เกิดใหม่อีกครั้ง ฉันเป็นองค์ชาย 501-526

 501

กลับแคว้นจวินไหม 


 


 


 


 


 


“ชวีฟู่เขากล่าวว่าไม่อยากออกจากวังไปสมรส ต้องการอยู่ในวัง ข้าก็ไม่ได้คำนึงถึงการคัดค้านของหมู่ขุนนาง ตั้งชวีฟู่เป็นจวิ้นหวัง[1]” 


 


 


“และสาเหตุที่ข้าไม่ตั้งเขาเป็นชินหวัง ก็เพราะเห็นว่าเขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ถึงแม้ข้าเองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะชดเชยให้เขา แต่เหมือนว่าในใจของเขาได้ตัดสินใจอะไรไปแล้ว อีกทั้งยังแน่วแน่ไม่มีทางแปรเปลี่ยนด้วย” 


 


 


เซียวจือเฉาทอนถอนใจแผ่วเบา หลับตาแล้วเอ่ยว่า “ที่ชวีฟู่กลายเป็นแบบนี้ จริงๆ ก็ไม่อาจโทษคนอื่นได้ แต่ว่าเขาเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของข้า” 


 


 


“ดังนั้น เจ้าถึงไม่อาจลงมือกับเซียวชวีฟู่ได้” หลิงลั่วพยักหน้า นางเข้าใจความรู้สึกของเซียวจือเฉา เพราะนางก็เป็นแบบนี้เช่นกัน 


 


 


หากจะให้นางทำอะไรกับหลิงซี นางก็ไม่อาจลงมือได้ หลิงซีเจ้าเด็กคนนั้นตั้งแต่เด็กก็ชอบตามนางเป็นที่สุด 


 


 


หลังจากพูดได้แล้ว คำแรกที่เรียกคือ “พี่สาว” 


 


 


หลังจากเขียนตัวอักษรได้ ตัวอักษรแรกที่เขียนออกมาคือ “ลั่ว” 


 


 


สามปีที่จากมานี้ คนที่หลิงลั่วคิดถึงและเป็นห่วงที่สุดก็คือหลิงซี ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง… 


 


 


“ใช่แล้ว…” เซียวจือเฉาเคลื่อนไหวพยักพระพักตร์เล็กน้อย ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิดโรยและหมดหนทาง 


 


 


หลิงลั่วส่งเสียงถอนใจเบาๆ และเอ่ยปากกล่าวกับเซียวจือเฉาว่า “เรื่องหลังจากนี้ ก็มอบให้ข้ากับสิบสี่ และฉือน้อยจัดการเถิด รอไว้พวกข้ากำจัดกำลังหนุนที่ยังไม่สมบูรณ์ของเซียวชวีฟู่ได้แล้ว ส่วนที่ว่าจะทำอย่างไรกับเซียวชวีฟู่ต่อไป เจ้าก็ยังต้องตัดสินใจเอาเอง” 


 


 


เซียวจือเฉาพยักหน้า และก็ไม่เอ่ยพระโอษฐ์ 


 


 


ความจริง แม้แต่นางเองก็ยังไม่ทราบ ว่าอันที่จริงแล้วนางต้องทำอย่างไร จะปล่อยเซียวชวีฟู่ไป หรือว่าจะลงโทษไปตามความผิด 


 


 


ช่างไม่ง่ายดายเลยที่เซียวจือเฉาสามารถนั่งครองอยู่บนตำแหน่งจักรพรรดินีแห่งแคว้นจื้อโหยวนี้ได้ ยามเมื่อนางยังเป็นไท่จื่อ นางก็ขึ้นชื่อว่าเ**้ยมโหด เลือดเย็นในการปฏิบัติตัวต่อสังคม แต่มีสิ่งเดียวที่นางไม่อาจแข็งใจทนได้ คือการลงมือเซียวชวีฟู่ 


 


 


ฟังจั่วฉือมองเซียวจือเฉาที่เป็นแบบนี้ ก็ขมวดคิ้วแน่น ในดวงตากังวลเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


เขาเข้าใจนิสัยของเซียวจือเฉา เขาย่อมทราบสิ่งที่เซียวจือเฉาคิดอยู่ในใจ แต่ก็ทราบว่ายามเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาซึ่งยากจะแก้ไขได้ ก็มักจะมีทั้งต้องสละและต้องเลือก ความจริงเรื่องที่ง่ายดายแบบนี้ ช้าเร็วเซียวจือเฉาก็ต้องคิดได้ชัดเจน 


 


 


หลังจากส่งเซียวจือเฉากับฟังจั่วฉือออกไปแล้ว หลิงลั่วสับสนในอารมณ์อยู่บ้าง นางนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือ ประคองศีรษะด้วยมือข้างเดียว ดูท่าทางอิดโรยอย่างมาก 


 


 


“ร่างกายอ่อนล้าแล้วก็ไปพักผ่อนเสีย เรื่องของเซียวชวีฟู่ก็ไม่ได้รีบด่วนจนต้องทำในตอนนี้” 


 


 


จวินชิงเหยียนเดินไปที่ข้างหลังหลิงลั่ว และเหยียดมือออกมานวดกดจุดไท่หยาง[2]ข้างดวงตาให้นาง 


 


 


หลิงลั่วทอดถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า “สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ จือเฉาต้องละทิ้งเซียวชวีฟู่ ข้าเป็นห่วงว่านางคงจะรับไม่ไหว” 


 


 


“นั่นเจ้าคงจะกังวลมากไปแล้ว” จวินชิงเหยียนเอ่ยเสียงเบาๆ เม้มมุมปากแผ่วเบา และกล่าวว่า “จือเฉาที่นั่งครองอยู่ในตำแหน่งตอนนี้ได้ จะไม่เคยเจออุปสรรคความยากลำบากอะไรมาเลยรึ? เรื่องนี้เป็นเพราะว่ามี เซียวชวีฟู่เข้ามาร่วมด้วย เพียงทำให้จือเฉายากจะรับได้ไหวแค่ในชั่วครู่เท่านั้น หลังจากไม่นานนางก็จะสามารถคิดได้” 


 


 


“อืม…” 


 


 


หลิงลั่วส่งเสียงอืมรับคำ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ… 


 


 


“หลังจากที่ลูกเกิดแล้ว พวกเรากลับแคว้นจวินกันสักระยะหนึ่งเถิด?” 


 


 


คำพูดของจวินชิงเหยียน ทำให้หลิงลั่วชะงัก นางหันหน้ากลับมามองจวินชิงเหยียน “เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากจะกลับไปเล่า” 


 


 


“เจ้าคิดถึงหลิงซีแล้วมิใช่หรือ? ถึงแม้ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะให้เจ้าได้เจอเขามากนัก…” 


 


 


เพราะว่าทุกครั้งที่หลิงซีได้เห็นหลิงลั่ว ก็จะทำหน้าทำปากเป็นผู้คว้าชัยใส่เขา แล้วแสร้งทำเป็นสุดแสนจะเย่อหยิ่ง และจูงมือหลิงลั่วจากไปอย่างภาคภูมิ… 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] จิ้นหวัง หมายถึง ผู้เป็นญาติพี่น้องทางสายโลหิตกับฮ่องเต้ และถูกแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง 


 


 


[2] จุดไท่หยาง คือ จุดปราณที่อยู่บริเวณขมับ ตรงระหว่างหางคิ้วกับหางตา ใช้รักษาอาการปวดศีรษะ หรืออาการเมื่อยล้าสายตาได้

 

 

 


ตอนที่ 502

 

โคแก่กินหญ้าอ่อน 


 


 


 


 


 


เพราะว่าทุกครั้งที่หลิงซีได้เห็นหลิงลั่ว เขาก็จะทำหน้าทำปากเป็นผู้คว้าชัยใส่เขา แล้วแสร้งทำเป็นสุดแสนจะเย่อหยิ่ง และจูงมือหลิงลั่วจากไปอย่างภาคภูมิ…  


 


 


จวินชิงเหยียนอดไม่ไหวที่จะกระตุกมุมปาก เจ้าเด็กนั่นก็เป็นเด็กที่ร้ายกาจมาก เป็นเด็กเป็นเล็กแต่ท่าทางแก่เกินวัย ไม่ได้แพ้พ่ายให้จวินนั่วเหยียนเลยแม้แต่น้อย 


 


 


จริงดั่งที่จวินชิงเหยียนคิด หลังจากหลิงลั่วได้ยินชื่อของหลิงซีแล้ว ท่าทีความรู้สึกทั้งมวลก็เปลี่ยนไปหมดสิ้น 


 


 


จวินชิงเหยียนเม้มริมฝีปากอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจที่กล่าวกับหลิงลั่วไปแบบนั้น 


 


 


ตอนนี้เอง จวินนั่วเหยียนก็วิ่งจากตำหนักชั้นในมาที่ข้างหน้าหลิงลั่ว พลันกระโดดขึ้นไปบนขาของหลิงลั่ว นั่งหันหน้าให้นาง มือน้อยจ้ำม่ำลูบจับส่วนท้องที่นูนขึ้นมาของหลิงลั่ว และบุ้ยปากกล่าวอย่างไม่ค่อยสบายใจ 


 


 


“ท่านแม่ ต่อไปเมื่อท่านได้ยินชื่อท่านน้าเล็กแล้วก็อย่าดีใจขนาดนี้จะได้หรือไม่” 


 


 


จวินชิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินแล้ว ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง กล่าวได้ดีมาก! 


 


 


“เหตุใดนั่วเอ๋อร์ถึงไม่อยากให้แม่ดีใจมากหลังจากที่ได้ยินชื่อของซีเอ๋อร์ล่ะ?” 


 


 


หลิงลั่วอมยิ้มและพูดแหย่ เดิมนางคิดว่าเด็กน้อยอิจฉา ถึงได้กล่าวแบบนี้ แต่นางไม่ได้คิดเลยว่าจวินนั่วเหยียนจะกล่าวเช่นนี้… 


 


 


“ท่านแม่ ท่านดูท่านสิอายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่มีธุระกงการอะไร แล้วไปเล่นกับเด็กคนอื่นได้อย่างไร? ท่านช่างเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อน! เล่นกับท่านพ่อเสียยังจะดีกว่าอีก!” 


 


 


จวินชิงเหยียน “…” จบกัน ครั้งนี้เจ้าลูกชายก่อเรื่องเข้าแล้ว 


 


 


แต่ว่า เขาในฐานะที่เป็นพ่อของเจ้าตัวน้อย กลับ… ไม่ได้เป็นห่วงเจ้าตัวน้อยเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทางเหมือนได้ชมเรื่องสนุกเข้าเสียได้! 


 


 


“…” หลิงลั่วกระตุกมุมปากพร้อมด้วยโทสะ 


 


 


โคแก่กินหญ้าอ่อน?! 


 


 


หลิงลั่วมองจวินนั่วเหยียนด้วยท่าทีซึ่งคิดเอาเองว่า “อารมณ์ดี” เป็นอย่างมาก จวินนั่วเหยียนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากยิ่งนัก 


 


 


เอ่อ ข้าเพิ่งจะกล่าวอะไรผิดไปหรือเปล่า…? 


 


 


เมื่อหันหน้ากลับมา อยากจะขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อของตัวเอง กลับเห็นท่านพ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ ท่านแม่ด้วยท่าทางสุขุมไม่สะทกสะท้าน และยังลิ้มชิมชาอยู่ด้วย! 


 


 


ตาดวงโตของเจ้าเด็กน้อยหันเคลื่อนไป สายตาเปล่งประกายความเจ้าเล่ห์ 


 


 


จวินชิงเหยียนถูกเขามอง รู้สึกเสียวยุ่บยั่บที่ข้างหลังอยู่บ้าง 


 


 


จู่ๆ เจ้าเด็กน้อยก็ยิ้ม เงยหน้าตาที่ไร้เดียงสามองหลิงลั่ว “ท่านแม่ คำพูดเหล่านี้ท่านพ่อเป็นคนบอกนั่วเอ๋อร์หมดเลย ที่จริงนั่วเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าที่ท่านพ่อพูดก็ไม่ถูก ท่านแม่งดงามขนาดนี้ จะเป็นโคแก่ได้อย่างไรกัน? น่าจะเป็นโคอ่อนสิถึงจะถูก!” 


 


 


“พรืด! แค่กๆๆ…” 


 


 


จวินชิงเหยียนกลั้นไว้ไม่ไหว พ่นน้ำชาออกมาทันที! 


 


 


คุณพระ เจ้าลูกชายคนนี้ช่างหลอกลวงกันสุดๆ! 


 


 


จวินนั่วเหยียนเม้มริมฝีปากมองจวินชิงเหยียนเหมือนว่าแผนการสำเร็จผล ท่าทางนั้นเหมือนกล่าวอีกว่า ฮึๆ ท่านได้ดูเรื่องน่าขันของข้า คราวนี้คงไม่อวดภูมิแล้วสินะ? 


 


 


มุมปากหลิงลั่วกระตุก แล้วก็เบิกตามองจวินชิงเหยียนอย่างอารมณ์เสีย “จวินชิงเหยียน! เจ้าว่าข้าเช่นนี้ต่อหน้าลูกเชียวรึ?! เจ้าสอนให้ลูกเสียคนหมดแล้ว! เจ้าถวิลหาความรู้สึกของกระดานซักผ้าแล้วใช่ไหม? ” 


 


 


จวินชิงเหยียนรีบส่ายหน้าทันใด ที่จริงเมื่อก่อนเขาก็ไม่เคยคุกเข่าบนกระดานซักผ้าเลย คิดว่าคงจะไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมาโดยตลอด แต่ว่าเพียงหลังจากที่หลิงลั่วได้ให้เขาทดลองครั้งแรกแล้ว… 


 


 


จวินชิงเหยียนหนาวยะเยือก ส่วนใหญ่ที่หลิงลั่วโกรธ ล้วนเป็นหายนะที่เจ้าเด็กน้อยโยนให้เขา จวินชิงเหยียนถอนหายใจ ก่อนที่หลิงลั่วจะตั้งครรภ์ เขาก็เคยมีความคิดไม่ต้องการเขามิใช่หรือ! ถึงกับต้องทำกับเขาขนาดนี้เชียวรึ?! 


 


 


“หลิงลั่ว ข้าไม่เคยกล่าวเช่นนั้นเลย! เจ้าอย่าได้ฟังนั่วเอ๋อร์กล่าวส่งเดช!” 

 

 

 


ตอนที่ 503

 

ไม่อาจหนีรอดได้สักคน


 


 


 


 


“นั่วเอ๋อร์ไม่ได้กล่าวส่งเดช!”


 


 


จวินนั่วเหยียนยู่ปากขึ้นมา มองจวินชิงเหยียนอย่างไม่พอใจ แล้วก็เงยหน้ามองหลิงลั่วอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ “ท่านแม่ นั่วเอ๋อร์พูดจริงทั้งหมด”


 


 


หลิงลั่วก้มหน้ามองเจ้าเด็กน้อย เผยรอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยนอย่างยิ่งออกมา “นั่วเอ๋อร์วางใจได้…”


 


 


จวินนั่วเหยียนเพิ่งจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก็ได้ยินหลิงลั่วกล่าวอีกครั้งว่า “เจ้ากับท่านพ่อเจ้า ไม่อาจหนีรอดได้เลยสักคน”


 


 


จวินนั่วเหยียน “…” เฮ้อ… สุดท้ายแล้วก็ยังซ่อนตัวเองไว้ไม่สำเร็จสินะ…


 


 


จวินชิงเหยียน “…” แล้วนี่มันมีความเกี่ยวข้องกับเขาสักนิดหนึ่งไหม?! เหตุใดเขาต้องพลอย “ถูกลงโทษ” ไปพร้อมๆ กันด้วย!


 


 


“ฉะนั้นแล้ว พวกเจ้าอยากจะเลือกบุ๋น หรือว่าจะเลือกบู๊?”


 


 


หลิงลั่วเม้มริมฝีปากยิ้ม ทั้งที่เป็นรอยยิ้มเจิดจ้าทำให้คนไม่อาจละสายตาไปได้จริงๆ ทว่าในสายตาของ            จวินนั่วเหยียนกับจวินชิงเหยียนสองพ่อลูกนั้น กลับเต็มไปด้วยอันตราย


 


 


สองพ่อลูกมองสบตากัน และก็กล่าวเสียงพร้อมเพรียงกันโดยไม่แม้แต่จะคิดเลยว่า “บุ๋น!”


 


 


ล้อกันเล่นรึ! พวกเขาไม่มีทางเลือกคุกเข่าบนกระดานซักผ้าหรอก!


 


 


ครั้นแล้ว สิบห้านาทีต่อมา ในลานของตำหนักที่ครอบครัวหลิงลั่วสามคนอาศัยอยู่ ก็ปรากฏฉากอันน่าสนใจดั่งต่อไปนี้


 


 


เรือนร่างสีขาวทั้งเล็กและใหญ่สองร่าง นั่งยองๆ อยู่ที่หน้าม้านั่งตัวเล็กและใหญ่สองตัว คัดตำราด้วยการขีดเขียนเส้นตัวอักษรจีน


 


 


และหลิงลั่วก็นั่งอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป มองทั้งสองคนด้วยท่าทางเกียจคร้าน


 


 


“ท่านพ่อ ท่านแม่ให้ข้าคัดตำรารวบรวมยาจีน ข้ายังพอเข้าใจได้อยู่ แต่ว่าเหตุใดท่านแม่ถึงให้ท่านคัดตำราอบรมสตรี กับตำราเตือนสตรีเล่า? อีกทั้งยังให้ท่านคัดสามหลักปฏิบัติสี่หลักคุณธรรมของสตรีห้าสิบรอบอีก?”


 


 


“…” ตอนนี้จวินชิงเหยียนอยากจะปิดหน้ามาก ไม่มีหน้าจะไปเจอคนแล้วจริงๆ!


 


 


แต่ก็ยังอดกลั้นอารมณ์ อธิบายให้จวินนั่วเหยียน อย่างไรแล้วนี่ก็เป็นเรื่องของการดูแลเอาใจใส่ในหน้าตาภาพลักษณ์ของเขา…


 


 


“นั่วเอ๋อร์เอ๋ย ที่พ่อคัดไม่ใช่ตำราอบรมสตรีกับตำราเตือนสตรี ทั้งท่านแม่เจ้ายังบัญญัติตำราอบรมบุรุษ กับตำราเตือนบุรุษเองอีกด้วย และสามหลักปฏิบัติสี่หลักคุณธรรมนั้นท่านแม่เจ้าก็เป็นผู้บัญญัติ…”


 


 


“หา? ท่านพ่อ ที่แท้ท่านกลัวท่านแม่ขนาดนี้เชียวรึ?!”


 


 


“…นี่พ่อไม่ได้กลัวท่านแม่เจ้า! นี่คือรัก คือรักต่างหาก!”


 


 


เพื่อภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของตนเองต่อหน้าเจ้าตัวน้อยในอนาคตแล้ว ทว่าจวินชิงเหยียนก็จริงจังในการแก้ไขข้อผิดพลาดในคำพูดของเจ้าเด็กน้อยเป็นอย่างมาก


 


 


จวินชิงเหยียนหันหลังให้ทางเข้าประตูใหญ่ เขาชำเลืองตามองไปทางประตูใหญ่แวบหนึ่ง


 


 


อย่าให้เจ้าฟังจั่วฉือนั่นมาเยือนในเวลานี้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้ว… คงจะจินตนาการชีวิตในภายภาคหน้าของเขาที่แคว้นจื้อโหยวได้เลย…


 


 


แต่ว่าจนแล้วจนรอด ชีวิตมนุษย์ ก็ไม่ได้เป็นไปดั่งที่ใจคนต้องการขนาดนั้น


 


 


ขณะนี้เอง เสียงของฟังจั่วฉือก็แว่วมาจากปากประตู…


 


 


“หลิงลั่ว ข้าจะบอกเจ้า เมื่อครู่…เอ๊ะ? นี่ทำอะไรอยู่?”


 


 


ฟังจั่วฉือมองจวินชิงเหยียนที่พยายามลดการมีตัวตนอยู่ของตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะเม้มมุมปากขึ้นช้าๆ สุดท้ายแทบอยากแย้มยิ้มไปจนถึงหลังกกหู


 


 


“ฮ่าๆๆ! หลิงลั่ว นี่มันเรื่องอะไรกัน? ชิงเหยียนกับนั่วเอ๋อร์ไปกวนเจ้าอย่างไร? เจ้าถึงได้ให้ชิงเหยียนคัด…ตำราอบรมสตรี กับตำราเตือนสตรี?! ฮ่าๆๆ!”


 


 


เมื่อฟังจั่วฉือเห็นตัวอักษรบนตำราแล้ว ก็กุมท้องหัวเราะดังลั่นขึ้นมาโดยปราศจากภาพพจน์ใดๆ


 


 


หลิงลั่วที่นั่งอยู่อีกข้างกระตุกมุมปาก จวินชิงเหยียนชายตาขึ้น หรี่ดวงตาลงอย่างน่ากลัว นั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น รัศมีพลังงานบดอัดฟังจั่วฉือที่ยืนอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ “เจ้าหัวเราะอะไร?”


 


 


“เอ่อ…เปล่า ข้าไม่ได้หัวเราะ…”


 


 


ฟังจั่วฉือรีบส่ายหน้า พยายามหุบปากไว้แน่นสุดแรง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่ไหล่สองข้างจะสั่น


 


 


“ที่ข้าคัด คือตำราอบรมบุรุษ! และตำราเตือนบุรุษ!! เจ้าไม่รู้ตัวหนังสือหรือ?”

 

 

 


ตอนที่ 504

 

เจ้ารู้หมดเลยได้อย่างไร


 


 


 


 


ในดวงตาของฟังจั่วฉือยังคงเต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม จู่ๆ จวินชิงเหยียนพลันยิ้มออกมา ฟังจั่วฉือเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง


 


 


“ถึงอย่างไรก็คัดได้ตั้งมากมายแล้ว ข้าก็ไม่ถือสาถ้าหากจะคัดเพิ่มอีกรอบ และส่งไปที่จือเฉา ให้นางได้พิจารณาดูดีๆ”


 


 


จวินชิงเหยียนมองฟังจั่วฉือซึ่งยิ้มอยู่อย่างเจิดจรัสอย่างมีนัยลึกซึ้งแวบหนึ่ง และก้มหน้าเขียนคัดต่อ


 


 


“…” รอยยิ้มของฟังจั่วฉือแข็งค้างอยู่บนใบหน้า ฉิบ! นี่มันโหดร้ายเกินไปหรือไม่?!


 


 


ฟังจั่วฉือรีบวิ่งแล่นไปเป็นสุนัขรับใช้อยู่ข้างๆ จวินชิงเหยียน นั่งลงยองๆ ยิ้มและเอ่ยเอาใจว่า “ชิงเหยียนเอ๋ย เจ้าดูสิเราสองคนก็คนกันเองทั้งนั้น พวกเรารู้จักกันมาตั้งนานแล้ว ข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าจริงๆ ได้อย่างไรกัน?”


 


 


จวินชิงเหยียนคัดตำราด้วยท่าทางสงบเงียบสุขุม ไม่มองฟังจั่งฉือ ถึงขั้นที่ไม่ชายสายตาแลเขาเลยสักนิด


 


 


“ชิงเหยียน ข้าพูดจริงนะ เมื่อครู่ข้าไม่ได้หัวเราะเจ้าจริงๆ! ข้าสาบาน!”


 


 


ยังคงไม่สนใจเขาต่อไป


 


 


ฟังจั่วฉือกัดฟัน ไม่ได้ จะให้จือเฉารู้ว่าหลิงลั่วควบคุมชิงเหยียนอย่างไรไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแล้วชีวิตในอนาคตของเขา ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของลูกทั้งสามคนแน่!


 


 


“ชิงเหยียน เจ้าไม่เหมือนกับข้า เจ้ากับนั่วเอ๋อร์ล้วนถูกลงโทษด้วยกัน หากว่าข้าถูกลงโทษ อีเสวี่ยกับหย่าหานต้องหัวเราะเยาะข้าตายแน่!”


 


 


“ท่านพ่อบุญธรรม ที่แท้แม้แต่อีเสวี่ยกับหย่าหานก็ยังกล้าหัวเราะเยาะท่านด้วยรึ โชคดีที่ท่านพ่อกับท่านแม่มีข้าเป็นลูกแค่คนเดียว”


 


 


จวินนั่วเหยียนทำท่าถอนใจอย่างโล่งอก ฟังจั่วฉือกระพริบตา แล้วถึงได้รู้สึกตัวว่า เจ้าเด็กคนนี้กำลัง                       หัวเราะเยาะที่เขามีในฐานะต่ำต้อยในวังนี่นา!


 


 


“นั่วเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ลืมสิ ยามนี้ท่านแม่ของเจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ นี่หากว่าให้กำเนิดออกมาห้าหกคนในคราวเดียว…”


 


 


“ฟังจั่วฉือ!” ไม่รู้ว่าหลิงลั่วมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังฟังจั่วฉือตั้งแต่เมื่อใด ตำราที่อยู่ในมือตบลงบนศีรษะของฟังจั่วฉือทันที!


 


 


“ไอ้หยา! หลิงลั่ว เจ้าทำอะไรเนี่ย!”


 


 


ฟังจั่วฉือรีบกุมศีรษะของตัวเองที่โดนตีจนเจ็บ และได้ยินเสียงอันไม่สบอารมณ์ของหลิงลั่วแว่วมาข้างๆหู “ไร้สาระ! ก็สมควรแล้วที่เจ้าจะโดนตี! ให้กำเนิดออกมาห้าหกคนในคราวเดียวอะไรกัน?! เจ้าคิดว่าข้าเป็นหมูรึ!”


 


 


“ได้ๆๆ ไม่ใช่ห้าหกคน”


 


 


ฟังจั่วฉือลูบศีรษะของตัวเอง เห็นเจ้าเด็กน้อยหยิบกระดาษเซวียนจื่อใหม่เอี่ยมออกมาหนึ่งแผ่น


 


 


หลังจากฟังจั่วฉือได้เห็นประโยคเหล่านี้ที่เขียนอยู่ข้างบนแล้ว ก็บรรลุฉันทามติร่วมกันได้ในทันที


 


 


เขาหันหน้ากลับไปมองหลิงลั่ว และกล่าวว่า “หลิงลั่ว ข้าเพิ่งจะกลับมาจากคุกที่ขังหวงชือชุน เจ้าเดาสิว่าข้าเห็นอะไร?”


 


 


“หวงชือชุนก็ตายแล้ว”


 


 


น้ำเสียงของหลิงลั่วไม่ใช่ข้อสงสัย แต่เป็นความมั่นใจ


 


 


เพราะนางเองก็รู้ว่าเซียวชวีฟู่ไม่มีทางปล่อยให้มีสิ่งใดๆ รวมทั้งคนใดที่เป็นภัยต่อเขาเอาไว้แน่ แต่ว่าหลิงลั่วคิดไม่ถึงว่า เซียวชวีฟู่จะกระทำการได้รวดเร็วขนาดนี้


 


 


“โอ้!” ฟังจั่วฉือมองหลิงลั่วอย่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก “นี่เจ้ายังสามารถเดาได้ด้วยรึ?! แต่ว่าเจ้าคงเดาไม่ออกหรอกว่าใครฆ่าหวงชือชุน!”


 


 


“หือ? ไม่ใช่เซียวชวีฟู่หรอกหรือ”


 


 


หลิงลั่วเลิกคิ้ว คราวนี้ถึงได้ละสายตาออกจากบนตำรา และมองทางฟังจั่วฉือ


 


 


“ไม่ใช่แน่นอน!” ฟังจั่วฉือมองหลิงลั่วอย่างน่าลึกลับ “คนผู้นี้เจ้าก็เคยไปมาหาสู่กับเขา แต่ว่าเจ้าเดาไม่ออกเด็ดขาดว่าเขาคือ…” ใคร


 


 


ยังไม่ได้กล่าวคำว่า ‘ใคร’ ออกมา ก็ได้ยินจากในปากของหลิงลั่ว ที่เปล่งสองคำช้าๆ ออกมาว่า “เหยียนปิน”


 


 


“…” ฟังจั่วฉือว่างเปล่าเหมือนเป็นบอลยางที่ลมรั่วออกมาทันที “เจ้ารู้หมดเลยได้อย่างไร?”


 


 


หลิงลั่วมองฟังจั่วฉืออย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าบอกข้าเองมิใช่หรือ ว่าข้าเคยไปมาหาสู่กับคนคนนั้น และยังเป็นคนที่ข้าไม่มีทางคาดเดาออกเด็ดขาด”

 

 

 


ตอนที่ 505-506

 

ตอนที่ 505 ในเมื่อให้ลั่วมาเกิด เหตุใดถึงให้ฉือมาเกิดด้วย


หลิงลั่วมองฟังจั่วฉืออย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าบอกข้าเองมิใช่หรือ ว่าข้าเคยไปมาหาสู่กับคนคนนั้น และยังเป็นคนที่ข้าไม่มีทางคาดเดาออกเด็ดขาด”


ฟังจั่วฉือ “…” นี่ก็บอกไปแล้วมิใช่หรือว่าเจ้าคาดเดาไม่ออกหรอก… เพราะอย่างนั้น จริงๆ แล้วเจ้าทำได้อย่างไรเล่า?


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหวงชือชุนถูกเหยียนปินฆ่า?” หลิงลั่วมองฟังจั่วฉือ ในดวงตาฉายแววสงสัย


“หึๆ ในที่สุดก็มีสิ่งที่เจ้าไม่รู้แล้ว!”


ฟังจั่วฉือยังโอ้อวดไม่ทันเสร็จ ก็ได้ยินหลิงลั่วกล่าวอีกครั้งว่า “คงไม่ใช่ว่ามีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเหยียนปินตกอยู่ในที่เกิดเหตุหรอกนะ?”


“…” ตอนนี้ฟังจั่วฉืออยากจะเงยหน้าขึ้นฟ้าและส่งเสียงถอนใจยาวจริงๆ ในเมื่อให้ลั่วมาเกิด เหตุใดถึงให้ฉือมาเกิดด้วยเล่า!


จวินชิงเหยียนกับเจ้าเด็กน้อยมองสบตากัน ก้มหน้าอย่างรู้กันดี และคัดต่อไปอย่างสงบเรียบร้อย


ให้แล้วๆ ไปเถิด รอจนกระทั่งฟังจั่วฉือโน้มน้าวหลิงลั่วได้ คาดว่าพวกเขาก็คงคัดเสร็จหมดแล้ว


ฟังจั่วฉือหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาจากปากแขนเสื้อด้วยอารมณ์สลดอยู่บ้าง ยื่นให้หลิงลั่ว และยังกล่าวว่า “หลิงลั่ว เจ้าพูดมาว่าเจ้าเพิ่งจะตามรอยข้าไปใช่หรือไม่! เหตุใดไม่ว่าอะไรเจ้าก็รู้ไปหมด!”


“ตามรอยเจ้า? จำเป็นด้วยหรือ?”


หลิงลั่วรับป้ายอาญาสิทธิ์ที่ฟังจั่วฉือยื่นมาให้ ข้างหน้าเขียนตัวอักษรชิวหลานสองคำ ข้างหลังสลักว่าเหยียนปิน


แค่เห็นก็ทราบ ว่านี่เป็นของประจำตัว


“เจ้าไม่ตามข้าไปดูที่คุกสวรรค์หน่อยหรือ?”


“มีอะไรต้องดู?” หลิงลั่วโยนหยกแขวนไปข้างๆ “รู้หมดแล้วว่าใครเป็นคนทำ ยังมีอะไรต้องดูอีกรึ?”


ฟังจั่วฉือ “…” เจ้าไม่ไปกับข้า หากว่าชิงเหยียนนำตำราอบรมบุรุษ กับตำราเตือนบุรุษอะไรเหล่านี้ ส่งไปให้ที่จือเฉาล่ะก็…


ฟังจั่วฉืออดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้าน เขายังอยู่ในวัยแรกแย้มดุจพฤกษา จะจากไปด้วยวัยเยาว์ขนาดนี้ไม่ได้นะ!


เหมือนกับว่ามองความคิดของฟังจั่วฉือออก หลิงลั่วเก็บป้ายอาญาสิทธิ์ที่เพิ่งจะโยนทิ้งไปขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เดินไปข้างหน้าจวินชิงเหยียน “สิบสี่ คืนนี้เหยียนปินน่าจะปฏิบัติการ พกป้ายอาญาสิทธิ์ไป ตอนนี้ข้าไม่เหมาะที่จะลงมือกับเขา มอบให้เจ้าจัดการแล้วกัน”


สุดท้าย หลิงลั่วยังกล่าวเสริมเพิ่มอีกคำ “ที่เหลือไม่ต้องคัดแล้ว”


จวินชิงเหยียนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว รับป้ายอาญาสิทธิ์ในมือของหลิงลั่วมา และพยักหน้า “วางใจเถิดลั่วลั่ว ข้าไม่มีทางปล่อยเหยียนปินไปเด็ดขาด”


“ไม่” หลิงลั่วส่ายหน้า “ปล่อยเขาไป และก็ต้องฉีกผ้าปิดหน้าของเขาออกด้วย สุดท้ายให้เขารู้สึกว่าเขาหลบหนีไปได้โดยอาศัยความสามารถของตัวเอง”


“ทำไมกัน?” เจ้าเด็กน้อยเอ่ยปากพูดในเวลาที่เหมาะสม วางพู่กันในมือลง วิ่งมาที่ข้างกายหลิงลั่วและเอ่ยถาม


“ให้เขากลับไปรายงานให้เซียวชวีฟู่ทราบว่าเขาโดนเปิดโปงแล้ว และที่พวกเราส่งเขากลับไป เซียวชวีฟู่ต้องทราบเจตนาของข้าแน่”


“โอ้! ข้ารู้แล้ว!” ฟังจั่วฉือตบต้นขา “หลิงลั่วเจ้าอยากจะแสดงศักดาให้ฟู่อ๋องเห็นสินะ! นี่มันมาถึงไหนแล้ว พวกเจ้ายังจะวิวาทบาดหมางเช่นนี้อยู่อีก?”


“ข้าไม่ได้วิวาทบาดหมาง” หลิงลั่วมองฟังจั่วฉือ สีหน้าท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง “ต่อให้จับเหยียนปินเอาไว้ ก็ไม่มีหลักฐานชี้ชัดระบุตัวเซียวชวีฟู่ อีกทั้งต่อให้ขาดเหยียนปินไปสักคน สำนักชิวหลานก็ยังส่งคนอื่นมาได้ เทียบกับคนอื่นแล้ว พวกเรารู้จักเหยียนปินดีกว่า ดังนั้นปล่อยเขาไปก่อน”


“อืม…”


คืนนั้น เหยียนปินมาเยือนที่หลิงลั่วจริงๆ เวลานี้หลิงลั่วกับเจ้าเด็กน้อยกำลังหลับอยู่พอดี จวินชิงเหยียนสวมชุดขาว นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือที่ตำหนักชั้นนอก บนโต๊ะข้างกาย มีเพียงแค่เทียนซึ่งมอดไหม้อยู่เล่มหนึ่ง


ยามเมื่อเหยียนปินมา เป็นเพราะว่าลม แสงเพลิงจึงเคลื่อนกวัดแกว่งเบาๆ ดวงตาจวินชิงเหยียนเคลื่อนไหวเล็กน้อย มุมปากเม้มขึ้นอย่างแผ่วเบา 


   


ตอนที่ 506 พลังอำนาจเบื้องหลังของสำนักชิวหลาน คือใคร


ยามเมื่อเหยียนปินมา เป็นเพราะว่าลม แสงเพลิงจึงเคลื่อนกวัดแกว่งเบาๆ ดวงตาจวินชิงเหยียนเคลื่อนไหวเล็กน้อย มุมปากเม้มขึ้นอย่างแผ่วเบา


“ผู้พิทักษ์กฎแห่งสำนักชิวหลาน มาที่วังหลวงแคว้นจื้อโหยวในยามดึกสงัด เพื่อการอันใดหรือ” 


เหยียนปินเพิ่งจะกระโดดเข้ามาในตำหนักชั้นใน เมื่อได้ยินเสียงอันเฉยชาของจวินชิงเหยียน พลันชะงัก เมื่อหันหน้ากลับมา ก็เห็นจวินชิงเหยียนที่กำลังเล่นเพลิงเทียนอยู่


“ดึกดื่นขนาดนี้แล้วท่านเหยียนอ๋องยังไม่พักผ่อน ไม่ใช่ว่ากำลังรอคนแซ่เหยียนอย่างข้าอยู่ที่นี่หรอกหรือ?”


“เหอะ…” นัยน์ตาของจวินชิงเหยียนละออกจากเชิงเทียน เคลื่อนไปบนใบหน้าของเหยียนปิน เม้มมุมปากและหยันเสียงทางจมูกเบาๆ “บังเอิญนัก เจ้าช่างกล่าวได้แม่นยำจริงๆ”


กล่าวเสร็จ จวินชิงเหยียนก็นำป้ายอาญาสิทธิ์อันดำขลับที่อยู่หลังเชิงเทียนมาถือไว้ในมือ ดูท่าทางเหมือนกับพินิจดูอย่างไม่ได้สนใจไยดี “เจ้ามา เพื่อสิ่งนี้”


น้ำเสียงจวินชิงเหยียนเป็นการยืนยัน เมื่อสายตาของเหยียนปินได้สัมผัสเข้าที่ป้ายอาญาสิทธิ์ซึ่งอยู่ในมือของจวินชิงเหยียน ก็พลันตระหนกจนม่านตาหดตัว เพียงชั่วพริบตา ก็กลับมาเป็นปกติ


“ในเมื่อของของข้าอยู่ในมือของท่านเหยียนอ๋อง ท่านเหยียนอ๋องก็โปรดมอบคืนให้ข้าเสีย”


“คืนให้เจ้าได้ แต่ว่า…” จวินชิงเหยียนกุมป้ายอาญาสิทธิ์ไว้ในมือ “หลังเจ้ากลับไปที่จวนฟู่อ๋องแล้ว บอกเซียวชวีฟู่ว่า ฉากแรกพวกข้าชนะแล้ว พวกข้าก็พร้อมจะรอหมากต่อไปของเขาอยู่ทุกเมื่อ”


“ข้าไม่ทราบว่าท่านเหยียนอ๋องหมายความว่าอะไร”


ในความมืด สายตาเหยียนปินที่ปรากฎความแปลกใจแวบหายไป และไม่อาจหลบสายตาของจวินชิงเหยียนพ้น แต่ว่าเขาไม่ได้แสดงออกใดๆ เลย หยันเสียงเย็นชาว่า “ไม่ทราบหรือ? ทราบหรือไม่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าเลย เจ้าเพียงแต่ต้องนำคำพูดไปบอก ไม่จำเป็นต้องกล่าวอย่างอื่นมากความ”


กล่าวจบ ก็โยนป้ายอาญาสิทธิ์ไปทางเหยียนปิน


เหยียนปินเอื้อมมือออกมารับป้ายอาญาสิทธิ์ไว้ โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากกล่าว หยิบป้ายอาญาสิทธิ์ แล้วออกไปทางหน้าต่าง


สายตาจวินชิงเหยียนหม่นลง สำนักชิวหลาน อยู่ได้กับอะไรกันแน่นะ?


มันเหมือนปรากฏขึ้นมาอย่างลอยๆ แต่หากเบื้องหลังไม่มีพลังอำนาจอยู่บ้างสักหน่อย จะเป็นไปได้อย่างไรที่ในเวลาอันสั้นขนาดนี้ สามารถก้าวมาอยู่ขั้นนี้ได้?


เพียงแต่เบื้องหลังของสำนักชิวหลานไม่มีทางเป็นแคว้นจวินกั๋ว แคว้นซีหวา และแคว้นจื้อโหยวสามแคว้นนี้แน่ แต่บนแผ่นดินใหญ่นี้ นอกจากสามแคว้นนี้แล้ว ยังจะมีตระกูลขุนนางหรือประเทศใดที่แอบซ่อนอยู่อีกหรือ?


ฟ้าสางวันต่อมา เหยียนปินนำเรื่องนี้บอกแก่เซียวชวีฟู่ บรรยากาศอึมครึมอยู่รอบกายเซียวชวีฟู่ และกล่าวเพียงประโยคเดียวว่า


“เริ่มการปฏิบัติการนั้นได้แล้ว”


เหยียนปินขยับเล็กน้อย และพยักหน้า “ได้ แต่จำเป็นต้องใช้เวลา อาจจะประมาณเจ็ดแปดเดือนในการเตรียมพร้อมและปฏิบัติ”


“เจ็ดแปดเดือนก็เจ็ดแปดเดือน ครั้งนี้ ข้าต้องกำจัดความเย่อหยิ่งจองหองของหลิงลั่วให้ได้!”


ในดวงตาเซียวชวีฟู่ ฉายแววอารมณ์อะไรที่ไม่อาจทราบได้ นิ้วมือคว้าขอบหน้าต่างไว้แน่น จนบนไม้ของขอบหน้าต่างนั้นปรากฏเป็นรอยแนวสี่เส้นจริงๆ!   


เหยียนปินเพียงแต่มองเงาหลังของเซียวชวีฟู่ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยปาก และยังหันหลังกลับไป พร้อมจากไป


อีกทางด้านหนึ่งที่ในวังหลวง จวินชิงเหยียนไม่ได้นอนตลอดคืน คิดอยู่ตลอดว่าคนซึ่งอยู่เบื้องหลังของสำนักชิวหลานคือใครกันแน่ แต่ใคร่ครวญตลอดทั้งคืนแล้ว ก็ยังคิดคำตอบที่เหมาะสมไม่ได้เลย


ดูเหมือนว่าเมื่อเขามีเวลา คงต้องพลิกค้นหาบันทึกประวัติศาสตร์ของทุกแคว้นและคัมภีร์โบราณของสามแคว้นเสียแล้ว


หลิงลั่วกับจวินนั่วเหยียนเดินออกมาจากตำหนักชั้นใน เห็นใต้ตาของจวินชิงเหยียนดำคล้ำนิดหน่อย คิ้วของหลิงลั่วก็ขมวดเล็กน้อย


ให้จวินนั่วเหยียนไปทานมื้อเช้าก่อน แล้วนางก็เดินไปที่ข้างๆ จวินชิงเหยียน และสอบถามสาเหตุ


จวินชิงเหยียนบอกเรื่องที่ตนเองคิดอยู่ตลอดคืนให้หลิงลั่วทราบ หลังจากที่หลิงลั่วได้ยินแล้ว คิ้วก็ขมวดแน่น


“เรื่องนี้ไม่สามารถเดาสุ่มได้ ต้องมีหลักฐานแท้จริงที่ประจักษ์ชัด อย่างไรแล้วก็ไม่อาจกำหนดขอบเขตความจำกัดอยู่เพียงแต่ในแคว้นจวิน แคว้นซีหวาและแคว้นจื้อโหยวแค่สามแคว้นได้”

 

 

 


ตอนที่ 507-508

 

ตอนที่ 507 ฝาแฝดชายหญิง 


 


 


 


 


 


“เรื่องนี้ไม่สามารถเดาสุ่มได้ ต้องมีหลักฐานแท้จริงที่ประจักษ์ชัด อย่างไรแล้วก็ไม่อาจกำหนดขอบเขตจำกัดอยู่เพียงแต่ในแคว้นจวินกั๋ว แคว้นซีหวาและแคว้นจื้อโหยวแค่สามแคว้นได้” 


 


 


กล่าวถึงสำนักชิวหลาน ผู้ที่หลิงลั่วมีความประทับใจตราตรึงที่สุดไม่ใช่เหยียนปิน แต่เป็นชิวไต้เมี่ยว สตรีที่เกือบจะได้จุมพิตจวินชิงเหยียน! 


 


 


ทุกครั้งที่คิดถึงสีหน้าท่าทางของนาง หลิงลั่วก็โมโหจนกัดฟันกรอดๆ 


 


 


“แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีทางจะเป็นแคว้นหมานอี๋ได้ บัดนี้แคว้นหมานอี๋อยู่ภายใต้การบัญชาของเก๋อเอ่อร์ซิว เก๋อเอ่อร์ซิวยิ่งปฏิบัติตามหลักความคิดที่ว่าผู้ใดไม่ระรานเรา เราก็ไม่ระรานเขา ซึ่งตอนนี้แคว้นหมานอี๋ก็ใกล้จะตัดขาดกับโลกไปแล้ว” 


 


 


หลิงลั่วนิ่วคิ้วเล็กน้อย ที่กล่าวมาก็มีเหตุผล อย่างนั้นที่เหลืออยู่ นอกเสียจากว่า… 


 


 


“หรือว่านอกจากแคว้นที่พวกเรารู้จักแล้ว ยังมีแคว้นอื่นอยู่อีก?” 


 


 


หลิงลั่วขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าจะมี อย่างนั้นก็น่าจะไม่สนใจในหนทางแห่งโลก ไม่ข้องเกี่ยวในสังคมอุดมสุขของโลกมิใช่หรือ? เหตุใดถึงจะต้องก่อเรื่องเช่นนี้ด้วย 


 


 


จวินชิงเหยียนไม่พูดจา อันที่จริงประเด็นนี้เขาก็ไม่อาจมั่นใจได้ เพียงสิ่งเดียวที่เขามั่นใจได้ ก็คือเขาทราบว่าในแคว้นเหล่านี้ ไม่มีทางที่จะมีอำนาจสนับสนุนสำนักชิวหลาน 


 


 


… 


 


 


เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปแปดเดือนแล้ว 


 


 


หนึ่งเดือนก่อน หลิงลั่วให้กำเนิดฝาแฝดชายหญิง ตั้งชื่อให้ว่าจวินลั่วชิงกับจวินรุ่ยซี 


 


 


จวินรุ่ยซีน่ารักเป็นอย่างมาก รูปร่างหน้าตานั้นเหมือนกับหลิงลั่วตอนเด็กเป็นที่สุด 


 


 


หลิงลั่วตั้งชื่อเล่นตอนเด็กให้จวินรุ่ยซี นามว่าจวินเป่าเป้ย[1] 


 


 


เพียงพริบตาเดียว เด็กสองคนก็อายุครบเดือนแล้ว 


 


 


และในเวลาแปดเดือนนี้ หลิงลั่วกับจวินชิงเหยียนก็ได้รื้อค้นตำราประวัติศาสตร์ไปทั่ว กล่าวได้อย่างแน่ใจ ว่าหาอำนาจเบื้องหลังของสำนักชิวหลานเจอแล้ว 


 


 


ซึ่งนั่นก็คือแคว้นชิวหลาน ที่ยามนั้นถูกแคว้นจวินกั๋ว แคว้นซีหวาและแคว้นจื้อโหยวร่วมมือกันกำราบไปเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน! 


 


 


ถัดต่อมา บนราชสำนักในเช้าวันหนึ่ง ผู้ว่าการเมืองหลวงรายงานว่า ที่เมืองชายขอบของเมืองหลวง เหมือนกับว่าชาวบ้านในหมู่บ้านหลิวเจียแห่งทงโจวถูกวิชามารเข้า พูดจาเหลวไหลฟังไม่ได้ความ และเมื่อเจอคนก็ยังจะกัดด้วย หลังจากถูกกัด บาดแผลไม่สามารถฟื้นฟูสู่สภาพเดิมได้ สุดท้ายบาดแผลเน่าเปื่อย ได้แต่ต้องตัดส่วนที่ถูกกัดทิ้งไป 


 


 


เรื่องนี้ก็ช่างแปลกประหลาดจริงๆ ดังนั้นเซียวจือเฉาก็ได้ให้ฟังจั่วฉือนำพานายทหารเกรียงไกรสามพันนายรุดหน้าไปหมู่บ้านหลิวเจียแห่งทงโจว ให้ไปปิดหมู่บ้านหลิวเจียเสียก่อน เรื่องในภายหลัง ค่อยๆ วางแผนกันอีกที 


 


 


หลังจากหลิงลั่วได้ฟังอาการโรคที่ฟังจั่วฉือกล่าวแล้ว ก็ขมวดคิ้วแน่น 


 


 


อาการโรคนี้ แม้แต่นางก็ยังไม่เคยได้ยิน แต่นางคาดคะเนว่า เรื่องนี้จะต้องหนีไม่พ้นมีความเกี่ยวข้องพัวพันกับสำนักชิวหลานเป็นแน่แท้ 


 


 


อย่างไรแล้วพวกเขาก็ไม่ได้รู้เกี่ยวกับแคว้นชิวหลานเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าในแคว้นชิวหลานนั้นจะมีวิชาลี้ลับเช่นนี้อยู่หรือไม่ 


 


 


หลิงลั่วกับจวินชิงเหยียนติดตามฟังจั่วฉือไปที่เมืองทงโจว 


 


 


ปล่อยให้จวินนั่วเหยียน จวินลั่วชิงและจวินลุ่ยซีอยู่ที่ในวังหลวง และให้องครักษ์ชิงอยู่คุ้มกันพวกเขาที่นั่น 


 


 


เมืองทงโจวอยู่ห่างจากนครหลวงออกไปหนึ่งกิโลเมตร เวลาเพียงแค่ครึ่งวัน ก็มาถึงที่เมืองทงโจว 


 


 


และหมู่บ้านหลิวเจีย ก็อยู่ไม่ไกลออกไปที่นอกเมืองทงโจว  


 


 


ฟังจั่วฉือสั่งการให้ปักหลักตั้งค่ายขึ้นในสถานที่ซึ่งมีระยะห่างจากหมู่บ้านหลิวเจียห้าสิบเมตร 


 


 


หลังจากคนของหมู่บ้านหลิวเจียติดเชื้อวิชามารนั่นแล้ว ผู้ว่าของเมืองทงโจวก็ได้ให้นักการใช้รั้วกั้นไม้ไผ่ล้อมรอบหมู่บ้านหลิวเจียเอาไว้ ไม่ให้พวกเขาออกมาข้างนอก 


 


 


แต่ว่าคนในหมู่บ้านล้วนปราศจากสติสัมปชัญญะ ก็ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นก็มีคนที่อยากจะพุ่งออกมาจากรั้วกั้นทุกวัน  


 


 


เพราะกลัวว่าพวกเขาจะทำร้ายประชาชนที่เดินผ่าน ดังนั้นจึงต้องมีข้าข้าราชการทหารเฝ้ายามอยู่ที่นี่ทุกวัน หากพบว่ามีผู้ที่อยากจะพุ่งออกมา ก็จะบังคับกักพวกเขาเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านหลิวเจีย พูดตรงๆ ก็คือการกระทำที่ใช้กำลังรุนแรง 


 


 


บรรดานายทหารปักหลักตั้งค่ายอยู่ หลิงลั่ว จวินชิงเหยียนและฟังจั่วฉือสามคนก็ไปตรวจดูที่รอบนอกของหมู่บ้านหลิวเจียกันก่อน 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] เป่าเป้ย หมายถึง ที่รัก ของล้ำค่า หรือเรียกบุคคลผู้เป็นที่รักยิ่ง ใช้เรียกบุตร หรือคนรัก 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 508 พิษอสุภหรือ 


 


 


 


 


 


บรรดานายทหารปักหลักตั้งค่ายอยู่ หลิงลั่ว จวินชิงเหยียนและฟังจั่วฉือสามคนก็ไปตรวจดูที่รอบนอกของหมู่บ้านหลิวเจียกันก่อน 


 


 


รอบบริเวณของหมู่บ้านหลิวเจียล้อมรอบด้วยหมู่ข้าราชการทหาร 


 


 


ดูท่าทางแล้ว ข้าราชการทหารทั้งเมืองล้วนสับเปลี่ยนกันยืนเฝ้ายาม  


 


 


หลังจากพวกหลิงลั่วสามคนเดินเข้าไปใกล้ คนหนึ่งในบรรดาข้าราชการทหารหันหน้าหลับมา มองทั้งสามคน มองแวบเดียวก็เห็นฟังจั่วฉือที่สวมชุดเกราะ “เทียบเคียงดูแล้ว ท่านผู้นี้ก็คือใต้เท้าที่มาจากเมืองหลวงสินะขอรับ!” 


 


 


“ถูกต้อง” 


 


 


ฟังจั่วฉือพยักหน้า มองข้าราชการทหารคนนั้น “เจ้าเป็นปู่โถวของเมืองทงโจวรึ?” 


 


 


“ใช่ขอรับ” ข้าราชการทหารคนนั้นพยักหน้า และกล่าวว่า “ข้าน้อยนามว่าเการุ่ย เป็นปู่โถวที่ศาลาว่าการเมืองทงโจวขอรับ”  


 


 


“เมื่อก่อนหมู่บ้านหลิวเจียเป็นผืนแผ่นดินที่สงบสุข บ้านเรือนในหมู่บ้านล้วนไม่ต้องปิดประตูในยามวิกาล ผู้ใดจะคิด ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…” 


 


 


เการุ่ยมองหมู่บ้านที่มีความทรุดโทรมอยู่บ้าง และถอนใจอย่างหนักหน่วง 


 


 


“เข้าไปได้หรือไม่?” 


 


 


สายตาของหลิงลั่วละออกจากหมู่บ้าน มองไปทางเการุ่ยที่อยู่ข้างๆ ฟังจั่วฉือ 


 


 


เการุ่ยชะงัก เห็นได้ชัดว่าไม่คาดคิดว่าหลิงลั่วจะถามคำถามนี้กับเขา 


 


 


สภาพในตอนนี้ของหมู่บ้านหลิวเจีย ผู้คนล้วนอยากจะเลี่ยงหนีกันแทบไม่ทัน สตรีผู้นี้กลับอยากจะเข้าไป นางก็ไม่กลัวจริงๆ หรือ? 


 


 


“แม่นาง ขณะนี้ในหมู่บ้านอันตรายเป็นที่สุด บุ่มบ่ามเข้าไปไม่ได้หรอก” 


 


 


“ข้าทราบว่าอันตราย แต่ว่าหากไม่เข้าใจก็ไม่มีทางพบเจอได้ว่าเหตุใดชาวบ้านเหล่านั้นถึงได้เป็นเช่นนี้” 


 


 


หลิงลั่วถอนสายตาออกไป ในยามนี้บุรุษวัยฉกรรจ์ที่สายตาไร้ชีวิตชีวา และเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดอยู่บ้าง กำลังเดินมุ่งมาทางพวกเขา  


 


 


คว้ามือมาทางที่มีคน ซึ่งรั้วกั้นคั่นอยู่ และอ้าปากอย่างดุร้ายน่ากลัว ความจริงคือออยากจะกระชากกัดพวกเขา 


 


 


หลิงลั่วเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น แทนที่จะบอกว่าโดนวิชามาร ควรบอกว่าเป็นซอมบี้… จะดีกว่า 


 


 


เพียงแต่ว่าที่ไม่เหมือนกับซอมบี้ก็คือ ผิวหนังของพวกเขาก็ยังเป็นเหมือนเช่นคนธรรมดาไม่มีผิดเพี้ยน 


 


 


นักการสามสี่คนเดินไปตรงหน้าชาวบ้านที่ไม่ได้สติคนนั้น ใช้แท่งไม้ยาวในมือยันที่ข้างหน้าเขาไว้ ไม่ให้เขาเข้าใกล้รั้วกั้น 


 


 


หลิงลั่วขมวดคิ้ว ถ้าหากสิ่งที่เรียกว่า ‘วิชามาร’ นี้ เหมือนกับพิษอสุภ อย่างนั้นจะให้ผู้เป็นพาหะออกไปจากวงล้อมนี้ไม่ได้เด็ดขาด 


 


 


ดูเหมือนว่า นางต้องไปที่หมู่บ้านหลิวเจียสักรอบเสียแล้ว 


 


 


“แม่นาง สภาพของคนผู้นี้เจ้าก็ได้เห็นแล้ว หมู่บ้านหลิวเจียไม่ได้ใหญ่ แต่ว่ากลับมีชาวบ้านอยู่ไม่น้อย และคนข้างในล้วนเป็นแบบนี้กันหมด หากเจ้าเข้าไปแล้ว โอกาสเจ้าจะรอดตายมีน้อยมากเลยนะ” 


 


 


หลิงลั่วมองชาวบ้านคนนั้น ลักษณะท่าทางของเขาดูเหมือนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก หลิงลั่วตกตะลึง หรือว่าเขายังคงมีสติรู้ตัวอยู่นิดหน่อยหรือ? 


 


 


หลิงลั่วหรี่ตามองดวงตาของคนผู้นั้น สายตาของเขาที่มองนางเหมือนกำลังพูดว่า ฆ่าข้าเสีย รีบฆ่าข้าซะ! 


 


 


มือสองข้างที่อยู่ข้างกายหลิงลั่วกำแน่นแล้วก็คลายออก สุดท้ายนางพลันขยับข้อมือ เข็มเงินในแขนเสื้อหล่นลงในฝ่ามือของนาง 


 


 


เมื่อขยับข้อมือ เข็มเงินก็เข้าสู่ตำแหน่งหัวใจของคนผู้นั้น หลังจากแทงเข้าไปแล้ว ชาวบ้านคนนั้นกลับยิ้มออกมา และเป็นยิ้มแบบที่ได้หลุดพ้น 


 


 


หลิงลั่วดึงสายเส้นไหมที่กำอยู่ในมือ เข็มเงินกลับมาอยู่ในมือของนาง ข้างบนไม่มีรอยเลือดเลยสักนิด 


 


 


ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากเการุ่ยรู้สึกตัวกลับมา ชาวบ้านคนนั้นได้ล้มลงไปแล้ว 


 


 


“แม่นาง! เจ้าปลิดชีพผู้บริสุทธิ์เช่นนี้ได้อย่างไร นั่นคือชาวบ้านผู้บริสุทธิ์!” 


 


 


“หากเขาไม่ตาย ก็จะได้รับความทรมานจากพิษอสุภต่อไป อีกทั้งเขาก็ไม่สามารถควบคุมการกระทำของตัวเองได้เลย หากทำร้ายคนเข้าแล้ว คนที่ถูกทำร้ายก็จะกลายเป็นเช่นนี้ หากไม่ยับยั้งไว้ละก็ ภายหลังไม่นาน แผ่นดินใหญ่ก็จะกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย นี่เป็นสิ่งที่เจ้าอยากจะเห็นรึ?” 


 


 


หลิงลั่วเหลือบมองเการุ่ยอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง และกล่าวขึ้น 

 

 

 


ตอนที่ 509-510

 

ตอนที่ 509 สิ้นฝั่งนิพพาน  


 


 


“นี่…” 


 


 


เการุ่ยถูกหลิงลั่วถามจนไม่ทราบว่าจะกล่าวออกมาอย่างไรดี 


 


 


แน่นอนว่าเขาไม่ได้ต้องการจะเห็นฉากแบบนั้น แต่ว่าจะไม่สนใจชาวบ้านที่อยู่ข้างในนี้เลยหรือ? จุดจบของพวกเขา กล่าวได้แค่ว่าต้องตายหรือ? 


 


 


แต่ว่าที่หลิงลั่วกล่าวก็ไม่ได้ไร้เหตุผล พวกเขามีชีวิตอยู่ก็ทุกข์ทนทรมานเพราะ ‘วิชามาร’ หากตายแล้ว อาจจะเป็นการหลุดพ้นก็ได้ 


 


 


“พรุ่งนี้ข้าจะไปดูข้างในหมู่บ้านหลิวเจียสักหน่อย อย่ายิงสังหารคนข้างในก่อน หากมีคนเดินออกจากหมู่บ้านหลิวเจีย เดินมุ่งมาที่วงล้อมก็จัดการเขาเสียเถิด” 


 


 


หลิงลั่วถอนหายใจเบาๆ หันหลังกลับ และเดินมุ่งไปที่ตั้งค่าย 


 


 


จวินชิงเหยียนมองดูข้างในหมู่บ้านหลิวเจียแวบหนึ่ง และหันหลังกลับไล่ตามเงาร่างของหลิงลั่วไป 


 


 


“ใต้เท้า ท่านเห็นว่า…” 


 


 


เการุ่ยมองฟังจั่วฉืออย่างลำบากใจอยู่บ้าง ฟังจั่วฉือพยักหน้า “ฟังนางเถิด นางเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่เฒ่าพิษถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตนเอง ไม่มีทางที่เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย ในเมื่อเมื่อสักครู่นางได้กล่าวเช่นนั้นนั่นก็หมายความว่าคนในหมู่บ้าน หมดหนทางเยียวยาแล้ว” 


 


 


“แม่นางผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของเฒ่าพิษรึขอรับ?!” เการุ่ยกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ 


 


 


ฟังจั่วฉือหัวเราะเบาๆ และหันกลับไปมองเการุ่ย “นางมิได้เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ที่เฒ่าพิษถ่ายทอดวิชาให้เองเท่านั้น ชื่อของนาง นามว่าหลิงอัน”  


 


 


กล่าวจบ ก็ไม่สนใจใบหน้าท่าทีที่ตื่นตกใจของเการุ่ยอีก หันหลังและจากไป 


 


 


ทิ้งเการุ่ยไว้คนเดียว เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยจะสู้ดีเสียแล้ว 


 


 


เขาคิดไม่ถึงว่าแม่นางคนนี้จะมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้! 


 


 


เมื่อกลับมาที่ตั้งค่าย หลิงลั่วก็ไม่สามารถยับยั้งโทสะที่มีได้อีกแล้ว พลันตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ! 


 


 


ในฉับพลันทันใด โต๊ะไม้มะฮอกกานีนั้นก็กลายเป็นเศษซากไม้เต็มพื้น 


 


 


จวินชิงเหยียนกับฟังจั่วฉือที่เพิ่งจะเข้ามาเห็นฉากนี้ ฟังจั่วฉือวิ่งไปที่ข้างๆ เศษซากไม้อย่างเจ็บปวดใจ กล่าวอย่างสุดแสนเสียดายว่า “หลิงลั่ว ถึงเจ้าจะโมโหอย่างไรก็ตบโต๊ะไม่ได้! ต่อให้เจ้าอยากจะตบโต๊ะ ก็ตบไม้มะฮอกกานีไม่ได้! เจ้าทราบหรือไม่ว่านี่มันเงินทั้งนั้น!” 


 


 


หลิงลั่วโมโห แต่ยังอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากอย่างเอือมระอา หันหน้าไปไม่สนใจฟังจั่วฉืออีก 


 


 


“ครั้งนี้สำนักชิวหลานกับเซียวชวีฟู่จะเกินไปแล้ว คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่มีชีวิตเป็นๆ! พวกเขาลงมือไปได้อย่างไรกัน?!” 


 


 


“หลิงลั่ว เจ้าอย่าเพิ่งโมโหไปเลย อาจจะรักษาหายได้ก็ได้?” 


 


 


“รักษาไม่หายแล้ว” 


 


 


จวินชิงเหยียนส่ายหน้า และกล่าวว่า “ดูได้จากในดวงตาของผู้ชายคนเมื่อสักครู่นั้น เขายังมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง แต่ว่าไม่อาจควบคุมการกระทำของตนเองได้ สภาวะเช่นนี้ช่างเหมือนกับอาการของโรคอย่างหนึ่งที่ข้าอ่านเจอในตำรา” 


 


 


“โรคอะไร?” 


 


 


“สิ้นฝั่งนิพพาน” 


 


 


ฟังจั่วฉือกะพริบตาปริบๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สิ้นฝั่งนิพพาน? นั่นมันคืออะไร” 


 


 


“นั่นเป็นชื่อของอาการป่วยชนิดหนึ่ง ผู้ที่ถูกพิษไม่สามารถควบคุมการกระทำได้ สติแปรปรวน พูดจา           เลื่อนเปื้อน บนร่างกายเต็มไปด้วยลายเส้นของดอกปี่อั้น[1]สีโลหิตแดง และอาการป่วยนี้ไม่ไม่มียารักษา               ไร้หนทางช่วยได้ หากไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นนี้ ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น” จวินชิงเหยียนหยุดพัก และกล่าวอีกว่า 


 


 


“ทุกวันพวกเขาจะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสกับลายดอกปี่อั้นบนร่างกาย เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถควบคุมการกระทำได้ อยากจะหลุดพ้นชีวิตเช่นนี้ ได้แต่ต้องอาศัยการสอดแทรกจากโลกภายนอกหรือคนนอกเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จะคงอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปตลอดกาล” 


 


 


“นี่มันก็ไม่โหดร้ายเกินไปหรือ?!” ฟังจั่วฉือขมวดคิ้วแน่น สำนักชิวหลานนี่สติวิปลาสฟั่นเฟือนถึงขนาดไหนกันแน่? ถึงได้ทำกับเหล่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์แบบนี้ได้! 


 


 


“ทุกอย่างยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวอะไร รอดูพรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า” 


 


 


ฟังจั่วฉือพยักหน้า “ได้ หลิงลั่ว ข้าไปกับเจ้าด้วย” 


 


 


 


 


 


[1] ดอกปี่อั้น คือ ดอกลิลลี่แมงมุมแดง หรือดอกพลับพลึงแดง เป็นดอกไม้ที่มีพิษ ทำให้ท้องเสีย อาเจียน จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และเป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 510 ดอกสิ้นใจ ผงโน้มจิต  


 


 


ในตอนนี้เอง อวิ๋นย่าก็เดินจากนอกกระโจมเข้ามาข้างใน “ท่านแม่ทัพ ได้ขนย้ายศพของชาวบ้านคนที่ใต้เท้าหลิงอันเพิ่งจะฆ่าตายมาแล้ว พอข้าน้อยดูไป ก็พบบางอย่างที่ผิดปกติ” 


 


 


“ผิดปกติอย่างไร” 


 


 


ฟังจั่วฉือขมวดคิ้ว หรือว่าเขายังจะกลับมามีชีวิตได้อีก? 


 


 


อวิ๋นย่าย้อนนึกถึงสภาพอาการบนร่างกายของชาวบ้านคนนั้น ก็นิ่วคิ้วเล็กน้อย “มีลวดลายสีโลหิตมากมายอยู่บนตัวของชาวบ้านคนนั้น เส้นแนวขวางและแนวตั้งตัดไขว้กัน ลักษณะของลวดลายนั้น ดูแล้วเหมือนกับ…” 


 


 


“ดอกปี่อั้น” 


 


 


หลิงลั่วที่อยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ยปากกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ ไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า 


 


 


อวิ๋นย่าพยักหน้า “ใช่แล้ว! เป็นดอกปี่อั้น!” 


 


 


ดวงตาของหลิงลั่วหรี่ลงเล็กน้อย ดอกปี่อั้นชนิดนี้ที่เติบโตอยู่ริมแม่น้ำวั่งชวน[1] ดูแล้วสวยสดงดงามอย่างยิ่ง แต่กลับเป็นอันตรายมาก 


 


 


ดูเหมือนว่า ความสงสัยกับความลึกลับคลุมเครือทุกอย่างที่อยู่ในความคิดของนางตอนนี้ คงได้แต่ต้องรอหลังจากได้เข้าไปในหมู่บ้านหลิวเจียในวันพรุ่งนี้เท่านั้น ถึงจะคลี่คลายได้ 


 


 


วันถัดมา 


 


 


พระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่ออกมาจากขอบภูเขา หลิงลั่ว จวินชิงเหยียนและฟังจั่วฉือสามคนก็ออกจากกระโจมมาที่รอบนอกของหมู่บ้านหลิวเจีย 


 


 


ได้เปลี่ยนกะขุนนางทหารที่เฝ้าอยู่รอบนอกแล้ว มีเการุ่ยที่รอคอยการมาเยือนของพวกหลิงลั่วสามคนอยู่เพียงลำพัง 


 


 


หลังจากเห็นทั้งสามคนแล้ว เการุ่ยก็เข้าไปต้อนรับทันที 


 


 


“ขุนนางทหารที่นี่ได้เปลี่ยนกะกันหมดแล้ว เกาปู่โถวไม่ไปพักผ่อนหรือ” 


 


 


หลิงลั่วมองเการุ่ย ที่ใต้ตาเการุ่ยมีรอยดำคล้ำอยู่บ้างจางๆ จึงดูออกว่าเมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนเต็มที่นัก 


 


 


“เดิมทีวันนี้ปู่โถวอีกคนจากในศาลาว่าการจะมารับเวรต่อ แต่ว่าข้าน้อยกลัวว่าเขาไม่ทราบสถานการณ์ ก็เลยรอคอยการเสด็จเยือนของแม่ทัพฟัง ใต้เท้าหลิงอันและใต้เท้าจวินเหยียนอยู่ที่นี่ขอรับ” 


 


 


“อืม” หลิงลั่วพยักหน้า “จริงสิ จนถึงเมื่อสักครู่นี้มีชาวบ้านออกมาอีกหรือไม่?” 


 


 


“มีขอรับ” 


 


 


เการุ่ยยื่นมือชี้ไปยังทิศทางที่อยู่ไม่ไกลออกไป ศพราวสี่ห้าร่างนอนอยู่ตรงนั้น มีทั้งผู้ชายผู้หญิง เพียงอย่างเดียวที่เหมือนกันคือ สภาพการตายของพวกเขาล้วนสุขสงบเป็นอย่างมาก 


 


 


“คนสุดท้ายที่อยากจะทลายออกมาคือผู้หญิงคนนั้น ซึ่งก็คือเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนขอรับ” 


 


 


“อืม ไม่วาอย่างไร อย่าให้พวกเขาทำร้ายคนปกติได้เป็นอันขาด” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


สายตาของหลิงลั่วค่อยๆ หมองลง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอาการสิ้นฝั่งนิพพานนี้จะแพร่ติดเชื้อกันได้หรือไม่ หากว่าได้จริงๆ เกรงว่าก็คงจะเหลือหมู่บ้านหลิวเจียแห่งนี้เอาไว้ไม่ได้แล้ว 


 


 


“ไปกัน?” 


 


 


หลิงลั่วหันสายตามามองจวินชิงเหยียนกับฟังจั่วฉือที่อยู่ข้างกาย และกล่าว 


 


 


จวินชิงเหยียนกับฟังจั่วฉือพยักหน้า 


 


 


ทั้งสามคนใช้วิชาตัวเบาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แค่เวลาพริบตาเดียวเท่านั้น ทั้งสามคนก็ปรากฏตัวอยู่ข้างในวงล้อมแล้ว 


 


 


เการุ่ยมองทั้งสามคนที่มุ่งเข้าไปข้างในหมู่บ้านหลิวเจียโดยที่ไม่ได้หันกลับมาเลย ก็ขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง  


 


 


ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ… 


 


 


หลังเข้าไปข้างในหมู่บ้านหลิวเจียแล้ว ทั้งสามคนถึงได้รู้ว่า ข้างในดูจะผุพังกว่าข้างนอกเยอะเลย! 


 


 


กระเบื้องแตกหลังคาพังไปหมดทุกแห่งหน และบนพื้นยังมีสีโลหิตเป็นผืนใหญ่ๆ แต่กลับไม่เห็นชาวบ้านสักคน 


 


 


หลิงลั่วขมวดคิ้วขึ้นมา รู้สึกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ ช่างมีความแปลกพิกล 


 


 


เพราะว่าไม่ได้คุ้นเคยกับหมู่บ้านหลิวเจีย อีกทั้งในหมู่บ้านก็เต็มไปด้วยภาวะวิกฤติ ดังนั้นหลิงลั่ว                        จวินชิงเหยียนและฟังจั่วฉือสามคนจึงกระทำการพร้อมกัน 


 


 


เมื่อเดินไปถึงริมแม่น้ำสายเล็กในหมู่บ้านหลิวเจียแล้ว ทั้งสามคนก็ตกใจ 


 


 


ประชาชนทั่วทั้งหมู่บ้าน ล้อมอยู่ที่ริมแม่น้ำกันหมด คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ 


 


 


หลิงลั่วพลันขมวดคิ้ว สายตามองเห็นช่อดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลออกไปจากริมแม่น้ำ รูม่านตาพลันหรี่ลงอย่างตระหนก! 


 


 


นั่นมัน ดอกสิ้นใจ?! 


 


 


สำหรับดอกสิ้นใจ หลิงลั่วยังพอจะมีความทรงจำอยู่บ้าง นั่นคือดอกไม้แห่งความตาย ที่กลิ่นหอมน่าลุ่มหลงในตำนาน 


 


 


เดิมดอกสิ้นใจไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่ถ้าหากผสมรวมกับผงโน้มจิต ก็จะก่อตัวเป็นยาพิษที่ตรึงจิตให้ใหลหลงจนถึงแก่ชีวิตได้ 


 


 


 


 


 


[1] แม่น้ำวั่งชวน คนจีนเชื่อว่าเมื่อไปสู่ปรโลกแล้ว ต้องข้ามผ่านแม้น้ำวั่งชวน หรือแม่น้ำลืมเลือนเสียก่อน เพื่อให้ลืมเรื่องราวในภพเดิมก่อนที่จะไปเกิดใหม่ 

 

 

 


ตอนที่ 511-512

 

ตอนที่ 511 ช่องว่างความต่างระหว่างคนกับคน


 


 


เดิมทีดอกสิ้นใจไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่ถ้าหากผสมรวมกับผงโน้มจิตก็จะก่อตัวเป็นยาพิษที่ตรึงจิตให้ใหลหลงจนถึงแก่ชีวิตได้


 


 


เพียงแต่ดอกไม้ชนิดนี้ไม่ได้พบบ่อยในบริเวณที่ราบตอนกลาง คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นตัวแบบดั้งเดิมของดอกสิ้นใจที่หมู่บ้านหลิวเจียด้วยตาตัวเอง


 


 


“นี่พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่?”


 


 


ฟังจั่วฉือขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจ มองฝูงชาวบ้านที่ริมฝั่งแม่น้ำ


 


 


“ไม่ทราบ”


 


 


หลิงลั่วก็ขมวดคิ้วเช่นกัน นางรู้สึกว่าถ้าหากอาการสิ้นฝั่งนิพพานในหมู่ชาวบ้านหมู่บ้านหลิวเจีย เป็นการผสมรวมกันของดอกสิ้นใจกับผงโน้มจิต อย่างนั้นชาวบ้านเหล่านี้ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้สักคนเสียแล้ว


 


 


อีกฝั่งหนึ่ง จวินชิงเหยียนก็ขมวดคิ้วแน่น แต่ว่าก็ไม่ได้เอ่ยปาก


 


 


ความคิดของเขาเหมือนกับหลิงลั่ว เขารู้จักอาการสิ้นฝั่งนิพพาน เช่นนั้นก็ย่อมทราบแน่นอนว่าอาการนี้ไร้ซึ่งยาแก้พิษได้ แม้ว่าเขาไม่อยากกล่าวเช่นนี้มากก็ตาม แต่ว่าความจริงก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ชาวบ้านของหมู่บ้าน          หลิวเจีย ไม่อาจอยู่รอดได้เลยสักคน


 


 


“ตอนนี้จะทำอย่างไร พวกเราจะไปดูที่อื่นหรือไม่”


 


 


ฟังจั่วฉือมองทางหลิงลั่วกับจวินชิงเหยียน และเอ่ยถาม


 


 


“ไม่จำเป็นแล้ว”


 


 


หลิงลั่วส่ายหน้า ยามนี้นางได้มีการคาดคะเนไว้แล้ว เพียงแต่ต้องพิสูจน์ยืนยัน “ข้าจะไปเอาน้ำลำธารมาหน่อย พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”


 


 


“นี่! เดี๋ยวก่อนหลิงลั่ว!”


 


 


ฟังจั่วฉือกับจวินชิงเหยียนดึงแขนสองข้างของหลิงลั่วไว้พร้อมกัน เพียงแต่จวินชิงเหยียนไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา


 


 


“เจ้าอยากตายรึ?” เจ้าดูสิคนเหล่านั้นล้อมแม้น้ำไว้จนเป็นสภาพอย่างไรแล้ว เจ้ายังจะไปเอาน้ำลำธารอะไรอีก? แค่เจ้าออกไปก็ต้องโดนพวกเขากำราบจนราบคาบ!


 


 


“เจ้าจะคิดว่าข้ามีดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ!” หลิงลั่วกลอกตาอย่างหมดคำพูด มองฟังจั่วฉืออย่างอารมณ์เสีย “ในพวกเราสามคน มีเพียงข้าเท่านั้นที่วิชาตัวเบาดีที่สุด ข้าไม่ไป หรือว่าเจ้าจะไป?”


 


 


วิชาตัวเบาของหลิงลั่วดีที่สุด กำลังภายในของจวินชิงเหยียนดีที่สุด และวิทยายุทธ์ของฟังจั่วฉือดีที่สุด สามคนต่างมีจุดแข็งของตัวเอง


 


 


ฟังจั่วฉือขมวดคิ้ว มองจวินชิงเหยียนแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขายังคงไม่ละทิ้ง ก็เอ่ยปากแนะว่า “หลิงลั่ว แม่น้ำสายนี้สามารถไหลไปนอกหมู่บ้านหลิวเจียได้ พวกเราไปเอาน้ำลำธารที่ข้างนอกหมู่บ้านก็เหมือนกัน”


 


 


หลิงลั่วก้มหน้าไม่พูดจา กล่าวว่าเหมือน แต่ก็ไม่ได้เหมือนกัน


 


 


ที่นี่มีดอกสิ้นใจอยู่ หากว่าผงโน้มจิตถูกคนใส่ลงไปในน้ำของแม่น้ำสายนี้จริง ก็มีแต่ที่นี่เท่านั้นที่จะแสดงประสิทธิผลของยาที่รผสมรวมกันระหว่างดอกสิ้นใจกับผงโน้มจิตได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น


 


 


เมื่อเห็นหลิงลั่วไม่พูด จวินชิงเหยียนก็ยิ่งทราบว่าในใจหลิงลั่วคิดอย่างไร เขาขมวดคิ้วแน่น “บนโลกใบนี้ หากมีสิ่งใดที่จะคุกคามความปลอดภัยของเจ้า ข้าจะไม่มีทางยอมให้เจ้าได้ทำต่อไป ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม”


 


 


หลิงลั่วหันหน้ากลับมามองจวินชิงเหยียน มองความจริงจังในดวงตาเขาแล้ว สุดท้ายหลิงลั่วก็ยังต้องถอนหายใจเบาๆ


 


 


ถึงแม้ปกติจวินชิงเหยียนจะไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามการทำคดีของนาง และก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยที่นางเอาเวลาไปใช้กับการทำคดี แต่หลิงลั่วรู้ว่าขีดจำกัดของจวินชิงเหยียน คือนาง


 


 


หากนางจะมีอันตรายใดแล้ว จวินชิงเหยียนไม่มีทางยอมให้นางได้สืบสวนต่อไปอีกแน่


 


 


“ก็ได้…”


 


 


สุดท้าย ก็ยังเป็นหลิงลั่วที่ยอมผ่อนปรน


 


 


ถึงแม้จะมีความยากลำบากอยู่บ้าง แต่ว่าถ้าหากเหยียนปินนำผงโน้มจิตใส่ลงไปในแม่น้ำสายนี้จริง ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ต้องสามารถหาเจอได้บ้าง


 


 


ฟังจั่วฉือ “…”


 


 


ที่เขาพูดจาหว่านล้อมจนปากเปียกปากแฉะอยู่ตรงนี้ตั้งนานล้วนไม่ได้ผล ผลคือจวินชิงเหยียนพูดแค่คำเดียวก็เรียบร้อยแล้วรึ?!


 


 


ช่องว่างความต่างระหว่างคนกับคน เหตุใดถึงได้มากขนาดนี้!


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็กลับกันก่อนแล้วกัน”


 


 


จวินชิงเหยียนกล่าวจบ ก็ไม่รอให้หลิงลั่วตอบสนอง จูงมือนางและกลับไปทางเดิมทันที


 


 


 


 


ตอนที่ 512 ลำธาร


 


 


ฟังจั่วฉือมองชาวบ้านข้างหลังที่อยู่รอบบริเวณริมแม่น้ำแวบหนึ่ง และรีบไล่ตามฝีเท้าของหลิงลั่วกับ                 จวินชิงเหยียนออกไป


 


 


ยามที่หลิงลั่ว จวินชิงเหยียนและฟังจั่วฉือออกมาจากหมู่บ้านหลิวเจียแล้ว เการุ่ยก็ยังคงรออยู่ที่ทางออก


 


 


เมื่อเห็นทั้งสามคนออกมาอย่างปลอดภัย เการุ่ยก็รีบก้าวเข้ามาต้อนรับ


 


 


“แม่ทัพฟัง ใต้เท้าหลิงอัน ใต้เท้าจวินเหยียน พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ”


 


 


“ไม่เป็นไร” ฟังจั่วฉือส่ายหน้า จู่ๆ ก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามเการุ่ยว่า “เจ้าทราบหรือไม่ว่าปลายลำธารแม่น้ำในหมู่บ้านสายนั้นอยู่ที่ตรงไหน?”


 


 


“เรื่องนี้ ข้าน้อยทราบขอรับ” เการุ่ยพยักหน้า ยื่นมือออกมาชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และกล่าวว่า “มุ่งหน้าไปทางทิศนี้ เดินไปราวสองร้อยเมตรก็ถึงแล้วขอรับ”


 


 


“ได้ ข้าทราบแล้ว”  


 


 


ฟังจั่วฉือหันหน้ากลับไป พยักหน้าพร้อมกันกับหลิงลั่ว และกล่าวกับเการุ่ยว่า “ลำบากเจ้าแล้ว” และทั้งสามคนก็เดินมุ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้


 


 


“หลิงลั่ว อันที่จริงข้าว่านะ ในเมื่อไม่มีทางช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ได้แล้ว ก็ทำให้พวกเขาให้ลาลับไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ก็จะได้ไม่ต้องทนรับทุกข์มากขนาดนี้อีก”


 


 


ฟังจั่วฉือกำลังเดินและมองถนน แต่กลับเอ่ยพูดอยู่กับหลิงลั่ว


 


 


“ข้าก็เคยคิดแบบนี้ แต่ว่าไม่ได้” สีหน้าหลิงลั่วไม่เปลี่ยนแปร “ก็เหมือนที่เการุ่ยกล่าว ชาวบ้านเหล่านั้นก็ล้วนเป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งพวกเขายังคงมีสติอยู่ภายในใจพวกเขา ไม่แน่ว่าพวกเขาไม่ได้อยากตาย พวกเราก็ย่อมต้องเคารพความคิดของพวกเขาเช่นกัน แต่ว่า…”


 


 


หลิงลั่วเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างฉับพลัน กล่าวว่า “ถ้าหากพวกเขาอยากออกจากวงล้อมนั้น และมาที่ข้างนอกจะเป็นภัยคุกคามชาวบ้านที่บริสุทธิ์คนอื่นได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นจะปล่อยไว้นานไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาคิดอย่างไร ล้วนไม่อาจปล่อยให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เข้ามาพัวพันด้วยได้”


 


 


“อย่าพูดไปเลย เป็นรูปแบบการทำงานของเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ” ฟังจั่วฉือหัวเราะเบาๆ


 


 


ก็ไม่รู้ว่าวันเวลาที่เงียบสงบแบบนี้จะคงอยู่ได้นานเท่าไร หากไม่กำจัดแคว้นชิวหลานจริงๆ สักวัน พวกเขาก็ถูกลิขิตให้มีช่วงเวลาที่ไม่สงบสุขไปแล้ว


 


 


จวินชิงเหยียนไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ว่าในใจกลับรู้ดีเป็นพิเศษ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ทราบในสถานที่ตั้งของแคว้นชิวหลานอย่างแน่ชัด ทราบเพียงอย่างเดียวก็คือที่ตั้งของสำนักชิวหลาน แต่ว่าชิวฝั่งเยียนที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักชิวหลาน หรือก็คือองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นชิวหลานไม่มีทางจะนำตำแหน่งที่ตั้งของแคว้นชิวหลานตั้งไว้ในสำนักของตนเองเด็ดขาด


 


 


ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ทั้งสามคนก็มาถึงที่หน้าลำธารสายหนึ่งแล้ว


 


 


ลำธารไหลเคลื่อนอย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่ได้ไหลเชี่ยวกราก ซึ่งจุดนี้กลับช่วยหลิงลั่วได้หลายเรื่องเลย


 


 


อย่างไรเสียก็เป็นอัตราไหลที่เฉื่อยช้า หากมีผงโน้มจิตจริง ก็คงไม่มีทางสลายหายไปเร็วนัก


 


 


หลิงลั่วหยิบตลับเครื่องเคลือบใบเล็กที่พกติดตัวออกมา หลังจากใส่ธารน้ำหนึ่งตลับแล้ว ก็กลับไปที่กระโจม


 


 


หลังจากกลับมาที่กระโจมแล้ว หลิงลั่วก็เข้าไปในกระโจม หลังจากเมื่อบอกว่าไม่ให้ผู้ใดรบกวนนางแล้ว           จวบจนกระทั่งดวงตะวันคล้อยลงทิศตะวันตก หลิงลั่วถึงได้เดินออกมาจากกระโจม


 


 


จวินชิงเหยียนกับฟังจั่วฉืออยู่ในกระโจมหลัก หลับตาพักฟื้นบำรุงจิต


 


 


“ชิงเหยียน…”


 


 


ฟังจั่วฉือมองจวินชิงเหยียนที่หลับตาสองข้างสนิท อยากจะกล่าวแต่ก็ยั้งไว้


 


 


“ทำอะไร?” จวินชิงเหยียนลืมตาขึ้น เอี้ยวตามองฟังจั่วฉือ


 


 


“ไม่มีอะไร ก็แค่ดูว่าเจ้าหลับหรือไม่”


 


 


ฟังจั่วฉือยักไหล่ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก


 


 


“เจ้าลืมทานยาหรือ”


 


 


 จวินชิงเหยียนกระตุกมุมปาก ปิดดวงตา และหันหน้าไปไม่มองฟังจั่วฉืออีก


 


 


ไอ้บ้านี่ท่าจะประสาทจริงๆ!


 


 


“ไม่ใช่นะ!”


 


 


ฟังจั่วฉือเอ่ยแย้งว่า “ข้าแค่อยากพูดว่า หากหลิงลั่วยังทุ่มเททำสุดชีวิตขนาดนี้ต่อไป ร่างกายก็จะไม่หมดเรี่ยวแรงเอาหรือ?”

 

 

 


ตอนที่ 513-514

 

ตอนที่ 513 นางเข้มแข็งมาก และก็ดื้อรั้นมาก 


 


 


“ลั่วลั่วเข้มแข็งกว่าที่เจ้าคิดเยอะ” 


 


 


จวินชิงเหยียนไม่ได้ลืมตาขึ้นมา ฟังจั่วฉือก็ย่อมไม่ทราบว่าที่จริงแล้วจวินชิงเหยียนยังมีคำพูดต่อไปอีก 


 


 


และก็ดื้อรั้นกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก 


 


 


หลิงลั่วดื้อรั้นมาก นางมีขีดจำกัด มีหลักการ อีกทั้งขีดจำกัดกับหลักการของนาง นางล้วนพยายามเต็มที่ในการปกป้องมัน ไม่ให้ผู้ใดมาแตะต้องได้ 


 


 


“นางเข้มแข็งมากก็จริง แต่ว่าชิงเหยียนเจ้าต้องทราบไว้ว่าต่อให้หลิงลั่วนางแข็งแกร่งอย่างไร นางก็ยังเป็นสตรี ยังต้องการความใส่ใจกับความรักทะนุถนอมอยู่” 


 


 


ได้ยินคำพูดนี้ จวินชิงเหยียนถึงได้ลืมตาขึ้นมองฟังจั่วฉือ “เจ้าช่างรู้เยอะนัก เป็นเพื่อนสาวรึ?” 


 


 


ฟังจั่วฉือกระตุกมุมปาก “เพื่อนสาวอะไรกันเล่า! ข้าบอกเจ้าด้วยความหวังดี แต่เจ้ากลับเหน็บข้าเช่นนี้ได้” 


 


 


ฟังจั่วฉือกอดแขนสองข้างอย่างอารมณ์เสีย สภาพหน้าตาไม่เป็นสุข 


 


 


จวินชิงเหยียนหัวเราะออกมาเบาๆ และก็ไม่ได้เอ่ยปากกล่าวอีก 


 


 


แน่นอนเขาทราบว่าฟังจั่วฉือเตือนเขาด้วยเจตนาอันดี แต่ว่าเขาก็รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องทำคือคุ้มครองหลิงลั่วอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ พร้อมกับไม่มอบความกดดันใดๆ ให้นาง 


 


 


ในตอนนี้ หลิงลั่วก็ถือตลับเครื่องเคลือบใบเล็กเมื่อสักครู่นั้นเข้ามาในกระโจมหลัก 


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง”  


 


 


ฟังจั่วฉือมองหลิงลั่ว หลิงลั่วยื่นตลับเครื่องเคลือบใบเล็กในมือให้ฟังจั่วฉือ หลังจากฟังจั่วฉือเปิดออกแล้ว ก็เห็นผงแป้งสีขาวเพียงแค่ชั้นเดียวอยู่ข้างใน และยังดูเหมือนว่ามีความเปียกชื้นอยู่บ้าง 


 


 


“นี่คืออะไร?” 


 


 


“ผงโน้มจิต” 


 


 


หลิงลั่วเดินมานั่งบนเก้าอี้ไท่ซือที่ทางด้านหนึ่ง และกล่าวว่า “ตากแดดพระอาทิตย์ตอนบ่ายแล้ว และบวกกับที่ข้าออกแรงใช้กำลังภายใน หลังจากลำธารเหล่านั้นระเหยไปแล้ว ก็เหลืออยู่เยอะขนาดนี้” 


 


 


“น้ำแม่น้ำทั้งตลับเครื่องเคลือบ ทำออกมาได้น้อยนิดแค่นี้เองรึ?” 


 


 


ฟังจั่วฉือเบิกตากว้าง มองผงแป้งในตลับเครื่องเคลือบ รีบปิดฝาตลับเครื่องเคลือบ เหมือนกับว่าหากมีลมพัดจะพัดกระจายไป จะนำเผือกร้อนอันนี้ยื่นให้จวินชิงเหยียน 


 


 


ล้อกันเล่นหรือไร? หากว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นในมือของเขาสักนิด หลิงลั่วคงไม่ถลกหนังเขาเอาหรอกรึ? 


 


 


“ที่จริงนี่ก็ไม่ถือว่าน้อยแล้ว” หลิงลั่วกวาดตามองตลับเครื่องเคลือบใบเล็กในมือจวินชิงเหยียนแวบหนึ่ง และชายตาขึ้นเอ่ยว่า “อย่างไรแล้วจากตอนที่ใส่พิษก็ผ่านมาเป็นเวลาตั้งนานแล้ว อีกทั้งลำธารก็ไหลเคลื่อนอย่างเอื่อยเฉื่อย เอาออกมาได้มากขนาดนี้ก็ยากมาก” 


 


 


“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป” 


 


 


จวินชิงเหยียนถือตลับเครื่องเคลือบ และเล่นอยู่ในมือ 


 


 


“อืม…” หลิงลั่วครุ่นคิด เอ่ยปากพูดว่า “อย่างน้อยที่สุดก็นำเรื่องนี้ไปบอกจือเฉาก่อนดีกว่า แล้วพวกเราต้องกลับไปแคว้นจวินสักรอบ พร้อมกับส่งจดหมายหนึ่งฉบับไปให้หลีเยี่ยกับอวิ้นเอ๋อร์ ให้พวกเขาเพิ่มความแข็งแกร่งในการเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน” 


 


 


จวินชิงเหยียนพยักหน้า กล่าวแค่คำเดียวว่า 


 


 


“ตกลง”  


 


 


… 


 


 


ณ แคว้นจื้อโหยว ในห้องตำราจวนฟู่อ๋อง 


 


 


ในห้องตำราไม่ได้มีเพียงเซียวชวีฟู่กับเหยียนปิน ทั้งยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย นั่นก็คือชิวไต้เมี่ยวที่หนีจากหอร้อยบุปผาไปก่อนหน้านั้น 


 


 


“รองเจ้าสำนัก ทางฝั่งเจ้าสำนักหลักมีคำสั่งอะไรหรือไม่ พวกเราจะรวบจับตัวได้เมื่อไรขอรับ” 


 


 


ท่าทีของเหยียนปินนอบน้อมเป็นอย่างมาก เอ่ยถามชิวไต้เมี่ยวซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งแขกเบื้องบน 


 


 


บนใบหน้าชิวไต้เมี่ยวไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมามากมาย จิบน้ำชาหนึ่งคำเบาๆ หลังจากวางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบาแล้ว ก็กล่าวว่า “ตอนนี้ท่านพี่เพียงแต่บอกว่าให้พวกเราดูชาวบ้านหมู่บ้านหลิวเจียเหล่านั้นที่ติดอาการสิ้นฝั่งนิพพานไว้ให้ดี พวกเราอย่ากระทำการก่อน อย่าให้พวกหลิงลั่วกับจวินชิงเหยียนมีเบาะแสที่จะสามารถหาพวกเราเจอ” 


 


 


“แต่ว่าพวกหลิงลั่วเขาทราบว่าข้าร่วมมือกับสำนักชิวหลาน จากเงื่อนงำนี้ นางจะต้องหากองบัญชาการหลักของสำนักชิวหลานพบแน่”             


 


 


 


 


 


ตอนที่ 514 ถูกลิขิตให้ไร้วาสนา 


 


 


เซียวชวีฟู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย และทั้งคนอย่างเขา ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยจะมีความเชื่อถืออะไรกับคนร่อนเร่ในวังซึ่งมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ ดังนั้นหลังจากที่เหยียนปินเคยกล่าวถึงกองบัญชาการหลักของสำนักชิวหลาน เขาก็ได้จดเอาไว้เงียบๆ และที่อยู่นั้นก็อยู่ภายในห้องตำราแห่งนี้ หากว่าหลิงลั่วจะหา ก็ต้องหาเจอได้อย่างแน่นอน 


 


 


“แม้ว่าพวกเขาจะหาเจอ นั่นก็เป็นแค่กองบัญชาการย่อยของสำนักชิวหลานเท่านั้น ไม่มีทางหากองบัญชาการหลักเจอ” ชิวไต้เมี่ยวกล่าว 


 


 


มุมปากเซียวชวีฟู่เผยอยิ้มขึ้นบางๆ อย่างยากจะสังเกตเห็นได้ ก่อนหน้านี้ที่ชิวไต้เมี่ยวบอกเขา เป็นตำแหน่งของกองบัญชาการย่อยจริงๆ แต่ที่เหยียนปินบอกเขา เขามั่นใจได้อย่างเต็มร้อยว่านั่นคือกองบัญชาการหลักของสำนักชิวหลาน 


 


 


เพราะว่าเขาเคยให้ลูกน้องไปที่หอคอยหลิงและจ่ายเงินมหาศาลเพื่อสอบถามที่ตั้งกองบัญชาการย่อยทั้งหมดของสำนักชิวหลานแล้ว ล้วนไม่ได้อยู่บนตำแหน่งที่เหยียนปินกล่าว อีกทั้งเขายังเคยให้ลูกน้องไปสำรวจผลลัพธ์ของสถานที่นั้นแล้ว หลังจากคนผู้นั้นไปก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย 


 


 


และเซียวชวีฟู่ก็ไม่ได้โง่ สำนักชิวหลานช่วยให้เขาขึ้นครองราชบัลลังก์ เขาช่วยสำนักชิวหลานทำลายแคว้นจวินกั๋วกับแคว้นซีหวา 


 


 


หากว่าถึงคราวนั้นที่สำนักชิวหลานจะกำจัดแคว้นจื้อโหยวของเขาจริง ยังจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดายเลยมิใช่หรือ? 


 


 


ดังนั้นเซียวชวีฟู่ถึงได้ระวังขนาดนี้ แม้ว่าสุดท้ายเขาคว้าราชบัลลังก์ของแคว้นจื้อโหยวมาได้ไม่สำเร็จ ก็จะปล่อยให้การสืบเนื่องมาหลายร้อยปีของแคว้นจื้อโหยวพังทลายในเงื้อมมือเขาไม่ได้! 


 


 


“แต่ว่าระวังไว้หน่อยดีกว่า” ชิวไต้เมี่ยวครุ่นคิด และมองทางเซียวชวีฟู่ ในดวงตาทอประกายแวววับ “ช่วงระยะนี้ต้องลำบากท่านฟู่อ๋องมาเป็นแขกที่สำนักชิวหลานอยู่ระยะหนึ่งเสียแล้ว” 


 


 


สายตาเช่นนี้ทำให้เซียวชวีฟู่ไม่พอใจอย่างมาก 


 


 


สตรีนางนี้เหมือนกันกับหลิงลั่ว มีเล่ห์เหลี่ยมหลักแหลมเหมือนกับจิ้งจอก แต่เพียงสิ่งเดียวที่นางแพ้ให้กับหลิงลั่วก็คือความรู้และความใจกล้านั้นที่มีเหนือกว่า 


 


 


“หากว่าข้าไม่ยอมเล่า?” 


 


 


เซียวชวีฟู่แสดงหน้าตาไม่พอใจ ชิวไต้เมี่ยวกลับไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด เม้มริมฝีปากยกยิ้มขึ้น “หากท่านฟู่อ๋องไม่ยอมจริง เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ต้องใช้กำลังบังคับ ถึงตอนนั้นท่านฟู่อ๋องกรุณาอย่าโทษว่าข้าเสียมารยาท” 


 


 


เซียวชวีฟู่ขมวดคิ้ว เมื่อเทียบเคียงกัน เหตุใดจู่ๆ เขาถึงรู้สึกว่าหลิงลั่วสตรีนางนั้นน่ารักกว่าคนคนนี้มากนัก? 


 


 


เรื่องมาจนถึงขั้นนี้ ผลสรุปเป็นที่แน่นอนแล้ว ในเมื่อเขาถูกลิขิตให้ไร้วาสนาในราชบัลลังก์ เช่นนั้นเขาก็จะช่วยพี่สาวของเขาป้องกันราชบัลลังก์นี้เอาไว้ 


 


 


ยามนี้เขาได้แต่ต้องออกไปกับชิวไต้เมี่ยว เฝ้าดูไปทีละย่างก้าว 


 


 


หากไม่อย่างนั้นแล้ว เขาก็ได้แต่ต้องสู้สุดชีวิต 


 


 


แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่ทึ่มที่สุด เขาเชื่อมั่นว่า เพียงแค่มนุษย์มีชีวิตอยู่เท่านั้น ถึงจะมีช่องทางต้านทานได้ หาไม่แล้ว แม้แต่ความสามารถในการต้านทานเขาก็จะไม่มีเลย 


 


 


“หึ รองเจ้าสำนักช่างรู้จักเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเองนัก” 


 


 


“ฟู่อ๋องยกยอกันเกินไปแล้ว” ชิวไต้เมี่ยวลุกขึ้นยืน เหยียนปินที่อยู่ข้างๆ นางก็เดินไปยังตำแหน่งซึ่งเยื้องไปทางข้างหลังนาง “เช่นนี้ ก็ขอเชิญท่านฟู่อ๋อง ไปกับข้าเถิด” 


 


 


เซียวชวีฟู่พ่นลมทางจมูกอย่างเย็นชา ขณะที่ชิวไต้เมี่ยวกับเหยียนปินไม่ได้หยุดพัก สายตาเขาก็มองไปยังบางแห่งภายในห้องตำรา นั่นก็คือที่ที่เขาเก็บตำแหน่งที่ตั้งกองบัญชาการหลักของสำนักชิวหลานเอาไว้นั่นเอง 


 


 


ตอนนี้ ก็ได้แต่หวังว่าหลิงลั่วจะเฉลียวฉลาดมีปฏิภาณไหวพริบดั่งเช่นที่ล่ำลือกันจริงๆ 


 


 


… 


 


 


ฟังจั่วฉือเฝ้าอยู่ที่ข้างนอกหมู่บ้านหลิวเจียแห่งเมืองทงโจวอยู่ชั่วคราว หลิงลั่วกับจวินชิงเหยียนหวดม้าเร็วเร่งกลับไปที่เมืองหลวง 


 


 


เวลาแค่หนึ่งชั่วยามครึ่งเท่านั้น ทั้งสองคนก็กลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว 


 


 


หลังจากถึงเมืองหลวงแล้ว ทั้งสองก็แยกกันปฏิบัติการ  


 


 


จวินชิงเหยียนเข้าวัง นำเรื่องนี้ไปแจ้งให้เซียวจือเฉาทราบ หลิงลั่วมุ่งหน้าไปที่จวนฟู่อ๋อง หวังว่าจะสามารถลวงให้เซียวชวีฟู่พูดออกมาได้ 


 


 


แต่เมื่อหลิงลั่วไปถึงที่จวนฟู่อ๋อง เซียวชวีฟู่ก็ออกได้ไปกับชิวไต้เมี่ยว และเหยียนปินแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 515-516

 

ตอนที่ 515 ออกไปแล้ว


 


 


“ใต้เท้าหลิงอัน ข้าน้อยกล่าวความจริงขอรับ ท่านอ๋องของข้าไม่ได้อยู่ที่จวน เขาเพิ่งจะนั่งรถม้าออกไปกับบุรุษผู้หนึ่งและสตรีนางหนึ่ง ซึ่งก็ครึ่งชั่วยามแล้วขอรับ”


 


 


ทหารยามที่เฝ้าประตูมองหลิงลั่วอย่างลำบากใจ


 


 


เขาย่อมทราบฐานะของหลิงลั่วอยู่แล้ว แต่ว่าหากเขาปล่อยให้หลิงลั่วเข้าไป เมื่อท่านอ๋องกลับมาทราบเรื่องเข้า จะต้องต่อว่าเขาแน่!


 


 


“ออกไปกับบุรุษผู้หนึ่งและสตรีนางหนึ่ง?” หลิงลั่วจับจุดสำคัญในคำพูดของทหารยามคนนี้ได้ทันใด “เจ้ารู้จักบุรุษและสตรีเหล่านั้นหรือไม่”


 


 


ทหารยามครุ่นคิด “สตรีนางนั้น ข้าน้อยไม่คุ้นเคยเท่าใดนัก ซึ่งก็เพิ่งมาที่จวนฟู่อ๋องเมื่อไม่กี่วันนี้เอง แต่ว่าบุรุษคนนั้น ข้าน้อยรู้จักขอรับ ผู้นั้นก็คือคุณชายเหยียน อยู่เคียงกายท่านอ๋องมาเกือบจะหนึ่งปีแล้วขอรับ”


 


 


คุณชายเหยียน? ดวงตาหลิงลั่วไหวเคลื่อนเล็กน้อย นั่นจะต้องเป็นเหยียนปินอย่างไม่ต้องสงสัย สตรีนางนั้น หากไม่เกิดดั่งที่คาดการณ์แล้วละก็ นางน่าจะเป็นชิวไต้เมี่ยว


 


 


เวลาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว เดิมทีนางคิดว่าชิวไต้เมี่ยวได้กลับไปที่กองบัญชาการย่อยของสำนักชิวหลานแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลับมาที่แคว้นจื้อโหยวอีก!


 


 


เพียงแต่ครั้งนี้ เหมือนว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติอยู่บ้าง…


 


 


ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เซียวชวีฟู่จะตามเหยียนปินกับชิวไต้เมี่ยวไปที่ไหนได้?


 


 


บางทีชิวไต้เมี่ยวก็อาจจะคิดได้ว่า พวกเขาทราบว่าคดีของหมู่บ้านหลิวเจียแห่งเมืองทงโจวมีความเกี่ยวข้องกับเซียวชวีฟู่และสำนักชิวหลาน


 


 


สำหรับที่ว่าเหตุใดเซียวชวีฟู่ถึงได้ไปกับพวกเขาสองคนนั้น…


 


 


หลิงลั่วเกิดความคิดหนึ่งขึ้นภายในใจ แต่ว่าความคิดนี้จำเป็นต้องพิสูจน์ยืนยัน


 


 


“จริงสิ ยามเมื่อท่านอ๋องไปจากจวนอ๋อง ได้ชี้ไปทางห้องตำรากับห้องนอน แต่ว่าท่านอ๋องหมายความว่าอะไรกันนะ…”


 


 


ทหารยามส่งเสียงพึมพำเบาๆ เผยสีหน้างุนงงออกมา


 


 


หลิงลั่วมองทหารยามที่เฝ้าประตูแวบหนึ่ง หันหลังกลับ และเดินมุ่งไปในซอยเล็กข้างๆ จวนฟู่อ๋อง


 


 


ไม่ให้นางเขาทางประตูหลัก และคิดว่ากำแพงเล็กๆ นี่จะสามารถกักกันนางได้หรือ?


 


 


แม้แต่กำแพงสูงของวังหลวงนางยังไม่สนใจ นับประสาอะไรกับกำแพงเตี้ยที่ความสูงไม่ถึงสองคนนี้เล่า


 


 


รวดเร็วนัก หลิงลั่วก็เข้าไปในจวนฟู่อ๋องได้แล้ว


 


 


หลิงลั่วมองไปทางประตูใหญ่ของจวนฟู่อ๋องแวบหนึ่ง เผยอริมฝีปากเบาๆ และหันกลับมาเริ่มต้นค้นหาห้องตำราของเซียวชวีฟู่ไปทีละห้องๆ


 


 


ไม่ว่าจะเป็นของสำคัญอะไร เซียวชวีฟู่จะเก็บไว้เพียงแค่สองที่นี้เท่านั้น


 


 


ที่แรกก็คือห้องนอนของเขา ส่วนอีกที่หนึ่งก็คือห้องตำราของเขา


 


 


สองที่นี้เป็นสถานที่ที่เขาไปเป็นประจำ ซึ่งก็เป็นสถานที่เขาจะไปทุกวัน นำสิ่งของที่สำคัญเก็บไว้ในสองห้องนี้ ได้เห็นอยู่ทุกวัน ก็ย่อมจะสบายใจแน่นอน


 


 


อีกทั้งที่ทหารยามคนนั้นเพิ่งจะกล่าวว่า ยามที่เซียวชวีฟู่จากไป ได้ชี้ไปทางห้องตำรากับห้องนอน อย่างนั้นก็แสดงว่าที่เซียวชวีฟู่ออกไปกับเหยียนปินและชิวไต้เมี่ยวนั้น ไม่น่าจะมาจากความตั้งใจเดิมของเขา ที่เขาทำแบบนี้ก็คือกำลังทิ้งเบาะแสไว้ให้พวกนาง


 


 


หลังจากไม่นาน หลิงลั่วก็หาห้องตำราของเซียวชวีฟู่เจอ


 


 


ห้องตำราของเซียวชวีฟู่สะอาดเรียบร้อยเป็นอย่างมาก ดูเหมือนก็ง่ายที่จะหาเจอ


 


 


หลิงลั่วรื้อค้นควานหาที่ในห้องตำราอยู่เนิ่นนาน แต่ก็ไม่ได้รื้อค้นอย่างมั่วซั่ว


 


 


สุดท้ายก็หาของที่เป็นประโยชน์ไม่เจอ คิ้วของหลิงลั่วพลันขมวดขึ้น


 


 


ไม่จริง เซียวชวีฟู่ถูกชิวไต้เมี่ยวกับเหยียนปินพาไปแบบนี้ ต้องไม่มีทางไม่ทิ้งอะไรไว้แน่ เขาต้องทิ้งเบาะแสอะไรเอาไว้ เพียงแต่ว่านางแค่ยังไม่เจอเท่านั้น


 


 


แต่ว่า อยู่ที่ไหนล่ะ?


 


 


หลิงลั่วขมวดคิ้ว ดูทั่วทั้งข้างบนข้างล่าง ทั่วทั้งห้องตำราอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว สุดท้ายสายตาไปหยุดอยู่ที่บนภาพวาดภูเขาลำน้ำที่งดงามวิจิตรมากที่สุดภาพหนึ่ง


 


 


นางเดินเข้าไปที่ข้างหน้าภาพวาดอย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ นำภาพวาดลงมา


 


 


 


 


 


ตอนที่ 516 หวนคืนแคว้นจวินกั๋ว (1)


 


 


ข้างหลังภาพวาดภูเขาลำน้ำ มีช่องลับที่ซ่อนเอาไว้ลับมาก และช่องลับนี้หากไม่ดูให้ละเอียดก็จะมองไม่เห็น


 


 


หลิงลั่วพลันเม้มริมฝีปาก นำภาพวาดมาไว้ที่นี่ ก็ช่างฉลาดยิ่งนัก


 


 


หลิงลั่วเม้มริมฝีปากขึ้นช้าๆ ดึงช่องลับออกมาเบาๆ ซองจดหมายกระดาษเยื่อเหนียวปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิงลั่ว 


 


 


หลิงลั่วเอื้อมมือออกไป และหยิบซองจดหมายออกมา


 


 


บนซองจดหมายไม่มีการเขียนด้วยลายมือ ช่างเกลี้ยงเกลาเป็นอย่างมาก


 


 


หลิงลั่วหยิบกระดาษจดหมายออกมา และดูอย่างละเอียด


 


 


ที่แท้ก็คือที่อยู่ของกองบัญชาการหลักของสำนักชิวหลานนี่เอง!


 


 


ดวงตาหลิงลั่วขยับเล็กน้อย นำจดหมายใส่กลับเข้าไปในซองจดหมาย และเก็บซองจดหมายเข้าไปในปากแขนเสื้อตัวเอง


 


 


คิดไม่ถึงว่าเซียวชวีฟู่จะเก็บออมฝีมือไว้ได้ขนาดนี้!


 


 


นางเม้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย เกรงว่าครั้งนี้แม้แต่ชิวไต้เมี่ยวก็ยังไม่ล่วงรู้เลย


 


 


เมื่อนำภาพวาดกลับไปแขวนที่แล้ว หลิงลั่วก็พกซองจดหมายกลับไปที่วังหลังของแคว้นจื้อโหยว


 


 


ในห้องตำราหลวง จวินชิงเหยียนเพิ่งจะนำเหตุการณ์คร่าวๆ ของหมู่บ้านหลิวเจียแห่งเมืองทงโจวบอกให้เซียวจือเฉาทราบ เซียวจือเฉาเพิ่งจะตรึกตรองได้ชั่วครู่ หลิงลั่วก็กลับมาที่ห้องตำราหลวงแล้ว


 


 


“จือเฉา ฟู่อ๋องถูกชิวไต้เมี่ยวกับเหยียนปินพาตัวไปแล้ว”


 


 


“อะไรนะ?!” เซียวจือเฉาลุกขึ้นยืนเสียงดัง ฟึ่บ! “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


 


“ความทะเยอทะยานของสำนักชิวหลานคงจะเผยออกมาแล้ว พวกเขาพาฟู่อ๋องไป น่าจะเพื่อราชบัลลังก์ของเจ้า หรืออาจกล่าวได้ว่าเพื่อจะดึงเจ้าลงจากราชบัลลังก์”


 


 


เซียวจือเฉานิ่วคิ้ว สำหรับสำนักชิวหลานนั้น เซียวจือเฉาเองก็รู้เรื่องแล้ว หลังจากที่จวินชิงเหยียนเจอเรื่องของแคว้นชิวหลาน ก็ได้บอกนางให้นางทราบแล้ว


 


 


“ถึงแม้ขณะนี้จะทราบที่ตั้งกองบัญชาการหลักของสำนักชิวหลาน แต่ยังไม่รู้ว่าแคว้นชิวหลานอยู่ที่แห่งไหน ที่สำคัญในตอนนี้บอกให้แคว้นจวินกั๋วกับแคว้นซีหวาทั้งสองแคว้นรู้ และให้พวกเขาได้ระวังไว้สักหน่อยดีกว่า”


 


 


จวินชิงเหยียนมองหลิงลั่วที่เพิ่งจะยื่นซองจดหมายให้เขา และกล่าวว่า


 


 


“ข้ากับลั่วลั่วต้องกลับไปยังแคว้นจวินกั๋วพอดี ทางฝั่งแคว้นจวินกั๋ว ก็มอบให้พวกข้าจัดการแล้วกัน”


 


 


หลิงลั่วกับเซียวจือเฉาพยักหน้า หลิงลั่วคิดอยู่สักพักและเอ่ยว่า “ข้าจะเขียนจดหมายให้หลีเยี่ย และส่งคนที่เชื่อถือได้ไปส่ง”


 


 


“ดี” เซียวจือเฉาพยักหน้า และกล่าวว่า “ลั่ว หลังจากที่เจ้าเขียนเสร็จแล้ว ข้าจะให้องครักษ์ลับแห่งวังหลวงแคว้นจื้อโหยวไปคุ้มกันเจ้าเอง”


 


 


เรื่องนี้เมื่อทั้งสามเห็นพ้องต้องกันแล้ว ก็เริ่มต้นปฏิบัติการทันใด


 


 


สามวันต่อมา ฟังจั่วฉือก็กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว


 


 


“ฉือน้อย เหตุใดเจ้าถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ เจ้าคงไม่ได้ฆ่าชาวบ้านหมู่บ้านหลิวเจียเหล่านั้นหมดแล้วหรอกนะ?”


 


 


จวินชิงเหยียนจัดเก็บสัมภาระอยู่ทางฝั่งหนึ่ง หลิงลั่วกับจวินนั่วเหยียนอุ้มกล่อมเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้ดังลั่นอยู่


 


 


“หลิงลั่ว ในความคิดของเจ้า ข้าก็ดูเป็นคนกระหายเลือดขนาดนั้นเลยรึ!” ฟังจั่วฉือกลอกตาใส่อย่างหมดคำพูด และกล่าวว่า “ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน ก็ไม่รู้ว่าชาวบ้านเหล่านั้นเป็นอะไรกัน แต่ละคนพุ่งใส่รั้วกั้นเหมือนไม่คิดชีวิต จนกระทั่งเมื่อวานถึงจะสามารถทำให้ทุกอย่างสงบลงได้”


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็ฆ่าหมดแล้วมิใช่หรือ?”


 


 


หลิงลั่วมองฟังจั่วฉืออย่างไร้คำพูด เมื่อฟังจั่วฉือสัมผัสถึงอารมณ์ของหลิงลั่วได้ ก็ถลึงตาใส่ “หลิงลั่ว สายตาเช่นนี้ของเจ้าคืออะไร! ยามนั้นเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายขนาดนั้น ข้าสามารถปกป้องคนที่ไม่ได้ติดเชื้อ                         สิ้นฝั่งนิพพานเหล่านั้นเอาไว้ได้ก็ยากมากแล้วมิใช่หรือ?!”


 


 


“น่าๆๆ…” หลิงลั่วส่ายหน้าอย่างจนใจ “ข้ากับสิบสี่จะกลับแคว้นจวินกั๋ว ช่วงระยะนี้ต้องระวังความปลอดภัยของแคว้นจื้อโหยวเพิ่มมากขึ้น ระวังชิวไต้เมี่ยวกับเหยียนปินหวนกลับมาอีก”


 


 


“เจ้าวางใจได้ แคว้นจื้อโหยวเป็นเขตแดนของพวกข้า”


ตอนที่ 517 หวนคืนแคว้นจวินกั๋ว (2)


 


 


ฟังจั่วฉือตบหน้าอกรับประกัน


 


 


“ไว้ใจได้จริงๆ ก็ดี”


 


 


หลิงลั่วส่งเสียงถอนใจเบาๆ แต่อุปนิสัย เวลาเผชิญกับเรื่องที่เป็นการเป็นงานนี้ของฟังจั่วฉือก็ยังเชื่อถือได้มาก


 


 


วันต่อมา ครอบครัวของหลิงลั่วทั้งห้าคนก็ได้ออกเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน


 


 


ระยะทางระหว่างแคว้นจื้อโหยวกับแคว้นจวินกั๋วไม่ได้อยู่ใกล้หรือไกลกันมากนัก และประกอบกับยังมีเด็กน้อยสองคนที่เพิ่งจะครบเดือนก่อความวุ่นวายอยู่ตลอดการเดินทางด้วย การเดินทางจึงปาเข้าไปกว่าครึ่งเดือนเต็มๆ


 


 


ทั้งครอบครัวหลิงลั่วยังไม่ทันได้เข้าสู่เมืองหลวงแคว้นจวินกั๋ว ก็เห็นเงาร่างสีเหลืองผ่องมาแต่ไกล


 


 


คิดไม่ถึงว่าจวินโม่เซิงกับซย่าอี้อวิ๋นจะมารับพวกเขาด้วยตัวเอง


 


 


เมื่อทั้งครอบครัวของหลิงลั่วลงจากรถม้า หลิงซื่อเฉิงกับมู่โย่วเอ๋อร์ก็เข้ามาตอนรับทันที


 


 


“ลั่วเอ๋อร์ ชิงเหยียน พวกเจ้ากลับมาเสียที”


 


 


“นั่นสิ ท่านพี่ ซีเอ๋อร์คิดถึงจังเลย!”


 


 


หลิงซีวิ่งมาอยู่ข้างกายหลิงลั่ว หลิงซีที่อายุเพียงแค่หกปี ความสูงก็สูงถึงเหนือท้องน้อยของหลิงลั่วเสียแล้ว


 


 


หลิงลั่วลูบศีรษะน้อยของหลิงซี เอ่ยพลางยิ้มว่า “พี่ไม่อยู่ ซีเอ๋อร์เชื่อฟังคำพูดของท่านพ่อท่านแม่หรือไม่”


 


 


“เชื่อฟังสิขอรับ!” หลิงซีพยักหน้าหงึกๆ “ซีเอ๋อร์เชื่อฟังเป็นพิเศษเลยล่ะ ก็เพื่อเวลาที่ท่านพี่กลับมาจะได้ให้ท่านพี่ชื่นชมซีเอ๋อร์อย่างไร!”


 


 


หลิงลั่วหัวเราะน้อยๆ มู่โย่วเอ๋อร์เอื้อมมือมารับจวินรุ่ยซีที่อยู่ในอ้อมอกของหลิงลั่ว ยิ้มและเอ่ยว่า “ได้ตั้งชื่อเด็กสองคนนี้หรือยัง?”


 


 


หลิงลั่วมอบจวินลุ่ยซีที่อยู่ในอ้อมอกให้มู่โย่วเอ๋อร์เบาๆ พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เด็กผู้ชายนามว่าลั่วชิง เด็กผู้หญิงนามรุ่ยซี มีชื่อเล่นว่าจวินเป่าเป้ยเจ้าค่ะ”


 


 


มู่โย่วเอ๋อร์ป้องปากและหัวเราะเบาๆ “เป็นชื่อที่ดีจริงๆ”


 


 


“ลั่วเอ๋อร์ เหตุใดจู่ๆ เจ้ากับเสด็จอาถึงได้กลับมาเล่า ตอนนั้นที่พวกข้าได้รับข่าวคราวก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย”


 


 


ซย่าอี้อวิ๋นเดินมาข้างหน้าหลิงลั่ว และจับข้อมือของหลิงลั่วเอาไว้


 


 


ครอบครัวของหลิงลั่วไปจากแคว้นจวินกั๋วได้สามปีแล้ว อีกทั้งจวินจื่ออวิ้นก็ได้ไปสมรสเชื่อมสัมพันธ์กับกับแคว้นซีหวา ในวังก็มีเพียงแค่นางกับอวี้ซือยวนสองคน นี่ก็ช่างน่าเบื่อสุดๆ ไปเลย


 


 


“ครั้งนี้กลับมา ที่จริงก็มีเรื่องที่สำคัญ”


 


 


หลิงลั่วมองซย่าอี้อวิ๋นแวบหนึ่ง และหันหน้ากลับไปพูดกับจวินโม่เซิงว่า “เรื่องนี้ไม่เหมาะจะคุยกันที่นี่ พวกเรากลับวังไปคุยรายละเอียดกันเถิด”


 


 


จวินโม่เซิงพยักหน้า ก่อนที่คนทั้งกลุ่มจะมุ่งหน้าไปยังวังหลวง


 


 


เมื่อถึงห้องตำราหลวง มู่โย่วเอ๋อร์กับซย่าอี้อวิ๋นได้พาหลิงซี จวินนั่วเหยียน จวินลั่วชิงและจวินรุ่ยซีไปที่วังหลัง ส่วนหลิงลั่ว จวินชิงเหยียน จวินโม่เซิงและหลิงซื่อเฉิงอยู่ปรึกษาหารือเรื่องงานกันในห้องตำราหลวง


 


 


“กล่าวเช่นนี้แล้ว แคว้นจวินกั๋วของเรา แคว้นซีหวาและแคว้นจื้อโหยวสามแคว้น ก็มีแหล่งกำเนิดเช่นเดียวกันกับสำนักชิวหลาน”


 


 


หลังจากฟังคำพูดของหลิงลั่วแล้ว จวินโม่เซิงก็ขมวดคิ้ว


 


 


แต่ก่อนยังไม่ได้ทราบว่าบนแผ่นดินใหญ่นี้ นอกจากแคว้นจวินกั๋ว แคว้นซีหวาและแคว้นจื้อโหยวแล้ว ยังจะมีแคว้นอื่นอยู่อีก หนำซ้ำที่คิดไม่ถึงคือแคว้นชิวหลานนี้ถูกทำลายล้างด้วยการร่วมมือกันของทั้งสามแคว้นด้วย


 


 


เพียงแต่ เมื่อหลายร้อยปีก่อน แคว้นชิวหลานถูกทั้งสามแคว้นผนึกกำลังโจมตีและทำให้พ่ายไป แล้วตอนนี้พละกำลังของแคว้นชิวหลานจะองอาจเพียงใด!


 


 


“ในตอนนี้ เจ้าสำนักองค์รองของแคว้นชิวหลานได้พาตัวฟู่อ๋องแห่งแคว้นจื้อโหยวไปแล้ว เกรงว่าพวกเขาคิดจะกำจัดสามแคว้นไปทีละแคว้น พวกเราต้องไม่ปล่อยให้แผนการชั่วร้ายของพวกเขาสำเร็จได้เด็ดขาด!”


 


 


หลิงซื่อเฉิงกำมือข้างที่มีผิวหนังเป็นไตด้านเอาไว้แน่น เขาไม่มีทางปล่อยให้แผนร้ายของพวกเขาสำเร็จได้เป็นอันขาด ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เหล่าเด็กๆ ก็เพิ่งจะโตกันได้แค่นี้ ซึ่งเป็นเวลาที่จะต้องเติบโตโดยไร้ซึ่งความกังวล


 


 


“ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทำได้สำเร็จแน่ แต่ว่าพวกเราก็น่าจะต้องวางแผนกันสักหน่อย แผนการขั้นต่อไปของพวกเรา…” หลิงลั่วมองทั้งสามคนอย่างถ้วนทั่วอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าว


 


 


“หากไม่เกินดังที่คาดเอาไว้ละก็ เป้าหมายแรกของสำนักชิวหลานก็น่าจะเป็นแคว้นจื้อโหยว”


 


 


 


 


ตอนที่ 518 บุกรุกขนานใหญ่


 


 


“หากไม่เกินดังที่คาดเอาไว้ละก็ เป้าหมายแรกของสำนักชิวหลาน ก็น่าจะเป็นแคว้นจื้อโหยว” จวินชิงเหยียนกล่าว “ก่อนอื่นเลย แคว้นจื้อโหยวและแคว้นชิวหลานเป็นแคว้นที่ยกย่องสตรีเหมือนกัน อีกทั้งในเมื่อรองเจ้าสำนักแห่งแคว้นชิวหลานแอบลอบเข้าไปในแคว้นจื้อโหยวด้วยตัวเอง อย่างนั้นแล้วก็ยิ่งเป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะลงมือกับแคว้นจื้อโหยว”


 


 


“ถูกต้อง เสด็จอากล่าวมีเหตุผล” จวินโม่เซิงพยักหน้า “อีกทั้งฟู่อ๋องแห่งแคว้นจื้อโหยวยังถูกรองเจ้าสำนักของแคว้นชิวหลานพาตัวไปอีก เป็นไปได้มากว่าจะเอาฟู่อ๋องไปเป็นตัวประกัน”


 


 


“ลั่วเอ๋อร์ ทางฝั่งแคว้นจื้อโหยวได้ทำการเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?”


 


 


“อืม” หลิงลั่วพยักหน้า “วางใจได้เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกได้หารือกับจือเฉาแล้ว ทางฝั่งหลีเยี่ยเองก็ได้แจ้งให้ทราบแล้ว”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี”


 


 


อย่างไรเสียเตรียมป้องกันไว้มากสักหน่อย ก็ดีกว่าถูกศัตรูโจมตีโดยที่ไม่ได้เตรียมการอะไรเลย


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ก็เอาไว้เท่านี้ก่อน ลั่วเอ๋อร์กับเสด็จอาก็เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาแล้ว พาเด็กสามคนกลับจวนไปพักผ่อนกันก่อนเถิด หากมีความเคลื่อนไหวอะไร ข้าจะแจ้งให้พวกเจ้าได้ทราบ”  


 


 


“ตกลง”


 


 


หลิงลั่วพยักหน้า แล้วก็บอกลาหลิงซื่อเฉิงกับจวินโม่เซิงพร้อมกับจวินชิงเหยียน


 


 


หลังจากพาเด็กๆ กลับมาถึงจวนเหยียนอ๋องแล้ว เมื่อมองทิวทัศน์ซึ่งคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งตรงหน้า หลิงลั่วก็ยิ้มมุมปากขึ้นอย่างแผ่วเบา ด้วยอารมณ์ที่ดีเป็นอย่างมาก


 


 


พาจวินลั่วชิงกับจวินรุ่ยซีไปไว้ที่ในห้องเรือนหลัก และให้เจ้าเด็กน้อยอยู่ดูแลพวกเขาในห้องไปก่อน ส่วนหลิงลั่วกับจวินชิงเหยียนเดินไปที่ข้างนอกห้อง


 


 


“การต่อสู้กับแคว้นชิวหลานครั้งนี้จำต้องเปิดฉากเป็นแน่ ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะต้องมีประชาชนพลัดพรากจากถิ่นอีกเท่าใด พวกนั่วเอ๋อร์เขา…”


 


 


หลิงลั่วขมวดคิ้วแน่น ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง


 


 


จวินชิงเหยียนมองหลิงลั่วที่ขมวดคิ้วแน่น เอื้อมนิ้วมือซึ่งมีข้อต่อที่เด่นชัดออกมา ลูบตรงระหว่างคิ้วของหลิงลั่วให้คลายออกไปข้างๆ อย่างแผ่วเบา “วางใจเถิด มีข้าอยู่ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้”


 


 


มีข้าอยู่ ข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรแน่ ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าต้องอยู่รอดอย่างปางตายเพื่อข้าอีกเด็ดขาด…


 


 


พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสงบไปได้เช่นนี้ราวหนึ่งเดือน จู่ๆ ก็มีข่าวกรองเร่งด่วนส่งมาจากแคว้นจื้อโหยวว่า แคว้นชิวหลานยกกองทัพบุกรุกแคว้นจื้อโหยวขนานใหญ่ และได้บุกยึดเมืองชายแดนไปแล้วสองแห่ง


 


 


ฟั่งจั่วฉือ อวิ๋นย่านำกองทัพใหญ่ล้านนาย รุดหน้าไปชายแดนอย่างรวดเร็ว ก็ยังเสียคูเมืองและกำแพงเมืองไปสองแห่ง


 


 


จวินโม่เซิงส่งกองทัพใหญ่ห้าแสนนายออกไป บัญชาให้หลิงซื่อเฉิงกับหลิงลั่วเป็นฝ่ายนำทัพด้วยตัวเอง รุดหน้าไปสนับสนุน


 


 


ถึงแม้กองทัพใหญ่จะรีบรุดหน้าไป แต่ก็ยังใช้เวลากว่าครึ่งเดือนกว่าจะไปถึงเนินเขาที่ฟังจั่วฉือตั้งประจำการอยู่


 


 


ยามที่พวกหลิงลั่วมาถึงนั้น กองทัพใหญ่ล้านนายของฟังจั่วฉือเหลืออยู่หกแสนกว่าคน


 


 


หลิงลั่วไม่รู้ว่าในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนนี้ แคว้นชิวหลานสามารถทำลายล้างคนกว่าสามแสนคนไปจากการครอบครองของฟังจั่วฉือได้อย่างไร แต่ที่หลิงลั่วรู้ก็คือถึงแม้สำนักชิวหลานจะมีคนอยู่เพียงเล็กน้อยแค่ห้าแสนคน แต่ความสามารถของคนเหล่านั้น ไม่สามารถดูถูกได้เลย!


 


 


เพล้ง! เสียงถ้วยชาหล่นขานรับ


 


 


“ทัพศัตรูแค่กองเดียวเท่านั้น ยังทำลายไม่ได้! ปล่อยให้กำลังคนแสนนายของพวกมันทำลายคนกว่าสามแสนคนของทัพเราได้! พวกเจ้าแค่ยืนดูให้พวกนายทหารบุกเข้ามาข้างในหรือ?!”


 


 


ในกระโจมหลัก บรรดาแม่ทัพแต่ละคนก้มหน้า นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่เปิดปากกล่าว


 


 


ซึ่งก็เป็นความผิดของพวกเขาจริงๆ เดิมทีคิดว่าพวกเขามีคนสี่แสนคนอยู่ใต้บัญชา ศัตรูมีอยู่เพียงแสนคน ไม่ว่าจะสู้อย่างไรก็ต้องสู้ได้แน่


 


 


ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายผู้ที่รอดกลับมาได้ จะมีเพียงแค่สามแสนกว่าคน


 


 


“ท่านแม่ทัพ แม่ทัพหลิงและแม่ทัพน้อยของแคว้นจวินกั๋ว นำกองหนุนมาสนับสนุนขอรับ”


 


 


อวิ๋นย่าเดินจากนอกกระโจมเข้ามากล่าวรายงาน


ตอนที่ 519 กระบวนกลหมื่นอสรพิษ


 


 


ฟังจั่วฉือมองบรรดาแม่ทัพในกระโจมแวบหนึ่ง ก่อนส่งเสียงหยันอย่างเย็นชา และสาวเท้าเดินออกจากกระโจมหลัก


 


 


ยามเมื่อเดินไปถึงปากประตูกระโจมแล้วก็หยุดฝีเท้าลงครู่หนึ่ง และกล่าวขึ้นว่า “วันนี้หากคิดวิธีการรับมือไม่ได้ พวกเจ้าแต่ละคนก็อย่าได้คิดจะพักเลย!”


 


 


เมื่อกล่าวจบก็เดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะสนใจสีหน้าที่ไม่สู้ดีของกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลัง


 


 


นอกกระโจมนั้น บรรดานายทหารแคว้นจวินกั๋วได้เริ่มปักหลักตั้งค่ายกันแล้ว หลิงซื่อเฉิง หลิงลั่วและจวินชิงเหยียน รวมถึงรองแม่ทัพสองคนหลัวเว่ยกับสวี่ซื่อได้มาอยู่รวมกันที่หน้ากระโจมหลัก


 


 


“ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะเชิญแม้ทัพหลิงมาด้วย”


 


 


ฟังจั่วฉือเดินมาข้างหน้า ประสานมือเคารพให้หลิงซื่อเฉิง และกล่าวอย่างนอบน้อม


 


 


อายุของฟังจั่วฉือก็ถือว่าไล่เลี่ยกับจวินชิงเหยียน หลิงซื่อเฉิงจึงเป็นผู้ที่อาวุโสกว่าเขา ประกอบกับการขนานนามในชีวิตนี้ของหลิงซื่อเฉิงว่า ‘เทพสงครามผู้ไร้พ่าย’ ยิ่งทำให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทธา


 


 


“แม่ทัพฟังไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก เจ้าเป็นสหายคนสนิทที่ลั่วเอ๋อร์คบหาด้วย สำหรับข้าแล้วก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นคนอื่นคนไกล”


 


 


หลิงซื่อเฉิงยิ้มเปิดกว้าง ฟังจั่วฉือเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เกรงใจอีก ทำท่าเชื้อเชิญ “ได้ เช่นนั้นเชิญท่านลุงเข้ามาเลย”


 


 


หลิงซื่อเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย หลัวเว่ยกับสวี่ซื่อก็ตามหลิงซื่อเฉิงเข้าไปในกระโจมหลัก


 


 


ฟังจั่วฉือเดินมาข้างๆ หลิงลั่วกับจวินชิงเหยียน “นี่ๆ หลิงลั่ว ครั้งนี้แคว้นจวินยอดเยี่ยมเหลือเกิน! ไม่นึกเลยว่าจะเชิญจ้าวสงครามผู้ไร้พ่ายมาด้วย!”


 


 


“ท่านพ่อกล่าวว่าค่ายกลในการรบของแคว้นชิวหลานช่างร้ายกาจนัก สามารถเอาชนะได้ด้วยปริมาณที่น้อยกว่า ดังนั้นเลยอยากจะมาดูสักหน่อย”


 


 


“แค่ดูไม่ได้หรอก!” ฟังจั่วฉือเบิกตาโพลง ทำหน้าตาลำบากใจ “เจ้าคงไม่รู้ว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อน แคว้นชิวหลานได้ทำลายกองทัพกว่าสามแสนนายของข้าให้สิ้นซากไปด้วยกำลังทหารหมื่นนาย! ทำเอาข้ากลุ้มแทบตาย!”


 


 


“เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ อีกประมาณสามวัน ทัพหนุนของทางแคว้นซีหวาก็จะมาถึง แม่ทัพอันก็จะนำทัพมาด้วยตัวเอง”


 


 


หลิงลั่วตบไหล่ปลอบใจฟังจั่วฉือ และกล่าวว่า


 


 


อันที่จริงหลิงลั่วก็อยากจะเจอ ‘บรรพบุรุษ’ ของนางอีกครั้ง นับตั้งแต่ที่เดินทางไปแคว้นซีหวาครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน หลังจากลาครั้งนั้นก็ไม่เคยได้เจออันอวี้เฟยมาสามปีแล้ว


 


 


“ให้ตายสิ ครั้งนี้คงไม่ใช่มหาสงครามสี่แคว้นหรอกนะ? จ้าวแห่งการรบของแคว้นจวิน แคว้นซีหวาและแคว้นจื้อโหยวล้วนมากันพร้อมหน้าหมดแล้ว!”


 


 


ฟังจั่วฉือมองหลิงลั่วกับจวินชิงเหยียนด้วยความรู้สึกว่าตัวเองดียิ่งเสียเต็มประดา อดไม่ได้ที่จะเผยอมุมปากขึ้น


 


 


หลิงลั่วกับจวินชิงเหยียนกระตุกมุมปากอย่างระอาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เจ้าหมอนี่ช่างหน้าไม่อายเกินไปแล้วกระมัง?


 


 


“เอาล่ะ หยุดโวยวายได้แล้ว เข้าไปกันเถิด อย่าให้ท่านพ่อรอนาน” จวินชิงเหยียนส่ายหน้าอย่างค่อยข้างจนใจ โอบไหล่ของหลิงลั่วและเดินเข้าไปในกระโจมหลัก


 


 


ฟังจั่วฉือมองเงาหลังของจวินชิงเหยียนที่เดินออกไปอย่างหมดคำพูด และกลอกตาใส่อย่างแรง


 


 


หึๆ คนที่โดนภรรยากดขี่เป็นข้าทาสแบบนี้ยังจะกล้าโอหังอีกนะ?


 


 


ในกระโจมหลัก รองแม่ทัพแคว้นจื้อโหยวได้บอกค่ายกล และรูปแบบการจัดตั้งกำลังรบในหลายๆ ครั้งของอีกฝ่ายให้หลิงซื่อเฉิง หลัวเว่ยและสวี่ซื่อได้ทราบ


 


 


พวกหลิงซื่อเฉิงสามคนก็ขมวดคิ้วแน่น


 


 


ตามหลักแล้วบนสนามรบ ปกติจะไม่ใช้แบบแผนเดิมๆ ติดต่อกันสองครั้ง และที่แคว้นชิวหลานใช้ไปตั้งหลายครั้งแบบนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่


 


 


แต่ที่จะบ้าตายก็คือ ไม่เพียงไม่เจอวิธีการที่จะสามารถถอดรหัสได้แล้ว ยังปล่อยให้แคว้นซีหวาทำลายคนของแคว้นจื้อโหยวให้ราบคาบไปกว่าสามแสนคนอีก


 


 


“เมื่อครู่ฟังรูปแบบค่ายกลที่รองแม่ทัพกล่าว เหมือนเป็น ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ ที่เคยปรากฏบนการรบสี่แคว้นเมื่อร้อยปีก่อนอยู่บ้าง แต่ก่อนข้าก็เคยได้ยินท่านปู่ที่เป็นคนรุ่นนั้นกล่าวถึง กระบวนกลนี้อันตรายอย่างมาก อีกทั้งยังตีทะลวงได้ยากที่สุด แล้วก็ชำนาญในการรบชนะด้วยจำนวนทัพที่น้อยกว่าด้วย”


 


 


 


 


ตอนที่ 520 บุรุษและสตรีล้วนโปรดปราน


 


 


“เมื่อยามนั้น แคว้นจวินกั๋ว แคว้นซีหวาและแคว้นจื้อโหยวสามแคว้นรวมกันเป็นทัพใหญ่กว่าสามล้านนาย ออกทัพพร้อมกัน และร่วมกันต่อต้านกำลังคนหนึ่งล้านนายของอีกฝ่าย กล่าวได้ว่าเป็นการคว้าชัยชนะที่ได้มาด้วยการเหยียบย่ำศพสหาย แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ได้ทำให้คนบาดเจ็บไปเกือบสองล้านคน”


 


 


หลิงซื่อเฉิงขมวดคิ้วแน่น คาดว่าบรรดาคนรุ่นเด็กเหล่านี้คงจะไม่เคยมีใครได้ยิน ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ นี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะให้พวกเขาคิดแผนการรับมืออะไรเลย


 


 


หรือว่าครั้งนี้ยังจะต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างแสนสาหัสเหมือนเมื่อยามนั้นอีกรึ?


 


 


“หรือสิ่งที่เรียกว่า ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ นี้ จะไม่มีค่ายกลอะไรที่สามารถข่มเอาชนะได้เลยหรือ?”


 


 


หลิงลั่วเองก็ขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของหลิงซื่อเฉิงแล้ว ก็เข้าใจได้ทันควันว่าเรื่องนี้แท้จริงมีความยากลำบากมากเพียงใด


 


 


หลิงซื่อเฉิงล้วนไม่เคยสะทกสะท้านเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่เก่งกาจ ทว่าวันนี้กลับขมวดคิ้วแน่นเพราะรูปแบบค่ายกลอันเดียว


 


 


“ข้าก็ไม่รู้” หลิงซื่อเฉิงส่ายหน้า เขารู้เพียงว่า ร้อยปีก่อนแคว้นจวิน แคว้นซีหวาและแคว้นจื้อโหยวสามแคว้น บาดเจ็บล้มตายกันแสนสาหัส ถึงได้สามารถขับไล่แคว้นชิวหลานที่บุกรุกเข้ามาให้ออกไปได้


 


 


“ไม่มีทางที่จะไม่มีวิธีการถอดรหัส” สายตาจวินชิงเหยียนไหวเคลื่อน จับจ้องหุ่นจำลองบนผังการจัดทัพ “ไม่มีค่ายกลอะไรที่จะไร้ผู้ต่อกร เพียงแต่พวกเราแค่ยังหาจุดตายในค่ายกลไม่เจอเท่านั้น”


 


 


นัยน์ตาปานดอกท้อที่งามเลิศคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย และครุ่นคิดอยู่ในขณะเดียวกัน


 


 


ในค่ายกล แปดทวารแยกได้เป็น ทวารจุติ ทวารอาสัญ ทวารป้องปิด ทวารตื่นกลัว ทวารบาดเจ็บ ทวารเปิดโล่ง ทวารเรืองเดช ทวารยุติ


 


 


เข้าพิฆาตจากทวารจุติ และออกทางทวารเรืองเดช ทัพศัตรูจะอยู่ในความวุ่นวายไปเอง


 


 


แต่ตอนนี้ดูเหมือนปรากฏเพียงแค่ทวารจุติ ไม่ปรากฏทวารเรืองเดช ถึงสุดท้ายถ้าเคราะห์ดีหนีออกมาได้ ก็หนีออกได้ทางทวารบาดเจ็บหรือทวารเปิดโล่งโดยได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก


 


 


หรือว่า พวกเขาสามารถสร้างค่ายกลเองได้ สร้างชุดค่ายกลพิเศษที่กำราบ ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ ได้ด้วยตัวเอง!


 


 


“ฉือน้อย เจ้ายังจำรูปแบบการแปรสภาพของ ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ อย่างเป็นรูปธรรมได้อยู่หรือไม่”


 


 


“…จำที่เปลี่ยนแปรแบบหลักใหญ่ได้ ในแบบเล็กน้อยจำได้ไม่ค่อยชัดนัก”


 


 


ฟังจั่วฉือกระตุกมุมปาก มองจวินชิงเหยียนอย่างหมดคำพูด


 


 


ต่อหน้าจ้าวสงครามผู้ไร้พ่าย เจ้าหมอนี่ช่างไม่รู้จักไว้หน้าเขาบ้างเลย!


 


 


“ไม่เป็นไร จำได้เท่าไรก็เขียนออกมาเท่านั้น”


 


 


จวินชิงเหยียนหยิบกระดาษเซวียนจื่อกับพู่กันที่อยู่บนโต๊ะยื่นให้ฟังจั่วฉือ ฟังจั่วฉือรับมาอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก


 


 


เรื่องที่เขาไม่อยากทำที่สุดคือการเขียนอักษร เจ้าจวินชิงเหยียนอยากจะให้เขาตายให้ได้เลยใช่หรือไม่!


 


 


มองไปทางหลิงลั่วด้วยสายตาเศร้าใจอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม หลิงลั่วกลับไม่มีท่าทางสงสารเขาเลยสักนิด “จะงงงันอยู่ทำไมกัน? ยังไม่รีบเขียนเล่า บนหน้าข้ามีตัวอักษรรึ”


 


 


เอาล่ะ เขาน่าจะรู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว หลิงลั่วกับจวินชิงเหยียนเป็นพวกเดียวกัน!


 


 


รับกระดาษกับพู่กันในจวินชิงเหยียนมาด้วยทีท่าว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ก้มลงเขียนและวาดลงบนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก


 


 


“พวกเราไม่เคยได้สัมผัส ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ นี้อย่างซึ่งๆ หน้าเลย ก็จะปล่อยให้เหล่าทหารไปสละชีพเพื่อเรื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นจั่วฉือ หวังว่าเจ้าจะสามารถหวนนึกถึงรายละเอียดได้”


 


 


เมื่อฟังจั่วฉือได้ยินคำพูดของหลิงซื่อเฉิง ก็รีบพยักหน้า “อื้อๆๆ ท่านลุงวางใจได้เลย!”


 


 


หลิงลั่วมองฟังจั่วฉือที่มีสภาพเป็นแฟนคลับตัวจ้อย และกะพริบตาปริบๆ ก็รู้สึกจนใจอย่างสุดซึ่งอยู่เนืองๆ


 


 


ที่ฟังจั่วฉือแสดงออกมาแบบนี้ช่างทำให้หลิงลั่วคาดไม่ถึงเลยจริงๆ


 


 


ทางด้านจวินชิงเหยียนเองก็หมดคำพูดสุดๆ เขาให้ฟังจั่วฉือเขียน ฟังจั่วฉือก็ทำท่าเหมือนหมดอาลัยตายอยาก แต่พอหลิงซื่อเฉิงให้ฟังจั่วฉือเขียนเล่า? ไอ้เจ้านี่ก็มีทีท่าเป็นคนโง่ กล่าวอะไรก็พยักหน้าไปหมดเลยเนี่ยนะ?


 


 


คาดไม่ถึงว่าหลิงซื่อเฉิงจะเป็นที่โปรดปรานทั้งบุรุษและสตรี!ตอนที่ 521 เพิ่มการเตรียมพร้อมป้องกัน


 


 


ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าถ้าหากมู่โย่วเอ๋อร์อยู่ตรงนี้แล้วล่ะก็ จะมีปฏิกิริยาอย่างไร…


 


 


แต่ว่าการออกหน้าของหลิงซื่อเฉิง กลับทำให้ฟังจั่วฉือทุ่มเทสุดกำลัง หลังจากนั้นไม่นานกระดาษเซวียนจื่อที่ซ้อนเป็นพับหนาก็ ‘คุกรุ่นออกจากเตามาใหม่ๆ’


 


 


ฟังจั่วฉือเหมือนเป็นเด็กดี สองมือถือกระดาษเซวียนจื่อพับนั้น และข้ามผ่านจวินชิงเหยียนที่เพิ่งจะยกมือขึ้นมาไปทันที เดินไปที่ข้างหน้าหลิงซื่อเฉิง และยื่นให้ด้วยมือสองข้าง “ท่านลุง ท่านดูสิ”


 


 


มือที่ยกขึ้นมาของจวินชิงเหยียนก็ยกค้างอยู่กลางอากาศแบบนั้น จะวางก็ไม่วาง จะเก็บกลับก็ไม่เก็บ หันหน้ากลับมา และมองหลิงลั่วเผยสีหน้าท่าทางเศร้าโศกที่ยากจะได้เห็น


 


 


อีกฝ่ายเป็นพ่อตาของเขา! เขาก็ไม่อาจจะหาเรื่องได้!


 


 


หลิงลั่วมองจวินชิงเหยียนด้วยความสงสารแวบหนึ่ง เอื้อมมือของตัวเองออกมา วางไว้ในฝ่ามือของ                จวินชิงเหยียน ซึ่งคลายความอึดอัดของจวินชิงเหยียนได้อย่างดีเยี่ยม


 


 


หลิงซื่อเฉิงรับกระดาษเซวียนจื่อที่อยู่ในมือฟังจั่วฉือมา มองดูเล็กน้อย


 


 


ในกระบวนนี้ มีการวางทัพที่สอดคล้องตรงกันกับ ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ ที่เขาทราบ ดูเหมือนไม่น่าจะผิด


 


 


หลิงซื่อเฉิงพยักหน้า และยื่นให้ทางหลิงลั่ว “ลั่วเอ๋อร์ เจ้ากับชิงเหยียนก็ดูสิ”


 


 


หลิงลั่วพยักหน้า แล้วถึงได้ปล่อยมือที่จับจวินชิงเหยียนเอาไว้แน่นออก หลังจากลุกขึ้นไปรับแล้ว ก็ยื่นให้แก่จวินชิงเหยียน


 


 


หลิงลั่วไม่ได้คุ้นเคยกับวิชาทวารลึกลับแผนผังแปดทิศกับค่ายกลประเภทนี้ ดังนั้นก็เลยวางมือมอบให้           จวินชิงเหยียนจัดการ


 


 


จวินชิงเหยียนก้มหน้าดูกระดาษเซวียนจื่อทั้งพับอย่างจริงจัง กลับหาทวารเรืองเดชจากบนผังภาพนี้ไม่เจอ!


 


 


ไม่มีทวารเรืองเดชที่จะหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย เช่นนั้นหากพวกเขาอยากจะหนีออกมา ต้องได้รับบาดเจ็บกันแน่นอน


 


 


เมื่อเป็นแบบนี้ ก็ยุ่งยากเสียแล้ว…


 


 


“ในไม่กี่วันนี้เพิ่มกำลังการลาดตระเวนของค่ายทหารไปก่อน ป้องกันการลอบโจมตีของทัพศัตรู ให้พวกข้านำกระดาษภาพกับข้อมูลเหล่านี้กลับไปก่อน ให้สิบสี่ได้ค่อยๆ ค้นหาวิธีการรับมือ”


 


 


หลิงลั่วมองจวินชิงเหยียนที่ขมวดคิ้วแน่น นางย่อมทราบว่าสงครามครั้งนี้ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น แต่ว่าพวกเขาไม่มีทางถอย ถ้าหากเป็นการรบที่ไม่สามารถชนะได้ล่ะก็ เช่นนั้นสิ่งที่จะเหลือทิ้งไว้ให้กับราษฎรแต่ละแคว้นและลูกๆ ของพวกเขา ก็มีแค่ความทุกข์ทรมานและความสิ้นหวังเท่านั้น


 


 


เห็นได้เลยว่าครั้งนี้แคว้นชิวหลานมีการเตรียมพร้อมมา ถึงแม้หลิงลั่วจะไม่เข้าใจในเรื่องค่ายกลนี้ แต่นางก็รู้ว่าแต่ละค่ายกลล้วนมีแปดทวาร หากขาดหนึ่งในทวารใดไป ก็ไม่อาจก่อรูปเป็นค่ายกลได้


 


 


ดังนั้น ทวารเรืองเดชมีอยู่ เพียงแต่อำพรางตำแหน่งของทวารเรืองเดชไว้ ไม่อาจหาเจอได้ง่ายเท่านั้น


 


 


“ได้” หลิงซื่อเฉิงพยักหน้า “การลาดตระเวนในหลายวันนี้ก็มอบให้หลัวเว่ย สวี่ซื่อและรองแม่ทัพหลายนายไปควบคุมตรวจตราด้วยตัวเองแล้วกัน เพื่อป้องกันการลอบจู่โจมของแคว้นชิวหลาน ทุกคนได้แต่ต้องเหนื่อยยากกันก่อนที่ทัพหนุนของแคว้นซีหวาจะมาถึง”


 


 


“แม่ทัพหลิงโปรดวางใจ! ข้าน้อยต้องทำภารกิจที่มอบหมายให้สำเร็จไม่มีผิดหวังแน่ขอรับ!”


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่ง ในค่ายทหารของแคว้นชิวหลาน


 


 


“เจ้าสำนักหลัก รองเจ้าสำนัก กองหนุนของแคว้นจวินกั๋วมาถึงแล้ว ต้องการให้ไปสืบหรือไม่ขอรับ”


 


 


ชิวฝั่งเยียนเจ้าสำนักองค์โตที่นั่งอยู่บนตำแหน่งแม่ทัพหลักได้ยิน ก็ไม่ได้เอ่ยปาก ชิวไต้เมี่ยวกลับทนไม่ค่อยได้ “กองหนุนของแคว้นจวินกั๋วมาถึงแล้ว? เช่นนั้นเหยียนอ๋องก็มาแล้วใช่หรือไม่”


 


 


เหยียนปินตะลึงอยู่บ้างนิดหน่อย แต่ยังกล่าวไปตามความจริง “มาแล้วขอรับ เหยียนอ๋องมาด้วยกันกับ           เหยียนหวังเฟยขอรับ”


 


 


เมื่อได้ยินประโยคแรกในดวงตาชิวไต้เมี่ยวปรากฏความดีใจเล็กน้อย แต่หลังจากที่ได้ยินคำว่า ‘เหยียนหวังเฟย’ สามคำนั้นแล้ว สีหน้าก็หมองหม่นลงอีกครั้ง


 


 


“นางมาทำอะไร?”


 


 


“เรียนรองเจ้าสำนัก เหยียนหวังเฟยเป็นแม่ทัพน้อยของแคว้นจวินกั๋ว นางมาที่นี่…”


 


 


“พอที!” ชิวไต้เมี่ยวขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่อยากได้ยินชื่อของหลิงลั่วอีก!”


 


 


 


 


ตอนที่ 522 เช่นนั้นก็สังหารหลิงลั่ว


 


 


“ขอรับ…ข้าน้อยน้อมรับบัญชา”


 


 


หลังจากเหยียนปินทำความเคารพแล้ว ก็ออกไปจากกระโจมหลัก


 


 


ชิวฝั่งเยียนมองชิวไต้เมี่ยวอย่างลึกซึ้งเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนสายตากลับไป


 


 


“เมี่ยวเอ๋อร์ บัดนี้เจ้าก็อายุยี่สิบหกปีแล้ว พี่ไม่ได้คิดเรื่องการสมรสของเจ้าเลย เจ้าตำหนิพี่หรือไม่?”


 


 


ชิวไต้เมี่ยวส่ายหน้า “ไม่หรอก ท่านพี่ เมี่ยวเอ๋อร์ว่าเอาเรื่องฟื้นฟูแคว้นเป็นเรื่องสำคัญดีกว่า เรื่องรักใคร่ส่วนตัวระหว่างหนุ่มสาวควรจะเอาไว้ก่อน”


 


 


ชิวไต้เมี่ยวมองชิวฝั่งเยียน อันที่จริงชิวไต้เมี่ยวรู้สึกว่าชิวฝั่งเยียนเป็นคนที่นางไม่อยากจะกล่าวเรื่องนี้ต่อหน้ามากที่สุด


 


 


เพราะว่าปีนี้ชิวฝั่งเยียนอายุสามสิบปีแล้ว ยังคงอยู่ตัวคนเดียวลำพัง


 


 


เพราะว่าชิวฝั่งเยียนทุ่มเทสุดใจในการฟื้นฟูแคว้นชิวหลาน แล้วนางจะเห็นแก่ตัวเอาเรื่องส่วนตัวมาก่อนเป็นอันดับแรกได้อย่างไรเล่า?


 


 


“เฮ้อ…”


 


 


เนิ่นนาน ชิวฝั่งเยียนถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า “รอหลังจากแคว้นชิวหลานเราบุกครองแคว้นจื้อโหยวได้แล้ว พี่จะจับเป็นจวินชิงเหยียน และก็มอบการสมรสให้พวกเจ้า เป็นอย่างไรเล่า?”


 


 


ชิวไต้เมี่ยวอดไม่ได้ที่จะเผยอยิ้มมุมปากเบาๆ เพียงแต่เพิ่งจะเผยอขึ้นก็ถูกชิวไต้เมี่ยวข่มยั้งเอาไว้


 


 


“ท่านพี่ มีหลิงลั่วอยู่ เรื่องนี้คงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”


 


 


“หลิงลั่ว? แม่ทัพน้อยของแคว้นจวินผู้นั้นรึ?”


 


 


ชิวไต้เมี่ยวพยักหน้า “ใช่แล้ว นางเป็นหวังเฟยของจวินชิงเหยียน หากอยากจะจับเป็นจวินชิงเหยียน เกรงว่าคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”


 


 


จู่ๆ ชิวฝั่งเยียนก็ยิ้มเยาะขึ้นมา “หลิงลั่ว สังหารนางไปเลยก็ได้นี่ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำให้พวกเราเสียการดีไป”


 


 


ชิวฝั่งเยียนก็ไม่ได้เป็นคนโง่ รู้สึกได้ในทันใดว่าหลิงลั่ว ก็คือหลิงอัน


 


 


ยามอยู่ที่เขตลี่หยาง อยู่ที่แคว้นจื้อโหยว หลิงลั่วได้ทำให้สำนักชิวหลานเสียการดีไปไม่น้อย


 


 


ชิวฝั่งเยียนได้ยินเหยียนปินกล่าวถึงหลิงลั่วมากกว่าหนึ่งครั้ง และครั้งแรกสุดที่นางรู้จักหลิงลั่ว คือจากปากของหลิงมั่ว


 


 


ยามนั้น ชิวฝั่งเยียนกับชิวไต้เมี่ยวเพิ่งจะมาถึงที่ราบตอนกลาง และก่อตั้งสำนักชิวหลานได้ไม่นาน ชิวฝั่งเยียนได้ยินว่าสำนักอันดับหนึ่งในยุทธจักรถูกบุรุษชุดแดงบุกตะลุยเดี่ยวทำลายราบคาบไปแล้ว!


 


 


นับจากนั้น ชิวฝั่งเยียนก็อยากจะเจอหลิงมั่วมาโดยตลอด จนกระทั่งมีโอกาสดีประจวบเหมาะ ทำให้นางได้ไปที่หอคอยหลิง นางได้กล่าวความในใจที่นางรู้สึกดีต่อหลิงมั่วกับเขา แต่ว่าหลิงมั่วกลับไม่แม้แต่จะมองนางเลย เพียงกล่าวว่า “ยังห่างไกลกับหลิงลั่วยิ่งนัก” แล้วก็จากไป


 


 


ชิวฝั่งเยียนรู้สึกว่าตนเองโดนหยามเหยียดเป็นอย่างยิ่ง หลังกลับมาที่สำนักชิวหลานแล้ว นางก็เริ่มสอบถามเรื่องราวเมื่อก่อนของหลิงมั่ว และสิ่งที่นางได้พบคืออะไร?


 


 


เดิมทีหลิงมั่วไม่ได้แซ่หลิง เขามีนามเดิมว่ากู้มั่ว ทว่าได้เปลี่ยนแซ่ของตนเองเพื่อสตรีนางหนึ่งซึ่งนามว่าหลิงลั่ว!


 


 


นับตั้งแต่นั้นมา ชิวฝั่งเยียนจึงรู้สึกเกลียดชังหลิงลั่ว


 


 


สายตาของชิวไต้เมี่ยวดำมืด หลิงลั่ว…หึ ครั้งนี้ ข้าจะให้หลิงมั่วได้เห็นเจ้าตายด้วยตาตัวเอง ดูสิว่าเขายังจะเอาข้าไปเทียบกับเจ้าได้อย่างไร! ดูสิว่าเจ้ายังจะมีสิทธิอะไร!


 


 


สิ่งที่นางไม่ทราบก็คือ ยามนางกล่าวว่าจะฆ่าหลิงลั่วนั้น ข้างนอกกระโจมก็มีร่างหนึ่งหายไปจากตรงที่เดิมอย่างรวดเร็ว และรีบมุ่งไปทางค่ายทหารแคว้นจื้อโหยว


 


 



 


 


ในค่ายทหารแคว้นจื้อโหยว


 


 


จวินชิงเหยียนถือพู่กันวาดอยู่บนกระดาษ แล้วก็ส่งเสียงเดาะลิ้นอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง


 


 


เขาขยำกระดาษเซวียนจื่อใบนั้นเป็นก้อนกลม และทิ้งไปบนพื้น


 


 


ยามนี้ หลิงลั่วกำลังยกก๋วยเตี๋ยวน้ำถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา มองกระดาษที่ทิ้งอยู่เต็มพื้น และถอนใจเบาๆ


 


 


นางเดินไปข้างๆ จวินชิงเหยียน วางก๋วยเตี๋ยวถ้วยนั้นไว้บนโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าจวินชิงเหยียน มองจวินชิงเหยียนที่หน้านิ่วคิ้วขมวด “สิบสี่ พักผ่อนสักประเดี๋ยว ทานอะไรสักหน่อยเถิด ศึกษามาทั้งคืนแล้ว”


ตอนที่ 523 พบเจอสหายเก่า


 


 


จวินชิงเหยียนมองหลิงลั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าเล็กน้อย แล้วหยิบก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ข้างๆ มาวางไว้ที่ข้างหน้าตัวเอง


 


 


หลิงลั่วเดินไปข้างหลังจวินชิงเหยียน และกล่าวว่า


 


 


“ยังไม่มีความคืบหน้าใดเลยหรือ?”


 


 


“ไม่มี”


 


 


จวินชิงเหยียนส่ายหน้า “รูปขบวนทัพนี้ช่างประหลาดจริงๆ โดยเฉพาะยามเมื่อแปรรูประหว่างขบวน ความเร็วของพวกเขาช่างเร็วนัก และในขณะเดียวกันยังมีโล่ป้องกันอยู่ด้วย ยากมากที่จะทำให้พวกเขาบาดเจ็บได้”


 


 


“อีกทั้ง ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ นี้แข็งแกร่งยากจะโจมตีได้ยิ่งนัก แทบจะไม่มีจุดอ่อนอะไรเลย”


 


 


เมื่อหลิงลั่วได้ยิน ก็นิ่วคิ้วเล็กน้อย “ในเมื่อ ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ แข็งแกร่งมาก แล้วจะใช้วิธีการนุ่มนวลสยบความแข็งกร้าวไม่ได้หรือ?”


 


 


จวินชิงเหยียนหยุดชะงัก และก้มหน้าครุ่นคิด


 


 


สยบความแข็งกร้าวด้วยความนุ่มนวลก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ที่สำคัญในตอนนี้คือฟังจั่วฉือจำการแปรผันเล็กๆ น้อยๆ ในค่ายกลได้ไม่ชัดเจน และมีความเป็นไปได้ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นกุญแจสำคัญในการได้ชัยของพวกเขา


 


 


จวินชิงเหยียนหยุดชั่วครู่ แล้วเอ่ยอีกว่า “แต่ว่ากระบวนทัพที่ค่อนข้างนุ่มนวลพบเห็นได้ยากนัก ศึกษาพิจารณาดูก่อนก็ไม่เสียหายอะไร”


 


 


หลิงลั่วพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นเจ้าศึกษาไปก่อน ส่วนเรื่องกระบวนทัพข้าจะไปปรึกษาท่านพ่อกับฉือน้อยดูสักหน่อย”


 


 


“อืม…”


 


 


หลิงลั่วออกจากกระโจมแล้วก็เดินไปทางกระโจมหลัก


 


 


ในกระโจมหลักมีหลิงซื่อเฉิงกับฟังจั่วฉือ และกุนซือทัพอยู่ครบกันหมด


 


 


“ท่านพ่อ ท่านจำได้หรือไม่ว่าในตำราค่ายกลโบราณเล่มใดที่มีการบันทึกรายละเอียด ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ ไว้?”


 


 


“เรื่องนี้…”


 


 


หลิงซื่อเฉิงใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ส่ายหน้าอยู่ดี “ไม่มี ค่ายกลนี้น่าจะเป็นค่ายกลที่แคว้นชิวหลานสร้างขึ้นเอง ไม่เคยมีตำราใดได้บันทึกเอาไว้”


 


 


หลิงลั่วขมวดคิ้วแน่น หรือว่าได้แต่ต้องสละชีวิตของบรรดาทหารเหล่านั้นหรือ? แต่ว่า…


 


 


หลิงลั่วส่ายหน้า นางทำไม่ได้จริงๆ


 


 


“ถึงแม้ ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ ของแคว้นชิวหลานจะไม่มีอยู่บนตำราโบราณใดเลยก็ตาม แต่ว่าที่ข้าก็มีข้อมูลรายละเอียดบางส่วนอยู่หนึ่ง”


 


 


เสียงที่ทั้งคุ้นเคยและแปร่งๆ ดังขึ้นใกล้หูหลิงลั่ว หลิงลั่วหันหน้ากลับไปมองโดยไม่รู้ตัว ก็ได้เห็นบุรุษผู้ที่หลบหน้านางมาหกปี


 


 


เขายังคงสวมชุดแดง เวลาหกปีนี้กลับไม่ได้มีรอยแผลใดทิ้งไว้บนกายของเขาเลย


 


 


ดวงตาทรงเสน่ห์เหลือร้ายคู่นั้นมองหลิงลั่วด้วยรอยยิ้ม ซึ่งทำให้หลิงลั่วเบ้าตาคลอ


 


 


“อามั่ว…”


 


 


หลิงมั่วหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกมาลูบศีรษะของหลิงลั่ว “เป็นแม่ลูกสามแล้ว เจ้ายังจะชอบร้องไห้แบบนี้อยู่อีก?”


 


 


หลิงลั่วสูดจมูก และกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไปตั้งหกปี อีกทั้งหลายครั้งที่ช่วยข้า ก็ยังไม่ยอมเจอข้าหรืออย่างไร”


 


 


หลิงมั่วมองหลิงลั่ว ยิ้มน้อยๆ ไม่พูดจา


 


 


ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเจอนาง แต่ไม่กล้าเจอนางต่างหาก


 


 


ยามนั้น ยามที่ดูเหมือนว่าเขาจากไปอย่างสง่างาม แต่ในใจไม่อยากจากไปมากขนาดไหนก็มีเพียงตัวเขาเองที่รู้


 


 


แต่ว่า เพียงแค่หลิงลั่วได้มีชีวิตที่ดี เขาจะเป็นอย่างไรก็ล้วนไม่เป็นเลย


 


 


“หลิงมั่ว…”


 


 


หลิงซื่อเฉิงมองหลิงมั่ว และหัวเราะน้อยๆ


 


 


กล่าวได้ว่าหลิงมั่วเป็นคนหนึ่งที่หลิงซื่อเฉิงเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จที่สุด ยามที่หลิงมั่วจากไปนั้น                หลิงซื่อเฉิงก็รู้สึกเสียดาย แต่ก็ทราบว่าฝืนไปในคราวที่ยังไม่ควรก็ย่อมไม่ได้ผลดี เขาก็ต้องเคารพการตัดสินใจของหลิงมั่ว


 


 


“ท่านแม่ทัพ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะขอรับ”


 


 


หลิงมั่วหัวเราะน้อยๆ ต่อหน้าหลิงซื่อเฉิงแล้วเขากลับไม่กังวลเลย


 


 


“หลิงมั่ว เหตุใดเจ้าจึงมีข้อมูลรายละเอียด ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ ของแคว้นชิวหลานได้? นั่นน่าจะเป็นความลับในแคว้นชิวหลาน ที่ไม่บอกให้คนนอกได้ทราบง่ายๆ”


 


 


หลิงมั่วยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ และเม้มมุมปากแผ่วเบา


 


 


 


 


 


ตอนที่ 524 เหตุใดถึงเบื่อกันได้ขนาดนี้


 


 


“แต่ก่อนเจ้าสำนักคนโตของสำนักชิวหลาน หรือก็คือองค์หญิงใหญ่ของแคว้นชิวหลานได้มาล้วงขโมยความลับของแคว้นจวินกั๋ว แคว้นซีหวาและแคว้นจื้อโหยวทั้งสามแคว้น ในภายหลังถูกลูกน้องข้าพบเจอเข้า ก็เลยพานางมาพบข้า”


 


 


หลิงมั่วหยุดลงชั่วครู่ ขมวดคิ้วอย่างเบื่อหน่ายเล็กน้อย “แต่ไม่รู้ว่าสตรีนางนั้นทานยาอะไรผิดสำแดง นางจึงมองข้าด้วยสายตาแปลกๆ แต่ว่าก็ไม่ใช่เจตนาสังหาร”


 


 


“ต่อมาในภายหลัง ข้าก็…เอ่อ นางชื่ออะไรเสียแล้วนะ? เหมือนว่าจะชื่อ ชิวเยียนฝั่งกระมัง?”


 


 


“เอ่อ…ชิวฝั่งเยียน”


 


 


หลิงลั่วตอบเขาอย่างเสียไม่ได้ ใครจะคิดว่าหลิงมั่วกลับโบกไม้โบกมือ “เฮ้อ ช่างนางเถิด นางจะชื่ออะไรไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า”


 


 


“ข้าปล่อยให้นางอยู่ที่หอคอยหลิงชั่วคราว แล้วก็ไปที่กองบัญชาการหลักของสำนักชิวหลาน หลังจากนั้นก็เจอข้อมูล ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ อะไรนั่นที่ในห้องลับ ก็เลยหยิบเอามันมา”


 


 


หลิงลั่ว หลิงซื่อเฉิงและฟังจั่วฉือต่างกระตุกมุมปากด้วยความเอือมระอากันหมด


 


 


ของที่พวกเขาพยายามทุ่มเทกันอย่างเต็มที่แล้วก็ยังไม่ได้มา แต่กลับอยู่ในครอบครองของหลิงมั่วมาโดยตลอด?!


 


 


หลิงมั่วหยิบกระดาษเป็นพับหนาๆ ออกมา ระดับความหนาทั้งหมดนั้นก็หนามากกว่าที่ฟังจั่วฉือวาดไว้ก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัว!


 


 


หลิงลั่วรับกระดาษพับนั้นมาอย่างตะลึงงัน แล้วก็หันหน้ากลับมาอย่างเหม่อลอย มองฟังจั่วฉือที่ใจลอยอยู่เช่นเดียวกัน “เจ้าแน่ใจนะว่าที่เจ้าลืมเป็นเพียงแค่การแปรเปลี่ยนรูปกระบวนแค่นิดเดียวเท่านั้น?” 


 


 


“…”


 


 


“คือ… คือ” ฟังจั่วฉือกระพริบตาปริบๆ พูดว่า “คือ” อยู่นานนัก และก็ไม่อาจกล่าวเหตุผลออกมาได้


 


 


“เอาเถิด ลั่วเอ๋อร์” กลับเป็นหลิงซื่อเฉิงที่ตอบสนองกลับมาก่อน “เจ้านำข้อมูลเหล่านี้ไปส่งให้ชิงเหยียนก่อน หลังจากนั้นก็รอหลังจากที่ทัพหนุนของแคว้นซีหวามาถึงแล้ว ค่อยกำหนดแผนการรับมืออย่างละเอียดอีกครั้ง”


 


 


หลิงลั่วพยักหน้า กำลังเตรียมจะลุกขึ้น กลับถูกหลิงมั่วยั้งเอาไว้ “ให้ข้าไปเถิด ข้าก็ไม่ได้เจอจวินชิงเหยียนมานานแล้ว คิดจะไปคุยเรื่องในอดีตกับเขาสักหน่อย”


 


 


กล่าวจบก็ไม่ให้เวลาหลิงลั่วได้ปฏิเสธ หยิบข้อมูลในมือของหลิงลั่วมาทันที และออกไปจากกระโจมหลัก


 


 


หลิงลั่วมองเงาหลังที่จากออกไปของหลิงมั่ว และถอนหายใจเบาๆ


 


 


เกรงว่าบนโลกนี้ ก็มีเพียงแค่หลิงมั่วเท่านั้นที่กล้าเรียกขานนามจวินชิงเหยียนตรงๆ โดยไม่ให้เกียรติเช่นนี้ได้


 


 


แต่ว่า…ให้หลิงมั่วไปเจอจวินชิงเหยียนแบบนี้จะไม่เป็นไรจริงๆ น่ะหรือ?


 


 


หลิงลั่วหันหน้ากลับมา กลับพบว่าหลิงซื่อเฉิง ฟังจั่วฉือและฟู่ฉีสามคนกำลังกระซิบกระซาบอะไรกันอย่างจริงจังอยู่มากนัก


 


 


หลิงลั่วเข้าไปใกล้อย่างอยากรู้อยากเห็นนิดหน่อย “พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่หรือ”


 


 


ทั้งสามคนมองทางหลิงลั่วพร้อมกันอย่างรู้กันดี ฟังจั่วฉือเป็นตัวแทนเอ่ยปากกล่าวว่า “พวกข้ากำลังพนันกันว่าชิงเหยียนจะทนหลิงมั่วยั่วโมโหได้นานเพียงใด”


 


 


หลิงลั่ว “…”


 


 


พระเจ้า! สามคนนี้จะเบื่อกันเกินไปแล้วกระมัง?!


 


 


และที่สำคัญที่สุดคือ ถึงแม้ฟังจั่วฉือจะป่วนเช่นนี้ก็ช่างเถิด อย่างไรเสียภายในใจเขาก็เป็นแค่สาวน้อยคนหนึ่ง แต่ว่าหลิงซื่อเฉิงกับฟู่ฉีเป็นคนวัยกลางคนกันหมดแล้ว! เหตุใดถึงเบื่อกันได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย?!


 


 


หลิงลั่วกระตุกมุมปากอย่างพูดไม่ออก ดวงตาไหวเคลื่อนเล็กน้อย และหันกลับไปร่วมวงกับทั้งสามคน…


 


 


อีกด้านหนึ่งนั้น หลิงมั่วเลิกผ้าม่านกระโจมที่จวินชิงเหยียนอาศัยอยู่ออกทันที และเดินเข้าไป


 


 


จวินชิงเหยียนสัมผัสได้ถึงริ้วสีแดงก็พลันตะลึงอยู่ชั่วขณะ หลังจากเห็นคนที่มาเยือนอย่างชัดเจนแล้ว                จวินชิงเหยียนก็เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ “เจ้ามาทำไมหรือ”


 


 


“หากข้าไม่มา เจ้าว่าเจ้าจะมีวิธีการในการแก้ไขค่ายกลของแคว้นชิวหลานที่ดีกว่านี้ได้หรือ?”


 


 


หลิงมั่วเดินไปหน้าโต๊ะ นำกระดาษเซวียนจื่อเป็นพับหนาๆ วางไว้ตรงหน้าจวินชิงเหยียนเบาๆ บนใบหน้าก็ยังมีท่าทีลอยชายไปเรื่อย ไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น


 


 


“นี่คือภาพการแปรเปลี่ยนรูปกระบวนทั้งหมดของ ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ ข้าได้ศึกษามาก่อนแล้ว แต่ว่าบนนี้ไม่ได้แสดงตำแหน่งของทวารเรืองเดชไว้”


ตอนที่ 525 ชนะเดิมพัน


 


 


“มีแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”


 


 


จวินชิงเหยียนหยิบข้อมูลเหล่านั้นขึ้นมา นี่มันละเอียดมากกว่าที่ฟังจั่วฉือวาดมากมายนัก ดูเหมือนว่าจะศึกษาได้ง่ายกว่าก่อนหน้านี้เยอะเลย


 


 


“จวินชิงเหยียน จะว่าไปข้าก็จากไปเสียตั้งนานแล้ว เหตุใดนิสัยอันเย็นชาของเจ้าถึงยังไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด? ไม่ใส่ใจกันเลยแม้แต่น้อย”


 


 


หลิงมั่วเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ด้านหนึ่ง ยันมือข้างหนึ่งไว้บนที่วางแขนเก้าอี้ หนุนศีรษะ และมองจวินชิงเหยียนอย่างสุขุมไม่สะทกสะท้าน


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงมั่ว สายตาจวินชิงเหยียนก็ละออกไปจากข้อมูลตรงหน้า มองหลิงมั่วแวบหนึ่ง เผยอยิ้มมุมปากอย่างคลุมเครือ แล้วก้มหน้าลงอ่านข้อมูลในมือต่อไปอีก


 


 


หลิงมั่วก็ไม่ได้โกรธเคือง เขายกขาพาดไขว่ห้างด้วยท่าทางหล่อเหลาสง่างาม “จวินชิงเหยียน ข้ามาช่วยส่งข้อมูลให้เจ้าด้วยเจตนาอันดี ในเมื่อเจ้าไม่สนใจ เช่นนั้นข้าก็ไปหาลั่วเอ๋อร์ดีกว่า…”


 


 


ขณะหลิงมั่วกล่าวอยู่ ก็เตรียมตัวจะลุกขึ้น


 


 


“เจ้ากล้า?”


 


 


ในน้ำเสียงของจวินชิงเหยียนมีความโกรธเคืองเล็กน้อย เสียงทุ้มต่ำเผยกลิ่นอายที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งออกมา


 


 



 


 


ข้างนอกกระโจม หลังจากพวกหลิงลั่วสี่คนที่ซ้อนตัวต่อยอดกันเป็นพีระมิดได้ฟังความเคลื่อนไหวในกระโจมแล้ว หลิงลั่วก็เผยอมุมปากขึ้นยิ้มอย่างประสบความสำเร็จ


 


 


“ฮ่าๆ! เร็วๆๆ เอาเงินมา!”


 


 


หลิงลั่วยื่นมือออกไปทางทั้งสามคน หลิงซื่อเฉิง ฟู่ฉีและฟังจั่วฉือหยิบตั๋วเงินในอกออกมาอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง และยื่นให้แก่หลิงลั่ว


 


 


“ไม่น่าใช่นะ! จวินชิงเหยียนเป็นคนมีเหตุผลขนาดนั้น เหตุใดแค่เจอหลิงมั่วเขาก็เดือดเสียแล้วเล่า?”


 


 


ฟังจั่วฉือขมวดคิ้ว กล่าวอย่างสงสัย


 


 


ฟังจั่วฉือเดาว่าจวินชิงเหยียนจะโกรธเมื่อถึงคำที่สิบ ฟู่ฉีเดาว่าโกรธเมื่อถึงคำที่ห้า และหลิงซื่อเฉิงที่ค่อนข้างเข้าใจพวกเขาเดาว่าโกรธเมื่อถึงคำที่สี่


 


 


มีเพียงหลิงลั่วที่เข้าใจพวกเขาสองคนอย่างดีเยี่ยมเท่านั้นที่เดาถูก เพียงแค่สามคำก็ทำให้จวินชิงเหยียนโกรธได้เสียแล้ว


 


 


“แล้วมีอะไรที่ไม่น่าใช่กันเล่า”


 


 


หลิงลั่วมองตั๋วเงินในมืออย่างพึงพอใจ พนันครั้งแรกนึกไม่ถึงว่าจะชนะ! อย่าได้ดีใจเกินไปเลย!


 


 


“หากเพียงชิงเหยียนกับหลิงมั่วได้เจอกัน ก็ไม่เคยได้หยุดเงียบสงบเลย”


 


 


หลิงซื่อเฉิงส่ายหน้าอย่างจนใจ เรื่องครั้งนี้ที่เขาพนันกับหลิงลั่ว จะให้มู่โย่วเอ๋อร์ทราบไม่ได้ หาไม่แล้วคงได้กล่าวว่าเขาว่าแก่กะโหลกกะลาอีกแล้ว…


 


 


ฟังจั่วฉือมองหลิงซื่อเฉิงครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปมองหลิงลั่วก็เข้าใจได้ในบัดดล


 


 


ฟังจั่วฉือส่ายหน้าอย่างจนปัญญา และตบไหล่ของหลิงลั่ว “หลิงลั่ว เจ้าใช้ชีวิตนี้คุ้มแล้วจริงๆ…”


 


 


หลิงลั่วกะพริบตาอย่างงงงวยเล็กน้อย เก็บตั๋วเงินไว้ในอกของตนเอง “เหตุใดหรือ เจ้าว่าเจ้าใช้ชีวิตนี้ใช้ได้ไม่คุ้มหรืออย่างไร”


 


 


“ข้าไม่ได้พูดแบบนั้น!” ฟังจั่วฉือรีบกล่าว


 


 


หากปล่อยให้เซียวจือเฉาได้ยินคำพูดนี้เข้า…


 


 


ฟังจั่วฉืออดหนาวสะท้านไม่ได้… พระเจ้า ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกินจริงๆ!


 


 


สองวันต่อมา แคว้นซีหวาส่งทัพใหญ่ห้าแสนนายมาถึงที่เขตแดน


 


 


จวินชิงเหยียนจัดเรียงไม่หลับไม่นอนสองวันสองคืน สุดท้ายจัดเรียงแผนการที่สามารถเอาชนะไม้แข็งด้วยไม้อ่อนออกมาได้ แผนการนี้เรียกว่า…     


 


 


“ขบวนร้อยเทพวิหกหวนกลับ?”


 


 


ฟังจั่วฉือมองกระบวนกองที่ถูกจวินชิงเหยียนวางออกมา “ฟังดูแล้วทำไมรู้สึกว่าอ่อนแอ?”


 


 


จวินชิงเหยียนเบือนหน้าไปอย่างหมดคำพูด แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน


 


 


“ถึงแม้ชื่อจะอ่อนแอ แต่ว่าทุกขบวนรบล้วนสามารถกำราบการเปลี่ยนรูปแบบของ ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ ได้ ถึงแม้จะไม่เคยได้ปฏิบัติจริง แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าใช้การไม่ได้เลย”


 


 


หลิงมั่วเก็บสายตากลับมา กอดแขนพิงพนักเก้าอี้ “ตอนนี้ก็ให้บรรดานายทหารใต้บัญชาขยันฝึกฝนกันเพิ่มขึ้นเสียดีกว่า เวลาของพวกเรามีไม่มากแล้ว”


 


 


“กระบวนรบเหล่านี้ง่ายดายมาก และไม่ซับซ้อน เมื่อรวมกันแล้วน่าจะไม่ยากลำบาก”


 


 


 


 


ตอนที่ 526 สงครามมังกรเทวะ (ตอนอวสาน)


 


 


หลิงซื่อเฉิงนำภาพวาดข้อมูลการแปรรูปกระบวนรบ ‘ขบวนร้อยเทพวิหกหวนกลับ?’ ทั้งหมดยื่นให้แก่ฟู่ฉี ให้เขากับหลัวเว่ย และสวี่ซื่อรับหน้าที่ฝึกซ้อม  


 


 


“ข้าว่า ตอนนี้ นอกจากการฝึกซ้อมกระบวนรบแล้ว ยังต้องเฝ้าระวังคนของแคว้นชิวหลานลอบจู่โจม อีกทั้งเกรงว่าชิวฝั่งเยียนและชิวไต้เมี่ยวจะเริ่มสงครามในยามนี้อีกด้วย”


 


 


หลิงลั่วนิ่วคิ้วเล็กน้อย ทว่าหลิงมั่วกลับส่ายหน้า “อย่างน้อยที่สุดในระยะครึ่งเดือนนี้ พวกชิวเยียนฝั่งนางไม่ว่างออกทัพหรอก”


 


 


“… ชิวฝั่งเหยียน”


 


 


หลิงลั่วถอนใจแผ่วเบาอย่างหมดแรงเล็กน้อย หลิงมั่วจะต้องเปลี่ยนชื่อให้ชิวฝั่งเยียนเสียให้ได้สินะ


 


 


“เหมือนกันนั่นล่ะ” หลิงมั่วกล่าวอย่างไม่ได้สนใจเลย “ก่อนจะมาข้าได้ให้ผู้อยู่ใต้บัญชาทำลายกองบัญชาการหลักและกองบัญชาการย่อยของสำนักชิวหลานสิ้นราบคาบไปแล้ว อีกทั้งยังเจอคนคนหนึ่งจากในกองบัญชาการหลักด้วย คนผู้นั้นเหมือนจะเป็นฟู่อ๋องแห่งแคว้นจื้อโหยว”


 


 


“เซียวชวีฟู่? เจ้าหาเขาเจอแล้วหรือ”


 


 


หลิงลั่วมองหลิงมั่ว หลิงมั่วพยักหน้าลง


 


 


ฟังจั่วฉือมองไปทางหลิงมั่วทันควัน “แล้วบัดนี้เขาอยู่ที่ใด”


 


 


“ส่งกลับแคว้นจื้อโหยวแล้ว ตอนนี้คาดว่าคงถึงวังหลวงแล้วล่ะ”


 


 


“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกเราก็ไม่ต้องมีความพะว้าพะวงอีก”


 


 


หลิงลั่วพยักหน้า มองทางฟังจั่วฉือกับหลิงซื่อเฉิง


 


 


ก่อนหน้านี้เพราะว่ามีเซียวชวีฟู่อยู่ในเงื้อมมือของอีกฝ่าย ก็ยังเป็นห่วงว่าพวกชิวฝั่งเยียนนางจะเอาเซียวชวีฟู่ไว้เป็นตัวประกันให้เซียวชวีฟู่สละออกจากราชบัลลังก์ บัดนี้ดูแล้วก็ไม่จำต้องเป็นกังวลทางฝั่งเซียวชวีฟู่แล้ว


 


 


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็สั่งการให้บรรดานายทหารมุ่งมั่นฝึกฝนกระบวนรบเสีย กระบวนรบไม่ยาก ตั้งใจศึกษาแล้วล่ะก็ สิบวันก็สามารถแก้ได้”


 


 



 


 


ทางฝั่งชิวฝั่งเยียนกับชิวไต้เมี่ยวก็ปวดหัวยุ่งยากเพราะเรื่องสำนักชิวหลานอยู่จริงๆ แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ พวกนางไม่อาจถอยทัพได้เลย บัดนี้เดินผิดก้าวเดียว ก็จะแพ้หมดทั้งกระดาน


 


 


ภายใต้ความจำใจได้แต่ต้องเลือกสละสำนักชิวหลาน


 


 


เพียงแต่เสียดายข่าวกรองความลับในวังเหล่านั้น ชิวฝั่งเยียนเลยให้ชิวไต้เมี่ยวเฝ้าประจำการอยู่ฐานที่มั่น ไม่ต้องส่งกองทัพออกไปก่อนชั่วคราว ส่วนนางเองก็กลับไปที่กองบัญชาการหลักของสำนักชิวหลาน


 


 


หนึ่งเดือนต่อมา ชิวฝั่งเยียนกลับมาที่ค่ายทหาร ได้ทราบจากปากชิวไต้เมี่ยวว่าในหนึ่งเดือนนี้ทางฝั่งหลิงลั่วนั้นกลับช่างเงียบสงบเป็นพิเศษ


 


 


ชิวฝั่งเยียนมีความรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีอยู่ในใจตลอด กลัวว่านี่จะเป็นความเงียบสงบก่อนที่จะเกิดพายุฝนกระหน่ำ


 


 


และเมื่อผ่านความพยายามฝึกฝนได้หนึ่งเดือน บรรดานายทหารก็คุ้นชินกับ “ขบวนร้อยเทพวิหกหวนกลับ” และก็ชำนาญในการขับเคลื่อนกระบวนรบนี้มากแล้ว


 


 


รุ่งสางวันหนึ่ง แคว้นชิวหลานยกทัพโจมตีคูเมืองกำแพงเมืองแคว้นจื้อโหยว นายทหารทั้งสามแคว้นออกเมืองไปรับข้าศึก และเข่นฆ่ากันเลือดอาบ


 


 


ตะวันสีโลหิตแดงฉานค่อยๆ ลาลับหายไป ร่างศพเย็นเฉียบล้มอยู่บนสนามรบ ทั้งสองฝั่งเหมือนเสือดุร้ายสองตัวที่จ้องมองคุมเชิงกันอยู่ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจถอนออกจากสนามรบไปก่อนได้


 


 


“พวกเจ้าทำลาย ‘กระบวนกลหมื่นอสรพิษ’ ของข้าได้ ช่างทำให้ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ”


 


 


ชิวฝั่งเยียนมองศพบนพื้น และนึกไม่ถึงว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นนายทหารแคว้นชิวหลานของนาง!


 


 


และข้างหลังนาง บัดนี้ทัพใหญ่ล้านนายเหลือเพียงแค่แสนนายเท่านั้น


 


 


“ที่เจ้าคิดไม่ถึงนั้น ยังอีกมาก”


 


 


จู่ๆ หลิงมั่วก็ปรากฏตัวขึ้นบนประตูเมือง มองไปทางกองทัพศัตรูที่อยู่ระยะไกลลงไปจากตำแหน่งที่อยู่สูง


 


 


ชิวฝั่งเยียนหายใจติดขัด ที่แท้เขากำลังช่วยหลิงลั่วอยู่นี่เอง!


 


 


ชิวฝั่งเยียนขี่อยู่บนม้า มองชิวไต้เมี่ยวที่อยู่บนพื้น มีรอยบาดแผลเต็มตัว และหมดลมหายใจไปแล้ว ก็ยิ้มเยาะขึ้นมา


 


 


วันนี้ แม้ว่าแคว้นชิวหลานจะถูกทำลายสิ้นไปเพราะนาง นางก็ไม่มีทางนำทัพออกไป!


 


 


“เหล่าบุรุษแคว้นชิวหลานจงฟังคำสั่ง! ถึงตายก็ต้องพิทักษ์รักษาเกียรติของแคว้นชิวหลาน สู้จนตัวตาย!”


 


 


“ฆ่า!!!”


 


 


หลิงลั่ว จวินชิงเหยียน หลิงซื่อเฉิง อันอวี้เฟยและฟังจั่วฉือ ทั้งห้าคนก็นำทัพเข้าร่วมในการรบทันใด…


 


 


ในสงครามนี้ แคว้นชิวหลานถูกทำลาย ไม่เหลือเด็กกำพร้าคนใดไว้เลย…


 


 


สงครามนี้ ศพเกลื่อนกลาดไปทั่ว บาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน ถูกยกย่องเป็นสงครามการรบที่สยดสยองที่สุดในประวัติศาสตร์สามแคว้น ทางประวัติศาสตร์เรียกขานว่า ‘สงครามมังกรเทวะ’

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม