สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด บทที่ 5 ตอนที่ 1-2

 ส่วนที่ 5 บทที่ 1 เพื่อโลกใบใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในดงป่าใต้หน้าผาสูงชันของสำนักฝึกบาทหลวง มีบางคนกำลังซ่อนตัวอยู่ในเงาร่มไม้ที่พลิ้วไหวไปมาแถวนี้


“ยังเงียบเหมือนเดิมเลยนะ สำนักฝึกบาทหลวงถ้ำคีฟเปเชิร์สกลาวรา”


ลามีอัสวางกล้องส่องทางไกลในมือลง แล้วกระโดดลงมาจากต้นไม้ ตอนที่ลงมา ตรงชายเสื้อคลุมยาวสีดำของซิสเตอร์ก็พองตามลมที่ตีเข้ามา


แม้จะเห็นขาอ่อนบอบบางกลางอากาศ แต่คนที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็ไม่คิดจะจ้องมองเรียวขาคู่นั้นเลย


อย่างแรก ไม่มีใครกล้าไปยั่วแหย่คุณซิสเตอร์คนนี้ อย่างที่สอง พวกเขาไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นด้วย


ลามีอัสงอขาเล็กน้อยในวินาทีที่สองขากำลังจะแตะพื้น เพื่อช่วยลดแรงกระแทกตอนถึงพื้น แล้วซิสเตอร์จากสมาคมนักบวชชุดดำก็เดินมุ่งหน้าไปทางเต็นท์ที่ปักหลักอยู่ที่นี่


พวกเขามาสอดแนมดูสำนักฝึกบาทหลวงนี้สักระยะแล้ว


“สนามแม่เหล็กยังไม่เปลี่ยนแปลงเลยเหรอ?”


ช่วงหลายวันมานี้ ลามีอัสจะถามคนในเต็นท์ด้วยคำถามเดิมๆ แทบจะทุกวัน จนซิสเตอร์คนนี้เริ่มหมดความอดทนอย่างเห็นได้ชัด


ตอนทำภารกิจในโรมาเนีย แม้ว่าลามีอัสจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ราบรื่น แต่เธอก็รู้สึกถึงเรื่องประหลาดด้วยเช่นกัน อย่างเช่นเรื่องที่ปืนพกของเธอหล่นหายไปอย่างไร้ร่องรอย


แต่เธอก็ไม่ได้ติดใจอะไร ถึงยังไงภารกิจของสมาคมนักบวชชุดดำก็สำเร็จลุล่วง อีกทั้งโจนาธานยังได้รับผลกรรมที่เขาก่อไว้แล้วเช่นกัน


แต่ที่นี่น่าเบื่อจริงๆ เธอเพียงแค่ต้องหาของบางอย่างในสำนักฝึกบาทหลวงแห่งนี้ ตอนแรกกำหนดเวลาทำภารกิจไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยมีเหตุพิเศษบางอย่างจึงต้องดองภารกิจไว้ก่อน


เนื่องจากเครื่องตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงของลำแสงศักดิ์สิทธิ์ บังเอิญตรวจจับรังสีสนามแม่เหล็กอันแรงกล้าได้จากสำนักฝึกบาทหลวง พบว่ามีค่าสัมประสิทธิ์ของสนามแม่เหล็กสูงมาก จนสมาคมนักบวชชุดดำไม่สามารถจัดการได้


“ทูตสวรรค์มาถึงแล้ว”


ซิสเตอร์เคยได้ยินมาบ่อยสมัยยังฝึกฝนอยู่ในสมาคมนักบวชชุดดำ ว่าตอนที่ค่าสัมประสิทธิ์สนามแม่เหล็กมาถึงระดับนี้ โอกาสที่ทูตสวรรค์จะปรากฏตัวออกมาก็มีมาก


เจ้าหน้าที่ในเต็นท์ถอดหูฟังบนหัวออก แล้วหันหน้ามาพูดด้วยสีหน้าจนใจว่า “ทุกอย่างยังปกติดีเหมือนเมื่อวานเลยครับ แต่จากการคำนวณดูแล้ว ระดับความเข้มข้นด้านในตัวโบสถ์เหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า…คุณลามีอัส พวกเราไม่ลองยื่นเรื่องขอกำลังเสริมจากสำนักงานใหญ่ดูเหรอครับ?”


ซิสเตอร์ตอบเสียงเรียบ “ถ้านายคิดว่าสำนักงานใหญ่เจียดคนมาช่วยเพิ่มได้ ฉันก็ไม่ว่าอะไรถ้านายจะยื่นเรื่องตอนนี้ แถมยังยินดีมากด้วย”


“ผมก็แค่…ลองถามดูเท่านั้นเอง”


เขารู้ดีว่าช่วงนี้สมาคมนักบวชชุดดำกำลังขาดกำลังคน


อีกทั้งยังได้ยินมาว่า ทีมขุดค้นซากวัตถุโบราณของสำนักงานใหญ่หายไปในทุ่งกว้างของอูลานบาตาร์ หลังจากส่งกำลังเสริมอีกจำนวนหนึ่งไปช่วย กลับขาดการติดต่อไปทั้งหมด และก็ไม่รู้ว่าคนที่เหลือเป็นอย่างไรกันบ้าง


แน่นอนว่า สำหรับพนักงานในระดับรากหญ้าแล้ว เรื่องพวกนี้ก็เป็นเพียงแค่ข้อมูลที่เขากับเพื่อนร่วมงานพูดคุยกันระหว่างเวลาพักสั้นๆ เท่านั้น…เรื่องของเบื้องบน ก็ปล่อยให้เบื้องบนพิจารณาเองเถอะ


“เดี๋ยวนะครับ คุณลามีอัส! ค่าสนามแม่เหล็กเริ่มลดลงแล้วครับ!”


ขณะที่ลามีอัสที่ไม่ได้ความคืบหน้ากำลังจะเดินออกไป อยู่ๆ เจ้าหน้าที่ก็ตะเบ็งเสียงหยุดเธอเอาไว้ เธอจึงรีบหมุนตัวกลับมา หรี่ตาจ้องค่าตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงบนหน้าจอ


เหมือนว่าปืนกระบอกใหญ่ใต้ชุดคลุมจะเริ่มกระหายเลือดแล้วสิ



“จงระงับความโกรธ และทิ้งความพิโรธ อย่าให้ใจเดือดร้อนของท่าน นำท่านไปกระทำชั่ว”


ภายในห้องหินหยาบ มีเพียงแสงอาทิตย์บางเบาลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้ามา อนาโตลี่กำลังยืนสวดอ้อนวอนด้านหน้าของหน้าต่างบานนี้เหมือนเคย


เขาคิดว่านี่เป็นสัญชาตญาณของเขา นับตั้งแต่เขารู้ความ เขาก็ใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการสวดอ้อนวอนเสมอ


ดังนั้น ถึงแม้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในตัวจะถูกปิดผนึกไปแล้ว ไม่ว่าจะสวดภาวนาอย่างไรก็เรียกพลังศักดิ์สิทธิ์กลับมารวมกันไม่ได้ แต่เขาก็ยังไม่ละทิ้งความเคยชินแบบนี้


ฉับพลันนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเหล็กดังขึ้น ด้านนอกประตูนั้น บาทหลวงอาวุโสหรือก็คือพ่อบุญธรรมของเขา ‘มอจจี้’ กำลังยืนรออยู่


มอจจี้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเหล็ก ถอนหายใจแผ่วเบา แต่กลับได้ยินอนาโตลี่ในห้องหินเอ่ยถามเบาๆ ว่า “คุณพ่อ ถอนหายใจทำไมครับ?”


มอจจี้ส่ายหน้าตอบว่า “ลูกพ่อ ให้อภัยพ่อด้วย พ่อพยายามแล้ว แต่ลูกยังต้องถูกขังอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก”


อนาโตลี่กลับตอบอย่างสงบว่า “คุณพ่อครับ คุณพ่อทำเพื่อผมมามากแล้ว ยังไงคุณซัลลิแวนก็แค่ผนึกพลังศักดิ์สิทธิ์ของผมไว้เท่านั้น เขายังไม่ได้กำจัดทิ้งสักหน่อย ถึงผมจะถูกขังไว้ที่นี่ แต่เขาก็ไม่ได้ขับไล่ผม หรือว่าแค่นี้ยังไม่พอหรือครับ? พระผู้เป็นเจ้าบอกว่า ต้องรู้จักสำนึกบุญคุณ เพราะคุณพ่อเก็บผมมาเลี้ยง ผมถึงได้รอดมายี่สิบกว่าปี”


มอจจี้ขมวดคิ้วพูดว่า “พ่อเลี้ยงลูกมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่มีใครเข้าใจลูกได้ดีกว่าพ่อแล้ว ทำไมลูกถึงได้มีความคิดบิดเบือนไปล่ะ? บอกพ่อมาสิ อนาโตลี่ลูกพ่อ ลูกนึกไม่ออกเลยเหรอ ว่าลูกไปเจออะไรมา?”


อนาโตลี่ส่ายหน้า


มอจจี้ได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ “พระสังฆราชผู้นั้นกลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พวกเราก็ไม่รู้ว่าท่านจะไปนานแค่ไหน เกรงว่าลูกคงต้องรออยู่ที่นี่จนกว่าท่านจะกลับมา”


อนาโตลี่กลับพูดเสียงเรียบเฉย “ที่นี่มีทั้งน้ำ และอาหาร แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ บาทหลวงในสำนักที่ฝึกฝนหนักยังลำบากกว่าผมอีกมาก”


มอจจี้กำลังอ้าปากจะพูดบางสิ่ง ฉับพลันนั้นด้านนอกก็มีเสียงดังสนั่น จนพื้นสั่นสะเทือนมาถึงห้องหินแห่งนี้


ทั้งสองที่ถูกขัดบทสนทนาต่างก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที


มอจจี้ออกจากบริเวณห้องหินแห่งนี้ เดินมุ่งหน้าไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว แม้แต่อนาโตลี่ก็ยังสมาธิแตก เผลอมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างงุนงง


เสียงดังสนั่นยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง และยังดังกระหึ่มถี่มากขึ้น…มันเป็นเสียงระเบิดนั่นเอง


อนาโตลี่ยังได้ยินเสียงกรีดร้องรางๆ ดังส่งมา


หลังจากนั้นไม่นาน มอจจี้ก็รีบกระวีกระวาดกลับมา เขากลับมายืนอยู่หน้าประตูห้องหินอีกครั้ง พร้อมหน้าผากที่ได้รับบาดเจ็บ เลือดสดๆ แทบจะเปื้อนใบหน้าเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว


“คุณพ่อ!” ในที่สุดอนาโตลี่ก็ไม่อาจรักษาความสุขุมไว้ได้


แล้วมอจจี้ก็พูดอย่างรีบร้อนว่า “พวกเราถูกจู่โจมแล้ว…พวกเขา พวกเขาคิดจะแย่งของในโบสถ์ไป! อนาโตลี่ ลูกรีบไปจากที่นี่เร็ว”


“ไม่ คุณพ่อ! ผมจะทิ้งคุณพ่อไปได้ยังไง! คุณพ่อครับ คุณพ่อ!!”


ปัง


วินาทีที่ประตูห้องเปิดออก มอจจี้ก็ล้มลงไปนอนนิ่งบนพื้น ในมือของเขายังกำกุญแจประตูไว้แน่น แต่ที่หน้าอกของเขากลับเต็มไปด้วยเลือดไหลนอง


“ให้อภัยพ่อด้วย พ่อเปิดผนึกของท่านซัลลิแวนให้ลูกไม่ได้แล้ว” มอจจี้พูดอย่างอ่อนแรง “เหมือนว่าลำแสงศักดิ์สิทธิ์จะใช้กับพวกเขาไม่ได้ผล…กระสุนของพวกเขาน่าจะพ่วงคำสาปมาด้วย พวกเขาใช้มันกำจัดยามของพวกเราไปได้เยอะแล้ว…”


“คุณพ่อ คุณพ่อหยุดพูดเถอะครับ! ผมจะห้ามเลือดให้เดี๋ยวนี้!”


“ไม่…ไม่ต้องแล้ว ลูก…ลูกเอาหูมาใกล้ๆ พ่อมีอะไรจะบอก…”


อนาโตลี่จำต้องก้มหน้าลงไป


แล้วมอจจี้ก็ล้วงของบางอย่างมาจากอก แล้วยัดมันเข้าไปในมือของเขา


“จง…จงยึดมั่นในศรัทธา ไม่ว่า…ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไร…แต่…” เสียงของมอจจี้อ่อนแรงลงเรื่อยๆ “แต่ว่า…หากมีวันหนึ่งที่ลูกสับสน…และเคลือบแคลงสงสัย…ก็ให้ ก็ให้ไปหา…หา…”


“คุณพ่อ!!!”


มอจจี้ยังไม่ทันพูดจบก็สิ้นใจไปก่อน


จากนั้นอนาโตลี่ก็มองของที่คุณพ่อมอบให้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ‘การ์ดดำ’



กระสุนทะลุเกราะลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองได้อย่างง่ายดาย


ลามีอัสถือปืนสองมือ เดินเข้ามาในห้องหมายเลขสิบสามของสำนักฝึกบาทหลวงด้วยท่วงท่าสบายๆ มองบาทหลวงอธิการที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายในสำนักแห่งนี้


บาทหลวงฝึกหัดข้างกายของเขาสามสี่คนล้มจมกองเลือดไปหมดแล้ว


“พอใช้ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แล้ว พวกคุณยังสู้ทหารเกษียณไม่ได้ด้วยซ้ำ” ลามีอัสหัวเราะเย้ยเบาๆ


“อาวุธต้องสาป…สมาคมนักบวชชุดดำพัฒนาของต่ำทรามแบบนี้ได้แล้วสินะ” บาทหลวงอธิการแห่งสำนักฝึกบาทหลวงตีหน้านิ่ง


แม้ว่าความตายอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย


ลามีอัสขยับปืนสีเงินในมือ ยิ้มแล้วพูดว่า “เลือดของเจ้าชายนักเสียบผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ อีกนิดหน่อยน่ะ ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบมันเท่าไร แต่ผลก็อย่างที่เห็นไม่ใช่เหรอ”


“จุดประสงค์ของพวกคุณคืออะไร”


“บาทหลวงอธิการที่เคารพ สิ่งที่ซ่อนไว้ใต้ฝ่าเท้าของท่านคืออะไร?”


“อย่างที่คิดไว้สินะ…” บาทหลวงอธิการเริ่มทำหน้าเคร่งขรึม “ที่แท้ก็อยากทำให้มันแปดเปื้อนงั้นเหรอ?”


“เพื่อโลกใบใหม่”


ลามีอัสพูดอย่างเฉยชา แล้วกระสุนคำสาปก็พุ่งออกมาจากลำกระบอกปืนสีเงินในมือ ทะลุหน้าผากของบาทหลวงอธิการไปทันที


ลามีอัสยืนรอนิ่งๆ ครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าชายชราคนนี้จะไม่ลุกขึ้นมาอีก เธอถึงได้คว้าไมค์ติดตัวเล็กๆ มาพูดว่า “ให้ทีมบาทหลวงเข้ามาทำลายคาถาของที่นี่ เอาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าในนี้ออกมา แล้วก็เก็บกวาดคนในนี้ให้หมดด้วย จากนั้นค่อยพาพวกที่จัดไว้เข้ามาพัก…นับตั้งแต่นี้ถ้ำคีฟเปเชิร์สกลาวราเป็นของพวกเราแล้ว”


“คุณลามีอัสครับ พวกเราจับคนได้คนหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะถูกขังไว้ในคุกใต้ดิน อาจจะอาศัยช่วงชุลมุนหนีออกมาก็ได้ครับ”


“ในตัวมีพลังศักดิ์สิทธิ์ไหม?” ลามีอัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


“ตรวจไม่พบร่องรอยของคลื่นพลังศักดิ์สิทธิ์ครับ”


“อืม…” ลามีอัสคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ออกคำสั่ง “พวกที่ถูกขังไว้ ถ้าไม่ใช่นักโทษก็เป็นพวกนอกรีต ในเมื่อไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์…ก็จับตัวไว้ก่อนแล้วกัน ต่อไปอาจเอามาใช้ประโยชน์ได้”


“รับทราบครับ!”


ลามีอัสปล่อยมือจากไมค์ที่ติดอยู่บนตัว มองห้องหมายเลขสิบสามนี้แวบหนึ่ง ก่อนชี้นิ้วมือไปทางศพที่นอนกองอยู่ตรงนี้ แล้วเริ่มวาดสัญลักษณ์ไม้กางเขนไว้ข้างหน้าตัวเอง


ลามีอัสยิ้มน้อยๆ พลางเอี้ยวตัวไปเก็บปืนใส่ซอง “เพื่อโลกใบใหม่? ใครจะทำเพื่อเหตุผลน่าเบื่อแบบนั้นกัน?”



พอทำความสะอาดรอยเลือดบนผนังกำแพง และเอาศพไปเผาเรียบร้อยแล้ว ประตูบานใหญ่ของสำนักฝึกบาทหลวงก็เปิดออกอีกครั้ง ราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น


มีเพียงลามีอัสที่นั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไปจากสถานที่กลางดงป่าแห่งนี้


บทที่ 2 หญ้ารกสูงสิบเมตรบนเนินหลุมศพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถ้าไม่ใช่บล็อกหน้ายอดฮิตที่ระบาดช่วงนี้จนก่อให้เกิด ‘ภาวะเสียการระลึกรู้ใบหน้า*’ คนที่พูดได้เต็มปากว่าหน้าสวย แถมยังมีรูปร่างทรวดทรงน่าภูมิใจ ก็ต้องมีคนแอบเหลียวหลังมองอยู่แล้ว


โดยเฉพาะสถานที่ที่มีคนเยอะๆ


อย่างเช่น…สนามบิน


สาวสวยสวมแว่นกันแดดคนนี้ยกแขนดูนาฬิกาข้อมืออยู่ตลอด ขณะเดียวกันก็เหลือบมองประตูฝั่งขาเข้าบ่อยครั้ง


ทันใดนั้นเอง หญิงสาวคนนี้ก็รีบสาวเท้าเดินไปตรงประตูทางออกทันที


เธอคงเห็นคนที่รออยู่แล้วล่ะมั้ง? ผู้ชายโชคดีคนไหนกัน ถึงทำให้เธอมาลำบากรออยู่ที่นี่ได้?


ใช่สุภาพบุรุษท่าทางภูมิฐานที่หิ้วกระเป๋าด้วยท่วงท่าสบายคนนั้นหรือเปล่า? หรือจะเป็นหนุ่มพุงพลุ้ยที่เอาโทรศัพท์แนบข้างหูตลอดตั้งแต่ออกมา? หรือเป็นคุณพ่อที่กำลังจูงเด็กน้อยค่อยๆ เดินออกมากันนะ?


“ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ…”


เป็นเพียงชายหนุ่มร่างบางสะพายเป้เดินมาอย่างใจเย็น…ควรจะเรียกว่าเด็กหนุ่มสินะ


เธออ้าแขนออกกว้าง คิดจะโอบกอดเด็กหนุ่มให้สาแก่ใจสักหน่อย


ว่าแต่สองคนนี้เป็นอะไรกัน นี่เป็นเรื่องน่าอิจฉาไม่ใช่เหรอ?


คิดไม่ถึงว่าวินาทีที่เธอกำลังจะคว้าเด็กหนุ่มเข้ามาในอ้อมกอด เด็กหนุ่มคนนี้กลับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที ทำให้เธอต้องคว้าอากาศแทน


เธอเลยชะงักนิ่งอยู่ที่เดิม สองแขนกอดอากาศอันว่างเปล่า


นี่มันน่าอายเป็นบ้าเลย!


‘ทำลายบรรยากาศจริงๆ!! ไอ้เด็กบ้านี่!!!’ ผู้ชายส่วนหนึ่งลอบนึกเสียดายในใจ



 “บอกแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าไม่ต้องมารับผม” ลั่วชิวมองเริ่นจื่อหลิง


ตอนแรกเขาตั้งใจว่าลงเครื่องแล้วจะกลับสมาคมทันที แต่ก่อนลงเครื่อง อยู่ๆ คิ้วของเจ้าของร้านลั่วกลับกระตุกเล็กน้อย เขาจึงรู้สึกได้ว่าลางร้ายกำลังรอเขาอยู่แน่นอน


รองบรรณาธิการเริ่นพูดท่าทางสลด “ทั้งที่ฉันเสี่ยงถูกเจ้านายไล่ออกมาหาเธอถึงที่นี่…”


เจ้าของร้านลั่วกลับพูดอย่างไร้เยื่อใย “คุณยังอยู่มาได้หลายปีขนาดนี้สิถึงน่าอัศจรรย์”


เริ่นจื่อหลิงทำเป็นหูทวนลม แล้วพูดให้ดูน่าสงสารยิ่งกว่าเดิม “เธอรู้ไหมว่าฉันโดนใบสั่งมาเท่าไรแล้ว?”


เจ้าของร้านลั่วพูดอย่างทอดถอนใจ “อาหม่าคงลำบากน่าดู”


เริ่นจื่อหลิงใกล้จะสะอึกสะอื้นเต็มที “เธอรู้หรือเปล่า ฉันยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยด้วยซ้ำ”


ลั่วชิวชี้ไปที่มุมปากของตัวเอง แล้วพูดเสียงเรียบ “ก่อนจะพูด คุณช่วยเช็ดปากก่อนนะครับ ผมก็เพิ่งรู้ว่าคุณมีลิปสติกมันแผล็บแบบนี้ด้วย”


แล้วรองบรรณาธิการเริ่นก็ชูนิ้วกลางข้างขวาขึ้นมา “ชิ! อยากตายหรือไง!!!”


 “ลำบากคุณแล้วครับ” ลั่วชิวพูดเสียงแผ่วพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ


ฉับพลันความโกรธของรองบรรณาธิการเริ่นก็สลายหายไปจนหมดสิ้น แววตาใต้เลนส์แว่นสีชาหรี่มองเล็กน้อย “เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ? ฉันไม่ได้ยิน”


 “ผมไม่ได้พูดอะไรนี่ ในเมื่อมาแล้วก็ไปกันเถอะครับ” ลั่วชิวส่ายหน้า แล้วเดินผ่านเริ่นจื่อหลิงไป


รองบรรณาธิการเริ่นยังไม่ทันได้เสพสุขกับการทักทายแบบอบอุ่นในครอบครัว ก็ยกฝ่ามือขึ้นมาถูไปมา…อยากจะบิดหูเด็กนี่จริงๆ เลย!


“จริงสิ โยวเย่ล่ะ? ไม่เห็นเธอเลย?”


สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ไปบิดหูลูกชาย แต่เดินไปชะเง้อคอมองข้างๆ ลั่วชิว


“เธอมีธุระนิดหน่อยครับ ผมล่วงหน้ามาก่อน”


“งั้นเหรอ…” เริ่นจื่อหลิงพร่ำบ่นว่า “แล้วก็ไม่บอกก่อน ดูสิเนี่ย ฉันจองโต๊ะไว้แล้วด้วย กะว่าจะเลี้ยงข้าวพวกเธอให้เต็มคราบสักหน่อย! ยังไงอาหารที่เมืองนอกก็ไม่ถูกปากหรอก…นี่ รอฉันด้วยสิ! เจ้าเด็กบ้านี่ รอหน่อยไม่ได้เลยหรือไง! นี่ๆ…จริงสิ นี่เธอสูงขึ้นหรือเปล่า? นี่…ชิ”



เริ่นจื่อหลิงถูฝ่ามืออยู่บนรถคันโปรด ก่อนวางมือไปบนพวงมาลัย เริ่มเลียริมฝีปากกำลังคิดจะเหยียบคันเร่ง


แน่นอนว่าเหยียบไปเต็มแรง


“คุณใส่แว่นกันแดดเวลาขับรถด้วยเหรอ?” ลั่วชิวที่นั่งข้างๆ คนขับถามอย่างตกใจ “วันนี้ฟ้าครึ้มนะครับ”


เริ่นจื่อหลิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วหันหน้ามากะพริบตา ชูนิ้วเป็นรูปตัววี พร้อมทำท่าแอ๊บแบ๊วชวนให้ขนลุก ก่อนพูดด้วยเสียงหวานหยด “ไม่คิดว่าฉันสวยมากเหรอ?”


ลั่วชิวส่ายหน้า แล้วก็ยื่นมือไปถอดแว่นกันแดดของเริ่มจื่อหลิง เธอจึงหุบยิ้มไปทันที


เธอก้มหน้าลงทำท่าราวสุนัขหงอ “รายงานบอส ดิฉันผิดไปแล้วค่ะ…ดิฉันไม่ควรอดหลับอดนอนสามวันเลย”


“ขับรถเถอะครับ” ลั่วชิวถอนหายใจ แล้วสวมแว่นกันแดดคืนให้เริ่นจื่อหลิงดังเดิม


“เธอไม่โกรธเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงถามอย่างสงสัย


“เมื่อกี้คุณบอกว่าหิวไม่ใช่เหรอ?” ลั่วชิวส่ายหน้าพูด “ผมก็อยากหาอะไรกินหน่อยเหมือนกัน ในเมื่อจองร้านเอาไว้แล้ว ก็อย่าให้เสียเปล่าเลยครับ”


“โอ้วเย้!”


รถ MINI CLUBMAN สีแดงแล่นเข้าสู่ถนนออกจากสนามบินทันที


‘เริ่มสลับบทผู้ปกครองกับลูก…ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ?’ ลั่วชิวมองวิวข้างทางไปเรื่อยๆ พร้อมกับลอบคิดในใจ


เริ่นจื่อหลิงเห็นลั่วชิวนั่งเงียบ ก็เปิดวิทยุในรถตามความเคยชิน


“…รายงานล่าสุดจากสำนักข่าว ชายหนุ่มคนหนึ่งตกตึกเสียชีวิตเมื่อคืนเวลาตีสามสามสิบนาทีโดยประมาณ สงสัยว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ผู้เสียชีวิตคือ…”


เริ่นจื่อหลิงเร่งเสียงดังขึ้นทันที


“ว่ากันว่าผู้เสียชีวิตคนนี้เป็นนักเรียนมัธยมในเมือง ขณะนี้สงสัยว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เป็นไปได้ว่าผู้เสียชีวิตอาจกดดันกับการเรียนมากจนเกิดสภาวะอารมณ์ไม่มั่นคง…”


พอฟังมาถึงตรงนี้แล้ว เริ่นจื่อหลิงก็พึมพำสงสัย “ฆ่าตัวตายอีกแล้วเหรอ? ช่วงนี้คนฆ่าตัวตายบ่อยจัง”


“ช่วงนี้เหรอครับ?” ลั่วชิวหันไปมองเริ่นจื่อหลิง


เริ่นจื่อหลิงพยักหน้าตอบ “ก็ใช่น่ะสิ รายที่สี่แล้วมั้งเนี่ย? เป็นนักเรียนทั้งหมดเลยนะ…เดี๋ยวนี้เรียนหนักขนาดนี้เลยเหรอ? ถึงยังไงก็แปลกๆ อยู่นะ…”


“ดูทางด้วยครับ…”


“หา? ว้าย! บ้าเอ๊ย!! ขับรถเป็นหรือเปล่าตาแก่!!”




เฮ~ (เฮ้~)


ในห้องโถงใหญ่ของสมาคม เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณกำลังเล่นเพลง ‘Come-And-Get-Your-Love’ คลอเบาๆ


ด้านหน้าเคาน์เตอร์บาร์ในห้องโถงใหญ่ ไท่อินจื่อในชุดกางเกงรัดติ้ว และผมทรงใหม่กำลังดื่มด่ำกับเหล้าเตกิลา**ในแก้ว พร้อมทั้งเต้นโยกย้ายไปตามจังหวะเพลงบรรเลงเคล้าคลอ


ใช่แล้ว ไท่อินจื่อยังร้องคลอตามด้วย ถึงแม้คีย์จะแปลกๆ ไปสักหน่อยก็เถอะ


เขาเป็นผีเฒ่าที่ลงนามในสัญญาข้ารับใช้ห้าร้อยปี จึงแตกต่างจากทูตภูตดำของสมาคมโดยสิ้นเชิง ส่วนใหญ่ก็แค่ออกไปหาลูกค้าข้างนอก…ไม่เห็นต้องเปลืองแรงไปทำเลย


อีกอย่าง เขาเลิกล้มความคิดจะก้าวข้ามคุณสาวใช้ด้วยผลงานชิ้นใหญ่ไปนานแล้ว…เพราะมันห่างไกลความจริงไปมากโข


ดูสิ ตอนนี้สบายแค่ไหน?


นายท่านไม่อยู่ที่นี่ คุณสาวใช้ใจจืดใจดำก็ไม่อยู่ที่นี่เช่นกัน อยากทำอะไรก็ทำ สบายแบบนี้มีอีกไหม ก็วันที่นายท่านไม่อยู่ไงล่ะ


“เฮ~(เฮ~)……คัม~แอนด์~เก็ท~ยัว~เลิฟ……เฮ~”


ขณะที่ไท่อินจื่อกำลังเต้นโยกย้ายไปมา เขากลับต้องลดจังหวะช้าลงเมื่อมองหน้าของฉินชูอวี่ ผู้หญิงคนนี้หายตัวไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ผ่านไปสักพักก็คลำหาทางกลับมาอีก แต่น่าเสียดายตอนนั้นนายท่านไปเที่ยวเสียแล้ว


ไท่อินจื่อในฐานะคนที่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ชั่วคราว ถึงแม้เหมือนว่าในใจเขาจะไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรฉินชูอวี่…อวี๋ซานเหนียงได้เลย


ยิ่งไปกว่านั้น…อันที่จริงแล้วเขาสู้เธอไม่ได้ด้วย


แต่ว่า จะปล่อยให้การถูกจองจำห้าร้อยปีผ่านไปแบบนี้ได้อย่างไรกัน? ถึงจะสู้เจ้าไม่ได้ หรือว่าข้าจะรังเกียจเจ้าไม่ได้? ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายแบบนี้


คิดจะยืมพลังลึกลับของสมาคมมาบำเพ็ญเพียร? ไท่อินจื่อมองแวบเดียวก็รู้ทันความคิดฉินชูอวี่ แล้วจะปล่อยให้เธอนั่งสงบนิ่งง่ายๆ แบบนี้ได้ที่ไหนกัน?


“เฮ~เฮ~”


ไท่อินจื่อวนเวียนรอบฉินชูอวี่ ร้องตะเบ็งเสียงในลำคอออกมา เขารู้ว่าฉินชูอวี่ทำอะไรเขาไม่ได้ ก็เลยยิ่งได้ใจ


ฉินชูอวี่ที่กำลังหลับตาทำสมาธิ จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา พูดอย่างเฉยชาว่า “งานการไม่ทำ ทิ้งงานทำอย่างอื่น คุณไม่กลัวนายท่านกลับมาต่อว่าคุณเหรอ?”


“เฮอะ~นังหญิงแพศยา เจ้าอยู่มาตั้งห้าร้อยปีแล้ว หรือว่าไม่เคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘อยู่ห่างปกครองไม่ทั่ว’ เหรอ?” ไท่อินจื่อพูดเหยียด “ข้าจะบอกเจ้าให้! ตอนนี้นายท่านไม่อยู่ที่นี่ ทูตภูตดำตนอื่นก็ไม่อยู่ที่นี่เช่นกัน! ที่นี่ตอนนี้ข้าใหญ่สุด เข้าใจหรือยัง!”


“อย่างคุณเนี่ยนะ?” ฉินชูอวี่เหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง


ห้าร้อยปีก่อน ไท่อินจื่อไม่ชอบสายตาเหยียดหยามของเธอยังไง ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ชอบเป็นทวีคูณ


ไท่อินจื่อหัวเราะเยาะแล้วโพล่งพูดว่า “คนอย่างข้าแล้วยังไง? นายท่านเปลี่ยนข้าเป็นทูตของที่นี่ ย่อมอยู่ที่นี่ได้อย่างสมเหตุสมผล! แต่เจ้า อย่างมากก็แค่แขกไร้ยางอายมาขออาศัยเท่านั้น…ไม่ใช่สิ แม้แต่แขกก็ยังไม่ใช่เลย!”


ฉินชูอวี่ไม่พูดโต้แย้งสักคำ แต่กลับค่อยๆ หลับตาลง


ไท่อินจื่ออยากก่อกวนฉินชูอวี่อยู่แล้ว เขาจึงเข้ามายืนใกล้ๆ ก่อนก้มหน้าลง ยิ้มร้ายกาจพูดว่า “ถึงเจ้าจะอยู่ที่นี่ได้ แต่ก็เป็นแค่คนรับใช้เท่านั้นแหละ! เจ้ารู้ความหมายของคนรับใช้หรือไม่? ก็คือคนที่คอยปรนนิบัติรับใช้น่ะสิ! นังแพศยา ในเมื่อสวมชุดสาวใช้ห่วยๆ ชุดนี้ ยังไม่รับใช้ข้าให้ดีๆ อีก! รีบไปเอาน้ำล้างเท้ามาให้ข้า!!”


“อ้อ…งั้นเหรอ?”


“อืม! ใช่น่ะสิ” ไท่อินจื่อพยักหน้า กำลังจะจิบเหล้าเตกิลาในแก้วอย่างพึงพอใจ…แต่ยังไม่ทันได้กลืนลงคอก็รู้สึกแปลกๆ


ที่รับคำเขาไปเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เสียงหญิงแพศยาฉินชูอวี่คนนี้นี่? แต่ก็เป็นเสียงผู้หญิงนี่นา…ที่นี่นอกจากหญิงแพศยาคนนี้ยังมีผู้หญิงที่ไหนอีกล่ะ


 “อืม เสียงคุ้นมากจริงๆ…คุณ คุณโยวเย่!” ไท่อินจื่อหันมามองอย่างเคลือบแคลง แต่แล้วก็ต้องตกใจจนตัวแข็งทื่อทันที


แก้วที่ถืออยู่ในมือไม่ทันได้จับไว้มั่นก็หลุดมือไปทันที แต่วินาทีที่แก้วร่วงลงไปนั้น แก้วกลับค่อยๆ ลอยไปอยู่ในฝ่ามือของคุณสาวใช้


แล้วโยวเย่ก็ยิ้มน้อยๆ เดินมายืนตรงหน้าไท่อินจื่อ พูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ถือดีๆ ล่ะ คราวหน้าอย่าสะเพร่าอีกนะ อ้อ รีบดื่มให้หมดสิ จะให้ฉันรินเพิ่มให้นายใหม่ดีไหม? ท่าน…ไท่อินจื่อ”


น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้ไท่อินจื่อเหมือนได้กินน้ำแข็งพันปีเข้าไปก้อนหนึ่ง ความเย็นยะเยือกพุ่งปรี๊ดจากปลายเท้าขึ้นมาถึงสมอง “ไม่ ไม่เป็นไรขอรับ…”


คุณสาวใช้ยิ้มน้อยๆ พูดอีกว่า “ไม่เป็นไร นายพูดเองนี่ คนที่สวมชุดสาวใช้ห่วยๆ อย่างฉันก็เป็นคนรับใช้นี่ ถึงแม้ฉันไม่ได้โตที่โลกฝั่งตะวันออก แต่ก็ยังเข้าใจคำว่า ‘คนรับใช้’ อยู่บ้าง รู้ว่าต้องทำอะไร แน่นอนว่า ‘คนรับใช้’ ควรปรนนิบัติเจ้านายไม่ใช่เหรอ? ฉันจะไปยกน้ำล้างเท้ามาให้นาย ดีไหม?”


ขาทั้งสองข้างของผีเฒ่าห้าร้อยปีอ่อนยวบจนนั่งคุกเข่าลงกับพื้น พูดขอร้องอ้อนวอนให้ยกโทษให้อย่างจริงใจ “คุณโยวเย่ ได้ ได้โปรดยกโทษ…”


ครั้งนี้ชักจะมากเกินไปแล้ว!!!


ไท่อินจื่อเห็นหญ้ารกสูงบนเนินหลุมศพของตัวเองได้รางๆ แล้ว…


*ภาวะเสียการระลึกรู้ใบหน้า เป็นความผิดปกติของการรับรู้ใบหน้า โดยที่สมรรถภาพในการรู้จำใบหน้าเกิดความเสียหาย


*เหล้าเตกิลา เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดกลั่น ดีกรีแรง เดิมนั้นผลิตกันในบริเวณเมืองเตกิลา (ในทางตะวันตกของรัฐฮาลิสโกของเม็กซิโก) โดยใช้วัตถุดิบคืออะกาเว (agave) เป็นพืชพื้นเมืองของเม็กซิโก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม