ชายาเคียงหทัย 50.2-54.3

ตอนที่ 50-2

 

“ท่าน…ท่านอ๋อง…” องครักษ์ผู้ติดตามม่อจิ่งหลีเองก็ถูกรังสีของเขาข่มขวัญไปไม่น้อย  


 


 


“เกิดอันใดขึ้นกันแน่!” ม่อจิ่งหลีกัดฟันถามขึ้น 


 


 


องค์รักษ์หนึ่งมองซ้ายมองขวา นึกเศร้าใจที่เห็นว่าตนเองอยู่ใกล้ท่านอ๋องมากที่สุด องค์รักษ์สอง สาม สี่นั้นต่างหลบกันไปหมดแล้ว จึงจำใจต้องรายงานอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ระ…เรียนท่านอ๋อง ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องคุณหนูสาม…คุณหนูสามตระกูลเยี่ยขอรับ” 


 


 


“ข้ารู้ว่าพวกเขากำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผู้หญิงคนนั้น! แต่ที่เขาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผู้หญิงคนนั้นมันเกี่ยวอันใดกับข้า!” ที่พวกเขามองข้าประหนึ่งมองคนสารเลวนั้นคิดว่าข้าไม่เห็นหรือ พวกเขาควรจะเยาะเย้ยถากถางหญิงผู้นั้น ควรจะหัวเราะเยาะเจ้าคนไร้สมรรถภาพม่อซิวเหยาที่ถูกสวมเขาไม่ใช่หรือ (เจ้ายังรู้ว่าตนเองสารเลวหรือ) 


 


 


“คือว่า…มีคนพูดว่า ท่านอ๋องทนไม่ได้ที่จะเห็นคุณหนูสามตระกูลเยี่ยได้ดี โกรธที่นางกำลังจะได้แต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องอย่างมีความสุข แล้วก่อนหน้านี้ที่ฉู่เซียงเก๋อนางเสียมารยาทกับท่าน ท่านจึงตั้งใจปล่อยข่าวลือ…แค่กๆ เพื่อทำลายชื่อเสียงของ…คุณหนูสาม…” องค์รักษ์ตั้งใจจะอธิบายให้เสร็จโดยเร็วด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่พูดยังไม่ทันจบดีก็เกิดหวาดกลัวท่านอ๋องของตนที่กำพัดในมือแน่นจนแทบจะแหลกเป็นผุยผง 


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ!” รอบกายของม่อจิ่งหลีเหมือนมีเมฆครึ้มปกคลุมไปทั่ว คนที่เดินผ่านไปมาจึงเดินอ้อมไปด้วยความกลัว 


 


 


“ท่าน…ท่านอ๋อง…” ข้าไม่ได้เป็นคนพูดนะพ่ะย่ะค่ะ เป็นพวกชาวบ้านในเมืองหลวงที่ต่างพูดกันเช่นนี้ องครักษ์หนึ่งเอ่ยกับตัวเองในใจอย่างน่าสงสาร สรุปก็คือชื่อเสียงของตำหนักหลีอ๋องได้ตกลงถึงจุดตกต่ำที่สุดอีกครั้ง หลังจากมีเรื่องท่านอ๋องลอบคบหากับน้องสาวคู่หมั้น ตามด้วยการซื้อของแล้วไม่จ่ายเงิน 


 


 


“อาหลี เจิงเอ๋อร์ ขึ้นมาเร็ว ข้างบนนี้ไม่ค่อยมีคน พวกเรานั่งข้างนอกระเบียงก็แล้วกันนะ”  


 


 


เสียงใสๆ ของหญิงสาวถือได้ว่าช่วยองค์รักษ์หนึ่งที่เกือบตัวแข็งตายไว้ ยิ่งเมื่อเห็นสายตาของท่านอ๋องเลื่อนไปมองทางปากบันไดอย่างรวดเร็วด้วยแล้ว องค์รักษ์หนึ่งก็รีบทำตัวลีบหลบออกไปแอบยังที่ปลอดภัยทันที  


 


 


มู่หรงถิงในชุดสีแดงสะดุดตาเดินขึ้นมาถึงชั้นสองก่อนเป็นคนแรก ก่อนหันไปกวักมือเรียกเพื่อนที่อยู่ด้านหลัง  


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ที่เดินนำทางอยู่ด้านหน้านึกแล้วก็อยากร้องไห้ออกมานัก คุณหนูมู่หรง ข้างบนไม่ค่อยมีคนที่ไหนกันเล่าขอรับ ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงน้ำชาที่ดีที่สุดของเมืองหลวงเชียวนะขอรับ ลูกค้าท่านอื่นหวั่นกลัวท่านหลีอ๋องจนหลบไปกันต่างหาก 


 


 


“เอ๋” หันกลับมาอีกที มู่หรงถิงก็เห็นสีหน้าดำสนิทประหนึ่งแท่งหมึกก็ไม่ปานของม่อจิ่งหลี จึงอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปอีกครั้งพร้อมใคร่ครวญว่าควรจะเปลี่ยนไปนั่งโรงน้ำชาอื่นหรือไม่ แต่ในตอนนั้นฮว่าเทียนเซียงและคนอื่นๆ ต่างก็ขึ้นมาด้านบนกันหมดแล้ว ดังนั้นคุณหนูทั้งห้าจึงได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างอับจนหนทาง โดยเฉพาะเยี่ยหลี นางนึกสงสัยว่าชาติที่แล้วนางได้ทำกรรมอันใดกับม่อจิ่งหลีไว้ เพราะดูเหมือนไม่ว่านางจะไปที่ใดจะต้องพบเขาเข้าเสมอ เยี่ยหลีไม่ทันคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะถึงแม้เมืองหลวงจะเป็นเมืองที่คึกคักที่สุดในต้าฉู่ แต่เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในความทรงจำของนางแล้ว ที่นี่จะนับเป็นเมืองใหญ่อะไรได้ อีกทั้งผู้มีฐานะทั้งหลายก็ไม่ได้เดินเล่นที่เดียวกับชาวบ้านคนธรรมดา สถานที่ที่พวกเขาไปกันบ่อยๆ ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ที่เท่านั้น ดังนั้นนอกจากเยี่ยหลีที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนแล้ว คนที่เที่ยวเล่นไปทั่วอย่างมู่หรงถิง โดยปกติเมื่อเข้าไปร้านไหนแล้วก็มักเจอแต่คนรู้จักทั้งนั้น 


 


 


“อาหลี…” มู่หรงถิงมองเยี่ยหลีด้วยสายตาขอโทษ นางไม่ทันคิดเลยจริงๆ ว่า คนเพิ่งแต่งงานใหม่อย่างหลีอ๋องจะไม่อยู่ที่ตำหนักกับชายารัก แต่กลับมานั่งจิบชาอยู่ที่โรงน้ำชานี้ตั้งแต่กลางวันแสกๆ 


 


 


“ไม่เป็นไร ที่นี่แหละ” เยี่ยหลีเข้าใจและไม่คิดโทษมู่หรงถิง อีกอย่างนางก็ไม่ได้คิดที่จะหลบหน้าม่อจิ่งหลี ถึงอย่างไรพวกตนก็อยู่ในเมืองหลวงด้วยกันและต่างก็เป็นตระกูลชนชั้นสูง ทั้งยังมีความสัมพันธ์ฉันญาติกันอีก จะหลบหน้ากันไปไหนได้ นางหันไปพยักหน้าให้ม่อจิ่งหลี ก่อนจะจูงฉินเจิงและฉินอวี่หลิงไปทางมุมที่ค่อนข้างสงบ 


 


 


มู่หรงถิงแลบลิ้นน้อยๆ ก่อนจูงฮว่าเทียนเซียงให้รีบเดินตามไป 


 


 


“นี่ เจ้าว่าติ้งอ๋องจะมาหรือไม่” มู่หรงถิงเอ่ยถามเสียงต่ำ นางไม่ได้โตมาในเมืองหลวง จึงไม่รู้จักมักคุ้นกับติ้งอ๋อง ฮว่าเทียนเซียงพยักหน้าด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “วางใจเถิด ท่านปู่ข้าว่าติ้งอ๋องท่านเป็นคนใช้ได้ ในเมื่อได้รับจดหมายแล้วจะต้องมาอย่างแน่นอน” 


 


 


ฉินอวี่หลิงพูดเสียงเบาว่า “เช่นนั้นพวกเรารีบหลบกันไปดีกว่า อย่ารบกวนอาหลีกับติ้งอ๋องเลย” 


 


 


มู่หรงถิงหัวเราะอย่างยินดี “ยังมีเวลาน่า พวกเราออกมากันเร็ว ตอนนี้ติ้งอ๋องคงยังไม่ออกจากตำหนักหรอก รอท่านมาก่อนแล้วพวกเราค่อยเปลี่ยนร้านก็ยังได้ เมื่อครู่พวกเจ้าเห็นสีหน้าคนที่นั่งอยู่ด้านล่างหรือไม่ พอเห็นพวกเราเข้ามาก็หน้าเปลี่ยนสีกันไปทันที ข้ายังนึกกลัวว่าพวกเขาจะตาถลนจนหล่นลงไปในถ้วยชากันหมด”  


 


 


ฮว่าเทียนเซียงส่งเสียงเหอะเบาๆ “คนพวกนั้นคงคิดว่า ตอนนี้อาหลีจะเอาแต่ร้องไห้ ซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้านน่ะสิ อยู่ดีๆ เห็นพวกเราออกมาเช่นนั้นคงตกใจกันไม่น้อย” 


 


 


ฉินเจิงปิดปากหัวเราะ “ข้ายังไม่เคยเห็นคนตกตะลึงจนตาโต อ้าปากค้างพร้อมกันมากมายเช่นนี้มาก่อนเลย และเพิ่งจะเคยตกเป็นเป้าสายตาคนเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย” 


 


 


เยี่ยหลีนั่งมองเพื่อนของตนแต่ละคนเอ่ยความรู้สึกในการออกมาข้างนอกในวันนี้แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความขบขัน อันที่จริงข่าวลือพวกนั้นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นางคิดไว้ ม่อซิวเหยากับท่านลุงใหญ่คงได้ทำอันใดสักอย่างอย่างลับๆ อย่างน้อยสายตาคนส่วนมากที่มองนางก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและเห็นใจ แต่ไม่ใช่สายตาเหยียดหยามหรือดูหมิ่นอย่างที่นางคิดไว้แต่แรก ดูเหมือนคนส่วนใหญ่คงไม่เชื่อข่าวที่นางถูกลักพาตัวไปเป็นแน่ 


 


 


คณะของเยี่ยหลีนั่งอยู่ในมุมที่ค่อนข้างไกล ต่างมัวแต่คุยกันไปเรื่อยเปื่อย ส่วนม่อจิ่งหลีหน้าตาบึ้งตึงนั่งดื่มชาต่างเหล้าอยู่คนเดียวที่โต๊ะริมหน้าต่าง ด้วยเพราะโต๊ะค่อนข้างห่างกัน เขาจึงไม่ได้ยินว่าโต๊ะอีกฝั่งกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ แต่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศและอารมณ์ร่าเริงของพวกนาง ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากข่าวลือเลยแม้แต่น้อย  


 


 


ม่อจิ่งหลีได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทั้งที่คนที่เกิดเรื่องคือนางแท้ๆ แต่เยี่ยหลีกลับดูเป็นปกติเหมือนไม่ได้เผชิญเหตุอันใดเลย แต่เขากลับต้องมารับเคราะห์แทน แต่หากจะให้เดินดุ่มเข้าไปขอคำอธิบายจากนาง ม่อจิ่งหลีรู้สึกว่าตนไม่มีหน้าจะทำเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงได้แต่แผ่รังสีอำมหิตจนแขกรอบๆ หลบหลีกกันไปหมด แล้วนั่งสาดน้ำชาลงคอต่อไป 


 


 


“อุ๊ย อาหลี! ท่านอ๋องมาแล้ว!” ในขณะที่กำลังนึกเบื่อหน่ายอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงของมู่หรงถิงดังขึ้นจนได้ยินกันไปทั่วชั้นสอง  


 


 


ทุกคนต่างหันหน้าไปมอง เห็นมู่หรงถิงยื่นตัวออกนอกระเบียงมองลงไปข้างล่างด้วยความตื่นเต้น ฉินเจิงรีบดึงนางกลับเข้ามา ก่อนหันไปยิ้มให้เยี่ยหลี “หลีเอ๋อร์ เจ้าลงไปรับท่านอ๋องเถิด”  


 


 


ฮว่าเทียนเซียงปิดปากลอบยิ้ม ก่อนโบกมือแล้วเอ่ยสำทับว่า “ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไรนะ พอพวกเรากินขนมกันเสร็จแล้วจะไปหาที่เดินเล่นกันต่อเอง ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีที่เหลือให้ติ้งอ๋องนั่งอยู่ดี” 


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ แขกบนชั้นสองที่เหลือกันอยู่เพียงไม่กี่คนก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที เพราะพวกเขาเกรงกลัวรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวหลีอ๋องจึงเลือกที่จะเข้าไปนั่งอยู่มุมที่ลึกที่สุด ตอนนี้จึงทำได้เพียงเงี่ยหูตั้งใจฟังหญิงสาวโต๊ะด้านนอกคุยกันเท่านั้น  


 


 


เยี่ยหลีเห็นเช่นนั้นก็อดรู้สึกขันไม่ได้ เรื่องซุบซิบนินทานี่ไม่ว่าคนยุคสมัยใดก็เป็นขาดไม่ได้เลยจริงๆ เยี่ยหลีลุกขึ้นเดินลงไปด้านล่างท่ามกลางสายตาผู้คนที่ทั้งแอบมองและมองอย่างเปิดเผย ขณะที่เดินผ่านโต๊ะม่อจิ่งหลียังรู้สึกได้ถึงสายตาเคียดแค้นที่จ้องมาที่นางได้อย่างชัดเจน หากเยี่ยหลีก็มิได้สนใจ กับคนบางคนก็ไม่ถูกชะตากันมาตั้งแต่เกิดก็มิอาจบังคับขืนใจกันได้ 


 


 


เมื่อเห็นคุณหนูสามตระกูลเยี่ยเดินลงไปด้วยท่าทีปกติ สายตาและสีหน้าของแขกบนชั้นสองที่มองม่อจิ่งหลียิ่งดูหลากหลายขึ้นไปอีก คุณหนูสามตระกูลเยี่ยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนด้วยท่าทีสบายๆ ทั้งยังนัดหมายกับติ้งอ๋องตามปกติ ดูเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก่อนเลย เมื่อหันกลับไปมองสีหน้าบึ้งตึงดุดันของหลีอ๋องแล้วก็ดูประหนึ่งโกรธแค้นที่ตนวางแผนร้ายแล้วทำไม่สำเร็จกระนั้น ทุกคนต่างลอบแลกเปลี่ยนสายตากัน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเงียบๆ ดูเหมือนในที่สุดม่อจิ่งหลีจะทนบรรยากาศแปลกๆ เช่นนี้ไม่ไหว เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะโดยแรง ก่อนยืดตัวขึ้นมองออกไปยังถนนนอกหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบาน ก่อนหมุนตัวเดินลงไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง 


 


 


เมื่อคุณหนูสามตระกูลเยี่ยเดินลงมาชั้นล่าง ห้องโถงชั้นล่างก็เงียบลงทันที จนเมื่อเยี่ยหลีเดินยิ้มน้อยๆ ด้วยท่าทีสงบนิ่งออกไปแล้ว ทุกคนกำลังจะหันไปเปิดปากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทว่าก็พลันเห็นม่อจิ่งหลีเดินหน้าตาบึ้งตึงตามลงมาอีกคน จากนั้นทั้งชั้นก็เงียบกันไปอีกพักใหญ่ เมื่อทุกคนได้เห็นสีหน้าของทั้งสองแล้ว คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ค่อนไปทางเห็นใจเยี่ยหลีเสียมากกว่า 

 

 

 


ตอนที่ 50-3

 

เมื่อเยี่ยหลีเดินออกมาจากโรงน้ำชา รถม้าของจวนติ้งอ๋องก็มาถึงพอดี อาจิ่นเตรียมเปิดม่านเชิญม่อจิ่งหลีลงมา  


 


 


“ซิวเหยา” เยี่ยหลีเอ่ยเรียกขึ้นเบาๆ  


 


 


เมื่ออาจิ่นเห็นเยี่ยหลีก็หลบไปยืนฝั่งหนึ่งอย่างนอบน้อม เยี่ยหลีเหยียบเก้าอี้ตัวเล็กก่อนขึ้นไปบนรถม้าอย่างคล่องแคล่ว  


 


 


ม่อซิวเหยาเห็นนางจึงเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมลงมาเสียเล่า”  


 


 


เยี่ยหลียิ้มนั่งลงตรงข้ามเขา “พวกเทียนเซียงว่าคนเยอะเกินไปไม่มีที่นั่ง จึงไล่ให้ข้าลงมา พวกนางวุ่นวายกันไปเอง เดิมทีข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะค่อยไปหาท่านที่ตำหนักติ้งอ๋อง” 


 


 


ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “พวกนางวุ่นวายกันได้ทันการณ์ทีเดียว”  


 


 


“หมายความว่าอย่างไร” เยี่ยหลีถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ  


 


 


อาจิ่นที่อยู่ด้านนอกบังคับให้ม้าออกเดินอีกครั้ง เยี่ยหลีหยุดคิดเล็กน้อยก่อนยื่นหน้าออกไปบอกจุดหมาย ก็เห็นม่อจิ่งหลียืนอยู่หน้าโรงน้ำชา มองรถม้าที่พวกนางนั่งอยู่ด้วยสายตามืดครึ้ม  


 


 


ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ตั้งแต่เช้า คนในเมืองหลวงต่างพูดกันว่าข่าวลือเมื่อวานเป็นข่าวที่จิ่งหลีตั้งใจปล่อยเพื่อให้เจ้าเสื่อมเสีย” 


 


 


เยี่ยหลีอึ้งไป เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสีหน้าม่อจิ่งหลีจึงดูย่ำแย่เช่นนั้น ด้วยนิสัยของม่อจิ่งหลีเมื่อโดนกล่าวหาเช่นนั้นแล้วยังใจเย็นอยู่ได้สิถึงเป็นเรื่องแปลก นึกถึงมู่หรงถิงที่ก่อนหน้านี้ดูมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ที่แท้นางก็ไม่ได้คิดเองเออเอง 


 


 


“อาหลีต้องการพบข้ามีเรื่องอันใดหรือ” ม่อซิวเหยาถามด้วยเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นเยี่ยหลีใจลอยไปไกล 


 


 


เยี่ยหลีเรียกสติกลับมาแล้วพยักหน้าน้อยๆ “เมื่อเช้านี้หานหมิงเย่ว์นำตั๋วเงินสองหมื่นตำลึงทอง กับตั๋วเงินกว่าหมื่นตำลึงพร้อมกับเครื่องประดับหยกคู่มาให้ข้า เดิมทีคิดว่าพรุ่งนี้จะนำติดตัวไปตำหนักติ้งอ๋องด้วย จะพกออกมากับพวกชิงซวงก็ไม่สะดวกนัก”  


 


 


ม่อซิวเหยาส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก “นั่นเป็นของที่เขาให้เจ้า เจ้ารับไว้ก็พอ” 


 


 


เยี่ยหลีพูดไม่ออก ให้เงินมาที่หนึ่งหลายแสนตำลึงเช่นนี้ หานหมิงเย่ว์กล้าให้ แต่นางคงจะทำใจรับไว้ลำบาก  


 


 


“พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งไปให้ที่ตำหนักติ้งอ๋อง ท่านช่วยจัดการทีเถิด เงินข้ามีพอใช้แล้ว”  


 


 


ม่อซิวเหยาถอนหายใจอย่างไม่ใส่ใจ “อาหลี…หานหมิงเย่ว์นำของไปให้เจ้ามันก็เป็นของเจ้าแล้ว เจ้าก็รับไว้ด้วยความเต็มใจเถิด แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกติดค้างอะไรเขาด้วย หานหมิงเย่ว์คนนี้เพียงต้องจ่ายเงินเพิ่มแค่หนึ่งหรือสองตำลึงก็รู้สึกปวดใจแล้ว ที่เขายอมมอบให้เจ้าเพื่อเป็นของขวัญชดเชยเช่นนี้ เขาย่อมเห็นว่าคุ้มค่าที่จะให้ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเจรจาอะไรกับเขาให้มากความ” 


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “ข้าไม่ได้คิดที่จะเจรจากับเขาเลยจริงๆ” เยี่ยหลีนึกคาดเดาเงียบๆ ในใจว่าหานหมิงเย่ว์คงเคยทำอะไรผิดต่อม่อซิวเหยาไว้ รวมกับเรื่องที่เขาทำในครั้งนี้ด้วย ไม่คิดว่าม่อซิวเหยาจะยอมปล่อยเขาไปเช่นนี้ หานหมิงเย่ว์คงรู้สึกผิดหรือไม่ก็ละอายใจ แต่หาทางชดเชยความผิดไม่ได้ จึงได้ส่งของมาเอาใจนางโดยไม่คิดถึงต้นทุนเช่นนี้ เสียก็แต่เยี่ยหลีไม่คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องสานสัมพันธ์ให้กลับมาดีดังเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น เงินของหานหมิงเย่ว์นี้เห็นทีจะเสียเปล่าเสียแล้ว 


 


 


“เช่นนั้นที่เจ้านัดข้าออกมาก็ด้วยเรื่องนี้เองหรือ” ม่อซิวเหยาถามขึ้น 


 


 


เมื่อเสียงนุ่มรื่นหูของม่อซิวเหยาดังขึ้น เยี่ยหลีที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ก็สะดุ้งขึ้น พูดอย่างเขินๆ ว่า “ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรจริงๆ ข้ารบกวนท่านหรือไม่”  


 


 


เมื่อเห็นม่อซิวเหยาดูจะไม่สนใจกับของที่หานหมิงเย่ว์ส่งมาให้เลยแล้ว ทำให้เยี่ยหลีอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าตำหนักติ้งอ๋องมีทรัพย์สินเงินทองมากมายสักเพียงใด  


 


 


“ปกติข้าก็อยู่ว่างๆ” ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ในเมื่อออกมาแล้ว เจ้าไปที่หนึ่งเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่” 


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าไม่ค่อยคุ้นกับเมืองหลวงนัก ให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจแล้วกัน” 


 


 


เมื่อได้คำตอบรับจากเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาจึงหันไปสั่งการอาจิ่นที่ขับรถม้าอยู่ เขาจึงหันรถม้าให้มุ่งหน้าไปอีกทางทันที 


 


 


ในรถม้า เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ร้านเฟิงหวาหรือ ท่านคงไม่ได้คิดจะซื้อเครื่องประดับให้ข้าหรอกกระมัง ข้าเองก็มีร้านขายเครื่องประดับของตัวเองอยู่ร้านหนึ่งอยู่แล้ว” 


 


 


ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองนาง “ให้เครื่องประดับกับคู่หมั้นถือเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ หรือว่าไม่ได้” 


 


 


เยี่ยหลีจึงปิดปากเงียบ หรือว่าจะให้นางบอกให้เขาซื้อของแต่จากร้านของนาง เพื่อที่เงินจะได้ไม่รั่วไหลอย่างนั้นหรือ ถึงแม้นางจะไม่เคยคบหากับใครจริงจังมาก่อนแต่ก็รู้ดีว่าการพูดเช่นนี้จะเป็นการทำลายบรรยากาศเสียเปล่าๆ เพียงแต่…นี่ม่อซิวเหยากำลังเอาใจนางอยู่หรือ เยี่ยหลีรู้สึกปั่นป่วนใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นม่อซิวเหยามีท่าทีสบายๆ เป็นปกติ ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเขาตั้งใจจะทำสิ่งใด เยี่ยหลีจึงจำต้องล้มเลิกความคิดของตนไป มีชายหนุ่มท่าทางดี ไม่ดูน่ารังเกียจ ซ้ำยังกำลังจะเป็นสามีนางในอนาคตมาให้เครื่องประดับเพื่อเอาใจ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่หรือ 


 


 


ร้านเฟิงหวาเป็นร้านเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง เครื่องประดับที่วางขายที่นี่ส่วนใหญ่เป็นเครื่องหยก เหตุผลที่ร้านนี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้ดีในเมืองหลวงนั้นไม่เพียงเพราะสินค้าประณีตงดงาม ราคาสูงลิ่ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเครื่องประดับที่วางขายที่นี่ไม่มีแบบที่เหมือนกันแม้แต่ชิ้นเดียว ทุกชิ้นล้วนไม่เหมือนใคร ทำให้บรรดาคุณหนูและชนชั้นสูงทั้งหลายที่ไม่อยากใส่เครื่องประดับซ้ำกับใครชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เยี่ยหลียังเคยคิดที่จะให้ร้านฉางเจินเก๋อใช้รูปแบบร้านชั้นสูงเช่นนี้ แต่ก็ทำได้เพียงคิด เพราะร้านฉางเจินเก๋อไม่ได้มีช่างที่ออกแบบและแกะสลักออกมาได้อย่างโดดเด่น นอกจากนั้น เยี่ยหลีเองก็มีความรู้เกี่ยวกับการออกแบบเพชรพลอยแค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น จึงได้แต่จนใจ 


 


 


เมื่อเข้ามาในร้านเฟิงหวา หลงจู๊ก็ออกมาต้อนรับทันที เมื่อเห็นม่อซิวเหยาที่นั่งรถเข็นเข้ามาก็อึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มนอบน้อม “ที่แท้ก็คือท่านติ้งอ๋องและคุณหนูสามตระกูลเยี่ยนี่เอง ช่างเป็นเกียรติแก่ร้านเล็กๆ ของเรายิ่งนักที่ทั้งสองท่านมาเยือนร้านเฟิงหวา เชิญท่านอ๋อง คุณหนูเยี่ย ด้านในขอรับ” 


 


 


เมื่อเชิญทั้งสองเข้าไปยังห้องด้านในแล้ว ก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยนำชาเพิ่งเก็บใหม่ชั้นดีมาให้ทันที เยี่ยหลีจิบชาพร้อมคลี่ยิ้มเล็กน้อย สายตามองสำรวจห้องที่ได้รับการตกต่างอย่างหรูหราแต่ดูน่าสบาย อดที่จะถอนใจไม่ได้ ช่างเป็นที่น่าเพลิดเพลินของชนชั้นสูงยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่ร้านเฟิงหวาจะกลายเป็นร้านที่ชนชั้นสูงชอบมากัน ออกมาต้อนรับด้วยความใส่ใจเช่นนี้ เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เงินจากแขกที่มาที่นี่หรือ 


 


 


อาจด้วยเพราะฐานะของม่อซิวเหยา ทำให้หลงจู๊ของที่ร้านมายืนรอบริการด้วยตนเอง “ท่านอ๋องอยากเลือกเครื่องประดับให้คุณหนูสามตระกูลเยี่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนคุณหนูสามตระกูลเยี่ยจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าท่านชอบเครื่องประดับแบบใดหรือขอรับ” 


 


 


เยี่ยหลีหันมองไปทางม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาจิบชาก่อนพูดว่า “เลือกชุดที่ดีหน่อยมาดูก่อนก็แล้วกัน” 


 


 


หลงจู๊รับคำ ก่อนหมุนตัวออกไปหยิบของมาให้ดูด้วยตนเอง  


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “พวกเรามาซื้อเครื่องประดับกันจริงๆ หรือ” 


 


 


ม่อซิวเหยายิ้ม “อาหลี เจ้าคิดมากไปแล้ว ในเมื่อออกมาทั้งที หากมีอะไรที่ชอบก็ซื้อไปสักสองสามชุดจะเป็นไรไป” 


 


 


เยี่ยหลีถามด้วยความสงสัย “หรือว่าการแต่งตัวปกติของข้าทำให้ท่านเสียหน้า” คิดไปคิดมาก็ดูมีความเป็นไปได้ ถึงแม้เยี่ยหลีจะมีเครื่องประดับอยู่ไม่น้อย และทั้งหมดล้วนเป็นของที่สวีซื่อทิ้งไว้ให้ แต่เยี่ยหลีเป็นคนไม่ชอบอะไรรุงรัง โดยเฉพาะเครื่องประดับศีรษะ ดังนั้นเมื่อต้องแต่งตัวจึงเพียงให้ถูกกาลเทศะเท่านั้น แต่เรื่องแต่งตัวอย่างหรูหรานั้นนางรู้สึกรับไม่ค่อยได้ ด้วยฐานะของติ้งอ๋อง หากชายาในอนาคตแต่งตัวเรียบเกินไปก็อาจทำให้เขารู้สึกเสียเกียรติได้ 


 


 


ม่อซิวเหยาส่ายหน้าอย่างจนใจมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าเกิดเพชรพลอยเต็มศีรษะขึ้นมาจริงๆ ข้าก็คงรับไม่ไหว อันที่จริงข้าก็ไม่รู้จะไปที่ใดดี จึงพาเจ้ามาดูของที่นี่ เฟิ่งจือเหยาบอกว่าเครื่องประดับร้านนี้ไม่เลว” 


 


 


เยี่ยหลีมองเขาด้วยความสงสัย นางพยายามมองหาความผิดปกติในสีหน้าของเขา กับบางคนที่นิ่งเกินไป แม้ขณะที่พูดสิ่งที่แสดงถึงน้ำใสใจจริงก็ยังคงนิ่งอยู่ได้ประหนึ่งกำลังอ่านหนังสือโบราณอยู่ในห้องหนังสือก็มิปาน เยี่ยหลีจึงได้แต่บอกตนเองว่าคิดมากเกินไป คิดไปคิดมาก็อาจจะใช่ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูเป็นสุภาพบุรุษที่สุภาพ สง่างาม และผึงผายประดุจหยก แต่ก็เคยได้ยินมาว่าสมัยนั้นเขาก็เคยเป็นเด็กหนุ่มเสเพล ดีแต่เที่ยวขี่ม้าไปเรื่อย และรายล้อมไปด้วยสาวๆ  


 


 


ไม่นาน หลงจู๊ก็ยกกล่องสองกล่องเข้ามาในห้อง เขาวางลงบนโต๊ะพร้อมเปิดกล่องออกอย่างระมัดระวัง  


 


 


“ท่านอ๋องและคุณหนูสามตระกูลเยี่ยให้เกียรติมาที่ร้านทั้งที เครื่องประดับชุดนี้เป็นชุดใหม่ล่าสุดที่เถ้าแก่ของเราออกแบบและทำออกมาเองกับมือ ปีนี้เกรงว่าคงจะมีเพียงชุดนี้ชุดเดียว คุณหนูเยี่ยลองชมดูเถิดขอรับ ว่าถูกใจหรือไม่” 


 


 


เมื่อได้ฟังหลงจู๊เอ่ยถึงความพิเศษของเครื่องประดับชุดนี้ ก็ทำให้เยี่ยหลีสนใจขึ้นมาทันที 


 


 


เครื่องประดับชุดนี้เป็นเครื่องประดับที่ทำจากหยกเขียวชั้นดี แม้หยกเขียวจะไม่ถือว่าเป็นหยกที่มีมูลค่าสูงที่สุดในบรรดาหยกทั้งหลาย แต่หยกคุณภาพดีเลิศที่ใช้ทำเครื่องประดับชุดที่อยู่ตรงหน้านี้ แม้แต่ในเซิ่นเต๋อเซวียนหรือฉางเจินเก๋อเอง เยี่ยหลีก็ยังไม่เคยพบชิ้นใดที่มีคุณภาพดีกว่าชุดนี้ ที่สำคัญกว่านั้นคือ แบบที่ดูเรียบง่ายแต่สง่างามนั้น ทำให้เครื่องประดับชุดนี้เปรียบประหนึ่งดอกอวี้หลาน[1] อันงดงามที่เบ่งบานในยามค่ำคืน ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นและอ่อนโยน ในโลกนี้ไม่มีสตรีนางใดที่หลุดพ้นแรงดึงดูดจากเครื่องประดับที่วิจิตรงดงามไปได้ เยี่ยหลีได้แต่นึกทอดถอนใจ  


 


 


“เครื่องประดับชุดนี้ ประกอบด้วยปิ่นดอกอวี้หลานสองชิ้น สร้อยข้อมือหนึ่งเส้น กำไลข้อมือหนึ่งวง และสร้อยประดับหน้าผากอีกหนึ่งชิ้นขอรับ”  


 


 


เมื่อหลงจู๊เห็นสายตาที่ชื่นชมของเยี่ยหลี ก็รีบเปิดกล่องอีกใบหนึ่งที่ใส่สร้อยประดับหน้าผากไว้ทันที หยกงามสีเขียวอ่อน ไม่มีลายดอกไม้หรือการฝังอัญมณีใดๆ ให้ดูรกรุงรัง เป็นเพียงเครื่องประดับที่ประกอบขึ้นจากดอกอวี้หวานแต่ละดอกวางเปล่งประกายอยู่ในกล่องผ้าไหมตรงหน้านาง 


 


 


“ชอบหรือไม่” ม่อซิวเหยาหันมองทางเยี่ยหลีพร้อมอมยิ้ม “เหมาะกับอาหลีมาก” 


 


 


“สวยจริงๆ” เยี่ยหลีพยักหน้า 


 


 


“ชุดนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวให้ใครไปรับเงินที่ตำหนักข้า” 


 


 


เมื่อเห็นว่าทั้งสองต่างพอใจ หลงจู๊ที่เพิ่งขายสินค้าได้เงินก้อนโตก็พอใจมากเช่นเดียวกัน  


 


 


“ขอรับ คุณหนูเยี่ยจะรับไปเลยหรือจะให้เราไปส่งให้ที่จวนขอรับ”  


 


 


ม่อซิวเหยาเอ่ยตอบเรียบๆ ว่า “ส่งไปที่จวนเจ้ากรมเยี่ยเลยก็แล้วกัน” 

 

 

 


ตอนที่ 51-1

 

           “คารวะองค์หญิงทั้งสอง”


 


 


           ขณะที่เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเดินออกมาจากห้องด้านในพร้อมหลงจู๊ ก็ได้ยินเสียงเด็กที่รอต้อนรับอยู่หน้าร้านกล่าวแสดงความเคารพ หลงจู๊อึ้งไปเล็กน้อยก่อนรีบเอ่ยขอโทษทั้งสองแล้วเดินออกไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เพิ่งเดินเข้าร้านมาก็เห็นทั้งสองเช่นกัน


 


 


องค์หญิงเจาหยางนิ่งอั้นไปก่อนอุทาน “ซิวเหยาหรือ” ก่อนเร่งฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ห่างจากม่อซิวเหยาเพียงไม่กี่ก้าว แล้วกล่าวเสียงเบา 


 


 


“ซิวเหยา นี่เจ้าออกมาซื้อของเป็นเพื่อนคุณหนูเยี่ยหรือ”


 


 


สายตาม่อซิวเหยาไหววูบเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้พบองค์หญิงเสียหลายปี”


 


 


สีหน้าองค์หญิงเจาหยางดูเจ็บปวด ก่อนพยักหน้า “ไม่ได้พบหน้ากันหลายปีแล้วจริงๆ ตอนนี้เจ้า…สบายดีก็ดีแล้ว เมื่อพวกเจ้าแต่งงานกันแล้ว หากคุณหนูเยี่ยพอมีเวลาแวะมาที่ตำหนักองค์หญิงบ้างข้าก็จะยินดี ถือเสียว่ามาคุยเป็นเพื่อนหญิงแก่อย่างข้า”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย “ได้รับความเอ็นดูจากองค์หญิงเช่นนี้ หม่อมฉันจะต้องขอไปรบกวนเป็นแน่เพคะ”


 


 


           องค์หญิงเจาหยางถอนหายใจเบาๆ ยิ้มแล้วจับมือเยี่ยหลี


 


 


“ถึงแม้ข้าจะเพิ่งเคยพบหน้าคุณหนูเยี่ยเป็นครั้งที่สอง แต่สมัยข้ายังสาวก็เคยไปมาหาสู่กับท่านแม่เจ้าอยู่บ้าง คุณหนูเยี่ยลองดูเถิดว่ามีของชิ้นใดถูกใจหรือไม่ ถือเสียว่าข้าให้เป็นของขวัญที่ได้พบหน้ากันครั้งแรก”


 


 


เยี่ยหลีไม่รู้จะทำเช่นไรดี ในขณะที่นางตั้งใจจะออกปากปฏิเสธนั้นเอง ม่อซิวเหยาก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน


 


 


“เสด็จป้าเจาหยาง…ท่านโปรดอย่าทำให้อาหลีตกใจเลย พวกเรายังมีธุระอย่างอื่นอีก จึงต้องขอตัว ท่านมากับองค์หญิงเจาเหรินเช่นนี้ อย่าทำให้องค์หญิงเสียอารมณ์เลย”


 


 


           สตรีงดงามในชุดหรูหราผู้ถูกเพิกเฉยมาตลอดนั้นคือองค์หญิงเจาเหรินที่หลายวันก่อนได้พบในงานมงคงสมรสของม่อจิ่งหลี นางเพียงส่งเสียงเหอะออกมาเรียบๆ


 


 


องค์หญิงเจาหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วได้แต่ถอนใจ “เอาเถิด หากอีกหน่อยคุณหนูเยี่ยมีธุระอันใดก็ให้คนไปบอกข้าที่ตำหนักได้”


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนเดินออกจากร้านเฟิงหวาไปพร้อมกับม่อซิวเหยา


 


 


           เมื่ออยู่บนรถม้าแล้ว เยี่ยหลีรับรู้ได้ว่าม่อซิวเหยาอารมณ์ไม่ปกตินัก นางจึงไม่ได้กล่าวอันใด เพียงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่บนรถม้าขึ้นมาอ่าน เมื่อนึกย้อนถึงสีหน้าและคำพูดขององค์หญิงเจาหยางที่ได้พบในร้านเมื่อครู่แล้ว ก็ได้แต่รู้สึกแปลกใจ นางรู้สึกว่าท่าทีขององค์หญิงกับหานหมิงเย่ว์นั้นคล้ายคลึงกัน ดูเหมือนพวกเขาอยากใกล้ชิดม่อซิวเหยา แต่ด้วยเพราะสาเหตุใดไม่ทราบทำให้ต้องรักษาระยะห่างไว้ สีหน้าประหนึ่งรู้สึกผิดและต้องการจะชดเชยให้เขา แต่การชดเชยนี้ม่อซิวเหยากลับดูไม่ยินดีที่จะรับไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดจะมาชดเชยให้แก่นางแทน ทั้งตั๋วเงินที่หานหมิงเย่ว์มอบให้ รวมถึงท่าทีขององค์หญิงเจาหยาง ทั้งสองคนนี้ทำผิดอันใดต่อม่อซิวเหยากันนะ


 


 


           “ขอโทษด้วย อาหลี” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเบาๆ สายตารู้สึกผิด


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ม่อซิวเหยายิ้ม “ทีแรกตั้งใจจะพาเจ้าออกมาเดินเล่นให้สบายใจ…” เยี่ยหลีเข้าใจในทันที ชายผู้นี้ขอโทษนางที่เมื่อสักครู่เขาอารมณ์ไม่ดีเช่นนั้นหรือ แต่การพบคนที่ไม่ชอบแล้วทำให้อารมณ์ไม่ดีนั้นเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้มิใช่หรือ หรือนางดูเป็นเด็กสาวงี่เง่าจนเขาคิดว่าต้องให้ของขวัญเป็นการขอโทษเช่นนั้นหรือ


 


 


           “ไม่เป็นไร วันนี้ท่านอารมณ์ไม่ดี พวกเรากลับกันก่อนก็แล้วกัน ไว้วันอื่นเมื่ออารมณ์ดีแล้วค่อยออกมาใหม่” ความจริงแล้วนางก็ไม่มีอารมณ์เดินเล่นเป็นเพื่อนชายที่อยู่ในอารมณ์ห่อเ**่ยวเช่นกัน นางปลอบใจใครไม่เป็น หากมีเวลาว่างทำเรื่องเช่นนั้น สู้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นเสียยังดีกว่า จากเรื่องเมื่อวานทำให้นางรู้ว่ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการอีกมากนัก


 


 


           ม่อซิวเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “เช่นนั้นข้าไปส่งเจ้านะ”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนหันไปสั่งอาจิ่นที่บังคับรถม้าอยู่ด้านนอก แล้วรถม้าก็มุ่งหน้ากลับจวนเจ้ากรมทันที เมื่อม่อซิวเหยาเห็นท่าทีสบายๆ และสงบนิ่งของเยี่ยหลีแล้ว สีหน้าเขาก็พลันอบอุ่นขึ้นมาก จึงอดยิ้มขึ้นไม่ได้ “อาหลีดูจะไม่เป็นกังวลเลย”


 


 


เยี่ยหลียักไหล่ “เดิมทีก็ไม่มีเรื่องอันใดให้กังวลอยู่แล้วนี่ แต่ข้าเดาว่าฮูหยินผู้เฒ่าคงเป็นกังวลแย่แล้ว” หากตนถูกตำหนักติ้งอ๋องถอนหมั้นอีกครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าคงได้ส่งนางไปถือศีลบำเพ็ญภาวนาที่สำนักชีแน่แล้ว เพราะไม่เพียงทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเยี่ยย่อยยับ แต่ยังทำให้สูญของหมั้นจำนวนมหาศาลจากตำหนักติ้งอ๋องที่อยู่ในมือไปด้วย คงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังซื่อปวดใจไปได้สักพักใหญ่ทีเดียว


 


 


           “ไม่มีอันใดหรอก อย่างมากอีกไม่เกินวันสองวันเรื่องนี้ก็คงเงียบไปเอง”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วไม่ได้เอ่ยอันใดอีก เมื่อคืนหากเกิดเรื่องอันใดกับนางขึ้นจริงจะเป็นเชนไร คำถามนี้เยี่ยหลีไม่ได้เอ่ยออกไป ม่อซิวเหยาเองก็ไม่ได้เอ่ยถึง ประหนึ่งล่วงรู้กันอยู่ในใจ ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นจริง ม่อซิวเหยาก็คงปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และยังคงจะแต่งงานกับนางเช่นเดิม อาจฆ่าหานหมิงเย่ว์เสีย หรืออาจเป็นเยี่ยหลีที่ฆ่าหานหมิงเย่ว์ แต่คงไม่แต่งงานกับเขาแล้ว ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือใคร ม่อซิวเหยาไม่คิดที่จะบอกนาง และนางก็ไม่คิดที่จะถาม พวกเขาเตรียมที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตก็จริง แต่ต่างฝ่ายต่างไม่คิดที่จะถือเอาอีกฝ่ายเป็นคนที่สำคัญที่สุดหรือรักที่สุดในชีวิต เช่นเดียวกับที่เยี่ยหลีไม่มีทางเห็นม่อซิวเหยาสำคัญไปกว่าคนในครอบครัว และในใจของม่อซิวเหยาก็คงมีคนที่สำคัญกว่านางเช่นเดียวกัน


 


 


           เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนเยี่ย ม่อซิวเหยารอจนเห็นเยี่ยหลีเดินเข้าจวนไปแล้ว จึงได้ลดผ้าม่านลงพร้อมบอกอาจิ่นว่า “กลับจวน”


 


 


           อาจิ่นมองประตูที่กำลังค่อยๆ ปิด เขาลังเลเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงไม่บอกคุณหนูเยี่ย…”


 


 


           “อาจิ่น กลับจวน”


 


 


           “…พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”


 


 


           เยี่ยหลีเข้าประตูใหญ่ไปได้ไม่ทันไร ชิงสยากับชิงซวงที่ยืนรออยู่นานแล้วก็รีบเข้ามาต้อนรับ พร้อมรายงานว่านายท่านมารอพบคุณหนูอยู่ด้านใน เยี่ยหลีนึกสงสัย “เจ้าหมายถึงท่านลุงใหญ่หรือท่านลุงรอง” เมื่อเช้านางเพิ่งกลับมาจากบ้านตระกูลสวี หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก


 


 


           ชิงซวงตอบว่า “นายท่านทั้งสองเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังคุยกับนายหญิงผู้เฒ่าอยู่ที่หรงเล่อถังเจ้าค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลีจึงสำรวจการแต่งตัวและเครื่องประดับที่ใส่อยู่อย่างจนใจ “ช่างเถิด เข้าไปเช่นนี้เลยก็แล้วกัน”


 


 


           


 


 


           เมื่อเข้าไปในหรงเล่อถัง ก็เห็นท่านลุงทั้งสองกำลังนั่งดื่มชา โดยมีฮูหยินผู้เฒ่า เจ้ากรมเยี่ย และหวังซื่อนั่งอยู่ด้วยสีหน้าประหลาด เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนยิ้มให้เยี่ยหลี


 


 


“หลีเอ๋อร์ เจ้าออกไปไหนมา ท่านลุงทั้งสองตั้งใจมาเยี่ยมเจ้า ยังไม่รีบมาคารวะอีก”


 


 


เยี่ยหลีจึงก้าวเข้าไปทำความเคารพตามคำสั่งท่านย่า


 


 


สวีหงอวี่กลับโบกมือ “เอาเถิด วันนี้หลีเอ๋อร์เพิ่งกลับมาจากบ้านสวี จะเรียกว่าตั้งใจมาเยี่ยมได้อย่างไร” สวีหงเยี่ยนพยักหน้าขรึมๆ “ถูกแล้ว เมื่อวานนี้ข้ากับพี่ใหญ่มีเรื่องจะสั่งหลีเอ๋อร์ จึงได้มารับตัวนางไป ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ได้ เป็นเพราะตระกูลสวีของเราคิดไม่รอบคอบเอง”


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากับเจ้ากรมเยี่ยลอบสบตากันด้วยความกระอักกระอ่วนใจ แม้สวีหงเยี่ยนจะพูดว่าเป็นความผิดของตระกูลสวี แต่เหตุใดพวกเขาจึงฟังไม่ออกว่าในคำพูดนั้นแฝงการตำหนิตระกูลเยี่ยอยู่ในที ตั้งแต่มีข่าวลือแพร่ออกไป ตระกูลเยี่ยไม่คิดทำการใด แม้แต่จะส่งคนไปสอบถามที่บ้านตระกูลสวีสักคนก็ไม่มี จะไม่ทำให้ตระกูลสวีผิดหวังได้อย่างไร เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสง่าผ่าเผยแล้วก็ได้แต่นึกสับสนในใจ นางไม่มั่นใจเลยว่าเมื่อวานเยี่ยหลีไปที่บ้านสวีจริงๆ หรือถูกโจรจับตัวไปอย่างที่ข่าวลือ หากเกิดเรื่องขึ้นดังนั้นจริง ถ้าเช่นนั้น…


 


 


           สวีหงเยี่ยนมองเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากับเจ้ากรมเยี่ยก่อนส่งเสียงเหอะเบาๆ ด้วยความขุ่นใจ สวีหงอวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนหันไปยิ้มให้เยี่ยหลี


 


 


“หลีเอ๋อร์ออกไปกับคุณหนูฮว่าและคุณหนูฉินหรือ ตอนที่ลุงมาที่นี่ได้ยินว่าคุณหนูตระกูลฉินกับตระกูลฮว่าถูกบุตรสาวท่านแม่ทัพมู่หรงพาไปหาเรื่องคุณชายรองตระกูลเหลิ่งนี่ หรือว่าหลีเอ๋อร์ก็ไปมีเรื่องกับเขามาเหมือนกัน”


 


 


เยี่ยหลีไม่คิดว่ามู่หรงถิงจะไปก่อเรื่องเช่นนี้ นางรีบส่ายหน้า “หลีเอ๋อร์ไปร้านเฟิงหวากับติ้งอ๋องมาเจ้าค่ะ ยังได้พบองค์หญิงเจาหยางและองค์หญิงเจาเหรินด้วย เสร็จธุระแล้วก็กลับมานี่เลยเจ้าค่ะ เป็นความผิดของหลีเอ๋อร์เองเจ้าค่ะที่ทำให้ท่านลุงต้องรอ”


 


 


           “อ้อ ไปร้านเฟิงหวากับติ้งอ๋องหรอกหรือ ไม่เป็นไรๆ หญิงชายจะไปไหนมาไหนด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใด”


 


 


สวีหงอวี่ดูจะพอใจกับคำตอบของเยี่ยหลีเป็นอย่างมาก สวีหงเยี่ยนเองก็พยักหน้า ก่อนเอ่ยปากบ่นว่า “ท่านป้าเจ้ามักบอกให้ชิงเจ๋อออกไปไหนมาไหนกับคุณหนูตระกูลฉินบ้าง แต่เจ้าเด็กนั่นกลับนิสัยแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ทำอย่างกับพูดมากอีกสักครึ่งคำจะเป็นไรไป!”


 


 


เยี่ยหลีนึกถึงสีหน้าเย็นชาเรียบเฉยของสวีชิงเจ๋อก็อดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้ เจิงเอ๋อร์เป็นคนอ่อนหวานน่าคบหาที่สุดในบรรดาพวกนางทุกคน แต่กลับมีคู่หมั้นที่มีนิสัยเฉยชา เงียบขรึมไม่พูดไม่จา เข้าเมืองมาตั้งนานแต่ดูเหมือนนอกจากครั้งที่ท่านป้าสะใภ้รองใช้ให้นำของขวัญไปส่งให้ที่บ้านฉินแล้ว ทั้งสองยังไม่ได้พบหน้ากันจริงจังเลย


 


 


           สวีหงอวี่ไม่สนใจสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของเจ้ากรมเยี่ยและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า เขาหันไปพูดกับเจ้ากรมเยี่ยว่า “ข้ามีเรื่องอยากสั่งสอนหลีเอ๋อร์เป็นการส่วนตัวเสียหน่อย ไม่ทราบ….”


 


 


เจ้ากรมเยี่ยนึกกลัวท่านลุงใหญ่ผู้นี้มาโดยตลอด เขาเอ่ยปากเช่นนี้แล้วไหนเลยจะกล้าบอกปัด รีบตอบรับว่า “เช่นนั้นหลีเอ๋อร์ก็พาพี่ใหญ่และพี่รองไปนั่งคุยกันที่เรือนของเจ้าเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะเตรียมเหล้าไปให้ท่านพี่ทั้งสองได้ลิ้มรส”


 


 


สวีหงเยี่ยนยืนขึ้นก่อนเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เย็นนี้ข้ามีนัดเล่นหมากล้อมกับผู้เฒ่าซู ไม่ต้องยกพวกสุราอะไรมาหรอก”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของสวีหงอวี่ เจ้ากรมเยี่ยจึงได้แต่นิ่งเฉยไปด้วยความจำยอม แล้วให้เยี่ยหลีเชิญท่านลุงทั้งสองออกไปคุยกันเป็นการส่วนตัว เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเห็นลูกชายตนไม่เป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ จึงถลึงตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจ น่าเสียดายที่หัวหน้าตระกูลสวีคนปัจจุบันน่ายำเกรงเกินไป นางจึงได้แต่นิ่งเสีย

 

 

 


ตอนที่ 51-2

 

เมื่อกลับมายังชิงอี้เซวียน สวีหงเยี่ยนมองสำรวจการตกแต่งเรือนทั้งภายในและภายนอกอยู่รอบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างพอใจแล้วหมุนตัวเดินออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงพี่ชายใหญ่กับหลานสาวของตนได้พูดคุยกันสองคน


 


 


           “ท่านลุงใหญ่และท่านลุงรองตั้งใจมาครั้งนี้ มีเรื่องสำคัญอันใดจะสั่งหลีเอ๋อร์หรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีเชิญสวีหงอวี่ให้นั่งลง พร้อมลงมือรินชาด้วยตนเอง


 


 


           สวีหงอวี่มองสำรวจนางรอบหนึ่ง ก่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดูสีหน้าหลีเอ๋อร์ไม่เลวทีเดียว เจ้าคงไม่ได้รู้สึกอันใดกับข่าวลือพวกนั้นใช่หรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลียกน้ำชาใสแจ๋วในแก้วไปให้ ก่อนนั่งลงยิ้มอย่างจนใจ “ต่อให้ข่าวลือแพร่กระจายไปเท่าใด อย่างไรเราก็ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป อีกอย่าง สถานการณ์ตอนนี้ก็ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มากแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


           สวีหงอวี่จ้องหน้านางตรงๆ “เช่นนั้น หากสถานการณ์แย่กว่าที่เจ้าคิดไว้ เจ้าจะทำอย่างไร เมื่อคืนที่เจ้ารอดพ้นมาได้อย่างปลอดภัยถือว่าโชคดีมากแล้ว หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริง หลีเอ๋อร์…”


 


 


เยี่ยหลีจ้องน้ำชาใสในถ้วยเงียบๆ ก่อนพยักหน้า “หลีเอ๋อร์ทำให้ท่านลุงต้องเป็นห่วงแล้ว เพียงแต่…ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น อย่างไรก็ต้องมีชีวิตต่อไป หลีเอ๋อร์ไม่ได้กลัวความตาย แต่ขอเพียงมีความหวังก็จะต้องใช้ชีวิตต่อไป อย่างน้อย จะไม่ตายเพราะข่าวลือเป็นแน่เจ้าค่ะ” เมื่อพูดจบ เยี่ยหลีก็เผลอกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ขนบธรรมเนียมของที่ต้าฉู่จะถือว่าเปิดกว้างแล้ว แต่ความบริสุทธิ์ของหญิงสาวยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต นางไม่รู้ว่าที่พูดเช่นนี้ท่านลุงใหญ่จะยอมรับได้หรือไม่ แต่นี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจนางจริงๆ เยี่ยหลีจะไม่มีทางยอมทิ้งชีวิตให้กับความผิดที่ไม่ใช่ของตนเป็นอันขาด


 


 


           “ดีมาก เช่นนี้ถึงจะสมกับเป็นบุตรสาวตระกูลสวี” สวีหงอวี่นิ่งไปนาน ก่อนวางแก้วชาลงพร้อมเอ่ยขึ้นเรียบๆ


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไป รีบเงยหน้าขึ้นมองท่านลุงใหญ่ สายตาสวีหงอวี่มองเยี่ยหลีเจือด้วยความเจ็บปวด


 


 


“บุตรชายตระกูลสวีถึงแม้จะมาทางสายบุ๋น แต่ก็มีความเข้มแข็งมากพอ ต่อให้ทุกข์ยากเช่นไรก็มิอาจทำให้พวกเราละทิ้งสิ่งที่เป็นของพวกเราไปได้ แต่ทว่า…บุตรสาวตระกูลสวีที่ฉลาดหลักแหลมมากความสามารถ กลับอ่อนแอกว่าหญิงสาวทั่วไป ดูอย่างแม่ของเจ้า…หากตอนนั้นน้องเล็กมีความเข้มแข็งเช่นเจ้า คงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้”


 


 


           “ท่านลุงใหญ่…”


 


 


ทุกครั้งที่เอ่ยถึงท่านแม่มักทำให้ท่านลุงใหญ่เจ็บปวดอย่างมาก เยี่ยหลีนึกไปถึงท่านแม่ในความทรงจำ ผู้สวยงาม บอบบาง และอ่อนแอแล้วก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ สมัยท่านแม่ยังเยาว์วัยนางได้รับการปกป้องจากตระกูลสวีมากเกินไป จึงทำให้นางรับชีวิตจริงหลังแต่งงานไม่ได้ จึงค่อยๆ เ**่ยวเฉาอยู่ในเรือนหลังใหญ่ของตระกูลเยี่ยในที่สุด


 


 


           สวีหงอวี่โบกมือ “ติ้งอ๋องเป็นชายหนุ่มที่ดีมากคนหนึ่ง ต่อให้เป็นตอนนี้ลุงก็ยังคิดเช่นนั้น เพียงแต่ไม่ว่าจะมองจากมุมใด เขาก็ไม่ใช่ตัวเลือกสามีที่ดีนัก หลีเอ๋อร์รู้หรือไม่ เหตุใดตระกูลสวีจึงไม่คัดค้านการแต่งงานครั้งนี้”


 


 


เยี่ยหลีมองสายตาที่อบอุ่นแต่ดูน่าเกรงขามของท่านลุงใหญ่ ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “เพราะยากจะขัดราชโองการใช่หรือไม่เจ้าค่ะ”


 


 


           “นี่ก็ถือเป็นเหตุผลหนึ่ง” สวีหงอวี่เอ่ยขึ้น “แต่หากตระกูลสวีไม่ยินยอมด้วยใจจริง ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ไข ท่านตาของเจ้ายังพอมีหน้ามีตาอยู่หลายส่วน หากท่านตาเจ้าเข้าเมืองมาขอร้องให้ฮ่องเต้เพิกถอนราชโองการด้วยตนเองแล้ว ฮ่องเต้ก็คงมิอาจปฏิเสธได้”


 


 


เยี่ยหลีรีบเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “ไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ ท่านตาอายุมากแล้ว กว่าจะหลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองหลวงไปได้ก็ไม่ง่ายเลย จะให้ท่านยื่นเท้ากลับเข้ามาอีกเพื่อเยี่ยหลีได้อย่างไรเจ้าคะ” อย่าว่าเรื่องอื่นเลย ปีนี้ท่านตาอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ให้ผู้สูงอายุลำบากนั่งรถเข้าเมืองหลวงเช่นนี้ เยี่ยหลียอมไม่ได้เด็ดขาด สีหน้าสวีหงอวี่ดูพอใจ ก่อนยื่นมือมาตบบ่าเยี่ยหลี “ท่านตาเจ้ารู้ว่าหลีเอ๋อร์เป็นเด็กกตัญญู”


 


 


           เยี่ยหลีก้มหน้าคิดพักหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “หลีเอ๋อร์คิดไม่ออกจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านลุงโปรดช่วยไขความข้องใจนี่ด้วย”


 


 


           สวีองอวี่ถอนหายใจ “นั่นเป็นเพราะฐานะของเจ้า หากเจ้าแซ่สวี ตระกูลสวีสามารถปฏิเสธการสมรสที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ได้อย่างเต็มปาก หรืออาจให้เจ้าแต่งงานกับบัณฑิตจากตระกูลธรรมดาที่ปิ้งโจวเลยก็ยังได้ ตระกูลสวีไม่ต้องการความรุ่งเรืองไปมากกว่านี้ แต่เจ้าแซ่เยี่ย การแต่งงานของเจ้า นอกจากฮ่องเต้แล้วก็มีตระกูลเยี่ยที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ อีกอย่างก่อนหน้านี้เจ้ายังมีงานสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน ถึงแม้ฮ่องเต้จะล้มเลิกการแต่งงานระหว่างเจ้ากับหลีอ๋องแล้วพระราชทานเยี่ยอิ๋งให้แต่งงานกับหลีอ๋องแทน แม้จะบอกว่าเยี่ยอิ๋งเป็นบุตรสาวสายหลักของตระกูลเยี่ย แต่ความจริงก็เป็นเพียงบุตรสาวสายรองเท่านั้น ฮ่องเต้อยากใช้งานพ่อของเจ้า จงใจโปรดปรานเยี่ยเจาอี๋เพื่อสร้างความไว้วางใจ ทั้งยังอยากให้บัณฑิตที่เป็นกลางทั้งใต้หล้าพอใจ เช่นนั้นเจ้าจึงแต่งงานกับคนที่แย่กว่าเยี่ยอิ๋งไม่ได้ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ…หากเจ้าไม่ได้แต่งงานกับหลีอ๋อง ก็คงได้พระราชทานให้แต่งงานกับอ๋องท่านอื่นอยู่ดี หรืออาจ…ได้เข้าวังไปเป็นสนม เรื่องเข้าวังคงไม่ต้องพูดถึง ลุงกับท่านตาของเจ้าลองพิจารณาท่านอ๋องที่ยังไม่ได้แต่งงานทั้งหมดดูแล้ว มีเพียงติ้งอ๋องที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าเห็นด้วยกับที่ท่านลุงพูด “อันที่จริงติ้งอ๋องก็ดีกว่าที่หลีเอ๋อร์คิดไว้มากแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะเพิ่งได้รู้ว่า…น่าจะวุ่นวายกว่าที่คิดไปเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะรับไม่ได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านลุงก็เคยบอกแล้วว่าติ้งอ๋องเป็นชายหนุ่มที่ดีมากคนหนึ่ง”


 


 


สวีหงอวี่มองเยี่ยหลีด้วยความแปลกใจ “หลีเอ๋อร์คิดว่าติ้งอ๋องเป็นเช่นไรหรือ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มอย่างเขินๆ “ข้างนอกไม่ได้ลือกันว่าติ้งอ๋อง…ทั้งพิการ ทั้งเสียโฉม แล้วยังป่วยหนักหรือเจ้าคะ” คนที่น่าสังเวชเพียงนั้นจะมีลักษณะเช่นใด ทุกคนน่าจะพอจินตนาการได้ ดังนั้นม่อซิวเหยา ณ ตอนนี้จึงดีกว่าที่ตนคาดการณ์ไว้มากแล้ว


 


 


           ดูเหมือนสวีหงอวี่จะพอนึกภาพออก เขาจึงถลึงตาใส่นางอย่างไม่เห็นขันด้วย “หากเป็นเช่นนั้นจริง สู้หาทางวางยาพิษให้เขาตายไปเสียยังดีกว่า ต่อให้เจ้าไม่ได้แต่งงานจนชั่วชีวิต ก็ยังดีกว่าให้แต่งงานไปกับคนไร้ประโยชน์เช่นนั้น”


 


 


           จะได้แต่งงานกับคนไร้ประโยชน์หรือไม่นั้น เยี่ยหลีหาได้ใส่ใจไม่ เพราะถึงอย่างไรด้วยพื้นเพตระกูลของตำหนักติ้งอ๋อง ก็คงไม่ให้นางไปรับใช้ม่อซิวเหยาด้วยตนเองอยู่ดี ถือเสียว่าแค่จับคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็แล้วกัน นอกจากนั้น ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนั้น แต่ความวุ่นวายนี่มากเกินกว่าที่นางจินตนาการไว้มากทีเดียว ถึงขนาดทำให้ท่านลุงไม่วางใจจนต้องมาพูดเรื่องเหล่านี้กับนางด้วยตนเอง เยี่ยหลีพอคาดการณ์ได้แล้วว่า ชีวิตหลังแต่งงานคงไม่สวยงามดังเช่นที่ตนจินตนาการไว้เป็นแน่


 


 


           “เมื่อคืนพี่ชายใหญ่ของเจ้าเอ่ยขึ้นมา ลุงถึงได้เพิ่งสังเกตว่า หลายปีมานี้ตระกูลเยี่ยช่างชั่วช้านัก! เจ้าก็อีกคน อยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแต่กลับไม่เข้าใจเรื่องคนในเมืองหลวงเอาเสียเลย!”


 


 


สวีหงอวี่มองเยี่ยหลีด้วยความขัดใจ เยี่ยหลีรีบก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด อย่าว่าแต่ท่านพ่อกลัวท่านลุงเลย นางเองก็กลัวเช่นกัน อันที่จริงนอกจากพี่ชายใหญ่แล้ว นางยังไม่เห็นใครไม่กลัวท่านลุงใหญ่เลยสักคน อืม…อาจมีม่อซิวเหยาอีกคน


 


 


           ที่ท่านลุงกล่าวมานั้นไม่ผิดเลย หลายปีมานี้นางแทบไม่ก้าวเท้าออกไปไหน ด้วยตั้งใจที่จะตัดขาดตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ แน่นอนว่าเรื่องนี้หวังซื่อก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่ความรับผิดชอบส่วนใหญ่นั้นตกอยู่ที่นาง แม้นางจะยอมรับสภาพชีวิตในตอนนี้ได้นานแล้ว แต่ในใจลึกๆ เยี่ยหลียังคงรู้สึกว่าชีวิตในชาติที่แล้วของนางต่างหากที่เป็นความจริง ส่วนชีวิตในตอนนี้เป็นเสมือนการเล่นละครหรืออยู่ในฝันเสียมากกว่า แต่แน่นอนว่า ภัยร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้นางรู้สึกเป็นเรื่องจริงขึ้นมาหลายส่วน


 


 


           “ของที่หงเยี่ยนให้เจ้าก่อนหน้านี้ เจ้าศึกษาไปถึงไหนแล้ว” สวีหงอวี่เอ่ยถามขึ้นตรงๆ


 


 


           เยี่ยหลีรู้ดีว่า ท่านลุงใหญ่เป็นคนให้ท่านลุงรองนำข้อมูลบุคคลสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงมาให้นาง จึงรีบเอ่ยตอบว่า


 


 


           “จำได้หมดแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


สวีหงอวี่ส่ายหน้า “ของพวกนั้นแค่จำได้ไม่มีประโยชน์ เจ้าต้องวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่แฝงอยู่ให้ออก คนในจวนฮว่ากั๋วกงเจ้ารู้จักหมดแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังเจ้าก็เคยพบแล้ว เจ้าพอบอกลุงได้หรือไม่ว่า เจ้าคิดว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันกับหลิ่วกุ้ยเฟย จวนฮว่ากั๋วกง และจวนหลิ่วมีความสัมพันธ์กันอย่างไร”


 


 


           เยี่ยหลีนึกประหลาดใจ นี่ไม่ห่างไกลไปหน่อยหรือ แต่นางก็ได้นิ่งคิดวิเคราะห์ตามที่สวีหงอวี่บอกอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยตอบว่า


 


 


“หลีเอ๋อร์ยังไม่เคยพบฮองเฮา แต่คุ้นเคยกับคนจวนฮว่าอยู่พอสมควร และเคยได้พบองค์หญิงฉางเล่อครั้งหนึ่ง ฮองเฮาเป็นภรรยาเอกคนแรก ถึงแม้ไม่เป็นที่โปรดปรานนักแต่ก็ดูเป็นสตรีที่ใจกว้างและมีจิตใจดี ส่วนหลิ่วกุ้ยเฟยนั้น ดูมีความหยิ่งยโสไม่น้อย ดูเป็นคนเฉยๆ แต่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แล้วยังประสูติองค์ชายสององค์และองค์หญิงอีกหนึ่งองค์ ดังนั้น สองท่านนี้…น่าจะไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไร ส่วนตระกูลฮว่ากับตระกูลหลิ่วก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องที่ถูกกัน แต่ในราชสำนัก เสนาบดีหลิ่วกับเจ้ากรมเยี่ยกกลับไม่ถูกชะตากันสักเท่าไร ณ ตอนนี้ถือได้ว่าเท่าเทียมกัน แต่สถานการณ์ในวัง ดูเหมือนหลิ่วกุ้ยเฟยจะเหนืออยู่กว่าขั้นหนึ่ง”


 


 


           สวีหงอวี่พยักหน้า ก่อนเอ่ยเตือนขึ้นว่า “วิเคราะห์ได้ไม่เลว แต่ใจคนนั้นเปลี่ยนง่าย ยิ่งเป็นคนในวังด้วยแล้วยิ่งยากจะคาดเดา เรื่องนี้เจ้าต้องใส่ใจให้มากขึ้นอีก ดูเหมือนหงเยี่ยนคงให้แต่ข้อมูลปัจจุบันแก่เจ้า คงคิดว่าเรื่องเมื่อหลายปีก่อนเจ้าน่าจะรู้อยู่แล้ว”


 


 


เยี่ยหลีรู้สึกละอายใจเล็กน้อย หลายปีก่อนโดยเฉพาะช่วงที่เกิดเรื่องกับม่อซิวเหยานั้น เป็นช่วงที่ความทรงจำของนางกำลังสับสนวุ่นวายและร่างกายกำลังอ่อนแอ พอฟื้นตัวขึ้นมาได้ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องภายนอกเท่าใดนัก เรื่องเก่าๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นนางไม่รู้เลยจริงๆ ท่านลุงรองคงคิดไม่ถึงว่า แม้แต่เรื่องที่เลื่องลือทั่วเช่นนั้นนางก็ยังไม่รู้


 


 


           “หลีเอ๋อร์เข้าใจเรื่องตำหนักติ้งอ๋องมากเพียงใด”


 


 


           เยี่ยหลีเข้าใจแล้วว่าที่ท่านลุงใหญ่ตั้งใจมาหานางในครั้งนี้ ก็เพื่อมาปูพื้นฐานความเข้าใจให้กับนางนี่เอง


 


 


“เจ้าตำหนักติ้งอ๋องรุ่นแรกคือม่อหลั่นอวิ๋น น้องชายร่วมอุทรของปฐมฮ่องเต้ ม่อเฉิงเทียน ผู้ก่อตั้งแผ่นดินต้าฉู่ ช่วงต้นของแผ่นดินต้าฉู่ ปฐมฮ่องเต้อวยยศท่านให้เป็นซื่อสีอ๋อง พร้อมพระราชทานราชทินนาม ติ้ง สืบทอดตำแหน่งได้สามรุ่น สมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน มีขุนนางผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์ ม่อหลิวฟาง ผู้ดำรงตำแหน่งติ้งอ๋องในตอนนั้น ได้เดินทางกลับเข้ามายังเมืองหลวง และจัดการสังหารขุนนางผู้นั้น พร้อมสนับสนุนองค์ฮ่องเต้ จากนั้นท่านอ๋องจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการ เมื่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีพระชนมายุได้สิบหกชันษา ม่อหลิวฟางจึงได้คืนอำนาจการปกครองให้แก่พระองค์ แต่เมื่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีพระชนมายุได้สิบเก้าชันษา ม่อหลิวฟางเกิดป่วยจนถึงแก่ชีวิต ม่อซิวเหวินบุตรชายคนโตจึงได้สืบทอดตำแหน่งต่อ ปีต่อมาฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ปีที่สามในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ม่อซิวเหวินได้รับพระบัญชาให้ยกทัพออกไปทำศึก แล้วเกิดป่วยตายระหว่างทาง เขาไม่มีบุตรชายสืบสายเลือด ม่อซิวเหยาที่ ณ ตอนนั้นเพิ่งอายุได้สิบแปดปีจึงต้องสืบทอดตำแหน่งต่อไป พร้อมนำทัพออกไปกรำศึก เขาพบกับความพ่ายแพ้ จนสูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก และทำให้เขาเกือบต้องสิ้นชีพในสนามรบ แม้ในตอนหลังจะอาศัยการวางแผนอย่างชาญฉลาด พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นชนะได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วย… สามเดือนให้หลัง คู่หมั้นของม่อซิวเหยาป่วยตาย และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตำหนักติ้งอ๋องก็ถือได้ว่าหายไปจากเมืองหลวง”


 


 


           “ยังมีอีกหรือไม่” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ก่อนพูดต่อว่า


 


 


“ทายาทตำหนักติ้งอ๋องทุกรุ่นล้วนเป็นผู้มากความสามารถมาตั้งแต่กำเนิด ทั้งยังเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ แต่ราชนิกุลที่มีสายเลือดเดียวกัน เมื่อเปรียบกันแล้วยังด้อยกว่ากันมาก ในบรรดาทั้งหมดผู้ที่ความสามารถโดดเด่นที่สุดคือม่อหลันอวิ๋น ติ้งอ๋องคนแรก ว่ากันว่าหากไม่เพราะเขาแต่งงานกับองค์หญิงในราชวงศ์ก่อน เขาอาจมีโอกาสได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้มากกว่าปฐมฮ่องเต้เสียอีก ต่อมาคือม่อหลิวฟาง ความสามารถด้านบู๊ของเขามากล้น ส่วนความสามารถด้านบุ๋นก็มากเสียจนสามารถปกครองแคว้นได้ ส่วนม่อซิวเหยาเคยได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจอย่างน่าอัศจรรย์ไม่แพ้บรรพบุรุษ หากตอนที่ม่อหลิวฟางเสียชีวิตเขาไม่ใช่เป็นเพียงเด็กอายุสิบสามปี อาจเป็นเขาที่ได้สืบทอดตำแหน่งอ๋องก็เป็นได้”

 

 

 


ตอนที่ 51-3

 

ภายในห้องเงียบไปในชั่วอึดใจ เยี่ยหลียกกาน้ำชาขึ้นรินชาเพิ่มให้สวีหงอวี่เงียบๆ ได้ยินสวีหงอวี่เอ่ยถามขึ้น


 


 


“ใช่สิ แค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพียงห้าหกปี ตระกูลติ้งอ๋องมีแต่คนเสียชีวิต จากที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจกลับล่มสลายกลายเป็นคนธรรมดา ชื่อเสียงตำหนักติ้งอ๋องผู้ไม่เคยแพ้ก็ถูกทำลายลงด้วยเหตุนี้ หลีเอ๋อร์รู้หรือไม่ สมัยนั้น…ที่ม่อซิวเหยาได้รับการกล่าวขานว่าเก่งกาจอย่างน่าอัศจรรย์ไม่แพ้บรรพบุรุษนั้น ท่านตาของเจ้าเป็นผู้ตั้งให้ เพราะเหตุนี้ ทำให้ท่านตาของเจ้าทั้งเจ็บแค้นและเสียใจมาสิบกว่าปีแล้ว”


 


 


           “ความหมายของท่านลุงใหญ่คืออันใดหรือเจ้าคะ”


 


 


เยี่ยหลีอึ้งไป การแก่งแย่งชิงอำนาจทางการเมืองมีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ถึงแม้ผู้คนจะคาดเดากันไม่หยุดหย่อนถึงสาเหตุที่ทำให้ตำหนักติ้งอ๋องต้องล่มสลายลง แต่เมื่อได้ยินจากปากของท่านลุงเช่นนี้ ก็ทำให้เยี่ยหลีอดที่จะตกใจไม่ได้


 


 


ภายใต้ความตกใจนั้น เยี่ยหลีรีบทำจิตใจให้สงบลงโดยเร็ว ก่อนพูดว่า “ได้ยินว่าสมัยติ้งอ๋องยังหนุ่ม ฉายแววโดดเด่นและเก่งกาจด้านการรบเป็นอย่างมาก เช่นนั้นต่อให้ท่านตาไม่ได้พูดประโยคนั้นออกมา คนที่ตั้งใจจะทำร้ายติ้งอ๋องก็คงจะทำร้ายเขาอยู่ดี ท่านตาเพียงชื่นชมความสามารถของเขาเท่านั้น มิอาจคาดเดาอนาคตได้ ดังนั้นเรื่องนี้…ท่านตาไม่จำเป็นจะต้องโทษตนเองเลยนะเจ้าคะ”


 


 


           สวีหงอวี่พยักหน้าด้วยความชื่นชม “หลีเอ๋อร์อายุเพียงเท่านี้แต่สามารถคิดได้เช่นนี้นับว่าไม่เลวทีเดียว ที่ลุงพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็หวังให้เจ้าเข้าใจถึงสถานการณ์ของตำหนักติ้งอ๋อง ถึงแม้ตอนนี้ในสายตาคนภายนอก ตำหนักติ้งอ๋องจะถดถอยลงจนเหลือเพียงชื่อแล้วก็ตาม แต่ทว่า…”


 


 


เยี่ยหลีมองสวีหงอวี่ ก่อนพูดต่อให้ว่า “แต่ทว่าตำหนักติ้งอ๋องยังคงมีไพ่ตายในมือที่ทำให้ราชสำนักไม่กล้าทำอันใดผลีผลามใช่หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


           “ถูกแล้ว หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ หลายปีนี้ม่อซิวเหยาคงได้ป่วยตายไปนานแล้ว ตอนนี้ที่ไม่กล้าแตะต้องเขาด้วยเพราะกลัวว่าจะเสียคนที่มีประโยชน์คนอื่นๆ ไป ติ้งอ๋องสองคนก่อนที่เสียชีวิตตามกันไปนั้น ทำให้คนเริ่มนึกเคลือบแคลงสงสัยมากแล้ว หากเกิดเหตุอันใดขึ้นกับม่อซิวเหยาอีกคน เกรงว่าคงจะสั่นสะเทือนไปทั่วแคว้น”


 


 


           เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ รู้สึกหนาวจนต้องจับถ้วยชาในมือเพื่อซึมซับความอบอุ่นจากถ้วยชานั้น


 


 


“ที่ฮ่องเต้ทรงเลือกหลีเอ๋อร์เพราะเกรงกลัวตระกูลสวีเช่นกันหรือเจ้าคะ พระองค์ไม่กลัวว่า เมื่อตระกูลสวีกับตำหนักติ้งอ๋องสานสัมพันธ์จากการแต่งงานกันแล้ว…”


 


 


           สายตาสวีหงอวี่ดูเย็นเยียบ “บรรพบุรุษตระกูลสวีได้กล่าวไว้ หากราชสำนักไม่ทำอะไรตระกูลสวี ตระกูลสวีจะไม่มีทางทรยศเด็ดขาด”


 


 


           “คำพูดเช่นนี้มีคนเชื่อด้วยหรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีถามด้วยความไม่เข้าใจ ต่อให้ลงลายมือชื่อกันในหนังสืออย่างเป็นทางการก็ยังสามารถฉีกทิ้งได้ตลอดเวลา นับประสาอะไรกับคำสัตย์สาบาน


 


 


สวีหงอวี่จ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความไม่พอใจ “สิ่งนี้ระบุอยู่ในกฎตระกูลสวี ตระกูลสวีที่อยู่มาได้เป็นร้อยปีก็ด้วยเพราะคำสัตย์สาบานนี้”


 


 


เยี่ยหลีทำคอหด ลูบปลายจมูกก่อนถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านลุงเจ้าคะ เช่นนั้น…ตระกูลสวีเคยสาบานอันใดไว้กับฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อนหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


           “แค่กๆ…” สวีหงอวี่กระแอมไอขึ้น จ้องเยี่ยหลีอย่างไม่เห็นขันด้วย


 


 


เยี่ยหลีจึงได้แต่ยกไหล่ก่อนเท้าคางแล้วเงียบไป ตระกูลที่ผ่านร้อนหนาวมาเป็นร้อยปีได้โดยที่ไม่ล่มสลายไปนั้น จะเคร่งครัดเรื่องเหล่านี้มากได้อย่างไร ใช่ว่าพวกเราไม่สามารถทรยศได้ เพียงแต่ผลจากการทรยศนั้นยังไม่มากพอเท่านั้นเอง


 


 


สวีหงอวี่จ้องหน้านางตรงๆ อีกครั้ง “สรุปก็คือหากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ตระกูลสวีจะไม่ทรยศต่อราชสำนักแน่นอน”


 


 


คนตระกูลสวีไม่เคยขาดชื่อเสียงและผลประโยชน์ และไม่เคยยึดติดกับอำนาจ ตำแหน่งฮ่องเต้หรือ ของเล่นเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด บุรุษที่ฉลาดพอย่อมรู้ซึ้งถึงสิ่งที่จะทำให้ตนเหนื่อยตาย หากอยากเสพสุขจากความวุ่นวายก็ต้องเตรียมใจรับชื่อเสียงที่เน่าเฟะไปตลอดชีวิต


 


 


           “หลีเอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านลุงใหญ่คิดว่าหากไม่ใช่ฮ่องเต้แล้ว ใครกันที่คิดอยากทำลายงานแต่งงานระหว่างข้ากับติ้งอ๋องเจ้าคะ” เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้น


 


 


           สวีหงอวี่ส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่อาจพูดพล่อยๆ ได้ ชิงเฉินบอกเพียงว่าเป็นสตรีนางหนึ่ง แต่พวกเราใคร่ครวญถึงสตรีทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับม่อซิวเหยาแล้ว ก็ยังหาไม่พบว่าสตรีผู้นั้นเป็นผู้ใด ส่วนตัวติ้งอ๋องเองคงรู้อยู่แล้ว เขาได้พูดอันใดหรือไม่”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของบัณฑิตอย่างสวีหงอวี่มีแววไม่พอใจขึ้นทันที เมื่อเห็นเยี่ยหลีส่ายหน้า จึงถอนหายใจเบาๆ “ตัวเขาคงรู้ว่าอันใดควรมิควร หากเกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก สามีเช่นเขาเจ้าจะไม่เอาก็ไม่เป็นไร ตระกูลสวีเราเลี้ยงหลานสาวเองได้”


 


 


           “หลีเอ๋อร์คิดว่าอาจเป็นสตรีสักคนที่มีใจให้ติ้งอ๋อง” เยี่ยหลีไม่รู้สึกอายที่จะพูดกับสวีหงอวี่ จึงพูดสิ่งที่ตนนึกสงสัยออกมาตรงๆ


 


 


           สวีหงอวี่ยิ้มพร้อมมองหน้านาง “คนที่มีใจให้ติ้งอ๋องหรือ หากเจ้าพูดถึงสมัยที่ติ้งอ๋องยังหนุ่มละก็ สมัยนั้นมีคุณหนูกว่าครึ่งค่อนเมืองหลวงที่มีใจให้เขา เพียงแต่…คนที่มีความสามารถพอจะจ้างเทียนอี้เก๋อได้นั้น…ไม่มีเลยสักคน ถึงแม้หานหมิงเย่ว์จะรักเงินเป็นชีวิตจิตใจ แต่เขาก็เป็นเพื่อนที่รักใคร่กับติ้งอ๋องมาแต่เยาว์วัย เขาไม่มีทางหาเรื่องคู่หมั้นของติ้งอ๋องเพื่อเงินเป็นแน่”


 


 


           “เช่นนั้น…สตรีที่มีใจให้ม่อซิวเหยาและยังเป็นคนที่สนิทสนมกับหานหมิงเย่ว์เล่าเจ้าคะ”


 


 


           สวีหงอวี่เลิกคิ้วขึ้น “มีอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่มีทางใช่นาง”


 


 


           เยี่ยหลีกระพริบตา สวีหงอวี่วางถ้วยชาลงอย่างใจเย็น “หลิ่วกุ้ยเฟย”


 


 


           คราวนี้ถึงคราวเยี่ยหลีสำลักบ้าง “หลิ่ว…หลิ่วกุ้ยเฟยหรือเจ้าคะ”


 


 


           “มีอันใดแปลกหรือ หลิ่วกุ้ยเฟยสมัยนั้นได้ชื่อว่าเป็นสตรีมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเชียวนะ แม้แต่พี่ชายใหญ่ของเจ้า นางยังไม่เคยมองเขาตรงๆ เลยสักครั้ง แต่กลับพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานกับติ้งอ๋อง น่าเสียดาย…ตอนนั้นติ้งอ๋องมีหญิงสาวในใจอยู่แล้ว เช่นนั้นคงได้เป็นคู่ที่เหมาะสมอย่างหาได้ยากทีเดียว อีกอย่าง หลิ่วกุ้ยเฟยถนัดด้านการวาดภาพ ฝีมือการวาดภาพของหานหมิงเย่ว์สมัยหนุ่มๆ ก็โด่งดังมากในเมืองหลวง ภาพวาดชื่อดังของต้าฉู่ที่เขาวาดเป็นภาพที่สองนั้นก็คือหลิ่วกุ้ยเฟย ทุกวันนี้ยังประเมินค่ามิได้ แต่หลังจากหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังไปแล้ วรูปภาพนั้นก็ถูกซื้อไปด้วยมูลค่าสูงลิ่ว” ไม่รู้ด้วยเหตุใด สวีหงอวี่จึงหยุดพูดหัวข้อสนทนาที่หนักอึ้ง แล้วเปลี่ยนเป็นเล่าเรื่องซุบซิบในอดีตให้นางฟังแทน


 


 


           เยี่ยหลีนึกถึงสตรีในวังที่สายตาเย็นชาประหนึ่งดอกหลีแล้ว ช่างเหมาะสมแก่ชื่อ ยอดสาวงามยิ่งนัก “เหตุใดท่านลุงจึงคิดว่าไม่ใช่นางล่ะเจ้าคะ”


 


 


           “พี่ใหญ่ของเจ้ารู้จักกับหลิ่วกุ้ยเฟย ถึงแม้ไม่ได้เห็นใบหน้าของหญิงผู้นั้น ทั้งยังผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามั่นใจว่าไม่ใช่หลิ่วกุ้ยเฟย อีกอย่าง เจ้าคิดว่าวังหลวงเป็นสถานที่เช่นใดกัน กุ้ยเฟยคนหนึ่งจะสามารถพาคนกลุ่มหนึ่งออกมาเที่ยวเดินนอกวังได้สบายๆ อย่างนั้นหรือ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้ารับ นางเองก็ไม่ได้คิดจริงๆ ว่าจะเป็นหลิ่วกุ้ยเฟย ตอนอยู่ในวังถึงแม้จะรับรู้ได้ถึงสายตาดูถูกที่หลิ่วกุ้ยเฟยมีต่อนาง ทั้งยังคอยจับผิดนางตลอด แต่ในสายตาของนางนั้นกลับไม่มีแววอาฆาตอย่างเห็นนางเป็นศัตรู


 


 


           “คู่หมั้นคนเดิมของม่อซิวเหยาเป็นใครหรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีถามขึ้น นางนึกสงสัยจริงๆ ว่า หญิงสาวเช่นใดกันที่สามารถเอาชนะสตรีที่งดงามเช่นหลิ่วกุ้ยเฟยจนได้ใจของม่อซิวเหยาไป อีกอย่างหากว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว คนที่จะเป็นคู่หมั้นม่อซิวเหยาได้จะต้องเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่เป็นแน่ ทว่า แม้เยี่ยหลีจะตั้งใจทบทวนความทรงจำอยู่พักใหญ่ ก็ยังคิดไม่ออกว่ามีตระกูลใหญ่ตระกูลใดที่สูญเสียบุตรสาวผู้แสนงดงามแต่อาภัพไปเมื่อเจ็ดปีก่อน


 


 


สวีหงอวี่มองเยี่ยหลีด้วยความขุ่นเคืองใจ ก่อนเอ่ยว่า “ซูจุ้ยเตี๋ย”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ฟังดูเป็นชื่อของหญิงสาวที่สวยมากจริงๆ”


 


 


           สวีหงอวี่มองหลานสาวของตนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก รู้สึกเสียใจลึกๆ อีกครั้งที่เขาไม่ยืนกรานที่จะรับตัวเยี่ยหลีไปเลี้ยงดูตั้งแต่แรก ดูสิว่าตอนนี้บ้านเยี่ยเลี้ยงนางออกมาเป็นอย่างไร นี่นางกำลังพูดถึงอดีตคู่หมั้นของสามีในอนาคตของตัวเองนะ ต่อให้หญิงคนนั้นตายไปแล้วแต่ก็ควรแสดงอาการสนใจสักหน่อยมิใช่หรือ ท่านสวีผู้โด่งดังเพิ่งนึกได้ในตอนนี้เองว่า หลานสาวของตนไม่เคยแสดงอาการเอียงอายอย่างที่หญิงสาวควรจะมีเวลาเอ่ยถึงติ้งอ๋องหรือหลีอ๋องเลย แม้แต่หน้าแดงก็ยังไม่มี!


 


 


           “คุณหนูซูผู้นี้เป็นบุตรสาวบ้านใดหรือเจ้าคะ” ในเมืองหลวงดูเหมือนจะไม่มีตระกูลแซ่ซูที่มีชื่อเสียงเลยนี่


 


 


           “เจ้าคิดว่าวันที่ติ้งอ๋องนำของมาหมั้นหมายนั้น ผู้อาวุโสซูมาเพื่อการใด”


 


 


           “ผู้อาวุโสซูหรือเจ้าคะ”


 


 


           “ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสซู” สวีหงอวี่เอ่ยเรียบๆ


 


 


           “เช่นนั้นผู้อาวุโสซูมาทำอันใดหรือเจ้าคะ”


 


 


           “มาดูว่าติ้งอ๋องที่ควรจะเป็นหลายเขยของเขาจะแต่งงานกับหญิงสาวเช่นไรน่ะสิ อีกอย่าง การเสียชีวิตของซูจุ้ยเตี๋ยทำให้ติ้งอ๋องที่กำลังป่วยหนักอยู่เสียใจอย่างมาก ผู้อาวุโสซูเห็นติ้งอ๋องเป็นเสมือนหนึ่งหลานชายของตนเอง ดังนั้นจึงมาเพื่อช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้กับติ้งอ๋องด้วย”


 


 


           เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของท่านลุง เยี่ยหลีจึงยิ้มอย่างไม่รู้จะทำเช่นใดดี


 


 


“ท่านลุงเจ้าคะ หลีเอ๋อร์รู้ว่าท่านลุงหมายความเช่นไร ข้ากับติ้งอ๋องปฏิบัติต่อกันด้วยดีเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”


 


 


สวีหงอวี่มองเยี่ยหลีอย่างไม่เห็นด้วย “อย่างไรที่เจ้าเรียกว่าปฏิบัติต่อกันด้วยดี หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือก แล้วเจ้าเป็นคนแรกที่เขาเลือกที่จะละทิ้ง เช่นนั้นยังเรียกว่าดีอยู่หรือไม่”


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “แต่ว่า หากต้องให้ข้าเลือกระหว่างท่านลุง ท่านตา พี่ๆ กับติ้งอ๋องแล้ว ข้าก็คงไม่เลือกเขาเช่นกันนะเจ้าคะ ข้ากับเขาเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน อย่างไรญาติพี่น้องก็ต้องสำคัญกว่า”


 


 


           “พวกเจ้าเป็นสามีภรรยากันนะ! อีกหน่อยเจ้าต้องอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต ไม่ใช่อยู่กับลุงและท่านตาไปชั่วชีวิต”


 


 


           “ท่านลุงเห็นว่าติ้งอ๋องเป็นชายหนุ่มประเภทที่ยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อคนที่เขาห่วงใยหรือเจ้าคะ”


 


 


           “…ใช่ ขอเพียงเจ้าคว้าใจเขาไว้ได้ในกำมือ”

 

 

 


ตอนที่ 52-1

 

   หลังการพูดคุยกันอย่างยาวนาน สวีหงอวี่ได้ทิ้งหนังสือประวัติศาสตร์ ทั้งบันทึกทางการ บันทึกลับ และบันทึกส่วนตัวไว้ให้เยี่ยหลีกองใหญ่ พร้อมสั่งไว้ให้นางหาเวลาอ่านเสีย จากนั้นจึงนำสวีหงเยี่ยนออกเดินทางไปอย่างรวดเร็ว โดยมีเจ้ากรมเยี่ยออกมาส่งด้วยท่าทีประหม่า เยี่ยหลีสบตาที่ดูซับซ้อนของบิดาคู่นั้น ก่อนย่อตัวลงคารวะ แล้วเดินกลับเรือนชิงอี้เซวียนของตนไปศึกษาหนังสือประวัติศาสตร์เหล่านั้นด้วยท่าทีเป็นปกติ 


 


 


           วันสมรสของเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยากำหนดไว้เป็นวันที่สิบสอง เดือนห้า ว่ากันว่าเป็นวันที่ดีที่สุดของเดือนห้า ได้ยินว่าเดิมทีเจ้ากรมเยี่ยไม่ค่อยพอใจที่จะจัดงานในวันนี้สักเท่าไร ด้วยเพราะวันนี้ไม่ถือเป็นวันฤกษ์ดีเท่าที่ควร เรื่องที่เกิดขึ้นในงานแต่งงานของเยี่ยอิ๋งทำให้เจ้ากรมเยี่ยมีเรื่องขุ่นเคืองใจมากพออยู่แล้ว หากเกิดปัญหาอันใดขึ้นในงานของเยี่ยหลีอีก เยี่ยหลินและเยี่ยซานคงไม่ได้แต่งงานออกไปแน่แล้ว แต่เพราะตำหนักติ้งอ๋องและตระกูลสวี รวมถึงตัวเยี่ยหลีเองไม่ได้ถือเรื่องวันมงคล และหากไม่เลือกวันนี้แล้ว การแต่งงานคงต้องเลื่อนออกไปไกลถึงเดือนแปด เพราะเดือนหกและเดือนเจ็ดไม่เหมาะกับการจัดงานมงคลเสียยิ่งกว่า แล้วยิ่งเพิ่งเกิดเรื่องที่เยี่ยหลีโดนจับตัวไปด้วยแล้ว ไม่ว่าตำหนักติ้งอ๋องหรือตระกูลสวีคงไม่ยอมให้เลื่อนวันแต่งงานออกไปเป็นแน่ ดังนั้นความไม่พอใจเพียงเล็กน้อยของเจ้ากรมเยี่ย จึงถูกทุกคนมองข้ามไปโดยปริยาย 


 


 


           เข้าสู่กลางเดือนห้าได้ไม่นาน ชีวิตของเยี่ยหลีที่เคยสบายๆ ก็สิ้นสุดลงทันที ชิงอี้เซวียนที่เคยเงียบสงบ กลับคึกคักขึ้นผิดหูผิดตา ทุกวันจะมีของมากมายส่งเข้ามายังชิงอี้เซวียน ทำให้มีบัญชีและรายการสิ่งของจำนวนมากให้เยี่ยหลีต้องสะสางทุกวัน ถึงแม้จะมีหมัวมัวทั้งสองของช่วยเหลือชี้แนะ แต่ก็ยังทำให้เยี่ยหลีต้องเหนื่อยไม่น้อย ผู้คนในเมืองหลวงเมื่อเห็นว่าทั้งตระกูลเยี่ย ตระกูลสวี และตำหนักติ้งอ๋องยังคงจัดเตรียมงานแต่งงานกันตามปกติราวกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น ทำให้จากเดิมข่าวลือที่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็ค่อยๆ ลืมเรื่องนี้กันไปเอง 


 


 


           “อิจฉาหลีเอ๋อร์จริง งานแต่งงานที่ตำหนักติ้งอ๋องจะต้องเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสิบปีนี้เป็นแน่”  


 


 


ที่ชิงอี้เซวียน มู่หรงถิงกำลังเอนตัวกอดผ้าไหมชื่อดังพับหนึ่งที่เพิ่งส่งเข้ามาที่เรือนอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น โดยมีเยี่ยหลี ฉินเจิง และฮว่าเทียนเซียงกำลังนั่งสะสางบัญชีกันอยู่อีกด้าน ห่างไปไม่ไกลมีเยี่ยซานและเยี่ยหลินนั่งช่วยงานด้านเย็บปักถักร้อยอยู่ ด้านนอกยังคงคึกคักไปด้วยเสียงคนเดินเข้าออก ฮว่าเทียนเซียงเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชี มองไปที่นาง  


 


 


“หลีเอ๋อร์ไม่ได้เชิญเจ้ามาให้นั่งอิจฉาริษยาเสียหน่อย หากเจ้ามีเวลาพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ สู้มาดูว่าพอมีไรที่เจ้าพอช่วยได้บ้างไม่ดีกว่าหรือ แต่จะว่าไป…ที่เจ้าพูดก็ถูกนะ” 


 


 


           ฉินเจิงถือพู่กันขีดๆ เขียนๆ อยู่บนสมุดบัญชี พร้อมเอ่ยถามว่า “หวังซื่อฮูหยินไม่คิดที่จะช่วยเจ้าจัดเตรียมงานเลยจริงๆ หรือ หากมีใครพูดออกไปคงไม่ดีต่อชื่อเสียงของนางเป็นแน่” 


 


 


           เยี่ยหลีเพียงยิ้มน้อยๆ “ฮูหยินผู้เฒ่าให้สินเดิมเพิ่มมาอีกไม่น้อย สองสามวันมานี่นางไม่ค่อยสบายนัก เห็นว่าน้องสี่ที่อยู่ตำหนักติ้งอ๋องเกิดป่วย นางจึงต้องไปคอยดูแล ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วละ”  


 


 


ได้ยินเช่นนี้มู่หรงถิงจึงหัวเราะเยาะออกมาก “มีที่ไหนที่ลูกสาวแต่งออกไปได้ไม่ถึงเดือน คนเป็นแม่ก็รีบแจ้นไปคอยดูแลเช่นนี้ ว่าแต่ เยี่ยอิ๋งคงไม่ได้ป่วยไปจริงๆ หรอกใช่หรือไม่ หลายวันนี้ไม่เห็นนางออกมาโอ้อวดตัวเลยจริงๆ”  


 


 


ฮว่าเทียนเซียงเชิดคางขึ้นยิ้ม “นั่นก็ต้องให้นางมีเรื่องออกมาโอ้อวดได้หน่อยนะ หากหลีอ๋องดีกับนางหน่อย ไม่แน่ว่านางอาจจะพอออกมาโอ้อวดความสุขหลังแต่งงานได้ แต่ได้ยินว่าช่วงนี้องค์หญิงซีสยายังคอยตอแยหลีอ๋องอยู่ทุกวัน นางไม่กลายเป็นภรรยาผู้ระทมทุกข์ไปก็ถือว่าไม่เลวแล้ว” 


 


 


           ฉินเจิงส่ายหน้า นางไม่สนใจข่าวเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มากนัก แต่สนใจงานแต่งงานของเยี่ยหลีเสียมากกว่า  


 


 


“ไม่รู้จริงๆ ว่าหวังซื่อฮูหยินคิดอันใดอยู่ ตำหนักติ้งอ๋องส่งของหมั้นมามากน้อยเพียงใดทุกคนต่างรู้ดี ต่อให้ตระกูลเยี่ยให้สินเดิมเพิ่มเข้าไปอีกหน่อย อย่างไรนางก็ไม่ขาดทุน ที่นางสร้างเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ตระกูลเยี่ยหรือที่จะเสียหน้า”  


 


 


ฮว่าเทียนเซียงพูดต่อว่า “เจ้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ประวัติของหวังซื่อฮูหยินนี่ ต่อให้ตอนนี้นางเป็นภรรยาเอกของใต้เท้าเยี่ย แต่ฐานะอย่างนางไม่เพียงพอที่จะเป็นประธานจัดงานแต่งงานให้เยี่ยหลีหรอก เกรงว่าถึงเวลาจริงอาจต้องให้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าช่วยออกหน้าให้เสียด้วยซ้ำ เออใช่สิ ทางตำหนักติ้งอ๋องเองก็ไม่มีผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงที่สามารถเป็นประธานได้เลยนี่ อาหลี ติ้งอ๋องเคยพูดหรือไม่ว่าจะให้ใครมาเป็นประธานที่ตำหนักติ้งอ๋อง” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “เดิมทีองค์หญิงเจาหยางมีพระประสงค์จะมาทำหน้าที่นี้ให้ แต่ถึงแม้ติ้งอ๋องจะเรียกองค์หญิงเจาหยางว่าเสด็จป้า แต่ได้ยินว่าถ้าว่ากันตามฐานันดรศักดิ์แล้วถือว่าเท่ากัน ดังนั้นองค์หญิงเจาหยางจึงแนะนำให้เชิญองค์หญิงซีฝูมาทรงเป็นประธานให้” 


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงยิ้มพร้อมโบกมือไปมา  


 


 


“ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ท่านปู่ข้าบอกว่า แต่ก่อนผู้ที่องค์หญิงโปรดปรานที่สุดก็คือติ้งอ๋อง ตอนติ้งอ๋องเกิดองค์หญิงยังเคยอุ้มเขาอีกด้วย ตอนที่ติ้งอ๋องเกิดเรื่องจนเหลือชีวิตอยู่เพียงครึ่งนั้น องค์หญิงซีฝูนี่เองที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง สรุปว่า ติ้งอ๋องจะเชิญองค์หญิงให้ช่วยมาเป็นประธาน แสดงให้เห็นว่าเขามีความจริงใจต่ออาหลีไม่น้อย”  


 


 


มู่หรงถิงยิ้มจนตาหยี “ข้าถึงได้บอกไง งานแต่งของหลีเอ๋อร์ถือเป็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติที่สุดในรอบสิบปีนี้เลยเทียว ได้ยินว่าผู้ยิ่งใหญ่จากแคว้นอื่นๆ ก็จะมาร่วมงานนี่ด้วย” 


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “งานแต่งงานของตำหนักติ้งอ๋องเกี่ยวอันใดกับผู้ยิ่งใหญ่จากแคว้นอื่นๆ หรือ” 


 


 


           “อาหลี เจ้าอย่าได้ดูถูกอิทธิพลของตำหนักติ้งอ๋องเชียว ตั้งแต่ก่อตั้งตำหนักติ้งอ๋องมาร้อยกว่าปีนี้ จะว่าได้กวาดล้างดินแดนมาทั่วทั้งสี่ทิศแล้วก็ว่าได้ แคว้นที่มีพรมแดนติดกับต้าฉู่ได้ก็ล้วนต้องติดต่อกับตำหนักติ้งอ๋องทั้งสิ้น” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว พวกเขามาเพื่อเยาะเย้ยนี่เอง”  


 


 


ทายาทเพียงคนเดียวของตำหนักติ้งอ๋องที่น่ายำเกรง คนที่ดำรงตำแหน่งเป็นติ้งอ๋องคนปัจจุบันเป็นเพียงคนไร้สมรรถภาพ ทั้งเสียโฉมและต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ยังมีเรื่องอันใดที่จะทำให้ผู้ยิ่งใหญ่จากต่างแคว้นเป็นสุขกว่านี้ได้อีก เกรงว่าราชสำนักของแต่ละแคว้นจะดีใจเสียยิ่งกว่าต้าฉู่เปลี่ยนองค์ฮ่องเต้เสียอีก  


 


 


ทุกคนต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง แล้วอดถอนใจออกมาไม่ได้ ถูกแล้ว แคว้นต่างๆ ที่ส่งทูตเข้ามาร่วมงานครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีกับติ้งอ๋อง แต่จะมาดูว่า หลังจากที่เงียบหายไปถึงเจ็ดปีทายาทที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของตำหนักติ้งอ๋องจะมีสภาพเช่นไร จะยังทำให้พวกเขาเกรงกลัวได้อีกหรือไม่ 


 


 


           “หลีเอ๋อร์…” 


 


 


           หากเยี่ยหลีกลับโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ  


 


 


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก ในเขตเมืองหลวงของต้าฉู่ พวกเขาจะทำอันใดข้าได้ หากพวกเจ้ามีเวลามานั่งเป็นกังวลเรื่องนี้ สู้ช่วยข้าจัดการของเหล่านี้เสียยังดีกว่า พรุ่งนี้ท่านป้าสะใภ้รองจะขอดู”  


 


 


เยี่ยหลีมองกองสมุดบัญชีและรายการต่างๆ ตรงหน้าด้วยความปวดหัว มาตอนนี้ถึงได้รู้ว่าพวกตัวเลขกับการจดบัญชีระบบบัญชีคู่นี่ยุ่งยากน่าดูเลยจริงๆ แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ รอให้อีกหน่อยย้ายเข้าไปอยู่ตำหนักติ้งอ๋องและมีเวลามากขึ้นแล้วค่อยๆ สะสางก็ยังได้  


 


 


ฮว่าเทียนเซียงและฉินเจิงมองกองสมุดบัญชีตรงหน้าที่ยังเหลืออีกกว่าครึ่งแล้วก็พูดอันใดไม่ออก เจ้าของพวกนี้เยอะเกินไปแล้ว 


 


 


           เยี่ยหลินกับเยี่ยซานนั่งฟังพวกนางคุยเล่นกันแล้ว ก็รู้สึกทั้งอิจฉาและเห็นใจเยี่ยหลี แต่พวกนางต่างรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้พวกนางจะพูดสอดไม่ได้ ทำได้เพียงเงี่ยหูตั้งใจฟังพร้อมก้มหน้าก้มตาทำงานในมือเท่านั้น 


 


 


           “เอ๊ะ” อยู่ดีๆ มู่หรงถิงที่นั่งเอนหลังอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บนฟูกก็กระเด้งตัวลุกขึ้นมา พร้อมกับพุ่งไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบาน นางยื่นตัวออกไปมองอยู่พักใหญ่ก่อนดึงตัวกลับเข้ามาด้วยความสงสัย สีหน้าเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง  


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงมองนางแล้วกล่าวว่า “ทำไมหรือ นอกหน้าต่างมีอันใด” 


 


 


           มู่หรงถิงส่ายหน้า เหลือบมองเยี่ยหลีแต่ยังคงไม่พูดอันใด  


 


 


เยี่ยหลียิ้มให้นางน้อยๆ “เมื่อครู่ข้าเหมือนเห็นนกสีเขียวหยกบินออกไป มู่หรงก็เห็นเหมือนกันใช่หรือไม่”  


 


 


มู่หรงถิงกะพริบตาปริบๆ ก่อนพูดอย่างใช้ความคิดว่า “ใช่ๆ ข้าเห็นนกที่สวยมากตัวหนึ่ง ใครจะรู้ว่าพอข้าไปถึงหน้าต่าง ก็บินหายไปเสียแล้ว”  


 


 


ฉินเจิงหัวเราะพรืดออกมา ก่อนปิดปากพูดว่า “นกบินเร็วออกจะตาย จะมารอเจ้าที่ไหนกัน”  


 


 


ฮว่าเทียนเซียงเหลือบมองนางทีหนึ่ง “เจ้านึกชอบนกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด หากเจ้าชอบจริง ไปขอให้ท่านพ่อเจ้าช่วยจับให้สักตัวสิ หรือไม่ก็ไปหาซื้อที่สวยๆ มาสักตัวก็ยังได้ จะมาตื่นเต้นอันใดเช่นนี้” 


 


 


           “ก็ข้าพอใจนี่” มู่หรงถิงเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ก่อนทิ้งตัวลงกลับไปนอนบนฟูกเช่นเดิม พร้อมกับถือโอกาสถลึงตาใส่เยี่ยหลีเสียทีหนึ่ง เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ มู่หรงถิงเห็นสิ่งใด นางย่อมรู้ดีแก่ใจ หลายวันมานี้มักมีคนแปลกๆ คิดอยากเข้ามาเยี่ยมนางอย่างลับๆ เสมอ แต่มักโดนองครักษ์ที่ม่อซิวเหยาส่งมาคอยคุ้มกันจับโยนออกไปหมด เพียงแต่ที่บุกเข้ามากลางวันแสกๆ เช่นนี้ก็ไม่มีให้เห็นบ่อยนัก 


 


 


           “คุณหนูขอรับ ทายาทท่านเจิ้นหนานอ๋อง เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิงให้คนนำของขวัญแสดงความยินดีสำหรับวันมงคลใหญ่ของคุณหนูกับท่านอ๋องมาให้ขอรับ” พ่อบ้านจวนเยี่ยยืนรายงานอยู่ที่หน้าประตู  


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ทายาทท่านเจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิงหรือ หากจะนำของขวัญมาให้ก็ควรส่งไปที่ตำหนักติ้งอ๋องมิใช่หรือ”  


 


 


พ่อบ้านตอบอย่างนอบน้อมว่า “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อบอกว่าของขวัญชิ้นนี้เป็นของขวัญที่แคว้นซีหลิงเตรียมให้พระชายาติ้งอ๋องในอนาคตขอรับ ดังนั้นจึงต้องส่งมาให้คุณหนูโดยตรง เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของแคว้นซีหลิงขอรับ” 


 


 


           “ตอนนี้เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่ออยู่ที่ใด ท่านพ่ออยู่หรือไม่” เยี่ยหลีถาม 


 


 


           “อยู่ที่ห้องโถงใหญ่ขอรับ นายท่านเพิ่งกลับมากำลังรับรองแขกอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ขอรับ” พ่อบ้านกล่าว 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ขอให้ท่านพ่อและเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อรอสักครู่ อีกประเดี๋ยวข้าจะออกไป” 

 

 

 


ตอนที่ 52-2

 

พ่อบ้านขอตัวกลับออกไป มู่หรงถิงจึงจับมือเยี่ยหลีอย่างเป็นกังวล  


 


 


“อาหลี เจ้าออกไปพบเขาระวังหน่อยนะ เกรงว่าเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อคงจะมาไม่ดีแน่”  


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น คุณหนูในเมืองหลวงมีน้อยคนนักที่จะเข้าใจเรื่องเช่นนี้ มู่หรงถิงติดตามท่านแม่ทัพมู่หรงไปออกรบตั้งแต่เล็กๆ คงจะรู้เรื่องที่พวกนางไม่รู้อยู่บ้าง ชิงหลวนและคนอื่นๆ กำลังช่วยปรนนิบัติเยี่ยหลีเปลี่ยนเสื้อผ้าและผัดหน้าใหม่อยู่ โดยมีมู่หรงถิงยืนให้ข้อมูลที่นางรู้อยู่ข้างๆ  


 


 


“เจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิงนี้ เป็นน้องชายร่วมอุทรของฮ่องเต้แคว้นซีหลิงองค์ปัจจุบัน แล้วยังเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของแคว้นซีหลิงอีกด้วย แต่เมื่อยี่สิบปีก่อน ท่านเคยแพ้ให้กับพระบิดาของติ้งอ๋อง หรือก็คือท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ม่อหลิวฟาง ทั้งยังเสียแขนไปข้างหนึ่งระหว่างรบอีกด้วย หลังจากนั้นเจิ้นหนานอ๋องได้ส่งคนไปลอบสังหารท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็พลาดไปอย่างฉิวเฉียดทุกครั้งไป เจ้าก็รู้…ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเสียชีวิตไปนานแล้ว หากเจิ้นหนานอ๋องยังคงคิดแค้นอยู่…” เช่นนั้นความแค้นนี้คงต้องนำมาชำระกับลูกชายและลูกสะใภ้ของม่อหลิวฟางอย่างนางและม่อซิวเหยาเป็นแน่ 


 


 


           “ถ้าเช่นนั้น เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อตั้งใจจะมาก่อกวนใช่หรือไม่” ใบหน้าเรียวของฉินเจิงซีดเผือดลงทันที มองเยี่ยหลีด้วยความไม่สบายใจ “พวกเราควรส่งใครไปแจ้งติ้งอ๋องหรือไม่” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวติ้งอ๋องก็คงทราบแล้ว อีกอย่าง เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อถึงอย่างไรก็คงไม่รังแกคุณหนูคนหนึ่งหรอก หากเขาทำเช่นนั้นจริง คงเป็นที่อับอายแก่ท่านอ๋องเจิ้นหนานแห่งแคว้นซีหลิงเกินไป” หากต้องการจะมาหาเรื่องจริง ก็ควรบุกไปหาม่อซิวเหยาถึงจะถูก พวกเขายังไม่ทันได้แต่งงานกันเลย 


 


 


 เยี่ยหลีสำรวจตัวเองในกระจก เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วจึงลุกยืนขึ้น “เดี๋ยวข้าออกไปก่อน พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกันนะ”  


 


 


มู่หรงถิงรีบยืนขึ้นข้างๆ เยี่ยหลี ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า ส่วนเทียนเซียงกับเจิงเอ๋อร์รออยู่ที่นี่”  


 


 


เยี่ยหลียิ้มด้วยความลำบากใจ “มู่หรง ข้าไม่ได้ไปรบสักหน่อย”  


 


 


มู่หรงพูดยืนยันอีกครั้ง “ข้าไม่สน จะให้ข้าแอบตามเจ้าไปก็ได้ หากเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อเกิดมีเจตนาร้ายขึ้นมาจริงๆ ข้าจะได้ช่วยเจ้าได้” 


 


 


           มีเจตนาร้ายต่อว่าที่ชายาติ้งอ๋องแต่คิดทำต่อหน้าธารกำนัลในแผ่นดินต้าฉู่อย่างนั้นหรือ คงมีแต่มู่หรงที่คิดได้เช่นนี้ ฮว่าเทียนเซียงโบกมือแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด หลีเอ๋อร์ เจ้าพามู่หรงไปด้วยก็แล้วกัน นางชอบเรื่องตื่นเต้นเป็นที่สุด”  


 


 


มู่หรงถิงไม่สนใจว่าพวกนางจะคิดเช่นไร นางกอดแขนเยี่ยหลีด้วยความดีใจ “ไปเร็วไปเร็ว!” 


 


 


           “ท่านพ่อ” เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เยี่ยหลีถึงได้รู้ว่าที่พ่อบ้านมารายงานนั้นช่างไม่ละเอียดเอาเสียเลย เดิมทีนางคิดว่ามีเพียงท่านพ่อกับแขก คิดไม่ถึงว่ายังมีม่อจิ่งหลีกับเยี่ยอิ๋งนั่งอยู่ด้วย  


 


 


มู่หรงถิงหันมองหน้านาง พร้อมส่งสายตาที่สื่อคำถามว่า “เหตุใดไปที่ไหนก็เจอแต่เขานะ”  


 


 


เยี่ยหลียิ้มตอบนางอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ก่อนเดินขึ้นหน้าไปคารวะเจ้ากรมเยี่ย ต่อหน้าคนอื่นแล้ว เจ้ากรมเยี่ยยินดีอย่างยิ่งที่จะเล่นบทบิดาผู้แสนดีที่รักใคร่ลูกสาว จึงยิ้มให้เยี่ยหลีด้วยความเอ็นดูยิ่ง  


 


 


“หลีเอ๋อร์มาแล้ว คุณหนูมู่หรงก็มาด้วยหรือ”  


 


 


มู่หรงถิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ผู้น้อยมาโดยไม่ได้รับเชิญ ขอท่านลุงโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”  


 


 


เจ้ากรมเยี่ยยิ้ม “ที่ไหนกัน หลีเอ๋อร์มีเพื่อนที่ดีเช่นคุณหนูมู่หรง ข้ารู้สึกยินดียิ่งนัก หลีเอ๋อร์ คุณหนูมู่หรง ท่านนี้คือทายาทท่านอ๋องเจิ้นหนาน เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิง” 


 


 


           หญิงสาวทั้งสองหันไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ แคว้นซีหลิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้าฉู่ ซึ่งขนบธรรมเนียมต่างๆ ไม่เหมือนกับต้าฉู่สักเท่าไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือแคว้นซีหลิงเรียกตนเองว่าต้า[1]หลิน แต่เรียกต้าฉู่ว่าตงฉู่ แต่ต้าฉู่กลับเรียกอีกฝ่ายว่าซีหลิง และเรียกตนเองว่าต้าฉู่ เพียงฟังจากชื่อเรียกก็สามารถบอกได้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นไม่ได้รักใคร่ปรองดองกันสักเท่าใด เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อท่านนี้มีร่างกายสูงใหญ่ เครื่องหน้าทั้งห้าคมสันเด่นชัดประหนึ่งมีดสลัก เยี่ยหลีสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขามีนัยน์สีม่วงเจืออยู่ ว่ากันว่าราชนิกุลของแคว้นซีหลิงทุกคนล้วนมีดวงตาสีน้ำตาล รูปลักษณ์ของซื่อจื่อท่านนี้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ของแคว้นซีหลิง  


 


 


“คาวระท่านซื่อจื่อ” แม้แต่คนกระโดกกระเดกอย่างมูหรงถิง เมื่ออยู่ต่อหน้าทูตจากต่างแคว้นก็ยังรักษามารยาทที่ควรมีได้อย่างเคร่งครัด 


 


 


           เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อมองสำรวจหญิงสาวทั้งสองอย่างไม่เกรงใจ ก่อนละสายตาจากมู่หรงถิงแล้วเลื่อนไปมองเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งเขาถึงได้พูดขึ้นว่า “ชายาติ้งอ๋อง คุณหนูมู่หรง ไม่ต้องมากพิธี ข้าน้อยชื่อเหลยเถิงเฟิง” 


 


 


           เหลย เป็นแซ่ของแคว้นซีหลิง ดีจริงไม่มีอุปสรรคทางภาษา 


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยมองลักษณะท่าทีไม่ปกติของเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อ แล้วจึงหันมองเยี่ยหลีก่อนจะกระแอมขึ้นมาเบาๆ ทีหนึ่ง “หลีเอ๋อร์ ซื่อจื่อตั้งใจนำของขวัญมาให้เจ้า” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ขอบคุณซื่อจื่อมากเพคะ ลำบากซื่อจื่อต้องมาด้วยตนเองแล้ว หวังว่าต้าฉู่จะทำให้ท่านรู้สึกเหมือนอยู่ที่แคว้นตนนะเพคะ” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงหัวเราะเสียงใส “แน่นอน ข้าอยากเห็นต้าฉู่มานานแล้ว จะต้องเดินชมให้ทั่วเป็นแน่ ใครก็ได้ นำของขวัญที่ข้าเตรียมไว้มาให้ชายาติ้งอ๋องที” เขาตบมือเบาๆ ชายสองคนท่าทางเหมือนองครักษ์ก็เดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยกกล่องไม้สลักลวดลายดอกไม้ทรงแคบและยาวเข้ามาด้วย เมื่อเห็นความยาวและขนาดของกล่องนั้นแล้ว เยี่ยหลีก็เริ่มรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง ของขวัญชิ้นนี้คงไม่ใช่ของขวัญธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว เหลยเถิงเฟิงให้สัญญาณมือ ชายอีกคนหนึ่งก็รับคำสั่งพร้อมเปิดกล่องไม้นั้นขึ้น พร้อมเกิดลมเย็นหอบหนึ่งพัดเข้าหน้า เจ้ากรมเยี่ยหน้าขรึมลงทันที เด้งตัวขึ้นก่อนพูดเสียงต่ำว่า “ซื่อจื่อ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร” 


 


 


           เหลยเถิงเฟงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “นี่เป็นของขวัญแต่งงานที่พระบิดาและเสด็จลุงของข้าเลือกให้กับพระชายาติ้งอ๋องด้วยตนเอง มีอันใดไม่เหมาะสมหรือ” 


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยตอบว่า “งานสมรสของนางใกล้เข้ามาทุกที ท่านให้กระบี่เล่มนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” กระบี่เป็นอาวุธชนิดหนึ่ง ซึ่งถือว่าไม่เป็นมงคลยิ่ง ภายในกล่องไม้ที่ได้รับการแกะสลักลวดลายดอกไม้มาอย่างประณีตงดงามนั้น มีกระบี่หน้าตาโบราณเล่มหนึ่งวางอยู่ ถึงแม้ตัวกระบี่จะยังอยู่ในฝัก แต่ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบและรังสีสังหารแผ่ออกมา นี่ต้องเป็นกระบี่พิเศษที่ผ่านสมรภูมิเลือดมาแล้วนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน 


 


 


           “นี่เป็นของขวัญที่แคว้นข้าและพระบิดาจัดหามาให้เป็นพิเศษเพื่อแสดงความจริงใจของเรา หรือว่า…ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ต่างไม่รู้ถึงความเป็นมาของกระบี่เล่มนี้”  


 


 


เหลยเถิงเฟิงกอดอกด้วยท่าทีปกติ มองทุกคนด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง น้ำเสียงสบประมาทที่แฝงอยู่ในประโยคนั้น ทำให้ม่อจิ่งหลีเลิกคิ้วขึ้น ก่อนยืนขึ้นมองกระบี่ที่อยู่ในกล่อง มู่หรงถิงใจสั่นขึ้นมาทันที หันมองเยี่ยหลีด้วยสายตาไม่แน่ใจ 


 


 


           “นี่คือ…หลั่นอวิ๋นหรือ!” ผ่านไปครู่ใหญ่ ม่อจิ่งหลีจึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้น 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงเอ่ยชื่นชม “หลีอ๋องมีสายตาแหลมคมยิ่ง ถูกแล้ว นี่คือกระบี่หลั่นอวิ๋น” 


 


 


           ทุกคนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้มิใช่กระบี่โบราณอันเลื่องชื่อ แต่ชื่อเสียงของกระบี่เล่มนี้ก็ไม่ด้อยกว่ากระบี่เล่มใดๆ ในตำนานเลย กระบี่เล่มนี้ตั้งชื่อตามม่อหลั่นอวิ๋น ติ้งอ๋องท่านแรก เป็นอาวุธคู่กายของม่อหลั่นอวิ๋นเวลาออกไปกรำศึก และกลายเป็นอาวุธคู่กายของติ้งอ๋องรุ่นต่อรุ่น กระบี่เล่มนี้มีประวัติติดตามติ้งอ๋องทุกท่านออกไปกรำศึกในสมรภูมิรบมานักต่อนัก ดื่มเลือดคนไปแล้วนับไม่ถ้วน จนกระทั่งเมื่อเจ็ดปีก่อน ม่อซิวเหวิน ติ้งอ๋องคนก่อนป่วยจนเสียชีวิตอยู่ที่ชายแดน กระบี่เล่มนี้ก็ได้หายสาบสูญไปด้วย ผู้คนต่างตามหากันไม่หยุดหย่อน แต่กลับไปพบร่องรอย ของขวัญชิ้นนี้ ช่างแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความจริงใจได้มากพอจริงๆ 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงผายมือออกมา พร้อมกล่าวว่า “ตั้งแต่ท่านพ่อทราบว่ากระบี่หลั่นอวิ๋นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ท่านสละแรงกายแรงใจไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรในการส่งคนออกตามหา แต่ก็ถือได้ว่าแรงที่เสียไปนั้นไม่ทรยศต่อคนที่ตั้งใจจริง เมื่อปีก่อนจึงได้พบกระบี่เล่มนี้ที่ดินแดนทางตอนเหนือ เราจึงถือโอกาสงานมงคลใหญ่ของติ้งอ๋อง นำของนี้มามอบคืนเจ้าของ ชายาติ้งอ๋องเห็นว่าอย่างไรบ้าง” 


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยยืนขึ้น ก่อนพูดกับเหลยเถิงเฟิงด้วยสีหน้าหนักใจ “ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้ คงต้องขอบคุณท่านซื่อจื่อมากจริงๆ” จะบอกว่ากระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นสมบัติล้ำค่าของต้าฉู่ก็ว่าได้ การที่เหลยเถิงเฟิงส่งของขวัญชิ้นนี้มาให้ ทำให้เจ้ากรมเยี่ยมิอาจปฏิเสธได้ เจ้ากรมเยี่ยรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ ที่ไม่ได้ปฏิเสธการเข้าเยี่ยมของเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อไปตั้งแต่แรก 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนยิ้มพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “ข้าจะไม่ปิดบังความจริงหรอกนะ อันที่จริงเมื่อได้ของล้ำค้าเช่นนี้มา ตัวข้าเองก็เคยคิดอยากเก็บเอาไว้เสียเอง เพียงแต่กระบี่หลั่นอวิ๋นนี้เหมือนมีจิตวิญญาณแฝงอยู่ ข้าทุ่มกำลังความคิดไปไม่รู้เท่าไร แต่ก็มิอาจดึงกระบี่เล่มนี้ออกจากฝักได้ สุดท้ายถึงแม้ข้าจะไปหานักตีกระบี่มือหนึ่งมาจนสามารถดึงกระบี่นี้ออกจากฝักมาได้ แต่น่าเสียดายที่กระบี่เล่มนี้ไม่เชื่อฟังคำสั่งเอาเสียเลย แม้แต่นักกระบี่มือหนึ่งของแคว้นซีหลิงก็ยังไม่สามารถสั่งการมันได้ ข้าจึงคิดว่า กระบี่หลั่นอวิ๋นเล่มนี้คงยอมเชื่อฟังแต่คนของตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้น จึงอยากให้พระชายาติ้งอ๋องได้ลองใช้กระบี่เล่มนี้” 


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยพูดด้วยความไม่พอใจว่า “นางเป็นสตรีไม่ชำนาญเพลงกระบี่ อีกอย่าง หากท่านซื่อจื่อต้องการให้ลองกระบี่จริงก็ควรไปหาติ้งอ๋องถึงจะถูก” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงมองเยี่ยหลีก่อนพูดกลั้วหัวเราะว่า “หรือว่าพระชายาติ้งอ๋องไม่ถือเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋องกระนั้นหรือ ได้ยินว่าร้อยปีก่อนพระชายาของติ้งอ๋องคนแรกเคยใช้กระบี่เล่มนี้ช่วยชีวิตติ้งอ๋องด้วยการสังหารข้าศึกพร้อมกันถึงสิบหกคนมาแล้ว ชื่อเสียงนั้นก็ได้รับการถ่ายทอดต่อๆ กันมานับแต่นั้น จะเห็นได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดของติ้งอ๋อง แค่เป็นเพียงคู่ชีวิตของติ้งอ๋องก็เพียงพอแล้ว พระชายาติ้งอ๋องมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง”  


 


 


เยี่ยหลียังไม่ทันเอ่ยปาก ม่อจิ่งหลีก็ส่งเสียงเหอะขึ้น “ท่านหญิงชิงอวิ๋นเป็นสตรีที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ สามารถใช้กระบี่หลั่นอวิ๋นได้ก็ไม่ได้ใช่เรื่องแปลกอันใด เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่ออยากให้เยี่ยหลีใช้กระบี่หลั่นอวิ๋นเล่มนี้ หรือท่านตั้งใจจะทำให้ต้าฉู่ของเราลำบากใจ มีใครไม่รู้บ้างว่า สำหรับเยี่ยหลีแล้ว แม้แต่เพลงกระบี่ครบทุกกระบวนท่าซักเพล งยังเกรงว่าจะรำออกมาไม่ได้”  


 


 


เหลยเถิงเฟิงยิ้ม “ข้ากลับเชื่อสายตาของตำหนักติ้งอ๋อง ที่ผ่านมานั้น พระชายาติ้งอ๋องทุกรุ่นล้วนเก่งกาจและโดดเด่น”  


 


 


ม่อจิ่งหลีหัวเราะเยาะ “รุ่นนี้ถือเป็นข้อยกเว้น” 


 


 


           มู่หรงถิงออกปากพูดปกป้องเยี่ยหลีว่า “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อ ท่านนำกระบี่ที่แม้แต่จะดึงท่านก็ยังดึงไม่ออกมาให้สตรีที่ไม่เคยแม้แต่จะฝึกมารำเพลงกระบี่อย่างนั้นหรือ แคว้นซีหลิงชอบบีบบังคับให้ใครต้องตกที่นั่งลำบากเช่นนี้หรือเพคะ” 


 


 


           “บีบบังคับให้ใครต้องตกที่นั่งลำบากหรือไม่ เหตุใดจึงไม่ถามพระชายาติ้งอ๋องเล่า ท่านพ่อได้สั่งไว้แล้ว กระบี่เล่มนี้ต้องมอบให้กับพระชายาติ้งอ๋อง ไม่เช่นนั้น…ข้าจะต้องนำมันกลับไปยังแคว้นซีหลิง”  


 


 


นี่ถือเป็นการข่มขู่ เจตนาของเหลยเถิงเฟิงนั้นชัดเจนมาก หากว่าที่ชายาติ้งอ๋องไม่สามารถดึงกระบี่และไม่สามารถใช้กระบี่หลั่นอวิ๋นนี้ได้ ก็อย่าได้มาถือโทษหากเขาจะนำกระบี่เล่มนี้กลับแคว้นซีหลิงไป หากเป็นเช่นนั้นจริง อย่าว่าแต่ต้าฉู่จะเสียหน้าเลย แม้แต่ชื่อเสียงก็คงได้ย่อยยับไปด้วย 


 


 


           “พี่สาม เช่นนั้นท่านลองดูหน่อยไม่ดีกว่าหรือ ไม่แน่ว่าอาจดึงออกได้ก็เป็นได้” เยี่ยอิ๋งอ่ยปากขึ้นเสียงเบา “ซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิงให้ของขวัญอันล้ำค่าเช่นนี้ หากพวกเราไม่รับไว้จะไม่เป็นการเสียมารยาทกับแคว้นเพื่อนบ้านหรือ”  


 


 


เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้วมองเยี่ยอิ๋ง พร้อมคิดชั่งน้ำหนักในใจว่า การที่เยี่ยหลีปฏิเสธไม่ลองดึงกระบี่กับดึงกระบี่ไม่ออก อย่างไหนขายหน้ากว่ากัน 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ต้า ในภาษาจีนแปลว่า ใหญ่ หรือ ยิ่งใหญ่ 


ตอนที่ 52-3 กระบี่ในตำนาน

 

“ติ้งอ๋องเสด็จ!” มีเสียงเอ่ยรายงานขึ้นจากด้านนอก ม่อซิวเหยาพร้อมด้วยอาจิ่นปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างลอบถอนหายใจ มู่หรงถิงแอบกะพริบตาปริบๆ ใส่เยี่ยหลี


 


 


           เหลยเถิงเฟิงที่เดิมทีนั่งอย่างสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเข้ามาก็ถึงกับขยับนั่งตัวตรงขึ้นทันที พร้อมส่งสายตาเฉียบคมประหนึ่งคมมีดไปมองสำรวจใบหน้านิ่งขรึมเรียบเฉยของม่อซิวเหยา ก่อนหันกลับไปมองทางเยี่ยหลี


 


 


เยี่ยหลีลอบยิ้มในใจ เกรงว่าในใจซื่อจื่อตอนนี้คงกำลังนึกคาดเดาว่า สำหรับม่อซิวเหยาแล้ว กระบี่หลั่นอวิ๋นกับนางที่เป็นคู่หมั้นนั้น สิ่งใดจะสำคัญกว่ากัน และที่ม่อซิวเหยามานี้ด้วยเหตุอันใด


 


 


           “คารวะติ้งอ๋อง ผู้น้อยเหลยเถิงเฟิง ได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว” เหลยเถิงเฟิงยืนขึ้นพร้อมเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม


 


 


           “ซื่อจื่อมีมารยาทแล้ว เมื่อสมัยข้ายังเด็กได้เคยเห็นความสง่างามของท่านเจิ้นหนานอ๋องเป็นบุญตา ไม่ได้พบท่านหลายปี คิดว่าท่านยังคงสง่างามเช่นเดิม ใช่หรือไม่” ม่อซิวเหยาพยักหน้าขรึมๆ พร้อมตอบกลับอย่างมีมารยาท


 


 


เหลยเถิงเฟิงหางตากระตุก ก่อนยิ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว “พระบิดาสุขภาพแข็งแรงดี ยังเคยเอ่ยถึงท่วงท่าของท่านอ๋องในสมัยก่อนอยู่บ่อยๆ หวังให้ข้าสามารถเป็นได้อย่างท่านบ้างสักนิด”


 


 


สีหน้าม่อซิวเหยายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตอบกลับด้วยท่าทีนิ่งสงบว่า “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว ได้พบซื่อจื่อครานี้ ก็ทราบได้ทันทีว่าเจิ้นหนานอ๋องมีผู้สืบทอดแล้ว”


 


 


           เมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้าสามารถโอภาปราศรัยกันไปได้เรื่อยๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้แล้ว ทำให้เยี่ยหลีนึกอยากจะหัวเราะออกมา ไม่รู้มีใครเคยกล่าวไว้ว่า กิจกรรมทางการทูตนั้นเป็นกิจกรรมที่ออกไปทางผู้หญิงเสียมาก


 


 


           เมื่อการพูดคุยตามมารยาทจบลง ม่อซิวเหยาเลื่อนเก้าอี้รถเข็นไปข้างเยี่ยหลี ก่อนถามเสียงเบาว่า “อาหลีอารมณ์ดีมากหรือ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อได้ให้ของขวัญล้ำค้ามาชิ้นหนึ่ง ท่านอ๋องมาพอดี ถ้าเช่นนั้น มาชื่นชมด้วยกันเลยดีไหมเพคะ”


 


 


           ม่อซิวเหยาอมยิ้มก่อนพยักหน้า มองไปยังกระบี่หลั่นอวิ๋นที่อยู่ในกล่อง สายตาเขาสงบนิ่ง ไม่มีแววไหวูบเลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งภายในกล่องนั้นเป็นเพียงกระบี่ธรรมดาๆ เล่มหนึ่ง เขาหันไปพูดกับเหลยเถิงเฟิงว่า


 


 


“ลำบากฮ่องเต้และพระบิดาของท่านแล้ว กระบี่เล่มนี้สูญหายไปหลายปี ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นมันอีกครั้ง”


 


 


เหลยเถิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้น “กระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นสมบัติล้ำค่าของต้าฉู่ ก็ควรจะได้กลับมาอย่างปลอดภัย เพียงแต่ไม่รู้ว่าข้าจะมีโอกาสได้เห็นความสวยงามของกระบี่เล่มนี้ไหม”


 


 


           “อาจิ่น”


 


 


           อาจิ่นเดินไปหน้าองครักษ์จากแคว้นซีหลิง ก่อนใช้สองมือประคองกระบี่มาไว้ตรงหน้าม่อซิวเหยาด้วยความระมัดระวัง ม่อซิวเหยารับไปด้วยมือเพียงมือเดียว ก่อนเงยหน้าขึ้นถามว่า “อาหลี เจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เยี่ยหลีก้มศีรษะลง ยื่นมือไปสัมผัสปลอกกระบี่เก่าแก่นั้น ก่อนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่ชำนาญในเรื่องนี้ แต่ก็รู้ได้ว่านี่เป็นกระบี่ชั้นเลิศเล่มหนึ่ง”


 


 


เยี่ยหลีไม่สันทัดในเรื่องกระบี่เลยจริงๆ กระบี่ที่นางพบเห็นในชาติก่อนก็เป็นกระบี่ที่คุณตาคุณยายใช้รำไทเก็กในสวนสาธารณะเท่านั้น ในสมรภูมิยุคปัจจุบัน ถึงแม้จะมีอาวุธที่ทำจากเหล็กแต่ก็ไม่ใช่กระบี่อยู่ดี แต่เป็นมีดสั้น ดาบปลายปืน หรือสนับมือปลายแหลมที่เหมาะแก่การโจมตีระยะใกล้เท่านั้น เยี่ยหลีค่อยๆ จับด้ามกระบี่ นางไม่ได้รีบร้อนดึงกระบี่ออกทันที หากกระบี่เล่มนี้ดึงออกยากและควบคุมยากอย่างที่เหลยเถิงเฟิงว่าจริง เช่นนั้นนางคิดว่า มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่ปลอกกระบี่และตัวกระบี่นี้จะมีกลไกอันใดอยู่เป็นแน่ ม่อซิวเหยาอมยิ้มก่อนขยับมือไปจับมือเยี่ยหลีที่กุมด้ามกระบี่ไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งยกตัวกระบี่ขึ้น ภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้องอยู่ เยี่ยหลีรับรู้ได้ว่ามือม่อซิวเหยาที่จับมือตนอยู่นั้นขยับเล็กน้อยพร้อมดึงกระบี่ออกมา…


 


 


           ประกายเย็นวาบปรากฏขึ้น พร้อมกันนั้นกระบี่ก็ส่งเสียงดังชิ้ง ภายในห้องโถงเสมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น เยี่ยหลีกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งการรบที่ยิ่งใหญ่ อวลไปด้วยรังสีการสังหารที่ส่งมาจากตัวกระบี่ นี่เป็นรังสีอันตรายที่มีแต่ผู้ที่เคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้วเท่านั้นที่จะสัมผัสได้ ไม่รู้ม่อซิวเหยาปล่อยมือนางไปตั้งแต่เมื่อใด เยี่ยหลีกุมกระบี่อยู่ในมือก่อนเหวี่ยงออกทางด้านข้าง ภาพวาดที่แขวนอยู่บนกำแพงไม่ไกลนักก็ขาดทันที


 


 


ช่างเป็นกระบี่ที่ดียิ่งนัก! เยี่ยหลีนึกชื่นชมในใจ แค่เพียงปลายแหลมของคมกระบี่ก็สามารถตัดภาพวาดโบราณให้ขาดได้ ถือว่าเป็นคมกระบี่ที่เพียงลมพัดก็สามารถตัดผมให้ขาดได้โดยแท้จริง เยี่ยหลีกระชับกระบี่ยาวที่อยู่ในมือมั่น พร้อมส่งสายตานิ่งสงบไปยังเหลยเถิงเฟิงที่จ้องนางเขม็ง


 


 


           ทุกคนยังไม่ทันเรียกสติกลับมา ม่อซิวเหยาก็ได้รับกระบี่หลั่นอวิ๋นจากมือเยี่ยหลีมาเสียบกลับเข้าฝักเสียแล้ว เหลยเถิงเฟิงมองรูปภาพโบราณบนกำแพงที่เหลืออยู่เพียงครึ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพ่นลมหายใจออกมา “เป็นกระบี่ที่ดีจริงๆ เสียด้วย”


 


 


ส่วนเรื่องที่เยี่ยหลีสามารถควบคุมกระบี่เล่มนี้ได้หรือไม่นั้น ไม่มีใครนึกสนใจอีก เพราะนางสามารถดึงกระบี่อันล้ำค่าที่คมกริบออกมาไว้ในมือได้แล้ว มือของเยี่ยหลีที่ดูบอบบางไม่มีแรงนั้น สามารถถือกระบี่เล่มนั้นได้อย่างมั่นคงก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องที่ยืนกรานจะให้นางรำกระบี่นั้น ต่อให้เป็นเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อที่มาด้วยใจที่ไม่เป็นมิตรก็ยังไม่กล้าที่จะเอ่ยปากอีก


 


 


           ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้ากรมเยี่ยลูบหนวดที่ได้รับการตัดแต่งอย่างดีพร้อมยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบานด้วยความพอใจ บุตรสาวตระกูลเยี่ยช่วยให้ต้าฉู่ได้กระบี่อันล้ำค้าที่หายสาบสูญไปกลับคืนมา ทั้งยังจะได้กระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นสินเดิมติดตัวไปยามแต่งงานอีก ช่างเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากจริงๆ


 


 


           เยี่ยหลีถอนหายใจในใจ หากกระบี่เล่มนี้อยู่ในจวนเยี่ย หลังคาบ้านเยี่ยคงได้ถูกคนเหยียบจนราบเรียบลงเป็นแน่ นางไม่เชื่อว่าเหลยเถิงเฟิงให้ของขวัญที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้วจะยอมจากไปเงียบๆ แต่ของขวัญที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จะไม่รับไว้ก็คงไม่ได้


 


 


           “ซื่อจื่อ กระบี่เล่มนี้จะอย่างไรดีเพคะ” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ มองเหลยเถิงเฟิงที่ดูจะยังเรียกสติกลับมาได้ไม่เต็มที่


 


 


           เหลยเถิงเฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเคลือบแคลงสงสัย ก่อนหันไปมองม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ข้างๆ นาง แล้วจึงแย้มยิ้มขึ้น “แน่นอนว่ากระบี่เล่มนี้ย่อมให้เป็นของขวัญแสดงความยินดีแก่พระชายาติ้งอ๋อง ข้าน้อยขออวยพรให้ท่านทั้งสองครองคู่กันอย่างมีความสุขไปยั่งยืนนาน ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”


 


 


           ม่อซิวเหยากล่าวว่า “ถ้าเช่นนี้ ข้าขอรับคำอวยพรจากท่านไว้”


 


 


           เหลยเถิงเฟิงลุกขึ้นพูดกับทุกคนว่า “ข้าได้ส่งมอบของขวัญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน แล้วเมื่อถึงวันมงคลใหญ่ข้าจะมารบกวนท่านอ๋องอีกครั้ง”


 


 


           “ขอเชิญท่าน ข้าขอไม่ส่ง”


 


 


           เมื่อส่งเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อกลับไปแล้ว มู่หรงถิงจ้องกระบี่หลั่นอวิ๋นที่อาจิ่นใช้สองมือประคองอยู่ตาไม่กะพริบจนลูกตาแทบจะถลนออกมา ทั้งยังเอามือข้างหนึ่งดึงแขนเสื้อเยี่ยหลีไว้อย่างลืมรักษากิริยา


 


 


“อาหลี อาหลี…นั่นกระบี่หลั่นอวิ๋นเชียวนะ…กระบี่หลั่นอวิ๋นจริงๆ…ข้าขอจับดูหน่อยได้หรือไม่”


 


 


เยี่ยหลีมองสีหน้าอยากได้ของนางก่อนหันไปมองม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย


 


 


“ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาให้เจ้า อีกหน่อยก็ถือว่าเป็นของอาหลี”


 


 


           เยี่ยหลีมองเขาก่อนตอบว่า “ข้ายังคิดเสียอีกว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดกันมาของตำหนักติ้งอ๋อง” มาตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ทว่ามู่หริงถิงกลับไม่ได้สนใจอันใด นางส่งเสียงออกมาเบาด้วยความตื่นเต้นก่อนพุ่งไปคว้าเอากระบี่จากมืออาจิ่นมาอุ้มไว้ พร้อมลูบคลำไม่หยุด


 


 


           ม่อซิวเหยาพยักหน้า ของที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายปีเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นสมบัติล้ำค่า หากได้สืบทอดกันต่อไปอีกสักพันปี ก็คงมีชื่อเสียงไม่แพ้กระบี่คู่กั้นเจี้ยงม่อเหยียในตำนานเป็นแน่


 


 


           มู่หรงถิงลูบคลำกระบี่ล้ำค่าอย่างหลงใหล พร้อมพูดว่า “อันที่จริง ข้าได้ยินมาว่าในกระบี่หลั่นอวิ๋นนั้น ได้ซ่อนตำราพิชัยสงครามกับสมบัติของติ้งอ๋องไว้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญ ส่วนสำคัญคือติ้งอ๋องทุกรุ่นเคยใช้กระบี่ล้ำค่าเล่มนี้ ข้ามีโอกาสได้สัมผัสมันเช่นนี้ถือเป็นบุญวาสนาของข้ายิ่งแล้ว ท่านพ่อข้าจะต้องอิจฉาข้าจนเป็นลมแน่ๆ”


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ที่แท้ความคลั่งไคล้เช่นนี้ ไม่ว่าในยุคสมัยใดก็มีได้ทั้งนั้น


 


 


“ตำราพิชัยสงคราม สมบัติอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงกระบี่เล่มนี้จะยังอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้รับความเสียหายเช่นนี้หรือ”


 


 


ถึงอย่างไรแคว้นซีหลิงก็น่าจะแยกชิ้นส่วนมันออกมาเพื่อตรวจสอบโดยละเอียดถึงจะถูก ม่อซิวเหยาเหลือบมองกระบี่ในมือมู่หรงถิง นัยน์ตามีประกายอบอุ่น ก่อนพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “พวกเขาได้สำรวจดูแล้ว ตัวกระบี่ไม่มีอันใดเสียหาย”


 


 


           “ดังนั้นคือ?” มู่หรงถิงลืมไปชั่วขณะว่าบุคคลตรงหน้าเป็นใคร ตั้งตารอให้ม่อซิวเหยาเอ่ยไขความกระจ่าง


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้ม มองไปทางเยี่ยหลี “ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงกระบี่เล่มหนึ่ง ตามกลับมาได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสมบัติของบรรพบุรุษ หากตามกลับมาไม่ได้ก็แค่หานักตีกระบี่ให้ตีเล่มใหม่ขึ้นมาก็ได้แล้ว”


 


 


           “เช่นนั้นตำราพิชัยสงครามกับสมบัติเล่าเพคะ” มู่หรงถิงถามอย่างหมดหวัง


 


 


           ม่อซิวเหยามองทุกคนนิ่ง “กระบี่หลั่นอวิ๋นตีขึ้นสมัยที่ท่านปู่ทวดมีอายุสิบหกปี ด้วยเงินที่ท่านปู่ทวดสะสมมาทั้งหมด จะมีสมบัติกับตำราพิชัยสงครามอยู่ได้อย่างไร”


 


 


           ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก คนภายนอกต่างรับรู้เพียงว่ากระบี่หลั่นอวิ๋นอยู่ข้างกายม่อหลั่นอวิ๋นมาทั้งชีวิต ทั้งยังเป็นกระบี่ที่ไม่เคยห่างกายติ้งอ๋องทุกรุ่น จึงคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าข้างในนั้นจะต้องมีความลับอันใดซ่อนอยู่ แต่กลับลืมคิดไปว่า กระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นกระบี่ที่ตีขึ้นสมัยที่ม่อหลั่นอวิ๋นอายุยังน้อย ในตอนนั้นม่อหลั่นอวิ๋นเป็นเพียงคุณชายอายุน้อยที่บ้าระห่ำคนหนึ่งเท่านั้น จะเทียบกับติ้งอ๋องที่ช่วยพี่ชายปราบดินแดนโดยรอบในยี่สิบปีให้หลังก็คงจะไม่ได้ แต่แม้แต่เจ้ากรมเยี่ยที่อ่านแต่ตำราและไม่เข้าใจอันใดเกี่ยวกับกระบี่หลั่นอวิ๋นเลยยังอดที่จะนึกเสียดายไม่ได้


 


 


           “หากกระบี่หลั่นอวิ๋นมีของสำคัญเช่นนั้นจริง ใครเลยจะพกติดตัวไว้ และจะหายไปง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร อาหลี ข้ากลับก่อนนะ กลับไปคราวนี้ข้าจะส่งคนมาให้อีกสองสามคนดีหรือไม่”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า หยิบกระบี่หลั่นอวิ๋นจากมือมู่หรงถิงมาโยนให้อาจิ่น “กระบี่หลั่นอวิ๋นนี้ท่านนำกลับไปที่ตำหนักติ้งอ๋องก่อนจะดีกว่า เก็บไว้ที่ข้าไม่ค่อยสะดวกนัก” นางยังไม่นึกสนุกเก็บมันไว้เพื่อให้ใครต่อใครมาปีนหลังคาห้องนางจนราบเรียบหรอก


 


 


           ม่อซิวเหยาพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน”


 


 


           มู่หรงถิงมองตามกระบี่หลั่นอวิ๋นจนมันหายลับไปจากประตู ก่อนจะเก็บสายตาอาลัยอาวรณ์กลับมา


 


 


           ม่อจิ่งหลีจ้องเยี่ยหลีด้วยความสงสัย “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่าในกระบี่หลั่นอวิ๋นนั้นไม่มีความลับอันใดซ่อนอยู่”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “หากข้ามีตำราพิชัยสงครามกับสมบัติมีค่า ข้าก็คงไม่เก็บมันไว้ในกระบี่เช่นกัน” หากเป็นกระบี่ที่ใช้อยู่เป็นประจำ ย่อมต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลา กระบี่ที่มีชื่อเสียงและยังมีขนาดไม่เล็กเช่นนี้ ไม่ใช่ของที่ดีที่จะเอาไว้ซ่อนความลับเลยจริงๆ


 


 


           “พวกเจ้ามันคนจิตใจหยาบกระด้าง! นั่นเป็นสมบัติตกทอดของติ้งอ๋องนะ! สมบัติตกทอดเชียวนะ…” มู่หรงถิงตวัดสายตาขุ่นเคืองไปยังคนจิตใจหยาบกระด้างทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง 

 

 


ตอนที่ 53-1 วันมงคลสมรสใหญ่

 

มู่หรงถิงมองพวกคนจิตใจหยาบกระด้างด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนหันไปชื่นชมมือสองข้างของตนที่ได้เคยสัมผัสมรดกตกทอดของติ้งอ๋องของตนเองต่อไป  


 


 


เจ้ากรมเยี่ยเอ่ยชื่นชมเยี่ยหลีเสียยกใหญ่ เขาพอนึกภาพออกเลยว่า เมื่อข่าวที่เยี่ยหลีสามารถนำกระบี่หลั่นอวิ๋นกลับมาได้แพร่ออกไปนั้น จะนำชื่อเสียงและความรุ่งเรืองมาสู่ตระกูลเยี่ยมากเพียงใด ส่วนเรื่องที่ว่าในกระบี่หลั่นอวิ๋นจะมีสมบัติหรือตำราพิชัยสงครามอันใดนั่นหรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องรอง เจ้ากรมเยี่ยรู้ตัวดีว่า ต่อให้มีสมบัติอยู่จริง เขาก็คงไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในนั้นอยู่ดี เมื่อเทียบกันแล้ว ชื่อเสียงที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอันใดนั้น ย่อมมีความหมายต่อเขามากกว่าอย่างแน่นอน 


 


 


“พี่สามช่างมีวาสนาจริงๆ พอติ้งอ๋องทราบข่าวว่าเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อมาเยี่ยมก็รีบมาโดยเร็วเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญกับพี่สามเพียงใด” เยี่ยอิ๋งมองเยี่ยหลีด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ พร้อมพูดเสียงเบา  


 


 


เยี่ยหลียิ้มบ้างๆ ก่อนตอบว่า “น้องสี่กับท่านหลีอ๋องก็มีใจรักใคร่กันอย่างลึกซึ้งเช่นเดียวกันมิใช่หรือ” เยี่ยอิ๋งเหลือบมองหลีอ๋องอย่างรวดเร็ว ก่อนก้มหน้าลงอย่างน่าสงสาร  


 


 


เจ้ากรมเยี่ยมองเหตุการณ์ทั้งหมดพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือว่าเยี่ยหลีอยู่ที่ตำหนักหลีอ๋องจะถูกรังแกจริงๆ เมื่อคิดขึ้นมาเช่นนี้ เจ้ากรมเยี่ยจึงหันมองม่อจิ่งหลีโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนหันไปพูดกับเยี่ยอิ๋งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หลายวันนี้อิ๋งเอ๋อร์อยู่ที่ตำหนักหลีอ๋องพอคุ้นเคยบ้างหรือยัง” 


 


 


“อิ๋งเอ๋อร์สบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ ลำบากท่านพ่อเป็นกังวลแล้ว” เยี่ยอิ๋งหลุบตาลงพร้อมเอ่ยตอบเสียงเบา 


 


 


เจ้ากรมเยี่ยพอวางใจขึ้น แล้วหันไปยิ้มให้ม่อจิ่งหลีว่า “อิ๋งเอ๋อร์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่เล็กๆ หากมีเรื่องใดที่ทำไม่ถูกไม่ควร หวังว่าท่านอ๋องจะได้โปรดให้อภัยนางด้วย” 


 


 


ม่อจิ่งหลีตอบว่า “ท่านพ่อตาวางใจเถิด ข้าจะรักและทะนุถนอมอิ๋งเอ๋อร์อย่างดี” 


 


 


“เช่นนั้นก็ดีแล้ว อีกไม่กี่ก็จะถึงวันสมรสใหญ่ของหลีเอ๋อร์ ฮ่าๆ ปีนี้ตระกูลเยี่ยของเราถือได้ว่ามีงานมงคลใหญ่ถึงสองงานเลยทีเดียวเชียว” เจ้ากรมเยี่ยยิ้มด้วยความพอใจ ขณะที่อีกสามคนที่เหลือล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป  


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พร้อมพยักหน้า “ท่านพ่อกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


            


 


 


วันที่สิบสอง เดือนห้า 


 


 


ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เยี่ยหลีก็ถูกคนปลุกให้ตื่นเสียแล้ว ถึงแม้นางจะเป็นคนที่นอนเร็วและตื่นเช้าเป็นปกติ แต่เมื่อเห็นท้องฟ้าที่ยังคงมืดสนิท ก็ทำให้นางรู้สึกเกียจคร้านไม่น้อย เวลารับตัวเจ้าสาวกำหนดไว้ตอนครึ่งชั่วยามก่อนเวลาเที่ยงตรง แต่นางกลับต้องตื่นมาให้คนแต่งหน้าแต่งตัวตั้งแต่ยามโฉ่ว[1]  เมื่อสาวใช้ปรนนิบัติให้อาบน้ำในน้ำดอกไม้หอมกรุ่นเสร็จแล้ว ท่านป้าสะใภ้รอง พร้อมด้วยฮูหยินใหญ่แห่งจวนฮว่ากั๋วกง ฉินฮูหยินท่านแม่ของฉินเจิง เยี่ยฮูหยิน ท่านน้าสะใภ้ที่ก่อนหน้านี้เคยช่วยเยี่ยหลีจัดเตรียมสินเดิม รวมทั้งมู่หรงถิง ฮว่าเทียนเซียง ฉินเจิง และฉินอวี่หลิงต่างมารอกันอยู่ในชิงอี้เซวียนพร้อมอยู่แล้ว ฮว่าเทียนเซียงใช้สองมือถือชุดแต่งงานที่ทำจากผ้าไหมเฟิ่งหวางเข้ามาภายในห้อง ประกายสะท้อนจากผ้าไหมเฟิ่งหวางทำให้ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้ว ยิ่งดูงามจับใจขึ้นไปอีก  


 


 


ฮว่าเทียนเซียงอมยิ้มมองเยี่ยหลี พร้อมบอกนางผ่านรอยยิ้มว่า “ยินดีกับเจ้าด้วย” 


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ตอบ นางยกมือขึ้นตามมือคนที่มาช่วยนางใส่ชุดแต่งงานประหนึ่งเป็นหุ่นไม้ ภายใต้แสงเทียน ผ้าไหมเฟิ่งหวางอันล้ำค่าและสง่างามขยับล้อไปกับแสงเทียน ลายดอกโบตั๋นอันประณีตงดงามปรากฏขึ้นวับแวม ใบหน้างดงามที่ปกติติดไปทางขาวซีดของเยี่ยหลี เมื่อมาอยู่ภายใต้ชุดแต่งงานสีแดงสด ก็ทำให้ดูมีประกายแห่งความยินดีขึ้นหลายส่วน  


 


 


“สวยจริงๆ สมแล้วที่เป็นผ้าไหมเฟิ่งหวาง…” มีเสียงพึมพำดังขึ้นเบาๆ ทุกคนต่างจ้องมองกันอย่างตะลึงงัน  


 


 


เมื่อฮว่าฮูหยินใหญ่เห็นสีหน้าของสวีฮูหยินที่กำลังมองเยี่ยหลีด้วยความปลาบปลื้มใจแล้ว ก็ได้รู้ถึงความสำคัญของเยี่ยหลีที่มีต่อตระกูลสวียิ่งขึ้น นางหันไปสะกิดลูกสาวที่กำลังนิ่งอึ้งอยู่ พร้อมยิ้มแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด ถ้าจะยืนชื่นชมเฉยๆ ก็ยืนหลบไปหน่อย อย่ามายืนขวางการแต่งตัวของพวกแม่เลย” นางพูดพร้อมดึงเยี่ยหลีให้ไปนั่งหน้ากระจกอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางได้ปฏิเสธ คอยฟังสวีฮูหยินและฉินฮูหยินช่วยกันปรึกษาหารือว่าควรจะทำทรงผมทรงไหนดี  


 


 


เยี่ยหลีนั่งเงียบอยู่หน้ากระจก ปล่อยให้ฮูหยินทั้งหลายดึงทึ้งกันได้ตามสบาย ระหว่างนั้นก็คอยมองมู่หรงถิงที่ลากเด็กสาวสามสี่คนมาแอบส่งสายตาให้นางอยู่ที่มุมหนึ่ง กว่าฮูหยินแต่ละคนที่มีความคิดเห็นเป็นของตนเองจะตกลงเรื่องทรงผมกันได้ ฟ้าข้างนอกก็เริ่มสว่างแล้ว เยี่ยหลีแอบกลอกตา ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจะต้องเริ่มเตรียมตัวกันตั้งแต่เช้าเช่นนี้ หากรอให้ฟ้าสว่างแล้วค่อยเริ่มเตรียมตัว เกรงว่าคณะรับตัวเจ้าสาวมาถึงแล้วก็คงยังจัดการกันไม่เสร็จ  


 


 


เมื่อจัดการเรื่องผมเผ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สาวใช้สามสี่คนก็ยกเครื่องประดับหลายชุดที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้เข้ามาอย่างรู้งาน  ฮว่าฮูหยินใหญ่ไม่ได้รีบร้อนประดับเครื่องประดับเหล่านั้นให้เยี่ยหลี แต่กลับหันไปสั่งสาวใช้พร้อมรอยยิ้มว่า “รีบไปหาอันใดมาให้คุณหนูของพวกเจ้ารองท้องก่อนเร็ว อีกประเดี๋ยวถ้าแต่งหน้าเสร็จแล้ว ก็จะไม่ได้กินอันใดอีกแล้วนะ”  


 


 


ชิงซวงทำหน้าทะเล้น หัวเราะแหะๆ ก่อนดึงชิงอวี้ให้ออกไปเตรียมอาหารด้วยกัน ฮูหยินทั้งหลายเองต่างก็จับจูงมือกันออกไปนั่งพักเช่นกัน 


 


 


เมื่อผู้ใหญ่ออกไปกันหมดแล้ว เด็กๆ ที่เหลือสามสี่คนจึงรีบเข้ามารุมล้อมเยี่ยหลีทันที “เป็นอย่างไรบ้างอาหลี เจ้าตื่นเต้นหรือไม่” มู่หรงถิงโค้งตัวลงมาเท้าคางอยู่บนโต๊ะ ก่อนถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น 


 


 


เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย “ข้าตื่นเต้นหรือไม่เจ้าไม่ต้องรู้หรอก รออีกหน่อยคงถึงคราวข้าดูเจ้าบ้างว่าจะตื่นเต้นหรือไม่” ใบหน้าเรียวของมู่หรงถิงซับสีเลือดขึ้นทันที ก่อนกัดฟันตอบว่า “ข้าจะไม่…จะไม่ตื่นเต้นหรอกน่า”  


 


 


ฮว่าเทียนเซียงยิ้มตาหยีมองนาง “แค่พูดก็ติดๆ ขัดๆ เสียแล้ว ยังจะกล้าพูดว่าไม่ตื่นเต้นอีก เจ้าจะต้องตื่นเต้นกว่าอาหลีเป็นแน่ อืม…คนต่อไปคงถึงคราวเจิงเอ๋อร์ เจิงเอ๋อร์เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อมหน่อยนะ”  


 


 


ฉินเจิงถลึงตาใส่ฮว่าเทียนเซียงอย่างเคืองๆ พูดเสียงเบาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อว่า “อยู่ดีๆ มาพูดถึงข้าทำไมกัน”  


 


 


ใบหน้าที่มีแววเขินอายของนางทำให้เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปหยิกแก้มนางเบาๆ แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่เทียนเซียงพูดมาก็มีเหตุผลน้า พี่สะใภ้ในอนาคต” 


 


 


“พวกเจ้า…หลีเอ๋อร์ วันนี้เป็นวันแต่งงานของเจ้านะ เหตุใดเจ้า…เหตุใด…” ฉินเจิงได้แต่มองเพื่อนรักที่พากันหัวเราะนางกันยกใหญ่ แล้วยังฉินอวี่หลิงที่หลบมุมแอบหัวเราะอยู่อีกคน คนที่ควรเขินกลับไม่เขิน กลับเป็นนางที่ไม่ได้เกี่ยวอันใดด้วยเลยที่ทั้งเขินทั้งอายแทน  


 


 


ฮว่าเทียนเซียงหัวเราะพลางเช็ดน้ำตา “เจิงเอ๋อร์คนดีอย่าได้โมโหไปเลย นางเป็นคนประหลาด เจ้าอย่าไปหวังว่าจะได้เห็นท่าทีเขินอายของนางเลย” พูดจบก็หันกลับไปมองสำรวจเยี่ยหลี ก่อนฮว่าเทียนเซียงจะพยักหน้าด้วยความพอใจ “หลีเอ๋อร์ของพวกเราช่างเป็นสาวงามจริงๆ” 


 


 


เยี่ยหลีไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรกับคำพูดประโยคนี้ดี “เจ้าคงไม่ได้จะบอกว่า ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งหรอกกระมัง” 


 


 


“ใครเขาหมายความว่าอย่างนั้นกันเล่า เพียงแต่ปกติแล้วเจ้าไม่ใส่ใจเรื่องการแต่งหน้าแต่งตัวของตนเองเกินไปต่างหาก มาดูตอนนี้สิ ต่อให้ไม่มีเครื่องประดับ ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตา ก็ยังดูเปล่งประกายงดงามเช่นนี้ คิกๆ…ติ้งอ๋องได้เห็นจะต้องอึ้งไปเป็นแน่” 


 


 


เยี่ยหลีเพียงยักไหล่ แต่ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ต่อ หากหญิงงามอย่างหลิ่วกุ้ยเฟยยังไม่อาจทำให้ม่อซิวเหยาสนใจได้ ก็ยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะต้องเป็นหญิงงามเพียงไรถึงจะทำให้เขาเห็นแล้วตกตะลึงไปได้  


 


 


พวกชิงซวงยกอาหารง่ายๆ สามสี่อย่างเข้ามาให้ เมื่อกินเสร็จแล้วและได้พักอีกนิดหน่อย ฮูหยินสามสี่ท่านก็เข้ามาเตรียมเลือกเครื่องประดับและประทินโฉมให้นางต่อ  


 


 


ด้วยเพราะชุดแต่งงานไม่อาจลองก่อนและมีชุดสำรองไม่ได้ ดังนั้นแม้แต่เครื่องประดับ ทรงผมและการแต่งหน้าจึงจะต้องรอจนสวมชุดแต่งงานได้แล้ว จึงจะค่อยจัดการส่วนที่เหลือตามชุดแต่งงานที่ใส่ออกมา ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงได้เตรียมเครื่องประดับไว้สำหรับเลือกทั้งหมดสามชุด ท้ายสุดฮูหยินทุกท่านต่างเห็นพ้องที่จะเลือกเครื่องประดับหลักเป็นชุดทองฝังอัญมณีสีแดงรูปดอกโบตั๋น แซมด้วยปิ่นทองประดับอัญมณีอีกสามสี่ชิ้น จากนั้นก็วาดคิ้วพร้อมลงแป้งบางๆ ฉินฮูหยินมีความคิดไม่เหมือนใครจึงวาดดอกโบตั๋นบานครึ่งหนึ่งไว้ตรงหว่างคิ้ว 


 


 


เยี่ยหลีเหม่อมองหญิงสาวที่สวยสดงดงามในกระจก แวบหนึ่งที่นางเกือบจำตัวเองไม่ได้ เส้นผมดำขลับได้รับการจัดแต่งเป็นทรงสวยสง่า อัญมณีของเครื่องประดับที่ห้อยระย้าลงมาขยับไปมาเบาๆ ล้อกับแสงไฟ ยิ่งช่วยขับให้หญิงสาวในชุดสีแดงสดดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น เยี่ยหลีลอบยิ้มน้อยๆ ในใจ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คำว่ามีเสน่ห์และงดงามนี่จะสามารถนำมาใช้อธิบายถึงตัวนางได้เช่นนี้ 


 


 


“งามจริง หลีเอ๋อร์เองก็ตะลึงเช่นกันใช่หรือไม่” ฮว่าเทียนเซียงเอ่ยพร้อมยิ้มอย่างล้อเลียน 


 


 


เยี่ยหลีถลึงตาใส่นางเสียทีหนึ่ง ก่อนฮว่าฮูหยินจะอมยิ้มพร้อมดันสาวๆ ทั้งหลายให้ออกไปด้านนอก “เอาเถิด ทุกคนออกไปกันก่อน ให้เจ้าสาวได้พักสักหน่อย อีกเดี๋ยวคณะรับตัวเจ้าสาวก็คงมาถึงแล้ว” ทุกคนต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับเยี่ยหลีอีกครั้งก่อนเดินออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยินดี เหลือเพียงสวีฮูหยินที่รั้งอยู่เป็นคนสุดท้าย จนกระทั่งสวีฮูหยินส่งสมุดบางๆ เล่มหนึ่งให้เยี่ยหลีพร้อมเอ่ยสั่งการให้อ่านให้ละเอียดด้วยสีหน้าปลื้มปริ่มแล้ว จึงค่อยเดินออกไปเป็นคนสุดท้าย เยี่ยหลีได้แต่นั่งอึ้งมองสมุดเล่มที่อยู่ตรงหน้าเงียบๆ นางแทบไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในคืออันใด เยี่ยหลีนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนยืนขึ้นนำสมุดเล่มนั้นไปใส่ไว้ใน**บที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ยามโฉ่ว เท่ากับช่วงเวลาประมาณ 1.00 – 2.59 น.  

 

 


ตอนที่ 53-2 วันมงคลสมรสใหญ่

 

ตำหนักติ้งอ๋องถึงอย่างไรก็เชื่อถือได้กว่าตำหนักหลีอ๋องมาก ล่วงเลยเข้ายามซื่อ [1]ไปได้เพียงสามเค่อ ชิงอี้เซวียนก็กลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง ฮว่าฮูหยินและฉินฮูหยินเข้ามานำผ้าคลุมศีรษะที่ทำจากผ้าไหมเฟิ่งหวางลงมาคลุมหน้าให้เยี่ยหลีด้วยตนเอง พร้อมพยุงนางให้ออกไปคารวะลาเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าและเจ้ากรมเยี่ย รวมถึงป้ายชื่อสวีซื่อท่ามกลางการห้อมล้อมของทุกคน


 


 


งานแต่งงานครั้งนี้ ที่ได้รับความสนใจที่สุดย่อมเป็นการปรากฏตัวของเจ้าบ่าวซึ่งจริงๆ ควรจะเป็นเรื่องที่ทุกคนคาดคิดไว้อยู่แล้ว แต่ทุกคนกลับต้องประหลาดใจ ก่อนหน้านี้หลายคนต่างคาดเดากันเงียบๆ ว่าตำหนักติ้งอ๋องจะเชิญใครให้มาช่วยรับตัวเจ้าสาวให้ แต่กลับไม่มีใครคาดคิดว่าติ้งอ๋องจะเดินทางมาด้วยตนเอง ตั้งแต่ปากประตูใหญ่จวนเยี่ยไปจนถึงตำหนักติ้งอ๋องเต็มไปด้วยผู้คนในเมืองหลวงที่ออกมายืนรอดูงานในวันนี้ เมื่อเห็นติ้งอ๋องในชุดสีแดงสดปรากฏตัวขึ้น ก็ทำให้ผู้คนต่างพร้อมใจกันหวนคิดไปถึงชายหนุ่มในชุดผ้าไหมที่ควบม้าไปมาด้วยท่าทางยโส มั่นใจในตัวเองและหลงมัวเมาในสตรีเพศคนนั้น แล้วยิ่งทำให้นึกทอดถอนใจหนักขึ้นไปอีก


 


 


เช่นเดียวกัน ขบวนส่งตัวเจ้าสาวของจวนเยี่ยก็ต่างไปจากธรรมดาเช่นเดียวกัน เดิมทีควรเป็นเยี่ยหรง ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลเป็นผู้ออกมาส่งตัวพี่สาว แต่กลับแตกต่างจากคราวส่งตัวเยี่ยอิ๋งโดยสิ้นเชิง ที่หน้าประตูใหญ่จวนเยี่ยมีบุรุษที่งดงามและต่างมีเอกลักษณ์ของตนเองอยู่ถึงหกคน คนที่อยู่หน้าสุดแน่นอนว่าต้องเป็นสวีชิงเฉินและสวีชิงเจ๋อ ด้านหลังเขาทั้งสองคือสวีชิงเฟิงและสวีชิงปั๋ว สองคนสุดท้ายถึงได้เป็นสวีชิงเยี่ยนและเยี่ยหรง คุณชายตระกูลสวีแต่ละคนบ้างก็มีมาดของบัณฑิตขงจื้อ บ้างก็สงบนิ่งเยือกเย็น บ้างก็สง่างามเป็นธรรมชาติ บ้างก็ดูสดใสขี้เล่น แต่ทุกคนแม้แต่คนที่อายุน้อยที่สุดอย่างสวีชิงเยี่ยนยังดูฉลาดหลักแหลม จนทำให้เยี่ยหรงถูกผู้คนมองข้ามไปชั่วขณะ ทำได้เพียงยืนอยู่ข้างสวีชิงเยี่ยนเงียบๆ เท่านั้น


 


 


ฮว่าเทียนเซียงและฉินเจิงประคองเจ้าสาวให้เดินออกจากประตูใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ทำจากผ้าไหมเฟิ่งหวางยามอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ก็ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงกันไปอีกครั้ง


 


 


แน่นอนว่าวันนี้ย่อมเป็นวันที่คึกคักที่สุดของเมืองหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แน่ใจว่าด้วยเพราะยศศักดิ์และฐานะของตำหนักติ้งอ๋อง หรือด้วยเพราะคนที่มาร่วมงานแต่งงานต่างมีฐานะไม่ธรรมดา เพราะแม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังได้พาฮองเฮาและไทเฮามาร่วมงานแต่งครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง และก็ไม่ได้มาร่วมงานแต่งงานในฐานะประธาน เพราะคนที่เป็นประธานในงานแต่งงานครั้งนี้คือองค์หญิงซีฝู ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องเอ่ยเรียกด้วยความเคารพว่าเสด็จป้า


 


 


ตำหนักติ้งอ๋องที่ไม่เปิดรับแขกมาเจ็ดแปดปี มาวันนี้แขกเหรื่อมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้า องค์หญิงนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าผู้อื่น คอยเอ่ยต้อนรับและพูดคุยกับแขกทั้งหลายที่เข้ามาแสดงความยินดีในงาน ม่อจิ่งฉีพร้อมด้วยฮองเฮานั่งพูดคุย เป็นเพื่อนองค์หญิงอยู่ข้างๆ ถึงแม้องค์หญิงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ด้วยอิทธิพลขององค์หญิงแม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังต้องเคารพยำเกรง ถึงอย่างไรจึงมิอาจล่วงเกินได้ง่ายๆ


 


 


“ทูลฝ่าบาท ทูลองค์หญิง ได้ฤกษ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พ่อบ้านประจำตำหนักเข้ามาทูลรายงาน แขกเหรื่อในงานต่างพร้อมใจกันเงียบเสียง ม่อจิ่งฉีหันมององค์หญิงผู้มีเกศาเป็นสีขาวทว่ายังคงมีร่างกายกระฉับกระเฉงแข็งแรง แล้วกล่าวพร้อมยิ้มน้อยๆ “ถ้าเช่นนั้น ก็เริ่มพิธีกันเลยดีหรือไม่ เสด็จป้า”


 


 


องค์หญิงซีฝูพยักหน้า ก่อนยืนขึ้นพูดกับแขกทุกคนว่า “เชิญฮ่องเต้ ไทเฮา ฮองเฮาและแขกเหรื่อทุกท่านออกไปร่วมเป็นสักขีพยานพร้อมกับข้าเถิด”


 


 


ห้องโถงสำหรับประกอบพิธีที่ตั้งอยู่ตรงกลางของตำหนักได้รับการจัดแต่งไว้พร้อมแล้ว เปลวไฟจากเทียนแดงพวยพุ่ง เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นมงคล เสด็จพระองค์หญิงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ฮ่องเต้และไทเฮานั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวา ส่วนแขกเหรื่อท่านอื่นๆ ก็นั่งลดหลั่นกันตามลำดับฐานะของตนเอง สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีที่มีแม่สื่อประคองเข้ามาในห้องโถง เดิมทีควรเป็นคู่ชายหนุ่มผู้เก่งกาจกับหญิงสาวผู้เลอโฉม แต่เจ้าบ่าวกลับต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น จึงทำให้หลายคนอดนึกเศร้าใจไม่ได้ เช่นเดียวกันมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเสียดาย หากติ้งอ๋องไม่ได้อยู่ในสภาพเช่นนี้ คงได้ออกเรือนแต่งงานกับหญิงสาวที่เพียบพร้อมทั้งความสามารถและรูปลักษณ์ไปนานแล้ว คงไม่ต้องรอถึงตอนนี้ แล้วค่อยมาแต่งงานกับบุตรสาวของท่านเจ้ากรมธรรมดาๆ คนหนึ่ง


 


 


“ติ้งอ๋องขาทั้งสองข้างไม่อำนวย เช่นนี้การประกอบพิธีจะไม่ขาดความศักดิ์สิทธิ์ไปหลายส่วนหรือ”


 


 


อยู่ดีๆ ก็มีน้ำเสียงเอ่ยล้อเลียนดังขึ้นในห้องโถง ประหนึ่งเป็นการสาดน้ำอันเย็นเฉียบลงบนไฟที่กำลังปะทุอยู่อย่างร้อนแรง ภายในห้องโถงประกอบพิธีมงคลเงียบกริบลงทันที ทุกคนในงานต่างอึ้งไปพร้อมหันไปมองยังที่มาของเสียงนั้น ซึ่งเป็นตำแหน่งของบรรดาทูตจากทั่วสารทิศที่มาร่วมงานมงคลครั้งนี้ หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่กำลังจ้องตรงมาที่ม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าสาแก่ใจ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนพูดประโยคเมื่อสักครู่ ดูเหมือนเขาจะไม่คิดว่าเป็นการเสียมารยาท ยิ่งเมื่อเห็นสายตาทุกคู่กำลังมองมา ก็ยิ่งดูจะภูมิใจเข้าไปใหญ่


 


 


“ท่านนั้นคือองค์ชายสิบเอ็ดแห่งแคว้นเป่ยหรงนี่ ได้ข่าวว่าเขาเป็นคนซื่อบื้อคนหนึ่ง เหตุใดท่านอ๋องเป่ยหรงจึงได้ส่งเขามาเป็นทูตที่ต้าฉู่ได้นะ” เยี่ยหลีที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ม่อซิวเหยา ได้ยินเสียงแขกที่เอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ดังลอยมา


 


 


“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าแคว้นเป่ยหรงก็มีความแค้นต่อตำหนักติ้งอ๋องอยู่ไม่น้อย แม้หลายปีนี้จะสานสัมพันธ์อันดีกับต้าฉู่ของเราแล้ว แต่คงจะยังนึกแค้นใจกับเรื่องในอดีตไม่หาย ถึงได้ส่งเจ้าทึ่มนี่มาเพื่อทำให้ติ้งอ๋องขายหน้า”


 


 


“ฝ่าบาททรงอนุญาตให้คนเช่นนี้มาร่วมงานได้อย่างไรกัน…”


 


 


“คนเขามาเป็นทูต เดินทางมาเป็นร้อยเป็นพันลี้คงจะไม่ให้ร่วมงานก็คงไม่ได้กระมัง”


 


 


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ ม่อจิ่งฉีหันไปพูดกับองค์ชายจากเป่ยหรงที่นั่งอยู่ด้านล่างด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “องค์ชายสิบเอ็ด พิธีในงานแต่งงานของต้าฉู่เราไม่ได้มีธรรมเนียมที่จะต้องคุกเข่าคำนับ ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องอันใดที่ติ้งอ๋องทำการไม่สะดวกหรอก”


 


 


ทว่าดูเหมือนองค์ชายจากเป่ยหรงไม่คิดที่จะให้เกียรติฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ จึงได้ขมวดคิ้วดกดำของตน ก่อนพูดเสียงดังด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เมื่อตอนข้าอยู่เป่ยหรงเคยได้ยินชื่อเสียงอันลือเลื่องของติ้งอ๋อง ใครจะรู้ว่าวันนี้จะได้มาเห็นคนพิการที่ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น! ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่คงไม่ได้กำลังล้อพวกเราเล่นกระมัง”


 


 


พอสิ้นประโยค ไม่เพียงม่อจิ่งฉีที่หน้าเปลี่ยนสี แม้แต่ขุนนางของต้าฉู่ทุกคนก็พลอยหน้าเปลี่ยนสีไปด้วย


 


 


เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อจากแคว้นซีหลิง นาม เหลยเถิงเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ กระแอมไอขึ้นทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายสิบเอ็ด ท่านนี้คือติ้งอ๋องแห่งต้าฉู่ตัวจริง เพียงแต่เมื่อเจ็ดปีก่อนประสบเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น วันนี้พวกเรามาร่วมเป็นสักขีพยาน ไม่ได้มาเพื่อทำลายบรรยากาศ มา! ข้าขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก”


 


 


แคว้นเป่ยหรงเดิมทีเป็นแคว้นอนารยะที่ไร้วัฒนธรรม แต่องค์ชายสิบเอ็ดคนนี้ยิ่งถือเป็นคนหยาบช้าของแคว้นเป่ยหรง จึงไม่คิดรามือเพียงเพราะเหล้าของเหลยเถิงเฟิงเพียงจอกเดียว เขาเพียงมองสำรวจม่อซิวเหยาหัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ ก่อนหัวเราะหึๆ แล้วกล่าวว่า “ข้านึกออกแล้ว ดูเหมือนอาการบาดเจ็บของติ้งอ๋องจะเกิดจากแม่ทัพเฟยฉีแห่งเป่ยหรงของเรา เมื่อก่อนเคยได้ยินแม่ทัพเฟยฉีพูดกับข้าอยู่บ่อยๆ ว่าน่าเสียดาย อีกนิดเดียวก็จะจับ…”


 


 


“พอได้แล้ว!” องค์หญิงซีฝูโกรธจนสีพระพักตร์ดำคล้ำไปหมด จนไม่ได้สนใจว่าองค์ชายเป่ยหรงเป็นทูตที่มาจากต่างแคว้น องค์หญิงเอ่ยเสียงเย็นว่า “หากองค์ชายเป่ยหรงจะมาร่วมงานก็ช่วยนั่งอยู่เงียบๆ หากไม่ใช่ก็เชิญออกไปเสีย!”


 


 


องค์ชายจากเป่ยหรงนิ่งอึ้งไป อ้าปากเหมือนอยากจะพูดสิ่งใดกับองค์หญิง แต่ถูกผู้ติดตามสองคนที่อยู่ข้างๆ กดไว้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้องค์ชายจากเป่ยหรงจะเต็มไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาให้มีเรื่องอีก


 


 


ส่วนคนอื่นๆ เมื่อเห็นสีหน้าขององค์หญิงไม่ดีเช่นนี้ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอันใดอีกเช่นกัน ม่อจิ่งฉีกระแอมเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “เสด็จป้า เริ่มพิธีกันเถิด”


 


 


สาวตาขององค์หญิงซีฝูนิ่งไป ก่อนหันไปพยักหน้าน้อยๆ ให้ผู้ทำพิธีที่ยืนอยู่อีกด้าน


 


 


“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน…!”


 


 


“สอง คำนับพ่อแม่…!”


 


 


“สาม บ่าวสาวคำนับกันและกัน…!”


 


 


เยี่ยหลีที่มีผ้าสีแดงสดคลุมหน้าอยู่ เหลือบมองคนข้างตัวที่มือข้างหนึ่งกำผ้าไหมแดงในมือแน่น ก็ได้แต่นึกทอดถอนในใจ อันที่จริงตั้งแต่ได้รู้จักกับม่อซิวเหยามาจนถึงตอนนี้ นางคิดมาตลอดว่าม่อซิวเหยาสมบูรณ์แบบราวกับภาพฝันที่ไม่มีอยู่จริง ถึงแม้ตัวจะพิการขาทั้งสองข้าง ใบหน้าเสียโฉม ทั้งยังได้ยินว่าแม้แต่ร่างกายก็ยังไม่แข็งแรง แต่เขากลับแสดงออกมาได้อย่างไร้ที่ติ ไม่มีการดูถูกตนเอง ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจ และไม่มีความสิ้นหวังอยู่เลย ไม่ว่าเวลาใดแผ่นหลังนั้นก็จะตั้งตรงเสมอ ถึงแม้จะนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแต่กลับดูเหมือนเขาอยู่สูงกว่าทุกคนหนึ่งขั้นเสมอ นึกย้อนไปถึงที่ได้ยินใครต่างเล่าว่ากันว่าสมัยเด็กๆ เขาเลือดร้อนเพียงใด ยิ่งทำให้รู้สึกว่าม่อซิวเหยาในตอนนี้เป็นเพียงภาพในจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริง จากร้อนแรงดั่งไฟกลายเป็นนิ่งเย็นดุจหยก เขาต้องผ่านความเจ็บปวดเช่นไร จึงสงบลงได้เช่นนี้ มาตอนนี้เยี่ยหลีก็ได้รับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของม่อซิวเหยา อารมณ์โกรธแค้นและโหดร้าย


 


 


เยี่ยหลียิ้มขื่นๆ งานแต่งงานของนาง กลับได้สัมผัสถึงอารมณ์ด้านมืดของสามีตนเองในโถงพิธี ต่อให้ไม่ได้เกิดขึ้นกับนาง แต่ก็ทำให้อดรู้สึกหดหู่ขึ้นมาน้อยๆ ไม่ได้


 


 


“เสร็จพิธี…ส่งตัวเข้าห้องหอ!”


 


 


ในห้องที่ประดับตกแต่งไปด้วยสีแดงสด เทียนคู่มังกรหงส์ลุกโชนอยู่เงียบๆ เยี่ยหลีนั่งเงียบอยู่บนเตียงใหม่ที่ปักเป็นรูปหงส์ร่อนมังกรรำเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล นางรู้ว่าม่อซิวเหยานั่งมองนางอยู่ไม่ไกลจากเตียงมากนัก แต่ดูเหมือนเขาจะไม่คิดเข้ามาใกล้กว่านั้น


 


 


“ข้าถอดนี่ออกได้หรือไม่” เมื่อทนรอเจ้าบ่าวไม่ไหว นางจึงต้องเอ่ยปากถามด้วยตนเอง ผ่านไปครู่หนึ่ง ม่อซิวเหยาจึงได้ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ ผ้ามงคลเปิดออกพร้อมแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นข้างหน้า เมื่อทั้งสองได้เห็นอีกฝ่ายต่างก็ตกตะลึงไป ม่อซิวเหยาที่ปกติมักอยู่ในชุดสีอ่อน เมื่อเห็นเขาใส่ชุดสีแดงสดเช่นนี้ทำให้เยี่ยหลีไม่คุ้นชินสักเท่าไร เพียงแต่…ชายผู้นี้ใส่ชุดสีอะไรก็ดูไม่น่าเกลียด ส่วนม่อซิวเหยาเหม่อมองอยู่เพียงครู่ ในดวงตาเรียบนิ่งคู่นั่นดูตื่นตะลึงในความงาม แต่เพียงชั่วแวบเดียวก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองนั่งมองกันนิ่ง ต่างรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย


 


 


เยี่ยหลีโน้มตัวไปดึงมือซ้ายของม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาตกใจนึกอยากดึงมือที่กำเป็นหมัดแน่นอยู่กลับทันที


 


 


“แบออกเถิด” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเรียบๆ


 


 


นิ้วมือจึงค่อยๆ คลายออก มือใหญ่หนานั้นไม่เหมือนกับมือของชนชั้นสูงที่มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายแม้แต่น้อย ซ้ำด้านบนยังมีรอยด้านและมีแผลเป็นอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ร้ายแรงอันใด เยี่ยหลีจำได้ว่า เคยมีเพื่อนสมัยเด็กที่โตมาด้วยกันคนหนึ่งบอกนางว่ามือของผู้ชายควรเป็นอย่างไร ควรมีรอยด้านบ้าง นั่นหมายความว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่ไม่หยิบจับทำอันใดเลย และหากมีรอยแผลเป็นที่ไม่สะดุดตานัก แสดงว่าชายผู้นั่นไม่ได้บอบบางและถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนู และให้ดีที่สุดเลยคือมีทั้งหมดนั่นแต่ยังเป็นมือที่ดูสวยอยู่ มือเช่นนั้นจึงจะทำให้ผู้หญิงรู้สึกปลอดภัย ทั้งยังรู้สึกเจริญหูเจริญตาอีกด้วย ในเวลานี้มือข้างนี้กลับมีรอยแดงปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามืออย่างชัดเจน ซ้ำรอยแดงลึกทั้งสี่รอยยังค่อยๆ มีเลือดซึมออกมาอีกด้วย แต่บุรุษข้างหน้านางกลับทำเหมือนไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาแบมือปล่อยให้นางสำรวจได้ตามใจ


 


 


เยี่ยหลีก้มลงดูรอยแผลบนฝ่ามือของเขา ยื่นปลายนิ้วออกไปสัมผัสเบาๆ จากนั้น…ใช้นิ้วกดลงไปเต็มแรง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าชายหนุ่มที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย “ไม่เจ็บหรือ”


 


 


ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ มองสีหน้าประหลาดใจของเยี่ยหลีด้วยสีหน้าที่ดูอบอุ่นขึ้นหลายส่วน “นี่เรียกว่าเจ็บอันใดได้ ตอนที่เจ็บกว่านี้ก็ผ่านมาได้แล้ว”


 


 


เยี่ยหลีนึกเชื่อตามนั้น สำหรับคนที่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว บาดแผลแค่นี้ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นางลุกยืนขึ้นไปค้นกล่องเล็กๆ ที่ใช้ประจำออกมาจาก**บสินเดิมของตน ก่อนนั่งลงบนขอบเตียง เปิดกล่องออก นำสำลีและผ้าขาวสะอาดๆ พร้อมยาออกมาทาให้เขา “ต่อให้โกรธอย่างไรก็ไม่ควรทำร้ายตัวเองเช่นนี้ ข้ายังคิดว่าท่านชินแล้วเสียอีก”


 


 


ริมฝีปากม่อซิวเหยามีร่องรอยขมขื่น ก่อนยิ้มอ่อนๆ แล้วพูดว่า “เจ้าก็เห็นแล้วนี่ ว่าที่จริงแล้วข้ายังไม่ชิน” เขาก็คิดว่าตนเองชินนานแล้ว อันที่จริงเขาใช้เวลาตลอดเจ็ดปีในการทำให้ตัวเองชิน ชินกับการที่ต่อไปเขาจะไม่สามารถขี่ม้าออกไปสู้รบยังสมรภูมิได้อีก ชินกับการที่จะต้องใส่หน้ากากเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน มิเช่นนั้นรอยแผลเป็นบนใบหน้าคงทำให้ผู้พบเห็นส่งสายตาหวาดกลัวหรือเห็นใจมาให้ เขาคิดมาตลอดว่าเขาทำมันได้ดี จนมาวันนี้ ตอนอยู่ในโถงประกอบพิธี เมื่อได้ยินองค์ชายแห่งเป่ยหรงตั้งใจพูดจาตอกย้ำเขาอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนั้น เขาถึงได้เข้าใจว่า ตนเองยังห่างไกลอีกมาก วันนี้เขาไม่เพียงทำให้ตัวเองเป็นตัวตลกเท่านั้น แต่ยังทำให้เจ้าสาวหมาดๆ ของเขาถูกหัวเราะเยาะไปด้วย ถึงแม้ภรรยาของเขาจะไม่ได้โทษเขาเลยก็ตาม


 


 


เยี่ยหลีรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดของบุรุษตรงหน้าอย่างชัดเจน นางจึงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าท่านรู้เสียอีกว่า ตั้งแต่ที่พวกเราตัดสินใจยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ ข้าก็เตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ไว้แต่แรกแล้ว”


 


 


ม่อซิวเหยาตอบว่า “เจ้ารู้แต่แรกแล้วหรือว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น”


 


 


เยี่ยหลียิ้มแล้วส่ายหน้า “ต่อให้ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็คงเกิดเหตุการณ์อื่นอยู่ดี หรือว่าข้าสามารถคาดหวังว่า เมื่อเราแต่งงานกันแล้วจะสงบสุขราบรื่น ไม่มีอันใดมาทำให้ขุ่นเคืองใจอีกเลยอย่างนั้นหรือ” เพราะต่อให้เป็นครอบครัวคนทั่วไปก็ยังมีเรื่องให้ต้องปวดหัวกันทุกบ้าน นับประสาอันใดกับบ้านชนชั้นสูงเช่นนี้


 


 


ม่อซิวเหยามองนางเงียบๆ ครู่ใหญ่จึงได้พูดขึ้นว่า “ข้าไม่อาจสัญญากับเจ้าได้ว่าจะไม่มีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเลยตลอดชีวิต แต่ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถให้เจ้ามีชีวิตอย่างที่เจ้าอยากมีได้”


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “ข้าเชื่อใจท่าน” เยี่ยหลีค่อยๆ ทายาจนเสร็จ ก่อนเก็บยาเข้าที่ แล้วเอ่ยตอบยิ้มๆ


 


 


“เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เจ้ารีบพักผ่อนเถิด” ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ


 


 


เยี่ยหลีอึ้งไป แล้วรีบเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างรวดเร็ว “ดีสิ ท่านก็รีบพักผ่อนนะ”


 


 


ม่อซิวเหยาพยักหน้าก่อนร้องเรียกอาจิ่นให้เข้ามาเข็นตนเองออกไป ทั้งยังไม่ลืมที่จะหันไปสั่งพวกชิงซวงให้เข้ามาคอยรับใช้อีกด้วย


 


 


 


 


[1] ยามซื่อ เท่ากับช่วงเวลาประมาณ 9.00 – 10.59 น. 

 

 


ตอนที่ 53-3 วันมงคลสมรสใหญ่

 

เมื่อพวกชิงซวงเข้ามาถึง เยี่ยหลีได้ถอดเครื่องประดับบนตัวทั้งหลายออกลงวางในกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งเรียบร้อยแล้ว ชิงซวงขมวดคิ้ว ก่อนพูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณหนู เหตุใดท่านอ๋องจึงออกไปเล่าเจ้าคะ” องค์หญิงได้สั่งไว้แล้วว่าห้ามใครรบกวนในห้องหอ และไม่ต้องให้ติ้งอ๋องอยู่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนแขกเหรื่อ ดังนั้นตอนนี้ติ้งอ๋องจึงควรอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูในห้องหอถึงจะถูก เหตุใดเมื่อเข้ามาแล้วถึงได้ออกไปอีก


 


 


เยี่ยหลีหันไปยิ้มกับพวกนาง “ที่นี่คือตำหนักติ้งอ๋องนะ หรือเจ้ากลัวว่าเขาจะไม่มีที่พักผ่อนก่อน”


 


 


ชิงหลวนและชิงอวี้เตรียมน้ำอุ่นไว้พร้อมแล้ว จึงเข้ามาเชิญเยี่ยหลีให้เข้าไปอาบน้ำ สีหน้าทั้งสองก็ดูไม่ค่อยดีเช่นกัน เยี่ยหลีไม่มีแรงจะมาสนใจว่าสีหน้าของสาวใช้จะดีหรือไม่ดี อันนี้จริงสำหรับนางแล้ว ที่ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้ถือว่าเขาใส่ใจความรู้สึกของนางมากแล้ว ถึงแม้นางไม่ได้คิดจะเป็นสามีภรรยากับเขาแค่เพียงในนามไปตลอดชีวิต เพียงแต่หากจะให้นางทำอันใดกับชายที่ไม่คุ้นเคย และเคยเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งเช่นนี้ นางยังนึกเป็นกังวลว่าตนเองจะทำได้หรือไม่ด้วยซ้ำ สำหรับเรื่องนี้นางยังรู้สึกนับถือหญิงสาวในสมัยก่อนที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ปกติแค่จะจับมือถือแขนกับผู้ชายยังไม่ได้ แต่พอแต่งงานกันแล้วก็ต้องกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอนกับชายที่โดยปกติแทบจะไม่เคยได้พบหน้ากันมาก่อน เมื่อถอดเครื่องประดับอันแสนหนักอึ้งกับถอดชุดแต่งงานที่หรูหราออกไปแล้ว เยี่ยหลีค่อยรู้สึกผ่อนคลายร่างกาย เตรียมตัวอาบน้ำ แล้วลงนอนบนที่นอนที่นุ่มสบายจนเข้าสู่นิทรารมณ์ไป ริมฝีปากยังแต้มรอยยิ้มน้อยๆ อีกด้วย ท่านแม่ ท่านพ่อ พ่อแม่ และพี่น้องทุกคน ข้าขายออกแล้ว…


 


 


ในห้องหนังสือของตำหนักติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยาที่เปลี่ยนมาใส่ชุดสีอ่อนกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือด้วยสีหน้าขรึมกระด้างอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก เฟิ่งจือเหยาที่อยู่ในชุดสีแดงยืนพิงประตูอยู่อย่างเกียจคร้าน “วันมงคลใหญ่แท้ๆ มานั่งทำหน้าเช่นนี้อยู่ไปไย ไม่นึกว่าจะทำให้พี่สะใภ้กลัวเสียเลย”


 


 


ที่มุมหนึ่งของห้องมีชายหนุ่มหน้าตาผิวพรรณดีมองเขาอยู่พร้อมหัวเราะหึๆ “เท่าที่ข้าเห็น พี่สะใภ้ดูใจกล้ากว่าที่พวกเราคิดกันไว้เยอะเลยนะ”


 


 


เฟิ่งจือเหยานิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ที่พูดก็ถูก ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงสักกี่คนที่ใจกล้าอย่างคุณหนูสามตระกูลเยี่ยเลยจริงๆ”


 


 


“พูดพอหรือยัง” ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นใช้สายตาเยือกเย็นมองบุรุษทั้งสองที่เห็นรูปลักษณ์ไม่ชัดเจน เฟิ่งจือเหยายักไหล่ก่อนกล่าวว่า “เจ้าทึ่มเมื่อคืนนี้คือองค์ชายสิบเอ็ดจากแคว้นเป่ยหรง นามเยียหลี่ว์ผิง เป็นบุตรชายของเซียวเฟยที่ท่านอ๋องเป่ยหรงทรงโปรดปรานที่สุด น้องชายร่วมอุทรของเยียหลี่ว์เหยี่ย องค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นเป่ยหรง และยังเป็นหลานชายของเฮ่อเหลียนเจิน แม่ทัพใหญ่เฟยฉีแห่งเป่ยหรงด้วย เจ้าคงยังไม่ลืมนะว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนเจ้าทำอันใดไว้กับเฮ่อเหลียนเจินบ้าง”


 


 


“เฮ่อเหลียนเจิน แซ่เฮ่อเหลียน เซียวเฟยแซ่เซียว เยียหลี่ว์ผิงจะเป็นหลานชายของเฮ่อเหลียนเจินได้อย่างไร” ชายหนุ่มผิวพรรณดีเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ


 


 


“ความสัมพันธ์ของคนเป่ยหรงซับซ้อนจนทำให้คนปวดหัวไปหมด ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาเป็นญาติกันทางไหนเล่า” เฟิ่งจือเหยาพูดอย่างไม่เห็นขันว่า “เหลิ่งเฮ่าอวี่ นี่ควรจะเป็นเรื่องของเจ้ามิใช่หรือ”


 


 


ชายหนุ่มคนที่ว่า ก็คือเหลิ่งเฮ่าอวี่ บุตรชายคนที่สองของท่านแม่ทัพเจิ้นเป่ย ที่ว่ากันว่าเป็นคนไม่เอาถ่านที่สุดในเมืองหลวงนั่นเอง


 


 


“ข่าวที่ข้าได้รับมาจากแคว้นเป่ยหรง ดูเหมือนจะว่ากันว่า เยียหลี่ว์เหยี่ยเป็นบุตรชายลับๆ ของเฮ่อเหลียนเจิน”


 


 


“ข่าวเช่นนี้ยังให้หลุดมาถึงต้าฉู่ได้ เชื่อถือได้หรือ” เฟิ่งจือเหยากลอกตามองบน แล้วหันไปมองม่อซิวเหยา “เจ็ดปีก่อนพี่ชายเจ้าเกิดป่วยจนเสียชีวิตไปกะทันหัน ทั้งที่เฮ่อเหลียนเจินสามารถใช้โอกาสนั้นสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ หรืออาจถึงขั้นกวาดล้างต้าฉู่ได้ แต่สุดท้ายกัดฟันสู้รบจนฝ่าออกมาจากหุบเขากุ่ยโฉวได้ด้วยเพลิงลูกใหญ่จนเกือบเผาเอาชีวิตของเฮ่อเหลียนเจินไปครึ่งชีวิต เฮ่อเหลียนเจินพ่ายแพ้เสียทหารไปยังไม่เท่าไร แต่นั่นทำให้แคว้นเป่ยหรงไม่กล้าสร้างกองกำลังทหารขึ้นอีกเลยเป็นเวลาสามปี กว่าพวกมันจะกลับมาตั้งตัวได้ ต้าฉู่ของพวกเราก็ฟื้นกลับมาแข็งแกร่งดังเดิมแล้ว ตั้งแต่นั้นมาเฮ่อเหลียนเจินก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากเป่ยหรงอ๋องอีกเลย ทั้งยังทำให้เยียหลี่ว์เหยี่ยกับเซียวเฟยเสียฐานอำนาจในเป่ยหรงไปอีกมหาศาล พวกมันไม่พุ่งตรงมาเอาชีวิตเจ้าถึงที่ต้าฉู่นี่ก็ถือว่าไม่เลว


 


 


ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า เยียหลี่ว์ผิงเป็นคนที่เยียหลี่ว์เหยี่ยส่งมาทำให้ข้าขายหน้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


เฟิ่งจือเหยาลูบคางพร้อมเอ่ยว่า “ใครไม่รู้บ้างว่าเยียหลี่ว์ผิงเป็นคนหยาบช้า ต่อให้ล่วงเกินเจ้า เจ้าก็คงไม่มีหน้าไปถือสาหาความกับเขา ผลเป็นอย่างไรก็คาดเดาได้อยู่มิใช่หรือ”


 


 


ม่อซิวเหยายิ้มเย็น “วันนี้ยังถือว่าพวกมันเกรงใจบ้างแล้ว มีเพียงเยียหลี่ว์ผิงคนเดียวที่ออกมาสร้างความวุ่นวายในงาน คนอื่นๆ เองก็คงรอจนแทบทนกันไม่ไหวแล้วกระมัง”


 


 


เฟิ่งจือเหยาเคาะหน้าผากครุ่นคิด “ใครจะไปคิดว่าฮ่องเต้ของเราจะพาฮองเฮาและไทเฮามาร่วมงานที่ตำหนักติ้งอ๋องด้วยเล่า ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ถึงอย่างไรก็คงไม่กล้าเสียมารยาทจนเกินไปมิใช่หรือ ในเมื่อมีเจ้าทึ่มออกโรงแล้ว คนอื่นๆ ที่ถือว่าตนเองฉลาดย่อมไม่เปิดปากอีกแน่นอน เพียงแต่…ทูตจากแคว้นต่างๆ ยังรั้งอยู่ในเมืองหลวงกันอีกครึ่งเดือน ทางพี่สะใภ้นั่น…”


 


 


“ห้ามไปรบกวนนาง!” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


เฟิ่งจือเหยากับเหลิ่งเฮ่าอวี่หันมาสบตากัน เหลิ่งเฮ่าอวี่กะพริบตาดวงตาดอกท้อของตนก่อนถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านคงไม่ได้กำลังจะบอกพวกเราว่าพระชายาคนใหม่ที่ท่านแต่งเข้ามานี้ ท่านกะจะเก็บไว้ในกรงทอง ซ่อนไว้ในตำหนักติ้งอ๋อง ไม่ให้ใครได้พบเจอหรอกกระมัง” หรือว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยจะมีเสน่ห์ผิดธรรมดา ทำให้ท่านติ้งอ๋องเกิดรักแรกพบ ยิ่งพบยิ่งชอบพอจนอยากเก็บกอดไว้อย่างทะนุถนอม และตั้งใจปกป้องนางอย่างนั่นหรือ


 


 


ม่อซิวเหยาตอบว่า “อาหลีไม่ชอบการแก้แค้นของพวกผู้มีอำนาจพวกนั้น หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใดก็อย่าได้ไปกวนใจนาง”


 


 


เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเคาะพัดในมือ “อาเหยา ต่อให้เป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เมื่อแต่งสะใภ้เข้ามาแล้วก็ยังต้องให้ควบคุมเรื่องในเรือนหลัง และคอยจัดการการสานสัมพันธ์กับคนนอก นับประสาอะไรกับนายหญิงแห่งตำหนักติ้งอ๋อง ถ้าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่ไม่มีความสามารถอันใดก็ว่าไปอย่าง แต่คุณหนูสามตระกูลเยี่ยไม่ใช่ผู้หญิงบอบบางไร้ความสามารถ หากนางสามารถช่วยเจ้าให้บรรลุผลเช่นเดิมโดยเจ้าเสียแรงเพียงครึ่ง เจ้าจะเบาแรงไปได้เยอะเชียวนะ”


 


 


“เฟิ่งซานพูดถูก ถิงเอ๋อร์เอ่ยชื่นชมคุณหนูสามตระกูลเยี่ยไว้มากทีเดียว” เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยสำทับอีกแรง


 


 


ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ไว้ว่ากันทีหลัง”


 


 


เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วอยู่ดีๆ ก็หัวเราะขึ้นเหมือนคิดเรื่องอันใดได้ “เอาเถิด ในเมื่อเจ้าตัดสินใจไปแล้ว พวกเราก็จะไม่ยุ่งเรื่องนี้อีก วันนี้ฝ่าบาทพาไทเฮามาร่วมงานด้วยพระองค์เองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเขายังคิดจะขัดขวางเจ้าอยู่”


 


 


 “เขาไม่คิดขัดขวางข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนนี้กระบี่หลั่นอวิ๋นกลับมาอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องอีกครั้ง หลายวันนี้คงมีคนหลายสิบกลุ่มคิดอยากบุกเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋อง อย่างน้อยๆ สามกลุ่มในนั้นจะต้องเป็นคนที่มาจากวังหลวงเป็นแน่” ม่อซิวเหยาตอบ


 


 


เหลิ่งเฮ่าอวี่ตาเป็นประกาย “เป็นคนจากฝ่าบาทของพวกเราหรือ”


 


 


ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนของเขา”


 


 


เฟิ่งจือเหยายิ้มตาหยีให้เหลิ่งเฮ่าอวี่ “เหลิ่งเอ๋อร์ เจ้ากลับไปจับตาดูแม่ทัพหน้าตายที่บ้านเจ้าให้ดีเถิด หากฝ่าบาทของพวกเราบุกเข้าจวนมาไม่สำเร็จ มีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่เขาจะส่งคนนั้นของเจ้ามา ใครใช้ให้เขาเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ทั้งยังเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุดของฝ่าบาทกันเล่า”


 


 


เหลิ่งเฮ่าอวี่เบ้ปาก “วางใจเถิด ไม่ว่าใครเข้ามาก็อย่าได้หวังว่าจะได้แม้แต่เศษขนของจวนนี้ออกไปเลย” นึกถึงพี่ชายใหญ่หน้าตายของตนแล้ว เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที เขาคิดว่าพี่ชายเป็นเจ้าทึ่มที่ไม่มีสมอง คอยแต่ตามฮ่องเต้ต้อยๆ แต่ทุกครั้งที่ถิงเอ๋อร์เจอหน้าเขากลับทำท่าเทิดทูนบูชาเสียเหลือเกิน แต่เมื่อเห็นตนกลับทำท่าเหมือนเห็นขยะเสียอย่างนั้น ช่างน่าหงุดหงิดนัก ลองมาบุกจวนดูสิ ข้าจะจับมาจัดการซ้อมเสียให้เข็ด ถิงเอ๋อร์จะได้รู้เสียทีว่าใครกันแน่ที่เก่งจริง ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าโง่!


 


 


“ท่านอ๋อง มีคนบุกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ!” ประตูหินทั้งหนาและหนักถูกเจาะจนเป็นรู อาจิ่นจึงรีบเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว


 


 


ม่อซิวเหยาสายตาเยือกเย็น “ไปทางไหนแล้ว”


 


 


“เรือนพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ตึง!


 


 


“อย่าปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว ในเมื่อวันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ไม่ควรให้เสียเลือด เช่นนั้นก็ค่อยจัดการพวกมันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

 

 

 


ตอนที่ 54-1 ชีวิตแต่งงานใหม่อันราบเรียบแต่นองไปด้วยเลือด

 

    ช่วงเช้ามืด เยี่ยหลีนั่งสบายๆ อยู่หน้ากระจก ปล่อยให้ชิงซวงและชิงสยาจัดการทำผมนางกันตามสบาย ชิงซวงจับผมดำขลับเป็นมวยทรงไป่เหออย่างคล่องแคล่ว ส่วนชิงสยายืนถือกล่องที่มีเครื่องประดับอยู่เต็มกล่องให้เยี่ยหลีเลือกใช้ เยี่ยหลีมองตนเองในกระจกซ้ายทีขวาที ก่อนขมวดคิ้วมองชิงซวง


 


 


“เปลี่ยนเป็นทรงที่เรียบกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ”


 


 


ชิงซวงอมยิ้ม “คุณหนูท่านเลือกทรงนี้เถิดเจ้าค่ะ สตรีที่เพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ล้วนจะต้องแต่งองค์ทรงเครื่องกันเต็มที่ นี่ชิงซวงเลือกทรงที่เรียบที่สุดให้แล้วนะเจ้าคะ หากเป็นทรงที่กำลังนิยมในหมู่สตรีสูงศักดิ์แล้ว คุณหนูย่อมรับไม่ได้เป็นแน่ เมื่อก่อนนั้นท่านทำผมเป็นทรงของคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนทั้งนั้น ในเมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็จะทำทรงเช่นนั้นอีกไม่ได้นะเจ้าคะ ส่วนเครื่องประดับก็เลือกชุดที่ท่านอ๋องให้คุณหนูเมื่อคราวที่แล้วดีกว่านะเจ้าคะ เพราะคุณหนูยังไม่เคยใช้เลยเจ้าค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า อันที่จริงนางชอบเครื่องประดับชุดดอกอวี้หลันสีเขียวนั่นมาก เพราะมองดูไม่หรูหราจนเกินไป


 


 


           ชิงสยายกมือปิดปากอมยิ้มก่อนนำเครื่องประดับชุดนั้นออกมาประดับศีรษะให้เยี่ยหลี ก่อนพยักหน้าอย่างชื่นชมว่า “ชิงซวงนี่รู้ใจคุณหนูที่สุด…”


 


 


           “คุณหนูที่ไหนกัน” หลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวเดินเข้ามา หลินหมัวมัวถลึงตาจ้องสาวใช้ให้คนละที ก่อนเอ่ยว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปต้องเรียกว่าพระชายา อย่าให้คนในตำหนักนี้คิดว่าคนข้างกายของพระชายาไม่รู้จักกฎระเบียบ”


 


 


           “เจ้าค่ะ หมัวมัว พวกบ่าวคารวะพระชายาเพคะ” สาวใช้ทั้งสี่คนยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน ก่อนโค้งตัวลงทำความเคารพเยี่ยหลีอย่างนอบน้อม


 


 


           หลินหมัวมัวที่รู้สึกสงสารเยี่ยหลีตั้งแต่แรกรีบเข้ามาจับมือเยี่ยหลีก่อนเอ่ยถามเสียงเบา เรื่องที่เมื่อคืนท่านอ๋องไม่ได้พักผ่อนที่ห้องหอแน่นอนว่าหมัวมัวทั้งสองย่อมทราบเรื่องดี เว่ยหมัวมัวอดสงสารคุณหนูที่ตนดูแลมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่ได้ เยี่ยหลีจึงอมยิ้มปลอบโยนหมัวมัวทั้งสอง เมื่อหมัวมัวทั้งสองเห็นว่าเยี่ยหลีไม่ได้มีสีหน้ารู้สึกเสียใจอันใดกับเรื่องนี้จริงๆ จึงได้ยอมปล่อยผ่านไป ถือเสียว่าติ้งอ๋องเห็นใจว่าคุณหนูเพิ่งย้ายเข้ามาในตำหนักใหม่ๆ คงยังไม่ชิน จึงให้เวลาเยี่ยหลีในการปรับตัวก่อนพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยเป็นนัยๆ ให้เยี่ยหลีรีบเป็นสามีภรรยากับติ้งอ๋องอย่างแท้จริงๆ โดยเร็ว เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนที่จะต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นยิ้ม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา ปล่อยให้พวกนางเข้าใจผิดกันต่อไป


 


 


           “ท่านอ๋องเสด็จเพคะ”


 


 


           ม่อซิวเหยาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “อาหลี ข้าเข้าไปได้หรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีรับคำ ม่อซิวเหยาจึงได้ให้อาจิ่นยืนรออยู่ที่หน้าประตู ส่วนตนเข็นรถเข็นเข้ามาด้วยตนเอง เขามองเยี่ยหลีแล้วถามขึ้นว่า “อาหลี เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้า “ข้าหลับสบายดี สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีสักเท่าไรเลยนะ”


 


 


เมื่อม่อซิวเหยาเข้ามา หลินหมัวมัวก็พาสาวใช้ทั้งหมดล่าถอยออกไป กว่าเยี่ยหลีจะรู้ตัวก็ไม่เหลือใครให้เรียกใช้ให้ยกน้ำชามาให้เสียแล้ว จึงทำได้เพียงหันไปยิ้มให้ม่อซิวเหยาก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะ ในแววตาของม่อซิวเหยามีแววอ่อนล้าให้เห็นอยู่จริง


 


 


เขาโบกมือไปมา “เมื่อคืนต้องส่งแขก กว่าจะได้พักก็เลยดึกหน่อย ไม่มีอันใดหรอก”


 


 


           “เราควรไปถวายพระพรองค์หญิงก่อนหรือไม่ แล้วก็พี่สะใภ้…” ในตำหนักติ้งอ๋องทุกวันนี้มีม่อซิวเหยาเพียงคนเดียวที่สืบสายเลือดโดยตรง แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เหลือใครอื่นอีกเลย ติ้งอ๋องคนก่อน หรือก็คือพี่ชายของม่อซิวเหยา นามม่อซิวเหวินนั้น มีภรรยาเอกสกุลเวินที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ได้ข่าวว่านางไปบำเพ็ญกุศลให้สามี ไปอยู่ที่วัดนานหลายปีแล้ว แม้แต่งานแต่งงานเมื่อวานนางก็ไม่ได้มาร่วมงาน แล้วยังมีไท่เฟย[1]รองของม่อหลิวฟาง บิดาของม่อซิวเหยาอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคนอื่นๆ นั้น…ก่อนหน้านี้เยี่ยหลีไม่เคยถามเลยว่า ม่อซิวเหยามีอนุอยู่แล้วกี่คน


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “พวกเรากินข้าวเช้ากันก่อน องค์หญิงอายุมากแล้ว เมื่อคืนก็เหนื่อยอยู่ไม่น้อย คงไม่ตื่นเช้าเช่นนี้ ส่วนเรื่องพี่สะใภ้…” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตั้งแต่พี่ใหญ่จากไป พี่สะใภ้ก็พาภรรยารองที่เหลือไปอยู่กันที่วัด แม้แต่ข้าก็ยังไม่ค่อยได้พบหน้า หลายวันก่อนนางให้คนมาส่งข่าวแล้วว่า รอให้เจ้ากลับบ้านเดิมแล้วกลับมาเสียก่อนค่อยไปพบนางก็ได้”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า นางเคยได้ยินพี่สามพูดถึงพระชายาติ้งอ๋องคนก่อนอยู่บ้าง นางก็เป็นคนหนึ่งที่น่าสงสาร สามีมาตายเสียตั้งแต่อายุสิบแปดปี เมื่อตอนแต่งงานใหม่ๆ ม่อซิวเหวินก็ต้องไปกรำศึกอยู่ข้างนอก ทั้งสองคนแม้แต่ลูกสักคนก็ยังไม่มี


 


 


           “เช่นนั้น…ข้าต้องทำอันใดบ้างหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม


 


 


           ม่อซิวเหยามองนาง ก่อนยิ้มบางๆ “นอกจากจัดการเรื่องงานในตำหนัก กับพวกเรื่องบัญชีแล้ว เวลาที่เหลือเจ้าอยากทำอันใดก็ได้ทั้งนั้น หากเจ้านึกเบื่อ จะเชิญเพื่อนของเจ้ามาที่ตำหนักหรือจะออกไปเดินเล่นข้างนอกก็ยังได้ อาหลี ต่อไปนี้ที่นี่ก็คือบ้านของเจ้า ไม่ต้องเคร่งครัดมากหรอก”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ค่อยชิน เช่นนั้นตอนนี้เล่า”


 


 


           “ไปกินข้าวกันก่อนเถิด แล้วข้าจะพาเจ้าไปพบคนในตำหนัก”


 


 


           สำรับอาหารเช้าตั้งในเรือนของเยี่ยหลี อาหารเช้าตำหนักติ้งอ๋องถูกปากเยี่ยหลีเป็นอย่างมาก พอกินอาหารเช้าเสร็จ หัวหน้าพ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง พ่อบ้านทุกคนมากันพร้อมแล้ว กำลังรอให้ท่านอ๋องกับพระชายาเรียกพบอยู่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ม่อซิวเหยาพยักหน้า ก่อนหันมาพูดกับเยี่ยหลีว่า “นี่คือหัวหน้าพ่อบ้านของตำหนักติ้งอ๋อง ชื่อม่อซิ่น  เขายังเป็นอาของอาจิ่นด้วย ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องอันใด ก็สั่งการเขาโดยตรงได้เลย”


 


 


           หัวหน้าพ่อบ้านเดินขึ้นหน้ามาทำความเคารพ “บ่าวคารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หัวหน้าพ่อบ้านไม่ต้องมากพิธี ต่อไปนี้คงต้องรบกวนหัวหน้าพ่อบ้านแล้ว” นางดูออกว่าม่อซิวเหยาให้ความสำคัญกับหัวหน้าพ่อบ้านคนนี้มาก แล้วเขายังเป็นอาของอาจิ่นอีก อาจิ่นอยู่ข้างกายม่อซิวเหยาตลอดเวลา ไม่เคยห่างไปไหน ย่อมเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุด


 


 


เมื่อพระชายาตอบรับด้วยความสุภาพเช่นนี้ หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็ไม่ได้มีท่าทีใดๆ ทั้งยังไม่ได้ผยองใดๆ อีกด้วย เขาตอบกลับด้วยความนอบน้อมเช่นเดิมว่า “บ่าวมิกล้า หากต่อไปพระชายามีเรื่องอันใดก็สั่งกับบ่าวได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เมื่อเดินไปถึงโถงดอกไม้ มีคนยืนอยู่จำนวนไม่น้อยดังที่นางคาดไว้ เมื่อทั้งหมดเห็นเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเดินเข้ามา ก็รีบยืนตรงพร้อมเอ่ยทำความเคารพทันที “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา”


 


 


           ม่อซิวเหยาจูงเยี่ยหลีให้เดินเข้าไปในโถงดอกไม้ ชี้ให้นางนั่งลงที่ตำแหน่งประมุข ก่อนหันไปเอ่ยกับทุกคนว่า “ลุกขึ้นเถิด นี่คือพระชายาที่เพิ่งแต่งเข้ามาอยู่ใหม่ อีกหน่อยคำพูดของพระชายาก็คือคำพูดของข้า ทุกคนเข้าใจหรือไม่”


 


 


           “น้อมรับคำสั่งพระชายา”


 


 


           “ดีมาก อาหลี นี่คือซุนหมัวมัว เป็นคนจัดการเรื่องตำหนักในของที่นี่ทั้งหมด หากเจ้ามีเรื่องอันใดไม่เข้าใจก็สามารถถามนางได้” หมัวมัวที่ยืนอยู่หน้าสุด คือซุนหมัวมัวที่เคยนำของขวัญมาส่งให้ที่จวนเยี่ยนั่นเอง และก็เป็นคนแรกที่ม่อซิวเหยาแนะนำให้นางรู้จัก ม่อซิวเหยาหยุดคิดพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสริมว่า “ซุนหมัวมัวเคยเป็นคนสนิทข้างกายท่านแม่”


 


 


           “บ่าวคารวะพระชายาเพคะ”


 


 


           “หมัวมัวมีมารยาทแล้ว” เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมเอ่ยตอบ


 


 


           “คนนี้เป็นคนจัดการเรื่องนอกตำหนักทั้งหมด ชื่อหยางหลิน เรื่องแขกไปใครมาทั้งหลายเขาล้วนเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด” คนที่ยืนอยู่ข้างซุนหมัวมัวเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ดูประกายตาก็รู้ว่าเป็นคนค่อนข้างคิดเล็กคิดน้อย


 


 


           “หยางหลินคารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เยี่ยหลีย่นคิ้วเล็กน้อย นางไม่ได้รู้สึกอันใดกับคำที่คนอื่นใช้แทนตนเอง แต่เพียงการเรียกแทนตนเองของคนคนหนึ่งก็สามารถแสดงให้เห็นถึงท่าทีที่คนคนนั้นมีต่อตนได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพ่อบ้านคนนี้ไม่ได้ให้ความเคารพเยี่ยหลีเหมือนที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อกับซุนหมัวมัวมีให้


 


 


“พ่อบ้านหยางไม่ต้องมากพิธี”


 


 


           จากนั้นม่อซิวเหยาก็ได้แนะนำพ่อบ้านแม่บ้านที่จัดการเรื่องอื่นๆ ภายในจวนอีกหลายคน และพ่อบ้านแม่บ้านที่ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญอีกสามสี่คน เยี่ยหลีให้คนนำของขวัญแรกพบหน้าไปให้พ่อบ้านแม่บ้าน และตบรางวัลให้กับบรรดาบ่าวเล็กๆ น้อยๆ ซุนหมัวมัวและพ่อบ้านม่อจึงรู้สึกชื่นชมพระชายาคนใหม่คนนี้ยิ่งขึ้นไปอีก ถึงแม้ตระกูลเยี่ยจะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไรนัก แต่เห็นได้ชัดว่าพระชายาคนใหม่นี้จะได้รับสายเลือดแห่งความเป็นเลิศมาจากฝั่งเยี่ยฮูหยิน เพราะนางรู้จักกาละเทศะ ทั้งยังจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม แม้แต่ของขวัญแรกพบที่ให้กับพ่อบ้านแม่บ้านและของตกรางวัลบ่าวเล็กๆ ก็ยังใส่ใจและจัดการได้อย่างเหมาะสม


 


 


           “ท่านอ๋อง พระชายาพ่ะย่ะค่ะ” อาจิ่นปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เขาหยุดมองคนในโถงดอกไม้เล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเอ่ยเรียกขึ้น


 


 


           “อาจิ่น มีเรื่องอันใด” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม


 


 


           ในมืออาจิ่นมีกล่องทรงยาวอยู่กล่องหนึ่ง “เมื่อสักครู่มีคนส่งของสิ่งนี้มาให้ บอกว่ามอบให้พระชายาเป็นของขวัญแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “คนที่มาส่งของเล่า”


 


 


           “ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           ทั้งสองหันสบตากัน ก่อนม่อซิวเหยาจะพูดกับอาจิ่นว่า “นำเข้ามาเถิด”


 


 


           ม่อซิวเหยาหยิบขึ้นมาสำรวจ เมื่อเปิดกล่องดูภายในก็พบม้วนภาพวาดอยู่ม้วนหนึ่ง เมื่อดูจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอันใดจึงได้ส่งให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีก้มหน้าลงเปิดภาพออกดู ถึงจะไม่คิดว่าจะมีอะไรให้ประหลาดใจแต่ก็อดอุทานด้วยความตื่นเต้นไม่ได้ นี่เป็นภาพของหญิงงามภาพหนึ่ง หากใครที่ไม่เคยเห็นมาก่อนคงยากที่จะจินตนาการได้ว่ามีหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้อยู่ในใต้หล้าจริง คิ้วโก่งเรียวงาม ริมฝีปากเล็กเป็นกระจับ ใบหน้าที่คมงามตามสมัย ไม่ว่าจะใช้คำใดมาเอ่ยชื่นชมก็ถือเป็นการดูถูกความงามของนางทั้งสิ้น แม้จะเป็นเพียงภาพวาดแต่ยังคงสัมผัสได้ถึงประกายหยดน้ำที่วิบวับอยู่ในดวงตาคู่นั้น หญิงสาวในภาพอยู่ในชุดสีเรียบ สีหน้าแย้มยิ้มมือประคองโอบกอดฉินอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ แม้แต่ดอกไม้ในภาพยังดูประหนึ่งสีซีดจางไป


 


 


 “ขาวสว่างดังอาทิตย์กลางแสงอุทัย งามจับใจดั่งดอกบัวในสระน้ำ” เยี่ยหลีอุทานขึ้นเสียงเบา


 


 


           เมื่อเลื่อนสายตายังไปมุมของภาพ มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า…จุ้ยเตี๋ยยอดหญิงงามแห่งเมืองหลวงต้าฉู่ ผู้วาดหานหมิงเย่ว์


 


 


           ม่อซิวเหยาเองก็ตะลึงไปเช่นกัน สายตาที่มองภาพวาดเหมือนของหญิงสาวแสนสวยมีแวววูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่เยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว เยี่ยหลีนิ่งเงียบอยู่เพียงครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ม่อซิวเหยา


 


 


“ได้ข่าวว่าภาพวาดยอดหญิงงามแห่งต้าฉู่ของหานหมิ่งเย่ว์มีมูลค่ามหาศาล นี่ข้าเพียงแต่งงานเข้ามาเป็นวันที่สองก็ส่งภาพวาดเช่นนี้มาให้ ทำให้ข้าอดละอายใจไม่ได้”


 


 


ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ มองนาง “เจ้าดีมากแล้ว”


 


 


           เยี่ยหลีหันไปมองหญิงสาวในภาพเหมือนนั้นอีกครั้ง ก่อนม้วนภาพเก็บพร้อมเอ่ยถามอย่างลำบากใจว่า “จะทำอย่างไรกับของชิ้นนี้ดี” ถึงแม้ภาพนี้จะเป็นภาพที่ดี และมีมูลค่าสูงมาก แต่การเก็บไว้กับตัวไม่ถือเป็นความคิดที่ดีเอาเสียเลย ถึงแม้นางจะไม่ได้รู้สึกหึงหวง แต่ก็รู้สึกว่าตนไม่ควรที่จะเก็บภาพวาดอดีตคู่หมั้นของสามีตนเอาไว้


 


 


ม่อซิวเหยาตอบว่า “นี่เป็นของที่เขาให้เจ้า อาหลีจัดการเองได้เลย”


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น หรือเขาคิดว่านางจะบังคับให้เขาจัดการกับรูปภาพอดีตคู่หมั้นเขาอย่างนั้นหรือ นางแค่อย่างถามว่าเขาอยากได้หรือไม่ หากเขาอยากได้นางก็จะให้เขาเท่านั้นเอง


 


 


           “ข้าไม่มีความสนใจเรื่องภาพวาด อีกอย่าง การนั่งมองภาพหญิงสาวที่สวยกว่าตนทุกวันถือเป็นความสะเทือนใจไม่น้อย”


 


 


           ม่อซิวเหยาหยุดคิดเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกันซุนหมัวมัวว่า “เปลี่ยนกล่องใหม่ให้ที แล้วเดี๋ยวให้ใครนำภาพนี้ไปส่งให้ที่จวนผู้อาวุโสซู”


 


 


           “บ่าวน้อมรับคำสั่งเพคะ”


 


 


ซุนหมัวมัวตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วเดินออกมารับม้วนภาพวาดจากมือเยี่ยหลีไป ซุนหมัวมัวหมุนตัวหันไปส่งของให้สาวใช้ข้างกายก่อนถอยออกไปเตรียมการ


 


 


ม่อซิวเหยาหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “ไปกันเถิด องค์หญิงคงจะเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว” เยี่ยหลีพยักหน้า ลุกขึ้นจูงมือม่อซิวเหยาแล้วออกเดินไปพร้อมกัน ไม่ทันได้เห็นสีหน้าอิ่มเอมใจของซุนหมัวมัวและหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่มองอยู่ด้านหลัง


 


 


           “ท่านคิดว่าใครเป็นคงส่งภาพนี้มาให้หรือ” ระหว่างทางเดินไปยังเรือนที่องค์หญิงมาพำนักชั่วคราว เยี่ยหลีก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย ม่อซิวเหยาส่ายหน้า


 


 


“ภาพนั้นเดิมทีเคยเก็บอยู่ที่ตำหนักนี้ ข้าเคยคิดจะส่งไปให้ผู้อาวุโสซู แต่ในปีนั้นเกิดเรื่องขึ้นมากมาย กว่าเรื่องต่างๆ จะคลี่คลาย ภาพวาดนี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว”


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “ภาพของหานหมิงเย่ว์ภาพนี้มีมูลค่าพอๆ กับเมืองเมืองหนึ่ง ท่านไม่คิดจะส่งคนออกค้นหาเลยหรือ” อีกอย่าง…นั่นเป็นหญิงสาวที่งดงามหมดจดมากจริงๆ ด้วย มิน่าหานหมิงเย่ว์ถึงได้กล้าตั้งชื่อว่ายอดหญิงงามแห่งเมืองหลวง


 


 


ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองนางนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “หากข้าคิดอยากจะวาดภาพ ภาพวาดของข้าย่อมไม่ด้อยไปกว่าหานหมิงเย่ว์ หากมีเวลาข้าวาดภาพเจ้าให้ภาพหนึ่ง ดีหรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไปเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เอาสิ ขอบคุณท่านมาก”


 


 


 


 


[1] ไท่เฟย ชื่อเรียกพระชายาของอ๋ององค์ก่อน 

 

 


ตอนที่ 54-2 ชีวิตแต่งงานใหม่อันราบเรียบแต่นองไปด้วยเลือด

 

องค์หญิงเตรียมตัวพร้อมแล้วจริงอย่างที่เขาว่า ไปถึงหน้าประตูเรือนได้ไม่ทันไรก็มีสาวใช้ประจำตัวองค์หญิงมาเชิญทั้งสองเข้าไปด้านใน องค์หญิงกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนที่นอน เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาใบหน้าพระองค์ก็ยิ้มแย้มขึ้นทันที พระองค์หันไปกวักมือเรียกม่อซิวเหยา “ซิวเหยา รีบเข้ามาให้ป้าดูหน่อยเร็ว สะใภ้ของซิวเหยาด้วย มา มาเร็วเข้า” ม่อซิวเหยาพาเยี่ยหลีเดินเข้าไปทำความเคารพ “ถวายพระพรเสด็จป้า”


 


 


           องค์หญิงยื่นมือมาดึงเยี่ยหลีให้นั่งลงข้างกายตน เมื่อมองสำรวจโดยละเอียดแล้วจึงได้พยักหน้าติดต่อกันหลายครั้งด้วยความพอใจ “ดีๆๆ นี่สิถึงจะเป็นสะใภ้ที่ดีของตำหนักติ้งอ๋อง ข้ามองดูแล้วรู้สึกชอบใจยิ่งนัก ครั้งนี้ถือว่าฮ่องเต้จัดการได้ดีทีเดียว ซิวเหยาต้องครองคู่กับหลีเอ๋อร์ให้ดีนะ หากกล้าทำเรื่องกวนใจอันใดให้เยี่ยหลีโกรธ ข้าจะจัดการเจ้าเอง!”


 


 


ม่อซิวเหยาไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ “เสด็จป้า…”


 


 


เยี่ยหลีลอบยิ้มมองท่าทีประหนึ่งตกที่นั่งลำบากของม่อซิวเหยาซึงยากจะได้เห็นอย่างสุขใจ องค์หญิงจับมือเยี่ยหลีอย่างเป็นกันเอง “หลีเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้อะไร เจ้าเด็กคนนี้ตอนเด็กๆ เจ้าเล่ห์จะตาย ไม่เล่นซนสักวันเป็นไม่มี ขาดก็แค่พระบิดาเขายังไม่โกรธจนเป็นลมไปเท่านั้น หลายปีนี้ค่อยสุขุมขึ้นมาก โตแล้วค่อยรู้เรื่องขึ้นบ้าง พวกเจ้าสองคนสามีภรรยาอยู่ด้วยกันดีๆ หากโดนรังแกอะไรก็รีบไปหาข้า ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง”


 


 


           องค์หญิงผูไมตรีได้ง่ายกว่าที่นางคิดไว้มากนัก อาจเป็นได้ว่าเพราะพระองค์อายุมากแล้วจึงชื่นชอบเด็กๆ พระองค์จึงไม่มีทีท่านิ่งๆ หน้าตายอย่างที่ใครเขาว่ากันให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่ที่ดูเป็นกันเองเสียยิ่งกว่าฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยเสียอีก


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เป็นพระกรุณาเพคะเสด็จป้า ซิวเหยาไม่กล้ารังแกหลีเอ๋อร์หรอกเพคะ” เมื่อได้ยินชื่อที่เยี่ยหลีเรียกขานเขา องค์หญิงก็ตาเป็นประกายยิ่งดูดีพระทัยขึ้นไปอีก จับมือเยี่ยหลีเล่าวีรกรรมสมัยเด็กของม่อซิวเหยาให้เยี่ยหลีฟังไม่หยุด ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ที่นั่นด้วย มุมปากกระตุกไม่หยุดอย่างยากนักจะได้เห็น จะเอ่ยห้ามก็ไม่ได้ จะออกไปก็ไม่ควร ทำได้เพียงนั่งฟังองค์หญิงขายวัยเด็กของตนให้เยี่ยหลีฟัง โดยมีเยี่ยหลีคอยส่งสายตาทั้งแปลกใจและขบขันมาให้เป็นระยะๆ


 


 


องค์หญิงดูจะไม่ได้สนใจความรู้สึกของม่อซิวเหยาหรือจิตใจของเยี่ยหลีเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นเอ่ยถึงเรื่องซูจุ้ยเตี๋ยที่เป็นหญิงในดวงใจของม่อซิวเหยาเมื่อสมัยเด็กๆ อีกด้วย


 


 


           เยี่ยหลีรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาดูไม่ได้มีท่าทีว่าจะเอ่ยห้ามองค์หญิง นางจึงทำได้เพียงฟังต่อไป ดูเหมือนองค์หญิงจะไม่สังเกตเห็นสีหน้าของหนุ่มสาวทั้งสอง จึงจับมือเยี่ยหลีก่อนหันไปพูดกับม่อซิวเหยาว่า “ข้าเคยพูดไว้แต่แรกแล้ว เด็กสาวตระกูลซูนั่นไม่เหมาะกับเจ้า ตอนนี้ดูหลีเอ๋อร์สิ เจ้าต้องยอมรับนะว่าข้ามองคนได้แหลมคมกว่าเจ้าเยอะทีเดียว เจ้าว่าจริงหรือไม่”


 


 


           “เสด็จป้า…” ม่อซิวเหยายิ้มฝืนๆ “เสด็จป้า ข้ายังต้องพาอาหลีไปกราบไหว้ท่านพ่อท่านแม่ เรื่องนี้ท่าน…ไว้มีเวลาว่างค่อยคุยกับเยี่ยหลีเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”


 


 


           พระองค์หญิงก้มหน้าคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดจึงได้เอ่ยออกมาว่า “เจ้าพูดก็ถูก ไปยกน้ำชาให้พ่อแม่เจ้าก่อนก็แล้วกัน ให้ชื่อของเยี่ยหลีขึ้นไปอยู่ในบัญชีตระกูลนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ อีกเดี๋ยวข้าก็ต้องไปแล้ว อีกหน่อยหลีเอ๋อร์อย่าลืมมาเยี่ยมข้าบ้างก็แล้วกันนะ”


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เสด็จป้าอยู่ต่ออีกหลายวันหน่อยไม่ได้หรือเพคะ”


 


 


องค์หญิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ข้าแก่แล้ว ออกมานอกบ้านก็ไม่ค่อยชินนัก รอให้พวกเจ้าพ้นช่วงแต่งงานใหม่ไปก่อนแล้วค่อยไปพักที่ตำหนักข้าก็แล้วกันนะ”


 


 


ในเมื่อพระองค์หญิงเอ่ยเช่นนี้ ทั้งสองย่อมไม่กล้าขอให้พระองค์อยู่ต่อ ม่อซิวเหยาพาเยี่ยหลีไปจุดธูปไหว้บรรพบุรุษ แล้วกลับมารับประทานอาหารกลางวันเป็นเพื่อนองค์หญิง แล้วจึงได้ส่งองค์หญิงออกจากตำหนักติ้งอ๋องไป


 


 


           ช่วงบ่ายม่อซิวเหยาแยกไปในห้องหนังสือเพียงลำพัง เยี่ยหลีเองก็มีเรื่องอีกไม่น้อยที่จะต้องจัดการจึงกลับไปที่เรือนของตนเช่นกัน เมื่อได้มองตำหนักติ้งอ๋องที่กลับมาเงียบสงบอีกครั้งแล้ว เยี่ยหลีก็อดรู้สึกเหมือนฝันไปไม่ได้ เพียงชั่วเวลาแค่วันเดียว นางก็ย้ายจากจวนตระกูลเยี่ยมาอยู่ตำหนักติ้งอ๋องเสียแล้ว นี่นางแต่งงานและกลายมาเป็นพระชายาติ้งอ๋อง อีกทั้งยังประหนึ่งคุ้นเคยกับทั้งหมดที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ


 


 


           ด้วยเพราะนางเพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ พ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายของตำหนักติ้งอ๋องจึงไม่ได้นำกุญแจและสมุดบัญชีกองมหึมามาถมให้นาง ดังนั้นสิ่งที่เยี่ยหลีต้องจัดการจึงมีเพียงคนในเรือนกับสินเดิมของตนเพียงเท่านั้น เมื่อกลับมาถึงเรือน ซุนหมัวมัวกำลังคุยกับหลินหมัวมัวและเว่ยหมัวมัวรอนางอยู่ เมื่อเห็นเยี่ยหลีกลับเข้ามาก็รีบเดินเข้ามาคารวะทันที “พระชายา”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มแล้วกล่าวว่า “ซุนหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ของท่านแม่ ทั้งยังเป็นคนที่ท่านอ๋องไว้วางใจ ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้หรอก”


 


 


ซุนหมัวมัวเอ่ยด้วยความระมัดระวัง “ขอบคุณพระชายาที่เมตตา บ่าวมิกล้าละเลยพิธีเพคะ ท่านอ๋องสั่งให้บ่าวหาคนมารับใช้พระชายา ขอเชิญพระชายาลองดูว่ามีใครที่เข้าตาให้เก็บไว้คอยเรียกใช้เถิดเพคะ” พูดจบนางก็หยิบรายชื่อจากแขนเสื้อมายื่นให้เยี่ยหลี สิ่งที่จดอยู่บนกระดาษคือคนที่ได้รับคัดเลือกให้เข้ามารับใช้ที่เรือนของเยี่ยหลี


 


 


ซุนหมัวมัวเอ่ยต่อว่า “สาวใช้ข้างกายพระชายาตอนนี้มีทั้งหมดสี่คน นอกนั้นจะต้องมีคนคอยดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายและสำรับอาหารอย่างละสองคน เรื่องงานเย็บปักสี่คน สาวใช้ขั้นสองที่คอยรับใช้ในเรือนต้องมีทั้งหมดแปดคน และเป็นสาวใช้เด็กๆ ที่คอยทำงานใช้แรงงานอีกสิบหกคน สาวใช้ขั้นสองกับสาวใช้เด็กๆ นี่ให้หมัวมัวข้างกายพระชายาทั้งสองช่วยจัดการได้ แต่สาวใช้ที่จะคอยจัดการเรื่องเครื่องแต่งกายและสำรับอาหารนั้น พระชายาเป็นคนเลือกเองจะดีกว่าเพคะ”


 


 


           ระหว่างที่พูดนั้น ก็มีสาวใช้แต่งกายเหมือนเด็กสาวหกคนเดินเข้ามา พร้อมทำความเคารพเยี่ยหลีอย่างนอบน้อม “คารวะพระชายา”


 


 


           เยี่ยหลีก้มหน้าลงอ่านรายชื่อที่ซุนหมัวมัวส่งมาให้ ในรายชื่อระบุชื่อ อายุ และประวัติครอบครัวของแต่ละคน สมาชิกในครอบครัวมีใครบ้างล้วนระบุไว้โดยละเอียด และทุกคนล้วนเป็นเด็กที่เกิดในตำหนักติ้งอ๋องทั้งสิ้น เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนส่งใบรายชื่อชุดหนึ่งให้หลินหมัวมัวและเว่ยหมัวมัวไปจัดการเรื่องสาวใช้ขั้นสองและขั้นสาม ก่อนหันมายิ้มแล้วพูดกับซุนหมัวมัวว่า “คนที่ซุนหมัวมัวเป็นคนเลือก ข้าย่อมวางใจ” นางจึงเลือกสามสี่ชื่อขึ้นมาจากในรายชื่อนั้น เด็กสาวที่ถูกเลือกต่างรีบออกมาทำความเคารพและขอบคุณ เยี่ยหลีสั่งให้ชิงซวงไปนำถุงเงินที่บรรจุเหรียญเงินอยู่ไม่น้อยออกมาเป็นรางวัลให้กับทุกคนคนละถุง


 


 


           เมื่อจัดการเรื่องสาวใช้เรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงเชิญให้ซุนหมัวมัวนั่งลงพูดคุยกัน แล้วก็เป็นอย่างที่ม่อซิวเหยาว่าไว้ว่านางจะเล่าทั้งหมดที่นางรู้ให้ฟัง


 


 


เยี่ยหลีลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “ซุนหมัวมัว ที่ตำหนักนี่…นอกจากพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว ยังมีสตรีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่”


 


 


ซุนหมัวมัวอึ้งไป นางเข้าใจความหมายที่เยี่ยหลีต้องการถามอย่างรวดเร็ว จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรียนพระชายา นอกจากฮูหยินรองที่คอยรับใช้ข้างกายฮูหยินใหญ่สองคนแล้ว ที่ตำหนักนี้ก็ไม่มีสตรีคนอื่นอยู่อีกเพคะ”


 


 


เยี่ยหลีมองซุนหมัวมัวที่ยิ้มแปลกๆ ด้วยความขัดใจ ก่อนพยักหน้าว่านางรู้แล้ว ม่อซิวเหยาไม่มีอนุคนอื่น นี่ถือเป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยเรื่องปวดหัวที่นางต้องรับมือก็น้อยลงไปเยอะเลยทีเดียว หากไม่ได้คิดไปถึงเรื่องรำคาญใจอื่นๆ ที่นางอาจจะได้พบเจอในอนาคต เยี่ยหลีก็พบว่า ชีวิตในตำหนักติ้งอ๋องอาจสมบูรณ์แบบอย่างที่นางเคยวาดฝันไว้ก็เป็นได้ สามีภรรยาอยู่กันอย่างสมานสามัคคี ต่างฝ่ายต่างไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ไม่มีผู้อาวุโสในบ้านที่ต้องคอยไปคารวะเช้าเย็น ไม่มีสะใภ้คนอื่นๆ ให้ต้องคอยสู้รบปรบมือ แม้แต่อนุเล็กๆ ให้ต้องออกแรงหึงหวงก็ยังไม่มี หากชีวิตนางจะสงบราบเรียบเช่นนี้ไปตลอด นางคงต้องนึกซาบซึ้งใจที่ม่อจิ่งหลีถอนหมั้นและฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้นางเสียแล้ว


 


 


           “ท่านอ๋อง” อาจิ่นมองม่อซิวเหยาที่กำลังจ้องหนังสือในมืออย่างใจลอยด้วยความประหลาดใจ อาจิ่นติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่เล็ก ถึงแม้จะหัวช้าไปบ้างแต่กลับแยกออกว่าเมื่อใดที่ท่านอ๋องกำลังใช้ความคิด และเมื่อใดที่ท่านอ๋องกำลังใจลอย


 


 


ม่อซิวเหยามีประกายในตาแวบหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา “มีอะไรหรือ”


 


 


อาจิ่นนวดขมับด้วยความปวดหัวเป็นริ้ว “ท่านอ๋อง จะไปหาพระชายาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           ม่อซิวเหยาวางหนังสือกลับลงบนโต๊ะ เมื่อเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนใจของอาจิ่นจึงยิ้มน้อยๆ “หัวหน้าพ่อบ้านม่อหรือซุนหมัวมัวที่ให้เจ้าถามกัน”


 


 


           อาจิ่นเบิกตาโตขึ้นทันที ทั้งอาเขาและซุนหมัวมัวต่างบอกให้เขาเอ่ยถึงพระชายาต่อหน้าท่านอ๋องบ่อยๆ ให้หาโอกาสให้ท่านอ๋องและพระชายาใช้เวลาด้วยกันมากๆ แต่ตัวเขานั้นไม่รู้เลยว่าจะหาโอกาสนั้นได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อเห็นท่านอ๋องเหม่อลอยอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็นแล้ว แสดงว่าท่านไม่มีเรื่องอันใดที่ต้องทำ จึงใช้โอกาสนี้ถามท่านอ๋องว่าจะไปพบพระชายาหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วมิใช่หรือ


 


 


เมื่อเห็นท่าทางมึนงงของอาจิ่น ม่อซิวเหยาถึงกับส่ายหน้ายิ้มๆ “เอาละ ไม่ต้องคิดแล้ว ตอนนี้อาหลีกำลังทำอันใดอยู่”


 


 


           “ดูเหมือนจะกำลังจัดการกับของที่นำมาจากตระกูลเยี่ยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งไปเลย รอให้นางจัดการให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน แขกเมื่อคืนนี้อยู่ที่ใด”


 


 


           นัยน์ตาอาจิ่นฉายแววรำคาญใจ “ยังอยู่ที่คุกใต้ดินพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “ไปดูกันหน่อย” 

 

 


ตอนที่ 54-3 ชีวิตแต่งงานใหม่อันราบเรียบแต่นองไปด้วยเลือด

 

ภายในคุกใต้ดินที่มืดสลัว เปลวไฟภายในห้องทำให้เกิดเป็นเงาคนขึ้นที่กำแพงวูบไหวตามแสงไฟ ยิ่งทำให้คุกใต้ดินที่อึมครึมอยู่แล้วยิ่งดูลึกลับขึ้นไปอีก เฟิ่งจือเหยาซึ่งยังคงอยู่ในชุดผ้าไหมสีแดงสดที่ดูทั้งดุดันและหรูหรา กำลังนอนแผ่อยู่บนเก้าอี้เพียงตัวเดียวในคุกใต้ดินอย่างเกียจคร้าน ฟังเสียงโอดครวญที่ออกจะไม่เสนาะหูด้วยความพอใจ เทียบกับสองสามปีนี้ที่ผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายแล้ว สามสี่วันที่วุ่นวายนี้ทำให้เขาพอใจมากจริงๆ 


 


 


           “พูดมาเถิด เหตุใดเจ้าจึงบุกเข้าตำหนักติ้งอ๋องดึกๆ ดื่นๆ” 


 


 


           ตรงกลางห้อง ชายในชุดดำคนหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้บนกรอบไม้ บนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล กำลังจ้องมาที่เขาอย่างโกรธแค้น “เฟิ่งจือเหยา เจ้าเป็นคนของติ้งอ๋อง!” 


 


 


           “หือ รู้จักข้าด้วยหรือ ดูท่าเจ้าคงเป็นคนต้าฉู่สินะ” เฟิ่งจือเหยากระพริบตาหงส์ของตนน้อยๆ เกิดความสนใจขึ้นมาทันควันจนต้องลุกขึ้นนั่งมองคนตรงหน้า “ใครส่งมา วังหลวง ฮ่องเต้ของพวกเราหรือท่านในตำหนักจางเต๋อ หรือว่าถูกส่งมาจากจวนไหน” 


 


 


           “เหอะ!” คนที่ยอมพลีชีพกว่าครึ่งล้วนเป็นพวกกระดูกแข็งกันทั้งนั้น ต่อให้ใช้วิธีทรมานอย่างไรก็ไม่สามารถให้พวกมันคายความจริงออกมาได้ แค่คำพูดของเฟิ่งจือเหยาเพียงไม่กี่ประโยคย่อมไม่มีทางทำให้มันเปิดปากได้ 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาหรี่ตาลงด้วยความไม่พอใจ “ข้าจะคอยดูว่ากระดูกเจ้ากับเครื่องลงทัณฑ์ของข้าอันใดจะแข็งกว่ากัน! จัดการต่อ!” 


 


 


           เพี๊ยะ…! 


 


 


           แส้ที่ปลายเป็นตะขอแหลมคมทิ้งรอยแผลลงบนร่างของชายหนุ่มผู้นั้นต่อไป เฟิ่งจือเหยามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาขรึม 


 


 


           เสียงรถเข็นค่อยๆ เคลื่อนที่ใกล้เข้ามา เฟิ่งจือเหยาหมุนตัวไปมองเห็นม่อซิวเหยาเข้ามา ก็รีบยืนขึ้นต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม “ในเวลาแบบนี้ ไม่อยู่เป็นเพื่อนภรรยาใหม่ แต่กลับมาอยู่ที่นี่ทำไมกัน”  


 


 


ม่อซิวเหยาไม่ตอบ แต่เลิกคิ้วมองเขาแล้วกล่าวว่า “สารภาพแล้วหรือ”  


 


 


เฟิ่งจือเหยาหยิบม้วนสมุดที่วางอยู่ขึ้นมา “เมื่อคืนจับคนมาได้สี่กลุ่ม ทั้งหมดเจ็ดคน หนึ่งในนั้นมาจากเป่ยหรง อีกหนึ่งมาจากหนานจ้าว มีสองคนที่ฉวยโอกาสเข้ามาร่วมผสมโรงด้วย ส่วนอีกสามคนเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมสารภาพ คนจากเป่ยหรงนั้นคิดจะมาขโมยตัวเจ้าสาวไปเพื่อให้ตำหนักติ้งอ๋องเสื่อมเสีย ส่วนคนจากหนานจ้าวนั่นมาลองดูลาดเลาว่าพอมีโอกาสจะขโมยกระบี่หลั่นอวิ๋นไปได้หรือไม่ ส่วนอีกสองคนคิดฉวยโอกาสจะเข้ามาขโมยของ ส่วนเจ้านี่…จับมาได้คนแรกและเป็นคนที่มีฝีมือดีที่สุด ข้าสงสัยว่ามันมาเพื่อลอบสังหาร เพียงแต่ยังไม่รู้เป้าหมายของการลอบสังหาร คิดว่าคงไม่ได้มาเพื่อลอบสังหารเจ้า”  


 


 


ชายคนนี้ถูกองครักษ์จับไว้ได้ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในงานเลี้ยงตอนที่ม่อซิวเหยาไปยังห้องหอเป็นเพื่อนเจ้าสาว ดังนั้นเป้าหมายที่คิดจะมาลอบสังหารคงจะเป็นแขกคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในงานเป็นแน่ 


 


 


           “คนต้าฉู่หรือ” ม่อซิวเหยาหันไปถามชายหนุ่มที่ถูกแขวนอยู่ 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาเอามือลูบคาง “มันรู้จักข้า ต้องเป็นคนต้าฉู่แน่นอน” คุณชายสามตระกูลเฟิ่งเช่นเขามีชื่อเสียงโด่งดังก็จริง แต่ก็จำกัดอยู่เพียงในต้าฉู่และอยู่เพียงในเขตเมืองหลวงเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรคุณชายเจ้าเสน่ห์ที่จะถูกขับออกจากตระกูลและไม่มีสิทธิ์ในการสืบทอดอำนาจอย่างเขา ก็ไม่ค่อยน่าสนใจในสายตาคนภายนอกอยู่แล้ว 


 


 


           “จัดการต่อ หากเค้นอันใดออกมาไม่ได้จริงๆ ก็ฆ่าทิ้งเสีย” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ทางฟากเยียหลี่ว์ผิงเล่า” เฟิ่งจือเหยาชี้มือไปทางห้องข้างๆ โดยไม่ได้สนใจม่อซิวเหยาอีก แต่กลับสนใจมองชายชุดดำตรงหน้าพร้อมหัวเราะหึๆ ขึ้น  


 


 


ชายในชุดดำรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างทันที เขาย่อมรู้ดีว่าเมื่อถูกจับได้แล้วก็ยากนักที่จะมีชีวิตรอดกลับไป แต่เมื่อมาได้ยินติ้งอ๋องกล่าวว่าหากเค้นอันใดออกมาไม่ได้ก็ฆ่าทิ้งเสียด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ประหนึ่งเขากำลังพูดว่าวันนี้อากาศดีอย่างไรอย่างนั้น ก็ทำให้เขาอดรู้สึกใจสั่นขึ้นมาไม่ได้ ติ้งอ๋องไม่ใช้คนพิการไร้ประโยชน์ที่ทำอันใดไม่ได้อย่างที่คนนอกเข้าใจกันเป็นแน่! 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “อันที่จริงสำหรับข้าแล้ว เจ้าจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่ต่างอันใดกันหรอก เพราะถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี แต่หากเจ้าสารภาพข้าจะให้เจ้าตายอย่างสบายๆ แต่หากไม่สารภาพก็ไม่เป็นไร ก็จะได้ลองของเล่นใหม่ของข้าพอดี สองปีมานี้นี่น่าเบื่อจะตาย” นัยน์ตาชายผู้นั้นปรากฏแววตื่นกลัว แต่ยังคงปากแข็งไม่ยอมสารภาพ เฟิ่งจือเหยาไม่ได้สนใจ โบกมือให้คนที่ยืนรออยู่ลงมือ จากนั้นก็เดินเอ้อระเหยไปทางห้องที่ม่อซิวเหยาหายเข้าไป 


 


 


           อีกห้องหนึ่งดูจะสบายกว่าห้องแรกมาก อย่างน้อยก็เป็นห้องที่สะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นประหลาดหรือกลิ่นคาวเลือด เป็นห้องขังที่ลูกกรงทำจากเหล็กกล้าและแบ่งห้องนั้นออกเป็นสองส่วน องค์ชายจากเป่ยหรงที่เมื่อคืนยังพูดจาเหิมเกริม มาบัดนี้กลับมาอยู่ในห้องลูกกรงเหล็กฝั่งหนึ่ง และกำลังจับลูกกรงถลึงตามองม่อซิวเหยาด้วยแววตาโกรธแค้น  


 


 


“ม่อซิวเหยา ไอ้คนพิการ เจ้าบังอาจนักกล้าส่งคนไปจับองค์ชายอย่างข้า!” 


 


 


           “อ้อ ข้านึกว่าองค์ชายเป่ยหรงถือวิสาสะเข้าไปอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่จึงถูกคนของข้าจับมาเสียอีก” ม่อซิวเหยายิ้มมองเขาอย่างสุภาพและเยือกเย็น “แต่องค์ชายเป่ยหรงวางใจเถิด เห็นแก่ที่สองแคว้นของเรามีพรมแดนติดกัน ข้าจะไม่ทำร้ายแม้เส้นขนขององค์ชายเป็นแน่” 


 


 


           เมื่อสบกับสายตาที่เย็นเยียบของเขาแล้ว เยียหลี่ว์ผิงอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ จึงจับลูกกรงเหล็กเขย่าเต็มแรงด้วยความโกรธพร้อมตะโกนว่า “จะไม่ทำร้ายข้า แล้วที่เจ้าจับข้ามาขังไว้ที่นี่หมายความว่าอย่างไร ข้าจะต้องรายงานฮ่องเต้ของพวกเจ้าให้เขาตัดหัวเจ้าแน่!”  


 


 


มุมปากม่อซิวเหยายกขึ้นเล็กน้อย “ภายในแคว้นเป่ยหรงเกิดเรื่องด่วนขึ้นเล็กน้อย อันที่จริง เช้าวันนี้ทูตจากแคว้นเป่ยหรงได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เพื่อขอลากลับ และได้ออกจากเมืองหลวงกันไปตั้งแต่บ่ายแล้ว” 


 


 


           เยี่ยหลี่ว์ผิงอึ้งไป “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ายังอยู่ที่นี่ ใครจะกล้าไปไหน” 


 


 


           “องค์ชายเป่ยหรงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้กลับแคว้น อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนไปส่งเจ้ากลับแคว้นเป่ยหรงด้วยตนเอง ส่งกลับไปให้…องค์รัชทายาท” 


 


 


           เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเยียหลี่ว์ผิงก็ดูแย่ขึ้นทันที ถึงเขาจะเป็นคนเลวอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ รัชทายาทกับเยียหลี่ว์เหยี่ย พี่ชายแท้ๆ ของเขานั้นไม่ลงรอยกัน ทั้งสองต่อสู้กันทั้งต่อหน้าและลับหลังมาหลายปี หากเขาตกไปอยู่ในมือของรัชทายาท เช่นนั้น…พี่เจ็ดจะต้องฆ่าเขาทิ้งเป็นแน่!  


 


 


           “ม่อซิวเหยา เจ้าคนสารเลว! พี่เจ็ดข้าจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!” 


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้มอย่างเยือกเย็น เงยหน้าขึ้นจ้องเขาก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “เยียหลี่ว์เหยี่ยกล้าส่งเจ้ามารังควานข้า ก็คงเตรียมใจไว้แล้วว่าให้เจ้ามาคราวนี้อาจจะไม่ได้กลับไป หรือว่า เรื่องเมื่อวานเป็นความตั้งใจของเป่ยหรงอ๋องอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนี้ดูท่าว่าเขาก็คงไม่อยากได้ลูกคนนี้เสียแล้วกระมัง”  


 


 


เยียหลี่ว์ผิงดูเหมือนจะคิดสิ่งใดออก หน้าจึงถอดสีลงทันที เขาจ้องม่อซิวเหยาด้วยสายตาดุดัน  


 


 


“เจ้าพูดไร้สาระ! พี่เจ็ดไม่ทำเช่นนี้หรอก…” แต่น้ำเสียงเขาฟังดูไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย เขาโง่แต่เขายังไม่ได้บื้อ ตั้งแต่เล็กเขามักถูกคนล้อ แม้แต่พี่เจ็ดก็ยังว่าเขาโง่อยู่บ่อยๆ เสด็จพ่อก็ไม่ชอบเขา หรือว่าจะจริง… 


 


 


           เมื่อเห็นคนตรงหน้าใบหน้าซีดขาวไปทันที ไม่เหลือความเหิมเกริมได้ใจอย่างเมื่อวานอยู่อีก ปลายตาม่อซิวเหยามีแววคมกล้าขึ้น หากเป็นไปได้ เขาจะต้องให้องค์ชายเป่ยหรงตรงหน้านี้ตายอย่างศพไม่มีชิ้นดีอย่างแน่นอน ต่อให้ป่นเขาให้เหลือเพียงผุยผงก็ยังไม่อาจลบล้างความแค้นในใจเขาได้ น่าเสียดาย เจ้าซื่อบื้อนี่ดันเป็นองค์ชายแห่งเป่ยหรง ยังให้ตายตอนนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกับคนข้างนอกพวกนั้น ต่อให้เขาเกลียดพวกมันเพียงใด เคียดแค้นพวกมันเพียงใด แต่ต้องทำใจอดทนให้พวกมันมีชีวิตอยู่ต่อไป 


 


 


           ม่อซิวเหยาไม่อยากมองคนตรงหน้าอีก จึงหมุนตัวออกจากห้องขังนั้นไป เห็นเฟิ่งจือเหยากำลังยืนพิงกำแพงยิ้มแหะๆ มองเขาอยู่ “เจ้าคิดจะส่งเจ้าทึ่มนี้ไปให้รัชทายาทเป่ยหรงจริงๆ หรือ” 


 


 


           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “แค่เพียงเจ้าทึ่มนี่แน่นอนว่ายังไม่พอ ภายในสิบวันนี้ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการใดให้มันคายสิ่งที่มันรู้ออกมาให้หมด ลองดูว่ามีอันใดพอเป็นประโยชน์บ้าง แล้วนำทั้งหมดส่งให้เยียหลี่ว์หง” 


 


 


           “ไม่ว่าวิธีการใดหรือ” 


 


 


           “ใช่แล้ว วิธีการใดก็ได้ทั้งนั้น ข้าต้องการเพียงคำตอบ ต่อให้เขาทึ่มแค่ไหนแต่ก็เป็นถึงน้องชายแท้ๆ ของเยียหลี่ว์เหยี่ย ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้อันใดเลย” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึม “เมื่อเสร็จเรื่องแล้วเจ้ารู้ดีว่าจะต้องจัดการอย่างไร” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้นไปอีก “เข้าใจแล้ว อันที่จริงเขาทึ่มมากทีเดียว ต่อให้ทึ่มกว่านี้อีกหน่อยก็ไม่น่าประหลาดใจอันใดจริงหรือไม่ ให้เยียหลี่ว์ผิงกับเยียหลี่ว์เหยี่ยกัดกันอย่างนั้นหรือ ข้าชอบความคิดนี้” 


 


 


           ม่อซิวเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจ “ฝากเจ้าด้วย” 


 


 


           “ท่านอ๋องค่อยๆ ไป เชิญไปสำราญใจกับชีวิตแต่งงานใหม่ของท่านเถิด” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยามองส่งม่อซิวเหยาและอาจิ่น จนร่างของทั้งสองหายไปจากปากประตูคุก จึงหันไปมองคุกใต้ดินที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึมครึมแล้วยิ้มขึ้นอย่างพอใจ หูยังได้ยินเสียงร้องขอชีวิตดังลอยออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งสดใสขึ้นไปอีก เจ้าพวกคนโง่เอ๋ย ยั่วใครไม่ยั่ว ดันมายั่วม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาคนนี้ไม่มีความเมตตามาตั้งแต่สามขวบแล้ว นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นแม้แต่จิตใจก็ยังกลายเป็นสีดำไปด้วยแล้วอีก 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม