แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 497-510

ตอนที่ 497 ความสามารถอันโดดเด่น

 

เสี่ยวเชี่ยนลากเจี่ยซิ่วฟางกลับบ้าน แต่เจี่ยซิ่วฟางหันไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผู้หญิงวัยกลางคนๆนั้นคุกเข่านั่งที่พื้นไม่ยอมลุกขึ้น เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย


 


 


“พี่ชายฉันเป็นโรคประสาท ก็ได้มาจากพ่อที่เป็นโรคประสาทเหมือนกัน ตอนที่เขาเอามีดฟันคนอาการเขากำเริบนะคะ ใต้เท้าต้องช่วยฉันนะคะ อย่าตัดสินพี่ชายฉันหลิวฉางฝูว่ามีความผิดเลยนะคะ ครอบครัวฉันมีทั้งคนแก่ลูกเด็กเล็กแดงต้องดูแล มีเขาคนเดียวที่หาเงินเลี้ยงดู ใต้~เท้า~เปา~โปรด~เมต~ตา~”


 


 


ประโยคสุดท้ายลากเสียงยาวเว่อร์ ตะโกนอย่างกับร้องโอเปร่า


 


 


เจี่ยซิ่วฟางเคยเห็นอะไรแบบนี้ที่ไหน เสี่ยวเชี่ยนลากไปถึงประตูบ้านแล้ว แต่เธอยังหันไปดูไม่หยุด อาการชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านโดยไม่สนอะไรทั้งนั้นกำเริบอีกแล้ว


 


 


“คุณผู้หญิงครับ ช่วยสงบสติอารมณ์ด้วย คดีของหลิวฉางฝูยังอยู่ในช่วงการสืบสวน ผลการวินิจฉัยยังไม่ออก พรุ่งนี้คุณไปคุยกับพวกเราที่หน่วยงานได้ไหมครับ?”


 


 


เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเลี่ยวฟู่กุ้ยไม่ช่วยอะไร


 


 


ผู้หญิงคนนั้นพอเห็นเขายังไม่ใจอ่อนก็มองไปรอบๆแล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เจี่ยซิ่วฟางกับเสี่ยวเชี่ยน ทันใดนั้นก็คลานเข่าเข้าไปกอดขาเจี่ยซิ่วฟาง


 


 


“ท่านแม่ใต้เท้าเปา ให้ความยุติธรรมด้วย พี่ชายฉันต้องทำงานเลี้ยงดูครอบครัว ถ้าเขาต้องติดคุกแล้วครอบครัวจะอยู่ยังไง ช่วยพูดอะไรหน่อยสิคะ ฉันขอร้อง”


 


 


“เอ่อ คือว่า ฉัน…” เจี่ยซิ่วฟางยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกเสี่ยวเชี่ยนปิดปาก เรื่องแบบนี้พูดส่งเดชไม่ได้ เดี๋ยวซวย


 


 


เสี่ยวเชี่ยนลากเจี่ยซิ่วฟาง ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าไม่ได้รับความสงสารจึงพุ่งเป้าไปหาเสี่ยวเชี่ยนแทน


 


 


เธอกอดขาเจี่ยซิ่วฟางไว้ไม่ให้เดินหนี แต่หน้ากลับหันไปขอร้องเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“เมียท่านใต้เท้าเปา ช่วยให้ความยุติธรรมกับฉันด้วย”


 


 


“ฉันไม่ใช่เมียเขา” เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างเย็นชา ผู้หญิงคนนี้พูดจาส่งเดช เอาเจี่ยซิ่วฟางเป็นแม่เลี่ยวฟู่กุ้ย เอาตัวเธอเป็นเมียเลี่ยวฟู่กุ้ย…ถุย น่ากลัวเหลือเกิน เสี่ยวเชี่ยนจินตนาการไม่ออกเลยทีเดียวว่าผู้หญิงแบบไหนจะรับผู้ชายที่มีนิสัยชอบพูดจาภาษาหนังสือที่คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องแบบนายฟู่กุ้ยได้


 


 


“พวกเขาสองคนไม่ใช่คนในครอบครัวของผม เชิญคุณกลับไปเถอะครับ เรื่องหลิวฉางฝูพวกเราจะตัดสินอย่างมีเหตุผลตามผลที่ออกมาครับ”


 


 


หลิวฉางฝูพี่ชายที่ผู้หญิงคนนี้พูดถึง เลี่ยวฟู่กุ้ยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆได้วินิจฉัยแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นโรคประสาท ถึงแม้คนครอบครัวเขาจะมีคนที่เป็นโรคประสาท แต่ตอนที่เขาเอามีดฟันคนที่มีปากเสียงด้วย พฤติกรรมของเขาเกิดจากการบันดาลโทสะของเขาเอง


 


 


พอได้ยินว่าตัดสินอย่างมีเหตุผลผู้หญิงคนนี้ก็เข้าใจว่าคงเล่นละครต่อไปไม่ได้แล้ว ทันใดนั้นก็ควักมีดออกมาแล้วจี้คอเจี่ยซิ่วฟาง เจี่ยซิ่วฟางถึงกับร้องกรี๊ด


 


 


“พวกแกคิดจะบีบให้คนจนอย่างพวกเราจนมุม ใช่ไหม ครอบครัวเรามีพี่ชายหาเลี้ยงอยู่แค่คนเดียว ถ้าเขาติดคุก แม่ฉันที่เป็นอัมพาตใครจะมาดูแล”


 


 


เจี่ยซิ่วฟางนึกไม่ถึงว่าเป็นจีนมุงเฉยๆก็จะมาซวยไปด้วย เธอรู้สึกได้ถึงความแหลมคมจากปลายมีด ผู้หญิงคนนั้นหายใจพร้อมกลิ่นกระเทียมรดใส่หน้าเธอ เจี่ยซิ่วฟางตกใจจนตัวสั่น


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นเรื่องบานปลายมาถึงแม่เธอใบหน้าก็บึ้งตึงทันที เธอก้าวไปข้างหน้าหมายจะแย่งมีดจากผู้หญิงคนนั้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสั่นเครือของผู้หญิงคนนั้นขู่กลับ


 


 


“อย่าเข้ามานะ ใครเข้ามาฉันจะฆ่าเขาซะ”


 


 


“คุณผู้หญิงใจเย็นๆก่อนครับ มีอะไรก็ค่อยๆคุยกัน” เลี่ยวฟู่กุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงเครียด เขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะอารมณ์รุนแรงแบบนี้


 


 


“ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เว้นเสียแต่จะรับปากฉันเขียนจดหมายรับรองว่าพี่ชายฉันเป็นโรคประสาท ไม่ให้ศาลตัดสินเขา”


 


 


จะว่าไปมาถึงขนาดนี้แล้ว เสี่ยวเชี่ยนคิดอยู่ว่า ถ้าเลี่ยวฟู่กุ้ยทำตามที่ผู้หญิงคนนี้ขอ จากนั้นแม่เธอก็จะถูกปล่อยตัว เพราะหนังสือรับรองอะไรเนี่ยใช่ว่าเขียนแล้วจะได้ผล งานวินิจฉัยเป็นอะไรที่ซับซ้อน ถ้าไม่มีคนเซ็นรับรองพร้อมกันหลายคนก็ไม่เป็นผล ทำหลอกๆผู้หญิงคนนี้ไปก็ได้แล้ว


 


 


“ตอนนี้ผมเขียนให้คุณไปก็ใช้ไม่ได้ คุณปล่อยคนซะ คุณทำแบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์”


 


 


คำพูดของเลี่ยวฟู่กุ้ยทำให้เสี่ยวเชี่ยนด่าในใจจัดหนักไปหนึ่งชุด อะไรของXวะแม่งนี่แหละพวกเรียนจนโง่ ไม่รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์เลยหรือไง?


 


 


“เขาเขียนให้คุณได้ คุณใจเย็นๆก่อนนะคะ มีปัญหาอะไรพวกเราจะจัดการให้คุณ ช่วยปล่อยแม่ฉันก่อนนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนตัดบนเลี่ยวฟู่กุ้ยสมองหมู


 


 


“แต่เขาบอกว่าใช้ไม่ได้” เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้เริ่มสติแตกแล้ว


 


 


เหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน เที่ยวไล่ขอร้องคนไปทั่ว แต่สิ่งที่ได้มาคือความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า สติเธอจึงกระเจิดกระเจิง ถึงได้ทำรุนแรงแบบนี้ นี่คือปฏิกิริยาของคนที่รับเรื่องหนักๆไม่ได้


 


 


“คำพูดเขาไม่มีน้ำหนักหรอก ฉันคือจิตแพทย์เฉินเสี่ยวเชี่ยน คำพูดฉันเชื่อได้มากกว่าเขา”


 


 


“จริงเหรอ?”


 


 


“จริงสิคะ ถ้าไม่เชื่อฉันจะให้เขาเขียน” เสี่ยวเชี่ยนถลึงตาใส่เลี่ยวฟู่กุ้ย เห็นเขายังยื่นเซ่ออยู่เฉยๆเธอจึงหยิบรองเท้าบนชั้นปาไป “รีบไปเขียนสิมองอะไรอยู่เล่า”


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยตกใจกับท่าทีของเสี่ยวเชี่ยนที่อยู่ๆก็กลายร่างเป็นผู้หญิงโมโหร้าย เขารับรองเท้าที่ปามาถูกแว่น ไม่กล้ารอช้ารีบหากระดาษกับปากกามาเขียน


 


 


“ตอนนี้คุณจะปล่อยแม่ฉันได้หรือยังคะ?”


 


 


“ไม่ได้…รอเขาเขียนเสร็จ ปั๊มนิ้ว แล้วฉันถึงจะปล่อย” ถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้องเขียนอะไรบ้าง แต่ผู้หญิงคนนี้คิดว่าถ้าปั๊มนิ้วก็คงเป็นอันใช้ได้


 


 


“คุณยืนอยู่น่าจะลำบาก พวกเราไปนั่งที่โซฟาดีไหมคะ? ฉันเห็นขอบตาคุณดำๆด้วย เหนื่อยใช่ไหมล่ะคะ? เพื่อเรื่องพี่ชาย คุณคงกลุ้มใจมาก ถ้าคุณไม่วางใจงั้นก็จี้ผู้หญิงอ้วนคนนี้ต่อไปแล้วกันค่ะ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพยายามทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลง เจี่ยซิ่วฟางเดิมทีกลัวมาก ตัวสั่นไปหมด แต่พอได้ยินเสี่ยวเชี่ยนพูดว่าผู้หญิงอ้วนทันใดนั้นก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเท่าไรแล้ว


 


 


เธอมองเสี่ยวเชี่ยน อยากจะให้ลูกหนีไป อย่ามาอยู่ในที่อันตรายแบบนี้ แต่กลับเห็นเสี่ยวเชี่ยนส่งสายตาปลอบโยนกลับมา ไม่รู้ทำไม เจี่ยซิ่วฟางพอเห็นสายตาลูกสาวที่เต็มไปด้วยความมั่นใจแบบนั้นความกลัวก็หายไปมาก


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยหยิบกระดาษกับปากกามานั่งเขียนที่โต๊ะรับแขกอย่างรวดเร็ว เขียนอะไรไปบ้างตัวเขาเองก็ไม่รู้ สมองของเขาคิดแต่เรื่องที่เจี่ยซิ่วฟางถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ กลัวว่าเพื่อนบ้านอัธยาศัยดีคนนี้จะเป็นอะไรไปเพราะเขา


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากผู้หญิงคนนั้นไปไม่ไกล เธอพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


 


 


“คุณลำบากไปมากเพื่อพี่ชาย สมัยนี้ไม่ค่อยได้เห็นน้องสาวที่เป็นห่วงพี่ชายแบบนี้เท่าไรแล้ว พี่ชายคุณอายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว ทำไมเขาเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้พี่สะใภ้คุณไม่เห็นออกหน้าเลยล่ะคะ?”


 


 


“อย่าไปพูดถึงผู้หญิงคนนั้น มันรังเกียจที่บ้านเราจน หนีไปอยู่กับพวกคนรวยแล้ว พี่ฉันสะเทือนใจเพราะผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละเลยอารมณ์ไม่ดีมาตลอด วันนั้นเขาดื่มเหล้าเข้าไป คนๆนั้นหัวเราะเยาะเขา เขาโมโหก็เลยเอามีดไปทำเรื่องขาดสติแบบนั้น พ่อฉันเป็นโรคประสาท พอเขาตายพี่ก็เป็นความหวังของบ้าน ตอนนี้เขามาเป็นแบบนี้แล้วจะให้ฉันทำยังไง”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดชี้นำให้อีกฝ่ายได้ปลดปล่อยอารมณ์ สายตาเธอจ้องไปยังมีดที่จี้อยู่ที่คอแม่ตัวเอง แต่น้ำเสียงเธอยังคงนุ่มนวลทำให้อีกฝ่ายไม่ระแวง เธอต้องการใช้ความสามารถในหน้าที่การงานของเธอมาแก้วิกฤตให้แม่ 

 

 


ตอนที่ 498 น่านับถือเธอจริงๆ

 

กับผู้หญิงที่อับจนหนทางควบคุมสติไม่ได้ไม่ต้องพูดเรื่องเหตุผลอะไรทั้งนั้น ไม่เข้าหูหรอก


 


 


ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนใช้วิธีพูดคุยด้วยความรู้สึกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเข้าใจอีกฝ่าย ช่วยปลดปล่อยความเครียดในตัวผู้หญิงคนนั้น


 


 


คนที่เดินจนสุดทาง สิ่งที่อยากได้ยินก็คือคำพูดที่แสดงความเข้าใจความรู้สึก เวลานี้เธอว่ายังไงก็ว่าตามกัน


 


 


“เรื่องของครอบครัวคุณโชคร้ายจริงๆค่ะ แต่คนที่ฉันเห็นใจมากที่สุดก็คือคุณ คิดดูสิคะคุณเป็นผู้หญิงคนเดียวต้องมาดูแลครอบครัวไม่ง่ายเลยนะคะ ที่บ้านมีเด็กหรือเปล่าคะ ทิ้งเด็กเอาไว้แล้วมาวุ่นเรื่องพี่ชาย ลำบากแย่”


 


 


“ใช่ไหมล่ะ สองปีก่อนสามีฉันตาย ทางบ้านแม่ผัวก็ไล่ฉันออกจากบ้าน ฉันเลยต้องกลับบ้านแม่ ยังดีที่พี่ชายไม่รังเกียจฉัน ให้ข้าวฉันกิน ตอนนี้พี่มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจะให้ฉันอยู่นิ่งๆได้ยังไง? น้องสาว พี่ฉันไม่ใช่คนเลวนะ เขาไม่ใช่…”


 


 


ผู้หญิงคนนั้นน้ำตาไหล มือที่ถือมีดอยู่ไร้เรี่ยวแรงแล้ว


 


 


“เฮ้อ โชคชะตาบีบบังคับ คนที่พี่ชายคุณแทงเป็นยังไงบ้างคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม


 


 


“ไม่ถูกหัวใจ แต่พวกเขาไม่ยอมจะให้พวกเราชดใช้ให้ได้ บ้านเรามีเงินที่ไหนกัน แม่ก็เป็นอัมพาตมาหลายปี พวกเราสองพี่น้องกลางวันทำงาน ตอนเย็นก็ดูแลแม่ มีเงินก็เอาไปรักษาแม่หมด…พวกเขาจะฟ้องเราให้ได้”


 


 


คนผิดก็ยังมีมุมที่น่าสงสาร เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจแล้ว คนๆนี้ที่อยากมาขอให้เลี่ยวฟู่กุ้ยช่วยไม่ใช่คนที่มีเงินมีอำนาจอะไร แต่เป็นชาวบ้านตาดำๆ


 


 


เจี่ยซิ่วฟางที่กำลังกลัวๆ พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้ก็เศร้าตามไปด้วย ร้องไห้กระซิกๆ


 


 


“น้องสาว พี่เข้าใจ บ้านพี่ก็มีแม่ที่เป็นอัมพาตเหมือนกัน พี่รู้ว่าดูแลคนป่วยมันไม่ง่ายเลย”


 


 


“รู้ด้วยเหรอ?”


 


 


“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ? แม่พี่เป็นอัมพาตมาตั้งหลายปี พี่กับพี่คนรองนี่แหละที่ผลัดกันดูแล แต่พี่รองสู้พี่ชายน้องไม่ได้เลยนะ เขาไม่กตัญญู ได้พี่นี่แหละดูแล คนป่วยจะฉี่รดไม่รู้ตัว ดูแลคนเป็นอัมพาตต้องคอยพลิกตัวให้บ่อยๆไม่อย่างนั้นจะเป็นแผลกดทับ ฟังดูเหมือนง่ายนะ แต่พอทำจริงๆเหนื่อยมาก…”


 


 


ผู้หญิงคนนั้นเห็นด้วยกับคำพูดของเจี่ยซิ่วฟาง ต้องปรนนิบัติคนป่วยเหมือนกัน รู้ถึงความลำบากในเรื่องนี้


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรีบพูดแทรกในเวลาที่เหมาะสม “ดังนั้นคุณน้าคะ ใจเย็นๆนะคะ มีอะไรพวกเราค่อยๆคุยกัน มีปัญหาพวกเราช่วยได้ คนจนอย่างพวกเราใช้ชีวิตไม่ง่าย ว่าไหมคะ?”


 


 


เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นหวั่นไหวแล้ว มือที่ถือมีดค่อยๆผ่อนแรงลง สายตามองไปที่เลี่ยวฟู่กุ้ย จากนั้นน้ำตาก็ไหลไม่หยุด


 


 


“เป็นครั้งแรกที่ฉันทำเรื่องแบบนี้ ฉันหมดหนทางแล้วจริงๆ…”


 


 


“หนทางก็เกิดจากมนุษย์คิดไม่ใช่เหรอคะ มาค่ะ ลองพูดมาสิคะเดี๋ยวฉันช่วย ฉันเป็นจิตแพทย์ ฉันพอมีคนรู้จักมีความสามารถพอที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยได้ ไม่ต้องเครียดค่ะ ไม่เป็นไรนะคะ ทำใจสบายๆ…”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเริ่มลองใช้วิธีชักจูงความคิดอีกฝ่าย


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยเข้าใจวัตถุประสงค์ของเสี่ยวเชี่ยนแล้ว จึงช่วยพูดเสริม “อุปสรรคหนึ่งด้านความช่วยเหลือมาทั่วทุกสารทิศ มีปัญหาอะไรก็พูดมาได้เลยครับ”


 


 


“ช่วยครอบครัวฉันด้วย ฉันขอร้องล่ะ” ผู้หญิงคนนั้นวางมีดลงแล้วลงไปคุกเข่าอีกครั้ง ใบหน้าร้องไห้ด้วยความทุกข์ระทม


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรีบดึงแม่มาไว้ข้างหลัง ให้เจี่ยซิ่วฟางอยู่ห่างๆไว้ เธอเข้าไปกอดผู้หญิงคนนั้นแล้วลูบหลังปลอบใจ


 


 


“เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะคะเชื่อฉัน ทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ต้องกลัวค่ะ”


 


 


“ฉันจะทำไงดี…” ผู้หญิงคนนั้นยังคงร้องไห้แบบหมดหนทาง เสี่ยวเชี่ยนส่งสัญญาณมือเรียกแม่ “แม่ กลับไปต้มซุปอะไรสักอย่าง หนูว่าน้าคนนี้คงไม่ได้กินอะไรนานแล้ว”


 


 


“แล้วแก…” เจี่ยซิ่วฟางไม่วางใจ ถึงผู้หญิงคนนี้จะน่าสงสาร แต่เมื่อกี้เอามีดชี้หน้าลูกสาวเธอด้วยนะ


 


 


“หนูไม่เป็นไร เชื่อฝีมือหนูเถอะ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดกับแม่เสร็จก็เตะมีดที่อยู่บนพื้นไปติดในซอกโซฟา ไม่เห็นอาวุธมีคม ก็จะช่วยให้ผู้หญิงคนนี้จิตใจสงบลง


 


 


“ฉันคือจิตแพทย์เฉินเสี่ยวเชี่ยน คุณจะยอมเล่าความกลุ้มใจให้ฉันฟังไหมคะ?”


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยมองเสี่ยวเชี่ยนที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างชื่นชม เธอกำลังเยียวยาจิตใจให้ผู้หญิงคนนั้น ความสามารถของเด็กคนนี้น่าชื่นชมมาก ตั้งแต่แก้สถานการณ์จี้ตัวประกัน จนถึงตอนนี้ที่ให้คำปรึกษา ไม่มีอะไรที่ดูทำเกินเลย


 


 


อีกอย่างเลี่ยวฟู่กุ้ยมองออกแล้วว่า สิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนทำอยู่ตอนนี้ศัพท์ทางจิตวิทยาเรียกว่าการบำบัดความคิด ใช้วิธีปรับเปลี่ยนความคิดเดิมของผู้เข้ารับการรักษา ช่วยเปลี่ยนสภาพจิตใจที่โศกเศร้าคิดมากในเวลานี้ให้ดีขึ้น


 


 


การบำบัดความคิดเป็นวิธีรักษาที่เจอได้บ่อยในการรักษาด้านจิตเวช เหมาะกับโรคที่แสดงอาการชัดเจนหลายๆแบบ เช่น โรคเบื่ออาหารที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท โรคติดแอลกอฮอล์ โรคหวาดกลัวการเข้าสังคม หรือแม้แต่โรคความผิดปกติทางเพศ


 


 


วิธีการพูดคุยแบบมืออาชีพนี้สามารถปรับเปลี่ยนความรู้สึกแง่ลบของผู้ป่วยได้ สาขาที่เลี่ยวฟู่กุ้ยศึกษาคือนิติจิตวิทยา จะเน้นไปในการถามเชิงกฎหมายมากกว่า เขามีความสามารถในการวินิจฉัยโรคประสาทและโรคจิตเวชได้ดี แต่เมื่อเทียบกับประสบการณ์แพทย์คลินิกแล้ว ยังอ่อนกว่าเสี่ยวเชี่ยนมาก


 


 


ดังนั้นตอนที่เขาเห็นเสี่ยวเชี่ยนบำบัดความคิดให้ผู้หญิงคนนี้อย่างชำนาญ ขณะเดียวกันผู้หญิงคนนี้ก็ดูผ่อนคลาย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมเสี่ยวเชี่ยน เขาแทรกการสนทนาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาเห็นเสี่ยวเชี่ยนพูดจนผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ออกมายกใหญ่ ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาทั้งหมด เธอเริ่มจากแสดงความเห็นใจ พอได้รับความไว้วางใจแล้วก็ค่อยๆเริ่มการรักษา สุดยอดเลยจริงๆ


 


 


การรักษาของเสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาไปไม่ถึงสองชั่วโมง หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นได้ร้องไห้ออกมาสภาพอารมณ์ก็แตกต่างจากตอนที่เพิ่งมาถึง


 


 


“ขอบคุณนะคะหมอเฉิน ฉันไม่ได้รู้สึกแย่เท่าไรแล้ว เมื่อกี้ฉันสร้างความเดือดร้อนให้พวกคุณ ไม่งั้นพวกคุณแจ้งตำรวจให้มาจับฉันก็ได้นะคะ ฉันยอมไปขึ้นโรงพัก”


 


 


“เรื่องแค่นี้เองไม่ต้องรบกวนคุณตำรวจหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันให้เบอร์โทรของฉันไปนะคะ ต่อไปถ้าคุณน้ารู้สึกแย่ก็โทรหาฉันได้ ไว้พวกเรานัดมาคุยกัน คุณน้าคะ ไม่มีอุปสรรคที่ผ่านไปไม่ได้ ไม่ต้องคิดมากนะคะ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเขียนเบอร์โทรลงบนกระดาษแล้วยื่นให้ ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกขอบคุณจากใจจริง โค้งให้เสี่ยวเชี่ยนไม่หยุด แล้วก็จากไป


 


 


“ขอถามหมอเฉินเป็นศิษย์อาจารย์ท่านใด วิชาสูงส่งนัก ไม่ทราบว่าทิ้งเบอร์ติดต่อให้ผมได้หรือไม่ วันหน้าเผื่องานของผมเจอปัญหาคล้ายๆกันนี้จะได้ขอคำชี้แนะ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองเลี่ยวฟู่กุ้ยแล้วพูดนิ่งๆ “อย่าเลย พวกเราเดินกันคนละเส้นทาง ฉันเป็นผู้หญิงที่เห็นเงินเป็นใหญ่ ในอนาคตฉันจะทำให้ราคาค่ารักษาของตลาดจิตแพทย์ปั่นป่วนแน่นอน ฉันยังเป็นพวกชอบรังแกคนในแวดวงเดียวกัน ทำตัวไร้เหตุผล ดีชั่วทำได้ทุกอย่าง ฉันไม่ใช่คนดีอะไร คนสูงส่งอย่างคุณขีดเส้นแบ่งเขตกับฉันให้ชัดไปเลยดีกว่า คุณทำตัวเป็นพ่อพระของคุณไป ส่วนฉันก็จะหาเงินงกๆของฉัน พวกเราอยู่กันคนละโลก บาย”


 


 


เจี่ยซิ่วฟางยกซุปมา “ไปไหนแล้ว?”


 


 


“กลับบ้านใครบ้านมัน กลับไปหาแม่ตัวเอง กลับบ้านเถอะ” เสี่ยวเชี่ยนลากเจี่ยซิ่วฟางกลับบ้าน เลี่ยวฟู่กุ้ยมองตามหลังเสี่ยวเชี่ยน ในใจก็เกิดความสงสัย


 


 


ทำไมยังมีคนที่วิจารณ์ตัวเองอย่างโหดร้ายแบบนี้อยู่อีก?


 


 


ผู้หญิงคนนี้น่าสนใจจริงๆ การกระทำทั้งหมดเมื่อครู่ของเธอเขาเห็นหมด เธอไม่ใช่คนอย่างที่พูดเสียหน่อยนี่คือจิตแพทย์ที่เต็มไปด้วยความเมตตา น่านับถือจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 499 ท้องแม่เดียวกัน

 

บ้านตัวเองสบายที่สุด


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกินซุปแห่งความรักที่แม่ทำให้ ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แม่ด่าน้องชายที่กลับบ้านดึก รู้สึกสบายใจ


 


 


“แกนี่มันทำตัวเหลวไหล เลิกเรียนไม่กลับบ้าน ไปเถลไถลที่ไหนมา? ยังรู้จักกลับบ้านด้วยเหรอ” เจี่ยซิ่วฟางถีบก้นลูกชาย เฉินจื่อหลงรีบหลบพลางอธิบาย


 


 


“อาจารย์กักตัวพวกผมไว้ พี่กลับมาแล้วเหรอ ช่วยผมด้วย แม่วัยทองอาละวาด ตีน้องชายที่แสนดีของพี่อีกแล้ว”


 


 


“ต้นไม้ไม่แต่งกิ่งแล้วจะโตได้ยังไง ต้าหลง แม่เราทำเพื่อนายนะ” เสี่ยวเชี่ยนตอบอย่างนุ่มนวล แต่ท่าทางดันแว่นตานั้นแฝงไว้ซึ่งความชั่วร้ายเล็กๆ


 


 


นานแล้วที่ไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบนี้ ให้ความรู้สึกเป็นบ้านจริงๆ


 


 


ซุปแห่งความรัก แม่ขี้บ่น น้องชายตัวดื้อ กลับบ้านแล้วดีจริงๆ


 


 


“หัดเอาอย่างพี่สาวแกบ้าง เมื่อไรจะทำตัวดีๆสักที? เลิกเรียนไม่กลับบ้านเอาแต่ไปเที่ยวเตร่ นี่แกไปยุ่งกับพวกเด็กเกเรข้างนอกนั่นอีกแล้วใช่ไหม?”


 


 


“เปล่านะ แม่ ไม่มีจริงๆ เลิกเรียนแล้วผมก็แค่ไปเล่นพวกตู้เกมมานิดหน่อย ผมไปเองคนเดียว ไม่ได้ตามใครไป…โอ๊ย”


 


 


เฉินจื่อหลงร้องเสียงหลง เจี่ยซิ่วฟางถอดรองเท้าแตะแล้วเอาไปฟาดไหล่ลูกชาย


 


 


“ให้ไปเรียนไม่รู้จักเรียน ใครใช้ให้ไปเล่นตู้เกม รวยนักเหรอ? เก่งแล้วใช่ไหม?”


 


 


“ผมจะไม่ไปอีกแล้ว พี่ช่วยผมหน่อย” เฉินจื่อหลงคิดหนีไปหลบข้างหลังเสี่ยวเชี่ยน เจี่ยซิ่วฟางยิ่งโมโหใหญ่


 


 


“หยุดอยู่ตรงนั้น ฉันตีแกไม่กี่ที ถ้าแกกล้าหนีฉันจะเอาไม้ปัดขนไก่ฟาดแกให้ตาย”


 


 


เฉินจื่อหลงไม่กล้าหนี ยืนนิ่งๆปล่อยให้แม่ระบายอารมณ์


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกินซุปไปได้ครึ่งชาม รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นแล้วจึงวางชามลง แล้วพูดสั่งสอนน้องชาย


 


 


“ต้าหลง อย่าว่าแม่เขาเลยนะ เมื่อกี้แม่เพิ่งถูกคนเอามีดจี้คอมาตกใจแทบแย่ แกเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกคนเดียวในบ้าน ถ้าแกไม่กลับมาแม่ได้ตกใจจนเป็นบ้าแน่”


 


 


“ใช่ไหมล่ะ? เมื่อกี้มีดนั่นจี้คอฉันตรงนี้ ไอ๊หยา ตกใจชิบหายเลย” ตอนนี้มานึกดูเจี่ยซิ่วฟางก็ยังหวาดกลัว เกือบได้ไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว


 


 


“เรื่องอะไรกัน? แม่ เล่าให้ผมฟังหน่อย แม่ไม่เป็นไรใช่ไหม? บาดเจ็บหรือเปล่า?” เฉินจื่อหลงได้ยินดังนั้นสีหน้าทะเล้นก็หายไป สีหน้าจริงจังเข้ามาแทนที่


 


 


“เด็กเหลวไหลอย่างแกรู้จักกตัญญูด้วยเหรอ รู้จักเป็นห่วงแม่ ไม่เป็นไรแล้ว ดีนะที่พี่แกอยู่ เรื่องมันเป็นแบบนี้…”


 


 


เจี่ยซิ่วฟางแทบจะอดทนรอไม่ไหวเล่าเรื่องนี้ออกมา เฉินจื่อหลงฟังแล้วก็ตกใจยื่นมือไปลูบคอแม่ พอเห็นว่านอกจากไขมันสองชั้นตรงคอแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรจึงโล่งใจ


 


 


นั่งหน้าซีดอยู่นานถึงได้สติกลับมา “แล้วแม่ทำไมถึงได้กล้าแบบนั้น พี่ลากแม่กลับแล้วถ้าแม่รีบกลับก็ไม่เกิดเรื่องแล้วไหม? พี่ งานสาธารณะประโยชน์ที่พี่ทำก้าวหน้าขึ้นอีกแล้วนะ ช่วยป้าวัยกลางคนให้ได้สติอย่างง่ายดาย”


 


 


“ฉันหวังอะไรกับแกได้บ้างเนี่ย” เจี่ยซิ่วฟางโวยวายกับลูกชาย


 


 


เฉินจื่อหลงครุ่นคิด จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไป


 


 


“จะไปไหน?” เจี่ยซิ่วฟางถาม


 


 


“ผมจะไปหาหนอนหนังสือสี่ตาข้างบ้านนั่น…โอ๊ยพี่ ผมไม่ได้หมายถึงพี่นะ” เฉินจื่อหลงหลบตะเกียบที่เสี่ยวเชี่ยนปามาอย่างหวาดเสียว


 


 


นี่เขาลืมได้ไงว่าที่บ้านตัวเองก็มี ‘คนสี่ตา’


 


 


“ผมหมายถึงเลี่ยวหยุนฉาง ปกติแม่เข้ากันได้ดีกับเขา แล้วทำไมเขาทำให้แม่เดือดร้อนขนาดนี้”


 


 


“กลับมาเลยนะ อย่าไปทำขายหน้า เรื่องนี้เขาไม่ได้ผิดอะไร ถ้าแกไปหาเรื่องแล้วอีกหน่อยแม่จะมองหน้าเพื่อนบ้านยังไง?” เสี่ยวเชี่ยนสั่งสอนวัยรุ่นเลือดร้อน


 


 


ถึงแม้เธอเองก็ไม่ชอบเลี่ยวฟู่กุ้ย แต่นี่มันคนละเรื่องกัน เรื่องนี้จะไปโทษเขาก็ไม่ได้


 


 


ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนสั่งสอนน้องชายว่าควรทำตัวยังไง ทันใดนั้นก็มีคนมากดกริ่งหน้าบ้าน เจี่ยซิ่วฟางจึงไปเปิดประตู


 


 


ผู้ชายวัยกลางคนที่หน้าตาพอๆกับเลี่ยวฟู่กุ้ยยืนอยู่หน้าบ้าน เลนส์แว่นตาหนายิ่งกว่าก้นขวด เพียงแต่อายุค่อนข้างเยอะ ใบหน้ามีรอยยับค่อนข้างมาก แต่ก็มองออกไม่ยากว่าสมัยหนุ่มๆหล่อแค่ไหน พอเห็นเจี่ยซิ่วฟางก็ยื่นมือออกมาแล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด


 


 


“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่สร้างความวุ่นวายให้ ผมเพิ่งเลิกงานเลยเพิ่งรู้เรื่องนี้ คงตกใจมากเลยสินะครับ”


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ พูดอะไรแบบนั้น ฉันไม่ได้บาดเจ็บ”


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยยืนอยู่ข้างพ่อ ในมือถือนมสองลังที่เพิ่งลงไปซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตมาเพื่อเอามาปลอบขวัญเจี่ยซิ่วฟาง


 


 


เจี่ยซิ่วฟางอยากเชิญแขกเข้าบ้าน แต่พ่อเลี่ยวปฏิเสธ เขาเห็นโต๊ะอาหารที่อยู่ในห้องรับแขกจึงรู้ว่าคงกำลังกินข้าวกันอยู่ เข้าไปรบกวนคงไม่ดี ยืนอยู่หน้าบ้านเอาแต่ขอโทษเจี่ยซิ่วฟางไม่หยุด


 


 


เฉินจื่อหลงหันไปซุบซิบใส่หูเสี่ยวเชี่ยน “พี่ ดูตาแก่นั่นสิ เขาชอบแม่เราหรือเปล่า? ว่างๆชอบมาหาบ่อยๆ เมื่อวานยังเอาแตงโมมาให้ด้วยนะ บอกว่ากินไม่หมด ตอนนี้แตงโมแพงจะตาย เขานึกจะเอามาให้ก็ให้ ผมว่าเขาตั้งใจนะ”


 


 


“ไม่มั้ง?” เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองทางนั้นอีกครั้ง ไอ๊โหยว ผู้ใหญ่สองคนนั้นคุยกันถูกคอจริงๆ ไม่ทันระวังสายตาเหลือบไปเห็นเลี่ยวฟู่กุ้ยที่ยืนอยู่ข้างพ่อ


 


 


มุมปากกระตุก เธอไม่อยากมีพี่ชายแบบนั้นหรอกนะ


 


 


ครั้นแล้วจึงหันไปซุบซิบข้างหูน้องชาย


 


 


“ต้าหลง เวลาว่างๆทำแบบนี้นะ…”


 


 


รีบแยกพ่อของเลี่ยวฟู่กุ้ยให้อยู่ห่างๆไว้ดีกว่า แม่เธอเป็นแม่หม้ายอัธยาศัยดีมีคนมาตามจีบไม่ขาดสาย ถึงจะอ้วนไปหน่อยแต่ก็นับว่าดูดีกว่าในบรรดาป้าๆวัยกลางคนด้วยกัน ไม่อย่างนั้นจะมีลูกสาวหน้าตาดีแบบเสี่ยวเชี่ยนได้เหรอ?


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยเห็นท่าทางของเสี่ยวเชี่ยนกับเฉินจื่อหลง สายตาของเธอดูมีแววซุกซนเจ้าเล่ห์ คล้ายกับกำลังคิดเล่นอะไรพิเรนทร์ ตอนที่เฉินจื่อหลงถาม เธอก็แอบเคาะหัวน้องชาย


 


 


คล้ายกับเป็นพี่สาวขี้แกล้งคนหนึ่ง แตกต่างจากภาพลักษณ์จิตแพทย์ที่มีความเป็นมืออาชีพสูง


 


 


เจี่ยซิ่วฟางคุยกับพ่อเลี่ยวเสร็จแล้ว ทั้งสองคนมัวแต่พูดจาเกรงใจใส่กัน ดันมือกันไปมากว่าพ่อเลี่ยวจะเอาของยัดใส่มือเจี่ยซิ่วฟางได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จากนั้นจึงกลับไปพร้อมกับลูกชาย ภายในบ้านถึงได้สงบลง


 


 


“ดูอาเลี่ยวสิขี้เกรงใจจริงๆ จริงๆเลยจะซื้อของมาทำไม ฉันไม่ได้กลัว…ทำไมไม่ใช่นมวอลนัทล่ะ?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอยากหัวเราะ อันที่จริงแม่เธอน่ะอยากได้ของตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็แสร้งทำเป็นเกรงใจไปอย่างนั้นแหละใช่มะ?


 


 


ในที่สุดก็ได้กินข้าวกันพร้อมหน้าเสียที เจี่ยซิ่วฟางในฐานะที่ตอนนี้เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องการแสดงความคิดเห็นที่มีต่อเรื่องในวันนี้


 


 


“เสี่ยวเชี่ยน ต้าหลง เรื่องวันนี้ผ่านไปได้โดยไม่เกิดอันตราย พวกแกได้เรียนรู้อะไรบ้าง?”


 


 


เฉินจื่อหลงคาบตะเกียบพลางคิด “แม่ชอบนมวอลนัท เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอาไปเปลี่ยนที่ร้านให้นะ”


 


 


เจี่ยซิ่วฟางคว้าตะเกียบฟาดหัวลูกชายด้วยความโมโห “วันๆรู้จักแต่เรื่องกิน ฉันจะบอกว่าเรื่องนี้ทำให้ฉันเข้าใจว่า ยามคับขันก็มีแค่พี่น้องเท่านั้นแหละที่พึ่งพาได้ สายใยของพี่น้องเหนียวแน่นยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ต่อไปพวกแกต้องรักกันให้มาก ถ้าใครมีปัญหาอีกคนก็อย่าเอาแต่นิ่งเฉย ยังไงพวกแกก็พี่น้องมาจากท้องแม่เดียวกัน ดูอย่างผู้หญิงคนนั้นสิยอมเหน็ดเหนื่อยวิ่งเต้นให้พี่ชาย น่าประทับใจจะตาย”


 


 


“พรวด” เสี่ยวเชี่ยนพ่นซุปออกมา 


 


 


คุณนายเจี่ยซิ่วฟางคะ หลุดประเด็นหรือเปล่า?

 

 

 


ตอนที่ 500 แอบอยากขำ

 

เสี่ยวเชี่ยนบรรยายความรู้สึกไม่ถูกกับการสรุปของเจี่ยซิ่วฟาง


 


 


“แม่ นั่งดูเหตุการณ์อยู่ตั้งนานมองออกแค่นี้? ตามความเข้าใจของแม่ ถ้านี่เป็นข้อสอบเรียงความเข้ามหาลัยนะ สักคะแนนก็ไม่ให้ ทัศนคติหลุดกรอบสังคมนิยมมาก เอาด้านลบมาเป็นพลังซะงั้น พฤติกรรมแก้แค้นสังคมเพื่อพี่ชายของเขาแม่ยังจะให้พวกเราเอาอย่าง? เรื่องที่เขาประสบมันน่าสงสารก็จริง แต่จะเอาเป็นแบบอย่างไม่ได้”


 


 


ถึงผู้หญิงคนนั้นจะน่าสงสารมาก แต่พฤติกรรมไม่ถูกต้อง


 


 


ก่อนอื่นอยากจะให้พี่ชายพ้นความผิดด้วยเหตุผลเป็นโรคประสาท ต่อมาก็จับเจี่ยซิ่วฟางที่ไม่รู้เรื่องด้วยเป็นตัวประกัน ถึงเขาจะมีจุดที่น่าเห็นใจ แต่เอาอย่างไม่ได้เลยทั้งนั้น


 


 


“ฉันก็แค่เปรียบเทียบให้ฟัง ฉันเห็นเขาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพี่ชายแบบนั้นก็นึกถึงพี่รองของตัวเองที่ไม่เอาไหน ฉันเลยกลัวว่าแกกับน้องแกจะเป็นแบบนั้นด้วย ว่ากันว่าพี่น้องเป็นคนที่มีสายใยเหนียวแน่นที่สุดบนโลกนี้ แต่พอมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้วก็ค่อยๆห่างเหิน ฉันไม่อยากให้พวกแกสองคนพี่น้องวันหนึ่งต้องมาเป็นเหมือนฉันกับลุงรองของพวกแก …”


 


 


“ลุงรองมาขอยืมเงินอีกแล้วเหรอ?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหน้านิ่ว


 


 


นับตั้งแต่ลุงรองวางแผนเล่นงานครอบครัวเสี่ยวเชี่ยนเมื่อตอนรื้อบ้านเก่าจนถูกเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางจัดการ ลุงรองก็ได้รู้แล้วว่าตอนนี้ครอบครัวเสี่ยวเชี่ยนไม่เหมือนก่อน ลุงรองไม่หาเรื่องน้องสาวตัวเองอีกต่อไป แต่กลายเป็นมาเซ้าซี้กับเจี่ยซิ่วฟางทุกวันแสร้งทำตัวยากจนน่าสงสาร


 


 


ตอนแรกเจี่ยซิ่วฟางเกลียดพฤติกรรมหน้าด้านของพี่ชาย แต่ก็รู้สึกไม่กล้าปฏิเสธ วันๆถูกตามตื๊อจนน่ารำคาญ ก่อนเสี่ยวเชี่ยนกลับไปเรียนก็พอจะเดาออกว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น สำหรับคนที่หน้าด้านบางประเภทนั้นจะใช้ความคิดแบบคนปกติมาเป็นตัววัดไม่ได้


 


 


คนทั่วไปทำเรื่องไว้ขนาดนี้คงไม่มีหน้ามาเจอเจี่ยซิ่วฟางแล้ว แต่ครอบครัวลุงรองนั้นหน้าด้านแบบไม่อายฟ้าอายดินไม่มีใครเอาชนะความหน้าด้านนี้ได้ ทำอย่างกับว่าเรื่องเลวๆก่อนหน้านี้ไม่ใช่ฝีมือตัวเองทำ ชอบหาโอกาสเอาคนแก่เป็นข้ออ้างแล้วมาวุ่นวายกับเจี่ยซิ่วฟาง


 


 


ดังนั้นเสี่ยวเชี่ยนจึงออกคำสั่งเด็ดขาดกับเจี่ยซิ่วฟาง ห้ามให้ยืมเงิน ถ้ามีเรื่องก็โทรไปเบอร์ฉุกเฉินที่อวี๋หมิงหลางทิ้งไว้ให้ เสี่ยวเฉียงจะส่งคนไปจัดการ ถ้ากล้าให้ลุงรองยืมเงินแม้แต่บาทเดียว จะมาโทษเธอไม่เห็นแก่หัวหงอกหัวดำไม่ได้


 


 


เจี่ยซิ่วฟางแอบกลัวลูกสาว พูดออกมาแบบนี้จะไม่ฟังก็ไม่ได้ ดังนั้นพี่ชายมาขอยืมเงินหลายครั้งจึงไม่ให้ไปเลยสักบาท


 


 


“ไม่ได้ยืมเงินหรอก บ้านตึกแถวของพวกเราเสร็จแล้วใช่ไหมล่ะ ของแกน่ะให้คนเช่าไปแล้ว ยังมีอีกที่รอตกแต่งตามแกว่าแล้วค่อยให้คนเช่า ตอนนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว ลุงรองแกบอกว่าอยากเช่าให้ลูกชาย ให้คนนอกเช่าเท่าไรก็เท่านั้น เห็นบอกว่าลูกชายแกระหว่างรองานก็อยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีรายได้ เลยอยากให้ไปทำการค้าเล็กๆน้อยๆ ฉันเองก็ลำบากใจ ให้ใครเช่าก็เหมือนกัน”


 


 


“เหอๆ ให้ใครเช่าก็เหมือนกัน? ตลกจริง แม่ทำธุรกิจมาก็ตั้งหลายเดือนแล้วทำไมสมองยังคิดไม่ทันอีก? เอาไก่ให้อีเห็นแล้วคิดว่ามันจะพอใจเหรอ พูดดีนี่ เดี๋ยวพอจะเก็บค่าเช่าล่ะข้ออ้างสารพัด เขาต้องบอกแน่ว่าไม่มีเงิน ขอเชื่อไว้ก่อนถูกไหม?”


 


 


ในทางธุรกิจการให้เชื่อก็คือขอเข้าไปอยู่ก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลัง ตามปกติต้องจ่ายก่อนล่วงหน้าถึงเข้าอยู่


 


 


“ใช่ เขาว่าแบบนั้นแหละ แกรู้ได้ยังไง?” เจี่ยซิ่วฟางถามเสี่ยวเชี่ยนอย่างอึ้งๆ


 


 


“หนูยังรู้อีกนะว่าเขาวางแผนไม่ให้ค่าเช่าแล้วให้ลูกชายเฮงซวยของตัวเองไปยึดบ้านตึกแถวในเมืองของเรา จะไม่ให้เงินเราสักบาท พอแม่ไปทวงเขาก็จะร้องไห้ทำตัวน่าสงสาร เช่าบ้านสามปีห้าปีถ้าราคาบ้านขึ้น พวกเขาก็จะหอบเงินมาแล้วบังคับให้แม่ขายบ้านให้ อีกทั้งเงินนั่นยังพอดีกับราคาเดิมของบ้าน ให้อยู่ฟรีมาตั้งหลายปี ราคาบ้านขึ้นก็ยังไม่ได้กำไร”


 


 


ราคาบ้านกำลังจะขึ้นสูง บ้านที่เป็นชื่อของเสี่ยวเชี่ยนกับบ้านที่อยู่ในมือของเจี่ยซิ่วฟางอยู่ตรงที่ที่พี่ใหญ่เลือกให้ด้วยตัวเอง ในอนาคตที่ตรงนั้นจะเป็นย่านที่เจริญ ราคาพุ่งสูงไม่รู้ตั้งกี่เท่า บ้านราคาหลักล้าน สุดท้ายจะมาถูกครอบครัวลุงรองซื้อไปในราคาหลักแสน นี่เป็นเรื่องที่พอจะเดาได้


 


 


“ไม่มั้ง?”


 


 


“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ยังมีเรื่องไหนที่คนบ้านนั้นทำไม่ได้อีก? ธุรกิจรับซื้อเศษวัสดุก่อสร้างที่แม่ทำตอนนี้มีเงินเข้าไม่ขาดมือ ตามแผนที่หนูวางให้แม่ ช่วงหลายปีนี้แม่ยังต้องซื้อตึกในเมืองอีกหลายที่ ถึงตอนนั้นลุงรองก็จะพาครอบครัวมาคุกเข่าอ้อนวอน ร้องไห้คร่ำครวญให้แม่สงสาร บอกว่าแม่มีบ้านตั้งหลายที่ทำไมไม่ขายให้พวกเขาสักที่ แล้วพอได้บ้านไปก็จะไปพูดกับคนข้างนอกอย่างได้ใจว่า นั่นเป็นบ้านที่พวกเขาควักเงินซื้อมาเอง แม่รวยขนาดนั้นยังกล้าเอาเงินพี่ชายตัวเอง”


 


 


“น่าโมโหที่สุด” เจี่ยซิ่วฟางโมโหกับเรื่องสมมติที่เสี่ยวเชี่ยนพูดขึ้น หันไปถุยใส่พื้นหลายทีจนเฉินจื่อหลงสะอิดสะเอียน


 


 


“แบบนั้นมันหน้าด้านจริงๆ”


 


 


“ต้าหลง บางครั้งแม่พวกเราคิดไม่ทันใจอ่อนง่าย ถ้าแม่กล้าทำอะไรเลอะเลือนแบบนั้นแกต้องโทรหาฉันนะ ฉันจะกลับมาจัดการ ถ้าใครกล้าเอาเงินหรือบ้านของพวกเราไปให้หมาป่าพวกนั้นฉันจะกลับมาคิดบัญชีกับแก เข้าใจไหม?”


 


 


“ครับพี่ ผมจำได้ขึ้นใจแล้ว ลุงรองเคยรังแกครอบครัวเรายังไงผมจำได้หมด”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนตบบ่าน้องชาย “อย่าลืมล่ะ ทำหน้าที่ให้ดีๆ”


 


 


เป็นค่ำคืนที่หลับสนิทโดยปราศจากความฝัน


 


 


วันต่อมาเสี่ยวเชี่ยนไปที่บ้านอวี๋หมิงหลาง ภายในบ้านเงียบเหงา ไม่ได้ให้ความรู้สึกของบ้านที่มีคนอยู่ เขาคงไม่ได้กลับมานานมากแล้ว


 


 


เขาในเวลานี้คงกำลังฝึกภายในอย่างเข้มข้น เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ข่าวคราวของเขามาหลายวันแล้ว


 


 


เธอเปิดหน้าต่าง เอาผ้าขี้ริ้วเช็ดฝุ่นบนเฟอร์นิเจอร์หนึ่งรอบ จากนั้นก็เอาไม้ถูพื้นไล่ถูตามห้อง บ้านนี้ใหญ่เกินไป เก็บกวาดทีเหนื่อยมาก เสี่ยวเชี่ยนเก็บบ้านจนสะอาด จากนั้นก็ทิ้งข้อความให้เขา บอกว่าเธอมาที่บ้าน


 


 


ทำทุกอย่างเสร็จแล้วเธอจึงกลับ


 


 


พอเกินไปถึงหน้าหมู่บ้านเธอก็เห็นพลตรีอวี๋ในชุดลำลองเดินเข้ามา เสี่ยวเชี่ยนตกใจเล็กน้อย


 


 


“คุณลุง?”


 


 


“เสี่ยวเชี่ยนเองเหรอ” พลตรีอวี๋เห็นเสี่ยวเชี่ยนก็ออกอาการตกใจนิดหน่อย


 


 


“หนูมาทำความสะอาดบ้านให้หมิงหลางค่ะ คุณลุง…”


 


 


“ลุงมาเดินเล่นน่ะ”


 


 


“งั้นก็เดินเล่นให้สนุกนะคะ หนูขอตัวก่อน”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเอ่ยคำลา พอเดินไปได้สองก้าวก็หันกลับไปมอง เบื้องหลังของพลตรีอวี๋นั้นดูโดดเดี่ยว คิดสักพักแล้วจึงเดินกลับไป


 


 


“คุณลุงคะ มาหาเพื่อนเก่าเหรอคะ?”


 


 


“อ่อ ไม่ใช่หรอก ลุงมาเดินเล่นเฉยๆน่ะ ทำไมเหรอ หรืออยากจะเดินเป็นเพื่อนลุง?”


 


 


“หนูว่างพอดีค่ะ อยากฟังคุณลุงเล่าประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน จะได้ช่วยพัฒนาความคิดด้วย” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าพ่ออวี๋ดูผิดปกติ ไม่ค่อยวางใจให้เขาเดินเล่นคนเดียว


 


 


คนระดับผู้บัญชาการแบบนี้ออกมาคนเดียวโดยไม่มีคนอารักขาติดตาม เธอไม่วางใจ


 


 


“งั้นก็ไปด้วยกันสิ คนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอปกติวุ่นอยู่กับงานไม่ก็เรียนหนังสือ ไม่มีใครกลับมาคุยกับลุงบ้างเลย”


 


 


“คุณน้าล่ะคะ?”


 


 


“อย่าไปพูดถึงยัยแก่ไร้เหตุผลนั่นเลย เขาไม่สนลุงแล้ว ลุงก็ไม่อยากจะคุยด้วยก่อนหรอก” พลตรีอวี๋พูดด้วยความโมโห


 


 


อ่อ ทะเลาะกันอีกแล้วเพราะเรื่องอาหญิง?


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองสีหน้าพลตรีอวี๋ก็รู้ว่าเขาคงแพ้แม่อวี๋มาอีกแล้ว ในใจแอบสงสารหน่อยๆ แต่ทำไมพอเห็นตาแก่หัวรั้นคนนี้แพ้แล้วเธออยากขำมากกว่านะ? 

 

 


ตอนที่ 501 รอเติบโต

 

เสี่ยวเชี่ยนแสร้งทำเป็นหน้านิ่งแต่ในใจกลั้นขำแทบตาย 


 


 


“เด็กแสบอย่างเธอ แอบขำฉันอยู่ในใจหรือเปล่า? จะบอกให้นะ ฉันแค่ยอมให้พวกผู้หญิงอย่างพวกเธอต่างหาก ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับยัยแก่นั่นหรอก” พลตรีอวี๋อยากดึงภาพลักษณ์ของตัวเองกลับมา 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนก้มหน้า พยายามไม่ขำออกไปแล้วพูดจาเห็นด้วย 


 


 


“ใช่ค่ะ คุณลุงแมนมากในหมู่ผู้ชายด้วยกัน ครอบครัวปรองดองถึงจะดูแลประเทศได้ คนจะทำงานใหญ่ย่อมไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กน้อย ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิง นี่คือนิสัยของคุณลุง ไม่อย่างนั้นแค่หมัดของคุณลุงหมัดเดียวคุณน้าคงจอดสนิทไปแล้ว” 


 


 


ประจบได้ถูกใจมาก 


 


 


มุมปากของพลตรีอวี๋ถูกยกขึ้นเล็กน้อย อยากยิ้มแต่ก็แสดงออกมากไม่ได้ 


 


 


“ฉันจะลงมือกับผู้หญิงได้ยังไง ฉันน่ะยอมให้ตลอดแหละ ยัยแก่คนนี้นี่นะ เป็นสิบปีแล้วก็ยังทำตัวไม่มีเหตุผลเหมือนเดิม เอะอะก็ใช้กำลังกับฉัน—ความรุนแรงในครอบครัวเป็นสิ่งไม่ถูก ไม่ควรจะใช้กำลังกัน” 


 


 


ยิ่งพูดยิ่งเอาใหญ่… 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นพลตรีอวี๋เป็นแบบนี้แต่กลับรู้สึกเป็นกันเองไม่น้อย เท่าที่เธอรู้จัก พลตรีอวี๋เป็นคนหนักแน่นเด็ดเดี่ยวในการดูแลลูกน้อง หน่วยที่เขาเป็นคนคุมแข็งแกร่งมาก ยิ่งเป็นคนแบบนี้ก็ยิ่งรักและปกป้องครอบครัวตัวเอง ถูกตีก็ไม่สู้กลับ ถูกด่าก็ไม่กล้าเถียง ยิ่งรู้สึกว่าน่ารักด้วยซ้ำ 


 


 


“คุณลุงคะ เมืองที่เราอยู่นี่ที่เที่ยวเยอะนะคะ ทำไมไม่ให้คนขับรถพาไปเดินเล่นที่อื่นล่ะคะ ที่นี่มีอะไรให้ดูกัน” 


 


 


หมู่บ้านจวินยวิ่นการ์เด้นอวี๋หมิงลี่เป็นคนสร้าง ถึงแม้บรรยากาศจะใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้ดีถึงขนาดพลตรีอวี๋จะมาเดินเล่นคนเดียว 


 


 


พลตรีอวี๋เดินอย่างไร้จุดหมายไปรอบๆหมู่บ้าน สุดท้ายไปหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง มองหน่อเล็กๆของต้นไม้ที่แตกออกมาพลางครุ่นคิด 


 


 


ไม่สังเกตก็มองไม่ออก หน่อเล็กๆเขียวๆนี้ทำให้คนที่ผ่านความแห้งแล้งของฤดูหนาวมารู้สึกสดชื่นขึ้น เห็นแล้วอารมณ์ดี 


 


 


“นี่คือต้นพุทรา ต้นนี้อยู่มาหลายปีแล้ว” พลตรีอวี๋ลูบกิ่งไม้แล้วพูดอย่างจริงจัง 


 


 


“พูดกันมาว่าเต่าอายุพันปีต้นพุทราหมื่นปี อันที่จริงต้นพุทราอายุยืนสุดก็แค่ร้อยกว่าปีเองมั้งคะ?” เสี่ยวเชี่ยนรู้เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยลึก ในใจคาดเดาว่าหรือที่พ่ออวี๋มาตั้งไกลก็เพื่อมาดูต้นพุทราเก่าแก่ต้นนี้แค่นั้น? 


 


 


“ต้นนี้ไม่ถึงร้อยปีหรอก แต่หลายสิบปีก็ได้อยู่ ตอนฉันหนุ่มๆก็เห็นมันอยู่ตรงนี้แล้ว ผ่านเหตุการณ์ไปตั้งมากมายมันก็ยังอยู่ ตอนพี่ใหญ่มาซื้อที่ตรงนี้สร้างหมู่บ้านฉันขอเขาอยู่อย่างเดียวคือห้ามโค่นต้นพุทรานี่ทิ้ง 


 


 


“อ่อ…ลำบากพี่ใหญ่แย่เลยนะคะ” 


 


 


สามารถออกแบบให้ต้นไม้เตี้ยๆนี้อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆโดยไม่ขัดตาได้ พี่ใหญ่คงเพิ่มเงินให้นักออกแบบในสังกัดไปไม่น้อย ไม่ง่ายเลยนะ 


 


 


ดูก็รู้ว่าพี่ใหญ่เป็นคนกตัญญู ทำตามความต้องการของพ่อแม่โดยปราศจากเงื่อนไขมาตลอด ตอนนั้นจริงๆพ่ออวี๋ก็คงแค่พูดส่งเดช แต่พี่ใหญ่กลับจำเอาไว้ 


 


 


พอรู้สึกได้ถึงสายตาของพ่ออวี๋ที่มองมาเสี่ยวเชี่ยนจึงยิ้มอายๆแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “พุทราของต้นนี้หวานไหมคะ?” 


 


 


“ฉันไม่ชอบกินพุทราไม่รู้หรอก” 


 


 


“……” งั้นก็หมดเรื่องจะคุย คุยกับคนแก่นี่เหนื่อยใจจริง 


 


 


“แต่อาหญิงชอบ โดยเฉพาะขนมปังพุทราที่พี่สะใภ้ทำ พวกผู้หญิงชอบกินอะไรแบบนี้อยู่แล้ว หวานจะตายอร่อยตรงไหน แต่อย่าดูถูกต้นพุทรานี่นะ สมัยก่อนแถวนี้มีต้นพุทราหลายต้น เวลาออกผลทีเจ้าเล็กจะเป็นหัวโจกพาพรรคพวกมาอย่างรวดเร็ว จัดการสู้เด็กคนอื่นๆที่มาเก็บพุทรา ผลจากชัยชนะเขาได้พุทราเยอะที่สุดเลยล่ะ” 


 


 


“ชอบใช้กำลังตั้งแต่เด็ก…” เสี่ยวเชี่ยนจินตาการได้ทันทีถึงท่าทางได้ใจของอวี๋หมิงหลางสมัยเด็ก 


 


 


บ้านไหนเลี้ยงเด็กแสบแบบนี้ไว้ปวดหัวแย่ 


 


 


“ฉันก็ดุเขาไปนะว่าอย่าเห็นแก่ตัวเด็ดมาเยอะ เหลือให้คนอื่นเขาบ้าง แต่เขาก็ไม่ฟัง เก็บมาเสียจนทุกมื้อจะต้องมีขนมปังพุทราขึ้นโต๊ะ ถึงเจ้าเล็กจะเกเรแต่ก็ใส่ใจครอบครัว เขาจำได้ว่าอาหญิงชอบกิน—แต่ไอ้ลูกตัวแสบคนนี้เล่นเอาฉันถูกบังคับกินไปด้วย ใครจะอยากกินของแบบนั้นกัน อีกทั้งพอถึงฤดูนี้ก็จะมีคนมาฟ้องถึงบ้านว่าเจ้าเล็กไม่ใช่แค่เก็บพุทรา ยังพาพรรคพวกหนีเรียนไปเก็บแตงหวานด้วย มีชาวบ้านมาฟ้องถึงบ้าน ตอนนั้นอาหญิงยังไม่ได้แต่งออกไป อยู่บ้านพอดีเลยต้องชดใช้ชาวบ้านไปสองหยวน จากนั้นก็มาร้องไห้ฟูมฟายกับฉันเหมือนเด็กๆ” 


 


 


“แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ?” ผู้ชายของเธอตอนเด็กๆนี่เป็นหัวโจกจริงๆ สมัยนั้นสองหยวนเยอะมากเลยนะ นี่เขาไปขโมยแตงหวานเยอะขนาดไหนกันเนี่ย? 


 


 


“ต่อมาพี่สะใภ้เลยให้เงินเขาไปห้าหยวน เขาถึงได้หัวเราะร่า นิสัยเขาเป็นอย่างนั้นแหละ ชอบเอาเปรียบ เอาเปรียบได้ ห้ามเสียเปรียบ แต่จะบอกว่าเขาเป็นคนเลวก็ไม่ถึงขนาดนั้น ทำไมพอแก่แล้ว…” 


 


 


ตอนพ่ออวี๋นึกถึงเรื่องราวเก่าๆก็อดคิดถึงไม่ได้ แต่พอนึกถึงน้องสาวตัวเองในตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่การถอนหายใจ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร 


 


 


เธอรู้ว่าพ่ออวี๋ไม่มีใครให้ระบายด้วย เลยเอาเธอเป็นโพรงไม้ เธอในฐานะที่เป็นเด็กไม่ต้องแสดงความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น 


 


 


พ่ออวี๋จะตำหนิอาหญิงยังไงก็ได้ แต่ถ้าเธอพูดท่าทีอาจเปลี่ยนไป 


 


 


พ่ออวี๋เงียบไปสักพัก วันนี้ตอนที่เขาผ่านแถวนี้ไม่รู้ทำไมนึกถึงเรื่องราวสมัยหนุ่มๆขึ้นมา ถึงตอนนั้นจะไม่ร่ำรวยแต่ครอบครัวใหญ่ก็อยู่ด้วยกัน ถึงจะมีทะเลาะกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องใหญ่โต ภรรยาเขาเมื่อวานหลังจากเสี่ยวเชี่ยนไปแล้วได้รื้อฟื้นถึงพฤติกรรมที่น้องสาวของเขาทำในช่วงที่ผ่านมา 


 


 


ไม่พูดยังไม่เท่าไร แต่พอพูดขึ้นมาพ่ออวี๋ก็ตกใจ เขาไม่รู้เลยจริงๆว่าน้องสาวตัวเองก่อเรื่องไว้มากขนาดนี้ อดสงสารภรรยาไม่ได้ที่ยอมให้น้องสาวของเขามาตั้งหลายปี ครอบครัวอยู่กันมาได้จนถึงทุกวันนี้จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับที่แม่อวี๋ใจกว้างก็คงจะไม่ได้ 


 


 


ในใจเกิดความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก ผ่านมาแถวนี้พอดีนึกได้ว่ามีต้นพุทราอยู่เลยอยากมาดูว่ายังอยู่หรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเสี่ยวเชี่ยนด้วย 


 


 


ความรู้สึกนี้เสี่ยวเชี่ยนพอจะเข้าใจ พ่ออวี๋เห็นต้นพุทราที่เด็ดกินสมัยยังไม่ร่ำรวยยังอยู่ แต่ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวกลับเบาบางลง ความสามัคคีที่เคยมีค่อยๆหายไป ช่างน่าเศร้านัก 


 


 


อาหญิงทำอะไรเห็นแก่ตัวมาตลอด ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น แต่ในใจของพี่ชายก็ยังมีเขาอยู่เสมอ เพียงแต่ครั้งนี้พ่ออวี๋รู้สึกเสียใจสุดๆ 


 


 


เดิมเสี่ยวเชี่ยนก็เกลียดอาหญิง แต่พอเห็นพ่ออวี๋ลูบต้นพุทราโหยหาความรู้สึกในอดีตแบบนี้ ในใจเธอกลับรู้สึกสงสารอาหญิงมากกว่า 


 


 


หญิงสูงวัยนิสัยเอาแต่ใจคนนี้ได้ทำลายความรู้สึกดีๆที่พี่ชายมีให้ด้วยน้ำมือตัวเอง 


 


 


“นี่ตัวแสบคิดอะไรอยู่น่ะ ทำหน้าจริงจังเชียว?” 


 


 


“หนูกำลังคิดว่าเราต้องถนอมน้ำใจคนที่ดีกับเราให้มากๆ เพราะความรู้สึกที่เขารักและเอ็นดูเราไม่ใช่เรื่องเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราจะใช้ความรักของคนที่เขามีให้เราอย่างสิ้นเปลืองไม่ได้ ไม่ควรทำให้คนที่รักเราผิดหวัง เด็กผู้หญิงบางครั้งดื้อบ้าง งอแงบ้าง ขอแค่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตก็ดูน่ารักดี แต่ถ้ามากเกินไปก็ไม่ดี อย่างไรเสียคนที่แคร์เรา รักเรา คงไม่มีความอดทนไปตลอดชีวิตเพื่อรอเราเติบโต” 

 

 

 


ตอนที่ 502 เรื่องราวมีโอกาสพลิกผัน

 

คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้พ่ออวี๋ประทับใจ 


 


 


อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนสงสารพ่อแม่ของอาหญิงมากกว่า ซึ่งก็คือปู่กับย่าของอวี๋หมิงหลาง 


 


 


คนชราสองท่านนี้ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิตก็อาจยังคงไม่ได้เห็นลูกสาวของตัวเองมีวุฒิภาวะขึ้นมา 


 


 


คนที่ไม่รู้จักโตแบบนี้อยู่มาจนแก่ก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง คอยทำเรื่องเห็นแก่ตัวใส่คนอื่นไปทั่ว ทางจิตวิทยาเรียกว่าจิตใจทารก ซึ่งก็คือเด็กที่ไม่รู้จักโต พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่าเมื่อถึงช่วงอายุหนึ่งควรทำอะไรเพื่อครอบครัวหรือเพื่อสังคม 90%ของครอบครัวโชคร้ายทั้งหลายในบ้านเราล้วนเกี่ยวข้องกับจิตใจทารกนี้ 


 


 


อาหญิงอายุขนาดนี้แล้วไม่ได้ใช้สติและวุฒิภาวะอย่างที่ผู้ใหญ่ควรมีเห็นใจคนในครอบครัว 


 


 


คิดแต่ทำให้ตัวเองพอใจ กลับไม่เคยคิดว่าพฤติกรรมแบบนั้นของตัวเองได้ทำร้ายจิตใจของพ่ออวี๋แม่อวี๋จนพรุนไปหมด พูดตรงๆก็คือ เอาหัวใจของคนทั้งโลกมารวมกัน ในสายตาของอาหญิงก็ยังไม่สำคัญเท่ากับตัวเธอเอง เธอรักตัวเองมากเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยอยู่เสมอ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเองก็เป็นคนที่รักตัวเองมาก แต่ต่างจากอาหญิงตรงที่ ในใจของเสี่ยวเชี่ยนมีคนที่สำคัญอยู่หลายคน ก่อนทำอะไรเธอจะนึกถึงความรู้สึกของคนเหล่านั้น อย่างเช่น เรื่องที่อาหญิงทำในครั้งนี้ เสี่ยวเชี่ยนสามารถเล่นงานอาหญิงให้ลุกขึ้นมาอีกไม่ได้ แต่เธอกลับเลือกใช้วิธีให้พ่ออวี๋จัดการเอง 


 


 


ทั้งหมดนี้เพราะเธอคำนึงถึงความรู้สึกของอวี๋หมิงหลาง นี่คือความแตกต่าง 


 


 


พ่ออวี๋และผู้ใหญ่คนอื่นๆในตระกูลอวี๋ที่น่าสงสาร ทุ่มเทความรักให้กับอาหญิงมาทั้งชีวิต อาหญิงไม่ได้ตอบแทนเลยสักนิดด้วยซ้ำ อีกทั้งความทุ่มเทเหล่านั้นกลับยิ่งทำให้อาหญิงคิดแต่จะเป็นฝ่ายรับ ซึ่งนิสัยแบบนี้มีทั้งความเห็นแก่ตัวที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วบวกกับสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนเอาใจ สรุปก็คือ ผลลัพธ์นี้ไม่มีใครอยากเห็น 


 


 


พ่ออวี๋มองเสี่ยวเชี่ยน เขากำลังคิดว่าทำไมน้องสาวตัวเองอายุจนป่านนี้แล้วยังคิดไม่ได้ทำตัวเป็นเด็กๆ แต่สุดท้ายก็หาคำตอบไม่ได้ ทำได้แค่มองต้นพุทราด้วยความคิดถึงอดีต 


 


 


“เรื่องที่อาหญิงทำทั้งหมดฉันจะให้คำตอบที่เธอพอใจ ไม่ใช่แค่เพื่อเธอ แต่ยังเพื่อครอบครัวของพวกเราด้วย” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพ่ออวี๋เป็นคนที่เด็ดขาด เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วส่วนมากไม่มีทางให้เดินกลับหลัง วันนี้ที่เขามาที่นี่คงได้ตัดสินใจแล้วว่าจะจบสิ้นความอดทนสุดท้ายที่มีต่อน้องสาว 


 


 


ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็นึกถึงคำพูดของเจี่ยซิ่วฟางที่สั่งสอนเธอกับน้องชายเมื่อวาน เจี่ยซิ่วฟางบอกว่า พี่น้องต่อให้รักกันมากแค่ไหน พอแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตัวเองก็จะค่อยๆห่างเหิน เสี่ยวเชี่ยนไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ 


 


 


ทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง ครอบครัวคือคนที่มาจากหลายๆที่มาอยู่ร่วมกันกลายเป็นกลุ่มใหญ่ จากนั้นก็แยกออกเป็นครอบครัวเล็กๆ คำว่าห่างเหินอาจดูรุนแรงไป แต่ต่างคนต่างมีชีวิตไม่ก้าวก่ายกัน เมื่อเจอปัญหาก็ช่วยกันแก้ไข นี่คือสิ่งที่คนแก่ๆปรารถนา 


 


 


น่าเสียดายที่ความเป็นจริงกับความปรารถนานั้นไม่ตรงกัน อาหญิงก่อเรื่องเก่งจริงๆ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางพูดดีๆช่วยศัตรู ดังนั้นพอพ่ออวี๋รับปากแบบนี้เธอจึงแค่ยิ้มให้ไม่แสดงความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เติมน้ำมันให้กองไฟและก็ไม่ได้บอกให้อภัย 


 


 


พอถูกทำร้ายแล้วก็ปราศจากการให้อภัยอีก นี่คือหลักการ—แต่หลักการนี้บางทีอาจเปลี่ยนแปลงหลังจากพ่ออวี๋ได้รับโทรศัพท์ในตอนนี้ 


 


 


“ท่านผู้บัญชาการมีสายของท่านครับ” ทหารอารักขาวิ่งเข้ามาแล้วยื่นโทรศัพท์ให้พ่ออวี๋ 


 


 


พ่ออวี๋รับโทรศัพท์พลางพูดกับเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“เดี๋ยวขอรับสายก่อนนะ เดี๋ยวเธอนั่งรถฉันกลับ ฉันจะให้คนขับรถไปส่ง” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เธอควรกลับมหาวิทยาลัยแล้ว 


 


 


“ผมอวี๋เว่ยกั๋วครับ—หลี่เจิ้น?” 


 


 


พอได้ยินชื่อนี้เสี่ยวเชี่ยนก็เอะใจ 


 


 


นั่นมันลูกชายของอาหญิงไม่ใช่เหรอ? 


 


 


อาหญิงก่อเรื่องมากมายขนาดนี้ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลี่เจิ้น 


 


 


หลี่เจิ้นกับหนีเจี้ยนเหรินผู้ชายเฮงซวยที่เสี่ยวเชี่ยนเกือบหมั้นด้วยเป็นคู่รักร่วมเพศกัน เนื่องจากหนีเจี้ยนเหรินอยากมาหลอกเสี่ยวเชี่ยนแต่งงานนี่เรื่องแรก จากนั้นก็มาวางเพลิงบ้านเธอ อวี๋หมิงหลางเลยจัดการขั้นเด็ดขาดกับหลี่เจิ้น บีบบังคับให้อาเขยส่งหลี่เจิ้นย้ายไปทำงานในที่ทุรกันดาร 


 


 


ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนยังไม่รู้ว่าหลี่เจิ้นเกิดเรื่องแล้ว เพิ่งจะพ้นขีดอันตรายมาได้ ตอนนี้กำลังนอนพักอยู่ในห้องผู้ป่วยโทรหาพ่ออวี๋ 


 


 


พอเธอได้ยินชื่อคุ้นๆ สัญชาตญาณก็บอกว่าคงมีเรื่องเกิดขึ้นแน่ 


 


 


“การผ่าตัดเป็นไงบ้าง สำเร็จไหม? อะไรนะ ก็ยังยืนไม่ได้? หลานลุง ใจเย็นๆนะ เดี๋ยวลุงจะหาหมอที่ดีที่สุดให้ หลานจะต้องหายแน่นอน” ถึงแม้พ่ออวี๋จะเกลียดที่น้องสาวตัวเองทำเรื่องพวกนั้น แต่ก็ไม่ได้โกรธแค้นหลานชายอะไรมากมาย 


 


 


โดยเฉพาะตอนนี้หลี่เจิ้นกำลังอยู่ในช่วงเสี่ยงจะเป็นอัมพาต พ่ออวี๋ย่อมไม่มีทางพูดจารุนแรงใส่ เรื่องของผู้ใหญ่วางไว้อีกด้าน ลูกไม่ได้ทำผิดควรรักษาก็ต้องให้รักษาตัวไป 


 


 


“ลุงครับ หมอบอกว่าผมอาจจะยืนไม่ได้แล้ว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ผมอยากถามลุงว่าลุงมีวิธีติดต่อกับเฉินเสี่ยวเชี่ยนไหมครับ ผมอยากคุยกับเขา” 


 


 


เสียงของหลี่เจิ้นฟังดูอ่อนล้า 


 


 


“หลานอยากได้เบอร์ของเสี่ยวเชี่ยนเหรอ?” พ่ออวี๋หันไปมองเสี่ยวเชี่ยนโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เขารีบหันหลังให้เสี่ยวเชี่ยนแล้วถามเสียงเบา 


 


 


“หลานจะเอาเบอร์เขาไปทำอะไร?” 


 


 


หรือคลื่นที่ยังไม่สงบกำลังจะซัดขึ้นมาอีกแล้ว? 


 


 


“ตอนที่ผมนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยผมได้ยินพ่อแม่ทะเลาะกัน ผมรู้เรื่องที่แม่ไปทำเรื่องไม่ดีไว้แล้ว ผมเลยอยากขอโทษเสี่ยวเชี่ยนต่อหน้า เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะผม ผมหวังว่าเขาจะเห็นแก่ตอนนี้ที่ผมเป็นคนพิการให้อภัยแม่ผมครับ” 


 


 


หลี่เจิ้นได้ฝึกฝนอยู่ในที่กันดารมานานพอสมควร นิสัยเปลี่ยนไปมาก 


 


 


ในอำเภอที่ห่างไกล เขาอยู่ห่างจากความศิวิไลซ์ ไม่มีความแก่งแย่งชิงดีระหว่างคนด้วยกัน แสงสีสิ่งยั่วยุก็น้อย สิ่งที่ได้เจอมีแค่ใบหน้าซื่อๆของผู้คน นิสัยคุณชายของเขาที่มีมาหลายปีจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง 


 


 


“เรื่องนี้ไม่จำเป็นหรอก หลานฟังลุงนะ นอนพักรักษาตัวดีๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลาน ลุงรู้ว่าต้องจัดการยังไง ตอนนี้หลานไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ขอแค่รักษาตัวให้หายได้เป็นพอ เข้าใจไหม?” 


 


 


“ลุงครับ ลุงทำแบบนี้ผมรู้สึกผิดนะครับ ถ้าผมไม่ได้เจอเฉินเสี่ยวเชี่ยนผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะรักษาตัว—อันที่จริงจะรักษาตัวหรือไม่ก็ไม่มีความหมายแล้วครับ ชีวิตที่เหลืออยู่ของผมคงต้องอยู่บนเตียงแล้ว ลุงช่วยทำตามความต้องการของผมได้ไหมครับ?” 


 


 


พ่ออวี๋ฟังแล้วก็ปวดใจ เด็กดีๆคนหนึ่งออกไปทำงานพัฒนาตัวเองดีๆ แต่กลับต้องนอนบนเตียงกลับมา อีกทั้งเรื่องที่หลี่เจิ้นไปอยู่ที่นั่นเป็นเพราะลูกชายของเขาจัดการ ไม่มีแม้แต่คำพูดที่แสดงความรู้สึกผิด ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ 


 


 


พ่ออวี๋หันตัวไปอย่างลำบากใจ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดกับเสี่ยวเชี่ยนก็รู้สึกโทรศัพท์หายไปจากมือ 


 


 


ทหารอารักขาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ มีคนกล้าแย่งของจากมือผู้บัญชาการด้วย? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแย่งโทรศัพท์มาจากมือพ่ออวี๋ 


 


 


“ฉันคือเฉินเสี่ยวเชี่ยน ไว้เจอหน้าค่อยคุยกัน นายรักษาตัวให้ความร่วมมือกับหมอไป เดี๋ยวพวกเราไปหา” 


 


 


พูดจบก็ตัดสายแล้วยื่นโทรศัพท์คืนพ่ออวี๋ 


 


 


“คุณลุงคะไปกันเถอะค่ะ” 


 


 


“เด็กคนนี้นี่จริงๆเลย…” 


 


 


พ่ออวี๋ทั้งโมโหทั้งขำ แต่รู้สึกชื่นชมมากกว่า 


 


 


เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา รู้จักวางตัว เมื่อเทียบกับให้เขาเอ่ยปากขอไม่สู้ออกตัวก่อน เป็นเด็กฉลาดที่รู้จักแก้ไขปัญหาจริงๆ  

 

 


ตอนที่ 503 ปลงกับทุกอย่าง

 

ห้องผู้ป่วยที่หลี่เจิ้นอยู่ดีมาก ตระกูลหลี่พยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาเขา ถึงขนาดเชิญผู้เชี่ยวชาญจากที่อื่นมา แต่ผู้เชี่ยวชาญพอเห็นอาการกลับไม่รู้จะทำอย่างไร ต่อให้ห้องพักจะดีเลิศแค่ไหนก็เอาสุขภาพที่แข็งแรงกลับคืนมาไม่ได้ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมาถึงโรงพยาบาลโดยการนำของพ่ออวี๋ แม่อวี๋พอได้ข่าวก็มาด้วย เฝ้าอยู่หน้าประตู พอเห็นพ่ออวี๋ทั้งสองก็มองหน้ากัน ในสายตากันและกันต่างเห็นอารมณ์โมโหของอีกฝ่าย 


 


 


“การผ่าตัดสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่รู้สึกตัวล่ะ?” แม่อวี๋ถามพ่ออวี๋ เมื่อคืนเธอได้รับแจ้งว่าการผ่าตัดของหลี่เจิ้นลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่นึกว่าวันนี้จะมีข่าวว่าอาการน่าเป็นห่วง หลังผ่าตัดเสร็จยังไม่มีอาการที่เป็นปกติ 


 


 


นี่ก็แสดงว่าอาจจะเป็นอัมพาต 


 


 


“เดี๋ยวผมไปถามหมอว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รักษาได้หรือเปล่า ไม่ได้ก็เปลี่ยนหมอ” พ่ออวี๋โมโห 


 


 


ที่ด้านนอกห้องผู้ป่วย พ่อของหลี่เจิ้นอยู่ริมหน้าต่าง ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาก็รู้สึกตกใจ 


 


 


ดูเหมือนห่างจากที่เจอกันเมื่อคราวก่อนไม่นานมาก ตอนนั้นเธอกับอวี๋หมิงหลางเพิ่งจะรู้จักกัน อวี๋หมิงหลางพาเธอไปเอาเรื่องถึงบ้านครอบครัวหลี่ 


 


 


ตอนนั้นพ่อหลี่ยังมีสีหน้าสดใส แต่ตอนนี้ดูซูบซีด สภาพอิดโรย เหมือนแก่ลงไปสิบปี เรื่องที่ภรรยาไปทำไม่ดีไว้กับลูกชายเกิดเรื่องได้สร้างความสะเทือนใจให้กับเขา 


 


 


พอเห็นพ่ออวี๋ เขาก็ยื่นมือมาจับมือพ่ออวี๋แล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด 


 


 


“ผมสอนลูกไม่ดี เอาเมียตัวเองไม่อยู่ทำให้บ้านพี่ต้องเดือดร้อนผมละอายใจจริงๆครับ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้หลี่เจิ้นป่วยหนักผมคงไปหาที่บ้านแล้วขอโทษด้วยตัวเองแล้ว” 


 


 


“พูดอะไรแบบนั้น ฉันเองที่ไม่สอนน้องสาวให้ดี ฉันผิดเอง” 


 


 


“อย่าพูดแบบนั้นครับ ความผิดของผมเอง” 


 


 


ทั้งสองคนต่างแย่งกันโทษตัวเอง บุคคลระดับสูงที่ปกติพูดจามีมาด เวลานี้ต่างพูดคำขอโทษออกมาจากใจ อาหญิงอยู่อย่างสบาย กลับไม่รู้เลยว่าได้สร้างความลำบากให้กับสามีและพี่ชายมากขนาดนี้ 


 


 


พ่อหลี่เคยเป็นเพื่อนทหารร่วมรบกับพ่ออวี๋มาก่อน ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ถึงแม้ต่อมาพ่อหลี่ได้ดีแล้วก็ยังรักษาความสนิทเอาไว้อยู่ แต่ตอนนี้พ่ออวี๋รู้สึกอายที่จะมาเจอเพื่อนคนนี้ เขาไม่ควรให้น้องสาวไปแต่งงานด้วยเลย 


 


 


ทางด้านพ่อหลี่ก็รู้สึกผิดต่อพ่ออวี๋ เรื่องทุกอย่างล้วนมีสาเหตุมาจากภรรยาของเขา เขางานยุ่งมากเลยไม่มีเวลาสนใจภรรยาตัวเอง สถานการณ์ในตอนนี้ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ 


 


 


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งเถียงกัน อาการหลานเป็นยังไงบ้างคะ?” แม่อวี๋ถาม 


 


 


พ่อหลี่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยืนอยู่ข้างๆพวกเขา ฟังพวกเขาคุยกันอย่างเงียบๆแล้วคิดว่าขั้นต่อไปตัวเองควรทำอย่างไร หลี่เจิ้นเรียกหาเธอเพราะอะไรกันแน่? 


 


 


หมอที่ดูแลหลี่เจิ้นมาพอดี พ่อหลี่จึงเรียกมา หมอจึงเริ่มอธิบายอาการของหลี่เจิ้น 


 


 


“พวกคุณดูที่แผ่นฟิล์มนี้นะครับ ตำแหน่งที่เขาบาดเจ็บอยู่ในไขสันหลัง ถือเป็นอาการบาดเจ็บที่รากประสาทขาที่ค่อนข้างเบา ความสามารถในการป้องกันความเสียหายของรากประสาทขามีมากกว่าไขสันหลัง ดังนั้นจากการประเมินของเรา สถานการณ์เลวร้ายที่สุดของเขาหลังผ่าตัดก็น่าจะไม่เกินระดับE หรืออาจไม่ถึงระดับEด้วยซ้ำ” 


 


 


“พูดอะไรน่ะ ช่วยพูดที่พวกเราเข้าใจหน่อยได้ไหม” พ่ออวี๋พูดด้วยความร้อนใจ 


 


 


แม่อวี๋เป็นหมอเข้าใจเรื่องพวกนี้ จึงอธิบายให้ทุกคนฟัง “กระดูกสันหลังทั้งหมดถ้าเกิดการหักล้วนมีโอกาสที่จะเป็นอัมพาต แต่ระดับความรุนแรงนั้นต่างกัน ระดับการฟื้นฟูหลังผ่าตัดก็ไม่เหมือนกัน ทางการแพทย์แบ่งระดับอัมพาตออกเป็นABCDE ห้าระดับ ระดับAหนักสุด ซึ่งก็คือผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ขับถ่ายไม่รู้ตัว ระดับEเบาสุด เพียงแค่อวัยวะบางจุดจะเกิดอาการชา” 


 


 


“งั้นอาการของเขาตอนนี้เป็นยังไงกันแน่?” พ่ออวี๋ถาม 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองแผ่นฟิล์มนั้นอย่างเงียบๆ ดูเหมือนเธอจะเข้าใจอะไรแล้ว 


 


 


“อธิบายให้คนอย่างคุณฟังไปก็ไม่เข้าใจหรอก เอาง่ายๆแล้วกัน ผลเอ็กซเรย์ของหลี่เจิ้นก็คือ เขาเป็นไม่ถึงระดับE ที่รักษาตัวให้ดีก็หาย แต่ว่า…ตอนนี้อาการของเขาอยู่ในระดับA ไม่รู้สึกตัว ขับถ่ายไม่รู้ตัว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้” 


 


 


สำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่งแล้ว นี่คือเรื่องที่โหดร้ายที่สุดในโลก ไม่มีเกียรติหลงเหลือในตัวเอง แม้แต่เรื่องขับถ่ายยังไม่สามารถจัดการเองได้ ต้องให้คนอื่นคอยช่วยเหลือ เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจให้เป็นอย่างมาก คนที่สภาพจิตใจอ่อนแออาจถึงกับเป็นโรคซึมเศร้าได้ หรือบางคนอาจฆ่าตัวตาย 


 


 


คำพูดของแม่อวี๋ทำให้ทุกคนอยู่ในความเงียบ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรับแผ่นฟิล์มจากในมือแม่อวี๋มาดูแล้วถามหมอเกี่ยวกับคำถามทางการแพทย์ ซึ่งหมอก็ค่อยๆตอบทีละข้อ แม่อวี๋เห็นแล้วก็ถามเสี่ยวเชี่ยนด้วยความสงสัย 


 


 


“หนูเรียนจิตแพทย์ไม่ใช่เหรอจ๊ะ ทำไมรู้เรื่องพวกนี้ด้วย?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ตอบคำถามแม่อวี๋ แต่ถามหมอต่อ 


 


 


“งั้นก็หมายความว่า จากผลตรวจของพวกคุณอาการหลี่เจิ้นไม่ควรออกมาเป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ ฉันหมายถึงในทางกายภาพน่ะค่ะ” 


 


 


“ใช่ครับ พวกเราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม เรียกประชุมด่วนกันแล้วด้วย ในบ้านเราเคสแบบนี้ไม่มีเลย พวกเราอยากจะหามาดูอ้างอิงก็หาไม่เจอ ไม่งั้นพวกคุณพาไปรักษาที่ต่างประเทศไหมครับ ให้เขาได้รับการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง” 


 


 


“ประเทศเราออกจะใหญ่ แพทย์แผนจีนประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี ทำไมถึงไม่มีใครรักษาได้สักคน? เรื่องอะไรจะต้องไปหาพวกฝรั่งด้วย ตอนที่บรรพบุรุษของพวกเราถือเข็มรักษาคน ประเทศของคนพวกนั้นยังไม่ก่อตั้งเลยด้วยซ้ำ ยาของประเทศเรายังมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าประเทศพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ” 


 


 


แม่อวี๋ถลึงตาใส่พ่ออวี๋ “เก็บความคิดคับแคบไปเลยนะ ตอนนี้รักษาหลานสำคัญกว่า คุณช่วยอะไรไม่ได้ก็อย่าทำเสียเรื่อง” 


 


 


พ่ออวี๋ หึ ออกมา ในใจรู้สึกไม่ยอม ในสายตาของเขาพระจันทร์ของประเทศเขายังกลมสวยกว่าของต่างประเทศด้วยซ้ำ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจแล้ว 


 


 


“ไม่ต้องไปต่างประเทศหรอกค่ะ” 


 


 


“เสี่ยวเชี่ยนหนูว่าอะไรนะ?” แม่อวี๋ถามอย่างตกใจ 


 


 


“ตอนนี้ในใจหนูมีวิธีในเบื้องต้นแล้ว แต่รายละเอียดจะเป็นยังไงคงต้องให้หนูเจอหลี่เจิ้นก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้หนูจะไปหาเขา รอหนูออกมาแล้วจะอธิบายรายละเอียดให้ฟังนะคะ” 


 


 


คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้บรรดาผู้ใหญ่ต่างมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเธอจะทำอะไร 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่อธิบาย หมอพาเธอเข้าไปในห้องผู้ป่วย หลี่เจิ้นตื่นอยู่สายตามองไปยังเพดาน สีหน้าเรียบเฉย ไม่เหมือนกับคนที่ได้รับการสะเทือนใจอย่างรุนแรง 


 


 


เขานิ่งเฉยคล้ายกับคนที่มองโลกนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว สายตาของเขาที่มองเพดานคล้ายกับกำลังหาทางเข้าของอีกโลกหนึ่ง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นสีหน้าของเขาก็แอบตกใจ 


 


 


ดูท่าหลี่เจิ้นจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว 


 


 


ในฐานะที่เป็นหมอที่เข้าใจจิตใจคน เห็นคนไข้จิตเวชมาจนชิน เสี่ยวเชี่ยนสามารถวินิจฉัยอาการผิดปกติต่างๆที่สะท้อนมาจากจิตใจได้อย่างรวดเร็ว หลี่เจิ้นอยู่ในวัยหนุ่มแต่กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าเวลานี้เขาโมโหร้าย อาละวาดใส่คนอื่น ทำพฤติกรรมต่างๆที่เป็นการระบายอารมณ์ ยังดูเป็นอาการที่ปกติ แต่เขานิ่งเฉยแบบนั้นคล้ายกับคนที่ปลงกับโลกนี้แล้ว นี่นับเป็นเรื่องใหญ่ 


 


 


“มาแล้วเหรอ” หลี่เจิ้นเห็นเสี่ยวเชี่ยนแล้ว เขาละสายตากลับมา แล้วทักทายเสี่ยวเชี่ยนด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

 

 

 


ตอนที่ 504 เสียดายที่สายเกินไป

 

“ได้ยินว่านายอยากเจอฉัน?” เสี่ยวเชี่ยนลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเขา 


 


 


“ใช่ ผมอยากพูดขอโทษคุณด้วยตัวเอง คำพูดนี้ผมควรบอกคุณตั้งแต่ก่อนที่จะไปอยู่ในเขตภูเขา แต่ตอนนั้นผมไม่กล้า ตอนนี้ผม—” 


 


 


หลี่เจิ้นมองไปที่ขาที่ไร้ความรู้สึกของตัวเอง แล้วพูดอย่างเศร้าๆ 


 


 


“ผมได้รับผลกรรมแล้ว ผมคิดว่าผมควรทำตัวอย่างลูกผู้ชาย รับผิดชอบในเรื่องที่ตัวเองทำผิด ผมติดค้างคำขอโทษกับคุณไว้” 


 


 


“ทำไมล่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม 


 


 


“เพราะผมเคยรักคนผิด เขาสร้างความลำบากให้กับคุณเป็นอย่างมาก อีกทั้งผมยังตำหนิคุณ และที่ทำให้ผมละอายใจยิ่งกว่าก็คือ แม่ผมไปทำเรื่องที่ผิดต่อคุณและญาติพี่น้องของผมเพื่อผมตั้งมากมาย ถ้าจะบอกว่ามันผิดมากขึ้นเรื่อยๆ งั้นมันก็คงจะเริ่มผิดตั้งแต่ผม ผมควรจะเป็นคนขอโทษอย่างจริงจัง” 


 


 


น้ำเสียงของเขาแสดงความจริงใจ 


 


 


“เฉินเสี่ยวเชี่ยนผมขอโทษ โปรดอภัยที่ผมยืนไม่ได้ ไม่สามารถโค้งคำนับให้คุณอย่างที่ลูกผู้ชายควรทำ เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะผม ตอนนี้ผมได้รับผลกรรมแล้ว ผมหวังว่าคุณกับครอบครัวลุงจะประนีประนอมกับแม่ผมได้ เขาทำเรื่องไม่ดีไปมากมาย แต่เขาไม่ใช่คนเลว เขาก็แค่รักผมมากเกินไป แต่ผมทำให้เขาผิดหวัง” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแยกแยะได้ คำขอโทษของหลี่เจิ้นมาจากใจจริง เธอรีบทำการวิเคราะห์ จะรับปากเขาทันทีไม่ได้เด็ดขาด 


 


 


เพราะถ้ารับปาก เขาจะหมดความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ 


 


 


“หลี่เจิ้น ถ้านายอยากจะทำตัวเหมือนลูกผู้ชายล่ะก็ ทำไมไม่กล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อล่ะ? นายคิดว่าแค่นายขอโทษฉันแล้วแม่นายจะดีขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง สมดุลในใจเขาจะยิ่งเสียหนักขึ้น ไม่แน่เขาอาจจะเป็นบ้าก็ได้ โดยเฉพาะถ้านายไม่อยู่แล้ว เขาจะยิ่งหมดทางจะอยู่ต่อ ฉันยอมรับว่าฉันไม่ชอบ — ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ ฉันเกลียดแม่นายมาก แต่เขาก็ไม่ควรถึงขั้นที่จะต้องตายเพื่อเป็นการไถ่โทษ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเคยพูดไว้ว่าในใจของเสี่ยวเชี่ยนมีตาชั่งอยู่อันหนึ่ง เธอใช้มาตรฐานพิเศษในแบบของตัวเองตัดสินสรรพสิ่งบนโลกนี้ เธอไม่มีทางปล่อยคนที่เคยรังแกเธอ แต่ก็ใช่ว่าจะล้างแค้นคนจนเกินขอบเขต ควรทำถึงขั้นไหนในใจเธอรู้ดี 


 


 


ต่อให้อาหญิงทำตัวน่าขยะแขยงกว่านี้ก็ไม่ถึงกับต้องไปตาย หลี่เจิ้นลูกชายของเขา เสี่ยวเชี่ยนไม่ถึงกับชอบ แต่ก็ไม่ได้เกลียด คิดเสียว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน ถ้าอย่างนั้นเขาก็ยิ่งไม่สมควรตาย 


 


 


“คุณรู้…ว่าผมอยากฆ่าตัวตาย?” หลี่เจิ้นตกใจ เรื่องที่พ่อแม่ของเขาไม่รู้ แต่เฉินเสี่ยวเชี่ยนกลับมองออกในทันที? 


 


 


“อย่าลืมนะว่าฉันทำงานอะไร? ฉันเป็นจิตแพทย์ ถึงแม้ว่าคนทำอาชีพอย่างฉันจะมีเครื่องมือ แต่ก็สู้เครื่องมือในโรงพยาบาลที่รักษาทางกายภาพไม่ได้หรอก ส่วนใหญ่พวกเราจะใช้การวิเคราะห์โดยอาศัยตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนชี้ไปที่ดวงตา สมอง และหัวใจ 


 


 


“ก็ได้ จิตแพทย์ คุณถูก ผมมีความคิดแบบนั้นจริงๆ อย่าบอกพ่อแม่ผมนะ คุณเป็นจิตแพทย์ งั้นคุณก็ต้องเข้าใจว่าเวลานี้ผมเป็นทุกข์มากแค่ไหน ถ้าชีวิตที่เหลือของผมแม้แต่การดูแลพื้นฐานทางร่างกายยังต้องให้พยาบาลช่วย งั้นผมอยู่ต่อก็มีแต่จะหมดหวังไปเรื่อยๆ ศักดิ์ศรีของผมก็จะหมดไป นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของผมแล้ว” 


 


 


ตอนนี้หลี่เจิ้นต้องการความตาย 


 


 


บ้านเขาฐานะดี สามารถจ้างพยาบาลมาดูแลเขาทั้งชีวิตได้ และก็มีคนอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ แต่ก็ทำได้แค่มีชีวิตเท่านั้น ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี สมองปกติแต่ร่างกายขยับไม่ได้ ทำได้แต่ลืมตามองตัวเองที่เหมือนเด็กทารก ขี้เยี่ยวบนที่นอน ช่างน่ากลัวเหลือเกิน 


 


 


เขาต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต บางทีพ่อเขาอาจจะซื้อรถเข็นอย่างดีให้ มีคนคอยช่วยเข็นเขาออกไปข้างนอก จากนั้นสายตาของผู้คนก็จะพุ่งมาที่เขา พอเขาถูกเข็นไปไกลแล้วก็จะมีคนซุบซิบนินทา 


 


 


ลูกตาหลี่พิการแล้วนะรู้ยัง ได้ยินว่าขี้เยี่ยวบนเตียงด้วย โตป่านนี้แล้ว… 


 


 


ก่อนหน้านี้เขาเคยโดนดูถูกมากมายจากการเป็นรักร่วมเพศ เขาทนคนนินทาลับหลังมาพอแล้ว พ่อที่น่าภาคภูมิใจและใสสะอาดถูกคนหมิ่นเกียรติก็เพราะเขา แล้วเขาจะปล่อยให้พ่อแม่โดนคนข้างนอกนินทาเรื่องที่เขาเป็นคนพิการอีกได้ยังไง? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจความรู้สึกของหลี่เจิ้น เพราะเมื่อชาติที่แล้วเธอเคยรักษาคนไข้แบบนี้มาหลายคน บางคนมาให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาหลังจากที่ประสบเคราะห์พิการทางร่างกาย เธอต้องช่วยให้พวกเขายอมรับความจริงให้ได้ ยอมรับที่ตัวเองไม่สมบูรณ์ 


 


 


แต่ก็มีหลายคนที่สถานการณ์กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น 


 


 


หลี่เจิ้นคือแบบหลัง 


 


 


เธอมองสีหน้าหลี่เจิ้นที่หมดความหวัง เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้พูดอะไรที่เป็นการปลอบใจ แต่กลับช่วยเสริมความคิดเขา 


 


 


“ถึงบ้านเราจะยังไม่มีการุณยฆาต แต่ฉันวางตัวเป็นกลางกับการตายด้วยวิธีนี้นะ ไม่ได้เห็นด้วยและก็ไม่ได้คัดค้าน เรื่องราวอย่างละเอียด การวิเคราะห์อย่างละเอียด ถ้าไม่ถึงจุดนั้นก็ไม่มีใครตัดสินแทนคนอื่นได้หรอกว่ามันถูกหรือผิด ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง การที่นายพิการมันเป็นเรื่องที่หนักหนามากจริงๆ นายมีความคิดอยากฆ่าตัวตายนั่นก็เป็นอาการปกติ ฉันมีเจอเคสแบบนี้อยู่บ้าง แค่ตอนที่ฉันทำการรักษาให้พวกเขา ในใจของฉันเจ็บปวดมาก” 


 


 


“ทำไมล่ะ?” หลี่เจิ้นเกิดความรู้สึกสนใจในคำพูดของเสี่ยวเชี่ยน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสนใจในคำพูดของคนอื่นนับตั้งแต่เกิดเรื่อง บนตัวเสี่ยวเชี่ยนเหมือนมีเวทมนตร์วิเศษ ไม่มีใครเดาความคิดเธอได้ แต่เธอกลับรู้ว่าต้องทำอย่างไรคนอื่นถึงจะฟังคำพูดเธอ 


 


 


หลี่เจิ้นยังไม่รู้ตัวว่าเขาได้กลายเป็นคนไข้ของเสี่ยวเชี่ยนไปแล้ว 


 


 


“เพราะว่าการมีชีวิตอยู่ต่อทุกข์ยิ่งกว่าการตาย จริงๆนะ ฉันเคยรักษาให้นักกีฬาที่เป็นอัมพาตทั้งตัว เขาอยากให้คนในครอบครัวสบายใจจึงพยายามให้ความร่วมมือในการรักษากับฉัน ต่อสู้กับอาการซึมเศร้าครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันรักษาให้เขาครั้งหนึ่ง กลับไปต้องกินเหล้าขาวครึ่งขวด” 


 


 


“คุณดื่มเหล้าด้วยเหรอ?” ดูไม่ออกเลยจริงๆ เสี่ยวเชี่ยนดูเป็นเด็กดี 


 


 


“เรื่องนี้ห้ามบอกอวี๋หมิงหลางนะ นี่เป็นความลับระหว่างเรา ฉันไม่ใช่พวกขี้เมา แต่ทุกคนล้วนต้องมีที่ระบายอารมณ์ ถ้าตอนนั้นฉันอยู่กับอวี๋หมิงหลางก็คงไม่ต้องใช้เหล้าแก้ปัญหา จิตแพทย์อย่างพวกเราวันๆเจอแต่เรื่องด้านลบ ถึงเราจะทำงานที่ปลอบใจคนอื่น แต่บางครั้งพวกเราต้องเจอกับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ได้แต่เก็บความอึดอัดไว้ ดื่มเหล้าปลอบใจตัวเอง” 


 


 


ถ้าชาติที่แล้วเธออยู่กับอวี๋หมิงหลาง จะดื่มเหล้าแก้เซ็งทำไม จับเสี่ยวเฉียงแก้ผ้าแล้วลากขึ้นเตียงซะ กลิ้งไปกลิ้งมาให้เหงื่อออก อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าจิตใจจะสดชื่นไปทั้งอาทิตย์ 


 


 


นี่เป็นวิธีที่เสี่ยวเชี่ยนคิดได้หลังจากที่สูญเสียพรหมจรรย์ รู้สึกว่าเสี่ยวเฉียงมีประโยชน์มากเหลือเกิน 


 


 


“ถ้าผมไม่เกิดเรื่อง บางทีพวกเราอาจมีโอกาสได้เป็นเพื่อนกัน น่าเสียดาย…” เวลานี้หลี่เจิ้นเพิ่งจะค้นพบว่า เสี่ยวเชี่ยนไม่ใช่คนที่ทำตัวเย่อหยิ่งเจ้าเล่ห์แผนสูงอย่างที่เขาคิด เวลาเธอทำงานเธอมีจิตใจที่บริสุทธิ์ 


 


 


แต่น่าเสียดายที่สายเกินไป เขาไม่อาจมีเพื่อนได้อีกต่อไปแล้ว เขากำลังจะจากโลกอันโหดร้ายนี้ไป  

 

 


ตอนที่ 505 ทำอะไรน่ะ

 

“เสียดายอะไร? พวกเราเป็นเพื่อนกันนายจะกลัวอะไร? นายชอบผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย ถึงคู่หมั้นฉันจะเป็นราชาจอมหึง แต่เขารู้รสนิยมทางเพศของนาย เขาเป็นศัตรูหัวใจกับนายไม่ได้หรอก อีกอย่างเขาก็ไม่มีทางขัดหูขัดตานาย ดังนั้นพวกเราเป็นเพื่อนกันได้” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนขัดจังหวะความคิดของหลี่เจิ้น 


 


 


หลี่เจิ้นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับคำพูดของเธอดี 


 


 


“คุณรู้ว่าผมไม่ได้หมายความแบบนั้น—” 


 


 


“อ่อ นายกลัวฉันหึง กลัวว่านายจะถูกใจเสี่ยวเฉียงของฉันขึ้นมางั้นสิ? เป็นไปไม่ได้ใหญ่ พวกนายจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน บทการ์ตูนแบบนี้สืออวี้เอาไปวาดก็บ่อย แถมยังตั้งชื่อซะสวยหรู พันธนาการต้องห้ามอะไรบ้าบอ ถุย ก็แค่นิยายการ์ตูนเพ้อฝันที่ทำให้คนเข้าใจผิด คนใกล้ตัวเขาไม่กินกันเองหรอก” 


 


 


“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” ก่อนหน้านี้หลี่เจิ้นไม่สังเกตเห็นเลยว่าเสี่ยวเชี่ยนจะขัดจังหวะเก่งแบบนี้ 


 


 


“งั้นนายหมายความว่า กลัวว่านายกับเสี่ยวเฉียงเกิดถูกใจกันเองแล้วฉันจะหึง? วางใจได้ ตราบใดที่ฉันยังอยู่ เขาไม่มีทางไปตกหลุมรักผู้ชายหรือผู้หญิงหน้าไหน เรื่องนี้ฉันพอจะมีความมั่นใจอยู่” 


 


 


“ผมไปตายดีกว่า” ความคิดหมดหวังของหลี่เจิ้นเมื่อครู่ถูกเสี่ยวเชี่ยนทำสับสนไปหมด ผู้หญิงคนนี้บุคลิกแตกต่างสุดขั้ว บางครั้งก็หนักแน่นดั่งขุนเขา บางครั้งก็เพี้ยนเหมือนคนบ้า 


 


 


“ตายเลย นายตายพ่อนายจะได้ผิดหวังไปตลอดชีวิต ก่อนหน้านี้เขาตำหนิตัวเองที่ไม่ได้สั่งสอนนายให้ดี ต่อไปเขาก็จะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลนายให้ดี แม่นายขนาดตอนนี้ยังเป็นแบบนี้ ถ้ามีอะไรทำให้สะเทือนใจอีกอาจล้มหมอนนอนเสื่อจนตายเลยก็ได้ เชงเม้งทุกปีฉันต้องหิ้วของไปไหว้อีก ต้นทุนมันสูงอยู่นะ…” 


 


 


หลี่เจิ้นโมโหแทบบ้า “ทำไมคุณถึงได้ปากร้ายแบบนี้นะ? คุณแค้นอะไรผมก็มาลงที่ผมนี่ ทำไมต้องแช่งให้พ่อแม่ผมตายไวๆด้วย?” 


 


 


“นี่ไม่เรียกแช่ง นี่คือประสบการณ์หลายปีของแพทย์คลินิก หลี่เจิ้นนายจะไม่เชื่อฉันก็ได้ แต่นายไม่เชื่อในวิชาชีพของฉันไม่ได้ ถ้านายตายตอนนี้ วิญญาณนายก็จะไม่ไปไหน นายจะมองเห็นอย่างชัดเจนว่าพ่อแม่นายเป็นยังไง ความรู้สึกที่คนหัวหงอกต้องมาส่งคนหัวดำนายเข้าใจไหม?” 


 


 


“แล้วความรู้สึกที่เหมือนตายทั้งเป็นคุณเข้าใจหรือเปล่า? สภาพผมทุเรศขนาดนี้อย่างกับเด็กทารก คุณดูสิว่าผมใส่อะไร ทำไมผมต้องมีชีวิตอยู่อย่างไร้ค่าแบบนี้ด้วย” 


 


 


“นายคิดว่าไร้ค่า แต่พ่อแม่นายกลับคิดว่าการที่นายยังมีลมหายใจมันคือความหวังสุดท้ายของพวกเขา นักกีฬาที่เป็นอัมพาตคนนั้นทุกคืนเขาจะร้องไห้จนเช้า แต่พอเจอคนในครอบครัวก็พยายามฝืนร่าเริง นายรู้ไหมว่าทำไม? เพราะเขารู้ว่าต่อให้มีชีวิตอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี พ่อแม่ ลูกกับภรรยาของเขาก็ยังรู้สึกว่าชีวิตมีความหวัง นายก็แค่มีรสนิยมทางเพศไม่เหมือนคนอื่น แต่นายเป็นผู้ชาย นายมีความรับผิดชอบมีหน้าที่ อุปสรรคแค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้วเหรอ?” 


 


 


“ทำไมผมจะไม่อยากเข้มแข็ง แต่คุณบอกผมทีว่าผมมีชีวิตอยู่แบบนี้ยังจะมีความหมายอะไร? ตั้งแต่ตรงนี้ลงไปผมไม่มีความรู้สึกเลยสักนิด ขายังอยู่บนตัวผมแต่มันทำอะไรไม่ได้เลย ผมนอนอยู่บนเตียง พ่อแม่ทะเลาะกันอยู่ข้างนอกเพราะเรื่องของผม  พวกเขาคิดว่าผมหลับแล้ว แต่จริงๆผมได้ยินหมด สภาพผมเป็นแบบนี้ ผม…” 


 


 


หลี่เจิ้นพูดไม่ออกอีกต่อไป อารมณ์ที่เขาอัดอั้นมานานได้ระเบิดออกมา นับตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็ไม่ได้พูดคุยกับใครมากมายขนาดนี้มาก่อน อย่าว่าแต่อาละวาดเลย แค่พูดยังไม่พูด อารมณ์ความรู้สึกอัดอั้นอยู่ในใจมาตลอด เสี่ยวเชี่ยนค่อยๆทำให้เขาระบายออกมาทีละนิด ทำให้ความอัดอั้นที่มีถูกปลดปล่อย 


 


 


เวลานี้พ่ออวี๋แม่อวี๋และพ่อหลี่ต่างกำลังมองผ่านกล้องวงจรปิด ถึงจะไม่ได้ยินเสียงแต่ก็รู้สึกได้ว่าหลี่เจิ้นกำลังโมโห 


 


 


“ไม่ได้ จะทำให้เขาสะเทือนใจไม่ได้ ผมต้องไปห้ามเด็กคนนี้ เขามีความแค้นอะไรก็มาลงที่ผมนี่ อย่าทำแบบนี้กับหลี่เจิ้น” 


 


 


พอเงยหน้าก็เห็นอวี๋หมิงหลางที่มาแบบเต็มยศ 


 


 


“เจ้าเล็กมาได้ยังไง? มาตั้งแต่เมื่อไร?” พ่ออวี๋แม่อวี๋เห็นลูกชายตัวเองแล้ว เมื่อครู่พวกเขาจิตใจจดจ่ออยู่ที่หน้าจอเลยไม่ทันได้สังเกตว่าอยู่หมิงหลางมายืนอยู่ข้างหลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อไร 


 


 


“มาได้สักพักแล้วครับ” 


 


 


ไม่ช้าไม่เร็ว มาทันเห็นเสี่ยวเชี่ยนยั่วโมโหหลี่เจิ้นพอดี 


 


 


“เจ้าเล็ก อ่านปากคนเป็นไม่ใช่เหรอ รีบมาดูซิว่าสองคนนี้พูดอะไรกัน” แม่อวี๋ถาม 


 


 


พ่อหลี่รอไม่ไหวจะลุกขึ้นยืน “ผมจะเข้าไป ความโกรธแค้นทั้งหมดเอามาลงที่ผมนี่ อย่าไปลงกับหลี่เจิ้น” 


 


 


“นั่งลง” อวี๋หมิงหลางเอามือกดตัวพ่อหลี่ให้นั่งลง 


 


 


พ่อหลี่จ้องเขาด้วยความโมโห “เจ้าเล็ก เราคิดจะทำอะไร” 


 


 


“อาอย่าทำเสียเรื่อง คู่หมั้นของผมกำลังรักษาหลี่เจิ้น หลี่เจิ้นบอกว่าเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว อยากไปตาย คู่หมั้นของผมกำลังทำให้เขาได้ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจ นี่เป็นวิธีรักษาของจิตแพทย์ อาไปหาหมอเก่งๆแบบนี้ข้างนอกไม่ได้หรอกครับ” 


 


 


“หา…เขาไม่อยากอยู่ต่อแล้ว?” พ่อหลี่สะเทือนใจ เอามือปิดหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่ให้ใครเห็นน้ำตาที่ไหลออกมา 


 


 


“ไม่ต้องเครียดครับ ดูนั่น คู่หมั้นผมจะยิ้มมุมปากทีละนิด สายตาเปล่งประกายความมั่นใจ หน้าเชิ่ดเล็กน้อย ผมเคยสังเกตดู ถ้าเขามีสีหน้าลักษณะแบบนี้ก็แสดงว่าเขามีความมั่นใจว่าเอาอยู่แน่ พวกอาอย่าเข้าไปขัด ปล่อยให้พวกเขาคุยบำบัด[1]กันต่อ” 


 


 


“เคมีบำบัด?” แม่อวี๋ถาม 


 


 


“ไม่ใช่อย่างที่แม่คิด ผมหมายถึงการบำบัดด้วยการพูดคุยของจิตแพทย์ เขาเรียกว่าคุยบำบัด อย่ากวนสมาธิสิครับ ผมต้องอ่านปากว่าเธอพูดว่าอะไร โรงพยาบาลนี้ติดตั้งอุปกรณ์ไม่ได้เรื่องมีแต่ภาพไม่มีเสียง?” 


 


 


การอ่านภาษาปากเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก อวี๋หมิงหลางแทบจะไม่ละสายตาไปไหน 


 


 


ว่าที่ภรรยาที่แสนสวยของเขา ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันสวยขึ้นอีกแล้ว~ 


 


 


โดยเฉพาะสีหน้าที่คุมสถานการณ์ด้วยความมั่นใจนั่น เขาอยากจะเข้าไปจับจูบจริงๆ อวี๋หมิงหลางรู้สึกหมั่นเขี้ยวมาก แต่จะไปทำเสียเรื่องระหว่างที่แฟนกำลังหลอกคนไม่ได้ ไม่ใช่สิ กำลังรักษาคน ทำได้แค่เก็บความอยากไว้ในใจ แล้วจับจ้องไปที่หน้าจอ 


 


 


“เสี่ยวเชี่ยนพูดว่าไงบ้าง?” 


 


 


“เธอกำลังยั่วยุอารมณ์หลี่เจิ้น ให้เขาได้ระบายความท้อแท้หมดหวัง จากนั้น…โอ๊ะ เป็นขี้เมาด้วย? เรื่องชอบดื่มเหล้านี่ปิดบังผมเอาไว้ คราวก่อนโกหกผมว่าดื่มไม่เป็น…” 


 


 


“อะไรนะ?” แม่อวี๋ได้ยินไม่ชัด 


 


 


“อย่าพูดสิครับ ผมกำลังดูอยู่” อวี๋หมิงหลางตัดสินใจแล้วว่า ไว้มีโอกาสจะลองทดสอบความคอแข็งของขี้เมาคนนี้ ผู้หญิงจอมหลอกลวง กินเหล้าขาวได้ตั้งครึ่งขวดยังจะบอกคนอื่นว่าไม่ให้บอกเขาอีก? 


 


 


หึ เขารู้แล้ว 


 


 


“อย่ามาห้ามฉัน ฉันจะไปดูลูกชาย” ด้านนอกมีเสียงผู้หญิงโวยวายดังขึ้น ทุกคนรู้ทันที 


 


 


อาหญิงมาแล้ว 


 


 


มาทำไมตอนนี้? 


 


 


 


 


 


[1] คำศัพท์พ้องเสียงกับคำว่าเคมีบำบัด  

 

 


ตอนที่ 506 จริงจัง

 

พ่อหลี่ไม่ให้อาหญิงมาเยี่ยมหลี่เจิ้น ไม่เพียงแค่เพราะไม่พอใจในการทำตัวในช่วงนี้ของอาหญิง ยังเป็นเพราะด้วยนิสัยของอาหญิงจะยิ่งทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น 


 


 


ตอนนี้ลูกชายเป็นแบบนี้แล้ว หากเธอมาอย่าว่าแต่จะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ไม่แน่อาจทำให้เกิดผลในทางตรงกันข้าม 


 


 


เมื่อคืนอาหญิงบุกมา อีกทั้งยังทะเลาะกับพ่อหลี่ ยิ่งไปกระตุ้นความคิดที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อของหลี่เจิ้นที่อยู่ในห้อง 


 


 


ตอนนี้พอได้ยินเสียงอาหญิงบุกมาอีกแล้ว พ่อหลี่ก็ทั้งโมโหทั้งจนปัญญา 


 


 


อวี๋หมิงหลางรีบเอามือออกจากตัวอาเขย แล้วผายมือทำท่าเชิญ 


 


 


ไปเถอะ รีบไปเก็บผู้หญิงตัวทำลายครอบครัวคนนี้ซะ 


 


 


พ่อหลี่ออกไปข้างนอก พ่ออวี๋กับแม่อวี๋ต่างไม่อยากออกไป อยากอยู่ดูว่าเสี่ยวเชี่ยนจัดการกับหลี่เจิ้นยังไง แต่ก็ยังไม่ลืมแสดงจุดยืน 


 


 


“คุณไปสิ คุณเป็นพี่ชายไม่ไปแล้วใครจะไป?” แม่อวี๋ผลักพ่ออวี๋ 


 


 


“นี่มันเรื่องของผู้หญิงอย่างพวกคุณ พี่สะใภ้ใหญ่เปรียบเหมือนแม่ คุณไปสิ” พ่ออวี๋เห็นน้องสาวที่ไม่เอาไหนของตัวเองแล้วก็ปวดหัว 


 


 


ด้านนอกทะเลาะกันแล้ว 


 


 


“ฉันมาเยี่ยมลูกชายตัวเองแล้วมันยังไงกัน ลูกแม่ ลูกชายที่น่าสงสารของแม่” 


 


 


หลังจากที่อาหญิงถูกเสี่ยวเชี่ยนยั่วโมโหไปสภาพอารมณ์ก็ไม่ค่อยมั่นคง ในใจเอาแต่เฝ้าคิดถึงลูกชาย แม้แต่ภาพลักษณ์ที่เคยห่วงนักหนาก็ไม่สนแล้ว 


 


 


เสียงของพ่อหลี่ที่บอกให้เธอออกไปถูกเสียงของอาหญิงกลบหมด 


 


 


“อาเขยท่าทางหงอๆแบบนั้น มิน่าเอาอาหญิงไม่อยู่” อวี๋หมิงหลางมองที่หน้าจออย่างไม่อยากละสายตา ลูกเชี่ยนนี่เท่ห์จริงๆ อยากมองให้นานๆ แต่เขาต้องรีบจัดการเรื่องนี้ 


 


 


พออวี๋หมิงหลางออกไปก็เห็นอาหญิงจิกหัวอาเขยไม่ยอมปล่อยมือ หมอกับพยาบาลต่างไม่กล้าเข้าไปห้าม รู้ดีว่าคนตรงหน้ามีสถานะใหญ่โตแค่ไหน 


 


 


“อาเขย อาออกจะเป็นลูกผู้ชายหน้าที่การงานใหญ่โต ทำไมไม่ฮึดเอาจริงหน่อยล่ะครับ?” 


 


 


พออวี๋หมิงหลางเดินเข้าไป อาหญิงเห็นแล้วอารมณ์ก็รุนแรงยิ่งกว่าเดิม ยกมือชี้หน้าเขา “อวี๋หมิงหลาง เพราะแกคนเดียว แกกับผู้หญิงที่น่าขยะแขยงนั่นเป็นคนประเภทเดียวกัน พวกแกมันไม่ใช่คนดี” 


 


 


“ครับ พวกเราไม่ใช่” อวี๋หมิงหลางเห็นด้วย จากนั้นก็ยกมือขึ้นแล้วฟันไปยังจุดที่เล็งไว้ อาหญิงสลบทันที 


 


 


“ไม่ใช่คนดี” อวี๋หมิงหลางเอาอย่างเสี่ยวเชี่ยน ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไร ถ้าบอกว่าฉันไม่ใช่คนดี เรื่องที่ไร้เหตุผลทั้งหมดก็จะมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล 


 


 


อาหญิงล้มลงไปกองกับพื้น อวี๋หมิงหลางกวักมือ “ลากเขาไปขังไว้ในห้องอย่าให้ออกมาวุ่นวาย ถ้าฟื้นขึ้นมาแล้วอาละวาดก็ฉีดยาให้นอนไป—อาเขยรีบให้คนมารับอาหญิงไป อย่าให้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล” 


 


 


 รับมือกับผู้หญิงแบบนี้พูดเหตุผลไปก็เท่านั้น อวี๋หมิงหลางเลยใช้กำลังจัดการ 


 


 


“เยX” 


 


 


“มีอะไร?” แม่อวี๋ไม่รู้ว่าทำไมอวี๋หมิงหลางมองหน้าจอแล้วก็ดูตื่นเต้นขึ้นมา 


 


 


“แย่แล้วๆ เสียวเหม่ยของผมจะเป็นปีศาจแล้ว นี่มันจะเก่งเกินไปแล้ว” 


 


 


“อยากโดนอัดใช่ไหม? พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยไม่ได้หรือไง?” พ่ออวี๋ถาม 


 


 


บนหน้าจอ หลี่เจิ้นไม่ได้พูดอะไร ได้แต่แสดงสีหน้าหวาดกลัวอยู่นาน คล้ายกับว่ากำลังสะเทือนอารมณ์อย่างหนัก 


 


 


ส่วนเสี่ยวเชี่ยนยังมีท่าทีคุมเกมเหมือนเดิม คล้ายกับว่าโลกทั้งใบอยู่ในกำมือเธอ 


 


 


“ถ้าผมพูดไปพ่อกับแม่อาจตกใจยิ่งกว่าผมอีก เสียวเหม่ยของผมพูดกับหลี่เจิ้นว่า…” 


 


 


อวี๋หมิงหลางจ้องหน้าจออย่างตั้งใจ แล้วเริ่มแปลในสิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนพูดไปพร้อมๆกัน 


 


 


พอพ่ออวี๋ฟังจบก็มีท่าทางแบบเดียวกับอวี๋หมิงหลาง 


 


 


“เยX” 


 


 


แม่อวี๋เกลียดที่สุดเวลาพ่ออวี๋พูดคำหยาบ ดูไม่สมเกียรติ แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน แม่อวี๋ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ เธอถามด้วยความตกใจ 


 


 


 “แกพูดจริงเหรอ? เสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนั้นจริงๆเหรอ? นั่นเป็นการปลอบหลี่เจิ้นหรือเปล่า?” 


 


 


“ผู้หญิงของผมเป็นคนไม่รับผิดชอบต่อคำพูดเหรอครับ? ดูสีหน้าที่มั่นใจของเธอสิ ถ้าไม่มั่นใจสัก200%เธอจะพูดแบบนั้นเหรอ?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ เสียวเหม่ยของเขาร้ายกาจมากๆ 


 


 


หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนทำให้หลี่เจิ้นได้ปลดปล่อยอารมณ์แล้ว ตอนที่หลี่เจิ้นกำลังโวยวายคุมสติไม่ได้อยู่นั้น เธอพูดออกมาแค่ทีเดียวก็เอาหลี่เจิ้นอยู่หมัด 


 


 


“ถ้านายเป็นอัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไปตลอดชีวิตแล้วเกิดความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายงั้นฉันก็ไม่ขอแสดงความคิดเห็นแล้ว ยังไงซะการให้เกียรติชีวิตไม่เพียงแต่จะต้องเคารพในการเลือกที่จะอยู่ ยังต้องเคารพในสิทธิ์ของคนตายทุกคน ความเป็นความตายอยู่ในกำมือตัวนายเอง ต่อให้ความคิดอยากตายของนายจะมีมากกว่าความรักที่นายมีให้กับคนในครอบครัวก็ตาม ฉันก็จะเคารพในการตัดสินใจของนาย แต่ปัญหาคือ นายไม่ได้เป็นอัมพาตจริงๆเสียหน่อย นายยังลุกขึ้นยืนได้ แล้วทำไมถึงได้หมดหวังแบบนี้?” 


 


 


“คุณว่า…อะไรนะ?” หลี่เจิ้นคิดว่าตัวเองฟังผิด 


 


 


“ฉันจะเล่าเรื่องสนุกให้ฟัง ฉันชอบดูหนังซอมบี้ มีอยู่เรื่องตลกมาก เป็นตลกแบบร้ายๆ เรื่องมีอยู่ว่าผู้ชายคนหนึ่งถูกซอมบี้กัดแขน เขาก็คิดว่าจะเหมือนในหนังที่พอถูกกัดก็จะกลายเป็นซอมบี้ เขาเลยกัดฟันจะตัดแขนทิ้ง แต่ปรากฏว่า…มีซอมบี้โผล่ขึ้นมาจากใต้หิมะอีกตัวหนึ่ง แล้วกัดตรงตำแหน่งกึ่งกลางหว่างขาที่ไม่อาจบรรยายได้ เขาถือเลื่อยไฟฟ้าด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าจะเลื่อยทิ้งดีไหม…และที่ตลกก็คือ เขาตัดแขนทิ้งไปแล้วถึงได้รู้ว่าเชื้อซอมบี้มันไม่ได้ติดต่อ ฮ่าๆๆๆ” 


 


 


“…เมื่อกี้คุณบอกว่าผมยังกลับมายืนได้อีกเหรอ?” หลี่เจิ้นแทบไม่อยากเชื่อ 


 


 


“ถูกต้อง นายจะยืนได้อีก นายยังไม่ได้ดูฟิล์มเอ็กซเรย์ของหมอเหรอ? ร่างกายของนายดูจากอาการแล้วไม่ได้ร้ายแรงอะไร ดังนั้นถ้านายจะมาตายเพราะเรื่องนี้นายก็จะเหมือนผู้ชายที่ตัดแขนตัวเองทิ้งโดยเสียเปล่า โง่ไหมล่ะ?” 


 


 


“แต่ขาผมมันไม่มีความรู้สึก หมอมาตรวจก็ยังไม่รู้สึก เอาเข็มจิ้มก็ไม่ตอบสนอง ผม…ผมเป็นอัมพาตแล้วจริงๆ ผมยืนไม่ได้แล้ว” 


 


 


หลี่เจิ้นลองขยับ แต่ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปไร้ความรู้สึก คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนได้จุดประกายความหวังในตัวเขา เธอมีความสามารถในการทำให้คนเชื่อ 


 


 


“ปกติ เพราะถึงร่างกายนายจะปกติ แต่ตรงนี้ของนายป่วย” เสี่ยวเชี่ยนจับที่หัวใจตัวเอง หลี่เจิ้นทำตามเธอ 


 


 


“คุณจะบอกว่าผมเป็นโรคหัวใจเหรอ?” 


 


 


“ไม่ใช่ จิตใจนายที่มีปัญหา ฉันวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า นายมีความกังวลมากเกินไปจนทำให้ขาเดินไม่ได้ หรือที่เรียกันว่าSSD—ไม่สิ ไม่ใช่ที่เรียกกัน” 


 


 


SSDหรือภาวะโซมาติก เป็นโรคที่ส่งผลกระทบในการดำเนินชีวิตอันเนื่องมาจากปัจจัยด้านสภาพจิตใจ นี่เป็นทฤษฎีที่พูดกันในอีกสิบกว่าปีให้หลัง เอามาพูดตอนนี้จะเร็วเกินไปมาก 


 


 


บางคนก็เรียกว่าโรคกายและใจ เพียงแต่อาการของคนอื่นไม่ได้ชัดเจนแบบหลี่เจิ้น 


 


 


“ถ้าใช้วิธีรักษาแบบจิตแพทย์ในการรักษานาย อย่างเร็วสุดหนึ่งวันขาของนายก็จะมีการตอบสนอง ช้าสุดหนึ่งเดือนนายก็จะยืนได้” 


 


 


“คุณ…ล้อผมเล่นหรือเปล่า?” น้ำเสียงของหลี่เจิ้นสั่นเครือ หัวใจที่หมดหวังไปแล้ว ไม่รู้ทำไมกลับมามีความหวังอีกครั้ง ความรู้สึกที่หวาดกลัวความล้มเหลวทำให้เขาต้องเอานิ้วกดตาไว้อย่างหมดหวัง ไม่ให้เสี่ยวเชี่ยนเห็นน้ำตาของเขา 


 


 


“อย่ามาหลอกผม เฉินเสี่ยวเชี่ยน อย่ามาหลอกผม ผมคงทนไม่ไหว ผมจะเป็นบ้า คุณอย่ามาให้ความหวังที่มันไม่มีอยู่จริง” 


 


 


“ฉันเฉินเสี่ยวเชี่ยนพูดคำไหนคำนั้น ฉันบอกว่ารักษาได้ก็ได้สิ ถ้ารักษาไม่ได้ฉันจะตัดขายกให้นายเลย” 

 

 

 


ตอนที่ 507 ประเด็นสำคัญคือเงิน

 

หลี่เจิ้นตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่พอได้ยินเสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อ


 


 


“คุณเป็นผู้หญิงผมเอาขาคุณมาก็เอามาใส่ไม่ได้อยู่ดี”


 


 


“งั้นฉันจะตัดขาเสี่ยวเฉียงของฉันใส่ให้นายแทน ถ้าไม่มั่นใจฉันจะให้สัญญาแบบนี้เหรอ? เชื่อฉันนายมีทางหาย หนุ่มน้อยนายโชคดีมาก ในบ้านเราเคสแบบนายยังไม่มีเลย นายมาเจอฉันถือว่านายโชคดีมาก”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้โม้ โรคจิตเวชแบบนี้พบเจอได้น้อยมาก คนที่รักษาได้มีไม่เยอะ เธอเองก็ทำได้จากการสั่งสมประสบการณ์เมื่อชาติก่อน และที่บังเอิญมากก็คือ วิธีการรักษานี้เกิดจากการคลำผิดคลำถูกของอาจารย์เธอจนวิจัยได้ออกมาในอีกหลายปีให้หลัง เป็นผู้เปิดทางในเรื่องนี้ของการรักษาในประเทศ เสี่ยวเชี่ยนเอามาใช้ก่อนหลายปีเลยตอนนี้


 


 


อันที่จริงขอบเขตที่เกี่ยวข้องกับภาวะโซมาติกนั้นกว้างมาก อาการที่แสดงออกก็ต่างกัน ภายนอก ภายใน ผู้ใหญ่ เด็ก อวัยวะเฉพาะต่างๆเช่น หู ตา คอ จมูก ปาก เป็นต้น ล้วนพบเจอภาวะโซมาติกได้ทั้งนั้น พูดแบบเข้าใจง่ายๆก็คือ ตรวจแล้วตัวเองไม่เป็นอะไร แต่กลับรู้สึกร่างกายไม่โอเค


 


 


บางคนรู้สึกกระเพาะหรือหัวใจมีปัญหา บางคนรู้สึกแน่นหน้าอกกินยาอยู่นาน ตรวจร่างกายแล้วก็ไม่พบความผิดปกติ นี่ก็คือภาวะโซมาติกที่เกิดจากการวิตกกังวลมากเกินไป


 


 


หลี่เจิ้นโชคดีเหลือเกินที่มาเจอเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนมีความมั่นใจมากที่จะรักษาโรคนี้


 


 


“คุณรักษาผมได้จริงๆเหรอ? จะทำให้ผมยืนได้? ผมไม่ขอถึงขนาดกระโดดโลดเต้นแบบคนปกติได้ เอาแค่ใช้ชีวิตดูแลช่วยเหลือตัวเองได้ก็พอ…”


 


 


เขาไม่ขออะไรมากจริงๆ ขอแค่ไม่อยู่อย่างไร้เกียรติเป็น พอสักนิดก็ยังดี


 


 


“น่าเสียดายที่ฉันทำตามความต้องการของนายไม่ได้”


 


 


พอเสี่ยวเชี่ยนพูดจบหลี่เจิ้นก็ก้มหน้าอย่างเศร้าสร้อย รู้สึกเหมือนตกอยู่ในหุบเหวลึก


 


 


“ว่าแล้ว…ผมเป็นถึงขนาดนี้แล้วจะกลับมาดูแลตัวเองได้ยังไง จบสิ้นแล้ว ต่อไปผมก็เป็นคนพิการ”


 


 


“พอเลย ทำไมทำหน้าเหมือนจะตายอีกแล้ว? ความหมายของฉันคือ ฉันทำไม่ได้อย่างที่นายขอแค่ให้พอดูแลตัวเองได้ เพราะจากที่ฉันดูฟิล์มเอ็กซเรย์ ขอแค่นายให้ความร่วมมือในการรักษากับฉัน อย่าว่าแต่ช่วยเหลือตัวเองเลย กระโดดโลดเต้นก็ไม่มีปัญหา แย่สุดก็อาจจะมีชาๆบ้างบางครั้ง แต่ถ้าฟื้นฟูได้ดีปัญหาก็ไม่ใหญ่ แต่ต่อไปพอถึงวันฝนตกฟ้าครึ้มเอวนายจะต้องปวดแน่นอน แบบนี้นายต้องไปเข้าหาแม่สามีฉันแล้วแหละ ยาต้มของท่านเจ๋งมากเลยนะ ถ้านายมาซื้อเดี๋ยวฉันลดให้…”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกนับถือตัวเองมาก เธอช่างเป็นสะใภ้ที่รักครอบครัวจริงๆ ยังไม่ทันจะแต่งเข้าบ้านก็เรียกลูกค้าให้แม่สามีแล้ว เนื่องจากมีความแค้นกับอาหญิง ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เธอจะให้ฟรีไม่ได้ ยังคิดจะขูดรีดเอาให้หมดตัวอีกด้วย


 


 


ต่อไปถ้าบ้านอาหญิงมาเอายาต้มต้องเก็บเงิน ไม่สนิท หึ


 


 


“แต่คุณจะรักษาผม…ได้ยังไง?”


 


 


“สูดน้ำมูกกลับเข้าไปแล้วฉันจะบอกนาย ลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างนายเห็นน้ำตาเป็นอะไร? เรื่องแค่นี้เอง ฉันน่ะโรคที่มีความซับซ้อนสุดอย่างโรคซึมเศร้ายังรักษาได้ ไหนจะโรคประสาทที่ยอมรับกันว่าเป็นโรคที่รักษายากฉันก็รักษาได้มาแล้ว ยกเว้นโรคย้ำคิดย้ำทำที่ฉันเป็นอยู่ ฉันยังหาทางแก้ไม่ได้ แล้วโรคขี้ปะติ๋วอย่างของนาย ถ้าบอกว่าฉันรักษาไม่ได้มันจะไม่เป็นการดูถูกตัวเองไปหน่อยเหรอ?”


 


 


โรคจิตเวชที่รักษายากสุดบนโลกนี้ที่เป็นที่ยอมรับกันนั่นก็คือโรคจำพวกที่เกี่ยวกับประสาท ถ้าจิตแพทย์เลือกได้ก็ไม่มีใครอยากรับเคสพวกนี้ แต่เมื่อเทียบกับภาวะโซมาติกของหลี่เจิ้นแล้ว มันคือความแตกต่างระหว่างอนุบาลกับมหาวิทยาลัย สำหรับเสี่ยวเชี่ยนการรักษาโรคนี้มันสบายมาก


 


 


เมื่อชาติก่อนเสี่ยวเชี่ยนชอบคนไข้ที่มาด้วยโรคแบบนี้มาก เพราะอะไรน่ะเหรอ?


 


 


โรคนี้ดูเหมือนจะร้ายแรงกว่าพวกโรคซึมเศร้ามาก ผู้ป่วยถ้าไม่สูญเสียการมองเห็นก็เดินไม่ได้ หรือไม่ก็ทำเหมือนตัวเองเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ มาในสภาพที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ เสี่ยวเชี่ยนเห็นเป็นคนมีตังค์ก็พูดหลอกนั่นหลอกนี่หน่อย แปปเดียวก็กำไร


 


 


เหนื่อยน้อยได้เงินเยอะใครไม่อยากทำล่ะ


 


 


“คุณจะบอกว่าอาการของผมไม่ได้เป็นความพิการที่เกิดจากทางร่างกาย แต่เป็นการวิตกกังวลอะไรนะ?”


 


 


“โรคกายใจที่เกิดจากการวิตกกังวลมากเกินเหตุ บางคนจะอยู่ๆก็สูญเสียการมองเห็น หรือไม่ก็อยู่ๆก็เดินไม่ได้ ไปตรวจแล้วไม่เจออะไร แต่ร่างกายไม่โอเค หมอที่รักษาก็หาสาเหตุไม่เจอ เพราะนี่เป็นผลกระทบที่มาจากปัจจัยภายในจิตใจ แน่นอนว่าบางคนไม่ได้อาการเว่อร์แบบนายหรอก แต่โรคนี้จริงๆไม่ใช่โรคหายาก อัตราการเกิดสูง เพียงแต่ส่วนใหญ่ตรวจไม่เจอ ฉันจะยกตัวอย่างให้ฟัง”


 


 


พอพูดถึงโรคที่เมื่อชาติก่อนทำรายได้ให้เธออย่างงาม เสี่ยวเชี่ยนก็ตื่นเต้นทันที


 


 


“ความสามารถในการมองเห็นของเด็กวัยรุ่นหลายคนลดลงนายคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาใช้สายตามากเกินไปไหม? ผู้ปกครองก็คิดแบบนั้นกัน เลยพาไปตัดแว่นให้ใส่ แต่ก็ยังคงแย่ลง อันที่จริงสาเหตุส่วนหนึ่งมันไม่ใช่ปัญหาทางด้านกายภาพหรอก แต่มันเป็นปัญหาทางด้านจิตใจ เด็กบางคนอิจฉาคนใส่แว่น อยากใส่เหมือนคนอื่น ปรากฏว่านานวันเข้าสายตาก็สั้นลง ยังมีอีกประเภทนั่นก็คืออยากหนีการเรียน บอกว่าตัวเองมองเห็นไม่ชัด ถึงขนาดที่ปวดหัว อ้วก เวลาเข้าเรียน—อ่อ เด็กแสบพวกนี้มีไม่น้อยเลยนะ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพวกผู้ปกครองรำคาญแค่ไหน แต่เมื่อเทียบกับแม่นายแล้ว แม่นายสุดยอดกว่า”


 


 


“ทำไมพูดถึงแม่ผมอีกแล้ว?”


 


 


“เพราะว่าความสามารถในการมองเห็นที่ลดลงเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปรองดองในครอบครัว ถ้าพ่อแม่ทารุณลูกหรือเย็นชาใส่บ่อยๆ เด็กคนนั้นก็อาจอยู่ๆก็สูญเสียการมองเห็นได้ มันคล้ายๆกับกรณีของนาย แต่สาเหตุที่นายเป็นโรคไม่ใช่อันนี้แน่นอน จะให้ฉันรักษานายฉันมีเงื่อนไขนะ”


 


 


“คุณมีเงื่อนไขอะไรผมรับปากหมด ขอแค่ทำให้ผมยืนได้”ถ้ายังสามารถใช้ชีวิตได้ใครจะอยากตายกันล่ะ


 


 


“ค่ารักษาของฉันแพงมาก”


 


 


ฮ่าๆ เงินจ๋าฉันมาแล้ว จิตแพทย์สาวที่ขูดรีดเงินเก่งที่สุดกลับชาติมาเกิดตั้งนานนม รักษาฟรีไปก็มาก ในที่สุดก็มีทางหากำไรแล้ว เวลานี้เสี่ยวเชี่ยนมองหลี่เจิ้นเป็นภูเขาเงินภูเขาทอง


 


 


หลี่เจิ้นยังไม่เอะใจ เขาได้ยินเสียงร้องโวยวายจากทางด้านนอก “ปล่อยฉันนะ”


 


 


“แม่ผมมาแล้ว” หลี่เจิ้นแค่ฟังก็รู้ทันที


 


 


“ขอฉันไปฆ่าแกะตัวอ้วนก่อน นายรอฉันเดี๋ยว ฆ่าแกะเสร็จเดี๋ยวฉันมาวินิจฉัยให้นายอย่างชัดเจนอีกที”


 


 


“คุณว่าอะไรนะ?”


 


 


“แค่กๆ ฉันบอกว่า เดี๋ยวฉันไปหารือเรื่องแผนรักษากับพ่อแม่นายก่อน” ประเด็นสำคัญก็คือ เงิน


 


 


อาหญิงที่เมื่อครู่ถูกอวี๋หมิงหลางทำให้สลบไปฟื้นขึ้นมาแล้ว กำลังอาละวาดอีกรอบ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเปิดประตู พอเห็นอาหญิงที่สภาพดูไม่ได้เธอจึงหันไปพูดกับหมอและพยาบาลด้วยท่าทางดุจนางพญา


 


 


“มีอะไรทำก็ไปทำไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้ เรื่องในครอบครัวพวกเราใครก็ห้ามมายืนดู”


 


 


“แก” อาหญิงพอเห็นเสี่ยวเชี่ยนอารมณ์ก็พุ่งปรี๊ด


 


 


ยังไม่ทันจะได้แตะเสี่ยวเชี่ยนก็ถูกอวี๋หมิงหลางวิ่งเข้ามาจับข้อมือไว้เสียก่อน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นเขาก็ดวงตาเป็นประกาย รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที


 


 


โบนัสที่เหนือความคาดหมาย ได้ฆ่าแกะอ้วนแล้วยังได้เจอผู้ชายของตัวเองด้วย กำไรมหาศาล งานนี้คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

 

 

 


ตอนที่ 508 เหลือตัวคนเดียว

 

“ถ้าอากล้าแตะต้องเธอแม้แต่นิดเดียว หลี่เจิ้นของอาได้พิการไปตลอดชีวิตแน่ ตอนนี้ในบ้านเรามีแค่เสี่ยวเชี่ยนคนเดียวที่รักษาหลี่เจิ้นได้ ทำให้เขากลับมายืนได้อีกครั้ง”


 


 


คำพูดของอวี๋หมิงหลางทำให้เสี่ยวเชี่ยนอึ้ง นี่เขารู้ได้ยังไง?


 


 


อวี๋หมิงหลางส่งสายตา เสี่ยวเชี่ยนจึงเข้าใจ คงมีกล้องวงจรปิดสินะ—เวรละ งั้นบทสนทนาระหว่างเธอกับหลี่เจิ้นทุกคนก็ได้ยินหมดสิ?


 


 


แย่แล้ว เคสรักษาที่เธอพูดไปอะไรต่อมิอะไร ถ้าถูกคนนอกรู้เข้าจะทำไง? ตอนนี้สถานะเธอยังเป็นแค่นักศึกษา ไม่ใช่จิตแพทย์สาวที่เก่งที่สุดแบบเมื่อชาติก่อน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกหวั่นใจ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้ถามมากมาย


 


 


คำพูดข่มขู่อาหญิงของอวี๋หมิงหลางได้ผลอย่างเห็นได้ชัด


 


 


“แกว่าไงนะ? ลูกชายฉันยังจะยืนได้อีกเหรอ?” อาหญิงถามด้วยความตกใจ


 


 


“เขาเป็นโรคทางจิตเวช การที่เขายืนไม่ได้ทั้งๆที่สภาพร่างกายไม่มีอาการผิดปกติงั้นก็มีความเป็นไปได้อยู่อย่างเดียวนั่นก็คือมีสาเหตุมาจากด้านสภาพจิตใจ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดกับอาหญิงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


 


 


“หนูพูดจริงเหรอเสี่ยวเชี่ยน หนูรักษาเขาได้จริงๆเหรอ?” พ่อหลี่ได้ยินดังนั้นก็ดีใจแทบบ้า


 


 


“มันโกหก มันเป็นแค่นักศึกษา รักษาโรคไม่เป็นด้วยซ้ำ ไม่มีใบอนุญาต มัน—” อาหญิงยังไม่ทันจะพูดจบอวี๋หมิงหลางก็ถอดผ้าพันคอทหารที่อยู่บนคอตัวเองยัดใส่ปากอาหญิง


 


 


โลกสงบแล้ว


 


 


“ขอโทษครับอา ผมเพิ่งมาจากสนามฝึกไม่มีเวลาเปลี่ยนชุด เพิ่งปีนขึ้นมาจากบ่อโคลนอาจจะมีขี้โคลนติดหน่อยนะครับ…”


 


 


มีขี้โคลนจริงๆด้วย สกปรกที่สุด อาหญิงรู้สึกขยะแขยงสุดๆแต่ก็คายออกไม่ได้


 


 


“หนูรักษาได้ค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนตอบพ่อหลี่ด้วยสีหน้าจริงจัง


 


 


พ่อหลี่ดีใจก่อนจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นสงสัย เธอยังเป็นแค่เด็ก สามารถรักษาโรคที่ซับซ้อนแบบนี้ได้จริงๆเหรอ?


 


 


กลัวว่าคาดหวังมากเกินไปแล้วไม่ได้แบบนั้นจะกลายเป็นผิดหวัง


 


 


“เสี่ยวเชี่ยนของเรามีพรสวรรค์จริงๆ เขาเคยวินิจฉัยว่าหลานฉันมีปัญหาได้อย่างง่ายดาย ศาสตราจารย์หลิวก็ชื่นชมเขามาก บอกว่าเป็นคนเก่งที่ร้อยปีจะเจอสักคน”คำพูดของแม่อวี๋ทำให้เสี่ยวเชี่ยนกระพริบตาปริบๆ


 


 


ลับหลังอาจารย์ชมเธอแบบนี้ นึกไม่ถึงเลยจริงๆ


 


 


“งั้นเสี่ยวเชี่ยนช่วยรักษาหลี่เจิ้นด้วยนะ ฉันขอร้องล่ะ” พ่อหลี่โค้งให้เสี่ยวเชี่ยนอย่างจริงจัง


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้รีบร้อนให้คำตอบ แต่มองไปทางอาหญิงแล้วส่งสัญญาณมือให้อวี๋หมิงหลาง เขาจึงรีบทำตามคำสั่งเธอเอาผ้าพันคอออกจากปากอาหญิง อาหญิงขยะแขยงจนถุยน้ำลายลงพื้นไปหลายที ปากมีแต่ขี้โคลน


 


 


“ฉันไม่ยอม แกไม่มีใบอนุญาต แกมันเป็นคนหลอกลวง ไอ้คนขี้โกหก จะปล่อยให้มันรักษาลูกชายฉันไม่ได้ พวกเราไปรักษาที่อื่น ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามีเงินแล้วจะหาหมอที่เก่งกว่าไม่ได้”


 


 


อาหญิงไม่ชอบเสี่ยวเชี่ยนตั้งแต่แรกแล้ว เห็นแล้วไม่ถูกชะตา แล้วจะยอมมอบลูกชายให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาได้ยังไง?


 


 


“ในบ้านเรานอกจากฉันแล้วตอนนี้ยังไม่มีใครที่มีประสบการณ์รักษาโรคนี้ โรคภาวะผิดปกติที่มีปัจจัยมาจากสภาพจิตใจยังไม่มีข้อมูลเท่าไร คุณน้าตอนทำงานเคยเจอคนไข้ที่ตรวจแล้วไม่เจออะไรแต่เขารู้สึกว่าร่างกายผิดปกติไหมคะ แบบที่ยังไงก็คิดว่าตัวเองเป็นโรคอะไรสักอย่าง?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถามแม่อวี๋ แม่อวี๋รีบพยักหน้า


 


 


“มีสิ มีผู้ชายสูงวัยคนนึงบอกว่าตัวเองกระดูกทิ่ม น้าตรวจดูให้เขาอย่างละเอียดแล้วก็ไม่เจอความผิดปกติ แต่ไม่นานเขาก็กลับมาอีก จะให้น้าสั่งยาทาให้ได้ ถึงยาทาจะเป็นยาที่ใช้ภายนอก แต่จะให้ทาตอนไม่เป็นอะไรก็ไม่ดี พอน้าไม่ให้เขาก็ไม่มาอีก คงจะไปหาซื้อที่อื่นแล้ว”


 


 


คนแบบนี้พวกหมอเจอบ่อย ไม่ใช่แค่แม่อวี๋ พี่สะใภ้ใหญ่ก็ชอบบ่นๆว่าคนไข้บางคนเห็นอาการของโรคตามหนังสือพิมพ์นิตยสารโฆษณาต่างๆแล้วมาบอกว่าตัวเองเป็นนั่นนี่ อีกทั้งยังบอกว่ารู้สึกอาการแย่มาก หมอเก่งๆตรวจให้แล้วพวกเขาก็ยังไม่เชื่อ พอไม่สั่งยาให้ก็ไปซื้อเองที่อื่น ยาบางครั้งก็มีโทษ จากเดิมที่ไม่เป็นโรคก็ทำให้เกิดโรคได้


 


 


ก็เหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนบอก เด็กบางคนคิดว่าตัวเองสายตาสั้น จะใส่แว่นให้ได้ สุดท้ายจากที่ไม่ได้สั้นก็สั้นจริงๆ


 


 


“คนไข้ประเภทนี้หลังจากที่โลกแห่งข้อมูลข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตพัฒนาไปไกลจะยิ่งมีมากขึ้น อาจมีมากถึง30% มีโรคมากมายที่หมอไม่สามารถอธิบายได้ ล้วนมีสาเหตุมาจากสิ่งเหล่านี้ จิตแพทย์อาจวินิจฉัยว่าเป็นโรควิตกกังวลได้ง่ายๆ แต่ทั้งที่จริงแล้วไม่ตรงนัก สาเหตุของโรคนี้มาจากความกดดันภายในจิตใจ ซึ่งหลี่เจิ้นเป็นประเภทนี้ แต่อาการของเขาหนักกว่าหน่อย”


 


 


“หนูหมายความว่าเขาแกล้งป่วย?” พ่อหลี่ขมวดคิ้ว


 


 


เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ ถึงแม้ทางโรงพยาบาลจะตรวจไม่เจอสาเหตุ แต่ก็ไม่ได้แสดงว่าคนพวกนี้แกล้งป่วย สภาพจิตใจย่ำแย่จะส่งผลให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ นี่ก็เป็นแนวทางในการพัฒนาด้านการแพทย์ในอนาคต สภาพจิตใจของมนุษย์ส่งผลต่อสภาพร่างกาย คนที่มีความกดดันสูง การหลั่งสารเคมีภายในร่างกายจะผิดปกติได้ง่าย หนูจะยกตัวอย่างง่ายๆให้ฟังนะคะ ถ้าเราบอกผู้ป่วยโรคมะเร็งว่า คนที่อาการแย่มากมีเยอะแยะ เขาก็จะรู้สึกแย่ แต่ถ้าไม่บอกเขา เขาก็จะยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขช่วยต่ออายุให้ตัวเองได้ ในอนาคตทางการแพทย์จะค่อยๆให้ความสำคัญกับการรักษาทางร่างกายควบคู่ไปกับจิตใจ หรือจะเรียกได้ว่าเป็นการรักษาแบบครอบคลุม”


 


 


เรื่องที่ซับซ้อนถูกเสี่ยวเชี่ยนเอามาย่อยพูดให้เข้าใจง่าย แม้แต่คนสติปัญญาระดับอาหญิงยังเข้าใจ


 


 


“แล้วหนูรักษาหลี่เจิ้นได้ไหม?” พ่อหลี่มีความหวัง สิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนพูดได้สร้างความหวังขึ้นมา เพราะเธอดูมีความเป็นมืออาชีพถึงได้เชื่อ


 


 


“อาหญิงไม่ยอมนี่คะ?” เสี่ยวเชี่ยนไม่ตอบแต่ถามกลับ


 


 


“ฉัน ไม่ ยอม ”


 


 


พ่อหลี่ถลึงตาใส่อาหญิง อยากจะเอาอย่างหมิงหลางจริงๆ หาอะไรยัดปาก


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยักไหล่


 


 


“ดูสิคะ อาหญิงไม่ยอม งั้นหนูก็ไม่บังคับค่ะ คุณลุงคุณน้าพวกเรากลับกันเถอะค่ะ”เสี่ยวเชี่ยนพูดกับพ่ออวี๋แม่อวี๋


 


 


เธอสบตาอวี๋หมิงหลาง เขาส่งสายตาแบบเจ้าเล่ห์กลับมา เสี่ยวเชี่ยนละสายตาจากเขา ตานี่จะต้องรู้แน่ว่าเธอแสร้งทำเป็นจะกลับ


 


 


“ไปเถอะ เข้าไปลาหลี่เจิ้นกับฉันแล้วพวกเรากลับกัน” เสี่ยวเชี่ยนลากมืออวี๋หมิงหลางเข้าไปในห้องผู้ป่วย


 


 


พ่อหลี่ดุใส่อาหญิง “คุณอย่ามายุ่งเรื่องลูกได้ไหม”


 


 


“มันเป็นแค่นักศึกษา คุณอายุตั้งเท่าไรแล้วทำไมถึงได้ถูกเด็กอย่างมันหลอกได้? มันโกหกพวกคุณอยู่นะ”


 


 


คำพูดของอาหญิงสร้างความไม่พอใจให้พ่ออวี๋ บัญชีก่อนหน้านี้ยังไม่ได้คิด ยังมาทำขายหน้าอีกรอบ


 


 


“พวกเธอสองคนมีอะไรควรค่าให้เสี่ยวเชี่ยนของเราหลอก? ตัวเองความคิดโสมมมองใครก็เลวร้ายไปหมด”


 


 


“พี่” อาหญิงรู้สึกเดือดกับคำพูดแรงๆของพี่ชายตัวเอง


 


 


ตั้งแต่เล็กจนโตพี่ชายเคยพูดจากับเธอแบบนี้ที่ไหนกัน? เฉินเสี่ยวเชี่ยนวางยาอะไรครอบครัวนี้กันแน่ ทำไมทุกคนถึงถูกซื้อไปหมด?


 


 


“เธอทำอะไรลงไปบ้างตัวเองน่าจะรู้ดีนะ ต่อไปถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นรับผิดชอบผลที่ตามมาเอาเองแล้วกัน เธอบอกว่าเสี่ยวเชี่ยนหลอกเธอ ได้ พวกเราไป ต่อไปถ้าหาคนรักษาไม่ได้ก็อย่ามารบกวนพวกเราแล้วกัน ฉันไม่มีน้องสาวไม่เอาไหนแบบนี้”

 

 

 


ตอนที่ 509 เสี่ยวเฉียงผู้น่าเศร้า

 

“เหล่าอวี๋ไม่เอาน่าอย่าโมโห เขาไม่ได้เป็นตัวแทนคนทั้งบ้านนะ พวกเรามาคุยกันก่อน—” พ่อหลี่จะเข้าไปจับพ่ออวี๋ แต่ถูกสะบัดหนี พ่ออวี๋ขยิบตาให้แม่อวี๋ แล้วทั้งสองคนจึงเดินออก


 


 


สักพักเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางก็ตามออกมา


 


 


เสี่ยวเชี่ยนปลอบใจหลี่เจิ้นว่าให้ใจเย็นๆ ไม่ว่าพ่อแม่เขาพูดอะไรก็อย่าใจร้อน อีกทั้งยังให้เขาให้ความร่วมมือกับเธอเรื่องหนึ่ง ไม่เกินสามวันอาหญิงมาขอร้องเธอแน่ หลี่เจิ้นจึงรับปาก


 


 


“เสี่ยวเชี่ยน คือเรื่องนี้—” พ่อหลี่กล่อมใครไม่ได้สักคน ทำได้แค่พูดกับเสี่ยวเชี่ยนอย่างลำบากใจ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มให้เขาเล็กน้อย “จิตแพทย์อย่างพวกหนูถือคติบังคับไปผลที่ได้จะไม่ดี ในเมื่ออาหญิงไม่เชื่อใจหนู งั้นก็คงต้องไปเชิญหมอคนอื่นมารักษาแล้วล่ะค่ะ”


 


 


“ใช่ครับ ฝืนใจทำคงไม่เกิดผลดีเท่าไร อีกอย่างเสี่ยวเชี่ยนของผมก็งานยุ่งมากด้วย” อวี๋หมิงหลางพูดเสริม เขายิ้มแย้มเหมือนเสี่ยวเชี่ยน ทั้งสองคนทำลักษณะท่าทางที่เหมือนกัน


 


 


ใบหน้าเหมือนมีอักษรสลักอยู่ว่า เจ้าเล่ห์


 


 


อวี๋หมิงหลางพาเสี่ยวเชี่ยนออกไป อาเขยโมโหจนชี้หน้าอาหญิง แล้วนิ่งเงียบอยู่นาน


 


 


“คุณจะโมโหขนาดนั้นทำไม ฉันก็ทำเพื่อลูกเหมือนกัน…” อาหญิงรู้สึกสับสน


 


 


ท่าทางของพี่ชายเมื่อกี้ทำให้เธออยู่ๆก็รู้สึกหวาดกลัว เธอตระหนักได้แล้วว่าตัวเองได้สูญเสียที่พึ่งอันแข็งแกร่งไปแล้ว


 


 


ส่วนท่าทีของสามีก็ทำให้เธอกระวนกระวาย ก่อนหน้านี้เธอยังคิดว่าสามีแค่เอาเรื่องหย่ามาขู่เธอ


 


 


แต่วันนี้ปฏิกิริยาของพ่อหลี่ บวกกับท่าทางของพี่ชายได้ทำให้อาหญิงค่อยๆเข้าใจแล้วว่าตอนนี้ตัวเธออยู่ในสถานการณ์วิกฤต


 


 


อยากจะคุยกับพ่อหลี่อีกครั้ง แต่กลับถูกเขาโบกมือไล่ไม่อยากคุยด้วย อาหญิงเดินตามเขาอยู่ข้างหลังอยากจะไปเยี่ยมลูกชาย


 


 


พ่อหลี่หันไปด้วยท่าทีเย็นชา “ถ้าไม่อยากให้ลูกเห็นคุณแล้วอาการแย่ลงก็อย่าตามเข้ามา”


 


 


“ไม่มีทาง…เขาต้องคิดถึงฉันแน่ ฉันคิดถึงเขามาตลอด”


 


 


“ที่เสี่ยวเชี่ยนพูดคุณก็ได้ยินแล้ว ที่ลูกยืนไม่ได้เหตุเกิดมาจากสภาพจิตใจ พอเขาตื่นขึ้นมาเรื่องแรกที่อยากทำก็คือขอโทษเสี่ยวเชี่ยน เขาขอโทษเสี่ยวเชี่ยนเพราะเรื่องที่คุณทำทั้งหมด คุณยังสู้ลูกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผมผิดหวังกับคุณมาก”


 


 


พ่อหลี่พูดจบก็เดินเข้าห้อง อาหญิงรู้สึกสะเทือนใจอย่างรุนแรง เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าว แทบจะล้มทั้งยืน


 


 


นี่ลูกชายต้องกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะเธออย่างนั้นเหรอ?


 


 


ไม่มีทาง…อาหญิงยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก เธอพยายามปฏิเสธความไปได้นี้ เอามือสั่นๆล้วงโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทร


 


 


ก่อนอื่นเธอโทรหาศาสตราจารย์หลิวแล้วพบว่าสายไม่ว่างจึงโทรหาคนอื่น สายตาพร่ามัวพอเอามือไปเช็ดก็พบว่ามันคือน้ำตา นี่เธอร้องไห้?


 


 


เธอไม่เชื่อว่าโลกนี้นอกจากเฉินเสี่ยวเชี่ยนแล้วจะไม่มีใครรักษาลูกชายเธอได้ มันต้องมี ต้องมีแน่นอน


 


 


อวี๋หมิงหลางเดินออกจากโรงพยาบาลพร้อมเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนยื่นมือจะไปผลักประตูกระจก แต่อวี๋หมิงหลางคว้ามือเธอมาจับไว้อย่างเป็นธรรมชาติแล้วใช้มืออีกข้างดันประตู


 


 


ปกติจูงมือกันในใจรู้สึกอุ่นใจ แต่วันนี้รู้สึกหวั่นใจ


 


 


“เมื่อกี้เรื่องที่ฉันคุยกับหลี่เจิ้น นาย…ได้ยินหมดเลยเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนถามอวี๋หมิงหลาง


 


 


“ผมเห็น” อวี๋หมิงหลางเน้นว่าเห็น


 


 


สมองอันชาญฉลาดของเสี่ยวเชี่ยนเชื่อมโยงได้ทันที “นายหมายความว่า กล้องวงจรปิดมีแต่ภาพไม่มีเสียง นายอ่านปากเอา?”


 


 


งั้นก็จัดการง่ายหน่อย มีแค่เขาที่รู้ อวี๋หมิงหลางก็คงคิดแค่ว่าเธอกำลังหลอกคนอยู่ ไม่มีทางคิดว่าเป็นเรื่องจริง


 


 


“แต่ผมรู้ความลับคุณอย่างนึงด้วยนะ” คำพูดของอวี๋หมิงหลางทำให้เสี่ยวเชี่ยนฉุกคิด


 


 


เขาก้มลงไปกระซิบข้างหูเธอเบาๆ “เป็นขี้เมาเหรอ?”


 


 


ที่แท้ก็เรื่องนี้ เสี่ยวเชี่ยนโล่งอก


 


 


“ฉันไม่ชอบดื่มเหล้า ไม่ใช่ขี้เมา” เธอพูดจริงจัง


 


 


“ครึ่งขวด?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหันหน้าไปทางอื่น หลบสายตาของเขาที่กำลังแซวเธอ “เรื่องงานทั้งนั้น เพื่อคนไข้ของฉัน”


 


 


นี่เป็นเรื่องจริง มันก็ต้องหาทางระบายกันบ้างจริงไหม?


 


 


วันๆรักษาคนไข้ เจอแต่สังคมในด้านมืด ไหนจะความบกพร่องของคน โลกที่ออกมาจากปากผู้ป่วยจิตเวชล้วนบิดเบี้ยว อยากรักษาจิตใจให้เป็นปกติเพื่อวิเคราะห์ความจริง มันก็ต้องมีการระบายอารมณ์กันบ้าง


 


 


“ไว้ครั้งหน้าพี่ดื่มด้วยนะ” อวี๋หมิงหลางเขี่ยจมูกเธออย่างเอ็นดู


 


 


เสี่ยวเชี่ยน หึ ออกมา พลางพูดในใจว่า ถ้าเขาเป็นคนคอแข็งขนาดนั้นงั้นชาติที่แล้วเสี่ยวเหวยมาได้ยังไง?


 


 


“ไม่ยอม?” อวี๋หมิงหลางเห็นท่าทางฮึดฮัดของเธอแล้วก็หมั่นเขี้ยว


 


 


ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบกลับไปตอนนี้เขาคงหาที่สงบๆลากสาวน้อยคนงามคนนี้ไปทำนู่นนี่นั่นแล้ว ครั้งก่อนยังไม่หนำใจเลย หลายวันมานี้ฝึกหนักไม่มีเวลาคิด แต่พอว่างก็มักจะคิดถึงตอนที่ได้…ฮี่ๆๆ


 


 


“ยอม เหอๆ”


 


 


คำว่าเหอๆ ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเสี่ยวเชี่ยนตอบแบบขอไปที อวี๋หมิงหลางอยากลากเธอไปตรงที่ที่ไม่มีคนแล้วจูบให้หนำใจจริงๆ แต่ไม่ได้ เขาเห็นรถของบ้านตัวเองมาจอดรอเสี่ยวเชี่ยนแล้ว


 


 


“ไปเถอะ ผมต้องกลับแล้ว” อวี๋หมิงหลางตบบ่าเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“ทำไมเร็วแบบนี้ล่ะ?” เธอยังแอบคิดว่าอย่างน้อยก็คงได้กินข้าวด้วยกันก่อนกลับ


 


 


“อืม ผมฉวยโอกาสเวลากินข้าวกลางวันออกมา พอเจอแล้วก็ต้องกลับ”


 


 


“ระหว่างทางกินอะไรด้วยนะ ปล่อยให้ท้องว่างไม่ดี”


 


 


อวี๋หมิงหลางเห็นเธอเป็นห่วงแบบนี้ในใจก็รู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านแผ่ซ่านไปทั่วจิตใจ


 


 


“ลูกเชี่ยน ผมรักคุณนะ”


 


 


“อะไรนะ?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ยินเพราะมีรถบรรทุกส่งวัตถุดิบให้โรงพยาบาลผ่านมาพอดี เสียงดังจากรถกลบเสียงของอวี๋หมิงหลาง อวี๋หมิงหลางที่ปกติความรู้สึกไวมาตลอดไม่รู้เกิดอะไรขึ้น รถขับเข้ามาแล้วแต่เขากลับนิ่งมองเธออย่างรอคอย เสี่ยวเชี่ยนรีบดึงเขาไปข้างทาง ส่วนรถคันนั้นก็จอดห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล


 


 


“นายว่าอะไรนะ?” เสี่ยวเชี่ยนหันไปถามอวี๋หมิงหลาง


 


 


อวี๋หมิงหลางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พูดแบบนั้นออกไป ความรู้สึกในใจมันเอ่อล้นออกมา ก็แค่อยากบอกเธอแบบนั้น และก็อยากได้ยินเธอตอบ มันจะต้องช่วยเติมเต็มความรู้สึกอย่างแน่นอน


 


 


แต่เสี่ยวเฉียงผู้น่าเศร้า ก่อนหน้านี้ตั้งนานไม่สารภาพ ดันเลือกเอาเวลาตอนที่มีรถเข็นมาพอดี เธอไม่ได้ยิน แน่ล่ะว่าย่อมไม่ตอบอะไรกลับ


 


 


อวี๋หมิงหลางมองท้องฟ้าอย่างเซ็งๆ เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้เลยว่าภายในชั่วเวลาไม่กี่วินาทีเสี่ยวเฉียงที่น่าสงสารเจอกับอะไรบ้าง เธอเห็นเขาทำหน้าเซ็ง ทันใดนั้นจึงยื่นมือไปโอบไหล่เขาแล้วเข้าไปจูบ


 


 


รู้สึกได้ว่าเขาทะลวงลิ้นผ่านฟันเธอเข้ามาอย่างร้ายกาจ คล้ายกับระบายความโกรธ เจ็บเล็กน้อยแต่ไม่มาก ความรู้สึกชาๆนี้ทำให้เธอมึนๆ จากนั้นเขาถึงปล่อยเธอ


 


 


อากาศในฤดูใบไม้ผลิยังคงหนาวเย็น รถบรรทุกคันใหญ่สีเขียวเข้มบังคู่รักที่กอดกันอยู่คู่นี้ และได้ช่วยบดบังอารมณ์เก็บกดของผู้ชายที่ถูกความรักเข้าครอบงำ


 


 


อวี๋หมิงหลางปล่อยเธอ จากนั้นก็เอามือชี้หน้าเธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เหมือนมีอะไรจะพูดแต่ไม่พูด


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองเขาด้วยความสงสัย อวี๋หมิงหลางได้แต่ชี้หน้าเธอ สุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็นช่วยเธอดันแว่นที่เลื่อนตามจมูกลงมาให้กลับขึ้นไป


 


 


“ไว้เจอกันครั้งหน้า ผมจะ ‘จัดการ’คุณ”


 


 


“……” นี่เธอทำอะไรลงไปกันแน่นะ?

 

 

 


ตอนที่ 510 เปรียบเทียบความเสียใจ

 

เสี่ยวเชี่ยนงง เธอมองอวี๋หมิงหลางเดินจากไป ตอนที่เดินผ่านรถบรรทุกคันนั้นที่ทำเขาเสียเรื่องเขาได้ยื่นเท้าออกไปถีบล้อหนึ่งทีเหมือนเด็กๆ


 


 


ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนขึ้นรถของพ่ออวี๋แล้ว เธอก็ยังนึกไม่ออกว่าเสี่ยวเฉียงเป็นอะไร


 


 


แม่อวี๋นั่งเบาะหลังกับเสี่ยวเชี่ยน พ่ออวี๋นั่งข้างคนขับ ขณะที่แม่อวี๋กำลังจะถามเสี่ยวเชี่ยนเกี่ยวกับอาการของหลี่เจิ้น ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเสี่ยวเชี่ยนก็ดังขึ้น อวี๋หมิงหลางโทรมา


 


 


“อยากรักษาก็รักษา ไม่อยากก็ไม่ต้องทำ ขอแค่คุณสบายใจเป็นพอ ถ้าอาหญิงมาขอร้องคุณ จำไว้นะรีดค่ารักษาเยอะๆ เขามีขุมทรัพย์ ไม่ต้องช่วยเขาประหยัด”


 


 


“อืม เข้าใจแล้ว”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนวางสายแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าตกลงเมื่อกี้เสี่ยวเฉียงพูดอะไรกับเธอ ทำไมทำหน้าผิดหวังจนลืมพูดเรื่องนี้กับเธอ แล้วต้องโทรมาบอกตอนขึ้นรถแล้ว?


 


 


คนฉลาดอีคิวย่อมสูง ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจแล้วรีบกดส่งข้อความอย่างรวดเร็ว


 


 


อวี๋หมิงหลางกำลังจะออกรถ พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนส่งข้อความมาก็กดออกดู มีอยู่สามคำ


 


 


ฉันชอบนาย


 


 


ประหนึ่งมีสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ดอกไม้ในใจของเสี่ยวเฉียงเบ่งบาน


 


 


เมื่อกี้ยังเศร้าเสียใจสุดๆ ทันใดนั้นอาการก็หายดี


 


 


เขาอ่านสามคำนั้นซ้ำไปซ้ำมา เห็นได้ชัดๆว่าเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นมีมาด


 


 


พอใจสุดๆ แต่กลับแสร้งทำเป็นพูดพึมพำอย่างเซ็งๆ


 


 


“พี่ขาดทุนนะเนี่ย ที่พูดไปน่ะมันคำว่ารัก แต่เธอตอบกลับมาว่าชอบแต่ไม่เป็นไร ลูกผู้ชายต้องยอมให้ผู้หญิง เจอกันครั้งหน้าต้องชดเชยให้ด้วย~”


 


 


ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้ว แค่สามคำนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ดอกไม้เบ่งบานเต็มทั้งหัวใจ ฤดูใบไม้ผลิของเขามีชื่อว่าเสียวเหม่ย ซุปเปอร์นางฟ้าแสนสวย


 


 


รถของพ่ออวี๋แยกกันไปคนละทางกับรถของอวี๋หมิงหลาง คู่รักทั้งสองคนค่อยๆห่างกันออกไปเรื่อยๆแต่หัวใจของทั้งสองคนเหมือนมีบางอย่างผูกไว้ด้วยกัน ไม่เคยแยกจากกัน


 


 


นึกถึงสีหน้าของเขาในเวลานี้ เสี่ยวเชี่ยนก็มีความสุขขึ้นมาทันที เธอมองวิวข้างถนนแล้วรู้สึกรื่นตามากทีเดียว


 


 


“เสี่ยวเชี่ยนคิดอะไรอยู่จ๊ะ?” แม่อวี๋ถามเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“กำลังครุ่นคิดถึงชีวิตคนเราค่ะ”


 


 


“เรื่องหลี่เจิ้นเหรอจ๊ะ?”


 


 


“ค่ะ ประมาณนั้น ถ้าไม่มีเขาเป็นตัวต้นเหตุ ความสัมพันธ์ของหนูกับอวี๋หมิงหลางอาจไม่พัฒนาไปไวขนาดนี้”


 


 


“เด็กคนนี้จะว่าไงดีล่ะ ถือว่าเราเห็นเขาตั้งแต่เด็กจนโตก็ว่าได้ ถึงจะมีนิสัยคุณหนูเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่ใช่คนเลว ตอนนี้เขา…น้ารู้สึกเสียดายจริงๆ”


 


 


สิ่งที่แม่อวี๋เป็นกังวลก็คือ กลัวเสี่ยวเชี่ยนจะไม่ยอมรักษาให้หลี่เจิ้น


 


 


เมื่อครู่เธอโทรหาศาสตราจารย์หลิวเพื่อนสนิท ลองถามๆดูถึงอาการของหลี่เจิ้นในตอนนี้ แต่ศาสตราจารย์หลิวไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดกับเธอ เพราะศาสตราจารย์หลิวยังไม่เคยเจอโรคที่อาการแบบนี้


 


 


แม่อวี๋ไม่ได้พูดอะไรมากกับเพื่อนสนิท และก็ไม่ได้บอกว่าเสี่ยวเชี่ยนรักษาได้ แค่ลองถามๆดูเท่านั้น


 


 


เสี่ยวเชี่ยนบอกว่าจิตแพทย์ทั่วไปจะรักษาโดยมองว่าเป็นโรควิตกกังวลหรือไม่ก็โรคซึมเศร้า ศาสตราจารย์หลิวเองก็พูดแบบนั้น แต่อย่างไรเสียนั่นก็หมอเก่ง ตอนวินิจฉัยยังมีเผื่อทางไว้บ้าง โดยบอกว่ายังบอกแน่ชัดไม่ได้ เพราะเคสแบบนี้เธอเจอมาน้อย พูดยาก


 


 


“เมื่อเรื่องมาเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง หากย้อนมองดูก็จะรู้สึกเสียดาย แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมอง บางทีอาจมีประโยชน์อย่างอื่น อาการของหลี่เจิ้นตอนนี้อาจจะดูหนักหนา แต่ถ้าผ่านเรื่องนี้ไป เปลี่ยนแปลงเรื่องบางอย่าง บางทีอาจได้รับประโยชน์อีกอย่างนะคะ”


 


 


“ประโยชน์เหรอ?” แม่อวี๋เองปวดหัวกับเรื่องต่างๆที่ประเดประดังเข้ามาจนตอนนี้ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนพูด


 


 


“ชีวิตในแบบที่หลายคนพอใจก็คืออย่าได้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเลย อยากอยู่อย่างสงบสุข หรือชีวิตในอุดมคติยิ่งกว่านั้นก็คืออยากให้เกิดแต่เรื่องดีๆ ความโชคดีทั้งหมดขอให้มาตกอยู่ที่ตัวเอง แต่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นกลับโหดร้าย  คนจำนวนมากทุกวันต้องเผชิญกับความไม่ได้ดั่งใจ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ชีวิตคนเราก็คือปัญหาต่างๆที่มาเรียงร้อยอยู่ด้วยกัน ทำให้คนเราต้องคอยเลือกไม่หยุดตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา”


 


 


ปัญหาเล็กๆก็เช่น แต่งตัวยังไงดี ไปจนถึงปัญหาใหญ่มีแฟนแบบไหนดี ทุกคนล้วนต้องคอยเลือกทั้งนั้น เลือกแบบไหนก็ได้ผลที่แตกต่าง


 


 


เสี่ยวเชี่ยนในชาติที่แล้วเลือกไม่เหมือนกับชาตินี้เลยสักนิด และได้เป็นกำหนดแล้วว่าเป็นโชคชะตาสองแบบในคนๆเดียว เมื่อครู่ที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นอวี๋หมิงหลางเธอก็คิดอะไรได้มากมาย


 


 


“นั่นสิ หนูพูดถูกนะ” แม่อวี๋พยักหน้าเห็นด้วย เสี่ยวเชี่ยนมีความคิดที่เปิดกว้าง คล้ายกับคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ


 


 


“อาชีพของหนูได้กำหนดให้หนูต้องเจอชีวิตคนที่ ‘น่าเศร้า’ในแต่ละแบบ หากศึกษาให้ลึกขึ้น ทุกคนต่างมีความไม่ได้ดั่งใจของตัวเอง เพียงแต่เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ต่างกัน แต่ความเรื่องจะเล็กหรือใหญ่นี้ใครเป็นคนกำหนด? คุณน้าคะ คุณน้าว่า ความเสียใจที่เกิดจากการที่แฟนไม่ทำตามที่เราต้องการกับความเสียใจของคนที่ต้องสูญเสียแขนอย่างไม่คาดฝัน แบบไหนหนักกว่ากันคะ?”


 


 


“แน่สิว่าต้องเป็นคนที่สูญเสียแขนอย่างไม่คาดฝัน”


 


 


ขณะที่แม่อวี๋คุยกับเสี่ยวเชี่ยนอยู่นั้นพ่ออวี๋ก็นั่งฟัง แม้แต่คนขับรถยังแบ่งสมาธิมาฟังด้วย


 


 


“คนที่สูญเสียแขนคนนั้นหลังจากที่ได้เยียวยาสภาพจิตใจจากผู้เชี่ยวชาญก็ยอมรับในความไม่สมบูรณ์ของตัวเองได้ เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้เท้าช่วยเหลือตัวเอง ใช้ประโยชน์จากร่างกายพิการหงายการ์ดน่าสงสารทำธุรกิจจนร่ำรวย แต่งงานกับผู้หญิงสวยสุขภาพแข็งแรง เขาได้พิสูจน์แล้วว่าขอแค่มีเงินก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ บางช่วงเขาได้อบรมให้กับพนักงานขาย ซึ่งทุกครั้งก็ที่นั่งเต็ม”


 


 


“อ๋อ ผมรู้คนที่คุณพูดถึง อาทิตย์ก่อนมีคนให้น้องสาวผมไปฟังเขาพูด บอกว่าสร้างแรงบันดาลใจได้ดี ผมยังสงสัยอยู่เลยว่ามันเป็นงานแบบไหน แต่ก็ไม่กล้าให้น้องสาวไปฟัง”


 


 


คนขับรถอินไปด้วย จึงแสดงความคิดเห็นออกมา


 


 


พลตรีอวี๋เหลือบมองเขา คนขับจึงรีบอธิบาย


 


 


“ผมไม่ให้เขาไป ผมยังสอนเขาเรื่องการปฏิบัติตัวของคนในครอบครัวทหารด้วยครับ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนช่วยคนขับแก้ไขสถานการณ์


 


 


“คุณไม่ต้องให้เขาไปฟังหรอกค่ะ งานอบรมพวกนี้ค่อนข้างมีอิทธิพล ตอนเพิ่งฟังจบใหม่ๆจะทำให้คนรู้สึกมีพลังอย่างไร้ขีดจำกัด แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว ต่อให้ได้รับการกำลังใจมา แต่พอทำเข้าจริงกลับมีอุปสรรคมากมาย การกระทำกับการดำเนินการรวมถึงทรัพยากรคนตามความคิดที่รวดเร็วไม่ทัน หลายคนต้องเจอกับความล้มเหลว จุดแข็งของการอบรมล้างสมองแบบนี้ก็คือการทำให้คนคิดว่าถ้าทำได้ไม่ดีก็เพราะสาเหตุมาจากตัวเอง ต้องพยายามให้มากกว่านี้ อันที่จริงถ้าดึงหัวใจสำคัญออกมา การอบรมที่สร้างความพยายามกับปณิธานล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าคุณมีความคิดที่จะพยายามแล้ว ไปทำงานอื่นอาจจะดีกว่านี้ ถ้าตัดเรื่องนิสัยส่วนตัวของคนๆนี้ไปมองแค่ความกล้าที่จะเผชิญปัญหาก็ควรค่าแก่การให้คนได้ศึกษานะคะ”


 


 


“น้านึกออกแล้ว คนที่หนูพูดถึงเป็นคนไข้ของหลิวหลินหลินไม่ใช่เหรอ มีครั้งหนึ่งหลิวหลินหลินบอกกับน้าว่าถ้ารู้ว่ารักษาแล้วคนๆนี้จะไปหลอกคนมากมายรู้แบบนี้ไม่รักษาให้ดีกว่า”


 


 


แม่อวี๋นึกขึ้นมาได้ว่ามีคนๆนี้อยู่ ถือเป็นบุคคลในตำนานของเมืองนี้ก็ว่าได้


 


 


“พวกทำสังคมเสื่อมโทรม หึ” พ่ออวี๋ส่งเสียง หึ ออกมาอย่างไม่แคร์

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม