ลิขิตกลกาล 49-69

 ตอนที่ 49 ตะกละ

 


 


 


ต้วนเฉินเซวียนอยู่ห่างจากพวกนางค่อนข้างไกล ทว่ากลับเห็นพวกนางได้อย่างชัดเจน เขาสวมเสื้อคลุมสีดำเข้ม ทว่าท่ามกลางสีดำสลับขาว อ่อนสลับเข้มนั้น ซูเหลียนอวิ้นจึงหันหน้าไปมองหนานกงมู่เสวี่ยอีกครั้ง ตอนนั้นเองจึงคิดว่าพวกเขาทั้งสองเหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ซูเหลียนอวิ้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ในชาตินี้นางไม่มีโอกาสเข้าใกล้ต้วนเฉินเซวียนมากนัก มิสู้อวยพรให้เขาและหนานกงมู่เสวี่ยในตอนนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนหนานกงมู่เสวี่ยในชาติก่อนที่เคยดูแลตนอยู่บ้าง


 


 


ขอให้พวกเขาทั้งสองคนมีความสุข


 


 


จากนั้นจึงมองคนทั้งสองด้วยสายตา ขอให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน จากนั้นจึงค่อยๆ หลบออกไป


 


 


แต่สิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ก็คือ ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกำลังมองนางอยู่จากอีกด้านหนึ่ง


 


 


สายตาของเขาย่อมเฉียบคมกว่าของซูเหลียนอวิ้น เมื่อเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นแอบมองก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร ทว่าตอนที่มองเห็นสายตาของซูเหลียนอวิ้นชัดๆ อีกครั้ง กลับรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอีก


 


 


 สายตาอะไรของนาง มันหมายความว่าอย่างไร!


 


 


อวยพรเขากับหนานกงมู่เสวี่ยหรือ ยายแมวขนพองตัวนี้หมายความว่าอย่างนี้หรือ ต้วนเฉินเซวียนกำลังจะมองนางอย่างละเอียดอีกครั้ง น่าเสียดายที่คราวนี้ซูเหลียนอวิ้นทิ้งเพียงเงาไว้เบื้องหลังให้เขามองเท่านั้น


 


 


“กลับมาแล้วหรือ” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้นขณะเงยหน้ามองซูเหลียนอวิ้นที่กำลังเดินมาอย่างช้าๆ “คะแนนสุดท้ายของเจ้าให้ผู้ใดไปหรือ พวกเรามาลองเดากันดูหน่อยไหม” หลินเหวินเสี่ยวทำสีหน้าตื่นเต้น เพราะนางคิดว่าคะแนนสุดท้ายที่นางให้ไปนั้น เลือกได้ไม่เลวทีเดียว!


 


 


“ข้าให้คะแนนไปส่งๆ เท่านั้น” ซูเหลียนอวิ้นฝืนยิ้ม “เลยไม่ทันดูว่าให้อันไหนไป แค่ใส่ไปมั่วๆ เท่านั้นเอง”


 


 


เรื่องบางเรื่อง นางมิอาจพูดและไม่อยากพูด เพราะหากพูดออกไปแล้วผู้คนอาจคาดไม่ถึง อีกทั้งตอนนี้ความรู้สึกของนางที่มีต่อหลินเหวินเสี่ยวก็ยังไปไม่ถึงขั้นที่จะไว้ใจนางได้หมดทั้งใจ จึงมิอาจพูดทุกเรื่องราวแก่นางได้


 


 


แต่ความรู้สึกเวลาที่มีเรื่องบางเรื่องอัดอั้นไว้ในใจมิอาจระบายกับใครได้นั้น ช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าตนคงทำได้เพียงค่อยๆ ระงับอารมณ์ลงด้วยตัวเอง ตอนนี้แม้แต่คำพูดเดียวนางก็ไม่อยากจะปริปากพูด


 


 


เมื่อหลินเหวินเสี่ยวเห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทีกังวลใจเช่นนี้ก็ปิดปากเงียบ และคิดว่าคงจะเป็นเพราะอาการตกค้างที่เกิดจากอากาศร้อนเมื่อครู่กระมัง เพราะเมื่อครู่พวกนางยืนรับแสงอาทิตย์ที่แผดเผาร้อนระอุอยู่เป็นเวลานาน ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคงไม่สบายตัวมากทีเดียว นางจึงคิดในใจว่าอยากจะหาของจำพวกน้ำเย็นมาดับร้อนให้ซูเหลียนอวิ้น


 


 


ไม่นานนัก ขันทีก็ได้คิดคะแนนเสร็จเรียบร้อยแล้วประกาศผล


 


 


อันดับแรกจะเป็นของใครไปเสียมิได้นอกจากของหนานกงมู่เสวี่ย ซูเหลียนอวิ้นนั่งฟังการประกาศผลแต่ละอันดับ อืม…ตัวนางนั้นได้ลำดับที่สามสิบสี่? พอไหวน่า อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่อันดับบ๊วยสุด ซึ่งถือว่าใช้ได้มากแล้ว


 


 


แม้เป็นเรื่องธรรมดาเช่นนี้ ก็ทำให้นางพอใจได้


 


 


ทว่าผู้อื่นกลับไม่ได้คิดเช่นเดียวกัน เพราะการแข่งขันประเภทนี้ไม่ว่าจะเป็นครั้งใดซูเหลียนอวิ้นต้องได้อันดับบ๊วยสุดเสมอ! แต่ครั้งนี้กลับมิได้อันดับท้ายสุด? นี่มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ แต่เมื่อมาคิดถึงการให้ทุกคนลงคะแนนอย่างอิสระและค่อยนับคะแนนในตอนท้าย จึงบังเกิดความคิดบางอย่างในหัวแล้วถอนหายใจ


 


 


ต้องเป็นเพราะนางใช้เสน่ห์เพทุบายเป็นแน่ หรือไม่ก็เป็นเพราะใช้ฐานะของนางบังคับให้ผู้อื่นลงคะแนนให้! หาไม่แล้วนางจะต้องอยู่อันดับสุดท้ายแน่นอน!


 


 


ยังดีที่ตำแหน่งที่นั่งของซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่ค่อนไปทางด้านหลัง จึงมีเพียงแค่สายตาไม่กี่คู่เหลือบมองมาเล็กน้อย แต่ก็กล้าเพียงหันมามองคราหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็รีบหลบตาไป ไม่กล้ามองอีก


 


 


เพราะหากมองมาทางด้านนี้ก็จะมีดวงตาสองคู่สี่ลูกตาพร้อมจ้องมองกลับด้วยสายตาสุกใส เป็นการทดสอบว่าผู้ใดบ้างที่จะทนมองต่อไปไหว!


 


 


หลินเหวินเสี่ยวส่งเสียงถอนใจ “คนไม่กี่คนนี้ หากมีฝีมือก็มาสู้กันตัวต่อตัวสิ มาแอบด้อมๆ มองๆ แบบนี้มันได้เรื่องที่ไหนกัน” กล่าวได้ว่าสายตาของหลินเหวินเสี่ยวนั้น หากเทียบกับซูเหลียนอวิ้นที่เป็นฝ่ายโดนจ้องแล้ว ถือว่าร้ายกาจกว่ามากนัก!


 


 


“เหวินเสี่ยว” ซูเหลียนอวิ้นเอียงศีรษะมาแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าหลบตาบ้างก็ได้ นี่ตาเจ้าไม่ล้าบ้างเลยหรือ” นางมองจนรู้สึกล้า เพราะว่าต้องเบิกตากว้างไว้ขนาดนั้น


 


 


“พอไหว” หลินเหวินเสี่ยวกะพริบตา “ไม่ล้าเท่าไหร่”


 


 


ซูเหลียนอวิ้น “…”


 


 


ตามใจนางก็แล้วกัน


 


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นค่อนข้างจะน่าเบื่อ บรรดาสตรีแต่ละนางต่างงัดเอาความสามารถที่โดดเด่นของตนออกมา ไม่ว่าจะเป็นวิชาดีดพิณ หมากล้อม เขียนพู่กันจีนและวาดภาพครบทุกด้าน บรรยากาศของการประลองเต็มไปด้วยความเข้มข้น ทั้งหมดนี้คล้ายเป็นพลังงานลึกลับที่แทบจะกลบความงดงามตระการตาของสีสันภายในงานไป


 


 


ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับมองดูรอบๆ อย่างผ่อนคลาย เพราะอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับนางอยู่แล้วมิใช่หรือ ทั้งยังไม่มีใครมาหาเรื่องนางอีก ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกสบายอารมณ์ เป็นเพราะทุกคนที่อยู่ในการประลองต่างรู้ว่าซูเหลียนอวิ้นทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หากต้องการจะท้าประลองกับใครก็คงไม่เลือกนาง เพราะหากเลือกประลองกับนางแล้ว นั่นจะเท่ากับประลองกับยอดวรยุทธ์ผู้หนึ่ง หากอยากจะประลองก็คงจะไปประลองกับปัญญาชนที่มีร่างกายอ่อนแอพวกนั้นจะดีกว่า


 


 


นางรู้สึกเหมือนว่าตนเป็นพวกที่ชอบรังแกผู้อื่น และพฤติกรรมเช่นนี้ล้วนไม่มีใครอยากเอ่ยถึง เพราะมองแค่ปราดเดียวก็รู้ได้ถึงความในใจที่แฝงอยู่


 


 


ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น นางจึงรู้สึกว่าของว่างในมือของตนยิ่งอร่อยมากขึ้น! เพราะการกินขนมของวังหลวงไปพลาง และเฝ้าสังเกตการณ์สถานการณ์รอบด้านไปพลาง จะมีอะไรเพลิดเพลินไปกว่านี้อีก?


 


 


“เหลียนอวิ้น เจ้าหิวมากเลยหรือ” พอหลินเหวินเสี่ยวเห็นท่าทีของซูเหลียนอวิ้นกินของว่างอย่างเบิกบานใจเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “จานของข้ายังไม่ได้กิน เจ้าเอาไปกินเถิด เมื่อครู่ จู่ๆ ก็มีคนมาท้าประลองดนตรีกับข้า! น่ารำคาญยิ่ง! จะอยู่กันดีๆ ไม่ได้เลยหรือ”


 


 


พอซูเหลียนอวิ้นได้ยินหลินเหวินเสี่ยวพูดดังนี้จึงรีบกลืนของว่างลงคอไปแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถิด ต้องไปซ้อมกับเครื่องดนตรีก่อนมิใช่หรือ แสดงให้ดีๆ ข้าจะคอยให้กำลังใจเจ้าอยู่ด้านล่าง” พูดจบก็ค่อยๆ เลื่อนของว่างที่หลินเหวินเสี่ยวส่งมาให้ตนเมื่อครู่กลับไป


 


 


นางมีความอยากอาหารมากขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า! แค่เมื่อเช้านางรีบมาจนไม่มีเวลากินข้าวเช้าก็เท่านั้น ตอนนี้จึงหิวมาก แต่ถึงแม้ว่ากระเพาะของนางจะใหญ่มากเพียงใด นางก็คงกินของว่างจานใหญ่ทั้งสองจานไม่ลง อีกทั้งหากมีคนเห็นว่าตรงหน้านางมีจานของว่างวางอยู่ถึงสองจาน ต่อไปคงจะขนานนามนางว่าเป็นพวกตะกละอีก! นางเองก็อยากมีชื่อเสียงดีๆ กับเขาบ้างเหมือนกัน


 


 


“เช่นนั้นข้าไปก่อนแล้ว” หลินเหวินเสี่ยวพยักหน้า


 


 


“ไปเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือให้


 


 


จากนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็หันไปเผชิญหน้ากับของว่างที่ตั้งอยู่ตรงหน้าตนต่อ เพราะยังเหลืออยู่อีกครึ่งชิ้น กินครึ่งชิ้นที่เหลือให้หมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน


 


 


ทว่าตอนที่นางกำลังก้มหน้าลงไป ซูเหลียนอวิ้นพลันรู้สึกว่ามีสายตาอาฆาตจ้องตรงมาที่ตนเอง จึงรู้สึกอึดอัด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจึงได้ประสานสายตากับดวงตาคู่นั้น


 


 


หยางอวี้หลิง


 


 


หยางอวี้หลิงเห็นซูเหลียนอวิ้นที่อยู่ด้านล่างกำลังกินอย่างสบายอกสบายใจก็ยิ่งโมโห เป็นเพราะว่านางมีตำแหน่งเป็นกุ้ยเหริน จึงต้องระมัดระวังกิริยาของตนให้มากกว่าสตรีทั่วไป ทุกๆ วันนางกินอิ่มได้เพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น แต่ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่สนใจรอบข้างแล้วกินอย่างสบายอกสบายใจ คงมิใช่ว่าตั้งใจจะยั่วโมโหนางอีกหรอกนะ?




ตอนที่ 50 ประลอง

 


 


 


เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้านั้น ไฟโทสะก็ลุกโชนขึ้นในใจอีกครั้ง นังเด็กต่ำ อย่างไรเสียวันนี้จะต้องจัดการนางให้จงได้!


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ” คิดได้ดังนี้ หยางอวี้หลิงก็กระแอมแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันนั่งอยู่ตรงนี้มานานขนาดนี้แล้ว ความสามารถของคุณหนูคนอื่นหม่อมฉันก็ดูมาหมดแล้ว น่าเสียดายที่ยังไม่มีโอกาสได้ดูความสามารถของคุณหนูซู เพราะอย่างไรงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเวทีแสดงความสามารถ หากคุณหนูซูไม่เข้าร่วม นั่นเกรงว่าคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง”


 


 


เสียงของหยางอวี้หลินไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป ทว่าน้ำเสียงออดอ้อนเช่นนี้ แม้ว่าผู้อื่นจะไม่อยากฟังเท่าไรแต่ก็ยากที่จะไม่ได้ยิน


 


 


ลี่หยวนตี้ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “คุณหนูซู? หมายถึงคุณหนูซูคนไหนหรือ”


 


 


เมื่อหยางอวี้หลินเห็นลี่หยวนตี้สนใจคำยุของตนก็ยิ่งได้ใจ “จะยังมีคุณหนูซูผู้ใดอีกเพคะ ย่อมต้องเป็นคุณหนูซู ซูเหลียนอวิ้น บุคคลผู้มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของเมืองหลวงนี้ ฝ่าบาทไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยหรือเพคะ”


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินผู้ที่อยู่ตรงแท่นประทับด้านบนเอ่ยถึงชื่อนาง ก็เริ่มเกิดความกังวลใจขึ้น จึงรีบเคี้ยวขนมครึ่งชิ้นที่อยู่ในปากตนจนละเอียดแล้วกลืนลงคอไปทันที จากนั้นจึงเช็ดปากแล้วนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น


 


 


แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบเหลือบตามองไปทางด้านนั้น แม่หยางอวี้หลิงผู้นี้คิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีก?


 


 


“ซูเหลียนอวิ้น?” หนานกงจิ่นเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดทบทวน เพราะเป็นชื่อที่เขาคุ้นหูมากทีเดียว


 


 


ขันทีที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบเข้าไปพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาจนได้ยินกันเพียงสองคน “ฝ่าบาท คุณหนูผู้นั้นก็คือคนที่ฮองเฮาทรงประทานกำไลให้ ธิดาของแม่ทัพใหญ่ซูปั๋วชวนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“อย่างนี้เอง” ลี่หยวนตี้พยักพระเศียร พระพักตร์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ” เมื่อหยางอวี้หลิงเห็นว่าลี่หยวนตี้ตรัสเพียงครึ่งประโยคแล้วไม่สนใจตนอีกจึงร้อนใจขึ้นมา “ฝ่าบาทว่าดีหรือไม่เพคะ”


 


 


เกาอู่เตี๋ยหันไปมองหยางอวี้หลิงที่นั่งอยู่ด้านข้างกำลังออดอ้อนบิดตัวไปมาแบบนั้นก็คิดไม่ออกไปชั่วขณะว่าจะพูดอะไรออกไปดี จึงกระแอมเบาๆ คราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หยางกุ้ยเหริน ระมัดระวังกิริยาด้วย ด้านล่างมีรุ่นน้องอยู่มากมาย เจ้าถือเป็นรุ่นพี่ อย่างน้อยก็ควรมีกิริยาในแบบที่รุ่นพี่ควรมีเถิด อีกอย่างการประลองเช่นนี้ ตลอดมามิใช่เจ้าเชิญข้ายินยอมหรือ เหตุใดน้องหยางต้องบีบบังคับให้ผู้อื่นเข้าร่วมเช่นนี้?”


 


 


“ฮองเฮาท่าน…” หยางอวี้หลิงได้ยินเกาอู่เตี๋ยเอ่ยเช่นนี้จึงกัดฟันทองในปากจนแทบแตก


 


 


รุ่นพี่? ฮองเฮาล้อเลียนนางต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้เชียวหรือ อีกทั้งยังเลือกใช้คำว่ารุ่นพี่มาบรรยายนางอีกด้วย! นางยังเป็นสาวอยู่นะ!


 


 


“เอาล่ะ!” เมื่อลี่หยวนตี้เห็นว่าพวกนางทั้งสองเริ่มต่อล้อต่อเถียงกันต่อหน้าพระองค์ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “หยางกุ้ยเหริน ในเมื่อเจ้าอยากประลองกับคุณหนูซู เช่นนั้นก็ให้เจ้าประลองด้วยตัวเองแล้วกัน แต่ผู้ที่จะแสดงความสามารถในครั้งนี้ ล้วนเป็นเพียงคุณหนูที่ยังไม่ได้ออกเรือนทั้งสิ้น”


 


 


เพราะที่นี่ไม่ต่างจากสถานที่สำหรับดูตัวขนาดใหญ่ของหญิงชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน เป็นทั้งที่ประลองความสามารถ สนทนาแลกเปลี่ยนทัศนคติ เรียนรู้นิสัยใจคอของแต่ละคน เมื่อถึงคราที่ต้องแต่งงานจึงสามารถหยิบยกขึ้นมาเอ่ยอ้างได้ว่าตนเคยประลองความสามารถในงานเลี้ยงวสันตฤดูมาแล้ว จนได้ตำแหน่งที่เท่าไรๆ อันถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเอง


 


 


แต่สิ่งที่ลี่หยวนตี้คิดไม่ถึงก็คือ คำพูดที่ตนพูดออกไปอย่างไม่ได้มีเจตนาเมื่อครู่ กลับไปกระทบกระเทือนจิตใจอันบอบบางของหยางอวี้หลิงเข้า


 


 


เพราะเมื่อหยางอวี้หลิงได้ยินดังนั้นแล้ว ความหมายของลี่หยวนตี้ก็คือ ผู้ที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้มีเพียงแม่นางที่ยังไม่ได้แต่งงานเท่านั้น หากสนมที่ผ่านการแต่งงานแล้วมาเข้าร่วมการแข่งขันด้วย…จะไปน่าสนใจอะไร


 


 


ด้วยเหตุนี้ หลังจากสิ้นคำพูดของฮองเฮาที่ว่านางเป็นรุ่นพี่แล้ว ยังมีประเด็นการเหยียดอายุที่หยางอวี้หลิงต้องเผชิญอีก


 


 


หยางอวี้หลิงเพียงรู้สึกว่าตอนนี้เริ่มรักษารอยยิ้มบนหน้าของตนเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เพราะคนที่พูดออกมาเมื่อครู่คือฮ่องเต้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับลี่หยวนตี้


 


 


“ฝ่าบาททรงคิดมากเกินไปเพคะ หม่อมฉันมิได้เป็นผู้เข้าประลองเอง แต่เป็นน้องสาวของหม่อมฉันต่างหากเพคะ หลินเอ๋อร์จะเป็นผู้เข้าประลอง พระองค์ว่าอย่างไรเพคะ”


 


 


“ลองถามคุณหนูซูเอาเถิด” ลี่หยวนตี้ตรัสแบบขอไปที เพราะตลอดมาเขารู้สึกไม่ชอบใจเสียเลยกับการแก่งแย่งชิงดีของสตรี อีกทั้งครั้งนี้เขายังเป็นคนกลางอีกด้วย


 


 


หลังจากนั้น สายตาของเขาก็แอบเหลือบมองไปยังเกาอู่เตี๋ยที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ลี่หยวนตี้จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง


 


 


เพราะว่าเขาเองก็ดูออกว่าเกาอู่เตี๋ยปฏิบัติต่อเด็กผู้นี้ไม่เหมือนคนทั่วไป นั่นคือมีความเอ็นดูมากเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้หยางอวี้หลิงขอร้องเขาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ง่ายสำหรับเขาที่จะปฏิเสธนางอย่างไม่ไว้หน้า อีกทั้งวังหลังกับราชสำนักก็มักจะมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันอยู่เสมอ เพราะอาจจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้ ดังนั้นเขาจึงต้องครุ่นคิดให้ถี่ถ้วน


 


 


“ฝ่าบาทมองหม่อมฉันทำไมหรือเพคะ” เกาอู่เตี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “หม่อมฉันมิได้เป็นผู้ขอร้องพระองค์” เมื่อพูดจบเกาอู่เตี๋ยก็ยืดหลังขึ้นตรงโดยไม่รู้ตัว


 


 


ดูท่าจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว ตอนนั้นลี่หยวนตี้จึงไร้คำพูด


 


 


ช่างเถิดๆ ถึงเวลาก็ให้สาวน้อยผู้นั้นถอนตัวออกไปเท่านั้นเอง หากเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นผลดีต่อทั้งสองคน


 


 


ลี่หยวนตี้คิดดังนั้นจึงตรัสขึ้นว่า “ตามซูเหลียนอวิ้นมาตรงนี้ จะได้ถามนางว่าเต็มใจจะประลองกับคุณหนูหยางหรือไม่”


 


 


บรรดาขันทีที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นก็รีบถอยออกไปเพื่อนำสารที่ได้รับฟังไปส่ง ซูเหลียนอวิ้นจึงถูกเชิญตัวมาด้านหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว


 


 


“ซูเหลียนอวิ้น เจ้ายินดีจะประลองความสามารถกับน้องสาวของหยางกุ้ยเหรินหรือไม่” ลี่หยวนตี้พูดกดดัน ทำให้คนรอบด้านรู้สึกถูกบีบคั้นจนแทบหายใจไม่ออก


 


 


เพราะตอนนี้สิ่งที่ลี่หยวนตี้คิดคือต้องการให้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกถึงภัยเบื้องหน้าแล้วถอยไปเสียเอง หากเป็นเช่นนี้ เกาอู่เตี๋ย หยางอวี้หลิงและตัวเขาเองถึงจะสบายใจขึ้นบ้าง


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเองก็คิดเช่นนั้น เพราะภายใต้สถานการณ์ที่กดดันเช่นนี้ ทุกคนคงคิดอยากจะถอยไปด้วยกันทั้งนั้น


 


 


แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ลี่หยวนตี้คิดก็ดีหรือว่าสิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นทำก็ดี กลับสู้กับคนผู้หนึ่งที่คิดต่างไม่ได้ เพราะตอนนั้นเองที่ซูเหลียนอวิ้นเกือบจะตอบออกไปว่านางคงจะประลองไม่ได้และกำลังจะปฏิเสธแบบมีชั้นเชิงอยู่นั้น คำพูดถากถางก็ลอยมาเข้าหูนาง


 


 


“คุณหนูซู ข้าคิดว่าเจ้าต้องตอบรับแน่ๆ ใช่หรือไม่” หยางอวี้หลิงกะพริบตาปริบๆ “เพราะได้ยินมาว่าในตอนนั้นที่ฮูหยินอันยังอยู่ในวังก็นับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งของเมืองหลวง ทั้งยังเป็นสตรีที่เก่งกาจ คุณหนูซูคงจะได้รับการถ่ายทอดมาจากนางเช่นกันใช่หรือไม่”


 


 


แม้หยางอวี้หลิงจะพูดจาไพเราะ แต่จุดประสงค์ของนางคือต้องการกล่าววาจาดูถูกต่อหน้าทุกคน


 


 


เพราะคนในสมัยนั้น ใครบ้างที่จะไม่รู้ว่าอันเพ่ยอิงเป็นหญิงห้าวเหมือนผู้ชายที่ใช้ชีวิตไปอย่างไร้จุดหมาย แต่วันนี้กลับมาชื่นชมว่านางเป็นสตรีที่เก่งกาจ? ทั้งยังบอกว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง? ถือว่าเป็นการถากถางกันอย่างไม่ไว้หน้า


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเองก็มิใช่คนโง่ ย่อมต้องเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในคำพูดของหยางอวี้หลิง ไฟโทสะจึงลุกโชนขึ้นในทันใด กล้าเอาคนในครอบครัวของนางมาล้อเล่นเชียวหรือ ดูท่าคงจะเตรียมการมาดีแล้วเป็นแน่






ตอนที่ 51 เก็บกด

 


 


 


เกาอู่เตี๋ยเมื่อได้ยินคำพูดของหยางอวี้หลิงก็ขมวดคิ้ว “หยางกุ้ยเหริน เจ้าหมายความว่าอะไร” ถึงอย่างไรอันเพ่ยอิงก็เป็นสหายสนิทของตน แต่วันนี้นางกลับกล้าพูดจาเหน็บแนมต่อหน้าตนเชียวหรือ ช่างกล้าดีเสียจริง


 


 


“ฮองเฮาเพคะ น้องพูดอะไรผิดไปหรือ” หยางอวี้หลิงเอนกายพิงไปด้านหลังแล้วเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล “อันฮูหยินในตอนนั้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในเมืองหลวง น้องพูดอะไรผิด หากน้องพูดผิด ฮองเฮาช่วยบอกน้องได้หรือไม่ว่าคำพูดใดไม่ถูกต้อง” เมื่อหยางอวี้หลิงพูดจบก็เบิกตากว้าง ทำท่าทีราวกับหวาดกลัวและไม่รู้ว่าตนทำสิ่งใดผิด หากคนที่ไม่รู้เหตุการณ์มาเห็นเข้า คงคิดว่านางกำลังถูกผู้อื่นรังแกอยู่เป็นแน่


 


 


ฮองเฮาได้ยินคำพูดนี้ก็ชะงักไป คำพูดเช่นนี้ของหยางอวี้หลิน ชนรุ่นหลังด้านล่างมากมายถึงเพียงนี้ คงมิอาจแยกแยะความผิดถูกของเรื่องนี้ได้ เพราะว่าหากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป ตอนนั้นเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อทั้งสองฝ่ายเสียมากกว่า


 


 


อกของเกาอู่เตี๋ยสั่นกระเพื่อมไปด้วยแรงโทสะ


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยคมหอกคมดาบด้านบนสงบลงจึงรีบเอ่ยปากขึ้นว่า “พระสนม พวกเราไม่พูดเรื่องนี้ได้หรือไม่เพคะ เมื่อครู่ที่เรียกหม่อมฉันมามีเรื่องจะสั่งสอนหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ มิทราบว่าจะสั่งสอนหม่อมฉันเรื่องใด”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยิ้มกว้างแต่ไม่เสียกิริยา ชุดสีแดงต้องลมที่กำลังพัดไหวเบาๆ จนเริ่มโบกสะบัด นางเหยียดหลังตรงและยืนนิ่งไม่ไหวติง เมื่อรวมกับการแต่งหน้าของนางในวันนี้แล้ว จึงดูแข็งแกร่งราวกับดอกบ๊วยที่ไม่สะท้านต่อลมหนาวยะเยือก[1]


 


 


เมื่อหยางอวี้หลิงเห็นท่าทางของนางที่สง่างามเช่นนั้นก็กัดฟัน ตอนนี้เจ้าพยายามให้เต็มที่ไปก่อนเถิด เจ้ามันก็แค่หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก[2] เท่านั้น อีกประเดี๋ยวข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะแสร้งทำแบบนี้ไปได้อีกสักกี่น้ำ


 


 


“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นน้องสาวข้า คิดว่าคุณหนูคงรู้จักใช่หรือไม่” พอพูดถึงตอนท้ายก็กัดฟันกรอด ดูท่าแล้วคงให้ความสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นอย่างมาก


 


 


แต่ก็ถูก เรื่องนั้นเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่ว่าในเมืองหลวงคงจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องนี้ ทำเอาในวันแรกๆ หยางอวี้หลิงต้องหลบอยู่หลายวันจนกว่าเรื่องจะซาลง เพราะจะอย่างไรก็พี่น้องกัน เรื่องดีหรือเสื่อมเสียล้วนต้องรับด้วยกัน


 


 


“หลินเอ๋อร์ เจ้าออกมาเถิด” หยางอวี้หลินกวักมือเป็นการส่งสัญญาณให้หยางอวี้หลินปรากฏตัวออกมา


 


 


หยางอวี้หลินเองก็เฝ้าฟังเหตุการณ์อยู่นานแล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นหยางอวี้หลิงกวักมือ จึงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก้าวเดินอย่างระมัดระวังมายังด้านหน้า “ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮาและหยางกุ้ยเหรินเพคะ”


 


 


หากมิกล่าวถึงเรื่องนี้คงจะไม่ได้ ไม่รู้ว่าต้นเหตุเกิดมาจากเหตุการณ์ในวันนั้นหรืออย่างไร ตอนนี้หยางอวี้หลินถึงได้มีกิริยาเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังมีท่าทีสงบนิ่ง ท่วงท่าการพูดจาสง่างาม แต่หากมองโดยรวมแล้วค่อนข้างจะหมองหม่นไปสักหน่อย ราวกับไม่ใช่หญิงสาวในช่วงวัยนี้


 


 


“เป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน เจ้าจะมากพิธีรีตองไปทำไมกัน” หยางอวี้หลิงฉีกยิ้ม เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ก็แอบสะใจ ดูท่าแล้วบิดาของนางคงสั่งสอนน้องไปไม่น้อยหลังจากเหตุการณ์วันนั้น แม้ว่าน้องเล็กจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากไม่น้อย แต่ก็นับว่าเป็นผลดี เพราะถือว่าเป็นการปรับปรุงนิสัยของนางอีกครั้งหนึ่ง


 


 


“เรื่องราวระหว่างเด็กๆ อย่างพวกเจ้า ก็ให้พวกเจ้าเป็นผู้ตัดสินเองก็แล้วกัน หลินเอ๋อร์ เจ้าลองปรึกษากับคุณหนูซูดูเถิดว่าพวกเจ้าจะประลองอะไรกัน”


 


 


หยางอวี้หลินหันตัวมา ก้มหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสงบว่า “เช่นนั้นให้คุณหนูซูเป็นฝ่ายเลือกดีหรือไม่ แขกย่อมต้องว่าตามที่เจ้าของบ้านสะดวก คุณหนูซูจะเลือกอะไรก็เอาอันนั้นก็แล้วกัน”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นจ้องมองหยางอวี้หลินที่อยู่ตรงหน้านางด้วยความรู้สึกประหลาดใจ นางกลับไม่กลัวหากหยางอวี้หลินจะเป็นฝ่ายโวยวายเข้ามาหาเรื่องนางก่อน เพราะผู้เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีจะแสดงข้อบกพร่องออกมา ตอนนี้หยางอวี้หลินมีท่าทางสงบเงียบเช่นนี้ ทำให้ยากที่ผู้อื่นจะหาจังหวะลงมือได้


 


 


เพราะอย่างไรแล้วหมาที่กัดคนมักจะไม่เห่าก่อน ท่าทีสงบเงียบของนางทำให้ในหัวของซูเหลียนอวิ้นเกิดสัญญาณเตือนบางอย่างขึ้น


 


 


“แต่หม่อมฉันไม่เชี่ยวชาญเรื่องใดเลยเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นแบมือแล้วหันหน้าไปพูดกับลี่หยวนตี้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่มีความสามารถอะไรเลยเพคะ มิสู้ให้หม่อมฉันยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ ให้หม่อมฉันกลับเถิดเพคะ”


 


 


ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย ภายใต้สถานการณ์ที่ศัตรูอยู่ในที่ลับแต่ตนอยู่ในที่แจ้งนั้น ซูเหลียนอวิ้นขอเลือกที่จะต่อสู้อย่างรอบคอบจะดีกว่า เพราะตั้งแต่ได้กลับมาเกิดในชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใดหากไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน นางไม่เคยบุ่มบ่ามลงมือเลย แม้ว่าตอนนั้นนางจะกล้าลงมือกับหยางอวี้หลิน นั่นก็เป็นเพราะว่านางสบโอกาสที่จะลงมือรวมทั้งเป็นเพราะฐานะของตัวนางด้วย แต่ตอนนี้เรื่องราวกลับข้องเกี่ยวกับพระสนมของฮ่องเต้? นางจึงมิอาจบุ่มบ่ามได้


 


 


นางมองไปยังลี่หยวนตี้ สีพระพักตร์ดูลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในตอนนี้แม้ว่าผู้อื่นจะพูดมากเท่าใดก็สู้คำพูดของลี่หยวนตี้เพียงประโยคเดียวไม่ได้ เพราะเขาต่างหากที่เป็นผู้มีอำนาจตัดสิน ตอนนี้คงต้องรอดูแล้วว่าลี่หยวนตี้จะตัดสินพระทัยอย่างไร


 


 


“ฝ่าบาท เมื่อครู่พระองค์ทรงรับปากหม่อมฉันแล้วนะเพคะ พระองค์จะทรงผิดคำพูดไม่ได้ ผู้คนด้านล่างตั้งมากมายจับตาดูอยู่นะเพคะ” หยางอวี้หลิงหันไปพูดกับซูเหลียนอวิ้นต่อว่า “คุณหนูซูเหตุใดถึงกังวลเช่นนี้เล่า แค่การแข่งขันสนามเล็กๆ ก็เท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


คำพูดที่ลี่หยวนตี้เตรียมจะตรัสต่อไปนั้นจำต้องกลืนลงไปกะทันหัน เพราะที่หยางอวี้หลิงพูดก็มิผิด เขาเป็นโอรสสวรรค์ คำพูดของโอรสสวรรค์ต้องมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เมื่อครู่เขารับปากนางแล้วจริงๆ อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายเช่นนี้ เขาคงไม่สามารถผิดคำพูดได้เสียแล้ว


 


 


“เอาเช่นนั้นก็ได้เพคะ” ซูเหลียนอวิ้นสูดหายใจเข้าลึกๆ “ทว่าตามที่หม่อมฉันได้กราบทูลไปแล้ว หม่อมฉันไม่มีความสามารถใด หวังว่าเมื่อถึงตอนประลองคุณหนูหยางจะออมมือให้กับหม่อมฉันบ้าง เพื่อไม่ให้หม่อมฉันเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้อื่น”


 


 


หยางอวี้หลินเงยหน้าขึ้น คราวนี้ซูเหลียนอวิ้นเห็นชัดเจนถึงแววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง


 


 


เรื่องราวที่ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ก็คือ ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้นกับหยางอวี้หลิน นางจำต้องหลบอยู่แต่ในเรือนเล็กๆ ของตัวเอง เพราะหากนางคิดจะออกไปที่ใดก็ตาม เมื่อก้าวออกจากประตูเรือนไปได้เพียงก้าวเดียว ก็จะโดนบรรดาคนรับใช้แอบหัวเราะเยาะนาง


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นเพราะเรื่องนี้ ทำให้ซูปั๋วชวนเริ่มพูดขัดผลประโยชน์หยางเกิ่งรั่ง หยางเกิ่งรั่งจึงโยนความผิดทั้งหมดไปที่หยางอวี้หลิน โดยทำโทษนางด้วยการกักบริเวณเป็นเวลาสามเดือน หากไม่ได้เป็นเพราะงานฉลองวสันตฤดูครั้งนี้ นางคงยังต้องอยู่ในเรือนหลังเล็กๆ ของนางและไม่ได้ก้าวออกสู่โลกภายนอกแม้แต่ก้าวเดียว


 


 


เรื่องที่บังเอิญยิ่งไปกว่านั้นคือ…วันต่อมาหยางอวี้ฉินพี่ชายของนางโดนลากกลับมาส่งที่เรือน โดยมีท่าทางหวาดผวาคล้ายตระหนกตกใจกลัวอะไรบางอย่าง เอ่ยวาจาซ้ำไปซ้ำมาว่าไม่กล้าอีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของหยางอวี้หลิน ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เช่นนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ยิ่งเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจของหยางอวี้หลินมากขึ้นไปอีก


 


 


มารดาของหยางอวี้หลินเองก็แค้นเคืองนางมากเช่นกัน เพราะหากเปรียบเทียบลูกชายกับลูกสาวแล้ว แน่นอนว่าลูกชายย่อมสำคัญกว่ามาก ตอนนี้ลูกชายก็มากลายเป็นแบบนี้ไปเสียอีก โดยมีต้นเหตุมาจากลูกสาวที่ไร้ประโยชน์ อีกทั้งด้วยฐานะของนางที่กำลังจะมีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นฮูหยินใหญ่ก็เป็นไปได้ยากมากขึ้นไปอีก ดังนั้นในใจของนางจึงยิ่งทวีความชิงชังหยางอวี้หลินมากขึ้น


 


 


 


 


——


 


 


[1] ดอกบ๊วยที่ไม่สะท้านต่อลมหนาวยะเยือก หมายถึง ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจ


 


 


[2] หมูตายจึงไม่กลัวน้ำร้อนลวก หมายถึง ไม่กลัวอันตรายตรงหน้า เหมือนกับหมูที่ตายแล้วจึงไม่กลัวโดนน้ำร้อนลวก




ตอนที่ 52 เดินหมาก

 


 


 


เมื่อตกอยู่ในภาวะบิดาไม่ถนอมมารดาไม่รักเช่นนี้ หยางอวี้หลินจึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว


 


 


ยกตัวอย่างเช่น หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในอดีต แล้วคนที่อยู่ในเหตุการณ์ยังกล้าที่จะยืนยิ้มและพูดคุยกับนางอยู่อีกละก็ นางคงพุ่งเข้าไปตะบันหน้าคนผู้นั้นเรียบร้อยไปแล้ว คงไม่ยืนสงบนิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนี้เป็นแน่


 


 


“เช่นนั้น หม่อมฉันคงได้แต่แสดงความขายหน้าเสียแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่มีความสามารถอะไรเลย ให้คุณหนูหยางเป็นฝ่ายเลือกไม่ดีกว่าหรือเพคะ เพราะสำหรับหม่อมฉันไม่ว่าจะประลองอะไรก็เหมือนกัน หม่อมฉันหวังว่าคุณหนูหยางจะเลือกการแข่งขันที่ไม่ยากจนเกินไปนัก”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยกมุมปากยิ้ม คำพูดของนางนั้นน้ำไม่รั่วแม้สักหยดเดียว[1]


 


 


ในเมื่ออีกฝ่ายยังคงโกรธแค้นนางอยู่ จึงถือว่าจัดการได้ไม่ยากนัก เพราะหากอีกฝ่ายไม่คาดหวังสิ่งใด นางเองก็คงไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาจุดอ่อนเพื่อชิงลงมือได้จากที่ใด ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[2] นางจึงขอรับมือกับปัญหาทีละเรื่องก็แล้วกัน


 


 


“ในเมื่อคุณหนูซูเอ่ยเช่นนี้ หม่อมฉันขอเลือกการแข่งหมากล้อมดีหรือไม่ แม้ว่าคุณหนูซูจะเป็นคนที่ไม่มีความสามารถพิเศษใดสักอย่าง แต่อย่างน้อยก็น่าจะเดินหมากเป็นกระมัง” หยางอวี้หลินยิ้ม จากนั้นจึงคว้าเอาป้ายที่มีตัวอักษรสะกดว่า ‘หมากล้อม’ มาไว้ในมือ


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง สุดท้ายแล้วก็เป็นไปตามที่นางคาดเดาไว้แปดถึงเก้าส่วนจากสิบส่วน


 


 


เพราะแม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วหยางอวี้หลินจะหยิ่งผยอง แต่ระดับความสามารถด้านหมากล้อมและดนตรีกลับไม่เลวนัก ซูเหลียนอวิ้นพนันว่าการประลองครั้งนี้นางจะต้องเลือกแสดงสิ่งที่เป็นความชำนาญของตนออกมา ซึ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาไว้


 


 


เพราะหากประชันกันด้วยดนตรีคงยากที่จะตัดสินแพ้ชนะได้ หากหยางอวี้หลินต้องการจะกลั่นแกล้งนาง ก็ต้องเลือกการแข่งขันที่คนสองคนสามารถแข่งขันและตัดสินกันได้ง่าย


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ตกลงเพคะ แต่หม่อมฉันอยากจะขอร้องสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” นางหันไปกราบทูลกับลี่หยวนตี้ “หม่อมฉันขอไปดูผู้อื่นว่าแข่งขันกันอย่างไรก่อน จากนั้นจึงค่อยมาแข่งขันกับคุณหนูหยางได้หรือไม่เพคะ”


 


 


ลี่หยวนตี้ได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าเป็นเพียงคำขอร้องเพียงเล็กน้อย อีกทั้งไม่อยากหักหน้านางอีกครั้ง เท่าที่นางยอมร่วมประลองในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นการฝืนใจนางมากแล้ว เมื่อครู่ซูเหลียนอวิ้นเองก็กล่าวหลีกเลี่ยงและปฏิเสธไปหลายต่อหลายครั้ง เขากลับมิตกลง ครั้งนี้หากยังคงปฏิเสธนางอีกคงจะดูไม่ดีอย่างแน่นอน


 


 


ถึงอย่างไรไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป[3] อีกอย่างซูเหลียนอวิ้นเองก็เป็นถึงธิดาของแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องคุ้มครองแผ่นดิน จะไม่ไว้หน้าเลยได้อย่างไร ทว่ายามคิดถึงนิสัยเสียๆ ของซูปั๋วชวนแล้ว ลี่หยวนตี้กลับรู้สึกปวดขมับขึ้นมา เพราะเกรงว่าพรุ่งนี้คนผู้นั้นจะมาเข้าเฝ้าเขาเพื่อพูดถึงเรื่องนี้อีก นั่นยิ่งจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายกันไปใหญ่


 


 


“ความต้องการนี้ของเจ้า เราย่อมไม่ว่าอะไร เราเห็นว่าเบื้องหน้าพวกเจ้าคล้ายว่ามีกระดานหมากล้อมตั้งอยู่ พวกเจ้าก็รอให้พวกเขาแข่งเสร็จก่อนเถิด เมื่อพวกเขาประลองกันจบ พวกเจ้าสองคนค่อยประลองต่อจากเขาเถิด”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นทำความเคารพลี่หยวนตี้ จากนั้นจึงเดินช้าๆ ไปยังด้านหลังของผู้ที่กำลังเดินหมากทั้งสองแล้วเฝ้ามองพวกเขาอย่างตั้งใจ


 


 


หยางอวี้หลิงที่อยู่ด้านบนเมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยใส่ใจของซูเหลียนอวิ้นเช่นนั้น ใจของนางก็กระตุกวูบ เจ้าเด็กนี่มิใช่กำลังแสร้งโง่อยู่กระมัง นางคงมิได้…


 


 


จะเป็นไปได้อย่างไร! หยางอวี้หลิงสะบัดหน้าราวกับต้องการจะขับไล่ความคิดไร้สาระนั้นทิ้งไป


 


 


แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยได้ยินว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นผู้มีความสามารถด้านศิลปะหมากล้อม หากเป็นเช่นนั้นจริงจะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน อีกอย่างสำหรับคนทั่วไปแล้ว หากมีความสามารถเพียงเล็กน้อยก็คงจะรีบหยิบออกมาคุยโว แต่เหตุใดนางจึงเก็บเงียบได้ถึงเพียงนี้หยางอวี้หลิงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางซูเหลียนอวิ้นอีกปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว และเห็นนางเอามือลูบคาง ราวกับว่ากำลังเพ่งพินิจมองคนสองคนนั้น แต่ก็มิได้มีท่าทางครุ่นคิดแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้นางจึงวางใจลงได้บ้าง


 


 


นางเองก็หาเรื่องไม่สบายใจมาให้ต้องขบคิดอยู่ทุกวัน ความสามารถด้านหมากล้อมของหลินเอ๋อร์เป็นอย่างไรนั้น ตัวนางเองก็รู้อยู่แก่ใจ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นที่หนึ่งแต่ก็โดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ด้วยเหตุนี้ยังจะต้องกังวลใจอะไรอีกเล่า ตอนนี้เพียงรอดูเรื่องน่าขันก็เพียงพอแล้ว


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยางอวี้หลิงก็หยิบถ้วยน้ำชาตรงหน้าขึ้นมาจิบคำหนึ่งแล้วเหลือบมองไปทางซูเหลียนอวิ้น อีกประเดี๋ยวคอยดูเถิดว่ายังจะวางท่าสบายอกสบายใจอยู่ได้อีกหรือไม่!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเฝ้ามองดูการแข่งขันอย่างจริงจัง ทว่าหากผู้อื่นเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางคงคิดว่านางแสร้งทำเป็นเข้าใจเท่านั้น เพราะจะมีใครเล่าที่มองผู้อื่นเล่นหมากล้อมไปพลางยิ้มไปพลางเช่นนี้ ทุกคนควรต้องมีท่าทีเคร่งขรึมมิใช่หรือ


 


 


ทั้งสองคนยังคงจดจ่อสมาธิกับกระดานหมากล้อมตรงหน้า โดยไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบกาย แต่น่าเสียดายที่ชั้นเชิงในเกมของพวกเขาห่างชั้นกันเกินไป ไม่นานเท่าไรจึงรู้ผลแพ้ชนะ


 


 


ชายผู้สวมใส่ชุดเขียวประสานมือคารวะพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชี้แนะ ข้าน้อยเป็นฝ่ายแพ้ ทว่าระหว่างเดินหมากกลับได้รับความรู้มากมาย”


 


 


ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ลุกขึ้นเช่นกัน พลันจัดชุดของตนให้เข้าที่พลางเอ่ยกลับว่า “ศิลปะหมากล้อมนี้เป็นความสามารถที่ต้องช่วยกันฝึกฝน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะล้วนไม่สำคัญ เมื่อพี่ชายรู้สึกว่าได้รับประโยชน์ไม่น้อย เช่นนั้นเท่ากับว่าเราทั้งสองต่างไม่เสียเปล่าที่ได้ประลองฝีมือกันเมื่อครู่”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองบุรุษทั้งสองที่กำลังโต้ตอบกันตามมารยาทอยู่ตรงหน้า ก็เม้มปากเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว คำพูดในสนามก็เท่านั้น ใครก็พูดได้ แต่นางกำลังคิดอยู่ว่าหากนางกับหยางอวี้หลินแข่งเสร็จแล้วจะเป็นอย่างไร จะพูดโต้ตอบกันเช่นนี้?


 


 


อืม…จะว่าไปแล้วก็รู้สึกว่าน่าขนลุกอยู่ไม่น้อย


 


 


ต้วนเฉินเซวียนสังเกตเห็นซูเหลียนอวิ้นตั้งแต่ในตอนที่นางลุกขึ้นมาแล้ว เพราะซูเหลียนอวิ้นในวันนี้แตกต่างจากวันอื่นๆ มากนัก


 


 


ความรู้สึกของซูเหลียนอวิ้นที่มีต่อเขานั้น ใช่ว่าเขาจะไม่รับรู้ อาจกล่าวได้ว่าหากมีผู้ใดแสดงความรู้สึกของตนออกมาเช่นนี้ คนที่อยู่ตรงหน้าย่อมรับรู้ได้ อีกอย่างความรู้สึกของซูเหลียนอวิ้นนั้นก็แสดงออกมาอย่างกระจ่างชัด มองปราดเดียวก็สามารถเข้าใจทะลุปรุโปร่งถึงความคิดทั้งหมดของนางได้


 


 


ทว่าซูเหลียนอวิ้นในช่วงนี้กลับไม่เหมือนเช่นในอดีต ต้วนเฉินเซวียนใช้นิ้วมือเคาะไปบนที่วางแขนเก้าอี้ กิริยาของเขาเช่นนี้ทำให้ผู้พบเห็นไม่อาจคาดเดาความหมายที่ชัดเจนได้


 


 


เพราะหากเป็นเหมือนเช่นสมัยก่อน ในสถานที่เช่นนี้ต่อให้ซูเหลียนอวิ้นไม่สามารถอยู่กับเขาได้อย่างเปิดเผย นางก็คงจะคิดหาวิธีให้อยู่ใกล้เขามากที่สุด แต่วันนี้กลับเลือกที่จะอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลเขา แล้วยังสายตาที่นางใช้มองเขาเมื่อครู่นี้อีก คงมิได้หมายความว่านางจะถอดใจจากเขาแล้วกระมัง


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ หว่างคิ้วของต้วนเฉินเซวียนพลันมีประกายยิ้มเยาะเย็นชาพาดผ่านสายหนึ่งอย่างอดไม่ได้…ช่างเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาเสียจริง


 


 


“พี่ต้วน ทางด้านนั้นทำอะไรกันอยู่หรือ ข้าเห็นท่านมองด้านนั้นตลอดเวลา รวมทั้งคนรอบข้างก็ยังพากันมองไปยังด้านนั้นด้วย” หันชิงอวี่หันหน้ามา คายเปลือกเมล็ดแตงในปากออกแล้วเอ่ยถามขึ้น “น่าเสียดายที่นั่งไกลไปหน่อยเลยมองหน้าไม่ค่อยถนัด แต่ก็ยังพอดูออกว่าเป็นสาวงาม ข้าพูดถูกหรือไม่”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็เลิกคิ้วพลางเอ่ยว่า “ของกินอุดปากเจ้าไม่อยู่หรือ จะเป็นสาวงามหรือไม่หาได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า ในเมื่อเจ้าสนใจนางถึงเพียงนี้ เจ้ามิแต่งกับนางไปเลยเล่า”


 


 


 


 


——


 


 


[1] น้ำไม่รั่วแม้สักหยดเดียว อุปมาว่า มิดชิด ไม่มีช่องโหว่


 


 


[2] ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน เปรียบถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้


 


 


[3] ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป หมายถึง เห็นแก่หน้าบุคคลที่สาม จึงให้ความช่วยเหลือและให้อภัย





ตอนที่ 53 ป้องกัน

 


 


 


 


“ข้าจะไปกล้าได้อย่างไรเล่า” หันชิงอวี่บ้วนเมล็ดที่เหลืออยู่ในปากออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงโบกมือแล้วเอ่ยขึ้น “อีกอย่างข้าพอใจที่จะมองหญิงงามจากระยะไกล หาได้ต้องการแต่งงานไม่ แค่ชื่นชมไกลๆ ก็พอแล้ว แค็กๆ”  


 


 


เดิมทีหันชิงอวี่อยากพูดออกมาให้จบประโยคว่า ชื่นชมเพียงไกลๆ ก็พอได้ แต่มิบังอาจนำมาเชยชมชิดใกล้ เป็นเพราะเขาเห็นสายตาของต้วนเฉินเซวียนที่เย็นชามากขึ้นทุกขณะ เขาก็เริ่มเข้าใจบางอย่างขึ้นมา จึงรีบหุบปาก สมแล้วที่เป็นคนของต้วนเฉินเซวียนมานาน จึงวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างเฉียบขาด… 


 


 


ต้วนเฉินเซวียนถอนใจอย่างไม่แยแส จากนั้นก็ไม่สนใจหันชิงอวี่อีก สายตาของเขาจับจ้องไปยังซูเหลียนอวิ้นเท่านั้น 


 


 


หันชิงอวี่เมื่อเห็นต้วนเฉินเซวียนไม่พูดอะไรและไม่ได้จะหาเรื่องตนต่อ เขาจึงรู้สึกคลางแคลงใจขึ้นมา เพราะเขาไม่เคยเห็นต้วนเฉินเซวียนให้ความสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ…แม้กระทั่งคนก็ตาม 


 


 


อีกประการหนึ่ง การจัดงานเลี้ยงในวังเช่นนี้ ขอเพียงต้วนเฉินเซวียนไม่ชิงหลับไปเสียก่อนก็นับว่าดีมากแล้ว เขาเคยให้ความสนใจอะไรจริงจังขนาดนี้เชียวหรือ นี่มันช่าง… 


 


 


“พี่ต้วน ท่านว่าข้าเข้าไปดูใกล้ๆ ดีหรือไม่” หันชิงอวี่กระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยถามขึ้นเพื่อลองใจ “คือข้าเองก็อยากรู้ไม่น้อยเช่นกัน ท่านไม่สะดวกเข้าไปแต่ข้าสะดวก หรือว่าพี่ต้วนไม่อยากรู้เลย?” 


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้ว กวาดสายตามายังหันชิงอวี่ที่นั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างระแวดระวัง เป็นเวลาเนิ่นนาน จนกระทั่งหันชิงอวี่รู้สึกว่าหลังที่ตั้งตรงของเขาเริ่มเมื่อยล้าแล้ว ต้วนเฉินเซวียนถึงจะเอ่ยคำสองคำขึ้นอย่างเย็นชา “ไม่ต้อง” 


 


 


 เขามองเห็น 


 


 


“เอ่อ เช่นนั้นก็ได้ พวกเรานั่งดูจากตรงนี้ก็ได้” หันชิงอวี่ตอบด้วยท่าทีไม่จริงจัง ทว่าในตอนนั้นกลับรีบมองไปทางต้วนเฉินเซวียนแล้วเอ่ยต่อขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ท่านดู ท่านดู ข้าไม่ดูหรอก ข้านั่งกินผลไม้ก็พอแล้ว ข้าจะกินไปเรื่อยๆ พี่ต้วนตั้งใจดูไปเถิด” ระหว่างที่เขาพูดก็ค่อยๆ หลุบศีรษะต่ำลงเล็กน้อย และไม่เอ่ยวาจาใดอีกพลางกินผลไม้ต่อ 


 


 


“คุณหนูซู เชิญ” หยางอวี้หลินผายมือไปยังเบาะรองนั่ง “เมื่อครู่คุณหนูซูได้ดูวิธีการเล่นมานานพอควรแล้ว พอเข้าใจขึ้นบ้างแล้วกระมังว่าเล่นอย่างไร คงไม่ต้องให้มีใครคอยสอนถึงวิธีนั่งว่าต้องนั่งตรงไหนหรือนั่งอย่างไร” หยางอวี้หลินใช้น้ำเสียงถากถางพร้อมยิ้มเย้ยหยัน 


 


 


เห็นทีคงอดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้วสิท่า ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า เช่นนั้นก็ดี การปล่อยนางไว้เฉยๆ สักพักนั้นได้ผล ตอนนี้นางคงสะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว ถึงได้พูดจาไม่ไว้หน้าตนอีกต่อไป 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยิ้มแล้วเอ่ยกลับว่า “คุณหนูหยางพูดมีเหตุผล ตัวข้าเฝ้าดูมานานพอควรแล้ว มารยาทพวกนี้อย่างไรก็ต้องสังเกตเห็นบ้าง” กล่าวจบก็จัดชายกระโปรงแล้วนั่งคุกเข่าลงอย่างสง่างามบนเบาะรองนั่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหยางอวี้หลินที่ยังคงยืนอยู่แล้วเอ่ยว่า “เหตุใดคุณหนูหยางยังยืนอยู่อีกเล่า คงมิได้เป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป จนลืมไปว่าต้องทำอย่างไรต่อกระมัง นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้” พูดจบจึงหัวเราะเบาๆ สองที น้ำเสียงของนางเยาะเย้ยถากถางรุนแรงเสียยิ่งกว่าน้ำเสียงของหยางอวี้หลินเสียอีก หากไม่ยับยั้งไว้บ้างแล้วก็คงจะหนักกว่านี้ 


 


 


หยางอวี้หลินได้ฟังดังนั้น จึงใช้สายตาจ้องเขม็งไปยังซูเหลียนอวิ้นอย่างโกรธเกรี้ยว ทว่าคล้ายรู้ตัวจึงค่อยๆ คลายท่าทีของตัวเองลงอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดคุณหนูซูต้องรีบร้อนด้วย”  


 


 


ค่อยๆ เล่นถึงจะสนุกมิใช่หรือ 


 


 


เมื่อเอ่ยจบหยางอวี้หลินจึงนั่งลงบนเบาะรองนั่งอย่างระมัดระวัง แล้วมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่มีท่าทีผ่อนคลาย ตอนนั้นแววตาของนางปรากฏความเย็นชา ปล่อยให้ได้ใจตอนนี้ไปก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวจะคอยดูว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร 


 


 


การนั่งคุกเข่านั้นไม่เหมือนกับการนั่งอย่างทั่วไป นั่งเพียงประเดี๋ยวเดียวนั้นไม่เป็นไร แต่หากเป็นผู้ที่ไม่ชำนาญและไม่คุ้นชินกับการนั่งคุกเข่ามาก่อน เพียงครู่เดียวจะรู้สึกว่าขาของตนปวดเมื่อยอ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง พอถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้น แม้แต่จะเดินก็คงจะเดินไม่ไหวอย่างแน่นอน 


 


 


หยางอวี้หลินสังเกตท่านั่งของซูเหลียนอวิ้น ดูท่าแล้วคงมิใช่ผู้ที่นั่งท่านี้เป็นประจำอย่างแน่นอน ทนเพียงครู่หนึ่งนั้นไม่ยาก แต่หากต้องทนนานๆ เข้า สุดท้ายข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร เพราะในอดีตไม่เคยมีใครลุกขึ้นมาพักระหว่างเดินหมากอยู่ หากซูเหลียนอวิ้นเป็นผู้ริเริ่มก็คงจะสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว 


 


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ หยางอวี้หลินจึงคิดวางแผนให้การแข่งขันหมากล้อมกระดานนี้ลากยาวไปสักสองชั่วยาม เช่นนั้นจึงจะสามารถชำระแค้นที่อยู่ในใจของนางได้ 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเมื่อเห็นสายตาที่ตื่นเต้นกระตือรือร้นและกระหายการแข่งขันของหยางอวี้หลิน นางก็ไร้ซึ่งคำพูด ตอนนี้คิดวางแผนใดอีก นางเองก็เฝ้ารอคอยเช่นกัน 


 


 


“ฝ่ายสีดำจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แทนที่คุณหนูซูจะให้ใครเลือกสีใด มิสู้คุณหนูซูเลือกสีดำไปเลยดีหรือไม่” หยางอวี้หลินพยายามซ่อนรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่ตรงมุมปาก แล้วยื่นกล่องใส่หมากสีดำให้กับซูเหลียนอวิ้น 


 


 


“ตกลง เช่นนั้นข้าขอขอบคุณความปรารถนาดีของคุณหนูหยาง” ซูเหลียนอวิ้นก็มิได้ลังเล ในเมื่อให้นางเป็นฝ่ายเริ่ม แล้วนางจะมีเหตุผลอะไรไปปฏิเสธได้? นางจึงนำเอากล่องหมากสีดำมาไว้ที่ตนด้วยท่าทางสำรวม 


 


 


ขันทีที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นพวกนางมีรอยยิ้มซ่อนมีดเช่นนี้ที่ศีรษะของเขาก็ปรากฏเม็ดเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้น เนื่องจากสตรีทั้งสองนางนี้ เขามิอาจทำให้ฝ่ายใดระคายใจได้เลย เมื่อเห็นพวกนางเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงรีบประกาศให้การแข่งขันหมากล้อมเริ่มต้น 


 


 


 


 


 


มือขวาของซูเหลียนอวิ้นหยิบหมากขึ้นมาตัวหนึ่ง แต่แสดงท่าทีคล้ายกับไม่รู้ว่าจะเริ่มเดินอย่างไรดี ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มวางหมากตัวแรก 


 


 


เมื่อหยางอวี้หลินเห็นท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ของนางเช่นนี้ ตนจึงรู้สึกวางใจลงได้บ้าง คิดได้ดังนี้จึงวางหมากตัวที่สองลงไป 


 


 


ทว่าในระหว่างที่ทั้งสองผลัดกันเดินเช่นนี้ หยางอวี้หลินก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ซูเหลียนอวิ้นผู้นี้จะบอกว่าตนไม่มีความสามารถอะไรสักอย่างเลยได้อย่างไร เพราะตอนนี้ปรากฏชัดเจนว่านางเล่นหมากล้อมเป็น! ตอนนั้นเองจึงรีบเงยหน้าขึ้นมองซูเหลียนอวิ้นที่ยังคงมีท่าทางสบายอกสบายใจตรงหน้า หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้…?  


 


 


หยางอวี้หลินตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ 


 


 


เพียงป้องกันแต่มิโจมตี? ทุกการวางหมากของซูเหลียนอวิ้นได้ล้อมนางเอาไว้ทั้งหมดและใช้กลยุทธ์ป้องกันในการเดินหมาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตนจะชนะได้อย่างไร 


 


 


เมื่อคิดดังนี้แล้ว หมากที่อยู่ในมือก็ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ 


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหยางอวี้หลินมีท่าทีลังเลที่จะวางหมาก ก็เดาได้ว่านางจะต้องเกิดความคิดบางอย่างขึ้นแล้ว จึงเอ่ยปากถามว่า “เหตุใดจึงไม่เดินต่อเล่า” นางกะพริบตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง 


 


 


เฮอะ ใครกันที่บอกว่าซูเหลียนอวิ้นไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง หากเป็นวิชาดีดพิณ วาดรูปพวกนั้นอาจกล่าวได้ว่านางไม่มีความรู้ใดเลย แต่หากเป็นวิชาหมากล้อม พูดไปแล้วก็คงจะต้องทำให้ใครบางคนต้องหมดหวัง 


 


 


เมื่อชาติก่อนผู้ที่สอนวรยุทธ์ให้นาง มิได้สอนเพียงวรยุทธ์ แต่ยังสอนวิชาด้านอื่นให้นางอีกด้วย แม้จะเป็นเพียงความรู้งูๆ ปลาๆ เท่านั้นก็ตาม 


 


 


ในตอนนั้นอาจารย์ผู้ที่สอนวิชาให้แก่นางก็ได้แต่ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ในตอนนี้เจ้าเรียนเพียงวิธีป้องกันก็พอแล้ว เพราะแม้ว่าเจ้าจะได้เรียนวิชาการโจมตีไปก็คงยังมิได้ใช้ มิสู้เรียนเคล็ดลับการป้องกันจะดีกว่า เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ เจ้าจะได้เอาตัวรอดพ้นภัยกลับมาได้” 


 


 


ชาติที่แล้วซูเหลียนอวิ้นมิได้ใส่ใจนัก เรียนป้องกันก็เรียนป้องกัน เพราะถึงอย่างไรนางเองก็ไม่มีความสนใจในวิชาการโจมตีอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว 


 


 


อีกอย่างหากพิจารณาถึงความเคารพนับถือของนางต่อคนผู้นั้นแล้ว นางยิ่งมิกล้าโต้ตอบอะไร แต่เมื่อลองคิดทบทวนอีกทีในวันนี้ คำพูดของคนผู้นั้นกลับแฝงความหมายลึกซึ้งมาตั้งแต่แรกแล้ว 





ตอนที่ 54 เป็นลม (ยามสอง)

 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหลับตาทั้งสองข้างของตนลง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เปิดเผยความรู้สึกของตนออกไป เนื่องจากเรื่องราวในอดีตที่ผุดขึ้นในใจของตน ตอนนี้นางจะต้องรวบรวมสมาธิไปยังหมากกระดานนี้ต่างหาก


 


 


แม้จะรู้ว่าควรทำเช่นไร แต่ก็ไม่อาจข่มใจให้สงบลงได้ เพราะนับตั้งแต่ที่นางกลับมาเกิดใหม่ นางยังไม่มีเวลากลับไปเยี่ยมท่านอาจารย์เลย และตอนนี้นางเองก็ไม่แน่ใจแล้วว่าท่านอาจารย์ยังจำตนได้อยู่หรือไม่


 


 


ส่วนหยางอวี้หลินในตอนนี้กลับมิได้คิดอะไรมากนัก หรืออาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์บีบคั้นนาง ดังนั้นนางจึงมิอาจคิดถึงเรื่องอื่นใดได้ในตอนนี้


 


 


เมื่อนางเห็นการเดินหมากแต่ละครั้งของซูเหลียนอวิ้น นางก็มิอาจห้ามใจมิให้ร้อนรนได้ เพราะเดิมทีนางคิดว่าตนจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีสิทธิ์จะเอาชนะกันได้ทุกเมื่อ ทั้งยังใช้วิธีการเช่นนั้นปั่นหัวนาง แล้วจะให้นางนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร


 


 


ความแค้นเก่าใหม่ผสมปนเปเข้าด้วยกัน หยางอวี้หลินยิ่งอยากจะเอาชนะหมากกระดานนี้ให้ได้เสียเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นรอยยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มีของซูเหลียนอวิ้น เพราะนั่นยิ่งถือเป็นการปลุกปั่นความรู้สึกของนางมากขึ้นไปอีก


 


 


มือซ้ายของหยางอวี้หลินกำแน่น เป็นเช่นนี้อีกแล้ว เป็นเช่นนี้อีกแล้ว


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่สนใจสิ่งใด นางมีท่าทีเปิดเผยและไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติใดๆ แต่กลับไม่มีผู้ใดพูดอะไร และไม่มีผู้ใดว่ากล่าวอะไรนางด้วย เรื่องราวบนโลกใบนี้เหตุใดจึงอยุติธรรมถึงเพียงนี้ ทั้งที่เห็นๆอยู่ว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นสตรีที่ไม่รักษาเกียรติของตน วิ่งตามบุรุษไปทั่ว เหตุใดหลังจากเกิดเรื่องราวขึ้น ผู้ที่ได้รับการลงโทษกลับเป็นตนเองไปได้ คงมิใช่เป็นเพราะว่านางเป็นธิดาของเรือนใหญ่ ส่วนตนเป็นธิดาเรือนเล็กหรอกนะ หรือจะเป็นเพราะบิดาของซูเหลียนอวิ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องแผ่นดิน ดังนั้นจึงสามารถเปลี่ยนสีดำให้กลายเป็นสีขาวได้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกคนบนแผ่นดินนี้ต่างมีอคติและใช้อำนาจบาตรใหญ่


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกำลังหลุบตาต่ำ หากนางรู้ว่าตอนนี้ในใจของหยางอวี้หลินกำลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่ นางจะต้องคิดว่าคนผู้นี้ใกล้เสียสติเต็มทีแล้ว ภายในหนึ่งวันคิดอะไรได้มากมายเพียงนี้เชียว? ใต้หล้านี้ยังมีสตรีที่มีเกียรติสูงส่งกว่านางอีกมากมาย อย่างนั้นแล้วจะให้นางใช้ชีวิตอยู่ด้วยความอิจฉาเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร


 


 


อีกอย่างพ่อแม่ของนางยังไม่เคยตำหนิอะไรนาง เหตุใดคนนอกอย่างเจ้าต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย มือของเจ้านั้นยาวเกินไปหน่อยหรือไม่ และเรื่องที่นางทำไปขัดผลประโยชน์ของใครหรือ เอาแต่โทษฟ้าโทษดินเช่นนี้มิสู้เอาเวลาไปคิดว่าอาหารมื้อเย็นวันนี้จะได้กินอะไรไม่ดีกว่าหรือ


 


 


หยางอวี้หลินจ้องมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่าหมากกระดานนี้ฝ่ายได้เปรียบคือหยางอวี้หลิน! แต่เหตุใดซูเหลียนอวิ้นยังยิ้มออกมาได้อีก มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้นางกล่าวเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องชนะให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม มิเช่นนั้นใจอาฆาตของนางคงจะบีบให้นางกลายเป็นบ้าได้


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองเข้าไปยังดวงตาสับสนคู่นั้นของผู้ที่อยู่ตรงข้ามตน จากนั้นจึงไม่รู้ว่าตนควรดีใจหรือว่าสลดใจดี


 


 


การแข่งขันครั้งนี้ หากไม่เกิดเรื่องผิดคาดขึ้น นางจะต้องเป็นฝ่ายชนะแน่


 


 


ซูเหลียนอวิ้นรู้ซึ้งถึงความสามารถด้านหมากล้อมของตนเป็นอย่างดี หรืออาจจะกล่าวได้ว่าค่อนข้างรู้ นางรู้ตัวดีว่าตนมีความสามารถมากน้อยเพียงใด มิควรดูถูกตนเองอย่างเด็ดขาดและก็มิอาจประเมินค่าตนจนสูงเกินไป


 


 


นางรู้ดีว่าด้วยความสามารถที่ตนมีคงทำได้เพียงป้องกันเท่านั้น มิอาจใช้โจมตีได้ และหากใช้วิธีนี้ต่อไปจะเอาชนะกันได้อย่างไร อย่างมากก็คงทำได้เพียงแค่เสมอกันเท่านั้น


 


 


อีกอย่างคำโบราณยังกล่าวไว้ว่า การโจมตีเท่านั้นถึงจะเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด


 


 


ที่นางตั้งใจวางท่าไม่ใส่ใจ ทั้งยังยุแหย่หยางอวี้หลิน   นั่นเป็นเพราะนางหวังว่าจะสามารถปลุกปั่นหยางอวี้หลินให้เสียสมาธิได้ เพราะมีเพียงวิธีการนี้เท่านั้น นางถึงจะมีโอกาสกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ


 


 


ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหยางอวี้หลินเริ่มมีทีท่ากระสับกระส่ายขึ้นมา นางจึงรู้แน่แล้วว่า แผนการของตนประสบผลสำเร็จ


 


 


สิ่งที่ผู้ลงแข่งขันประลองหมากล้อมหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือความว้าวุ่นใจ ไร้สมาธิ ทว่าในยามนี้หยางอวี้หลินกลับหลีกเลี่ยงสิ่งที่อันตรายนั้นไม่พ้น


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพยายามที่จะข่มอารมณ์ของตนและหายใจให้เป็นปกติ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ หากการประลองยังไม่สิ้นสุด นางก็มิควรย่ามใจจนเกินไปนัก


 


 


ตะวันช่วงต้นคิมหันต์เริ่มลอยสูง ในตอนแรกเพียงแสงส่องลงมาช้าๆ แต่ตอนนี้กลับสาดแสงแผดจ้าจนร้อนเร่าเป็นร้อยเท่าพันทวี เพียงครู่เดียว หยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ก็ผุดขึ้นที่ข้างแก้มของหยางอวี้หลินและหยดลงสู่พื้นอย่างช้าๆ


 


 


หยางอวี้หลินยกแขนเสื้อของตนขึ้นมาซับเหงื่อ เดิมทีนางตั้งใจเอาไว้ว่าจะแข่งต่อไปอีกสักหนึ่งชั่วยาม ใครเลยจะคิดว่าซูเหลียนอวิ้นกลับไม่เป็นอะไรเลย แต่นางกลับร้อนจนแทบจะทนไม่ได้ ทว่าตอนนี้นางขึ้นหลังเสือยากจะลงแล้ว เมื่อมองเห็นท่าทางผ่อนคลายของซูเหลียนอวิ้น หยางอวี้หลินก็กัดฟันกรอด แล้วคิดว่าตนยังทนไหวอยู่


 


 


ในความเป็นจริงแล้วแม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะยังดูผ่อนคลาย แต่ที่จริงแล้วนางเองกลับรู้สึกทุกข์ทรมานมากเช่นกัน เพราะตอนนี้อากาศร้อนอบอ้าวอย่างยิ่ง แถมนางยังนั่งคุกเข่าอยู่อีกด้วย


 


 


แต่คนอย่างนางนั้น ในชาติก่อนมีความโดดเด่นที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง นั่นก็คือความสามารถในการอดทนอดกลั้น


 


 


ซูเหลียนอวิ้นในอดีต เพื่อต้วนเฉินเซวียนแล้วมีเรื่องใดบ้างที่นางไม่เคยทำ เรื่องใดบ้างที่ไม่ต้องอดทน


 


 


ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าอากาศร้อนเพียงเท่านี้ นางมิได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้หากยังทนไม่ได้ จะไม่ผิดต่อชื่อเสียงของตนเองในอดีตที่เคยขึ้นชื่อว่าไล่ตามจีบต้วนเฉินเซวียนถึงห้าปีหรือ


 


 


เวลาถึงห้าปี นางได้โยนเกียรติและศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงทิ้งไปหมดสิ้น ทั้งยังต้องทนต่อสายตาเย็นชาและถ้อยคำเยาะเย้ยถากถางมากมาย การกระทำเย็นชาที่นางต้องเผชิญทุกครั้งมิได้ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยใจหรือถอดใจเลยแม้สักครั้ง ดังนั้นอุปสรรคเล็กน้อยเพียงเท่านี้จะให้นางก้มหัวยอมแพ้ได้อย่างไร นั่นไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน


 


 


หากจะแข่งความอดทนอดกลั้น เช่นนั้นก็เลือกคนได้ถูกต้องแล้ว


 


 


ตอนนี้หยางอวี้หลินรู้สึกว่าบริเวณข้อเท้าของตนเจ็บปวดอย่างยิ่ง ทั้งดวงอาทิตย์เหนือศีรษะของตนก็ยิ่งแผดเผาจนนางเริ่มหน้ามืด แต่พอคิดว่าตนอดทนมาได้นานเพียงนี้แล้ว หากยอมแพ้ สิ่งที่ลงแรงไปก่อนหน้าทั้งหมดก็คงเปล่าประโยชน์? ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะอดทนต่อไป


 


 


หลังจากที่ฝืนอดทนต่อมาอีกเป็นเวลาครึ่งก้านธูป ขณะที่หยางอวี้หลินกำลังจ้องมองหมากทุกตัวบนกระดานอยู่นั้น ร่างกายของนางก็เริ่มสั่นไหว สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด


 


 


นั่นเป็นลางว่านางกำลังจะพ่ายแพ้ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร หยางอวี้หลินขบริมฝีปากของตัวเองแน่น แววตาของนางคล้ายกำลังขบคิดสิ่งใดอยู่


 


 


“โอ๊ย!” ทันใดนั้นเองหยางอวี้หลินก็ร้องดังขึ้น จากนั้นจึงเป็นลมล้มฟุบไปกับพื้น


 


 


เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างก็ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก เพราะเมื่อครู่สถานการณ์ยังปกติอยู่ เหตุใดจู่ๆ จึงมีคนเป็นลมไปได้ ทว่านิ่งอึ้งอยู่เพียงครู่เดียว ต่างก็พากันวิ่งเข้าไปประคองหยางอวี้หลินเพื่อนำออกไปไว้ที่อื่น


 


 


“ช้าก่อน! คุณหนูหยางเพิ่งจะหมดสติไป อย่าเพิ่งรีบร้อนเคลื่อนย้ายนางจะดีกว่า เพราะหากอาการของนางแย่ลง นั่นอาจจะเป็นเพราะพวกเจ้ากระทำการโดยพลการ” ซูเหลียนอวิ้นรีบเอ่ยขึ้นทันที


 


 


เหล่าขันทีเมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเช่นนี้ จึงเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะหากให้เลือกขัดใจผู้ที่ยังมีสติอยู่ในตอนนี้กับผู้ที่เป็นลมล้มพับไปแล้วนั้น พวกเขาควรเชื่อฟังผู้ที่ยังมีสติอยู่น่าจะดีกว่า ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้สตินั้น…อย่างไรเสียก็ยังไม่ฟื้นมิใช่หรือ


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นมองไปยังหยางอวี้หลินที่นอนตัวอ่อนปวกเปียกอยู่บนเบาะนั่ง สายตาของนางพลันปรากฏแววถากถาง


 


 


ทำไมหรือ…ไม่อยากแพ้จนถึงขั้นต้องแสร้งเป็นลมล้มพับไปเช่นนี้? วางแผนเอาไว้ดีเกินไปหน่อยกระมัง


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ!” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นรูปการณ์ดังนี้จึงลุกขึ้นอย่างสงบแล้วเอ่ยปาก “ฝ่าบาท คุณหนูหยางผู้นี้ตั้งใจจะหนีการประลองเพคะ! คนอยู่ดีๆ จะเป็นลมไปได้อย่างไรกัน คงมิได้เป็นเพราะดูออกว่าตนกำลังจะเป็นฝ่ายแพ้? จึงชิงเป็นลมไปเสียก่อน”




ตอนที่ 55 รังแก

 


 


 


หยางอวี้หลินที่อยู่ด้านล่างเมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นกล่าวเช่นนี้ ขนตาของนางจึงเริ่มสั่นไหว เดิมนางตั้งใจว่าเหล่าขันทีและนางในจะประคองนางออกไป เพื่อที่นางจะได้แก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าพอให้รอดไปได้ก่อน ใครเลยจะคิดว่าแม่ซูเหลียนอวิ้นตัวแสบนี่จะห้ามมิให้เหล่าขันทีแตะต้องนางเล่า หรือคิดจะปลุกนางให้ตื่นขึ้นตรงนี้เลยหรือ


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางอวี้หลินก็พยายามผ่อนคลายร่างกายของตนแล้วหลับตาแน่น เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะจับพิรุธได้


 


 


เมื่อลี่หยวนตี้เห็นละครฉากนี้ก็ไม่รู้จะตรัสว่าอย่างไรดี เพราะตอนนี้อีกฝ่ายก็เป็นลมลงไปแล้ว ขืนยังบีบคั้นเช่นนี้ต่อไป…


 


 


“ไปตามหมอหลวงมา ส่วนคุณหนูรองหยางก็อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายโดยพลการอย่างที่คุณหนูซูว่า ทั้งหมดต้องรอให้หมอหลวงมาถึงก่อนแล้วค่อยตัดสินว่าจะทำอย่างไรก็แล้วกัน” ลี่หยวนตี้รับสั่งอย่างเด็ดขาด


 


 


อันที่จริงการแสร้งเป็นลมถือว่าเป็นการถ่วงเวลา ในวังหลวงแห่งนี้ถือเป็นวิธีที่ไม่น่าเลื่อมใสสักเท่าไร ลี่หยวนตี้จึงหาได้กังวลใจแม้แต่น้อย และการที่หยางอวี้หลินเลือกที่จะเป็นลมลงไปต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ คงเพราะนางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วกระมัง


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ!” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทมิทรงใช้โอกาสนี้ประกาศผลไปเลยว่าผู้ใดเป็นผู้ชนะ? หม่อมฉันคิดว่าควรใช้โอกาสที่คุณหนูหยางยังอยู่ตรงนี้รีบประกาศผล เพราะขืนชักช้า คุณหนูหยางคงต้องนอนอยู่ตรงนี้ต่อไปเป็นแน่” ซูเหลียนอวิ้นก้าวขึ้นไปข้างหน้าครึ่งก้าว สายตาของนางส่องประกายวิบวับขณะกราบทูล


 


 


หากปล่อยให้หยางอวี้หลินถูกนำตัวออกไปทันที ซูเหลียนอวิ้นกล้าฟันธงเลยว่าเมื่อนางตื่นขึ้นมา คนผู้นี้จะต้องกล่าวปฏิเสธเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ และคงจะบอกว่าลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น หรือไม่คงอ้างว่าหมากยังคงเดินไม่จบจะนับคะแนนได้อย่างไร สุดท้ายแล้วก็จะไม่มีใครพูดถึงผลแพ้ชนะของการประลองหมากล้อมครั้งนี้อีก


 


 


โอกาสทองมาถึงมิควรปล่อยผ่าน เพราะหากผ่านไปแล้วมิอาจหวนกลับ


 


 


ในเมื่อหยางอวี้หลินเต็มใจที่จะนอนอยู่ต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย ซูเหลียนอวิ้นก็คงมิได้มีสิ่งใดจะตำหนิ แต่หากนางต้องการจะเอาตัวรอดจากการแข่งขัน ซูเหลียนอวิ้นก็คงมิอาจปล่อยนางไปได้


 


 


ลี่หยวนตี้เมื่อเห็นท่าทีดื้อรั้นหัวแข็งของซูเหลียนอวิ้น ความตึงเครียดจึงเริ่มบังเกิดขึ้นในใจเขา เพราะท่าทางของนางในตอนนี้คล้ายคลึงกับเกาอู่เตี๋ยในสมัยแรกรุ่นไม่ผิดเพี้ยนที่ไม่หวาดหวั่นต่อเรื่องราวใดๆ ซื่อตรงเสียจนทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นความคิดอ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


 


 


ดังนั้นแม้ว่าท่าทางของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ออกจะไม่สุภาพอยู่บ้าง แต่ก็มิได้ทำให้ลี่หยวนตี้ตำหนินาง แถมยังกวักมือเรียกขันทีที่อยู่ข้างกายเข้ามาหาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปดูสิว่าหมากกระดานนั้นผลแพ้ชนะเป็นอย่างไร จากนั้นค่อยมารายงานข้า”


 


 


ขันทีไม่มีทีท่าเคลือบแคลงสงสัยและตอบรับคำอย่างหนักแน่น จากนั้นจึงถอยออกไปอย่างระมัดระวังเพื่อตรวจสอบหมากกระดานนั้น


 


 


เมื่อหยางอวี้หลิงที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็จิกกระโปรงของตนไว้แน่น


 


 


หลินเอ๋อร์แพ้แล้วหรือ…เป็นไปไม่ได้!


 


 


แต่จากท่าทางของซูเหลียนอวิ้น ดูแล้วทำให้คิดได้ว่าผลเป็นเช่นนั้น มันคือท่าทางของคนที่มั่นใจว่าตนจะเป็นฝ่ายชนะ ส่วนหลินเอ๋อร์ก็เป็นลมไปเสียดื้อๆ หากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ นางก็คงจะไม่เชื่อ


 


 


หยางอวี้หลิงมองไปยังขันทีด้านล่างที่กำลังง่วนอยู่กับการนับคะแนนทีละแต้ม เสียงขานแต้มที่ดังขึ้นทีละแต้ม ไม่ต่างกับเสียงหัวใจของนางที่กำลังเต้นระรัวอยู่ในตอนนี้ เร็วขึ้นเรื่อยๆ กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ความจริงที่นางไม่อยากรับรู้


 


 


ไม่ได้ เรื่องจะจบลงอย่างนี้ไม่ได้!


 


 


หยางอวี้หลินคลายมือทั้งสองของตน กระโปรงที่สวยงามหรูหราตัวนั้นปรากฏรอยเหงื่ออยู่สองแห่ง นางเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ! ไม่ว่าหลินเอ๋อร์จะเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ควรจะนำตัวนางไปพักผ่อนก่อนนะเพคะ ปล่อยให้นางตากแดดมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้นางจะทนไหวได้อย่างไร ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาน้องสาวของหม่อมฉันด้วยเพคะ”


 


 


หยางอวี้หลิงพูดไปร้องไห้ไปด้วยท่าทีที่น่าเห็นอกเห็นใจอยู่ไม่น้อย ทว่าลี่หยวนตี้กลับจ้องมองไปทางซูเหลียนอวิ้นอย่างเปิดเผย ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่นางกำลังพูด ทั้งยังเมินเฉยต่อภาพที่สวยงามราวดอกสาลี่เปื้อนฝน[1]ภาพนี้ด้วย


 


 


เมื่อหยางอวี้หลิงเห็นรูปการณ์ดังนี้ก็ยิ่งร้อนใจ พร้อมทั้งหันไปทางซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูซู! นี่เป็นการแข่งขันแค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้น ขอให้ยุติไว้เท่านี้เถิด เจ้ามิต้องพยายามหาเรื่องอีกต่อไปแล้ว!”


 


 


ถ้อยคำที่นางพูดไปทั้งหมดนั้นเพียงเพื่อต้องการให้หลินเอ๋อร์ออกไปจากสนามประลองไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม นางไม่อาจคอยให้ถึงเวลาประกาศผลแพ้ชนะได้ ความพ่ายแพ้นั้นหาได้น่ากลัวไม่ สำหรับผู้ที่ออกปากท้าทาย แต่ท้ายที่สุดแล้วถ้าตนต้องกลายเป็นผู้พ่ายแพ้เสียเอง นั่นละที่น่าอับอายขายหน้าเป็นที่สุด


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเมื่อเห็นท่าทางของหยางอวี้หลิงที่เศร้าสลดราวกับน้องสาวของนางได้ลาโลกใบนี้ไปแล้ว ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “หยางกุ้ยเหรินล้อเล่นแล้วกระมัง หม่อมฉันไหนเลยจะกล้าเอาชีวิตของคนมาล้อเล่น คำกล่าวหาที่หยางกุ้ยเหรินให้หม่อมฉันนั้นร้ายแรงเกินไปแล้วเพคะ” สายตาของซูเหลียนอวิ้นเย็นเฉียบ จ้องตรงไปยังหยางอวี้หลิง แต่เลี่ยงที่จะเอ่ยถึงประเด็นที่อีกฝ่ายจะหาเรื่องออกจากสนาม


 


 


“คุณหนูซู! การกระทำของเจ้าในครานี้ บีบคั้นผู้อื่นมากเกินไปหรือไม่ ตอนนี้คุณหนูรองหยางก็เป็นลมล้มพับไปแล้ว คุณหนูซูจะไม่ยอมละเว้นบ้างเลยหรือ”


 


 


ผู้ใด? ผู้ใด…เป็นคนพูด?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหันมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาต้นเสียงของบุรุษผู้นั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายได้มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าตนแล้ว


 


 


 “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าการกระทำครั้งนี้ของคุณหนูซูไร้น้ำใจเกินไปพ่ะย่ะค่ะ และควรให้คุณหนูหยางออกจากสนามไปพักผ่อนโดยเร็ว”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหรี่ตา พยายามอย่างยิ่งที่จะมองให้ชัดว่าบุรุษผู้นั้นคือใคร


 


 


หันหงไท่? กงการอะไรของเขา? สอดมือเข้ามาข้องเกี่ยวเพื่อ?


 


 


สรุปแล้วตอนนี้อารมณ์ของซูเหลียนอวิ้นอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง นางต้องฝืนทนนั่งคุกเข่าอยู่ตลอดครึ่งชั่วยาม และขณะที่ผลการประลองที่นางเป็นฝ่ายชนะกำลังจะประกาศออกมา กลับมีอันต้องยกเลิกไปราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น เพียงเพราะหยางอวี้หลินหมดสติไปอย่างนั้นหรือ ทั้งยังมีคนที่พยายามไกล่เกลี่ยเรื่องราวให้นางยอมเลิกรา จนเสียเรื่องไปหมด นั่นยิ่งบีบคั้นจิตใจนางยิ่งนัก


 


 


ตั้งแต่ซูเหลียนอวิ้นได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นางตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ยอมให้ตนต้องทนรับความไม่เป็นธรรมอะไรอีก แม้ว่านางจะทำอะไรพระสนมของฮ่องเต้ไม่ได้ ทว่าสำหรับบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีอย่างหันหงไท่แล้ว นางยังพอลงมือได้บ้าง


 


 


จากนั้นนางจึงยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวว่า “คุณชายหัน ท่านก้าวก่ายมากเกินไปหรือไม่ เรื่องนี้ข้องเกี่ยวอะไรกับท่านด้วยหรือ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูหยาง ท่านถึงได้เป็นทุกข์เป็นร้อนแทน?” เมื่อเอ่ยจบ สายตาของทั้งคู่ยังคงจ้องมองกันและกัน


 


 


หันหงไท่เองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าสตรีอย่างซูเหลียนอวิ้นจะกล้านำเรื่องนี้มาเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน แถมยังพูดจาโดยไม่มีมูลอีกด้วย เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยโทสะว่า “คุณหนูซูระวังคำพูดด้วย อย่าคิดว่าผู้อื่นจะเป็นแบบเดียวกับเจ้า!” เขาเอ่ยคำพูดนี้เพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่าความคิดของซูเหลียนอวิ้นนั้นไม่บริสุทธิ์


 


 


“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นข้าขอถามคุณชายหัน ในเมื่อท่านบอกว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณหนูหยาง แล้วด้วยเหตุใดจึงต้องออกหน้าแทนนางด้วย ประเด็นนี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก”


 


 


“ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม หากเห็นสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งกำลังถูกรังแกต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ จะยังมีเหตุผลใดให้ต้องนิ่งเฉยด้วยเล่า”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ดอกสาลี่เปื้อนฝน หมายถึง ท่าทีที่งดงามน่าทะนุถนอมของสตรี 

 

 


ตอนที่ 56 เยาะเย้ย

 

“เช่นนั้นหรือ” ซูเหลียนอวิ้นเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ยอย่างดูแคลน “อย่างนั้นข้าขอถามคุณชายหัน เมื่อครู่ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด พอจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนจะพูดหรือไม่”


 


 


หันหงไท่คิดไม่ถึงว่าซูเหลียนอวิ้นจะถามขึ้นเช่นนี้ แต่ยังเอ่ยตอบไปตามตรงว่า “เป็นเพราะข้าได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดชัดเจน ข้าจึงเข้ามาห้ามปราม! คุณหนูซู ตอนนี้คุณหนูรองหยางเป็นลมไปแล้ว แต่เจ้ายังกัดนางไม่ยอมปล่อย ใจคอเจ้าโหดร้ายยิ่งนัก”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองจากมุมไกลๆ แล้วเห็นการวางทีท่าสง่าสุขุมของหันหงไท่ ในท้องของนางจึงบังเกิดระลอกความคลื่นไส้ขึ้นมา


 


 


น่าขยะแขยงยิ่งนัก!


 


 


สง่าน่าเกรงขาม? บุรุษผู้ปกป้องสตรีเพศ?


 


 


เช่นนั้นขอถามหน่อยว่าเมื่อครู่ที่หยางอวี้หลิงบังคับซูเหลียนอวิ้นให้ลงสนามนั้น เหตุใดคนที่อยู่ด้านล่างจึงไม่มีผู้ใดเอ่ยค้านสักคำ ตอนนี้แสร้งทำเป็นคนดี หากมีคนคัดค้านเสียแต่แรกนางก็ไม่ต้องลงสนาม และไม่ต้องเป็นลมล้มพับอยู่อย่างนี้


 


 


“คุณชายหันรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด คุณหนูรองหยางถึงเป็นลมล้มพับอยู่บนนี้” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นถามด้วยแววตาเย็นเฉียบ


 


 


“ฤดูร้อนที่อากาศร้อนถึงเพียงนี้ ไม่ว่าผู้ใดนั่งอยู่ตรงนี้นานๆ ก็คงจะทนไม่ไหวทั้งนั้น อีกอย่างคุณหนูรองหยางเดิมทีก็มีร่างกายอ่อนแอ” หันหงไท่ขมวดคิ้วแน่น มองไปยังสตรีที่เป็นลมอยู่บนเวทีอย่างกังวลแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


หยางอวี้หลินที่เป็นลมอยู่บนเวทีเมื่อได้ยินหันหงไท่พยายามปกป้องตนเช่นนั้น ในใจของนางพลันบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ เพราะใจของนางตลอดมามีเพียงต้วนเฉินเซวียนเพียงผู้เดียวเท่านั้น และไม่เคยสนใจคุณชายใหญ่หันมาก่อน ทว่าตอนนี้หันหงไท่กลับชายสายตาจริงใจและดูเป็นกังวลมองมาที่นาง ทำให้หัวใจของนางเต้นอย่างไม่เป็นระส่ำยากที่จะควบคุมได้ หยางอวี้หลินกำลังคิดว่า ชายผู้นี้แอบชอบนางมาตลอด…ใช่หรือไม่


 


 


“หึ…” ซูเหลียนอวิ้นแค่นหัวเราะ “จากที่คุณชายหันกล่าว ข้าเองก็นั่งตากแดดตรงนี้มาเป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้วเช่นกัน เหตุใดข้าจึงมิเป็นลมไปด้วยเล่า ข้าเองก็เป็นหญิงอ่อนแอเช่นกัน ไม่เห็นคุณชายหันพูดแทนข้าบ้าง นั่นคงจะเป็นเพราะข้ากับคุณหนูรองหยางนั้นเป็นคนละคนกัน คุณชายใหญ่หันว่าถูกต้องหรือไม่”


 


 


ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเช่นนี้ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วหัวเราะเบาๆ


 


 


ต้องถูกสิ เป็นสตรีอ่อนแอเหมือนกัน เหตุใดอีกคนเป็นลมแต่อีกคนกลับไม่เป็นอะไร? แถมตอนที่อีกฝ่ายเป็นลมตนเองก็เป็นฝ่ายได้เปรียบด้วย


 


 


กำลังจะตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่กลับเป็นลมไปกะทันหัน


 


 


ซูเหลียนอวิ้นไม่รอให้หันหงไท่ได้พูดอะไรต่อก็เอ่ยว่า “เมื่อครู่ที่ข้าถามคุณชายใหญ่หันว่า เพราะเหตุใดคุณหนูรองหยางจึงเป็นลม ดูเหมือนคุณชายหันยังตอบไม่ตรงคำถาม เพราะคนที่ทำให้นางเป็นลม มิใช่คนอื่น ทั้งยังมิใช่ข้า และมิใช่พระอาทิตย์ที่สาดแสงแรงกล้า แต่กลับเป็นคุณชายใหญ่หันเองต่างหาก! เป็นท่านที่ทำให้นางเป็นลม” ซูเหลียนอวิ้นพยายามกลั้นหัวเราะ ในสายตาปรากฏแววเยาะเย้ยถากถาง


 


 


หันหงไท่เลิกคิ้วขึ้น “คุณหนูซูกำลังพูดถึงอะไร ต่อให้เป็นการพูดเหลวไหล ก็ควรมีเหตุผลมาอธิบายสักหน่อยได้หรือไม่”


 


 


“ให้ข้า…หาเหตุผลหรือ” ซูเหลียนอวิ้นก้าวเข้าไปข้างหน้า จนไปหยุดอยู่ตรงหน้าหยางอวี้หลิน จากนั้นจึงหันตัวกลับมา แล้วเอ่ยวาจาถากถางหันหงไท่ว่า “คุณชายใหญ่หัน ที่ท่านเอ่ยเมื่อครู่ว่าท่านอยู่ที่นี่มาตลอด เช่นนั้นท่านคงได้เห็นแล้ว ตอนที่หยางกุ้ยเหรินบีบบังคับข้า คะยั้นคะยอให้ข้าเข้าร่วมการประลองเสียให้ได้ เหตุใดตอนนั้นจึงไม่เห็นเทวดาผู้มีจิตใจเมตตาปรานีอย่างท่านออกหน้าแทนเลยเล่า”


 


 


“ตอนนั้นข้าพยายามอ้อนวอนอยู่เป็นเวลานานเท่าไหร่ ทำไมท่านถึงไม่เอ่ยถึงความเป็นธรรมสักคำ หากตอนนั้นท่านมีใจเมตตาให้ข้าสักครึ่งหนึ่งของตอนนี้ ช่วยพูดขอความเป็นธรรมแทนข้า เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องลงสนามและประลองกับหยางอวี้หลิน นางก็จะไม่ต้องนั่งตากแดดนานเช่นนี้และนางก็จะไม่มีทางเป็นลม ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ตอนนี้ที่นางเป็นลมไปมีความเกี่ยวข้องกับท่านอย่างแยกออกจากกันมิได้ คุณชายใหญ่หันว่าข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่”


 


 


เมื่อผู้ชมได้ยินซูเหลียนอวิ้นอธิบายเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแต่ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด เพราะตอนนี้หากจะว่าไปแล้ว คำพูดของนางนั้นถูกต้อง หากตอนนั้นหันหงไท่เห็นใจนางสักหน่อยจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร


 


 


หันหงไท่ไร้คำพูดใด


 


 


เขามองเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของสตรีชุดแดงที่ยืนไม่ไกลจากเขา ทว่านางมิอาจแสดงความเยาะเย้ยออกมาทางแววตาได้ชัดเจนนัก ตอนนั้นเขาพลันรู้สึกหน้าชา บิดาของเขากล่าวไว้ถูกต้อง เขายังเด็กและหยิ่งยโสเกินไป การจะแยกแยะถูกผิดให้กระจ่างแจ้งบนโลกใบนี้ คงต้องยืนอยู่บนมุมมองที่แตกต่างจากกันเท่านั้น


 


 


มองจากมุมมองของคนที่อยู่นอกเหตุการณ์ เขาจึงคิดว่าหยางอวี้หลินนั้นน่าสงสาร เพราะตอนนี้นางเป็นลมไปแล้ว แต่เขากลับมิได้ยืนดูเหตุการณ์ในมุมมองของซูเหลียนอวิ้น เขาถามตัวเองว่า หากต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาจะสามารถทำได้อย่างที่ตัวเองพูดหรือไม่


 


 


ทั้งที่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะสร้างความเดือดร้อนให้กับตน เขากลับมิได้คิดแค้นและไม่เอ่ยถามสิ่งใด แต่กลับเรียกคนให้มาเชิญนางลงไปจากเวที?


 


 


เขารู้ตัวว่ามิอาจทำได้ เพราะตนก็เป็นคนธรรมดาที่ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง


 


 


“ดังนั้นแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินไปยังด้านข้างหยางอวี้หลินพลางเอ่ยขึ้น “สิ่งใดที่ตนไม่ปรารถนา อย่าได้ยัดเยียดให้ผู้อื่น คุณชายหันโปรดจำไว้ว่า จะพูดจะจาอะไรออกมาโปรดใช้สมองไตร่ตรองก่อนทุกครั้ง! โปรดคิดในมุมมองของผู้อื่นแล้วค่อยพูด เพราะในบางครั้งสิ่งที่ตาเห็น อาจจะมิใช่ความจริงเสมอไป” ซูเหลียนอวิ้นมองหยางอวี้หลินที่ยังคงเป็นลมอยู่บนพื้น นางเผยรอยยิ้มที่ซับซ้อน แล้วจึงหันไปมองหันหงไท่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาอีกคราหนึ่ง


 


 


โชคดีที่ในตอนนี้ หมอหลวงมาถึงพอดี จึงยุติการโต้เถียงนี้ไว้ได้


 


 


“ฝ่าบาท” หมอหลวงสวีเอ่ยพร้อมคารวะ


 


 


“หมองหลวงสวีไม่ต้องมากพิธี รีบตรวจดูเถิดว่าคุณหนูรองหยางเป็นอย่างไรบ้าง” ลี่หยวนตี้โบกมือไปยังหยางอวี้หลินที่อยู่บนพื้น


 


 


“เช่นนั้นขอคุณหนูซูกรุณาถอยออกไปก่อนสักครู่ ข้าจะได้ตรวจชีพจรให้คุณหนูรองหยาง” หมอหลวงสวีวางกล่องยาในมือลงเตรียมตัวที่จะเริ่มตรวจชีพจร


 


 


“เป็นหม่อมฉันที่ไม่ดีเองเจ้าค่ะ รบกวนหมอหลวงสวีแล้ว”


 


 


หมอหลวงสวีหลับตาลง แล้ววางนิ้วมือลงบนตำแหน่งชีพจรของหยางอวี้หลินพลางครุ่นคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ที่ซูเหลียนอวิ้นเอ่ย ระหว่างทางที่เขามาที่นี่เขาได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สตรีตัวน้อยนางนี้เมื่อถึงคราวจะสั่งสอนใครขึ้นมาจะไม่ไว้หน้าเลยสักนิด ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ทั้งยังน่าสนใจอีกด้วย


 


 


เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หมอหลวงสวีลืมตาขึ้น กวาดสายตาไปยังหยางอวี้หลินที่นอนหลับลึกอยู่ จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ดูจากอาการแล้ว คุณหนูรองหยางมิได้มีเพียงอาการที่เกิดจากอากาศร้อนอบอ้าวเท่านั้น แต่เป็นเพราะโทสะที่อยู่ในใจเป็นเหตุด้วย คุณหนูซูทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะหากเคลื่อนย้ายคนป่วยไม่ถูกวิธีแล้ว จะเป็นการทำลายเส้นชีพจร หากเป็นเช่นนั้นคงถึงคราวลำบาก ตอนนี้อาการถือว่าปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เมื่อหยางอวี้หลินได้ยินหมอหลวงสวีเอ่ยเช่นนี้จึงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา ทำลายเส้นชีพจร? ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ ทว่านางกลับมิกล้าเปิดปาก เพราะที่โรงหมอหลวง หมอหลวงสวีถือว่าเป็นหมอฝีมือดีคนหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดจะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน! 

 

 


ตอนที่ 57 ฝังเข็ม

 

ซูเหลียนอวิ้นมองหมอหลวงสวีที่อยู่ด้านข้างของนาง สีหน้าเขาดูจริงจังแล้วก็นิ่งงันไป โทสะในใจสามารถทำลายชีพจรได้ด้วยหรือ นี่เป็นการเปิดหูเปิดตาให้นางยิ่งนัก


 


 


นี่กระมังที่เขาเรียกว่าโกรธจนอกแตกตาย? เพราะหากเป็นอันตรายต่อชีพจรจริง ตอนที่เอาลงจากสนามไปก็คงจะถือว่าโกรธจนอกแตกตายจริงๆ


 


 


เวลาผ่านไปเนิ่นนานหมอหลวงสวีจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ยังมิต้องกังวลใจไป ขอแค่ให้นางฟื้นขึ้นมาได้ก็ถือว่าปลอดภัยแล้ว หากข้าฝังเข็มให้คุณหนูรองหยางสักเข็มหนึ่ง อีกครู่เดียวนางก็จะฟื้นขึ้นมา” ระหว่างที่พูดก็ยื่นมือไปยังกล่องยาที่วางไว้ด้านข้างแล้วหยิบเข็มสีเงินออกมาหนึ่งแถว


 


 


หมอหลวงสวีหยิบเข็มแถวนั้นขึ้นมา จากนั้นนำไปส่องต้องกับแสงตะวันครู่หนึ่งแล้วรำพึงเสียงเบาๆ ว่า “ตัวข้าแก่แล้ว ตาก็ไม่ค่อยจะดี อาการหมดสติของคุณหนูรองหยางร้ายแรงถึงเพียงนี้ หากต้องการจะให้ฟื้นขึ้นมาเกรงว่าคงต้องใช้เข็มใหญ่สุดเสียแล้ว”


 


 


เข็มเงินเมื่ออยู่ภายใต้แสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ ก็ส่องประกายเย็นเฉียบที่ไม่ว่าผู้ใดเห็นต่างต้องตื่นตระหนกทั้งสิ้น


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้านข้างโดยไม่เปิดปากเอ่ยอะไร


 


 


เพราะเมื่อดูเหตุการณ์จนถึงตรงนี้ หากนางยังดูไม่ออกว่าหมอหลวงสวีผู้นี้ตั้งใจจะลงโทษหยางอวี้หลิน นางก็คงโง่เต็มที ทว่าเหตุใดหมอหลวงสวีถึงได้ชิงลงมือกะทันหันเช่นนี้ เขาเองก็ดูไม่ใช่พวกตาแก่จอมเจ้าเล่ห์แต่อย่างใด


 


 


หมอหลวงสวีทำการเปรียบเทียบขนาดเข็มแต่ละเล่ม สุดท้ายจึงเลือกเข็มเล่มที่ใหญ่ที่สุดขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อคุณหนูรองหยางเป็นลมไปแล้ว ตอนนี้คงไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร เช่นนั้นก็ใช้เล่มนี้ก็แล้วกัน” ระหว่างพูดก็ยื่นเข็มเล่มนั้นเข้าไปใกล้ๆ หยางอวี้หลินมากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


หยางอวี้หลินที่กำลังหรี่ตาแอบมองเหตุการณ์อยู่ นางเห็นชายชราเคราขาวผู้หนึ่งยื่นเข็มในมือเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม


 


 


“กรี๊ด! เจ้าออกไปห่างๆ ข้าเดี๋ยวนี้!”


 


 


เดิมทีหยางอวี้หลินตั้งใจว่าจะหลับตากัดฟันทนให้ผ่านพ้นไป แต่ช่วยไม่ได้ที่เข็มเล่มนั้นมันน่าสยดสยองเกินไป สุดท้ายนางจึงอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงดังออกมา จากนั้นจึงลุกขึ้นคลานไปอีกด้านแล้วพูดขึ้นว่า “ออกไปเดี๋ยวนี้นะตาเฒ่า! ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าไม่ต้องเข้ามา!”


 


 


ตอนนี้คนที่อยู่ด้านล่างได้โยนบรรยากาศความตึงเครียดเมื่อครู่ทิ้งไปแล้ว เพราะได้เห็นภาพอันน่าขบขันของหยางอวี้หลินแทนที่ ทุกคนต่างยกมือขึ้นปิดปากแล้วแอบหัวเราะ ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยอีกต่อไป ที่แท้แล้วหยางอวี้หลินผู้นี้แกล้งเป็นลมนั่นเอง! จากนั้นจึงมีสายตาหลากหลายอารมณ์จ้องมองไปยัง หันหงไท่ที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เมื่อเหตุการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้


 


 


หมอหลวงสวีเมื่อได้ยินหยางอวี้หลินเอ่ยวาจาเช่นนี้กลับมิได้มีท่าทีขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนใจแล้วพูดต่อไปว่า “หากเป็นเช่นนี้ เข็มของข้าก็คงเตรียมไว้เสียเปล่าแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่ง น่าเสียดายจริงๆ”


 


 


“น่าเสียดายตรงไหนหรือเจ้าคะ หมอหลวงสวีถ่อมตัวเกินไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นปรบมือแล้วก้าวไปข้างหน้า “วันนี้มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ จึงได้รู้ว่าหมอหลวงสวีก็คือหวาถัว[1] ที่ยังมีชีวิต เพราะเพียงเข็มเล่มนี้เปล่งประกายขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ได้ปักลงไปบนร่าง แต่คนผู้นี้กลับสามารถฟื้นขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ศาสตร์การรักษาเช่นนี้น่านับถือยิ่งเจ้าค่ะ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นพูดจบจึงยกมือขึ้นประสานคารวะไปทางหมอหลวงสวีอย่างยอมรับ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือ


 


 


“คุณหนูซูล้อข้าเล่นแล้ว” หมอหลวงสวียิ้มแย้มเอ่ยขึ้น “เป็นแค่ศาสตร์การรักษาที่ไม่คู่ควรต่อการเอ่ยถึงก็เท่านั้น จะน้อมรับฉายาหวาถัวที่ยังมีชีวิตได้อย่างไรกัน” จากนั้นจึงหมุนตัวแล้วหันไปพูดกับหยางอวี้หลินที่ห่อตัวด้วยความหวาดกลัวอยู่ไกลๆ “มิทราบว่าตอนนี้คุณหนูรองหยางยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่หรือไม่ หากยังคงรู้สึกอยู่ โปรดบอกให้ข้ารู้เถิด”


 


 


ตอนนี้หยางอวี้หลินกำลังขบริมฝีปากล่างของตัวเองไว้แน่น พยายามไม่ให้เสียงของตัวเองหลุดรอดออกไป เพราะเกรงว่าหากเปิดปาก นางจะแผดเสียงตะโกนด่าออกไปอย่างห้ามไม่อยู่ ในแววตาของนางตอนนี้บ่งบอกว่าอยากจะฉีกซูเหลียนอวิ้นออกเป็นชิ้นๆ


 


 


เวลาผ่านไปพักใหญ่ หยางอวี้หลินเริ่มได้สติกลับคืนมา จึงเอ่ยขึ้นด้วยริมฝีปากที่สั่นเครือ “ขอบคุณหมอหลวงสวี ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


หันหงไท่ที่อยู่ด้านหลังไม่ใส่ใจเสียงหัวเราะเยาะ สีหน้ากังวลหรือแววตาเวทนาของผู้คนรอบด้าน สายตาของเขาจับจ้องไปยังละครฉากนั้นด้านบนเวทีตลอดเวลา ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกของเขายิ่งทวีความเจ็บปวดยิ่งขึ้น


 


 


ที่แท้แล้ว ความหมายที่นางอยากจะบอกเขาคือละครฉากนี้เองหรือ…


 


 


จริงอย่างที่เขาว่ากันไว้ว่า สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด


 


 


“ในเมื่อคุณหนูหยางไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นเรามานับแต้มหมากที่เดินค้างไว้เมื่อครู่ดีหรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วแล้วเอ่ยอย่างไม่หวาดหวั่นสิ่งใด “คุณหนูหยางอยากจะแข่งต่อหรือจะหยุดเพียงเท่านี้?” ไม่ว่าจะเลือกอะไรข้าก็จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี!”


 


 


หยางอวี้หลินได้ยินน้ำเสียงหม่นหมองของซูเหลียนอวิ้นดังนั้น ร่างของนางพลันสั่นระริก


 


 


ก่อนหน้านี้ซูเหลียนอวิ้นยังสงวนท่าทีและไม่เผยความรู้สึกของตนเองออกมา แต่ตอนนี้นางกลับมีทีท่าแข็งกร้าวไร้ความยำเกรง ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดที่ทำให้นางหวาดกลัวได้อีกแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าในตอนนี้นางจะยอมวางมือหรือไม่


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์” เสียงเรียกของเกาอู่เตี๋ยดังขึ้นมาจากบนพระที่นั่ง “เจ้ามาตรงนี้ก่อน” จากนั้นจึงกวักมือเรียกขันทีผู้น้อยที่นับคะแนนไปเมื่อครู่มาด้วย “เจ้ารู้ผลแพ้ชนะแล้วหรือไม่ ผลคะแนนเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


สายตาของเกาอู่เตี๋ยมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่กำลังเดินช้าๆ เข้ามาหาตน เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากันเกาอู่เตี๋ยจึงจับมือขวาของซูเหลียนอวิ้นมากุมไว้ และสิ่งที่นางสัมผัสได้คือมือของซูเหลียนอวิ้นเย็นเฉียบราวกับโรงเก็บน้ำแข็งในวันที่อากาศหนาวเหน็บที่สุด หนาวเหน็บเข้ากระดูก ทั้งๆ ที่ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูที่อากาศร้อนอบอ้าว แต่ฝ่ามือกลับเย็นเฉียบถึงเพียงนี้ นางคงจะ…


 


 


เกาอู่เตี๋ยแอบถอนหายใจอยู่ในอก เด็กคนนี้…คงเหนื่อยมากแล้ว


 


 


ขันทีผู้น้อยเมื่อถูกเรียกชื่อก็มิกล้าโอ้เอ้ และหลังจากที่ได้ยินเกาอู่เตี๋ยตรัสถามคำถามนี้ก็รีบตอบทันที “กราบทูลฮองเฮา ผลของการประลองครั้งนี้…คุณหนูซูเป็นฝ่ายชนะคุณหนูรองหยางหนึ่งแต้มพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นั้นกล่าวรายงานอย่างตะกุกตะกัก เพราะใครเลยจะคิดว่าผู้ที่เป็นฝ่ายชนะจะเป็นซูเหลียนอวิ้น? แต่เขานับคะแนนทวนอยู่หลายรอบแล้ว ผลคะแนนออกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง ดังนั้นผลแพ้ชนะครั้งนี้เขานับไม่ผิดอย่างแน่นอน


 


 


อีกด้านหนึ่งหยางอวี้หลิงหลับตาของนางลงทั้งสองข้าง สุดท้ายผลการประลองก็ถูกประกาศออกมาจนได้ หลังจากนั้นสักพักนางจึงขยับเข้าไปใกล้ลี่หยวนตี้แล้วเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อตัดสินผลแพ้ชนะเรียบร้อยแล้ว ให้น้องสาวของหม่อมฉันลงไปพักผ่อนได้แล้วหรือไม่เพคะ เพราะเมื่อครู่หมอหลวงสวีบอกว่าเกือบจะเป็นอันตรายต่อชีพจรของน้องสาวหม่อมฉัน”


 


 


ลี่หยวนตี้หันไปมองอย่างไร้อารมณ์ด้วยสายตาหมางเมิน “เจ้าพูดมีเหตุผล ทหาร พาคุณหนูรองหยางลงไปพักเถิด”


 


 


ตอนที่หยางอวี้หลิงเฝ้ามองน้องสาวของตนถูกพยุงลงไปจากสนามนั้น ในอกของนางรู้สึกราวกับโดนมีดคมๆ กรีด เป็นนางที่พลาดเอง สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายเดินตามเกมของซูเหลียนอวิ้น!


 


 


ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยังคงยืนอยู่ด้านข้างเกาอู่เตี๋ยดังเดิม มือขวาของนางก็ยังคงถูกเกาอู่เตี๋ยกุมไว้แน่น ด้วยเหตุนี้เองมือที่เย็นเฉียบของนางจึงเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้าง


 


 


“ที่แท้คุณหนูซูก็ซ่อนคมไว้ในฝัก” เมื่อหยางอวี้หลิงเห็นท่าทีใกล้ชิดของนางกับเกาอู่เตี๋ยเช่นนั้น ในใจยิ่งบังเกิดความพลุ่งพล่าน “โชคดีตอนที่คุณหนูซูบอกว่าตนไม่มีความสามารถใดเลย ทำให้หม่อมฉันเชื่ออย่างสนิทใจได้ หากมีความสามารถถึงเพียงนี้ แต่ยังกล่าวว่าตนไร้ความสามารถ อย่างนั้นแล้วผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้จะนับว่ามีความสามารถได้อย่างไร”


 


 


 


 


——


 


 


[1] หวาถัว หมายถึง หมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก 

 

 


ตอนที่ 58 สิ้นสุด

 

เมื่อได้ยินหยางอวี้หลิงเอ่ยเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่โกรธ เพราะเมื่อครู่นี้ได้เตรียมคำพูดไว้เรียบร้อยแล้ว


 


 


“หยางกุ้ยเหรินชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันเองก็เพิ่งจะได้เรียนรู้เล็กๆ น้อยๆ จากเมื่อครู่นี้เท่านั้น ก่อนจะเริ่มการแข่งขันมีพี่ชายสองคนกำลังแข่งขันกันอยู่ก่อน หม่อมฉันเพียงดูแมวแล้ววาดออกมาเป็นเสือ[1] ก็เท่านั้น นำสิ่งที่เห็นรวบรวมเข้าด้วยกัน ผู้ใดจะคิดว่าจะเอาชนะในการประลองได้” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายอย่างยิ่ง เมื่อพูดจบซูเหลียนอวิ้นจึงผายมือไปข้างตัว


 


 


เมื่อหยางอวี้หลิงได้ฟังคำอธิบายของนางอารมณ์ก็ยิ่งขุ่นมัวหนักขึ้นอีก เล่นมั่วๆ? แค่ใช้ตาดูเพียงครู่เดียวก็เอาชนะผู้อื่นได้? นี่นางกำลังยกตัวเองว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ หรือว่ากำลังเหน็บแนมน้องสาวของตนที่ฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นเวลานาน แต่กลับสู้นางที่ยืนดูคนเล่นเพียงครู่เดียวไม่ได้?


 


 


“เอาล่ะ” เกาอู่เตี๋ยเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ในเมื่อผลคะแนนออกมาแล้ว พวกเราอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย อวิ้นเอ๋อร์เจ้าคงยืนจนเมื่อยแล้ว กลับไปนั่งพักผ่อนเถิด” เกาอู่เตี๋ยผายมือออกแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


“เพคะ ฮองเฮา” นางทำความเคารพ แล้วค่อยๆ ถอยออกไป


 


 


เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นเงาด้านหลังที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้น ในใจก็เริ่มวิตก การเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างกะทันหันของซูเหลียนอวิ้นเมื่อครู่ นางสามารถรับรู้ได้ จึงรีบเรียกอีกฝ่ายมาอยู่ข้างกายตน


 


 


หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรกับเด็กผู้นี้อีก


 


 


การประลองของผู้อื่นได้สิ้นสุดไปก่อนหน้านานแล้ว ในที่สุดก็เริ่มเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของงานฉลองวสันตฤดู


 


 


ลี่หยวนตี้โบกพระหัตถ์ “เริ่มแสดงได้”


 


 


เพียงพริบตาเดียว นางรำที่เตรียมตัวพร้อมตั้งแต่แรกก็ออกมาทำการแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ครู่เดียวบทเพลงก็กลับมาบรรเลงแบบที่เคยมีในงานฉลอง และบรรยากาศการประลองอันดุเดือดเมื่อครู่ก็ถูกดนตรีบรรเลงขับกล่อมเสียจนหมดสิ้น ไม่ทิ้งร่องรอยใดทิ้งไว้อีก


 


 


“เหลียนอวิ้น เจ้ากลับมาเสียที” ที่ด้านข้างหลินเหวินเสี่ยวกลับมานานแล้ว เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นจึงอดเอ่ยถามขึ้นไม่ได้ “เจ้าทำได้ คมในฝักโดยแท้! เมื่องานฉลองวสันตฤดูสิ้นสุดลง เจ้าคงมีชื่อเป็นสตรีผู้มีชื่อเสียงของเมืองหลวงแล้ว”


 


 


“ที่ไหนกันเล่า” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มด้วยสีหน้าซีดเซียว “ข้าก็เป็นแค่แมวตาบอดเจอหนูตาย[2] ที่บังเอิญทำสำเร็จก็เท่านั้น”


 


 


เมื่อหลินเหวินเสี่ยวเห็นนางหน้าซีดเซียวราวกระดาษขาว ก็ไม่พูดอะไรต่ออีก รีบส่งน้ำเย็นที่เตรียมไว้ให้นางตั้งแต่แรกก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้ารีบดื่มน้ำเถิด อากาศร้อนขนาดนี้ ทั้งยังตากแดดอยู่เป็นเวลานาน คงจะร้อนจนแทบทนไม่ไหวตั้งแต่แรกแล้ว พักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะไม่กวนเจ้าแล้ว”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบใจ”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองไปรอบตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจนางแล้ว จึงก้มหน้าขมวดคิ้วเพื่อปกปิดสีหน้าของตน


 


 


เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่ จู่ๆ หัวใจก็เต้นระรัวราวกับได้รับความเจ็บปวด นับว่าโชคยังดีที่เกิดขึ้นระยะสั้นๆ เท่านั้น แต่ความรู้สึกคล้ายเจ็บปวดนั้นก็ทิ้งร่องรอยไว้ไม่จางหาย


 


 


งานฉลองหลังจากนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจนัก ในตอนสุดท้าย เมื่อทุกคนรวมตัวกันถวายบังคมและฮองเฮาแล้วก็ทยอยลุกขึ้นออกไป ไม่มีใครกล้าอยู่ตรงนั้นมากนัก


 


 


“น้องอวิ้น!” ซูมั่วเยี่ยอดทนมาเป็นเวลานาน สำหรับเขานั้นไม่ง่ายเลยที่ต้องทนรอจนถึงตอนจบ เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “น้องอวิ้นไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าจึงหน้าซีดเช่นนี้”


 


 


“เหลียนอวิ้นคงจะเป็นไข้แดด ท่านพานางกลับไปกินอาหารคลายร้อนสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ อาการน่าจะดีขึ้น” หลินเหวินเสี่ยวเงียบไปพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่นางไม่ได้กินอะไร ดูอาการตอนนี้แล้วคงไม่พ้นเป็นลมแดดเจ้าค่ะ”


 


 


ซูมั่วเยี่ยเหลือบมองหลินเหวินเสี่ยวที่เอ่ยปากเมื่อครู่ จึงเห็นว่านางคือคนที่อยู่กับซูเหลียนอวิ้นมาตลอดช่วงเช้า เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลน้องสาวของข้า ข้าซาบซึ้งในน้ำใจยิ่ง” เมื่อเอ่ยจบ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาจึงรีบพาซูเหลียนอวิ้นออกไปจากที่นั่นทันที


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นต้องเดินตามพี่ชายที่สาวเท้ารวดเร็วเช่นนี้ ก็เริ่มมีอาการเวียนหัว “ท่านพี่ ท่านมิต้องเดินเร็วเช่นนี้ก็ได้กระมัง ข้ารู้สึกเวียนหัวจนอยากจะอาเจียนแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ซูมั่วเยี่ยได้ยินเช่นนี้จึงหยุดฝีเท้าลง แล้วหันกลับมาพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ “เจ้าเพิ่งจะหายป่วยมาเมื่อไม่นานนี้เอง เหตุใดจึงกล้าก่อเรื่องเช่นนี้อีก หากอาการป่วยกำเริบขึ้นมาจะทำอย่างไร! เดิมทีข้าคิดว่าคงจะไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้าแล้ว ข้าจึงกล้าไปประลองกับผู้อื่น ใครเลยจะคิดว่าเจ้าจะก่อเรื่องเช่นนี้อีก!”


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นพี่ชายของตนมีโทสะสุดขีด แต่กลับมิกล้าแสดงท่าทีสั่งสอนนาง นางจึงฉีกยิ้มให้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “โธ่ มีคนมาขอท้าประลองกับท่านพี่สิดี ท่านพี่เป็นขุนพลหนุ่มแน่น คงมีหลายคนแอบอิจฉาอยากจะจัดการท่านพี่อยู่ในใจ! ในเมื่อพวกเขากล้ามา ก็ควรเปิดโอกาสให้ แต่จะกลับออกไปได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง! ท่านพี่ดูสิ น้องเองก็ชนะเช่นกัน น้องไม่ทำให้ท่านพี่ต้องขายหน้า ท่านพี่อย่าได้โมโหน้องเลยเจ้าค่ะ”


 


 


โชคดีที่ตอนนี้ผู้คนต่างแยกย้ายกันไปพอสมควรแล้ว เพราะหากผู้ใดได้เห็นภาพเช่นนี้ก็คงจะตกใจจนอ้าปากค้างอย่างแน่นอน


 


 


ตอนนี้สาวน้อยที่กำลังกอดแขนออดอ้อนพี่ชาย กับสาวน้อยที่อวดดีจองหองไม่ยอมผู้ใดเมื่อครู่นั้น มีใบหน้าเหมือนกัน


 


 


ผู้คนล้วนต้องระอาใจเนื่องเพราะสตรีมีความแปรปรวนเช่นนี้ มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าอีกวินาทีต่อมาพวกนางจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร


 


 


“พี่ต้วน พี่ต้วน! ท่านดูผู้นั้นสิ” หันชิงอวี่เอ่ยขึ้นพร้อมชี้นิ้วสั่นเทา “คนเมื่อครู่คือซูเหลียนอวิ้น! พระเจ้า นางมีด้านที่อ่อนโยนเช่นนี้ด้วยหรือ ข้ายังนึกว่านางเป็นคนหยาบกระด้างมาตั้งแต่เกิดเสียอีก” ไม่ไกลนัก เมื่อหันชิงอวี่หันกลับไปก็บังเอิญเห็นภาพที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังออดอ้อนพี่ชายอยู่พอดี


 


 


ต้วนเฉินเซวียนได้ยินดังนั้นจึงหันไปมอง บังเอิญอย่างยิ่งที่สายตาของตนประสานเข้ากับสายตาซูเหลียนอวิ้นพอดี


 


 


แต่ในเมื่อสบตากันแล้ว คงจะไม่ดีแน่หากเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วเดินเลี่ยงไป ทั้งตัวนางก็มิได้ทำอะไรผิด เหตุใดจะต้องเดินหนีด้วยเล่า ซูเหลียนอวิ้นแอบสนับสนุนความคิดตัวเอง ทว่าร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่งแล้วเดินตัวลีบไปหลบอยู่ด้านหลังซูมั่วเยี่ย


 


 


“คุณชายน้อยต้วน คุณชายรองหัน” ซูมั่วเยี่ยคารวะอย่างไร้อารมณ์และเตรียมที่จะผละออกไปทันที เพราะหากมองเห็นแล้วแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น จะเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป


 


 


“เอาล่ะๆ แม่นางผู้นี้คือ คุณหนูใหญ่ซู?” หันชิงอวี่เบี่ยงตัวไม่รับการคารวะของซูมั่วเยี่ยแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ซู ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย ช่างน่าประหลาดใจและตื่นเต้นยิ่ง คิดไม่ถึงว่าคุณหนูซูจะมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมในการเล่นหมากล้อมด้วย หากวันหน้ามีโอกาสเจ้ากับข้ามาประลองกันสักกระดานดีหรือไม่”


 


 


ฝีเท้าของซูมั่วเยี่ยหยุดชะงัก เพราะได้ยินน้ำเสียงแบบเกี้ยวสตรีของหันชิงอวี่ดังขึ้น หากเขาเพิกเฉย การใช้ชีวิตที่ผ่านมาของเขาก็นับว่าเสียเปล่ามานาน


 


 


กล้าพูดจาเกี้ยวพาน้องสาวเขาต่อหน้าต่อตาเลยหรือ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่ ตอนนั้นเองจึงกำหมัดไว้แน่นเตรียมเริ่มเปิดศึก


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของพี่ชายใหญ่ ตอนนั้นเองจึงรีบกุมมือซูมั่วเยี่ยเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่ ที่นี่คือวังหลวงนะเจ้าคะ พวกเราต้องใช้เหตุผลสยบผู้อื่น”


 


 


เมื่อเอ่ยขึ้นดังนี้แล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงหันตัวไปแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณสำหรับคำเชิญของคุณชายรองหันมากเจ้าค่ะ แต่เมื่อข้าเห็นหน้าท่านทำให้ข้านึกถึงพี่ชายใหญ่ของท่านไปด้วย แบบนี้จะดีได้อย่างไร เมื่อข้านึกถึงก็พาให้ท้องไส้ข้าปั่นป่วนรู้สึกรวนไปทั่วทั้งร่าง ดังนั้นเพื่อสุขภาพของตัวข้าเอง ข้าคิดว่าพวกเราอย่าได้เจอกันอีกเลยจะดีกว่า ถูกหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ดูแมวแล้ววาดออกมาเป็นเสือ หมายถึง การลอกเลียนแบบ


 


 


[2] แมวตาบอดเจอหนูตาย หมายถึง คนที่ไม่มีความสามารถ แต่ประสบความสำเร็จโดยบังเอิญ 

 

 


ตอนที่ 59 รังเกียจ

 

หันชิงอวี่เห็นว่าซูเหลียนอวิ้นมีทีท่าว่าจะกลับไปมีอาการเหมือนเมื่อตอนงานเลี้ยงฉลองวสันตฤดูอีกครั้ง


 


 


นั่นคือมีขนพองขึ้นทั่วร่าง


 


 


เขาก็ไม่รู้ว่าควรเอ่ยสิ่งใดต่อไปดี จึงยกมือลูบคางแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คำพูดของคุณหนูซูนั้นมีเหตุผลยิ่ง เพราะหากเป็นข้า ถ้าต้องเห็นหน้าท่านพี่ข้าบ่อยๆ ข้าก็คงรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวเช่นกัน โดยเฉพาะกับคุณหนูซูที่มีร่างกายอ่อนแออยู่แล้วด้วย ถูกหรือไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้ามิขอรบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว คุณหนูซูหากมีวาสนาโอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่” เมื่อเอ่ยจบก็ประสานมือคารวะพวกเขาทั้งสองคน


 


 


“มิต้องหรอก ครั้งหน้าก็คงไม่มีธุระอันใดให้ต้องพบกันอีก” ซูเหลียนอวิ้นลากซูมั่วเยี่ยมายังข้างกายแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา และในช่วงเวลาที่ทั้งสองเดินเฉียดใกล้กันนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ชาตินี้ข้ามิขอพบหน้าพวกท่านอีก”


 


 


แน่นอนว่าต้วนเฉินเซวียนย่อมได้ยินคำพูดนี้ของนางด้วยเช่นกัน ร่างกายของเขาพลันแข็งขึ้น ทว่าอีกครู่เดียวร่างกายก็เริ่มผ่อนคลายลงแล้วกลับคืนสู่ท่าทางไม่ใส่ใจต่อเรื่องราวใดอีกครั้ง


 


 


ชาตินี้มิขอพบเจออีก? อยู่ในเมืองเดียวกันจะมีเหตุผลใดที่จะไม่พบเจอกันอีก? อาจกล่าวได้ว่า ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมต้องมีโอกาสได้พบเจอกันอีก มิใช่หรือ


 


 


หันชิงอวี่เหม่อมองเงาของพวกเขาทั้งสองคนอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงหันกลับไปพูดว่า “พี่ต้วน เมื่อครู่ท่านได้ยินคำพูดของคุณหนูซูหรือไม่ ข้ามีความรู้สึกว่านางแฝงความหมายบางอย่างอยู่” หันชิงอวี่หยิบพัดจากในอกออกมาบังใบหน้าของตนเอาไว้แล้วขำเบาๆ


 


 


“ย่อมต้องมีความหมายแฝงแน่นอนอยู่แล้ว” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้น “วันนี้พี่ชายใหญ่ของเจ้าทั้งไม่ให้เกียรติและใส่ร้ายนางเช่นนั้น นางย่อมไม่อยากเห็นหน้าน้องชายอย่างเจ้าแน่นอน” เมื่อเอ่ยจบก็สาวเท้าเดินจากไปโดยทิ้งหันชิงอวี่ที่มีสีหน้าประหลาดใจเอาไว้


 


 


“เอ๊ะ ไม่ใช่สิ!” หันชิงอวี่วิ่งไล่ตามไป “พี่ต้วน ท่านอย่าแสร้งหลอกข้าว่าไม่เข้าใจเลย ที่ท่านบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าข้านั้นยังพอเข้าใจได้ แต่น้ำเสียงของคุณหนูซูในตอนท้ายเย็นชาเสียขนาดนั้น จะต้องมิได้เกิดจากเรื่องเล็กๆ เช่นนี้เป็นเหตุแน่นอน แต่ต้องเป็นความรู้สึกที่อัดอั้นมานาน พอสะสมนานเข้าจึงออกมาเป็นคำพูดเช่นนี้


 


 


ข้ารู้สึกว่าที่นางมีความหมายแฝง สาเหตุนั้นมาจากท่าน พี่ต้วนท่านมีปัญหาหัวใจเยอะไม่ใช่เล่นเลย”  ระหว่างพูด หันชิงอวี่ก็เอาไหล่กระแซะต้วนเฉินเซวียนที่อยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยต่อ “ว่าแต่ว่าตอนนี้ท่านมีความรู้สึกอย่างไรกับคุณหนูซู เกลียดนางขนาดนั้นจริงหรือ”


 


 


ไม่ว่าอย่างไรหันชิงอวี่ก็นับได้ว่าเป็นเพื่อนรู้ใจของต้วนเฉินเซวียนในจำนวนอันน้อยนิด การเปลี่ยนแปลงของต้วนเฉินเซวียนในช่วงนี้ เขาย่อมต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าต้วนเฉินเซวียนกำลังคิดอะไรอยู่


 


 


เพราะในตอนแรกมีท่าทีรังเกียจนางเสียขนาดนั้น ทว่าท่าทางในตอนนี้กลับไม่ได้เป็นเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว


 


 


“ไม่ได้คิดอะไรเหมือนตอนแรกนั่นละ” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้นพลางสาวเท้าไปเรื่อยๆ


 


 


“เหมือนตอนแรก?” หันชิงอวี่หุบพัดแล้วนำมาเคาะเบาๆ ที่ศีรษะตน “เช่นนั้นก็ยังรังเกียจนางอยู่? แต่เพราะอะไรกันเล่า พี่ต้วนข้าไม่เข้าใจจริงๆ คุณหนูซูดวงหน้างดงาม ตระกูลก็ดี ความคิดอ่าน…แต่ที่เห็นนั่นเป็นเพราะนางกำลังจะคิดบัญชีคืนก็เท่านั้น ดังนั้นจึงคิดว่านางโหดเ**้ยมไม่ได้ เพราะถือเป็นการป้องกันตัวเองเท่านั้น เช่นนั้นทำไมท่านต้องรังเกียจนางขนาดนั้นด้วย”


 


 


“เจ้าพูดมากไปแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนตอบเสียงแข็ง “ไม่มีเรื่องอื่นจะพูดแล้วหรือ เอาเวลาไปคิดเรื่องที่เป็นงานเป็นการจะดีกว่า”


 


 


เมื่อหันชิงอวี่เห็นต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้วขึ้นพร้อมสีหน้าท่าทางหมองหม่นดุจปีศาจ ตอนนั้นจึงเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าไม่พูดแล้วก็ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน พี่ต้วนก็ลองดูแล้วกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ” เอ่ยจบก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับมีน้ำมันถูเท้าเอาไว้


 


 


เพียงครู่เดียวเสียงโวยวายรอบกายก็สงบลง ต้วนเฉินเซวียนจึงสงบนิ่งเพื่อครุ่นคิด จากนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้นคล้ายนึกบางสิ่งขึ้นมาได้


 


 


ซูเหลียนอวิ้นได้ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายเขาอีกแล้ว กล้าแสดงออก อวดดี สง่างาม ดุร้าย ออดอ้อน ราวกับทุกอย่างนี้คือตัวนาง ทว่าก็คล้ายไม่ใช่นางเลยแม้แต่สิ่งเดียว


 


 


เมื่อก่อนต้วนเฉินเซวียนไม่เคยรู้มาก่อนว่านางเป็นคนที่มีบุคลิกหลากหลาย เพราะซูเหลียนอวิ้นคนเดิมมีแต่จะขี้อายเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเขา แต่ความเป็นนางเหล่านั้นได้เริ่มหายไปตั้งแต่เมื่อไรกันแน่


 


 


เหลือเพียงความว่างเปล่าและสายตาอันเย็นชาทิ้งไว้ให้เขา?


 


 


ต้วนเฉินเซวียนไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ความรู้สึกของซูเหลียนอวิ้นที่มีต่อเขานั้น เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน อาจเรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกที่มากมายและท่วมท้น แต่เหตุใดความรู้สึกที่เข้มข้นรุนแรงเช่นนี้กลับเลือนหายไปภายในระยะเวลาอันสั้น?


 


 


มันไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ


 


 


“หลิวจือ” ต้วนเฉินเซวียนตะโกนเรียก “เจ้าจงไปสืบให้ข้าทีว่า ช่วงนี้ซูเหลียนอวิ้นได้พบเจอใครบ้าง แล้วติดตามด้วยว่าช่วงนี้นางใช้ชีวิตอย่างไร”


 


 


ทันทีที่หลิวจือได้ยินต้วนเฉินเซวียนสั่งการเช่นนั้น สติก็พลันกลับมารีบตอบรับอย่างกระตือรือร้น “ขอรับ นายท่าน ข้าน้อยจะรีบกลับมารายงานทันทีเมื่อทราบเรื่อง”


 


 


ในที่สุดนายท่านก็เริ่มรู้ใจตัวเองแล้ว! ถึงขนาดเป็นฝ่ายเริ่มให้คนไปสืบเรื่องราวของแม่นางคนหนึ่งเลยทีเดียว ได้เลยๆ หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปคราวหน้าเวลาที่ฮูหยินมาถาม ข้าน้อยจะได้มีคำตอบให้เสียที!


 


 


นายท่านชอบสตรี! ทั้งยังชอบด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเสียด้วย!


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเห็นเขามีท่าทางตื่นเต้นเช่นนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก “ข้าเพียงให้เจ้าไปสืบเรื่องเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ต้องทำ จำไว้ด้วยว่าอย่าให้คุณหนูซูรู้ตัว หากนางรู้ตัวเข้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาอีก”


 


 


“นายท่านคิดมากเกินไปแล้ว จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างแน่นอนขอรับ” หลิวจือตบอกตนเพื่อยืนยันให้รู้ว่าจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน


 


 


ต้วนเฉินเซวียนยังคงรู้สึกแคลงใจอยู่ แต่ไม่รู้ว่าควรจะถามอย่างไรดี จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้ามีแผนในใจก็ดีแล้ว”


 


 


‘มีแผน! ในใจของข้าน้อยนั้นมีแผนมากมายเลยทีเดียว! และภารกิจนี้จะต้องสำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอน!’


 


 



 


 


บนรถม้า


 


 


“ท่านพี่อีกประเดี๋ยวพอกลับถึงเรือน ท่านพี่อย่านำเรื่องนี้ไปบอกท่านย่าและท่านพ่อท่านแม่ได้หรือไม่เจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ท่านย่าอายุมากแล้ว หลานอย่างพวกเรามิอาจแบ่งเบาความกังวลใจของท่านได้ แต่ก็อย่าได้เพิ่มความรำคาญใจให้ท่านเลย ท่านพี่ว่าถูกหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


หลีมู่เมื่อเห็นคุณหนูของตนมีทีท่าน่าเวทนา ก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไปดี แต่ในครั้งนี้นางจะไม่ช่วยพูดให้คุณหนูอย่างเด็ดขาด! ครั้งนี้คุณหนูเลือดร้อนมากเกินไป ถึงขนาดไม่ยอมให้นางแอบไปตามคุณชายใหญ่กลับมา! หากในตอนนั้นตามคุณชายใหญ่มาได้ อย่างไรก็มีคนเป็นพวกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน แล้วเหตุใดจะต้องเป็นทหารรับศึกอยู่เพียงผู้เดียวด้วย ถึงอย่างไรในครั้งนี้นางก็อยู่ข้างคุณชายใหญ่แน่นอน!


 


 


“ไม่ได้” ซูมั่วเยี่ยที่กำลังปิดตาทำสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ครั้งนี้เจ้าหุนหันพลันแล่นเกินไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้เจ้าได้รับการตำหนิจึงจะถูก อีกทั้งต่อให้ข้าไม่พูด เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะไม่รู้เชียวหรือ เจ้าอย่าได้คิดตื้นๆ ไปหน่อยเลย”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็ยิ่งสลด “เช่นนั้นท่านพี่โบยข้าสักทีสองที หรือจะเตะข้าสักครั้งสองครั้งก็ได้ ขอแค่ท่านอย่านำเรื่องนี้ไปถ่ายทอดให้พวกท่านรู้ก็พอเจ้าค่ะ บางทีพวกท่านอาจจะไม่รู้ก็ได้…” หากซูปั๋วชวนรู้เรื่องราววันนี้ที่นางหุนหันพลันแล่น นางเองก็ไม่รู้ว่าจะโดนบ่นอะไรบ้าง! หรือว่าจะถูกลงโทษสั่งกักบริเวณนางให้อยู่แต่ในจวนสักเดือนหนึ่ง? และหากรู้ว่าวันนี้นางเป็นไข้แดดอีก ก็คงจะคะยั้นคะยอให้นางกินบรรดาอาหารบำรุงร่างกายอีกหลากหลายชนิด!


 


 


พระเจ้า นางกินของพวกนั้นจนกลืนไม่ลงแล้ว ปล่อยนางไปเถิด ครั้งนี้นางผิดไปแล้ว… 

 

 


ตอนที่ 60 คาดเดา

 

 


 


“ข้าเป็นบุรุษจะกล้าลงมือกับสตรีได้อย่างไร! แถมเจ้ายังเป็นน้องสาวของข้าด้วย” ซูมั่วเยี่ยไม่ใส่ใจคำพูดของซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยขึ้น “และตอนนี้ข้าหลับตาอยู่ ดังนั้นข้าจึงไม่เห็นเจ้า เจ้าไม่ต้องพยายามบีบน้ำตาแล้ว”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเบะปากแล้วเช็ดน้ำตาสองหยดที่ใช้ความพยายามอย่างมากในการบีบออกมาด้วยแววตาผิดหวัง


 


 


“คุณหนู คุณชายใหญ่เจ้าคะ ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ” หลีมู่เลิกม่านขึ้น


 


 


ซูมั่วเยี่ยลืมตาขึ้น “อือ ถึงเรือนแล้ว ไปกันเถิด”


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 



 


 


ณ เรือนฉืออัน


 


 


“หลานอวิ้นกับพี่ชายเยี่ยกลับมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง งานฉลองวสันตฤดูสนุกหรือไม่” หวังฉือหวนเดิมทีที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเบาะรองนุ่มๆ เมื่อเห็นหลานทั้งสองเข้ามาก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง “อย่าเป็นไข้แดดก็พอ ย่าของพวกเจ้าดูแลตัวเองไม่ดีเลยเป็นไข้แดดจนได้ เฮ้อ พวกเจ้าทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นได้ยินคำถามเช่นนี้ ถ้วยน้ำชาที่ยกขึ้นมาพลันชะงัก “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ งานเลี้ยงสนุกดี ทั้งวันนี้ท่านพี่ยังประลองฝีมือด้วย ใช่ไหมเจ้าคะท่านพี่ ฝีมือท่านพี่เยี่ยมมากเลย”


 


 


“อืม…โดยรวมแล้วสนุกดี ท่านย่าอย่าได้กังวล” ซูมั่วเยี่ยพยักหน้าเรียบๆ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร


 


 


หวังฉือหวนถึงอย่างไรอายุก็มากแล้ว แม้ปกติจะดูสุขภาพแข็งแรง ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับอากาศร้อนเช่นนี้ร่างกายก็เริ่มแสดงอาการไม่ดีออกมาเช่นกัน


 


 


“เอาล่ะ ดูท่าพวกเจ้าทั้งสองแล้ว พอเข้าจวนคงตรงดิ่งมาหาข้าที่นี่เลย รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าเองก็อยากนอนสักหน่อยเหมือนกัน” หวังฉือหวนเอ่ยขึ้นพลางบีบไหล่ตัวเอง


 


 


“เจ้าค่ะ เช่นนั้นรอให้ท่านย่าพักผ่อนดีแล้ว ข้ากับท่านพี่จะแวะมาหาใหม่ ตอนนี้หลานกับท่านพี่ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้า เพราะนางคิดว่ายิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้ซูมั่วเยี่ยบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานฉลองวันนี้มากขึ้นเท่านั้น แต่ตอนนี้หวางฉือหวนเอ่ยปากให้พวกเขากลับไปพักได้แล้ว นางย่อมทำให้ความปรารถนานั้นเป็นจริง


 


 


ระหว่างทางซูเหลียนอวิ้นลอบสังเกตท่าทางของซูมั่วเยี่ยที่อยู่ด้านข้างตน


 


 


“ท่านพี่เจ้าคะ อีกประเดี๋ยวหากท่านพ่อกลับมา ท่านพี่ก็ทำแบบเดิมคือไม่ต้องปริปากถึงเรื่องนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ” นางกะพริบตาปริบๆ


 


 


“จะบอกให้ว่า” ซูมั่วเยี่ยเอ่ยปากเสียงแข็ง “ท่านย่าสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง แต่ท่านพ่อร่างกายยังแข็งแกร่งนัก เจ้ามิต้องกังวลหรอกว่าร่างกายของท่านพ่อจะเป็นอะไรไป”


 


 


ความหมายก็คือยืนยันจะพูดเรื่องนี้อีก? อีกประการหนึ่งสิ่งที่นางกังวลไม่ใช่เรื่องสุขภาพของท่านพ่อ สุขภาพของซูปั๋วชวนเป็นอย่างไร นางย่อมรู้อยู่แก่ใจ!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นคิดจะเอ่ยต่อ ทว่าซูมั่วเยี่ยกลับเอ่ยแทรกขึ้น “ถึงแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด แล้วอย่าลืมให้บรรดาหญิงรับใช้ของเจ้าหาของเย็นๆ มาให้ด้วยล่ะ อย่าให้ร่างกายต้องทนร้อนอีก ต้มถั่วเขียวกินให้มากหน่อย ร่างกายนี้เป็นของเจ้าเองนะ”


 


 


“อืม ข้ารู้แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน


 


 


เฮ้อ จนถึงตอนนี้ท่านพี่ก็ยังคงคิดแทนนางอยู่ ในเมื่อซูมั่วเยี่ยพูดกับนางอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ นางจะยังมีเหตุผลอะไรไปพูดกวนใจเขาอีก


 


 


“ท่านพี่ก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะเจ้าคะ อย่าหักโหมงานจนเกินไป…”


 


 


“ตกลง เจ้ากลับไปเถิด” ซูมั่วเยี่ยยิ้มพลางลูบหัวนางเบาๆ


 


 



 


 


ณ พระราชวังลิ่งอัน


 


 


“นังแพศยาซูเหลียนอวิ้น! เจ้าคอยดูข้าเถิด!” ภายในพระราชวัง เสียงโกรธเกรี้ยวของหยางอวี้หลิงแผดสนั่น ตามมาด้วยเสียงถ้วยชามแตกกระจาย


 


 


บรรดาคนรับใช้ไม่มีใครกล้าส่งเสียง ทำได้แค่แสร้งไม่รู้เห็นสิ่งใด เพราะในช่วงเวลาเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดอยากเป็นผู้รับเคราะห์กรรม


 


 


“พระสนม! พักผ่อนเถิดเพคะ หากโมโหจนไม่สบายขึ้นมา จะทำอย่างไร!” ตอนสุดท้ายที่หยางอวี้หลิงขว้างปาข้าวของจนเรี่ยวแรงแทบจะหมดแล้วนั้น หลิงเซียงผู้เป็นสาวใช้ส่วนตัวของนางจึงเอ่ยขึ้น “พระสนม นั่งก่อนเถิดเพคะ”


 


 


“อืม ข้ามิเป็นไร” หยางอวี้หลิงถูกหลิงเซียงประคองเดินช้าๆไปยังเก้าอี้ แต่เมื่อนางคิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ ไฟโทสะก็กลับลุกโชนขึ้นในอกของนางอีกระลอกหนึ่ง


 


 


“หลิงเซียง เจ้าว่าฝ่าบาททรงพิโรธข้าแล้วใช่หรือไม่” เวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่ง หยางอวี้หลิงจึงเอ่ยปากถามขึ้นแล้วส่งเสียงสะอึกสะอื้นตามมา “แต่ไหนแต่ไรฝ่าบาทไม่เคยปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ วันนี้พระองค์ทิ้งข้าไว้แล้วเดินจากไปเพียงลำพัง หลายปีที่ผ่านมานี้พระองค์เคยทำแบบนี้ด้วยหรือ? พระองค์ทรงพิโรธข้าแล้ว…”


 


 


หลิงเซียงมองร่างอันบอบบางของคุณหนูที่กำลังโกรธเกรี้ยวจากทางด้านหลังแล้วถอนใจ


 


 


กฎต้องห้ามของวังหลวงคือห้ามมีความรัก ทว่า…


 


 


“พระสนม อย่าคิดมากไปเลยเพคะ” หลิงเซียงค่อยๆ ประคองคุณหนูที่กำลังนั่งซุกหน้าอยู่ในอกของตนให้ออกห่างพลางเอ่ย “ในใจของฝ่าบาทจะต้องมีพระสนมอยู่อย่างแน่นอน แต่เรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย พระองค์จึงต้องปฏิบัติอย่างเป็นธรรมเพราะพระองค์คือฮ่องเต้นะเพคะ หากฝ่าบาททรงไม่สนพระทัยพระสนมแล้วจริงๆ แล้วจะส่งคนเอาของว่างเหล่านี้มาให้พระสนมทำไมกันเพคะ”


 


 


“มากินของว่างก่อนเถิดเพคะ อีกประเดี๋ยวหากฝ่าบาทมาที่นี่แล้วเห็นพระสนมเป็นแบบนี้ คงไม่น่าดูสักเท่าไรนะเพคะ” หลิงเซียงเอ่ยขึ้นพลางปล่อยมือออกจากนางช้าๆ จากนั้นจึงถอยออกไปด้านข้างเพื่อยกของว่างที่เตรียมพร้อมไว้แล้วเข้ามา “จนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าพระสนมยังไม่ค่อยได้กินอะไรเลยนะเพคะ กินให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่เถิดเพคะ”


 


 


หยางอวี้หลิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับใบหน้า อันที่จริงนางไม่ได้กินอะไรในงานเลี้ยงเลยแม้แต่คำเดียว เพราะในตอนนั้นนางจะเอาอารมณ์และความอยากอาหารมาจากที่ใดเล่า


 


 


“นี่เป็นขนมเปี๊ยะกุหลาบที่พระสนมชอบกินที่สุดเพคะ” หลิงเซียงส่งจานให้อย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงถอยกลับไปด้านข้าง


 


 


“อืม” หยางอวี้หลิงค่อยๆ พยักหน้า แล้วเอามือหยิบของว่างขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ทว่าขณะที่กำลังจะเอาเข้าปากอยู่นั้นกลับได้กลิ่นอันรุนแรงของขนมเปี๊ยะกุหลาบชิ้นนั้นเข้า


 


 


“แหวะ! แค็กๆ แค็กๆ”


 


 


“พระสนม! เป็นอะไรไปเพคะ!” หลิงเซียงเห็นดังนั้นเข้าจึงตกใจ “พวกเจ้ามัวแต่ยืนมองกันอยู่นั่นละ! รีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!”


 


 


“พระสนมเพคะ ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ หม่อมฉันจะพยุงไปนอนพักที่เตียงนะเพคะ”


 


 


“ไม่เป็นไร” หยางอวี้หลิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแค่ได้กลิ่นขนมเปี๊ยะกุหลาบก็เท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อยู่ๆ ก็คลื่นไส้อยากจะอาเจียนออกมา” หยางอวี้หลิงเอามือทุบอกตนเองพยายามที่จะไล่อาการคลื่นเ**ยนนั้นกลับลงไป


 


 


“เอาขนมเปี๊ยะกุหลาบนั่นไปวางไว้ไกลๆ เถิด ข้าได้กลิ่นแล้วรู้สึกอยากจะอาเจียน”


 


 


“เพคะ” หลิงเซียงยกของว่างถ้วยนั้นออกไปพลางขบคิดอะไรบางอย่าง


 


 


อาการแบบนี้…พระสนมคงมิใช่มีครรภ์แล้ว? ทว่าอาการเช่นนี้คล้ายจะเป็นแบบนั้นมาก หลิงเซียงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันที่ผ่านมา หยางอวี้หลิงก็มีท่าทางกินอะไรไม่ลงเช่นนี้ เดิมทีนางคิดว่าคงเป็นเพราะอากาศร้อนเป็นเหตุ ความเป็นจริงแล้วคงมิใช่ว่า…


 


 


“พี่หลิงเซียง หมอหลวงหลี่มาแล้วเจ้าค่ะ” นางในคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา


 


 


“อ้อ รีบพาเข้ามาตรงนี้เถิด” ตอนนั้นหลิงเซียงเริ่มได้สติ “หมอหลวงหลี่ ท่านรีบดูอาการให้พระสนมทีเถิดว่าเป็นอะไรกันแน่ เป็นเพราะร่างกายของคุณหนูหรือว่าเป็นเพราะขนมเปี๊ยะกุหลาบชิ้นนี้” 

 

 


ตอนที่ 61 ตั้งครรภ์

 

“หมอหลวงหลี่” ตอนนี้หยางอวี้หลิงนอนอยู่บนเตียง นางมีสีหน้าหม่นหมอง “ท่านช่วยตรวจให้ข้าที ข้า…แหวะ แค็กๆๆ” หยางอวี้หลิงพูดได้เพียงครึ่งประโยคก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอีก


 


 


“พระสนมรอประเดี๋ยว” หมอหลวงหลี่ถอยหลังไปครึ่งก้าว “พระสนมโปรดส่งมือให้กระหม่อม กระหม่อมจะได้ตรวจชีพจรได้สะดวกพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลี่เอ่ยขึ้นพลางหยิบอุปกรณ์ทั้งหมดในกล่องยาออกมาอย่างระมัดระวัง


 


 


“อืม รบกวนหมอหลวงหลี่ด้วย”


 


 


หมอหลวงหลี่หลับตาลง เขาสงบนิ่งเพื่อจับการเต้นของชีพจรที่ซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์ จากนั้นคิ้วของเขาจึงค่อยๆ เลิกขึ้น


 


 


เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อเขายืนยันถึงบางสิ่งได้แล้วจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “รบกวนแม่นางหลิงเซียงส่งขนมเปี๊ยะกุหลาบจานนั้นมาให้ข้าตรวจดูหน่อยเถิด”


 


 


หลิงเซียงไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใด เพราะท่าทางของหมอหลวงหลี่เคร่งเครียด พลอยทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ หายใจไม่ทั่วท้องไปด้วย


 


 


“หมอหลวงหลี่ นี่เจ้าค่ะ” หลิงเซียงเอ่ยขึ้นพลางยื่นจานที่อยู่ในมือของตนให้อย่างระมัดระวัง


 


 


หมอหลวงหยิบขนมเปี๊ยะกุหลาบขึ้นมาดมหนึ่งชิ้น จากนั้นจึงหยิบเข็มเล่มหนึ่งขึ้นมาลองจิ้มไปที่ขนม จากนั้นจึงถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ร่างกายพระสนมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่เป็นเพราะกลีบดอกไม้ที่อยู่ในขนมเปี๊ยะกุหลาบไม่สดใหม่เท่านั้น ตอนนี้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ของเหล่านี้ยากต่อการเก็บรักษา คราวหน้าขอให้พระสนมเก็บและปรุงอาหารวันต่อวัน หากทำได้ก็จะไม่เกิดอาการเช่นนี้อีก”


 


 


“อ้อ เช่นนี้นี่เอง ข้าทราบแล้ว” หยางอวี้หลิงพยักหน้ารับเงียบๆ “หลิงเซียงส่งหมอหลวงหลี่แทนข้าด้วย”


 


 


“เพคะ หมอหลวงหลี่เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”


 


 


“ทำให้แม่นางหลิงเซียงลำบากแล้ว”


 


 



 


 


ณ พระตำหนักหย่างซิน


 


 


ตอนนี้ลี่หยวนตี้กำลังทรงพระอักษร ทว่าเนื่องด้วยเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในงานฉลองวสันตฤดู ในพระทัยจึงว้าวุ่นตลอดมาราวกับว่ากำลังจะเกิดเหตุบางอย่างขึ้น แต่กลับมิอาจล่วงรู้ได้จึงทำให้อึดอัดใจยิ่งนัก


 


 


“ฝ่าบาท” ตอนนั้นเองขันทีหลี่อันก็เดินเข้ามาแล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท หมอหลวงหลี่ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เชิญเข้ามาเถิด” ลี่หยวนตี้ทอดพระเนตรตัวอักษรที่เขียนได้เพียงครึ่งตัวบนกระดาษเซวียนจื่อ[1] ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้น


 


 


อีกครู่หนึ่งค่อยกลับมาฝึกต่อก็แล้วกัน


 


 


“ฝ่าบาท” หมอหลวงหลี่คารวะแล้วเอ่ยขึ้น “กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“พวกเจ้าออกไปก่อน” ลี่หยวนตี้โบกมืออย่างเชื่องช้า ทุกคนจึงทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไร แล้วถอยออกไปทีละคน สุดท้ายในพระตำหนักจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน ลี่หยวนตี้จึงเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หมอหลวงหลี่มาหาข้า มีเรื่องสำคัญใดหรือ”


 


 


“กราบทูลฝ่าบาท พระสนมหยาง…นางตั้งพระครรภ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อหมอหลวงหลี่เอ่ยจบศีรษะของเขาคล้ายก้มต่ำลงอีก ลมหายใจของเขาก็ชะงักไปชั่วครู่ด้วยเช่นกัน


 


 


พระตำหนักเงียบสงัดไร้สรรพเสียง เสียงใดๆ ที่ดังขึ้นล้วนถูกขยายให้ดังขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่าตัว ตอนนี้เสียงที่ดังขึ้นล้วนมาจากด้านนอกพระตำหนักที่พอจะคืนชีวิตชีวากลับมาได้บ้าง


 


 


เวลาเนิ่นนานผ่านไป ลี่หยวนตี้จึงตรัสขึ้นช้าๆ ว่า “ตั้งพระครรภ์แล้วหรือ มีผู้ใดอีกที่รู้เรื่องนี้” นิ้วของลี่หยวนตี้เคาะเบาๆ อยู่บนตัวอักษรครึ่งตัวนั้น น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความกระตือรือร้นใด


 


 


“กราบทูลฝ่าบาท มิมีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลี่เอ่ยขึ้นโดยใช้โอกาสตอนนี้เช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นบนหน้าผากของตัวเอง “เมื่อกระหม่อมออกจากพระราชวังลิ่งอันมาก็ตรงมาหาฝ่าบาทที่นี่ กระหม่อมกราบทูลพระสนมหยางว่า อาการที่เกิดขึ้นเกิดจากอาหารไม่สดใหม่ ดังนั้นตอนนี้ผู้ที่ทราบเรื่องนี้มีเพียงกระหม่อมและฝ่าบาทเท่านั้นพะย่ะค่ะ”


 


 


“เช่นนั้นข้าขอถามหมอหลวงหลี่ว่า เด็กมีอายุกี่เดือนแล้ว”


 


 


“ยังไม่เต็มสามเดือนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“อย่างนี้เอง” ลี่หยวนตี้เหม่อมองจากบนเก้าอี้แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าฉงน “ดังนั้นตอนนี้เด็กในครรภ์คงยังไม่แข็งแรงใช่หรือไม่หมอหลวงหลี่”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หมอหลวงหลี่รู้สึกได้ถึงความเคร่งขรึมของโอรสสวรรค์ที่อยู่เบื้องหน้าตน ตอนนั้นเขาจึงแอบรู้สึกเสียใจ หากรู้เสียแต่แรกวันนี้คงเชิญพระองค์สรงน้ำให้สบายอารมณ์เสียยังจะดีกว่า! จะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้


 


 


“หมอหลวงหลี่ปราดเปรื่องยิ่งนัก” ลี่หยวนตี้เอ่ยขึ้น “ผู้ปราดเปรื่องควรจะทำเช่นไรต่อ คงมิต้องให้ข้าพูดอีก ใช่หรือไม่”


 


 


หมอหลวงหลี่ได้ยินน้ำเสียงของลี่หยวนตี้ที่แม้ดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่น้ำเสียงกลับเย็นชาเสียจนทำให้เขาเริ่มตัวสั่น จึงรีบคุกเข่าลงแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมทราบดีว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“อืม ส่วนเด็กผู้นั้น…หมอหลวงหลี่ ในเมื่อช่วงนี้พระสนมหยางร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ข้าจะส่งเจ้าไปเป็นหมอประจำพระสนมหยาง เจ้าว่าดีหรือไม่”


 


 


“กระหม่อม กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท” หมอหลวงหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางคุกเข่าทำความเคารพ


 


 


“เอาละ หากหมอหลวงหลี่ไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว วันนี้ก็เอาไว้เท่านี้เถิด” เมื่อลี่หยวนตี้เห็นชายชราที่หมอบตัวสั่นอยู่กับพื้น สายตาของเขาจึงฉายแววเคร่งเครียดขึ้น ทว่าเพียงชั่วครู่ก็สามารถผ่อนคลายได้


 


 


“กระหม่อมทูลลา”


 


 


“ไปเถิด”


 


 


หลังจากที่หมอหลวงหลี่ออกไปแล้ว ลี่หยวนตี้ก็นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้เพื่อคิดพิจารณาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด


 


 


เมื่อเร็วๆ นี้เขาเพิ่งจะค้นพบจุดอ่อนประการหนึ่งของหยางเกิ่งรั่ง อีกทั้งยังเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก นี่ยังนับเป็นความบังเอิญอีกหรือ หรือว่ามีผู้ใดตั้งใจให้เป็นเช่นนี้


 


 


คิดถึงตรงนี้ลี่หยวนตี้พลันลืมตา แล้วลุกขึ้นกวาดสายตาอันน่าหวาดหวั่นไปรอบตัว


 


 


‘ช่างเถิด’ ลี่หยวนตี้หัวร่อ ถึงอย่างไรเรื่องราวทั้งหมดก็คงจะปรากฏให้เห็นภายในเร็ววันนี้


 


 



 


 


บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำ สุดท้ายแล้วซูปั๋วชวนก็รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในงานฉลองวสันตฤดู ทว่ากลับมิได้มีท่าทีตำหนิซูเหลียนอวิ้นแต่อย่างใด เป็นเพราะสายตาอันใสซื่อของลูกสาวที่จับจ้องเขาอยู่ ต่อให้ลูกสาวตนก่อเรื่องจริง ก็คงต้องโทษชะตาของคนผู้นั้นที่ไม่ดีเอง ริอาจมามีปัญหากับอวิ้นเอ๋อร์!


 


 


จากนั้นก็เป็นการก่นด่าจิตใจอาฆาตริษยาของคนตระกูลหยาง ที่แม้แต่สตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่งยังไม่ยอมอภัยให้ เขารู้สึกว่าน่ารังเกียจยิ่ง!


 


 


อันเพ่ยอิงพอได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็หัวเสียไม่น้อย แต่ซูปั๋วชวนได้พูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจของนางไปจนหมดแล้ว นางจึงไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยอีก ทำได้เพียงกำชับสาวใช้ของนางให้ทำอาหารประเภทซุปถั่วเขียวไปให้ซูเหลียนอวิ้นทุกวัน


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ พ่อคิดว่าจะปล่อยลูกไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว!”


 


 


เมื่อซูปั๋วชวนพร่ำบ่นจนสาแก่ใจแล้วก็หันกลับมาพูดว่า “ผู้ที่ติดตามลูกจะไร้วรยุทธ์ได้อย่างไร แถมวันนี้ยังเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ไม่แน่พวกเขาอาจจะเห็นจุดอ่อนนี้ และเตรียมจะลงมือกับลูกอีกก็ได้! เพราะคนตระกูลหยางเป็นพวกจิตใจโหดร้าย พ่อจะหาผู้มีวรยุทธ์ไว้คอยปกป้องเจ้าสักคน อย่างน้อยพ่อก็วางใจได้”


 


 


ซูมั่วเยี่ยได้ยินซูปั๋วชวนกล่าวเช่นนี้จึงพยักหน้ารับ “ท่านพ่อกล่าวได้ถูกต้อง ให้พี่หาองครักษ์คอยดูแลเจ้าสักคนเถิด”


 


 


ซูปั๋วชวนเลิกคิ้วขึ้น “เฮ้ย! ไอ้เด็กนี่! เห็นชัดๆ ว่าเป็นความคิดของข้า เหตุใดต้องให้เจ้าเลือกคนให้ด้วย มิได้ เจ้าดูคนเป็นหรือ ให้พ่อเลือกให้น้องเองจะดีกว่า”


 


 


สีหน้าของซูมั่วเยี่ยยังคงเรียบเฉย “ท่านพ่อ คนของท่านอย่างน้อยๆ อายุก็ปาไปสามสิบแล้วทั้งนั้น ดูไปช่างไร้ชีวิตชีวา…สู้ให้ข้าเลือกให้น้องหญิงไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยหน้าตาก็ไม่ถึงขั้นน่ากลัวจนทำให้คนรอบข้างต้องตื่นตระหนก”


 


 


 


 


——


 


 


[1] กระดาษเซวียนจื่อ คือ กระดาษที่มีลักษณะขาวเนียน เนื้อละเอียด นุ่มเหนียวทนทาน ดูดซับน้ำหมึกได้ดี เหมาะสำหรับการเขียนพู่กันและวาดรูป 

 

 


ตอนที่ 62 ยำเกรง

 

“เจ้านี่!” ซูปั๋วชวนขมวดคิ้ว “เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ! มาว่าว่าคนของพ่อมีแต่คนแก่ได้อย่างไร ข้าดูแก่? ห๊ะ?” ซูปั๋วชวนได้ยินซูมั่วเยี่ยพูดแบบนี้ย่อมต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง บังอาจมาว่าว่าตนแก่ต่อหน้าลูกสาวสุดที่รักได้อย่างไร เขาจะต้องสั่งสอนเจ้าเด็กนี่สักหน่อย!


 


 


“ท่านพ่อ!” ซูมั่วเยี่ยลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อหลบฝ่ามือที่พุ่งเข้าใส่ “เช่นนั้นท่านก็ถามน้องหญิงเลยไม่ดีกว่าหรือ ท่านจะได้รู้ว่าน้องหญิงต้องการคนของท่านหรือว่าต้องการคนของข้า ลองถามน้องดูก็รู้แล้ว”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นสบตาคู่นั้น พลันรู้สึกเหมือนว่าตนกำลังนั่งอยู่บนพรมที่มีเข็มทิ่มแทง


 


 


“ลูก…ลูกยังไงก็ได้เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา


 


 


ทว่าหลังจากผ่านไปเพียงครู่เดียวก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตนตัดสินใจเลือก “ลูกเลือกคนของท่านพี่ก็แล้วกันเจ้าค่ะ…เพราะว่าคนของท่านพ่อล้วนเป็นผู้ช่วยมือซ้ายและมือขวาของท่าน ให้พวกเขามาดูแลผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างข้าคงจะไม่สมกับความสามารถของพวกเขาเท่าไหร่นัก” พูดจบก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความเขินอาย


 


 


แน่นอนว่าความจริงที่ซูเหลียนอวิ้นคิดไม่ใช่แบบนี้!


 


 


สิ่งที่พี่ชายพูดนั้นคือความจริง ปกตินางเองใช่ว่าจะไม่เคยเห็นคนที่ติดตามซูปั๋วชวนกลับมา ทุกคนล้วนเป็นประเภท…ร่างกายสูงใหญ่กำยำบึกบึน มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้มีวรยุทธ์ทั้งสิ้น!


 


 


ทว่านางเองก็เป็นเพียงดรุณีน้อยนางหนึ่ง! หากจะต้องเลือกคนสักคนมาคอยตามติดอยู่ข้างกายนาง คนที่นางจะต้องเห็นหน้าเขาเป็นประจำ นางก็ขอเลือกคนที่ดูดีหน่อยก็แล้วกัน! ถือว่าเป็นอาหารตาของนางก็ได้


 


 


ซูมั่วเยี่ยได้ยินคำตอบดังนั้นก็พยักหน้าอย่างพออกพอใจ จากนั้นก็ยักไหล่ให้ซูปั๋วชวนด้วยทีท่าไร้เดียงสา “ท่านพ่อเห็นแล้วใช่หรือไม่ น้องสาวเลือกคนของข้า ท่านไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว”


 


 


“เจ้าจะได้ใจอะไรนักหนา ฮึ!” ซูปั๋วชวนทิ้งตัวนั่งลงทันที หลังจากยกน้ำเทเข้าปากแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้ฟังที่น้องเจ้าพูดหรือว่าเสียดายทหารของข้าต่างหาก และก็เป็นเพราะว่าเป็นห่วงข้า! เจ้าจะได้ใจอะไรนักหนา…”


 


 


ซูมั่วเยี่ยผู้เป็นฝ่ายชนะในสนามนี้ย่อมไม่สนใจในคำพูดโต้แย้งใดๆ ของซูปั๋วชวน “ที่ท่านพ่อพูดนั้นถูกต้อง” จากนั้นจึงหันกลับมาเอ่ยว่า “เช่นนั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะ พรุ่งนี้จะพาคนมาให้เจ้า”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้ากลับพร้อมท่านพี่เลยก็แล้วกัน ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ อวิ้นเอ๋อร์ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”


 


 


หวังฉือหวนได้ยินดังนั้นจึงลืมตาขึ้นแล้วโบกมือพลางเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าระวังตัวกันด้วย ส่วนลูกกับฮูหยินก็กลับกันไปเถิด ตอนนี้ข้าเองก็ง่วงมากแล้ว”


 


 


“ขอรับท่านแม่”


 


 


“เช่นนั้นวันพรุ่ง ลูกกับอันเพ่ยอิงจะแวะมาเยี่ยมท่านแม่ใหม่”


 


 


“ไปเถิดๆ” หวังฉือหวนโบกมือ


 


 



 


 


เมื่อคืนซูเหลียนอวิ้นหลับสนิท ตอนนี้นางยิ้มพลางจ้องมองไปยังแสงตะวันที่ค่อยๆ สาดส่องเข้ามาในห้องของนาง


 


 


ดียิ่ง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดไม่ใช่ความฝัน


 


 


ทว่าหากเป็นความฝันจริง ได้โปรดให้ความฝันนี้คงอยู่ต่อไปอย่าได้สลายไปก่อนเลย


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ” เมื่อหลีมู่เปิดม่านขึ้น ภาพที่นางมองเห็นคือซูเหลียนอวิ้นกำลังยิ้มให้แสงตะวันอยู่ “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายใหญ่บอกว่ากำลังจะพาคนมาให้คุณหนู ตอนนี้คุณหนูรีบไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


“อืม พามาสิ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าอย่างเบิกบานใจแล้วบิดขี้เกียจทีหนึ่ง “วันนี้อากาศดีจริง!”


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ” ตอนนี้หลีมู่เองก็กำลังยิ้ม “วันนี้คุณหนูดูอารมณ์ดีนะเจ้าคะ”


 


 


“แน่นอน!” ฝันดีที่พอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเป็นเรื่องจริง จะมีเรื่องใดดีกว่านี้อีก


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นอาบน้ำเรียบร้อย นางจึงส่องกระจกเงาอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสมากขึ้นกว่าเดิม


 


 


ไม่เลวๆ วิธีนั้นได้ผลจริงๆ รอยคล้ำใต้ตาหายไปหมดแล้ว


 


 


วันอันสมบูรณ์แบบกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!


 


 


“เจ้าตื่นแล้วหรือยัง” เสียงของซูมั่วเยี่ยดังขึ้นจากด้านนอกห้อง


 


 


“มาแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นรีบเก็บกระจกเงา พลางลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกไปด้านนอก “ท่านพี่ ทำไมถึงมาเร็วเช่นนี้”


 


 


“เร็วที่ไหนกันเล่า” ซูมั่วเยี่ยยิ้ม จากนั้นจึงเอียงตัวแล้วผายมือไปยังชายชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลัง “เขามีนามว่าหลานเย่ว์ ต่อไปเขาจะเป็นองครักษ์ประจำตัวของเจ้า”


 


 


“หลานเย่ว์…” ซูเหลียนอวิ้นพึมพำชื่อของเขาเบาๆ จากนั้นจึงมองสำรวจผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าตนอย่างละเอียด


 


 


หน้าตาไม่เลว แม้จะไม่หล่อเหลาเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่พวกรูปร่างกำยำบึกบึน เป็นใช้ได้ นางพอใจไม่น้อย!


 


 


“ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นลูบแขนเสื้อของซูมั่วเยี่ยไปมาเพื่อแสดงออกว่าตนพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“เจ้าชอบก็ดีแล้ว” ซูมั่วเยี่ยเองก็ใช้โอกาสนี้ลูบผมนางเบาๆ เช่นกัน “เช่นนั้นพี่ขอตัวก่อน วันนี้ที่ค่ายทหารยังมีงานคั่งค้าง หากยังมีปัญหาอะไร เจ้ารอให้พี่กลับมาก่อนแล้วค่อยมาหาก็ได้”


 


 


“เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นปล่อยแขนเสื้อ “ท่านพี่เดินระวังด้วย”


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นมองจนเงาด้านหลังของซูมั่วเยี่ยลับตาไปแล้วก็รีบหันตัวกลับมา เหลือบตามองหลานเย่ว์แล้วถามว่า “เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง”


 


 


“ข้า…” หลานเย่ว์คิดไม่ถึงว่าคำถามแรกที่ซูเหลียนอวิ้นถามเขาจะเป็นคำถามนี้ นางจะไม่พูด…นับจากนี้เป็นต้นไปเจ้าเป็นคนของข้า! ต้องเชื่อฟังข้า! หรือคำพูดที่ไร้สาระทำนองนี้หรอกหรือ


 


 


“หืม?” ซูเหลียนอวิ้นเอียงคอ


 


 


“ข้า ข้าชำนาญการต่อสู้ด้วยดาบ” หลานเย่ว์ตอบคำถามอย่างระวังตัว


 


 


“อ้อ เช่นนั้นหรือ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “งั้นเจ้าก็นำดาบของเจ้าออกมาเถิด พวกเรามาประลองกันสักตั้งดีหรือไม่”


 


 


“คุณหนูหมายความว่าอย่างไร…”


 


 


ประลองดาบ? ก่อนที่เขาจะมาเขาไม่เคยได้ยินซูมั่วเยี่ยบอกมาก่อนเลยว่าน้องสาวของเขามีวรยุทธ์ด้วย เขาเพียงรู้คร่าวๆ ว่าช่วงนี้ซูมั่วเยี่ยได้สอนวิชาป้องกันตัวให้น้องสาวตนอยู่บ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


 


ไม่ใช่ว่ามีวิชาป้องกันตัวเล็กน้อย แต่คิดจะมาท้าเขาประลองหรอกนะ เขาควรพูดว่าคุณหนูผู้นี้ความคิดอ่านหุนหันพลันแล่นไปหน่อย หรือว่าอวดดีเกินไปกันแน่?


 


 


“คุณหนูใหญ่ขอรับ โปรดอย่าก่อเรื่องเลย” หลานเย่ว์เลิกคิ้วขึ้น “ข้ามาที่นี่เพื่อดูแลความเป็นความตายของท่าน”


 


 


ไม่ได้มาเพื่อก่อเรื่องวุ่นวาย


 


 


“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยพลางถกแขนเสื้อของตนขึ้น “ในเมื่อข้ากล้าเอ่ยปาก นั่นย่อมหมายความว่าข้าเตรียมตัวมาดีแล้ว”


 


 


“ท่านพี่พาเจ้าออกมาจากที่ของเจ้า และวันนี้ก็ได้มอบหมายเจ้าให้มาคอยคุ้มกันน้องสาวอย่างข้า ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ในใจของเจ้าย่อมต้องไม่พอใจอยู่บ้าง อย่างนั้นพวกเรามาประลองกันสักตั้งไม่ดีกว่าหรือ หากข้าแพ้ ข้าจะไปขอร้องท่านพี่ให้พาตัวเจ้ากลับไป แต่หากข้าชนะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจะต้องฟังคำสั่งของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ห้ามฟังแม้แต่คำสั่งของพี่ชายข้า แบบนี้ดีหรือไม่”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นถกแขนเสื้อขึ้นเรียบร้อย แววตาซุกซนของนางมองไปยังชายผู้มีท่าทีประหลาดใจผู้นั้น “สิบกระบวนท่าก็แล้วกัน เจ้าลงมือสิบกระบวนท่า หากข้าสามารถหลบหรือหาโอกาสโจมตีเจ้าถึงชีวิตได้ ให้ถือว่าข้าเป็นฝ่ายชนะ หากข้าหลบไม่ได้ก็ให้ถือว่าข้าเป็นฝ่ายแพ้”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นรู้ดีว่าคนประเภทนี้มักมีอารมณ์เกรี้ยวกราดแฝงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่สามารถสยบเขาให้ยำเกรงได้ และนั่นก็คงเป็นสาเหตุให้หลานเย่ว์ไม่พอใจและไม่เคารพนาง ซึ่งนั่นไม่ถูกต้อง ในเมื่อจะมาทำงานให้นางแล้ว นางจะต้องเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้น!


ตอนที่ 63 โจมตีถึงชีวิต

 

เมื่อซูเหลียนอวิ้นถกแขนเสื้อขึ้นเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยว่า “เข้ามาเลย”


 


 


“คุณหนู! นี่กำลังจะทำอะไรกันเจ้าคะ!” เมื่อหลีมู่ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก ก็รีบวิ่งออกมาดูทั้งที่ยังอุ้มกาละมังอยู่ในมือ ก่อนจะชะงักมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน


 


 


“อืม ทำไมเหรอ มิได้หรือ” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้ว “มีปัญหาอะไร”


 


 


“คุณหนู! ” เมื่อหลีมู่ได้ยินดังนั้นจึงรีบวางถังที่อุ้มไว้ในอกลงแล้ววิ่งช้าๆ เข้าไปหาซูเหลียนอวิ้น “คุณหนูเจ้าคะ องครักษ์หลานผู้นี้แค่ดูก็รู้แล้วว่าวรยุทธ์แกร่งกล้า! หากพลั้งมือทำให้คุณหนูบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า!”


 


 


รูปโฉมหน้าตาของสตรีนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ต่อให้เป็นผมแค่เส้นเดียวสตรีโดยทั่วไปก็ทะนุถนอมอย่างกับอะไรดี อีกอย่างสิ่งที่คุณหนูทะนุถนอมมากที่สุดมิใช่รูปโฉมตนหรอกหรือ หากไม่ทันระวังต่อให้ไม่โดนใบหน้าแต่พลาดไปโดนแขนขาก็ไม่ได้เช่นกัน! ปกติแล้วคุณหนูของตนหลีกเลี่ยงสิ่งนี้มาตลอด แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ” หลีมู่สูดหายใจลึกแล้วเกลี้ยกล่อมต่อ “ครั้งนี้มิใช่การประลองหมากล้อมนะเจ้าคะ แต่ต้องลงไม้ลงมือด้วย! หากคุณหนูได้รับบาดเจ็บจะทำอย่างไร ถึงเวลานั้นจะมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว!”


 


 


“ไม่เป็นไร” สีหน้าซูเหลียนอวิ้นหาได้ใส่ใจต่อสิ่งใดไม่ “หลีมู่หากเจ้ากลัวก็เข้าไปหลบในเรือนก่อน ไม่ต้องดูก็ได้ นี่เป็นคำสั่งของคุณหนูของเจ้า เจ้ามิต้องคิดมาก” หลังจากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาทางหลานเย่ว์ที่อยู่ด้านหลัง “ท่านเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่ ข้าพร้อมเริ่มทุกเมื่อ”


 


 


“ข้า…” หลานเย่ว์อึดอัดและไร้วาจา “คุณหนูขอรับ น้ำหนักมือของข้าไม่หนักไม่เบา ที่แม่นางหลีมู่เอ่ยนั้นมิผิด หากข้าพลาดพลั้งทำคุณหนูบาดเจ็บต้องแย่แน่”


 


 


แม้คำพูดจะฟังดูไพเราะและให้ความเคารพ แต่สายตาของเขากลับแสดงออกว่าซูเหลียนอวิ้นไม่ควรก่อเรื่องวุ่นวายและอยากที่จะเอาชนะ


 


 


“หลีมู่เจ้าไปยืนอยู่ด้านนั้นก่อนเถิด ข้ากับองครักษ์หลานมีเรื่องจะต้องคุยกัน” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเสียงแข็งและชี้ไปยังปากประตู


 


 


“คุณหนู!” หลีมู่รู้ดีว่านี่คืออากัปกิริยาที่บ่งบอกว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังโกรธ


 


 


หากซูเหลียนอวิ้นโกรธ นางจะไม่ขว้างปาสิ่งของ ทุบตีหรือก่นด่าผู้อื่น แต่รอบตัวของนางจะมีรัศมีประเภทหนึ่งที่บ่งบอกว่า…ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดีอย่ามากวนอารมณ์เชียว แม้ว่าหลีมู่อยากจะกล่าวยับยั้งอีกสักคำสองคำ แต่เมื่อเผชิญกับสายตาทรงพลังคู่นั้นกลับรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา


 


 


นางจึงวิ่งหัวหดไปยังปากประตูอีกด้านหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขานตอบเบาๆ


 


 


พอซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหลีมู่เดินออกไปไกลแล้ว จึงก้าวสองก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้าหลานเย่ว์


 


 


“คิดเสียว่านี่คือบททดสอบเจ้าก็แล้วกัน เป็นบททดสอบว่าเจ้าเชื่อฟังข้าหรือไม่ เพราะเจ้ากับท่านพี่เอ่ยปากไว้แล้วมิใช่หรือว่าจากนี้เป็นต้นไป เจ้าคือคนของเรือนข้า ทั้งข้ายังเป็นเจ้านายคนเดียวในเรือนหลังนี้ แล้วเจ้าจะยังไม่ฟังข้าอีกหรือ”


 


 


ตอนนี้หลานเย่ว์ตกอยู่สถานการณ์ยื่นคอไปข้างหน้าก็เจอมีดหดหัวกลับก็เจอมีด[1] เช่นกัน


 


 


หากเขารับคำท้าประลองกับซูเหลียนอวิ้น เขาก็เกรงว่าตนจะพลั้งมือทำนางบาดเจ็บ ต่อไปก็คงเข้าหน้าซูมั่วเยี่ยไม่ติด ทว่าหากไม่รับคำท้า? นั่นก็จะกลายเป็นว่าเขาขัดคำสั่งเจ้านายตัวเอง? หากเกิดเป็นบ่าวไพร่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดหาใช่ฝีมือดีหรือฉลาดหลักแหลมหรือไม่


 


 


แต่เป็นการยอมรับ หากแม้แต่การยอมรับเชื่อฟังยังทำไม่ได้ แล้วเจ้านายจะเก็บเจ้าไว้ทำอะไร


 


 


“ตัดสินใจได้แล้วหรือไม่” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นเขามีสีหน้าราวกับมีความแค้นใจฝังลึกเช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกระตุ้นขึ้นสักหน่อย “ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด เจ้ารีบตัดสินใจเร็วเข้า”


 


 


หลานเย่ว์เงยหน้าขึ้น เมื่อเขาเห็นรูปร่างท่าทางของซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มกัดฟัน หรือว่าคุณหนูใหญ่ซูผู้นี้จะเป็นพวกคมในฝัก ถึงอย่างไรก็เป็นน้องสาวของซูมั่วเยี่ย บางทีวรยุทธ์อาจจะไม่ต่างกันมากเท่าไหร่นัก


 


 


“ตกลงขอรับ” หลานเย่ว์กัดฟันพยักหน้า “เช่นนั้นคุณหนูกรุณารับประกัน หากข้าพลาดพลั้งลงมือทำให้คุณหนูต้องเจ็บตัวขึ้นมาจริงๆ ขอคุณหนูได้โปรดอย่าเอาผิดข้า”


 


 


“พูดได้ดี” ริมฝีปากของซูเหลียนอวิ้นเผยรอยยิ้มแล้วหลับตาคล้ายกับกำลังสงบอารมณ์ตน จากนั้นจึงลืมตาขึ้นด้วยสีหน้านิ่งขรึมแล้วเอ่ยว่า “สิบกระบวนท่า หากเจ้าตัดสินใจได้แล้วก็เริ่มลงมือได้ ข้าพร้อมทุกเมื่อ”


 


 


เมื่อหลานเย่ว์เห็นนางตั้งท่าเรียบร้อย สายตาของเขาก็ฉายแววครุ่นคิด “เช่นนั้น คุณหนูก็เตรียมรับมือเถิด”


 


 


สิ้นคำ กระบี่ถูกชักออกมาจากปลอกในพริบตา แล้วโจมตีเข้าใส่ตรงหน้าของซูเหลียนอวิ้น


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเห็นกระบี่นั้นพุ่งตรงเข้ามายังตนเอง ขอเพียงมือเท้าว่องไวจะหลบอย่างไรก็พ้น นางเบี่ยงตัว การโจมตีครั้งแรกนี้ นางหลบพ้น


 


 


“กระบวนท่าแรก” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้น “กระบวนท่าต่อไป!”


 


 


หลานเย่ว์หรี่ตา เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นหลบกระบี่ของตนได้อย่างว่องไวเช่นนี้ ดูๆ แล้ว เมื่อครู่ที่ซูเหลียนอวิ้นมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น ใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุ


 


 


“คุณหนู เริ่มต่อเลย” หลานเย่ว์ไม่สนใจรอบข้างแล้วเริ่มร่ายกระบวนท่าต่อมา


 


 


เวลานี้หลีมู่กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ที่ห่างออกไปเพียงครึ่งจั้ง[2] โดยยกมือขึ้นมาบังใบหน้าตนเอาไว้ เพราะตอนนี้นางกำลังเกิดความกลัว ไม่ว่าจะเป็นความกลัวต่ออาวุธที่ใช้ในการต่อสู้ หรือความกลัวว่าหลานเย่ว์จะพลั้งมือทำคุณหนูต้องบาดเจ็บล้วนเป็นความกลัวทั้งสิ้น


 


 


เฮ้อ นางมิอาจวางใจได้เสียทั้งหมด จะไม่ให้สนใจเลยได้อย่างไร! เพราะหากปิดหน้าไว้ทั้งหมดก็จะมองไม่เห็น แต่หูก็ยังได้ยินเสียงอยู่! ความรู้สึกแบบนั้นไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ต้องร้อนใจ


 


 


แต่พอหลีมู่เห็นทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดจึงตัดสินใจไม่ปิดหน้าอีกต่อไป นางประนมมือภาวนาจะดีกว่า!


 


 


ขอเทพยดาและพระโปรดคุ้มครองด้วยเถิด! ช่วยปกปักรักษาอย่าให้เกิดเรื่องกับคุณหนูของนางเลย


 


 


“คุณหนูใหญ่เคลื่อนไหวดียิ่ง” หลานเย่ว์เอ่ยชม เพราะยิ่งลงมือมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งค้นพบว่า คุณหนูใหญ่ซูนางนี้ไม่ได้เป็นเหมือนเช่นที่ข่าวลือแพร่สะพัดออกไป


 


 


แต่ก็ไม่แปลก เพราะบิดากับพี่ชายของนางต่างเป็นยอดบุรุษด้วยกันทั้งคู่ ทั้งยังเป็นขุนพลน้ำดี ในร่างของซูเหลียนอวิ้นเองก็คงมีสายเลือดเดียวกันกับพวกเขา หากตรองดูให้ดีแล้วคงไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่นัก


 


 


“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นหรี่ตาทั้งสองข้าง ปากพูดไปพร้อมๆกับมือด้านล่างที่เคลื่อนไหวไม่หยุด เมื่อสิ้นเสียงก็ชกสวนออกไปทันที


 


 


“เจ้าแพ้แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้ว “ดูที่อกเจ้าสิ”


 


 


กระบี่ของหลานเย่ว์ยื่นออกมาได้เพียงครึ่งเดียว เมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นเอ่ยดังนั้นจึงหยุดมือทันที


 


 


เมื่อทุกอย่างหยุดลง ระยะดาบที่ห่างจากคอของซูเหลียนอวิ้นยังคงมีระยะเหลืออีกหนึ่งฝ่ามือ ทว่า เมื่อเทียบกับระยะห่างหนึ่งฝ่ามือนี้แล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่าหมัดของของซูเหลียนอวิ้นอยู่ห่างจากอกของเขาใกล้ยิ่งกว่า


 


 


“คุณหนูขอรับ?” หลานเย่ว์เอ่ยปากอย่างลังเล


 


 


เนื่องจากกฎที่ซูเหลียนอวิ้นตั้งขึ้นในวันนี้ คือต้องหลบการโจมตีทั้งสิบกระบวนท่าของเขาพ้น หรือไม่ก็สามารถโจมตีถึงขึ้นปลิดชีวิตเขาได้ แต่หมัดที่เปลือยเปล่าเช่นนี้จะปลิดชีวิตเขาได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อซูเหลียนอวิ้นบอกให้เขาหยุด เขาจึงยังลังเลอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงกลับเคารพนอบน้อม


 


 


เพราะถึงอย่างไร เมื่อหลานเย่ว์พิจารณาดูแล้ว ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นเจ้านายของเขาแล้ว


 


 


 


 


——


 


 


[1] ยื่นคอไปข้างหน้าก็เจอมีด หดหัวกลับก็เจอมีด หมายถึง จะทำหรือไม่ทำก็มีผลลัพธ์เช่นเดียวกัน


 


 


[2] จั้ง คือ มาตราชั่ง ตวง วัด ของจีน 1 จั้ง มีค่าเท่ากับ 3.3 เมตร 

 

 


ตอนที่ 64 แนะนำตัว

 

ใต้แสงตะวันสาดส่อง ซูเหลียนอวิ้นกำลังแยกเขี้ยวยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นฝ่ายประมาทเอง” นางชักมือกลับมาแล้วยืดตัวยืนตรงอยู่ในท่าเดิม


 


 


ขณะที่กางมือออกมา กลางฝ่ามือของนางมีปิ่นคมปลาบที่ถูกขัดจนขึ้นเงาปรากฏอยู่


 


 


ตัวปิ่นนั้นค่อนข้างสั้น ซูเหลียนอวิ้นสามารถนำมันสอดไว้ตรงช่องนิ้วมือได้ เหตุที่ต้องนำปิ่นมาซ่อนไว้ในฝ่ามือนั้น เพราะเพียงนางกำมือเอาไว้ก็พอจะช่วยบดบังไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็นได้


 


 


เมื่อหลานเย่ว์เห็นทุกอย่างชัดเจน ในใจของเขายิ่งยอมรับนางมากขึ้น “คุณหนูมีกลยุทธ์ดียิ่งนัก เป็นข้าน้อยที่เลินเล่อ การประลองครั้งนี้คุณหนูเป็นฝ่ายชนะขอรับ”


 


 


 หากเปรียบเทียบระหว่างกระบี่ของเขากับปิ่นของซูเหลียนอวิ้น ฝั่งใดจะแทงถึงฝั่งตรงข้ามก่อนนั้นย่อมต้องเป็นปิ่นของซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย! ยิ่งไปกว่านั้นหากปิ่นอันนี้เคลือบพิษไว้ด้วยแล้ว…ก็จะอันตรายถึงขั้นคราเดียวปลิดชีวิตได้


 


 


“แค่แผนการง่ายๆ ก็เท่านั้น มิควรค่าสำหรับคำชม” ระหว่างที่ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยอยู่นั้น นางก็นำปิ่นปักกลับไปบนผมเช่นเดิม จากนั้นจึงยิ้มขึ้น “อีกทั้งตัวเจ้าเองก็มิได้ลงมือเต็มที่มิใช่หรือ”


 


 


นั่นเป็นเพราะหลานเย่ว์รู้ตัวดีว่าตนเป็นเพียงองครักษ์ที่มาใหม่เท่านั้น ไม่ว่าซูเหลียนอวิ้นจะให้คำมั่นหรือรับประกันกับเขาอย่างไร เขาก็ยังคงต้องยั้งมือเอาไว้บ้าง ไม่กล้าที่จะลงมืออย่างเต็มที่


 


 


เพราะหากเกิดอะไรขึ้นเล่า แม้จะอ้างว่าเป็นการประลองกันเล่นๆ ก็คงจะไม่ช่วยคลี่คลายอะไรได้


 


 


แต่…ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยังคงก้มหน้ารับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกลางฝ่ามือตน นางจึงกัดฟัน ความเจ็บปวดที่ฝ่ามือยังคงอยู่!


 


 


ฝ่ามือของนางไม่ใหญ่มากนัก แต่กลับซ่อนปิ่นเอาไว้ แถมยังไม่มีใครสังเกตเห็นอีก นั่นคงเป็นเพราะปิ่นอันนั้นค่อนข้างสั้น แต่ไม่ว่าจะสั้นอย่างไรก็ยังคงเป็นปิ่นอยู่ดี มิเช่นนั้นจะใช้งานได้อย่างไร


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเหลือบมองกระบี่ที่อยู่ในมือหลานเย่ว์คราหนึ่งจึงถอนใจ เห็นได้ชัดเจนว่าการมีอาวุธที่ถนัดมือสักอันหนึ่งสำคัญขนาดไหน


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ! เจ็บตรงไหนหรือไม่!” หลีมู่ไม่ทันมองว่าทั้งสองหยุดประลองกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงรีบร้อนวิ่งเข้ามาทันที


 


 


นางจับมือซ้ายของซูเหลียนอวิ้นขึ้นมาสำรวจดูก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นมือขวา สุดท้ายเมื่อเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นไม่ได้รับอันตราย มีเพียงแค่ผมที่ถูกปิ่นปักเอาไว้คลายออกเล็กน้อย จึงสูดหายใจยาวและเมื่อเห็นว่าร่างกายส่วนอื่นก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจึงเบาใจลง


 


 


“คุณหนู…ถือว่าบ่าวขอร้องแล้วกันนะเจ้าคะ! คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกได้หรือไม่”


 


 


หลีมู่มีหัวใจและชีวิตเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น หากต้องกังวลหวาดผวาอยู่ทุกวันจะทนไหวได้อย่างไร หลีมู่รู้สึกว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป อายุของนางคงไม่ยืนแน่


 


 


“โธ่ ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น จะไม่มีครั้งหน้าแน่นอน” ซูเหลียนอวิ้นลูบหัวหลีมู่แล้วรีบทำตัวเชื่อฟังคำพูดสาวใช้ของนางผู้นี้ มิเช่นนั้นแล้วอีกหลายวันต่อจากนี้หูของนางคงจะไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่นัก


 


 


“ครั้งที่แล้วคุณหนูก็พูดแบบนี้นะเจ้าคะ…” หลีมู่หันไปมองซูเหลียนอวิ้น ทั้งสายตาและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความคับข้องใจ


 


 


“เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นลูบแขน จากนั้นจึงลูบศีรษะของนาง ครั้งนี้คงปลอบหลีมู่ได้ไม่ง่ายนัก?


 


 


“หลีมู่ คือว่า…” ซูเหลียนอวิ้นกระแอมขึ้นทีหนึ่ง “วันนี้เป็นวันแรกที่องครักษ์หลานมาถึงเรือนของเรา ดังนั้นแล้วคงจะไม่คุ้นเคยและไม่เข้าใจหลายๆ สิ่งอย่างแน่นอน ทั้งข้าเองก็มีคนรับใช้ไม่มากนัก ดังนั้นข้าตัดสินว่า วันนี้จะให้หลีมู่พักผ่อนหนึ่งวัน! เจ้าพาองครักษ์หลานไปเดินดูรอบๆ เรือนของเราให้คุ้นเคยหน่อยจะดีกว่า หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเจ้าเอง”


 


 


เมื่อหลีมู่เห็นท่าทางหยอกล้อของซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้จึงถอนหายใจแรง ‘ก็ได้ ถึงอย่างไรครั้งนี้คุณหนูก็ไม่ได้เป็นอะไร…ครั้งนี้จะไม่บ่นสักรอบก็ได้!’


 


 


“อืม” หลีมู่พยักหน้า “คุณหนูเจ้าคะ เช่นนั้นบ่าวกับองครักษ์หลานขอตัวก่อน”


 


 


“ไปเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วโบกมือ


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นทั้งสองเลี้ยวออกไปจนลับสายตาของนางแล้ว จึงวิ่งอย่างรวดเร็วเข้าไปในห้องของตน นางยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเพื่อผ่อนคลายร่างกาย


 


 


เห็นได้ชัดว่าหากไม่ฝึกฝีมือต่อเนื่องแล้วจะส่งผลเช่นนี้ นางไม่ได้ฝึกเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น…ซูเหลียนอวิ้นบีบนวดแขนขวาพลางคิดว่าตนรับมือไปทั้งสิ้นกี่ครั้ง ความปวดเมื่อยนี้ ทำเอานางรู้สึกว่าแขนของนางคล้ายกำลังจะแหลกสลายเสียให้ได้


 


 



 


 


“องครักษ์หลาน” หลีมู่เดินไปรอบๆ สวนสาลี่พลางบอกเล่าข้อมูลต่างๆ “ปกติแล้วหากไม่มีเรื่องใด เจ้าจะไม่พบเห็นผู้ใดอยู่ในบริเวณเรือน เพราะคุณหนูชอบสันโดษ ดังนั้นที่เรือนนี้จึงมีคนรับใช้ไม่มากนัก ต่อให้มีพวกเขาก็แค่มาทำงานทั่วๆ ไปเท่านั้น เมื่อทำเสร็จก็จะแยกย้ายกลับไป”


 


 


“ปกติแล้วทุกๆ วันข้าจะเป็นคนรับใช้ประจำตัวที่คอยดูแลคุณหนู ส่วนเนี่ยนเอ๋อร์จะเป็นผู้ที่คอยดูแลงานนอกเรือนต่างๆ หากองครักษ์หลานมาอยู่ที่สวนสาลี่นี้ เนี่ยนเอ๋อร์จะเป็นคนแรกที่ดีใจที่สุด เกรงว่าเมื่อพบท่านแล้วนางคงจะพูดว่า…ในที่สุดก็มีคนมาช่วยนางทำงานเสียที”


 


 


หลานเย่ว์ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน เพราะเขาคิดไม่ถึงเลยว่า คุณหนูสูงศักดิ์นางหนึ่งจะมีบ่าวรับใช้น้อยถึงเพียงนี้! เขาจึงคิดว่าตนมาถึงที่นี่คงจะไม่ได้มาทำหน้าที่องครักษ์เพียงอย่างเดียว แต่คงต้องดูแลงานจิปาถะอื่นๆ ด้วย?


 


 


เมื่อหลีมู่หันมามอง นางเห็นหลานเย่ว์เพียงยิ้มเท่านั้น แต่ไม่มีทีท่าจะเอ่ยสิ่งใด จึงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


 


 


“องครักษ์หลานอย่าคิดมากเกินไป” หลีมู่เอ่ยเสียงเรียบ “ปกติแล้วคุณหนูจะไม่ให้พวกเราทำงานหนักจนเกินไปอยู่แล้ว อีกอย่างเมื่อเจ้าอยู่กับพวกเราไปนานๆ เข้า ถึงเวลานั้นคงจะพยายามของานทำเองเสียมากกว่า” หลีมู่เหลือบไปมองคนที่อยู่ด้านหลังตนที่มีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


 


 


“เนี่ยนเอ๋อร์! ออกมานี่เถิดข้ามีคนจะแนะนำให้รู้จัก”


 


 


หลานเย่ว์อ้าปากเตรียมจะถามว่าคำพูดเมื่อครู่ของซูเหลียนอวิ้นหมายความว่าอย่างไร กลับโดนนางพูดตัดหน้าเสียก่อน


 


 


 “พี่หลีมู่ มีอะไรหรือเจ้าคะ” เมื่อเนี่ยนเอ๋อร์ได้ยินเสียงเรียกจึงกระโดดโลดเต้นวิ่งออกมาแล้วแอบมองชายที่ยืนอยู่ด้านหลังหลีมู่


 


 


“เจ้าคือ…? ข้าชื่อเนี่ยนเอ๋อร์ เป็นคนรับใช้ลำดับที่สองของคุณหนู”


 


 


“ข้าคือหลานเย่ว์ ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำตัวของคุณหนู” เมื่อหลานเย่ว์เห็นท่าทางร่าเริงของเนี่ยนเอ๋อร์จึงขมวดคิ้ว


 


 


คุณหนูผู้นี้เลือกสาวใช้สองคนที่มีบุคลิกแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว นางหนึ่งระแวดระวังตัวอย่างกับอะไรดี แต่อีกคนกลับมีท่าทางไม่ค่อยคิดสิ่งใด เมื่อเห็นบุรุษนอกเรือนอย่างเขากลับไม่ปรากฏท่าทีประหลาดใจหรือหน้าแดงขวยเขินเลยแม้แต่น้อย


 


 


“อ้อ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามาทำงานให้คุณหนูใช่หรือไม่” เนี่ยนเอ๋อร์ปรบมือสองสามที น้ำเสียงเต็มไปด้วยความยินดี


 


 


“แม่นางเนี่ยนเอ๋อร์ ข้ามาเพื่อดูแลความปลอดภัยของคุณหนูเท่านั้น ไม่ได้มาทำงานใช้แรงงานทั่วไป!”


 


 


“แตกต่างกันตรงไหน?” เนี่ยนเอ๋อร์ตบไหล่ของเขา “ถึงอย่างไรเจ้านายของเราก็คือคุณหนูคนเดียวกัน ย่อมต้องมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านอยู่แล้ว ดีจริง! ต่อไปจะมีคนมาทำงานเป็นเพื่อนข้าแล้ว!”


 


 


เมื่อหลานเย่ว์เห็นท่าทางร่าเริงขนาดนั้นของเนี่ยนเอ๋อร์ จึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเอ่ยปากอธิบายอะไรแล้ว เพราะเห็นท่าทางเซ่อๆ เช่นนี้ก็รู้แล้วว่าอธิบายไปคงไร้ประโยชน์! ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเก็บคำพูดเอาไว้ดีกว่า


 


 


“เช่นนั้นขอถามแม่นางเนี่ยนเอ๋อร์ มีสิ่งใดให้ข้าช่วยทำหรือไม่” น้ำเสียงที่หลานเย่ว์เอ่ยออกมานั้นเย็นชาอย่างประหลาด แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้เนี่ยนเอ๋อร์ก็หาได้รู้สึกประการใดไม่


 


 


“เหมือนจะไม่มี” เนี่ยนเอ๋อร์ยกนิ้วขึ้นชี้ที่ศีรษะทำท่าคิด “แม้ข้าจะบอกว่าให้เจ้าช่วยข้าทำงาน แต่จริงๆ แล้วไม่มีงานอะไรให้ทำหรอก” ปกติแล้วนางว่างเสียจนอึดอัดด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ดีหน่อย เพราะในที่สุดก็มีคนมาเล่นเป็นเพื่อนกับนางเสียที


 


 


เพราะในใจของเนี่ยนเอ๋อร์นั้น หากเทียบหลีมู่ผู้ตงฉินและจู้จี้กับคนที่อยู่ตรงหน้านางผู้นี้แล้ว คนผู้นี้น่าจะเจรจาง่ายกว่ากันมากทีเดียว 

 

 


ตอนที่ 65 แผนการ

 

“เอาล่ะ” หลีมู่ยิ้มแล้วเอ่ยขัดบทสนทนาตรงหน้า “องครักษ์หลาน ห้องของเจ้า คืนนี้จะจัดเตรียมไว้ให้ เรือนของพวกเราไม่ใหญ่มากนัก เดินมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าเดินทั่วแล้ว”


 


 


“ลำบากแม่นางหลีมู่แล้ว” เขาประสานมือคารวะ


 


 


 “ลำบากอะไรกันเล่า หากเจ้ายังไม่เข้าใจอะไร ถามเนี่ยนเอ๋อร์ดูก็ได้เหมือนกัน ตอนนี้ข้าขอตัวกลับก่อน” หลีมู่ยิ้มให้


 


 


“แล้วพบกันเจ้าค่ะ พี่หลีมู่” เนี่ยนเอ๋อร์โบกมือพร้อมบอกลา


 


 



 


 


ณ จวนตระกูลหยาง


 


 


ในห้องหนังสือ บุรุษที่มีท่าทางอย่างเด็กรับใช้ เวลานี้กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น


 


 


“นายท่านขอรับ” น้ำเสียงทุ้มลึกของเด็กรับใช้ที่นั่งอยู่บนพื้นเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม ตอนนี้ลดเสียงต่ำลงแล้วเอ่ยต่อว่า “นายท่าน ตามที่หลิงเซียงสาวรับใช้ของคุณหนูรายงาน คุณหนูใหญ่ นางน่าจะตั้งพระครรภ์แล้วขอรับ”


 


 


“เอ๊ะ?” หยางเกิ่งรั่งที่กำลังพลิกดูสมุดบัญชีอยู่ได้ยินดังนั้นจึงหยุดมือไว้ แล้วมองไปยังชายที่คุกเข่าอยู่กับพื้นผู้นั้น “เป็นความจริงหรือ ให้หมอหลวงตรวจดูแล้วหรือยัง หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง”


 


 


“หมอหลวงไม่ได้รายงานเช่นนี้ขอรับ” ชายผู้นี้เมื่อรับรู้ถึงสายตาของบุรุษด้านบนที่หลุบตามองลงมาอย่างช้าๆ เขาก็ยิ่งก้มตัวต่ำลงอีกแล้วเอ่ยต่อว่า “คุณหนูใหญ่เรียกหมอหลวงมาดูแล้ว แต่จากคำวินิจฉัยของหมอหลวงหลี่ในตอนนั้น เพียงบอกว่าขนมเปี๊ยะดอกไม้ที่คุณหนูรับประทานเข้าไปไม่สดใหม่ จึงเป็นเหตุให้คุณหนูคลื่นไส้อาเจียน ไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งพระครรภ์ขอรับ”


 


 


เมื่อหยางเกิ่งรั่งได้ยินเช่นนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้น วางสมุดบัญชีในมือลง สืบเท้าไปเบื้องหน้าชายผู้นั้นแล้วเอ่ยถามทีละคำอย่างช้าๆ “หมอหลวงหลี่เอ่ยเช่นนี้จริงหรือ เช่นนั้นต่อมาหลิงเซียงไปพบกับพิรุธใดเข้า”


 


 


กล่าวได้ว่า ไม่เสียแรงที่หลิงเซียงคือคนที่หยางเกิ่งรั่งเป็นผู้คัดเลือกด้วยตนเองให้นางเข้าวังไปกับหยางอวี้หลิง แม้ว่าวันนั้นหมอหลวงหลี่จะบอกเช่นนั้น แต่ในใจของนางกลับยังคงคลางแคลงใจตลอดมา


 


 


ขนมเปี๊ยะกุหลาบจานนั้นหากมีผู้ใดพบว่ามันเสียจริงๆ คงจะโยนมันทิ้งไปตั้งแต่แรก หลิงเซียงเก็บเรื่องนี้เอาไว้เงียบๆ ในใจ


 


 


นางดมกลิ่นขนมเปี๊ยะกุหลาบนั้นอย่างตั้งใจ แต่กลับไม่พบว่ามีปัญหาอะไร อีกทั้งหลิงเซียงยังแอบเอาขนมเปี๊ยะจานนี้ให้นางในคนอื่นๆ ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปลองกินดู ก็ไม่พบผู้ใดในจำนวนนี้ท้องเสียสักคน


 


 


อีกทั้งนางยังลอบเห็นแววตาของหมอหลวงหลี่ที่ฉายแววประหลาดใจขึ้นมา แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามปกปิดไว้อย่างดี แต่สำหรับหลิงเซียงแล้วมันเป็นความตั้งใจที่จะปกปิดเรื่องราวบางอย่างเอาไว้ นั่นยิ่งทำให้นางเกิดความเคลือบแคลงใจมากยิ่งขึ้น


 


 


หยางอวี้หลิงเข้าวังหลวงมานานหลายปี แต่กลับยังไม่มีทายาท เรื่องนี้เป็นความทุกข์ใจของคนในตระกูลหยางเสมอมา


 


 


ทว่าอย่างน้อยหยางอวี้หลิงก็ยังคงเป็นสาวอยู่ ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องรีบร้อนมีบุตร แต่ว่าปัญหาการมีบุตรนี้…


 


 


หมอหลวงทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงเวลา ทำให้หยางอวี้หลิงรู้สึกเบาใจลงได้ ยังดีที่ตัวหยางอวี้หลิงเองไม่เคยใส่ใจกับปัญหานี้ เพราะว่าเมื่อใดที่ตั้งครรภ์ นั่นย่อมหมายความว่ามิอาจเข้าปรนนิบัติได้ เมื่อปรนนิบัติมิได้จะทำให้เกิดอะไรตามมาเล่า สิ่งที่อาจจะเกิดตามมาก็คือนางจะมิได้เป็นคนโปรดของลี่หยวนตี้อีกต่อไป


 


 


ความโปรดปรานและการได้อยู่เคียงข้างกับลี่หยวนตี้ นับเป็นสิ่งที่หยางอวี้หลิงให้ความสำคัญตลอดมาในหลายปีนี้


 


 


แม้นางไม่รีบร้อนแต่คนรอบตัวนางรีบ ตระกูลหยางรอคอยมานานขนาดนี้กลับไม่เคยสมหวัง แต่ตอนนี้กลับมีสัญญาณที่ดีเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ย่อมต้องคว้าเอาไว้ให้มั่นก่อน


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น เวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ หยางกุ้ยเหรินควรจะตั้งครรภ์สักครั้งได้แล้ว


 


 


หยางเกิ่งรั่งนิ่งไปชั่วครู่ เขาซ่อนแววตาครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ สุดท้ายหลังจากเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูปจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ ลูกสาวของข้าก็ถือว่าไม่สบายอยู่ อีกทั้งคืนงานฉลองวสันตฤดูนางเองก็ได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่มาก ในฐานะคนเป็นพ่ออย่างข้าต้องให้ความช่วยเหลือถึงจะถูก”


 


 


ขณะที่พูด สายตาของหยางเกิ่งรั่งปรากฏแววครุ่นคิดมากมาย “หลิ่นอี้”


 


 


“ขอรับ นายท่าน” ชายผู้นั้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกขึ้นฉับพลันจึงรีบเงยหน้าขึ้นทันใด “นายท่านจะรับสั่งสิ่งใด”


 


 


“ในเมื่อหลิงเอ๋อร์ไม่สบาย ในฐานะคนเป็นพ่ออย่างข้าย่อมต้องร้อนใจเป็นธรรมดา อีกประเดี๋ยวเจ้าไปนำยาดีจากในคลังของข้าออกมา วันพรุ่งนี้ส่งคนนำไปให้คุณหนูในวัง แต่เจ้าจงจำไว้ให้ดีว่าต้องส่งให้กับมือคุณหนูเท่านั้น”


 


 


หลิ่นอี้ได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ทันที นายท่านกลัวว่าจะเชื่อคำพูดของหลิงเซียง และหากคุณหนูใหญ่ท้องร่วงจริงแต่มิได้ตั้งครรภ์ จะเป็นผลดีได้อย่างไร


 


 


“ขอรับ นายท่าน บ่าวเข้าใจแล้ว”


 


 


“ไม่ใช่สิ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” เมื่อหยางเกิ่งรั่งเห็นเงาด้านหลังของหลิ่นอี้ เขาก็เกิดความคิดขึ้นอย่างฉับพลัน จึงเอ่ยขึ้นว่า “หลิ่นอี้ พวกเราไปสืบก่อนสักสองสามวันเถิด เมื่อวานเพิ่งจะเกิดเรื่องกับหลิงเอ๋อร์ วันนี้พวกเรากลับรู้เรื่องแล้วแถมยังเตรียมทุกอย่างได้รวดเร็ว เกรงว่าหากเรื่องนี้ถูกล่วงรู้ไปถึงหูของผู้ไม่หวังดีคงจะไม่ดีเท่าใด”


 


 


“อีกทั้งวันนี้พวกเรายังมีอีกหลายสิ่งที่ยังเตรียมตัวไม่พร้อม” เมื่อพูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงของหยางเกิ่งรั่งก็เริ่มเย็นชาขึ้น หากครั้งนี้ลูกสาวของนางตั้งครรภ์จริง ทำไมหมอหลวงรู้เรื่องแต่กลับไม่ยอมรายงาน? หรือว่า…


 


 


เขากลับไม่เคยรู้มาก่อนว่าฮ่องเต้ที่มัวแต่ลุ่มหลงในอิสตรี อ่อนแอและขี้ขลาดผู้นี้จะมีวันที่รับรู้เรื่องอื่นๆ ได้? หากลี่หยวนตี้มีความคิดเช่นนี้จริง เกรงว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงจุดจบของเขาคงไม่ดีแน่


 


 


ดูท่าแล้วแผนการเหล่านั้น คงต้องเริ่มลงมือล่วงหน้าเสียแล้ว…


 


 


“หลิ่นอี้ เจ้าจำไว้เพียง…” หยางเกิ่งรั่งลดเสียงลง “การเจ็บป่วยของคุณหนูใหญ่ครานี้ หมอหลวงหลี่รายงานผลผิดพลาด ตอนนี้คุณหนูใหญ่ตั้งครรภ์แล้ว มิได้ท้องร่วง”


 


 


เมื่อหลิ่นอี้เห็นสีหน้าตึงเครียดของหยางเกิ่งรั่งก็สามารถเดาถึงสิ่งที่เขาเอ่ยเมื่อครู่ออก ว่าสิ่งที่ยังมิได้เตรียมไว้หมายถึงอะไร


 


 


“นายท่านต้องการให้ข้าไปเตรียมไว้หรือไม่”


 


 


“มิต้อง” หยางเกิ่งรั่งพูดขัดขึ้น “ข้ามีช่องทางของข้า เรื่องนี้มิต้องรบกวนเจ้าแล้ว”


 


 


มีบางเรื่องที่แม้ว่าคนของเราจะจงรักภักดีมากเพียงใด เราก็ยังคงต้องระวังเอาไว้ เพราะใครจะรู้ว่าคนที่นอบน้อม มอบกายถวายชีวิตแก่เรา พรุ่งนี้อาจกลายเป็นคนที่ถือมีดมาแทงเราก็เป็นได้?


 


 


“ยังมีอีกเรื่องขอรับ เรื่องของคุณชายใหญ่…นายท่านจะให้จัดการอย่างไร” ตอนที่หลิ่นอี้เตรียมจะออกไปกลับนึกถึงปัญหานี้ขึ้นมาได้


 


 


“ทำอย่างปกติก็พอ ไม่ต้องใส่ใจมากนัก” พอพูดถึงเรื่องนี้ หว่างคิ้วของหยางเกิ่งรั่งก็ปรากฏความไม่สบายใจขึ้น


 


 


หยางอวี้ฉินเป็นคนอย่างไร เป็นลูกแบบไหน ไม่มีใครรู้ดีเท่าเขาอีกแล้ว แค่ก้อนโคลนที่ไร้ประโยชน์ก็เท่านั้น! แถมยังเป็นลูกอนุภรรยาอีกต่างหาก!


 


 


แม้ว่าจะมีฐานะเป็นลูกชายแท้ๆ แต่ในสายตาของหยางเกิ่งรั่งแล้ว หยางอวี้ฉินเทียบลูกสาวไม่ติดเลยด้วยซ้ำ ลูกสาวจะดีจะร้ายอย่างไรยังช่วยแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ได้ แต่ก้อนโคลนที่สร้างกำแพงไม่ได้[1] ก้อนนี้จะมีประโยชน์อันใดกับเขา? ทุกวันเอาแต่สร้างเรื่อง


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นได้ ก็จะมีสตรีมากมายนับไม่ถ้วนพร้อมจะคลอดบุตรชายให้เขา ดังนั้นลูกชายอนุที่ไร้ประโยชน์ผู้นี้ เขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ


 


 


 


 


——


 


 


[1] ก้อนโคลนที่สร้างกำแพงไม่ได้ หมายถึง คนที่ไร้ความสามารถ 

 

 


ตอนที่ 66 วัดฝ่าฝัว

 

จวนแม่ทัพในช่วงนี้คึกคักมากทีเดียว เพราะคุณหนูใหญ่ของพวกเขาใกล้จะเข้าสู่วัยปักปิ่น[1] แล้ว


 


 


ทว่าซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้กลับนั่งเอามือทั้งสองข้างเท้าคาง เหม่อมองท้องฟ้าอย่างสิ้นหวัง สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงถอนใจแล้วเอ่ยว่า “หลีมู่…”


 


 


แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะเอ่ยปากเรียกออกไปแล้ว แต่เมื่อหันหลังกลับไปเห็นเงาที่กำลังวุ่นวายอยู่ตลอดนั้น นางเองก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรต่อไปดี


 


 


“คุณหนูมีอะไรหรือเจ้าคะ” หลีมู่เงยหน้าขึ้นจึงเห็นซูเหลียนอวิ้นเพียงถอนหายใจแล้วไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดต่อ จึงได้แต่เอียงศีรษะอย่างฉงน นางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นไม่มีอะไรจะกล่าวกับตนจริงๆ จึงเริ่มก้มหน้ากลับไปวุ่นอยู่กับงานที่ทำค้างในมือต่อ


 


 


“หลีมู่ เจ้าไม่ต้องทำแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา จากนั้นจึงปัดมือของหลีมู่เบาๆ “หลีมู่เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อบ้างหรอกหรือ”


 


 


เมื่อชาติที่แล้วนางไม่เคยมีช่วงเวลาที่น่าเบื่อเช่นนี้


 


 


เนื่องจากตอนนั้นในหัวและความคิดของนางล้วนมีแต่เรื่องราวของต้วนเฉินเซวียน ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนมีแรงบันดาลใจและมีความกระตือรือร้นอย่างมิอาจหาสาเหตุได้ แต่ในตอนนี้กลับไม่คิดอะไรแล้ว ในหัวของนางจึงมีเพียงความว่างเปล่า


 


 


ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี! ซูเหลียนอวิ้นจึงฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะ


 


 


วิชาป้องกันตัวฝึกจบแล้ว ตัวหนังสือก็ฝึกเขียนไปแล้ว อีกทั้งช่วงนี้พี่ชายของนางก็อยู่แต่ในค่ายทหาร ทำให้ไม่มีใครเป็นเพื่อนเล่นกับนางสักคน ส่วนท่านแม่กับท่านย่าต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาเตรียมการสำหรับพิธีปักปิ่น[2] ดังนั้นยามใดที่พบหน้านางก็จ้องแต่จะถามคำถามนางเกี่ยวกับพิธีรีตองและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับพิธีปักปิ่น


 


 


เพราะพิธีปักปิ่นถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้หญิงทุกคน ดังนั้นช่วงเวลาเช่นนี้จะจัดการอย่างขอไปทีไม่ได้


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเข้าใจถึงความใส่ใจและความละเอียดรอบคอบของท่านแม่กับท่านย่าของตนเป็นอย่างดี แต่นี่ถือว่าใส่ใจมากเกินไปหน่อยหรือไม่! ผลของความใส่ใจมากจนเกินไปนี้ ทำให้ตอนนี้เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นแม่ของตนทีไรเป็นต้องก้มหน้างุดแล้วหันหน้าเดินหนีทันที วันทั้งวันจึงเก็บตัวเงียบๆ อยู่แต่ในเรือนหลังน้อยของตน ไม่มีความรู้สึกอยากจะก้าวออกไปแม้เพียงครึ่งก้าว


 


 


ทว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียว…นางเกิดใหม่มาสองเดือนกว่าแล้ว ซูเหลียนอวิ้นเอนกายพิงโต๊ะน้ำชาพลางมองออกไปยังต้นสาลี่ที่อยู่กลางลาน ความรู้สึกว่าลืมทำอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาในใจนางเสมอ เรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญ แต่เพราะเหตุใดนางถึงได้นึกไม่ออกสักที


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ” เมื่อหลีมู่ปักผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือเสร็จเรียบร้อยจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ย “อ้อ จริงสิ คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินบอกว่าเดี๋ยวจะต้องไปแก้บนที่วัดฝ่าฝัว หากคุณหนูรู้สึกเบื่อจริงๆ วันนี้พวกเราไปวัดฝ่าฝัวกันดีกว่าเจ้าค่ะ”


 


 


‘ใช่แล้ว! วัดฝ่าฝัว!’


 


 


ซูเหลียนอวิ้นลุกพรวดขึ้น นางว่าแล้ว…ตนลืมเรื่องอะไร สุดท้ายก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง!


 


 


ที่วัดฝ่าฝัว เมื่อชาติก่อนที่นี่เป็นสถานที่ที่นางพบกับอาจารย์ของนางเป็นครั้งแรก


 


 


เมื่อชาติที่แล้วเป็นเพราะซูเหลียนอวิ้นตกลงไปในบ่อน้ำ ทำให้อันเพ่ยอิงต้องไปภาวนาขอพรให้นางที่วัดฝ่าฝัว ต่อมาจึงพานางกลับไปแก้บน ทว่านางในตอนนั้นดื้อรั้นและอวดดี เมื่อต้องฟังเสียงสวดพึมพำของนักบวชก็รู้สึกว่าน่าเบื่อจนทนไม่ได้


 


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงแอบย่องหนีออกมา วัดฝ่าฝัวแม้ว่าจะเป็นเพียงวัด แต่ก็เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่าร้อยปี เนื้อที่ของวัดทั้งหมดจึงกว้างขวาง ดังนั้นนางซึ่งไปที่นั่นเป็นครั้งแรกย่อมหลงทางเป็นธรรมดา


 


 


ทว่าในชาตินี้มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย จึงเป็นเหตุให้เรื่องแก้บนถูกเลื่อนออกมาจนป่านนี้ อีกทั้งงานพิธีปักปิ่นก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว นางเกรงว่าหลังจากพิธีปักปิ่นเสร็จสิ้นนางจะยิ่งออกจากเรือนได้ยากมากขึ้น


 


 


ดังนั้นรีบไปเสียแต่ตอนนี้คงไม่เลวนัก ถึงอย่างไรอยู่แต่ในเรือนก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากอยู่แล้ว


 


 


“หลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นเอามือขึ้นเท้าสะเอวแล้วมองออกไปด้านนอกเรือน ทันใดนั้นก็หันหน้ากลับมาแล้วกระซิบกระซาบว่า “เจ้าพูดมิผิด พวกเราควรไปแก้บนที่วัดฝ่าฝัวเสียที ขืนยังรอช้าอยู่อีก พระท่านคงหาว่าพวกเราไม่เต็มใจเป็นแน่ ดังนั้นเราไปกันเถิด!”


 


 


เมื่อครู่หลีมู่เห็นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นเ**่ยวเฉาราวกับลูกหนังที่ถูกปล่อยลม ตอนนี้กลับกระโดดโลดเต้นราวกับถูกฉีดเลือดไก่เข้าเส้น นางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว หลีมู่จึงคิดว่าตนสามารถเดาถึงสาเหตุคร่าวๆ ได้


 


 


ช่วงนี้คุณหนูคงอดทนมามากเต็มทีแล้ว เพราะซูเหลียนอวิ้นไม่เคยอยู่แต่ในเรือนถึงสามวันติดกัน อย่างไรเสียคงต้องหาวิธีออกไปให้ได้ ชัดเจนแล้วว่าการจะเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นกุลสตรีนั้น ต้องใช้ความพยายามมากถึงเพียงนี้!


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวขอตัวไปแจ้งให้ฮูหยินทราบก่อน เริ่มเตรียมรถม้าตอนนี้ก็ยังไม่สาย”


 


 


“มิต้อง” ซูเหลียนอวิ้นรีบขัดขึ้นก่อน “ช่วงนี้ท่านแม่มัวแต่กังวลใจอยู่กับพิธีปักปิ่นของข้า ข้าคิดว่าเรื่องนี้เล็กน้อยนัก และข้าก็เป็นคนที่ไปขอ ดังนั้นข้าก็ควรไปแก้บนด้วยตัวเอง พาเจ้ากับหลานเย่ว์ไปด้วย พวกเราไปกันสามคนก็เพียงพอแล้ว มากคนก็มากความ”


 


 


นั่นเป็นเพราะนางต้องการจะใช้ข้ออ้างในการไปแก้บนเพื่อจัดการเรื่องอื่น การไปครั้งนี้หากไม่นำอันเพ่ยอิงไปด้วยก็จะดี เพราะตอนนี้นางขึ้นชื่อว่าเป็นลูกสาวกตัญญู ลูกกตัญญูจะทิ้งท่านแม่สุดที่รักของตน รวมทั้งทิ้งเหล่านักบวชที่สวดมนต์ภาวนาเหล่านั้นไว้ลำพัง เพื่อที่ตัวเองจะได้ย่องออกมาเที่ยวเล่นได้อย่างไร นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้!


 


 


“ดังนั้นนะหลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นตบไหล่หลีมู่เบาๆ “เพื่อสุขภาพของท่านแม่ ตอนนี้พวกเราไม่ควรเพิ่มภาระอื่นให้นางอีกแล้ว เรื่องนี้พวกเราไปกันไม่กี่คนก็พอ เจ้าไปเตรียมรถม้าเถิด ข้าจะไปเก็บของและบอกท่านแม่เอาไว้เสียหน่อย”


 


 


“อ้อ…ได้เจ้าค่ะ คุณหนู” แม้ว่าหลีมู่จะมีความรู้สึกลึกๆ ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่กลับนึกไม่ออก เพราะหากมองภาพโดยรวมแล้ว เรื่องที่ซูเหลียนอวิ้นจะทำก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าความรู้สึกประหลาดนั้น ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด


 


 


“ไปสิ ไปสิ” ซูเหลียนอวิ้นพูดพลางพุ่งตัวไปทางเรือนของอันเพ่ยอิงอย่างรีบร้อน


 


 


ปฏิกิริยาแรกหลังจากอันเพ่ยอิงได้ยินความคิดนี้ของนางคือการปฏิเสธ หญิงสาวนางหนึ่งจะออกจากบ้านไปตามลำพังได้อย่างไรกัน แม้ว่าจะไปวัด แม้ว่าวัดจะอยู่ห่างจากจวนแม่ทัพไม่ไกล และแม้ว่าวัดจะอยู่ในการปกครองของโอรสสวรรค์ก็ตาม


 


 


“ท่านแม่ ปล่อยลูกไปเถิดเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเกาะแขนเสื้ออันเพ่ยอิงไม่ยอมปล่อย “ท่านแม่ พวกเราผัดวันประกันพรุ่งมานานแล้วนะเจ้าคะ ลูกก็เป็นห่วง กลัวว่าท่านแม่จะทำงานหนักจนเกินไป หากต้องฝืนไปกับลูกอีก สุขภาพทรุดไปจะทำอย่างไร!”


 


 


เมื่ออันเพ่ยอิงได้ยินทุกคำพูดของซูเหลียนอวิ้นที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงนางเช่นนี้ก็รู้สึกตื้นตันใจ ทว่ายังคงตีหน้าเคร่งขรึม


 


 


 “มิได้! หญิงสาวตัวคนเดียว รอให้พิธีปักปิ่นของเจ้าเสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยไปก็ไม่สาย อีกอย่างขอเพียงใจของเราศรัทธา พระท่านคงไม่ถือโทษโกรธพวกเรา”


 


 


“โธ่ ท่านแม่เจ้าคะ!” ซูเหลียนอวิ้นย่ำเท้าเบาๆ “อันที่จริงครั้งนี้ลูกต้องการไปขอพรให้งานพิธีปักปิ่นผ่านไปได้อย่างราบรื่น เพราะลูกรู้สึกว่าช่วงนี้เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมาย ลูกรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี หากได้ไปไหว้พระคงจะดีขึ้น ท่านแม่ว่าถูกหรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าลง แม้ว่าตอนนี้จะมองเห็นสีหน้านางได้ไม่ชัด แต่ท่าทางของนางกลับเพียงพอที่จะเรียกคะแนนสงสารได้


 


 


 


 


——


 


 


[1] วัยปักปิ่น หมายถึง เด็กสาวที่มีอายุครบ 15 ปี สามารถออกเรือนมีครอบครัวได้


 


 


[2] พิธีปักปิ่น หรือ พิธีจี้หลี่ คือ พิธีที่แสดงถึงการบรรลุนิติภาวะของหญิงสาวที่มีอายุครบ 15 ปี เด็กสาวจะมัดผมเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ภายในพิธีบรรดาแขกผู้หญิงจะมาช่วยกันปักปิ่นให้กับหญิงสาว 

 

 


ตอนที่ 67 ค้างคืน

 

ซูเหลียนอวิ้นอ้อนวอนอันเพ่ยอิงอยู่กว่าครึ่งชั่วยาม ท้ายที่สุด การเกลี้ยกล่อมและคำหวานต่างๆ ที่หยิบมาใช้ก็ได้ผล อันเพ่ยอิงยอมยกธงขาวแล้วเอ่ยว่า “ก็ได้ๆ แต่เจ้าต้องจำไว้ว่าต้องรีบไปรีบกลับ แล้วก็อย่าลืมพาองครักษ์ของเจ้าไปด้วย!”


 


 


“ตกลงเจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าห่วงเลย ไม่มีปัญหาแน่นอน!” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าหงึกๆ ราวลูกไก่หาข้าวสาร


 


 


“เช่นนั้นก็ดี…รีบไปรีบกลับนะ!” ตอนนี้อันเพ่ยอิงเดินได้ก้าวหนึ่งก็รั้งซูเหลียนอวิ้นไว้ทีหนึ่ง สุดท้ายพอซูเหลียนอวิ้นขึ้นรถไปแล้ว นางก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะโบกผ้าเช็ดหน้าในมือ แล้วเอ่ยกำชับอีกครั้งหนึ่งว่า “เจ้าต้องระวังตัวให้มากๆ นะ!”


 


 


“โธ่ ท่านแม่ อย่าห่วงเลย ลูกไปแล้วนะเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นปิดม่านลงแล้วส่งสัญญาณบอกหลานเย่ว์ “ไปเถิด อย่ามัวช้าอยู่เลย”


 


 


ระยะห่างระหว่างที่นี่กับวัดฝ่าฝัว ต่อให้ขับรถม้าไปช้าๆ ก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่หากกำชับอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วเช่นนี้…


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมีแต่จะรู้สึกละอายใจมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นได้ยินน้อยหน่อยจะดีกว่า!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเลิกมุมหนึ่งของผ้าม่านขึ้นเงียบๆ มองออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างระมัดระวัง ความทรงจำของนางค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับความทรงจำเมื่อชาติที่แล้ว


 


 


ทั้งๆ ที่เป็นถนนเส้นเดียวกันแท้ๆ! ทำไมถึงรู้สึกว่าหนทางคราวนี้ยาวไกลว่าแต่ก่อนมากนัก


 


 


‘เฮ้อ…’


 


 


อีกอย่าง เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าร้านขายขนมแป้งนึ่งระหว่างทางรสชาติถึงไม่หวานแล้วก็ไม่ดึงดูดใจเหมือนวันก่อน เพราะไม่ว่าจะเป็นนางในอดีตหรือปัจจุบัน ขอเพียงผ่านร้านขายขนมร้านนี้จะต้องซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปแน่นอน แต่ซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้กลับไม่มีความสนใจในเรื่องนี้เลย


 


 


นางเพียงรู้สึกว่าเส้นทางสู่วัดฝ่าฝัว เหตุใดถึงได้ยาวไกลนัก! ทั้งยังใช้เวลาแสนนาน……


 


 


ตอนนี้นางไม่รู้ว่าหากท่านอาจารย์พบหน้านางจะมีแววตาประหลาดใจสักเพียงใด พอคิดถึงตรงนี้ซูเหลียนอวิ้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ


 


 


เพราะในชาติก่อนตอนที่นางแอบเข้าไปในป่าผืนนั้นเป็นครั้งแรก อาจารย์ของนางไม่ได้มีทีท่าประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เฮ้อ ราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องใดที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้เลย แน่นอนว่ายกเว้นเรื่องนั้น…


 


 


หลีมู่เมื่อเห็นท่าซูเหลียนอวิ้นที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวไม่ยิ้มดังนั้น ก็แอบขมวดคิ้ว


 


 


‘คุณหนู…ท่าทางไม่ดีเสียแล้ว!’


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ” หลีมู่ยื่นน้ำผสมน้ำผึ้งแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเรายังอยู่ห่างจากวัดฝ่าฝัวอีกระยะหนึ่ง คุณหนูนอนพักสักหน่อยดีหรือไม่ หรือว่าจะกินขนมสักหน่อยดีเจ้าคะ คุณหนู…ทำใจให้สบายเถิดเจ้าค่ะ” มิฉะนั้นแล้วหากผู้ใดเห็นภาพนี้เข้าคงตกใจแย่ หลีมู่เกรงว่าอีกประเดี๋ยวคุณหนูจะร้องไห้ออกมา จะพาให้วุ่นไปกันใหญ่!


 


 


“อืม ก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นรับน้ำผสมน้ำผึ้งแก้วนั้นมาจิบสองสามครั้ง จากนั้นจึงวางไว้บนโต๊ะชาแล้วไม่แตะมันอีก ตอนนี้นางแค่อยากนอนพัก ผ่อนคลายและสงบจิตสงบใจ แต่นางกลับผ่อนคลายไม่ได้!


 


 


ตอนนี้ในหัวของนางคิดวนเวียนเพียงว่าเมื่อถึงแล้วจะปรากฏตัวอย่างไรให้น่าประทับใจ หรือไม่ก็ทำให้เขาตกใจสักนิดหน่อย มิเช่นนั้นการปรากฏตัวครั้งนี้จะน่าเบื่อเกินไป


 


 


“ช่างเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นหาว “ข้านอนสักหน่อยดีกว่า หลีมู่หากใกล้จะถึงแล้ว อย่าลืมเรียกข้าด้วยล่ะ” ไปคิดวิธีการในฝันเอาก็ได้ แถมยังได้นอนอย่างน้อยก็สบายกว่าตอนนี้


 


 


“เจ้าค่ะคุณหนู เดี๋ยวบ่าวจะพัดให้นะเจ้าคะ”


 


 


“อืม ก็ได้…”


 


 



 


 


ด้านนอกวัดฝ่าฝัว


 


 


ชายสวมชุดขาวกำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่ลำพัง ทว่าพอเข้ายามจื่อ[1] พลันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้ม “ในที่สุดก็มาเสียที…”


 


 


“คุณหนูขอรับ พวกเราถึงกันแล้ว” ด้านนอกรถม้า เสียงแข็งกร้าวของหลานเย่ว์ดังขึ้น


 


 


“ถึงเสียที!” ไม่ทันรอให้หลีมู่ได้เอื้อนเอ่ย ซูเหลียนอวิ้นก็ลุกพรวดขึ้นแล้วยกขากระโดดลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบิดขี้เกียจ “ถึงสักที ไม่เสียแรงที่ข้านอนมาตั้งนาน”


 


 


“หลีมู่! ลงมาเถิด” ซูเหลียนอวิ้นกวักมือส่งสัญญาณให้หลีมู่รีบลงจากรถม้า


 


 


“เจ้าค่ะ…” แต่จากบนรถม้าถึงพื้นดินมีระยะห่างค่อนข้างสูง ทว่าด้วยความรีบร้อนของซูเหลียนอวิ้น จึงยังไม่ทันได้วางบันได นางก็กระโดดลงมาเสียแล้ว แต่หลีมู่นั้นไม่เหมือนกัน เมื่อเห็นระยะความสูงเช่นนี้ นางจึงรู้สึกเสียวไส้ ครั้นเมื่อเห็นแววตาอันเร่งรีบของซูเหลียนอวิ้น หลีมู่จึงต้องกัดฟันแล้วแข็งใจกระโดดลงมา


 


 


“คุณหนู! คุณหนูไม่ได้จะฝึกเป็นกุลสตรีหรือเจ้าคะ!” หลีมู่กระโดดลงมาแล้วทุบไปที่อกตัวเอง จากนั้นจึงย่างสองก้าวเข้าไปหาซูเหลียนอวิ้น “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเคยเห็นกุลสตรีบ้านไหนกระโดดลงจากรถม้าบ้างเจ้าคะ! หากผู้อื่นเห็นคุณหนูในสภาพแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะพูดถึงคุณหนูว่าอย่างไรอีก! เช่นนั้นความพยายามที่ผ่านมาของคุณหนูไม่เท่ากับเสียแรงเปล่าหรอกหรือเจ้าคะ”


 


 


หลีมู่เริ่มหัวร้อน ทำไมคุณหนูของตนถึงไม่รู้จักมีน้ำอดน้ำทนบ้าง! เป็นเรื่องยากขนาดไหนที่นางไม่ยอมออกไปที่ใดเลย ยอมอดทนอยู่เหย้าเฝ้าเรือนจนแก้นิสัยเดิมได้ ทว่าอุปสรรคเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เหตุใดถึงลืมตัวไปเสียได้!


 


 


“หืม?” ซูเหลียนอวิ้นเกาศีรษะ “หลีมู่เจ้าพูดอะไรอยู่น่ะ อะไรคือเป็นกุลสตรี ไม่เป็นกุลสตรี…”ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย


 


 


ซูเหลียนอวิ้นได้ปฏิญาณเอาไว้แล้ว ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ในชาตินี้ อะไรที่นางอยากทำ นางก็จะทำอย่างเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อน คนหรือเรื่องใดที่นางไม่ชอบ นางก็จะเอาพวกเขาไปกองหลบไว้อีกด้านหนึ่ง


 


 


ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมช่วงนี้นางถึงไม่ยอมออกไปเที่ยวเล่นนั้น…นั่นเป็นเพียงเพราะช่วงนี้อันเพ่ยอิงกับหวังฉือหวนจับตาดูนางอยู่ไม่ห่าง นางไม่มีทางออกไปไหนได้! ต่อให้หนีออกไปนางเองก็ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนดี ดังนั้นที่ผ่านมาจึงไม่ยอมออกไปที่ใดเลย แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าการกระทำที่ไม่มีเจตนาของนางนี้จะทำให้หลีมู่เข้าใจผิดไป


 


 


เข้าใจผิดว่าต่อจากนี้ไปซูเหลียนอวิ้นจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่ เริ่มปฏิญาณตนเป็นกุลสตรี


 


 


“โธ่ ไม่ต้องสนใจมากขนาดนั้นก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นผลักหลีมู่เบาๆ “แถมตรงประตูนี้ก็ไม่มีคนอยู่ คนอื่นล้วนต้องนั่งรถม้าเข้าไป ใครกันจะมาลงรถม้าตรงนี้ หลีมู่เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”


 


 


“อ้อ หลี่มู่ ในเมื่อเจ้าลงรถมาแล้ว ช่วยไปบอกกล่าวแก่นักบวชด้านในไว้ก่อน บอกว่าคืนนี้พวกเราจะค้างคืนที่นี่หนึ่งคืน แล้วก็อย่าลืมเลือกห้องที่ทำเลดีๆ ด้วยล่ะ”


 


 


“อะไรนะเจ้าคะ?!” หลีมู่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนถอยหลังไปครึ่งก้าว “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินสั่งไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าให้พวกเรารีบไปรีบกลับ”


 


 


ทำไมคุณหนูถึงคิดวางแผนจะค้างที่นี่? และหากวางแผนไว้เช่นนั้นจริง ทำไมถึงไม่ยอมบอกกล่าวบ่าวไว้บ้าง ข้าวของต่างๆ ล้วนไม่ได้พกมาสักชิ้น!


 


 


ไม่ถูกสิ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ! ประเด็นสำคัญคือ…เหตุใดจู่ๆ จึงตัดสินใจจะค้างคืนที่นี่ต่างหาก


 


 


“สั่งไว้? ท่านแม่สั่งไว้เช่นนั้น? ทำไมข้าถึงจำไม่ได้ล่ะ” ซูเหลียนอวิ้นทำตาปริบๆ อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จากนั้นจึงเอ่ยปลอบอย่างจริงใจ “หลีมู่ เจ้าดูสิว่าตอนนี้มันยามใดแล้ว กว่าพวกเราจะจุดธูปไหว้พระเสร็จแล้วกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปเท่าใดแล้ว? ฟ้าก็คงจะมืด เดินทางกลับตอนฟ้ามืด เจ้าไม่กลัวหรือ ส่วนข้านั้นกลัวแน่ ดังนั้นคืนนี้พวกเราค้างที่นี่สักคืนเถิดแล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ยามจื่อ คือ เวลา 23.00 – 24.59 น. 

 

 


ตอนที่ 68 เตรียมตัว

 

คำพูดที่จริงจังทุกคำพูดของซูเหลียนอวิ้นบวกกับน้ำเสียงที่สุขุมรอบคอบ ทำให้ดูเหมือนว่านางเป็นกังวลกับหนทางในการกลับจวนจริงๆ อีกอย่างคำพูดเกลี้ยกล่อมชักจูงทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่านางพยายามหาทางออกที่ดีกว่าให้


 


 


พอหลีมู่ได้ฟังเหตุผลของซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มรู้สึกคล้อยตาม ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน จิตใจของนางจึงเริ่มสงบลงแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูเจ้าคะ พวกเราก็ให้หลานเย่ว์ขับรถม้าให้เร็วหน่อย ก็คงจะกลับถึงจวนได้ก่อนฟ้ามืด แถมช่วงนี้ยังอยู่ในฤดูร้อน ฤดูร้อนกลางวันยาวนานมืดช้านะเจ้าคะ”


 


 


“ไม่ ไม่ได้หรอก!” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือ “ขั้นตอนต่างๆ ในการไหว้พระ ความพิถีพิถันแสดงถึงความศรัทธาอย่างหนึ่ง หากพวกเราต้องการจะแสดงถึงความตั้งใจ คงจะต้องใช้เวลามากหน่อย ดังนั้นไม่มีทางที่จะกลับถึงบ้านก่อนฟ้ามืดได้!”


 


 


เมื่อได้ยินน้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นที่ยืนกรานและตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะค้างคืนที่นี่ หลีมู่จึงเริ่มเข้าใจ มิน่าเล่าตอนที่คุณหนูได้ยินว่าจะไปวัดฝ่าฝัวถึงได้ตื่นเต้นขนาดนั้น ที่แท้จุดประสงค์ของนางนั้นอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก! นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้เที่ยวเล่นอย่างเต็มที่ทั้งวัน!


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ!” หลีมู่ยังคิดจะหว่านล้อมต่อ ทั้งยังตัดสินใจจะใช้ไพ่ใบสุดท้ายของตน นางหวังว่าเมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเรื่องนี้จะต้องเลิกล้มความตั้งใจที่จะนอนค้างคืนที่นี่อย่างแน่นอน นางจึงเอ่ยว่า “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูไม่ยอมบอกล่วงหน้าว่าจะค้างที่นี่ ดังนั้น…ก่อนที่บ่าวจะออกเดินทางมาที่นี่จึงไม่ได้พกเงินทองหรือของมีค่าติดตัวมาเลย” หลีมู่แบมือและตบไปทั่วร่างของตนเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนมิได้พกกระเป๋าเงินติดตัวมาจริงๆ


 


 


ทีนี้คุณหนูคงจะยอมเลิกราเสียทีกระมัง นางมิได้พกเงินติดตัวมาเลยจะค้างคืนได้อย่างไร ไหนจะข้าวปลาอาหารอีก! ดังนั้นคงต้องยอมกลับจวนแต่โดยดีเสียแล้ว


 


 


น่าเสียดายที่แม้นางจะพยายามหาทางออกจนได้แล้ว แต่กลับต้องรับมือกับโจทย์ข้อต่อไปอีก


 


 


ซูเหลียนอวิ้นคิดถึงปัญหานี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงเป็นการช่วยหลีมู่แก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมยังคิดไว้รอบคอบกว่าหลีมู่เสียด้วยซ้ำ


 


 


“ไม่เป็นไร!” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงยื่นมือเข้าไปในอกของตนแล้วหยิบตั๋วเงินมัดหนึ่งออกมาก่อนจะโบกไปมาให้หลีมู่ดูต่อหน้า “เจ้าดูนี่สิ! คุณหนูของเจ้าคิดถึงปัญหานี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าฉลาดไหมเล่า ข้ากลัวว่าเงินจะไม่พอจึงนำมาไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นเจ้าวางใจได้ เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายต่างๆ ของพวกเราทั้งสามคนอย่างแน่นอน”


 


 


หลีมู่ “…”


 


 


พอหลีมู่เห็นตั๋วเงินมัดนั้นก็อับจนคำพูด คุณหนูของนางวางแผนไว้อย่างรอบคอบยิ่งนัก! รู้ด้วยว่าหากจะค้างคืนต้องใช้เงิน!


 


 


“แต่ว่า…เรื่องเสื้อผ้าจะทำอย่างไรเจ้าคะ” หลีมู่กระเสือกกระสนหาทางรอด “ที่นี่ไม่มีร้านขายผ้านะเจ้าคะ ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ หากคืนนี้คุณหนูจะนอนค้างที่นี่ พรุ่งนี้ก็จะไม่มีผ้าเปลี่ยนนะเจ้าคะ”


 


 


“อ้อ เรื่องนี้ข้าก็คิดเอาไว้แล้วเหมือนกัน” ซูเหลียนอวิ้นกระโดดขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นจึงค้นหาห่อผ้าจนเจอแล้วยื่นออกไปนอกหน้าต่างพลางกวัดแกว่งให้หลี่มู่ดู “ในนี้มีเสื้อผ้าอยู่ ข้านำมาแล้ว แถมข้ายังเอามาเผื่อหลี่มู่ด้วยนะ ข้ารอบคอบใช่หรือไม่”


 


 


“แต่ไม่มีของหลานเย่ว์นะ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่สามารถไปค้นห้องหลานเย่ว์ได้ แต่หลานเย่ว์เป็นผู้ชาย ผู้ชายคงไม่จุกจิกมากนักกระมัง” ซูเหลียนอวิ้นยื่นหน้าออกมาแล้วพูดกับหลานเย่ว์ว่า “หลานเย่ว์ข้าตั้งใจว่าจะนอนค้างที่นี่สักคืน เจ้าทนได้หรือไม่หากต้องนอนโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าสักคืน พรุ่งนี้พวกเราค่อยเดินทางกลับกัน”


 


 


หลานเย่ว์ฟังพวกนางสนทนากันมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่มิได้พูดขัด ทว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกลับลากเขาเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย เขานิ่งไปชั่วครู่จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วตอบกลับว่า “คุณหนูใหญ่ขอรับ ข้าน้อยไม่มีปัญหา เมื่อก่อนข้ามิได้เปลี่ยนผ้าเป็นเดือนๆ ออกบ่อยไป เรื่องแค่นี้จะนับว่าเป็นปัญหาได้อย่างไร”


 


 


“หลานเย่ว์…!” หลีมู่กระทืบเท้า จากนั้นจึงจ้องเขม็งไปทางหลานเย่ว์เป็นนัยว่าเขาน่ารู้จักปฏิเสธบ้าง เพราะหากเห็นดีเห็นงามเช่นนี้ นางเองก็คงไร้หนทางไปต่อแล้ว


 


 


หลานเย่ว์เห็นสายตาเช่นนั้นของหลีมู่กลับหันหน้ากลับทางเดิมเงียบๆ แล้วไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยอีก เพราะตอนนี้ความหมายของซูเหลียนอวิ้นชัดเจนแล้วว่านางต้องการจะค้างคืนที่นี่! อีกทั้งปัญหาทั้งหมดนางล้วนแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์แบบ แล้วจะยังมีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธอีกเล่า?


 


 


แน่นอนว่ายังมีประเด็นที่สำคัญที่สุด ตอนนี้เจ้านายของเขาคือซูเหลียนอวิ้น เขาย่อมต้องสนับสนุนทุกการตัดสินใจของนาง ดังนั้นหลานเย่ว์จึงไม่ใส่ใจต่อสายตาขอความช่วยเหลือของหลีมู่แม้แต่น้อย


 


 


“เอาละ ในเมื่อปัญหาทั้งหมดถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว หลีมู่เจ้าไปจองห้องพักเถิด จองสองห้องก็เพียงพอ เราสองคนจะนอนห้องเดียวกัน ส่วนหลานเย่ว์นอนคนเดียวอีกห้องหนึ่ง” เมื่อกล่าวจบซูเหลียนอวิ้นจึงหยิบตั๋วเงินออกมาสองใบอย่างสบายใจแล้วยื่นให้หลีมู่ “รีบไปเถิด ข้าเกรงว่าหากไปช้าห้องเดี่ยวทำเลดีๆ จะถูกเลือกไปหมด เช่นนั้นจะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่”


 


 


หลีมู่รับตั๋วเงินสองใบบางๆ มาอย่างไร้คำพูด นางประมาทคุณหนูมากเกินไปหน่อย! ช่างเถิดๆ อย่างไรก็ไปไหนไม่ได้แล้ว เช่นนั้นไปจองห้องพักให้ได้จะดีกว่า


 


 


“คุณหนู อย่างนั้นบ่าวไปก่อนนะเจ้าคะ คุณหนูกับองครักษ์หลานไปหาที่จอดรถม้ากันก่อนเถิด”


 


 


“อืมๆ ได้” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือ “อีกประเดี๋ยวพวกเราจะไปพบเจ้า”


 


 


หลานเย่ว์เห็นสถานการณ์ดังนี้จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูยังจะกลับขึ้นรถม้าอีกหรือไม่ขอรับ” เนื่องจากในตอนนี้หลานเย่ว์คาดเดาไม่ถูกว่าในใจของซูเหลียนอวิ้นกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อครู่จู่ๆ ถึงได้กระโดดลงรถมา ตอนนี้ยังคิดจะกลับขึ้นรถอีก?


 


 


เมื่อเห็นเงาด้านหลังของหลีมู่ลับตาไปแล้วก็หันกลับมา “ไม่ต้องหรอก ข้าจะเดินเล่นอยู่แถวนี้ เจ้าไปหาที่จอดรถก่อนเถิด พอข้าเดินเล่นเสร็จแล้วข้าจะกลับมาที่นี่เอง”


 


 


“แต่ถ้าหาก…” หลานเย่ว์ไม่ได้พูดคำพูดที่เหลือออกมา นั่นคงเป็นเพราะคำพูดที่เหลืออยู่ค่อนข้างจะไม่เป็นมงคล หากเลี่ยงได้ควรเลี่ยง


 


 


จากนั้นเขาจึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหยิบนกหวีดออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเอ่ยว่า “คุณหนูขอรับ นี่เป็นสิ่งที่คุณชายใหญ่ให้ข้านำมาให้คุณหนู วันนี้คุณหนูนำมันไปด้วยเถิด หากวันใดที่คุณหนูต้องเผชิญกับเรื่องวุ่นวายก็ให้เป่านกหวีดอันนี้ ข้ากับคนของข้าจะต้องรีบหาคุณหนูให้พบโดยเร็วที่สุด เพื่อดูแลความปลอดภัยให้คุณหนูขอรับ”


 


 


อันที่จริงแล้วนกหวีดอันนี้เป็นของหลานเย่ว์ จุดประสงค์ในการใช้สอยก็เพื่อที่เขาจะได้เรียกรวมพลของตัวเองได้อย่างสะดวก แต่ความเป็นความตายของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ต้องมาก่อน เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากแล้วมอบมันให้กับซูเหลียนอวิ้น


 


 


เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ดูท่าแล้วไม่ยอมแพ้ให้ใครหรือเรื่องใดอย่างง่ายๆ จากการคาดการณ์ของหลานเย่ว์ที่เพิ่งจะมาอยู่กับนางได้เพียงไม่กี่วันนั้น ไม่มีทางที่จู่ๆ นางก็คิดจะค้างคืนที่นี่ เพราะนางเตรียมสิ่งของทุกอย่างมาครบถ้วน เพื่อสกัดการขัดขวางของหลีมู่โดยเฉพาะ


 


 


ทว่าหลานเย่ว์กลับมิได้ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยมากนัก เพราะทุกคนล้วนมีความลับของตัวเอง เขาเองก็ไม่สามารถถามทุกอย่างออกไปได้ เพราะเขาเพิ่งจะมาอยู่กับซูเหลียนอวิ้นได้ไม่นานนัก อีกทั้งการมาในครั้งนี้แม้แต่หลีมู่เองก็ยังไม่รู้จุดประสงค์แท้จริงของซูเหลียนอวิ้น ดังนั้นการที่เขาไม่รู้ถือว่าสมควรแล้ว 

 

 


ตอนที่ 69 คนสนิท

 

ซูเหลียนอวิ้นลูบนกหวีดตัวนั้น จึงรับรู้ว่านกหวีดตัวนี้มีลวดลายเรียบๆ ธรรมดา รวมทั้งรับรู้ถึงความมนตามขอบนกหวีดที่เกิดมาจากการถูกมือสัมผัสมาหลายต่อหลายครั้ง


 


 


นกหวีดตัวนี้…คงจะเป็นของของหลานเย่ว์เองกระมัง เพราะหากซูมั่วเยี่ยต้องการจะมอบสิ่งของให้นางจริง เขาจะต้องมอบมันให้ถึงมือนางด้วยตัวเองถึงจะวางใจได้ อีกทั้งของชิ้นนั้นจะต้องเป็นของใหม่ที่ยังไม่ผ่านการใช้งานอีกด้วย


 


 


ซูเหลียนอวิ้นรู้ดีว่าการกระทำอันแปลกประหลาดของตนในวันนี้จะต้องไปกระตุ้นความสงสัยบางอย่างในตัวหลานเย่ว์เข้าแล้ว แต่นางรู้สึกขอบคุณหลานเย่ว์ที่ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียง หรือเค้นจะเอาคำตอบจากนางให้ได้


 


 


“ขอบคุณมาก” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าให้แล้วเก็บนกหวีดอย่างระมัดระวัง “ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนข้ากลับมาจะคืนมันให้เจ้า”


 


 


“ขอรับ” หลานเย่ว์ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้นจึงขับรถม้าจากไป


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นรถม้าค่อยๆ ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ก็หมุนตัวกลับ แล้วมองไปยังภูเขาลูกเล็กๆที่อยู่ไกลๆ จากนั้นใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงของนาง


 


 


‘ท่านอาจารย์ ข้ามาแล้ว!’


 


 


ซูเหลียนอวิ้นก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวด้วยความคุ้นเคยเส้นทาง ทว่าเดินไปได้เพียงครึ่งทางก็ถอนใจ อาจารย์คนนี้ของนางขี้เกียจเกินไปหน่อยกระมัง ช่วงนี้ถึงไม่ได้ทำความสะอาดทางเดินบ้างเลย! ตามทางเดินเต็มไปด้วยหินก้อนเล็กๆ และกิ่งไม้กระจายไปทั่ว ไม่แปลกเลยที่คนภายนอกจะไม่รู้ว่ามีคนอาศัยอยู่แถวนี้ด้วย


 


 


หากเดินมาถึงตรงนี้ ใครจะอยากเดินต่อเล่า!


 


 


ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเท่าใด ใจของซูเหลียนอวิ้นก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุดนางจึงเห็นเงาด้านหลังที่คุ้นตาเป็นอย่างดี


 


 


เงาสูงโปร่ง สวมชุดขาวยาวพลิ้วไหวตามสายลม ดวงหน้างดงามราวหยก ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องต้องไปยังชุดขาวจนเกิดเป็นแสงสุกสกาวระยิบระยับประหลาดตา อีกทั้งนี่เป็นเพียงการมองจากด้านหลังเท่านั้น ยังทำให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกครั่นคร้ามถึงเพียงนี้ ในหัวปรากฏเพียงตัวอักษรแปดตัวเท่านั้น


 


 


‘คุณชายหน้าหยก เรืองรองอร่ามตา’


 


 


ฝีเท้าของซูเหลียนอวิ้นหยุดลงช้าๆ ข้ออ้างสวยหรูที่ตระเตรียมมา ตอนนี้กลับตะกุกตะกักอยู่ในลำคอ แม้จะพยายามเท่าใดก็พูดไม่ออก


 


 


คนผู้นั้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหยุดลงก็ค่อยๆ หันกลับมาแล้วเอ่ยว่า “อวิ้นเอ๋อร์ ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ”


 


 


‘ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ…’


 


 


อารมณ์ของซูเหลียนอวิ้นคล้ายถูกคำพูดประโยคนี้สะกิดใจเข้า ตอนนั้นน้ำตาของนางพรั่งพรูแล้วโผเข้าสู่อ้อมกอดของอีกฝ่าย พลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่านอาจารย์ ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ”


 


 


หรงซู่รู้สึกขบขันเมื่อเห็นภาพดรุณีน้อยโผเข้าใส่อกตน เด็กคนนี้ยังคงเป็นเช่นเดิม…


 


 


สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ หรงซู่ผู้ที่เป็นดั่งเทพเซียนจากวังสวรรค์ สูงส่งเหนือโลกีย์เมื่อครู่นั้น ตอนนี้พอโดนซูเหลียนอวิ้นโผเข้าใส่อย่างกะทันหัน กลับคล้ายตกลงสู่วังวนของมนุษย์ ภาพลักษณ์เมื่อครู่พลันมลายหายในพริบตา!


 


 


“เอาล่ะๆ” หรงซู่ลูบผมซูเหลียนอวิ้นไปมา แล้วใช้น้ำเสียงปลอบประโลมระคนหน่ายใจ “โตถึงเพียงนี้แล้ว ทำไมถึงยังแก้นิสัยไม่ได้อีก”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ หลุดออกจากอารามความตื่นเต้นเมื่อครู่ แล้วหยิบผ้าออกมาซับน้ำตา จากนั้นจึงหันกลับไปนั่งลงบนม้านั่งหิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “โตอะไรกัน ข้ายังมิได้ปักปิ่นเลย ยังถือว่าเป็นเด็กอยู่ ทำไมหรือ”


 


 


สิ้นเสียงพูด ซูเหลียนอวิ้นคล้ายนึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นเพราะนางเกิดใหม่แล้วถึงได้มีความทรงจำจากเมื่อชาติก่อนรวมอยู่ด้วย แต่อาจารย์ของนางรู้ได้อย่างไร เพราะเมื่อครู่ยังเอ่ยว่า…ไม่เจอกันนานแล้ว


 


 


‘ไม่เจอกันนานแล้ว?’


 


 


เมื่อก่อนมิได้เคยเจอกันแล้วหรือ แต่ครั้งนี้เป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองหลังจากที่นางกลับมาเกิดใหม่


 


 


“ท่านอาจารย์ ท่านรู้เรื่องทั้งหมดหรือเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นเอียงคอมองหรงซู่อย่างสงสัยใคร่รู้


 


 


“รู้อะไรหรือ” หรงซู่ปัดเสื้อผ้าของตน จากนั้นจึงนั่งลงบนม้านั่งหินตรงข้ามซูเหลียนอวิ้น


 


 


“คือว่า…” ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี แต่เมื่อนึกถึงความสามารถของหรงซู่แล้วก็ผ่อนคลายขึ้น ต้องเป็นท่านอาจารย์แน่ๆ ที่ให้โอกาสนางกลับมาเกิดใหม่ครั้งนี้


 


 


“ท่านอาจารย์ การที่ข้าได้กลับมาเกิดใหม่ คงเป็นฝีมือของท่านกระมัง” นางถามออกไปอย่างใสซื่อและตรงไปตรงมา


 


 


หรงซู่ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ก็มิได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย จึงจิบชาหนึ่งทีแล้วเอ่ยว่า “ข้าเพียงออกแรงเพียงน้อยนิดเท่านั้น มิได้เป็นฝีมือข้าทั้งหมด”


 


 


เมื่อได้ยินดังนี้น้ำตาของซูเหลียนอวิ้นจึงเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาอีก ตาทั้งสองข้างของนางเริ่มพร่ามัว “ท่านอาจารย์ ทำไมท่านถึงไม่ถามถึงความสมัครใจของข้าบ้าง” ถามข้าสักหน่อยว่าอยากจะกลับมาเกิดในครั้งนี้หรือไม่! ไม่ถามความคิดเห็นของข้าแล้วยังทำให้ข้ากลับมามีชีวิตใหม่อีกรอบหนึ่ง!


 


 


“ความเห็นของเจ้าสำคัญหรือ” หรงซู่เหลือบมองซูเหลียนอวิ้น ตอนนั้นเองที่นิสัยแท้จริงของเขาได้เปิดเผยออกมา


 


 


มือของซูเหลียนอวิ้นชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็กลับมาปาดคราบน้ำตาที่ยังคงเหลืออีกนิดหน่อย นางรู้ดีว่าไม่ว่าจะอย่างไร ท่านอาจารย์ก็ยังคงเป็นท่านอาจารย์ เพราะคนที่สามารถพูดกับนางแบบนี้ได้ แถมยังใช้น้ำเสียงแบบนี้ต่อว่านาง คนทั่วไปย่อมมิอาจเลียนแบบได้


 


 


สำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าหรงซู่เป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์ เป็นทั้งญาติและเพื่อนสนิท


 


 


เมื่อชาติก่อนซูเหลียนอวิ้นนั้นอ้างว้างโดดเดี่ยว คนทั้งแผ่นดินล้วนไม่เข้าใจนางและมองนางในแง่ลบ แม้แต่คนในครอบครัวตัวเองแท้ๆ ก็ไม่สนับสนุนการตัดสินใจของนาง มีเพียงหรงซู่ที่นางยังพอมาหาเขาได้ในบางครั้ง เพื่อพูดคุยสัพเพเหระและระบายความอัดอั้นในใจ


 


 


ตอนนั้นหรงซู่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของนาง และเป็นคนสนิทเพียงหนึ่งเดียว


 


 


แต่หากถามว่าเพราะเหตุใดซูเหลียนอวิ้นจึงไม่มีใจให้หรงซู่ แถมยังมีใจแน่วแน่ให้ต้วนเฉินเซวียนอย่างไม่แปรเปลี่ยน? หากพูดถึงรูปลักษณ์ผิวพรรณ ผิวพรรณของหรงซู่นั้นเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง อันที่จริงคำตอบของคำถามนี้ง่ายมากทีเดียว


 


 


นั่นเป็นเพียงเพราะว่า ท่าทางของหรงซู่ผู้นี้สูงส่งมากเกินไป!


 


 


เมื่อมองดูหรงซู่ ซูเหลียนอวิ้นไม่สามารถปลุกความรู้สึกอยากเย้าแหย่คลอเคลียของสตรีออกมาได้เลย! เพราะเขาเหมือนเทพองค์หนึ่ง แม้ว่ารูปโฉมจะเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง แต่เป็นเพราะความแตกต่างที่มากเกินไป ทำให้ไม่มีผู้ใดมีความคิดชั่วร้ายกับเขาได้เลย แม้ว่าผู้ที่คุ้นเคยกับภูมิหลังของเขาเป็นอย่างดีจะรู้ว่านี่เป็นเพียงเปลือกนอก แต่ความทรงจำแรกกลับฝังรากลึกไปเสียแล้ว


 


 


หรงซู่ในคำจำกัดความของซูเหลียนอวิ้น หากต้องบรรยายจริงๆ คนผู้นี้ก็คือคนสนิท คนสนิทมากๆเท่านั้น สามารถพูดคุยความในใจได้บางเรื่อง หากเทียบกับพี่ชายแท้ๆ อย่างซูมั่วเยี่ยแล้วก็ถือว่ายังสนิทกว่าอยู่เล็กน้อย


 


 


อีกทั้งพวกเขาทั้งสองต่างยอมรับกันและกันในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ ยิ่งถือว่าเป็นการยกระดับความรู้สึกสนิทสนมมากขึ้น


 


 


และเพราะว่าตลอดมาหรงซู่มองซูเหลียนอวิ้นเป็นดั่งรุ่นน้องของตนและเด็กดื้อเพียงคนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าอายุของทั้งสองจะไม่ได้ห่างกันมากนัก ดังนั้นหากจะจับทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องไปถามถึงความเห็นของคนอื่นเพราะเขาทั้งสองคนต่างจะปฏิเสธเป็นเสียงเดียว เนื่องจากใครจะมีความรักกับรุ่นพี่คนสนิทของตัวเองได้?


 


 


“ท่านอาจารย์…” ซูเหลียนอวิ้นเอนตัวพิงเก้าอี้หินแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่เจอกันตั้งนาน ข้ายังหาคำพูดดีๆจากปากของท่านไม่เจอเช่นเดิม”


 


 


“อืม ข้านึกว่าเจ้าชินแล้วเสียอีก คงไม่ได้เจอกันมานานเกินไป เจ้าถึงไม่ชินเสียแล้ว”


 


 


มิผิด แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของหรงซู่เปรียบได้กับเทวดาเดินดิน แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนปากร้ายอย่างยิ่ง


 


 


“ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ท่านยังมิได้บอกข้าเลยว่า หากไม่ใช่ฝีมือท่านที่ทำให้ข้าได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว เช่นนั้นจะเป็นใครได้อีก ท่านพ่อ ท่านแม่หรือพี่ชายของข้า?”


 


 


“ไม่” หรงซู่วางถ้วยชาในมือลงแล้วส่ายศีรษะ “เป็นคนที่ติดหนี้เจ้าเอาไว้มากมาย จึงมาคืนหนี้ให้แก่เจ้า”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม