บัลลังก์พญาหงส์ 491-498

บทที่ 491 ลมจับ

 

อย่างที่คาดเอาไว้ อีกสองสามวัน หลี่เย่ก็ต้องเริ่มเข้าวังหลวงไปที่ศาลาว่าการทุกวัน


 


 


เพราะว่าวันเกิดครบปีของเซิ่นเอ๋อร์ใกล้ถึงแล้ว ดังนั้นถาวจวินหลันจึงต้องเลื่อนเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น เจียงอวี้เหลียนเป็นมารดาของเซิ่นเอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังต้องถามความเห็นของเจียงอวี้เหลียน


 


 


แต่ถาวจวินหลันก็ยังรู้สึกว่า ปีนี้ไม่ค่อยเหมาะจัดงานใหญ่นัก อย่างไรก่อนหน้านี้ก็มีคนตายไปมากมาย เพิ่งจะจัดการกับผู้ประสบภัยได้ แม้แต่ภายในวังหลวงเองก็พูดถึงเรื่องการประหยัดมัธยัสถ์


 


 


แน่นอนว่านางจะพูดเช่นนี้ออกไปตรงๆ คงไม่ดี เพียงแค่พูดอ้อมค้อมเท่านั้น ส่วนเจียงอวี้เหลียนจะเข้าใจหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหาของนางแล้ว


 


 


เจียงอวี้เหลียนน่าจะเข้าใจ ก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางพูดว่า “ร่างกายของข้าก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องจัดให้ยิ่งใหญ่แล้ว ถ่อมตัวลงเสียหน่อยก็ดี อีกอย่างเซิ่นเอ๋อร์เองก็ไม่ใช่ลูกของภรรยาเอก และไม่ใช่ลูกคนโต จัดใหญ่คงไม่เหมาะนัก”


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้เรียบง่ายหน่อย แต่ท่านอ๋องเองก็กำชับว่าไม่อนุญาตให้ละเลยหรือไม่ยุติธรรมกับเซิ่นเอ๋อร์ ดังนั้นก็ไม่ต้องเรียบง่ายมากเกินไป”


 


 


“เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ ข้าเองก็สบายใจ” เจียงอวี้เหลียนแย้มยิ้มพูดว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางทำเรื่องอยุติธรรมกับเซิ่นเอ๋อร์แน่นอน” แค่เพียงประโยคเดียว กลับเอาความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ถาวจวินหลัน


 


 


ถาวจวินหลันเองก็ไม่ดึงดัน รับคำพลางกลับไปยังเรือนเฉินเซียง


 


 


ตั้งแต่เจียงอวี้เหลียนติดโรคระบาด ก็สร้างความวุ่นวายให้กับนางน้อยครั้งนัก


 


 


เรื่องนี้ถาวจวินหลันรู้สึกพอใจมาก แน่นอนว่าไม่อยากที่จะไปดึงดันเรื่องอื่นอีก


 


 


แต่ยังไม่ทันรอให้ได้จัดงานครบขวบของเซิ่นเอ๋อร์ ภายในวังหลวงก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น นางกำนัลข้างกายของฮ่องเต้ตั้งครรภ์


 


 


หลังจากตรวจพบแล้ว ขันทีดูแลวังก็รีบตรงไปรายงานฮองเฮาทันที อย่างไรก็ควรให้ฮองเฮาจัดการเรื่องนี้ ฮองเฮาคิดแค่ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของฮ่องเต้ จึงเอ่ยปากยกฐานะให้นางกำนัลคนนั้น


 


 


ใครจะรู้ว่าพอนางกำนัลหญิงคนนั้นได้ยินกลับร้องไห้เสียงดัง แม้กระทั่งอยากจะกระแทกกำแพงให้ตายไป


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็พอจะมองบางอย่างออก ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องนี้วุ่นวายไปกันใหญ่ ฮ่องเต้เองก็รับทราบ ให้คนพานางกำนัลหญิงคนนั้นเข้ามาทันที


 


 


ขุนนางชั้นนอกที่พอรู้กาลเทศะก็พากันหลบไป เหลือเพียงแค่หลี่เย่และองค์รัชทายาท รวมถึงอู่อ๋อง และยังมีองค์ชายเจ็ด


 


 


นางกำนัลถูกพาเข้ามา ฮ่องเต้เองก็จำได้ พูดว่า “นี่ไม่ใช่นางกำนัลในห้องชาหรอกหรือ?” ด้วยจำได้ ดังนั้นฮ่องเต้ถึงได้มั่นใจว่าลูกในท้องของนางกำนัลหญิงคนนี้ ไม่ใช่ของตนด้วยซ้ำไป


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้สีหน้าของฮ่องเต้ก็ไม่น่าดู ใบหน้าดำคล้ำลง ความกดดันแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ นางกำนัลคนนั้นพลันหวาดกลัวจนตัวสั่น


 


 


ตอนแรกฮ่องเต้คิดจะถามให้รู้เรื่อง แต่นางกำนัลหญิงคนนั้นกลับทนไม่ไหว มองไปยังองค์รัชทายาท แล้วร้องไห้พลางพูดว่า “องค์รัชทายาทช่วยข้าด้วย!”


 


 


เมื่อคำพูดนี้หลุดปากไป ฮ่องเต้ก็ไม่จำเป็นต้องไล่ถามต่อไป ความจริงถูกตีแผ่ออกมาต่อหน้าทุกคนแล้ว เด็กคนนั้นเป็นลูกขององค์รัชทายาท


 


 


หากเปลี่ยนเป็นนางกำนัลหญิงที่ไม่ได้ดูแลปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้ก็ดีไป แต่นางกำนัลคนนี้กลับดูแลปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้ แม้นวังหลวงไม่ได้มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ว่าสตรีที่ดูแลรับใช้ข้างกายฮ่องเต้ถือเป็นสมบัติของฮ่องเต้ แต่ในใจของทุกคนต่างคิดเช่นนี้ ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่ควรทำลาย


 


 


องค์รัชทายาททำเช่นนี้ก็เท่ากับแตะต้องผู้หญิงของบิดา


 


 


ไม่เพียงแค่สีหน้าของฮ่องเต้ที่เปลี่ยนไปในทันใด คนอื่นก็เช่นเดียวกัน และองค์รัชทายาทก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน


 


 


องค์รัชทายาทยืนต่อไปไม่ไหว คุกเข่าลงไปเสียงดัง ก้มหมอบนิ่งอยู่กับพื้นตัวสั่นสะท้าน “เสด็จพ่อได้โปรดระงับโทสะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ฮ่องเต้จะระงับโทสะได้อย่างไร? แล้วจะระงับโทสะอย่างไร? ฮ่องเต้ไม่สนใจว่าเป็นลูกชายของตน และยิ่งไม่สนใจว่าจะต้องไว้หน้าองค์รัชทายาท หยิบของที่อยู่ใกล้มือเขวี้ยงออกไปอย่างแรง


 


 


ที่เขวี้ยงออกไปเป็นแท่นฝนหมึกหยก อย่างน้อยหนักประมาณสองสามขีด หากปาโดนเข้าไปอย่างน้อยชีวิตขององค์รัชทายาทก็จะต้องหายไปกว่าครึ่ง


 


 


สายตาของหลี่เย่เป็นประกายเล็กน้อย ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเอาแขนบังเอาไว้ ต่อให้ออกแรงแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถรับไว้ได้หมด ไม่เพียงแค่ไม่สามารถบังเอาไว้ได้เท่านั้น แขนของเขาก็ถูกกระแทกสะบัดไปอีกข้าง เจ็บกระดูกจนเหมือนแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


 


แท่นฝนหมึกเบี่ยงทิศไปเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้กระแทกเข้ากับศีรษะขององค์รัชทายาท แต่กลับกระแทกเข้าไปที่ไหล่ขององค์รัชทายาท ถือว่าเป็นการช่วยชีวิตองค์รัชทายาทเอาไว้ได้


 


 


หลี่เย่จะไม่บังไว้ก็ได้ แต่ถ้าหากไม่บังเอาไว้ องค์รัชทายาทถูกกระแทกจนเสียชีวิตหรือว่าเป็นอะไรหนักไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบฮ่องเต้ เขาก็ต้องถูกนินทาเหมือนกัน ต่อให้ทำเพื่อแสดงท่าทีน้องรักพี่ให้คนอื่นดู เขาเองก็ต้องแสดงออกมา


 


 


องค์ชายเจ็ดตกใจมาก ไม่สนใจสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว รีบพุ่งไปพลางตะโกนเสียงดัง “พี่รอง!”


 


 


ข้อศอกของหลี่เย่นั้นสั่นเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ เจ็บจนเหงื่อไหลซึม ฝืนยิ้มออกมา “ข้าไม่เป็นอะไร ไปดูองค์รัชทายาทเถิด”


 


 


ฮ่องเต้เห็นตนเองเขวี้ยงของไปโดนลูกชายสองคน และถูกเสียงร้องดังด้วยความตกใจขององค์ชายเจ็ดทำให้ตกใจจนได้สติกลับมา ฉับพลันนั้นก็หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ในตอนนี้ไฟโกรธของเขากำลังลุกโชน และไม่อาจทำใจเย็นได้ เพียงแค่หันไปสั่งองค์ชายเจ็ดว่า “ประคองพี่รองของเจ้าออกไป” ในใจของเขานั้นกล่าวโทษหลี่เย่ ทำไมอยู่ดีไม่ว่าดีถึงได้ขึ้นมาบังเอาไว้! อีกเดี๋ยวพอไทเฮารู้ก็จะต้องกริ้วอีกมิใช่หรือ?


 


 


องค์รัชทายาทเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ ที่เขาโดนนั้นกระแทกเข้ากับสะบักไหล่ของเขาพอดี พูดง่ายๆ คืออาการบาดเจ็บของเขารุนแรงกว่าของหลี่เย่ หมอบคลานอยู่บนพื้น องค์รัชทายาทเจ็บจนพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าซีดเผือด อ้าปากพะงาบคล้ายปลาใกล้ขาดอากาศหายใจตาย นางกำนัลคนนั้นตกใจนิ่งอึ้งไป ตอนที่แท่นฝนหมึกลอยมา นางตกใจจนบื้อไป พอเห็นองค์รัชทายาทตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งตกใจ รู้สึกว่าวันตายของตนเองมาถึงแล้ว


 


 


“คนอกตัญญู!” ฮ่องเต้ด่าเสียงดัง เต็มไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจ และหยิบของที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง เขวี้ยงไปที่องค์รัชทายาททีละอย่าง แต่กลับไม่ใช่ของหนักอะไร เป็นของจำพวกพู่กันหรือว่าฎีกาอะไรทำนองนั้น ไม่เจ็บไม่ปวด


 


 


ฮ่องเต้ยังเขวี้ยงอย่างไม่สบกับอารมณ์ ฉับพลันก็รู้สึกแน่นอก และกลิ่นคาวเลือดในลำคอ ไอออกมาทีหนึ่ง แต่กลับอาเจียนออกมาเป็นโลหิตจำนวนมาก


 


 


ฮ่องเต้พลันนิ่งไปเช่นเดียวกัน มองดูรอยเลือดสีแดงสด อ้าปากค้าง ตัวเอนไปทางหนึ่งทันที


 


 


คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นขันทีเป่าฉวน หรือว่าหลี่เย่ องค์ชายเจ็ด หรืออู่อ๋อง ต่างก็พุ่งขึ้นไปข้างหน้าเหมือนรวงผึ้ง คราวนี้ไม่มีใครสนใจทั้งองค์รัชทายาทและนางกำนัลหญิงคนนั้น ทำให้ทั่วทั้งพระราชฐานยุ่งวุ่นวายไปหมด


 


 


เรื่องนี้ที่ถาวจวินหลันรู้ได้ ก็เพราะว่าต้องเข้าวังหลวงไปปรนนิบัติอาการบาดเจ็บของหลี่เย่และอาการประชวรหนักของไทเฮา คราวนี้ฮ่องเต้โมโหไม่น้อย ลมแทบจับไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาเจียนเป็นโลหิตออกมา เกรงว่าครั้งนี้คงมีแนวโน้มไปทางร้ายมากกว่าดีเป็นแน่


 


 


แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือไทเฮา ไทเฮาลมจับหน้ามืดไปจริง ผลการตรวจของหมอหลวงไม่ค่อยดีนัก พูดแค่ว่าครั้งนี้คงจะทนไม่ไหวอีกต่อไป


 


 


หลี่เย่ให้ถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์และหมิงจูเข้ามาในวังหลวง อย่างแรกก็ด้วยไทเฮาจะได้อารมณ์ดีขึ้นหากพบซวนเอ๋อร์ อย่างที่สองก็ด้วยกลัวว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกะทันหัน ก็จะได้เห็นหน้าไทเฮาเป็นครั้งสุดท้าย


 


 


ตอนที่ถาวจวินหลันรีบเข้าไปที่วังหย่งโซ่ว หลี่เย่กำลังบันดาลโทสะอยู่ “ใครกันที่บอกข่าวนี้กับไทเฮา!”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่ เรื่องใหญ่เช่นนี้ และไม่ใช่เรื่องดี คิดแล้วคงไม่มีใครกล้าบอกไทเฮาเป็นแน่ แต่ไทเฮาก็ยังรู้ แล้วยังลมจับหน้ามืดไปเพราะเรื่องนี้


 


 


แต่ที่ทำให้นางเป็นกังวลมากที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ แต่นางเห็นแขนข้างหนึ่งของหลี่เย่พันผ้าเอาไว้มิดชิด แล้วยังแขวนเอาไว้ที่คอ


 


 


“เป็นอะไรไปเพคะ?” ถาวจวินหลันไม่สนใจว่ามีคนเยอะหรือไม่ รีบเดินขึ้นไปถามหลี่เย่


 


 


สีหน้าของหลี่เย่ไม่น่ามองเท่าไรนัก ส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่เป็นอะไร เพียงแค่กระแทกจนบาดเจ็บเท่านั้น กระดูกไม่ได้หัก รักษาแค่ไม่กี่วันก็หายแล้ว” กระดูกไม่หัก แต่ว่าแตก แต่เรื่องนี้เขาไม่คิดจะบอกถาวจวินหลัน


 


 


“เจ้าไปดูไทเฮาก่อนเถิด” หลี่เย่ถอนหายใจ “ฮองเฮาและนางสนมเฝ้าเสด็จพ่ออยู่ ทางด้านไทเฮานี้มีหลานสะใภ้เช่นพวกเจ้าคอยเฝ้าอยู่ เจ้าดูแลไทเฮาแทนข้าให้ดี ข้ายังจะต้องไปดูเสด็จพ่อ”


 


 


ถาวจวินหลันย่อมไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่สมควรทำ จึงพูดออกมาอย่างเด็ดขาด “ท่านวางใจ ข้าจะต้องดูแลไทเฮาเป็นอย่างดีเพคะ”


 


 


หลี่เย่เพียงแค่พยักหน้าอย่างรีบร้อย และรีบจากไป ทางด้านถาวจวินหลันก็ไม่กล้าล่าช้าอีก รีบเข้าไปภายในห้องเพื่อดูไทเฮา ส่วนซวนเอ๋อร์และหมิงจู นางก็ยังไม่กล้าให้พวกเขาเข้าไป ให้แม่นมคอยท่าอยู่ข้างนอกก่อน อย่างไรก็ยังไม่รู้ว่าข้างในมีสถานการณ์เป็นอย่างไร หากว่าทำให้เด็กๆ ตกใจก็คงไม่ดี


 


 


ไทเฮายังไม่ฟื้นขึ้นมา สีหน้าเทาซีด ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ลมหายใจก็เบาบาง


 


 


ถาวจวินหลันเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใจพลันตกฮวบ ครั้งนี้ไทเฮาอยู่ในขีดอันตรายแล้วจริง ต่อให้ไม่ต้องถามหมอหลวง เพียงแค่ใช้สายตาของตนเองก็ยังมองออก


 


 


นางเข้าใจความรู้สึกโมโหของหลี่เย่ทันที ไม่ว่าจะมีความคิดเช่นไร ก็จะต้องลากคนที่บอกเรื่องนี้ให้ไทเฮารู้มาโบยตีให้ตายคาที่


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทไม่ได้อยู่ในห้อง ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเดาว่านางคงไปดูแลองค์รัชทายาท อย่างไรองค์รัชทายาทก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ภายในห้องตอนนี้ไม่มีใคร พระชายาอู่อ๋องก็ยังไม่มา


 


 


ถาวจวินหลันเห็นท่าทีของจางหมัวหมัวไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จึงก้าวขึ้นไปพลางพูดว่า “หมัวหมัวไปพักก่อนเถิด หากล้มพับไป เสาหลักของวังหย่งโซ่วก็ต้องล้มลงไปด้วย ที่นี่มีข้าอยู่ ท่านสบายใจได้”


 


 


จางหมัวหมัวเองก็มีท่าทีไม่ค่อยไหวแล้วเหมือนกัน เมื่อเทียบกับไทเฮา นางก็อายุน้อยกว่าไม่เท่าไร จึงพยักหน้ารับคำ นางจะล้มลงไม่ได้ มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นจะทำร้ายไทเฮาอย่างไร เมื่อครู่นี้คลาดสายตาไปเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็มีคนเอาเรื่องนี้มาบอกไทเฮาเสียแล้ว


 


 


คิดถึงตรงนี้สายตาของจางหมัวหมัวก็เป็นประกายเฉียบคม ประหนึ่งมีดคมมองไปยังนางกำนัลและขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องทีละคน คนที่ขี้ขลาดพลันก็รู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อย แม้แต่หน้าก็ยังไม่กล้าเงยขึ้นมา


 


 


อยู่ในวังหย่งโซ่วมาหลายปี จางหมัวหมัวเป็นคนที่อยู่เบื้องหน้าไทเฮามานาน อำนาจที่สั่งสมมาย่อมไม่อาจล่วงเกินได้


 


 


เพียงแค่มองดูย่อมไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ ดังนั้นสุดท้ายจางหมัวหมัวก็เก็บสายตาไป ในใจของนางนั้นคิดขึ้นมาในทันใด ในตอนนี้คนเลวทั้งหลายแหล่ภายในวังหลวงต่างพากันปรากฏตัวออกมา ฮ่องเต้ยังไม่ทันเป็นอะไรไป แต่สถานการณ์ก็เป็นขนาดนี้แล้ว หาก…


 


 


ที่จางหมัวหมัวเป็นกังวลที่สุดก็คือไทเฮา หากไทเฮาทนต่อไปไม่ไหว แล้วจะทำเช่นไร?


 


 


ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร นอกจากเฝ้าดูไทเฮาแล้ว นางก็ไม่มีเรื่องที่ทำได้อีก นางไม่ใช่หมอ ทำได้แค่รอเท่านั้น


 


 


ในขณะเดียวกับที่นั่งนิ่ง นางก็เรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ในหัวอีกที โดยเฉพาะเรื่องวันนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าภายในวังหลวงเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

 

 

 


บทที่ 492 บีบคั้น

 

พระชายาจวงอ๋องและและพระชายาอู่อ๋องมาพร้อมกัน หลังจากเข้ามาเห็นสภาพของไทเฮาแล้ว น้ำตาก็ไหลพรากทันที แม้ว่าจะไม่ได้ร้องไห้โวยวาย แต่ก็เสียใจมาก “ไทเฮาเพคะ ท่านตื่นขึ้นมาเถิดเพคะ!”


 


 


ถาวจวินหลันนั่งมองอยู่ข้างๆ อย่างตกตะลึงตาค้าง แล้วก็ได้สติกลับมา เมื่อเทียบดูแล้ว ตนเองเหมือนคนที่ไม่ได้เสียใจแม้แต่น้อย แต่พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องกลับดูเป็นหลานสะใภ้ที่กตัญญูรู้คุณ


 


 


แต่ปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ดูเกินเหตุไปเล็กน้อย


 


 


ถาวจวินหลันนวดขมับของตนที่รู้สึกปวดขึ้นมา เอ่ยเสียงเตือน “พระชายาจวงอ๋อง พระชายาอู่อ๋อง ตอนนี้ไทเฮาต้องการพักผ่อนอย่างสงบ หากพวกท่านเสียใจจริง ก็ออกไปร้องไห้ก่อนแล้วค่อยเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ อีกอย่างอาการของไทเฮายามนี้ยังดีอยู่ พวกท่านร้องไห้เช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ” คนที่ไม่รู้เรื่องคงคิดไปว่าไทเฮาเสียชีวิตไปแล้ว


 


 


เมื่อคำพูดนี้ดังออกไป นางกำนัลและขันทีที่อยู่ข้างๆ ต่างก็พากันคิดเช่นนั้น


 


 


แต่เห็นได้ชัดว่าพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องไม่ได้คิดเช่นนั้น คิ้วของพระชายาจวงอ๋องขมวดแน่น ดวงตาฉายแววไม่พอใจหรี่ลงมองถาวจวินหลันอย่างเฉียบคม ท่าทีเช่นนั้นแสดงออกมาว่าไม่ได้เห็นถาวจวินหลันอยู่ในสายตา


 


 


อย่างที่คาดเอาไว้ เมื่อพระชายาจวงอ๋องเอ่ยปาก ก็แฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย “ชายารองถาว เพราะไทเฮาป่วยอยู่ ข้าเองจะไม่ไปเอาเรื่องเอาราวที่เจ้าเสียมารยาท แต่เจ้ากลับทำท่าทางทะนงได้ใจ ทำตัวสูงส่งกับพวกเรา เจ้าเรียนมารยาทมาอย่างไรกัน ดูท่าทางจวนตวนชินอ๋องคงไม่มีนายหญิงคอยสั่งสอน ช่างไม่ถูกต้องเสียจริง”


 


 


จากที่พระชายาจวงอ๋องดูแล้ว ถาวจวินหลันจะได้รับความโปรดปรานมากเพียงใด จะมีหน้ามีตาต่อหน้าไทเฮามากเพียงใด ก็เป็นเพียงชายารองคนหนึ่งเท่านั้น ต่ำศักดิ์กว่าพวกนางอยู่ขั้นหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด จะเอาอะไรมาทัดเทียมกัน?


 


 


ถาวจวินหลันมองพระชายาจวงอ๋องอย่างตื่นตะลึง ไม่เข้าใจว่าพระชายาจวงอ๋องต้องการทำอะไร หลังจากตั้งสติได้แล้ว นางก็ยิ้มบางๆ พูดว่า “แต่เดิมข้าที่เป็นชายารองพบพระชายาทั้งสองท่านก็ต้องทำความเคารพ แต่พระชายาทั้งสองท่านคงจะลืมบางเรื่องไป ตอนนั้นที่ฮ่องเต้ถ่ายทอดคำสั่งลงมา ประทานให้ตัวข้ามีเกียรติยศเท่ากับชายาเอก ดังนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ”


 


 


ด้วยไทเฮาต้องการพักผ่อนอย่างสงบ หากพระชายาจวงอ๋องไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้ บางทีนางอาจยังถอยให้ได้ก้าวหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้หรือ นางถอยออกมาก้าวหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามก็คงไม่ยอมเลิกรา อีกอย่างนางในตอนนี้เป็นตัวแทนของจวนตวนชินอ๋อง ยิ่งไม่อาจก้มหน้าได้


 


 


พระชายาจวงอ๋องถูกคำพูดของถาวจวินหลันทำให้สะอึกไป จนแทบไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อ


 


 


กลับเป็นพระชายาอู่อ๋องที่หัวเราะเสียงเย็น “ก็แค่ทัดเทียมกับชายาเอกเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่ใช่”


 


 


คำพูดของพระชายาอู่อ๋องนั้นเฉียบคม ถาวจวินหลันจึงยิ้มรับน้อยๆ มองไปยังพระชายาอู่อ๋อง “เป็นตามนั้น แต่ตำแหน่งเท่ากับชายาเอก ก็เท่ากับว่าข้ามีสิทธิไม่ต้องทำความเคารพ ใช่ หากข้าเทียบกับพระชายาจวนตวนชิงอ๋อง ข้าก็คงไม่ใช่พระชายา แต่ต่อหน้าคนอื่น ข้าคิดว่าจากคำพูดของฮ่องเต้ที่บอกว่ามีตำแหน่งเท่าชายาเอกยังคงมีผลอยู่”


 


 


ในเมื่อต้องการแย่งชิง นางย่อมต้องไม่กลัว นางยังมีคำสั่งสวรรค์อยู่ ยังจะต้องกลัวอะไรอีก? อีกอย่างหากเป็นเรื่องขึ้นมาก็เป็นสองคนนี้ ไม่ใช่นาง


 


 


แต่ด้วยความหวังดี ถาวจวินหลันก็ยังคงพูดเตือน “หากพระชายาทั้งสองไม่พอใจข้า พวกเราก็ไปร้องขอความเป็นธรรมต่อหน้าฮองเฮาเหนียงเหนียง ทำไมจะต้องมาสร้างเรื่องวุ่นวายต่อหน้าไทเฮาด้วยเล่า? ยามนี้ไทเฮายังบรรทมอยู่ พวกเราเงียบเสียหน่อยจะดีกว่า”


 


 


แต่ประโยคเตือนด้วยความหวังดีเพียงประโยคเดียว พอดังเข้าไปในหูของพระชายาอู่อ๋องและพระชายาจวงอ๋องแล้วกลับเป็นการวางอำนาจและหาเรื่องมากกว่า


 


 


พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องสบตากัน สุดท้ายแล้วก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา ยอมยุติการทะเลาะ และในขณะเดียวกันก็พร้อมใจกันเดินไปข้างหน้าเพื่อเฝ้าไทเฮา


 


 


ถาวจวินหลันมองดูแล้วว่าไม่มีที่ให้นางได้เดินแทรกเข้าไป จึงไม่คิดจะเข้าไปด้วย แต่กลับไปหาซวนเอ๋อร์และหมิงจู เพราะว่าไทเฮายังไม่ตื่น ดังนั้นจึงไม่พาพวกเขาเข้าไป


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ยาของไทเฮาก็ถูกส่งมา ถาวจวินหลันย่อมต้องรับเอาไว้เตรียมป้อนยาให้ไทเฮา


 


 


พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องกลับไม่มีท่าทีจะขยับออก แต่กลับยิ้มพลางยื่นมือมาทางถาวจวินหลัน แสดงท่าทีให้ถาวจวินหลันเอาถ้วยยาไปให้พวกนาง


 


 


ถาวจวินหลันทำเป็นมองไม่เห็น เดินตรงเข้าไปข้างใน สุดท้ายพระชายาจวงอ๋องก็ขยับตำแหน่งให้เล็กน้อย เพื่อให้ถาวจวินหลันได้ป้อนยาให้ไทเฮา ในใจของนางไม่อยากให้ทาง แต่มีคนยืนมองอยู่มากมาย นางคงไม่อาจจะทะเลาะเบาะแว้งกับถาวจวินหลันได้ และยิ่งไม่อาจขวางถาวจวินหลันป้อนยาไทเฮาได้มิใช่หรือ?


 


 


ถาวจวินหลันนั่งลงสำเร็จ แล้วยังส่งยิ้มให้พระชายาจวงอ๋อง แทบจะทำให้พระชายาจวงอ๋องกระอักเลือด


 


 


พอเป่ายาให้หายร้อนจนรู้สึกว่าพอดีแล้ว ถาวจวินหลันก็เอ่ยกำชับพระชายาจวงอ๋อง “รบกวนพระชายาหยิบปากเป็ดเงินมาให้เสียหน่อย ข้าจะป้อนยาไทเฮา”


 


 


ปากเป็ดเงินนั้นทำมาเพื่อกรอกยาโดยเฉพาะ มีลักษณะคล้ายกับปากของเป็ด สามารถใช้สอดเข้าไปในฟันได้ ใช้สำหรับกรอกยา มิเช่นนั้นแล้ว ใช้ช้อนป้อนเข้าไปทีละคำคงวุ่นวายมากเกินไป แต่พอใช้สิ่งนี้ก็ประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะหกกระจาย เพียงแค่อดทนเสียหน่อย ป้อนเข้าไปช้าๆ ถึงจะดี แต่จะเร่งรีบไม่ได้ มิเช่นนั้นอาจสำลักได้


 


 


ริมฝีปากของพระชายาจวงอ๋องขยับเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็ทำตามที่บอก เรื่องการป้อนยาไทเฮานั้น พวกนางไม่ว่าใครก็ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ และยิ่งรับความรับผิดชอบนี้ไม่ไหว


 


 


พอป้อนยาเข้าไปได้ ถาวจวินหลันก็สบายใจไปเปราะหนึ่ง “ดีแล้ว ขอเพียงแค่ดื่มยาเข้าไปได้ก็ดีแล้ว” เกรงว่ากรอกยาลงไปเช่นนี้แต่ไม่สามารถกลืนเข้าไปได้ นั่นก็ถือว่าอันตรายมาก ขอเพียงแค่ดื่มยาได้ ถ้าเช่นนั้นก็สามารถป้อนข้าวต้ม ป้อนน้ำแกง ประคองชีวิตต่อไปได้ อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นกินอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แล้วจะต้องหิวตายไป


 


 


พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องเองก็ผ่อนคลายเช่นกัน


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดื่มยาเข้าไปหรือไม่ ผ่านไปไม่นานไทเฮาก็ตื่นขึ้นมาครู่หนึ่ง แต่ก็หลับไปอีกอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ทำให้คนตื่นเต้นดีใจมากแล้ว สติของไทเฮายังคงแจ่มแจ้งชัดเจนดี


 


 


ทุกคนต่างพากันผ่อนลมหายใจออกมา หมอหลวงก็พูดแล้ว ขอเพียงแค่ตื่นขึ้นมาได้ ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงมากแล้ว ที่เหลือจำเป็นต้องใช้เวลาในการบำรุงรักษาแล้ว


 


 


ในเมื่อไทเฮาไม่ได้มีอันตรายอะไร ทุกคนย่อมต้องเกิดความคิดอื่นขึ้นมา


 


 


พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องแอบกระซิบข้างหูกันเบาๆ สุดท้ายแล้วก็เบนความสนใจมาที่ร่างของถาวจวินหลัน “ชายารองถาวรู้หรือไม่ว่าภายในวังหลวงเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


 


 


ถาวจวินหลันมองท่าทีของพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋อง ก็รู้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่รู้เรื่องภายในเลยแม้แต่น้อย ใช่แล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าหลี่เย่ตั้งใจให้หลิวเอินกลับมา นางเองก็คงไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นเดียวกัน


 


 


อาจด้วยในใต้หล้านี้ นอกจากหลี่เย่ที่เล่าเรื่องทุกสิ่งอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ให้นางฟังแล้ว คนอื่นก็คงจะไม่ทำหรอกใช่หรือไม่? โดยเฉพาะเรื่องเช่นนี้ นี่ถือว่าเป็นเรื่องลับ หากคนรู้น้อยคนหนึ่งก็ย่อมดีกว่า


 


 


แต่แน่นอนว่านางเองก็ต้องไม่พูดออกมา จึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าเองก็ไม่รู้” พวกนางไม่ได้สานสัมพันธ์กันเยอะมาก แล้วทำไมจะต้องพูดคุยให้เยอะด้วย? ยิ่งพูดออกไปก็ยิ่งปิดเป็นความลับได้ยาก เพราะเรื่องจะถูกพูดต่อกันไป


 


 


ใบหน้าของพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องเต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่ก็ไม่สนใจถาวจวินหลันอีก ถาวจวินหลันเองก็ไม่สนใจ แล้วก็หยิบส้มขึ้นมาปอกเปลือก พลางดึงกลีบส้มออกอย่างช้าๆ แล้วเอากากส้มสีขาวออก วางลงบนถาดเบญจรงค์สีขาว คิดว่าอีกครู่หนึ่งจะให้ซวนเอ๋อร์และหมิงจูกิน ตอนนี้ผิงไฟอยู่ทั้งวัน หากไม่กินผลไม้หรือของกินที่ลดความร้อนในร่างกายก็จะเป็นร้อนในได้ง่าย ดังนั้นนางจึงต้องเตรียมผลไม้สดใหม่เอาไว้หนึ่งจานทุกวัน


 


 


วันนี้รีบร้อนเข้าวังหลวงมา แต่ก็ไม่อาจละเลยเรื่องนี้ได้ อีกอย่างไทเฮากินก็ดีเช่นเดียวกัน อย่างไรกินยาแล้วขมปาก กินผลไม้ที่พอมีรสชาติหรือว่าน้ำผลไม้ก็จะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย


 


 


แต่กลับไม่รู้ว่าการกระทำของนางตกไปอยู่ในสายตาของพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องแล้ว แล้วยังถูกเอาไปนินทาอีกรอบหนึ่ง รู้สึกว่านางเสแสร้งแกล้งทำ ไม่ได้เป็นห่วงไทเฮาจากใจจริง


 


 


ที่จริงแล้วถาวจวินหลันกำลังกังวลเรื่องหลี่เย่ แม้จะรู้ว่าหลี่เย่ใช้แขนกันแท่นฝนหมึกให้องค์รัชทายาท แต่ไม่รู้ว่าจะบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ มองดูท่าทีนั้นก็รู้ว่าไม่ง่ายดายเหมือนที่หลี่เย่พูดอย่างแน่นอน แต่ด้วยตอนนั้นเร่งรีบ นางจึงยังไม่ได้ถาม คราวนี้นางจึงรู้สึกกังวลใจมาก


 


 


แล้วยังมีฮ่องเต้ เรื่องนี้เกรงว่าฮ่องเต้คงจะโมโหมาก ไม่รู้ว่าจัดการจบเรื่องนี้อย่างไร จะสั่งกำจัดองค์รัชทายาทหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับหลี่เย่


 


 


แต่หากเรื่องเช่นนี้ก็ยังโมโหขนาดนี้ แล้วต่อจากนี้เล่า? ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องอี๋เฟย ก่อนหรี่ตาลงน้อยๆ หากฮ่องเต้รู้เรื่องนั้นแล้วจะทำเช่นไร? จะโมโหตายตรงนั้นไปเลยหรือไม่?


 


 


ไม่ ฮ่องเต้คงจะต้องจัดการโบยองค์รัชทายาทให้ตายก่อน คราวนี้ฮ่องเต้เขวี้ยงของชิ้นนั้นไป ก็ต้องมีสาเหตุมาจากความโกรธ แต่ก็ดูไม่ค่อยถูกต้องนัก ทำให้หลี่เย่ต้องไปบังเอาไว้ หากหลี่เย่ไม่ได้บัง ตอนนี้องค์รัชทายาทจะตกอยู่ในสภาพใด?


 


 


หากองค์รัชทายาทถูกเขวี้ยงจนตายจริง ถ้าเช่นนั้นในราชกาลนี้ก็ต้องมีเรื่องน่าขันอย่างยิ่งแน่นอน หลังจากนี้ไปเรื่องนี้จะต้องถูกพูดถึงไปตลอดกาล และกลายเป็นเรื่องน่าขันหลายพันปี


 


 


เรื่องที่ถาวจวินหลันยังเป็นกังวลก็คือนางกำนัลคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง จะเก็บไว้หรือไม่? หากเก็บเอาไว้ ฮ่องเต้ก็จะต้องตะขิดตะขวงใจเป็นแน่ หากไม่เก็บเอาไว้ องค์รัชทายาทที่ไม่มีผู้สืบทอดอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็ดูน่าเวทนาไปเสียหน่อย


 


 


ดังนั้นความคิดเห็นของฮองเฮาจึงสำคัญมาก ครั้งนี้ฮองเฮาจะตัดใจทำร้ายหลานของตนเองได้ลง หรือว่าจะใจอ่อนทำให้ฮ่องเต้โมโหอีกครั้งหนึ่ง?


 


 


เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถาวจวินหลันก็จัดการปอกส้มที่อยู่ถาดทั้งหมดแล้ว นางจึงยกไปให้พวกซวนเอ๋อร์กิน แต่พอออกไปก็เห็นจางหมัวหมัวนั่งใจลอยอยู่ตรงระเบียง


 


 


จางหมัวหมัวตกใจเล็กน้อย ถาวจวินหลันก็ก้าวขึ้นไปปลอบว่า “หมัวหมัว นั่งอยู่ตรงนี้ทำอะไรหรือ? หนาวขนาดนี้เข้าไปนั่งข้างในห้องเถิด”


 


 


จางหมัวหมัวส่ายหน้า พลางพูดว่า “ต้องเห็นท่าทางของไทเฮาเช่นนั้น ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก หมอหลวงก่อนหน้านี้เคยพูดไว้แล้วว่าให้รักษาสุขภาพให้ดี มิเช่นนั้นหน้าหนาวจะเป็นอันตรายยิ่ง ข้าเองก็ระมัดระวังมาโดยตลอด แต่กลายเป็นว่า…”


 


 


“คราวนี้ไทเฮาไปขวางสายตาใครเข้าเสียแล้ว” จางหมัวหมัวยิ้มเย็น น้ำเสียงสะท้อนความโกรธแค้นออกมา “ไทเฮาเจอคลื่นภัยมามากมายเท่าไร คราวนี้ไฉนเลยจะต้องมาล้มลงตรงนี้เล่า?”


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า พูดอย่างจริงจัง “ในเมื่อหมัวหมัวคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งต้องดูแลไทเฮาให้ดีถึงจะถูก จะได้ไม่มีคนฉวยโอกาสลงมืออีก”


 


 


จางหมัวหมัวถอนหายใจ แล้วพูดว่า “วันหน้าท่านก็ให้ซินหลันเข้าวังหลวงมาสักครั้งหนึ่ง มาเย้าแหย่ไทเฮาให้มีความสุขขึ้นก็พอแล้ว ซินหลันเหมาะหยอกเล่นกับไทเฮาที่สุดแล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า “รอไทเฮาตื่นแล้ว ข้าจะให้ซินหลันเข้าวังมาสักครั้ง” ขอเพียงแค่ไทเฮาอาการดีขึ้น ไม่ว่าอะไรนางก็ยินยอมทำ ตอนนี้ไทเฮาไม่อาจเป็นอะไรไปได้ หลี่เย่เองก็ยิ่งไม่อาจสูญเสียเสาหลักนี้ได้

 

 

 


บทที่ 493 คาดเดา

 

ระหว่างนั้นไทเฮาก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กลับเรียกให้จางหมัวหมัวมาปรนนิบัติเท่านั้น ถาวจวินหลันและพวกพระชายาจวงอ๋องจึงทำได้แค่ถอยออกไปเท่านั้น


 


 


พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องล้วนผิดหวัง แต่เดิมคิดว่าครั้งนี้จะเป็นโอกาสดีได้แสดงความกตัญญู แต่คิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะไม่ให้โอกาสพวกนางได้แตะต้องเลยแม้แต่น้อย


 


 


ถาวจวินหลันกลับไม่คิดเช่นนั้น นางคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ คำสั่งของไทเฮานั้นผิดแผกไปจากเดิม ทำไมไม่เรียกให้พวกนางไปปรนนิบัติ กลับเรียกเพียงแค่จางหมัวหมัวเข้าไปเท่านั้น? นี่กำลังระแวงพวกนางหรืออย่างไร? แต่พวกนางมีอะไรให้ระแวงเล่า?


 


 


ถาวจวินหลันวิเคราะห์ทีละจุดอย่างละเอียด ลองหาความจริงที่ละจุด และความจริงก็เผยออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะว่าตอนที่จางหมัวหมัวออกมา ก็ให้นางกำนัลเข้าไปเปลี่ยนผ้าห่มและผ้าปูเตียง


 


 


แม้จะบอกว่าจางหมัวหมัวแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่นางก็ยังเห็นความผิดปกติและความตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย รวมไปถึงดวงตาแดงก่ำของจางหมัวหมัว เห็นได้ชัดว่าจางหมัวหมัวร้องไห้มาก่อนแล้ว


 


 


ถาวจวินหลันพลันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา จึงถลึงตาโตเช่นเดียวกัน แต่นางก็ไม่กล้าถามจางหมัวหมัวโดยตรง แต่กลับหาโอกาสเรียกหมอหลวงที่รออยู่เรือนข้างๆ มาถามเล็กน้อย แน่นอนว่าลับหลังคนอื่น


 


 


“สถานการณ์ลมจับของไทเฮารุนแรงขนาดไหนกัน?” ฝ่ายตรงข้ามเป็นหมอหลวงเครายาวขาวโพลนแล้ว นางย่อมไม่กังวลเรื่องไม่เหมาะสมระหว่างหญิงชายอีก


 


 


หมอหลวงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลูบเคราอยู่สักพักแล้วถึงพูดอย่างจริงจังว่า “จะบอกว่ารุนแรงก็ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดนั้นขอรับ แต่จะบอกว่าเบาหรือก็ไม่ ที่สำคัญที่สุดก็คือหลังจากไทเฮาตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการเป็นเช่นไร”


 


 


“อย่างเช่นอาการในตอนนี้เล่า?” ที่ถาวจวินหลันอยากถามคือสิ่งนี้


 


 


หมอหลวงครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วตอบ “อาจจะไม่เป็นอะไรเลย แต่ก็อาจจะเดินเหินหรือขยับร่างกายไม่สะดวกไปชั่วคราว”


 


 


“เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นใช่หรือไม่?” ถาวจวินหลันเห็นว่าหมอหลวงหลุดออกมาแล้ว ไม่เร่งรีบ ถามเพียงแค่สิ่งที่ตนเองอยากถามเท่านั้น


 


 


“นี่…” หมอหลวงส่ายหน้า สุดท้ายแล้วก็พูดตามตรง “ยังไม่ชัดเจน”


 


 


“ถ้าเช่นนั้นขยับไม่สะดวกรุนแรงมากที่สุดจะเป็นเช่นไร?” ถาวจวินหลันเริ่มมั่นใจอยู่บ้างแล้ว แต่กลับถามต่อไป


 


 


หมอหลวงมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็พูดออกมาว่า “อัมพาต ขยับไปที่ไหนไม่ได้ แต่สติปัญญายังครบถ้วน”


 


 


ถาวจวินหลันสั่นสะท้านทันที หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็น่าเวทนาและน่ากลัวเกินไปแล้ว มีเพียงแค่สติปัญญาที่ยังแจ่มแจ้ง แต่ร่างกายกลับไม่สามารถขยับได้ นี่ไม่ใช่การทรมานกันหรืออย่างไร? คนธรรมดาที่ไหนจะรับเรื่องเช่นนี้ได้?


 


 


หากไทเฮา…นางนึกถึงบางเรื่อง แล้วก็รู้สึกถึงกระแสความเย็นที่พัดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ


 


 


เพราะเรื่องนี้ ตอนที่ถาวจวินหลันกลับไปอีกครั้ง จึงดูขวัญหนีดีฝ่อ อาการของไทเฮาดูแล้วไม่เลวร้าย อาจด้วยอาบน้ำทำความสะอาดมาแล้ว ทั้งร่างจึงดูสดชื่นขึ้นไม่น้อย “ฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้าง?” ไทเฮาเอ่ยปากถาม นอกจากน้ำเสียงมีแววอ่อนแรงเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีความผิดปกติอะไรอีก


 


 


เรื่องนี้กลับไม่มีคนรู้ เห็นสถานการณ์เงียบไป ถาวจวินหลันก็ก้าวขึ้นไปพูดเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าไม่ได้เป็นอะไรมากเพคะ เพียงแค่กริ้วมากเท่านั้น ท่านอ๋องเองก็คอยดูสถานการณ์ทางนั้นอยู่เพคะ ไทเฮาไม่ต้องกังวลไป คิดดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรมาก หากไทเฮาเป็นกังวล ก็ให้คนไปถามได้นะเพคะ”


 


 


ไทเฮาพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดว่าจะให้คนไปถาม เพียงแค่พูดอีกว่า “องค์รัชทายาทเล่า?”


 


 


เรื่องนี้ก็ไม่มีคนรู้เช่นเดียวกัน ยังคงเป็นถาวจวินหลันที่ออกหน้าตอบว่า “ได้ยินว่าไม่เป็นอะไรมากเช่นกันเพคะ ตอนนี้พระชายาองค์รัชทายาทก็คอยเฝ้าดูอยู่เพคะ”


 


 


“ส่งให้คนไปดู” ไทเฮาสั่ง พูดอีกว่า “ให้คนไปดูทางด้านฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน ให้จางหมัวหมัวไปถ่ายทอดคำ บอกฮ่องเต้ว่า เขาเป็นฮ่องเต้ ให้เขาจำเรื่องนี้เอาไว้!”


 


 


ถาวจวินหลันรับคำ และก้าวขึ้นไปช่วยกระชับผ้าห่มให้ไทเฮา สุดท้ายก็ถามอีกว่า “ไทเฮาอยากเสวยอะไรหรือไม่เพคะ?” พอคิดดูแล้วไทเฮายังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน ภายในระยะเวลานี้เพียงแค่กรอกยาลงไปถ้วยหนึ่งเท่านั้น น่าจะเริ่มหิวแล้ว


 


 


ไทเฮาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ส่ายหน้า


 


 


“ซวนเอ๋อร์และหมิงจูคอยอยู่ข้างนอกเพคะ ไทเฮาอยากพบหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันเห็นไทเฮามีท่าทีเช่นนี้ ก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ที่มากกว่าคือความหดหู่ รู้สึกเพียงแค่ความคาดเดาในใจนั้นจะต้องได้รับการทดสอบ


 


 


ไทเฮายังคงส่ายหน้าปฏิเสธ ตลอดการกระทำนี้ ทั้งร่างกายไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย ถาวจวินหลันคอยมองอยู่ รู้สึกกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข


 


 


“พวกเจ้าออกไปเถิด ที่ควรจะกลับไปก็กลับไป ไม่ต้องมาปรนนิบัติ” ไทเฮาคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็สั่งเช่นนี้ พอพูดจบก็เหมือนเหนื่อยมากแล้ว ไม่พูดอะไรออกมาอีก


 


 


ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปยังพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องที่ยังอยากแสดงความกตัญญู ก่อนพูดว่า “ไทเฮาเหนื่อยแล้วเกรงว่าจะต้องพักสักครู่หนึ่ง พวกเราออกไปข้างนอกก่อนดีกว่า”


 


 


พระชายาจวงอ๋องมองถาวจวินหลันอย่างไม่พอใจ แต่เดิมนางคิดอยากจะพูดอีกสักสองสามคำ แต่เมื่อถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ นางเองก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก


 


 


ถาวจวินหลันเองก็ไม่สนใจ เพียงแค่เดินนำไปก่อนเท่านั้น พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องก็ได้แต่เดินตามออกไปอย่างผิดหวังเท่านั้น


 


 


ถาวจวินหลันถ่ายทอดคำของไทเฮาให้จางหมัวหมัวทราบโดยที่ไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คำเดียว


 


 


จางหมัวหมัวพูดว่า “ในเมื่อไทเฮาตรัสเช่นนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่อาจรั้งพระชายาทุกท่านได้อีก ข้าเองก็ต้องไปหาฮ่องเต้ ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”


 


 


จางหมัวหมัวเป็นคนเก่าแก่ที่ใกล้ชิดข้างกายไทเฮา แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไม่กล้าไม่ไว้หน้า แล้วจะเอาอะไรมาเทียบกับพระชายาเพียงไม่กี่คนเล่า? ดังนั้นจึงได้แต่แยกย้ายกันกลับไปเท่านั้น


 


 


ถาวจวินหลันกลับไม่ได้เดินตามไปด้วย แต่ไปตามหาซวนเอ๋อร์และหมิงจู นางอยากรอหลี่เย่กลับจวนพร้อมกัน อีกอย่าง นางยังไม่ได้ยืนยันการคาดเดา จึงไม่คิดอยากจะจากไปทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น


 


 


แต่นางเองก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวนไทเฮา ดังนั้นจึงทำได้แค่รอให้จางหมัวหมัวกลับมา


 


 


ยังดีที่จางหมัวหมัวไม่ได้ไปนานนัก เวลาผ่านไปเพียงแค่ครึ่งชั่วยามก็กลับมา เห็นนางยังไม่จากไปไหน จางหมัวหมัวก็มีท่าทีตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ทำไมชายารองถาวยังไม่กลับเล่าเจ้าคะ?”


 


 


ถาวจวินหลันยิ้ม แสดงท่าทีให้แม่นมพาซวนเอ๋อร์และหมิงจูออกไป จากนั้นก็พูดออกมาว่า “ข้าอยู่ที่นี่เพื่อรอหมัวหมัวโดยเฉพาะ ข้ามีเรื่องอยากถามหมัวหมัว”


 


 


จางหมัวหมัวขมวดคิ้ว แต่กลับไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วนางจะตอบหรือไม่ เพียงแค่มองถาวจวินหลันเท่านั้น


 


 


ถาวจวินหลันเก็บรอยยิ้มไป ใบหน้าเคร่งขรึมเผชิญหน้ากับสายตาของจางหมัวหมัว จากนั้นก็พูดว่า “สุขภาพของไทเฮามีปัญหาอะไรหรือไม่?”


 


 


สีหน้าของจางหมัวหมัวพลันตื่นตกใจ แต่ก็หายไปในชั่วพริบตา กลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว “คำพูดนี้มาจากที่ใดเจ้าคะ?”


 


 


เห็นจางหมัวหมัวไม่ยอมบอกเอง ถาวจวินหลันก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เพียงแค่มองจางหมัวหมัวและพูดความคิด การคาดเดาของตนเอง “เมื่อครู่นี้ไทเฮาให้หมัวหมัวไปดูแลคนเดียว นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ที่จริงแล้วหลังจากไทเฮาตื่นขึ้นมา ข้าเองก็สังเกตดูอย่างละเอียด นอกจากกระพริบตาและพูดคุยสนทนาแล้ว ไทเฮาก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย และที่มากไปกว่านั้นคือ หากไม่ได้เป็นอะไรมาก เหตุใดไทเฮาต้องไล่พวกเราออกไป? ถ้าไม่ใช่เพราะจะปิดบังอะไรบางอย่าง ไทเฮาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”


 


 


พูดไปพลาง ถาวจวินหลันก็จับสังเกตท่าทีของจางหมัวหมัวไปพลาง แม้แต่จางหมัวหมัวกะพริบตานั้นก็มองเห็นอย่างชัดเจน ไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของจางหมัวหมัว?


 


 


และเพราะเห็นความเปลี่ยนแปลงของจางหมัวหมัวอย่างชัดเจน นางถึงได้ยิ่งมั่นใจเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเกิดปัญหาใหญ่กับไทเฮาขึ้นจริง อีกทั้งยังไม่ต่างอะไรจากที่นางคาดคิดเอาไว้มากนัก


 


 


ใจนั้นดิ่งลงต่ำ แต่นางก็ไม่กล้าแสดงออกทางใบหน้า สุดท้ายแล้วก็พูดเพียงแค่ว่า “หมัวหมัว ท่านไม่จำเป็นต้องปิดบังข้า ข้าไม่พูดออกไปเป็นแน่ แม้ว่าจะไม่คำนึงถึงสิ่งอื่น ข้าเองก็ต้องคำนึงถึงท่านอ๋องของข้าอยู่ดี ความสำคัญของไทเฮาต่อท่านอ๋องนั้นไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้”


 


 


ได้ยินคำพูดนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าจางหมัวหมัวเริ่มคล้อยตาม


 


 


แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางหมัวหมัวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


ถาวจวินหลันกลับฉวยโอกาส พูดว่า “ไม่สู้ว่าข้าพูด แล้วหมัวหมัวเพียงแค่ส่ายหน้า พยักหน้าเท่านั้นก็พอแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้หมัวหมัวเองก็ไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของไทเฮา”


 


 


จางหมัวหมัวลังเล แล้วก็พยักหน้า


 


 


ถาวจวินหลันจึงพูดว่า “ข้าถามหมอหลวงมาแล้ว หมอหลวงบอกว่าหากรุนแรงก็อาจทำให้ไทเฮาขยับเขยื้อนไม่สะดวก ยามนี้ไทเฮามีอาการเช่นนี้หรือไม่?”


 


 


จางหมัวหมัวพยักหน้า


 


 


ใจของถาวจวินหลันนั้นดิ่งลงต่ำ จากนั้นก็ถามอีกว่า “ทั้งร่างหรือ?”


 


 


จางหมัวหมัวส่ายหน้า


 


 


คิดถึงเรื่องที่จางหมัวหมัวให้คนไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและผ้าห่ม ถาวจวินหลันก็พูดต่อไปอย่างขมขื่นว่า “ใต้อกหรือ?”


 


 


คราวนี้จางหมัวหมัวพยักหน้า น้ำตาก็ยิ่งไหลพรากอาบแก้ม


 


 


ถาวจวินหลันยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ออกแรงหยิกข้อศอกของตนเองอย่างแรง พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เรื่องนี้หมัวหมัวจะต้องปิดบังเอาไว้ให้ดี นอกจากคนที่ปรนนิบัติข้างกายไทเฮาแล้ว อย่าได้ไปบอกใครอีก และจะต้องดูคนพวกนั้นให้ดี”


 


 


จางหมัวหมัวพยักหน้า “ไทเฮาเองก็สั่งเช่นนี้เจ้าค่ะ”


 


 


“อีกทั้งอย่าพูดถึงทางด้านฮ่องเต้ และองค์รัชทายาทให้ไทเฮารู้เด็ดขาด” ถาวจวินหลันกัดฟันพูด ท่าทางเคร่งเครียด “ตอนนี้ฮ่องเต้เองก็ป่วย เรี่ยวแรงไม่มากพอ ในตอนนี้ฮองเฮามีอำนาจมากที่สุด ฮองเฮาและไทเฮาไม่ถูกกันอยู่แล้ว เกรงว่าฮองเฮาจะฉวยโอกาสนี้ทำอะไรอีก หมัวหมัวจะต้องระมัดระวังให้ดี! เกรงว่าครั้งนี้ไทเฮาคงถูกคนวางแผนเล่นงานเสียแล้ว หากฝ่ายตรงข้ามรู้อาการของไทเฮาจะต้องวางแผนลงมืออีกเป็นแน่ ดังนั้นจะต้องปิดบังเอาไว้ให้แม่นมั่น!”


 


 


ถาวจวินหลันพูดคำสุดท้ายด้วยน้ำเสียงแฝงความเฉียบคมอยู่เล็กน้อย


 


 


จางหมัวหมัวมองไปยังถาวจวินหลันอย่างตกใจ สุดท้ายแล้วก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “บ่าวใช้ชีวิตเป็นประกันเจ้าค่ะ”


 


 


“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ใช้เหตุผลที่ไทเฮาต้องรักษาตัวอย่างสงบ ไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าเยี่ยม” ถาวจวินหลันยังคงสั่งต่อไป แม้จะบอกว่าตนเองทำตัวเกินเลย แต่ในตอนนี้ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ? ภาพรวมสำคัญที่สุด ต่อให้หลังจากนี้ไทเฮาจะมาไล่บี้ถาม ก็ไม่สนใจแล้ว


 


 


สั่งจางหมัวหมัวเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็พูดอีกว่า “บอกไทเฮา ข้าจะช่วยพระองค์หาหมอมีฝีมือให้ จะต้องมีวิธีรักษาได้แน่ ขอให้ไทเฮาตั้งสติเอาไว้ให้แม่นมั่น” ไทเฮาไม่อาจล้มลงได้ มิเช่นนั้นผลกระทบที่มีต่อหลี่เย่ก็จะยิ่งใหญ่อย่างไม่มีที่เปรียบ เมื่อคิดถึงองค์รัชทายาทและฮองเฮา สายตาของถาวจวินหลันก็ฉายแววเฉียบคม รอจนถึงตอนที่ไม่มีทางเลือก นางยินยอมสู้กันจนตัวตาย ใช้ชีวิตของตนเองต่อสู้สักครั้ง เพื่อหลี่เย่ เพื่อซวนเอ๋อร์และหมิงจู นางไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!


 


 


สูดลมหายใจเข้าลึก นางไม่ไปดูไทเฮาอีก จากนั้นก็พาซวนเอ๋อร์ออกจากวังหลวงไป หากไทเฮาไม่มีเรื่อง นางย่อมต้องรอหลี่เย่กลับจวนพร้อมกัน แต่ตอนนี้นางไม่สนใจแล้ว นางจะต้องรีบกลับจวนในทันที จากนั้นก็จะต้องคิดหาหมอที่มีฝีมือดีเหล่านั้นมาให้ได้


 


 


นางกลัวว่าหมอในกรมหมอหลวงจะพึ่งพาไม่ได้

 

 

 


บทที่ 494 จุดประสงค์

 

พอถาวจวินหลันกลับไปก็รีบเรียกหลิวเอินเข้ามาคุย เรื่องการหาหมอประเภทนี้นั้นยังต้องมอบให้หลิวเอินที่วิ่งไปมาข้างนอกไปจัดการถึงจะดี


 


 


ด้วยนางรีบร้อนเช่นนี้ก็ทำให้หลิวเอินตกใจจนไม่กล้าปล่อยปละละเลย พูดเพียงแค่ว่าใช้เวลาแค่วันเดียวก็สามารถหาหมอมาได้ เมื่อได้ยินเช่นนี้ถาวจวินหลันก็สบายใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นก็ครุ่นคิดว่าจะให้หมอคนนั้นเข้าวังหลวงไปดูอาการไทเฮาอย่างไร


 


 


บางทีอาจจะต้องถามความคิดของไทเฮา? หากไทเฮารู้ว่านางรู้รายละเอียดแล้ว เกรงว่าไทเฮาคงจะไม่พอใจนัก แต่ในตอนนี้ไฉนเลยยังสนใจอะไรได้มากขนาดนั้น? ถาวจวินหลันคิดอย่างเย้ยหยัน ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็ไม่ชอบตนเอง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลแม้แต่น้อย


 


 


หลังจากคิดวางแผนเรื่องของไทเฮาเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็คิดถึงอาการบาดเจ็บของหลี่เย่ แล้วถึงได้รีบไปจัดการหายาที่หลี่เย่เคยใช้ตอนกระดูกหักก่อนหน้านี้ออกมาด้วยตนเอง


 


 


ตอนที่นางกำลังยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุน โจวซื่อแม่นมของซวนเอ๋อร์ก็มาหา บอกว่ามีเรื่องต้องรายงาน


 


 


ถาวจวินหลันนึกว่าเป็นเรื่องซวนเอ๋อร์ จึงรีบไปพบแม่นมโจว แต่ยังไม่ทันที่นางจะถามอะไรออกไป แม่นมโจวก็นั่งคุกเข่าลงไปกับพื้นในทันใด “บ่าวมีเรื่องรายงานเจ้าค่ะ”


 


 


ดูท่าทางเช่นนี้ถาวจวินหลันก็รู้สึกมึนงงในทันใด “แม่นมโจวเป็นอะไรไปหรือ? มีอะไรก็ลุกขึ้นมาพูดเถิด คุกเข่าอยู่เช่นนี้ไม่เหมาะสม” ในใจนั้นอดคิดไม่ได้ว่า หรือแม่นมโจวจะไปทำผิดอะไรมา?


 


 


แม่นมโจวยังคงไม่กล้าลุกขึ้นมา พูดเพียงว่า “บ่าวหลุดปากออกไป บอกข่าวเรื่องที่ไทเฮาป่วยกับคนอื่นไปเจ้าค่ะ”


 


 


ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ ถาวจวินหลันผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แต่มองท่าทีของแม่นมโจวแล้วนั้นนางก็ถามอีกว่า “พูดให้ใครฟัง? มีคนได้ยินเยอะหรือไม่? ฝ่ายตรงข้ามตั้งใจถามเจ้าหรือว่าเจ้าเผลอพูดออกมา?”


 


 


ประโยคสุดท้ายนั้นถึงสำคัญที่สุด ถ้าพูดขึ้นมาด้วยความไม่ตั้งใจก็ยังแล้วไป มากที่สุดก็อธิบายได้ว่าแม่นโจวเป็นคนที่ไม่สามารถปิดบังความลับอะไรได้ แต่หากมีคนตั้งใจหลอกถาม นั่นก็จะแตกต่างกันออกไป


 


 


แม่นมโจวมีสีหน้ารู้สึกผิด “เป็นบ่าวที่อยู่ในหน่วยซักล้างเจ้าค่ะ นางรู้ว่าวันนี้บ่าวพาซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวง จึงได้ถามเล็กน้อย บ่าวไม่ทันได้ระวังจึงได้พูดหลุดปากออกไป แต่มีนางเพียงคนเดียวที่ได้ยินเจ้าค่ะ ไม่มีคนอื่น”


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า ส่งเสียงเรียกหงหลัว “เรื่องนี้มอบให้เจ้า เจ้าไปจัดการเถิด”


 


 


หงหลัวรับคำทันใด แล้วถึงได้ประคองแม่นมโจวออกไป ถาวจวินหลันหงุดหงิดยิ่งนัก หงลัวไม่กล้าให้แม่นมโจวรั้งนั่งอยู่ต่ออีก


 


 


ถาวจวินหลันกลับส่ายหน้าน้อยๆ หลังจากแม่นมโจวออกไป นางก็เข้าใจความคิดของแม่นมโจวเป็นอย่างดี เป็นเพราะกลัวว่านางรู้เรื่องนี้เข้าแล้วจะถูกสอบถาม ดังนั้นตอนนี้ถึงได้คิดว่าต้องรีบมาบอกนาง อย่างน้อยทำเช่นนี้แม้ว่าแม่นมโจวยังมีความผิด แต่นางก็ต้องคิดไว้หน้าที่แม่นมโจวคอยดูแลซวนเอ๋อร์อยู่บ้าง ไม่มีทางที่จะไล่บี้เรื่องนี้อย่างแน่นอน


 


 


นี่ถือเป็นดาบที่ต้องลงไม่ช้าก็เร็ว ไม่สู้ว่าพูดออกไปก่อน ถือว่าคลายความกังวลใจลงได้บ้าง


 


 


ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วแม่นมโจวถือว่าเป็นคนที่ฉลาด


 


 


ถาวจวินหลันครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด สุดท้ายแล้วก็ยิ้มเย็น ไม่ได้คิดเอาการกระทำเล็กน้อยนี้เก็บเอาไว้ในใจ ไม่ว่าใครจะให้บ่าวคนนั้นมาลอบถาม ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากขนาดนั้น


 


 


ที่จริงแล้วสิ่งที่นางเป็นกังวลมากที่สุดกลับเป็นสถานการณ์ทางด้านฮ่องเต้ แม้จะบอกว่าหลี่เย่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ไม่แน่ว่าเป็นวิธีอำพรางตาของฮ่องเต้ ก็เหมือนกับไทเฮา ไม่ยอมให้ใครรู้อาการบาดเจ็บของตน


 


 


ไทเฮาอาจจะเป็นเพราะว่าศักดิ์ศรีของตนเองถึงทำให้อธิบายไม่ง่าย แต่ฮ่องเต้นั้นไม่เหมือนกัน ถ้าหากฮ่องเต้ไม่อยากปล่อยอำนาจ ถ้าเช่นนั้นร่างกายก็ไม่อาจล้มลงได้ หรือจะพูดว่าต่อให้สุขภาพร่างกายของเขาไม่ดี แต่เขาก็ไม่อาจให้ขุนนางเหล่านั้นรู้ได้


 


 


นี่ถือว่าเป็นภาพรวม


 


 


ไม่ว่าจะมองอย่างไร สถานการณ์ทั้งหมดในตอนนี้ล้วนส่งผลไม่ดีต่อหลี่เย่ อย่างแรกไทเฮาล้มลงอย่างกะทันหัน ต่อจากนี้เกรงว่าคงไม่สามารถช่วยหลี่เย่ทำอะไรได้หลายอย่าง อย่างที่สองเพราะว่าฮ่องเต้กริ้วมาก ร่างกายรับไม่ไหว


 


 


พูดให้ไม่น่าฟัง หากมีคนฉวยโอกาสลงมือลงไม้ในตอนนี้ องค์รัชทายาทอย่างไรก็เป็นองค์รัชทายาท แม้ว่าจะทำให้ฮ่องเต้โกรธเพียงนี้ แต่ถ้าหากคราวนี้ฮ่องเต้จากไปจริงๆ คนที่ขึ้นบัลลังก์ก็ต้องเป็นองค์รัชทายาท


 


 


ถาวจวินหลันครุ่นคิด สูดลมหายใจเข้าลึก ให้คนไปเรียกหลิวเอินเข้ามา


 


 


หลิวเอินออกไปจากจวนไม่นาน กำลังให้คนที่อยู่เบื้องล่างหาหมอฝีมือดี ก็ถูกถาวจวินหลันเรียกกลับเข้ามาในจวนตวนชินอ๋องอีกครั้ง


 


 


หลิวเอินเองก็งุนงงจับทิศจับทางไม่ถูก


 


 


ถาวจวินหลันไม่ปิดบังเขา สูดลมหายใจเข้าลึก “เรื่องลักลอบความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทและนางกำนัลเครื่องชาข้างกายฮ่องเต้ ภายในครรภ์มีเลือดเนื้ออยู่หนึ่ง ฮ่องเต้รู้เรื่องนี้ก็โมโหมากจนสลบไป เกือบจะลมจับ ส่วนไทเฮาก็ลมจับหน้ามืดไปเช่นเดียวกัน ตอนนี้ร่าวกายไม่สามารถขยับได้ ทว่ายังมีสติปัญญาครบถ้วน”


 


 


หลิวเอินตกใจ ที่มากกว่านั้นคือความตื่นตะลึง ข่าวนี้ตามปกติแล้วไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างพวกเขาควรจะรู้ แต่คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะบอกเขาตรงๆ เช่นนี้


 


 


“ข้าจะให้เจ้าเอาเรื่องน่าอายที่องค์รัชทายาททำกระจายออกไป” ถาวจวินหลันพูดความคิดในใจของตนอย่างเคร่งเครียด มองไปยังหลิวเอินนิ่ง “อีกอย่างข้าอยากให้เรื่องนี้เริ่มกระจายไปจากจวนจวงอ๋อง”


 


 


หลิวเอินเลิกคิ้ว ยิ่งรู้สึกตกใจมากกว่าเดิม นี่จะทำลายชื่อเสียงขององค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ? แล้วยังจะป้ายสีให้กับจวงอ๋อง? คราวนี้ดูเหมือนจะเล่นใหญ่เกินไปเสียหน่อย อีกทั้งไม่รู้ว่าหลี่เย่คิดอย่างไร


 


 


“ตอนนี้ท่านอ๋องอยู่ในวังหลวง ยังไม่สามารถกลับมาได้” ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา “แม้ว่าจะเป็นการแสดงความกตัญญู ถ้าหากฮ่องเต้ไม่ได้เป็นอะไรจริง เขาที่เป็นคนป่วยคนหนึ่งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเฝ้าอยู่ตลอด ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าอาการป่วยของฮ่องเต้คงไม่ได้เป็นจริงเช่นนั้น”


 


 


เพียงแค่ดูท่าทีของหลิวเอินก็ล่วงรู้ได้ว่าเขาเข้าใจความหมายของนางแล้ว ถาวจวินหลันพูดจริงจังต่อไป “ดังนั้นจะต้องเริ่มจัดเตรียมให้พร้อมตั้งแต่ตอนนี้ เตรียมหมอหลวงคนนั้นให้ไทเฮา ตอนที่จำเป็นก็ใช่ว่าฮ่องเต้จะใช้ไม่ได้ ส่วนองค์รัชทายาทที่ก่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่เพียงแค่ทำลายกฎเกณฑ์ แล้วยิ่งไม่มีมารยาทมากกว่า เป็นองค์รัชทายาทนั้นทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ในเมื่อองค์รัชทายาทยังเป็นเช่นนี้ ก็หมดความน่าเชื่อถือในตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว”


 


 


ใช้โอกาสครั้งนี้กำจัดองค์รัชทายาท แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่สำเร็จ แต่ก็เป็นการลดทอนอำนาจขององค์รัชทายาท ทำลายศักดิ์ศรีขององค์รัชทายาทให้หมดสิ้น อีกทั้งทำนบพันลี้ทลายลงมา เนื่องจากรังมดที่เจาะอยู่ภายใน เรื่องครั้งนี้ก็ถือเป็นการสั่งสมอีกครั้งหนึ่ง


 


 


อย่างไรมีเรื่องครั้งนี้ ก็จะต้องมีครั้งที่สอง จะต้องมีสักวันที่เรื่องนี้กลายเป็นจริง


 


 


ขอเพียงแค่รัชทายาทโดนปลด ถึงจะวนมาถึงหลี่เย่ได้ ดังนั้นนางจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น ส่วนเหตุผลที่ป้ายความผิดให้จวงอ๋อง แม้ว่าจวงอ๋องจะไม่ได้น่ากลัวเท่าองค์รัชทายาท แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่น่ากลัวเลย ฉวยโอกาสครั้งนี้ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจจวงอ๋องจะดีที่สุด


 


 


อีกอย่าง ยังสามารถทำให้พรรคพวกของฮองเฮา องค์รัชทายาท และจวงอ๋องตีกันได้ จากนิสัยของฮองเฮาแล้ว จวงอ๋องทำเรื่องเช่นนี้ ฮองเฮาจะต้องเรียกเก็บหนี้แค้นเป็นแน่ ไม่มีทางปล่อยจวงอ๋องไปอย่างง่ายดาย และจวงอ๋องเพื่อปกป้องตนเอง ย่อมต้องตอบโต้ฮองเฮาเป็นแน่


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาทั้งสองฝ่ายจะต้องลดความหวาดระแวงและความกดดันที่มีต่อหลี่เย่ลง โดยเฉพาะฮองเฮา


 


 


ทำเช่นนี้ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว อย่างไรเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่วยปัดกวาดให้หลี่เย่เรียบร้อยแล้ว


 


 


หลิวเอินเลื่อมใสถาวจวินหลันเล็กน้อย ความเด็ดเดี่ยวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สุดท้ายแล้วทางด้านหลี่เย่…


 


 


ถาวจวินหลันเห็นความลังเลของหลิวเอิน จึงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เจ้าเพียงแค่ลงมือทำเท่านั้น ทำแล้วมีแต่ประโยชน์ไม่มีผลร้าย ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น ก็ให้ผลักมาให้ข้าทั้งหมด บอกแค่ข้าทำเพื่อซวนเอ๋อร์ ท่านอ๋องไม่รู้เรื่องนี้!”


 


 


ในความเป็นจริงแล้วหลี่เย่เฝ้าฮ่องเต้อยู่ตลอด ย่อมต้องไม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว


 


 


หลิวเอินมองถาวจวินหลันอย่างตื่นตะลึง อดร้อนใจไม่ได้ รับคำเสียงสั่น “ขอรับ บ่าวฟังคำชายารอง” เพียงแค่ชายาเอกคนเดียวนี้ จวนตวนชินอ๋องไม่มีเหตุผลที่จะไม่ชนะ จวนของท่านอ๋องและองค์ชายคนอื่นนั้นไฉนเลยจะมีเช่นนี้? ต่อให้เป็นพระชายาองค์รัชทายาทก็สามารถเอามาเทียบได้บ้าง


 


 


ถาวจวินหลันกำชับหลิวเอินอย่างจริงจังต่อเรื่องนี้ “เรื่องนี้ข้ามอบให้เจ้า ข้าเองก็มอบชีวิตของข้าเอาไว้ให้เจ้าแล้ว จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ต้องดูว่าเจ้าทำเช่นไร เจ้าจะต้องระวังให้ดี”


 


 


หลิวเอินเองก็รับคำอย่างจริงจังเช่นกัน “ต่อให้บ่าวจะต้องโยนชีวิตของบ่าวออกไป ก็จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีขอรับ”


 


 


“ไปเถิด ข้ารอข่าวดีของเจ้า” ถาวจวินหลันสูดหายใจเข้าลึก ยิ้มอย่างมีเมตตา


 


 


หลิวเอินขอตัวออกไป ในใจนั้นฟุ้งซ่านเหมือนน้ำทะเลที่พัดพา แผนการที่วางมานานหลายปีนี้ คราวนี้เหมือนว่าจะเริ่มมองเห็นความสำเร็จแล้ว นี่จะไม่ให้นางฟุ้งซ่านได้อย่างไร?


 


 


ถาวจวินหลันสั่งการทุกเรื่องเสร็จแล้วก็รู้สึกเหนื่อยมาก แต่เดิมพอเข้าวังหลวงไปครั้งหนึ่งร่างกายของนางก็รู้สึกว่าหมดเรี่ยวแรง ในตอนนี้ยิ่งต้องมาคิดเรื่องมากมาย ก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวทนไม่ไหว


 


 


ปี้เจียวเห็นเช่นนั้นก็รีบก้าวขึ้นมาเอาน้ำมันสะระแหน่ไปนวดขมับให้ถาวจวินหลัน การทำเช่นนี้จะช่วยลดอาการปวดหัวได้บ้างบางส่วน ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง


 


 


ถาวจวินหลันตัดสินใจหลับตาลงพักผ่อน แม้จะบอกว่าพักผ่อน แต่หลังของนางก็ยังยืดตรง ความคิดภายในหัวไม่ได้หยุดเลยแม้แต่วินาทีเดียว


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งถาวจวินหลันก็ลืมตาขึ้นมา สั่งปี้เจียว “ไป เจ้าไปหาองค์หญิงเก้า บอกว่ายาประสานกระดูกที่ได้รับมาครั้งที่แล้ว ถามว่านางยังมีอยู่หรือไม่”


 


 


ในความเป็นจริงแล้วยานั้นเป็นเรื่องโกหก การถ่ายทอดคำพูดนั้นเป็นความจริง หลังจากสั่งเสร็จแล้วนางก็ให้ปี้เจียวเข้ามาใกล้ พูดกระซิบข้างหูนางว่า “เจ้าเล่าให้องค์หญิงเก้าฟังเสียหน่อย บอกนางว่าการกระทำขององค์รัชทายาทนั้นไม่ถูกศีลธรรม ควรจะกำจัด ให้น้องถ่ายทอดบอกน้องชายของข้า อีกอย่างให้เชิญนางเข้าวังหลวงไปเยี่ยมไทเฮา ฮ่องเต้และองค์รัชทายาท ดูว่าสถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง”


 


 


ที่จริงแล้วในใจของถาวจวินหลันรู้ดี ในตอนนี้องค์หญิงเก้าอาจจะรู้อะไรบ้างแล้ว แต่ข่าวคราวขององค์หญิงเก้าไม่ได้เร็วมากนัก ดังนั้นนางยังต้องให้คนไปอธิบายเรื่องให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง นางเชื่อว่าองค์หญิงเก้าจะต้องยืนอยู่ข้างหลี่เย่ และถาวจิ้งผิงก็จะต้องช่วยหลี่เย่ตีพรรคพวกขององค์รัชทายาท


 


 


ไม่เพียงแค่ทางด้านตระกูลถาว แม้แต่ตระกูลเฉิน ถาวจวินหลันก็สั่งให้คนลอบส่งข่าวสารไปให้ถาวซินหลันเช่นเดียวกัน ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากสิ่งที่บอกองค์หญิงเก้ามากนัก


 


 


ถาวจวินหลันไม่ได้คิดจะใช้กำลังของตระกูลเฉิน แต่เมื่อคิดว่าเฉินฟู่เป็นคนที่สามารถออกหน้าออกตาในราชสำนักได้บ้าง


 


 


สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ให้คนถ่ายทอดคำพูดไปยังซินพาน ด้วยเป็นแม่ทัพถืออำนาจทางการทหาร ซินพานยื่นฎีกาขอปลดองค์รัชทายาทก็ถือว่ามีน้ำหนักมาก


 


 


แต่ที่นางอยากให้ซินพานทำนั้น ไม่เพียงแค่กำจัดองค์รัชทายาท ยิ่งไปกว่านั้นคือกำจัดจวนเหิงกั๋วโหว แค่หาเหตุผลง่ายๆ สักข้อหนึ่งมาใช้ แม้จะบอกว่าผิดต่อจวนเหิงกั๋วโหว แต่ใครกลัวเล่า? แต่เดิมนั้นก็ไม่ใช่คนที่เดินร่วมทางเดียวกัน และไม่ได้แตกต่างอะไรจากศัตรู แล้วยังจะต้องคำนึงอะไรอีก?


 


 


จุดประสงค์ที่นางทำเรื่องมากมายเช่นนี้ก็ง่ายดาย มีเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ…

 

 

 


บทที่ 495 รุนแรง

 

           ที่นางทำเรื่องมากมายเช่นนี้ ก็ด้วยจุดประสงค์เดียวเท่านั้น นั่นก็คือช่วยหลี่เย่ 


 


 


           แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วจะมีประโยชน์หรือไม่ นั่นก็ถือเป็นลิขิตสวรรค์แล้ว 


 


 


           ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำเรื่องอะไรต่อไป นอกจากนั่งรอแล้ว ก็ทำได้แค่หยอกล้อกับซวนเอ๋อร์และหมิงจูเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น 


 


 


           ทางด้านหลี่เย่วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายถึงกลับมาในจวน 


 


 


           เพียงแค่เห็นท่าทีของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็รู้ว่าเขาไม่ได้พักผ่อนดีๆ แน่นอน จึงรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา พูดอย่างกล่าวโทษว่า “แม้ว่าจะต้องกตัญญู แต่ก็จะต้องดูแลสุขภาพของตนเองด้วยนะเพคะ” ร่างกายของเขาไม่ได้ดีเท่าคนอื่นอยู่แล้ว ยิ่งไม่อาจละเลยได้ 


 


 


           หลี่เย่พยักหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย พูดว่า “ให้ห้องครัวเล็กเตรียมของกินมาหน่อยเถิด” ภายในวังหลวงแม้ว่าจะหิวอย่างไร เขาก็ไม่มีอารมณ์จะกินอะไรลงท้อง ในตอนนี้พอกลับมาในจวนแล้ว ก็ทนรับความหิวไม่ไหวอีก 


 


 


           ถาวจวินหลันรีบสั่งชุนฮุ่ย “ไปยกของกินเข้ามา” เพราะรู้ว่าหลี่เย่อยู่ภายในวังหลวงนั้นต้องกินไม่ดีอย่างแน่นอน นางจึงสั่งให้ห้องครัวเตรียมของกินที่สดใหม่เอาไว้ตลอด เมื่อมีคำสั่งลงไปก็สามารถยกอาหารสดใหม่มาให้หลี่เย่ทานได้ทันที 


 


 


           ด้วยหลี่เย่เป็นเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่สนใจถามสถานการณ์ภายในวังหลวงอีก ปรนนิบัติหลี่เย่เปลี่ยนเสื้อผ้า และทานอาหาร จากนั้นก็พูดว่า “ท่านไปนอนก่อนสักพักเถิด” 


 


 


           หลี่เย่พยักหน้าไม่คิดจะพูดอะไรอีก หัวถึงหมอนก็แทบจะหลับไปเลย 


 


 


           ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจ ทำไมถึงได้เหนื่อยมากขนาดนี้? ในขณะเดียวกันนางก็ยิ่งไม่คาดหวังใดๆ กับสถานการณ์ในวังหลวงแล้ว และยิ่งเข้าใจว่าเรื่องที่นางให้หลิวเอินไปทำถือว่าเป็นเรื่องถูกต้อง 


 


 


           เพิ่งจะจัดการเรื่องหลี่เย่เสร็จ องค์หญิงเก้าก็มาหา ถาวจวินหลันรีบเดินออกไปรับ วันนี้องค์หญิงเก้าเข้าไปภายในวังหลวง มาหาตอนนี้ย่อมต้องมีเรื่องมาคุยกับนาง 


 


 


           ถาวจวินหลันเดาถูก องค์หญิงเก้ามาหาเพราะจะมาคุยเรื่องสถานการณ์ภายในวังหลวงกับนาง 


 


 


           สีหน้าขององค์หญิงเก้าไม่น่ามองนัก ถาวจวินหลันจึงเดาไปว่าสถานการณ์ภายในวังหลวงคงไม่ค่อยดีนัก 


 


 


           อย่างที่คาดเอาไว้ พอองค์หญิงเก้าเปิดปากก็พูดว่า “ฮองเฮาส่งคนไปปรนนิบัติไทเฮา แต่ความเป็นจริงแล้วคงอยากกดอำนาจของวังหย่งโซ่ว และควบคุมอิสระของไทเฮา” 


 


 


           ใจของถาวจวินหลันดิ่งลง ฮองเฮาคงกลัวว่าไทเฮาจะทำเรื่องอะไรในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ อย่างไรไทเฮาก็เป็นมารดาของฮ่องเต้ พูดอะไรล้วนมีผลทั้งนั้น อย่างเช่นเรื่องการปลดองค์รัชทายาท ไทเฮาก็สามารถพูดได้ รวมทั้งกำจัดองค์รัชทายาทตอนนี้ และแต่งตั้งรัชทายาทคนใหม่ ไทเฮาก็ทำได้เช่นเดียวกัน 


 


 


           ที่ฮองเฮาป้องกันก็คือเรื่องนี้ ฮองเฮาอยากจะกุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ในกำมือตนเอง 


 


 


           ถาวจวินหลันพยักหน้า พูดเสียงเบา “ไม่อาจให้ฮองเฮาได้ใจ” 


 


 


           องค์หญิงเก้าร้อนรนเล็กน้อย “แต่พวกเราจะทำอะไรได้อีกเจ้าคะ? เวลานี้พี่รองคงจะเข้าวังหลวงไม่ง่ายแล้ว พวกเราก็ล้วนเป็นสตรี จะทำอะไรได้เจ้าคะ?” 


 


 


           พอได้ยินคำพูดขององค์หญิงเก้า ถาวจวินหลันก็พูดเสียงดุ “เอาเถิด ฮองเฮาไม่ใช่สตรีหรืออย่างไร? หรือไทเฮาเองก็ไม่ใช่? นี่ยังไม่ทันทำอะไรเลย ทำไมถึงยอมแพ้ก่อนเช่นนี้เล่า?” 


 


 


           องค์หญิงเก้าถูกดุก็เริ่มตั้งสติได้ มองถาวจวินหลันอย่างสับสนทีหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็แค่นยิ้มพูดว่า “แต่ข้ากลัว ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องกับจิ้งผิง กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับพี่รอง” 


 


 


           “พวกเขาไม่เป็นอะไรแน่นอน!” ถาวจวินหลันพูดอย่างหนักแน่น ท่าทีเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก พอองค์หญิงเก้าเห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกเคารพมากกว่าเดิม 


 


 


           ไม่รู้ว่าองค์หญิงเก้าเห็นถาวจวินหลันเป็นที่พึ่งพิงตั้งแต่เมื่อไร ขมวดคิ้วถามว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรทำอะไรเจ้าคะ?” 


 


 


           ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “พรุ่งนี้เช้า เจ้านัดองค์หญิงแปด พวกเราเข้าไปดูแลไทเฮาด้วยกัน” แม้ว่านางจะมีวิธีเป็นร้อยเป็นพัน แต่ถ้าไม่ได้ความร่วมมือจากไทเฮา นั่นก็ถือว่าเสียแรงเปล่า 


 


 


           ดังนั้นยังต้องเข้าวังหลวงไปถามความเห็นของไทเฮา 


 


 


           “อาการของฮ่องเต้เป็นเช่นไรบ้าง?” ถาวจวินหลันถามองค์หญิงเก้า 


 


 


           สีหน้าขององค์หญิงเก้ายิ่งไม่น่ามอง “อย่าพูดเลยเจ้าค่ะ ไม่ได้พบหน้าเสด็จพ่อเลยแม้แต่น้อย ฮองเฮาเฝ้าอยู่ที่นั่น ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปปรนนิบัติ ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีพระสนมบางคนอยู่ในนั้น ข้ายังอดคิดสงสัยไม่ได้ว่าฮองเฮากักบริเวณเสด็จพ่อเสียแล้ว” 


 


 


ถาวจวินหลันใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะครุ่นคิด “ไม่ ฮองเฮาน่าจะกล้าเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น นอกจากจะทนรอไม่ไหวแล้ว ไหนเจ้าบอกสิ มีพระสนมคนไหนอยู่บ้าง?” 


 


 


           “อี้เฟย อี๋เฟย ซูเฟย อิงผินก็อยู่เช่นเดียวกัน อย่างไรพระสนมที่พอมีหน้ามีตาล้วนอยู่ทั้งหมด แบ่งออกเป็นสองส่วน สลับกันเข้าไปดูแลเสด็จพ่อ” สีหน้าขององค์หญิงเก้าดูดีขึ้นมาเล็กน้อย หากเป็นพระสนมของฮองเฮาทั้งหมด เห็นได้ว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเหมือนกับสิ่งที่ถาวจวินหลันพูด อย่างน้อยตอนนี้ฮ่องเต้ก็ปลอดภัย 


 


 


           “ฮองเฮาไม่อนุญาตให้เข้าไป แต่กลับให้พระสนมเฝ้า…” ถาวจวินหลันรู้สึกว่ามีอะไรผิดแผก แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป “ไม่ นางยังใช้วิธีนี้ควบคุมฮ่องเต้ได้ อย่างไรพระสนมก็เป็นคนในวังหลวง ขอเพียงแค่ควบคุมให้ดี ก็ไม่อาจพัดพาก่อให้เกิดเหตุการณ์อะไรได้ เจ้าอยู่นอกวังหลวง ฮองเฮาย่อมต้องไม่ยอมให้เจ้ารู้อาการของฮ่องเต้ และยิ่งไม่ยอมให้เรื่องนี้กระจายออกมานอกวังหลวง!” 


 


 


           ทันใดนั้นสีหน้าขององค์หญิงเก้าก็ดำคล้ำลง นางกัดริมฝีปากอย่างควบคุมไม่ได้ “ฮองเฮาช่างโหดเ**้ยมเสียจริง” 


 


 


           ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ที่จริงแล้วหากนางอยู่ในตำแหน่งฮองเฮา อาจจะโหดเ**้ยมกว่าฮองเฮาเสียอีก 


 


 


           ส่วนเรื่ององค์รัชทายาท องค์หญิงเก้าย่อมสังเกตเห็น ทว่าก็ยังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี “แต่การปรนนิบัติทั้งห้องนั้น ยังดูประณีตเอาใจใส่มากกว่าไทเฮาอีก เจ็บแค่ไหล่ไม่ใช่ขา แต่นอนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน สิ้นคิดเสียจริง” 


 


 


           ด้วยเป็นลูกชายและหลานชาย ฮ่องเต้และไทเฮาต่างก็ป่วยอยู่ แล้วยังป่วยเพราะตัวขององค์รัชทายาทด้วย ทว่าองค์รัชทายาทไม่แม้แต่จะปรากฏตัวให้เห็น นี่ถือว่ากตัญญูกตเวทีหรือ? 


 


 


           จากที่องค์หญิงเก้าดูแล้ว องค์รัชทายาทควรนั่งคุกเข่าอยู่หน้าฮ่องเต้ด้วยซ้ำไป เมื่อไรที่ฮ่องเต้พูดให้ลุก ก็ค่อยลุกขึ้นมา 


 


 


           ถาวจวินหลันถอนหายใจ “เวลานี้องค์รัชทายาทไฉนเลยยังจะกล้าโผล่หน้าออกมา? ฉวยโอกาสแกล้งป่วยไม่ออกมาถึงจะถือว่าเป็นเรื่องดี จะได้ไม่ต้องเคราะห์ซ้ำกรรมซัด!” หากนางเป็นฮ่องเต้ เกรงว่าเห็นองค์รัชทายาทก็คงจะโมโหจนกระอักเลือดอีกครั้ง 


 


 


           คิดไปคิดมา นางก็ถามองค์หญิงเก้าอีกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วนางกำนัลคนนั้นเป็นเช่นไร? ฮองเฮาจัดการอย่างไร?” 


 


 


           องค์หญิงเก้ากลับไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแค่ส่ายหน้าไม่พูดจา 


 


 


           ถาวจวินหลันคิดว่าอีกไม่นานถาวจิ้งผิงก็คงจะมาเช่นเดียวกัน จึงพูดว่า “เจ้าไปพักก่อนเถิด ตอนเย็นข้าจะให้จิ้งผิงมารับเจ้ากลับไป พวกเราจะได้ทานอาหารเย็นพร้อมกัน” 


 


 


           องค์หญิงเก้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรับปากตกลง 


 


 


           จัดการองค์หญิงเก้าเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็สั่งให้ห้องครัวเตรียมของ และให้คนไปบอกข่าวถาวจิ้งผิง บอกให้เขามาร่วมทานอาหารเย็นด้วยกัน 


 


 


           หลังจากสั่งไปไม่นาน หลิวเอินก็พาหมอสองคนเข้ามาในจวน ย่อมต้องแอบเข้ามาทางประตูข้าง ไม่ให้คนรู้เยอะเกินไป 


 


 


           ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รีบร้อนไปพบหมอคนนั้น เพียงแค่ให้หงหลัวไปจัดการเรื่องอาหารการกินให้เรียบร้อย แล้วค่อยไปพบหลิวเอิน 


 


 


           “เรื่องที่ข้าสั่งไปเมื่อวานนี้ทำเสร็จแล้วหรือยัง?” สิ่งที่ถาวจวินหลันกังวลมากที่สุดคือเรื่องนี้ 


 


 


           หลิวเอินพยักหน้า ยิ้มพลางพูดว่า “พระชายาจวงอ๋องกลับช่วยข้าได้มาก นางเองก็กำลังสืบข่าวไปทั่วทุกด้านเช่นเดียวกันขอรับ ข้าก็เลยให้นางรู้ แล้วค่อยกระจายข่าวออกมาจากจวนจวงอ๋อง ชายารองวางใจ จวนของพวกเราใสสะอาด ไม่มีใครสงสัยพวกเราแน่ขอรับ” 


 


 


           ถาวจวินหลันพยักหน้าด้วยความพอใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี”         


 


 


           “ที่จริงข้ากำลังคิดว่าพวกเรายังทำให้จวงอ๋องเข้ามาเกี่ยวเรื่องปลดองค์รัชทายาท และกำจัดองค์รัชทายาทได้ด้วย” หลิวเอินลดเสียงพูด 


 


 


           ถาวจวินหลันไม่ต้องคิด ก็ยิ้มพลางรับปากตกลงเรื่องนี้ทันที “ความคิดนี้ไม่เลว ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน แต่ที่จริงแล้วไม่ต้องไปใส่สีตีไข่อะไร ขอเพียงแค่มีคนนำยื่นฎีกา จวงอ๋องยังนั่งนิ่งอยู่ได้ก็แปลกแล้ว” 


 


 


           จวงอ๋องคิดจะเข้ามายุ่งอยู่นานแล้ว ย่อมต้องนั่งไม่ติดที่เป็นแน่ 


 


 


           “อย่างไรก็พยายามให้จวงอ๋องดึงความสนใจจากฮองเฮามาให้ได้” ถาวจวินหลันก้มหน้าลงไปวุ่นวายกับกำไลปะการังบนข้อมือ พร้อมเอ่ยสั่งเสียงเบา 


 


 


           หลิวเอินรีบรับคำ 


 


 


           “พอ เจ้าไปจัดการเถิด เรื่องเหล่านี้ข้ายกให้เจ้า” ถาวจวินหลันยิ้มมองไปยังหลิวเอิน “ครั้งนี้จวนตวนชินอ๋องจะมีจุดจบเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” หากทำได้ดี จวนตวนอ๋องก็จะพลอยได้ผลดีไปด้วย หากทำได้ไม่ดี จวนตวนอ๋องก็จะถูกฮองเฮาเหยียบอยู่ใต้เท้า 


 


 


           ที่จริงถาวจวินหลันไม่พูด หลิวเอินก็รู้สึกได้ถึงความกดดัน ยิ่งถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกตึงเครียดมากขึ้น 


 


 


           มองดูท่าทีเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังของหลิวเอิน ถาวจวินหลันกลับยิ้มอย่างชื่นใจ หลิวเอินจะต้องจัดการธุระได้ดีแน่นอน 


 


 


           ส่งหลิวเอินกลับไป ถาวจวินหลันแอบเข้าในห้องเพื่อดูหลี่เย่ เห็นว่าเขายังนอนหลับลึกไม่มีทีท่าว่าจะตื่น นางก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยย่องเข้าไปปลดเสื้อของหลี่เย่ 


 


 


           นางอยากจะดูว่าข้อศอกของหลี่เย่เป็นอย่างไรบ้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่เย่กลับมานางยังไม่ทันได้สนใจเข้าไปดูอย่างละเอียด ตอนนี้มีโอกาสก็ต้องดูเสียหน่อย 


 


 


           แต่เพิ่งจะปลดเสื้อออก ยังไม่ทันได้เห็นว่าเป็นเช่นไร ก็เห็นว่าหลี่เย่ลืมตาขึ้นมากะทันหัน หัวเราะขมขื่นพลางพูดว่า “ชายารองมีเหตุผลอะไรถึงมาปลดเสื้อข้าออก?” 


 


 


           เสียงของหลี่เย่แหบต่ำเพราะเพิ่งตื่นนอน รวมกับเสียงเดิมของเขาที่นุ่มลึกอยู่แล้ว ฉับพลันนั้นก็เหมือนกับกระดาษเนื้อหยาบใบหนึ่งที่พัดผ่านบาดหัวใจของนาง ทำให้นางรู้สึกคันเป็นอย่างมาก 


 


 


           น้ำเสียงของหลี่เย่ผิดปกติเล็กน้อย ถาวจวินหลันเองก็เริ่มใจฝ่อ และมีความหงุดหงิดไม่พอใจเล็กน้อย “พูดอะไรเลอะเทอะ?!” 


 


 


           หลี่เย่ไม่เพียงแค่ไม่เก็บท่าที แต่ยิ่งวางท่าปล่อยตัวไปตามสบาย จับข้อมือของนางเอาไว้พลางดึงเข้าหาตัว กระชับนางเข้ามาในอ้อมกอด ยิ้มและพูดว่า “ข้าพูดเลอะเทอะอะไรกัน? ที่ปลดเสื้อผ้าข้าไม่ใช่เจ้าหรืออย่างไร?” 


 


 


           เพราะอาการบาดเจ็บของหลี่เย่ ถาวจวินหลันถึงไม่กล้าดึงดัน นางทั้งอายทั้งโมโห สุดท้ายแล้วก็หยิกเข้าที่เอวของเขา “ท่านพูดมั่วอีกข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว!” 


 


 


           หลี่เย่ถอนหายใจทันที ก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆ จางหายไป “ที่จริงแล้วเสด็จพ่อยังไม่ได้สติ ตอนที่ข้าออกมาก็ยังคงเหมือนเดิม” 


 


 


           คำพูดนี้เหมือนกับสายฟ้าฟาด บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ทำให้คนหัวเราะไม่ออก ถาวจวินหลันเองก็เก็บท่าทีของตน พูดอย่างตื่นตะลึงว่า “เป็นไปได้อย่างไรกัน?” 

 

 

 


บทที่ 496 ตัวเลือก

 

       แม้ว่าสิ่งที่คาดเดาในใจนั้นจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเป็นจริง ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว 


 


 


           แต่อารมณ์เช่นนี้ก็ไม่ได้อยู่นานนัก แล้วถาวจวินหลันก็ค่อยๆ นั่งหลังตรง คุกเข่านั่งลงบนหัวเตียง ขมวดคิ้วถามหลี่เย่ “ถ้าเช่นนั้นราชสำนักในตอนนี้ทำอย่างไรเพคะ?” 


 


 


           ฮ่องเต้ล้มป่วยกะทันหัน แต่เรื่องราชการทุกวันก็ไม่อาจล่าช้าได้ จะต้องมีใครสักคนเข้ามาจัดการถึงจะถูก ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือ สุดท้ายแล้วควรจะเป็นใครมาจัดการเรื่องนี้แทนฮ่องเต้ 


 


 


           หลี่เย่ตบหลังมือของถาวจวินหลันเบาๆ เผยรอยยิ้มขบขันน้อยๆ “ไม่ต้องกังวลไป องค์รัชทายาทก็ป่วยอยู่ อีกอย่างบรรดาขุนนางชราเหล่านั้นก็ไม่ได้รับเงินเปล่าๆ ฮองเฮาไม่อาจเข้าร่วมราชการได้ นี่ถือเป็นเรื่องแน่นอนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ อำนาจของจวนเหิงกั๋วโหวนั้นไม่น้อย แต่ก็ยังมีคนของเสด็จพ่อ แล้วก็ยังมีข้า ทั้งสองฝ่ายต่อกรกันนั้นยังสามารถทำได้” 


 


 


           เห็นหลี่เย่มีความมั่นใจเรียบนิ่งถึงเพียงนี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกสงบขึ้นไม่น้อย แต่จากนั้นก็พูดอย่างจริงจังว่า “ข้ามีเรื่องอยากพูดกับท่าน” 


 


 


           ที่นางเป็นเช่นนี้ทำให้หลี่เย่ตกใจยกใหญ่ รีบพูดว่า “เรื่องอะไรหรือ?” 


 


 


           ถาวจวินหลันพูดเรื่องที่นางสั่งให้หลิวเอินทำ  


 


 


           จากคำอธิบายของถาวจวินหลัน ท่าทีเคร่งเครียดของหลี่เย่กลับค่อยๆ สงบลง 


 


 


           สุดท้ายแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ขัดคำพูดของถาวจวินหลัน “ข้าพูดแล้วมิใช่หรือ ข้าแต่งงานกับจูเก๋อภาคสตรีมิใช่หรืออย่างไร?” 


 


 


           ถาวจวินหลันหน้าแดงระเรื่อ “ข้าจะเทียบกับท่านจูเก๋อได้อย่างไร?” แต่เขาพูดเช่นนี้ แม้จะเกินเลยแต่ก็ถือว่าสนับสนุนการกระทำของนาง นางย่อมต้องดีใจมาก นางไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เขา แล้วยังช่วยเหลือเขาได้อีกด้วย ย่อมต้องควรค่าแก่ความดีใจ 


 


 


           “องค์หญิงเก้ามา ข้ารั้งเอาไว้ให้นางร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน หากท่านง่วงก็นอนอีกหน่อยเถิดเพคะ มิเช่นนั้นอีกครู่หนึ่งจิ้งผิงมา ท่านก็จะไม่ได้นอนแล้ว” ถาวจวินหลันมองแผ่นอกที่เผยออกมาของหลี่เย่ และพูดอีกว่า “ข้าขอดูแผลของท่าน แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


           หลี่เย่กลับจับมือของนางเอาไว้ ยิ้มและพูดว่า “จะถอดเสื้อผ้าของข้าอีกอย่างนั้นหรือ? ข้าอยากจะนอนอีกสักพักหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเจ้านอนกับข้าเสียซี?” 


 


 


           หลี่เย่ยิ้มพลางพูดอย่างปกติ แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่าไม่ปกติเลยสักนิด จึงตีมือของเขาพลางพูดอย่างไม่พอใจนัก “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ท่านไปนอนเสียเถิด” พอพูดจบก็ไม่สนใจดูบาดแผลอีก รีบหนีออกไป 


 


 


           หลี่เย่อมยิ้มมองถาวจวินหลันเดินออกไป แล้วถึงได้ถอนหายใจยาวๆ ตอนนี้ข้อศอกบวมดำช้ำเลือดเป็นบริเวณใหญ่ แล้วยังบวม จะกล้าให้ถาวจวินหลันเห็นได้อย่างไร? แม้จะปิดบังไปตลอดไม่ได้ แต่ก็จะปิดเอาไว้เท่าที่ปิดได้ สองวันมานี้นางมีเรื่องเหนื่อยไม่น้อยแล้ว ถ้าต้องเป็นกังวลอีก แล้วเขาจะไม่สงสารได้อย่างไร? 


 


 


           ถาวจวินหลันก็หนีออกไปด้วยความร้อนรน ออกจากห้องไปแล้วก็รู้สึกว่าหน้ายังร้อนผ่าวอยู่เล็กน้อย จึงกัดปากแรกๆ ทีหนึ่ง รู้สึกว่าหลี่เย่ไม่เอาเรื่อง แต่ไม่ได้คิดว่าทำไมหลี่เย่ถึงยังมีเวลามาคิดเรื่องเหล่านี้ตอนนี้ด้วย 


 


 


           พอสงบใจได้บ้างแล้ว นางก็ไปที่ห้องครัวด้วยตนเองครั้งหนึ่ง มองดูอาหารก็รู้สึกว่าพออยู่ และให้ทำเพิ่มอีกสองสามอย่าง สุดท้ายเหมือนเพิ่มมากเกินไปหน่อย คิดไปคิดมาก็ให้คนไปถ่ายทอดคำพูดถึงตระกูลเฉิน บอกถาวซินหลันคู่สามีภรรยามาที่นี่สักครั้งหนึ่ง ในเมื่อคู่สามีภรรยาองค์หญิงเก้ามาแล้ว จะเพิ่มอีกคนสองคนก็เหมือนกัน 


 


 


           อีกอย่างเรื่องที่ถาวซินหลันต้องเข้าไปปรนนิบัติไทเฮา นางเองก็อยากจะปรึกษากับถาวซินหลันเช่นกัน 


 


 


           ถาวจิ้งผิงตรงมายังจวนตวนชินอ๋องจากศาลาว่าการ พอเห็นถาวจวินหลันก็มองพิจารณาพี่สาวของตนเองอย่างละเอียดก่อน เห็นว่ายังมีท่าทางดีถึงได้รู้สึกสบายใจเล็กน้อย และกลัวว่าถาวจวินหลันจะเหนื่อยเกินไปเพราะเรื่องสองวันมานี้ จึงอดกำชับไม่ได้ว่า “ท่านพี่อย่าเหนื่อยเกินไปเลย ท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็ยังมีผู้ชายอย่างพวกเรารับอยู่” 


 


 


           ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้ ตีข้อศอกถาวจิ้งผิงเบาๆ “พูดเรื่องอะไรกัน? เหมือนว่าดูถูกผู้หญิงอย่างพวกเราอย่างไรอย่างนั้น เจ้าอยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติเช่นนี้กับองค์หญิงเก้าเหมือนกันหรือ?” 


 


 


           เมื่อพูดถึงองค์หญิงเก้า รอยยิ้มบนใบหน้าของถาวจิ้งผิงก็ชะงักไป จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องสนทนาไปเงียบๆ “ใช่แล้ว พี่เขยเล่า?” 


 


 


           ถาวจวินหลันยิ้มและพูดว่า “เพิ่งตื่น กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ คิดว่าอีกเดี๋ยวคงจะออกมาแล้ว เขาเพิ่งกลับมาวันนี้ตอนบ่าย เมื่อวานไม่ได้พักผ่อน เมื่อครู่นี้ถึงได้พักไปครู่หนึ่ง” 


 


 


           ถาวจิ้งผิงย่อมต้องรู้เรื่องภายในวังหลวงบ้างเล็กน้อย จึงถอนหายใจพูดว่า “ไม่รู้ว่าอาการของฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


            เพราะองค์หญิงเก้ายังไม่ออกมา ดังนั้นถาวจวินหลันจึงผลักถาวจิ้งผิงเบาๆ “ไปดูองค์หญิงเก้าเถิด วันนี้นางอยู่ในวังหลวงก็ไม่ได้สบายนัก” 


 


 


           ถาวจิ้งผิงทำได้แค่เดินไป เพียงไม่นาน คู่สามีภรรยาเฉินฟู่ก็มาถึง พอดีกับที่หลี่เย่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย 


 


 


           ด้วยตอนนี้อากาศหนาว ดังนั้นถาวจวินหลันจึงให้คนไปต้มเหล้ามา ทั้งหกคนเข้าไปนั่งที่ ถาวซินหลันก็เห็นอาหารเต็มโต๊ะ จึงหัวเราะทันที “ท่านพี่ยังดีเหมือนเดิม คิดรอบคอบทุกสิ่งอย่าง ทำอาหารที่ข้าและพี่ใหญ่ชอบทั้งหมด” 


 


 


           ถาวจวินหลันได้ยินก็หัวเราะเช่นกัน “ข้าเลี้ยงดูพวกเจ้ามาจนโต ข้าจะจำไม่ได้ได้อย่างไร?” 


 


 


           บนโต๊ะอาหารนั้นกลับไม่มีใครพูดเรื่องในวังหลวง ดังนั้นจึงถือว่าสมัครสมานกลมเกลียว พอทานอาหารเสร็จแล้ว พวกหลี่เย่ทั้งสามคนก็พากันไปที่ห้องหนังสือ เหลือผู้หญิงสามคนให้ดื่มชาย่อยอาหาร 


 


 


           องค์หญิงเก้าดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  ยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างเหม่อลอย ถาวซินหลันกลับถามเรื่องไทเฮาอย่างเป็นกังวล “ไทเฮาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? ข้าเข้าวังหลวงไปไม่ได้ วันนี้ก็ถูกห้ามเอาไว้” 


 


 


           ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ “ขวางเอาไว้ถือเป็นเรื่องปกติ เกรงว่าผ่านไปอีกสองสามวันองค์หญิงเก้าก็คงไม่ได้เข้าวังหลวงง่ายดายเช่นนี้อีกแล้ว” หากปล่อยให้ฮองเฮาจัดการถืออำนาจทุกอย่าง สถานการณ์ก็จะเลวร้ายเช่นนี้ต่อไป 


 


 


           ถาวจวินหลันรู้สึกกังวลใจทันที “ไม่รู้ว่าไทเฮาเป็นเช่นไรบ้าง? ฮองเฮาเป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าไทเฮาจะกริ้วมากเพียงใด” ปรนนิบัติไทเฮามาหลายปี ถาวซินหลันย่อมเข้าใจความคิดของไทเฮาอยู่หลายส่วน แม้จะบอกว่าเวลาอยู่ต่อหน้าฮองเฮา ไทเฮาจะไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก แต่ความจริงแล้ว ไทเฮารังเกียจคิดแค้นฮองเฮามาก 


 


 


           ถาวจวินหลันเล่าอาการของไทเฮาให้ถาวซินหลันรู้ ก่อนถอนหายใจพูดว่า “อาการของไทเฮาไม่สู้ดีนัก อีกทั้งนางยังไม่ยอมบอกให้คนอื่นรู้” 


 


 


           “ไทเฮาต้องรักษาหน้า ย่อมไม่ยอมให้คนอื่นรู้เป็นแน่ อีกทั้ง หากฮองเฮารู้เข้าไม่ใช่ว่าจะทำให้ฮองเฮาได้ใจหรืออย่างไร?” ถาวซินหลันขมวดคิ้วกัดฟันแน่น “ไม่รู้ว่าจางหมัวหมัวรับมือได้หรือไม่” 


 


 


           องค์หญิงเก้าเพิ่งได้สติกลับมา “ท่าทีของจางหมัวหมัวก็ไม่ค่อยดีนัก อย่างไรนางก็อายุมากแล้ว เรื่องนี้ส่งผลกระทบไม่น้อย เกรงว่าจะรับมือไม่ไหว พวกเราคิดหาวิธีส่งคนที่พึ่งพาได้เข้าไปดูแลไทเฮาเถิด” 


 


 


           ถาวจวินหลันก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าใจ “แล้วจะส่งใครไป?” ไม่ต้องพูดว่าไทเฮาจะเชื่อใจคนที่ส่งไป จะยอมร่วมมือด้วยหรือไม่ พูดแค่ว่าคนคนนี้จะหามาจากที่ไหนก็ไม่ง่ายแล้ว 


 


 


           ถาวซินหลันครุ่นคิด ก่อนเสนอชื่อตัวเอง “ให้ข้าไปเองเถิด ไทเฮาดีกับข้าขนาดนั้น ข้าเองจะต้องตอบแทนนางให้ดี อีกอย่าง ข้ากลับไปครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นไทเฮาหรือจางหมัวหมัวก็เชื่อใจข้าทั้งนั้น ข้าเองก็สามารถช่วยเหลือได้ ดีกว่าไปหาคนอื่นมาเยอะนัก” 


 


 


           ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้าสบตากัน มองเห็นความลังเลและความคล้อยตามของฝ่ายตรงข้าม ใช่แล้ว เหมือนที่ถาวซินหลันพูด ยามนี้ถาวซินหลันถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด แต่ถาวซินหลันก็ไม่ใช่นางกำนัลแล้ว และยิ่งเป็นสตรีที่ออกเรือนไปแล้วด้วย หากส่งกลับไปก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับทางตระกูลเฉินอย่างไร 


 


 


           ถาวซินหลันย่อมต้องรู้ความกังวลของถาวจวินหลัน จึงแย้มยิ้มพูดว่า “ไทเฮาดีกับข้าขนาดนั้น ข้าทำเรื่องเพียงเท่านี้ก็เพียงแบ่งเบาภาระเท่านั้น ถือว่าข้ากตัญญูตอบแทนแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? หรือว่าพวกท่านจะแสดงความกตัญญูของพวกท่านได้ แล้วไม่อนุญาตให้ข้าแสดงความกตัญญูหรืออย่างไร? อีกอย่าง ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะต้องอยู่ที่วังหลวงตลอดเวลา พอสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ข้าเองก็ยังต้องออกมาจากวังหลวง” 


 


 


           ที่ถาวซินหลันไม่ได้พูดก็คือเฉินฟู่ไม่กล้าขัดขวางนางเป็นแน่ หากเฉินฟู่กล้าพูดว่า ‘ไม่’ ออกมา ก็รอดูว่านางจะจัดการกับเขาอย่างไร! ส่วนพ่อสามีแม่สามีก็ยิ่งไม่มีทางต่อต้านนางเป็นแน่ 


 


 


           ถาวจวินหลันครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งนี้ก็เข้าวังหลวงไปเถิด ดึกวันนี้เจ้าเองก็พูดกับเฉินฟู่ให้ละเอียด ใช่แล้ว เจ้าพาคนเข้าไปอีกสองคน หรือจะเลือกคนใหม่จากในวังหลวงก็ได้ เจ้าคนเดียวจะเหนื่อยเกินไป” 


 


 


           เรื่องพูดคุยปรึกษาจบลง องค์หญิงเก้าก็ถามถาวซินหลันอีกว่า “เจ้ายังไม่ท้องอีกหรือ? แม่สามีของเจ้าไม่เร่งหรืออย่างไร?” 


 


 


           ถาวซินหลันนิ่งอึ้งไป แล้วก็เริ่มเขินอายเล็กน้อย ก้มหน้าพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองคลอดกันแล้ว ขาดข้าเพียงคนเดียวก็ไม่เห็นสำคัญ อีกทั้งไม่ได้รีบร้อนอะไร ยังมีเวลาให้ข้าบำรุงสุขภาพร่างกาย โตกว่านี้หน่อยค่อยมีลูกก็ไม่เห็นเป็นอะไร” 


 


 


           องค์หญิงเก้าอิจฉาทันที “แม่สามีของเจ้าดียิ่งนัก” 


 


 


           ถาวซินหลันหัวเราะ “ดูท่านพูดเข้า เหมือนว่าพวกเราไปเร่งท่านเสียอย่างนั้น! แต่พูดไปแล้ว ทำไมท่านถึงยังไม่ท้องอีกเล่า?” 


 


 


           ที่จริงแล้วถาวจวินหลันก็กังวลเรื่องนี้ แต่คิดว่าหากถามไปองค์หญิงเก้าก็จะไม่สบายใจ สุดท้ายแล้วก็ไม่กล้าเอ่ยถาม ตอนนี้ถาวซินหลันถามหยอกล้อ นางเองก็ตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ  


 


 


           องค์หญิงเก้าก้มหน้าลงไป หัวเราะขมขื่น ลูบท้องอย่างโศกเศร้าเล็กน้อย “ข้าเองก็คิดอยากจะมีลูกให้เร็วเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าโชคชะตายังมาไม่ถึงหรืออย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มาเสียที” หยุดไปครู่หนึ่ง องค์หญิงเก้าก็เหลือบมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง พลางหัวเราะและถามว่า “พูดไปแล้ว พี่หญิงมีเคล็ดลับอะไรหรือไม่เจ้าคะ พูดให้ข้าฟังบ้างเถิด” 


 


 


           ถาวจวินหลันแต่งงานกี่ปีกัน? แต่กลับดีพร้อมไปทุกอย่าง ใครบ้างไม่อิจฉา? ไม่ว่าใครก็คาดหวังว่าจะมีความสุขเช่นนี้ 


 


 


           องค์หญิงเก้าอยากมีลูก ในใจของนางคิดว่า มีลูก ถาวจิ้งผิงก็คงไม่เป็นเหมือนอย่างตอนนี้ 


 


 


           ถาวจวินหลันถอนหายใจ ส่ายหน้า “เคล็ดลับอะไรกัน? ข้าเองก็ไร้หลักการ” หรือจะพูดว่าอยู่ร่วมหอกันหลายครั้ง โอกาสมีลูกก็จะง่ายขึ้นใช่หรือไม่? แต่คำพูดนี้ไฉนเลยจะพูดออกไปได้? อีกทั้งถาวจิ้งผิงไม่มีอนุภรรยา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ 


 


 


           ดังนั้นนางจึงปลอบองค์หญิงเก้าพูดว่า “เจ้าเองก็อย่ากังวลไป รอจนเวลามาถึง ลูกก็จะมาเอง มีบางครั้งที่รีบมากเกินไปกลับยิ่งมีลูกยากขึ้น” 


 


 


           องค์หญิงเก้าถอนหายใจ ทั้งรู้สึกเศร้าและเสียดาย “ก็คงทำได้เท่านั้น” 


 


 


           ถาวซินหลันเห็นองค์หญิงเก้ามีท่าทีเศร้าสร้อย ก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย พูดถึงเรื่องอื่นแทน ถึงได้ทำให้บรรยากาศกลับมาเป็นเช่นเดิม 

 

 

 


บทที่ 497 ทะเลาะ

 

พอพวกผู้ชายพูดคุยกันเสร็จแล้ว ก็แทบจะเป็นเวลาดึกมากแล้ว ตอนแรกถาวจวินหลันคิดจะรั้งให้พวกเขาอยู่ในจวนสักคืนหนึ่ง แต่ไม่มีใครยอม คิดไปคิดมาถาวจวินหลันจึงไม่ได้พูดรั้งอีก เพียงแค่เดินออกไปส่งพวกเขาพร้อมกับหลี่เย่ 


 


 


ท้องฟ้ามืดอากาศเย็น ถาวจวินหลันเอาผ้าคลุมมาคลุมตัวไว้ก็ยังทนไม่ไหว ต้องอุ้มเตาผิงอันเล็กเอาไว้ถึงจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย หลี่เย่กลัวนางจะล้ม จึงให้คนถือโคมไฟเดินตามมาทั้งสองข้างทาง แล้วใช้แขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บประคองถาวจวินหลันเอาไว้แน่น กลัวว่านางจะล้ม 


 


 


เฉินฟู่ก็ทำคล้ายกัน กลับเป็นถาวจิ้งผิงและองค์หญิงเก้าที่ดูห่างเหินกัน 


 


 


    ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว แต่กลับไม่พูดเยอะ เพียงแค่หลังจากส่งคู่สามีภรรยาถาวซินหลันกลับไปแล้วถึงได้มองถาวจิ้งผิง 


 


 


    องค์หญิงเก้าขึ้นรถม้าไปแล้ว อย่างไรไม่มีถาวจิ้งผิงประคององค์หญิงเก้าขึ้นรถม้า ก็ยังมีบ่าวรับใช้อีกมากมายที่คอยช่วยอยู่ 


 


 


    ถาวจวินหลันโมโหมาก ออกแรงดึงตัวถาวจิ้งผิงอย่างแรง กดเสียงลงต่ำพูดอย่างโมโหว่า “เจ้ามัวทำอะไรอยู่? นั่นเป็นภรรยาของเจ้านะ! เจ้าดูซิว่าเฉินฟู่ทำอย่างไร? แล้วเจ้าทำเช่นไร? องค์หญิงเก้าแต่งงานกับเจ้าก็ถือว่าลำบากแล้ว เจ้ายังมีท่าทีเช่นนี้อีก! ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เมื่อไรตระกูลถาวของพวกเราจะลงหลักปักฐานมั่นคงเสียที?!” 


 


 


แม้จะสั่งสอนถาวจิ้งผิงไปแล้ว และถาวจิ้งผิงขึ้นรถม้าคันเดียวกับองค์หญิงเก้าไป แต่ถาวจวินหลันก็ยังคงเป็นกังวล ยืนดูรถม้าที่วิ่งออกไปจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว นางถึงได้ขมวดคิ้วพูดกับหลี่เย่ว่า “ถ้ามีเวลาท่านต้องช่วยข้าเกลี้ยกล่อมเขานะเพคะ เขาเป็นเช่นนี้ต่อไปคนที่ไม่สบายใจก็เป็นเจ้าเก้า สองคนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้ทะเลาะกัน?” 


 


 


ถาวจวินหลันไม่ได้คิดเรื่องที่ว่ายังไม่คืนดีกันตั้งแต่คราวก่อน เพียงแค่คิดว่าทั้งสองคนเพิ่งทะเลาะกันเท่านั้น 


 


 


หลี่เย่รู้เรื่อง แต่เขากลัวว่าถาวจวินหลันจะเป็นห่วง จึงไม่กล้าบอกถาวจวินหลันว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “เอาเถิด เรื่องของสามีภรรยา พวกเราเป็นคนนอกจะเข้าไปยุ่งได้อย่างไร?”  


 


 


ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว “ข้าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ทำไมจะเข้าไปยุ่งไม่ได้เล่า?”  


 


 


หลี่เย่แค่นหัวเราะ ไม่กล้าอธิบายต่อไป บีบนิ้วที่เริ่มเย็นของถาวจวินหลันเบาๆ “เอาเถิด พวกเรารีบกลับไปนอนเถิด พรุ่งนี้ข้ายังต้องเข้าวังหลวงอีกรอบหนึ่ง ทั้งยังจะต้องไปทำงานที่ศาลาว่าการด้วย” 


 


 


พรุ่งนี้ถาวจวินหลันก็ต้องเข้าวังหลวงเช่นเดียวกัน เมื่อคิดดูว่ายามนี้ก็ดึกแล้ว จึงไม่กล้าพูดอะไรมากอีก เพียงแค่ดึงหลี่เย่ให้รีบเดิน 


 


 


แต่ที่นางไม่รู้ก็คือหลังจากถาวจิ้งผิงขึ้นรถม้าไปแล้ว เขาก็นั่งห่างจากองค์หญิงเก้าอยู่มาก หากพูดว่าเป็นสามีภรรยากัน ไม่สู้ว่าบอกเป็นคนแปลกหน้าสองคนเลยจะดีกว่า 


 


 


องค์หญิงเก้ามองถาวจิ้งผิงนั่งอย่างสงบเสงี่ยม นางทั้งโกรธและโมโห แต่เดิมคิดจะทนเอาไว้ แต่ยิ่งดูก็ยิ่งโมโห สุดท้ายแล้วก็พูดอย่างทนไม่ไหว “ท่านจะเอาอย่างไรกันแน่?!” 


 


 


น้ำเสียงขององค์หญิงเก้าแฝงไว้ด้วยความสะอึกสะอื้น และความจนปัญญา “ข้าทำไมหรือ? ทำไมท่านถึงได้ห่างเหินกับข้าถึงเพียงนี้? ท่านคิดว่าข้าเป็นอะไร?”  


 


 


ถาวจิ้งผิงมององค์หญิงเก้าวูบหนึ่ง แล้วพูดเนิบๆ “เจ้าย่อมเป็นภรรยาของข้า เป็นนายหญิงของตระกูลถาว” 


 


 


แต่กลับไม่รู้ว่าเขาไม่พูดยังจะดีกว่า พอพูดก็ยิ่งเหมือนจุดดินปืน ทำให้องค์หญิงเก้ายิ่งโมโหมากกว่าเดิม องค์หญิงเก้ารักษาสีหน้านิ่งเอาไว้ไม่ได้แล้ว หยิบหมอนอิงขึ้นมาเขวี้ยงออกไป พลางร้องสะอื้น “ท่านเห็นข้าเป็นภรรยาจริงๆ หรือ? เป็นนายหญิงของตระกูลถาว? ท่านหมายความว่าอย่างไร? หากท่านไม่อยากเห็นข้า ก็เพียงส่งข้ากลับวังหลวงไปเท่านั้น!” 


 


 


องค์หญิงเก้าโมโหมากจริงๆ พูดคำเหล่านี้ออกมาอย่างไม่ยั้งปากเลยแม้แต่น้อย 


 


 


สีหน้าของถาวจิ้งผิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็กัดฟันกล้ำกลืนไฟโกรธ พูดเพียงแค่ว่า “อย่าพูดไร้สาระ” ลูกสาวที่ออกเรือนไปก็เหมือนน้ำที่โดนสาด ต่อให้เป็นองค์หญิงก็เป็นแบบเดียวกัน อย่างไรก็ไม่เคยมีองค์หญิงคนไหนออกเรือนไปแล้วกลับเข้ามาอาศัยในวังอีก แม้ว่าเขาและองค์หญิงเก้าจะทะเลาะกัน แต่ก็ไม่อยากให้องค์หญิงเก้าเสียหน้า 


 


 


“ข้าพูดไร้สาระ?” องค์หญิงเก้าร่ำไห้ด้วยความน้อยใจ สุดท้ายแล้วก็เลิกร้องไห้ แต่กลับหัวเราะเสียงเย็น มองถาวจิ้งผิงนิ่ง พลางพูดว่า “ท่านเห็นข้าเป็นภรรยาจริงหรือ? หากเห็นข้าเป็นภรรยาจริงไฉนเลยจะละเลยข้ามานานเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย? ท่านไม่รู้หรอกว่าบรรดาบ่าวรับใช้เหล่านั้นแอบหัวเราะเยาะข้าอย่างไร?” 


 


 


ถาวจิ้งผิงขมวดคิ้ว แต่กลับไม่พูดอะไร 


 


 


“ท่านคิดว่าข้าไม่ควรพูดอย่างนั้นหรือ? ท่านคิดว่าข้าไม่คิดถึงใจพี่สาวของท่านอย่างนั้นหรือ? ข้าห้ามท่านไม่ให้ท่านไปดูนาง แล้วจะทำไม? แต่ท่านก็ยังไปไม่ใช่หรือ?! ถาวจิ้งผิง ท่านถามใจของตนเองให้ดี ข้าจงใจไม่ให้ท่านไปอย่างนั้นหรือ? ท่านเองไม่คิดเลยว่านั่นเป็นโรคอะไร! นั่นคือโรคระบาด! โรคระบาด! ข้ากลัวท่านติดกลับมาไม่ใช่หรืออย่างไร?!” องค์หญิงเก้ากัดฟันแน่น สายตาเฉียบคมราวจิ้งจอก มองเขม็งไปที่ถาวจิ้งผิง แทบจะไปกระชากแหวกอกของเขาออกมาดู ว่าสุดท้ายแล้วหัวใจของเขามีรูปร่างเป็นอย่างไรกันแน่! 


 


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ถาวจิ้งผิงก็กดไฟโกรธในใจไม่ได้อีกต่อไป หัวเราะเสียงเย็นมององค์หญิงเก้า “พูดไปแล้ว สุดท้ายก็ยังไม่คิดว่าตนเองผิด ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ไว้ ตระกูลถาวของพวกเราเทียบกับตระกูลสวรรค์ของพวกเจ้าไม่ได้ ล้วนเป็นคนเห็นแก่ตัวไร้เยื่อใย! ไม่ต้องบอกว่ามีสิทธิ์จะติดเชื้อโรคระบาด ต่อให้เป็นโรคระบาดจริง ข้าก็ยังจะไปเหมือนเดิม! ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้าเคารพพี่สาวของข้า แต่เจ้าคิดดูว่าเจ้าทำอะไร? หรือพี่สาวของข้าปฏิบัติกับเจ้าได้ไม่ดี? คำพูดที่เจ้าพูดกับพี่รอง เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร!” 


 


 


ถาวจิ้งผิงพูดด้วยอารมณ์พุ่งพล่าน ทำให้องค์หญิงเก้าตะลึงงัน ริมฝีปากของนางสั่นน้อยๆ แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ในหัวเหลือเพียงความคิดเดียว ถาวจิ้งผิงรู้เรื่องแล้ว! เขารู้แล้ว! เขารู้ได้อย่างไร! 


 


 


ถาวจิ้งผิงสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบใจลงช้าๆ “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็เป็นนายหญิงของตระกูลถาว ข้าก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องเอาราวอะไร เจ้าเองก็กลับไปคิดเสียเถิด ใต้หล้านี้ไม่ได้มีแค่ตัวเจ้าเอง! ก่อนหน้านี้อยู่ในวังหลวงต้องเห็นแก่ตัวบ้างก็จริง แต่ตอนนี้ออกจากวังหลวงมาแล้วยังจะทำตัวเช่นนี้อีกหรืออย่างไร?” 


 


 


หยุดไปครู่หนึ่ง ก็คิดถึงคำพูดของถาวจวินหลัน สุดท้ายก็ถอนหายใจอีกครั้ง พร้อมกับพูดอธิบายอีก “หลายวันมานี้ไม่ได้อยากจะห่างเหินกับเจ้า แต่อยากให้เจ้าลองคิดให้ถี่ถ้วน ว่าแท้จริงแล้วเป็นความผิดของใคร!” 


 


 


พอพูดจบถาวจิ้งผิงก็ไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้ามองนิ้วมือของตนอย่างอดกลั้น ที่จริงแล้วเขายังมีอีกอย่างที่ไม่ได้พูดกับองค์หญิงเก้า นั่นก็คือเขาผิดหวังจริงๆ เขานึกว่า แม้องค์หญิงเก้าจะโตมาในครอบครัวราชวงศ์ แต่ก็ไม่เหมือนกับองค์หญิงพระองค์อื่น อย่างน้อยก็ถือว่าดีกับพี่น้องของตนเอง แต่วันนั้นที่องค์หญิงเก้าขวางเอาไว้ กลับทำให้เขาเข้าใจเรื่องหนึ่ง แม้ว่าดูแล้วจะไม่เหมือนกัน แต่องค์หญิงเก้าก็ยังเหมือนกับองค์หญิงพระองค์อื่นอยู่มาก 


 


 


ที่จริงแล้วเขาไม่ได้โกรธเพราะเรื่องนี้ขนาดนั้น ที่ทำให้เขาโมโหและผิดหวังจริงๆ ก็คือคำพูดที่องค์หญิงเก้าพูดกับหลี่เย่ พอคิดไปแล้วเขาก็ยังหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ ว่าองค์หญิงเก้าพูดถึงถาวจวินหลันเช่นนั้นทำไม หากคิดว่าตนเองเป็นคนตระกูลถาวจริง ต่อให้ถาวจวินหลันทำไม่ดี องค์หญิงเก้าก็มาบอกเขาได้ ไม่ใช่ไปบอกหลี่เย่ 


 


 


เขาเข้าใจความลำบากและความไม่ยุติธรรมที่พี่สาวต้องพบในจวนอ๋องมากกว่าใคร และด้วยเหตุนี้ถึงได้หวังว่าพี่สาวของตนจะมีชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อถาวจวินหลันเขายอมทุ่มเททุกอย่าง เขาไม่มีเหตุผลอื่น เพียงแค่นั่นคือพี่สาวของตน แต่องค์หญิงเก้าทำเช่นนี้เห็นชัดว่าเป็นการบอกให้หลี่เย่อยู่ห่างจากถาวจวินหลัน! แค่นี้พี่สาวของเขายังไม่ลำบากพอหรืออย่างไร! ในเสี้ยววินาทีนั้นถาวจิ้งผิงผิดหวังในตัวองค์หญิงเก้าจริงๆ และไม่อยากเห็นหน้านางอีก 


 


 


แม้จะบอกว่าหลังจากนั้นมาความโกรธก็เริ่มลดลง และเริ่มลดความคิดเหล่านั้น เขาพลันรู้สึกผิดหวังอย่างไม่มีที่เปรียบจริงๆ และที่นิ่งเงียบนานขนาดนี้ เขาก็คิดว่าองค์หญิงเก้าจะเข้าใจความหมายของเขา อีกอย่างครั้งนี้นางยอมเชื่อฟังถาวจวินหลันขนาดนั้น เขาก็นึกว่าองค์หญิงเก้าจะคิดได้แล้วเสียอีก 


 


 


    แต่ตอนนี้เขาถึงรู้ว่าองค์หญิงเก้าไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนี้ ถาวจิ้งผิงก็คิดว่าช่างน่าขันนัก 


 


 


    สิ่งที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้คือ หลังจากนั้นตลอดทางกลับบ้านตระกูลถาว ภายในรถม้าก็เข้าสู่ความเงียบสงบ และเมื่อรถม้าหยุดลงถาวจิ้งผิงก็กระโดดลงรถม้าอย่างอดรนทนไม่ได้ มุ่งหน้าเดินเข้าไปในห้องหนังสือทันที 


 


 


    องค์หญิงเก้านั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงร้องไห้อย่างอึดอัด ในใจรู้สึกอ้างว้าง สุดท้ายแล้วนางทำผิดอะไรกันแน่? นางเป็นห่วงถาวจิ้งผิงแล้วผิดอย่างนั้นหรือ? นางเป็นห่วงพี่รองของตนเองแล้วผิดอย่างนั้นหรือ? 


 


 


    หากถาวจวินหลันดีเหมือนที่ถาวจิ้งผิงพูด ถาวจวินหลันก็คงไม่เข้ามายุ่งเรื่องของพวกนางสามีภรรยา หรือมือยื่นเข้ามาในบ้านตระกูลถาว และยิ่งไม่ทางไปตีสนิทองค์หญิงแปดเพื่อผลประโยชน์ อีกทั้งไม่มีทางหลอกล่อถามนาง พูดเรื่องรับอนุภรรยาอะไรต่อหน้านาง สิ่งที่ถาวจวินหลันพูดคือเตือนให้นางเป็นแม่บ้านที่ดีรับอนุภรรยาให้จิ้งผิงเองมิใช่หรือ? 


 


 


    ที่จริงแล้วถาวจวินหลันมีอะไรดีกว่านางกัน? ถาวจวินหลันเองก็เป็นคนเห็นแก่ตัวเหมือนกันไม่ใช่หรือ? เพื่อฐานะตำแหน่งของตน หรือถาวจวินหลันจะไม่ทำอะไรเลย? เทียบได้กับตอนที่อยู่ในวังหลวง นางเคยคิดว่าถาวจวินหลันหวังดีกับนางจากใจจริง แต่หลังจากนางถูกคนพูดให้ได้สติถึงเข้าใจ นั่นเป็นเพียงวิธีการเล็กๆ น้อยๆ ที่ถาวจวินหลันใช้ดึงดูดพี่รองของตนเท่านั้น เป็นนางที่คิดรีบร้อนหาวิธีตอบแทนบุญคุณไปเองคนเดียว 


 


 


    ถาวจวินหลันย่อมต้องไม่รู้เรื่องนี้ ในตอนนี้นางและหลี่เย่กลับไปแล้ว ด้วยกังวลเรื่องของถาวจิ้งผิง และหลี่เย่ตั้งใจหลบเลี่ยงนาง นางจึงไม่อยากดูบาดแผลของหลี่เย่อีก 


 


 


    พอตื่นขึ้นมาในวันถัดไป หลี่เย่ก็ออกจากจวนไปแล้ว 


 


 


    ถาวจวินหลันถอนหายใจ คิดดูแล้วรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำหน้าที่ จึงกำชับหงหลัวว่า “วันนี้ตกดึกให้เตือนข้าด้วย ช่วยทายาให้หลี่เย่” ด้วยนางเป็นภรรยา ในเมื่อสามีได้รับบาดเจ็บแล้วไม่รู้ว่าบาดแผลเป็นเช่นไร พูดไปก็น่าขัน 


 


 


เพราะวันนี้ต้องเข้าวังหลวง ถาวจวินหลันจึงแต่งตัวเรียบร้อย แล้วนั่งรถม้าออกไป 


 


 


องค์หญิงเก้าและถาวซินหลัน พวกเขาตั้งใจนัดเจอกันที่หน้าประตูวัง 


 


 


แต่เมื่อถึงหน้าประตูวัง ถาวจวินหลันก็พบคนที่คุ้นเคยอีกสองสามคน นั่นคือองค์หญิงแปดกับองค์หญิงสามและองค์หญิงสี่ 


 


 


องค์หญิงแปดเดินมาทักทายพูดคุยกับนาง ส่วนองค์หญิงสามและองค์หญิงสี่กลับทำเป็นมองไม่เห็น ต่างฝ่ายต่างเดินเข้าไปนั่งในวัง 


 


 


องค์หญิงแปดหัวเราะเยาะ “ไม่ทันไรก็รีบไปประจบสอพลอกันเสียแล้ว” 

 

 

 


บทที่ 498 อาจหาญ

 

เพียงไม่นาน ถาวซินหลันและองค์หญิงเก้าก็มาถึง พอเห็นท่าทีขององค์หญิงเก้าไม่ค่อยดีเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ถาวจวินหลันก็รู้สึกเป็นกังวล จากนั้นก็คิดถึงความเป็นไปอย่างหนึ่งขึ้นมา จึงอดหัวเราะไม่ได้ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย  


 


 


แต่นางก็ยังคงกำชับองค์หญิงเก้าด้วยเป็นห่วง “แม้ว่าจะอายุน้อย แต่เจ้าก็ไม่อาจละเลยร่างกายตนเองได้ จะต้องดูแลให้ดี ดูซี ท่าทีของเจ้าย่ำแย่ขนาดนี้แล้ว”  


 


 


องค์หญิงเก้าฝืนหัวเราะ ถือว่าตอบแล้ว  


 


 


องค์หญิงแปดก็มองอย่างเป็นกังวลเช่นกัน พูดว่า “ข้ายังพอมีเออเจียวชั้นดีอยู่บ้าง กลับไปจะให้คนส่งไปให้เจ้าบ้าง สิ่งนี้บำรุงเลือดได้ดีที่สุด”  


 


 


ถาวซินหลันเองก็พยักหน้า “วันธรรมดาก็ควรกินของบำรุงเลือดให้เยอะด้วยเจ้าค่ะ”  


 


 


องค์หญิงเก้าฝืนยิ้ม แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา “พวกเรารีบเข้าวังไปเข้าเฝ้าไทเฮาเถิดเจ้าค่ะ”  


 


 


ทุกคนจึงพากันเข้าไปในวังหย่งโซ่ว  


 


 


ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมององค์หญิงแปด “ดูเข้มงวดกว่าปกติอยู่หลายส่วน พวกท่านคิดอย่างนั้นหรือไม่?”  


 


 


องค์หญิงแปดพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง ปกติแล้วเคยตรวจป้ายที่ไหนกัน? วันนี้หากไม่รู้จักพวกเรา เกรงว่าซินหลันคงไม่ได้เข้าเป็นแน่”  


 


 


ถาวซินหลันเม้มปาก พูดความจริง “เกรงว่าสถานการณ์ภายในวังหลวงคงรุนแรงขึ้นแล้ว”  


 


 


ถาวจวินหลันไม่พูดอะไรอีก ในใจกลับคิดว่า ฮองเฮาและองค์รัชทายาทน่าจะรู้เรื่องที่องค์รัชทายาทถูกปลดแล้ว และย่อมได้ยินข่าวลือภายนอกแล้วเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะมีปฏิกิริยาตอบรับเช่นไร  


 


 


พอเข้าไปบริเวณประตูวังหย่งโซ่วแล้ว ถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือมีคนเพิ่มมากขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังเป็นคนแปลกหน้า เทียบกับวังหย่งโซ่วอันเงียบสงบก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับมีคนเดินไปเดินมาแล้ว  


 


 


แท้จริงแล้วฮองเฮารู้อาการของไทเฮาหรือไม่? ถาวจวินหลันลอบคิดในใจ ก่อนย่างเท้าก้าวเข้าไปในวังหย่งโซ่ว แล้วตรงเข้าไปภายในห้องที่ไทเฮาพัก  


 


 


พอเข้าไปในห้องแล้ว ถาวจวินหลันก็สังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าด้านนอกจะมีคนไม่คุ้นหน้าอยู่มาก แต่คนที่ปรนนิบัติภายในห้องนั้นยังคงเป็นคนเก่าแก่ของไทเฮา เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาไม่ได้ยื่นมือเข้ามาถึงภายในวังหย่งโซ่วจริง  


 


 


เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เห็นได้ว่าฮองเฮาไม่น่าจะรู้อาการที่แท้จริงของไทเฮา  


 


 


หลังจากทุกคนรายงานขอเข้าพบแล้วจึงพากันเดินเข้าไป  


 


 


ไทเฮาเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นมาไม่นาน กำลังทานอาหารอยู่ นั่งเอนตัวอยู่บนเตียง ด้านหลังยังมีหมอนอิงรองเอาไว้ จางหมัวหมัวป้อนอาหารให้ไทเฮาอยู่ข้างๆ แบบนี้ก็มองไม่ออกว่าไทเฮาขยับร่างกายไม่สะดวก  


 


 


เห็นจางหมัวหมัวมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ถาวจวินหลันก็ก้าวขึ้นไปรับถ้วยในมือของจางหมัวหมัวเอาไว้ “ให้ข้าทำเถิด”  


 


 


แต่ยังช้ากว่าถาวซินหลันไปก้าวหนึ่ง ถาวซินหลันรับถ้วยนั้นไปแล้ว ยิ้มและพูดว่า “ข้าป้อนไทเฮาเสวยอาหารดีกว่า หมัวหมัวไปพักก่อนเถิด”  


 


 


ไทเฮาเห็นถาวซินหลันก็แย้มยิ้ม “ทำไมเจ้าถึงมาได้เล่า? แต่ก็ดี ให้เจ้ามาปรนนิบัติข้าแล้วกัน จางหมัวหมัวไปพักหน่อยเถิด”  


 


 


ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ดึงดัน หัวเราะพลางก้าวขึ้นไปทำความเคารพพร้อมกับองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้า ทั้งยังพูดอีกว่า “วันนี้ท่าทีของไทเฮาดูดีขึ้นมากเลยเพคะ อีกไม่นานคงใกล้หายดีแล้วแน่เลยเพคะ”  


 


 


องค์หญิงแปดมองนางกำนัลที่เอียงหน้าเข้ามาแอบมองอยู่ตรงประตูวูบหนึ่ง ยิ้มและพูดเออออว่า “จะไม่ใช่ได้อย่างไร? หม่อมฉันว่าไทเฮาบุญบารมีมากล้น จะต้องไม่เป็นอะไรร้ายแรงแน่นอน เป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้เลยเพคะ”  


 


 


องค์หญิงเก้าก็ตั้งสติพูดเออออคล้อยตามไปด้วย  


 


 


ไทเฮากินสิ่งที่ถาวซินหลันป้อนอยู่เงียบๆ กลับไม่ได้แสดงท่าทีดีใจหรือไม่ดีใจออกมา ทว่าดูมีอำนาจยิ่งนัก  


 


 


พอกินข้าวต้มหมดไปแล้วถ้วยหนึ่ง ไทเฮาก็พยักหน้าเรียกถาวซินหลัน  


 


 


ถาวซินหลันวางถ้วยข้าวต้มลง พลางหยิบผ้าเช็ดปากออกมาเช็ดริมฝีปากให้ไทเฮาอย่างรวดเร็ว  


 


 


ไทเฮาถึงได้ยิ้มและพูดว่า “หญิงแก่อย่างข้ากำลังเบื่อ ได้พวกเจ้ามาพูดคุยเป็นเพื่อนพอดี”  


 


 


แต่ก็พูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้น แล้วไทเฮาก็พูดอีกว่า “แก่แล้วๆ นี่เพิ่งคุยได้ไม่เท่าไรก็แน่นอกจะแย่แล้ว”  


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนี้ก็เข้าใจทันที นางมองคนที่อยู่เต็มห้องมากมายทีหนึ่ง ก่อนหัวเราะและพูดว่า “บางทีคนอาจจะเยอะเกินไป คนอื่นออกไปก่อนเถิด มีพวกข้าคอยปรนนิบัติไทเฮา ไม่เป็นไรแน่นอน” ก่อนเดินไปบริเวณข้างหน้าต่าง เปิดหน้าต่างเป็นช่องเล็กๆ ไม่นับว่าระบายอากาศได้ดีนัก แม้นมองเห็นสถานการณ์ด้านนอก แต่ก็ไม่ถึงขั้นเห็นข้างในทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้อย่างน้อยก็ไม่มีคนกล้ายืนแอบฟังอยู่ข้างหน้าต่างแล้ว  


 


 


จางหมัวหมัวได้ยินเช่นนั้น ก็เดินนำออกไปก่อน คราวนี้นางกำนัลคนอื่นต่อให้ไม่ยินยอมถอยออกไป ก็ไม่อาจรั้งอยู่ต่อได้แล้ว  


 


 


พอทุกคนออกไปแล้ว ก็เห็นว่าไทเฮาสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรต้องคอยหลอกผู้คนมากมาย ว่าร่างกายตนเองไม่ป่วยหนักก็ถือเป็นเรื่องเหนื่อยมากเช่นเดียวกัน  


 


 


ถาวซินหลันเห็นเช่นนั้นก็รีบก้มหน้าพูดกับไทเฮาเสียงเบา “ไทเฮาเพคะ นอนลงดีหรือไม่เพคะ?”  


 


 


ไทเฮาส่ายหน้า พูดว่า “ประคองข้านั่งลงไปอีกหน่อยเถิด” เพื่อแสดงว่าตนเองไม่เป็นอะไร เมื่อครู่นี้นางจึงนั่งหลังเหยียดตรง ทำได้เพียงเกร็งคอให้ยืดตรง สำหรับนางในตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องยากเลยทีเดียว  


 


 


เมื่อเขยิบลงไปเล็กน้อยจนเอนคอพิงบนหมอนได้ ไทเฮาก็มีท่าทางสบายขึ้นมาก  


 


 


ถาวจวินหลันมองไทเฮาเป็นเช่นนี้ แต่ยิ่งทำให้นางเจ็บปวดใจ ปกติแล้วไทเฮาไม่เคยแสดงอารมณ์ให้คนนอกเห็น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าคนไม่สนิท แต่ตอนนี้กลับแสดงท่าทีสบายใจได้ขนาดนี้ เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ไทเฮาฝืนทนไว้ลำบากมากเพียงใด  


 


 


ไทเฮาเหมือนจะปรับตัวอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงกลับมาเป็นเหมือนเดิม หัวเราะเยาะตนเอง “แก่แล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว สมควรตาย”  


 


 


เมื่อคำพูดนี้ดังออกไป ทุกคนต่างก็รู้สึกเจ็บปวด สุดท้ายแล้วถาวซินหลันก็อดส่งเสียงร้องสะอื้นไม่ได้ กล่าวว่าไทเฮา “ไทเฮาท่านตรัสเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ? ท่านต้องอายุยืนเป็นร้อยปี ท่านจะต้องมีชีวิตยืนนานนะเพคะ!”  


 


 


“ข้าตายตอนนี้ไม่ได้แน่นอน” ไทเฮาหรี่ตาพลางพูดว่า “ยิ่งมีคนอยากเห็นข้าตายมากเพียงใด ข้าก็จะไม่ตาย ฮ่องเต้มีอาการไม่สู้ดีนัก ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้แผ่นดินนี้ตกอยู่ในกำมือของสตรีผู้นั้นเด็ดขาด!”  


 


 


สตรีผู้นั้นย่อมหมายถึงฮองเฮา   


 


 


ตอนที่ไทเฮาพูด ต่อให้เป็นเทียนกลางลม ต่อให้อ่อนระโหยโรยแรง แต่ก็ยังฉายแววมีอำนาจอยู่ดี จำต้องยอมรับเลยว่า เป็นมารดาของแผ่นดินมานานหลายปี อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมีชีวิตสุขสบาย ฮองเฮาย่อมเทียบความทรงอำนาจของไทเฮาไม่ได้  


 


 


ถาวจวินหลันก้าวขึ้นไปก้าวหนึ่ง ทำความเคารพไทเฮาทีหนึ่ง “ที่จริงแล้ว หม่อมฉันเข้าวังหลวงมาวันนี้ ก็ด้วยมีเรื่องอยากปรึกษาไทเฮาเพคะ”  


 


 


ไทเฮาเลิกคิ้ว “อย่างนั้นหรือ? เรื่องอะไรหรือ?”  


 


 


คนที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นคนเชื่อใจได้ ถาวจวินหลันจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเอาไว้ แล้วถามออกมาตรงๆ “ไทเฮารู้อาการของฮ่องเต้บ้างหรือไม่เพคะ?”  


 


 


ไทเฮามองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง ก่อนพูดเนิบๆ ว่า “ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้น” แม้ฟังแล้วจะดูเรียบสงบ แต่ความจริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยท่าทีเจ็บปวดและผิดหวัง อย่างไรนั่นก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของไทเฮา ไฉนเลยจะเมินเฉยได้? เพียงแค่ตั้งใจทำให้ดูมีแข็งแกร่งเท่านั้นเอง  


 


 


ถาวจวินหลันถอนหายใจ พยักหน้าเบาๆ “เมื่อวานนี้องค์หญิงเก้าเข้าวังหลวงมา แต่ไม่ได้พบหน้าฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อยเพคะ วันนี้พวกเราเข้าวังหลวงมา แม้แต่ทหารยามที่เฝ้าอยู่ก็เข้มงวดขึ้นไม่น้อย อีกทั้งที่วังของไทเฮาเองก็มีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยเพคะ”  


 


 


พอนางพูดถึงเรื่องนี้ คิดว่าไทเฮาคงเข้าใจความหมายแฝงเป็นแน่  


 


 


ไทเฮากลับไม่แปลกใจ แต่ขมวดคิ้วพูดว่า “ข้ารู้เรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว เจ้ามาพูดเรื่องนี้มีความหมายว่าอย่างไรกัน?”  


 


 


“ไทเฮาทรงถามความหมายของหม่อมฉันหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันถอนหายใจ มองดูสายตาของไทเฮาพลางพูดออกมาเสียงเบา  


 


 


ไทเฮาเม้มริมฝีปากเงียบไป  


 


 


“ถ้าหากครั้งนี้ปล่อยให้ฮองเฮาได้ใจ ไทเฮาอาจจะไม่เป็นอะไร เพราะอย่างไรท่านก็เป็นไทเฮา ฐานะก็เห็นชัดอยู่ แต่จวนตวนชินอ๋องจะเป็นเช่นไร ตระกูลกู้จะเป็นเช่นไรเพคะ? บรรดาขุนนางที่ช่วยฮ่องเต้ลดทอนอำนาจองค์รัชทายาทจะเป็นเช่นไรเพคะ?” ถาวจวินหลันพูดออกมาอย่างโศกเศร้า เสียงไม่ได้ดังมากนัก แต่กลับแฝงความหมายลึกซึ้งตรงใจคนออกมา  


 


 


ไทเฮายิ่งเงียบ ผ่านไปนานถึงถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”  


 


 


“ขอให้ไทเฮาช่วยท่านอ๋องสักครั้งเพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจอีกครั้ง น้ำเสียงจริงใจเป็นอย่างมาก  


 


 


ไทเฮาหัวเราะขมขื่น “เย่เอ๋อร์เป็นหลานชายของข้า หรือว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่หลานชายของข้าเล่า?”  


 


 


“ไม่ปิดบังไทเฮาเพคะ หม่อมฉันกระจายข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นไปแล้ว บรรดาขุนนางมีหน้ามีตา หรือบรรดาพ่อค้าคนทำมาหากินล้วนรู้เรื่องพวกนี้แล้วเพคะ รู้ว่าองค์รัชทายาทอกตัญญูอย่างไร รู้ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงได้ประชวรเพคะ” ถาวจวินหลันยังคงไม่รีบร้อน ค่อยๆ พูดเรื่องนี้อย่างใจเย็น  


 


 


ไทเฮาแสดงสีหน้าตื่นตะลึง ถลึงตามองถาวจวินหลันทั้งโมโหและโกรธ “เจ้าบังอาจนัก!”  


 


 


“หม่อมฉันบังอาจนักเพคะ” ถาวจวินหลันรับคำ จากนั้นก็ค่อยๆ คุกเข่าลงไป ก้มหัวไปทางไทเฮา “หม่อมฉันกล้าบังอาจเพคะ เพื่อท่านอ๋อง เพื่อลูกหญิงชายของหม่อมฉัน หม่อมฉันกล้าเพคะ!”  


 


 


องค์หญิงแปดลุกขึ้นมาก่อน แล้วก็คุกเข่าตามถาวจวินหลัน พร้อมพูดเช่นเดียวกัน “องค์รัชทายาทไร้ศีลธรรม ไม่ควรเป็นผู้สืบทอด หม่อมฉันเห็นด้วยกับการปลดองค์รัชทายาทเพคะ!”  


 


 


ถาวซินหลันก็คุกเข่าลงไปเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ได้พูดสาเหตุเหล่านั้น พูดแค่ว่า “ไทเฮาเพคะ ขอให้ท่านช่วยซวนเอ๋อร์ด้วยเถิดเพคะ! ขอให้ท่านคิดถึงบรรดาคนที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีเช่นพวกหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ!”  


 


 


ไทเฮาหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงเย็น “ดีๆๆ! สมแล้วที่เป็นหลานสาวของข้า สะใภ้ดีจริงๆ! แต่ละคนกล้ากันยิ่งนัก! กล้ามาต่อรองกับข้า! ถาวซื่อ เจ้ามีความสามารถเสียจริง!”  


 


 


ถาวจวินหลันไม่กล้าตอบโต้ เพียงแค่หมอบอยู่กับพื้น หน้าผากสัมผัสกับพื้น หลับตาลงไม่ขยับเขยื้อน นางรู้แต่แรกแล้วว่าหากพูดออกมา ไทเฮาจะต้องโมโหแน่นอน แต่นางไม่พูดก็ไม่ได้ ต่อให้ไม่กล้าพูดก็ต้องพูด  


 


 


แม้ว่าหลี่เย่จะมั่นใจในตนเองมาก แต่นางก็เข้าใจว่าเสาต้นเดียวมิอาจค้ำยันทั้งเรือนเอาไว้ได้ อย่างไรฮองเฮาและองค์รัชทายาทก็เป็นสายเลือดตรง เมื่อหลี่เย่อยู่ต่อหน้าทั้งสอง แม้ว่าเขาจะสูงส่งเป็นถึงชินอ๋อง แต่ก็ถือเป็นขุนนางกบฏ ดังนั้นหลี่เย่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากไทเฮา  


 


 


นางต้องบีบให้ไทเฮาแสดงจุดยืนออกมา นางอยากจะบีบให้ไทเฮามายืนอยู่ข้างหลี่เย่อย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่สนับสนุนอย่างหลบซ่อน นางรู้ดีว่าองค์รัชทายาทเป็นหลานชายของไทเฮาเช่นเดียวกัน แม้นไทเฮาไม่ชอบฮองเฮาก็จริง แต่สำหรับหลานนั้นก็ใช่ว่าจะโหดเ**้ยม  


 


 


ดังนั้นนางต้องบีบไทเฮา ไทเฮาไม่อาจใจอ่อนได้แม้แต่น้อย มิเช่นนั้นเท่ากับว่ารอให้หลี่เย่เผชิญหน้ากับเคราะห์กรรมไม่จบสิ้น หลี่เย่ไม่อาจพูดเรื่องนี้เองได้ และยิ่งไม่อาจทำเองได้ ดังนั้นยกเรื่องนี้ให้นางทำถึงจะเหมาะสม  


 


 


เดิมไทเฮาก็ไม่ชอบนางอยู่แล้ว ยิ่งนางกำเริบเสิบสานแบบนี้ ต่อให้ไทเฮาคิดจะเอาเรื่อง ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว  


 


 


อีกทั้งดูจากซวนเอ๋อร์แล้ว ต่อให้ไทเฮาไม่พอใจนาง ก็ไม่มีทางทำอะไรนางเป็นแน่   


 


 


ไทเฮาว่าไม่ผิด แท้จริงแล้วนางก็กล้าจริง ถือว่ามีความสามารถมากนัก  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม