” ก่อนจะลองขยับเคลื่อนไหวข้อเท้า ไม่เจ็บแล้วและเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว นางยหน้าขึ้นมองเซี่ยฟางหวา “เจ้าร้ายกาจจริงๆ! เท้าข้าหายดีแล้ว!”


เซี่ยฟางหวายิ้มจางๆ เท้าพลิกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เมื่อบิดกลับเข้าที่ก็หายดีแล้ว นางจึงหมุนกายเดินจากไป


ฉินเหลียนรีบใส่รองเท้า เพียงครู่เดียวก็กระโดดลุกขึ้นยืนขวางหน้านางไว้


เซี่ยฟางหวามองนาง


ฉินเหลียนมองสังเกตุนางบนล่างซ้ายขวาทั่วร่างอยู่เป็นนาน พลันก็หัวเราะคิกคัก ใบหน้าจิ้มลิ้มสดใสผิดตา “ตั้งแต่ได้ยินว่าเจ้ามาที่จวนอิงชินอ๋องแล้วพี่ชายอยากได้เจ้าเป็นสาวใช้ติดตาม ข้าก็อยากเห็นเจ้าให้ชัดๆมาตลอดว่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไรถึงได้ไปเข้าตาคนหัวสูงเช่นนั้นได้ ตอนแรกที่เห็นเจ้านั่งเงียบๆ ต้มยาข้างเตา ก็เห็นว่าหน้าตาหมดจดดี สาวใช้ท่าทาทางเช่นเจ้าในจวนอื่นๆ ก็มีอีกตั้งมากมาย ข้าก็ยังนึกผิดหวังอยู่ในใจ คิดไม่ถึงว่า เจ้าจะทำให้ข้าประหลาดใจได้จริงๆ สมกับเป็นคนที่เขาพึงใจจริงๆ”


เซี่ยฟางหวามองนาง คนที่เมื่อครู่ร้องไห้ราวจะขาดใจ เพียงพริบตาก็ยิ้มร่ารื่นเริงเช่นนี้เสียแล้ว ทำให้นางต้องลำบากแล้วจริงๆ


“เจ้ารู้เรื่องท่านเจ้าอาวาสวัดฝ่าฝอซื่อเคยทำนายว่าในอนาคตพี่ชายข้ากับพี่ฉินอวี้จะแย่งภรรยากันไหม?” จู่ๆ ฉินเหลียนก็ถามขึ้น


เซี่ยฟางหวาเห็นว่านางคงไม่ได้รีบจะกลับวังแล้วล่ะ


“ดูท่า เจ้าน่าจะรู้เรื่องแล้ว” ฉินเหลียนมองนาง พลางยิ้มด้วยท่าทางมีลับลมคมใน “ข้าจะเขียนจดหมายเรื่องที่เจอเจ้าวันนี้ส่งให้พี่ฉินอวี้”


เซี่ยฟางหวาหรี่ตามอง


“เจ้ามีส่วนคล้ายกับพี่ชายข้าเสียจริงๆ แค่ท่าทางการหรี่ตามองเช่นนี้ เขาก็ทำบ่อยๆ” ฉินเหลียนบ่นพึมพำ ราวว่านางไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เพียงครู่เดียวก็หายไป พลางเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสนอกสนใจ “อย่าเห็นว่าพี่ชายข้ากับพี่ฉินอวี้นิสัยใจคอไม่เหมือนกัน แต่ว่าตั้งแต่เล็กจนโตสายตาที่พวกเขาใช้มองผู้คนหรือสิ่งของล้วนถือว่ามีรสนิยมสูงทั้งคู่ หากไม่ดีก็ไม่ต้องการเด็ดขาด เจ้าว่า หากพี่ฉินอวี้เห็นเจ้าเข้า จะเห็นความพิเศษของเจ้าบ้างไหม?”


เซี่ยฟางหวาไม่ได้สนใจ


“ดูๆ แล้ว เจ้าก็โตกว่าข้าเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับมีนิสัยเยือกเย็นมั่นคงราวกับคนอายุมาก แต่ยิ่งกลับทำให้คนไม่ค่อยชอบใจเท่าใดนัก” ฉินเหลียนส่งเสียงเฮอะเบาๆ ลุกขึ้นปัดฝุ่นที่ติดบนสะโพก ก่อนจะพูดกับนางว่า “คนในวังนอกจากข้าแล้วก็คนที่เคยไปมาหาสู่เล่นสนุกกับพวกน้องแปดล้วนยังไม่มีใครเคยเห็นเจ้าเลย น่ากลัวว่าเมื่อถึงยามปีใหม่ปีหน้าคงมีคนให้พี่ชายข้าพาเจ้าเข้าวัง เจ้าต้องเตรียมตัวไว้แล้วล่ะนะ”


ดวงตาของเซี่ยฟางหวาวูบไหวไปมา


“วันนี้ข้ามาหาเจ้า แต่ก็ต้องบาดเจ็บเพราะเจ้า แล้วเจ้าก็กลายมาเป็นคนรักษาอาการให้จนหาย แต่ก็โดนพี่ชายพูดจากระทบกระแทกก็เพราะเจ้าอีก จะว่าไปแล้ว เจ้ายังติดค้างข้าอยู่ วันหน้าอย่าลืมคืนข้าด้วยล่ะ” ฉินเหลียนมองท้องฟ้าพลางพูดไปด้วย ก่อนจะวิ่งไปทางกำแพงด้านตะวันตกเฉียงเหนือ


เซี่ยฟางหวามองเงาร่างที่กระโดดโลดเต้นคล่องแคล่วของนางจนลับหายไปจากครรลองสายตา จึงได้หมุนกายกลับไปที่ห้องครัวเล็ก


วิธีการนับเช่นนี้ นางไม่ถือว่าตนติดค้างอันใดแน่นอน!


เซี่ยฟางหวานั่งลงที่ตั่งเตี้ยเคี่ยวยาอีกครั้ง เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นาน ชุนหลันก็มาถึงเรือนลั่วเหมย ก่อนจะมองมาด้านในแวบหนึ่ง เห็นว่าคนในห้องกำลังกินดื่มอย่างสำราญเต็มที่ นางก็เดินตรงมาที่ห้องครัวเล็ก


เซี่ยฟางหวาเห็นชุนหลันก็ลุกขึ้น ก่อนจะส่งสายตาสื่อความถามไถ่


ชุนหลันยิ้มแย้มอ่อนโยนเอ่ยว่า “แม่นางทิงอิน ข้ามาถามดูว่า เหลียนจวิ้นจู่ได้กลับมาหรือไม่?”


เซี่ยฟางหวานึกได้ว่าชายาอิงอ๋องควบคุมดูแลทุกเรื่องในวังแห่งนี้ แน่นอนว่าย่อมมีหูตาแฝงตัวอยู่ทุกที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรือนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเช่นนี้ ฉินเหลียนมาแล้วย่อมไม่มีทางปิดบังได้ นางจึงยิ้มพลางพยักหน้า


“แล้วกลับไปแล้ว?” ชุนหลันถามต่อ


เซี่ยฟางหวาพยักหน้าอีกครั้ง


ชุนหลันถอนใจ “ทุกครั้งที่เหลียนจวิ้นจู่กลับมาก็มาอย่างเร่งรีบ แล้วก็กลับไปอย่างรีบร้อน ถึงแม้ฮองเฮาจะบอกว่านางสามารถกลับจวนได้ทุกเมื่อ แค่ทูลแจ้งองค์ฮองเฮาไว้ล่วงหน้าก็พอ ในจวนเองก็ให้ป้ายที่ให้นางมีสิทธิ์เข้าออกได้ทุกเมื่อ แต่ว่าตลอดปีทั้งปี ก็ไม่เห็นนางจะใช้เสียเท่าไหร่ เมื่อก่อนยังไปพบพระชายาบ้าง แต่ยามนี้พอกลับมาก็วิ่งมาที่นี่ รู้ทั้งรู้ว่าคุณชายรองจะต้องไล่นาง แต่นางก็ยังมาหาเรื่องให้โมโหสักรอบแล้วก็กลับไป” เมื่อพูดจบ นางก็ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย “หลายปีมานี้ พระชายาเองก็ชินแล้ว จึงได้แต่ปล่อยให้เด็กทั้งสองไปมาหาสู่กันเช่นนี้”


เซี่ยฟางหวานั่งฟังเงียบๆ


“เหลียนจวิ้นจู่กลับมาครานี้ เห็นทีคงมาดูเจ้าเป็นแน่” ชุนหลันเอ่ยยิ้มๆ


เซี่ยฟางหวาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ภายนอกคงอยากมีคนเห็นนางอีกมาก


“เอาล่ะ ข้าไม่รั้งอยู่นานนัก เจ้าตั้งใจต้มยาให้ดีเถอะ! ข้าแค่มาถามดูเสียหน่อย พระชายารู้ว่าจวิ้นจู่กลับมาก็ดีแล้ว จะได้พบหรือไม่ หลายปีมานี้ ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรแล้ว” ชุนหลันเอ่ยจบก็เดินออกจากห้องครัวเล็กไป


เซี่ยฟางหวาเดินไปส่งนางออกจากประตูไป


“ทิงอิน คุณชายไม่เรียกข้าไปปรนนิบัติรับใช้แล้ว เห็นแก่ที่พวกเรายังไม่ได้กินอะไร ให้เราสองคนหาข้าวกินเสีย” ทิงเหยียนเดินออกมา ก่อนจะเอ่ยกับเซี่ยฟางหวายิ้มๆ “ข้าก็พลอยได้อาศัยใบบุญเจ้า คุณชายเกรงว่าเจ้าจะหิว เมื่อก่อนกลุ่มคุณชายเหล่านี้มากินดื่มที่นี่ ข้าต้องอยู่รับใช้จนแขกคนสุดท้ายออกไป จึงได้กินข้าว”


เซี่ยฟางหวามองลอดผ่านม่านบังตาเข้าไปด้านใน ก็เห็นฉินเจิงมองจ้องตรงมาเข้าพอดี


“ไปเถอะ ในครัวเล็กเงียบสงบ มีเตาไฟแล้วยังอบอุ่น พวกเราก็กินในห้องครัวเล็กเถอะ!” ทิงเหยียนพูดพลางยกอาหารมา


เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


[1]*สำนวน 死马当作活马医 นำม้าตายมารักษาให้กลับฟื้นคืน ใช้เปรียบเทียบอาการป่วยที่ยากจะรักษาดุจม้าที่ตายแล้ว แต่กลับหายดีด้วยการรักษาด้วยวิธีแปลกใหม่หรือจากคนที่ไม่คิดว่าจะรักษาให้ได้กลายเป็นม้าที่ฟื้นคืนชีพมา 

 

 


ตอนที่ 52 ปรมาจารย์ราชสำนัก

 

           เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงด้วยความมึนงง นึกไม่ถึงว่าจ้าวเคอเป็นชาวภูตผี


 


 


           ฉินเจิงตวัดตามองนาง เห็นว่านางชะงักมึนงงก็เลิกคิ้วถาม “แปลกใจมากหรือ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ แน่นอนว่านางแปลกใจมากเพราะนึกไม่ถึงว่าจ้าวเคอเป็นชาวภูตผี นางเม้มปากก่อนเอ่ยถามเสียงทุ้ม “เจ้ารู้ได้อย่างไร”


 


 


           “หวางชิงเม่ยกับอวี้ฉี่เหยียนอาศัอยู่ที่เมืองผิงหยางมาแล้วสิบกว่าปี การที่พวกเขาสองคนเลือกเมืองเข้ามาอยู่อาศัย แน่นอนว่าย่อมต้องสืบหาข้อมูลคนในเมืองให้ชัดแจ้ง แรกเริ่มทั้งสองทำเพื่อหนีความขัดแย้งระหว่างตระกูลหวางกับตระกูลอวี้ ต่อมาก็ค่อยๆ กลายเป็นชอบขุดค้นข้อมูลของผู้คน” ฉินเจิงตอบ “ตอนพวกเขาจากเมืองไปก็ได้ทิ้งข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้ข้า หนึ่งในนั้นคือบันทึกฐานะของจ้าวเคอ”


 


 


           “หมายความว่าเจ้ารู้ฐานะของจ้าวเคอนานแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ฉินเจิงส่งเสียง “อืม” ตอบ


 


 


           “ในเมื่อจ้าวเคอเป็นชาวภูตผี แล้วเขามาติดตามพี่อวิ๋นหลานตั้งแต่เมื่อไร” เซี่ยฟางหวาถามอีก


 


 


           “สามสี่ปีก่อน ตอนที่เซี่ยอวิ๋นหลานจากเมืองหลวงมาอาศัยที่เมืองผิงหยางกระมัง” ฉินเจิงครุ่นคิด “แต่นี่เป็นช่วงเวลาที่แสดงตนในที่สาธารณะ ส่วนเบื้องหลังนั้น เมื่อก่อนได้ติดตามหรือไม่ก็ไม่รู้”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “หากเจ้าเป็นห่วงเขา ข้าจะให้คนออกตามหา” ฉินเจิงมองนาง


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบลงพักหนึ่งก่อนถอนหายใจแผ่วเบา “ช่างเถอะ ในเมื่อจ้าวเคอเป็นชาวภูตผี เขาคอยดูแลคำสาปเผาใจให้พี่อวิ๋นหลานตลอดมา คอยคุ้มครองเขาให้ปลอดภัย ตอนนี้เจ้าบอกแล้วว่าเขาต้องไม่เป็นไรแน่นอน เช่นนั้นก็ไม่ต้องออกตามหาหรอก”


 


 


           ฉินเจิงเงียบลงพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “แม้ข้าบอกว่าเขาอาจไม่เป็นไร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง”


 


 


           เซี่ยฟางหวาตวัดตามองฉินเจิง พบว่าใบหน้าเขาประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง นางกำนิ้วเข้าหากันครู่หนึ่ง “พี่อวิ๋นหลานต่างจากข้า ข้าเป็นสตรี ถึงอย่างไรก็มีสายเลือดตระกูลเซี่ยไหลเวียนในกาย ทั้งตอนนี้ได้ออกเรือนกับเจ้าแล้ว กลายเป็นคนของจวนอิงชินอ๋องอย่างแท้จริง ส่วนพี่อวิ๋นหลานไม่มีสายเลือดตระกูลเซี่ยแม้แต่น้อย และเป็นทายาทราชนิกุลเผ่าภูตผีอย่างแท้จริง”


 


 


           ฉินเจิงมองนาง รอให้นางพูดต่อจนจบ


 


 


           “ข้ามีเจ้า มีท่านปู่ ท่านพี่ จวนจงหย่งโหว และจวนอิงชินอ๋อง ถึงข้าไม่ทำตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษเผ่าภูตผี ข้าก็ยังมีพวกเจ้าเป็นที่พักพิง ทว่าตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนแหล่งธัญพืชจากไป พี่อวิ๋นหลานกลับไร้ที่พึ่งพา” เซี่ยฟางหวาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “หากเขามีทางเลือกอื่นแล้ว ข้าก็ไม่ควรห้ามด้วยความเห็นแก่ตัวอีก หากเขาได้รับความช่วยเหลือจากใคร ในเมื่อปลอดภัยไร้อันตรายแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้เถอะ”


 


 


           “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” ฉินเจิงพยักหน้า


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก


 


 


           “คุณหนู ยาของท่านอ๋องน้อยกับท่านต้มเสร็จแล้ว” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเอ่ยขึ้นจากข้างนอก


 


 


           “ยกเข้ามา”


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยกยาเข้ามา วางถ้วยหนึ่งตรงหน้าฉินเจิง และวางอีกถ้วยตรงหน้าเซี่ยฟางหวา


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นว่ายาอยู่ในอุณหภูมิพอเหมาะจึงยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด หลังวางถ้วยยาลงแล้วก็เห็นว่าฉินเจิงกำลังมองนางนิ่ง นางจึงเร่งเขา “อุณหภูมิกำลังดี รีบดื่มเถอะ เมื่อครู่เจ้านอนไปได้ครู่เดียว ดื่มยาเสร็จแล้วจะได้พักผ่อนต่อ”


 


 


           ฉินเจิงก้มหน้าก่อนยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียว หลังวางถ้วยลงแล้วก็ลุกขึ้นยืน คว้าแขนนางลุกขึ้นพลางเอ่ยด้วยอย่างเอาแต่ใจ “เจ้าก็ไปพักผ่อนกับข้าด้วย”


 


 


           เซี่ยฟางหวาระบายยิ้ม ก่อนพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง


 


 


            ทั้งคู่เดินมาที่เตียง ฉินเจิงนอนกอดนางก่อนหลับตาลง


 


 


           นอนนิ่งพักหนึ่ง ไม่นานฉินเจิงก็ผล็อยหลับไป


 


 


           เซี่ยฟางหวาไร้ซึ่งความง่วง นางนอนจ้องหลังคา เหตุการณ์ว้าวุ้นใจผุดขึ้นในสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านไปเนิ่นนานนางก็หลับตาลงเชื่องช้า


 


 


           พลบค่ำ เยว่ลั่วก็เอ่ยเรียกจากนอกหน้าต่าง “ท่านอ๋องน้อย”


 


 


           “มีเรื่องใด” ฉินเจิงเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ลืมตา


 


 


           “มีข่าวจากเมืองหลวง ฟังว่าอาการโหวเหยผู้เฒ่าแห่งจวนจงหย่งโหวไม่ค่อยดี…” เยว่ลั่วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ


 


 


           เดิมทีเซี่ยฟางหวายังไม่หลับ พอได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นนั่งโดยพลัน ลงจากเตียงแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปยังริมหน้าต่าง ยกมือเปิดหน้าต่างออกมองเยว่ลั่วที่ยืนอยู่ข้างนอก เอ่ยถามด้วยเสียงร้อนใจ “ท่านปู่ข้า เขาเป็นอะไร”


 


 


           “เรียนพระชายาน้อย ฝนตกหนักหลายวัน ฟังว่าโหวเหยผู้เฒ่าเดิมไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดเรื่องกับท่านที่อารามลี่อวิ๋นก็เป็นลมล้มป่วยไปด้วยความตกใจ” เยว่ลั่วก้มหน้า


 


 


           “เกิดขึ้นเมื่อไร” เซี่ยฟางหวารีบถาม


 


 


           “ข่าวเพิ่งมาถึงเมื่อครู่ พิราบส่งข่าวกลับมา อย่างน้อยก็สองชั่วยามแล้ว” เยว่ลั่วตอบ


 


 


           “เรื่องที่เกิดขึ้นกับข้า ไม่ได้ปิดบังท่านปู่หรือ” เซี่ยฟางหวาหันไปหาฉินเจิงทันที


 


 


           “ท่านปู่แม้อายุมากแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะปิดหูปิดตาจากเหตุการณ์ภายนอก จวนจงหย่งโหวย่อมมีแหล่งข่าวของตนเอง คิดปิดบังย่อมปิดไม่ได้” ฉินเจิงลงจากเตียงแล้วเช่นกัน เดินตรงมาหานางแล้วเอ่ยขึ้น “เรารีบเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ รีบขี่ม้าเร็วกลับกันเถอะ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ


 


 


           ฉินเจิงยกมือไล่เยว่ลั่ว เยว่ลั่วถอยกลับออกไป


 


 


           เซี่ยฟางหวาตะโกนเรียกซื่อฮว่ากับซื่อม่อมาสั่งงาน


 


 


           เวลาหนึ่งถ้วยชาถัดมาก็เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาขี่ม้าเร็วออกจากเมืองเหมียน มุ่งหน้ากลับเมืองหลวง


 


 


           หลังฝนห่าใหญ่ผ่านไป แอ่งน้ำบนถนนทางการยังไม่ได้รับการขุดลอกระบายออก ทำให้เดินทางไม่สะดวกเช่นเดิม


 


 


           จนถึงกลางดึกก็เดินทางมาได้ห้าสิบลี้แล้ว ห่างจากเมืองหลวงอีกหกสิบลี้


 


 


           ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาขี่ม้าเคียงกัน ห้อตะบึงด้วยความรีบร้อน พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนติดตามข้างหลัง เยว่ลั่วนำสายลับติดตามในที่ลับ


 


 


           “หยุดก่อน มีบางสิ่งผิดปกติ” เดินทางไปได้อีกสิบลี้ ฉินเจิงพลันเอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา


 


 


           เซี่ยฟางหวาเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน โดยทั่วไปถนนทางการภายในรัศมีเมืองหลวงหนึ่งร้อยลี้นั้น นอกจากนางที่เคยเดินทางเพียงลำพังก็เคยเดินทางพร้อมกับฉินเจิงมาหลายครั้ง ทิวทัศน์แต่ละช่วงล้วนแตกต่างกัน ทว่าหลังทั้งคู่ผ่านป่าผืนหนึ่งมา เดินทางต่อไปสิบลี้ ราวกับเห็นแต่ทิวทัศน์เดิมๆ


 


 


           คล้ายกับว่าพวกเขาเดินทางวนอยู่ที่เดิมอย่างไรอย่างนั้น


 


 


           ฉินเจิงดึงเชือกบังเ**ยน กวาดตามองรอบกาย


 


 


           เซี่ยฟางหวาเองก็ดึงเชือกบังเ**ยนเช่นกัน มองไปรอบกายตามเขา


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนที่อยู่ข้างหลังก็สังเกตรอบด้านอย่างตื่นตัวเช่นกัน


 


 


           “เห็นสิ่งใดหรือไม่” เซี่ยฟางหวามองพักหนึ่งก็เอ่ยถามฉินเจิง


 


 


           “ค่ายกลหยินหยางห้าธาตุ” ฉินเจิงตอบ ก่อนแค่นหัวเราะขึ้นมา “สมัยเด็กข้าชอบเล่นค่ายกลประเภทนี้ ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะมีคนใช้ค่ายกลนี้กับข้า แต่ค่ายกลนี้ได้รับการปรับแต่งอย่างยอดเยี่ยม คล้ายมีทว่าไม่มี หลังเข้าสู่ค่ายกลแล้วถึงเพิ่งรู้สึกตัว”


 


 


           เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง


 


 


           ฉินเจิงดึงกริชออกมาจากข้างเอว เขาสะบัดแขนเสื้อแผ่วเบา เสียง ‘อา’ ดังขึ้น เสียงร้องอันน่าเวทนาดังขึ้นมาจากจุดหนึ่ง


 


 


           ชั่วพริบตานั้นสภาพแวดล้อมก็แปรเปลี่ยน ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาหาได้เดินทางบนถนนทางการ หากแต่เดินทางบนเนินหญ้าแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าคือป่าต้นเฟิง*[1] ตำแหน่งของพวกเขาอยู่ห่างจากป่าต้นเฟิงไม่เกินสิบจั้ง**[2]


 


 


           “กะแล้วว่าข้าไม่ได้มองท่านอ๋องน้อยเจิงผิดไป ค่ายกลเช่นนี้สำหรับท่านแล้วเป็นเพียงแค่ของเด็กเล่น” เสียงคนแก่พลันดังขึ้นจากในป่า


 


 


           “เบื้องหน้าคือผู้ใด ข้าไม่ชอบคนลับๆ ล่อๆ หากเจ้าไม่ออกมา ข้าจะเผาป่าต้นเฟิงผืนนี้เสีย ดูว่าเจ้ายังหลบๆ ซ่อนๆ ตอนพูดกับข้าได้หรือไม่” ฉินเจิงรวบแขนเสื้อเข้าด้วยกันเชื่องช้า ใบหน้าเผยความเยือกเย็น


 


 


           “เจ้าเด็กคนนี้ วางเพลิงเผาป่าแล้วไม่กลัวว่าจะนำเพลิงเผากายรึ ถึงอย่างไรพวกต้นไม้ใบหญ้าก็ไร้ความปรานี ถึงเผาข้าไปเจ้าก็หนีไม่พ้น ที่นี่เป็นเขารกร้าง” เสียงหัวเราะยกใหญ่ของคนแก่ดังก้องทั่วป่า


 


 


           “ทางนั้นไตร่ตรองได้รอบคอบนัก” ฉินเจิงหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าสร้างค่ายกลล่อพวกเราเข้ามา มีเจตนาใดกันแน่”


 


 


           “มีเรื่องหนึ่งต้องคุยกับพระชายาน้อยของเจ้า” คนแก่ผู้นั้นเอ่ยตอบ


 


 


           ฉินเจิงผินหน้ามองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง


 


 


           “เจ้าเป็นใคร มีเรื่องใดต้องคุยกับข้า” เซี่ยฟางหวาตอบด้วยเสียงฟังชัดอย่างสุขุม


 


 


           “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร เพียงส่งตำราเคล็ดวิชาในมือเจ้ามาก็พอแล้ว” คนแก่ผู้นั้นตอบ


 


 


           “ข้าไม่รู้จักตำราเคล็ดวิชาอะไรนั่น” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง


 


 


           “เซี่ยฟางหวา ทางที่ดีเจ้ายอมส่งมาเสียดีกว่า มิฉะนั้นหากอยากพบท่านปู่เจ้าอีกครั้ง เกรงว่าจะต้องไปพบในยมโลกแทน” คนแก่ผู้นั้นเตือนด้วยความดุดัน


 


 


           เซี่ยฟางหวาเผยหน้าสีเยือกเย็น กำเชือกบังเ**ยนแน่น


 


 


           “โหวเหยผู้เฒ่าแห่งจวนจงหย่งโหวเป็นคนที่ใครก็สามารถเอาชีวิตเขาได้หรือ ข้ามิยักเชื่อ” ฉินเจิงจ้องมองป่าต้นเฟิงเบื้องหน้า


 


 


           “ตอนนี้จวนจงหย่งโหวเป็นเพียงกระดองเปล่า เหลือแค่ตาเฒ่าคนเดียวเท่านั้น ด้วยอุบายของข้า มีหรือจะเอาชีวิตเขาไม่ได้” คนแก่ผู้นั้นหัวเราะหยาม “หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองไม่มอบมันมา ข้ารับรองว่าจงหย่งโหวจะมีชีวิตไม่พ้นเช้าพรุ่งนี้”


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปากไม่ตอบโต้


 


 


           “ว่าอย่างไร จะยอมมอบมันหรือไม่” คนแก่ผู้นั้นถาม


 


 


           เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ


 


 


           “หากเจ้าพูดคำว่าไม่ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าขู่ รอเก็บศพจงหย่งโหวได้เลย” คนแก่ผู้นั้นกล่าวขึ้นอีก


 


 


           “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตำราเคล็ดวิชาอยู่ในมือข้า” เซี่ยฟางหวาโพล่งขึ้น


 


 


           “เซี่ยฟางหวา ข้าหยั่งเชิงเจ้ามาหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งล้วนถูกเจ้ามองออก ข้าจะไม่รู้ว่าตำราเล่มนั้นอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร ทั้งเจ้ายังเรียนรู้มันหมดแล้วด้วย” คนแก่ผู้นั้นหัวเราะยกใหญ่


 


 


           “กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าคดีฆาตกรรมที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก ใต้เท้าหานถูกสังหาร ท่านหญิงจินเยี่ยนถูกเข้าฝัน ดินถล่มที่อารามลี่อวิ๋น คดีพวกนี้ล้วนเป็นเจ้าที่อยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม “เพียงเพราะตามหาตำราเคล็ดวิชา”


 


 


           “ถูกต้อง” คนแก่ผู้นั้นตอบ


 


 


           “เจ้าเป็นใครกันแน่ และมีเจตนาใด” เซี่ยฟางหวาใช้น้ำเสียงเยือกเย็น


 


 


           “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร ส่วนข้ามีเจตนาใดนั้น…” เสียงของคนแก่ผู้นั้นพลันแฝงด้วยจิตสังหาร “ต่อไปเจ้าก็รู้เอง”


 


 


           “เจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือว่าข้าจะมอบตำราให้เจ้า” เซี่ยฟางหวาแค่นหัวเราะ


 


 


           “หรือว่าเจ้าไม่ต้องการชีวิตของจงหย่งโหวแล้ว” คนแก่ผู้นั้นถาม


 


 


           “ท่านปู่อายุมากแล้ว เดิมยังมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี” เซี่ยฟางหวามองป่าต้นเฟิง “เขาเองก็คงไม่อยากให้ข้าถูกบีบบังคับอย่างง่ายดายเช่นนี้ด้วย”


 


 


           “ตระกูลเซี่ยดำรงชีวิตด้วยความหรูหราฟุ้งเฟ้อ เป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ว่ากันว่าจวนจงหย่งโหวสืบทอดจริยธรรมต่อกันมา มีคุณธรรมและความกตัญญู คุณหนูทายาทโดดเด่นในเรื่องนี้มาก หากเผยแพร่ออกไปว่าหลานสาวที่จงหย่งโหวเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มาด้วยความยากลำบากนั้นหาได้แยแสบั้นปลายชีวิตของเขา เจ้าคิดว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไร ใต้หล้าจะประณามเจ้าอย่างไร” คนแก่ผู้นั้นหัวเราะ


 


 


           “อีกฝ่ายเป็นผีหรือคนก็มิทราบ แต่ใช้ท่านปู่มาขู่และบีบบังคับข้า หากข้ายอมง่ายๆ เช่นนี้ต่างหากถึงจะไร้เดียงสาเกินไปหน่อย” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเสียงเย็น “ใต้หล้าจะพูดถึงข้าเช่นไรนั้นข้าไม่เคยสนใจ และไม่กลัวด้วยว่าจะถูกวิจารณ์โจมตีเพิ่ม” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “จวนจงหย่งโหวมีความหยิ่งทระนงในตัวเอง ท่านปู่ย่อมไม่ตำหนิข้า”


 


 


           “สมกับเป็นบุตรีแห่งจวนจงหย่งโหว” คนแก่ผู้นั้นพลันโมโห “หากเพิ่มชีวิตของพี่ชายเจ้าด้วยเล่า”


 


 


           “พี่ชายข้าออกจากเมืองหลวงไปแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           “ออกจากเมืองแล้วจะปลอดภัยรึ หากข้าอยากสังหารเขาย่อมเป็นเรื่องง่าย” คนแก่ผู้นั้นบอก


 


 


           “ในเมื่อเจ้าสังหารท่านปู่กับพี่ชายข้าได้ แล้วเหตุใดต้องมาพบข้าอีก” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเยาะ “แค่สร้างค่ายกลเล็กๆ ยังถูกสามีข้าทำลายอย่างง่ายดาย ตอนนี้กลับเอาแต่ซ่อนตัวข่มขู่ผู้อื่น ดูท่าหาได้มีความสามารถใดไม่”


 


 


           “เด็กน้อย ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้จักกับความร้ายกาจ” คนแก่ผู้นั้นพลันโมโหโกรธา


 


 


           เขาพูดจบ สายลมโหมกระหน่ำอันบ้าคลั่งก็พลันบังเกิดขึ้นในป่าต้นเฟิงเพียงชั่วพริบตา ครู่ต่อมาก็มีลำแสงสีทองหลายทางโจมตีมายังเซี่ยฟางหวา


 


 


           เซี่ยฟางหวามีสีหน้าเปลี่ยนไป


 


 


           ฉินเจิงกระโจนม้ามาขวางหน้านาง ตวัดฝ่ามือรับลำแสงสีทองแล้วขับพลังภายในต้านกลับไป


 


 


           เวลานี้เซี่ยฟางหวาก็ก้าวขึ้นมาแล้วเช่นกัน สลัดกระบี่ใต้แขนเสื้อลอยออกไป


 


 


           ได้ยินเพียงเสียงแตกกังวานดังขึ้นหลายหน ใบมีดหลายใบร่วงหล่นตรงหน้าทั้งคู่


 


 


           ข้อมือของฉินเจิงถูกใบมีดเฉือนแผลหนึ่ง เลือดสดไหลอาบออกมา


 


 


           เซี่ยฟางหวากดข้อมือของฉินเจิงไว้ พบว่าบริเวณข้อมือถูกคมกระบี่เฉือนตัดจนเห็นชั้นกระดูก นางรีบกดจุดสองจุดบนข้อมือเขาทันที ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามด้วยความร้อนใจ “ยังบาดเจ็บตรงไหนอีกบ้าง”


 


 


           ฉินเจิงส่ายหน้า


 


 


           “เขาไร้นามถูกทำลายไปแล้ว ไม่นึกเลยว่ายังมีศพคนเป็นปีนออกมาได้อีก มิทราบว่าทางนั้นเป็นหนึ่งในสามปรมาจารย์ท่านใด” เซี่ยฟางหวาตวัดตามองป่าต้นเฟิงด้วยสายตาคมกริบ


 


 


           ฉินเจิงพลันหันมามองเซี่ยฟางหวาคล้ายกับแปลกใจนัก


 


 


           ป่าต้นเฟิงตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ ทันใดนั้นคนแก่ผู้นั้นก็หัวเราะขึ้นมา “ก่อนหน้านี้มีคนสืบทราบว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งปะปนเข้ามาในเขาไร้นาม เด็กหญิงคนนั้นคือหลานสาวของจงหย่งโหว ข้ายังไม่อยากเชื่อ ตอนนี้เห็นทีไม่เชื่อไม่ได้แล้ว ที่แท้เด็กหญิงคนนั้นก็เป็นเจ้าจริงด้วย มิน่าเจ้าถึงมีตำราเคล็ดวิชานั่น”


 


 


           “กู่อิ้น ฉางเฟิง ฉือเฟิ่ง อย่าบอกนะว่าทั้งสามท่านยังมีชีวิตอยู่” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเสียงเย็น


 


 


           “เขาไร้นามคือภูเขาทอดตัวเป็นแนวยาวกว่าหลายร้อยปี นึกจะทำลายก็ทำลายได้หรือ เด็กน้อยช่างไร้เดียงสานัก” คนแก่ผู้นั้นกล่าวขึ้น “แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้าที่ทำลายเขาไร้นาม มิฉะนั้นพวกเราคงไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “ตอนนี้ในเมื่อเจ้าล่วงรู้ฐานะแล้ว อย่าว่าแต่ชีวิตของปู่กับพี่ชายเจ้าเลย แม้เป็นชีวิตเจ้าก็ต้องถูกฝังไว้ที่นี่”


 


 


           “สามปรมาจารย์ของสายลับราชสำนัก ดูท่าว่าจะไม่ได้จงรักภักดีต่อบ้านเมืองหนานฉินขนาดนั้น” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง


 


 


           “อย่ามัวไร้สาระ ส่งตำราเคล็ดวิชามา แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า” เจ้าของเสียงคนแก่ผู้นั้นแค่นหัวเราะ


 


 


           “ตำราเคล็ดวิชาถูกข้าทำลายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่ในความทรงจำของข้า” เซี่ยฟางหวานั่งบนม้าด้วยความสุขุมเยือกเย็น “ใครจะไว้ชีวิตใครกันแน่เล่า” พูดจบ นางพลันหยิบหินเหล็กไฟออกมาก่อนจุดไฟบนคบเพลิง จากนั้นก็หยิบถุงน้ำในถุงหน้าอานม้าออกมา สาดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ครั้นแล้วก็โยนคบเพลิงไปเบื้องหน้า


 


 


           คบเพลิงปะทะกับน้ำมันบนพื้น เสียงพรึ่บดังขึ้น เปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้นมาทันที


 


 


           เวลานี้มีลมพัดผ่านพอดี คบเพลิงเจอกับน้ำมันและหญ้าแห้งบนพื้นพลันพัดตามกระแสลมไปยังผืนป่า


 


 


           “ไปกันเถอะ” เซี่ยฟางหวาคว้าแขนฉินเจิงแล้วหันม้ากลับ


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าก่อนตวัดแส้พร้อมเซี่ยฟางหวา มุ่งหน้าย้อนกลับไปยังทิศทางที่มา ม้าเร็วสองตัวดุจอัสนีบาต ห้อตะบึงจากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อตื่นตกใจ รีบตามทั้งสองออกไปเช่นกัน


 


 


           “เซี่ยฟางหวา นึกไม่ถึงว่าจะกล้าวางเพลิง” เสียงที่ทั้งตกใจทั้งโกรธเกรี้ยวของคนแก่ผู้นั้นดังแว่วมาจากผืนป่า ราวกับคิดอยากไล่ตามมา ทว่าเปลวเพลิงลุกโชติช่วงกั้นขวางเขาเอาไว้ในผืนป่า เขาระเบิดโทสะออกมา “วันนี้เจ้าไม่รู้จักให้เกียรติ ข้าต้องสังหารปู่กับพี่ชายเจ้า และตระกูลเซี่ยทั้งหมดให้จงได้”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพลันดึงเชือกบังเ**ยน นางคล้ายกับเคยได้ยินถ้อยคำเช่นนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว


 


 


 


 


*ต้นเฟิง คือ ต้นเมเปิล


 


 


**จั้ง คือ หน่วยวัดความยาวของจีน 1 จั้ง = 3 เมตร 

 

 


ตอนที่ 53-1 รักอันไร้ข้อกังขา

 

           ฉินเจิงเห็นว่าเซี่ยฟางหวาหยุดนิ่งก็ดึงเชือกบังเ**ยนตาม ก่อนหันมามองนาง


 


 


           เปลวเพลิงลุกไหม้ผืนป่าข้างหลัง อาศัยทิศทางลมก่อตัวเป็นทะเลเพลิง ใบหน้าของเซี่ยฟางหวาซีดเซียวอย่างยิ่งภายใต้แสงสว่างลุกโชติช่วง


 


 


           “เป็นอะไรไป” ฉินเจิงขี่ม้าเดินมาหยุดข้างนาง เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ


 


 


           เซี่ยฟางหวาหยุดนิ่งอย่างเลื่อนลอย นั่งบนอานม้าด้วยเนื้อตัวแข็งทื่อคล้ายไม่ได้ยิน


 


 


           “ไฉนถึงไม่เดินต่อ” ฉินเจิงสงสัย ขยับเข้าใกล้นางแล้วคว้ามือมากุม


 


 


           ฝ่ามือของเซี่ยฟางหวาเย็นเยียบถึงกระดูก นางพลันได้สติ แกะมือฉินเจิงออกแล้วมองไปยังข้างหลัง


 


 


           เปลวเพลิงพุ่งทะยานสู่นภา เพลิงไหม้ผลาญอย่างบ้าคลั่ง


 


 


           นางจ้องมองพลันมีภาพเหตุการณ์หนึ่งแล่นขึ้นในสมอง ภายในห้องลับอันมืดมิด มีคนพูดกับนางว่า ‘เซี่ยฟางหวา วันนี้เจ้าไม่รู้จักให้เกียรติ ข้าจะทำให้ตระกูลเซี่ยต้องถูกฝังเพราะความไม่รู้จักให้เกียรติของเจ้า’


 


 


           ต่อมาตระกูลเซี่ยก็ถูกฝังเพราะความไม่รู้จักให้เกียรติของนางจริงๆ


 


 


           ตระกูลล่มสลายลง กระดูกกองพะเนินเป็นภูเขา โลหิตหลั่งรินเป็นสายธารา ไม่มีผู้ใดใช้สกุลเซี่ยอีกเลยในหนานฉิน…


 


 


           ตัวนางสั่นระริกขึ้นมา…


 


 


           “เป็นอะไร” ฉินเจิงกุมมือนางใหม่


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันมามองฉินเจิงเชื่องช้า


 


 


           ใบหน้าหล่อเหลาของฉินเจิงเองก็ซีดลงเล็กน้อยภายใต้แสงสว่างจากเปลวเพลิงข้างหลังเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมองนาง สะท้อนให้เห็นความกังวลภายในชัดเจน


 


 


           “ไม่มีอะไร เมื่อครู่พอรู้ว่าเป็นพวกเขา ข้าก็ตกใจเกินไปหน่อย” เซี่ยฟางหวามองเขาพักหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม


 


 


           ฉินเจิงดึงนางมายังม้าของตนเอง ก่อนกระชับกอดนางแน่น “เราต้องรีบออกจากที่นี่ มิฉะนั้นเพลิงไหม้อาจจะลุกลามตามกระแสลมมาล้อมพวกเราได้”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ฉินเจิงหนีบขาสองข้างเข้ากับท้องม้า โอบเซี่ยฟางหวากระโจนม้าจากไป


 


 


           วิ่งตะบึงมาได้ราวครึ่งชั่วยามจนมาถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง ฉินเจิงดึงเชือกบังเ**ยนแล้วบอกกับเซี่ยฟางหวา “เส้นทางกลับเมืองถูกขัดขวาง หากเราอยากกลับเมือง เกรงว่าต้องรอถึงพรุ่งนี้”


 


 


           “พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้” เซี่ยฟางหวาพลิกกายลงจากม้า


 


 


           “แล้วท่านปู่…” ฉินเจิงก็ลงจากม้าเช่นกัน โยนเชือกบังเ**ยนทิ้งแล้วมองนาง


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่งก่อนกล่าวเสียงทุ้ม “ตอนออกจากเมืองข้าได้จัดแจงจวนจงหย่งโหวไว้แล้ว ท่านปู่ไม่เป็นไรแน่นอน” หยุดชั่วครู่ก่อนอธิบายเพิ่มเติม “จวนจงหย่งโหวส่งข่าวมาว่าท่านปู่ล้มป่วย น่าจะเป็นฝีมือของผู้อยู่เบื้องหลังที่ปล่อยข่าวปลอม ที่ข้าทราบข่าวแล้วรีบกลับเมืองก็เพราะอยากรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใครกันแน่ มีแผนร้ายใดถึงจ้องจะเล่นงานข้าทุกย่างก้าว”


 


 


           “เป็นเช่นนี้” ฉินเจิงขมวดคิ้ว


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “ในเมื่อเจ้าจัดแจงไว้แล้ว เหตุใดถึงไม่บอกข้าสักคำ ข้าเห็นว่าเจ้ารีบกลับเมือง ยังคิดว่า…” ฉินเจิงมองนาง


 


 


           “ข้าเห็นว่าเจ้าเหนื่อยเกินไป” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           “ใช่หรือ” ฉินเจิงเลิกคิ้ว


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก เลื่อนสายตามองไปยังข้างหลัง เห็นเพียงขอบฟ้าสีแดงเพลิง ทว่าอยู่ห่างกันค่อนข้างไกลจึงมองไม่เห็นเปลวไฟ นางเอ่ยขึ้น “ไม่นึกเลยว่าเป็นสามปรมาจารย์ของเขาไร้นาม ที่แท้ก็อยากได้ตำราเคล็ดวิชาในมือข้า”


 


 


           ฉินเจิงเงียบ


 


 


           “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ตลอดมา” เซี่ยฟางหวามองขอบฟ้าสีแดงเพลิงพักหนึ่งก่อนหันกลับมาถามฉินเจิง


 


 


           “ข้าคิดว่าเขาไร้นามล่มสลายลงแล้ว พวกเขาก็ตายไปด้วย” ฉินเจิงมีสีหน้าไม่น่ามอง เขาส่ายหน้าตอบ


 


 


           “ข้ามั่นใจว่าทำลายเขาไร้นามไปแล้ว แต่น่าแปลกใจนัก พวกเขายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน” เซี่ยฟางหวาไม่เข้าใจ


 


 


           ฉินเจิงเอามือไพล่หลัง มองไปยังขอบฟ้าสีแดงเพลิงข้างหลังเช่นกัน ไตร่ตรองใช้ความคิดพักหนึ่งก็เอ่ยเสียงเข้ม “สายลับราชสำนักไม่ใช่มีแค่ที่เขาไร้นาม เขาไร้นามเป็นเพียงสถานที่ที่ใต้หล้ารู้จักโดยทั่วกันเท่านั้น”


 


 


           “เป็นเช่นนี้” เซี่ยฟางหวาตกใจ


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้ารับ


 


 


           “เหตุใดที่ผ่านมาถึงไม่มีใครเอ่ยถึงเลย เจ้าก็ไม่เคยบอกข้าเหมือนกัน” เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           “ข้าก็เพิ่งรู้ไม่นานมานี้” ฉินเจิงเงียบลงพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขา พบว่าใบหน้าเขาแฝงไปด้วยความวังเวงอันมืดสลัว นางพลันเอ่ยขึ้น “ฉินเจิง ข้าว่าตั้งแต่เรากลายเป็นสามีภรรยากัน ระหว่างเจ้ากับข้ากลับยิ่งห่างกันไกลเรื่อยๆ”


 


 


           “เหตุใดถึงรู้สึกเช่นนี้” ฉินเจิงมองนางพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขา นัยน์ตาของเขาอ้างว้างเสียยิ่งกว่าราตรีอันมืดมิด นางยิ้มออกมาแล้วเอ่ยเสียงเบา “เมื่อก่อนเจ้าอยากให้ข้าจริงใจด้วย ข้าก็ยอมจริงใจต่อเจ้าแล้ว ต่อให้มีเรื่องปิดบังแม้แต่นิดเดียวก็รู้สึกไม่ดีต่อเจ้า แต่ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ายังจริงใจต่อข้าหรือไม่”


 


 


           “เจ้าอยากรู้อะไรก็ถามข้า เรื่องที่เจ้าถามมาหากข้ารู้ก็จะบอกเจ้า” ฉินเจิงเม้มปาก


 


 


           เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขาพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็หันหลังให้ น้ำเสียงแผ่วเบาถึงที่สุด “ได้หรือ”


 


 


           “ได้!” ฉินเจิงผงกศีรษะ


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบลงพักหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อก่อนเวลามองเจ้า ข้าคิดว่าแม้เจ้ามีนิสัยใจคอและอารมณ์ซับซ้อนยากคาดเดาได้ แต่อย่างน้อยข้ายังคิดว่าอ่านใจเจ้าได้ชัดเจน ทว่าตั้งแต่เจ้ารักษาตัวในวังหลวงหลังถูกฮ่องเต้สั่งวางค่ายกลประตูมังกร หลังจากข้าทั้งเข้าวังแล้วกลับออกมา กระทั่งเจ้าขอตัดความสัมพันธ์กับข้าที่จวนพี่อวิ๋นหลาน นับแต่นั้นเป็นต้นมาข้าก็รู้สึกว่าอ่านใจเจ้าไม่ออกแล้ว ตรงหน้าเจ้าเหมือนถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาชั้นแล้วชั้นเล่า คล้ายกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน”


 


 


           “เช่นนั้นหรือ” ฉินเจิงก้าวขึ้นมายืนซ้อนหลังนาง


 


 


           “ใช่” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ฉินเจิงเงียบลง ไม่พูดไม่จา


 


 


           เซี่ยฟางหวาจ้องมองผืนน้ำเบื้องหน้าพักหนึ่ง ก่อนหันกลับมาเชื่องช้า สบเข้ากับดวงตาเขา “แท้จริงที่เจ้าได้แต่งงานกับข้า ได้แลกเปลี่ยนเงื่อนไขใดกับฝ่าบาทกันแน่”


 


 


           “เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้” ฉินเจิงขมวดคิ้ว


 


 


           “หากข้าไม่ถาม เจ้าก็คงไม่ยอมบอกใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           ฉินเจิงเม้มปากเงียบ


 


 


           “เจ้าบอกว่าขอเพียงข้าถาม เจ้าก็จะตอบข้าทุกสิ่งที่รู้ไม่ใช่หรือ ไฉนผ่านไปครู่เดียวถึงไม่ทำตามสัญญาแล้ว” เซี่ยฟางหวาโกรธขึ้นมาทันที


 


 


           ฉินเจิงเบือนหน้า ชั่วพริบตาก็ยิ้มออกมา ก่อนดึงนางเข้ามากอดไว้แน่น “จะเงื่อนไขใดได้ หากพระองค์ทรงไม่ยอมให้ข้ากับแต่งงานกับเจ้า ข้าก็จะทำลายบ้านเมืองหนานฉินทิ้งเสีย เจ้าก็รู้ว่าบ้านเมืองหนานฉินสำคัญกับเสด็จอาเพียงใด”


 


 


           “ฉินเจิง เจ้าอย่าโกหกข้า เจ้ารู้ว่าบ้านเมืองหนานฉินสำคัญกับฝ่าบาทเพียงใด ฝ่าบาททรงเห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ พระองค์ย่อมรู้จักนิสัยเจ้าเช่นกัน แม้พระองค์ทรงไม่อนุญาต แต่เจ้าก็ไม่มีทางทำอะไรบ้านเมืองหนานฉินเป็นแน่ มิฉะนั้นตัวเจ้าเองจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษของหนานฉินและเต๋อฉือไทเฮาเสด็จย่าของเจ้า” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           ฉินเจิงขมวดคิ้ว


 


 


           “เจ้าบอกข้ามาตามตรง พระราชโองการครั้งที่สองของฝ่าบาทนั้น เจ้าใช้วิธีการใดบีบบังคับให้พระองค์ยอมตกลง” เซี่ยฟางหวาแกะมือเขาออก ทอดสายตามองเขานิ่ง


 


 


           “ภรรยา เจ้าแตะโดนแผลข้า” ฉินเจิงสูดปากด้วยความเจ็บ


 


 


           “บ้านเมืองหนานฉินถูกสายลับราชสำนักควบคุมใช่หรือไม่ หรือฝ่าบาทถูกสายลับราชสำนักควบคุม เจ้าทำให้ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการครั้งที่สองได้ต้องแลกเงื่อนไขใดเป็นแน่ เพียงแต่คนที่เจ้าแลกเปลี่ยนด้วยใช่ไม่ใช่ฝ่าบาท แต่เป็นใครบางคนที่ควบคุมสายลับราชสำนักไว้ ด้วยเหตุนี้ที่เจ้ากับฉินอวี้ร่วมมือกัน ก็เป็นเพราะสายลับราชสำนักคุกคามบ้านเมืองหนานฉิน ใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยใบหน้านิ่งขรึม


 


 


           ฉินเจิงหุบรอยยิ้มเชื่องช้า


 


 


           “คดีที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก คดีหมอหลวงซุนถูกสังหาร คดีใต้เท้าหานถูกสังหาร จินเยี่ยนต้องคำสาปเข้าฝัน เกิดดินถล่มโคลนไถลที่อารามลี่อวิ๋น รวมถึงเจ้าถูกลอบสังหารระหว่างทางมาช่วยข้า ที่เจ้าได้รับบาดเจ็บภายใน เป็นเพราะเจ้าได้ประมือกับปรมาจารย์ของสายลับราชสำนัก…” เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขา “เจ้าฉลาดถึงเพียงนี้ น่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าเขาไร้นามแม้ถูกข้าทำลายไปแล้ว แต่สามปรมาจารย์กลับไม่ได้ถูกข้าสังหารไปด้วย ใช่หรือไม่”


 


 


           ฉินเจิงเม้มปาก เงียบไม่เอ่ยคำใด


 


 


           “ฉินเจิง เรายังเป็นสามีภรรยากันหรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           “แน่นอนว่าเป็น!” ฉินเจิงรีบตอบ


 


 


           “แม้ข้าไม่ค่อยเข้าใจหลักการอยู่ร่วมกันของคู่สามีภรรยา แต่ก็รู้ว่าสามีภรรยาที่อยู่ร่วมกันไม่เป็นเหมือนพวกเราเช่นนี้ ข้าอยากใกล้ชิดเจ้าให้มากกว่านี้ แต่กลับรู้สึกได้ถึงระยะห่างกั้นข้าเอาไว้ข้างนอก เข้าไปใกล้เจ้าไม่ได้” เซี่ยฟางหวาก้มหน้ามองปลายเท้า “เจ้าเสียใจที่แต่งกับข้าใช่หรือไม่”


 


 


           “เจ้าคิดเหลวไหลอันใดอยู่” ฉินเจิงก้าวขึ้นมา โมโหเล็กน้อย “ข้าจะเสียใจที่แต่งกับเจ้าได้อย่างไร”


 


 


           “เช่นนั้นเจ้า…” เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           “ก่อนเหยียนเฉินออกเดินทางได้บอกกับข้าว่าห้ามทำให้เจ้าคิดมากโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะไม่เป็นผลดีกับการบำรุงร่างกาย เรื่องบางเรื่องข้าจึงไม่ได้บอกเจ้า เพื่อไม่ให้เจ้าใช้ความคิดมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หลายเรื่องสำหรับข้าแล้วก็เสมือนหมอกหนาทึบ รู้บ้างไม่รู้บ้าง หากบอกเจ้าไป มีแต่จะยิ่งทำให้เจ้าใช้ความคิดมากร่วมกับข้า เช่นนั้นไม่บอกเสียดีกว่า” ฉินเจิงถอนหายใจออกมา


 


 


           “เป็นเช่นนี้หรือ” เซี่ยฟางหวาจ้องเขา


 


 


           “ย่อมเป็นเช่นนี้ ข้าใช้ความคิดไปมาก ทำทุกวิถีทางกว่าจะได้แต่งกับเจ้า หากไม่ใช่เพราะข้ารักเจ้า ชีวิตนี้จะแต่งงานกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น มีหรือจะเป็นเช่นนี้ มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าเพราะเหตุใด” ฉินเจิงยกมือลูบศีรษะนาง เอ่ยด้วยความโกรธ


 


 


           “เจ้าทำผมข้ายุ่งหมดแล้ว!” เซี่ยฟางหวายกมือไปลูบเส้นผมตนเอง


 


 


           “เจ้าสงสัยข้าทั้งยั่วโมโหข้าอีก ใครจะยังสนว่าผมเจ้ายุ่งหรือไม่อีก” ฉินเจิงทั้งโมโหทั้งยิ้มขำ


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นว่าเขาโกรธก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ความรู้สึกที่ฉินเจิงมีต่อนางนั้นย่อมไร้ข้อกังขา เพียงแต่ทันทีที่นางทราบว่าสามปรมาจารย์ของเขาไร้นามยังไม่ตาย ชั่วเวลาหนึ่งก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นได้ ผนวกกับช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เสมือนมีหมอกหนานทึบบดบัง ทำให้จิตใจนางว้าวุ่น ทันทีที่จับความรู้สึกได้รู้สึกว่าคล้ายจริงคล้ายไม่จริง มองเห็นไม่ชัดเจน แม้แต่ฉินเจิงก็ยังทำให้นางรู้สึกพร่ามัว ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้


 


 


           เมื่อนึกได้เช่นนี้นางก็ยกมือกุมหน้าผาก เอ่ยขึ้นด้วยความอ่อนล้าหมดแรง “ขอโทษ ข้าผิดเอง ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นเยอะเกินไป ยากนักที่ข้าจะไม่คิดมาก…”


 


 


           “ไม่ต้องขอโทษ” ฉินเจิงเอามือนางออกแล้วดึงนางเข้ามากอดแทน “เซี่ยฟางหวา ไม่ว่าเมื่อไรเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษข้า ข้าเป็นสามีของเจ้า เจ้าจงระลึกไว้ทุกขณะก็พอแล้ว ผูกผมเป็นสามีภรรยา ความรักของเราไร้ซึ่งข้อกังขา พวกเราสมรสกันแล้ว ข้าได้แต่งกับเจ้า เจ้าได้ออกเรือนกับข้า แท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องกุมมือกันเดินไปจวบจนร้อยปี”


 


 


           “อืม” ขอบตาเซี่ยฟางหวาชื้นเล็กน้อย นางวาดมือกอดเขา ซบศีรษะเข้ากับแผ่นอก พยักหน้ารับด้วยความหนักแน่น


 


 


           “ผู้ใดหรือเหตุการณ์ใดก็ตามล้วนไม่อาจแยกเราได้ เจ้าจงจำไว้” ฉินเจิงกล่าวอีก


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าอีกครั้ง


ตอนที่ 53-2 รักอันไร้ข้อกังขา

 

ฉินเจิงกระชับกอดนางแน่นพักใหญ่ก่อนผละตัวออกเชื่องช้า ยกมือเคาะหน้าผากนางแผ่วเบา “เจ้าทำให้ข้าต้องเป็นห่วงเสียจริง”


 


 


           เซี่ยฟางหวากัดริมฝีปาก


 


 


           ฉินเจิงโน้มศีรษะไปจุมพิตมุมปากนางแผ่วเบา เซี่ยฟางหวาสะดุ้งตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ฉินเจิงดึงนางมากอดใหม่อีกครั้ง ก่อนมอบจุมพิตที่ลึกซึ้งกว่านั้นให้


 


 


           เซี่ยฟางหวาคล้ายเวียนหัวในพริบตา นางยกมือตีเขาแล้วดันตัวออก เอ่ยเสียงทุ้มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “พวกซื่อฮว่าแปดคนยังอยู่ เจ้าอย่าวอแวข้า”


 


 


           “พวกนางไม่กล้ามองหรอก” ฉินเจิงแม้กล่าวเช่นนี้ แต่ก็ยอมปล่อยนางอย่างอ้อยอิ่ง


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่กล้ามองเขา ก้มหน้ามองปลายเท้าตนเอง


 


 


           “อีกนานกว่าฟ้าจะสว่าง ไม่ไกลนี้มีครอบครัวเกษตรกรในชนบทแห่งหนึ่ง เราขึ้นเขาไปขอค้างสักคืนแล้วกัน” ฉินเจิงหัวเราะแผ่วเบา กุมมือนางไว้แล้วเอ่ยขึ้น


 


 


           “เขาจะให้คนนอกค้างแรมหรือ” เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           “คนอื่นอาจจะไม่ แต่ข้ารู้จักสามีภรรยาชราคู่หนึ่ง เมื่อก่อนเวลามาล่าสัตว์มักขอค้างด้วยเป็นประจำ” ฉินเจิงตอบ


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองฟ้าแวบหนึ่งก่อนพยักหน้าตกลง จากนั้นก็มองไปยังข้างหลังอีกครั้ง “เพลิงไหม้เผาผืนป่าครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเปลวเพลิงจะมอบดับลงเมื่อไร จะลุกลามไปถึงครอบครัวชาวบ้านหรือไม่”


 


 


           “ป่าผืนนั้นไม่มีใครอาศัยอยู่ อีกอย่างเมื่อเกิดไฟไหม้ป่า ทหารทางการในอำเภอใกล้ๆ ทราบข่าวก็จะรีบมาช่วยดับไฟ วางใจเถอะ เพลิงไหม้ไม่ได้ลุกลามเป็นวงกว้าง” ฉินเจิงบอก


 


 


           “เมื่อครู่ในป่าผืนนั้นมีกันกี่คนกันแน่ ปรมาจารย์ทั้งสามท่านนั้นอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันหรือไม่” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้นอีก


 


 


           “น่าจะมีแค่คนเดียว หากอยู่พร้อมกันทั้งสามคน มีหรือจะกลัววิทยายุทธ์ของเจ้ากับข้า คงแสดงตัวออกจากป่าตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้” ฉินเจิงตอบ “แต่เจ้าวางเพลิงได้ดีเยี่ยม การจะหนีออกจากทะเลเพลิงก็คงลวกผิวหนังชั้นหนึ่ง ระหว่างนี้คงหยุดเคลื่อนไหวก่อน”


 


 


           “ตอนนี้เจ้าบอกความจริงกับข้าได้หรือยัง การสมรสของเรา เจ้าทำเช่นไรถึงทำให้ฝ่าบาททรงยอมออกพระราชโองการครั้งที่สองกันแน่” เซี่ยฟางหวาถามอีก


 


 


           “อยากรู้จริงหรือ” ฉินเจิงคลึงหน้าผาก


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “เมื่อครู่ที่เจ้าเดาก็ไม่ได้ถูกทั้งหมด มีคนจากสายลับราชสำนักควบคุมเสด็จอาจริง แต่ไม่เคยควบคุมได้ทั้งหมด เสด็จอาเป็นคนเช่นไร นิสัยของพระองค์นั้นแท้จริงแล้วแข็งแกร่งมาก แม้บัลลังก์มังกรนั้นจะผ่านการกระทำความผิดมาบ้าง แต่สุดท้ายการครองตำแหน่งมาหลายปีก็นำมาด้วยความมีเกียรติสูงส่งในฐานะจักรพรรดิเช่นกัน พระองค์ทรงอดกลั้นตลอดมา หลังข้าสังเกตเห็นเข้า ข้าจึงบอกเรื่องที่ฉินอวี้ร่ายคำสาปใจเดียวใส่ข้ากับพระองค์ตามความจริง หากพระองค์ไม่ยอมออกพระราชโองการสมรสพระราชทาน ข้าก็จะลากฉินอวี้ไปตายด้วยกัน จะไปกล่าวคำขอโทษต่อบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ ว่าทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ ไม่อาจมีแค่ข้าเพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ก็แก่แล้ว ถึงอยากปกป้องบ้านเมืองหนานฉินหากแต่สังขารไม่อำนวย ผู้ที่พึ่งพาได้ก็มีเพียงแค่พวกเราเท่านั้น” ฉินเจิงตอบ


 


 


           “เช่นนั้น สิ่งที่เจ้ากับฝ่าบาทตกลงร่วมกันก็คือเจ้าจะปกป้องบ้านเมืองหนานฉิน พระองค์จึงทรงออกสมรสพระราชทาน อนุญาตให้เจ้าแต่งกับข้า” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าด้วยความเข้าใจ


 


 


           ฉินเจิงดีดนิ้ว ม้าที่กำลังกินหญ้าอยู่รีบวิ่งมาหาทันที เขาอุ้มเซี่ยฟางหวาขึ้นม้าแล้วพยักหน้า “ถูกต้อง”


 


 


           “เช่นนั้นเหตุใดตอนยกน้ำชาขอบคุณ น้ำชาของพระองค์ถึงมีปัญหา หมายทำร้ายตัวเองเพื่อเอาผิดข้า” เซี่ยฟางหวาถามขึ้นอีก


 


 


           “น่าจะไม่ใช่เจตนาเดิมของเสด็จอา” ฉินเจิงตอบ “มีคนต้องการชีวิตเจ้า”


 


 


           “ไม่นึกเลยว่าชีวิตข้าจะมีค่าถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ผู้ควบคุมเบื้องหลังของสายลับราชสำนักวางแผนทุกย่างก้าว” เซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมา


 


 


           ฉินเจิงแค่นหัวเราะ แล้วโอบกอดนาง “ชีวิตเจ้าย่อมมีค่า”


 


 


           เซี่ยฟางหวาชะงัก “ตอนนี้ดูท่าไม่ได้ต้องการชีวิตข้าแล้ว แต่อยากได้ตำราเคล็ดวิชาในมือข้ามากกว่า”


 


 


           ฉินเจิงวางศีรษะหนุนไหล่เซี่ยฟางหวา ขาทั้งสองข้างหนีบเข้ากับท้องม้า ก่อนกระโจนม้ามุ่งไปยังเนินเขา ขณะเดียวกันก็เอ่ยถาม “เจ้าได้ตำราเคล็ดวิชามาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไร”


 


 


           “หนึ่งในสามส่วนเก็บไว้ที่เขาไร้นาม อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่จวนจงหย่งโหว ตอนปีใหม่ช่วงที่จัดงานเลี้ยงวันสิ้นปีขึ้นที่วังหลวง ฉินเหลียนพาข้าไปยังหอเก็บหนังสือในวัง ข้าจึงได้ส่วนสุดท้ายมา” เซี่ยฟางหวาตอบ “เป็นเช่นนี้ ข้าจึงได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจ”


 


 


           “ท่าทางจะเป็นสวรรค์ลิขิต” ฉินเจิงบอก


 


 


           “เจ้าเชื่อเรื่องสวรรค์ลิขิตด้วยหรือ” เซี่ยฟางหวาพิงแผ่นอกเขา


 


 


           ฉินเจิงส่งเสียง “อืม” ตอบ แยกแยะอารมณ์ไม่ได้


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก หากเอ่ยถึงเรื่องสวรรค์ลิขิต นางก็ย่อมเชื่อเรื่องนี้เช่นกัน หากไม่ได้นักพรตจื่ออวิ๋นช่วยฝืนกฎธรรมชาติแก้ไขชะตากรรมให้ ตอนนี้นางคงยังเดินไปยังสะพานไน่เหอโดยเลียบเส้นทางซึ่งรายล้อมด้วยดอกปี่อั้น*[1]ในยมโลกแล้วดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง หาใช่คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว หาใช่เซี่ยฟางหวาอีกต่อไป เรื่องราวในอดีตทั้งหมดจะถูกลบเลือนกลายเป็นเถ้าถ่าน


 


 


           ถ้าเป็นเช่นนั้นนางก็จะไม่ได้รู้จักฉินเจิง จำฉินเจิงไม่ได้อีก และไม่มีโอกาสได้ออกเรือนกับเขา…


 


 


           นางนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็พลันเจ็บแปลบที่หัวใจ จึงหันกายกลับมากอดเอวฉินเจิงแน่น


 


 


           “เป็นอะไรไป” ฉินเจิงก้มมองนาง


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           ฉินเจิงมองนาง มือข้างหนึ่งโอบนางไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็ควบม้าตรงไปยังภูเขา


 


 


           หลังเดินทางไปอีกประมาณสามสี่ลี้ก็พบกระท่อมที่สร้างด้วยหญ้าเหมาสามหลังตั้งอยู่บริเวณกลางภูเขา ล้อมรอบด้วยรั้วที่ทำจากไม้


 


 


           เมื่อมาถึงหน้าทางเข้า ฉินเจิงก็อุ้มเซี่ยฟางหวาลงจากม้า ก่อนเอื้อมมือไปเคาะประตู


 


 


           หลังเคาะไปครู่หนึ่งก็มีเสียงคนแก่ดังออกมาจากข้างใน “ใครน่ะ”


 


 


           “ข้าเอง ฉินเจิง” ฉินเจิงตอบ


 


 


           “ฉินเจิง คุณชายรอง…เจิง” ชายชราพูดพลางก็รีบลุกมาคลุมเสื้อลงจากเตียง


 


 


           “คุณชายรองอันใดกัน ท่านอ๋องน้อยต่างหาก” เสียงผู้หญิงค่อนข้างมีอายุดังขึ้น ก่อนคลุมเสื้อตามแล้วออกมาที่ประตู


 


 


           ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกจากข้างใน เป็นชายหญิงมีอายุราวห้าสิบกว่าปีแล้ว เมื่อเห็นฉินเจิงชัดเจนก็แสดงความแปลกใจ “ที่แท้ก็เป็นท่าน มาได้อย่างไร” ไม่รอฉินเจิงตอบก็หันมามองเซี่ยฟางหวา “ท่านนี้คือ…”


 


 


           “ผ่านมากลางดึก รบกวนแล้ว นางเป็นภรรยาของข้า” ฉินเจิงยิ้ม


 


 


           “คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว” ชายชรานึกได้ทันที


 


 


           “เป็นพระชายาน้อยต่างหาก!” หญิงชราพูดได้ถูกต้องกว่า


 


 


           “ไอ้หยา แค่ฐานะเท่านั้นที่ต่างกัน ยายแก่เช่นเจ้าชอบขัดข้านัก” ชายชราพูดพลางก็รีบเชิญทั้งคู่เข้าไปข้างใน ทั้งพูดกับพวกซื่อฮว่าที่อยู่ข้างหลัง “แล้วแม่นางเหล่านี้…”


 


 


           “มาด้วยกัน” ฉินเจิงตอบ


 


 


           “แต่กระท่อมเล็กเกินไป เกรงว่าแม่นางเหล่านี้…” ชายชราลำบากใจอยู่บ้าง


 


 


           “ไม่เป็นไรหรอกผู้เฒ่า เราไม่ต้องนอนก็ได้ แค่ครึ่งคืนเท่านั้นเอง” ซื่อฮว่ารีบบอก “ขอเพียงท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยของเรามีที่พักผ่อนก็พอแล้ว”


 


 


           “หากแม่นางไม่รังเกียจก็พักในโรงเก็บฟืนได้” ชายชราได้ยินเช่นนั้นก็เชิญทั้งแปดเข้ามาในลานบ้าน


 


 


           หลังทักทายกันเสร็จแล้ว ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้าพักในห้องห้องหนึ่ง เมื่อล้มตัวนอนลง ฉินเจิงก็โน้มกายคร่อมทับเซี่ยฟางหวา ก่อนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เดิมไม่ควรรบกวนสองตายายกลางดึก แต่ทำเช่นไรได้ ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว”


 


 


           “ไม่ได้” เซี่ยฟางหวาหน้าแดงทันที ยกมือผลักเขาออก


 


 


           ฉินเจิงไม่ยอมให้นางพูดมากความ เลื่อนมือมาปลดสายรัดเอวนางออก ก่อนโน้มใบหน้าจุมพิตนาง


 


 


 


 


*ดอกปี้อั้น ดอกไม้ของคนตาย มักปลูกเอาไว้ตามหลุมศพ ไม่นิยมนำมาจัดแจกันเพราะถือว่าเป็นดอกไม้อัปมงคล ตามความเชื่อจีนเล่าว่า ดอกปี่อั้นจะเบ่งบานตลอดสองข้างทางไปยังนรกเพื่อส่งวิญญาณผู้ตายไปเกิดใหม่ 

 

 


ตอนที่ 54 ความรู้สึกอันลึกซึ้ง

 

     เซี่ยฟางหวาปฏิเสธมิได้ ได้แต่ปล่อยให้ฉินเจิงกระทำตามใจปรารถนา


 


 


           ห้วงวสันต์ในค่ำคืนนี้จบลงอย่างรวดเร็ว


 


 


           เช้าวันถัดมา เซี่ยฟางหวาตื่นจากการหลับลึกก็ยามตะวันโด่งฟ้าแล้ว


 


 


           นางเปิดเปลือกตาขึ้นพบว่าข้างกายว่างเปล่าจึงยื่นมือออกไปสัมผัสฟูกนอนด้านข้างถึงทราบว่าค่อนข้างเย็นเยียบ ภายในห้องไร้ผู้ใด เสียงสนทนาดังแว่วมาจากข้างนอก น้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างยิ่ง เมื่อเงี่ยหูฟังก็ทราบว่าเป็นพวกซื่อฮว่ากับหญิงชราท่านนั้น นางคลุมเสื้อลงจากเตียง แต่งกายให้เรียบร้อยแล้วเดินออกมา


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อกำลังเก็บผักป่าให้หญิงชราท่านนั้นอยู่นอกลานบ้าน


 


 


           “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือ” เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็รีบลุกขึ้นเดินมาหา


 


 


           “พระชายาน้อย” หญิงชราท่านนั้นรีบลุกขึ้นทำความเคารพ


 


 


           “เมื่อคืนรบกวนท่านแล้ว ไม่ต้องมากพิธีหรอก” เซี่ยฟางหวายิ้มพลางเอื้อมมือรองนางให้ลุกขึ้น


 


 


           “พระชายาน้อยดุจเทพธิดาก็มิปาน” หญิงชราพินิจมองเซี่ยฟางหวา “เมื่อคืนฟ้ามืด สายตาข้าฝ้าฟางจึงมองไม่ชัด ยังคุยกับตาแก่นั่นอยู่เลยว่าวันนี้จะต้องพินิจมองให้เต็มตา ยามนี้เห็นแล้วมีหรือจะมิใช่เทพธิดาลงมาโปรด ท่านอ๋องน้อยช่างมีวาสนาดีนัก”


 


 


           เซี่ยฟางหวายิ้มบาง กวาดตามองรอบกายแต่ไม่เห็นเงาฉินเจิงจึงถามขึ้น “ฉินเจิงเล่า”


 


 


           “เรียนคุณหนู ท่านอ๋องน้อยออกไปล่าสัตว์ในป่ากับผู้เฒ่าตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ารีบตอบ “ก่อนไปได้กำชับพวกเราว่าห้ามเข้าไปรบกวนท่าน บอกว่าเมื่อคืนท่านเหนื่อย ให้ท่านได้นอนพักมากหน่อย”


 


 


           เซี่ยฟางหวานึกถึงเมื่อคืนก็หน้าร้อนขึ้นมาทันที “เขาบอกหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไร”


 


 


           “บอกว่าก่อนเที่ยงเจ้าค่ะ น่าจะใกล้กลับมาแล้ว” ซื่อฮว่ายื่นมือมาประคองนาง “บ่าวช่วยปรนนิบัติท่านล้างตาล้างตาดีกว่า”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อตักน้ำสะอาดเข้ามา รุมล้อมปรนนิบัติล้างหน้าหวีผมให้เซี่ยฟางหวาอย่างขะมักเขม้น


 


 


           “อย่างไรผู้ร่ำรวยมีเกียรติก็แตกต่าง พระชายาน้อยช่างมีวาสนาดีนัก” หญิงชรามองด้วยความอิจฉาอยู่ด้านข้าง


 


 


           เซี่ยฟางหวามองนางแล้วแย้มยิ้มบาง “ท่านสองคนอยู่ในภูเขาแห่งนี้มานานเท่าไรแล้ว”


 


 


           “เราน่ะหรือ หลายสิบปีแล้ว ข้ากับตาแก่ต้องล่าสัตว์ตัดฟืนเพื่อเลี้ยงชีพ หลายปีก่อนหลังได้รู้จักกับท่านอ๋องน้อย เขาก็มอบที่นาหลายหมู่ให้พวกเรา ต่อมาก็หันมาทำนาเลี้ยงชีพแทน น้อยครั้งจะออกไปล่าสัตว์” หญิงชรานั่งบนขั้นบันไดแล้วเอ่ยตอบ


 


 


           “ท่านอยู่กันสองคนหรือ มีลูกหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           หญิงชราพยักหน้าก่อนจะส่ายหน้าด้วย “เราสองคนมีลูกชายคนหนึ่ง หลายปีก่อนตอนออกไปสัตว์เจอกับฝูงหมาป่าเข้า เพราะหลบไม่ทันจึงถูกฝูงหมาป่าล้อมโจมตีรุมขย้ำเอา ก่อนตายเขายังไม่ได้แต่งภรรยาจึงไม่มีลูกหลานให้เลี้ยงดูต่อ เหลือเพียงเราสองคนเท่านั้น”


 


 


           “ฝูงหมาป่า?” เซี่ยฟางหวาชะงัก


 


 


           “พบกับฝูงหมาป่าจริง ตอนนั้นตาแก่กับลูกชายออกไปด้วยกัน โชคดีที่ได้พบกับท่านอ๋องน้อยเข้า หากไม่ได้ท่านอ๋องน้อยช่วยชีวิตตาแก่ ข้าคงสูญเสียทั้งลูกชายและสามีไปแล้ว บางทีอาจตายตามพวกเขาไปด้วย ไม่มีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงตอนนี้ ท่านอ๋องน้อยเป็นคนดี ทั้งที่มีฐานะสูงศักดิ์แท้ๆ กลับมีจิตใจงดงามมาก ไม่ได้ดูถูกพวกเราเลยแม้แต่น้อย หลังไล่ฝูงหมาป่าไปก็กำชับตาแก่ว่าอย่าออกไปล่าสัตว์อีก จากนั้นก็มอบที่นาหลายหมู่ให้เราดำรงชีวิต” หญิงชราพยักหน้า


 


 


           “ตรงนี้ห่างจากตัวตำบลไม่ไกลนัก ฝูงหมาป่ามาจากไหน” เซี่ยฟางหวาสงสัย


 


 


           “มิทราบ” หญิงชราส่ายหน้า


 


 


           “ท่านบอกว่าหลายปีก่อน พอจำได้หรือไม่ว่ากี่ปีมาแล้ว” เซี่ยฟางหวาถามอีก


 


 


           หญิงชราครุ่นคิดทั้งนับนิ้วคำนวณดู “ประมาณเจ็ดปีก่อน”


 


 


           “ผ่านมานานมากแล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้มบอก


 


 


           “นั่นสิ นานจนข้าลืมไปแล้วว่าลูกชายหน้าตาเป็นเช่นไร” หญิงชราถอนหายใจ “ตอนนี้เขาคงไปเกิดใหม่แล้วกระมัง”


 


 


           “จะต้องเกิดมาในครอบครัวที่ดีแน่” เซี่ยฟางหวาปลอบ


 


 


           “อืม ขออย่าให้เขาได้เกิดมาในครอบครัวคนจนอย่างเราเลย หวังว่าเขาจะได้เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย เป็นคุณชายผู้มีเกียรติสูงศักดิ์ เหมือนอย่างท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยที่มีชีวิตดีถึงเพียงนี้” หญิงชรากล่าว


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “บางครั้งความร่ำรวยมีเกียรติก็เทียบกับการใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ แบบคนธรรมดาไม่ได้”


 


 


           หญิงชราอุทาน “เอ๋” แล้วพูดต่อ “พระชายาน้อยกับท่านอ๋องน้อยก็รักกันมากไม่ใช่หรือ หรือว่าไม่สมดังปรารถนา”


 


 


           “เราย่อมรักกันมาก เพียงแต่เพราะฐานะ ทำให้ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบบนบ่านั้นมากตามเช่นกัน ข้าอยากใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย หากได้ใช้ชีวิตแบบท่านสองคน ทำนา ล่าสัตว์ ตัดฟืนอยู่ในชนบท ผ่านแต่ละวันไปอย่างสงบเรียบง่ายก็คงดีอย่างยิ่ง แม้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับท่านสองคน แต่สำหรับเรานั้นยากดุจทะยานสู่ฟ้า” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้มออกมา


 


 


           หญิงชราได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจบ้าง “ที่แท้พระชายาน้อยผู้มีฐานะร่ำรวยมีเกียรติเหลือกินเหลือใช้ กลับอยากมีชีวิตแบบพวกเรา” พูดจบนางก็ยิ้มกริ่ม “ข้าทราบว่าตระกูลร่ำรวยมีเกียรตินั้นมีกฎระเบียบมาก คงไม่ง่ายเช่นกัน ต่างคนต่างมีความขมขื่นและความหอมหวาน”


 


 


           “ถูกต้อง” เซี่ยฟางหวายิ้มพลางพยักหน้า


 


 


           ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสียงกีบเท้าม้าก็ดังขึ้นจากข้างนอก


 


 


           ซื่อฮว่ามองออกไปแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องน้อยกลับมาแล้ว”


 


 


           เซี่ยฟางหวาก็หันไปมองเช่นกัน ไม่นานก็เห็นม้าสองตัวหยุดหน้าทางเข้าบ้าน ฉินเจิงกับชายชราลงจากหลังม้า กระต่ายหลายตัว ยังมีหมูป่าตัวหนึ่งถูกแขวนไว้ข้างหน้า


 


 


           ฉินเจิงสวมชุดผ้าโปร่งคาดเอวหลวม รูปงามล้ำเลิศ หลังลงจากม้าก็เดินตรงมาที่ลานบ้าน เดินไปหาเซี่ยฟางหวาด้วยฝีเท้าว่องไวแผ่วเบา


 


 


           “ไอ้หยา ข้าไม่เคยพบคุณชายรูปงามเช่นท่านอ๋องน้อยมาก่อน ไม่ใช่แค่นิสัยใจคอหรือพฤติกรรมเท่านั้นที่ดีงาม แต่ยังมีรูปลักษณ์หล่อเหลา มีวิทยายุทธ์ยอดเยี่ยมมากด้วยเช่นกัน คุณชายจากตระกูลใหญ่เหล่านั้นมิอาจเทียบท่านอ๋องน้อยได้สักคน” หญิงชรายิ้มกล่าวกับเซี่ยฟางหวา


 


 


           เซี่ยฟางหวาหัวเราะแผ่วเบา หากแต่ก็พยักหน้าคล้อยตาม “ข้าก็คิดว่าสามีข้าเป็นคุณชายที่พานพบได้ยากในใต้หล้าเช่นกัน”


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็เม้มปากกลั้นยิ้ม


 


 


           ระหว่างที่ฉินเจิงเดินเข้ามาก็บังเอิญได้ยินทั้งสองคุยกันพอดี เขาอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมา เดินเข้ามาใกล้แล้วกดหน้าผากเซี่ยฟางหวา “คนอื่นชมไม่เป็นไร แต่เจ้าเป็นคนของข้า ชมข้าเช่นนี้ไม่อายหรือ”


 


 


           “ไม่อาย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า เอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง “เดิมเจ้าก็ดีมากอยู่แล้ว”


 


 


           ฉินเจิงแย้มยิ้มอันลึกซึ้ง กระทั่งหางคิ้วและหางตายังยกยิ้มตาม เขายกมือโอบนาง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน “เมื่อคืนเจ้าเอาแต่พูดว่าเหนื่อย วันนี้นอนถึงกี่ยามกว่าจะตื่นมา ไฉนถึงไม่นอนให้มาก ยังเหนื่อยหรือไม่”


 


 


           เซี่ยฟางหวาหน้าร้อนผ่าวดุจไฟเผาทันที กระซิบตอบด้วยเสียงอู้อี้ “ไม่เหนื่อยแล้ว เพิ่งตื่นไม่นานนี่เอง”


 


 


           ฉินเจิงยิ้มพลางพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาต่อ “พอกลับถึงบ้านแล้ว ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”


 


 


           เซี่ยฟางหวารู้สึกคล้ายหน้าใกล้จะไหม้แล้วจึงผลักเขาออก


 


 


           ฉินเจิงถือโอกาสผละตัวออกเล็กน้อย ก่อนสั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อ “พวกเจ้าไปช่วยผู้เฒ่านำสัตว์ที่ล่ามาได้ลงจากม้า พอกินมื้อกลางวันเสร็จแล้วเราจะออกเดินทาง”


 


 


           “เจ้าค่ะ ท่านอ๋องน้อย” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบทำตามคำสั่ง


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยจะกลับแล้วหรือ ไม่อยู่ต่ออีกสักคืนหรือ” หญิงชราได้ยินเช่นนี้ก็อาวรณ์ไม่น้อย


 


 


           “เราออกมาทำธุระ จากเมืองมาค่อนข้างนานแล้ว คนที่บ้านคงเป็นห่วงแย่ ตรงนี้ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก ถ้ามีเวลาว่างค่อยมาเยี่ยมท่านสองคนใหม่” ฉินเจิงยิ้มพลางส่ายหน้า


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยต่างเป็นผู้สูงศักดิ์ ย่อมมีเรื่องต้องทำมากมาย เช่นนั้นข้าไม่รั้งแล้ว รีบไปทำอาหารให้พวกท่านดีกว่า” หญิงชราเก็บผักเสร็จแล้วก็เดินไปยังห้องครัว


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนเดินมายังทางเข้า ช่วยชายชรานำสัตว์ลงมา


 


 


           ฉินเจิงกุมมือเซี่ยฟางหวา ก่อนดึงนางเข้าไปในห้อง


 


 


           เมื่อเข้ามาในห้องแล้วก็ปิดประตูลง ฉินเจิงดึงเซี่ยฟางหวาเข้ามากอด จากนั้นก็โน้มหน้ามอบจุมพิตอันลึกซึ้งให้


 


 


           เซี่ยฟางหวาถูกเขาจุมพิตกระทั่งแทบขาดลมหายใจเขาถึงยอมปล่อยนางเป็นอิสระ ทอดตามองด้วยแววตาอบอุ่น น้ำเสียงแหบพร่าชวนมอมเมา “ในหัวใจของเจ้า ข้าเป็นคุณชายที่ดีที่สุดในใต้หล้าจริงหรือ”


 


 


           “แน่นอน” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบด้วยใบหน้าแดงซ่าน


 


 


           ฉินเจิงระบายยิ้มกวาง ก้มประทับริมฝีปากจูบนางอีกครั้ง


 


 


           เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าหนีทั้งที่ยังหอบหายใจ กระซิบเสียงเบาว่า “อย่าซน ประเดี๋ยวข้าคงไม่มีหน้าไปพบผู้อื่นแล้ว…”


 


 


           ฉินเจิงไม่ยอม บรรจงจุมพิตนางต่ออีกพักหนึ่งก่อนผละออก กอดนางพลางเอ่ยขึ้น “ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าดื้อขนาดนี้”


 


 


           “เจ้าต่างหาก” เซี่ยฟางหวามองค้อนด้วยความไม่พอใจ


 


 


           ฉินเจิงมองนาง ใบหน้านางดุจเมฆาในแสงสายัณห์ เครื่องหน้าดุจภาพวาด ท่ามกลางความอ่อนโยนแฝงไปด้วยรอยยิ้มสว่างจ้าและความรักอันอบอุ่นชวนเบิกบานใจ เขาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เอ่ยด้วยความพึงพอใจ “ข้าฉินเจิงมีดีอันใดถึงได้รับความรักจากเจ้าเช่นนี้”


 


 


           เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา


 


 


           “ชีวิตนี้มีเจ้า ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว” ฉินเจิงกล่าวอีก


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นว่านัยน์ตาของเขามีแค่นางเพียงผู้เดียวในนั้น ความรักอันอบอุ่นเด่นชัด นางจึงกล่าวขึ้นบ้าง “ข้าก็เช่นกัน ชีวิตนี้มีเจ้า ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว”


 


 


           ฉินเจิงจุมพิตนางอีกครั้ง


 


 


           “พอแล้ว” เซี่ยฟางหวายกมือปราม กระซิบเสียงเบา


 


 


           ฉินเจิงปัดมือนางออก มอบจุมพิตอันหนักแน่นให้ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ไฟไหม้เมื่อคืนเผาป่าผืนนั้นจนราบ ปรมาจารย์สายลับราชสำนักที่มาขัดขวางเราคือฉือเฟิ่ง เขาถูกไฟลวกด้วย”


 


 


           “ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           “เมื่อวานหลังเจ้ากับข้าออกมา เยว่ลั่วก็ไล่ตามเขาไปอย่างลับๆ แต่ร่องรอยก็หายสาบสูญ ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน แต่มั่นใจว่าต้องอยู่ห่างจากเมืองหลวงในรัศมีร้อยลี้เป็นแน่ คงไม่ไกลไปกว่านี้” ฉินเจิงส่ายหน้า


 


 


           “สามปรมาจารย์ของเขาไร้นามเก่งกาจโดดเด่น เยว่ลั่วเองก็มาจากสายลับราชสำนัก ย่อมเทียบเคียงไม่ได้ แม้เขาถูกไฟลวกแต่ยังมีพลังอยู่ ลบร่องรอยหายไปได้ย่อมเป็นเรื่องปกติ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “ส่วนเรื่องคดีในเมือง พอกลับไปแล้วก็ต้องรีบปิดคดีให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องแผนลับของสายลับราชสำนักนั้น ไม่ควรเปิดเผยต่อสาธารณชน” ฉินเจิงเม้มปาก “มิฉะนั้นภาคราชสำนักและประชาชนคงสั่นคลอน ราษฎรเกิดความตื่นกลัว จะส่งผลกระทบต่อระบอบการปกครอง”


 


 


           เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “ในเมื่อพวกเขาอยู่เบื้องหลัง เจ้าคิดไว้หรือยังว่าจะปิดคดีอย่างไร”


 


 


           “ในเมื่อถอนรากถอนโคนไม่ได้ ก็ต้องตัดยอดไม้และลำต้น” ฉินเจิงพยักหน้า “ข้าคิดไว้แล้ว แต่จำต้องมีเจ้าร่วมมือด้วย ระหว่างทางข้าจะอธิบายให้ฟัง”


 


 


           “ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           หลังทานอาหารเสร็จ ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาก็บอกลาผู้เฒ่าทั้งสองท่าน ก่อนออกมาจากครอบครัวเกษตรกรในชนบท


 


 


           ระหว่างทางผ่านป่าผืนนั้น เหลือเพียงดินและต้นไม้ที่กลายเป็นเถ้า ไร้สัญญาณชีวิต


 


 


           “เมื่อคืนข้าเห็นว่าเขาไม่ยอมเลิกราจึงทำเช่นนั้นลงไป เพื่อป้องกันไฟลุกลามวงกว้าง แต่ความจริงแล้วต้นไม้ใบหญ้าก็มีหัวใจ แท้จริงไม่สมควร” เซี่ยฟางหวามองแล้วถอนหายใจออกมา


 


 


           ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาขี่ม้าตัวเดียวกัน เขาเอื้อมมือโอบรอบเอวนางแน่น “เจ้าทำถูกแล้ว ถ้าไม่ชิงลงมือก่อน เราก็จะเป็นฝ่ายถูกบีบบังคับแทน เรียกได้ว่าจำใจต้องทำ ตอนนี้เข้าหน้าร้อนแล้ว ต้นไม้พวกนี้ผ่านฝนตกหนักมาตลอดสองวันก่อนจึงไม่เสียหายมากนัก ฟื้นฟูสักระยะก็มีโอกาสเติบโตใหม่ เพียงแต่ตอนนั้นลมแรงมาก ทำให้สถานการณ์ไฟไหม้ดูรุนแรง มิฉะนั้นหากเป็นฤดูหนาว ถึงแม้ฉือเฟิ่งมีพลังสูงมากเพียงใด แต่การถูกไฟล้อมเช่นนั้นก็คงต้องตายลงที่นี่ คงไม่แค่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “เจ้าดูสิ เจ้าใจอ่อนมีเมตตาเช่นนี้ ต่อไปข้าต้องเป็นห่วงเจ้ามากกว่าเดิม” ฉินเจิงยิ้มกล่าว


 


 


           เซี่ยฟางหวารู้สึกตัวในฉับพลัน ตัวแข็งไปเล็กน้อยครู่หนึ่ง


 


 


           “เป็นอะไร” ฉินเจิงสังเกตเห็นว่านางแปลกไป


 


 


           เซี่ยฟางหวาใจลอยพักหนึ่งก่อนหันกลับมาถาม “เมื่อครู่เจ้า…พูดว่าอะไร”


 


 


           “ข้าบอกว่า เจ้าดูสิ เจ้าใจอ่อนมีเมตตาเช่นนี้ ต่อไปข้าต้องเป็นห่วงเจ้ามากกว่าเดิม” ฉินเจิงเกลี่ยหน้าผากนาง “ข้าว่าช่วงนี้ใจเจ้าไม่อยู่กับเนื้อกับตัวบ่อยนัก น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง”


 


 


           เซี่ยฟางหวากุมมือเขา ปลายนิ้วสั่นระริกแผ่วเบา ไม่เอ่ยคำใด


 


 


           “เจ้าคงคิดมากเกินไป เป็นเหตุให้เหนื่อยง่าย” ฉินเจิงกระชับกอดนาง จัดท่าทางให้นางพิงแผ่นอกตนสบายๆ หากแต่มั่นคง ก่อนกล่าวเสียงเบา “เดินทางช้าหน่อย ถึงเมืองก่อนฟ้ามืดก็ได้ ถ้าเจ้าเหนื่อยก็หลับสักงีบ เมื่อคืนข้ากวนเจ้าจนนอนไม่เต็มที่”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ขดตัวในอ้อมอกเขา ก่อนหลับตาลง


 


 


           ไม่นานนางก็เผลอหลับไปจริงๆ


 


 


           แม้หลับไปแล้ว แต่สมองกลับมีภาพบางเหตุการณ์แล่นขึ้นสลับไปมา…


 


 


           เมื่อตะวันคล้อยตกลงทางทิศตะวันตกก็กลับมาถึงเมืองหลวงอย่างราบรื่น


 


 


           สี่ซุ่นนำคนมาชะเง้อคอมองหาตรงหน้าประตูเมือง เมื่อเห็นว่าฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวากลับมาแล้วก็รีบก้าวขึ้นมาด้วยความดีใจ “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย ในที่สุดท่านทั้งสองก็กลับมาถึงโดยปลอดภัย พระชายาเฝ้ารอด้วยความร้อนใจ เป็นห่วงจนกินมิได้นอนมิหลับ” พูดจบก็หยั่งเชิงถาม “พระชายาน้อยไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ”


 


 


           ฉินเจิงมองเขาแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “นางไม่เป็นไร เจ้ากลับไปรายงานท่านแม่เถอะ”


 


 


           สี่ซุ่นรีบพยักหน้าก่อนกลับไปยังจวนอิงชินอ๋องด้วยความดีใจ


 


 


           เซี่ยฟางหวาลืมตาตื่น มองกำแพงเมืองเบื้องหน้าด้วยความเหม่อลอย


 


 


           ฉินเจิงเคาะหน้าผากนางแผ่วเบา ก่อนเอ่ยถามขึ้น “ตื่นแล้วหรือ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันกลับมามองเขา


 


 


           “เพิ่งตื่นมาเหตุใดถึงดูล่องลอยเช่นนี้ เหมือนไม่รู้จักข้าแล้ว” ฉินเจิงมองนางแล้วยิ้มขำ


 


 


           เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขาพักหนึ่งกว่าจะปรับสายตาให้ชัดเจนได้ นางวาดมือกอดเขาก่อนซุกใบหน้าคลอเคลียแผ่นอก เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าหลับตลอดทางเลยหรือ”


 


 


           “อืม หลับลึกมาก” ฉินเจิงตอบ “ถ้าสี่ซุ่นไม่เอะอะปลุกเจ้า ตอนนี้น่าจะยังหลับอยู่”


 


 


           เซี่ยฟางหวายกยิ้มมุมปาก ไม่เอ่ยคำใด


 


 


           ฉินเจิงพานางเข้าเมือง เมื่อมาถึงทางแยกระหว่างจวนอิงชินอ๋องกับจวนจงหย่งโหวก็ถามขึ้น “จะไปหาท่านปู่ที่จวนจงหย่งโหวก่อนหรือไม่”


 


 


           “ดีเหมือนกัน” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ฉินเจิงพานางไปยังจวนจงหย่งโหว


 


 


           ไม่นานก็มาถึงจวนจงหย่งโหว ฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาลงจากม้า เด็กเฝ้าประตูเห็นว่าเป็นพวกเขาก็รีบคำนับให้ “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย”


 


 


           “โหวเหยผู้เฒ่าสบายดีหรือไม่” ฉินเจิงพยักหน้ารับแล้วเอ่ยถาม


 


 


           “โหวเหยผู้เฒ่าสบายดีขอรับ รอข่าวคราวจากท่านทั้งสองอยู่ตลอดเวลา ข้าน้อยจะไปรายงานประเดี๋ยวนี้” เด็กเฝ้าประตูคนนั้นพูดพลางก็รีบเปิดประตูเชิญทั้งคู่เข้ามา จากนั้นก็รีบวิ่งไปรายงานในเรือนชั้นใน


 


 


           ฉินเจิงกุมมือเซี่ยฟางหวาเดินเข้าไปข้างใน


 


 


           เซี่ยฟางหวาเดินตามเขา ทว่าเดินไปไม่ไกลเบื้องหน้าพลันมืดมิด ร่างกายอ่อนระทวย เซล้มลงบนพื้น


 


 


           ฉินเจิงตกใจ รีบรองรับตัวนางด้วยความว่องไว


 


 


           เซี่ยฟางหวาล้มลงในอ้อมกอดเขา วูบหมดสติไปทันที 

 

 


ตอนที่ 55 กังวลมากเกินเหตุ

 

         เซี่ยฟางหวาเป็นลมหมดสติ จวนจงหย่งโหวแตกตื่นทันที 


 


 


           ฉินเจิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาช้อนร่างเซี่ยฟางหวาอุ้มขึ้นมาก่อนสั่งงานข้างหลัง “รีบไปตามหมอมา” 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเพิ่งข้ามธรณีประตูเข้ามา ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ รีบหันหลังออกจากจวนทันที มุ่งไปยังสำนักหมอหลวงด้วยความรีบร้อน 


 


 


           เซี่ยหลินซีได้ยินว่าฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวามาที่จวนก็ออกมารับด้วยความดีใจ ทว่าเมื่อเห็นเหตุการณ์ตอนเซี่ยฟางหวาล้มหมดสติไปก็ตกใจมากเช่นกัน รีบก้าวขึ้นมาถามฉินเจิง “น้องฟางหวาเป็นอะไร” 


 


 


           ฉินเจิงส่ายหน้า 


 


 


           “ในจวนเราเองก็มีหมอ ข้าจะให้คนไปตามมาประเดี๋ยวนี้” เซี่ยหลินซีพูดจบก็เรียกเด็กรับใช้มาสั่งงานด้วยความรีบร้อน “รีบไปตามหมอมา เชิญเขาไปที่…ห้องโถงหรงฝู” 


 


 


           “ขอรับ” คนผู้นั้นรีบวิ่งไปตามหมอมา 


 


 


           “โหวเหยผู้เฒ่าได้ยินว่าพวกเจ้ากลับมาแล้วก็ดีใจมาก ตรงนี้อยู่ใกล้กับห้องโถงหรงฝู พาน้องฟางหวาไปที่นั่นก่อนเถอะ” เซี่ยหลินซีหันกลับมากล่าวกับฉินเจิง  


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า ก่อนอุ้มเซี่ยฟางหวาเดินไปยังห้องโถงหรงฝู 


 


 


           เนื่องจากเซี่ยฟางหวาหมดสติไปกะทันหัน เซี่ยหลินซีกับฉินเจิงจึงไม่ได้คุยกันมากมาย รีบไปยังห้องโถงหรงฝูแทน 


 


 


           เมื่อมาถึงทางเข้าห้องโถงหรงฝู ป้าฝูออกมาต้อนรับ ทว่าเมื่อเห็นฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาที่ไม่ได้สติมาก็สะดุ้งตกใจ “ท่านอ๋องน้อย คุณหนู…เป็นอะไร” 


 


 


           “ก่อนหน้านี้ยังดีอยู่ ไม่รู้ว่าเหตุใดพอเข้ามาในจวนก็หมดสติกะทันหัน” ฉินเจิงตอบพลางอุ้มเซี่ย 


 


 


ฟางหวาเข้าไปข้างใน 


 


 


           ชุยอวิ่นเดินออกมาจากข้างใน ได้ยินเช่นนั้นก็แหวกม่านให้ด้วยตัวเอง 


 


 


           ฉินเจิงเรียก “ท่านลุง” ก่อนเป็นการทักทาย จากนั้นก็อุ้มเซี่ยฟางหวาข้ามธรณีประตูเข้าไป 


 


 


           จงหย่งโหวกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะ เมื่อเห็นฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาที่หมดสติไปเข้ามาในห้องก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วถาม “เจ้าเจิง เกิดอะไรขึ้น” 


 


 


           ป้าฝูรีบเข้ามาปูเตียงให้เรียบร้อย 


 


 


           ฉินเจิงวางเซี่ยฟางหวาลงบนเตียงแล้วหันมาส่งเสียงเรียกจงหย่งโหวว่า “ท่านปู่” จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงหมดสติกะทันหัน” 


 


 


           “ไปตามหมอในจวนมาแล้ว” เซี่ยหลินซีบอก 


 


 


           จงหย่งโหวพยักหน้า ยกมือสื่อว่าให้เขานั่งลง 


 


 


           ฉินเจิงนั่งบนหัวเตียง กุมมือเซี่ยฟางหวาพลางมองนาง 


 


 


           “เจ้าอวิ๋นหลานไม่กลับมาพร้อมพวกเจ้าด้วยหรือ” ชุยอวิ่นมองข้างนอกพักหนึ่งแล้วเอ่ยถามฉินเจิง 


 


 


           “ข้าไปถึงอารามลี่อวิ๋น พบแค่นางอยู่ล่างหุบเขา ไม่พบพี่อวิ๋นหลานด้วย” ฉินเจิงเม้มปากแล้วส่ายหน้า  


 


 


           ชุยอวิ่นมีสีหน้าเปลี่ยนไป “เจ้าอวิ๋นหลานเกิดเรื่อง?” พูดจบก็หันไปมองจงหย่งโหว 


 


 


           จงหย่งโหวมองฉินเจิง พบว่าเขากำลังมองเซี่ยฟางหวาด้วยความร้อนใจก็ยกมือปราม “เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน รอหมอมาถึงก่อน ตรวจดูว่าหวาเอ๋อร์เป็นอะไรกันแน่” 


 


 


           ชุยอวิ่นพยักหน้ารับ 


 


 


           ไม่นานก็มีหมอท่านหนึ่งหิ้วกระเป๋ายารีบเดินเข้ามา 


 


 


           ป้าฝูรีบออกไปรับแล้วเชิญเขาเข้ามาข้างใน 


 


 


           หมอท่านนั้นอายุประมาณสี่สิบกว่าปี เมื่อเข้ามาแล้วก็คำนับต่อจงหย่งโหว ชุยอวิ่น และฉินเจิง 


 


 


           “ไม่ต้องมากพิธี รีบไปดูหวาเอ๋อร์เถอะ นางหมดสติไปเพราะเหตุใด” จงหย่งโหวยกมือปัด 


 


 


           หมอท่านนั้นรีบเดินมาที่หน้าเตียง 


 


 


           ฉินเจิงนั่งนิ่งอยู่ที่หัวเตียง ตวัดตามองหมอท่านนั้นแวบหนึ่งแล้วปล่อยมือนาง “ตรวจให้ละเอียดหน่อย” 


 


 


           หมอท่านนั้นพยักหน้า ก่อนยื่นมือไปตรวจชีพจรให้เซี่ยฟางหวา 


 


 


           ทุกคนในห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วเวลาหนึ่ง ไม่มีใครเอ่ยขึ้นมา กระทั่งเข็มหล่นพื้นยังได้ยินเสียง 


 


 


           หมอท่านนั้นตรวจชีพจรพักหนึ่งก็สลับไปตรวจอีกข้างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เวลานั้นทุกคนต่างใจไม่ดี 


 


 


           ฉินเจิงมีสีหน้านิ่งขรึมพลางเม้มปาก 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่งหมอท่านนั้นก็ถอนมือออก ประสานมือคำนับกล่าวกับฉินเจิง “ข้าน้อยตรวจชีพจรให้พระชายาน้อยพบว่า สภาพร่างกายอ่อนแอคล้ายไม่เหลือพลัง เป็นกังวลและใช้สมองมากเกินไป ความว้าวุ่นโจมตีช่องท้อง ร่างกายในตอนนี้…ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก” 


 


 


           ฉินเจิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป ยื่นมือกดไหล่เขาทันที “เจ้าพูดให้ละเอียดกว่านี้หน่อย” 


 


 


           “ข้าน้อยไม่เชี่ยวชาญในวิชาแพทย์ จากชีพจรพบว่า ช่วงนี้พระชายาน้อยเป็นกังวลมากเกินไป ส่งผลกระทบต่อหัวใจ ตอนนี้ที่หมดสติลงฉับพลันก็เพราะถูกบางสิ่งกระทบจิตใจ…” หมอท่านนั้นรีบกล่าวต่อ  


 


 


           “เจ้าจะบอกว่านางได้รับแรงกระตุ้นฉับพลันรึ” ฉินเจิงรีบถาม 


 


 


           “กล่าวเช่นนี้ก็ได้” หมอท่านนั้นพยักหน้า 


 


 


           “เหลวไหล” ฉินเจิงผลักเขาด้วยความรุนแรง  


 


 


           หมอท่านนั้นทนรับแรงของฉินเจิงไม่ได้ กระเด็นออกไปหลายจั้งจนล้มลงบนพื้น รีบเอ่ยขึ้นว่า “ข้าน้อยตรวจชีพจรดู ผลตรวจชีพจรบอกเช่นนี้” 


 


 


           “ก่อนหน้านี้นางยังดีอยู่เลย ระหว่างกลับมาก็หลับตลอดทาง จนมาถึงหน้าประตูเมืองถึงตื่นขึ้นมา ข้ากอดนางเอาไว้ตลอดเวลา นางจะถูกแรงกระตุ้นโจมตีได้อย่างไร จะถูกแรงกระตุ้นใดได้” ฉินเจิงเดือดดาล  


 


 


           หมอท่านนั้นได้ยินแล้วก็พูดไม่ออก 


 


 


           “เจ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าหวาเอ๋อร์ยังดีอยู่ตลอดทาง แต่จู่ๆ ก็หมดสติไป” ชุยอวิ่นเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล  


 


 


           ฉินเจิงเม้มปากเงียบ 


 


 


           เซี่ยหลินซีเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “หมอท่านนี้มีวิชาแพทย์ดีมาก วันก่อนโหวเหยผู้เฒ่าตากลมหนาว เขาเขียนใบสั่งยาให้ หลังดื่มยาก็หายแล้ว” พูดจบก็มองไปยังหมอท่านนั้น “สิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ” 


 


 


           “ข้าน้อยย่อมพูดความจริง” หมอท่านนั้นมองฉินเจิง ก่อนมองไปยังเซี่ยฟางหวาที่นอนอยู่บนเตียงแล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้าน้อยเป็นคนที่พระชายาน้อยส่งมาดูแลสุขภาพโหวเหยผู้เฒ่า มีหรือจะพูดโกหก พระชายาน้อยเป็นเจ้านายของข้า” 


 


 


           “เจ้าเป็นคนที่นางส่งมา?” ฉินเจิงชะงักแล้วขมวดคิ้วถาม 


 


 


           “ข้าน้อยรับคำสั่งจากคุณชายชิงเกอ มาจากหอเทียนจีเก๋อ” หมอท่านนั้นพยักหน้า บอกตามความจริง  


 


 


           ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็เม้มปาก 


 


 


           “หลายวันก่อนมีคนจำนวนหนึ่งมาที่จวน บอกว่าเป็นคำสั่งของน้องฟางหวา” เซี่ยหลินซีกล่าวกับฉินเจิง “ทั้งหมดได้รับการจัดสรรหน้าที่แล้ว สองวันก่อนเกิดเรื่องกับนางที่อารามลี่อวิ๋น ในจวนวุ่นวายมาก โชคดีที่พวกเขาอยู่ด้วยจึงไม่เกิดปัญหาตามมา” 


 


 


           ฉินเจิงเงียบ 


 


 


           “เจ้าเจิง เจ้าเล่าให้พวกเราฟังสิว่าสองวันก่อนเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าบ้าง” จงหย่งโหวกระดกเครา 


 


 


           ฉินเจิงนั่งลงเชื่องช้า ก่อนเล่าเรื่องที่เซี่ยฟางหวาบอกกับเขาตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟังรอบหนึ่ง จากนั้นก็เล่าว่าเขาหาเซี่ยฟางหวาพบได้อย่างไร ทั้งเรื่องได้พบกับฉือเฟิ่งหนึ่งในสามปรมาจารย์เขาไร้นามระหว่างกลับเมืองเมื่อคืนก่อน รวมถึงแวะค้างแรมที่ครอบครัวในชนบท และเดินทางกลับเมืองในวันนี้ให้ฟังคร่าวๆ 


 


 


           “เจ้าบอกว่าแม้เขาไร้นามถูกทำลายลงแล้ว แต่สามปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ ทั้งออกจากเขาไร้นามแล้วด้วย” จงหย่งโหวได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม  


 


 


           ฉินเจิงผงกศีรษะ 


 


 


           จงหย่งโหวมองไปยังชุยอวิ่น 


 


 


           “หลายร้อยปีก่อน บรรพบุรุษหนานฉินก่อตั้งราชวงศ์ขึ้นและได้แก้ไขนโยบายบ้านเมืองทั้งหมดในราชวงศ์ก่อนมากมาย แต่สังเกตเห็นว่าขุนนางซึ่งมีฐานะเป็นสายลับเงาของจักรพรรดิกลับยังคงอยู่ และได้ก่อตั้งแหล่งบุกเบิกสายลับราชสำนักขึ้นโดยเฉพาะ สามร้อยปีมานี้ ระหว่างนั้นแม้เกิดความวุ่นวายเล็กๆ ขึ้นบ้าง แต่ก็ผ่านไปอย่างมั่นคงไม่สั่นคลอน สายลับราชสำนักเป็นดาบแห่งอำนาจราชสำนักตลอดมา รับคำสั่งทำภารกิจ ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น ตอนนี้ดูท่าช่วงเวลานานอันยาวนานนี้สั่นคลอนแล้ว” ชุยอวิ่นก็มีสีหน้าไม่น่ามองเช่นกัน  


 


 


           จงหย่งโหวพยักหน้า “สมัยสายลับราชสำนักก่อตั้งขึ้น ได้สร้างเป็นภูเขาลับสามแห่งเพื่อเป็นแหล่งบุกเบิกสายลับ ประกอบด้วยเขาเทียนหลิ่ง เขาตี้เฟิง และเขาไร้นาม ทั้งสามแห่งควบคุมซึ่งกันและกัน แต่ละแห่งต่างมีผู้บัญชาการ ทั้งสามแห่งนี้ตั้งขึ้นเพื่อปกป้องเมืองหลวง แต่เนื่องจากเขาไร้นามมีการคัดเลือกสายลับอย่างโจ่งแจ้งมาโดยตลอด วิธีการนี้เป็นที่รู้กันทั่วใต้หล้า และเขาไร้นามก็เป็นรังสายลับของฝ่าบาทที่ใหญ่ที่สุดเช่นกัน ส่วนภูเขาอีกสองแห่งนั้นถูกปิดไว้เป็นความลับ ห้ามโลกภายนอกรู้ ดังนั้นนอกจากลูกหลานราชวงศ์กับทายาทจากตระกูลใหญ่ก็ไม่มีผู้ใดรู้อีก สามร้อยปีมานี้ทุกคนรู้จักเพียงเขาไร้นาม แต่ไม่รู้จักภูเขาอีกสองลูกที่ว่า” 


 


 


           “ตอนนี้เขาไร้นามถูกทำลายลงแล้ว ในเมื่อสามปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้น…” ชุยอวิ่นกลัดกลุ้ม  


 


 


           จงหย่งโหวหันไปมองฉินเจิง 


 


 


           ฉินเจิงก้มหน้ามองพื้นราวกับจมดิ่งสู่ห้วงความคิด คล้ายกำลังคิดบางอย่าง ไม่ได้ฟังทั้งสองคุยกันตั้งแต่แรก 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย หมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ” เวลานี้ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็นำหมอหลวงสองคนจากสำนักหมอหลวงเข้ามาในห้องโถงหรงฝูด้วยความรีบร้อน  


 


 


           “เชิญเข้ามา” ฉินเจิงรีบเอ่ยขึ้น 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเลิกม่านให้ สองหมอหลวงเดินเข้ามาทั้งเหงื่อท่วมพลางหอบหายใจ จากนั้นก็คำนับจงหย่งโหว ชุยอวิ่น และฉินเจิง 


 


 


           จงหย่งโหวยกมือปัด 


 


 


           “ตรวจชีพจรให้ละเอียด บอกมาตามความจริง” ฉินเจิงมองทั้งสอง 


 


 


           “ขอรับ ท่านอ๋องน้อย” สองหมอหลวงไม่สนว่าจะได้พักหายใจหรือไม่ รีบก้าวขึ้นไปตรวจดูอาการให้เซี่ยฟางหวาทันที 


 


 


           หลังทั้งสองผลัดกันตรวจชีพจรแล้วก็มองหน้ากัน หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อยมีร่างกายอ่อนแอคล้ายไม่เหลือพลัง เป็นกังวลมากเกินไป สภาพจิตใจได้รับความเสียหาย อาการไม่ค่อยดีนัก” 


 


 


           “ทำเช่นไรให้หายดี” ฉินเจิงเผยสีหน้าเยือกเย็น 


 


 


           “จำต้องบำรุงร่างกายระยะหนึ่ง ห้ามใช้สมองมากเกินไป” หมอหลวงอีกคนรีบตอบ 


 


 


           “เหตุใดนางถึงหมดสติ” ฉินเจิงถามอีก 


 


 


           “เราสองคนตรวจชีพจนให้พระชายาน้อย พบว่าสภาพชีพจรนางไม่มั่นคง คล้ายกับถูกแรงกระตุ้นต่อหัวใจ เมื่อสภาพจิตใจเกิดความหวาดกลัวทำให้เลือดไปเลี้ยงไม่พอ ดังนั้นจึงหมดสติไป” หนึ่งในนั้นรีบเอ่ยตอบ  


 


 


           “วันนี้นางไม่ได้พบเจอเรื่องใดมา หลับตลอดทาง จะถูกแรงกระตุ้นได้อย่างไร” ฉินเจิงถาม 


 


 


           หมอหลวงสองท่านนั้นมองหน้ากันด้วยความสงสัย 


 


 


           “เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่เกิดอะไรขึ้น” ชุยอวิ่นถามฉินเจิง 


 


 


           ฉินเจิงไม่ได้ตอบ 


 


 


           ซื่อฮว่ามองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วรีบเอ่ยขึ้น “ตลอดทางไม่เกิดเรื่องใดขึ้นจริงๆ เจ้าค่ะ คุณหนูหลับตลอดทาง ส่วน…” นางหยุดชั่วครู่ ครุ่นคิดก่อนเดาว่า “ใช่เป็นเพราะคุณหนูพลัดตกจากหน้าผาจึงมีอาการแทรกซ้อนหรือไม่” 


 


 


           “ตอนหานางพบ พวกเจ้าไม่ได้ตามหมอมารึ” ชุยอวิ่นมองฉินเจิงด้วยความไม่พอใจทันที 


 


 


           “คุณหนูดูปกติดี อีกอย่างตัวคุณหนูเองก็เป็นหมอ…” ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา  


 


 


           ชุยอวิ่นแค่นหัวเราะ แล้วกล่าวกับฉินเจิง “เจ้าละเลยหวาเอ๋อร์เกินไปแล้ว” 


 


 


           ฉินเจิงเงียบ 


 


 


           ซื่อฮว่าก็รีบหยุดพูดเช่นกัน 


 


 


           “เด็กคนนี้คิดมากมาตั้งแต่เด็ก กังวลมากเกินเหตุมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน ตอนเหยียนเฉินยังอยู่ที่จวนก็จับตามองนางบำรุงร่างกายตลอดเวลา เดิมข้าคิดว่าหายดีแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยิ่งสาหัสขึ้น” จงหย่งโหวค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ตำหนิเจ้าเจิงไม่ได้ นางเป็นคนคิดมากเอง ไม่เชื่อฟัง วิ่งเต้นเพื่อบรรลุเป้าหมาย เมื่อใจไม่สงบก็นำมาซึ่งเรื่องยุ่งยาก” 


 


 


           “จะฟื้นมาเมื่อไร” ชุยอวิ่นถามสองหมอหลวง 


 


 


           “ตอบมิได้ บางทีประเดี๋ยวก็ฟื้นแล้ว บางทีอาจพรุ่งนี้หรือมะรืน…” ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเอ่ยตอบ  


 


 


           “ต้องดื่มยาหรือไม่” จงหย่งโหวถาม 


 


 


           “เรื่องนี้…” ทั้งสองลังเลเล็กน้อย “ร่างกายของพระชายาน้อยต่างจากคนทั่วไป ข้าสองคนไม่กล้าเขียนใบสั่งยาตามใจชอบ” 


 


 


           “ถ้าไม่ดื่มยาก็ฟื้นขึ้นมาได้ใช่หรือไม่” เซี่ยหลินซีมองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม 


 


 


           “ฟื้นได้ขอรับ พระชายาน้อยแค่ทนแรงกระตุ้นมิได้ชั่วเวลาหนึ่ง ทำให้หมดสติไป ที่สภาพร่างกายนางไม่ค่อยดีนัก กังวลมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายใน เป็นเพราะความคิดที่สะสมมาเป็นเวลานาน สิ่งนี้จำต้องค่อยๆ บำรุงรักษา เดิมทีพระชายาน้อยมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม สมัยหมอหลวงซุนมีชีวิตอยู่มักเอ่ยชมไม่ขาดปาก พวกข้าย่อมไม่กล้าให้พระชายาน้อยดื่มยาสุ่มสี่สุ่มห้า ทางที่ดีรอให้พระชายาน้อยดีขึ้นแล้วเขียนใบสั่งยาให้ตัวเองดื่มดีกว่า” ทั้งสองพยักหน้า  


 


 


           “เจ้าเจิง เจ้าคิดว่าอย่างไร” จงหย่งโหวหันมามองฉินเจิง  


 


 


           “รอนางฟื้นขึ้นมาเถอะ” ฉินเจิงตอบ 


 


 


           จงหย่งโหวผงกศีรษะ ก่อนสื่อให้เซี่ยหลินซีไปส่งหมอหลวงทั้งสองออกจากจวน 


 


 


           เซี่ยหลินซีนำทางหมอหลวงสองท่านออกจากห้องโถงหรงฝูไปยังนอกจวน 


 


 


           “เจ้ามีวิธีทำให้นางฟื้นขึ้นมาไวๆ หรือไม่” ฉินเจิงหันกลับมากล่าวกับหมอคนเดิม  


 


 


           หมอท่านนั้นส่ายหน้า คล้ายกับไม่พอใจอย่างยิ่งที่ฉินเจิงไม่เชื่อในวิชาแพทย์ของตน ส่ายศีรษะตอบด้วยใบหน้านิ่ง “ตอนเจ้านายกลับมานั้นมีสภาพร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด ไม่มีปัญหาใหญ่ แต่อาการป่วยของนางในตอนนี้ล้วนเกิดขึ้นหลังกลับถึงเมืองหลวงแล้ว” 


 


 


           ถ้อยคำนี้แฝงความหมายว่าเป็นเพราะฉินเจิง ย้ำเตือนให้ทุกคนนึกถึงธนูสามดอกนั้น 


 


 


           “เจ้ากล้าเขียนใบสั่งยาให้นางหรือไม่” ฉินเจิงมองเขา หาได้โกรธเคืองแต่กล่าวต่อ  


 


 


           หมอท่านนั้นเดิมทียังอยากกล่าววาจาไม่ไว้หน้าต่ออีกหน่อย ทว่าคำนึงถึงสภาพร่างกายของเซี่ยฟางหวาจึงพยักหน้าตอบ “ก่อนคุณชายเหยียนเฉินเดินทางได้เรียกข้าไปพบครั้งหนึ่ง กับอาการป่วยของเจ้านายนั้นข้ารู้มาบ้าง แม้ตอนนี้ร่างกายของเจ้านายน่าเป็นห่วง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรง” 


 


 


           “เช่นนั้นเจ้าก็เขียนใบสั่งยาให้นาง” ฉินเจิงพยักหน้า 


 


 


           หมอท่านนั้นผงกศีรษะ 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบเดินมาที่โต๊ะเพื่อกางกระดาษและฝนน้ำหมึกให้เขา 


 


 


           หมอท่านนั้นเขียนใบสั่งยาให้อย่างรวดเร็ว ทั้งสองรับมาแล้วถือออกไป เขาหันกลับมามองเซี่ยฟางหวาที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงแล้วเอ่ยขึ้น “แต่น่าแปลกใจนัก” 


 


 


           “แปลกอันใด” ชุยอวิ่นถาม 


 


 


           “เจ้านายหมดสติลงฉับพลัน ถูกแรงกระตุ้นโจมตี แต่ไม่คล้ายกับเป็นเพราะพลัดตกหน้าผา ถึงอย่างไรเรื่องตกหน้าผาก็เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน ไม่สอดคล้องกับการที่นางหมดสติวันนี้” หมอท่านนั้นตอบ 


 


 


           “หากตกใจเล่า” ฉินเจิงถาม “เมื่อคืนนางได้รับความตกใจไม่น้อย” 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยหมายถึงเรื่องปรมาจารย์เขาไร้นามมาขัดขวางหรือ” หมอท่านนั้นถาม 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า 


 


 


           หมอท่านนั้นครุ่นคิด “ก็เป็นไปได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เรื่องของสภาพจิตใจเติมมากเกินก็ล้น เหมือนกับการรินน้ำใส่แก้ว หากรินน้ำมากเกินไปก็จะล้นออกมา วันนี้พระชายาน้อยรับไม่ไหว ดังนั้นต่อไปท่านอ๋องน้อยต้องระวังมากเป็นพิเศษ อย่าให้นางคิดมากจนเป็นกังวล หากร่างกาย จิตใจ ม้ามและไตทำงานหนัก สะสมนานไปกว่านี้จะยิ่งแย่” 


 


 


           “ข้ารู้แล้ว” ฉินเจิงยกมือไล่ 


 


 


           หมอท่านนั้นกลับออกไป 


 


 


           “หวาเอ๋อร์ดื้อรั้น เป็นเพราะข้าแก่และไร้ประโยชน์ นางออกเรือนแล้วแท้ๆ กลับยังต้องกังวลกับเรื่องในจวนแห่งนี้” จงหย่งโหวถอนหายใจออกมายาวเหยียด  


 


 


           “ไม่รู้ว่าตอนนี้หานเอ๋อร์ไปถึงที่ใดแล้ว หลายวันก่อนฝนตกหนักติดต่อกันคงกระทบกับการเดินทาง หลายวันนี้ก็ไม่เห็นว่าจะส่งข่าวกลับมา” ชุยอวิ่นก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน ก่อนเอ่ยขึ้น  


 


 


           “เขาเตรียมการพร้อม น่าจะไม่มีปัญหา” จงหย่งโหวส่ายหน้า “เหลือแต่เจ้าอวิ๋นหลานที่ยังน่าเป็นห่วง” 


 


 


           เขาเพิ่งพูดจบ เซี่ยฟางหวาซึ่งนอนอยู่บนเตียงก็ส่งเสียงเพ้อขึ้น “พี่อวิ๋นหลาน…” 


 


 


           ฉินเจิงหันไปมองนางทันที 


 


 


           นางพร่ำเรียกอีกสองครั้ง ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลซึมออกมาทางหางตา เปรอะเปื้อนทั่วใบหน้าในพริบตา  

 

 


ตอนที่ 56 ป้อนยาด้วยจุมพิต

 

           ทุกคนในห้องต่างตกใจ 


 


 


           จงหย่งโหวกับชุยอวิ่นมองหน้ากัน ก่อนหันไปมองฉินเจิง 


 


 


           ฉินเจิงเม้มริมฝีปากแน่นก่อนคว้ามือนางมากุมไว้ ขยับเข้าหาแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เขาต้องปลอดภัยแน่ วางใจเถอะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาขยับมุมปากคล้ายอยากกล่าวบางอย่าง ทว่าดิ้นรนอยู่พักหนึ่งก็ไม่เอ่ยคำใดออกมา ครั้นแล้วก็หมดสติไปอีกครั้ง 


 


 


           ฉินเจิงโน้มใบหน้าไปหานาง ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาบริเวณหางตาให้ 


 


 


           ภายในห้องไม่มีผู้ใดส่งเสียงขึ้นมา เงียบกริบอย่างยิ่ง 


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่งจงหย่งโหวก็กระแอมขึ้น ก่อนเอ่ยบอกฉินเจิง “เจ้าเจิง เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว พาหวาเอ๋อร์ 


 


 


กลับไปพักผ่อนที่เรือนของนางเถอะ” 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าแล้วช้อนร่างเซี่ยฟางหวาขึ้นมา เดินออกไปจากห้อง 


 


 


           เมื่อทั้งคู่ออกจากห้องโถงหรงฝูจนไม่เห็นเงาแล้ว ชุยอวิ่นก็มองไปยังจงหย่งโหว “ท่านว่าพวกเขาสองคนไม่มีปัญหาใดจริงๆ หรือ” 


 


 


           “ปัญหาอันใด” จงหย่งโหวถาม 


 


 


           “เรื่องความรู้สึก” ชุยอวิ่นกลุ้มใจ “มิฉะนั้นเหตุใดยังดีๆ อยู่ ทว่าจู่ๆ หวาเอ๋อร์ก็หมดสติไป กว่าจะบำรุงร่างกายให้แข็งแรงก่อนวันพิธีสมรสมิใช่เรื่องง่าย ไฉนเลยในเวลาอันสั้นถึงได้กลายเป็นเช่นนี้” 


 


 


           “พูดยาก” จงหย่งโหวถอนหายใจออกมา 


 


 


           “ข้าตามไปดูดีกว่า จะได้คุยกับเจ้าเจิง สาเหตุต้องมาจากเขาเป็นแน่ ถึงเขายิงธนูใส่หวาเอ๋อร์สามดอก นางก็ยังยินดีที่จะออกเรือนกับเขา ข้าได้ยินมาตลอดว่าเป็นนางที่คอยเอาแต่เข้าหาเขา เขากลับไม่ดูแลนางให้ดี…” ชุยอวิ่นพูดพลางก็ทำท่าจะเดินตามออกไป 


 


 


           “ไม่ต้องไป” จงหย่งโหวเอ่ยห้าม “ความรู้สึกที่เจ้าเจิงมีต่อหวาเอ๋อร์นั้น ข้าอาบน้ำร้อนมาก่อน เจ้ายังไม่เคยแต่งภรรยาสักคน เรื่องระหว่างสามีภรรยานั้นดั่งคนดื่มน้ำ ร้อนเย็นรู้เอง คนนอกเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ ถ้ามีเรื่องใดก็รอหวาเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยถามนาง” 


 


 


           “แต่ว่า…” ชุยอวิ่นยังกังวล 


 


 


           “ไม่มีแต่” จงหย่งโหวยกมือห้าม “ระยะนี้รัชทายาททรงมอบหมายคดีพวกนั้นให้เขาจัดการทั้งหมด เดิมทีเขาก็เหนื่อยล้าพอแล้ว ตอนนี้ดันเกิดเรื่องขึ้นกับหวาเอ๋อร์อีก เขาเหนื่อยใจมากพอแล้ว ให้เขาพักผ่อนเถอะ” 


 


 


           “ท่านเข้าข้างเขา” ชุยอวิ่นไม่ค่อยพอใจแต่ก็ยอมนั่งลง ไม่คิดไปหาฉินเจิงอีก 


 


 


           หลังจากฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาออกจากห้องโถงหรงฝูก็มุ่งตรงไปยังสวนไห่ถัง 


 


 


           เซี่ยหลินซีเดินตามหลังมาแล้วเอ่ยถามขึ้น “คืนนี้เจ้ากับน้องฟางหวาจะค้างที่จวนใช่หรือไม่ หากค้างที่จวนก็ส่งคนไปบอกจวนอิงชินอ๋องสักหน่อย ท่านอ๋องกับพระชายาจะได้ไม่เป็นห่วง” 


 


 


           “ค้างที่จวน รบกวนพี่หลินซีส่งคนไปบอกด้วย” ฉินเจิงพยักหน้า 


 


 


           เซี่ยหลินซีผงกศีรษะแล้วหันหลังกลับ 


 


 


           ฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวากลับมาที่สวนไห่ถัง เมื่อเข้ามาในห้องก็วางนางลงบนเตียง ส่วนตัวเขาก็นั่งลงที่หัวเตียง 


 


 


           แม้เซี่ยฟางหวาออกเรือนแล้ว ไม่ได้อาศัยที่จวนหลังนี้อีก ทว่าเรือนของนางยังคงได้รับการทำความสะอาดทุกวัน 


 


 


           เซี่ยฟางหวานอนนิ่งไร้สุ้มเสียง คล้ายกำลังหลับอยู่ก็มิปาน 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย พระชายาทราบว่าคุณหนูหมดสติจึงมาหาที่จวนแล้ว” ซื่อฮว่ารายงานขึ้นจากข้างนอก 


 


 


           ฉินเจิงส่งเสียง “อืม” ตอบรับ 


 


 


           ไม่นานพระชายาอิงชินอ๋องพร้อมด้วยชุนหลันก็มายังสวนไห่ถังด้วยความรีบร้อนโดยมีเซี่ยหลินซีนำทางมาด้วย 


 


 


           เมื่อมาถึงเรือนหลัก ผ่านห้องรับรอง ข้ามธรณีประตูเข้ามา นางก็เอ่ยถามฉินเจิงด้วยความร้อนใจ “เจิงเอ๋อร์ หวาเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง” 


 


 


           “ฟังว่ากังวลมากเกินเหตุ เหนื่อยล้าจนกระทบกับอวัยวะภายใน ทั้งถูกแรงกระตุ้นฉับพลัน ทำให้หมดสติไป” ฉินเจิงตวัดตามองพระชายาอิงชินอ๋องแวบหนึ่งแล้วเม้มปาก  


 


 


           “เป็นเพราะเจ้าจินเยี่ยน ไปผ่อนคลายจิตใจที่อารามแม่ชีก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ดันทุรังไปไกลถึงเพียงนั้น เลือกสถานที่ที่ห่างไกลความเจริญ หากไม่ใช่เพราะนาง หวาเอ๋อร์ก็ไม่ต้องเดินทางตลอดทั้งคืน ทั้งยังพลัดตกหน้าผาจนเป็นเรื่องอีก หลังสมรสก็มีเรื่องมากมายรุมเร้า เจ้าไม่ว่าง นางเองก็ไม่ว่าง ยิ่งเหนื่อยล้าสะสมมากย่อมฝืนรับไม่ไหว ลำบากนางแย่” พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวโทษ  


 


 


           ฉินเจิงไม่พูดจา 


 


 


           “จริงๆ เลย ผอมหมดแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องก้าวขึ้นมาแล้วคว้ามือเซี่ยฟางหวามากุมไว้ ก่อนลูบใบหน้านางแผ่วเบา 


 


 


           ฉินเจิงเม้มปาก 


 


 


           “ไฉนช่วงนี้ในเมืองถึงได้วุ่นวายเช่นนี้ ตกลงว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังสร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมา เจ้าตรวจสอบได้ความบ้างหรือยัง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเหล่านี้ คล้ายกับพุ่งเป้ามาที่เจ้ากับหวาเอ๋อร์” 


 


 


           ฉินเจิงยังคงเงียบ 


 


 


           “เจ้าช่วยพูดอะไรหน่อย บอกข้ามาว่าหลายวันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าอยู่ในเมืองแรกเริ่มได้ยินว่าเกิดดินถล่มโคลนไถลที่อารามลี่อวิ๋นก่อน อารามทั้งหลังพังทลายลง จากนั้นก็ได้ยินว่าหวาเอ๋อร์อยู่ตรวจสอบสาเหตุ องค์หญิงใหญ่ถูกลอบสังหาร เยี่ยนหลันได้รับบาดเจ็บสาหัส นับว่ารอดตายกลับมาหวุดหวิด ตามมาด้วยหน้าดินพังทลาย หวาเอ๋อร์กับคุณชายอวิ๋นหลานหายตัวไป เจ้าออกไปตามหา กว่าจะได้รับข่าวดีว่าปลอดภัยนั้นไม่ง่าย ข้ากำลังจุดธูปเซ่นไหว้ไทเฮาที่ศาลบรรพชน ก็ได้ยินว่าเกิดเพลิงไหม้ในป่าห่างออกไปสิบลี้ วันนี้เฝ้าคอยรอพวกเจ้ากลับมา นึกไม่ถึงว่าหวาเอ๋อร์กลับหมดสติไปอีก เชิญหมอหลวง…” พระชายาอิงชินอ๋องพูดรัว “ตอนนั้นข้าน่าจะไปด้วย จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะความไม่รู้” 


 


 


           “ซื่อฮว่า เจ้าเข้ามาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พระชายาฟัง” ฉินเจิงกวักมือเรียก 


 


 


           ซื่อฮว่ารีบเดินเข้ามา เล่าเหตุการณ์วันนั้นที่นางเดินทางไปยังอารามลี่อวิ๋นพร้อมเซี่ยฟางหวา รวมถึงหลังนางเดินเข้ามาในจวนก็หมดสติลงฉับพลันในวันนี้ให้ฟังโดยละเอียด 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องฟังจบก็มีสีหน้าไม่หน้ามองยิ่ง เอ่ยถามฉินเจิงว่า “เจ้าบอกว่าเขาไร้นามถูกทำลายลงแล้ว แต่สามปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ คดีหลี่อวิ๋นสังหารผู้อื่นที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก ใต้เท้าหานถูกสังหาร ยังมีเรื่องในอารามลี่อวิ๋น ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้คือพวกเขาหรือ” 


 


 


           “ยังยืนยันแน่ชัดไม่ได้” ฉินเจิงตอบ “ทุกสิ่งไม่ง่ายดายขนาดนั้น” 


 


 


           “ฉือเฟิ่งขัดขวางหวาเอ๋อร์ นึกไม่ถึงเลยว่าเพราะต้องการตำราเคล็ดวิชา เขาจะนำมันไปทำอะไร ตำรารวบรวมเคล็ดวิชาทั่วใต้หล้าไม่ใช่สมบัติของเผ่าภูตผีหรือ หรือว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับเผ่าภูตผี”  


 


 


พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึม  


 


 


           “อาจจะ” ฉินเจิงตอบ 


 


 


           “หวาเอ๋อร์วางเพลิงทำให้เขาโดนไฟลวกบาดเจ็บ แม้จะไม่ก่อเรื่องขึ้นในชั่วคราว แต่คงไม่ยอมเลิกราแน่นอน” พระชายาอิงชินอ๋องครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น  


 


 


           ฉินเจิงเงียบ 


 


 


           “ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าสามปรมาจารย์เขาไร้นามยังอยู่” พระชายาอิงชินอ๋องถาม 


 


 


           ฉินเจิงคลึงหว่างคิ้ว “ต้องดูว่าแผนการทั้งหมดของพวกเขานั้นเพื่อสิ่งใดกันแน่ หากสิ่งที่พวกเขาต้องการคือบัลลังก์ของเสด็จอา เช่นนั้นบางทีเสด็จอาอาจทรงทราบแล้ว หากสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่บัลลังก์ พระองค์อาจยังไม่ทราบ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “หากเมื่อวานนางไม่เปิดเผยฐานะสามปรมาจารย์เขาไร้นาม ข้าเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน” 


 


 


           “เจ้าเพิ่งรู้หรือว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่” พระชายาอิงชินอ๋องแปลกใจ 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า 


 


 


           “ในมือเจ้าไม่ใช่ว่ามี…” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา “เจ้าไม่ได้ควบคุมสถานการณ์ทั้งในและนอกเมืองหลวงหรอกหรือ” 


 


 


           ฉินเจิงพลันหัวเราะขึ้นมา “ท่านแม่ สิ่งที่ข้ามีอยู่ในมือนั้นจะนำมาใช้ตามใจชอบไม่ได้” พูดจบ เขาคล้ายกับจนปัญญาเล็กน้อย “เหตุใดท่านถึงเหมือนนางไม่มีผิด คิดไปเองว่าข้าต้องรู้และทำได้ทุกอย่าง ข้าเป็นคน ไม่ใช่เทวดาจากที่ใด จะคาดการณ์ทุกอย่างล่วงหน้าได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น…” เขาเม้มปาก “สายลับราชสำนักกับราชสำนักหนานฉินเจริญรุ่งเรืองมาด้วยกันสามร้อยปี เดิมทีก็แข็งแกร่งมาก ทั้งถูกปิดเป็นความลับ เรียกได้ว่าฝั่งหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง ฝั่งหนึ่งอยู่ในที่ลับ เรื่องบางเรื่องไหนเลยจะควบคุมได้ง่ายเช่นนั้น” 


 


 


           “ก็จริง” พระชายาอิงชินอ๋องเงียบลง มองหน้าเขา “แล้วตอนนี้ควรทำเช่นไร” 


 


 


           “รอฉินอวี้เถอะ” ฉินเจิงถอนหายใจออกมา 


 


 


           “รอเขา” พระชายาอิงชินอ๋องมอง “รอเขาทำไม” 


 


 


           “รอเขากลับจากขุดลอกคูคลอง” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “นี่คือบ้านเมืองที่เขาต้องสืบทอดต่อในอนาคต ข้าช่วยเขาแบกรับความรับผิดชอบทุกสิ่งไม่ได้ หรือรับลูกธนูแทนเขาได้” 


 


 


           “ฝนตกหนักหลายวัน หลายพื้นที่ประสบอุทกภัย รัชทายาทออกไปขุดลอกคูคลองด้วยตัวเอง คงไม่กลับมาในเวลาอันใกล้นี้” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา  


 


 


           “ก็ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้กระทำไปมากแล้ว ตอนนี้ฉือเฟิ่งได้รับบาดเจ็บ ทั้งถูกเปิดเผยฐานะแล้ว คงหยุดเคลื่อนไหวก่อนชั่วคราว” ฉินเจิงบอก “ข้าไม่กลัว ขอเพียงมีแผนการและยังเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวก็คือศพมีชีวิตอย่างที่นางบอกต่างหาก ไร้ความเป็นคน เดาทางไม่ได้ นี่ต่างหากที่น่ากังวล” 


 


 


           “เจ้ามีแผนก็ดีแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า “แต่อย่าให้หวาเอ๋อร์ต้องใช้ความคิดมากอีก เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ พวกเจ้าแต่งงานกันแล้ว จำต้องมีทายาท ข้ายังอยากอุ้มหลานไวๆ ถ้ายังกังวลต่อไปเช่นนี้ นางเหนื่อยล้าจนกระทบกับร่างกาย จะให้กำเนิดทายาทได้อย่างไร” 


 


 


           “รีบไปไหน” ฉินเจิงมองนาง 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องตวัดข้อมือตีเขา “เจ้าเด็กบ้า สิ่งที่ข้าพูดเจ้าอย่าทำหูทวนลม ข้ากับพ่อเจ้าอายุปูนนี้แล้ว เฝ้ามองดูเจ้าเติบโตมาอย่างยากลำบาก เราจะได้เล่นกับลูกหลานอย่างมีความสุขทั้งที ไฉนถึงไม่รีบร้อนได้ ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าต้องบำรุงร่างกายหวาเอ๋อร์ให้ดี เจ้าเป็นผู้ชาย เรื่องคลี่คลายคดี สืบคดี หรือแผนการลับนั่นควรเลี่ยงนาง เป็นที่กันลมกันฝนให้นาง ไม่ควรดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้องจนพลอยเหนื่อยล้าไปด้วย เข้าใจหรือไม่” 


 


 


           “เข้าใจแล้ว” ฉินเจิงพยักหน้า 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องเห็นว่าเขารับปากอย่างว่าง่ายก็ไม่กดดันเขาอีก ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อตอนนี้หวาเอ๋อร์ยังหมดสติอยู่ก็อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายนางเลย พวกเจ้าค้างที่จวนโหวเถอะ พอนางฟื้นและดีขึ้นแล้วค่อยกลับจวน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ข้าจะกลับไปปรึกษากับพ่อเจ้าที่จวน เรื่องภายในของสายลับราชสำนัก ข้าเองก็ไม่ค่อยกระจ่างเช่นกัน พ่อเจ้าเติบโตมาข้างกายอดีตฮ่องเต้กับไทเฮา ย่อมรู้เรื่องสายลับบนภูเขาลับของราชสำนักในส่วนที่พวกเราไม่รู้เป็นแน่” 


 


 


           ฉินเจิงผงกศีรษะ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องกำชับกับฉินเจิงอีกสองประโยค ไม่อยู่นานก็ออกจากสวนไห่ถัง 


 


 


           หลังพระชายาอิงชินอ๋องกลับไป ซื่อฮว่าก็ยกยาสองถ้วยมายังหน้าประตูแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องน้อย ต้มยาของท่านกับคุณหนูมาแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


           “ยกเข้ามา” ฉินเจิงปรายตามองข้างนอกแวบหนึ่ง 


 


 


           ซื่อฮว่ายกถ้วยยาเข้ามาในห้อง ส่งถ้วยหนึ่งให้ฉินเจิง “นี่เป็นยาของท่าน ตอนคุณหนูเขียนใบสั่งยาได้กำชับไว้แล้วว่าท่านต้องดื่มยาระยะหนึ่ง มิฉะนั้นอาการบาดเจ็บภายในจะทิ้งอาการแทรกซ้อนได้” 


 


 


           ฉินเจิงรับถ้วยยามาดื่มรวดเดียวจนหมด 


 


 


           ซื่อฮว่าส่งยาของเซี่ยฟางหวาให้เขา เขายกมือไล่ซื่อฮว่าออกไป เมื่อซื่อฮว่าเดินออกไปแล้วก็ดื่มยาคำหนึ่งพักเอาไว้ในปาก ก่อนโน้มใบหน้าลงมา ใช้ริมฝีปากเปิดกลีบปากของเซี่ยฟางหวาแล้วป้อนยาให้นาง  

 

 


ตอนที่ 57 สำคัญกว่าข้า

 

           หลังฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาย่างเท้าเข้าสู่เมืองหลวงหนานฉินก็มีคนตามมาหาถึงจวนทันที 


 


 


           คนแรกคือหลานชายหมอหลวงซุน คนที่สองคือบุตรชายใต้เท้าหาน คนที่สามคือหย่งคังโหว 


 


 


           ทั้งสามบังเอิญพบกันที่หน้าประตูจวนจงหย่งโหว ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนที่หลานชายหมอหลวงซุนเป็นผู้ออกไปเคาะประตู 


 


 


           คนเฝ้าประตูชะโงกหน้ามามอง ครั้นแล้วก็แปลกใจยิ่ง 


 


 


           “ข้าได้ยินว่าท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยกลับถึงจวนแล้ว ข้าอยากพบพวกเขา” หลานชายหมอหลวงซุนรีบเอ่ยขึ้น  


 


 


           “ข้าก็มาเพื่อพบท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยเช่นกัน” บุตรชายใต้เท้าหานก็เอ่ยขึ้น 


 


 


           “ข้าก็ด้วย” หย่งคังโหวพยักหน้า 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยเพิ่งกลับมาไม่นาน พอก้าวเท้าเข้าไปในจวน พระชายาน้อยก็หมดสติ ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัว เกรงว่าท่านอ๋องน้อยคงไม่ว่างพบทั้งสามท่าน” คนเฝ้าประตูได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความลังเล  


 


 


           ทั้งสามมึนงง 


 


 


           “พระชายาน้อยหมดสติ เพราะเหตุใด” หย่งคังโหวรีบถาม 


 


 


           “เมื่อครู่เชิญหมอหลวงมาตรวจแล้ว ข้าน้อยเองก็มิทราบ รู้แค่ตอนหมอหลวงกลับไปนั้นเอาแต่ส่ายหน้าพัลวัน ตอนนี้ในจวนต่างตกอยู่ในความกลัดกลุ้ม ท่านอ๋องน้อย โหวเหยผู้เฒ่า และนายท่านต่างกังวลอย่างยิ่ง” คนเฝ้าประตูตอบ 


 


 


           “พระชายาน้อยได้รับบาดเจ็บนอกเมืองหรือ” หย่งคังโหวตกใจ 


 


 


           “ข้าน้อยมิทราบ” คนเฝ้าประตูส่ายหน้า 


 


 


           “นี่…” หย่งคังโหวหันไปมองบุตรชายใต้เท้าหาน 


 


 


           บุตรชายใต้เท้าหานไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “บอกคุณชายหลินซีให้ออกมาพบได้หรือไม่” 


 


 


           “ข้าน้อยจะไปบอกประเดี๋ยวนี้” คนเฝ้าประตูรีบวิ่งหายไป 


 


 


           “คุณชายหานมาพบท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยครั้งนี้ด้วยเรื่องคดีใต้เท้าหานถูกสังหารหรือ” หย่งคังโหวถาม 


 


 


           “ถูกต้อง” คุณชายหานพยักหน้า “ท่านพ่อมิอาจถูกสังหารอย่างมีเงื่อนงำเช่นนี้ได้ ท่านอ๋องน้อยมีอำนาจสืบคดีนี้ทั้งหมด ข้าได้ยินว่าท่านอ๋องน้อยออกจากเมืองด้วยเรื่องพระชายาน้อยและเพิ่งกลับมาเมื่อครู่ จึงได้แต่รีบมาหา มิฉะนั้นอากาศร้อนถึงเพียงนี้ ถ้าศพท่านพ่อไม่เย็น แล้วจะประกอบพิธีฝังศพได้อย่างไร” 


 


 


           “น่าเสียดายขุนนางผู้มีความยุติธรรมในราชสำนักท่านนี้ ขุนนางที่ดีแบบใต้เท้าหานมีน้อยมาก” หย่งคังโหวพยักหน้าก่อนถอนหายใจออกมา  


 


 


           “ไม่รู้ว่าใครช่างขาดสามัญสำนึก แม้ท่านพ่อซื่อตรง แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยล่วงเกินผู้ใด มีเหตุผลใดต้องสังหารท่านพ่อเช่นนี้ด้วย” คุณชายหานนัยน์ตาแดงก่ำ  


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยแม้มีนิสัยแปรปรวนแต่ก็ไม่ยอมใคร จะต้องสืบหาความจริงได้เป็นแน่ เพื่อคืนความยุติธรรมแก่ใต้เท้าหาน” หย่งคังโหวบีบไหล่ให้กำลังใจ  


 


 


           คุณชายหานพยักหน้า “แล้วท่านโหวมาหาท่านอ๋องน้อยด้วยเรื่องใด” 


 


 


           “ข้ามาเพื่อขอให้พระชายาน้อยไปดูอาการบาดเจ็บให้เยี่ยนหลัน แต่ในเมื่อตอนนี้พระชายาน้อยบาดเจ็บและหมดสติไป เกรงว่าไม่อาจรบกวนนางได้แล้ว” หย่งคังโหวถอนหายใจออกมา  


 


 


           “วิชาแพทย์ของพระชายาน้อยยอดเยี่ยมจริงหรือ” คุณชายหานถาม 


 


 


           “แน่นอน ฮูหยินข้าก้าวขาข้างหนึ่งผ่านประตูผี แต่ก็ถูกพระชายาน้อยลากกลับมาได้” หย่งคังโหวตอบ 


 


 


           “ตั้งแต่ท่านพ่อตายท่านแม่ก็กินอาหารไม่ได้เลย สลบไปหลายต่อหลายครั้ง ส่งผลเสียต่อร่างกาย…” คุณชายหานถอนหายใจออกมา “หมอหลวงเขียนใบสั่งยาให้หลายครั้ง กลับไม่เป็นผล” 


 


 


           “รอพระชายาน้อยดีขึ้น ค่อยเชิญนางไปตรวจดูเถอะ” หย่งคังโหวบอก 


 


 


           คุณชายหานพยักหน้า 


 


 


           ซุนจั๋วหลานหมอหลวงซุนฟังทั้งสองคุยกันอยู่ด้านข้างโดยไม่เอ่ยแทรกขึ้น ยืนนิ่งด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ 


 


 


           “ซุนจั๋ว ท่านอ๋องน้อยสืบคดีหมอหลวงซุนกระจ่างแล้ว วันนี้เจ้ามาหาท่านอ๋องน้อยด้วยเรื่องใด” หย่งคังโหวเอ่ยถามขึ้น 


 


 


           “ข้าคิดว่าการตายของท่านปู่จะง่ายดายเช่นนั้นหรือ” ซุนจั๋วเม้มปาก 


 


 


           “อ้อ?” หย่งคังโหวกับคุณชายหานมองเขาพร้อมกัน 


 


 


           “เอ้อร์เหนียงขี้ขลาด แม้ถูกท่านปู่จับได้ว่านางลักลอบคบชู้กับคนติดตาม แต่เห็นแก่ที่นางเป็นหม้ายอ้างว้างมาหลายปีก็คงไม่ส่งตัวนางให้ทางการเป็นแน่ อย่างมากก็แค่ลงโทษตามกฎของตระกูล อย่างไรก็ไม่ถึงกับเอาชีวิตเอ้อร์เหนียงโดยเด็ดขาด แท้จริงแล้วเอ้อร์เหนียงก็กตัญญูต่อท่านปู่มาก มักเชื่อฟังท่านปู่เสมอ ข้าจึงคิดว่านางไม่น่าจะเป็นผู้บงการให้คนติดตามลงมือสังหาร นางมิได้กล้าหาญขนาดนั้น และเห็นแก่ท่านปู่ที่ดีกับนางตลอดมาก็คงไม่ลงมือสังหารท่านปู่ด้วยจิตใจโหดเ**้ยมเช่นนี้” ซุนจั๋วลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น  


 


 


           “มนุษย์เรารู้หน้าไม่รู้ใจ เรื่องนี้พูดยาก” หย่งคังโหวบอก 


 


 


           “ถูกต้อง สตรีมักมีใจคอโหดเ**้ยม” คุณชายหานเสริมขึ้น 


 


 


           “ข้าคิดว่าท่านปู่มิได้ถูกเอ้อร์เหนียงสังหาร ท่านแม่ก็คิดเหมือนข้าเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงมาหาท่านอ๋องน้อย ขอให้เขาตรวจสอบต่อไป” ซุนจั๋วส่ายหน้า  


 


 


           หย่งคังโหวกับคุณชายหานเห็นว่าเขาอายุยังน้อย ทว่าพูดจาได้อย่างมีลำดับขั้นตอนชัดเจน ชั่วเวลานั้นจึงนับถือหลานชายหมอหลวงซุนผู้นี้อยู่บ้าง 


 


 


           ไม่นานเซี่ยหลินซีก็เดินมาจากในจวนด้วยความรีบร้อน 


 


 


           “พี่หลินซี” คุณชายหานเห็นเซี่ยหลินซีก็รีบส่งเสียงเรียก  


 


 


           ต่างเติบโตมาในเมืองหลวงตั้งแต่เด็กจึงคุ้นเคยกันดี  


 


 


           “น้องหาน” เซี่ยหลินซีเป็นกันเองตอบ ทั้งประสานมือคำนับหย่งคังโหว “ท่านโหว” จากนั้นก็มองไปยังซุนจั๋ว “นายน้อยซุน” 


 


 


           หลังทักทายกันจบลงก็เชิญทั้งสามเข้าไปนั่งคุยข้างใน 


 


 


           คุณชายหานส่ายหน้า บอกจุดประสงค์ในการมาชัดเจน 


 


 


           เซี่ยหลินซีได้ยินเช่นนั้นก็ลำบากใจเล็กน้อย บอกตามความจริง “น้องฟางหวาเพิ่งผ่านผ่านประตูจวนมาก็หมดสติ จนตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัว ท่านอ๋องน้อยดูแลนางอยู่ ตอนนี้เกรงว่าไม่มีกะจิตกะใจสนใจเรื่องอื่น” 


 


 


           “พระชายาน้อยจะฟื้นเมื่อไร” คุณชายหานถาม 


 


 


           “บอกไม่ได้” เซี่ยหลินซีตอบ 


 


 


           “พี่หลินซี ท่านก็รู้ว่าตอนนี้อากาศร้อนมาก ถึงแม้นำน้ำแข็งมาแช่ศพก็อยู่ได้ไม่นานนัก ถ้าศพบิดาข้าไม่เย็นแล้วจะประกอบพิธีฝังศพได้อย่างไร” ใบหน้าคุณชายหานเต็มไปด้วยความกังวล  


 


 


           “เอาอย่างนี้เถิด ทั้งสามท่านเข้ามาข้างในก่อน ข้าจะไปหาท่านอ๋องน้อยแล้วคุยเรื่องนี้กับเขา ดูว่าท่านอ๋องน้อยคิดเช่นไร” เซี่ยหลินซีได้ยินเช่นนี้ก็เห็นใจอย่างยิ่ง  


 


 


           “ขอบคุณพี่หลินซีมาก” คุณชายหานประสานมือขอบคุณ 


 


 


           “ข้ามาเพื่อเชิญพระชายาน้อย เรื่องของข้าไม่ต้องบอกกับท่านอ๋องน้อยหรอก แต่ในเมื่อมาถึงแล้วก็เข้าไปเยี่ยมเยียนโหวเหยผู้เฒ่าสักหน่อย ได้ยินว่าโหวเหยผู้เฒ่าตากลมหนาว ตอนนี้หายดีหรือยัง” หย่งคังโหวยกมือปฏิเสธ  


 


 


           “โหวเหยผู้เฒ่าหายดีแล้ว” เซี่ยหลินซีผายมือเชิญเข้ามาข้างใน 


 


 


           ทั้งสามเข้าไปในจวนด้วยกัน 


 


 


           เซี่ยหลินซีเชิญทุกคนไปยังห้องรับแขกส่วนหน้าก่อน หลังสั่งงานสาวใช้ให้นำน้ำชาและของว่างมาต้อนรับแล้วก็ปลีกตัวไปยังสวนไห่ถังด้วยตัวเอง 


 


 


           ในสวนไห่ถัง เมื่อฉินเจิงป้อนยาให้เซี่ยฟางหวาเสร็จแล้วก็นั่งพิงข้างกายนาง เขาหลับตาลง ใต้แพขนตายาวปรากฏร่องรอยดำคล้ำ 


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อเองก็เหนื่อยล้าเช่นกัน ไม่รบกวนทั้งคู่ ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน 


 


 


           เซี่ยหลินซีเข้ามาในสวนไห่ถังก็สัมผัสได้ถึงความเงียบสงัด เขาลังเลชั่วครู่ แต่ยังเดินหน้าเข้าไปข้างใน 


 


 


           ซื่อฮว่าสะดุ้งตกใจ นางชะโงกศีรษะออกมาจากห้องแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “คุณชายหลินซี ท่านมีธุระใดหรือ” 


 


 


           “ข้ามาหาท่านอ๋องน้อย มีธุระนิดหน่อย” เซี่ยหลินซีคุมน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ท่านอ๋องน้อยเล่า” 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยเหนื่อยมากแล้ว น่าจะกำลังพักผ่อนและเฝ้าคุณหนูอยู่” ซื่อฮว่าลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสียงเบา “หากเป็นเรื่องสำคัญมาก ให้บ่าวไปบอกหรือไม่” 


 


 


           “คุณชายหานมาด้วยเรื่องใต้เท้าหาน อากาศร้อนเกินไป แต่คดีใต้เท้าหานยังตรวจสอบไม่กระจ่าง ถ้าศพไม่เย็นก็ประกอบพิธีฝังศพไม่ได้ คุณชายหานร้อนใจจึงหามาท่านอ๋องน้อย คนตายเป็นเรื่องใหญ่ บิดาเสียชีวิตบุตรก็กตัญญู ข้าไม่กล้าบอกปัดโดยตรงจึงได้แต่มาหาท่านอ๋องน้อย” เซี่ยหลินซีพยักหน้า  


 


 


           “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บ่าวจะไปรายงานให้” ซื่อฮว่ารีบบอก 


 


 


           เซี่ยหลินซีผงกศีรษะ 


 


 


           ซื่อฮว่าเดินมาที่หน้าประตู ก่อนตะโกนเรียกเสียงเบา “ท่านอ๋องน้อย” 


 


 


           ฉินเจิงยังไม่หลับจึงได้ยินทั้งสองพูดคุยกันชัดเจน เขาลืมตามองไปยังข้างนอก ก่อนกล่าวเสียงทุ้ม “ให้พี่หลินซีกลับไปบอกหานมู่ว่า ให้เขาหาฤกษ์จัดพิธีฝังศพใต้เท้าหานได้เลย คดีใต้เท้าหานพัวพันกันอย่างใหญ่หลวง ไม่อาจตรวจสอบให้กระจ่างแล้วคลี่คลายได้ในเวลาอันสั้น แต่ข้าจะต้องหาความจริงให้จงได้ เพื่อปลอบขวัญวิญญาณใต้เท้าหานที่สถิตบนสรวงสวรรค์” 


 


 


           “เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ารีบพยักหน้า 


 


 


           “ยังมีซุนจั๋วหลานชายหมอหลวงซุน เขาบอกว่าคดีหมอหลวงซุนยังมีข้อสงสัย เอ้อร์เหนียงของเขาไม่น่าจะเป็นผู้ลงมือสังหารหมอหลวงซุน” เซี่ยหลินซีมายังหน้าประตูแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


           “คดีหมอหลวงซุนยังต้องตรวจสอบเพิ่มเติม ตอนนี้เป็นเพียงการอนุมานเบื้องต้น ยังไม่ปิดคดีอย่างเป็นทางการ ขอให้เขาสบายใจได้” ฉินเจิงตอบอีก 


 


 


           “ได้ เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนเถอะ ถ้าน้องฟางหวาฟื้นแล้วก็ส่งคนไปบอกด้วย ข้าจะได้นำไปบอกผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน” เซี่ยหลินซีได้ยินเช่นนั้นก็ผงกศีรษะ  


 


 


           ฉินเจิงตอบ “อืม” 


 


 


           เซี่ยหลินซีออกจากสวนไห่ถัง 


 


 


           คุณชายหานได้ยินถ้อยคำจากฉินเจิงก็รีบกลับจวนไปเตรียมงานศพใต้เท้าหาน 


 


 


           ซุนจั๋วได้ยินถ้อยคำจากฉินเจิงก็ขอตัวกลับจากไล่หลังไป 


 


 


           หย่งคังโหวนั่งพูดคุยกับโหวเหยผู้เฒ่าที่ห้องโถงหรงฝูพักหนึ่ง ก่อนขอตัวกลับจวนหย่งคังโหวเช่นกัน 


 


 


           หลังเขากลับไปแล้ว ชุยอวิ่นก็กล่าวกับโหวเหยผู้เฒ่า “น่าแปลก ไปด้วยกันสามคนแท้ๆ เหตุใดองค์หญิงใหญ่กับท่านหญิงจินเยี่ยนถึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เยี่ยนหลันจากจวนหย่งคังโหวกลับได้รับบาดเจ็บแทน” 


 


 


           “เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นเช่นไรใครจะรู้เล่า” จงหย่งโหวส่ายหน้า 


 


 


           “หลี่อวิ๋นแม้เป็นคนตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น แต่สนิทสนมกับจวนหย่งคังโหวและค่ายใหญ่เขาตะวันตก ผู้อยู่เบื้องหลังจึงใช้เขาเป็นเครื่องมือ ตอนนี้หลี่อวิ๋นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เยี่ยนหลันกลับบาดเจ็บสาหัส จวนหย่งคังโหวมีสิ่งใดที่ทำให้ผู้อยู่เบื้องหลังเกิดแรงจูงใจคิดลงมือด้วยกันแน่” ชุยอวิ่นกล่าวอีก 


 


 


           “ตอนนี้ยังไม่เข้าใจ แต่วันหนึ่งต้องกระจ่างแน่ จนกว่าจะถึงตอนนั้น ใครจะอยู่ใครจะตายนั้นตอบยาก” จงหย่งโหวแค่นเสียงในลำคอ  


 


 


           “เหตุใดโหวเหยผู้เฒ่าถึงกล่าวเช่นนี้” ชุยอวิ่นตกใจ 


 


 


           “ข้ามีชีวิตอยู่มานาน อวดตนว่าผ่านคลื่นลมมามากน้อย แต่ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าจะอ่านสถานการณ์ทั้งในและนอกเมืองไม่ออกแล้ว ยิ่งมองก็ยิ่งพร่ามัว ได้แต่หวังว่าบ้านเมืองหนานฉินจะสงบสุข มิฉะนั้นไพร่ฟ้าประชาชนต้องประสบกับความทุกข์ยาก” จงหย่งโหวถอนหายใจออกมา  


 


 


           “โหวเหยผู้เฒ่ามีใจเมตตานัก” ชุยอวิ่นถอนหายใจตาม 


 


 


           เช้าวันถัดมา อู๋เฉวียนมาที่จวนจงหย่งโหวพร้อมด้วยพระบัญชาของฝ่าบาท เชิญฉินเจิงเข้าวัง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหมดสติไปหนึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน จนตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น ทันทีที่เซี่ยหลินซีนำข่าวมาบอกที่สวนไห่ถังว่าฝ่าบาททรงเรียกฉินเจิงเข้าวัง ฉินเจิงก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าอ่อนล้า “ได้บอกหรือไม่ว่าเรื่องใด” 


 


 


           “อู๋กงกงไม่ได้บอก” เซี่ยหลินซีส่ายหน้า 


 


 


           ฉินเจิงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เซี่ยฟางหวายังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เขาส่ายหน้าตอบ “ตอนนี้หวาเอ๋อร์ยังไม่ฟื้น บอกอู๋กงกงว่าเมื่อนางฟื้นแล้ว ข้าค่อยเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จอาเอง” 


 


 


           เซี่ยหลินซีพยักหน้าก่อนเดินออกไป 


 


 


           หลังเขาออกไปแล้ว ฉินเจิงก็เอนกายพิงหัวเตียงด้วยความอ่อนล้า ก่อนกุมมือเซี่ยฟางหวาแล้วขยับเข้าไปจุมพิตนางแผ่วเบา “เซี่ยฟางหวา เจ้าฟื้นได้แล้ว อย่านอนต่อไปอีกเลย มีเรื่องกังวลใจอันใดที่สำคัญกว่าข้าอีกหรือ ถ้าเจ้ายังไม่ฟื้นอีกข้าก็จะไม่ดื่มยาแล้ว ยารสขมที่เจ้าเขียนให้นั้นดื่มยากโดยแท้”  

 

 


ตอนที่ 58 ข้าอยู่ตรงนี้

 

           เซี่ยหลินซีได้ยินฉินเจิงบอกเช่นนั้นก็กลับไปบอกอู๋เฉวียนที่หน้าประตูจวน 


 


 


           หลังอู๋เฉวียนทราบข่าวก็ทำหน้าสลด “อาการป่วยของพระชายาน้อยร้ายแรงมากหรือ” 


 


 


           “ตั้งแต่มาที่จวนเมื่อวานก็หมดสติตลอดมา จนถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย หมอหลวงมาตรวจดูแล้วบอกว่าสภาพร่างกายไม่ค่อยดีนัก จำต้องบำรุงร่างกายให้ดี” เซี่ยหลินซีพยักหน้า  


 


 


           “แต่ฝ่าบาททรงตรัสว่าต้องเชิญท่านอ๋องน้อยเข้าวังหลวงให้ได้ มีเรื่องต้องหารือร่วมกัน” อู๋เฉวียนลังเล  


 


 


           “ถ้ามิอย่างนั้นข้าจะนำทางอู๋กงกงไปยังสวนไห่ถังด้วยตัวเอง แต่ตราบใดที่น้องฟางหวายังไม่ฟื้น เกรงว่าท่านอ๋องน้อยคงไม่ละเลยนางเช่นกัน คงไม่เข้าวังไปกับท่านหรอก” เซี่ยหลินซีถอนหายใจออกมา  


 


 


           อู๋เฉวียนครุ่นคิด “ก็จริง” หยุดชั่วครู่แล้วมองเข้าไปในจวน “เช่นนี้เถิด ข้าจะกลับไปทูลรายงานต่อฝ่าบาทก่อน ได้ความเช่นไรค่อยว่ากัน” 


 


 


           เซี่ยหลินซีประสานมือคำนับส่งเขากลับวังหลวง 


 


 


           เมื่ออู๋เฉวียนขึ้นรถม้าก็เคลื่อนตัวออกจากหน้าจวนจงหย่งโหว มุ่งหน้ากลับวังหลวงทันที 


 


 


           เซี่ยหลินซีเห็นอู๋เฉวียนห่างไปไกลแล้วก็หันหลังกลับเข้าจวน สั่งคนปิดประตูจวนไม่ต้อนรับแขก 


 


 


           เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม จู่ๆ ก็มีคนมาส่งข่าวบอกว่าฝ่าบาทเสด็จออกจากวังหลวง ขบวนราชรถกำลังมุ่งหน้ามาที่จวนจงหย่งโหว 


 


 


           เซี่ยหลินซีไปรายงานจงหย่งโหวทันที 


 


 


           ชุยอวิ่นอยู่ที่ห้องโถงหรงฝูด้วย ได้ยินเช่นนี้ก็แปลกใจ “ฝ่าบาททรงประชวรมาสองเดือนเศษแล้ว ทรงประทับรักษาตัวอยู่ในวังหลวงตลอดเวลา วันนี้เหตุใดจู่ๆ ถึงเสด็จมายังจวนจงหย่งโหว” 


 


 


           “ก่อนหน้านี้อู๋กงกงมาเชิญท่านอ๋องน้อยด้วยพระบัญชาของฝ่าบาท แต่ท่านอ๋องน้อยไม่ได้เข้าวังเพราะน้องฟางหวา” เซี่ยหลินซีคาดเดา “บางทีฝ่าบาทอาจจะทรงมาหาท่านอ๋องน้อยด้วยพระองค์เอง” 


 


 


           จงหย่งโหวพยักหน้าแล้วยกมือสั่งงาน “เราก็เตรียมตัวออกไปรับเสด็จเถอะ ถึงแม้มาหาเจ้าเจิง แต่ก็มาที่จวนจงหย่งโหวเช่นกัน ไม่อาจขาดตกบกพร่องเรื่องพิธีการขุนนางได้” 


 


 


           ชุยอวิ่นผงกศีรษะ 


 


 


           จริงดังคาด ครู่ต่อมาก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากข้างนอก “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว” 


 


 


           จงหย่งโหว ชุยอวิ่น เซี่ยหลินซี รวมถึงทาสรับใช้ในจวนเร่งเปิดประตูใหญ่เพื่อออกไปรับเสด็จ 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์ไม่เป็นทางการ หลังเสด็จลงจากราชรถก็ยกพระหัตถ์ปรามจงหย่งโหว “โหวเหยผู้เฒ่าตามสบาย ขุนนางชุยตามสบาย” 


 


 


           จงหย่งโหวกับชุยอวิ่นคำนับขอบคุณแล้วยืดตัวขึ้น 


 


 


           “เจ้าคือเซี่ยหลินซีจากเรือนใหญ่รึ” ฮ่องเต้ปรายพระเนตรไปยังเซี่ยหลินซี 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหลินซีก้มหน้าทูลตอบ  


 


 


           “รัชทายาทละเว้นให้เจ้าอยู่ในเมือง ตอนรายงานกับเราบอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์ครบถ้วนทั้งบุ๋นบู๊ ตอนนี้อยู่ที่จวนจงหย่งโหวคอยต้อนรับแขกผู้มาเยือน ทำงานจุกจิกทุกวัน มิใช่ว่าเป็นการปิดกั้นความสามารถหรือ” ฮ่องเต้ทรงมองเขาพักหนึ่งแล้วตรัสขึ้น  


 


 


           “รัชทายาททรงยกยอเกินไปแล้ว หลินซีมิได้มีพรสวรรค์อันใด ความสามารถบางอย่างยังด้อยกว่าผู้อื่นนัก” เซี่ยหลินซีรีบตอบ 


 


 


           “เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวหรอก ก่อนเรือนใหญ่ย้ายออกจากเมืองหลวง เราก็ได้ยินชื่อเสียงเรื่องความสามารถของเจ้ามาบ้างเช่นกัน” ฮ่องเต้ตรัส “รัชทายาทออกไปขุดลองคูคลอง ในราชสำนักจึงเหลือเพียงองค์ชายแปดคนเดียว องค์ชายแปดยังเด็ก หลายเรื่องยังต้องมีเราตัดสินใจแทน ช่วงนี้เราร่างกายไม่แข็งแรง ข้างกายจำต้องมีผู้ช่วยดูแลเอกสารข้อราชการของเหล่าขุนนาง เช่นนี้แล้วกัน นับต่อวันนี้เป็นต้นไป เจ้ามาติดตามเราเถอะ” 


 


 


           “กระหม่อมมิได้มีความสามารถมากนัก ทำประโยชน์ใดมิได้ มิกล้าสอนหนังสือให้สังฆราช*[1]ต่อหน้าฝ่าบาทหรอกพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหลินซีสะดุ้งโหยง รีบทูลกล่าวด้วยความหวาดกลัว  


 


 


           ฮ่องเต้ทรงอุทาน “โอ้” ขึ้นก่อนมีพระพักตร์นิ่งขรึม “เจ้าไม่เต็มใจรึ” 


 


 


           เซี่ยหลินซีเงยหน้ามองจงหย่งโหว 


 


 


           จงหย่งโหวไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไป และไม่ได้ให้คำชี้แนะ 


 


 


           “ทูลฝ่าบาท ชีวิตอันต้อยต่ำของกระหม่อมได้รัชทายาทเป็นผู้ให้โอกาส รัชทายาททรงมอบกระหม่อมให้คุณหนูฟางหวาแล้ว คุณหนูฟางหวาให้กระหม่อมอยู่ดูแลงานธุรการในจวนหลังนี้พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหลินซีก้มหน้าลงก่อนทูลกล่าวเสียงทุ้ม 


 


 


           “เจ้าหมายความว่า ถึงเราต้องการตัวเจ้าก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากเซี่ยฟางหวาก่อนรึ” ฮ่องเต้มีพระพักตร์เคร่งขรึมทันที 


 


 


           เซี่ยหลินซีก้มหน้าลง ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ 


 


 


           “ใต้หล้ามิมีที่ใดมิใช่ผืนดินของจักรพรรดิ ตำแหน่งในแต่ละพื้นที่มิมีที่ใดมิใช่ขุนนางของจักรพรรดิ ถ้าเราต้องการใครแล้ว บนผืนแผ่นดินหนานฉินแห่งนี้ยังมีใครไม่เห็นเราอยู่ในสายตาบ้าง เซี่ยหลินซี เจ้าหลอกลวงเรา ดูถูกว่าเราเอาตัวเจ้าไปไม่ได้หรือ” ฮ่องเต้ทรงแค่นเสียงในลำพระศอ  


 


 


           “ปัญญาชนไม่เหมือนกับทาสรับใช้ ตระกูลเซี่ยครอบครัวนี้แม้ได้รับการลดโทษ แต่ก็ยังมีสายเลือดตระกูลใหญ่ไหลเวียนอยู่ หลินซีได้อ่านตำรานักปราชญ์ผู้มีคุณธรรมมาตั้งแต่เด็ก ได้ศึกษาหลักขงจื๊อและเมิ่งจื๊อ ปฏิบัติตามสามหลักห้าจรรยา**[2]อย่างซื่อตรง ผู้เป็นจักรพรรดิแม้กุมอำนาจการเกิด การสังหาร การให้ และการแย่งชิง แต่ก็มิอาจบัญชาการทหารเกราะดาบตามใจชอบได้ กระหม่อมแม้พ้นจากการเป็นนักโทษแล้ว แต่ก็มีจิตใจอันซื่อตรง ยามนี้ในเมื่อรัชทายาททรงมอบกระหม่อมให้คุณหนูฟางหวา ย่อมต้องฟังคำสั่งจากนาง หากนางยินยอม กระหม่อมย่อมถวายงานรับใช้ข้างพระวรกายฝ่าบาทเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหลินซีกัดริมฝีปาก ก่อนทูลกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด  


 


 


           “นี่เจ้ากำลังบอกว่าเราหาเรื่องทะเลาะอย่างไรเหตุผลรึ” ฮ่องเต้ทรงสะบัดแขนเสื้อ  


 


 


           “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยหลินซีก้มหน้า 


 


 


           จงหย่งโหวเห็นว่าฮ่องเต้มีพระพักตร์เคร่งขรึม เวลานี้ก็กระแอมขึ้นแล้วก้าวออกมากั้นเซี่ยหลินซีไว้ข้างหลัง ก่อนทูลถามขึ้น “มิทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมาเยือนกะทันหันเช่นนี้ มีธุระใดหรือ” 


 


 


           “ได้ยินว่าหวาเอ๋อร์ออกจากเมืองแล้วเกิดเรื่องขึ้นที่อารามลี่อวิ๋น เราจึงตั้งใจมาเยี่ยม” ฮ่องเต้ทรงมองเขาแวบหนึ่งแล้วตรัสเสียงเข้ม  


 


 


           “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง ตอนนี้หวาเอ๋อร์ยังมิได้สติเลยพ่ะย่ะค่ะ” จงหย่งโหวกล่าวขอบคุณ 


 


 


           “นำทางเถอะ เราจะไปดูนาง” ฮ่องเต้ตรัส 


 


 


           ชุยอวิ่นรีบทูลเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท หวาเอ๋อร์หมดสติอยู่ มิอาจออกมารับเสด็จด้วยได้ ท่านทรงเป็นพระวรกายอันล้ำค่าในฐานะโอรสสวรรค์ หรือว่า…” 


 


 


           “ไม่ต้องพูดมากความแล้ว เราจะไปดู” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ แสดงท่าทีให้นำทาง 


 


 


           ชุยอวิ่นมองไปยังจงหย่งโหว 


 


 


           จงหย่งโหวพยักหน้าให้ ก่อนนำทางฮ่องเต้ไปยังสวนไห่ถัง 


 


 


           ทหารกองเกียรติยศของฮ่องเต้ยกขบวนเข้ามาในจวนอย่างอึกทึกครึกโครม มุ่งหน้าไปยังสวนไห่ถัง 


 


 


           ภายในสวนไห่ถัง ฉินเจิงทราบข่าวก่อนแล้ว เขาลงจากเตียงด้วยสีหน้าไม่น่ามอง จัดเสื้อผ้าที่ยับยู่เล็กน้อยจากการถูกกดทับแล้วออกมาจากห้องชั้นใน 


 


 


           ไม่นานฮ่องเต้ก็เสด็จมาถึงสวนไห่ถัง 


 


 


           ฉินเจิงเปิดประตูยืนรอ เมื่อเห็นฮ่องเต้เสด็จเข้ามาโดยมีจงหย่งโหวติดตามมาด้วยก็เลิกคิ้ว “เสด็จอาทรงแข็งแรงดีแล้วหรือ ไฉนถึงไม่ประทับที่วังหลวง ทรงมาเดินเล่นที่จวนจงหย่งโหวหรือ” 


 


 


           ฮ่องเต้พบว่าเสื้อผ้าเขาไม่เรียบร้อย ใบหน้าปรากฏร่องรอยอ่อนล้าอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ สีหน้าค่อนข้างซึมเซาไร้ชีวิตชีวา แม้ยังคงพูดจาไม่เอาจริงเอาจังต่อหน้าพระองค์เหมือนเช่นเคย ทว่าเห็นได้ชัดว่าคร้านจะตอบโต้ด้วย พระองค์แค่นเสียงแผ่วเบา “เราส่งคนมาเชิญเจ้า แต่เจ้าไม่ไป เราก็เลยมาดูว่าหวาเอ๋อร์ป่วยเป็นอะไรกันแน่ เจ้าถึงกับต้องคอยเฝ้าข้างเตียงไม่ยอมห่าง” 


 


 


           “เช่นนั้นท่านก็เข้าไปดูเถิด” ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็หลีกทางให้ 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงมองเขาด้วยความสงสัย ทว่าก็ทรงเดินเข้าไปในห้องตามคำชวน 


 


 


           เมื่อมาถึงห้องชั้นในแล้วแหวกม่านออก เซี่ยฟางหวากำลังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวเด่นชัดอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งประกายมันวาว 


 


 


           “ฟังว่าหมอหลวงมาตรวจดูแล้ว ป่วยเป็นโรคใด” ฮ่องเต้ทรงเดินมายังหน้าเตียง มองพักหนึ่งก่อนขมวดพระขนงใส่ฉินเจิง  


 


 


           “สภาพจิตใจเหนื่อยล้าจนส่งผลกระทบกับอวัยวะภายใน เป็นกังวลมากเกินเหตุ” ฉินเจิงตอบ “จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง หลายวันนี้ได้รับความตระหนกตกใจติดต่อกันจึงหมดสติไป” 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงเงียบลงพักหนึ่งก่อนตรัสขึ้น “ได้ยินว่าดอกไห่ถังในศาลาไห่ถังแห่งจวนจงหย่งโหวสวยงามอย่างยิ่ง สร้างทิวทัศน์อันยอดเยี่ยมให้จวนหลังนี้ เจ้าไปชมกับเราหน่อย” 


 


 


           ฉินเจิงยืนนิ่ง 


 


 


           “อย่าบอกเราว่ากว่าจะได้แต่งภรรยาไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าจึงไม่กล้าละสายตาแม้แต่ครู่เดียว” ฮ่องเต้มี 


 


 


พระพักตร์เคร่งขรึมทันที 


 


 


           “เสด็จอาตรัสว่าแค่ครู่เดียวก็ครู่เดียว อย่านานจนเกินไป” ฉินเจิงหันหลังเดินออกไป 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงแค่นเสียงในลำพระศอก่อนตามเขาออกไป ขณะเดียวกันก็ตรัสกับจงหย่งโหว “โหวเหยผู้เฒ่าไม่ต้องตามเราไปหรอก เจ้าอายุมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ เราเองก็ไม่ใช่คนนอกอันใด” 


 


 


           จงหย่งโหวยิ้มพลางพยักหน้า 


 


 


           ฉินเจิงกับฮ่องเต้ไปยังศาลาไห่ถังด้านหลังด้วยกัน 


 


 


           ชุยอวิ่นรอจนฮ่องเต้กับฉินเจิงหายไปหลังบานประตูแล้วก็มองไปยังจงหย่งโหว 


 


 


           จงหย่งโหวบอกให้เขาเข้าไปในห้อง ทั้งสองเข้ามาดูอาการเซี่ยฟางหวาพักหนึ่ง ก่อนออกมาพร้อมกัน 


 


 


           เวลาหนึ่งถ้วยชาถัดมา ฮ่องเต้กับฉินเจิงก็ออกมาจากสวนไห่ถังด้วยกัน 


 


 


           ฮ่องเต้มีพระพักตร์ไม่น่ามองยิ่ง เป็นพระพักตร์แบบเดียวกับเวลาฉินเจิงหาเรื่องโต้เถียงกับพระองค์เหมือนทุกครั้ง หลังออกจากสวนไห่ถังก็เผยพระพักตร์เยือกเย็น ก่อนสะบัดแขนเสื้อแล้วทรงออกคำสั่ง “กลับวัง” 


 


 


           อู๋เฉวียนรีบเรียกผู้ติดตามตามออกไป จงหย่งโหวกับชุยอวิ่นออกไปส่งเสด็จ 


 


 


           ไม่นานฮ่องเต้ก็เสด็จออกจากจวนจงหย่งโหว 


 


 


           ฉินเจิงกลับเข้าห้องด้วยใบหน้าปกติ เขาเดินมาที่เตียงก่อนจับมือเซี่ยฟางหวา เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล “เสด็จอาตรัสว่าหากเจ้ายังไม่ฟื้นอีก หากข้ายังอยู่เฝ้าเจ้าข้างเตียงเช่นนี้โดยไม่ทำอันใดทั้งนั้น พระองค์จะออกพระราชโองการหย่ากับเจ้า แล้วพระราชทานสตรีใหม่ให้ข้าแทน” 


 


 


           เซี่ยฟางหวายังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง 


 


 


           “นี่ เซี่ยฟางหวา เจ้าได้ยินหรือไม่” ฉินเจิงยื่นมือไปเขย่าตัวนาง “เจ้าอย่านอนอย่างไม่รู้จักพอเช่นนี้ ตาแก่นั่นพูดจริงทำจริง หากเขานึกครึ้มหาสตรีมาให้ข้าจริงๆ ล่ะก็…” 


 


 


           “ไม่ได้” เซี่ยฟางหวาโพล่งขึ้น 


 


 


           ฉินเจิงชะงักทันที เขาเงียบลงแล้วก้มมองนาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้วแน่น ดวงตายังคงปิดสนิท ริมฝีปากเม้มเข้าหากันราวกับพยายามตื่นขึ้นมา ทว่าผ่านไปพักหนึ่งก็ราวกับต่อต้านไม่เป็นผล เปลือกตาปิดสนิท การเคลื่อนไหวหยุดนิ่งไป 


 


 


           “ไม่ได้อะไร เจ้านอนพูดว่าไม่ได้เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด ถ้าบอกว่าไม่ได้ก็ควรลุกขึ้นมาบอกกับเสด็จอาด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยวสิ” ฉินเจิงเขย่าตัวนางอีกครั้ง  


 


 


           เซี่ยฟางหวาถูกเขาเขย่าตัวพักหนึ่ง ในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหว ฝืนเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งเชื่องช้า 


 


 


           ฉินเจิงรีบพยุงนางลุกขึ้น ประคองใบหน้านาง “เซี่ยฟางหวา เจ้ามองข้า อย่าหลับอีกเลย ถ้าเจ้ายังหลับต่อไปเช่นนี้ วันหนึ่งเมื่อเจ้าลืมตาขึ้นมา ข้าคงกลายเป็นคนแก่แล้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเปิดเปลือกตาเชื่องช้า มองฉินเจิงด้วยความล่องลอย 


 


 


           “ฟื้นหรือยัง” ฉินเจิงจ้องมองนางโดยไม่กะพริบตา  


 


 


           เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขาพักหนึ่ง ก่อนยกมือลูบใบหน้าเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง เอ่ยถามเสียงเบา “ฉินเจิง” 


 


 


           “ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นสักที ที่แท้วิธีการนี้ก็ได้ผล หากรู้เร็วกว่านี้คงไม่ปล่อยให้เจ้าหลับไปนานถึงเพียงนี้แล้ว ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก…” ฉินเจิงถอนหายใจโล่งอก  


 


 


           มือของเซี่ยฟางหวาค่อยๆ ไล้ใบหน้าฉินเจิง ไล่ระดับลงมายังขากรรไกรด้านล่าง ราวกับอยากยืนยันให้แน่ใจว่าสิ่งที่ได้สัมผัสนั้นเป็นความจริง ผ่านไปพักหนึ่งนางก็ร้องไห้ออกมาพลางวาดมือกอดเขา “ฉินเจิง ฉินเจิง ฉินเจิง…” 


 


 


           “ร้องทำไม” ฉินเจิงมองนางแล้วขมวดคิ้ว 


 


 


           “ข้าฝัน คิดว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว โชคดีที่…” เซี่ยฟางหวาสะอื้นตอบ 


 


 


           “ฝันอะไร” ฉินเจิงตัวแข็ง ลำคอแห้งผากฉับพลัน 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า เอาแต่กอดเขาแล้วไม่พูดอะไรขึ้นอีก 


 


 


           ฉินเจิงรออยู่นานสองนาน พบว่านางยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ น้ำตาไหลซึมลงบนปกเสื้อเขาอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจออกมา “ก็แค่ความฝันเท่านั้นเอง ข้าอยู่ตรงนี้ เจ้ากังวลมากเกินเหตุ เหนื่อยล้ามากเกินไป อย่าร้องไห้เลย ถ้าเจ้าร้องไห้จนกระทบกับร่างกาย แล้วข้าจะไปร้องไห้กับใครเล่า”ล 


 


 


 


 


 


*สอนหนังสือให้สังฆราช หมายถึง สอนผู้ที่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ดีอยู่แล้ว 


 


 


**สามหลักห้าจรรยา คือ หลักคุณธรรมในสมัยศักดินาของจีน สามหลักประกอบไปด้วย บิดาเป็นหลักของลูก ประมุขเป็นหลักของขุนนาง และสามีเป็นหลักของภรรยา ส่วนห้าจรรยาประกอบด้วย เมตตา กตัญญู มารยาท สติปัญญา และสัจจะ  

 

 


ตอนที่ 59 ปกป้องไปจนแก่เฒ่า

 

        เซี่ยฟางหวาคล้ายไม่ได้ยินสิ่งที่ฉินเจิงพูด น้ำตายังคงทะลักออกมาราวกับเปิดประตูกั้นน้ำ อย่างไรก็ไม่ยอมหยุดร้องไห้ 


 


 


           ฉินเจิงเอ่ยขึ้นอีกสองประโยค พบว่านางยังร้องไห้ไม่หยุด เขาจึงช้อนใบหน้านางเงยขึ้น ก่อนโน้มศีรษะประทับริมฝีปากลงบนเปลือกตานาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาผลักเขาออกแล้วซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกเขาแน่น ฝ่ามือทั้งสองข้างกอดเอวเขาไม่ยอมปล่อย น้ำตาซึมลงบนปกเสื้อบริเวณหน้าอกฉินเจิงจนเปียกเป็นวงกว้าง 


 


 


           เสื้อผ้าหน้าร้อนเดิมทีนั้นบางและน้อยชิ้น บริเวณหน้าอกของฉินเจิงเปียกชื้นอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนผ่าวจากน้ำตาของนาง 


 


 


           ฉินเจิงเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ทั้งดันออกและห้ามไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้นางร้องไห้ในอ้อมกอดตน 


 


 


           หัวใจร้อนผ่าวเสมือนไฟแผดเผา 


 


 


           เดิมยังนึกโกรธเคืองที่นางเอ่ยเรียก ‘พี่อวิ๋นหลาน’ ขึ้นมาระหว่างหมดสติ ตอนนี้ราวกับถูกน้ำตากลบจนไม่เหลือเค้าลางความรู้สึกนั้นแล้ว 


 


 


           เขาสัมผัสได้ว่าน้ำตาเหล่านี้ไหลรินออกมาเพื่อเขา 


 


 


           บางสิ่งราวกับมีน้ำหนักมากจนมิอาจแบกไหวในเวลานี้ 


 


 


           ฉินเจิงเม้มปากนิ่งมองสตรีที่กำลังร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตาในอ้อมอก นี่คือเซี่ยฟางหวาภรรยาของเขา 


 


 


           ภรรยาของเขา 


 


 


           ภรรยาของเขา 


 


 


           ผ่านไปเนิ่นนานเซี่ยฟางหวายังร้องไห้อยู่ ร่างกายสั่นระริกสะอึกสะอื้นแผ่วเบาเพราะร้องไห้หนัก 


 


 


           ในที่สุดฉินเจิงก็ทนไม่ไหว ฝืนดันตัวนางออกจากอ้อมอก เห็นว่านางร้องไห้จนตาบวมแดงก็เอ่ยขึ้นด้วยความเจ็บปวดระคนทำอันใดไม่ได้ “เอาล่ะ อย่าร้องไห้อีกเลย ถ้าเจ้ายังร้องไห้ต่อไปเช่นนี้ข้าก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน กล่าวกันว่าลูกผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ ทว่าหากเจ้ายังร้องไห้เช่นนี้ ข้าก็อยากร้องไห้ตามเช่นกัน ทำเช่นไรดีเล่า หรือว่าเราต้องกอดกันร้องไห้” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาสะอื้นมองเขา ร้องไห้อย่างหนักจนกระทั่งคล้ายหยุดไม่ได้ ดวงตาแดงช้ำพูดอะไรไม่ออก 


 


 


           ฉินเจิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ซับน้ำตาให้นางแผ่วเบา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาผลักเขาออก 


 


 


           ฉินเจิงมองนาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก ก่อนดึงแขนเสื้อเขามาถูใบหน้าตัวเอง 


 


 


           ฉินเจิงชะงักไปเล็กน้อย นิ่งมองนางพักหนึ่งก็หลุดยิ้มออกมา “ตั้งแต่เจ้าสลบไปข้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย สกปรกอย่างกับอะไรดี เจ้ายังเอาไปเช็ดน้ำตาอีก ไม่กลัวสกปรกหรือ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่พูดจา จับแขนเสื้อเขาถูใบหน้าอย่างแรง สื่อความหมายชัดแจ้ง 


 


 


           “ต่อไปผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไม่มีประโยชน์แล้วใช่หรือไม่ แค่แขนเสื้อข้าก็พอแล้ว” ฉินเจิงทิ้งผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง  


 


 


           เซี่ยฟางหวาปล่อยแขนเสื้อลงก่อนวาดมือกอดเขาใหม่ ซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกเขาโดยไม่ยอมพูดจา 


 


 


           ฉินเจิงเห็นว่าแขนเสื้อตนเองเปียกชื้นเป็นดวงเหมือนบริเวณหน้าอกในเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นว่าตอนที่นางใช้แขนเสื้อเช็ดหน้านั้นก็ยังร้องไห้อยู่ เขาเม้มปาก ยกมือลูบแผ่นหลังนาง “นี่ไม่เหมือนเจ้าเลย ไฉนถึงเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ หรือว่าหลังเจ้านอนหลับไปตื่นหนึ่งนั้นถูกใครสลับตัวเข้า” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ 


 


 


           “ภรรยาของข้าเป็นคนสงบนิ่ง สุขุม ใจเย็น ควบคุมอารมณ์ได้ น้ำตาของนางมีค่ามาก ไหนเลยจะไหลรินได้ง่ายเช่นนี้ เจ้าบอกข้ามา เจ้าเอานางไปไว้ที่ไหน รีบคืนนางมาให้ข้า” ฉินเจิงกล่าวอีก 


 


 


           น้ำตาของเซี่ยฟางหวายังไหลออกมา มือที่กอดเอวเขากระชับแน่นขึ้น ยังไม่พูดจาเช่นเดิม 


 


 


           “อย่าร้องไห้อีกเลย ประเดี๋ยวท่านปู่ ท่านลุง พี่หลินซีรู้ว่าเจ้าฟื้นแล้วก็คงมาหา คิดว่าข้ารังแกเจ้าอีก หากทำร้ายข้า ข้ามีหรือจะปกป้องตัวเองได้ ทำได้เพียงยอมรับ ไหนเลยจะแก้ตัวได้” ฉินเจิงถอนหายใจยาว 


 


 


           “เจ้ารังแกข้า” ในที่สุดเซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงแหบพร่าจนน่ากลัว สะอึกสะอื้นเสียงขาดๆ หายๆ กว่าจะพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง 


 


 


           “ข้าอยู่เฝ้าข้างเตียงตลอดเวลา คอยป้อนน้ำป้อนยาให้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เฝ้ารอเจ้าฟื้นขึ้นมา แม้แต่เส้นผมสักเส้นยังไม่กล้าแตะ ไหนเลยจะกล้ารังแกเจ้า” ฉินเจิงกะพริบตาปริบ ก้มหน้ามองนาง  


 


 


           “เจ้ารังแกข้า” เซี่ยฟางหวาหลับตาลงแล้วย้ำขึ้นอีกหน 


 


 


           ฉินเจิงแสดงท่าทีว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ 


 


 


           “เจ้ารังแกข้า” เซี่ยฟางหวาย้ำอีกครั้ง  


 


 


           “เอาล่ะ เจ้าหยุดร้องได้แล้ว ข้าผิดเอง เป็นข้าที่รังแกเจ้า ถ้าวันนั้นไม่ใช่ข้าที่วอแวเจ้า ทำให้เจ้าต้องเหนื่อยล้า เจ้าคงไม่เหนื่อยจนหมดสติไปเช่นนี้” ฉินเจิงคล้อยตามนางอย่างจนปัญญา 


 


 


           มือของเซี่ยฟางหวาที่กำลังกอดเขาอยู่พลันกระตุกสายคาดเอวเขา น้ำเสียงทุ้มต่ำมาก “ฉินเจิง ที่ข้าพูดถึงไม่ใช่สิ่งนี้” 


 


 


           “หืม” ฉินเจิงก้มมองนาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาอ้าปากทว่าก็หุบลง ไม่เอ่ยคำใด และไม่ร้องไห้อีกแล้ว 


 


 


           ฉินเจิงพบว่านางราวกับจมดิ่งสู่ความเงียบสงบอันน่าประหลาดในชั่วพริบตา เขามองนางแล้วแย้มยิ้มบาง “แล้วเจ้าหมายถึงสิ่งใด เป็นถ้อยคำที่เสด็จอาตรัสกับข้าเมื่อครู่หรือไม่” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบ “อืม” 


 


 


           “เสด็จอาขู่ข้า ข้าจึงนำมาขู่เจ้าต่อ แต่วิธีการนี้ได้ผล ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาเสียที ดูท่าข้าต้องไปขอบคุณเสด็จอาแล้ว” ฉินเจิงหลุดยิ้ม 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบ ดึงแขนเสื้อเขามาเช็ดน้ำตาอีกหน 


 


 


           “ชุดนี้เป็นชุดที่เจ้าเย็บปักให้ข้าเองกับมือ ให้เจ้าใช้เช็ดน้ำตานั้นน่าเสียดายนัก เหตุใดเจ้าถึงไม่เช็ดน้ำตากับชุดตัวเอง” ฉินเจิงถอนหายใจ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมา รอยยิ้มของนางราวกับแฝงไปด้วยความกระฟัดกระเฟียด มองหน้าเขาแล้วเอ่ยทั้งนัยน์ตาแดงก่ำ “ต่อไปใช้แขนเสื้อเจ้าเช็ดน้ำตา เช็ดจนขาดแล้วข้าค่อยเย็บปักให้เจ้าใหม่ ไม่ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าอีกแล้ว” 


 


 


           “อย่าบอกนะว่าต่อไปเจ้าจะร้องไห้เช่นนี้ให้ข้าเห็นบ่อยๆ ข้าจะทนไหวได้อย่างไร” ฉินเจิงไล้ใบหน้านาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาแค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา ก่อนคว้าแขนเสื้อเขามาเช็ดหน้าอีกครั้งแล้วปล่อยออก เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะร้องไห้ให้เจ้าเห็นบ่อยๆ ถึงเจ้าทนไม่ไหวก็ต้องทนให้ได้” 


 


 


           “สวรรค์ ช่างไร้เหตุผลนัก” ฉินเจิงกุมหน้าผาก 


 


 


           “ไร้เหตุผลเช่นนี้ หรือว่าเจ้าจะหย่ากับข้า” เซี่ยฟางหวาสวนกลับทันที 


 


 


           “ไหนๆ ก็แต่งมาแล้ว จะลองทนดูก่อนก็ได้” ฉินเจิงส่ายหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหัวเราะทั้งน้ำตา 


 


 


           “เจ้านอนไปนานมาก หิวหรือยัง ข้าป้อนอาหารให้เจ้าก็ไม่ยอมกลืนลงไป ได้แต่ป้อนยากับน้ำให้ ในเมื่อฟื้นแล้วก็รีบลุกจากเตียงเถอะ อย่านอนต่ออีกเลย ข้าจะให้คนไปยกอาหารเข้ามา” ฉินเจิงดึงนาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ลงจากเตียงตามแรงฉุดดึงของเขา 


 


 


           ฉินเจิงตะโกนขึ้น ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินการเคลื่อนไหวภายในห้องก่อนแล้ว เพียงแต่เมื่อไม่มีคำสั่งจึงมิอาจเข้ามาได้ เวลานี้ได้ยินคำสั่งของฉินเจิง ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็รีบผลักประตูเข้ามา 


 


 


           “คุณหนู ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นว่าดวงตาเซี่ยฟางหวาบวมแดงก็ตกใจ 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองทั้งสองแล้วยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ข้าฝันจึงตกใจเท่านั้น” 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองฉินเจิงแวบหนึ่ง เห็นเขายิ้มพลางส่ายหน้าอย่างเอ็นดูก็โล่งใจ 


 


 


           “ไปเตรียมอาหาร แล้วก็ไปรายงานที่ห้องโถงหรงฝูด้วยว่านางฟื้นแล้ว” ฉินเจิงสั่ง 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้า “พวกผิ่นจู๋เฝ้าอยู่ข้างนอก ข้าจะให้พวกนางทำแทน ส่วนบ่าวสองคนจะปรนนิบัติคุณหนูกับท่านอ๋องน้อยล้างหน้าแต่งตัว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงแวบหนึ่ง พบว่าเสื้อผ้าเขาเลอะเทอะด้วยคราบน้ำตาของนาง นางอดยิ้มขำขึ้นมาไม่ได้ ว่าแล้วยกมือไล่ทั้งสอง “พวกเจ้าออกไปเถอะ ไม่ต้องปรนนิบัติหรอก ยกอ่างน้ำเข้ามาก็พอ” 


 


 


           ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเดินออกไป 


 


 


           พริบตาก็มีคนไปสั่งทำอาหารที่ห้องครัว และมีคนไปรายงานจงหย่งโหวที่ห้องโถงหรงฝู เนื่องจากเซี่ยฟางหวาฟื้นแล้ว บรรยากาศกลัดกลุ้มภายในสวนไห่ถังก็พลันกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง 


 


 


            “เจ้าไล่พวกนางออกไปแบบนี้ ใครจะปรนนิบัติเจ้า” ฉินเจิงมองเซี่ยฟางหวา 


 


 


           “ข้าปรนนิบัติเจ้าเอง” เซี่ยฟางหวาเดินมาที่ตู้เสื้อผ้า รื้อค้นหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาส่งให้เขา  


 


 


           ฉินเจิงยิ้มพลางส่ายหน้า ยื่นมือรับเสื้อผ้ามาแล้วเดินไปยังหลังฉากกั้น 


 


 


           เซี่ยฟางหวาตามเขาเข้าไปหลังฉากกั้น พบว่าเขาจะถอดเสื้อผ้าออกก็ยื่นมือช่วย 


 


 


           “เจ้าเพิ่งฟื้นมา นอนนานถึงเพียงนี้ กล้ามเนื้อคงแข็งตึงเป็นแน่ใช่หรือไม่ เจ้าไม่ต้องทำหรอก ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้ เจ้ารีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะ ประเดี๋ยวท่านปู่กับท่านลุงมาถึง ข้ากลัวว่าทำให้พวกเขาตกใจอีก” ฉินเจิงจับมือเซี่ยฟางหวาไว้  


 


 


           “เจ้ากลัวท่านปู่กับท่านลุงตำหนิถึงเพียงนี้” เซี่ยฟางหวามองเขา 


 


 


           “เจ้าไม่รู้หรอกว่าพอเจ้ากลับมาแล้วหมดสติไปฉับพลันนั้น สีหน้าของท่านปู่กับท่านลุงตอนมองข้าไม่น่ามองขนาดไหน ถึงแม้ข้าหนังหน้าหนาก็ยังทนสายตาพวกเขาไม่ไหว” ฉินเจิงพยักหน้าราวกับมีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ  


 


 


           “ก็ได้” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม ก่อนหันหลังเดินออกไป 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยกน้ำสะอาดเข้ามา เซี่ยฟางหวาเดินมาล้างหน้าหน้าอ่างใส่น้ำ 


 


 


           นางก้มหน้าลง ยื่นฝ่ามือลงไปในน้ำ มองเงาสะท้อนในน้ำเนิ่นนานด้วยสายตาเหม่อลอย นิ่งไม่ไหวติง 


 


 


           “คุณหนู” ซื่อฮว่าเอ่ยเรียกด้านข้าง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาผินหน้ามองซื่อฮว่าก่อนยกยิ้มให้เล็กน้อย แล้วถามเสียงเบา “ท่านพี่ส่งข่าวกลับมาหรือยัง” 


 


 


           “ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวจากซื่อจื่อเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าส่ายหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่พูดอะไรอีก ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด 


 


 


           ซื่อฮว่าลังเลครู่หนึ่ง ก่อนขยับเข้ามากระซิบข้างหูนาง “แต่ของที่คุณหนูสั่งให้คนไปนำมาจากเมือง 


 


 


ผิงหยางมาถึงแล้ว ตอนนี้อยู่ในมือข้า ท่านจะดูตอนนี้เลยหรือไม่” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาชะงักมือแล้วหันมามองนางอีกครั้ง 


 


 


           ซื่อฮว่าพยักหน้ายืนยัน 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองไปยังหลังฉากกั้น ไม่เห็นเงาฉินเจิง ได้ยินเพียงเสียงเขากำลังสวมเสื้อผ้าดังแว่วลางๆ นางละสายตากลับมากล่าวกับซื่อฮว่า “รอข้าว่างก่อนค่อยดูเอง” 


 


 


           ซื่อฮว่าผงกศีรษะ 


 


 


           เซี่ยาฟางหวาล้างหน้าเสร็จแล้วก็เดินมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซื่อฮว่ารีบมาช่วยงาน ทว่านางยกมือห้าม บอกว่าจะแต่งหน้าหวีผมเอง 


 


 


           ไม่นาน ฉินเจิงก็เดินออกมาจากหลังฉากกั้น 


 


 


           “ไปยกน้ำสะอาดเข้ามาใหม่ ให้ท่านอ๋องน้อยได้ล้างหน้าล้างตาด้วย” เซี่ยฟางหวาสั่งงานซื่อฮว่า 


 


 


           ซื่อฮว่าขานรับแล้วกลับออกไป ไม่นานก็ยกน้ำสะอาดเข้ามาใหม่อีกอ่าง 


 


 


           ฉินเจิงเดินไปล้างหน้าล้างตาอย่างเชื่อฟัง เสร็จแล้วก็เดินมาซ้อนหลังเซี่ยฟางหวา มองนางผ่านกระจกตรงหน้า “ให้ข้าช่วยหรือไม่” 


 


 


           “เจ้าจัดการตัวเองไปเถอะ” เซี่ยฟางหวาเบ้ปากใส่เขาพร้อมชำเลืองมอง “เป็นคุณชายรูปงามแท้ๆ ยามนี้กลับมอมแมมจนแทบจำไม่ได้แล้ว ข้าแค่…” นางเอ่ยถึงตรงนี้ก็หันมาถามเขา “ข้าสลบไปนานแค่ไหน” 


 


 


           “เมื่อวานจนถึงวันนี้” ฉินเจิงตอบ 


 


 


           “แค่เวลาอันสั้น ไหนเลยจะยาวนานอย่างที่เจ้าว่า เหตุใดเจ้าถึงทรมานตนเองจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้” เซี่ยฟางหวาถลึงตา 


 


 


           “เจ้าหมดสติลงฉับพลัน หมอหลวงมาตรวจชีพจร วินิจฉัยว่าเจ้ากังวลมากเกินเหตุ เหนื่อยล้าจนกระทบต่ออวัยวะภายใน สภาพร่างกายอ่อนแอจนน่ากลัว ข้ามีหรือจะไม่ตกใจ” หยุดชั่วครู่แล้วยื่นมือมากดไหล่นาง เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อีกอย่างหลังเจ้าสลบไปก็เอาแต่เรียกชื่อข้า ข้าเห็นเจ้าทรมานเช่นนี้ มีหรือจะทนได้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ หนึ่งวันนานเหมือนหนึ่งปี ต่อไปอย่าทำให้ข้าตกใจเช่นนี้อีก” ฉินเจิงถอนหายใจออกมา  


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ตรวจชีพจรตัวเอง 


 


 


           ฉินเจิงมองนาง 


 


 


           สักพักใหญ่นางก็ถอนมือออกแล้วยิ้มกล่าวขึ้น “หมอหลวงคนไหนขู่ขวัญเจ้ากันแน่ ร่างกายข้าไหนเลยจะร้ายแรงอย่างที่เขาบอกเช่นนั้น หลายวันก่อนเหนื่อยล้าไปบ้างก็จริง ร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย แต่พักสองวันก็หายแล้ว” 


 


 


           ฉินเจิงขึ้นเสียงแผ่วเบา “เจ้ารู้วิชาแพทย์ หรือจะแกล้งข้าที่ไม่รู้วิชาแพทย์” พูดจบก็แค่นเสียงในลำคอ “แรกเริ่มหมอประจำจวนจงหย่งโหวที่เจ้าจัดสรรไว้เป็นคนตรวจชีพจรให้เจ้าก่อน ข้ายังไม่เชื่อ จากนั้นหมอหลวงก็ตามมาสมทบ หากแต่วินิจฉัยแบบเดียวกันข้าจึงยอมเชื่อ เจ้าในตอนนั้นร่างกายอ่อนแอ สภาพจิตใจแกว่ง กังวลมากเกินเหตุ ส่งผลกระทบกับอวัยวะภายใน นี่ยังไม่ร้ายแรงอีกหรือ เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาสิ แบบไหนถึงจะเรียกว่าร้ายแรง” 


 


 


           “เพราะข้ารู้วิชาแพทย์จึงรู้จักสภาพร่างกายตัวเองดีเหมือนหลับตาเห็น เหยียนเฉินฟื้นฟูร่างกายให้ข้ามานานขนาดนั้น ถ้ายังไม่หายดีอีกก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว วิชาแพทย์ของเขาเป็นเช่นไรเจ้าก็รู้ดีไม่ใช่หรือ เจ้าไม่เชื่อข้าก็ควรเชื่อเขา เจ้าใช่ว่าจะไม่เคยเห็นเขาใช้วิชาแพทย์สักหน่อย” เซี่ยฟางหวาหันกลับมามองเขา  


 


 


           “พูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าดูแลร่างกายให้ดีก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจเรื่องภายในและนอกเมืองหลวงอันยุ่งเหยิงอีก” ฉินเจิงยกมือแล้วเน้นย้ำ “ห้ามคิดมากไปมากกว่านี้” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก 


 


 


           “เจ้าทรมานข้าจนอยู่ในสภาพที่ตัวเองแทบไม่รู้จัก ตอนนี้ยังไม่ยอมพักฟื้นร่างกายให้หายดีอีกหรือ หรือว่าเจ้ามีข้อโต้แย้ง” ฉินเจิงมองนางแล้วเลิกคิ้วกล่าว  


 


 


           เซี่ยฟางหวาเถียงไม่ออก ครู่ต่อมาก็หันกลับไปแล้วยิ้มกล่าวอย่างจำใจ “ได้ แล้วแต่เจ้า ข้าไม่ยุ่งอีกแล้วก็ได้” 


 


 


           “เช่นนี้ถึงจะถูก” ฉินเจิงเห็นนางยินยอมแต่โดยดีก็เอื้อมมือไปหยิบปิ่นระย้าหยกมาปักลงบนมวยผมนางที่เกล้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว 


 


 


           เซี่ยฟางหวาลดมือลง มองมวยผมเกล้าสูงกับฉินเจิงที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังพักหนึ่งก่อนลุกขึ้นเชื่องช้า ก่อนยื่นมือมากดไหล่เขานั่งลงบนเก้าอี้ “ข้าจะเกล้าผมให้” 


 


 


           ฉินเจิงนั่งลงอย่างเกียจคร้านแล้วพยักหน้ารับ “เจ้าควรปรนนิบัติข้า ข้าเฝ้าเจ้ามาตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืนอย่างทรมานกว่าเจ้าจะยอมฟื้นขึ้นมา ตอนนี้ปวดเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่พูดขึ้นอีก เกล้าผมให้เขาอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็นวดทุบไหล่ให้ 


 


 


           ฉินเจิงจับมือนางโดยไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นว่ามือตนเองถูกเขาจับเอาไว้จึงมองเขาผ่านทางกระจก พบว่าสีหน้าเขาแม้เฉยเมย ทว่าตรงหว่างคิ้วกลับปรากฏคลื่นอารมณ์เลือนราง ราวกับกำลังควบคุมและสะกดกลั้น นางขยับกายเข้าใกล้แผ่นหลังเขาแล้วโอบกอด วางศีรษะลงบนไหล่ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฉินเจิง ชาตินี้พวกเราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ปกป้องกันและกันไปจนแก่เฒ่าใช่หรือไม่” 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม