บัลลังก์พญาหงส์ 499-508

บทที่ 499 โมโห

 

  สุดท้ายแล้วไทเฮาก็ทำได้แค่ยินยอม หลี่เย่เป็นแก้วตาดวงใจของนาง ซวนเอ๋อร์ก็เช่นเดียวกัน และนางจะไม่สนใจตระกูลกู้ของนางได้อย่างไร แม้องค์รัชทายาทจะเป็นหลานของนาง แต่องค์รัชทายาทก็ไม่ได้สนิทสนมกับนางมาตั้งแต่แรก และยังทำเรื่องเช่นนี้อีก พอเอาทั้งสองฝ่ายมาเทียบกัน ตราชั่งย่อมต้องเอนเอียงอย่างแน่นอน   


 


 


แต่ไทเฮาก็ยังกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไปไม่ได้ ดังนั้นจึงพูดช้าๆ ว่าปล่อยให้ถาวจวินหลันคุกเข่าอยู่ตรงนั้น  


 


 


แต่ถาวจวินหลันคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ไทเฮาย่อมไม่อาจเรียกให้องค์หญิงแปด องค์หญิงเก้าและถาวซินหลันลุกขึ้นมาก่อนได้  


 


 


จะให้ลุกขึ้นมา ก็คงไม่หายโกรธ แต่ไม่เรียกให้ลุกขึ้นมา มองดูคนอื่นคุกเข่าตามแล้วก็รู้สึกไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อเห็นร่างขององค์หญิงแปดเริ่มเอนเอียงเล็กน้อย คล้ายว่าจะทนไม่ไหวแล้ว ไทเฮาก็ยิ่งไม่อาจใจร้ายได้อีก  


 


 


สุดท้ายแล้วไทเฮาก็ทำได้เพียงเก็บความโกรธนี้เอาไว้ แล้วเรียกถาวจวินหลันให้ลุกขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก “ข้ายังไม่ตาย หลังจากนี้พอตายแล้วค่อยมาคุกเข่าก็ยังไม่สาย!”  


 


 


ด้วยอารมณ์ไม่ดี คำพูดย่อมไม่น่าฟัง  


 


 


ถาวจวินหลันไม่ใส่ใจ แล้วลอบถอนหายใจเบาๆ อย่างไรนางก็บีบบังคับไทเฮา เป็นไปได้ว่าไทเฮาจะโมโหแล้วเลือกไม่ช่วย อาจถึงขั้นจัดการนางด้วยซ้ำไป   


 


 


ตอนนี้ไทเฮาเรียกให้นางลุกขึ้น แม้ว่าน้ำเสียงจะไม่น่าฟัง และไม่น่าคุยด้วยเท่าไร แต่ก็ยังเป็นการแสดงออกกลายๆ ว่าตอบรับคำขอของนาง แล้วนางจะไม่สบายใจได้อย่างไร?  


 


 


หลังจากทุกคนลุกขึ้นมาแล้ว ไทเฮาก็พูดว่า “แต่สภาพของข้าตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ช่วยให้เกิดผลอะไร”  


 


 


“ไทเฮาท่านไม่ต้องทำอะไรเลยเพคะ” ถาวจวินหลันส่ายหน้า พูดว่า “ท่านเพียงแค่รักษาสุขภาพให้ดีเท่านั้นเพคะ ขอเพียงท่านยังอยู่ ฮองเฮาก็ไม่อาจกำเริบเสิบสานได้ตามใจชอบแล้วเพคะ อีกอย่างไม่ว่าจะปลดองค์รัชทายาทก็ดี หรือว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม บรรดาขุนนางผู้ใหญ่จะต้องถามความคิดเห็นของท่านอยู่แล้วเพคะ”  


 


 


ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนั่นก็เป็นการวางแผนในทางที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ แต่ตอนนี้ขอเพียงแค่ฮ่องเต้ตื่นขึ้นมา เรื่องราวก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีโดยทันที ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก อย่างไรฐานะของหลี่เย่ก็ไม่มั่นคง และทางด้านองค์รัชทายาทก็ไม่ได้เห็นว่าจะมีฐานที่มั่นคงนัก  


 


 


ตอนนี้คนที่ฐานมั่นคงที่สุดคือฮ่องเต้ ที่จริงแล้วหากฮ่องเต้อาการดีขึ้นได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุด  


 


 


กระทั่งเรื่องการกำจัดองค์รัชทายาท ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รีบร้อน สิ่งที่นางต้องการก็คือขอเพียงตอนนี้ลดทอนอำนาจของฮองเฮาได้ก็พอแล้ว ขอเพียงแค่ทั้งหมดนี้ไม่ได้กำหนดตายตัว พวกนางก็ยังมีโอกาสอยู่ดี  


 


 


นางไม่เร่งเรื่องกำจัดองค์รัชทายาทก็เพราะว่านางยังมีไพ่ตายอีกใบหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องระหว่างองค์รัชทายาทกับอี๋เฟย และเรื่องที่ฮองเฮาช่วยอี๋เฟยปกปิดสายเลือดมังกร นี่ก็มากพอให้องค์รัชทายาทตายไร้หลุมฝังแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องปลดองค์รัชทายาทเลย  


 


 


ถาวจวินหลันบอกเรื่องกังวลให้ไทเฮาฟัง ว่าไปตามหาหมอมากฝีมือที่พึ่งพาได้มาสองคน ด้วงกังวลว่าหมอหลวงภายในวังจะพึ่งพาไม่ค่อยได้ “ว่ากันว่า พระจากแดนอื่นนั้นสวดมนต์ดี แม้ว่าจะไม่ให้รักษา แต่มาจับชีพจรเสียหน่อยก็ดีนะเพคะ อีกอย่าง สูตรยาที่หมอหลวงภายในวังสั่งทำก็มีฤทธิ์เบาบางนัก แม้จะบอกว่าไม่ผิดอะไร แต่สุดท้ายแล้วก็เห็นผลช้า กระทบถึงเรื่องต่างๆ นะเพคะ”  


 


 


ที่จริงแล้วไทเฮาก็แอบเป็นกังวลอยู่ว่าหมอหลวงจะพึ่งพาไม่ได้ พอได้ยินคำพูดของถาวจวินหลันก็เริ่มคล้อยตาม แต่เพราะยังไม่อาจทิ้งศักดิ์ศรีไปได้ จึงไม่ยอมเอ่ยปากรับคำ  


 


 


ถาวจวินหลันพอคาดเดาความรู้สึกในใจของไทเฮาได้บ้างจึงพูดว่า “ที่จริงแล้วท่านอ๋องกตัญญูเพคะ สั่งให้หม่อมฉันไปหาคนมา ไม่เพียงแค่ทางด้านไทเฮาเท่านั้น เขาเองก็คิดถึงทางด้านฮ่องเต้เช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนั้นหรือไม่ คิดดูแล้วจึงมาถามไทเฮาให้ท่านช่วยคิดหน่อยเพคะ”  


 


 


ไทเฮาถึงได้พูดว่า “ในเมื่อตวนชินอ๋องมีใจกตัญญู ข้าเองก็ไม่ทำให้เขาเสียน้ำใจ พรุ่งนี้ก็ให้เข้ามาเถิด เอาป้ายตราของข้าไป ข้าจะดูว่ามีใครกล้าขัดขวาง!”  


 


 


ถือป้ายตราของไทเฮา ย่อมไม่มีใครกล้าห้ามเป็นแน่ หากกล้าขวางจริง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว ถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้ดี ต่อให้ฮองเฮาไม่ยินยอมเพียงใด ก็ไม่มีทางห้ามไม่ให้ไทเฮาเชิญหมอจากข้างนอกเข้ามาในวังหลวงได้เป็นแน่   


 


 


“ทางด้านฮ่องเต้ รอดูฝีมือของหมอจากนอกวังก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” ไทเฮานิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงได้พูดเข่นนี้ ขอแค่หมอนอกวังมีฝีมือทางการแพทย์ดี จะพาไปตรวจฮ่องเต้ก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ถึงเวลานั้นก็พูดได้ว่านางเป็นคนสั่งให้ไป ยังจะมีใครกล้าขัดอีก? มั่นใจว่าฮองเฮาไม่กล้า นอกเสียจากฮองเฮาไม่กลัวว่าองค์รัชทายาทจะถูกตราหน้าด่า!  


 


 


ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจออกมา ขอเพียงแค่ไทเฮายอมร่วมมือ ก็จะแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง  


 


 


พอพูดจบไทเฮาก็ไม่ได้มีท่าทีจะพูดต่อ แต่กลับค่อยๆ หลับตาลง  


 


 


ถาวซินหลันเห็นสถานการณ์ก็ลอบถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ไทเฮาเหนื่อยแล้ว พวกท่านออกไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ วันอื่นค่อยมาใหม่นะเจ้าคะ”  


 


 


ถาวจวินหลันก็รู้ว่ายามนี้ไทเฮาคงไม่อยากเห็นหน้านางเป็นแน่ ย่อมไม่คิดจะรั้งอยู่ต่อให้เกะกะสายตาไทเฮา ดังนั้นจึงเดินนำออกไปก่อน  


 


 


องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็เดินตามออกไป เหลือเพียงแค่ถาวซินหลันคนเดียวที่ยังอยู่ในห้อง  


 


 


หลังออกมาจากในห้อง ทั้งสามคนก็สบตากัน มองเห็นความขมขื่นกล้ำกลืนจากใบหน้าของแต่ละคน  


 


 


“ไทเฮาหัวแข็งไปหน่อย” ถาวจวินหลันถอนหายใจ พูดรำพันเสียงเบา จากนั้นก็รวบรวมความกล้าขึ้นมาใหม่ “ในเมื่อเข้าวังหลวงมาแล้ว พวกเราก็จะต้องไปทำความเคารพองค์รัชทายาทและฮองเฮาด้วยใช่หรือไม่?”  


 


 


องค์หญิงเก้าและองค์หญิงแปดสบตากัน ก่อนพยักหน้าเบาๆ พวกนางย่อมต้องไป มิเช่นนั้นเข้ามาเพียงเพราะเยี่ยมไทเฮา จะพูดอย่างไรก็ไม่น่าฟังอยู่ดี  


 


 


“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปวังของฮ่องเต้ก่อนแล้วกัน” ถาวจวินหลันพยักหน้า ตัดกระโปรงอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปยังวังของฮ่องเต้ ตอนนี้ในวังหย่งโซ่วมีถาวซินหลันอยู่ดูแลไทเฮา นางย่อมต้องวางใจขึ้นหลายส่วน อย่างน้อยคนที่ฮองเฮาส่งมาก็ไม่ได้ทำงานง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว  


 


 


ไม่ใช่เพราะถาวซินหลันมีความสามารถหรืออะไร แต่เพราะถาวซินหลันแรงดี หากมีไทเฮาคอยค้ำยัน บวกกับจางหมัวหมัว ไม่ว่าอย่างไรก็ทำสำเร็จ  


 


 


เพียงไม่นานก็เดินมาถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ วังไท่เหอ ทหารยามที่นี่เข้มงวดกว่าของไทเฮามาก ถาวจวินหลันต้องพูดจุดประสงค์ในการมาอย่างละเอียดถึงได้เข้าไป นี่ทำให้นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย นางนึกว่าฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาแล้ว  


 


 


แต่ถาวจวินหลันก็ได้รู้ทันทีว่าสิ่งที่ตนเองเดานั้นผิด  


 


 


เพราะนางไม่ได้พบฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย ฮองเฮาพบพวกนาง พูดคุยด้วยเล็กน้อย แล้วก็ให้พวกนางกลับไปก่อน  


 


 


ถาวจวินหลันจับสังเกตได้ว่าด้านนอกยังมีพระสนมกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ แน่นอนว่าหมอหลวงก็อยู่ด้วยเช่นกัน ลองนับดูแล้วก็มีประมาณเจ็ดแปดคน ไม่เห็นขันทีเป่าฉวน คิดว่าคงดูแลปรนนิบัติอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้  


 


 


ฮองเฮาดูแล้วอิดโรยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังดูทรงอำนาจ ฮองเฮามองพวกนางทั้งหลายอย่างอบอุ่น หัวเราะและพูดว่า “ลำบากพวกเจ้าแล้ว แต่เพราะฮ่องเต้ยังบรรทมอยู่ และต้องการความเงียบสงบ จึงไม่อาจปล่อยพวกเจ้าเข้าไปทำความเคารพได้”  


 


 


จากคำพูดที่ฮองเฮาบอกให้ทำความเคารพผ่านประตู ถาวจวินหลันถึงได้เอ่ยปากพูดออกมา   


 


 


นางพูดกับฮองเฮาเสียงเบา “เหนียงเหนียงควรรักษาสุขภาพด้วยเช่นกันนะเพคะ ตอนนี้ในวังหลวงมีสามคนที่ล้มป่วยลงแล้ว หากเหนียงเหนียงล้มลงไปอีกคน เช่นนั้นก็จะไม่มีเสาหลักจริงๆ แล้วนะเพคะ”  


 


 


ฮองเฮายิ้มบางๆ “ลำบากพวกเจ้าเป็นกังวลแทนข้าแล้ว พวกเจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ได้เป็นเต้าหู้ ไฉนเลยจะอ่อนแอถึงเพียงนั้น”  


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มตอบ “เสด็จป้าพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันมิใช่หรือเพคะ? หม่อมฉันเป็นห่วงท่านถือเป็นเรื่องสมควรเพคะ จริงซี ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”  


 


 


ฮองเฮาได้ยินคำว่า ‘เสด็จป้า’ สองคำนี้ ก็รักษารอยยิ้มและความทรงอำนาจบนใบหน้าไม่ได้อีก ด้วยมีความเฉียบคมเข้ามาแทนที่ แล้วจ้องเขม็งไปที่ถาวจวินหลัน  


 


 


ถาวจวินหลันตอบโต้ด้วยความอ่อนน้อม พูดว่า “หม่อมฉันขอทำความเคารพท่านแทนท่านแม่เพคะ แต่เดิมนั้นท่านแม่คิดจะเข้ามาในวังหลวงด้วยตนเอง แต่ด้วยสุขภาพไม่ค่อยดีนัก จึงทำได้แค่ให้หม่อมฉันมาทำแทนนาง ขอให้เสด็จป้าอย่าถือสาเลยนะเพคะ”  


 


 


สีหน้าของฮองเฮาบิดเบี้ยว ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้รักษาท่าทีเอาไว้ได้ สุดท้ายแล้วก็หัวเราะพูดว่า “ลำบากให้พวกเจ้าเหนื่อยแล้ว แต่ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่มาคุยเล่นกัน พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด”  


 


 


หลังออกมาจากวังไท่เหอ ท่าทีของแต่ละคนก็ไม่ค่อยน่าดูนัก เห็นสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าฮ่องเต้คงยังไม่ฟื้นขึ้นมา  


 


 


ไม่นานก็พาไปถึงตำหนักที่องค์รัชทายาทพักอยู่ ย่อมต้องเป็นพระชายาองค์รัชทายาทออกมารับพวกนาง มองดูท่าทางอิดโรยอ่อนแรงของพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว ก็รู้ได้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทคงหนักใจไม่น้อย สองวันมานี้คงไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายเป็นแน่  


 


 


ใช่แล้วองค์รัชทายาทสร้างเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ พระชายาองค์รัชทายาทจะสบายใจได้ก็แปลกแล้ว ถ้าเป็นใครก็คงทำตัวสบายใจไม่ได้  


 


 


หลังจากถาวจวินหลันยิ้มและพูดคุยกับพระชายาองค์รัชทายาทเล็กน้อยแล้ว ก็เห็นว่าหยวนฉงหวาเดินออกมา เมื่อเทียบกับพระชายาองค์รัชทายาท หยวนฉงหวาดูมีท่าทางสบายกว่าเล็กน้อย แม้จะบอกว่าดูอิดโรยเล็กน้อย แต่กลับไม่เหมือนว่าเป็นเพราะห่วงองค์รัชทายาท  


 


 


ถาวจวินหลันอดคิดเรื่องเลวร้ายไม่ได้ว่า หยวนฉงหวาอยากดูองค์รัชทายาทตกต่ำ หรือว่าตื่นเต้นเกินไปจนนอนไม่ค่อยหลับ?  


 


 


หยวนฉงหวายิ้มพลางพูดกับพระชายาองค์รัชทายาทว่า “พระชายาเหนื่อยแล้วเพคะ มิสู้ให้หม่อมฉันรับแขกเอง พูดไปแล้ว ข้ากับชายารองถาวก็เคยรู้จักกันมาก่อน ถือว่ารู้จักกันมานานแล้ว”  


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทรู้อยู่แก่ใจว่าหยวนฉงหวาต้องการแย่งหน้าตนเอง แต่ตอนนี้นางก็ไม่มีใจจะมาเชือดเฉือนกับพวกถาวจวินหลันแล้ว ดังนั้นจึงพยักหน้าน้อยๆ และขอโทษทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปด้วยข้ออ้างว่าขอตัวไปดูแลองค์รัชทายาท  


 


 


หยวนฉงหวาต้อนรับทุกคนตามปกติ เชิญไปนั่งดื่มชาและทานของว่าง  


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มพลางถามถึงอาการขององค์รัชทายาท  


 


 


หยวนฉงหวากวาดตามองบ่าวรับใช้รอบข้างทีหนึ่ง น้ำเสียงแฝงความท้าทายออกมาอย่างไม่ปิดบัง “องค์รัชทายาทแข็งแรงอยู่ เมื่อวานนี้ยังเรียกให้นางสนมสองคนมาอุ่นเตียงอยู่เลย”  


 


 


คำพูดเปิดเผยเช่นนี้ทำให้ถาวจวินหลันและองค์หญิงทั้งสองหน้าแดงหูแดงเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงนางกำนัลที่อยู่รอบด้านเลย  


 


 


ถาวจวินหลันคิดว่าหยวนฉงหวาจะต้องจงใจแน่นอน เพิ่งเกิดเรื่องได้ไม่นาน องค์รัชทายาทดูจะกล้าเกินไปแล้ว ถึงเวลานี้ยังกล้าร่ำร้องเพลงทุกค่ำคืนอีกอย่างนั้นหรือ? ไม่กลัวคนอื่นหาว่าอกตัญญูหรืออย่างไร?  


 


 


แม้แต่ฮองเฮา แม้ว่าอยากให้ฮ่องเต้หมดลมหายใจ แต่ก็ยังต้องคอยเฝ้าดูอยู่ แสดงท่าทีเป็นห่วงให้เห็นบ้าง  


 


 


ถ้าหยวนฉงหวาไม่ได้โกหก อย่างนั้นก็คงเพราะองค์รัชทายาทมีเสาหลัก เขาจึงไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น  


 


 


ถาวจวินหลันกำลังครุ่นคิด หยวนฉงหวาก็ส่งส้มลูกหนึ่งมาให้ ยิ้มและพูดว่า “ส้มนี้เป็นของบรรณาการ ทั้งใหญ่และหวาน เจ้าลองชิมดู”  


 


 


ถาวจวินหลันนิ่งไป ยื่นมือออกไปรับ ฉับพลันนั้นก็รู้สึกได้ว่าใต้ผลส้มมีน้ำตาเทียน จึงรับมาถือเล่นไว้ในมือ ยิ้มและพูดว่า “ในจวนของพวกเราก็ได้รับมาบ้าง ใช้ได้เลยทีเดียว”  


 


 


ถาวจวินหลันถือเล่นไปพลาง แอบแกะน้ำตาเทียนในส้มออกมาพลาง แล้วก็แอบเอาไปซ่อนไว้ในแขนเสื้อ  

 

 

 


บทที่ 500 สวรรค์เมตตา

 

          หลังจากกินส้ม พลางคุยเรื่องสับเพเหระไปเล็กน้อยแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้ลุกขึ้นขอตัวลา จากนั้นทั้งสามคนก็ออกจากวังหลวงไป 


 


 


           เพราะทางเดียวกัน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อไปทางเดียวกัน ไม่สู้ไปพร้อมกันดีกว่า ทุกคนนั่งรถม้าคันเดียวกัน จะได้คุยกันสะดวกด้วย” 


 


 


           “เช่นนั้นก็นั่งรถม้าของข้าเถิดเจ้าค่ะ” องค์หญิงแปดยิ้มพลางพูดว่า “รถม้าของข้าสั่งทำเป็นพิเศษ ไม่เพียงแค่กว้างขวางแล้วยังอบอุ่นมาก ที่สำคัญก็คือภายในยังมีชาและของว่างให้ทานอีกด้วยเจ้าค่ะ ทรมานอยู่ในวังหลวงมานาน ข้าเริ่มรู้สึกหิวแล้ว” 


 


 


           ถาวจวินหลันย่อมเห็นด้วย หัวเราะพลางคล้องแขนขององค์หญิงเก้า แล้วพูดว่า “เช่นนั้นพวกข้าทั้งสองคนต้องขอสัมผัสเสียหน่อยแล้ว ข้ายังคิดจะแวะซื้อของกินตอนผ่านร้านขนมระหว่างทาง เจ้ามีของกินก็ช่วยประหยัดเงินข้าได้แล้ว” 


 


 


           องค์หญิงเก้าก็หัวเราะพลางรับคำ แต่กลับปรับตัวตามความคึกของถาวจวินหลันไม่ค่อยทัน นางจึงยังเกร็งๆ อยู่บ้าง 


 


 


           ถาวจวินหลันไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้ กลับเป็นองค์หญิงแปดที่เหลือบมององค์หญิงเก้าทีหนึ่ง พลางส่งยิ้มไปให้องค์หญิงเก้า 


 


 


           เพียงไม่นาน ทั้งสามคนก็ขึ้นไปบนรถม้า 


 


 


           ถาวจวินหลันยิ้มพลางพูดกับองค์หญิงแปด “ข้าเห็นเจ้าพูดคุยกับอิงผินเหนียงเหนียง อิงผินเหนียงเหนียงได้พูดเรื่องอาการป่วยของฮ่องเต้บ้างหรือไม่?” นางอยากสืบสาวถึงแก่นแท้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าองค์หญิงแปดอาจปิดบังอะไรนางอยู่ แต่เพราะนางรู้สึกใจร้อนเท่านั้นเอง อีกทั้งองค์หญิงแปดก็ไม่ใช่คนคิดมากเช่นนั้น 


 


 


           องค์หญิงแปดก็ไม่ได้มีท่าทีใส่ใจอย่างที่คาดเอาไว้ นางยิ้มพลางหยิบก้อนน้ำตาเทียนออกมาจากแขนเสื้อเม็ดหนึ่ง “เสด็จแม่ให้ข้ามาเจ้าค่ะ คิดว่าเป็นเรื่องที่พวกเราอยากรู้” 


 


 


           องค์หญิงแปดเปิดเผยขนาดนี้ กลับทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกละอายใจอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “ที่จริงแล้วหยวนซื่อเองก็เอาข้อมูลบางอย่างให้ข้าเช่นเดียวกัน”             


 


 


           องค์หญิงเก้าบีบก้อนน้ำตาเทียนออก ยิ้มและพูดว่า “ดูของข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


           ภายในก้อนน้ำตาเทียนนั้นมีกระดาษอยู่แผ่นหนึ่ง ข้างบนนั้นใช้ตัวหนังสือเล็กบางเขียนเอาไว้สองบรรทัด องค์หญิงแปดอ่านแล้วก็มีท่าทีตื่นตกใจ พลางส่งให้องค์หญิงเก้าและถาวจวินหลันดู “เสด็จแม่ของข้าสงสัยว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้ฟื้นแล้ว” 


 


 


           ถาวจวินหลันกวาดตามองแผ่นกระดาษ ข้างบนนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘ข้าคิดว่าบนนั้นตื่นแล้ว จงใจแสร้งเพื่อหลอกทุกคน จงรอบคอบ รอบคอบ’ 


 


 


           องค์หญิงเก้าขมวดคิ้ว รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “หากเป็นเรื่องจริง เรื่องเหล่านั้นที่พวกเราทำ…” 


 


 


           ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหัว “ต่อให้เป็นจริงแล้วพวกเราทำอะไรได้เล่า? เพียงแค่เชิญหมอมาตรวจไทเฮาเท่านั้นเอง เรื่องอื่นไทเฮาไม่พูด แล้วใครจะรู้เล่า?” 


 


 


           หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็หัวเราะขมขื่น “ต่อให้รู้ ในใจของฮ่องเต้รู้ดีก็ไม่มีวิธีอยู่ดี” หากฮ่องเต้รู้เข้า องค์หญิงทั้งสองคนก็คงไม่เป็นอะไรแน่ อย่างไรก็เป็นลูกสาวแท้ๆ แต่นางกลับไม่ใช่ 


 


 


           องค์หญิงแปดหัวเราะ “ไฉนเลยจะรู้ได้เล่า วางใจเถิด” แต่ในใจกลับคิดว่า ต่อให้ฮ่องเต้ทราบเรื่อง ก็ต้องทำเป็นไม่รู้ อย่างไรจะพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร? อีกอย่างการปะทะกันระหว่างตวนชินอ๋องและองค์รัชทายาทก็มีสาเหตุมาจากฮ่องเต้ คิดดูแล้วคงจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น 


 


 


           ถาวจวินหลันพยักหน้า หยิบก้อนน้ำตาเทียนที่หยวนฉงหวามอบให้ แล้วบีบเอาแผ่นกระดาษข้างในออกมา ข้างบนนั้นมีเพียงแค่สองคำ ‘สิทธิทหาร’ 


 


 


           ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เข้าใจความหมายของหยวนฉงหวา ฉับพลันก็แค่นหัวเราะอกมา พลางเอาแผ่นกระดาษให้องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าดู แต่เมื่อทั้งสองคนอ่านแผ่นการะดาษแล้วกลับมึนงงอยู่เล็กน้อย 


 


 


           ถาวจวินหลันจึงอธิบาย “ตระกูลหวังเป็นตระกูลเชื้อพระวงศ์ มีหัวกะทิมากมาย ครองตำแหน่งขุนนางไม่รู้ตั้งเท่าไร เช่นเดียวกัน สิทธิทางการทหารในมือตระกูลหวังแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องระแวง อย่าลืมว่าองค์รัชทายาทครอบครองตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อย่างไร” 


 


 


           องค์หญิงแปดเข้าใจทันที ท่าทีมืดมนลงไปสองส่วน “องค์รัชทายาทมีคนหนุนหลังอยู่จึงไม่กลัวเกรงใดๆ ไม่แปลกที่ไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย” ขอเพียงแค่มือสิทธิทางการทหารอยู่ในมือ ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ไม่มีทางสั่นคลอนได้ง่ายแน่นอน 


 


 


           ถาวจวินหลันเองก็มีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ก่อนหน้านี้นางเองก็เคยคิดมาก่อน แต่นางคิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะกล้าทำอย่างเปิดเผยเช่นนี้ อีกทั้ง แม้จะพูดว่าตระกูลหวังถืออำนาจทางการทหารเอาไว้ในมือ แต่นั่นก็อยู่บริเวณชายแดนทั้งนั้น ที่บอกว่าน้ำจากที่ไกลไม่อาจช่วยดับไฟใกล้ได้ แต่หยวนฉงหวาตั้งใจพูดเรื่องนี้ ก็อธิบายได้ว่าฮองเฮาและองค์รัชทายาทเตรียมพร้อมมานานแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช้วิธีเชื่องช้าในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 


 


 


           แน่นอนว่าตัวแปรสำคัญที่สุดก็คือฮ่องเต้ ถ้าฮ่องเต้ไม่ได้แสร้งทำ ก็ไม่ต้องเอามาใส่ใจ แต่หากฮ่องเต้แสร้งทำ…เรื่องนี้ก็จะซับซ้อนยิ่ง 


 


 


           พริบตาเดียว ในรถม้าก็เงียบกริบ พอถึงจวนตวนชินอ๋องแล้ว ถาวจวินหลันก็เดินลงจากรถไปก่อน พลางยิ้มและพูดว่า “ต้องรบกวนเจ้าให้มาส่งพวกเราแล้ว” 


 


 


           องค์หญิงแปดเม้มปากหัวเราะ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ห่างกันไม่ไกล อีกอย่างข้ากับน้องเก้าจะได้พูดคุยกันด้วย” 


 


 


           ถาวจวินหลันถึงได้เดินเข้าไปในจวนด้วยความสบายใจ 


 


 


           พอรถม้าเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง องค์หญิงแปดถึงได้มองไปยังองค์หญิงเก้าทีหนึ่ง ยิ้มพลางถอนหายใจพูดว่า “พูดตามจริงแล้ว ข้าเองยังอิจฉาเจ้าที่มีพี่น้องของสามีดีถึงสองคน ล้วนผูกสัมพันธ์ง่ายทั้งนั้น อีกทั้งยังเป็นคนดี ไม่เคยทำให้เจ้าลำบากใจ ไฉนเลยจะเหมือนกับบรรดาพี่สามีเหล่านั้นของข้า ต่อหน้าดูเคารพ แต่ลับหลังกลับพูดเรื่องไม่ดีของข้าต่อหน้าแม่สามี แล้วยังชอบมาขอของจากข้าทุกครั้งไป ช่างไม่น่านับถือเสียเลย” 


 


 


           องค์หญิงเก้ามององค์หญิงแปดทีหนึ่ง ยิ้มและพูดว่า “พี่แปดพูดตลกแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


           “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร แต่ถ้าข้าเป็นเจ้าคงจะพึงพอใจแล้ว ที่จริงเจ้าควรจะคิดเช่นนี้ ต่อไปนางเป็นพระชายาหรืออาจจะมากกว่านั้น ขอเพียงแค่เจ้าดีกับนาง ไม่เพียงแค่เจ้า แต่ทั้งตระกูลกู้ก็จะได้รับประโยชน์ไม่น้อย แม้กระทั่งลูกของเจ้าก็จะมีหลักประกัน” องค์หญิงแปดพูด พลางถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่เหมือนกับข้า ข้ากับพี่รองไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ตอนนี้จะสานสัมพันธ์ใหม่ก็ไม่อาจแน่นแฟ้นเท่าพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่ได้ขออะไรมาก เพียงแค่คาดหวังให้ลูกของข้าในอนาคตมีหน้ามีตา และมีอนาคตดีก็เท่านั้น แม้ว่าพวกเราเป็นองค์หญิง แต่ก็แค่พวกเราเท่านั้น หากพวกเราตายไป จวนองค์หญิงและที่ดินก็ต้องถูกเก็บกลับไป เจ้าว่าในอนาคตจะมีอะไรเหลือให้ลูกบ้าง? เจ้ายังดี อย่างไรแล้วก็ยังมีสายเลือดตระกูลกู้อยู่บ้าง ลูกที่เกิดมาไม่มีทางอาภัพเป็นแน่” 


 


 


           ไม่เหมือนกับครอบครัวของตน คู่ครองของตนนั้นเป็นลูกคนเล็ก พอแยกเรือนออกมาก็ได้รับอะไรนัก แล้วจะเอาอะไรกับทรัพย์สมบัติที่แต่เดิมก็ไม่ได้มีเยอะ ถ้าไม่คิดหาวิธี ต่อไปนี้จะทำอย่างไร? 


 


 


           องค์หญิงเก้าฟังแล้วก็นิ่งไป ผ่านไปพักใหญ่ก็พูดอะไรไม่ออก มององค์หญิงแปดอีกครั้งด้วยความตื่นตะลึง นางคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงแปดจะมีเรื่องให้วุ่นวายมากมายเช่นนี้ ที่จริงแล้วนางอิจฉาองค์หญิงแปดมาโดยตลอด องค์หญิงแปดมีมารดาคอยปกป้องคุ้มครอง คู่ครองก็เป็นคนใช้ได้ และทั้งคู่ดูรักใคร่กันดีมาก 


 


 


           ตราบจนองค์หญิงแปดพูดเรื่องนี้เอง นางถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วทุกคนก็เหมือนกัน ด้านนอกดูสดใส แต่ข้างในกลับวุ่นวายไม่รู้ตั้งเท่าไร 


 


 


           เมื่อคิดเช่นนี้เหมือนว่าความคิดอิจฉาก่อนหน้านี้ก็สงบลง 


 


 


           องค์หญิงแปดเห็นองค์หญิงเก้านั่งครุ่นคิดบางอย่าง ก็หัวเราะพูดว่า “สามีน้องเก้าก็ไม่ได้มีตรงไหนแย่ อายุน้อยมีความสามารถ และใส่ใจเจ้ามาก แม้นพวกเราเป็นองค์หญิง แต่เสด็จแม่ของข้ากลับบอกข้าว่าองค์หญิงก็เป็นภรรยาคนอื่นเช่นเดียวกัน เป็นแม่คน ในเมื่อเป็นภรรยาเป็นมารดา ก็จะต้องคิดให้ดีว่าควรทำเช่นไร” 


 


 


           ฐานะองค์หญิงนั้นมีประโยชน์ สามารถนำผลประโยชน์มาให้พวกนางได้ไม่น้อย แต่ถ้าอยากวางมาดองค์หญิงตลอดไป นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้ 


 


 


           องค์หญิงเก้ามองท่าทีจริงใจขององค์หญิงแปด รู้สึกสั่นคลอนเล็กน้อย พร้อมกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบคุณพี่แปดที่เตือนเจ้าค่ะ” 


 


 


           “เป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ก่อนหน้านี้อยู่ในวังมีเรื่องมากมายที่ไม่อาจกำหนดได้ ตอนนี้ออกจากวังหลวงแล้ว พวกเราก็ควรต้องรักษาความสัมพันธ์พี่น้องเอาไว้ให้ดีซี” องค์หญิงแปดยิ้มพลางพูดออกมา จากนั้นก็มองไปข้างนอก พูดว่า “เอาเถิด เจ้าควรจะลงรถได้แล้ว มาถึงแล้ว” 


 


 


           พอลงมาจากรถม้าขององค์หญิงแปด องค์หญิงเก้าก็มีท่าทีตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกหนาวเย็นจนไม่เหลือความอุ่นเหลืออีก แต่พอถูกบ่าวรับใช้เร่งถึงได้สติกลับมา 


 


 


           พูดตามจริง นางคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงแปดจะพูดเช่นนี้ อีกทั้งคำพูดเหล่านี้ก็ส่งผลต่อความคิดของนางมากด้วย 


 


 


           องค์หญิงเก้านั่งนิ่งอยู่คนเดียวกว่าค่อนวัน เก็บคำพูดขององค์หญิงแปดมาครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียด สุดท้ายแล้วก็เริ่มเข้าใจบางส่วน จึงสั่งบ่าวรับใช้ว่า “ให้คนไปยืนรออยู่หน้าประตู หากนายท่านกลับมาก็บอกให้นายท่านมาหาข้า” คิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งให้ห้องครัวเตรียมเหล้าและอาหาร 


 


 


           ทางด้านถาวจวินหลันย่อมไม่รู้เรื่องเหล่านี้ นางยังคิดว่ากระดาษที่หยวนฉงหวาให้นางมา สุดท้ายแล้วเป็นตามที่นางคาเดาจริงหรือไม่ 


 


 


           แล้วยังมีกระดาษที่อิงผินมอบให้องค์หญิงแปดอีก 


 


 


           ปัญหาเหล่านี้นางยังคงคิดไม่ตกตราบจนหลี่เย่กลับมา 


 


 


           หลี่เย่ดูมีท่าทีเหนื่อยล้า เห็นได้ว่าเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว ถาวจวินหลันรีบเข้าไปช่วยเขาเปลี่ยนชุด และชงชาให้เขาเพื่อคลายความเหนื่อยก่อน แล้วถึงได้นั่งลงข้างเขา หัวเราะขมขื่นพลางพูดว่า “วันนี้ข้าเข้าวังหลวงไปรอบหนึ่ง ได้กระดาษแผ่นหนึ่งมาจากหยวนซื่อเพคะ” พูดพลางส่งกระดาษชิ้นนั้นให้หลี่เย่ 


 


 


           หลี่เย่มองเพียงแค่ครู่เดียวก็พยักหน้า “ตระกูลหวังมีแม่ทัพอายุน้อยอยู่หลายคน ในขณะเดียวกันนายกองที่ไปออกรบจนได้รับชัยชนะก็กลับมาในราชสำนักแล้ว” 


 


 


           การรบบริเวณชายแดนมีอยู่ตลอด แต่ปกติแล้วล้วนเป็นแบบผลัดกันไปมา ไม่เคยมีเวลาไหนสิ้นสุด ครั้งนี้พลันได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ ดูคล้ายมีเลศนัย กลับทำให้คนอดคิดเยอะไม่ได้ 


 


 


           ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “พวกเขาได้รับจดหมาย รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” ที่สำคัญที่สุดก็คือรู้ล่วงหน้าก่อนนานแล้ว อย่างไรการส่งจดหมายไปมาสักครั้งหนึ่งก็กินเวลาไม่น้อยเลยทีเดียว 


 


 


           หลี่เย่ส่ายหน้าพลางอธิบายว่า “ไม่ใช่ว่ารู้ข่าวมาก่อนล่วงหน้า ต้องพูดว่าวางแผนมาก่อนแล้ว เสด็จพ่อลดทอนอำนาจองค์รัชทายาท เกรงว่าองค์รัชทายาทและฮองเฮาคิดจะใช้เรื่องนี้มาทำให้เสด็จพ่อยกเลิกการกดดันเช่นนี้ และสร้างฐานอำนาจให้องค์รัชทายาทใหม่อีกครั้ง” 


 


 


           จังหวะเวลาพอดีกับเรื่องนี้ ก็พูดได้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญ หลี่เย่ยิ้มเฝื่อนพลางส่ายหน้า “สวรรค์ลิขิตเช่นนี้ คนธรรมดาไม่อาจทำลายได้” สวรรค์ยังช่วยองค์รัชทายาท แล้วเขาจะสวนทางกับคำสั่งฟ้าได้อย่างไร? 


 


 


           ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่พูดเช่นนี้แล้ว ก็รู้ว่าครั้งนี้คงหมดโอกาส แต่นางก็ยังพูดว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไรองค์รัชทายาททำเรื่องเช่นนี้ก็ถือว่าขาดศีลธรรมอยู่ดี ไม่มีเหตุผล ต่อให้ไม่อาจปลดองค์รัชทายาทได้จริง แต่ก็ทำให้ตระกูลหวังไม่มีหน้าออกมาพูดแทนองค์รัชทายาทแล้ว อีกอย่างฮ่องเต้ก็ยังดีอยู่ จะต้องหายดีเป็นแน่ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะกล้าทำเรื่องเนรคุณได้ลงคอ!” 

 

 

 


บทที่ 501 ประโยชน์

 

ถาวจวินหลันย่อมเล่าการคาดเดาของอิงผินเล่าให้หลี่เย่ฟัง


 


 


หลี่เย่กลับให้ความสำคัญกับการคาดเดานี้มาก ขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับถาวจวินหลันว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็รั้งทัพรอจังหวะบุกโจมตีเถิด หากเรื่องนี้เป็นจริง คิดว่าคงเป็นการทดสอบของเสด็จพ่อเป็นแน่”


 


 


คนแก่แล้ว ความสงสัยก็ยิ่งเยอะมากขึ้น เรื่องนี้สะท้อนจากตัวของฮ่องเต้ ดังนั้นหลี่เย่จึงคิดว่าการคาดเดาของอิงผินมีความเป็นไปได้สูงมาก


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ที่จริงแล้วพรุ่งนี้ไม่ว่าอย่างไรหมอที่พวกเราหามาก็จะต้องเข้าวังหลวงไปตรวจอาการให้ไทเฮา ก็สามารถใช้โอกาสนี้เข้าไปทำให้ชัดแจ้งได้เจ้าค่ะ” ฟื้นแล้ว แล้วแสร้งทำเป็นไม่ฟื้นหรือไม่ หมอตรวจเพียงครู่เดียวก็รู้แล้ว


 


 


หลังจากปรึกษาเรื่องเหล่านี้จบลง สองสามีภรรยาก็ทานอาหารค่ำเสร็จ อยู่เล่นกับเด็กๆ อีกครู่หนึ่งแล้วถึงได้ไปนอน


 


 


วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันก็พาหมอทั้งสองคนเข้าไปในวังหลวง มีป้ายห้อยของไทเฮานางย่อมต้องผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย


 


 


ทางด้านไทเฮานั้นก็เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว นางเพิ่งเข้าไปในวังหย่งโซ่ว หมอก็ถูกพาไปตรวจเบื้องหน้าไทเฮาในทันใด เห็นสถานการณ์เช่นนี้ถาวจวินหลันก็คิดในใจว่า ที่จริงแล้วไทเฮาไม่ได้แสดงออกว่ารีบร้อนเท่าไรนัก แต่ในใจนั้นไม่รีบร้อนจริงหรือ อย่างไรมีใครบ้างที่ยินยอมใช้ชีวิตเช่นนี้? แต่เพราะเป็นไทเฮาและเกิดสถานการณ์เช่นนี้ ไทเฮาย่อมไม่กล้าแสดงท่าทีอื่นออกมาแม้แต่น้อย ทำได้เพียงคล้อยตามสงบนิ่ง


 


 


พูดตามจริงแล้วเป็นไทเฮาไม่ได้ง่าย ถ้าหากเป็นนาง นางคงทำได้ไม่ดีเท่าไทเฮาเป็นแน่


 


 


ตอนที่ตรวจนั้นไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันที่ตื่นเต้น แม้แต่ไทเฮาเองก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง มองดูหมออยู่ตลอดเวลา มีท่าทีคาดหวังอยู่หลายส่วน


 


 


หมอหลวงคนนั้นรู้ฐานะของไทเฮา แม้จะบอกว่ายังรักษาความสงบนิ่งบนใบหน้าไว้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาเองก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน ดูจากเหงื่อที่ไหลออกมาตรงหน้าผากก็รู้ได้


 


 


“ไทเฮาเป็นอัมพฤกษ์พ่ะย่ะค่ะ” หมอเก็บมือกลับมา แล้วรายงานเสียงเบา ไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อย เพียงแค่พูดสั้นๆ ง่ายๆ “ตอนนี้อาการของไทเฮาอยู่ในขั้นรุนแรง ถ้าไม่ฝังเข็มและทานยาไปพร้อมกัน เกรงว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันเตรียมใจมานานแล้ว แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยังอดผิดหวังไม่ได้


 


 


ไทเฮากลับไม่แสดงท่าทีผิดปกติ ถามแค่ว่า “สามารถหายดีได้เหมือนเดิมกี่ส่วน?”


 


 


“อย่างมากสามส่วนพ่ะย่ะค่ะ ในตอนนี้ร่างกายของไทเฮาตั้งแต่คอลงมาไม่สามารถขยับได้ หลังจากหายแล้วขาทั้งสองข้างอาจจะขยับไม่ได้อีก หรือบางทีก็อาจจะขยับท่อนล่างไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” หมอตอบด้วยท่าทีหวาดหวั่น เกรงกลัวว่าไทเฮาจะลงโทษตนเอง


 


 


ไทเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็ไม่เลว” หมอภายในวังหลวงนั้นไม่กล้ารับประกัน เพียงแค่พูดว่าจะค่อยๆ หาย แต่หายถึงระดับใดกลับไม่ยอมพูดออกมา


 


 


“เจ้าพักอาศัยชั่วคราวอยู่ที่กรมหมอหลวงได้ ยาและหนังสือภายในนั้นก็ใช้ได้ตามใจชอบ” ไทเฮาพูดออกมาช้าๆ โยนผลประโยชน์ที่ดีมากเช่นนี้ให้ ใบหน้าของหมอคนนั้นแสดงความยินดีออกมา แต่จากนั้นก็พูดทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ “แต่ถ้าข้าไม่หายดีถึงขั้นที่เจ้าพูดเอาไว้ ก็หมายความว่าเจ้าเป็นคนแสวงหาลาภยศ จุดจบนั้นไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูด”


 


 


หมอตกใจจนเหงื่อไหลมากกว่าเดิม คิดไปมาก็ยืดหลังค้อมตัวลงต่ำ พูดว่า “กระหม่อมยินยอมลองพ่ะย่ะค่ะ! แต่ขอให้ไทเฮาใช้ยาของกระหม่อมเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ไทเฮาตกใจอยู่เล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้นมาพลางหัวเราะเสียงดัง “อนุญาต!” ไม่พูดเรื่องอื่น เพียงความกล้านี้ก็น่าเชื่อถือแล้ว


 


 


หมอที่พามาทั้งสองคน ไทเฮานั้นรั้งเอาไว้เพียงคนเดียว อีกคนหนึ่งนั้นถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ว่าจะส่งไปให้ตรวจฮ่องเต้ดีหรือไม่ ที่จริงแล้วในสองคนนี้ คนที่ไทเฮารั้งเอาไว้เป็นคนที่ถนัดด้านนี้ อีกอย่างเพราะนางรู้ว่าหมออีกคนสู้หมอคนนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ไปตรวจชีพจรไทเฮา


 


 


ไทเฮาเหมือนเดาความคิดของถาวจวินหลันได้ จึงหันไปหาหมออีกคนหนึ่ง พูดว่า “ทางด้านฮ่องเต้ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร ถาวซื่อ เจ้าพาพวกเขาไปตรวจฮ่องเต้หน่อยเถิด”


 


 


ถาวจวินหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดเสียงเบา “เกรงว่าจะไม่ได้เพคะ เมื่อวานนี้พวกเราไม่ได้พบฮ่องเต้ วันนี้ไปแล้วก็ใช่ว่าจะได้เข้าพบ ฮองเฮาเหนียงเหนียงคงจะไม่อนุญาต”


 


 


“นางกล้าหรือ” ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น “ข้าให้คนไปดูอาการป่วยของลูกข้า หากนางกล้าขวางเอาไว้ ก็ถือว่านางเป็นกบฏ”


 


 


ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ยังคงไม่พูดออกมา ร่างกายกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย


 


 


ไทเฮาครุ่นคิด รู้ว่าฮองเฮากล้าต่อต้านจริง จึงพูดว่า “ให้คนเตรียมเกี้ยวนุ่ม ข้าจะไปด้วยตนเอง”


 


 


หมออู๋ที่ได้รับหน้าที่รักษาไทเฮา ก็ลุกขึ้นพลางยิ้มและพูดว่า “ที่จริงแล้วไทเฮาไม่เหมาะจะอยู่ในห้องตลอดเวลา ให้คนพาไปสูดอากาศเสียหน่อยก็ไม่เลวพ่ะย่ะค่ะ ส่งผลดีต่อร่างกาย ภายในห้องแม้จะอบอุ่น แต่ก็ทำให้คนรู้สึกง่วงงุนอยากนอน และเลือดลมจะเดินไม่สะดวกเพราะไม่ได้ขยับไปไหนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หยุดไปครู่หนึ่ง หมอหลวงอู๋ก็พูดอีกว่า “และให้คนมานวดจุดชีพจรให้ไทเฮาทุกวัน ผลลัพธ์จะดียิ่งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ภายในวังหลวงนั้นมีคนที่ถนัดเรื่องนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยาก


 


 


ไทเฮาพยักหน้า พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ยิ่งต้องออกไปเดินเสียหน่อย” นางไม่เชื่อว่าถ้านางไปเอง ฮองเฮาจะยังกล้าขวางเอาไว้!


 


 


ฮองเฮาย่อมไม่กล้าขัดขวางอย่างแน่นอน ในความเป็นจริงแล้วตอนที่ฮองเฮาเห็นขบวนเสด็จของไทเฮา ก็ปิดบังสีหน้าตกใจไว้ไม่ได้ ฮองเฮาคิดว่าไทเฮาป่วยอยู่ในขั้นวิกฤติแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาดูอีกทีไทเฮานั้นกลับปรากฏตัวออกมาด้วยวิธีเช่นนี้


 


 


เมื่อยู่ในสายตาของหลายคน ต่อให้ฮองเฮาอยากพูดขวาง แต่ก็ต้องกลืนลงไป


 


 


คนเป็นแม่มาหาลูกชายของตนย่อมเป็นเรื่องถูกหลักตามทำนองคลองธรรม สำหรับหาหมอสองคนมาตรวจลูกชายนั้นก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้


 


 


ความเคลื่อนไหวด้านนอกส่งผลกระทบไปถึงข้างใน ขันทีเป่าฉวนรีบวิ่งออกมาในทันที เห็นว่าเป็นไทเฮาก็ตกใจมาก รีบทำความเคารพไทเฮาในทันใด


 


 


ไทเฮาส่ายหน้า “ลุกขึ้นเถิด เจ้ามาพูดให้ข้าฟังเสียหน่อยฮ่องเต้เป็นอย่างไรกันแน่”


 


 


“ฮ่องเต้ยังไม่ได้สติพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาเข้าไปดูเองเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเป่าฉวนหัวเราะขมขื่น แต่กลับไม่เอ่ยถึงคนอื่น ความหมายนั้นคือการที่เชิญไทเฮาเข้าไปเพียงคนเดียว


 


 


ถาวจวินหลันย่อมไม่คิดว่าตนเองนั้นสามารถเข้าไปได้ ในความเป็นจริงแล้วคนที่สำคัญที่สุดก็คือหมอ


 


 


ไทเฮาย่อมต้องเข้าใจความหมายของขันทีเป่าฉวน จึงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้หมอเข้าไปดูพร้อมข้าเถิด”


 


 


ขันทีเป่าฉวนมีท่าทีร้อนรน พูดว่า “หมอหลวงบอกว่าฮ่องเต้ต้องพักผ่อนอย่างสงบ ไทเฮาเข้าไปดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ ไม่ต้องลำบากหมอคนอื่นแล้ว ตอนนี้มีหมอหลวงสิบกว่าคนคอยเฝ้าฮ่องเต้อยู่พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ไทเฮาเข้าใจความหมายของขันทีเป่าฉวน และเดาได้ว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรแอบแฝงเป็นแน่ แต่เพราะแบบนี้นางถึงได้นึกโมโห กล่าวว่าเสียงเย็น “เอาเถิด! ให้หมอเข้าไปดู! ในเมื่อมีสิบกว่าคนคอยเฝ้าอยู่แล้ว จะเพิ่มอีกสักสองคนก็ไม่เห็นเป็นอะไร!”


 


 


ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว รู้อยู่แก่ใจว่าไทเฮาคงไม่ยอมให้ฮ่องเต้แกล้งทำอีกต่อไป ใช่แล้ว หากฮ่องเต้แกล้งสลบต่อไป ราชสำนักย่อมต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นแน่ ต่อให้ฮ่องเต้มีความสงสัยในใจมากมายเพียงใด ไม่ควรเอาเรื่องทางการเข้ามาล้อเล่นไม่ใช่หรือ?


 


 


ไทเฮาโมโห ต่อให้เป็นขันทีเป่าฉวนก็ไม่กล้าพูดอีกต่อไป ทำได้แค่ปล่อยให้ไทเฮาเข้าไป


 


 


ไทเฮาเข้าไปไม่นาน ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ภายในห้อง แต่เพราะการเก็บเสียงภายในห้องนั้นมีผลดีมากเกินไป สุดท้ายแล้วเป็นเสียงอะไรก็ยังฟังไม่ออก


 


 


พอไทเฮาออกมาแล้ว ใบหน้ากลับสงบนิ่ง ถาวจวินหลันตั้งใจพิจารณามองสุดท้ายก็ยังคาดเดาอะไรไม่ออก


 


 


เพียงไม่นาน ขันทีเป่าฉวนก็ออกมาประกาศว่า “ฮ่องเต้ฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ทุกอย่างเริ่มโกลาหลทันที คนที่มาจากที่อื่นทำได้ดีกว่า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? หมอหลวงสิบกว่าคนยังรักษาฮ่องเต้ให้หายดีไม่ได้ หมอที่มาจากด้านนอกเพิ่งมา ฮ่องเต้ก็ตื่นขึ้นมาทันที


 


 


ในตอนนี้ยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดว่าฮ่องเต้แสร้งป่วย คนที่รู้ก็ได้แต่อมยิ้มไม่พูดอะไร


 


 


เหมือนกับตอนมา ไทเฮานำคนจำนวนหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ถาวจวินหลันก็ตามไทเฮาไป


 


 


แต่ก่อนที่ไทเฮาจากไปก็ทิ้งท้ายไว้เรื่องหนึ่ง “จวงผินเป็นสนมเก้า ควรมาปรนนิบัติฮ่องเต้ ฮองเฮาเจ้าไปจัดการเสีย”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็มองไทเฮาวูบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไทเฮากำลังปูทางเดินให้กับจวงผิน แม้ว่าเรื่องของจวงผินจะทำให้ไทเฮาเสียหน้า แต่อย่างไรแล้วก็ยังเป็นสายเลือดของตระกูลกู้ ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็ยังตัดขาดไม่ลง


 


 


อย่างไรก็อยู่กับฮ่องเต้แล้ว หากจวงผินไม่ได้รับความโปรดปราน เช่นนั้นชีวิตที่เหลือจะทำเช่นไร? แม้ว่าตอนนี้จะมีลูกไม่ได้ แต่ได้รับความโปรดปรานก็ยังถือว่ามีชีวิตที่ดีอยู่เล็กน้อย


 


 


ฮองเอากลั้นลมหายใจเบาๆ จากนั้นก็ทำได้แค่ยิ้มรับ พร้อมส่งเสด็จไทเฮา


 


 


พอออกมาจากตำหนักไท่เหอ ถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือสีหน้าของไทเฮาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก


 


 


กลับมายังวังหย่งโซ่ว ถาวซินหลันก็ส่งสายตาให้ถาวจวินหลัน รีบให้นางขอตัวลาออกไป เพื่อเลี่ยงไม่ให้ไทเฮาอารมณ์เสีย เอานางมาเป็นเป้าระบายอารมณ์ ถาวจวินหลันย่อมไม่ยินยอมเป็นเป้านิ่งอย่างแน่นอน จึงรีบขอทูลลาออกจากวังหลวงไป


 


 


ตอนนี้อารมณ์ของนางกับตอนที่เข้าวังมาไม่เหมือนเดิม ตอนที่เข้าวังหลวงมา ในใจของนางเต็มไปด้วยความกังวล ตอนนี้นางมีแต่ความสบายใจ


 


 


ฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ทางด้านหลี่เย่คงไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพรรคพวกของฮองเฮาอีก ในเมื่อฮ่องเต้ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นกังวลแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงรักษารูปแบบต่างฝ่ายต่างไม่ล้ำเส้นกัน มิเช่นนั้นหากต้องสู้กันจริงๆ เกรงว่าสุดท้ายต่อให้ชนะ ก็คงถูกฮ่องเต้หวาดระแวงเป็นแน่


 


 


แต่เรื่องครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย เรื่องเหล่านั้นที่ฮองเฮาทำฮ่องเต้ย่อมรู้ดีแก่ใจ ต่อจากนี้ไปคงจะต้องลงมือลดทอนอำนาจฮองเฮาอีกเป็นแน่ แล้วยังมีทางด้านตระกูลหวังอีก และคนสุดท้ายก็คือองค์รัชทายาท นางให้คนกระจายข่าวออกไป และส่งฎีกาปลดองค์รัชทายาท ฮ่องเต้เห็นแล้วยังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร?


 


 


แล้วยังมีจวงอ๋อง ครั้งนี้ดึงเอาจวงอ๋องลงน้ำมาด้วย ถือว่าเป็นการตีน้ำให้ขุ่น น้ำขุ่นจะจับปลาได้ดีขึ้น นี่ถือว่าดีที่สุดแล้ว


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้จวนตวนชินอ๋องก็ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย อย่างไรซะก็ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย ช่างทำให้คนรู้สึกดีใจเสียจริง


 


 


ถาวจวินหลันถึงขั้นคิดวางแผนในใจ มื้อเย็นวันนี้ให้ห้องครัวทำอาหารหลายอย่าง นางและหลี่เย่จะได้เฉลิมฉลองกันสักครั้ง แล้วยังมีซวนเอ๋อร์และหมิงจู หลายวันมานี้นางละเลยพวกเขาทั้งสองคน ในตอนนี้จึงต้องชดเชยให้เสียหน่อย

 

 

 


บทที่ 502 ใจอ่อน

 

ข่าวที่ฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาแล้วนั้นย่อมต้องทำให้ราชสำนักที่ยุ่งวุ่นวายกลับมาสงบลงอย่างรวดเร็ว บรรดาขุนนางใหญ่ที่กระสับกระส่ายลังเลไม่รู้ว่าจะเอียงไปทางไหนดีก็ต้องลบความคิดเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เพราะว่าเรื่องนี้ฎีกาฟ้องร้ององค์รัชทายาที่ส่งไปนั้น และบรรดาขุนนางที่เสนอปลดองค์รัชทายาทก็มากขึ้นกว่าที่ถาวจวินหลันและหลี่เย่คาดการณ์เอาไว้กว่าครึ่งหนึ่ง


 


 


เพียงไม่นาน อำนาจขององค์รัชทายาทภายในราชสำนักนั้นก็ลดลงไปจนแทบจะไม่เหลือ องค์รัชทายาทที่แต่เดิมหลีกภัยหลบอยู่อย่างสบาย ในตอนนี้กลับต้องใช้ข้ออ้างรักษาตัวไม่กล้าออกมา มิเช่นนั้นแล้วคงจะต้องตายไปเพราะน้ำลายคนมิใช่หรือ?


 


 


แอบมีความสัมพันธ์กับสตรีขอองบิดา แล้วยังมีเลือดเนื้อเชื้อไขอีกด้วย เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในราชสำนัก ย่อมทำให้บัณฑิตและบรรดาขุนนางที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์รับไม่ได้ แม้แต่คนที่แต่เดิมเคยสนับสนุนองค์รัชทายาท คราวนี้ก็เปลี่ยนท่าทีไป


 


 


ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็แทบไม่มีคนพูดออกหน้าแทนองค์รัชทายาท


 


 


ถ้าฮ่องเต้ยังคงไม่มาว่าราชการ เกรงว่าเรื่องปลดองค์รัชทายาทคงจะได้เริ่มดำเนินการไปนานแล้ว


 


 


แน่นอนว่าลับหลังเรื่องนี้หลี่เย่เองก็จะต้องผลักดันด้วยเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นไฉนเลยจะครึกครื้นได้ถึงขนาดนี้


 


 


ฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาวันที่สาม ถาวซินหลันก็ส่งข่าวออกมา ว่าฮองเฮาประชวร


 


 


ถาวจวินหลันคิดว่าฮองเฮาจะต้องโมโหจนล้มป่วยไปอย่างแน่นอน หรือไม่ก็จงใจแสร้งป่วย แต่นางเอนเอียงไปที่เหตุผลอย่างหลังมากกว่า อย่างที่คาดคิดเอาไว้ ข่าวที่ฮองเฮาประชวรก็ถูกแพร่กระจายออกมา ภายในวังหลวงก็มีข่าวเช่นนี้เกิดขึ้น


 


 


นางกำนัลที่แอบมีความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทถูกสอบสวนจนยอมบอกว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกขององค์รัชทายาท และนางเองก็ตั้งใจยั่วยวนองค์รัชทายาท ใครจะรู้ว่าถูกโยกย้ายไปข้างกายฮ่องเต้กะทันหัน เพราะไม่กล้าพูดออกมา ถึงได้ปิดบังมาโดยตลอด ในตอนนี้เรื่องแดงขึ้น แต่เดิมนึกว่าองค์รัชทายาทจะช่วยนางได้ ถึงได้พูดกำกวมทำให้คนนึกว่าเด็กในท้องของนางเป็นลูกขององค์รัชทายาท


 


 


เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้ เทียบกับโทษที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้แล้วยังเข้าไปยุ่ง การอธิบายเช่นนี้ทำให้องค์รัชทายาทตกอยู่ในจุดที่น่าสงสาร อย่างน้อยเมื่อเป็นเช่นนี้เหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจโทษองค์รัชทายาทได้ กลายเป็นว่าองค์รัชทายาทพลอยเสียหายไปด้วยเพราะเรื่องนี้


 


 


ถาวจวินหลันไม่เชื่อเรื่องนี้


 


 


ในเมื่อเป็นผู้หญิงที่ตนเองรับเอาไว้ องค์รัชทายาทก็สามารถพูดกับฮ่องเต้ได้ รับมาไว้ในวังของตนเอง ในเมื่อถูกโยกไปข้างกายฮ่องเต้ แต่ขอเพียงแค่พูดทันเวลาก็ไม่เป็นอะไรแล้วมิใช่หรือ? แม้ฮ่องเต้จะไม่พอใจ แต่อย่างมากก็รู้สึกว่าองค์รัชทายาทเสียสติ แต่ไม่ถึงขั้นที่วุ่นวายเพียงนี้


 


 


สำหรับเด็กคนนั้นที่ไม่ใช่ลูกขององค์รัชทายาท ถาวจวินหลันก็ยิ่งรู้สึกว่าทำได้แค่ยิ้มรับปล่อยผ่านไป ไม่ใช่ขององค์รัชทายาท หรือว่าจะเป็นของฮ่องเต้เล่า? ภายในวังหลวงจะหาผู้ชายสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแล้ว ก็เหลือเพียงแค่ขันทีที่ยังพอถือว่าเป็นบุรุษได้ แต่หากขันทีทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้ นั่นก็กลายเป็นตำนานไปแล้ว


 


 


แม้ว่าจะยังมีทหารองค์รักษ์เดินตรวจยาม แต่เมื่อทหารองครักษ์เข้าเวรนั้นล้วนเข้าเป็นกลุ่มพร้อมกัน ไม่มีเหตุผลอะไรและเวลาส่วนตัวที่จะเดินไปไหนมาไหนในวังหลวงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าลอบมีความสัมพันธ์กับนางกำนัลที่ปรนนิบัติเบื้องหน้าฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำไป


 


 


แต่ในใจของถาวจวินหลันรู้ดี ไม่ว่าคำอธิบายนี้จะไม่น่าเชื่อเพียงใด แต่ก็ยังมีคนเชื่ออยู่ดี ดังนั้นนางจึงอดระบายกับหลี่เย่ “ฮองเฮาทำเรื่องเช่นนี้จนชิน ความสามารถในการพลิกเรื่องดำให้เป็นขาวนั้นเก่งยิ่งนัก”


 


 


หลี่เย่หัวเราะออกมา “ก็แค่คำพูดแก้ตัว หลอกหลวงคนโง่ก็เท่านั้น แต่ไม่แน่ว่าภายในวังหลวงจะต้องสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัดเป็นแน่”


 


 


“เด็กที่อยู่ในท้องของนางกำนัลคนนั้นเป็นขององค์รัชทายาทจริงใช่หรือไม่?” ถาวจวินหลันถามขึ้นมาอีก อย่างไรแล้วก็ยังสงสัยอยู่


 


 


หลี่เย่พยักหน้า “มีความเป็นไปได้แค่องค์รัชทายาทแล้ว” นอกจากองค์รัชทายาท ภายในวังหลวงยังมีใครกล้าถึงเพียงนั้น? ลอบมีความสัมพันธ์ยังน้อยเกินไป แล้วยังมีลูกออกมาอีกต่างหาก


 


 


ถาวจวินหลันกะพริบตา รู้สึกรำพึงรำพัน “องค์รัชทายาทอยากได้ผู้หญิงแบบไหนไม่เอา แต่กลับต้องหลบๆ ซ่อนๆ ช่างหาเรื่องให้ตนเองยิ่งนัก” อี๋เฟยก็เช่นเดียวกัน นางกำนัลคนนั้นก็เช่นเดียวกัน


 


 


“นางกำนัลคนนั้น ที่จริงแล้วก็แอบคล้ายอี๋เฟยอยู่บ้าง” หลี่เย่ยิ้มเย็นออกมา “ช่วงนี้อี๋เฟยเก็บตัว ไม่กล้าออกมาพบองค์รัชทายาทอีก องค์รัชทายาทย่อมแปรความสนใจอยู่แล้ว เจ้าไม่รู้อะไร บ่าวรับใช้ที่หยวนซื่อหามาล้วนมีส่วนที่คล้ายกับอี๋เฟยอยู่บ้าง” สุดท้ายแล้วก็เคยปรนนิบัติรับใช้อี๋เฟยมาก่อน หยวนฉงหวาไม่เพียงแค่เรียนจนตัวเองเหมือน แล้วยังหาคนที่เหมือนมาอีกด้วย


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้องค์รัชทายาทจะไม่ตกหลุม ไม่หลงใหลได้อย่างไร?


 


 


ถาวจวินหลันอ้าปากค้างตกใจ กลับทำได้แค่เพียงส่งเสียงร้องออกมา แสดงความตกใจของตนเองออกมา องค์รัชทายาทนั้นหลงใหลอี๋เฟยมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ลอบมีความสัมพันธ์กับอี๋เฟยยังไม่พอ แล้วยังลอบมีความสัมพันธ์กับคนที่คล้ายอี๋เฟยอีกด้วยอย่างนั้นหรือ?


 


 


นี่…ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทหลงเสน่ห์หรือควรจะพูดว่าองค์รัชทายาทเลอะเทอะกันแน่


 


 


หลี่เย่แกะเม็ดเกาลัดส่งให้ถาวจวินหลัน ยิ้มและพูดว่า “คิดว่าฮองเฮาอยากจะเก็บเด็กคนนั้นเอาไว้ แต่คนที่ต้องการปลดองค์รัชทาทายาทนั้นมีเยอะเกินไป นางทำได้เพียงเท่านี้ พูดขึ้นมาแล้วคราวนี้เกรงว่าฮองเฮาคงจะเจ็บปวดใจน่าดู” องค์รัชทายาทไม่มีบุตรชาย บุตรชายเพียงคนเดียวก็ยังเกิดจากการลอบมีความสัมพันธ์


 


 


ฮองเฮาต้องไม่ชอบเป็นแน่ ดังนั้นจะต้องคิดหาวิธีให้องค์รัชทายาทมีสายเลือดสืบทอดอื่นอีก


 


 


“หากฮ่องเต้เชื่อจริงว่าเด็กคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท เกรงว่าจะต้องสืบให้ชัดเจน ถึงเวลานั้นผู้ชายที่เข้าออกภายในวังหลวงคงจะต้องถูกสงสัย อีกทั้งไม่รู้ว่าจะสืบพบเรื่องสกปรกอีกมากมายเพียงใด” ถาวจวินหลันเคยเป็นนางกำนัลมาก่อน ย่อมต้องรู้เรื่องราวน่าไม่อายเหล่านั้นภายในวังหลวง ถ้าหากว่าสืบอย่างชัดเจน เกรงว่าคนบริสุทธิ์คงเหลือไม่กี่คน


 


 


ถาวจวินหลันขมวดคิ้วพลางพูดความคาดเดาในใจของตนเองออกมา “ท่านว่าหากตรวจพบเรื่องของอี๋เฟยจะเป็นเช่นไร?”


 


 


หลี่เย่ขมวดคิ้ว สุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้า “ช่างเถิด ร่างกายของเสด็จพ่อรับความทรมานไม่ไหว ถ้าหากเรื่องของอี๋เฟยและองค์รัชทายาทถูกเปิดเผยออกมา เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องเป็นแน่”


 


 


“หากเปิดเผยเรื่องที่อี๋เฟยลอบมีความสัมพันธ์จนคลอดออกมาเล่า?” ถาวจวินหลันลังเล พลางแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ “เด็กคนนั้นไม่ใช่เลือดเนื้อของฮ่องเต้ หยดเลือดทดสอบก็ตรวจดูได้ ถึงเวลานั้นไม่จำเป็นต้องลากองค์รัชทายาทเข้ามาเกี่ยวข้อง ขอเพียงแค่อี๋เฟย…”


 


 


หลี่เย่ยังคงส่ายหน้า “ช่างเถิด ครั้งนี้เสด็จพ่อกริ้วมาก อีกอย่างเรื่องอี๋เฟย ถ้าไม่ลากองค์รัชทายาทเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่มีประโยชน์อะไร รออีกสักหน่อยเถิด”


 


 


ในเมื่อหลี่เย่พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ทำได้แค่ปล่อยไป แต่เดิมนางคิดว่า ถ้าหากเรื่องของอี๋เฟยถูกเปิดเผยออกมา ถึงเวลานั้นความผิดฐานปิดบังของฮองเฮาก็จะต้องทำให้ฮ่องเต้รังเกียจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องปลดฮองเฮา พูดแค่การที่ฮ่องเต้ยึดอำนาจทั้งหมดของฮองเฮาออกมาก็พอแล้ว พูดตามตรงเสาหลักที่ใหญ่ที่สุดขององค์รัชทายาทไม่ใช่ตำแหน่งรัชทายาท และไม่ใช่ตระกูลหวัง แต่เป็นฮองเฮา


 


 


แน่นอนว่าในใจของนางนั้นเข้าใจว่าทำไมหลี่เย่ถึงได้ต่อต้านเรื่องนี้ถึงขนาดนี้ อย่างไรแล้วนั่นก็เป็นพ่อแท้ๆ ของเขา แม้ว่าเขาจะไม่พอใจ มีความโกรธความแค้น แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกในสายเลือดนั้นก็ไม่อาจตัดขาดได้ เขาทำใจไม่ลง แม้ว่าเรื่องนี้จะต้องถูกเปิดเผยไม่ช้าก็เร็ว แต่เขาก็ไม่ยินยอมซ้ำเติมให้มากขึ้นตอนนี้


 


 


หลี่เย่อาจไม่ได้ถือเป็นคนที่มีจิตใจดีอะไร แต่เรื่องนี้ก็ยังดีกว่าองค์รัชทายาทกว่าพันเท่าหมื่นเท่า ดังนั้นหลี่เย่จึงได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้ ได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้องค์ก่อน นั่นถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล


 


 


อย่างน้อยถาวจวินหลันก็คิดเช่นนั้น


 


 


ตอนที่พูดอยู่นั้นก็จัดการกินเกาลัดคั่วจนหมด ถาวจวินหลันยังคงรู้สึกอยากกินอีก แต่หลี่เย่กลับไม่อนุญาตให้นางใส่ลงไปในเตาผิงเพิ่มแล้ว พลางส่งเสียงเรียกให้บ่าวรับใช้ยกเม็ดเกาลัดดิบที่เหลือออกไป พูดว่า “กินอีกก็จะเป็นร้อนในแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกินใหม่เถิด”


 


 


ถาวจวินหลันทำได้แค่ยอมตามน้ำ พลางหัวเราะตนเอง “มิน่าล่ะ หงหลัวถึงได้ให้คนเตรียมไว้แค่จานเล็ก คงเพราะรู้ว่าข้าห้ามปากตนเองไม่ได้ ซวนเอ๋อร์และหมิงจูนั้นอยากอาหาร คงเป็นเพราะตามข้ามา”


 


 


“อย่าให้ซวนเอ๋ฮร์กินเยอะเกินไป สิ่งนี่ย่อยยาก แล้วยังทำให้เป็นร้อนในได้ง่าย” หลี่เย่อมยิ้มพลางพูดออกมา มองถาวจวินหลันด้วยสายตาแฝงไว้ด้วยความรักใคร่ พลางกำชับเช่นนี้อย่างเอาจริงเอาจัง


 


 


ถาวจวินหลันรับคำ พลางถอนหายใจออกมา “ซวนเอ๋อร์ดื้อเกินไป อากาศหนาวขนาดนี้ยังจะอยากออกไปเล่นข้างนอก อยู่ในห้องเพียงแค่ครึ่งเดียวก็ไม่ยอมอยู่ แม่นมแทบจะดูแลไม่ไหวแล้วเพคะ สุดท้ายแล้วก็เคยตัวเกินไป”


 


 


จากที่ไทเฮาดูแล้วนั้นในเมื่อเป็นลูกหลานของตระกูลสวรรค์ ย่อมต้องเกิดมาพร้อมกับเกียรติยศ ย่อมต้องไม่เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไป ซวนเอ๋อร์ขอเพียงแค่ไม่ดื้อจนเกินไป ไทเฮาก็ไม่ให้คนไปคอยห้ามเอาไว้ จึงทำให้มีนิสัยเช่นนี้มาถึงตอนนี้


 


 


หลี่เย่หัวเราะพลางส่ายหัว “ซวนเอ๋อร์ยังเด็ก ช้าๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง แต่ก็ถูกแล้วที่ห้ามเขามากเกินไป รอจนเขาเป็นหวัด ล้มป่วยสักครั้งก็จะรู้เองว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ อีกอย่างในตอนนี้ข้าเองก็คิดอยู่ว่าสมควรหาคู่หูให้เขาแล้ว มีเพื่อนเล่น จะได้เริ่มสั่งสมความรู้ใจกันตั้งแต่เด็ก”


 


 


“ซวนเอ๋อร์เพิ่งจะอายุสาบขวบกว่า ต้องหาเด็กอายุเท่าไรถึงจะเหมาะสมเพคะ?” ถาวจวินหลันรู้สึกลังเล “เด็กเกินไปก็กลัวว่าคงดูแลตนเองไม่ได้ โตเกินไปก็เกรงว่าจะเล่นด้วยกันไม่ได้”


 


 


“เดี๋ยวข้าจะเข้าไปคุยกับคนดูแลจวนสักครั้ง มีเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ ตระกูลโปร่งใสให้เลือกมาสองคน” หลี่เย่ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ปีนี้เกิดมหันตภัย น่าจะมีเด็กที่โดนขายจำนวนมาก ภายในวังหลวงเองก็ซื้อมาเยอะเหมือนกัน”


 


 


เมื่อพูดเรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ผู้ลี้ภัยที่กลับไปยังบ้านเดิมเหล่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้มีสถานการณ์เช่นใดบ้าง”


 


 


“เรื่องนี้หลายวันก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ก็เคยพูดขึ้นว่า คิดว่าคงอยากส่งคนให้ไปดูทางนั้น” จู่ๆ หลี่เย่ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงยกขึ้นมาพูด “ไม่แน่ว่าครั้งนี้จะส่งข้าและเจ้าเจ็ดไป”


 


 


ถาวจวินหลันขมวดคิ้วในทันใด “ทำไมทุกครั้งที่เป็นเรื่องเช่นนี้จะต้องตกมาถึงท่านทุกครั้งเล่า? ข้อศอกของท่านยังไม่ทันหายเลยนะเพคะ” ตอนที่นางมองข้อศอกของหลี่เย่ ก็เห็นว่าที่จริงดีขึ้นมามากแล้ว แต่พอเห็นรอยช้ำเขียวขนาดใหญ่ นางก็ยังคงคิดถึงสถานการณ์ในตอนนั้นอยู่ดี


 


 


คิดไปคิดมาถาวจวินหลันก็หัวเราะออกมาในทันใด เบนหน้าถามหลี่เย่ “เรื่องลำบากเช่นนี้ ไม่สู้ว่าให้องค์รัชทายาทไปจะดีกว่า ถือว่าเป็นการกู้ภาพลักษณ์ของตนเองกลับมาด้วย”


 


 


หลี่เย่มองถาวจวินหลันอย่างตกใจ ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะออกมา “เป็นเช่นนั้นจริง เรื่องลำบากเช่นนี้ให้องค์รัชทายาทไปจะดีกว่า” องค์รัชทายาทและขุนนางทางนั้นแต่เดิมก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ไปคราวนี้ไม่รู้ว่าการทุจริตเรื่องมหันตภัย เอาของกลางเข้าเป็นของตนเองนั้น องค์รัชทายาทจะร่วมกับคนเลวกระทำชั่วหรือว่าทำผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่เห็นแก่ญาติมิตรเล่า?


 


 


แต่ไม่ว่าเป็นเช่นไร เขาก็มีวิธีที่จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้

 

 

 


บทที่ 503 ลงโทษ

 

น่าแปลกใจที่ฮ่องเต้ไม่ได้คิดเอาเรื่ององค์รัชทายาท แต่กลับเห็นด้วยว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกขององค์รัชทายาท


 


 


แต่นางกำนัลคนนั้นถูกฮ่องเต้ใช้วิธีแยกชิ้นส่วน โดยมีโทษฝ่ากฎวังหลวง แน่นอนว่าตามหาตัวชายเลวคนนั้นไม่เจอ เพียงใช้เหตุผลว่าผู้หญิงคนนั้นปิดปากสนิท แต่ไม่คิดแม้กระทั่งจะสืบเรื่องนี้อย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่อีกครั้ง


 


 


เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ถือว่ามีผลอะไร แม้ว่าถาวจวินหลันจะตกใจแต่ก็รู้สึกว่าสมเหตุผล เพื่อศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ฮ่องเต้ปิดบังเรื่องนี้ไปก็ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นระหว่างพ่อลูก แม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดของฮ่องเต้ แต่ลูกไม่บอกบิดาแล้วข้ามหน้าข้ามตาไป ฮ่องเต้ย่อมไม่ยอมให้ตนเองมีประวัติด่างพร้อยเช่นนี้เป็นแน่


 


 


ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ฮ่องเต่ไม่อาจเสียหน้าจากการที่บุตรชายลอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงของตนได้


 


 


ฮ่องเต้เองก็คิดเช่นนี้ถึงได้กล้าทำเรื่องนี้ ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฮ่องเต้จัดการกับความคิดของตนเองได้อย่างดี แม้ว่าฮ่องเต้จะโมโหไม่อยากมองหน้าองค์รัชทายาทเพราะเรื่องนี้อีก แต่ฮ่องเต้ย่อมแสดงออกต่อหน้าไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังรักษาตำแหน่งองค์รัชทายาทเอาไว้ได้


 


 


วิเคราะห์เรื่องเหล่านี้อย่างละเอียด ถาวจวินหลันก็นับถือฮองเฮาขึ้นมาบางส่วน หากตัวนางมีความคิดละเอียดอ่อนเหมือนฮองเฮา เกรงว่าคงไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไร ไม่ช้าก็เร็วต้องสำเร็จตามที่หวังอย่างแน่นอน


 


 


แน่นอนว่าส่วนที่สำคัญของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ฮองเฮา แต่เป็นคำสั่งประกาศราวสายฟ้าฟาดของฮ่องเต้


 


 


ฮ่องเต้ให้ลูกชายสองสามคนไปดูแผนการทำโทษทั้งหมด โดยเฉพาะองค์รัชทายาท จัดการสั่งให้องค์รัชทายาทเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่เพียงเท่านั้นฮ่องเต้ยังให้คนเอาเด็กคนนั้นออกมาก่อนด้วย


 


 


วิธีการลงโทษเช่นนี้สามารถพูดได้ว่าโหดเ**้ยมเลือดเย็น นี่แตกต่างจากสิ่งที่ฮ่องเต้ถือปฏิบัติมาตลอดตั้งแต่ครองบัลลังก์นี้ ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย พูดได้ว่าตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง


 


 


ความคิดของฮ่องเต้นั้นคาดเดาได้ไม่ยาก ไม่มีอะไรไปกว่ากลืนความโกรธนี้ไม่ลง ใช้วิธีนี้เป็นการเตือนลงโทษองค์รัชทายาท และใช้เรื่องนี้เตือนลูกชายคนอื่นเท่านั้น อย่างไรเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ต้องตะขิดตะขวงใจทั้งนั้น ในความเป็นจริงแล้วถาวจวินหลันรู้สึกว่าต่อจากนี้ไปฮ่องเต้คงไม่ยอมให้ลูกชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วเข้าวังอีกเป็นแน่


 


 


วิธีการลงโทษด้วยการเฉือนเนื้อนั้นปกติแล้วหาพบได้น้อย นอกจากมีโทษหนักฉกรรจ์ มิเช่นนั้นก็จะไม่ถึงขั้นใช้วิธีการลงโทษโหดเ**้ยมเช่นนี้ เพียงคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น ถาวจวินหลันก็ตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นก็ขนลุกขนชันไปทั้งตัว


 


 


นางไม่ค่อยพอใจที่หลี่เย่จะต้องไปดูภาพเหตุการณ์เช่นนั้น “ดูแล้วเกรงว่าคงฝังใจไปอีกนาน อีกทั้งยังต้องเป็นฝันร้ายวนเวียนไปตลอด ฮ่องเต้ก็จริงๆ เลย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านเสียหน่อย ทำไมจะต้องให้ท่านไปดูด้วย?”


 


 


หลี่เย่หัวเราะขมขื่น กลับพูดหยอกเล่นว่า “นี่เรียกว่าประตูเมืองไฟไหม้ เป็นภัยลามถึงปลาในสระ ไม่ต้องพูดถึงข้า แม้แต่เจ้าเจ็ดก็ต้องไปดูเช่นกัน เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรกัน? เกรงว่าคงตกใจมากเป็นแน่ อี้เฟยขอร้องให้เห็นใจอยู่ช่วงหนึ่งก็ยังไม่ได้ผล แต่กลับถูกว่ากล่าวไปอีกรอบหนึ่ง” หยุดไปครู่หนึ่งก็เห็นว่าถาวจวินหลันยังคงไม่วางใจอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงพูดอีกว่า “ถ้าดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ ข้าแอบเบนสายตาไปก็ได้แล้ว อย่างไรพวกเราก็มองดูจากที่ไกล ไม่เหมือนองค์รัชทายาทที่อยู่ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย อยากจะหลบก็ไม่มีทาง”


 


 


เพราะว่าถูกคนจ้องมอง องค์รัชทายาทย่อมไม่กล้าเบนสายตาหนีแน่ ดังนั้นฮ่องเต้ถึงได้ออกคำสั่งเช่นนี้ใช่หรือไม่?


 


 


หลี่เย่คิดในใจ ที่จริงแล้วเสด็จพ่อเป็นคนใจเ**้ยมโหดโดยแท้ องค์รัชทายาทประสบผ่านเรื่องนี้ไป เกรงว่าคงไม่กล้าไปพบใบหน้าที่เหมือนกับอี๋เฟยไปอีกนาน และยิ่งไม่กล้าโดนตัวสตรีอีกใช่หรือไม่? แม้แต่ในใจหรือในฝันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทรมานอีกนานเท่าไร พี่ชายของเขาคนนั้นไม่ใช่คนใจกล้าไม่หวาดกลัวอะไร ในความเป็นจริงแล้วหากขาดแรงสนับสนุนจากฮองเฮา ก็บอกได้ว่าพี่ใหญ่ของเขาเป็นเพียงคนขี้ขลาดเท่านั้น


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดนี้ของหลี่เย่ก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ถ้าดูเสร็จแล้ว ท่านก็เรียกองค์ชายเจ็ดให้มาที่จวนของพวกเราเพื่อดื่มชาสงบใจสักหน่อยเถิด ถึงเวลานั้นข้าจะให้คนเตรียมอาหารมังสวิรัติให้พวกท่านได้ทานกัน” ดูภาพเหตุการณ์น่ากลัวแบบนั้น เกรงว่าคงไม่อยากเห็นเนื้อไปพักใหญ่


 


 


หลี่เย่ยิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าเองก็อย่ากังวลมากเกินไป เป็นผู้ชายทั้งนั้น ไฉนเลยจะขี้ขลาดหวาดกลัวเช่นนั้นเล่า? อย่าเห็นว่าเจ้าเจ็ดอายุยังน้อย แต่เขาเองยังคิดจะนำทหารออกไปรบด้วยซ้ำไป” ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเรื่องพูด ทั้งสองคนต่างไม่พูดถึงเรื่องการเฉือนเนื้ออีกต่อไปอย่างรู้ใจกัน


 


 


รอจนถึงวันที่ลงโทษ ถาวจวินหลันกลับคิดไม่ถึงว่าภายในจวนนั้นยังมีคนจะมาร้องขอโอกาสออกจากจวนเพื่อไปดู คนที่อยากไปดูนั้นมีไม่น้อย กู้อวี้จือ ถาวจือ แล้วยังมีเจียงอวี้เหลียน ทั้งสามคนอยากไปดูทั้งนั้น


 


 


โดยเฉพาะเจียงอวี้เหลียน ยังมานัดนางไปดูด้วยกันด้วยซ้ำไป ถาวจวินหลันเอ่ยปฏิเสธทันควัน สถานการณ์เช่นนี้ไม่มีอะไรน่าดูเลยสักนิด นางกลัวว่าพอดูแล้วจะทิ้งร่องรอยบาดแผลเอาไว้ในใจ และต้องฝันร้ายติดๆ กัน


 


 


ถาวจวินหลันแต่เดิมนั้นไม่อยากให้พวกนางไปดู แต่พอพูดสองสามประโยคกลับถูกคำพูดเป็นนัยของเจี้ยงอวี้เหลียนเยาะเย้ยไปรอบหนึ่ง ก็ปิดปากสนิท หลังจากที่จัดการเรื่องรถม้าให้พวกนางอย่างรวดเร็วแล้วก็โยนเรื่องนี้ไปไกล


 


 


พูดตามจริง นางคิดว่าที่พวกเจียงอวี้เหลียนอยากไปดู ก็เพียงเพราะว่าว่างจนเกินไปเท่านั้น อีกทั้งนางคิดว่ารอจนพวกเขากลับมา สีหน้าคงต้องไม่น่าดูอย่างแน่นอน อีกทั้งคงไม่มีความอยากอาหารไปหลายวัน


 


 


เพราะคิดว่าองค์ชายเจ็ดจะมา ดังนั้นถาวจวินหลันจึงลงครัวด้วยตนเองทีหนึ่ง ทำของว่างที่แต่ก่อนนี้องค์ชายเจ็ดชอบบางอย่าง และให้ห้องครัวทำอาหารมังสวิรัติที่หอมกรุ่นหลากรสชาติมาอีกโต๊ะหนึ่ง และยังสั่งห้องครัวไม่อนุญาตทำกับข้าวที่มีสีแดง หรือทำอาหารมังสวิรัติที่คล้ายกับเนื้อโดยเด็ดขาด กลัวว่าพวกเขาจะคิดถึงภาพตอนลงโทษขึ้นมา


 


 


สุดท้ายแล้วนางก็ให้ห้องครัวเคี่ยวชาสงบใจ และนำยันต์ป้องกันตื่นกลัวออกมาเตรียมไว้


 


 


นางยังคงคิดว่าองค์ชายเจ็ดยังเป็นเด็กน้อยที่หลบอยู่หลังหลี่เย่ภายในวังเต๋ออัน เด็กที่กลัวว่าหลี่เย่จะจากเขาไป ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้องค์ชายเจ็ดจะโตเป็นหนุ่มรูปงามแล้ว แต่นางก็ยังอดปฏิบัติต่อองค์ชายเจ็ดเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งไม่ได้


 


 


ตอนที่หลี่เย่และองค์ชายเจ็ดกลับมา สีหน้าล้วนไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก ใบหน้าขององค์ชายเจ็ดนั้นยังแอบเขียวเล็กน้อย ทำให้ถาวจวินหลันตกใจมาก “เกิดอะไรขึ้นเพคะ?”


 


 


หลี่เย่หัวเราะขมขื่น มองดูองค์ชายเจ็ดและพูดว่า “เขาอาเจียนจนกลายเป็นเช่นนี้” ไม่ต้องพูดถึงองค์ชายเจ็ด แม้แต่ตัวเขาเอง ก็จวนจะอาเจียนออกมาเช่นกัน


 


 


ถาวจวินหลันตกใจถลึงตาโต จากนั้นก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล สถานการณ์เช่นนั้นช่างอึดอัดใจเสียจริง องค์ชายเจ็ดยังอายุน้อย รับเรื่องเหล่านี้ไม่ไหวก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล


 


 


“องค์รัชทายาทแย่กว่าข้ามากนัก” สุดท้ายแล้วองค์ชายเจ็ดก็ยังมีนิสัยเด็กอยู่ เห็นถาวจวินหลันแล้วก็อดพูดมากไม่ได้ “พี่สะใภ้รอง ท่านไม่ได้เห็น องค์รัชทายาทอาเจียนจนสุดท้ายแล้วต้องให้คนประคองไปตลอดทาง ทั้งร่างนั้นซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง ดูแล้วน่าตกใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่ากลับไปแล้วเขาจะฝันร้ายหรือไม่”


 


 


ได้ยินน้ำเสียงซ้ำเติมขององค์ชายเจ็ด ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็พูดว่า “ดูท่าทีเช่นนี้ กลับไม่จำเป็นต้องเอาชาสงบใจให้เจ้าแล้ว เจ้าและพี่รองของเจ้าไปนั่งเล่นก่อนเถิด รออีกครู่หนึ่งพอทำเสร็จแล้ว พวกเราค่อยตั้งโต๊ะสำรับ”


 


 


องค์ชายเจ็ดได้ยินคำว่าจัดโต๊ะสำรับ ก็รีบส่ายหน้า “วันนี้ข้าไม่อยากอาหารแล้ว”


 


 


“ล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติ รสอ่อนนัก ดูแล้วสดใหม่ วางใจเถิด จะต้องไม่ทำให้เจ้าหมดความอยากอาหารแน่นอน” ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะ พลางเหลือบสังเกตมองหลี่เย่ทีหนึ่ง เห็นท่าทีของหลี่เย่นั้นดูปกติไม่มีอะไรผิดแผกไป ก็รู้สึกสบายใจเล็กน้อย แต่เดิมนั้นนางยังเป็นกังวลว่าหลี่เย่จะรับไม่ไหว


 


 


ผ่านไปไม่นานก็มีคนมารายงานถาวจวินหลัน บอกว่าเจียงอวี้เหลียนและคนอื่นกลับมาแล้ว ถาวจวินหลันเองก็วางใจ ไม่คิดเรื่องนี้อีก คำนวณเวลาตั้งโต๊ะอาหาร เพราะว่าองค์ชายเจ็ดโตแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ร่วมโต๊ะกินข้าวกับพวกเขา ไปนั่งทานอาหารอยู่ตามลำพัง เพียงบอกหลี่เย่ให้ต้อนรับองค์ชายเจ็ดให้ดี


 


 


ถาวจวินหลันปลีกตัวไป องค์ชายเจ็ดกับหัวเราะและพูดกับหลี่เย่ว่า “ตอนนั้นที่อยู่ในวังเต๋ออัน ข้าไม่เคยคิดว่านางจะกลายมาเป็นพี่สะใภ้รองของข้า”


 


 


หลี่เย่หัวเราะ “ทำไมเล่า? เจ้าคิดว่าไม่ดีหรือ?”


 


 


องค์ชายเจ็ดส่ายหัว “เป็นไปได้อย่างไรกัน? พูดตามจริงนะพี่รอง ท่านดูพระชายาองค์รัชทายาท ดูพระชายาจวงอ๋อง พระชายาอู่อ๋อง มีใครเทียบกับพี่สะใภ้รองได้เล่าขอรับ? แม้แต่เสด็จแม่ของข้า พออยู่ปกติแล้วยังแอบเปรียบเทียบพี่สะใภ้รองมาเป็นแบบหาชายาเอกให้ข้าเลย”


 


 


หลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ ก็สะอึกเล็กน้อย จากนั้นก็เหลือบไปมององค์ชายเจ็ดทีหนึ่ง ในใจคิดว่า ในตอนนี้วิธีการเยินยอขององค์ชายเจ็ดยิ่งพัฒนาขึ้นแล้ว


 


 


“ตอนนั้นข้ายังนึกอิจฉาพี่รองที่ได้นางกำนัลเช่นนี้มาปรนนิบัติข้างกาย ตอนนี้ข้าก็ยิ่งอิจฉาพี่รอง พี่สะใภ้รองเอาใจใส่ขนาดนี้ แล้วยังเฉลียวฉลาดรู้เรื่องรู้ราว ช่างน่าอิจฉาเสียจริง” องค์ชายเจ็ดถอนหายใจพลางรำพึงรำพันออกมา เม้มปากพูดออกมา “ไม่รู้ว่าข้าจะมีโชคเช่นนี้หรือไม่ หาพระชายาเช่นนี้สักคนหนึ่ง”


 


 


คราวนี้หลี่เย่สะอึกจริงๆ อดถลึงตามององค์ชายเจ็ดไม่ได้ เขาพูดด้วยความเคร่งขรึมส่วนหนึ่งและจนปัญญาส่วนหนึ่ง “กินข้าวก็กินข้าวไป ตอนกินข้าวห้ามพูด” ส่วนดีของถาวจวินหลันนั้นเขาย่อมรู้ แต่เขาก็ไม่พอใจที่องค์ชายเจ็ดพูดออกมาเช่นนี้


 


 


ในความเป็นจริงแล้วเขาครุ่นคิดแล้วว่าต่อจากนี้ไปควรซ่อนถาวจวินหลันดีหรือไม่ อย่างน้อยก็ไม่ให้องค์ชายเจ็ดมาที่จวนอ๋องอีก


 


 


ทางด้านถาวจวินหลันนั้นไม่รู้ว่าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ในตอนนี้นางเพิ่งได้รับคำรายงานจากคนเฝ้าประตู บอกว่าหลิ่วฮูหยินจากตระกูลกู้มา อยากขอพบนาง


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงไป หลิ่วฮูหยินอยากพบนางตอนนี้อย่างนั้นหรือ? นี่เกิดอะไรขึ้น? หรือเกิดเรื่องกับกู้ซีที่อยู่ในวังหลวงหรือ? แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นหลิ่วฮูหยินก็ควรจะต้องเข้าวังไปถึงจะถูก


 


 


ในใจกำลังอึดอัดอยู่ แต่นางก็ยังคงพยักหน้า “รู้แล้ว รีบพาเข้ามาเถิด” ในขณะเดียวกันนางก็เรียกหงหลัวให้เอาผ้าคลุมลมออกมา ออกไปรับหลิ่วฮูหยินด้วยตนเอง


 


 


อย่างไรนั่นก็เป็นป้าสะใภ้ของหลี่เย่ นางไม่อาจละเลยได้ แม้ว่านางจะไม่ค่อยชอบหลิ่วฮูหยิน แต่ก็ต้องทำดีด้วยเป็นมารยาทมิใช่หรือ? มิเช่นนั้นก็เป็นการหาเรื่องให้หลี่เย่มิใช่หรือหาเรื่องให้ตนเองหรืออย่างไร?

 

 

 


บทที่ 504 ขายหน้า

 

           มองหลิ่วฮูหยินจากที่ไกลๆ ถาวจวินหลันก็ต้องตะลึงไป เหมือนว่ามีเรื่องร้อนรนอย่างไรอย่างนั้น เสื้อผ้าที่สวมใส่มาก็เป็นชุดอยู่บ้าน ผมก็หวีเกล้าขึ้นไปเป็นมวยง่ายๆ 


 


 


           พอเดินเข้าไปใกล้ ก็สังเกตเห็นสีหน้าดำคล้ำของหลิ่วฮูหยิน ถาวจวินหลันก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวล จากนั้นนางก็ค้อมตัวลง ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยทักทาย “ท่านป้า” 


 


 


           ยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินดัง ‘เพี๊ยะ’ ดังสนั่น จากนั้นหน้าฝั่งขวาก็รู้สึกแสบร้อน 


 


 


           “ชายารอง!” ชุนฮุ่ยร้องด้วยความตกใจ แต่ทันแค่เพียงประคองถาวจวินหลันให้หลบไปข้างหนึ่ง 


 


 


           ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นมา มองดูหลิ่วฮูหยินที่ยังยกมือค้างเหมือนอยากจะตบลงมาอีก แต่กลับถูกปี้เจียวจับเอาไว้แน่น นิ่งไปครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมาแล้วเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด นางถูกตบ ถูกหลิ่วฮูหยินตบ นี่เพิ่งพบหน้า หลิ่วฮูหยินก็ง้างมือตบนางไปแล้วทีหนึ่ง 


 


 


           พูดตามจริงแล้ว ตอนแรกนางยังไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่รู้สึกมึนงง ทำไมหลิ่วฮูหยินถึงตบนางเล่า? ถาวจวินหลันไม่ค่อยเข้าใจ จากนั้นถึงเริ่มรู้สึกโมโห 


 


 


           หลิ่วฮูหยินอยากจะสะบัดตัวปี้เจียวออกไป แล้วพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ถาวจวินหลันเห็นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หน้านิ่งยืดหลังตรงเอ่ยถามหลิ่วฮูหยิน “ท่านป้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” นางโมโหมากแล้ว ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อย หน้าอกดั่งไฟสุม แทบจะทำให้นางมอดไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า 


 


 


           นางจะไม่โมโหได้อย่างไร แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ตบหน้านางทั้งๆ ที่เพิ่งพบหน้ากัน อีกทั้งตีคนอย่าตีหน้า ลงมือตบหน้าของนางโดยตรงนั้นยิ่งทำให้นางเสียหน้า โดยเฉพาะมีคนมากมายมองดูอยู่ นางถูกตบลงมาเช่นนี้ทีหนึ่ง เกียรติยศไม่เหลือแล้วไม่พอ ยังต้องเผชิญหน้ากับสายตาสงสัยของคนอื่นอีก 


 


 


           หากวันนี้หลิ่วฮูหยินไม่มีเหตุผลมากพอให้นาง นางก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน 


 


 


           ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการไล่ถามของตนเอง หลิ่วฮูหยินไม่เพียงแค่ไม่มีอาการใจฝ่ออะไร แต่กลับหัวเราะเสียงเย็นถามนางกลับว่า “ข้าจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ? เจ้าควรถามตัวเองว่าทำอะไรลงไปมิใช่หรือ!” 


 


 


           ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้ว่าตนเองก่อกรรมทำชั่วอะไรจนหลิ่วฮูหยินต้องปฏิบัติกับนางเช่นนี้ แม้ว่านางจะโมโห แต่ก็ถือว่าเข้าใจ จะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้หลิ่วฮูหยินเป็นเช่นนี้แน่นอน เห็นได้ชัดว่าหลิ่วฮูหยินคิดว่านางเป็นคนทำ 


 


 


           ถาวจวินหลันหน้าคร่ำเคร่งเผชิญหน้ากับสายตาเฉียบคมของหลิ่วฮูหยิน ก่อนพูดช้าๆ ว่า “ข้าไม่รู้ว่าตนเองทำเรื่องอะไร ท่านป้าถึงเกลียดข้าเช่นนี้ ขอให้ท่านป้าบอกข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ ข้าถึงจะเข้าใจได้ มิเช่นนั้นท่านป้าเข้ามาในจวนตวนชินอ๋องแล้วระบายอารมณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงจะไม่เหมาะสมเท่าไร จริงหรือไม่? แม้ว่าจะเป็นญาติแต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ทำเช่นนี้ ท่านว่าใช่หรือไม่?” 


 


 


           หลิ่วฮูหยินยังคงพูดแค่ว่า “เจ้าทำอะไรเจ้าคิดให้ดี” จากนั้นก็ถลึงตามองปี้เจียว “เจ้าเป็นใครกัน? ยังไม่ปล่อยมืออีก? เจ้านายไม่มีมารยาท บ่าวย่อมไม่มีมารยาทเช่นเดียวกัน!” 


 


 


           ปี้เจียวยังไม่ยอมปล่อยมือ ถ้าปล่อยไปแล้วหลิ่วฮูหยินลงมือทำซ้ำอีกจะทำอย่างไร?  


 


 


           ถาวจวินหลันมองไปทางปี้เจียว พลางมองหลิ่วฮูหยินสลับกัน แล้วจึงสั่งว่า “ปี้เจียว ปล่อยมือเถิด ท่านป้าชาติกำเนิดสูงส่ง ไฉนเลยจะเหมือนกับคนธรรมดาปากตลาดได้” 


 


 


           คำพูดนี้ช่างเป็นการเสียดสีอย่างแท้จริง หลิ่วฮูหยินมีชาติกำเนิดสูงส่งก็จริง แต่ไหนแต่ไรมานั้นก็ถือว่าตนเองเกิดมาสูงส่ง มีมารยาท สูงกว่าคนอื่นขั้นหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นหลิ่วฮูหยินก็แสดงการกระทำแบบคนชั้นต่ำมิใช่หรืออย่างไร? 


 


 


           พอเห็นใบหน้าแดงก่ำพูดไม่ออกของหลิ่วฮูหยิน ถาวจวินหลันก็สบายใจอย่างบอกไม่ถูก หลิ่วฮูหยินเป็นผู้ใหญ่ ต่อให้นางเสียเปรียบก็ไม่ไปคาดคั้น แต่ความโกรธนี้นางกลับกลืนไม่ลง แอบเสียดสีเช่นนี้ก็ถือว่าถาวจวินหลันได้แก้แค้นแล้ว 


 


 


           จนถึงขั้นที่ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้ แต่พอขยับริมฝีปากก็รู้สึกว่าปากและใบหน้าเจ็บมาก จึงสูดหายใจเย็น 


 


 


           เห็นได้ว่าหลิ่วฮูหยินลงมือแรงมากจริงๆ ถาวจวินหลันคิดเยาะเย้ยตนเอง ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางไปทำเรื่องอะไรเอาไว้?​ หลิ่วฮูหยินถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ ไม่เพียงแค่ไม่สนใจฐานะ ไม่สนใจมารยาท แม้แต่ศักดิ์ศรีก็ไม่สนใจ 


 


 


           “หลี่เย่เล่า?” หลิ่วฮูหยินหน้าแดง ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร แล้วจึงถาม “พวกเจ้าไปเรียกเขามา ข้ามีเรื่องอยากถามเขาให้แน่ใจ!” 


 


 


           “มีเรื่องอะไรท่านป้าสามีสามารถพูดกับข้าได้เลย ตอนนี้มีแขกสำคัญอยู่ในจวน ท่านอ๋องไม่สะดวกมาพบท่าน อีกอย่างเรื่องระหว่างผู้หญิงอย่างพวกเรา ดึงผู้ชายอย่างเขาเข้ามาก็คงไม่ค่อยดีนัก” ถาวจวินหลันหรี่ตาลง หลังยืดตรงมองดูหลิ่วฮูหยิน ไม่ยอมให้ตนเองแสดงความขลาดกลัวและอ่อนแอ “อีกทั้งท่านเองก็ยังไม่ได้อธิบายให้ข้าฟัง ว่าแท้จริงแล้วข้าทำเรื่องอะไร ท่านถึงได้รังเกียจข้าถึงเพียงนี้” 


 


 


           หลิ่วฮูหยินไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่นางอยากถามให้เข้าใจ ถึงจะถูกตบไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้โดนไปเปล่าๆ! อย่างน้อยนางก็ต้องเข้าใจที่มาที่ไป! 


 


 


           นางไม่ยินยอมลากหลี่เย่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ และไม่ยินยอมให้หลี่เย่เห็นสภาพน่าเวทนาของนาง 


 


 


           อย่างไรโดนตบไปทีหนึ่งจะน่ามองได้อย่างไร? อีกอย่างมองดูนางเช่นนี้ หลี่เย่เองก็ลำบากใจ ด้านหนึ่งต้องเรียกความยุติธรรมให้นาง อีกด้านหนึ่งเพราะว่าป้าสะใภ้เป็นผู้ใหญ่ นี่ไม่น่าลำบากใจหรืออย่างไร? 


 


 


           หลิ่วฮูหยินหัวเราะเสียงเย็น “ทำไมหรือ? ขาดกลัวหรืออย่างไร? กลัวว่าข้าจะเผยตัวตนที่แท้จริงของเจ้าให้หลี่เย่รู้หรืออย่างไร? ข้าต้องพบหลี่เย่ให้ได้! เจ้าถือเป็นอะไร คู่ควรจะมาพูดกับข้าอย่างนั้นหรือ?” 


 


 


           ถาวจวินหลันฟังน้ำเสียงดูถูกของหลิ่วฮูหยิน ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่ามีไฟกระแสหนึ่งพุ่งขึ้นมา ในใจของนางรู้ดีว่าหลิ่วฮูหยินคิดว่านางเป็นเพียงอนุภรรยา ไม่สมควรเอามาออกหน้าออกตาได้ แต่นางรู้ว่าตนเองนั้นเป็นแค่ชายารองจริง แต่นางก็ไม่รู้สึกว่าตนเองนั้นต่ำต้อยด้อยค่าอะไรขนาดนั้น 


 


 


           แต่เดิมนางยังคิดเคารพหลิ่วฮูหยินว่าเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าความโกรธในใจจะถูกกดเอาไว้ แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าตนเองไม่ควรคิดเช่นนี้! มีคนจำพวกหนึ่งที่มีนิสัยได้คืบจะเอาศอก ถลึงตาเชิดหน้าไม่รู้จักข้อบกพร่องของตนเอง! 


 


 


           ถาวจวินหลันพลันก็หัวเราะเสียงเย็น เชิดหน้าขึ้นน้อยๆ มองหลิ่วฮูหยินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเห็นรู้ว่าข้ามีอะไรไม่คู่ควรให้พูดคุยกับท่านป้า พูดถึงฐานะท่านกลับต่ำกว่าข้าเล็กน้อย ถ้าจะพูดเรื่องเหล่านี้จริงๆ ท่านต้องทำความเคารพข้าด้วยซ้ำไป แม้จะบอกว่าพวกเราเป็นญาติกันไม่ต้องมาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ แต่ท่านอย่าลืมฐานะของตนเองไป หากพูดไปแล้วจะทำให้คนคิดว่าท่านไม่มีมารยาทได้” 


 


 


           หลิ่วฮูหยินกลับลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เมื่อถาวจวินหลันพูดเตือน ใบหน้าก็แสดงท่าทีตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากนั้นหลิ่วฮูหยินก็หัวเราะเสียงเย็น “อย่างนั้นหรือ? ฐานะสูงแล้วอย่างไร? ภรรยาเอกกับภรรยาเอกไปมาหาสู่กัน ส่วนอนุภรรยาอย่างเจ้าก็คู่ควรพูดกับอนุภรรยาที่จวนของข้าเท่านั้น” 


 


 


           คำพูดของหลิ่วฮูหยินนั้นช่างบาดลึกเข้าไปในกระดูก 


 


 


           ถาวจวินหลันกัดฟัน พยายามไม่แสดงสีหน้าโกรธเคือง “อย่างนั้นหรือ? ข้ากลับไม่รู้ว่าระดับฐานะถือว่าไม่อาจเอามานับได้” 


 


 


           “ข้าขี้เกียจมาพูดไร้สาระกับเจ้า ไป ไปเรียกหลี่เย่มาพบข้า” หลิ่วฮูหยินเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ หันไปชี้นิ้วออกคำสั่งกับปี้เจียว 


 


 


           ปี้เจียวโกรธอยู่แล้ว จึงสวนกลับไปอย่างราบเรียบ “ท่านอ๋องของพวกเรายุ่งมาก จะให้ใครที่ไหนก็ได้มาขอพบง่ายๆ ได้อย่างไรเจ้าคะ? บ่าวไม่กล้าไป ท่านอย่าสั่งบ่าวอีกเลย อีกอย่าง บ่าวเป็นบ่าวรับใช้ของชายารอง บ่าวสนใจเพียงปรนนิบัติชายารองให้ดีเท่านั้น เรื่องอื่นล้วนไม่สนใจเจ้าค่ะ” 


 


 


           หลิ่วฮูหยินโมโหจนควันออกหู ถลึงตามองถาวจวินหลันด้วยความโกรธ 


 


 


           ถาวจวินหลันสีหน้านิ่งไม่ขยับไปไหน ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่นานก็กลายเป็นหยั่งเชิงกัน 


 


 


           ถาวจวินหลันโมโหมาก นางยืนอยู่ท่ามกลางลมเย็นมานาน ทว่ากลับไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย แต่กลับเหมือนว่าทั้งร่างนั้นร้อนระอุดั่งไฟเผา 


 


 


           ฉับพลันนั้น ด้านข้างก็มีคนหัวเราะเบาๆ พลางพูดว่า “โอ้ นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมอยู่ดีๆ ทุกคนถึงได้มายืนรับลมเย็นกันอยู่ตรงนี้เล่า? ชายารองก็จริงเสียจริง ทำไมถึงไม่ให้ท่านป้าเข้าไปนั่งเล่าเจ้าคะ? หากท่านอ๋องรู้เข้า เดี๋ยวก็มาโทษว่าพวกเรารับแขกไม่ดี”  


 


 


           ถาวจวินหลันหันหน้าไปมอง เห็นว่าเป็นเจียงอวี้เหลียน นางก็เริ่มหงุดหงิด อีกทั้งคำพูดของเจียงอวี้เหลียนก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ 


 


 


           เมื่อเจียงอวี้เหลียนพูดเช่นนี้ ก็เหมือนว่านางทำผิด แต่นางทำผิดอะไรเล่า? หลิ่วฮูหยินปฏิบัติเช่นนี้กับนาง หากนางยังต้องยิ้มแย้มเอาใจ แล้วนางยังเป็นอะไรอยู่อีก? 


 


 


           ใช่แล้ว หลิ่วฮูหยินเป็นผู้อาวุโสก็จริง แต่ไฉนเลยจะมีเหตุผลว่าผู้อาวุโสตรงเข้ามาลงมือลงไม้กับคนที่เด็กกว่าถึงในบ้านได้เล่า? หลิ่วฮูหยินฟังคำพูดของเจียงอวี้เหลียน ก็มองไปยังเจียงอวี้เหลียนทีหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นพูดว่า “ข้าเป็นใครกัน นางย่อมไม่เห็นค่าข้า อีกอย่าง นางเข้าใจหรือว่าอะไรเรียกว่ามารยาท?” 


 


 


           คำพูดนี้เป็นการกดถาวจวินหลันลงไปให้ไม่เหลือค่าเลยแม้แต่น้อย 


 


 


           ถาวจวินหลันคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหลิ่วฮูหยินจะต้องพูดเช่นนี้ จึงมองไปยังเจียงอวี้เหลียนทีหนึ่ง “ชายารองเจียงพูดได้ดีนัก ข้าควรจะเชิญท่านป้าเข้าไปนั่งข้างในถึงจะถูก” 


 


 


           นางไม่ชอบเจียงอวี้เหลียนจริง นางรู้ความคิดของเจียงอวี้เหลียนดี ไม่มีอะไรมากไปกว่าจงใจให้นางเสียหน้าเท่านั้น แต่ตอนนี้นางยังไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเหล่านี้ มิเช่นนั้นแล้ว เรื่องนี้ไม่อาจจบได้  


 


 


           ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “ท่านป้าทำเช่นนี้ ข้าก็กลัวว่าข้าเชิญแล้ว ท่านจะไม่ยอมเข้าไปข้างในกับข้า” 


 


 


           ไม่รู้ว่าวันนี้เจียงอวี้เหลียนหมายความว่าอย่างไร พอสังเกตเห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้าของถาวจวินหลัน ก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ “ชายารองถาวเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ? ทำไมบนหน้าถึงได้กลายเป็นเช่นนั้น? โดนใครตบมาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” 


 


 


           ตอนที่เจียงอวี้เหลียนมานั้นเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวกราด ข้างกายมีคนตามมาไม่น้อย ถาวจวินหลันเห็นคนเหล่านั้นมองมาที่ตนเอง ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีกับเจียงอวี้เหลียน 


 


 


           เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้เหลียนต้องการทำให้นางดูน่าสมเพช 


 


 


           แต่นางกลับไม่คิดให้เจียงอวี้เหลียนสมปรารถนา จึงมองเจียงอวี้เหลียนคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพูดว่า “คำพูดนี้ของชายารองเจียงฟังแล้วเหมือนมีความสุขยิ่งนัก ทำไมเล่า อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าไม่คิดจะเรียกร้องความยุติธรรมให้ข้า แต่กลับดีใจเพราะคนอื่นมีความทุกข์อย่างนั้นหรือ?” 

 

 

 


บทที่ 505 ยุติธรรม

 

       พอถาวจวินหลันเอ่ยปากถาม เจียงอวี้เหลียนกลับเม้มปากหัวเราะ “ดูชายารองถาวพูดเข้า ข้าก็แค่ถามเท่านั้น ไฉนเลยจะดีใจเพราะคนอื่นเป็นทุกข์เล่า ข้าเพียงแค่ถามด้วยสงสัยเท่านั้นเอง ทำไมเล่า ชายารองถาวไม่อนุญาตให้ถามอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” 


 


 


           คำพูดนี้ของเจียงอวี้เหลียนเป็นการปัดภาระทิ้งจนหมด ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “ย่อมต้องถามได้ แต่การแสดงออกของเจ้ากลับทำให้ข้าเข้าใจผิด แต่หากไม่ได้ดีใจเพราะคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก แสดงว่าชายารองเจียงก็ยืนอยู่ข้างข้าแล้ว” 


 


 


           สายตาของเจียงอวี้เหลียนเป็นประกาย รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า “ใครมีเหตุผลข้าก็จะยืนอยู่ฝั่งนั้น คงไม่อาจเข้าข้างคนกันเองโดยไม่ยึดถือความเที่ยงตรง ต่อให้ท่านอ๋องมา ก็คิดว่าคงเป็นเช่นนี้” 


 


 


           เจียงอวี้เหลียนไม่พูดถึงหลี่เย่ยังดี พอพูดถึงหลี่เย่ขึ้นมาก็ทำให้หลิ่วฮูหยินคิดขึ้นมาได้ “ชายางรองเจียง ข้าต้องการพบหลี่เย่ เจ้าไปเรียกหลี่เย่มาให้ข้า!” 


 


 


           หลิ่วฮูหยินพูดออกคำสั่งอย่างเห็นได้ชัด แต่เจียงอวี้เหลียนกลับไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด แค่ยิ้มมองไปทางถาวจวินหลัน พูดอย่างสงบว่า “ในเมื่อท่านป้าอยากพบหลี่เย่ ข้าก็ต้องพาท่านป้าไปพบ” 


 


 


           ถาวจวินหลันโมโหจนแทบหลุดหัวเราะออกมา เจียงอวี้เหลียนมีท่าทีกระตือรือร้นเกินพอดี ก็ด้วยอยากเห็นนางเสียหน้ามิใช่หรืออย่างไร แน่นอนว่า นางไม่อาจขอร้องเจียงอวี้เหลียนให้อยู่ข้างนาง หรือพูดแทนนางได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง นางคงรู้สึกอึดอัดใจ แต่นางรู้สึกว่าเจียงอวี้เหลียนทำเช่นนี้ก็เกินไปเล็กน้อย แม้ว่าอยากจะเห็นนางเสียหน้า แต่ก็ต้องไม่ใช่เช่นนี้มิใช่หรือ? คราวนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่หากเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ของจวนตวนชินอ๋องเล่า? ถึงเวลานั้นเจียงอวี้เหลียนยังเป็นเช่นนี้อยู่ นั่นจะเกิดผลตามมาอย่างไรบ้าง? 


 


 


           ในเมื่อมีเจียงอวี้เหลียนนำทางแล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจยืนอยู่ที่เดิมได้อีก ปล่อยให้ชุนฮุ่ยประคองตนเองเข้าไปในเรือนเฉินเซียงช้าๆ เรื่องนี้ย่อมไม่อาจปิดบังหลี่เย่ได้แล้ว แต่นางคิดว่าอย่างน้อยก็ไม่อาจให้องค์ชายเจ็ดรู้เรื่องน่าขันนี้ได้ ดังนั้นจึงหันไปสั่งปี้เจียวว่า “บอกท่านอ๋องให้พาองค์ชายเจ็ดไปดื่มชาก่อน จากนั้นค่อยบอกท่านอ๋องว่าท่านป้าต้องการพบเขา” 


 


 


           แม้นองค์ชายเจ็ดและหลี่เย่สนิทกัน แต่เรื่องภายในเรือนเช่นนี้ก็ไม่ควรให้องค์ชายเจ็ดรับรู้ อีกอย่างนางคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับนาง ดังนั้นนางยิ่งไม่ยินยอมให้คนนอกได้ยิน มิเช่นนั้นต่อจากนี้เมื่อต้องพบองค์ชายเจ็ดอีก ก็มีแต่จะชวนให้คิดถึงเรื่องนี้ ถึงเวลานั้นจะต้องประหม่ามากเป็นแน่ 


 


 


           อีกทั้งต่อจากนี้นางจะต้องเข้าออกวังหลวงมากขึ้น โอกาสพบหน้ากันก็มีมาก ดังนั้นยิ่งต้องระวัง นางไม่อาจเสียหน้าต่อคนผู้นี้ได้จริงๆ 


 


 


           ถาวจวินหลันลูบใบหน้าของตนเองเบาๆ ก่อนถามชุนฮุ่ยเสียงเบา “ตอนนี้ข้าดูน่าเวทนามากใช่หรือไม่?” 


 


 


           ชุ่นฮุ่ยส่ายหน้า “ไม่ถึงขั้นน่าเวทนาเจ้าค่ะ เพียงแค่ดูแล้วน่ากลัวเล็กน้อยเจ้าค่ะ ฝ่ามือนั้นใช้แรงตบมาก ทั้งหน้าเริ่มบวมแล้ว เกรงว่าอีกสองสามวันก็ยังคงไม่หายดีเจ้าค่ะ” 


 


 


           ถาวจวินหลันถอนหายใจ คิดว่าวันนี้ตนเองโด่งดังอย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อครู่นี้มีคนเห็นเหตุการณ์มากมาย ใช้เวลาไม่นานเรื่องนี้จะต้องถูกแพร่กระจายไปทั่วแน่นอน 


 


 


           “ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ใครกล้าพูดถึงเรื่องวันนี้ ไม่มีทางอ่อนข้อให้เด็ดขาด หากข้าได้ยินอะไรก็ตามแต่จากข้างนอก ไม่ว่าเป็นใครพูด ลงโทษสถานหนักทั้งหมด” ถาวจวินหลันคิดแล้วก็พูดสั่ง นางอดหัวเราะขมขื่นไม่ได้ แม้จะบอกว่านางไม่ใช่คนที่ต้องการหน้าตาอะไร แต่ก็ไม่อยากเสียหน้า ฝ่ามือของหลิ่วฮูหยินในวันนี้ ทำให้ศักดิ์ศรี หน้าตาของนางหายไปโดยสิ้นเชิง 


 


 


           ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ? ย่อมต้องไม่พอใจอยู่แล้ว แต่จะไม่พอใจอย่างไรนางก็ไม่อาจทำอะไรกับหลิ่วฮูหยินได้ นี่จึงเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจมากที่สุด 


 


 


           แต่นางอยากรู้จริงๆ ว่าแท้จริงแล้วเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ฉับพลันนางก็อดเร่งฝีเท้าไม่ได้ 


 


 


           พอกลับมาถึงเรือนเฉินเซียง ถาวจวินหลันก็เห็นหลี่เย่รออยู่หน้าประตู จึงเหลือบมองไปข้างหลังหลี่เย่ตามสัญชาตญาณ ไม่เห็นเงาขององค์ชายเจ็ด นางก็สบายใจไปได้เฮือกหนึ่ง 


 


 


           หลังจากนั้นสายตาก็ทอดไปยังร่างของหลี่เย่ ตอนที่เห็นสายตาเป็นกังวลของเขา นางก็ก้มหน้าลงทันที ความน้อยใจพุ่งพล่านเต็มไปหมด 


 


 


           หากเป็นคนอื่น นางจะต้องตบคืนกลับไปแน่นอน แต่นั่นเป็นป้าสะใภ้ของหลี่เย่ นางจึงทำได้แค่เก็บเงียบและกล้ำกลืนเท่านั้น ก่อนหน้านี้ยังไม่เจอหน้าหลี่เย่ยังดี แต่ตอนนี้พบหน้า ก็เก็บความน้อยใจเอาไว้ไม่ได้ 


 


 


           นางเริ่มมีอาการเคืองตา น้ำตาแทบจะไหลออกมา นางจะไม่น้อยใจได้อย่างไร? ตั้งแต่เด็กจนโต ต่อให้เป็นตอนที่ลำบากที่สุด ก็ไม่เคยพบเรื่องเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางพบเจอเรื่องเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่มีเหตุผลใดๆ อีกด้วย 


 


 


           แต่น้อยใจถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่นางกลับไม่ยินยอมให้หลี่เย่เห็นใบหน้าที่เป็นรอยของนาง บางทีดูแล้วอาจจะรู้สึกเห็นใจ และโมโหแทนนาง แต่เรื่องฉวยโอกาสร้องขอความโปรดปรานเช่นนี้ นางกลับทำไม่ได้ อีกทั้งนางไม่ยินยอมให้หลี่เย่ลำบากใจ 


 


 


           หลี่เย่อาจจะได้ยินเรื่องคร่าวๆ มาจากปี้เจียวบ้างแล้ว ดังนั้นจึงมีท่าทางนิ่งๆ กับหลิ่วฮูหยิน เพียงแค่พูดว่า “ท่านป้าสะใภ้” จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก แต่สายตากลับทอดมองไปยังร่างของถาวจวินหลันอยู่ตลอด สังเกตใบหน้าของนางอย่างละเอียด 


 


 


           ต่อให้ถาวจวินหลันก้มหน้า ก็ไม่อาจปิดบังรอยบวมแดงบนใบหน้าไว้ได้หมด พอหลี่เย่มองอย่างละเอียดแล้ว ย่อมต้องเห็นอย่างชัดเจน 


 


 


           รอยยิ้มของหลี่เย่พลันเป็นเป็นเย็บเยียบ 


 


 


           หลิ่วฮูหยินไม่เข้าใจหลี่เย่ ยิ่งไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ของหลี่เย่ จึงหัวเราะเสียงเย็น เชิดหน้ามองหลี่เย่พูดว่า “ตวนชินอ๋อง วันนี้ที่ข้ามาไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น แต่ต้องการมาขอความยุติธรรมจากเจ้า!”          


 


 


           หลี่เย่เลิกคิ้ว “อย่างนั้นหรือ? แท้จริงแล้วป้าสะใภ้มาก็เพราะเหตุนี้ ข้ายังคิดว่าข้าทำอะไรผิด ท่านถึงได้มาหาเรื่องถึงที่นี่ เพิ่งจะเข้ามาในเรือนก็ลงไม้ลงมือกับชายารองของข้า ข้ายังอยากจะถามท่าน ว่าแท้จริงแล้วมีเรื่องอะไรกันแน่ คิดว่าชายารองของข้าก็ไม่ได้ทำผิดกับท่านใช่หรือไม่” 


 


 


           ถาวจวินหลันเงยหน้ามองหลี่เย่อย่างตื่นตกใจ นางคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะกล้าถามหลิ่วฮูหยินตรงๆ โดยไม่ไว้หน้าเลยเช่นนี้ 


 


 


           วิธีการเช่นนี้ย่อมมีผลสองแบบ สำหรับนางแล้วย่อมต้องระบายความไม่พอใจได้ อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำให้นางสบายใจมากกว่าหลี่เย่ออกหน้าแทนนางแล้ว แต่ถือว่าทำผิกับทางตระกูลกู้มากเกินไป แม้ว่าตระกูลกู้จะช่วยเหลือหลี่เย่ไม่ได้มาก แต่อย่างไรก็ยังเป็นญาติของหลี่เย่ หากการกระทำของหลี่เย่แพร่กระจายออกไป เกรงว่าคนอื่นจะต้องคิดว่าเขาเย็นชาไร้เยื่อใยเป็นแน่ 


 


 


           หลิ่วฮูหยินเห็นว่าหลี่เย่ยิ้มแย้มพูดคุยกับนาง ยังรู้สึกว่าหลี่เย่จะต้องให้คำตอบกับนาง แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่กลับเปลี่ยนเรื่องพูด แทบจะต้องใช้เวลาครู่หนึ่งถึงได้รู้สึกถึงจุดประสงค์ของหลี่เย่ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่หลี่เย่ก็ถามอย่างใจเย็น และยังถามอย่างมีเหตุมีผล ฉับพลันนั้นนางก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไร และรู้สึกประหม่ามาก 


 


 


           เจียงอวี้เหลียนเห็นท่าไม่ดี จึงหัวเราะทำลายบรรยากาศอึมครึม “ทำไมท่านอ๋องไม่เชิญท่านป้าเข้าไปดื่มชาข้างในเล่าเจ้าคะ? มีอะไรคุยกัน ก็เข้าไปนั่งคุยกันเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


           เจียงอวี้เหลียนพูดได้ถูกเวลา หลิ่วฮูหยินนึกได้ก็รีบพูดว่า “ใช่แล้ว ข้ามีเรื่องอยากพูดกับเจ้า” 


 


 


           เมื่อเจียงอวี้เหลียนพูดเช่นนี้ก็ทำให้ความกดดันของหลี่เย่หายไปกว่าครึ่ง และคิดว่าไม่ดีหากจะไล่ถามอะไรอีก หลี่เย่มองเจียงอวี้เหลียนนิ่ง เอียงตัวเล็กน้อย “เชิญท่านป้า” 


 


 


           พอเจียงอวี้เหลียนเห็นสายตาของหลี่เย่ ก็รู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย หดคอน้อยๆ คิดได้ว่าตนเองทำไม่ค่อยดี จึงหันไปยิ้มน้อยๆ ให้หลี่เย่ พยายามแสดงท่าทีสงบ 


 


 


           แต่หลี่เย่กลับเบนสายตากลับไปนานแล้ว 


 


 


           ถาวจวินหลันเห็นแบบนี้ ก็ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องวิเคราะห์วิธีการของเจียงอวี้เหลียนให้ดี เจียงอวี้เหลียนเป็นปฏิปักษ์กับนางนั้นไม่สำคัญ แต่ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์กับหลี่เย่ได้ นางหักหน้าเช่นนี้ มีเรื่องดีสักกี่ครั้งกัน? 


 


 


           เมื่อเข้าไปในห้องและนั่งลงแล้ว หลี่เย่ก็อมยิ้มพูด แต่เมื่อมองให้ดีแล้ว ก็เห็นความแสร้งของเขาได้ไม่ยาก “ท่านป้าพูดได้แล้วใช่หรือไม่? แต่ข้ายังอยากถามว่าท่านทำแบบนี้เพราะเหตุใด แม้จะบอกว่าท่านเป็นผู้อาวุโส แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้เข้ามาลงมือลงไม้ตามสบายในจวนตวนชินอ๋อง” 


 


 


           อีกทั้งนั่นยังเป็นผู้หญิงของเขา แม้แต่ไทเฮาก็ยังไม่อาจลงมือกับถาวจวินหลันเช่นนี้! ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเวลานี้ถาวจวินหลันเหมือนเป็นหน้าตาของเขา ไม่ใช่ว่าใครจะมาทำอะไรผู้หญิงของเขาก็ได้! ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วเขาจะเป็นตวนชินอ๋องไปเพื่ออะไร ไม่สู้เป็นประชาชนธรรมดายังจะดีกว่า! 


 


 


           ตอนนี้หลี่เย่กำลังคิดว่าตนเองแสดงออกอบอุ่นมากเกินไป คนอื่นถึงได้รู้สึกว่าเหยียบหัวเขาอย่างไรก็ได้ 


 


 


           ขณะที่หลี่เย่กำลังคิดเช่นนี้ หลิ่วฮูหยินก็เปิดปากพูด ท่าทียังคงแข็งตึงเหมือนก่อนหน้านี้ กระทั่งมีท่าทีกดดันอยู่ด้วย “ถาวซื่อทำเรื่องเช่นนั้น ท่านไม่ช่วยซีเอ๋อร์แก้แค้น แต่ยังปกป้องนาง นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ข้าตบนางแล้วจะทำไม? นี่ยังเบาด้วยซ้ำไป! ข้าไม่เพียงแค่ตบนางเท่านั้น แต่จะให้ไทเฮาสั่งปลดนางงูพิษคนนี้ด้วย! ” 


 


 


           “ท่านป้า!” ถาวจวินหลันฟังต่อไปไม่ได้ รีบตะโกนหยุดเอาไว้ “ขอให้ท่านป้าพูดดีๆ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ ท่านบอกมาก่อนว่าแท้จริงแล้วข้าทำเรื่องอะไร แล้วค่อยพูดถึงเรื่องอื่น มิเช่นนั้นท่านพูดว่าข้าเป็นงูพิษ แล้วยังจะปลดข้า หากเป็นเรื่องใส่ร้ายข้าแล้วจะทำเช่นไร? ไม่รู้ว่าท่านจะยอมเสียหน้ามาขอโทษข้าต่อหน้าคนมากมายได้หรือไม่?” 


 


 


           “ไม่ใช่เจ้าทำแล้วใครทำเล่า?” หลิ่วฮูหยินยิ้มเย็นถามกลับ มองท่าทีเช่นนั้นก็รู้ว่าถาวจวินหลันไร้ประโยชน์ที่จะถาม แม้กระทั่งหลิ่วฮูหยินเงยหน้าอวดดีขึ้นมา “หากข้าใส่ร้ายเจ้าจริง ไม่ต้องพูดว่าขอโทษเจ้าต่อหน้าทุกคน แม้แต่ต่อหน้าไทเฮา ข้าเองก็กล้าก้มหน้ายอมรับผิดต่อเจ้า” 


 


 


           “ดี ข้าเชื่อว่าหลิ่วฮูหยินเป็นคนวาจาหนักแน่น ถ้าเช่นนั้นวันนี้ข้าจะฟังด้วยความตั้งใจ แท้จริงแล้วข้าทำเรื่องอะไรกัน ท่านถึงโกรธแค้นข้าถึงเพียงนี้” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น จัดการพูดสรุปเรื่องนี้ ก้มหน้าขอโทษคงไม่ต้องทำ แต่อย่างไรก็ต้องให้พูดขอโทษนางอย่างแน่นอน! 


 


 


           หลี่เย่พลันพูดขึ้นว่า “ในเมื่อท่านป้าพูดแล้ว ข้าคิดว่าท่านป้าจะต้องทำได้แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอให้ท่านป้าพูดออกมาด้วยเถิด” 

 

 

 


บทที่ 506 สาเหตุ

 

           หลิ่วฮูหยินทั้งโมโหทั้งโกรธ แต่ก็ไม่อาจระบายกับหลี่เย่ได้ แม้นางจะคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่คิดว่าตนเองสูงส่งไปกว่าตวนชินอ๋องหลี่เย่ ดังนั้นจึงทำได้แค่พุ่งไปทางถาวจวินหลัน แล้วถลึงตามองด้วยความโมโหพลางพูดว่า “เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับขันทีเรื่องของซีเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าตบตาคนอื่นได้หรืออย่างไร?” 


 


 


           ถาวจวินหลันสะดุ้งไป แล้วมองพร้อมหัวเราะเสียงเย็น “ท่านป้าพูดไร้เหตุผล ข้าจะไปลงมือกับจวงผินได้อย่างไรเจ้าคะ? สมรู้ร่วมคิดกับขันทีเล่นงานจวงผิน คิดไม่ถึงว่าท่านป้าจะพูดออกมาได้! เรื่องอื่นก็แล้วไป แต่เรื่องนี้ท่านไม่อาจมาใส่ร้ายป้ายสีข้าได้!” 


 


 


           ตอนที่นางได้ยินว่าหลิ่วฮูหยินมาหาถึงจวน ก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้นกับกู้ซี คิดไม่ถึงว่าเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ แต่หลิ่วฮูหยินกลับพูดใส่ร้ายอย่างไร้เหตุผลเกินไป 


 


 


           “ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครกัน? เจ้ากลัวว่าซีเอ๋อร์ของข้าเข้ามาในจวนอ๋องแล้วจะแย่งตำแหน่งของเจ้า เจ้าถึงกลัว!” หลิ่วฮูหยินพูดถึงเรื่องนี้ด้วยความเป็นมารดาหูเบา ท่าทางตั้งใจหาเรื่อง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ไฉนเลยยังมีท่าทีของฮูหยินผู้สูงส่งอีกเล่า? 


 


 


           ไม่เพียงเท่านั้น หลิ่วฮูหยินยังด่าเสียงดังอีกว่า “งูพิษ! เจ้าเป็นงูพิษ!”  


 


 


           ถาวจวินหลันลุกพรวด หลุบตามองหลิ่วฮูหยินจากมุมสูง “คนที่ทำลายชื่อเสียงก็เหมือนฆ่าพ่อแม่ ท่านป้าเป็นผู้อาวุโส ข้าไม่อาจทำอะไรท่านได้ แต่หากสืบเรื่องนี้ชัดเจนแล้วว่าท่านป้าใส่ร้ายข้า ท่านป้าต้องมาขอโทษข้า!” จากนั้นก็มองไปทางหลี่เย่ พูดว่า “ขอให้ท่านอ๋องเชิญองค์ชายเจ็ดมาเป็นพยานด้วยเถิดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นพวกเราก็เข้าวังหลวงให้ไทเฮาเป็นพยาน! หากไม่สืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนแล้ว เกรงว่าต่อจากนี้ไปตัวข้าคงจะต้องแบกข้อเสียนี้ไปตลอด!” 


 


 


           นางไม่ชอบกู้ซี และไม่ยินยอมให้กู้ซีเข้ามาในจวน แต่นางเคยทำอะไรหรืออย่างไร? แต่ไหนแต่ไรนางเป็นคนที่ใครไม่ทำข้า ข้าก็ไม่มีทางไปทำอะไรเจ้า เคยลงมือทำร้ายใครก่อนหรืออย่างไรกัน? ถ้าเป็นเรื่องที่นางเคยทำ นางก็ต้องกล้ายอมรับ แต่เรื่องที่ไม่ได้ทำ กลับไม่อาจให้นางรับทั้งๆ ที่เรื่องยังไม่กระจ่างเช่นนี้! 


 


 


           อีกอย่างตอนนี้หน้าของนางยังปวดแสบปวดร้อนอยู่! แม้นวันนี้ยังไม่ยอมรับ ก็ยังตบลงมาทีหนึ่ง เกรงว่าหากเป็นจริง ชีวิตของนางต้องหาไม่อย่างแน่นอน! 


 


 


           หลี่เย่มองไปทางหลิ่วฮูหยิน น้ำเสียงเริ่มเย็นลง “ความคิดของท่านป้าเล่า?” ถาวจวินหลันถูกใส่ร้าย เขาเองก็ไม่พอใจเช่นเดียวกัน และยิ่งสงสารที่นางต้องมาโดนตบ แต่เขาเองก็ไม่อาจลำเอียงอย่างเปิดเผยได้ มิเช่นนั้นคงจะถูกติฉินนินทาเอาได้ ดังนั้นจึงได้แค่ทำตัวให้เป็นกลาง มีแค่เพียงในใจของพวกเราเท่านั้นที่รู้ว่าความคิดของตนเองนั้นเป็นอย่างไร 


 


 


           อย่างไรหลิ่วฮูหยินก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจวุ่นวายไปถึงในวังหลวงได้ มิเช่นนั้นกู้ซีก็จะเสียหน้า อีกทั้งไทเฮาก็ประชวรอยู่ ยิ่งไม่อาจไปรบกวนได้ ทำได้แค่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เชิญองค์ชายเจ็ดให้มาเป็นพยานเถิด” 


 


 


ถาวจวินหลันมองไปทางหลิ่วฮูหยินวูบหนึ่ง แล้วพูดกับหลี่เย่ว่า “อนุญาตให้ข้าไปจัดการตนเองสักครู่เถิดเจ้าค่ะ” รอยฝ่ามือนี้ชัดเจนมากเกินไป อย่างไรนางก็ต้องปิดบังสักหน่อย 


 


 


           หลิ่วฮูหยินยังคงอัดอั้นตันใจอยู่ ไม่กล้าแสดงออกกับหลี่เย่ ทำได้แค่พุ่งเป้ามาทางถาวจวินหลันเท่านั้น 


 


 


           ทางด้านถาวจวินหลันเพิ่งพูดจบ หลิ่วฮูหยินก็พูดว่า “ปิดบังอะไรกัน ไม่ใช่ว่าขลาดกลัวหรอกหรือ? ในเมื่อเจ้ากล้าทำเรื่องนี้ได้ ยังจะเอาหน้าไปเพื่ออะไรอีก?” 


 


 


ถาวจวินหลันใจเดือดพล่าน ไม่ยอมทำทีท่ายิ้มแย้มอ่อนโยนอีกต่อไป ฉับพลันก็กวาดตามองหลิ่วฮูหยิน พูดเรียบๆ ว่า “ท่านป้าระวังคำพูดด้วย ข้าวกินมั่วได้ แต่คำพูดไม่อาจพูดมั่วได้ มิเช่นนั้นพอตายไปแล้วจะต้องถูกดึงลิ้นตกนรก อีกทั้ง ท่านไม่เอาหน้า แต่ข้ายังต้องการ” 


 


 


           นางตอกกลับไปอย่างไม่อ่อนไม่แข็ง ก็ให้หลิ่วฮูหยินโมโหจนสะอึกไป แต่เดิมคิดอยากจะตอกกลับ แต่หลี่เย่กลับเอ่ยปากพูดขัดว่า “เป็นเช่นนั้นจริง เรื่องยังไม่ทันชัดเจน ยังไม่มีหลักฐานมายืนยัน ท่านป้าต้องระวังคำพูดด้วย” 


 


 


           คำพูดของหลิ่วฮูหยินติดอยู่ในลำคอ โกรธเกรี้ยวอยู่ในใจ ด้วยคิดว่าสองคนนี้ร่วมมือกันมาตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง 


 


 


           แต่หลิ่วฮูหยินกลับไม่กล้าพูดออกมาจริง นางทำผิดกับถาวจวินหลันได้ แต่ไม่อาจทำผิดกับหลี่เย่ มิเช่นนั้นเกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างจวนตวนชินอ๋องและตระกูลกู้ รวมถึงความสัมพันธ์กับไทเฮาจะต้องถึงจุดสิ้นสุดเป็นแน่ 


 


 


           ถาวจวินหลันเข้าไปในห้อง หลังจากส่องกระจกดูแล้วก็ต้องสูดลมหายใจเย็นเข้าไปทีหนึ่ง รอยฝ่ามือนี้ใช้แป้งฝุ่นก็ยังไม่อาจปิดบังได้ อีกทั้งเกรงว่าต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะหายดี หรือจะพูดว่าหลังจากนี้หลายวันนางไม่สามารถออกจากจวนได้แล้ว ทางที่ดีที่สุดคืออย่าให้คนอื่นเห็น 


 


 


           ถาวจวินหลันสงบไฟแค้นเอาไว้ แล้วสั่งให้ชุนฮุ่ยใช้แป้งปิดเอาไว้ แม้ว่าจะปิดได้ไม่หมด แต่ก็ทำให้รอยฝ่ามือนั้นไม่เด่นจนเกินไป ถึงเวลานั้นองค์ชายเจ็ดจะต้องไม่จ้องมองใบหน้าของนางอยู่แล้ว หรืออาจจะไม่สังเกตเลยแม้แต่น้อย 


 


 


           ตอนที่ปะแป้ง ถาวจวินหลันก็เจ็บจนเหงื่อไหล ผิวหน้าอ่อนนุ่มบอบบางถูกตบทีหนึ่ง เพียงแค่แตะก็เจ็บมากแล้ว 


 


 


           พอเก็บกวาดเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็รวบผม พยายามทำให้ตนเองดูเป็นปกติ ก่อนเดินออกไป 


 


 


           หลี่เย่เงยหน้ามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าดื่มชาต่อไป 


 


 


           หลิ่วฮูหยินนั่งตัวตรง ไม่ได้ดื่มชา แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับแหลมคมประหนึ่งมีดแหลม มองเขม็งไปยังถาวจวินหลัน 


 


 


           ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้สึกได้ แต่นางก็ไม่ได้ขลาดกลัว ยืดหลังตรงเดินเข้าไปถึงที่นั่งของตนเอง นั่งลงไปนิ่งๆ ทั้งใจเย็นและสง่างาม แสดงออกถึงความทรงอำนาจของตนเองให้หลิ่วฮูหยินดูในทุกการกระทำ 


 


 


           เจียงอวี้เหลียนยิ้มพลางยกชาขึ้นจิบ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าชายารองถาวใช้แป้งฝุ่นอะไรหรือเจ้าคะ? ได้ผลดียิ่งนัก กลับไปแล้วแบ่งให้ข้าใช้สักกล่องหนึ่งซี ที่จริงถ้าจะให้ข้าพูด ก็ไม่เห็นจะต้องปิดซ่อนอะไร ชายารองถาวได้รับความไม่ยุติธรรม ก็ควรให้คนเห็น” 


 


 


           ถาวจวินหลันหรี่ตาลง มองไปยังเจียงอวี้เหลียน ก่อนพูดช้าๆ ว่า “ทำไมหรือ ชากับของว่างยังปิดปากของชายารองเจียงไม่ได้หรืออย่างไรกัน? หากอยากดูเรื่องวุ่นวาย เพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว เจ้ามายุ่งเช่นนี้คิดอยากทำอะไรกันแน่?” 


 


 


           ฉับพลันนั้นใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนก็แดงเห่อเหมือนตับหมู เป็นชายารองเหมือนกัน แม้ว่าถาวจวินหลันจะระดับสูงกว่าหนึ่งขั้น แต่ปกติแล้วนางไม่เคยคิดว่าพวกนางแตกต่างกันตรงไหน ดังนั้นถึงได้โอหังกำเริบเสิบสาน รู้สึกว่าต่อให้นางทำให้ถาวจวินหลันไม่พอใจมากเพียงใด ถาวจวินหลันก็ไม่มีทางทำอะไรนางเป็นแน่ 


 


 


           แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้ถาวจวินหลันกลับเปลี่ยนท่าทีอ่อนน้อมของตนไป พูดประโยคที่ไม่เกรงใจเช่นนี้ อีกทั้งน้ำเสียงสูงส่งวางตัวของถาวจวินหลันก็ยิ่งทำให้นางไม่อยากยอมแพ้ 


 


 


           ตอนแรกคิดอยากจะโต้กลับไป แต่พอคิดดูแล้วเจียงอวี้เหลียนกลับมองไปยังหลี่เย่ พูดด้วยความน้อยใจ “ท่านอ๋อง” 


 


 


           หลี่เย่มองไปทางเจียงอวี้เหลียน พูดออกมาเรียบๆ “หากชากับของว่างอุดปากเจ้าไม่ได้ เจ้าก็กลับไปเสีย” หากไม่ใช่เพราะตอนนี้หลิ่วฮูหยินยังอยู่ เขคงจะไม่เกรงใจแบบนี้แน่ 


 


 


           บนใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนเขียนความคิดเล็กคิดน้อยอยู่ แต่ทำไมยังมีใครไม่เข้าใจอีก? อีกอย่างเขาก็ลำเอียงอยู่แล้ว ก่อนเจียงอวี้เหลียนจะทำเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่คิดถึงผลลัพธ์เลยสักนิด 


 


 


           หลี่เย่พูดเช่นนี้เท่ากับออกหน้าแทนถาวจวินหลัน เจียงอวีเหลียนจึงหงอยไปทันที นั่งลงไปข้างๆ ด้วยความโมโห แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรอีก 


 


 


           ถาวจวินหลันมองไปทางหลี่เย่ ในแววตาแฝงไว้ด้วยความขบขัน 


 


 


           หลี่เย่ยังคงรักษาท่าทีอบอุ่นนิ่งสงบ นั่งนิ่งหลังตรงสง่างามตลอด 


 


 


           พอองค์ชายเจ็ดเข้าห้องมาถึง เมื่อเห็นหลิ่วฮูหยินก็ทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแค่หันไปพูดกับหลี่เย่ “พี่รองก็จริงๆ เลย ทำไมถึงไล่ให้ข้าไปที่ห้องหนังสือคนเดียวเล่า? ในเมื่อจะเรียกให้ข้ามา ก็ควรให้ข้ามาด้วยตั้งนานแล้ว วิ่งไปวิ่งมา ลมเย็นเต็มท้องไปหมดแล้ว” 


 


 


           หลี่เย่กวาดตามององค์ชายเจ็ด องค์ชายเจ็ดที่โอดโอยกล่าวโทษพลันก็เงียบเชียบ และรู้สึกอึดอัดใจ วันนี้พี่รองเป็นอะไรไป? เหมือนว่า…โกรธอย่างนั้นหรือ? 


 


 


           “มีเรื่องในจวนที่อยากให้เจ้าช่วยเป็นพยาน” หลี่เย่พูดเรียบๆ มองไปยังหลิ่วฮูหยิน แล้วถามองค์ชายเจ็ดว่า “เรื่องของจวงผิน เจ้าเองก็รู้ เจ้าคิดว่าชายารองถาวเป็นคนวางแผนอยู่เบื้องหลังหรือไม่?” 


 


 


           องค์ชายเจ็ดมีท่าทีบอกว่า ‘ท่านโกหกหรือเปล่า’ ทันที หลังจากตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาก็ตั้งสติกลับมาได้ เบนหน้าไปยังหลิ่วฮูหยิน พร้อมพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ใครโง่ขนาดเอากระโถนมาขว้างใส่คนอื่นกัน?” 


 


 


           หลิ่วฮูหยินได้ยินก็โมโหแทบหงายท้องตึง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงสงบอารมณ์ได้ พูดเสียงสั่นว่า “องค์ชายเจ็ดหมายความว่าอย่างไร? แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็ลำเอียงเข้าข้างหญิงงูพิษเช่นนี้ด้วย?” 


 


 


           องค์ชายเจ็ดหัวเราะลั่น “ลำเอียงอย่างนั้นหรือ? ทำไมข้าต้องลำเอียงด้วย? ข้าเพียงพูดความจริงเท่านั้น ในเมื่อท่านเป็นมารดาของจวงผิน คิดว่าต้องรู้สิ่งที่เสด็จพ่อจัดการกับเรื่องนี้แล้วเป็นแน่ ในเมื่อเสด็จพ่อยังสืบไม่พบ แล้วท่านเอาอะไรมากล่าวโทษ? ทำไมหรือ เสด็จพ่อไม่เฉลียวฉลาด ไร้ความสามารถ ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน มองไม่เห็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ สู้ท่านไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” 


 


 


           ด้วยตรงนี้มีอยู่แค่ไม่กี่คน องค์ชายเจ็ดถึงไม่ได้ปิดบังแอบซ่อนอะไร พูดผลที่ได้สืบมาอย่างละเอียดตรงๆ “เป็นนางกำนัลคนหนึ่ง นางซื้อตัวขันทีรับใช้เบื้องหน้าเสด็จพ่อ คิดอยากใช้โอกาสนี้เปลี่ยนจากนกเป็นหงส์ แต่เพราะจวงผินโชคไม่ดี บังเอิญเจอเรื่องนี้เข้า หลังจากเรื่องเกิดขึ้นแล้วขันทีและนางกำนัลคนนั้นก็ถูกจับโบยตายทั้งหมด” 


 


 


           “ไฉนเลยจะบังเอิญเช่นนั้นจริง?” หลิ่วฮูหยินหัวเราะโต้กลับมา ยังคงยึดมั่นในความคิดของตนเอง  


 


 


           ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น พูดขัดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้ท่านป้าเอาหลักฐานออกมาซีเจ้าคะ” 


 


 


           “ทำไมยังจะต้องการหลักฐานอีกเล่า?” หลิ่วฮูหยินจ้องเขม็งไปทางถาวจวินหลัน “เจ้าไม่ยอมให้ซีเอ๋อร์เข้ามาในจวนอ๋อง จึงวางแผนเล่นงานนาง เจ้าปิดบังคนอื่นได้ แต่ปิดบังข้าไม่ได้! มิเช่นนั้นซีเอ๋อร์ยังจะไปทำผิดกับใครอีก ถึงได้ทำให้ถูกเล่นงานเช่นนี้?” 


 


 


           “พูดเช่นนี้ ท่านป้าก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงน่ะซีเจ้าคะ!” ถาวจวินหลันพูดเนิบช้า โต้กลับอย่างอ่อนน้อมถามหลิ่วฮูหยิน “ท่านเอาแต่พูดว่าข้าเป็นคนวางแผนเรื่องนี้ ข้าอยากจะถามท่านว่า ข้าจะวางแผนเช่นไร? ข้าเข้าวังหลวงไปตอนไหน? และข้าเคยมีโอกาสติดต่อขันทีข้างกายฮ่องเต้ตั้งแต่เมื่อใด? ข้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าขันทีคนไหนเป็นคนเดินนำทางจวงผิน? อีกอย่าง ต่อให้ข้าไม่ยินยอมรับจวงผินเข้ามาในจวนอ๋อง ก็คงไม่ถึงขั้นใช้วิธีเช่นนี้ ทำให้คนอื่นเสียหายแล้วยังไม่ได้รับประโยชน์! ข้าเป็นบ้าหรือว่าโง่อย่างนั้นหรือ ถึงได้กล้าเหยียบศักดิ์ศรีของจวนตวนชินอ๋องไว้ใต้เท้า?! อีกอย่างท่านก็เอาแต่พูดว่าข้ากลัวว่าจวงผินเข้าจวนอ๋องมาแล้วจะแย่งตำแหน่งของข้า ข้าอยากจะถามท่าน ว่าท่านเอาความมั่นใจมาจากไหนเจ้าคะ? ข้ากับท่านอ๋องผูกพันกันมาหลายปี และมีลูกหญิงชายด้วยกันสองคน จวงผินจะเอาอะไรมาเทียบ? เป็นชายารองเหมือนกัน นางจะเอาอะไรมาสูงส่งกว่าข้า? อีกทั้งสิทธิดูแลจวนก็อยู่ในมือของข้า ข้าจะถูกคนกดหัวไปได้อย่างไรเจ้าคะ?” 

 

 

 


บทที่ 507 ท่าที

 

           ถาวจวินหลันมีเหตุมีผล ทำเอาหลิ่วฮูหยินถามต่อไปไม่ได้ รมทั้งคำพูดก่อนหน้านี้ขององค์ชายเจ็ด ก็ยิ่งทำให้หลิ่วฮูหยินนิ่งเงียบไปใหญ่ 


 


 


           ผ่านไปนานถึงได้ยินเสียงเสียงขมขื่นของหลิ่วฮูหยิน “นี่ก็ไม่แน่ อย่างไรเจ้าก็เป็นเจ้า จวนตวนชินอ๋องก็คือจวนตวนชินอ๋อง คนที่ได้ผลประโยชน์คือเจ้า เรื่องนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้” 


 


 


           ถาวจวินหลันเห็นหลิ่วฮูหยินยังคงปากแข็ง จึงไม่คิดจะเปิดปากอีก 


 


 


           กลับเป็นองค์ชายเจ็ดที่หัวเราะเยาะและพูดขึ้นมา “ลูกชายคนโตของจวนตวนชินอ๋องเกิดมาจากชายารองถาว ท่านว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องหรือไม่เล่า? อีกอย่างไม่ยินยอมให้จวงผินเข้ามาในจวนอ๋องก็มีวิธีอีกตั้งมาก ต่อให้เข้ามาในจวนอ๋อง ยาพิษถุงหนึ่งหรืออุบัติเหตุสักครั้ง คนไม่อยู่แล้วจะยังข่มขู่อะไรได้? จะต้องมาเสี่ยงอันตรายทำอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่เช่นนี้หรือ? อีกทั้งท่านคิดว่าวังหลวงเข้าไปยุ่งวุ่นวายได้ง่ายถึงเพียงนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็คงตายไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว?” 


 


 


           หยุดไปครู่หนึ่ง องค์ชายเจ็ดก็หัวเราะอีก “หากท่านบอกว่าเรื่องนี้ฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือไทเฮาเหนียงเหนียงเป็นต้นคิด ข้าก็ยังเชื่อ แต่หากท่านบอกว่าเรื่องนี้ชายารองจวนอ๋องทำ…ก็ดูน่าขันเกินไป ข้าไม่เห็นรู้ว่าสตรีที่อยู่ในเรือนทั้งวัน จะมีความสามารถมากถึงเพียงนี้ หากเป็นเช่นนี้จริง เกรงว่าคงต้องเอาหัวชนกำแพง ไม่มีหน้ามาใช้ชีวิตต่อบนโลกใบนี้แล้ว” 


 


 


           แม้นองค์ชายเจ็ดจะพูดเกินจริงไป แต่ก็อธิบายปัญหาได้ดีที่สุด ไม่ต้องพูดถึงแรงจูใจ เพียงแค่ความสามารถของถาวจวินหลันก็ไม่มีทางทำได้แล้ว 


 


 


           หลิ่วฮูหยินหาคำพูดมาโต้กลับอย่างตะกุกตะกัก 


 


 


           ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มมองหลิ่วฮูหยิน “ในเมื่อฮูหยินไม่มีคำพูดอีก ก็ให้ทำตามที่เคยพูดด้วยเถิด ขอโทษข้าด้วยเจ้าค่ะ ท่านทำลายชื่อเสียงของข้าเช่นนี้ คิดว่าคำขอของข้าคงไม่ได้มากเกินไปนะเจ้าคะ” 


 


 


           ไม่ใช่ว่านางใจแคบคิดเล็กคิดน้อย แต่เพราะนางขจัดความโกรธครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ 


 


 


           หลี่เย่นั่งเงียบไม่พูดจา ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่หลิ่วฮูหยินมองมา แม้ว่าจะไม่เปิดปากพูด แต่ก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน 


 


 


           องค์ชายเจ็ดคงกลัวว่าเรื่องจะยุ่งไม่มากพอ จึงพยักหน้าพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ควรจะเป็นเช่นนั้น ท่านควรต้องขอโทษชายารองถาว ทำลายชื่อเสียงก็เหมือนฆ่าบิดามารดา ฮูหยินทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง อีกทั้งไม่เพียงแต่ต้องขอโทษชายารองถาวเท่านั้น ยังต้องขออภัยพี่รอง ฮูหยินทำเช่นนี้ถือเป็นการกล่าวหาว่าพี่รองไม่ดูแลภรรยาให้ดี ปล่อยให้กำเริบเสิบสาน” 


 


 


           ถ้าไม่ใช่เพราะองค์ชายเจ็ดยังไม่รู้ว่าถาวจวินหลันถูกตบไปทีหนึ่ง เกรงว่าคงจะเพิ่มโทษให้หลิ่วฮูหยินอีกข้อหาหนึ่งเป็นแน่ 


 


 


           หลิ่วฮูหยินมององค์ชายเจ็ดวูบหนึ่ง รู้สึกอึดอัดจนอยากจะกรีดร้องออกมาเพื่อระบายอารมณ์ นางจะต้องขอโทษถาวจวินหลัน ฝันไปเถิด! 


 


 


           ดังนั้นหลิ่วฮูหยินจึงทำเป็นไม่ได้ยิน นั่งยืดตัวตรงสง่างามไม่ขยับไปไหน อย่างไรนางเองก็เป็นผู้ใหญ่ นางไม่เชื่อว่าพวกเขาจะมาบีบบังคับนางได้ 


 


 


           ฉับพลันนั้นเจียงอวี้เหลียนก็พูดแทรกอีกครั้ง หัวเราะทำลายบรรยากาศยามนี้ “นี่ยังจำเป็นอีกหรือเจ้าคะ? เป็นเครือญาติกันทั้งนั้น ทำไมจะต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ด้วยเล่า? ท่านป้าก็แค่โกรธเท่านั้น อย่างไรพวกเราก็เป็นแม่คนทั้งนั้น ย่อมต้องเข้าใจความรู้สึกของท่านป้า ชายารองถาวคิดว่าจริงหรือไม่?” 


 


 


           เจียงอวี้เหลียนพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงแค่ประโยคสองประโยคก็ทำให้คำพูดยโสโอหังและการใช้คำพูดทำร้ายคนอื่นของหลิ่วฮูหยินหายไปจนสิ้น แล้วให้หลิ่วฮูหยินกลายเป็นแม่ผู้น่าสงสารที่ทำเพื่อปกป้องลูกสาว  


 


 


           ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็นติดต่อกัน มองนิ่งตรงไปที่เจียงอวี้เหลียน พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ “ชายารองเจียงพูดง่ายเสียจริง คนที่ถูกกวนให้น้ำขุ่นไม่ใช่เจ้า ข้ากลับต้องการถามเจ้า เพราะข้าเองก็เป็นแม่คน เพื่อไม่ให้ลูกหญิงชายทั้งสองคนของข้าถูกตราหน้าว่ามีแม่เป็นงูพิษ ข้าไม่ควรถามหาความยุติธรรมจากท่านป้าหรืออย่างไร?” 


 


 


           หยุดไปครู่หนึ่งน้ำเสียงของถาวจวินหลันก็ยิ่งขรึมขึ้น มองไปทางเจียงอวี้เหลียนอย่างดุดันและทรงอำนาจ “ชายารองเจียง ข้าคิดว่าเจ้าควรเงียบปากไปดีกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ทำไมเจ้าจะต้องพยายามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเล่า? จุดประสงค์คืออะไร?” 


 


 


           คราวนี้เจียงอวี้เหลียนรู้ที่จะต้องเรียบร้อย ไม่กล้าออดอ้อนกับหลี่เย่อีก เพียงแค่เม้มปาก ก้มหน้าลงอย่างน้อยใจ ในเมื่อหลี่เย่ไม่ใส่ใจ ทำเป็นมองไม่เห็น แต่ก็ต้องมีคนเห็นว่านางน้อยใจ หวังดีแต่ไม่ได้รับสิ่งดีตอบแทน 


 


 


           ถาวจวินหลันยิ้มเย็นอยู่ในใจ แต่กลับคร้านจะไปสนใจเจียงอวี้เหลียนอีก เพียงแค่มองไปทางหลิ่วฮูหยินพูดว่า “ทำไมหรือ ท่านป้าเป็นคนรู้มารยาท เป็นคนที่สูงส่งที่สุด ทำไมถึงได้พูดเรื่องนี้กลับไปกลับมา รู้สึกเสียดายอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” 


 


 


           หลิ่วฮูหยินกัดฟัน ถามถาวจวินหลัน “ทำไมหรือ เจ้าคิดจะให้ข้าคุกเข่าจริงหรือ? เจ้าไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าสมควรได้รับสิ่งนี้หรือไม่!”      


 


 


           ถาวจวินหลันเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ท่าทีเรียบนิ่ง “คุกเข่าคงไม่จำเป็น แต่อย่างไรก็ต้องขอโทษ ส่วนจะรับได้หรือไม่ ในเมื่อข้าถูกท่านป้าใส่ร้าย ย่อมต้องรับคำขอโทษของท่านป้าได้เป็นแน่” 


 


 


           องค์ชายเจ็ดก็พูดเสริมว่า “ไทเฮาพูดว่าตระกูลกู้รู้มารยาทกฎเกณฑ์มากที่สุด ทำไมวันนี้ฮูหยินถึงได้ไม่พอใจขนาดนี้เล่า? เมื่อครู่นี้พูดเองมิใช่หรือ ว่าจะขอขมาขอโทษ?” 


 


 


           องค์ชายเจ็ดย่อมไม่กลัวตระกูลกู้ หลี่เย่ไม่เอ่ยชมเขาหักหน้าอีกฝ่ายก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจะหาเรื่องเดือดร้อนให้เขาเลย ดังนั้นองค์ชายเจ็ดจึงกำเริบเสิบสาน ไม่มีท่าทีขลาดกลัวแม้แต่น้อย 


 


 


           หลิ่วฮูหยินโมโหจนกัดฟันแน่น ยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพียงไม่นาน บรรยากาศนั้นก็ตึงเครียดเป็นอย่างมาก 


 


 


           ตอนที่ประหม่าอยู่นั้น ด้านนอกก็มีคนรายงานว่า “อันหย่วนโหวมาเจ้าค่ะ บอกว่าต้องการพบท่านอ๋องเจ้าค่ะ!” 


 


 


           อันหย่วนโหวกู้อวี่จื๋อ ซึ่งก็คือสามีของหลิ่วฮูหยิน บิดาแท้ๆ ของกู้ซี ในเวลานี้กู้อวี่จื๋อมาหาถึงเรือน จุดประสงค์นั้นเห็นได้ชัดเจนอย่างไม่มีที่เปรียบ 


 


 


           ถาวจวินหลันคาดคิดในใจ ไม่รู้ว่าที่กู้อวี่จื๋อมานั้น แท้จริงแล้วเพราะจะมาช่วยสนับสนุนภรรยาของตนเอง หรือว่ามาเพื่อเก็บกวาดสถานการณ์วุ่นวาย 


 


 


           องค์ชายเจ็ดมองไปทางหลี่เย่ทีหนึ่ง ตื่นเต้นมากกว่าเดิม คิดว่า คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูเสียแล้ว  


 


 


           ท่าทีของหลี่เย่ยังคงอ่อนโยนเรียบนิ่ง มองไปแล้วดูอบอุ่นอยู่เล็กน้อย “รีบไปเชิญเข้ามา” 


 


 


           หลิ่วฮูหยินถอนหายใจ รู้สึกว่าที่สามีของตนมาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้ตน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหลี่เย่ไม่ไว้หน้าท่านป้าคนนี้ยังพอได้ แต่กู้อวี่จื๋อมาด้วยตนเอง หลี่เย่คงไม่อาจต้อนให้นางเอ่ยขอโทษได้อีก 


 


 


           เพียงไม่นานกู้อวี่จื๋อก็ถูกพาเข้ามา ดูจากเหงื่อที่ไหลท่วมตัวของเขาก็ดูได้ไม่ยาก ว่าเขาจะต้องเร่งร้อนมาตลอดทางอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็เดินมาอย่างเร่งรีบ 


 


 


           กู้อวี่จื๋อเข้าประตูมาก็ทำความเคารพหลี่เย่และองค์ชายเจ็ด 


 


 


           หลี่เย่ยิ้มยื่นมือไปประคองกู้อวี่จื๋อเอาไว้ ไม่ได้ปล่อยให้กู้อวี่จื๋อทำความเคารพตน 


 


 


           ถาวจวินหลันกลับใช้โอกาสนี้มองกู้อวี่จื๋อ รู้สึกว่ากู้อวี่จื๋อมีหน้าตาคล้ายกับหลี่เย่มาก ล้วนพูดกันว่าหลานเหมือนลุง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก แม้จะบอกว่าไม่ได้เหมือนกันโดยสมบูรณ์ แต่หว่างคิ้ว หางตานั้นก็ละม้ายคล้ายคลึง แค่มองก็รู้ว่าจะต้องเป็นญาติกัน 


 


 


           แต่ร่างกายของกู้อวี่จื๋อดูเหมือนไม่ค่อยดีนัก ดูแล้วซูบผอมอ่อนแรง ผมก็กลายเป็นสีขาวล้วน แต่หลังกลับยืดตรงเป็นอย่างมาก ทำให้คนต้องประเมินเขาสูงอย่างไม่มีเหตุผล 


 


 


           ความประทับใจที่ถาวจวินหลันมีต่อกู้อวี่จื๋อนั้นไม่เหมือนกับหลิ่วฮูหยิน แม้กระทั่งเคารพอยู่หลายส่วน แม้แต่หลี่เย่ แม้จะบอกว่าไม่ได้เห็นชัด แต่ก็เคารพกู้อวี่จื๋อมาก 


 


 


           ถาวจวินหลันถอนหายใจ ในใจนั้นเริ่มลังเล หรือว่าตนเองจะต้องถอยหลังมาก้าวหนึ่ง? แต่เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา นางก็เอ่ยปฏิเสธกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว อาจถอยได้ นางเคยถอยให้มาหลายครั้งแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป นางก็คงทำได้แค่ถอยหลังไปทีละก้าวแล้ว เพื่ออนาคตนางจะต้องเข้มแข็งกว่านี้ 


 


 


           เมื่อมั่นใจแล้วถาวจวินหลันก็ยืดหลังตรง ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการทำความเคารพกู้อวี่จื๋อ “ท่านลุง” 


 


 


           กู้อวี่จื๋อหันไปมองถาวจวินหลัน สายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าข้างที่บวมแดงของนางแล้วจึงพูดว่า “นี่คงจะเป็นชายารองถาวใช่หรือไม่? ดีมากจริงๆ” 


 


 


           กู้อวี่จื๋อชมถาวจวินหลันเช่นนี้ ทำให้ถาวจวินหลันแปลกใจเล็กน้อย แม้แต่หลิ่วฮูหยินก็มองสามีของตนเองอย่างแปลกใจปนมึนงงเล็กน้อย 


 


 


           หลี่เย่มองกู้อวี่จื๋อ ยิ้มน้อยๆ พลางพูดอย่างอบอุ่นว่า “ถาวซื่อสมกับคำชมของท่านลุงจริงๆ ถ้าไม่มีนาง จวนตวนชินอ๋องของข้าคงเละเทะไปนานแล้ว” 


 


 


           หลี่เย่ไม่ถ่อมตัว รีบรับคำชมทันทีเช่นนี้ ก็ให้กู้อวี่จื๋อไม่รู้จะพูดอะไรต่อ หัวเราะฮ่าๆ แล้วก็เปลี่ยนเรื่อง “ฮูหยินของข้าคงไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อนให้จวนอ๋องใช่หรือไม่?” 


 


 


           คำถามนี้ของกู้อวี่จื๋อน่าตกใจนัก ทำให้คนไม่อาจตอบได้โดยง่าย เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจ 


 


 


           ถาวจวินหลันมองไปทางหลี่เย่ อยากรู้ว่าหลี่เย่จะตอบคำถามของกู้อวี่จื๋ออย่างไร ตามความคิดของกู้อวี่จื๋อ หลี่เย่ควรจะพูดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


           แต่หลี่เย่กลับแย้มยิ้ม ถามกู้อวี่จื๋อกลับว่า “ท่านลุงคิดว่าอย่างไรเล่า? ข้าคิดว่าท่านลุงรีบร้อนมาที่นี่ก็น่าจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” 


 


 


           กู้อวี่จื๋อสะอึกไป รักษารอยยิ้มบนใบหน้านั้นไม่ได้อีกต่อไป สุดท้ายแล้วเขาก็เบนหน้าถลึงตามองหลิ่วฮูหยิน ยิ้มไปทางหลี่เย่อย่างจนปัญญา น้ำเสียงอ่อนลง “เจ้าเองก็รู้นิสัยของท่านป้าเจ้า หากนางทำอะไร เจ้าก็เห็นแก่หน้าข้าอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยเลย” 


 


 


           กู้อวี่จื๋อพูดเช่นนี้แล้ว หลี่เย่ย่อมต้องไว้หน้าเขาอยู่แล้ว 


 


 


           ถาวจวินหลันหลุบตาลง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงตัดสินใจชิงพูดขึ้นก่อน มิเช่นนั้น หากหลี่เย่ตอบตกลงรับคำกู้อวี่จื๋อ นางก็ไม่อาจเปิดปากพูดได้อีกต่อไป อีกทั้งต่อให้หลี่เย่ไม่ยินยอมรับคำ ก็เพียงแค่ลำบากใจทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ดังนั้นไม่สู้นางเปิดปากพูดออกไปก่อน 


 


 


           แต่ที่ทำให้นางแปลกใจก็คือหลี่เย่ตอบไปอย่างรวดเร็ว ไม่นิ่งลังเลเลยแม้แต่น้อย แย่งนางพูดออกไปก่อน “คำพูดของท่านลุงช่างน่าขันยิ่งนัก หากเป็นเรื่องทั่วไปก็ไม่เป็นอะไร ท่านป้าจะปฏิบัติกับข้าอย่างไรก็ได้ แต่นางทำเช่นนี้ข้าจะตอบรับคำขอของท่านได้อย่างไรเล่า? ชายารองของข้าคนนี้จะมีอะไรไม่ดี แต่ก็มีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ไม่มีทางยอมรับการดูถูกได้แม้แต่น้อย อีกทั้งลูกหญิงชายของข้าก็ไม่อาจยืนมองแม่ของตนถูกสบประมาทได้ อีกอย่างท่านป้าก็ให้คำสัญญาเอง ตอนนี้หากไม่ทำจริง ก็ดูจะไม่รักษาวาจาสัตย์” 


 


 


           คำพูดของหลี่เย่ไม่แข็งและไม่อ่อนเกินไป แต่กลับดังก้องทรงอำนาจ ไม่ถือว่าเป็นการตอกหน้ากู้อวี่จื๋อ แต่ก็ยืนหยัดปฏิเสธคำขอของกู้อวี่จื๋อ 


 


 


           ตราบจนผ่านไปครู่หนึ่งหลี่เย่ถึงพูดช้าๆ ว่า “วันนี้ท่านป้าพุ่งเข้ามาทำเรื่องวุ่นวาย ทำลายศักดิ์ศรีของข้า หลังจากนี้เป็นต้นไปขอให้ท่านป้าอย่าก้าวเท้ามาที่จวนนี้อีก” 

 

 

 


บทที่ 508 เคารพ

 

           สิ้นเสียง ก็ให้ทุกคนตื่นตะลึง แล้วมองไปทางหลี่เย่เป็นตาเดียว แต่ท่าทีของหลี่เย่ยังคงเรียบนิ่ง ดูเหมือนไม่ได้รู้เลยว่าตนเองพูดอะไรกันแน่ 


 


 


           สุดท้ายแล้วกู้อวี่จื๋อก็ตั้งสติได้ก่อน หัวเราะขมขื่นแล้วส่ายหน้า แต่ไม่ได้พูดตำหนิหลี่เย่ และยิ่งไม่เหลืออะไรให้พูดได้อีก เพียงแค่มองไปทางหลิ่วฮูหยิน “ฮูหยิน ในเมื่อเจ้าพูดว่าจะขอโทษชายารองถาว ตระกูลกู้ของข้านั้นพูดแล้วไม่คืนคำ เจ้าเองก็ทำเสียเถิด” 


 


 


           หลิ่วฮูหยินกะพริบตาด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ ความจริงแล้วนางเพิ่งจะได้สติจากคำพูดของหลี่เย่ หลี่เย่เป็นเช่นนั้น และกู้อวี่จื๋อก็ยังพูดตรงๆ แบบนี้อีก หลิ่วฮูหยินก็รับไม่ได้ 


 


 


           จากท่าทีจริงจังของกู้อวี่จื๋อ หลิ่วฮูหยินย่อมเข้าใจมากกว่าใคร ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเลือกอื่นเหลือแล้ว 


 


 


           สุดท้ายแล้วหลิ่วฮูหยินก็ทำได้แค่กล้ำกลืนความโมโห พึมพำขอโทษโดยไม่มองถาวจวินหลันแม้แต่น้อย “เป็นข้าที่ใส่ร้ายเจ้า ต้องขอโทษแล้ว” 


 


 


           ถ้าจะบอกว่าพูดขอโทษ ไม่สู้บอกว่าพูดพอเป็นพิธี 


 


 


           แต่ถาวจวินหลันรู้ดี ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว หากยังยืนหยันยึดมั่นต่อไป เกรงว่าคงจะทำร้ายหน้าตาของทุกคนเท่านั้น ดังนั้นแม้จะบอกว่าประนีประนอมให้ แต่ก็ถือว่าบรรลุจุดประสงค์ นางเองก็พึงพอใจแล้ว 


 


 


           แต่นางก็ยังแอบสงสัย “ไม่รู้ว่าท่านป้าไปฟังใครพูดมา บอกได้หรือไม่? แม้นวันนี้ท่านป้าจะตัดสินใจทำเช่นนี้ แต่คิดว่าคงไม่ใช่ความตั้งใจแรก น่าจะถูกใครยุยงมา ไม่สู้บอกชื่อคนผู้นั้น จะได้ระบายความโกรธนี้ออกมานะเจ้าคะ” 


 


 


           นางเชื่อว่าข่าวลือต้องมีมูล มิเช่นนั้นเรื่องราวผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมวันนี้หลิ่วฮูหยินถึงได้รื้อเรื่องเก่ากลับขึ้นมาใหม่? หากสืบหาหลักฐานอะไรพบ ก็คงจะไม่อะไร แต่เห็นได้ชัดว่าหลิ่วฮูหยินไม่มีหลักฐานอะไร ดังนั้นจึงเหลือความเป็นไปได้เดียวคือถูกคนยุยงมาเท่านั้น 


 


 


           นางอยากสืบสาวหาคนผู้นั้น มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าหลังจากยุยงหลิ่วฮูหยินได้แล้ว วันอื่นก็ไม่รู้ว่าจะไปยุยงใครอีก? นางไม่อาจตกอยู่ในสภาวะถูกกดได้อีกต่อไป และยิ่งไม่อาจไปอธิบายชี้แจงให้ละเอียดหลังจากเกิดเรื่องทีละครั้งได้ 


 


 


           หลิ่วฮูหยินนิ่งไป ท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า เชิดหน้ายืดคอพูดว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าก็เพียงสงสัยเท่านั้นเอง” 


 


 


           ในเมื่อหลิ่วฮูหยินพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจถามได้อีก ดังนั้นจึงทำได้แค่ยุติหัวข้อนี้ไป อีกทั้งดูจากท่าทีของหลิ่วฮูหยิน เกรงว่าต่อจากนี้ไปหลิ่วฮูหยินก็คงไม่มีทางบอกนางแน่นอน 


 


 


           หลิ่วฮูหยินเป็นเช่นนี้ กู้อวี่จื๋อก็หัวเราะขมขื่นอีกครั้ง รู้สึกว่าทิ้งคนนี้ไปไม่ได้ และไม่ยอมให้เกิดเรื่องอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงหันไปขอตัวกับหลี่เย่ “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปก่อน” 


 


 


           หลี่เย่ย่อมไม่รั้งเอาไว้ หัวเราะและพูดว่า “วันอื่นข้าจะไปดื่มชาพูดคุยกับท่านลุงตามลำพังขอรับ” 


 


 


           กู้อวี่จื๋อนิ่งไป รอยยิ้มขมขื่นชัดมากขึ้นกว่าเดิม  แต่ก็ต้องรับคำ เขาย่อมต้องเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน หลี่เย่พูดว่าตามลำพัง ถือเป็นการเตือนเขาว่าต่อจากนี้ไปไม่อยากเห็นหน้าหลิ่วซื่ออีก และในขณะเดียวกันก็บอกเขาว่าการกระทำทั้งหมดของหลิ่วซื่อในวันนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา หลี่เย่ยังคงยอมรับลุงคนนี้ 


 


 


           จบแบบนี้ถือว่าดีที่สุดแล้ว กู้อวี่จื๋อรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่อาจร้องขออะไรได้อีก ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรมาก ขอแค่หลี่เย่ไม่เบื่อหน่ายละทิ้งตระกูลกู้ก็ถือว่าดีแล้ว ส่วนหลิ่วซื่อนั้น อย่างไรก็เป็นนายหญิงของตระกูลกู้ คงไปทำอะไรไม่ได้ เพียงแค่เสียศักดิ์ศรีไปเท่านั้นเอง 


 


 


           หลี่เย่ยิ้มบางๆ “ถ้าเช่นนั้นข้าไม่ส่งท่านลุงแล้ว” 


 


 


           ถาวจวินหลันก็ค้อมตัวลง “ท่านลุง ท่าป้าเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ” ไม่ว่าจะไม่ชอบหลิ่วฮูหยินอย่างไร แต่ก็ต้องมีมารยาท เช่นนั้นต่อให้มีเหตุผล ก็จะกลายเป็นไม่มีเหตุผล 


 


 


           ที่ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจก็คือกู้อวี่จื๋อหยุดฝีเท้าลง ก้มหน้าน้อยๆ ให้นาง ทั้งยังพูดอย่างจริงใจ “ฮูหยินทำผิดต่อชายารองถาว ได้โปรดอภัยให้นางด้วย อย่าได้เก็บไปใส่ใจ บ้านตระกูลกู้ของพวกเราทำผิดต่อท่านแล้ว” 


 


 


           ถาวจวินหลันตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ทำความเคารพกลับไป “ท่านลุงพูดเช่นนี้ ตัวข้าเองก็โล่งใจแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


           ขณะเดียวกัน นางก็เริ่มเลื่อมใสกู้อวี่จื๋อ นางเข้าใจแล้ว่า ทำไมหลี่เย่ถึงได้เคารพเลื่อมใสกู้อวี่จื๋อเสมอมา แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล เพียงการรู้จักปล่อยวางเมื่อจำเป็น ก็น่าเคารพมากแล้ว น่าเสียดายที่มีภรรยาเช่นหลิ่วฮูหยิน มีแต่ดึงให้กู้อวี่จื๋อตกต่ำลงเท่านั้น 


 


 


           เกรงว่าสาเหตุที่หลายปีมานี้ตระกูลกู้เงียบเหงา นอกจากเหลือเพียงแค่ชื่อไม่มีอำนาจอะไรแล้ว ก็ยังเป็นเพราะหลิ่วฮูหยินด้วย นิสัยท่าทีเช่นนี้ไม่รู้ว่าทำผิดกับคนมากมายเพียงใดแล้ว? 


 


 


           หลิ่วฮูหยินไม่ได้เข้าใจกฎของหญิงสูงส่งจริงๆ คำว่า ‘สูงส่ง’ ไม่ได้มีความหมายแค่สูงส่งล้ำค่าเท่านั้น แต่ยังมีความหมายว่าคุณสมบัติสูงส่ง ไม่ให้คนไม่ดูถูกดูหมิ่นได้  


 


 


           หลิ่วฮูหยินคิดว่าตัวเองนั้นสูงส่ง จึงได้หยิ่งทะนง และยิ่งคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าคนอื่นขั้นหนึ่ง แต่กลับผิดมหันต์ 


 


 


           พอส่งคู่สามีภรรยากู้อวี่จื๋อไปแล้ว หลี่เย่ก็พาองค์ชายเจ็ดออกไป ถาวจวินหลันกลับมองไปที่เจียงอวี้เหลียน ยิ้มบางๆ ทว่าท่าทีกลับเย็นชา “ชายารองเจียง วันนี้เจ้ามาได้เวลาเหมาะเจาะนัก” 


 


 


           ท่าทีของเจียงอวี้เหลียนไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับก้าวเท้าออกไปข้างนอก “เพียงบังเอิญผ่านมาเท่านั้นเอง” 


 


 


           “ข้าไม่เห็นรู้ว่าชายารองเจียงรู้จักพูดดีขนาดนี้” ถาวจวินหลันพูดต่อ แล้วขวางทางเดินของเจียงอวี้เหลียนเอาไว้ พลางพูดแฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย “ชายารองเจียงดูว่างเกินไปเสียแล้ว” 


 


 


           “เจ้าต้องการอะไรกันแน่?” เจียงอวี้เหลียนขมวดคิ้วตะโกนถาม น้ำเสียงทรงอำนาจยิ่ง 


 


 


           “หากชายารองเจียงว่างมากนัก ไม่สู้ไปคิดให้ดีว่าจะสอนเซิ่นเอ๋อร์อย่างไรดีกว่า อีกอย่างควรหยิบหนังสือมาอ่านได้แล้ว อะไรเรียกว่าร่วมมือสู้กับคนข้างนอก ไม่ใช่หาเรื่องจากในบ้าน! หากต่อจากนี้ไปเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ข้าคิดว่าท่านอ๋องคงจะไม่พอใจเป็นแน่ เซิ่นเอ๋อร์ก็คงจะเรียนความคารมคมคาย และมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นมาจากชายารองเจียง มิสู้ให้คนอื่นเลี้ยงเขาจะดีกว่า” ถาวจวินหลันพูดเนิบช้า น้ำเสียงไม่ได้สูงนัก แต่กลับแฝงความทรงอำนาจและน่าเกรงขาม 


 


 


           ใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนเคร่งขรึมลงทันที ถามด้วยความโมโหว่า “เจ้ากล้าใช้เซิ่นเอ๋อร์มาข่มขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?!” 


 


 


           ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างมีเมตตา “ใช้ ข้ากล้า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ลองดู ว่าสุดท้ายแล้วข้าเพียงแค่ขมขู่เจ้าหรือไม่” 


 


 


           เจียงอวี้เหลียนโกรธจนตัวสั่น ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “เจ้าบังอาจ! เจ้าเป็นเพียงชายารองเท่านั้น จะมีอำนาจเช่นนี้ได้อย่างไร! เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายของข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำตัวสูงส่งชี้นิ้วสั่งการได้!” 


 


 


           ท่าทีของถาวจวินหลันไม่เปลี่ยนแปลง มองไปในดวงตาของเจียงอวี้เหลียนนิ่ง พูดช้าๆ ชัดเจน และไม่ขลาดกลัวว่า “เจ้าก็ลองดูว่าข้ามีสิทธิ์นั้นหรือไม่! เจ้าเป็นมารดาของเขาไม่ผิด แต่เด็กที่ไม่ได้เลี้ยงดูข้างกายมารดาแท้ๆ ก็มีเยอะแยะไป!” 


 


 


           คนดีมักถูกรังแก ม้าดีมักถูกควบขี่ คำเตือนและสิ่งตอบแทนที่นางเคยให้กับเจียงอวี้เหลียนก่อนหน้านี้เบาเกินไป ถึงทำให้โรคเก่าเจียงอวี้เหลียนกำเริบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นครั้งนี้นางจึงไม่ทำเช่นนี้อีก เปลี่ยนวิธีถึงทำให้เจียงอวี้เหลียนจดจำครั้งนี้อย่างแม่นยำ และยังตักเตือนเจียงอวี้เหลียนได้ว่าอย่าทำผิดอีก! 


 


 


           บางทีอาจด้วยนางเป็นคนที่พูดง่าย และใจอ่อนหลายส่วน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางเป็นลูกพลับอ่อน! 


 


 


           เมื่อเห็นเจียงอวี้เหลียนถลึงตามอง ถาวจวินหลันก็เดินออกไปอย่างเชื่องช้า ไม่สนใจเจียงอวี้เหลียนที่โกรธนางจนกัดฟันแน่น และเหมือนจะกลืนกินนางเข้าไป 


 


 


           แม้จะบอกว่าเจียงอวี้เหลียนไม่เคยทำเรื่องอันตรายมาก่อน แต่ถึงแมลงไม่ได้ทำให้คนตาย แต่ก็ทำให้คนรังเกียจ เจียงอวี้เหลียนเป็นคนเช่นนั้น แม้จะบอกว่าไม่ได้คุกคาม แต่ก็น่าโมโหหงุดหงิด 


 


 


           ก่อนหน้านี้ไม่เคยเก็บมาคิด แต่วันนี้เจียงอวี้เหลียนล้ำเส้นนางมาแล้ว นางย่อมไม่อาจทนได้อีกต่อไป และไม่ให้โอกาสเจียงอวี้เหลียนทำตามใจชอบได้อีก 


 


 


           ส่วนเซิ่นเอ๋อร์นั้น แน่นอนว่านางไม่ได้ล้อเล่น ถ้าเทียบกับให้เจียงอวี้เหลียนเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ นางกลับยินยอมให้คนอื่นเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์มากกว่า ลูกที่เจียงอวี้เหลียนเลี้ยงเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร แต่ถ้าให้คนอื่นเลี้ยงดู อย่างน้อยนางก็รับประกันได้ ว่าเด็กจะไม่ถูกใส่ความคิดแย่งชิงชื่อเสียงผลประโยชน์และโหดเ**้ยมเจ้าแผนการ 


 


 


          แน่นอนว่านางเองก็เป็นแม่คน นางย่อมรู้ถึงความเจ็บปวดนั้นได้ชัดเจน ดังนั้นนางถึงได้ทนไม่ได้ แต่หากเจียงอวี้เหลียนกล้าหาเรื่องนางอีกครั้ง นางก็ไม่เกรงใจหากต้องกลายเป็นคนใจร้ายสักครั้ง 


 


 


           แต่นางคิดว่าเจียงอวี้เหลียนไม่น่าจะออกมาทำเรื่องอะไรอีก เพราะนางรู้ดีว่าเซิ่นเอ๋อร์สำคัญกับเจียงอวี้เหลียน เซิ่นเอ๋อร์เป็นจุดอ่อนของเจียงอวี้เหลียน นางแทงดาบหนึ่งลงบนจุดอ่อนของเจียงอวี้เหลียนเช่นนี้ เจียงอวี้เหลียนจะไม่ได้รับบทเรียนได้อย่างไร? 


 


 


           จัดการกับเจียงอวี้เหลียนแล้ว ถาวจวินหลันก็ผ่อนคลายไปเล็กน้อย อีกทั้งกลับห้องแล้วไม่มีคนอื่นอยู่ หลังที่ยืดตรงของนางก็ผ่อนคลายลง แม้ว่ายืดหลังตรงจะทรงอำนาจและง่างาม แต่ก็เมื่อยมาก 


 


 


           พอได้ผ่อนคลายเช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดูดเรี่ยวแรงทั้งร่างไป รู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งกาย 


 


 


           นางเอนตัวลงบนเตียง แล้วส่งเสียงเรียกชุนฮุ่ยอย่างอ่อนแรง “ไปเอาน้ำมาถาดหนึ่งเช็ดหน้าเช็ดตาให้ข้า จากนั้นก็ใส่ยาเสียหน่อย ค่อยเรียกให้ปี้เจียวกับหงหลัวเข้ามา” 


 


 


           เพียงไม่นาน ชุนฮุ่ยก็ยกถาดน้ำมาเช็ดหน้าให้ถาวจวินหลัน จากนั้นปี้เจียวกับหงหลัวก็เข้ามา 


 


 


           ด้วยปี้เจียวฝีมือดี ถาวจวินหลันจึงให้ปี้เจียวแกะผม และนวดศีรษะกดจุดให้ตนเอง เพราะตอนนี้นางเริ่มรู้สึกปวดหัวแล้ว 


 


 


           พอผ่อนคลายไปหลายส่วน ถาวจวินหลันถึงได้สั่งหงหลัวว่า “ไป ให้คนส่งจดหมายให้จิ้งผิง ให้เขาช่วยข้าสืบหน่อยว่าวันนี้มีใครไปที่จวนอันหย่วนโหวบ้าง และอันหย่วนโหวฮูหยินได้พบหน้าใครบ้าง หากสืบไม่ได้ ก็ให้เขาสังเกตว่าต่อจากนี้อันหย่วนโหวฮูหยินจะเรียกพบใครก็ยังดี” 


 


 


           วันนี้นางจงใจถามว่าใครเป็นคนยุยง นางไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คำตอบ แต่นางอยากให้หลิ่วฮูหยินคิดถึงเรื่องนี้ เมื่อคิดได้จะได้ไปหาตัวการยุแยงเพื่อเรียกคิดบัญชี แล้วนางก็จะได้ใช้โอกาสนี้ดูว่าแท้จริงแล้วเป็นใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ 


 


 


           แม้ว่าถาวจวินหลันจะไม่ใช่คนที่กลับกลอกไปมา แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมารังแกได้ตามใจชอบ! กล้ามาลงมือบนหัวนาง ก็ต้องเตรียมถูกแก้แค้นไว้ถึงจะถูก! 


 


 


           ดวงตาของหงหลัวเป็นประกาย รับคำเสียงต่ำ จากนั้นก็พูดว่า “วันนี้เจ้านายสามท่านที่ออกไปข้างนอก นอกจากท่าทีของชายารองเจียงที่นับว่าดีแล้ว อีกสองคนกลับรับไม่ไหวเจ้าค่ะ ควรต้องเชิญหมอมาเปิดยาแก้ตระหนกให้สักสองชั่งหรือไม่เจ้าคะ?” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม