สาวน้อยปลูกผัก 489-512
TQF:บทที่ 489 ทั้ง 2 วางแผน 2 บทเพลง (3)
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยายามนึกเนื้อเพลง และฮัมเบาๆ “ข้าได้ฟังเสียงของเจ้าแล้วเกิดความรู้สึกพิเศษทำให้ข้าหยุดคิดไม่ได้ ไม่กล้าที่จะลืมเจ้า ข้าจำได้ว่ามีคนนึงจะอยู่ในใจข้าตลอดไป
ต่อให้ได้แค่คิดถึงเจ้าอยู่แบบนี้ ถ้าหากมีสักวันที่คำอธิษฐานความรักจะเป็นจริง ข้าจะดีกับเจ้าให้มากๆ
ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป”
“ไม่ว่าทางจะไกลแค่ไหนข้าก็จะทำให้มันเป็นจริงให้ได้ ข้าจะกระซิบเบาๆข้างหูเจ้าว่า
ข้ารักเจ้า รักเจ้าเหมือนที่เจ้าหนูรักข้าว ไม่ว่าจะผ่านอีกกี่ร้อนหนาวข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า
ข้าคิดถึงเจ้า คิดถึงเจ้า ไม่ว่าจะลำบากสักแค่ไหนขอแค่ทำให้เจ้ามีความสุข ข้ายอมทุกอย่าง
รักเจ้าอยู่แบบนี้”
“ว้าว เพราะจัง คุณชายต้องชอบฟังแน่” ผึ้งหยกน้อยที่ดีใจเป็นอย่างมากพูดออกมาอย่างลืมตัว
“เจ้าลูกคิด?”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวแปลกใจเป็นอย่างมาก มองดูเจ้าตัวเล็กทั้ง 2 “พวกเจ้าวางแผนอะไรกันอีก บอกมานะ…”
“อิอิ คุณหนู แผนอะไรกัน คุณหนูอย่าใส่ร้ายพวกข้าสิ” หยูเฮงไม่ยอมรับเด็ดขาด และนางไม่ลืมที่จะหันไปส่งสายตาให้เจ้าคนไร้เดียงสาข้างๆด้วย
ราชินีผึ้งหยกก็รู้ตัวว่าไม่ควรพูดถึงคนบางคน ก้มหน้าอย่างว่าง่ายและไม่พูดอะไรออกมาอีก
ท่าทางเจ้าตัวเล็ก 2 คนนี้มีเรื่องปิดบังตัวเองอยู่แน่ๆ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวขี้เกียจจะซักถาม “เอาล่ะ เพลงที่พวกเจ้าอยากจะฟังข้าก็ร้องแล้ว ด้วยพลังการจำของพวกเจ้าแล้วจะจำให้ได้น่ะง่ายนิดเดียว”
“เพิ่งจะเพลงเดียวเองคุณหนู ร้องอีกเพลงสิ”
“ใช่แล้วคุณหนู พวกเราต้องการ 2 เพลง คุณหนูร้องให้เราฟังอีกเพลงสิ”
เจ้าตัวเล็กทั้ง 2 ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยนางไป
“เพลงเดียวก็พอแล้ว” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ยอมร้องอีก
“ไม่ได้ ต้อง 2 เพลงเท่านั้น” หยูเฮงก็ไม่ยอมถอย
ผึ้งหยกน้อยกระพริบตาและพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “คุณหนู ร้องให้พวกเราฟังอีกเพลงนะ อีกเพลงเดียว ได้มั้ย”
“เอ่อ…”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวทำอะไรเจ้าตัวเล็กทั้ง 2 ไม่ได้ เอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ เพลงที่ 2 ชื่อเพลง หมาป่าที่คลุมหนังแกะไว้ เอาล่ะ พวกเจ้าฟังให้ดี”
“ข้าเข้าใกล้เจ้าอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะปลุกเจ้าขึ้นจากความฝัน ข้าแค่อยากจูบเจ้าเบาๆเจ้าอย่าเป็นกังวล
ข้ารู้ว่าอยากจะอยู่ด้วยกันกับเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เรามาจากที่ที่ต่างกัน เจ้ารู้สึกว่าอยู่กับข้าเหมือนเป็นความสะพรึงกลัวอันหนาวสั่นและไม่มีที่สิ้นสุด ข้ารักเจ้าจริงๆ ข้ายอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ข้ายอมคลุมหนังแกะเพื่อเจ้า”
“ขอแค่เจ้ายอมให้ข้าเข้าใกล้ ให้ข้ารักเจ้าอยู่เคียงข้าง ข้ามั่นใจว่าข้าจะเป็นหมาป่าที่คลุมหนังแกะไว้
ส่วนเจ้าเป็นเหยื่อของข้า เป็นลูกแกะในปากข้า ข้าทิ้งฝูงไว้พเนจรเพียงลำพังเพราะไม่อยากแบ่งเจ้าให้คนอื่น
ข้ามั่นใจว่าทั้งชีวิตนี้จะอยู่เคียงข้างเจ้า ด้วยใจอันร้อนรุ่มของข้าตามเจ้าไปทุกที่ เจ้าทำให้ข้าเป็นบ้า
เสียงตะโกนบอกรักเจ้าสะท้อนอยู่ในภูผา เจ้าคือลูกแกะน้อยในใจข้า เป็นความรักของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอได้ ข้ารักเจ้าแค่ไหนก็มีความอ่อนโยนมากเท่านั้น ข้าเชื่อว่าความรักนี้แม้ฟ้าดินก็ต้องซาบซึ้ง”
“ว้าว เพราะจัง”
“ทั้ง 2 เพลงเพราะมากเลย”
ได้ยินเสียงเชียร์ของเจ้าตัวเล็กทั้ง 2 เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหันหลังเดินจากไปทันที จะได้ไม่ถูกตื๊ออีก
เพียงแต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กทั้ง 2 ก็หายไปแล้วเช่นกัน
ในสวนบางสวน
“คุณชาย”
“คุณชาย”
เสียงใสๆ 2 เสียวดังขัดคนที่กำลังแกะสลักอยู่ เห็นการปรากฏตัวของเจ้าตัวเล็กทั้ง 2 โม่ซวนซุนอมยิ้มวางของในมือลง ถามขึ้น “พวกเจ้ามีธุระอะไร”
“อิอิ คุณชาย เพลงที่คุณหนูชอบน่ะข้าได้มาแล้ว เจ้าจะหัดรึเปล่า” หยูเฮงเอ่ยอย่างดีใจ
“ไหนร้องให้ข้าฟังซิ” โม่ซวนซุนมีรอยยิ้มระบายอยู่ทั่วหน้า
คนบางคนในมิติยังไม่รู้ตัวว่าถูกเจ้าตัวเล็กทั้ง 2 ขายความลับแล้ว
ไม่นานนัก เพลงของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ถูกขับร้องขึ้น ไม่ต่างกับที่นางร้องเมื่อกี้แม้แต่น้อย ต้องยอมฝีมือการลอกเลียนแบบของหยูเฮงจริงๆ
TQF:บทที่ 490 เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในบ้าน (1)
“อาเล็ก”
ได้เจอคนที่ไม่เจอมานาน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอดประหลาดใจไม่ได้
แม้ว่าเฉิงฮุ่ยฮุ่ยก็อยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนเหมือนกัน แต่มาปรากฏตัวที่บ้านหลักน้อยครั้งมาก เนื่องจากผู้เฒ่าเฉิงเคยบอกไว้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนนั้นไม่ใช่บ้านตระกูลเฉิง แต่เป็นสำนัก สำนักหนึ่ง
ที่สำคัญกว่านั้น ผู้เฒ่าเฉิงคิดว่าที่บ้านตัวเองมีทุกวันนี้ได้ก็เป็นบุญคุณจากบ้านเฉิงไป๋หยวน จะอ้างฐานะแล้วทำตัวเป็นเจ้านายที่นี่ไม่ได้ อย่างไรก็จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสาวกคนหนึ่ง
เฉิงฮุ่ยฮุ่ยอายุไม่น้อย แน่นอนว่าต้องเข้าใจความหมายของท่านพ่อตัวเอง อีกอย่างคนในครอบครัวตัวเองทั้ง 3 รุ่นก็มีสภาพความเป็นอยู่ไม่เลว ไม่แตกต่างอะไรกับผู้เฒ่าหยิง โดยเฉพาะหลี่ฮุยน้อยของตัวเองที่ได้รับทรัพยากรที่ดี อายุน้อยๆก็ฝึกฝนถึงระดับนักรบ ในใจของพวกเขาต่างซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
อีกอย่าง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ใช่คนเดิมแล้ว ความสัมพันธ์ของนางกับเฉิงฮุ่ยฮุ่ยก็อยู่ในระดับธรรมดา ถ้าเฉิงฮุ่ยฮุ่ยไม่ออกมา เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่ค่อยได้เข้าไปหานัก แม้ว่าจะอยู่ที่เดียวกัน แต่ช่วง 1 ปีมานี้ทั้ง 2 แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย
อยู่ๆเฉิงฮุ่ยฮุ่ยมาปรากฏตัวต่อหน้า เฉิงเสี่ยวเสี่ยวแปลกใจจริงๆ
เฉิงฮุ่ยฮุ่ยมีสีหน้าอึดอัดนิดหน่อย เอ่ยอย่างเขินๆ “เสี่ยวเสี่ยว เจ้ายุ่งอยู่เหรอ รบกวนเจ้ารึเปล่า”
“อาเล็ก พูดอะไรอย่างนั้น” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
รู้อยู่แก่ใจว่านางมีกำแพงและไม่ได้เป็นกันเองกับบ้านตัวเองเท่าไหร่นัก แต่ในสายตาเฉิงเสี่ยวเสี่ยว อย่างไรก็มาจากตระกูลเดียวกัน อีกอย่างผู้เฒ่าเฉิงก็นับว่าตั้งใจทำงานและซื่อสัตย์กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน ดังนั้น เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกดีกับคนตรงหน้าอยู่บ้าง
“อาเล็ก เข้ามานั่งสิ”
“ได้….” ลังเลอยู่ครู่ เฉิงฮุ่ยฮุ่ยก็ก้าวเข้าไปในศาลา วางห่อในมือลงบนโต๊ะ ยิ้มเขินๆ “เสี่ยวเสี่ยว ได้ข่าวว่าเจ้าจะแต่งงานกับคุณชายโม่แล้ว อาเล็กไม่มีของขวัญอะไรจะให้เจ้า นี่เป็นปลอกหมอนที่ข้าเย็บเอง หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา”
“หา อาเล็กให้ข้าเหรอ”
มองอาเล็กตรงหน้าที่ดูเขินอาย ก็นึกถึงอายุของนางขึ้นมาทันที จะว่าไปนางก็อายุ 20 กว่าแล้ว 2 ปีมานี้ก็อยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนตลอด ไม่รู้ว่านางมีคนที่ชอบรึเปล่า
“ใช่แล้ว หวังว่าเสี่ยวเสี่ยวจะไม่รังเกียจ” เฉิงฮุ่ยฮุ่ยยิ้มอ่อนโยน
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มอย่างขอบคุณ “อาเล็ก ข้าดีใจแทบไม่ทันจะรังเกียจได้ไง ข้าน่ะเป็นแค่ยัยโง่คนนึง เย็บอะไรพวกนี้ไม่เป็นหรอก”
จริงอย่างที่นางว่า ถ้าให้นางใช้เข็มฆ่าคนน่าจะง่ายกว่าใช้เข็มในการเย็บปักถักร้อย”
“ถ้าเจ้าเป็นคนโง่ ใต้หล้านี้ก็ไม่มีคนฉลาดแล้ว” เฉิงฮุ่ยฮุ่ยหัวเราะ “เจ้าก็แค่ไม่ได้เรียนงานเย็บปักเท่านั้นแหละ ถ้าเจ้าเรียนละก็ต้องทำได้ดีกว่าใครๆแน่”
“พอเถอะอาเล็ก ไม่ต้องชมข้าหรอก ข้าน่ะรู้ความสามารถตัวเองดี งานเย็บปักไม่ใช่งานถนัดของข้า มีแต่กุลสตรีอย่างอาเล็กเท่านั้นแหละที่ทำได้”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่ายหัวเบาๆก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “อาเล็ก ท่านทำงานเย็ปปักแบบนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ คงไม่ได้ตั้งใจเตรียมการเพื่อข้าหรอกนะ หรือว่าท่านมีคนในใจแล้ว บอกข้าได้มั้ยว่าใคร”
พูดถึงตรงนี้ นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาเล็กอายุ 20 กว่าแล้ว แต่ก็นับว่าอายุไม่มากสำหรับผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ คนบางคนอายุเป็นร้อยปีกว่าจะได้แต่งงาน
แต่เมื่อเห็นว่านางทำงานเย็บปักเป็นก็แปลกใจพิลึก อดแซวคนตรงหน้าไม่ได้
แต่เฉิงฮุ่ยฮุ่ยชะงักไปเมื่อได้ยินคำนี้ หน้าของนางขึ้นมีแดงบางๆ ก่อนจะมีสีหน้าเศร้าหมองลงไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
แม้นางจะไม่พูด แต่ปฏิกิริยาของนางก็ทำให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้ว่า มีอะไรในกอไผ่แน่ๆ
คิดมาถึงตรงนี้ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอดสงสัยไม่ได้ ใครกันน้าที่นางชอบ ถามด้วยความอยากรู้ “อาเล็ก ใครกันที่ขโมยหัวใจท่านไป บอกข้ามา เดี๋ยวข้าจะไปจับโจรให้เป็นไง”
“เหลวไหล”
เฉิงฮุ่ยฮุ่ยยิ่งอายเข้าไปใหญ่เมื่อถูกแซว แดงไปยันคอแล้วก็ยังไม่ยอมรับ “เสี่ยวเสี่ยวอย่าพูดมั่วนะ ข้าไม่มีคนที่ชอบ”
ท่าทางของนางดูยังไงก็รู้ว่ามี แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่ได้คาดคั้น แค่พูดเบาๆว่า “อาเล็ก ถ้ามีคนที่ชอบแล้วก็อย่าพลาดโอกาสล่ะ ยังไงซะมีคนคอยอยู่เคียงข้างก็เป็นเรื่องดี หวังว่าอาเล็กมีอะไรอย่าเก็บไว้ในใจคนเดียว พูดออกมาให้ทุกคนช่วยจัดการดู”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก จัดการอะไรกัน” เฉิงฮุ่ยฮุ่ยแววตามีพิรุธ ไม่กล้าสบตากับเฉิงเสี่ยวเสี่ยว น้ำเสียงก็รนๆ
“ไม่มีอะไรก็ดี”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองนางแว้บหนึ่งก่อนจะแอบถอนหายใจ ตัดสินใจว่าจะแก้ปัญหานี้ให้นาง
แม้นางจะไม่ยอมรับ แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ดูออกว่าอาเล็กของตัวเองต้องแอบชอบใครอยู่แน่ๆ และคนนั้นอาจจะไม่รู้ จะได้คู่กันหรือไม่เป็นอีกเรื่องนึง ตอนนี้ต้องช่วยนางดูสถานการณ์ก่อน
เชื่อว่าคนที่นางชอบเป็นลูกศิษย์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน คนที่ได้รับเลือกล้วนเป็นคนนิสัยใจคอไม่เลวเลยทีเดียว ถ้าทั้งคู่ต่างมีใจให้กันก็นับว่าเป็นเรื่องดี
“เสี่ยวเสี่ยว เจ้าคิดอะไรอยู่” เฉิงฮุ่ยฮุ่ยอดถามไม่ได้เมื่อเห็นนางเงียบไปนาน
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้สติกลับมา มองเฉิงฮุ่ยฮุ่ยอย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยพลางยิ้มอ่อนๆ “อาเล็กสวยจัง”
นี่ไม่ได้เป็นการชมไปงั้นๆ คนตรงหน้าท่าทางเรียบร้อย โครงหน้าสบายตา ทั้งตัวมีบรรยากาศแห่งความอ่อนโยนแผ่ซ่านออกมา ความสวยแบบนี้ดึงดูดสายตาคนได้จริงๆ
“เสี่ยวเสี่ยว เจ้าเลิกแซวข้าได้แล้ว ข้าสวยที่ไหนกัน”
ได้ยินคำนี้ เฉิงฮุ่ยฮุ่ยที่ตอนแรกเศร้าหมองก็ค่อยๆอารมณ์ดีขึ้น มีรอยยิ้มบางๆผุดขึ้นบนใบหน้างาม ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ดีใจกับการที่ตัวเองถูกชมทั้งนั้นแหละ
สองอาหลานคุยเรื่อยเปื่อยไปสักพักเฉิงฮุ่ยฮุ่ยก็บอกลาและจากไป
——————————
TQF:บทที่ 491 เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในบ้าน (2)
ในการคุยกันครั้งนี้ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยายามหลอกถามถึงคนที่นางชอบ แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร ทำให้นางแปลกใจอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ต้องรีบร้อนนัก หลังจากนี้คอยดูให้ดีก็พอ
เมื่อได้แผนแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็นั่งเงียบๆอยู่อีกประเดี๋ยวก็เดินออกจากสวนตัวเอง ดูไปเรื่อยเปื่อย
เพิ่งจะออกมาจากทางเดิน ก็มีร่างสูงโปร่งเดินสวนมาตรงหน้า เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหยุดฝีเท้าลง เมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้วก็ร้องขึ้นมา “เจิ้งหยวน เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พี่ใหญ่…”
เฉิงเจิ้งหยวนมีสีหน้าดีใจ นัยน์ตาที่จ้องมองไปยังพี่สาวคนโตเป็นประกาย รีบก้าวเดินเข้ามา “พี่ใหญ่ ไม่เจอกันตั้งนาน”
พูดจบก็ยื่นมือมากอดพี่สาวตัวเองไว้ พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่ใหญ่ เกือบจะ 1 ปีแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน คิดถึงข้ารึเปล่า”
“ข้า…”
“เจ้าเด็กบ้า วอนซะแล้ว”
เสียงเสียงหนึ่งที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจลอยเข้ามาขัดเฉิงเสี่ยวเสี่ยว นาทีต่อมา เฉิงเจิ้งหยวนรู้สึกว่าตัวเองถูกยกขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งและโยนไปข้างหลัง ราวกับลูกบอลที่ถูกขว้างออกไป ไม่สามารถยืนให้มั่นคงได้
พริบตาเดียวเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ตกอยู่ในอีกอ้อมกอดนึง ได้ยินเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของคนบางคนดังขึ้นข้างหู “ไอเจ้าบ้านี่ กล้าแต๊ะอั๋งเมียข้ารึ บังอาจจริงๆ”
“พี่เขย…” เฉิงเจิ้งหยวนที่เด้งกลับมาจากกำแพงได้ยินคำพูดเขาพอดี เถียงอย่างไม่ยอมแพ้ “นางเป็นพี่สาวข้านะ เจ้านี่เลวร้ายจริงๆ”
“เจ้าเด็กนี่ ยังจะกล้าพูดอีก ตอนนี้พี่สาวเจ้าเป็นเมียข้า วันหลังเจ้าไปให้ไกลๆเลยนะ ได้ยินมั้ย” โม่ซวนซุนเหล่มองเขาก่อนจะสั่งด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เมียเจ้าอะไรกัน พวกเจ้ายังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย”
เฉิงจงหยวนขนลุกกับสายตาที่มองมาของพี่เขย แม้จะยังไม่ยอมแพ้แต่ก็ไม่กล้าโต้ตอบอะไรกับเขา จึงหันไปหาอีกคนหนึ่ง “พี่ใหญ่ ผู้ชายของท่านรังแกข้า เลวร้ายที่สุด ท่านอย่าแต่งงานกับเขาเลย ฮี่ม…”
“พูดว่าอะไรนะ…” โม่ซวนซุนเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ ดวงตาเรียวยาวจ้องมองไปที่เขา น้ำเสียงไม่หนักไม่เบา
ใบหน้าหล่อเหลาของเฉิงเจิ้งหยวนแดงก่ำ ขยับปากเล็กน้อยแต่ไม่กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา กลับส่งสายตาไปที่พี่สาวตัวเอง
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองบนกับความปัญญาอ่อนของ 2 คนนี้
“เสี่ยวเสี่ยว ไปเถอะ น้องชายไม่เชื่อฟัง ต้องหาคนมากำราบสักหน่อย ดูซิว่ามีลูกศิษย์หญิงที่เหมาะสมมั้ย ให้ท่านแม่ยายคอยจับตาดู”
โม่ซวนซุนไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาไป พูดต่อไปเรื่อยๆ
“พี่เขย เจ้าอย่ามากไปนัก”
ทนไม่ไหวแล้ว เฉิงเจิ้งหยวนจ้องเขาเขม็งร้องออกมาอย่างไม่พอใจ “อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น ไม่อย่างนั้นเจ้าอย่าหวังว่าจะได้เข้าพิธีกับพี่ข้า”
“เจ้าเด็กนี่ เจ้ากล้าขู่ข้ารึ” โม่ซวนซุนเลิกคิ้ว ถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู ไม่ใช่แค่ข้านะ ยังมีเจิ้งปิน หลานหลาน ถึงเวลาพวกเรา 3 คนจะ… หึหึหึ”
ท่าทางของเฉิงเจิ้งหยวนดูเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ในสายตามีความล้อเลียนอย่างมาก
“เจ้า…”
“พอแล้ว พวกเจ้านี่ไร้สาระซะจริง”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป สะบัดคนข้างกายออก เดินไปพูดไป “พวกเจ้านี่กินอิ่มแล้วก็ว่าง ไม่มีอะไรทำใช่มั้ย ให้ข้าหาเรื่องให้พวกเจ้าทำมั้ย”
“พี่ใหญ่ ข้ากลับมาเยี่ยมท่าน ข้าน่ะทำอะไรอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ” เฉิงเจิ้งหยวนรีบตามขึ้นมา
โม่ซวนซุนไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลัง รีบเดินตามนางพลางเอ่ย “เสี่ยวเสี่ยว มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“มีสิ มีเยอะมาก มีเรื่องที่สำคัญมาก มีแต่พวกเจ้า 2 คนนั่นแหละที่ว่างขนาดนี้”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์กับทั้ง 2
ทั้ง 3 เดินไปที่สวนของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์
ในสวนของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์มีคนเข้ามาหาจำนวนมากทุกวัน วันนี้ก็ไม่แตกต่าง ตอนที่ทั้ง 3 คนเดินมาพลางตีกันไปพลางนั้น ผู้อาวุโสหลายท่านที่นั่งอยู่ด้วยกันก็มองพวกเขาเข้ามายิ้มๆ
ทุกคนต่างกล่าวทักทายกัน อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์เพิ่งเคยเพ่งมองดูเฉิงเจิ้งหยวนอย่างตั้งใจเป็นครั้งแรก กับเด็กหนุ่มอายุ 16 คนนี้ เฉิงเจิ้งหยวนที่อายุ 16 ก็นับว่าบรรลุวุฒิภาวะแล้ว
ผู้อาวุโสคนอื่นๆก็เพิ่งเคยเห็นเฉิงเจิ้งหยวนครั้งแรก เหล่าผู้อาวุโสเห็นว่าวิทยายุทธของเขาอยู่ในระดับราชันย์เทพยุทธ์ต่างมีสายตาชื่นชม ราชันย์เทพยุทธ์ในอายุ 16 ปี ต้องบอกเลยว่าพรสวรรค์ขนาดนี้ช่างน่าตกใจเสียจริง
“ลูกชายคนโตของตระกูลเฉิง ดี ดี”
มีประกายวูบขึ้นในสายตาของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ เขาพยักหน้าเบาๆ พูดคำว่า ดี ติดกัน 2 คำกับเจ้านายน้อยของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าที่พรสวรรค์ไม่น้อยหน้าไปกว่าลูกศิษย์ชั้นยอด
“ขอบคุณที่อาจารย์ปู่ชมเชย” เฉิงเจิ้งหยวนไม่กล้าผยอง กลับถ่อมตัวเป็นอย่างมาก ลุกขึ้นขอบคุณอาจารย์ปู่
“เด็กหนุ่มไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอกน่ะ เจ้าน่ะดีจริงๆ”
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ยิ้ม พยักหน้าอย่างพอใจ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ดีใจมากเช่นกันกับความเอาใจและนิสัยใจคอของน้องชาย
“คุณชายใหญ่อายุแค่นี้ก็เป็นราชันย์เทพยุทธ์แล้ว เป็นยอดฝีมือที่หาได้น้อยจริงๆ”
“ถูกต้อง คุณชายใหญ่มีวิทยายุทธขนาดนี้ ทำให้คนอื่นตกใจจริงๆ”
“รากฐานของคุณชายใหญ่ก็แน่นมาก ยากจะหาได้”
เหล่าผู้อาวุโสต่างเอ่ยคำชม เฉิงเจิ้งหยวนเกาหัวเขินๆ ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
ทุกคนก็หัวเราะออกมาอย่างใจดี
เสียงของทุกคนเพิ่งจะเงียบลง ก็มีร่างๆหนึ่งหายตัวเข้ามาด้วยท่าท่างร้อนรน
——————————–
TQF:บทที่ 492 ผลตอบแทนหนาแน่น สงครามเริ่ม (1)
ทุกคนมองไปยังคนที่หายตัวเข้ามา ซึ่งก็คือผู้เฒ่าหยิง
เขามีท่าทีหนักใจ ประสานมือพลางกล่าว “คุณหนู คุณชาย อาจารย์ปู่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยถาม
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์มีท่าทีเรียบเฉย ถามขึ้น “คนของเมืองโลกทมิฬมาแล้วใช่มั้ย”
“อาจารย์ปู่รู้แล้วหรือ” ผู้เฒ่าหยิงชะงักไปนิดนึง
“เดาเอา”
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ตอบนิ่งๆ “เรื่องนี้เดาไม่ยากหรอก อย่างไรซะนอกจากเจ้าพวกนั้นในเมืองโลกทมิฬแล้ว ก็ไม่มีใครทำให้เจ้าร้อนรนได้ขนาดนี้หรอก สถานการณ์เป็นไงบ้าง”
“คนหลายล้านคนแต่งตัวพร้อมรบ ท่าทางครั้งนี้พวกเขาไม่เก็บกำลังไว้ ทุ่มทั้งหมดที่มีพร้อมสู้ตาย”
“หนักขนาดนั้นเลยหรือ”
สีหน้าของโม่อู๋เซอเปลี่ยนแปลงไป คิ้มคมขมวด “ผู้ฝึกตนวิถีมารนับล้าน ดูถูกไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างพวกเขามีผีดิบด้วย ถ้าเราต้านทานไว้ไม่ได้ละก็ ผลที่จะตามมาเกินจะคาดเดา”
“แจ้งเหล่าอิทธิพลให้เตรียมตัวรับศึก”
อาจารย์ปู่สั่งเรียบๆ “และครั้งนี้ต้องชนะ ห้ามแพ้ จริงสิ…”
เขาเบือนสายตามาที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยว ยิ้มนิดๆ “ยัยหนูเสี่ยวเสี่ยว เจ้าบอกคนของเจ้าด้วย ให้เริ่มทำยาถอนพิษได้เลย ยิ่งเยอะยิ่งดี สงครามครั้งนี้ไม่จบง่ายๆแน่”
“อาจารย์ปู่ ท่านหมายความว่าพวกเขาจะใช้พิษเหรอ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกรอกตาครั้งเดียวก็เข้าใจทันทีว่าเรื่องเป็นยังไง
“ถูกต้อง บางทีพวกเจ้าอาจไม่รู้ กลุ่มอันดับ 1 ของเมืองโลกทมิฬชื่อว่ากลุ่มเทียนยี แม้มันจะเป็นอันดับ 1 แต่จำนวนสาวกไม่มากนัก คนที่จะเข้ากลุ่มเทียนยีได้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนวิถีมารที่รู้วิชาแพทย์ทั้งนั้น ที่สำคัญคือพวกเขาไม่ใช่แค่รู้วิชาแพทย์ พิษก็ชำนาญเป็นที่ 1 ครั้งที่แล้วพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมสงคราม แต่ครั้งนี้…”
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์เริ่มหุบยิ้มลง เอ่ยเบาๆ “เชื่อว่าครั้งนี้พวกเขาต้องมาปรากฏตัวแน่ เพราะฉะนั้นยาถอนสารพัดพิษมียิ่งเยอะยิ่งดี ถึงเวลาไม่ใช่แค่ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธฝ่ายเราจะถูกพิษ พวกประชาชนก็คงไม่รอดเช่นกัน อย่างไรซะเพื่อเป้าหมายแล้ว พวกเขาไม่เลือกวิธีการหรอก จำได้ว่าพวกอาวุโสเคยบอกไว้ หัวหน้ากลุ่มเทียนยีเคยลงมือครั้งนึง ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่ต่อสู้กับพวกเขาตอนนั้นตายกันเกือบหมด แล้วยังฆ่าประชาชนไปนับล้านด้วยพิษอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นคดีที่สะพรึงไปทั่วหล้า”
ทุกคนต่างมีท่าทีหนักใจ เชื่อว่าศึกครั้งนี้ต้องลำบากกว่า 2 ครั้งที่แล้วแน่
“ได้ พวกเราจะทุ่มแรงทั้งหมดปรุงยาขึ้นมา รับประกันว่าจะถอนพิษให้ทุกคนได้” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้ารับ
“จริงสิผู้เฒ่าหยิง จากแหล่งข่าว พวกเมืองโลกทมิฬจะลงมือเมื่อไหร่” โม่ซวนซุนถาม
“คุณชาย วันสองวันนี้แหละ เพราะพวกเขารวมตัวกันแล้ว บุกมาได้ทุกเมื่อ” ผู้เฒ่าหยิงตอบ
“จะรบก็รบเถอะ”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเข้าใจว่าเลี่ยงไม่ได้ “จะได้ทำลายกำลังของพวกเขาให้หมดสิ้นซะ เก็บไว้ก็เป็นปัญหาเปล่าๆ ผู้เฒ่าหยิง เรียกรวมพลผู้ฝึกวิทยายุทธให้เข้าร่วม ยิ่งเยอะยิ่งดี”
“ขอรับคุณหนู”
“คนที่ไม่มีสำนักคงยากที่จะเรียกรวมพล คงจะหนีเข้าเขาเข้าถ้ำไปไม่น้อย หลบไปหลายๆปีแล้วค่อยออกมา นี่เป็นวิธีการที่พวกเขาคุ้นเคย” โม่อู๋เซอกล่าว
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ยิ้ม “ให้พวกเขาออกรบก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ยัยหนูเสี่ยวเสี่ยวน่ะมีวิธี”
“ถูกต้อง ผู้ฝึกวิทยายุทธที่ไม่มีสำนักต้องการทรัพยากร ขอแค่เราเสนอทรัพยากรที่ทำให้พวกเขาหวั่นไหวได้พวกเขาก็จะยอมเข้าร่วม อยากได้อะไรก็ต้องทุ่มเทให้ได้มา โดยเฉพาะในผืนดินนี้ที่ขาดแคลนทรัพยากร ทุกคนต่างต้องการมัน เพราะฉะนั้นเสี่ยวเสี่ยวใจกว้างหน่อย ต้องเรียกพวกเขาออกมารวมพลได้แน่” โม่อู๋เซออมยิ้ม
ทุกคนต่างพยักหน้า สายตาตกไปอยู่ที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหมด
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเข้าใจว่านี่เป็นความจริง ยักไหล่นิดหน่อยไม่ได้คัดค้านอะไร นางไม่ได้มีอะไรมากมาย มีแค่ทรัพยากรจำนวนไม่น้อย ถ้าหากสามารถชนะศึกครั้งนี้ได้ ให้เสียทรัพยากรสักนิดหน่อยนางก็ไม่มีปัญหาอะไร
“เอาล่ะ ทุกคนก็อย่าเอาแต่คุยไร้สาระกันที่นี่เลย เริ่มลงมือกันเถอะ” อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์สั่งขึ้น “โดยเฉพาะอาณาจักรจงหยวนของเรา แม้จะอยู่ไกลจากเมืองโลกทมิฬหน่อย แต่เชื่อว่าที่ที่พวกเขาอยากได้มากที่สุดก็คืออาณาจักรจงหยวน”
“ถูกต้อง ยังไงซะที่พวกเขาอยากได้มากที่สุดก็คือทรัพยากรของอาณาจักรจงหยวน”
“พวกเขากล้ามา พวกเราไม่ปล่อยไว้แน่ กลัวอะไร มีอาณาจักรเฟิงหลิงกันทางของผู้ฝึกตนวิถีมารอยู่ พวกเขาอยากจะบุกเข้ามาที่อาณาจักรจงหยวนของเราไม่ง่ายหรอกนะ”
“ถูกต้อง จะให้พวกเขาลอบเข้ามาตามอำเภอใจไม่ได้ พวกเราต้องคิดหาวิธี”
ทุกคนต่างออกความคิดเห็น
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวครุ่นคิดอยู่เงียบๆ นางไม่ได้ออกความเห็นอะไร อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร ถามขึ้น “ยัยหนูเสี่ยวเสี่ยว เจ้าคิดอะไรอยู่”
“อ๋อ..” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้สติกลับมา ถามกลับ “อาจารย์ปู่ คนของพวกเราที่ใช้วิชาสะกดตามสิ่งแวดล้อมได้มีเท่าไหร่”
“วิชาสะกด?”
ได้ยินคำถามนี้ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่แปลกใจ คนอื่นๆก็เช่นกัน อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ครุ่นคิดอยู่แปปนึงก่อนจะเอ่ย “ไม่เยอะ คนของพวกเราวิหารสวรรค์มีประมาณ 30 กว่าคนที่ทำได้ขนาดนั้น หุบเขาเลียนเต้าก็มีผู้เชี่ยวชาญวิชาสะกดอยู่บ้าง ถึงจะไม่เท่าพวกเราแต่ก็ไม่ได้แย่ พวกเขาสลักลงอุปกรณ์วิญญาณต่างๆ จึงอยู่ในระดับปรมาจารย์กันหมด จริงสิ ความหมายของยัยหนูเสี่ยวเสี่ยวคือ?”
“อาจารย์ปู่ สงครามครั้งนี้พวกเราจะประมาทไม่ได้ ความหมายของข้าคือส่งเหล่าปรมาจารย์ด้านวิชาสะกดออกไป ใช้สิ่งแวดล้อมจากฟ้าดินของแต่ละพื้นที่สร้างวิชาสะกดขึ้นเพื่อปกป้องประชาชนในแต่ละที่ อีกอย่างถ้าพวกเขาสัมผัสโดนวิชาสะกดก็จะถูกพบได้ง่าย พยายามไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในสงครามครั้งนี้”
“ความคิดของเสี่ยวเสี่ยวนี้ดี”
TQF:บทที่ 493 ผลตอบแทนหนาแน่น สงครามเริ่ม (2)
ตาของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์เป็นประกาย สีหน้าดีใจ “ส่งพวกเขาออกไปปกป้องอำเภอสำคัญต่างๆก่อน แล้วก็ตั้งวิชาสะกดที่ทุกตำบลเท่าที่จะตั้งได้”
“จริงด้วยคุณหนู วิธีนี้สุดยอด” ผู้เฒ่าหยิงปรบมือ
โม่ซวนซุนยิ้มก่อนจะเบือนสายตาไปมอง “งั้นข้าก็ต้องวิ่งวุ่นไปทั่วน่ะสิ”
“โอ๊ย แย่แล้ว ถ้าไอพวกสารเลวนี่ก่อเรื่องขึ้นในตอนนี้จริงๆแล้วเราไม่สามารถกำราบพวกมันได้ภายใน 1 เดือน งานแต่งของคุณหนูและคุณชายก็ต้องเลื่อนไปอีกน่ะสิ”
ผู้เฒ่าหยิงตีหัวตัวเอง โวยวายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
หน้าหล่อเหลาของโม่ซวนซุนอึมครึมทันที “ไอพวกระยำตำบอน รนหาที่ตายรึ”
“เหอะๆๆ” อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์อดขำไม่ได้
คนอื่นๆก็อดขำกับทั้งคู่ไม่ได้
ช่วงเวลาหลังจากนั้นวิปริตแปรปรวน
เรื่องที่เมืองโลกทมิฬจะทำสงครามได้กระจายสู่ประชาชน เกิดเสียงเล่าลือไปทั่วทั้งในหมู่ผู้ฝึกวิทยายุทธและประชาชนธรรมดา
แน่นอนว่าสายตาส่วนใหญ่ตกมาอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน ดูว่าพวกเขาจะจัดการเรื่องนี้ยังไง
อีก 3 เมืองที่เหลือก็ส่งคนมาถามไถ่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน แน่นอนว่า 9 นิกายใหญ่ก็ไม่ได้อยู่นิ่ง รีบพากันมาเหมือนกัน
ไม่นานนักก็มีคำสั่งรวมพลจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธทุกคนที่เข้าร่วมศึกครั้งนี้จะได้รับทรัพยากรเหล่านี้ สัตว์วิญญาณ ข้าวจิตวิญญาณ น้ำจิตวิญญาณ ผลไม้จิตวิญญาณวิเศษ สมุนไพรจิตวิญญาณ
นี่ถือเป็นค่าตอบแทนสำหรับผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ นอกจากของเหล่านี้แล้ว ในช่วงเวลาที่ทำสงครามกันอยู่ ไม่ว่าจะต้องการอะไรดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนรับผิดชอบหมด พยายามรักษาชีวิตของผู้ฝึกฝนวิทยายุทธทุกคนไว้
ขณะเดียวกัน ไม่ว่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธจะได้รางวัลอะไรจากสนามรบก็เป็นของตัวบุคคลนั้นๆทุกอย่าง ไม่ต้องส่งมอบให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน
เมื่อเงื่อนไขเหล่านี้ถูกประกาศออกมาก็เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วผืนดินอีกครั้ง
รางวัลใหญ่ขนาดนี้ราวกับหย่อนระเบิดลงตรงหน้าเหล่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ ทำให้ทุกคนเวียนหัวหาทิศไม่เจอ คนส่วนใหญ่ดีใจสุดๆ แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง แต่รางวัลพวกนี้ดึงดูดพวกเขาเกินไป เพื่อยกระดับวิทยายุทธแล้ว ต้องทุ่มเทเท่านั้น
อีกอย่างการไปสู่สนาบรบก็ใช่ว่าจะต้องตายเสมอไป ถ้าไม่ตาย เชื่อว่าในสนามรบต้องได้อะไรอีกมากแน่ เรื่องดีขนาดนี้พวกเขาจะพลาดได้ไง
เหล่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่ไม่มีสำนักต่างเดินทางมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนครึกครื้นอีกครั้ง
โถงประชุมเนืองแน่นทุกวัน ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธถูกส่งออกไปพวกแล้วพวกเล่า
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงวุ่นอยู่กับการทำยา แม้ว่าจะทำได้วันนึงเป็นร้อยๆพอให้ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธทุกคนเอาไปด้วย แม้แต่ของเก่าในคลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนก็ถูกแจกจ่ายออกไปจนหมด ของที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในตอนนี้ที่สามารถช่วยชีวิตคนได้ ไม่ว่าจะมีเท่าไหร่คนก็ยังมองว่าน้อย
ฮูหยินทั้ง 3 เห็นร่างที่กำลังยุ่งก็อดถอนหายใจไม่ได้
“ลิขิตคนสู้ลิขิตฟ้าไม่ได้จริงๆ”
ฮูหยินกงถอนหายใจเบาๆ “ข้าว่า พวกเราคงต้องพักไว้ก่อน สถานการณ์ตอนนี้คงจะไม่สงบลงในเร็ววันนี้หรอก ถึงพวกเราจะตั้งใจจัดเตรียมยังไง แต่ถึงเวลาคนอื่นๆไม่สามารถมาร่วมงานแต่งอย่างสบายใจได้ แบบนี้สู้พักไว้ก่อนจะดีกว่า”
“แต่ว่า เลื่อนไปเรื่อยๆแบบนี้จะไม่ดีกับพวกเขา 2 คนรึเปล่า” ลั่วหยูฉินสีหน้าทุกข์ใจ
หรงจิ้งซือก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ไม่มีหรอกดีไม่ดี ก็แค่วันที่เท่านั้น ถ้าพวกเขารักกันดีจะจัดงานแต่งตอนไหนก็ได้ เพียงแต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะเจอเรื่องแบบนี้อีก ท่าทางพวกเขาต้องรอถึงปีหน้าถึงจะมีวันดีอีก”
“ใช่แล้ว ต้องปีหน้าถึงจะมีวันดี” ลั่วหยูฉินพูดอย่างช่วยไม่ได้
“พวกเจ้า 2 คนจะรีบอะไร ยังไงซะพวกเขาก็เพิ่งจะอายุ 10 กว่าปี 20 กว่าปีเอง อย่าว่าแต่ช้าไปไม่กี่เดือนเลย ต่อให้ช้าไปอีกหลายปีก็ไม่เห็นจะเป็นไร”
จู่ๆคุณนายกงก็หัวเราะขั้นมา “พวกเจ้าไม่ลองคิดดูหน่อยว่ายัยหนูซีหยวนของข้าอายุ 25 แล้ว ลั่วจุนฮ่าวก็อายุ 30 กว่าแล้ว ข้ายังไม่รีบเลย”
“ไม่รีบก็แปลกแล้ว” หรงจิ้งซือกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ข้าน่ะรู้จักเจ้าดี เมื่อก่อนใครกันที่แทบจะห่อลูกสาวส่งออกไป พาลูกสาวตะลอนไปทุกที่หวังว่าจะเจอคนที่เหมาะสม ที่ๆมาบ่อยที่สุดก็ที่วิหารสวรรค์เนี่ยแหละ ใช่มั้ยล่ะ”
“เฮอะ เจ้ายังกล้าพูดอีก ลูกเขยที่ข้าถูกใจช่าง…”
กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่คุณนายกงก็หยุดไป อย่างไรซะก็มีอีกคนอยู่ข้างๆ เดี๋ยวจะไม่น่าฟัง
ลั่วหยูฉินรู้ว่าคุณนายทั้ง 2 เคยอยากจะเกี่ยวดองกัน แต่ความสัมพันธ์ของเด็กทั้งคู่กลับมีแค่ฉันท์พี่น้องเท่านั้น นางเองก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร
“เอาล่ะ เรามาพูดเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ได้ข่าวว่าผู้ฝึกตนวิถีมารนับล้านบุกเข้าอาณาจักรเฟิงหลิงแล้ว”
“ใช่แล้ว เดี๋ยวก็จะเกิดการฆ่าล้างกันขึ้นแล้ว”
“ผู้ฝึกตนวิถีมารน่ะก็เหมือนเนื้อร้าย ต้องกำจัดให้หมด”
“เฮ้อ หวังว่ากำจัดได้ในเดือน 2 เดือนนี้คงจะดี”
ฮูหยินทั้ง 3 ถอนหายใจ ส่วนคนที่ยุ่งอยู่ก็ยังต้องยุ่งต่อไป
วังสวรรค์ในมิติ
หน้าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงมีเตายาอยู่คนละเตา พวกนางคอยควบคุมไฟวิเศษในการทำยาอย่างตั้งใจ ข้างๆตัวมีสมุนไพรและขวดหยกกองอยู่ ทั้งมิติอบอวลไปด้วยกลิ่นยา
————————————
TQF:บทที่ 494 ผลตอบแทนหนาแน่น สงครามเริ่ม (3)
ใส่ยาวิเศษเข้าไป ควบคุมระดับไฟ สกัดน้ำยา อัดให้เป็นเม็ด
1 คน 1 ภูติทำแบบนี้ไปซ้ำๆโดยไม่หยุดพัก ผ่านไปแต่ละวันนอกจากอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ที่เข้ามาเอายาทุกวันแล้ว ไม่มีใครรบกวนพวกนาง
7 -8 วันผ่านไป แม้ร่างกายของทั้งคู่จะทนต่อการไม่กินไม่นอนทำยาโดยไม่หยุดพักได้ แต่สตินั้นก็เริ่มล้าแล้ว โดยเฉพาะเฉิงเสี่ยวเสี่ยว แม้ว่านางจะอยู่ในระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ แต่การทำยาน่ะต้องใช้สติมาก ต่อให้มีพลังจิตมากมายแค่ไหนตอนนี้ก็ถูกใช้ไปจนเกือบหมดแล้ว
โชคดีที่นางมีความสามารถขนาดนี้ ถ้าเป็นนักปรับแต่งเม็ดยาคนอื่นแค่ทำติดต่อกันได้ถึง 3 วันก็ถือว่าเก่งแล้ว
“เก็บ…” หยูเฮงตะโกนขึ้น ยา 10 เม็ดบินออกจากเตาถูกเก็บเข้าขวดหยก
ยา 10 เม็ด นักปรับแต่งเม็ดยาทั่วไปทำได้ 3-5 เม็ดก็ถือว่าเก่งแล้ว ต่อให้เป็นเจ้าเขาจี้แห่งหุบเขาเลี่ยนเต้าลงมือเองก็ไม่เกิน 6 เม็ด อย่างมากก็ 5-6 เม็ดเนี่ยแหละ
จะสกัดให้ได้เตาละ 10 เม็ด มีแต่ระดับปรมาจารย์เท่านั้นแหละที่ทำได้
นางเพิ่งจะเก็บยาเสร็จ เตาข้างๆของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ถึงเวลาแล้ว 10 เม็ดเช่นกัน ไม่มีมีเม็ดไหนเสีย ทุกเม็ดถูกเก็บเข้าขวดหยก
“คุณหนู พักผ่อนซะหน่อยเถอะ”
หยูเฮงวางเตาลง สีหน้าผ่อนคลายขึ้น
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า วางเตาลงเช่นกัน หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดก่อนจะเอ่ยปาก “ข้างนอกน่าจะเริ่มสู้กันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
“สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก จากข่าวของสัตว์ศักสิทธิ์ ผู้ฝึกตนวิถีมารฝ่าวงล้อมอย่างไม่คิดชีวิต เรียกได้ว่ายอมฆ่าอีกฝ่าย 800 ฝ่ายตัวเองสูญเสีย 1000 แม้ว่าวิธีการของเราจะเยอะแต่ก็กลัวพวกไม่กลัวตายแบบนี้เหมือนกัน”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตั้งใจทำยาไม่ได้สื่อสารกับโลกภายนอกเลย มีแต่หยูเฮงที่พอมีเวลาว่างก็คอยสื่อสารกับพวกสัตว์ศักสิทธิ์ พอรู้ข่าวคราวบ้าง
“ครั้งนี้พวกเขาต้องการจะชนะ จะสู้แบบนี้ก็เรื่องปกติ เรียกได้ว่าเพื่อชัยชนะแล้วพวกเขาไม่ห่วงชะตาชีวิตตัวเอง”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ตกใจกับวิธีการสู้ของผู้ฝึกตนวิถีมาร “ท่าทางอยากจะกำจัดพวกเขาในเวลาอันสั้นคงจะไม่ง่าย จริงสิ ผู้ฝึกตนวิถีมารได้ใช้พิษรึเปล่า”
“ตอนนี้ยัง ท่าทางพวกเขาเตรียมเก็บไว้เป็นไม้ตายสุดท้าย” หยูเฮงตอบพลางกินผลคริสตัลไปพลาง
ท้องไส้เริ่มหิว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่คิดจะออกไปทำอะไรกิน อย่างไรซะระดับวิทยายุทธของนางจะกินหรือไม่กินก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่ นางหยิบผลไม้ในแหวนมิติออกมากัดก่อนจะถาม “สัตว์ศักสิทธิ์มีบาดเจ็บล้มตายกันบ้างมั้ย”
“มีเสือขาวและหมาป่าเขียวประมาณ 10 ตัวที่สาหัส ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธตายไปเป็นพันแล้ว แน่นอนว่าผู้ฝึกตนวิถีมารตายกันไปเป็นหมื่น แต่สุดท้ายพวกเขาก็บุกเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ”
“อาณาจักรเฟิงหลิงท่าจะแย่” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวขมวดคิ้วพูดเสียงเครียด
“คุณหนู ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้พวกเราส่งสัตว์ศักสิทธิ์ออกไปนับล้านแล้ว ถึงแม้เราจะส่งออกไปได้อีกเรื่อยๆ แต่ศึกครั้งนี้รวมอยู่ที่เดียว แรงสงครามทำให้กฏแห่งฟ้าดินข้างนอกนั่นสั่นคลอน ข้าเองก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี”
แม้หยูเฮงไม่ได้ออกไป แต่ข่าวคราวที่สัตว์ศักสิทธิ์ส่งให้นางก็ไม่น้อย
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอึ้งไปพัก ขมวดคิ้ว “ถ้าทลายขีดจำกัดของกฏแห่งฟ้าดินได้ก็ไม่ถือเป็นเรื่องแย่นัก อย่างน้อยไม่แย่สำหรับการบรรลุของผู้ฝึกฝนวิทยายุทธในภายภาคหน้า แต่จะทำให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมั้ยคงจะควบคุมยาก ถึงเวลา…”
“ใช่แล้ว ที่นี่ถูกผนึกไว้คงจะมีเหตุผลอยู่ ถ้าหากทลายออกไปจริงๆต้องเกิดปัญหาแน่ ส่วนจะทำให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมั้ยยากจะคาดเดา จริงสิคุณหนู ถ้าหากกฏแห่งฟ้าดินถูกทลายจริงๆ ข้าจะฉีกมิติออกไปก็ง่ายขึ้น”
“หืมม”
ในใจของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวยุ่งเหยิง มองดูกองยาและขวดหยกตรงหน้าก็สะบัดหัวนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้น “พวกเราอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย นอกจากยาถอนสารพัดพิษแล้ว พวกเรายังต้องทำยาเลี่ยนเพ่ยหยวนและยาพี่กู่ นี่ก็เป็นยาที่สำคัญเช่นกัน”
“ขอพักอีก 2 เค่อคุณหนู ท่านเองก็เข้าฌานฟื้นฟูพลังหน่อย” หยูเฮงพูดอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นหน้าซีดไร้สีของเฉิงเสี่ยวเสี่ยว
“ได้ ข้าจะเข้าฌานเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวค่อยทำยาด้วยกัน”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้ปฏิเสธ นางเหนื่อยจริงๆ จึงตัดสินใจฟื้นฟูก่อนแล้วค่อยทำต่อ
“คุณหนู รอแปปนึง ออกไปเข้าฌานที่ต้นหลิวข้างนอกนั่นจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะ”
“ต้นหลิวเป็นต้นเทพ เข้าฌานตรงหน้ามันจะดีกับคุณหนู” หยูเฮงกล่าวยิ้มๆ
“งั้นก็ดี”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหายตัวออกไปข้างนอกวังสวรรค์ นั่งขัดสมาธิลงหน้าต้นหลิว
เห็นการปรากฏตัวของนางต้นหลิวเหมือนจะดีใจมาก ยื่นก้านหลัวมาที่ตัวนางราวกับเด็กขี้เล่นที่อ้อนผู้ใหญ่อยู่
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวสัมผัสได้ถึงความในใจของมัน เอ่ยยื้มๆ “ต้นหลิว ข้าต้องเข้าฌานฟื้นฟูพลังอยู่ข้างๆเจ้า เจ้าอย่าว่ากันนะ”
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว
ก้านหลิวลูบนางเบาๆ ราวกับกำลังตอบว่าไม่ต้องเกรงใจ
หยูเฮงเพิ่งจะหายตัวออกมา แต่เมื่อเห็นฉากนี้ก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ต้นหลิว เจ้าน่ะเป็นเด็กผู้ชายนะ กล้าแต๊ะอั๋งคุณหนู ระวังคุณชายจะฟันก้านของเจ้าทิ้ง”
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว
ก้านหลิวส่ายไปมา ราวกับจะบอกว่าไม่สนใจคำขู่
“เหอะๆ เจ้าอย่าได้ใจไป คุณชายกำลังจะบรรลุปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์แล้ว ถึงเวลาเขาจะฟันก้านของเจ้าทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยากแน่”
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว
“ข้าไม่ได้หลอกเจ้านะ บอกให้ คุณชายน่ะใจแคบมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายคนไหนที่กล้าแตะคุณหนูเขาก็เหวี่ยงออกไปหมด เชื่อว่าเจ้าเองก็เช่นกัน”
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว
“เจ้าอย่าไม่เชื่อล่ะ คุณชายใจแคบจริงๆ โดยเฉพาะกับผู้ชาย คนที่เข้าใกล้คุณหนูเขาไม่ปล่อยไว้หรอก ต้นหลิว เจ้าไม่เชื่อก็ลองดู”
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว
“ข้าพูดเรื่องจริง คุณชายใจแคบมาก ใจแคบสุดๆ อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย ต่อให้เป็นสัตว์ศักสิทธิ์ คุณชายก็ไม่อนุญาตให้สัตว์ศักสิทธิ์เพศผู้อยู่ข้างๆคุณหนู ต้องเป็นเพศเมียเท่านั้น ไม่เชื่อก็ถามคุณหนูดู”
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว
ขณะนั้น เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ละเหี่ยใจปิดตาลงนานแล้ว ไม่สนใจเจ้า 2 คนนี้เลยแม้แต่น้อย
โม่ซวนซุนที่วางวิชาสะกดอยู่สักที่จามติดต่อกันหลายครั้ง ไม่รู้เลยว่าถูกหยูเฮงแฉว่าเป็นผู้ชายใจแคบไปแล้ว
เนื่องจากต้องปกป้องประชาชน ครึ่งเดือนที่ผ่านมาโม่ซวนซุนก็ไม่ได้พักเลย วางวิชาสะกดครั้งแล้วครั้งเล่า วิชาสะกดที่พวกเขาวางไว้ ถ้าไม่มีใครโจมตีพื้นที่นั้นก็ไม่เกิดอะไร แต่ถ้ามีคนโจมตีวิชาก็จะออกฤทธิ์ และสามารถโจมตีกลับได้ด้วย
“คุณชาย ร้อยลี้ข้างหน้าพบว่ามีผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบ”
———————————
TQF:บทที่ 495 บาดเจ็บกันนับไม่ถ้วน (1)
“อะไรนะ ทำไมพวกเขามาถึงเร็วจัง” โม่ซวนซุนหน้าเครียดกับคำบอกของผู้อาวุโส
ในเวลาเพียงครึ่งเดือนกว่า ผู้ฝึกตนวิถีมารก็บุกมาถึงอาณาจักรจงหยวนแล้ว ยอมรับได้ยากจริงๆ
ผู้อาวุโสฉินพยักหน้า ตอบด้วยท่าทีจริงจัง “ถูกต้อง คุณชาย พวกเรา…”
“พวกเราต้องกำจัดพวกเขาให้ได้ จะให้พวกเขาเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด”
โม่ซวนซุนสีหน้าเคร่งเครียด หรี่ตามองไปทางข้างหน้า “วิชาสะกดที่นี่ข้าวางไว้เรียบร้อยแล้ว ไป เราไปดูกัน”
เนื่องจากโม่ซวนซุนมีความชำนาญด้านวิชาสะกดในระดับชั้นยอด เขาจึงลงมือเดียงคนเดียว คนอื่นๆต้องจับคู่กันไป เพราะฉะนั้น ผู้อาวุโสที่เฝ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ลงมือคนเดียวเมื่อเจอสถานการณ์ แต่แจ้งให้เขาทราบก่อน
ร่าง 2 ร่างแว้บผ่านฟากฟ้าไป ปรากฏตัวที่ร้อยลี้ข้างหน้า
พวกเขาเห็นผู้ฝึกตนวิถีมารนับร้อยนำฝูงผีดิบกว่าสิบตัวพุ่งเข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆ ในหมู่บ้านโกลาหลไปหมด เสียงก่นด่า เสียงกรีดร้อง ดังสะท้านไปทั้งผืนฟ้า
ได้เห็นดังนี้โม่ซวนซุนโกรธจนทนไม่ไหว เขาลอยอยู่กลางอากาศ 2 มือส่ายไปมาด้วยพลังภายในอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้บิดเบือนไปทั้งชั้นบรรยากาศ
ผู้ฝึกตนวิถีมารด้านล่างสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ พวกเขาเห็นคน 2 คนที่ลอยอยู่กลางอากาศ รู้ทันทีว่าเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเข้าให้แล้ว อดร้อนรนไม่ได้
พวกเขาวุ่นวายไปหมด แต่พวกผีดิบไม่ได้หยุด ยังคงพุ่งใส่ประชาชน
“ช่วยด้วย คุณชาย ช่วยข้าด้วย”
“ท่านเซียน ช่วยพวกเราที พวกสัตว์ประหลาดจะกินพวกเรา….”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที”
“……..”
ข้างล่างมีเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือดังระงมไปทั่ว ผู้อาวุโสฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกมือฟาดไปยังพวกผีดิบที่วิ่งอยู่ไกลๆ
ชั่วขณะนั้น ทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยรูปฝ่ามือ และแต่ละรูปก็เป็นของจริงสัมผัสได้จริงๆที่เกิดจากความเร็วขั้นสุด
สำหรับผู้ฝึกตนวิถีมาร พวกเขารู้สึกเหมือนทุกฝ่ามือกำลังทาบลงมาที่ตัวเอง
บนใบหน้าของพวกเขาทุกคนมีความหวาดกลัวอยู่ พวกเขาที่อยู่ในระดับราชันย์เทพยุทธ์แต่กลับไม่มีแรงแม้แต่น้อยที่จะต้านทาน
แม้แต่พวกผีดิบก็ขยับไม่ได้ แข็งราวกับหิน
ตู้มมมมม
มีเสียงดั่งสนั่นเกิดขึ้น หลังจากที่เสียงนั้นเงียบไป รูปฝ่ามือที่ลอยอยู่ทั่วก็ได้หายไปด้วย ในอากาศเหลือแต่บรรยากาศสยดสยอง
ทั้งหมู่บ้านตกอยู่ในความเงียบพิลึก
พวกปีศาจดุร้ายเมื่อกี้ตายกันหมดแล้วหรือ? พวกคนแบบนั้นถูกคนหนุ่มคนนึงฆ่าตายหมดเกลี้ยงในไม่กี่อึกใจ?
นี่ทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ ชาวบ้านที่ยังมีชีวิตรอดต่างอึ้งไม่ไหวติงไปตามๆกัน
นี่มันน่ากลัวมาก และก็เก่งมากด้วย หรือว่าท่านเซียนพวกนี้เก่งกาจแบบนี้กันหมด
ฉากตรงหน้าทำลายความเชื่อที่ผ่านมาของพวกเขา
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่ผู้อาวุโสฉินก็อึ้งไปเหมือนกัน เหลือเชื่อกับผู้ฝึกตนวิถีมารและพวกผีดิบที่ถูกกำจัดจนเหลือแค่เศษผง
โม่ซวนซุนไม่ได้สนใจความผิดปกติของคนด้านล่าง เขาลำเลียงพลังภายในอีกครั้ง มีพลังลมปราณที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนปกคลุมอยู่บนฟ้า ชำระล้างพลังมารที่กำลังจะหนีไปจนหมด
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว โม่ซวนซุนก็หายตัวจากไป และสั่งให้ผู้อาวุโสฉินจัดการพวกชาวบ้านที่ถูกผีดิบกัดด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขากลายเป็นผีดิบ ชาวบ้านคนอื่นๆก็ยังอันตรายอยู่
โม่ซวนซุนลงมือที่นี่โดยไม่รู้เลยว่า พลังภายในของเขาที่ใช้ไปและยังไม่หายไปได้ทะลุออกจากกฏแห่งฟ้าดินที่ผนึกผืนดินนี้ไว้
หญิงสาวชุดแดงคนหนึ่งในผืนดินฉางไห่มีท่าทีเหมือนกำลังหาอะไรอยู่ ทันใดนั้น นางแน่นิ่งไป ใบหน้าเย็นยะเยือกมีสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
สายตาของนางทอดไปยังฝูงเขาที่ห่างไปไม่ไกล
มีแสงสีขาวจำนวนหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ฟ้า แฝงไว้ด้วยพลังลมปราณลึกลับ
“สวรรค์ นั่นเป็นพลังลมปราณจากผู้สืบทอดวิหารสวรรค์ของเรา ต้องเป็นคนของวิหารสวรรค์แน่ๆ”
“ใช่เขา ต้องใช่เขาแน่ เขาไม่อยู่ที่ผืนดืนฉางไห่ มิน่าล่ะข้าหาจนทั่วผืนดินฉางไห่แล้วก็ไม่พบร่องรอยของเขาเลย น่าประหลาดใจจริงๆ”
“เขาอยู่บนผืนดินอื่น ทำไงดีๆ ทำไงถึงจะข้ามมิติไปได้ ข้าจะหาเขาได้ยังไง”
——————————————-
TQF:บทที่ 496 บาดเจ็บกันนับไม่ถ้วน (2)
ใบหน้าของหญิงสาวชุดแดงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ พอนึกถึงตัวเองกำลังจะรับผู้สืบทอดคนสำคัญกลับมาวิหารสวรรค์แล้วก็ยากจะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง สั่นเทาไปทั้งตัว
ร่างของนางสั่นไหวเล็กน้อยก็มาโผล่เหนือฝูงเขา นางวนเวียนไปรอบๆ ในตอนนี้นางไม่สามารถสัมผัสถึงพลังลมปราณนั้นได้อีก
“เป็นตรงนี้ เมื่อกี้มาจากตรงนี้แน่ๆ ทำไงดี ต้องใช้อะไรถึงจะข้ามมิติไปได้”
หญิงสาวชุดแดงพึมพำไม่หยุด ถ้าคนที่รู้จักนางมาเห็นเขาคงคิดว่าตัวเองเห็นผีแน่ๆ
หญิงงามเย็นยะเยือกอย่างกับภูเขาน้ำแข็งเช่นนาง มีสีหน้าที่แปรปรวนขนาดนี้ได้ด้วย
“ด้วยความสามารถของข้าตอนนี้ยังฉีกมิติออกไม่ได้ ท่าทางต้องกลับไปถามอาจารย์ก่อน จะให้ดีต้องหาของวิเศษที่ฉีกมิติออกได้ แบบนั้นจะได้ไม่เปลืองแรง”
นึกถึงตรงนี้หญิงสาวชุดแดงมีสีหน้าเบิกบาน นางมองฝูงเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ราวกับจะฝังภาพของฝูงเขาเข้าไปในหัว ก่อนจะจากไปอย่างปิติ
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีก 1 เดือน
ทั้งข่าวดีและข่าวร้ายต่างถูกส่งกลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนอย่างไม่หยุดหย่อน
ในสงครามครั้งนี้ มีทั้งแพ้บ้างชนะบ้าง แน่นอนว่าครั้งที่ชนะเยอะกว่า ที่แพ้น่ะน้อย แต่ก็ยังต้านการโจมตีแบบไม่คิดชีวิตของผู้ฝึกตนวิถีมารไว้ไม่ได้ พวกเขาตายไปเป็นล้าน แต่ก็สามารถบุกเข้าอาณาจักรเฟิงหลิงได้สำเร็จ และกำลังจะบุกเข้า 3 เมืองที่เหลือ
ภายในบ้านใหญ่
ฟางซูหยุนยืนอยู่ข้างบ่อบัว สายตาของนางมองไปยังที่ว่างเปล่าราวกับกำลังจ้องบางสิ่งอยู่
เมื่อ 2 เดือนก่อนนางได้ทานน้ำวิเศษและเม็ดยาวิเศษที่หยูเฮงผสมขึ้นมา และเพิ่งออกจากการเก็บตัวได้ 2 วันที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันก็รู้ว่าสงครามระหว่างธรรมมะและอธรรมได้เริ่มขึ้นแล้ว
อากาศด้านหลังนางบิดเบือนเล็กน้อย มีร่างร่างหนึ่งหายตัวออกมา อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์นั่นเอง
“อาวุโสมาแล้วหรือ” ฟางซูหยุนทอดสายตากลับมายังคนข้างๆ
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์พยักหน้าเบาๆ กล่าวเสียงค่อย “ซูหยุนเจออะไรรึเปล่า”
“ท่าทาง อาวุโสก็รู้สึกแล้วเหมือนกันใช่มั้ย” ฟางซูหยุนยิ้ม
สายตาของเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า กล่าวเสียงเศร้า “กฏผนึกไม่เสถียรขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี”
“เรื่องดีมากกว่าเรื่องไม่ดีล่ะมั้ง” ฟางซูหยุนยังมีท่าทีเรียบเฉยเหมือนปกติ “ไม่ว่ายังไงทรัพยากรที่นี่ก็ไม่ได้ดีนัก ถึงแม้คนจากผืนดินอื่นจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้ตามใจชอบก็ไม่มีผลอะไรกับพวกเรามาก”
“เรื่องนั้นก็ไม่แน่”
มีประกายแห่งปัญญาอยู่ในแววตาของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ “แม้ว่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่นี่จะไม่ได้อยู่ในระดับสูงนัก แต่ที่นี่ก็ถือเป็นผืนดินหนึ่ง ถ้าเกิดมีคนกระหายอำนาจปรากฏตัวขึ้นก็คงเป็นหายนะสำหรับพวกเราผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ”
“…..”
นี่ก็จริง ฟางซูหยุนเม้มปากเบาๆ ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องอะไรก็มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี หลายๆเรื่องพวกเราทำได้แค่ปล่อยให้มันเป็นไปเท่านั้น ฝืนอะไรไม่ได้”
“ถูกต้อง เราฝืนอะไรไม่ได้”
สายตาของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ยังคงจ้องมองไปในอากาศว่างเปล่า “บางที ที่เราคิดว่าจะทลายขีดจำกัดของที่นี่ได้ก็คงจะไม่ง่ายนัก อาจจะดีใจกันลมๆแล้งๆก็ได้”
“อื้ม…”
ฟางซูหยุนมองไปยังกฏแห่งฟ้าดินที่ปรากฏให้เห็นลางๆอีกครั้ง ทั้งชั้นบรรยากาศเสมือนถูกแหอันใหญ่ปกคลุมไว้ ตอนนี้แหนั้นกำลังสั่นไหว สภาพเหมือนจะขาดก็ไม่ขาด
“เรื่องแบบนี้พูดยาก ตามโอกาสวาสนา”
“โอกาสวาสนาสำคัญมาก ใครก็บอกอะไรไม่แน่ ข้าเคยคำนวณดูทิศทางหลังจากนี้ แต่บัญชาสวรรค์ไม่ปรากฏให้เห็นง่ายๆ ข้าเองก็มองไม่ออก”
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ขมวดคิ้วนิดหน่อย ถามต่อ “ซูหยุน ผืนดินของเราติดกับผืนดินฉางไห่ใช่มั้ย”
“เป็นไปได้ แต่ก็ไม่กล้ารับประกัน”
“หยูเฮงสามารถฉีกมิติออกได้ ไม่แน่สักวันพวกเราอาจจะสามารถไปจากผืนดินนี้ก็ได้”
“อาจจะ”
น้ำเสียงของฟางซูหยุนปวนแปร อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ดึงสายตากลับมา มองคนข้างๆด้วยรอยยิ้ม “ลมปราณเซียนของเจ้ากลับมาแล้ว ยินดีด้วย ไม่รู้ว่าวิทยายุทธ…”
“ขอบคุณอาวุโส” มุมปากฟางซูหยุนยกขึ้น “ข้าลำเลียงลมปราณเซียนได้แล้ว แต่ยันต์สะกดยังอยู่ โชคดีที่เริ่มคลายออกบ้างแล้ว วิทยายุทธยังไม่สามารถกลับมาได้ในตอนนี้”
“ไม่ว่ายังไง เกิดความเปลี่ยนแปลงก็นับว่าเป็นเรื่องดี”
“ขอบคุณอาวุโสที่เป็นห่วง”
“จะเกรงใจไปทำไม ไม่แน่วันหลังข้าอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าก็ได้” อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์พูดอย่างมีนัยยะ
ฟางซูหยุนเข้าใจทันที นางยิ้มเล็กน้อย “อาวุโสไม่ต้องเกรงใจ หากวันหน้าเข้าผืนดินฉางไห่ได้ พวกเราก็คนกันเองทั้งนั้น”
“ครั้งนี้ เป็นข้าที่ต้องขอบคุณเจ้า”
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ไม่ได้พูดเล่น ถึงแม้เขาจะเป็นคนระดับชั้นยอดอย่างปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์ เป็นคนที่ผู้คนในผืนดินนี้เชิดชู แต่สำหรับฟางซูหยุนที่มาจากผืนดินฉางไห่แล้ว ปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์ก็ไม่ได้เก่งอะไรนัก ให้พูดแบบไม่รักษาน้ำใจ ก็แค่คนระดับเล็กๆเท่านั้นแหละ
ทุกด้านของผืนดินฉางไห่มีระดับที่สูงกว่าที่นี่ ตอนนี้พวกเขามีใจที่อยากจะก้าวเข้าไปในที่แห่งนั้น เป็นไปได้ที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากนางที่อยู่ระดับก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะตั้งแต่อายุ 20 กว่า
TQF:บทที่ 497 บาดเจ็บกันนับไม่ถ้วน (3)
ฝึกฝนวิทยายุทธมาได้ถึงระดับนี้ ใครๆก็อยากออกไปทั้งนั้น ฟางซูหยุนเข้าใจความคิดของเขา กล่าวยิ้มๆ “อาวุโสไม่ต้องเกรงใจ หวังว่าจะมีวันนั้น”
“ก็จริง” อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์พยักหน้าพูดกลั้วหัวเราะ “จะออกไปได้มั้ยยังไม่รู้ บางทีอาจจะคิดมากไปก็ได้”
“เรื่องในโลกใบนี้ยากจะคาดเดา พูดยาก”
“จริงๆนั่นล่ะ เรื่องในโลกใบนี้ยากจะคาดเดา”
ทั้งคู่มองเรื่องนี้จากมุมสูง คนข้างนอกนั้นไม่มีใครล่วงรู้ได้ เป็นไปได้ที่กฎแห่งฟ้าดินของที่นี่จะถูกทำลาย หรืออาจจะถูกผนึกไว้ที่นี่เหมือนเดิม ไม่มีใครหนีไปได้
พริบตาเดียวผ่านไปอีกครึ่งเดือน
การต่อสู้ข้างนอกนั่นดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนวิถีมารตายไปแล้วเกือบ 2 ล้าน แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ทลายสำเร็จ กระจายไปทั่วทั้ง 4 เมือง เตรียมจะยึดครองพื้นที่
“เลว…”
เสียงตะโกนด้วยความโกรธดังออกมาจากห้องหนังสือในบ้านใหญ่
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่เพิ่งออกจากมิติได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของท่านพ่อที่ใจเย็นอยู่เสมอเข้า ก็รีบตรงดิ่งไปที่ห้องหนังสือ
ในห้องหนังสือ สีหน้าของท่านพ่อ อาจารย์ และผู้เฒ่าหยิงต่างไม่ดีนัก
“คุณหนูมาแล้ว…”
ผู้เฒ่าหยิงลุกขึ้นต้อนรับ แต่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าซีดๆของนาง รีบถามขึ้น “คุณหนู ท่านเป็นอะไร”
“เสี่ยวเสี่ยว ทำไมสีหน้าเจ้าแย่แบบนี้” เฉิงไป๋หยวนไม่สนไฟโมโหที่สุมขึ้นในใจ ตอนนี้สนใจแต่คนตรงหน้าที่ท่าทางอิดโรย
โม่อู๋เซอเห็นสภาพของลูกสะใภ้ที่ไร้เรี่ยวแรงราวกับคนไม่ได้พักผ่อน
อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เสี่ยวเสี่ยว ทำไมเป็นแบบนี้”
“ท่านพ่อ อาจารย์ ผู้เฒ่าหยิง ข้าไม่เป็นไร” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวฉีกยิ้ม แต่ไม่สามารถบดบังความเหนื่อยล้าบนใบหน้าได้
ตลอด 3 เดือนเต็มที่ไม่ได้พักผ่อนเลย นอกจากทำยาแล้วก็คือทำยา ถ้าไม่ใช่เพราะฝืนไม่ไหวแล้วจริงๆ ตอนนี้นางก็ยังคงทำยาอยู่ในมิติ
“เหลวไหล…” เฉิงไป๋หยวนขมวดคิ้ว “ดูท่าทางเจ้าซิอย่างกับครึ่งคนครึ่งผี ยังบอกอีกว่าไม่เป็นไร หรือว่า 3 เดือนมานี้เจ้าไม่ได้พักผ่อนเลย”
“เสี่ยวเสี่ยว ทำไมถึงทุ่มขนาดนี้” โม่อู๋เซอเลิกคิ้ว เอ่ยเป็นห่วงแต่แฝงความหยอกล้อไว้ “ถ้าให้ซวนซุนเห็นสภาพเจ้าตอนนี้นะ เกิดเรื่องแน่”
“นั่นน่ะสิ ถ้าคุณชายเห็นต้องปวดใจแน่ พวกเราคงต้องซวยกันหมด”
ผู้เฒ่าหยิงกล่าวยิ้มๆ มองคนตรงหน้า “คุณหนู ไปพักผ่อนก่อนดีกว่ามั้ย สีหน้าท่านแย่เกินไป ระวังร่างกายจะไม่ไหว”
“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวดีใจที่สัมผัสความเป็นห่วงได้จากผู้ใหญ่ทั้ง 3 “เดี๋ยวข้าก็จะไปพักผ่อน วางใจเถอะ ข้ารู้ตัวอยู่”
หลังจากที่ทำยากันอย่างไม่หลับไม่นอนถึง 3 เดือนเต็ม ตอนนี้ก็สะสมยาได้นับแสนเม็ดแล้ว สามารถรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้แน่ ดังนั้นนางจึงถูกหยูเฮงไล่ออกมาจากมิติ
อย่าว่าแต่นางที่อิดโรยจนไม่เป็นผู้เป็นคนเลย แม้แต่หยูเฮงก็ล้าจนต้องกลับร่างเดิมเพื่อฟื้นตัว ทุ่มเทสุดชีวิตกันจริงๆ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเดินไปนั่งตรงหน้าพวกเขา กวาดตามองคนทั้ง 3 “ท่านพ่อ เมื่อกี้ข้าได้ยินท่านโมโห เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“…….”
พูดถึงเรื่องนี้ ทั้ง 3 เงียบลงพร้อมกัน
“ทำไมเหรอ”
สายตาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกวาดไปตามหน้าพวกเข้า ก่อนจะหยุดลงที่หน้าผู้เฒ่าหยิง จ้องเขม็ง
ผู้เฒ่าหยิงขนลุกซู่ทันที ใบหน้ากระตุกไม่หยุด จึงต้องเอ่ยปาก “คุณหนู ผู้ฝึกตนวิถีมารสามหาวขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทลายแนวหน้าสำเร็จ ล้างบางประชาชนไป 2 เมือง คนนับแสนต้องตายอย่างอนาถ ท่านเจ้าบ้านกำลังโมโหเรื่องนี้อยู่”
นับแสนคน?
ได้ยินตัวเลขแล้ว สีหน้าของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
“ถ้าอย่างนั้น ตลอด 3 เดือนนี้คนตายไปไม่น้อยสินะ”
“คุณหนู รวมทั้ง 4 เมืองแล้วก็ประมาณ 7-8 แสน ถือว่าสาหัส” สีหน้าของผู้เฒ่าหยิงอึมครึมลง พูดตัวเลขโดยประมาณออกมา
“ทำไมครั้งนี้ถึงเป็นแบบนี้ พวกเขาใช้วิธีอะไร” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวขมวดคิ้วแน่นเป็นปม “ประมือกับพวกเขาครั้งที่แล้วก็ไม่ได้เกิดความเสียหายขึ้นถึงขนาดนี้”
“ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว”
——————————–
TQF:บทที่ 498 บาดเจ็บกันนับไม่ถ้วน (4)
โม่อู๋เซอยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ “ครั้งที่แล้วพวกเขามาด้วยใจที่ลองเชิงและแย่งชิง ไม่ใช่สู้แบบไม่คิดชีวิต ครั้งนี้พวกเขาสู้แบบไม่คิดชีวิต ไม่สนว่าจะคืนชีพได้มั้ย ต่อให้ต้องตายก็ไม่สนใจ ขอแค่ชนะศึกครั้งนี้ให้คนรุ่นหลังได้มีที่ดีๆให้อยู่อาศัย”
“…….” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเม้มปากแน่นไม่พูดอะไร
เฉิงไป๋หยวนถอนหายใจ “พวกเขาอยากจะชนะ คนของเรามีจะวิทยายุทธสูงแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์เมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่กลัวตาย คนแข็งแกร่งไม่น่ากลัวเท่าคนไม่กลัวตาย อีกฝ่ายยังไม่สนใจชีวิตตัวเองเลย ไม่ว่าจะทำยังไงก็หมดหนทาง”
“สภาพจิตใจของพวกเขาแข็งกร้าวเป็นอย่างมาก ตอนนี้พวกเขาก็ทลายวงล้อมสมปรารถนา และโจมตีทั้ง 4 อาณาจักร ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าครั้งนี้พวกเราจะแพ้จริงๆ และทำให้คนอีกมากต้องล้มตายลง”
“ถูกต้อง ตอนนี้พวกเราต้องหาวิธีพลิกสถานการณ์นี้ ไม่อย่างนั้นผลที่จะตามมายากจะหยั่งถึง” โม่อู๋เซอกล่าวตาม
ผู้เฒ่าหยิงตีหัวตัวเองเบาๆ “แน่นอนๆ ถ้าไม่รีบหาวิธีกำจัดพวกเขาให้ได้ละก็ ต่อให้ผลสุดท้ายเราชนะก็บาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วนแล้ว สำหรับผืนดินนี้ของพวกเราก็จะเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการฟื้นฟู”
“หืม เสี่ยวเสี่ยว ทำไมเงียบล่ะ”
เห็นลูกสาวที่นั่งตรงหน้าไม่พูดอะไรเลยสักคำ เฉิงไป๋หยวนประหลาดใจนิดหน่อย เอ่ยต่อ “เจ้ามีวิธีอะไรมั้ย ถ้ามีละก็พูดออกมาเลย วิธีของเจ้าน่ะมีเยอะอยู่แล้ว”
“หืมม”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหลือบสายตาขึ้นสบกับสายตาของทั้ง 3 คน “ท่านพ่อ อาจารย์ ครั้งนี้ผู้ฝึกตนวิถีมารยากจะต่อกรด้วยจริงๆ พวกเขาไม่กลัวตาย แต่คนของพวกเรากลัว ด้านความรู้สึกก็แพ้พวกเขาแล้ว แต่จะให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะเป็นฝ่ายที่แพ้”
“คุณหนูพูดถูก ท่าทางพวกเราจะแพ้ราบคาบด้วย จะทำยังไงดี” สีหน้าของผู้เฒ่าหยิงทุกข์ทน พูดไปคิดไป “ถ้าพวกเรามีกลยุทธในการกำราบพวกเขาก็คงดี หรือเราใช้พิษกับพวกเขา เป็นไง”
“ใช้พิษไม่ใช่วิธีที่ดี”
โม่อู๋เซอส่ายหัว “อย่างไรซะใช้พิษกับคนจำนวนมากต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ อีกอย่างพวกเราเองก็รับประกันไม่ได้ว่าจะฆ่าพวกเขาตายได้ในทีเดียว ถ้าพวกเขาถูกพิษแล้วหนีไปได้คงต้องเกิดปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่าตามมา”
“ถูกต้อง ใช้พิษไม่ใช่วิธีที่ดีจริงๆ ตอนนี้พวกเรายังป้องกันพิษจากพวกเขาอยู่ ถ้าใช้พิษทั้ง 2 ฝ่ายละก็ คนที่ตายต้องเพิ่มขึ้นจากเดิมแน่” เฉิงไป๋หยวนกล่าว
ผู้เฒ่าหยิงก็เข้าใจ เขาเบือนสายตาไปข้างๆ “คุณหนู ท่านมีวิธีอะไรมั้ย”
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเลิกคิ้วขึ้นสูง ไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ในหัวเขาน่ะมีวิธีแน่ๆ ก็คือของที่ระเบิดให้ตายได้
แต่ว่าตอนนี้ตัวเองไม่มี และก็สร้างไม่เป็นด้วย ไม่ว่ายังไงตัวเองก็ไม่ใช่พวกคิดค้นอาวุธ อย่างเช่นระเบิด
ถ้าสร้างของที่คล้ายๆกันออกมาได้ก็ไม่เลว
“คุณหนู ใครว่าไม่มี”
จู่ๆเสียงของหยูเฮงก็ลอยเข้ามา นางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “คุณหนู พวกเรามีเม็ดยาที่เรียกว่ายาเป้าพั่ว อานุภาพของมันไม่น้อยไปกว่าระเบิดในความคิดของท่าน ถ้าพวกเราทำออกมาได้ละก็ โยนลงไปไม่กี่เม็ดก็ระเบิดไอผู้ฝึกตนวิถีมารให้หาทางกลับบ้านไม่เจอได้แน่”
เม็ดยาเป้าพั่ว?
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้ครั้งแรก “หยูเฮง ไอยาเม็ดเป้าพั่วที่เจ้าพูดถึงเป็นยาอะไรเหรอ ทำไมถึงมีของแบบนี้ได้”
“อิอิ คุณหนู มีน่ะมีแน่ๆ เพียงแต่ข้าไม่ได้สนใจมัน มาค้นพบโดยบังเอิญว่าคุณหนูคิดถึงระเบิดอะไรเนี่ย ถึงได้นึกยานี้ออก”
“ได้ เดี๋ยวเรามาดูกัน”
“ไม่มีปัญหา ข้ายังต้องพักผ่อนอีกสักพัก คุณหนู ท่านก็พักผ่อนสัก 2 วันแล้วเราค่อยมาหารือกันเรื่องเม็ดยาเป้าพั่ว”
1 คน 1 ภูติคุยกันอยู่ คนตรงหน้าทั้ง 3 ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ผ่านไปสักพักใหญ่ เฉิงไป๋หยวนจึงค่อยๆเอ่ยปาก “ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีวิธีอื่น งั้นเรามาวางแผนสักหน่อย จะปล่อยให้ผู้ฝึกตนวิถีมารบุกโจมตีต่อไปแบบนี้ไม่ได้
TQF:บทที่ 499 อานุภาพยิ่งใหญ่ ผอมแห้งแรงน้อย (1)
ผู้ใหญ่ทั้ง 3 หารือกันจนได้ความว่าจะให้ลูกศิษย์ของวิหารสวรรค์นำทัพเหล่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธวางเป็นวิชาสะกด สู้แบบฆ่าล้างบางพวกมันให้หมดโดยไม่ต้องสนใจสิ่งอื่นใด
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้เข้าร่วม ในหัวนางนึกถึงแต่เม็ดยาเป้าพั่ว
ตัวเม็ดยาเป้าพั่วมีอานุภาพเหมือนๆกับลูกระเบิด ถ้าโยนเข้าไปในฝูงคนก็จะระเบิดออกชนิดเลือดกระจาย
เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหยูเฮงรู้เรื่องนี้อีกคนนึงก็ต้องรู้เช่นกัน
พอเฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกจากห้องหนังสือก็ตรงไปยังสวนที่ท่านย่าอาศัยอยู่
เห็นการมาถึงของนาง ฟางซูหยุนทั้งแปลกใจและดีใจ ลากนางนั่งลงด้วยกัน
2 ย่าหลานคุยสัพเพเหระกันสักพัก เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เปิดประเด็นเรื่องเม็ดยาเป้าพั่ว
“เสี่ยวเสี่ยว เจ้าหมายความว่าจะใช้เม็ดยาเป้าพั่วจัดการผู้ฝึกตนวิถีมารและพวกผีดิบหรือ” ฟางซูหยุนถามด้วยความตกใจ
“ใช่แล้วท่านย่า”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตอบโดยไม่ปิดบัง เล่าสถานการณ์ข้างนอกให้ฟังอีกครั้งก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าเม็ดยาเป้าพั่วสามารถกำจัดผู้ฝึกตนวิถีมารได้อย่างที่หยูเฮงบอกละก็ พวกเราก็จะทำมันขึ้นมา”
“เม็ดยาเป้าพั่วข้าก็เคยได้ยิน แต่ไม่เคยได้ใช้ เหมือนว่ามันจะเป็น 1 ในเม็ดยาชั้น 6 ที่จริงผู้ปรับแต่งเม็ดยาตั้งใจจะทำเป็นเม็ดยาธรรมดา เขาคิดไม่ถึงว่าจะสร้างเม็ดยาที่มีอานุภาพการระเบิดได้โดยบังเอิญ ยาเม็ดนี้จะระเบิดออกเมื่อเกิดการกระแทกที่รุนแรง กลายเป็นอาวุธลับสุดแกร่งชนิดหนึ่ง จะว่าไปก็เหลือเชื่อนะ แค่สมุนไพรที่ถูกสกัดจะกลายเป็นเม็ดยาเป้าพั่วได้ ผู้ปรับแต่งเม็ดยาไม่น้อยเห็นมันเป็นสมบัติล้ำค่า เพราะวิทยายุทธของพวกเขาไม่สูง เม็ดยาเป้าพั่วกลายเป็นของที่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้”
“ในผืนดินนี้ไม่น่าจะมีของแบบนี้อยู่นะ หยูเฮงได้สูตรมาจากการสืบสานพลังใช่มั้ย”
“ใช่แล้วท่านย่า ข้าเองก็เพิ่งได้ยินจากหยูเฮงว่ามีของแบบนี้อยู่” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มบางๆ
ฟางซูหยุนไม่แปลกใจ ทุกคนชินกับความมหัศจรรย์ของหยูเฮงแล้ว กล่าวต่อ “จากที่ข้ารู้มา ผู้ปรับแต่งเม็ดยาของผืนดินฉางไห่ก็ใช่ว่าจะทำยานี้เป็น แม้ระดับชั้นของมันจะไม่สูง แต่มันเป็นยาที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ จะเข้าใจการแปรเปลี่ยนสภาพของยาน่ะไม่ง่ายนะเจ้ากับหยูเฮงก็ต้องระวังกันด้วยล่ะ อย่าให้มีบาดแผลกัน”
“เจ้าค่ะ”
“ที่จริงผู้ฝึกฝนวิทยายุทธระดับธรรมดาจะระแวงมันอยู่บ้าง แต่กับผู้ฝึกฝนวิทยายุทธระกับสูงแล้ว พวกเขาไม่ต้องสนใจมันหรอก ยังไงซะพวกเขาก็สามารถเหวี่ยงเม็ดยาเป้าพั่วออกไปได้”
“ดังนั้น อานุภาพทำลายล้างของมันสูงมาก แต่ไม่น่ากลัวสำหรับผู้ฝึกฝนวิทยายุทธระดับสูง เพราะมันอยู่แค่ชั้นที่ 6 ไม่คิดว่าหยูเฮงจะมีสูตรยานี้ เจอกับผู้ฝึกตนวิถีมารที่ไม่กลัวตายพวกนี้ ใช้เม็ดยาเป้าพั่วเป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ทำให้ฝ่ายเราสูญเสียมากเกินไป“
“ใช่แล้วท่านย่า พวกเราก็คิดแบบนี้แหละ เลยตั้งใจจะทำยานี้ขึ้นมากับหยูเฮง”
“เจ้า…”
ฟางซูหยุนมองคนอิดโรยตรงหน้า ส่ายหัวพลางเอ่ย “ไม่ต้องทำให้ได้เดี๋ยวนี้หรอก เจ้าไม่ได้พักผ่อนดีๆมา 3 เดือนแล้ว เจ้าน่ะพักผ่อนก่อนเถอะ รอให้ร่างกายฟื้นฟูก่อนค่อยไปทำยาก็ไม่สาย ดูสีหน้าแย่ๆของเจ้าสิ ทำต่อไปแบบนี้ไม่ดีหรอกนะ เอาชีวิตมาล้อเล่นไม่ได้”
“เจ้าค่ะท่านย่า ข้ารู้” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้ม ตอนนี้นางเหนื่อยจริงๆ จึงลุกขึ้นพร้อมกล่าว “ท่านย่า ข้ากลับไปพักผ่อนก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องนี้”
“ได้ เจ้าไปเถอะ ถ้าทำเม็ดยาเป้าพั่วออกมาได้จริงๆคงจะทำให้เรื่องราวทุกอย่างสงบลงได้ วันเวลาสงบสุขคงจะกลับมาในอีกไม่นาน”
“ใช่แล้ว ข้ารู้”
ลั่วหยูฉินและหรงจิ้งซือรู้ถึงสภาพของนางในเวลาอันรวดเร็ว เห็นลูกสาวที่อิดโรยอย่างกับดอกไม้ที่เหี่ยวแห้ง คนเป็นแม่ทั้ง 2 รีบให้คนรับใช้ไปตุ๋นของบำรุงมาให้ ยาบำรุงจำนวนมากถูกส่งมากองไว้หน้าเฉิงเสี่ยวเสี่ยว
ทั้ง 2 ยังไม่วางใจ รอดูจนนางดื่มหมดถึงจะพอใจ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่กินจนท้องเต็มไม่สามารถเข้าฌานฝึกฝนวิทยายุทธได้ จึงหลับไปบนเตียง
พักผ่อนไป 3 วันเต็มๆ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถึงรอดพ้นจากเงื้อมมือของแม่ทั้ง 2 คนได้ ตอนนี้ร่างกายนางฟื้นฟูกลับมาแล้ว เข้ามิติไปทันทีโดยไม่ได้สนใจเหตุการณ์ภายนอก
เตรียมตัวคิดค้นเม็ดยาเป้าพั่วที่ว่า
“คุณหนู….”
หยูเฮงที่มีท่าทางสดชื่นก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน เห็นคนท่าทางกระปรี้กระเปร่าจึงยิ้มออกมาอย่างดีใจ “สีหน้าค่อยดูดีขึ้นหน่อย”
“แต่เดิมก็ไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “สถานการณ์ข้างนอกนั่นไม่ค่อยดีนัก รีบจบสงครามบ้าๆนี้กันเถอะ”
“คุณหนู สถานการณ์ไม่ดีจริงๆนั่นแหละ ผู้ฝึกตนวิถีมารเริ่มใช้พิษแล้ว โชคดีที่พวกเราทำยาถอนพิษไว้นับล้านเม็ด ไม่งั้นเสือ หมาป่าเขียว และหมีแขนเหล็กตายเยอะกว่านี้อีก”
“เท่าไหร่” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวคิดไว้แล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่พอได้ยินจริงๆก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“ไม่เยอะ ร้อยกว่าตัว ผู้ฝึกตนวิถีมารเห็นว่าหนีไม่พ้นจึงระเบิดตัวเองแบบไม่คิดชีวิต พวกสัตว์ศักสิทธิ์หนีออกมาไม่ทัน แถมบนตัวของผู้ฝึกตนวิถีมารมีพิษแรงอีก พวกสัตว์ศักสิทธิ์จึงไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ต่อให้ไม่ถูกระเบิดตายก็ตายด้วยพิษ”
—————————
TQF:บทที่ 500 อานุภาพยิ่งใหญ่ ผอมแห้งแรงน้อย (2)
“ข่าวที่ส่งกลับมาบอกว่าพิษของผู้ฝึกตนวิถีมารน่ะรุนแรงมาก และยังกระจายเร็วด้วย ถ้าไม่ได้กินยาถอนสารพัดพิษภายในครึ่งนาทีก็ไม่รอดแล้ว เพราะฉะนั้นข้าว่ายาถอนสารพัดพิษที่พวกเราทำยังไม่พอ นอกซะจากจะพยายามกำจัดผู้ฝึกตนวิถีมารและพวกผีดิบที่เหลืออยู่ประมาณ 3 ล้านกว่าคนได้ ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องทำยาต่อไปเรื่อยๆไม่ได้หยุด”
“คุณหนู แม้ว่ามิติของเราจะปลูกยาวิเศษไว้ แต่หลังจากที่เอามาทำยาตลอด 3 เดือนก็ใช้ไปประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้ายิ่งยืดเวลาออกไปเราก็ยิ่งเสียเปรียบ ทรัพยากรถูกใช้ไปเกินครึ่งแล้ว ต้องบอกตรงๆว่าครั้งนี้เราเสียเยอะมากจริงๆ”
“อื้ม….”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้าเบาๆ “เจ้าเองก็ไม่ต้องใจร้อนนัก พวกเรามีทรัพยากรมากมายขนาดนี้ยังหมดไปเกินครึ่ง สถานการณ์ของผู้ฝึกตนวิถีมารในเมืองโลกทมิฬน่าจะแย่กว่าเราอีก”
“คุณหนู ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ด้วยการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของพวกเขา พวกเขารู้ว่ายื้อต่อไปจะยิ่งแย่กับพวกเขา ถึงได้ใช้วิธีทำลายตัวเองแบบนี้ในการเอาชนะ” หยูเฮงหรี่ตาลง
“ถูกต้อง ไม่ดีกับฝ่ายไหนทั้งนั้น คนที่ซวยที่สุดก็เป็นพวกประชาชน”
“จบเถอะ ยื้อต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์กับใคร”
หยูเฮงพยักหน้า “จริงสิคุณหนู ถ้าเราทำเม็ดยาเป้าพั่วออกมาได้ละก็ เราก็สามารถจบสงครามนี้ในเร็ววันได้”
“ถูกต้อง เรามาเริ่มกันเถอะ”
พูดจบ ร่างของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็หายไป หยูเฮงตามมาติดๆ 1 คน 1 ภูติปรากฏตัวขึ้นหน้าวังสวรรค์
ต้นหลิวเห็นการมาถึงของพวกนาง โบกก้านอ่อนสีเขียวขจีต้อนรับ ท่าทางมันจะดีใจมาก
ทักทายกับต้นหลิวน้อยเล็กน้อยพวกนางก็เข้าไปในวังสวรรค์ เตา 2 เตาวางอยู่ในห้องโถงใหญ่
ต่างคนต่างนั่งขัดสมาธิลง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหล่มองเจ้าตัวเล็กข้างๆ “หยูเฮง เจ้ามั่นใจรึเปล่าว่าจะทำยาเม็ดเป้าพั่วออกมาได้ เห็นท่านย่าบอกว่ามันเป็นยาเม็ดชั้น 6”
“คุณหนู เรื่องนี้ข้าไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จในครั้งแรก พวกเราน่ะทำแต่ยาที่อยู่ตั้งแต่ชั้น 5 ลงไป แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงแม้ว่ายาเม็ดชั้น 6 จะทำไม่ง่าย แต่ข้าเชื่อว่าเราทำมันออกมาได้แน่”
“ได้ เจ้าบอกสูตรกับข้า เรามาลองดูกันก่อน” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเก็บอารมณ์อย่างอื่น รักษาความใจเย็นไว้
“ไม่….” หยูเฮงไม่ได้ตอบตกลง นางยกเตาขึ้น “คุณหนู ท่านดูข้าทำก่อน แล้วท่านค่อยทำตาม”
“วางใจเถอะ ข้าจะระวัง” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเข้าใจดี การปรับแต่งเม็ดยาใช่ว่าจะไม่มีอันตราย ถ้าไม่ทันระวังแล้วเตาระเบิดละก็ สามารถทำร้ายผู้ปรับแต่งเม็ดยาได้ง่ายๆ
โดยเฉพาะยาเม็ดเป้าพั่วที่เป็นของอันตรายอยู่แล้ว หยูเฮงกล่าวด้วยความจริงจังอย่างมาก “คุณหนู ข้าไม่ได้คิดว่าท่านทำไม่ได้ แต่ยาเม็ดเป้าพั่วมันทำไม่ง่ายอยู่แล้ว อาจจะมีการระเบิดหลายครั้งก่อนถึงจะทราบรายละเอียดการทำได้ ไม่ว่าข้าจะบาดเจ็บแค่ไหน ขอแค่ข้ายังมีลมหายใจอยู่ จิตข้ายังอยู่ ข้าก็สามารถใช้เรื่องเดิมฟื้นฟูกลับมาได้ คุณหนู แต่ท่านไม่ได้ สำหรับท่านมันอันตรายกว่า”
“มีแบบไม่อันตรายที่ไหนล่ะ…”
หยูเฮงเอ่ยอย่างแข็งกร้าว “คุณหนู เชื่อข้า รอให้ข้าทำได้ก่อนแล้วข้าจะบอกท่าน”
“งั้น ก็ได้” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเลิกคิ้วขึ้น ตอบตกลงในที่สุด
หยูเฮงไม่ได้เริ่มลงมือทันที นางนั่งไตร่ตรองอยู่พักก่อนจะเริ่ม
เริ่มจากการตั้งยาวิเศษก่อน หญ้าต้วนหุน ผลปิงพั่ว โสมเสวี่ยหลง หญ้าเสวียนจู ผลหลิงจู เหล็กจีมู่เซียง หินจิงค่วง เหล็กเสวียนหัน….
อุ่นเตา ใส่ยา สกัดน้ำ…
ทันนั้นก็มีกลิ่นไหม้ออกมาจากเตา เฉิงเสี่ยวเสี่ยวขมวดคิ้วรีบเอ่ย “ระวัง….”
ตู้ม…
พูดจบปุ๊บ เตายาก็ระเบิดตามเสียงขึ้นทันที หยูเฮงถูกแรงระเบิดผลักจนบินออกไปทั้งร่าง
“ยากที่จะทำจริงๆด้วย”
โชคดีที่ตอบสนองได้ไว หยูเฮงจึงไม่ได้บาดเจ็บ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่านางปลอดภัยจึงโล่งใจ มองไปยังซากที่กองอยู่ที่พื้น “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พักผ่อนสักหน่อยมั้ย”
“ข้าไม่เป็นไร ลองอีกครั้งดู”
หยูเฮงเม้มปาก โบกมือเล็กน้อยก็เก็บซากยาออกจนหมด ทำความสะอาดเตาก่อนจะเริ่มลงมืออีกครั้ง
ตั้งยาทุกอย่างออกมาอีกครั้ง หยูเฮงใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่ม
อุ่นเตา ใส่ยา สกัดน้ำ…
ตู้ม….
อุ่นเตา ใส่ยา สกัดน้ำ…
ตู้ม….
อุ่นเตา ใส่ยา สกัดน้ำ…
ตู้ม….
ทั้งโถงใหญ่ของวังสวรรค์เกิดเสียงระเบิดดังต่อเนื่องกันหลายครั้ง กลิ่นไหม้ของยากระจายออกไป ต้นหลิวข้างนอกสะบัดก้านหลิวราวกับกำลังส่องดู ละก็เหม็นกลิ่นไหม้ด้วย
สถานการณ์เป็นแบบนี้ติดต่อกัน 3 วัน หลังจากวันที่ 3 เสียงระเบิดจึงค่อยๆเบาลง
วันที่ 5
“สำเร็จแล้ว ทำออกมาได้แล้ว ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว”
เสียงร้องด้วยความดีใจของหยูเฮงดังออกมาจากวังสวรรค์ ต้นหลิวด้านนอกก็โบกก้านด้วยความดีใจ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองยาเม็ดเป้าพั่วดำๆ 3 เม็ด ไม่รู้จะดีใจหรือจะเสียใจดี
ด้วยฝีมือการปรับแต่งเม็ดยาของหยูเฮงยังใช้เวลาถึง 5 วันถึงจะทำออกมาได้แค่ 3 เม็ด ไม่รู้ว่าตัวเองต้องใช้เวลากี่วัน
————————————
ตอนที่ 501
TQF:บทที่ 501 อานุภาพยิ่งใหญ่ ผอมแห้งแรงน้อย (3)
“คุณหนู อยากทดสอบอานุภาพของยาเม็ดเป้าพั่วนี้มั้ย”
หยูเฮงหน้าเปื้อนเป็นรอยดำๆอย่างกับแมวน้อย แต่ก็ไม่อาจบดบังความดีใจบนใบหน้าได้ “คุณหนู เราไปลองกันหน่อยมั้ย”
“ได้ เราไปลองกัน” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็อยากรู้เหมือนกัน พยักหน้ารับคำ
1 คน 1 ภูติมาปรากฏตัวที่ป่าด้านหลังดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน ป่านี้ถูกสร้างขึ้นอย่างตั้งใจเมื่อ 3 ปีก่อน ในป่าไม่เพียงแต่มีสัตว์ป่าและสัตว์อสูรต่างๆ แล้วยังปลูกยาวิเศษไว้ด้วยไม่น้อย ตอนนี้ก็เป็นสถานที่ฝึกฝนของลูกศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน
หยูเฮงพิจารณาเนินเขาเล็กๆตรงหน้า เอียงหัวถาม “คุณหนู เราระเบิดเนินอันนี้จะทำให้คนอื่นตกใจมั้ย”
“ไม่รู้สิ ยาเม็ดเป้าพั่วนี้จะระเบิดมั้ยเราก็ยังไม่รู้” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองยาเม็ดเป้าพั่วขนาดเท่าผลไม้เล็กๆ 3 เม็ดในมือด้วยความคาดหวัง
หยูเฮงหยิบมาเม็ดนึงอย่างพิจารณา “พวกเรามาลองดูก่อน”
พูดจบก็โยนยาเม็ดเป้าพั่วไปที่เนินเขา
ตู้มม…..
เมื่อเม็ดเป้าพั่วสัมผัสโดนพื้นดินก็ระเบิดออกทันที เกิดแรงปะทะขึ้น โคลนกระจายออกรอบทิศ ฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วท้องฟ้า
เกิดเสียงประหลาดแบบนี้ในที่สงบนี้ได้อย่างไร เหล่าผู้อาวุโสรีบมาทันทีด้วยความโกรธ
ขณะเดียวกัน เหล่าลูกศิษย์ที่เข้าไปฝึกฝนในขุนเขาก็ตกใจกับเสียงนี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
สัตว์ป่าและสัตว์อสูรในป่ากลัวจนวิ่งพล่านไปทั่ว นึกว่าเกิดภัยใหญ่หลวงอะไรขึ้น
“อัยย่ะ ไม่เลวเลยนะ ระเบิดจริงๆด้วย” หยูเฮงเห็นหลุมใหญ่ในเนินด้านหน้า ยิ้มออกอย่างเบิกบาน
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเห็นผู้คนที่มาตามเสียง นางเดินไปต้อนรับเหล่าผู้อาวุโสและพวกผู้ใหญ่ แม้แต่อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ก็มาปรากฏตัวเช่นกัน
“คุณหนู หยูเฮง นี่มัน…” ผู้เฒ่าหยิงมองหลุมตรงหน้า ถามอย่างไม่เข้าใจ
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์เหมือนว่าจะล่วงรู้บางอย่าง เขาเหล่มองหยูเฮงที่หน้าเปื้อนเหมือนลูกแมว “ไม่เลวเลยนะ ท่าทางวันเวลาอันครึกครื้นจะจบลงแล้ว”
นี่มันหมายความว่าอะไร?
เหล่าผู้อาวุโสมองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้อะไรเลยจึงไม่เข้าใจความหมายนี้เช่นกัน
หยูเฮงพยักหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แน่นอน เชื่อว่าต้องจบในเร็ววันนี้แหละ”
“ต้องลำบากพวกเจ้าอีกแล้ว” อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์หัวเราะก่อนจะหันหลังจากไป
“ถือว่าเป็นเรื่องดี” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้อธิบาย ถึงเวลาที่พวกเขาควรจะรู้ก็จะรู้เอง
สมองของผู้เฒ่าหยิงทำงานได้ไว เขารับรู้ได้ถึงบางอย่าง มีรอยยิ้มสดใสอยู่บนใบหน้าเหี่ยวๆของเขา “คุณหนู พวกท่านจะทำการทดลองก็บอกพวกเราหน่อยสิ พวกเราน่ะตกใจแทบแย่”
“ตกใจแทบแย่?”
หยูเฮงหันกลับมา เอียงตามองเขา “ตาเฒ่า เจ้าขี้กลัวขนาดนั้นเลยหรือ ยังไงให้ข้าลองระเบิดเจ้าดูก่อนมั้ย ดูซิจะระเบิดจนเจ้ากระเด็นเลยได้รึเปล่า”
“หา หยูเฮง อย่าล้อเล่นน่า” ผู้เฒ่าหยิงตกใจจนหน้าซีดเผือก รีบถอยหลังกรูด “ข้ามีธุระ พวกเจ้าเล่นกันไปก่อนเลย”
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตแล้ว ผู้เฒ่าหยิงไม่กล้าเอาร่างเลือดน้อยของตัวเองไปล้อเล่น เนินเขายังระเบิดจนเป็นหลุมได้ ถ้าขว้างมาโดนตัวเองคงระเบิดจนไม่เหลือซาก
ผู้อาวุโสคนอื่นยังมึนๆกันอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ต่อ ต่างพากันจากไป
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงก็ไม่ได้อยู่ต่อเช่นกัน กลับเข้ามิติไปทันที
ยาเม็ดเป้าพั่วทำออกมาได้สำเร็จแล้ว ที่เหลือก็แค่ผลิตเพิ่มจำนวน
อุ่นเตา ใส่ยา สกัดน้ำ…
ตู้ม….
…….
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวใช้เวลาถึง 3 วันเต็มๆ ฝึกฝนไม่หยุดหย่อน วัสดุยาก็สิ้นเปลืองไปนับสิบอย่าง ในที่สุดก็ทำเม็ดยาเป้าพั่วออกมาสำเร็จในวันที่ 4 ภายใต้การชี้แนะของหยูเฮง
ในที่สุดก็สำเร็จ
กินผลไม้วิเศษไปนิดหน่อย 1 คน 1 ภูติก็เริ่มการปรับแต่งเม็ดยาแบบไม่กินไม่นอน
ทั้งสองตั้งสมาธิอยู่กับสถานการณ์ภายในเตาไม่ได้ละเลย คล้อยตามกระบวนการอันคุ้นเคย ยาเม็ดเป้าพั่วมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ หลายวันให้หลัง ทุกๆเตาทำออกมาได้มากถึง 10 เม็ด
ครึ่งเดือนให้หลัง
ทั้ง 2 ผลิตเม็ดยาเป้าพั่วออกมาได้นับพันเม็ด
โดยเฉพาะหยูเฮงที่ทุ่มสุดชีวิตจนต้องกลับร่างเดิมเพื่อพักผ่อน
เมื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกมาปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน จากที่เพรียวบางอยู่แล้ว หน้ายิ่งตรอบเข้าไปใหญ่ แก้ม 2 ข้างไม่มีเนื้อเลยแม้แต่น้อย ท่าทางเหมือนคนไม่ได้กินข้าวมานานหลายปี
“เสี่ยวเสี่ยว…”
โม่ซวนซุนที่เพิ่งกลับมาเมื่อได้เห็นคนที่ผอมจนเหลือแต่กระดูกแล้วก็อดปวดใจไม่ได้ ไม่สนแล้วว่ายังมีผู้ใหญ่อยู่ข้างๆ เขาดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดของตัวเองทันที มีความโกรธอยู่ในน้ำเสียง “ทำไมเจ้ากลายเป็นแบบนี้ เจ้าอยากตายรึไง”
“เอ่อ ทำอะไรน่ะ…”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองเขาอย่างงงๆ แต่ก็สัมผัสถึงความเป็นห่วงจากเขาได้ ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่เป็นไร เอาล่ะ มีอะไรเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
“รออะไร เรื่องของเจ้าก็เป็นเรื่องใหญ่” ใบหน้าหล่อเหลาของโม่ซวนซุนคร่ำเครียดถึงที่สุด มีประกายไฟอยู่ในแววตา กล่าวเสียงเข้ม “ผู้ปรับแต่งเม็ดยาของที่บ้านตายกันหมดแล้วหรือไง ถึงต้องให้เจ้าทำงานหนักขนาดนี้ ดูซิ เจ้ากลายเป็นแบบนี้แล้วเนี่ย”
“เอ่อ อย่าตะโกน ข้าปวดหัว” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวลูบแก้มเขาอย่างช่วยไม่ได้เพื่อปลอบโยน “ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้แหละ ดีมั้ย”
“……” คนที่ใบหน้ายังบึ้งตึงอยู่ไม่ได้พูดอะไร
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหยิบแหวนมิติออกมา “ท่านพ่อ ในนี้มีเม็ดยาเป้าพั่วประมาณ 5000 เม็ด ท่านเอาไปแจกจ่ายดูว่าจะเป็นยังไง หวังว่าจะได้ผลยิ่งใหญ่”
“เจ้า…”
เห็นลูกสาวผอมมากขนาดนี้ เฉิงไป๋หยวนปวดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “เจ้านี่น้า ไม่รู้จะว่าอะไรเจ้าดี วางใจเถอะ เรื่องนี้พวกเราจะจัดการให้ดี”
“สถานการณ์ข้างนอกนั่นคงไม่ค่อยดีสินะ”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองคนตรงหน้า พอจะเดาออกว่าเป็นยังไงจากสีหน้าเคร่งเครียดของพวกเขา
นึกไปถึงว่าตัวเองก็สูญเสียสัตว์ศักสิทธิ์ไปนับร้อยตัวก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาในตอนนี้ดีเหมือนกัน
“สงครามย่อมต้องอลหม่านและเกิดการสูญเสีย เรื่องนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก” โม่อู๋เซอเอ่ยเสียงทุ้ม
ในสายตาของโม่ซวนซุนมีเพียงคนที่ผอมจนแค่ลมพัดก็สามารถปลิวได้ นัยน์ตาลึกล้ำมองนางอย่างไม่วางตา “ตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้ ทุกคนจะจัดการเอง ตามข้ามา”
“เจ้า…” เห็นเจ้าคนที่ท่าทางเหมือนกินระเบิดเข้าไป เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่มีคำจะพูด
“คุณหนู ลำบากท่านกับหยูเฮงเหลือเกิน ไม่ว่ายังไงตอนนี้ท่านก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ไม่ใช่แค่คุณชายที่เป็นห่วงท่านนะ พวกเราทุกคนก็เป็นห่วง” ผู้เฒ่าหยิงเอ่ยอย่างจริงจัง
โม่อู๋เซอมองคนตรงหน้าที่ผอมลงไปเยอะ พูดขึ้น “แม้เสี่ยวเสี่ยวจะไม่ได้ออกรบแต่เหนื่อยกว่าใครๆ พวกเราได้ยินเรื่องยาเม็ดเป้าพั่วแล้ว ครึ่งเดือนมานี้ลำบากเจ้าจริงๆ”
“ท่านพ่อ อาจารย์ ผู้เฒ่าหยิง พวกท่านคิดซะว่าข้าลดความอ้วนก็แล้วกัน ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้ม
“ลดหน้าเจ้าน่ะสิ”
รู้ทั้งรู้ว่านางแค่พูดปลอบใจ แต่โม่ซวนซุนก็อดโมโหไม่ได้ ดึงคนที่นั่งอยู่ออกไปด้านนอกทันที “มา เจ้าตามข้ามา”
ทุกคนเห็นร่างของทั้งคู่ที่เดินออกต่างถอนหายใจออกมา
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถูกลากกลับตำหนักเถาวัลย์หยกเจ้าคนที่หน้าดำคร่ำเครียดอย่างกับท่านเปาผลักนางเข้าไปในห้องนอนและออกคำสั่งให้ไปพักผ่อนทันที ก่อนจะปิดประตูห้องนางให้ดีและจากไปอย่างเร็ว
เหนื่อย เหนื่อยจริงๆ
แม้ว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวจะไม่ได้ตั้งใจที่จะไปส่องกระจก แต่ก็พอจะรู้ว่าสีหน้าตัวเองคงจะไม่ดีเท่าไหร่ ทำนู่นทำนี่นิดหน่อยก็ล้มตัวลงบนเตียงทันที
ครั้งนี้ได้พักผ่อนอย่างสบายใจสักที หลังจากที่นางหลับไปก็หลับลึกไม่ตื่นอีก
———————————
ตอนที่ 502
TQF:บทที่ 502 สาสน์สงครามส่งมาถึง (1)
นางนอนไปไม่เท่าไหร่ แต่ทำให้คนอื่นๆพากันตกใจหมด
นางนอนไป 5 วันเต็มๆและยังไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมา โม่ซวนซุนกลัวเป็นอย่างมาก เฝ้าอยู่ข้างเตียงนางไม่ยอมไปไหน
ไม่ว่าจะร้อนใจและเป็นห่วงแค่ไหน โม่ซวนซุนก็ยังอดทนไว้ไม่ไปปลุกนาง
สุดท้ายแม้แต่อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ก็ต้องมาดูด้วยตัวเอง ยิ้มนิดๆก่อนจะหันหลังจากไป
โม่ซวนซุนรีบตามออกมาด้วยความร้อนใจ “อาจารย์ปู่ เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเสี่ยว”
“วางใจเถอะ นางแค่ปิดกั้นพลังจิตเอาไว้เพื่อฟื้นบำรุงตัวเอง รอจนพลังนางคืนกลับมานางก็จะตื่นเอง นางไม่เป็นอะไรหรอก”
ได้ยินคำนี้จากอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์โม่ซวนซุนถึงได้เบาใจลง คนอื่นๆที่เป็นห่วงต่างก็เบาใจลงเช่นกันและกลับไปทำเรื่องของตัวเอง
แต่ในช่วงเวลาหลายวันที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหลับไป ข้างนอกก็อลหม่านจนฟ้าแทบพลิกเช่นกัน
ชื่อเสียงของยาเม็ดเป้าพั่วดังสนั่นไปทั่วผืนดิน ในเวลาแค่ไม่กี่วันผู้ฝึกตนวิถีมารและพวกผีดิบโดนระเบิดไปพวกแล้วพวกเล่า ด้วยพลังการกวาดล้างนี้ผู้ฝึกตนวิถีมารบาดเจ็บล้มตายกันไปนับล้าน
ผู้ฝึกตนวิถีมารและพวกผีดิบที่ตอนแรกมีกันประมาณ 5 ล้านคน หลังจากสงครามผ่านไปกว่าครึ่งปีก็ถูกำจัดไปประมาณ 4 ล้านคน คนที่เหลืออยู่มีไม่ถึงล้าน
ตอนนี้ผู้ฝึกตนวิถีมารเข้าใจแล้วว่าพวกเขาแพ้อย่างหมดท่า คนที่เหลืออยู่จึงหลบหนีไป รอคอยคำสั่งสุดท้ายจากหัวหน้าของแต่ละกลุ่ม
กลุ่มเทียนยีเมืองโลกทมิฬ
เหล่าหัวหน้ากลุ่มมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง
ไม่มีใครในพวกเขาพูดอะไรออกมา ทั้งห้องโถงของกลุ่มเทียนยีมีแต่เสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้น ไม่มีใครเอ่ยปากใดๆ
แต่ละคนหน้าตาเคร่งขรึมราวกับรอบางอย่างอยู่
สายตาของเฒ่าผีกวาดผ่านหน้าทุกคน กล่าวเสียงเรียบ “มีแค่ 2 ทางเลือกที่เราทำได้ ทางเลือกที่ 1 ให้คนที่เหลือถอยกลับมาแล้วรอดูการจัดการของพวกเขา ทางเลือกที่ 2 รวบรวมทุกคนเข้าด้วยกันแล้วออกโรงกันให้หมดเพื่อสู้ศึกสุดท้ายกับพวกเขา ทุกคนเลือกกันเอาเองเถอะ”
“สู้”
“สู้ให้สุด”
“สู้จนตัวตาย”
“ต่อให้ตายหมดก็ไม่ยอมถอยกลับมา”
“ขอสู้ให้สุด ไหนๆก็ต้องแพ้แล้ว พวกเราจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจ”
“ไม่แน่การโจมตีครั้งสุดท้ายนี้เราอาจจะได้อะไรกลับมาก็ได้ ยังไงซะพวกเราจะถอยกลับมาแบบนี้ไม่ได้ ไม่งั้นเราจะสู้หน้าคนที่ตายไปได้อย่างไร”
“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าพวกเราจะถอยหรือจะสู้ตอนจบก็คงไม่ต่างกัน หวังว่าการเสียสละของพวกเราจะแลกที่ที่ดีกว่านี้กลับมาให้พวกเขาได้ พวกเราเต็มใจจะสู้ศึกสุดท้ายนี้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย”
“สู้เถอะ คนของข้าตายไปหมดแล้วเหลือหัวหน้าอย่างข้าแค่คนเดียว ยังไงก็ต้องเอาให้ไปสู้หน้าพวกเขาได้ใช่มั้ยล่ะ”
“ข้าสนับสนุนให้สู้”
“สู้”
…..
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ต้องการแบบเดียวกันหมด นั่นก็คือไม่สนผลลัพธ์แล้วสู้ให้สุดชีวิต
ความต้องการรบอย่างแรงกล้าทำลายบรรยากาศอันน่ากดดันเมื่อกี้ลง เฒ่าผีไม่มีท่าทางแปลกใจกับคำพูดของพวกเขา ตาทั้ง 2 ของข้าแหลมคมราวกับดาบ
“ได้ ในเมื่อทุกคนต้องการจะสู้ งั้นก็สู้เถิด” เฒ่าผีเอ่ยเสียงเบา
ทุกคนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ต่างพยักหน้าขึ้นพร้อมกัน
เล้งยี่เฉินหัวหน้ากลุ่มวั่งเทียนเอ่ยเสียงขรึม “เฒ่าผี ครั้งนี้ท่านจะลงมือกับทุกคนด้วยมั้ย” ทุกคนต่างละสายตาหันไปมองที่เฒ่าผี
เฒ่าผียิ้มออกมาเบาๆ ตอบกลับเรียบๆ “ในเมื่อทุกคนลงมือด้วยกันหมด ข้าก็ต้องเป็นเช่นนั้น”
“มีเฒ่าผีไปกับเราด้วยพวกเราเบาใจขึ้นเยอะ แต่ไม่รู้ว่าเฒ่าผีมีแผนอะไรมั้ย” เซียวจี้เลี่ยหัวหน้ากลุ่มเถียเสวี่ยเอ่ยถาม
หัวหน้ากลุ่มเฟยเตาก็เอ่ยสมทบ “เฒ่าผี ตอนนี้พวกเราต้องพึ่งท่านแล้ว ตามความเห็นของข้า ครั้งที่แล้วลูกศิษย์ของพรรคเทียนยีที่ร่วมรบมีไม่มากนัก ครั้งนี้ลูกศิษย์ทุกคนจะออกรบตามเฒ่าผีหรือไม่”
“ถูกต้อง เฒ่าผี ครั้งนี้พวกเราจะติดตามท่าน รอฟังคำสั่งจากเฒ่าผี”
“เฒ่าผี ทุกอย่างต้องฝากไว้กับท่านแล้ว หวังว่าเฒ่าผีจะนำทัพทุกคนโต้ตอบพวกเขาให้สาสมกับที่พวกเราถูกกระทำ เชื่อว่าเฒ่าผีจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง วิธีการของเฒ่าผีจะทำให้พวกเราพอใจได้แน่”
หลังจากที่พวกเขาพูดขึ้นทีละคน สีหน้าของเฒ่าผีก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนัก น้ำเสียงยังคงเรียบเฉย “ความคิดของทุกท่านข้าเข้าใจดี สถานการณ์เป็นยังไงเชื่อว่าทุกคนก็รู้อยู่ ข้าไม่สามารถรับประกันอะไรได้ ชะตากรรมของเมืองโลกทมิฬในภายภาคหน้าขอให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน พวกเราก็ทำให้สุดกำลังก็พอ”
ความหมายของเฒ่าผีทุกคนเข้าใจกันดี พูดไปก็เปล่าประโยชน์ ทุกอย่างต้องฝากไว้กับศึกครั้งสุดท้าย
ผ่านไปสักพัก หัวหน้ากลุ่มกุ่ยเต้ากล่าวเสียงเย็น “เฒ่าผี เรื่องอื่นข้าจะไม่พูดเยอะ หวังว่าท่านจะใช้วิธีที่รุนแรงที่สุดเพื่อเอาคืนให้พวกเรา และเพื่อผู้ฝึกฝนวิทยายุทธนับล้านของเราที่ตายไป พวกเราจะให้พวกเขาตายฟรีไม่ได้ ต่อให้ต้องตาย รวมถึงพวกเราด้วยสุดท้ายก็คงไม่รอดพ้นชะตากรรมที่จะต้องตาย แต่ก็ขอให้คนรุ่นหลังของเราได้มีที่อยู่อาศัยที่ดีๆ”
“พวกเราอยู่ที่เมืองโลกทมิฬนี่มาหลายชั่วอายุคน อัปยศมามากพอแล้ว ถ้าหากการเสียสละของพวกเราครั้งนี้ยังไม่สามารถได้มาซึ่งสิ่งแวดล้อมดีๆให้คนรุ่นหลังได้อาศัยอยู่ก็กลายเป็นว่าทุกอย่างไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น” หัวหน้ากลุ่มเถียเสวี่ยขบกรามแน่น
ที่จริงที่ทุกคนต่างรวมตัวเหล่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธลอบเข้าไปโจมตีเหล่าอิทธิพลในเมืองต่างๆก็เพื่อจุดประสงค์นี้กันทั้งนั้น
ตอนที่ 503
TQF:บทที่ 503 สาสน์สงครามส่งมาถึง (2)
“ทุกคนวางใจเถอะ ต่อให้พวกเราเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่พวกเราพ่ายแพ้ไม่ได้ แต่เอาคืนให้ทุกคน ข้าเชื่อว่ายังทำได้อยู่”
นัยต์ตาของเฒ่าผีมีประกายแห่งความมั่นใจอยู่ ร่างผอมแห้งนั้นอยู่ๆก็ราวกับดูยิ่งใหญ่ขึ้นมา “ทุกท่านเตรียมตัวให้ดี 10วันให้หลังเราจะออกเดินทาง รบครั้งมหากาฬกับพวกดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน ต่อให้ต้องแพ้ พวกเราก็ขอแพ้แบบสมศักดิ์ศรี ให้พวกเขาเต็มใจแบ่งพื้นที่มาให้คนของเราได้อาศัยอยู่”
“ได้ พวกเราต้องทำให้ได้”
“เฒ่าผีพูดได้ดี ต่อให้พวกเราต้องตายก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาได้อยู่อย่างสุขสบาย แล้วก็ต้องให้พวกเขาแบ่งพื้นที่ดีๆมาให้พวกเราด้วย”
“พวกเราต้องทำให้ได้ แล้วก็ให้ทุกคนได้ย้ายออกจากเมืองโลกทมิฬโดยเร็ว”
“ไม่ว่ายังไงเมืองโลกทมิฬก็อยู่ต่อไม่ได้แล้ว เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีที่อยู่ที่มั่นคงพวกเราจะใจอ่อนไม่ได้ คนพวกนั้นน่ะสมควรตาย”
แต่ละคนกำมือแน่นพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“เฒ่าผี ครั้งนี้ยาพิษของกลุ่มเทียนยีจะขายให้ทุกคนด้วยรึเปล่า ตอนนี้คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนมียาที่เรียกว่ายาเม็ดเป้าพั่ว ถ้าพวกเราไม่ใช้พิษละก็ ไม่มีทางที่จะต่อกรกับพวกเขาได้”
“ทำไมถึงมีของแบบยาเม็ดเป้าพั่วได้ ของแบบนี้คนของเราต้านทานไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขามีสิ่งนี้และทำร้ายผู้ฝึกฝนวิทยายุทธของพวกเราไปนับแสน อย่างน้อยพวกเรายังยื้อต่อไปได้อีกหลายเดือน” เล้งยี่เฉินหัวหน้ากลุ่มวั่งเทียนกล่าว
“พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ทุกคนไปเตรียมตัวก่อน อีก 10 วันออกเดินทาง”
สิ่งที่ต้องพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว เฒ่าผีก็ขี้เกียจจะพูดอะไรอีก ไม่ทันที่พวกเขาจะจากไปเฒ่าผีก็หายตัวจากไปก่อน
ทุกคนพากันออกจากกลุ่มเทียนยีไป
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน
วินาทีที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวลืมตา ก็เห็นใบหน้าหมดอาลัยตายอยากจนนางชะงักไป “เจ้าเป็นอะไรไป”
“เสี่ยวเสี่ยว เจ้าตื่นแล้ว” เฝ้ามา 8 วันเต็มๆ โม่ซวนซุนวางใจได้สักทีเมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมาในที่สุด
เห็นสภาพเขาแบบนี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “ทำไมเจ้าเป็นแบบนี้ล่ะ”
“ข้า? ข้าไม่ได้เป็นอะไร แค่ช่วงนี้ข้าไม่ได้ดูแลตัวเอง” โม่ซวนซุนคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ย “เสี่ยวเสี่ยว เจ้าหิวแล้วล่ะสิ ข้าไปทำอะไรให้เจ้ากิน”
ไม่ทันที่นางจะรู้สึกตัว เขาก็ออกไปด้วยความไวอย่างกับลมพัดผ่านไป
“เอิ่ม…” กระพริบตานิดหน่อย สติของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวคืนกลับมาเหมือนปกติแล้ว ในที่นางก็รู้สึกสบายตัวสักที
บิดขี้เกียจ 1 ที กำลังจะเตรียมตัวล้างหน้าล้างตัวก็มีร่างเล็กๆร่างหนึ่งหายตัวเข้ามา
“คุณหนู เก่งนะเนี่ยนอนไปตั้ง 8 วัน” หยูเฮงเอ่ยยิ้มๆ
“อะไรนะ”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอึ้งไป นึกว่าตัวเองฟังผิด “8 วัน? เจ้าจะบอกว่าข้านอนไป 8 วันรึ ไม่ใช่ละมั้ง”
“แน่นอนสิเจ้าคะ ข้าจะหลอกท่านทำไม”
บนใบหน้าของหยูเฮงมีรอยยิ้มอันสดใส “อย่าบอกว่าท่านไม่อยากจะเชื่อเลย ข้าเองก็ตกใจแทบแย่ คุณชายน่ะใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว เฝ้าท่านตลอดไม่ยอมไปไหนเลย”
“เอ่อ เอ่อ”
ไม่มีอะไรจะเถียง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ช่างมันเถอะ จริงสิ สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
“เฮ่ะเฮ่ะ คุณหนู ท่านเดาไม่ออกแน่”
“เดาไม่ออก? เกิดอะไรขึ้น หรือว่าสงครามจบลงแล้วในไม่กี่วันนี้”
“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่”
“หมายความว่ายังไง”
“เฮ่ะๆๆ คุณหนูเดาไม่ออกจริงๆด้วย” หยูเฮงหัวเราะอย่างได้ใจ “คุณหนู ยาเม็ดเป้าพั่วของเราระเบิดจนผู้ฝึกตนวิถีมารหนีกระเจิงไปหมดแล้ว ไม่กล้ารบอีก”
“แค่เนี้ยนะ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเลิกคิ้วขี้น แปลกใจเล็กน้อย
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
หยูเฮงส่ายหัว “เมื่อวานได้รับสาสน์สงครามจากเมืองโลกทมิฬ ยังเหลือศึกครั้งสุดท้าย”
“ยังจะรบอีก? พวกเขาไม่กลัวตายกันรึไง?”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกไม่เข้าใจความคิดของคนพวกนี้ หรือว่าคนพวกจริงจะไม่กลัวตายกันจริงๆ
ที่จริงสู้กันมาหลายครั้งแล้ว พวกเขาล่าถอยไปด้วยความพ่ายแพ้ จำนวนคนที่เหลืออยู่น่าจะไม่เยอะนะ ทำไมพวกเขายังส่งสาสน์สงครามมาอีก
สาสน์สงคราม?
“หยูเฮง สาสน์สงครามที่พวกเขาส่งมาว่าอย่างไรบ้าง พวกเขาจะทำอะไร”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งพูดจบก็มีเสียงไม่สบอารมณ์ดังมาจากหน้าประตู “เสี่ยวเสี่ยว เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องบ้าๆพวกนี้หรอก มากินข้าวเร็ว”
เสียงมาถึงแล้วคนก็ปรากฏตัวขึ้นตามมา กลิ่นหอมฉุยลอยเข้ามา โม่ซวนซุนถือถ้วยและยาตุ๋นบำรุงเข้ามา
“ว้าว หอมจังเลย คุณชายเองจริงรึเปล่าเนี่ย” หยูเฮงเบิกตางาม ถามด้วยใบหน้าประหลาดใจ
โม่ซวนซุนเหล่มองนางก่อนจะเอ่ยเรียบๆ “ข้าทำเองแล้วยังไง หยูเฮง ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่กินของพวกนี้นี่ หรือว่าตอนนี้อยากจะลองดู”
“คุณชายนี่ขี้งกจริงๆเลย วางใจเถอะ ข้าไม่กินอาหารที่ปรุงด้วยความรักของท่านหรอก เก็บไว้ให้คุณหนูค่อยๆกินเถอะ” หยูเฮงเบ้ปาก แกล้งทำเป็นไม่สนใจ
ตอนที่ 504
TQF:บทที่ 504 สาสน์สงครามส่งมาถึง (3)
“อยากกินก็กินสิ คุณชายเจ้าน่ะใจกว้าง เจ้าอยากกินเท่าไหร่ก็ให้เจ้ากินเท่านั้น”
“ไม่เอา เดี๋ยวคุณหนูหึง”
“หึงอะไร บอกให้นะข้าทำได้ทุกอย่างยกเว้นหึง” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวล้างหน้าแต่งตัวซะใหม่ด้วยความช่วยเหลือจากสาวใช้ เดินมาแทรกบทสนทนาไร้สาระของพวกเขา
“อิอิ คุณหนูท่านค่อยๆกินเถอะ ข้าไม่กินอาหารจานโอชะที่คุณชายตั้งใจทำให้ท่านหรอก ข้าไปดูข้างนอกก่อนนะ บาย” หยูเฮงโบกมือน้อยๆของนางก่อนจะหันหลังจากไป
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยักไหล่และเดินลงไปนั่งลงที่โต๊ะ มองคนข้างๆ “เจ้าทำเองจริงๆเหรอ”
“แน่นอนสิ” โม่ซวนซุนยกเอาข้าวต้มออกมาถ้วยนึงวางไว้ตรงหน้านาง “ครั้งนี้เจ้านอนไปนานจริงๆ หลายวันมานี้ข้าเตรียมของอร่อยมากมายให้เจ้าทุกวันเลย ไม่คิดเลยว่ายังไงซะเจ้าก็ไม่ตื่น รีบกินเถอะ หิวมาตั้งนานแล้ว ควรจะได้กินตั้งนานแล้ว จำไว้ว่าวันหลังทำอะไรก็ระวังหน่อย ไม่ต้องทำอะไรไม่คิดชีวิตขนาดนั้น ดูแลร่างกายตัวเองด้วย ทุกคนน่ะตกใจกันแทบแย่”
“อื้ม รู้แล้ว” ได้ยินเสียงบ่นของเขาเฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกอบอุ่นในใจ ยกถ้วยขึ้นกินข้าวต้มหมูหอมกรุ่น น้ำตาคลอขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
คนข้างๆยังคงบ่นต่อไปเรื่อยๆ “กินเยอะๆหน่อย ผอมจนเหลือแต่กระดูกแล้ว จำไว้นะ ช่วงนี้ข้าจะทำอาหารให้เจ้ากินเองตลอด ไม่ว่าข้าจะทำมาเยอะแค่ไหนเจ้าก็ต้องกินให้หมด อ้วนขึ้นกว่านี้หน่อย มีเนื้อมีหนังถึงจะสวย”
“วันหลังทำอะไรก็ระวังด้วย ไม่ใช่พอยุ่งแล้วก็ไม่สนใจตัวเอง เรื่องบางเรื่องให้คนอื่นทำได้ก็ให้คนอื่นทำ ไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองหรอก โชคดีที่ไม่เหนื่อยจนป่วยเป็นอะไรไป ไม่อย่างนั้นดูซิข้าจะลงโทษเจ้ายังไง”
เสียงบ่นพรึมพรำไม่ได้ทำให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรำคาญเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่แปปเดียวนางก็กินข้าวต้มจนหมดถ้วย ยิ้มให้เขาอย่างสดใส “รับคำบัญชา ต่อไปนี้จะฟังเจ้าทุกอย่างเลย ดีมั้ย”
“ดี จำคำพูดเจ้าไว้ด้วย” โม่ซวนซุนพยักหน้าอย่างพอใจ ดันของตุ๋นบำรุงบนโต๊ะไปตรงหน้านาง “เด็กดี เชื่อข้า กินนี่เข้าไปด้วย อีก 1 ชั่วยามข้าจะเอาของหวานมาให้”
“เอ่อ อีก 1 ชั่วยามต้องกินอีกเหรอ เจ้าจะเลี้ยงข้าให้เป็นหมูเลยหรือไง” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวชะงักไป มองหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้
โม่ซวนซุนเลิกคิ้วขึ้นสูง น้ำเสียงเริ่มไม่เป็นมิตร “เมื่อกี้เจ้ารับปากข้าว่าอะไร จะผิดคำพูดอีกแล้วใช่มั้ย”
“เจ้าชนะก็ได้” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตัดสินใจว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก “จริงสิ เมื่อกี้ข้าได้ยินจากหยูเฮงว่าคนของเมืองโลกทมิฬส่งสาสน์สงครามมา เรื่องนี้จริงรึเปล่า พวกเขาจะทำอะไรน่ะ หรือว่าถ้าพวกเขาไม่ตายหมดจะไม่พอใจ”
“ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็มีแค่เป้าหมายเดียวเท่านั้น พวกเขาต้องการย้ายออกจากเมืองโลกทมิฬ อยากจะหาที่ดีๆไว้อาศัยอยู่”
“เรื่องนี้ข้าเข้าใจ แต่จำเป็นต้องสู้กันต่อเหรอ”
“เจ้าคิดว่าไม่จำเป็น แต่พวกเขาก็มีความคิดของพวกเขา ไม่ว่ายังไงก็ไม่ต้องใส่ใจเรื่องพวกเขาหรอก เรื่องนี้พวกผู้ใหญ่จะจัดการเอง”
“พวกเขาเตรียมจะออกรบเมื่อไหร่”
“ใกล้แล้ว อีก 3 วันให้หลัง” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้ยินเวลาก็กล่าวเรียบๆ “พวกเราก็ยังต้องเตรียมตัวให้ดี คนที่ออกรบครั้งนี้ต้องเป็นพวกยอดฝีมือของเมืองโลกทมิฬแน่ นี่ต้องเป็นศึกที่ดุเดือดอย่างแน่นอน”
“เป็นไปได้ คนที่ออกรบครั้งนี้อาจจะเป็นเหล่าหัวหน้ากลุ่มและเหล่าผู้อาวุโสของเมืองโลกทมิฬ”
“นอกจากพวกเขา คนอื่นๆในเมืองโลกทมิฬน่าจะตายกันไปเกือบหมดแล้ว ตาแก่พวกนี้เก็บไว้ทีหลังสุด ข้าว่าพวกเขาไม่ใช่แค่อยากจะมาสู้กับเราให้รู้แล้วรู้รอด เกรงว่าตั้งใจจะมาเจรจาด้วย”
“นี่ก็เป็นเรื่องจริง”
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เจ้ากินอิ่มแล้วหรือยัง ให้ข้ายกมาเพิ่มมั้ย”
“ไม่ต้องหรอก กินจนจุกแล้ว” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่ายหัว หันไปมองคนที่แม้แต่หนวดก็ไม่ได้โกน พูดอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าก็อยู่ในสภาพนี้อ่ะนะ โหล่ยโท่ยแบบนี้ไม่คิดจะล้างหน้าล้างตาหน่อยเหรอ”
“เมียจ๋า เจ้ามาล้างให้ข้าได้มั้ย”
“ไป๊ ไปไกลๆหน้าข้าเลย ข้าขี้เกียจจะรับใช้เจ้า”
ตอนที่ 505
TQF:บทที่ 505 อุบัติเหตุ พวกตาแก่มาเป็นฝูง (1)
เมื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยวปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน แต่ละคนก็อดบ่นนางไม่ได้ หวังว่าหลังจากนี้นางจะดูแลสุขภาพตัวเอง ไม่ทำให้คนอื่นเป็นห่วง
โดยเฉพาะคนเป็นแม่ทั้ง 2 ที่บ่นไม่หยุด
สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงจากทุกคน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรีบตอบรับไว้ด้วยรอยยิ้ม
วันที่ 2 มีแขกอันคุ้นเคยมาเยี่ยมเยียนที่บ้าน ลั่วจุนฮ่าวและกงซีหยวน และคนชราอีกคนที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่นางก็รู้สึกคุ้นเคยของใบหน้านั้นอยู่
ที่น่าแปลกใจก็คือคนชราผู้นี้ท่าทางละอายต่อนาง
แต่นางก็สามารถมองออกถึงฐานะที่แท้จริงของเขาได้ ซึ่งก็คือตาของนางนั่นเอง
ต้องบอกเลยว่าตาเฒ่าลั่วมาปรากฏตัวที่นี่ได้นั้นช่างน่าประหลาดใจเสียจริง
ตาเฒ่าลั่วเพิ่งเคยเห็นหลานสาวคนนี้เป็นครั้งแรก จากความรู้สึกแรกที่ได้พบ เขาบอกได้เลยว่าหลานสาวคนนี้ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง
แม้จะอยู่ในความสัมพันธ์ตาหลาน แต่ทั้ง 2 คนก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้า
ที่จริงตาเฒ่าลั่วไม่ได้ตั้งใจจะมาดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน แต่ทนคำขอของลูกชายและลูกสะใภ้ไม่ไหว และในขณะเดียวกันก็มีความอยากรู้อยากเห็นในตัวหลานสาวที่มหัศจรรย์คนนี้ด้วย จึงอยากมาดูให้เห็นกับตา
จึงได้มาปรากฏตัวต่อหน้านาง
ตอนนี้ตาหลานก็ได้พบกันแล้ว 2 พี่น้องลั่วหยูฉินและลั่วจุนฮ่าวก็มีท่าทีตื่นเต้นไม่น้อย กลัวว่า 2 ตาหลานนี้จะทะเลาะกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นคนอื่นก็คงจะเห็นเป็นเรื่องตลกแน่ๆ
ปฏิกิริยาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเรียบเฉยมาก นางเพียงมองเขาแว้บนึงเท่านั้นก็ทำเหมือนกับว่าไม่มีคนๆนี้อยู่ที่นี่ แม้ว่าจะเป็นญาติกัน แต่ในใจนางก็ไม่ได้รู้สึกถูกชะตากับเขานัก
ลั่วหยูฉินกลัวว่าท่านพ่อของตัวเองจะอึดอัด ขยับปากเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่ใช้สายตาตำหนิมองไปยังคนข้างๆ
เฉิงไป๋หยวนเข้าใจความหายของภรรยาตัวเองดี เขายิ้มก่อนจะหันไปพูดกับลูกสาว “เสี่ยวเสี่ยว ทำไมไม่เรียกท่านตาล่ะ”
ได้ยินคำของลูกเขย ตาเฒ่าลั่วจ้องมองนางด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความคาดหวัง ในใจก็ยังหวังว่าจะได้ยินนางเรียกตัวเองว่าท่านตา
อย่างไรซะก็เป็นหลานสาวแท้ๆของตัวเอง จะไม่คาดหวังให้ยอมรับตัวเองได้ไง
ไม่ใช่แค่เขาที่คาดหวัง ลั่วหยูฉินเองก็ทั้งคาดหวังและตื่นเต้น คอยดูปฏิกิริยาของลูกสาวตัวเอง
ภายใต้การจ้องมองจากทุกคน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวแอบถอนหายใจกับตัวเอง ไม่ว่านางจะมีความคิดเห็นอย่างไรกับเขา แต่ต่อหน้าทุกคนต้องให้เกียรติพ่อแม่ตัวเอง และต้องให้เกียรติตาเฒ่าคนนี้บ้าง จึงสบตาเข้ากับเขาและเรียกเบาๆ “คารวะท่านตา”
“ดี ดีๆ” ตาเฒ่าลั่วชื่นใจเป็นที่สุด เผยรอยยิ้มแห่งความดีใจ ในใจเขาไม่มีเรื่องให้เสียใจทีหลังแล้ว ไม่ว่าตอนนั้นจะถูกหรือผิด ตัวเองก็ได้รับการยอมรับจากนางแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว
โม่ซวนซุนที่เป็นหลานเขยก็ทักทายเขาเช่นกัน ตาเฒ่าลั่วยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ หลานเขยของเขาคนนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นคนธรรมดาซะที่ไหน
ลั่วหยูฉินวางใจได้ในที่สุด บนใบหน้ามีรอยยิ้มแห่งความสุข ตอนนี้นางพึงพอใจแล้ว
ทุกคนนั่งคุยสัพเพเหระอยู่ด้วยกัน ค่อยๆลืมเรื่องสงครามที่กำลังจะมาถึงไป ในห้องโถงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวนั่งคุยเป็นเพื่อนกับทุกคนในห้องโถงสักพักก็ถูกกงซีหยวนเรียกออกมา
“รีบลากข้าออกมานี่มีอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าพวกท่านใกล้จะแต่งงานกันแล้วน่ะ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอมยิ้มมองคนตรงหน้า
กงซีหยวนหน้าขึ้นสีแดง พูดอย่างเว้าวอน “ข้าไม่ได้รีบเหมือนพวกเจ้านะ ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าน่ะเลือกวันไว้ตั้งมากมาย ข้าจะรีบยังไงก็รีบไม่เท่าพวกเจ้าหรอก อิอิ”
พูดถึงตรงนี้นางอดหัวเราะไม่ได้
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองบนใส่นางอย่างไม่เป็นกุลสตรีนัก เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เหยียบย่ำความหวังดีของข้านะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกท่านไม่อยากจะรีบแต่งงาน ข้าเห็นท่านป้ากงแทบจะลากพวกท่านเข้าพิธีแต่งงานซะบัดเดี๋ยวนี้ ท่านยังกล้าเอาเรื่องพวกข้ามาล้ออีกนะ”
“ที่ข้าพูดมันเรื่องจริงนี่นา ไหนเจ้าลองบอกมาซิว่าท่านป้าทั้ง 2 เลือกวันดีไว้ให้พวกเจ้ากี่วัน” กงซีหยวนเถียง
“พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าว่าพวกท่านก็อายุไม่น้อยแล้ว ที่รีบน่ะควรเป็นพวกท่าน รีบๆแต่งงานกันเถอะ”
“พอแล้วๆ เราจะไม่พูดเรื่องนี้กัน” กงซีหยวนเขินเกินกว่าจะพูดเรื่องส่วนตัวแบบนี้ต่อ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มบางๆ “ครั้งนี้พวกท่านมาด้วยเรื่องอะไรกัน อย่าบอกนะว่าได้ยินเรื่องที่เมืองโลกทมิฬส่งสาสน์สงครามมาน่ะ”
“เรื่องนี้น่ะพวกข้าได้ยินแล้ว ก็ตั้งใจมาดูจริงๆนั่นแหละว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย อย่างไรซะนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ จุนฮ่าวบอกว่าเราจะทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ไม่ได้ ถึงได้กลับมารอฟังคำสั่งจากเจ้า”
“หืม ถือว่าพวกท่านตั้งใจดีแล้ว” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า มองนางอย่างมีความหมาย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีเรื่องอื่นแล้วจริงๆเหรอ”
“อืม ถือว่ามีแหละ แต่เรื่องพวกนี้จุนฮ่าวจะมาพูดกับเจ้าเอง ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง” กงซีหยวนพูดด้วยความลังเล
“เรื่องอะไร ทำไมเจ้าพูดตอนนี้ไม่ได้”
“ไม่ใช่แบบนั้น ข้ารู้สึกว่าให้จุนฮ่าวบอกเจ้าจะเหมาะกว่า เขาจะมาคุยกับเจ้าเรื่องนี้เร็วๆนี้แหละ”
ตอนที่ 506
TQF:บทที่ 506 อุบัติเหตุ พวกตาแก่มาเป็นฝูง (2)
“อะไรที่ว่าข้าเป็นคนพูดจะเหมาะกว่า” เสียงของลั่วจุนฮ่าวดังมาจากด้านหลังของ 2 สาว พวกนางหันไปมองพร้อมกันก็ได้เห็นร่างสูงโปร่งของลั่วจุนฮ่าว
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองคนที่เดินมา เลิกคิ้วขึ้น “ท่านน้า กลัวพวกเรานินทาท่านหรือ ทำไมถึงแอบฟังอยู่ด้านหลังล่ะ”
(TL:ผู้แปลคิดว่า ลั่วจุนฮ่าวสมควรเป็นน้า มากกว่าลุง ขออภัยการแปลก่อนหน้านี้)
“แอบฟังอะไร ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าข้าแอบฟัง ข้าฟังอย่างเปิดเผย พวกเจ้านั่นแหละที่มาคุยกันตรงนี้ ข้าไม่อยากจะได้ยินก็ไม่ได้”
“หืม ท่านน้า ท่านนี่คารมดีขึ้นเรื่อยๆเลยนะ อย่าบอกนะว่าน้าสาวของข้าสอนท่าน” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มมุมปาก มองเขาอย่างหยอกล้อ
“เสี่ยวเสี่ยว เจ้าพูดเหลวไหลอะไรน่ะ” กงซีหยวนหน้าแดงไปหมด เถียงด้วยความเขินอาย
“อิอิ มีคนสารภาพแล้ว”
“เสี่ยวเสี่ยว…” กงซีหยวนขบกรามแน่น ร้องขึ้นด้วยความเหมือนจะโกรธ ผู้หญิงที่รักโดนรังแกลั่วจุนฮ่าวก็ต้องช่วยอย่างแน่นอน “เสี่ยวเสี่ยว เมื่อกี้พวกเจ้าคุยอะไรกัน”
“ไม่ได้คุยอะไร ก็แค่อยากรู้ว่าท่านน้ามาทำไม มีเรื่องอื่นรึเปล่า” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถามเรียบๆ
“เอ่อ…” ลั่วจุนฮ่าวชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะหันไปเหล่คนข้างๆและเอ่ยเสียงทุ้ม “เสี่ยวเสี่ยว เรามีเรื่องให้เจ้าช่วยจริงๆ”
“จริงเหรอ เรื่องอะไรที่ต้องให้ข้าช่วยไหนท่านลองพูดมาซิ”
“เสี่ยวเสี่ยว เรื่องเป็นแบบนี้” ลั่วจุนฮ่าวมองนาง มีสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา “เสี่ยวเสี่ยว เจ้ากับท่านพ่อข้า…”
“เขา? เขาทำไมเหรอ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเห็นเขาจะพูดก็ไม่พูดก็พอจะรู้แล้วว่าเขามาด้วยเรื่องอะไร
นางยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เปิดปากเบาๆ “ท่านน้า ท่านจะไม่ให้ข้าโกรธเคืองท่านตาใช่มั้ย”
ลั่วจุนฮ่าวและกงซีหยวนสบตากัน ทั้ง 2 พยักหน้า ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่านางไม่ค่อยชอบคนชราทั้ง 2 ของตระกูลลั่วนัก
คราวที่แล้วท่านยายเสียหน้ากับนางไปไม่น้อย
“พวกท่านวางใจเถอะ ข้าไม่ไล่เขาไปหรอก” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่งสายตาปลอบโยนไปให้ ไม่ให้พวกเขารู้สึกลำบากใจ
แม้ว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวยังไม่ค่อยชอบตาเฒ่าลั่วนัก แต่ก็พอเข้าใจหลักการของเขาอยู่ ไม่ชอบก็ส่วนไม่ชอบ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยังต้องรักษาหน้าเขาไว้อยู่
ดังนั้นเมื่อกี้ตอนที่อยู่ต่อหน้าทุกคนจึงยอมเรียกเขา ไม่ให้เขาเสียหน้า
ตอนนี้ เห็นท่าทีท่านน้าที่จะพูดก็ไม่พูดก็เข้าใจบ้างแล้ว “ท่านน้า เรื่องที่ท่านจะพูดก็คือเรื่องเขาหรือ”
“ใช่แล้ว เสี่ยวเสี่ยว”
ลั่วจุนฮ่าวไม่เห็นนางทำสีหน้าอะไรก็แอบเบาใจลงเปราะนึง พูดต่อ “เสี่ยวเสี่ยว เมื่อก่อนน่ะท่านตาของเจ้าทำเกินไปจริงๆ จริงๆในใจเขาก็อยากให้ท่านพี่มีความสุขแหละ ด้วยความที่เขาคาดหวังกับท่านพี่สูง ถึ
ได้ผิดหวังกับทางเลือกของท่านพี่และเกิดการโต้ตอบที่รุนแรงแบบนั้น ที่จริงท่านพ่อน่ะรักท่านพี่มากนะ เสี่ยวเสี่ยว ครั้งที่แล้วที่พ่อแม่เจ้ากลับบ้านไป ท่านพ่อยอมขอโทษท่านพี่กับพี่เขยด้วยตัวเอง เสี่ยวเสี่ยว ข้าหวังจริงๆว่าเจ้าจะให้อภัยเขา”
ได้ยินว่าคนดื้อรั้นอย่างตาเฒ่าลั่วยอมขอโทษพ่อแม่ของตัวเองก็อดแปลกใจไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เห็นได้ว่าตาเฒ่าลั่วไม่ใช่คนเลวร้ายนัก
“เอาเถอะ ท่านน้าไม่ต้องคอยแก้ตัวให้เขาหรอก ว่ามาเถอะ ครั้งนี้เขามาด้วยเรื่องอะไร เห็นแก่หน้าของพวกท่าน อะไรที่ช่วยได้ข้าก็จะช่วย”
“เสี่ยวเสี่ยว ได้ยินคำนี้จากเจ้าข้าก็สบายใจแล้ว”
ลั่วจุนฮ่าวยิ้มออก “ที่จริงที่ท่านพ่อมาครั้งนี้หลักๆก็อยากจะมาดูดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนนี่แหละ อย่างไรซะนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาอยากทำ และก็ได้ยินข่าวด้วยว่าเมืองโลกทมิฬส่งสาสน์สงครามมา พวกเราทุกคนก็เป็นห่วงกันเลยมาดูด้วยว่าพอจะช่วยอะไรได้มั้ย แล้วก็วิทยายุทธของท่านพ่อยังติดอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับราชันย์เทพยุทธ์ ที่ท่านพี่เรียกเขามาก็หวังว่าเจ้าจะยอมช่วยเขา”
หลักๆก็คือปัญหาวิทยายุทธของเขานั่นล่ะ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า “เรื่องเล็กน้อยน่ะ ถึงเวลาก็ให้เขาบรรลุที่นี่แหละ”
“เสี่ยวเสี่ยว น้าขอบคุณเจ้านะ” ลั่วจุนฮ่าวดีใจ
“ท่านน้าจะเกรงใจไปทำไม คนอื่นข้ายังช่วย คนบ้านตัวข้ากลับไม่ช่วยได้ยังไง คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอา”
“ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้ม พอจะเดาออกว่าทำไมเขาต้องขอบคุณจึงไม่อยากจะยื้อกันที่ประเด็นนี้อีก
ข่าวเรื่องสาสน์สงครามถูกแพร่สะพัดไปทั่วผืนดิน ราวกับเดากันออกว่านี่จะเป็นศึกครั้งสุดท้าย คนที่ออกรบต้องเป็นพวกตาเฒ่าประหลาดของเมืองโลกทมิฬแน่ๆ
เท่ากับว่าอีกไม่กี่วันให้หลังนี้จะเกิดศึกมหากาฬที่สะเทือนพิภพขึ้น สายตาของเหล่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธจับจ้องไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนอีกครั้ง กับบางคนไปถึงที่เพื่อให้ได้เห็นสงครามสะท้านพิภพนี้กับตา
เหล่าผู้อาวุโสที่พากันมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนก็ยิ่งทำให้ที่นี่ครึกครื้นไปใหญ่
ผืนดินฉางไห่ วิหารสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด บนยอดเขาสักลูกมีหญิงสาวชุดแดงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าตำหนักถ้ำมาหลายวันแล้ว นางเฝ้ารออยู่นิ่งๆราวกับกำลังรอให้ใครบางคนมาปรากฏตัว
ผ่านไปอีกหลายชั่วยาม สายตาเย็นชาของหญิงสาวชุดแดงมีความเฝ้ารออยู่ในนั้น นางจับจ้องไปที่ตำหนักถ้ำอย่างไม่วางตา
ประตูตำหนักที่ปิดไว้ค่อยๆเปิดออก ชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้านาง หน้าตึงเครียดของหญิงสาวชุดแดงผ่อนคลายขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพ “อาจารย์ท่านออกจากฌานแล้ว”
“หยินเฟิ่ง ทำไมเจ้ามารอข้าที่นี่ล่ะ มาหาอาจารย์มีเรื่องอะไรรึเปล่า” ชายวัยกลางคนมองนางอย่างเอ็นดู
แม่นางหยินเฟิ่งยิ้มนิดๆ “ศิษย์อยากมาหา ไม่คิดว่าอาจารย์จะเก็บตัวอยู่ ท่าทางวิทยายุทธของอาจารย์จะสูงขึ้นอีกแล้ว”
“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องมายอข้าหรอก ออกจากปากเจ้าแล้วอาจารย์รู้สึกพิลึกพิลั่น นิสัยของเจ้าอาจารย์ยังไม่รู้จักดีหรือไง ว่ามาเถอะ ครั้งนี้มารอข้าที่นี่ตั้งหลายวันด้วยเรื่องอะไร” ชายวัยกลางคนเปิดโปงลูกศิษย์อย่างไม่เกรงใจ
——————————
TQF:บทที่ 507 อุบัติเหตุ พวกตาแก่มาเป็นฝูง (3)
หยินเฟิ่งหัวเราะด้วยความเขิน ก่อนจะรีบหุบรอยยิ้มบนใบหน้า เอ่ยเสียงเบา “ที่ศิษย์มาหาอาจารย์เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องให้อาจารย์ช่วย ขออาจารย์โปรดรับปากศิษย์ด้วย
“เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเรื่องอะไร จะให้อาจารย์รับปากได้อย่างไร บอกมาก่อนว่าเรื่องอะไร”
“อาจารย์ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่อยากให้อาจารย์มอบของวิเศษที่สามารถฉีกมิติออกได้”
“อะไรนะ” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าอยากได้ของวิเศษที่ฉีกมิติออกได้ เจ้าจะไปไหน เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”
“ไม่ได้เกิดอะไรขี้นหรอกอาจารย์ แค่ศิษย์อยากไปดูอะไรที่อีกผืนดินนึงสักหน่อย ดูว่าจะหาคนๆนึงเจอมั้ย” หยินเฟิ่งไม่ได้ปิดบัง บอกอาจารย์ของตัวเองไปตรงๆ
ชายวัยกลางคนมองลูกศิษย์ตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกใจ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร “ในเมื่อเจ้าต้องการของวิเศษอาจารย์ให้เจ้าได้ แต่เจ้าต้องรู้ว่าการไปอีกผืนดินหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่าย สามารถเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ทุกเมื่อ อีกอย่างเจ้าก็ไม่รู้ด้วยว่าสถานการณ์ที่ผืนดินนั้นเป็นอย่างไร ถ้าไม่ระวังอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งได้ เจ้าต้องไตร่ตรองให้ดี”
“ข้ารู้อาจารย์ แต่ข้าก็ต้องไปดู ไปหาเขาให้เจอ” หยินเฟิ่งกล่าวอย่างหนักแน่น
ชายวัยกลางคนรู้จักนิสัยของลูกศิษย์ตัวเองดี เรื่องที่ตั้งใจไว้แล้วจะต้องยืนหยัดจนถึงที่สุด ไม่ล้มเลิกง่ายๆ เขาจึงได้แต่หยิบของวิเศษชิ้นนึงออกมาให้นาง “อาจารย์เคารพการตัดสินใจของเจ้า ถ้าอยากจะทำก็ทำเถอะ เจ้าก็ระวังตัวด้วย อาจารย์รอเจ้ากลับมา”
“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณอาจารย์” หยินเฟิ่งรับกริชวิเศษมา ขอเพียงแค่ตวัดกริชนี้ในอากาศเบาๆก็สามารถฉีกมิติออกและไปสู่ผืนดินอื่นได้
ชายวัยกลางคนยิ้ม “ไปเถอะ ดูแลความปลอดภัยด้วย ทำเรื่องที่อยากจะทำให้เสร็จแล้วรีบกลับมาล่ะ”
รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่อาจารย์มีให้ตัวเอง หยินเฟิ่งพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อาจารย์ข้าจะรีบกลับมา” พูดจบก็หายตัวทะลุอากาศไป
ชายวัยกลางคนมองไปยังทิศทางที่ลูกศิษย์ตัวเองจากไป ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าศิษย์เอ๋ย เจ้าน่ะมีเคราะห์เรื่องความรัก ไม่รู้ว่าเรื่องดีหรือร้าย หวังว่าเจ้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย อย่าทำให้อาจารย์ผิดหวัง”
“ศิษย์น้องสอง เจ้าออกจากฌานแล้วมาที่ข้าหน่อย” เสียงคุ้นเคยดังอยู่ข้างหูของชายวัยกลางคน
เขายกสายตามองไปยังยอดเขาสูงสุดข้างหน้า ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเหยียบอากาศขึ้นไป
ในระยะร้อยลี้นี้ ยอดเขาลูกนี้เป็นเขาลูกหลักของเจ้าวิหารสวรรค์ เป็นที่พำนักของเจ้าโถง โดยปกติแล้วเวลามีเรื่องอะไรเหล่าผู้อาวุโสก็จะมาปรากฏตัวกันที่นี่
ชายวัยกลางคนมาถึงโถงโบราณบนยอดเขาสูงสุด ประตูเปิดอย่างเงียบเชียบราวกับต้อนรับการมาของเขา
“ศิษย์น้องสองมาแล้วหรือ นั่งสิ” มีชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้องโถง แม้เขาจะดูอายุยังน้อย แต่จริงๆก็อายุได้หลายพันปีแล้ว เจ้าวิหารสวรรค์นั่นเอง
เจ้าวิหารสวรรค์ผู้นี้เป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ 10 วิหารสวรรค์จื่อผู้โด่งดังแห่งผืนดินฉางไห่ ไม่มีใครสามารถสืบสานพลังของบรรพบุรุษได้ดีไปกว่าเขา ดังนั้นตำแหน่งเจ้าวิหารสวรรค์จึงดำรงโดยเขามาตลอด
ชายวัยกลางคนสบเข้ากับสายตาของเขา นั่งลงข้างๆอย่างเรียบๆ “ศิษย์พี่ใหญ่เรียกข้ามาไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร”
เจ้าวิหารสวรรค์ยิ้มนุ่มนวล “ยัยหนูหยินเฟิ่งออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ”
“ศิษย์พี่ใหญ่รู้อยู่แล้วยังจะแกล้งถาม”
“ท่าทางศิษย์น้องสองได้ทำนายดวงชะตาช่วงนี้ของนางแล้วใช่มั้ย ไม่รู้ว่าอาจารย์อย่างเจ้านี่คิดอะไรอยู่ ตามความเห็นของข้าไม่ควรให้นางออกไปจริงๆ”
“คนหนุ่มสาวก็มีความคิดของคนหนุ่มสาว ชะตาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน นางอยากจะเดินทางไหนก็เป็นทางเลือกของนางเอง และเป็นโชคชะตาของนางเอง ข้าไม่อยากจะไปตัดสินอะไรแทนนาง ให้นางไปเถอะ”
“ศิษย์น้องสอง เจ้าน่ะเป็นคนนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ของเจ้านี่โชคดีหรือโชคไม่ดี” เจ้าวิหารสวรรค์ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างไม่คิดอะไร “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเรียกข้ามามีเรื่องอะไร”
“เอ่อ…” เจ้าวิหารสวรรค์รู้ว่าเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ จึงสะกดความอยากเกลี้ยกล่อมไว้และตอบคำถามของเขา “ศิษย์น้องสอง เจ้าเก็บตัวอยู่ตลอดคงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ข้าตั้งใจเรียกเจ้ามาพูดคุยถึงเรื่องราวพวกนี้แหละ”
“หืม เรื่องอะไร หรือว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นที่ผืนดินฉางไห่อีกแล้ว”
“ไม่ใช่ที่อื่นเกิดเรื่องประหลาดหรอก ที่วิหารสวรรค์ของเราเนี่ยแหละที่เกิดเรื่อง”
“ที่พวกเรา?” ชายวัยกลางคนถามอย่างแปลกใจ ขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยจิตของตัวเองออกไปครอบคลุมพื้นที่ใกล้เคียงหลายร้อยลี้เอาไว้ ลองสัมผัสดูก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร จึงทอดสายตาไปมองคนข้างๆ
เจ้าวิหารสวรรค์เห็นสีหน้างุนงงของเขายิ้มออกมาอ่อนๆ “เจ้าน่ะสัมผัสไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ศิษย์พี่ใหญ่ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ชายวัยกลางคนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“บอกได้ว่าเป็นเรื่องดี 1 ปีก่อนเราพบว่ามีลูกศิษย์สืบสานจิตเทพของอาจารย์ปู่”
“อะไรนะ สืบสานจิตเทพ” ใบหน้าเรียบเฉยของชายวัยกลางคนเกิดสีหน้าตกใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านพูดจริงหรือ ลูกศิษย์ของพวกเราได้รับสืบสานจิตเทพอันสำคัญ”
“แน่นอน อย่างข้าจะหลอกเจ้ารึไง” เจ้าวิหารสวรรค์ท่าทีเรียบเฉย ไม่ได้ดูดีใจเท่าไหร่
“เรื่องดีจริงๆ นี่เป็นเรื่องดีจริงๆ”
ชายวัยกลางคนอดดีใจขึ้นมาไม่ได้ “ลูกศิษย์วิหารสวรรค์ของเราแม้จะไม่น้อย แต่คนที่ได้รับสืบสานจิตเทพน่ะไม่มีเลย ในที่สุดตอนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว นี่มันสุดยอดไปเลย”
“ดีก็จริง แต่น่าเสียดาย…” เจ้าวิหารสวรรค์มีสีหน้าเสียใจ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านหมายความว่ายังไง”
“ศิษย์น้องสอง เราพบลูกศิษย์ที่สืบสานจิตเทพจริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่ลูกศิษย์ของวิหารสวรรค์ที่นี่ ตอนนี้พวกเราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นลูกศิษย์วิหารสวรรค์จากที่ไหนที่ได้รับสืบสาน เราส่งลูกศิษย์ออกไปหาข่าวไม่น้อย แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย”
————————————-
TQF:บทที่ 508 อุบัติเหตุ พวกตาแก่มาเป็นฝูง (4)
“ไม่ใช่ลูกศิษย์ของที่นี่?”
ชายวัยกลางคนชะงักไป ข่าวนี้เกินกว่าที่เขาคาดไว้มาก เขาไม่รู้จะทำตัวยังไง
เจ้าวิหารสวรรค์พยักหน้า “ใช่แล้ว ไม่ใช่ลูกศิษย์ของที่นี่ พวกเรารู้แค่ว่าเป็นลูกศิษย์ของวิหารสวรรค์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นลูกศิษย์จากผืนดินไหน ศิษย์น้องสอง เจ้าเองก็รู้ว่าวิหารสวรรค์ของเรากระจายอยู่ทุกผืนดิน ไม่มีใครรู้ว่าลูกศิษย์คนนี้อยู่ผืนดินไหน”
“เช่นนี้ เราก็ดีใจกันเปล่าๆปลี้ๆน่ะสิ” ชายวัยกลางคนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พูดอะไรไม่ถูก
“จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างน้อยพวกเราก็รู้แล้วว่าวิหารสวรรค์ของเรามีผู้ที่รับสืบสานจิตเทพแล้ว พวกเราแค่ต้องใช้เวลาในการหาตัวเขาให้เจอแค่นั้น อย่างไรซะผืนดินฉางไห่ของเราก็สูงส่งกว่าผืนดินอื่น ถึงตอนนั้นเราจะรับเขาเข้ามา เขาต้องไม่ปฏิเสธแน่”
“แต่ว่า….”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรู้อยู่ว่าผืนดินเล็กถูกจำกัดไว้ด้วยกฎแห่งฟ้าดิน ถ้าลูกศิษย์คนนั้นอยู่ในผืนดินพวกนั้น เราจะรับเขากลับมาได้ยังไง นี่มันคงจะไม่ง่าย”
“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ 1 ปีก่อนข้าได้ทำนายดวงชะตาให้ลูกศิษย์คนนั้นแล้ว เขาจะมาปรากฏตัวที่ผืนดินฉางไห่ของเรา ส่วนจะปรากฏตัวได้ยังไงนั้นข้าไม่สามารถล่วงรู้ได้ ขอแค่เขามาปรากฏตัวก็เพียงพอสำหรับเราแล้ว”
“งั้นก็ดี” ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเราก็แค่รอให้เขามาปรากฏตัว ในที่สุดก็มีเรื่องให้พวกเราเฝ้ารอแล้ว”
“เฮ่ะๆ” เจ้าวิหารสวรรค์หัวเราะ “ศิษย์น้องสองพูดถูก จริงสิศิษย์น้องสอง เจ้าเพิ่งออกฌานมาคงไม่เก็บตัวอีกในเร็ววันใช่มั้ย”
“ศิษย์พี่ใหญ่มีเรื่องอะไรให้ทำรึเปล่า”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ตามความเห็นข้า หลายร้อยปีมานี้ศิษย์น้องสองแทบจะเก็บตัวอยู่ตลอด ไหนๆครั้งนี้ก็ออกฌานแล้วก็ออกไปข้างนอกสักหน่อย เผื่อจะเจอลูกศิษย์ที่พวกเรารอคอยและนำเขากลับมา”
“หาคน?”
ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วขึ้น “ข้าน่ะไม่ได้ออกไปข้างนอกมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่รู้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ผืนดินฉางไห่เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ก็ดีเหมือนกันศิษย์พี่ใหญ่ อีกสักพักข้าจะออกไปดูสักหน่อย ดูซิว่าจะหาลูกศิษย์ที่สืบสานจิตเทพคนนั้นเจอมั้ย”
“เหนื่อยหน่อยนะศิษย์น้อง”
“ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ต้องเกรงใจ แต่ว่า….” มีประกายอยู่ในแววตาของชายวัยกลางคน กล่าวยิ้มๆ “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไปพาเขากลับมา ถึงเวลาศิษย์พี่ใหญ่จะมาแย่งคนกับข้าไม่ได้นะ”
“เอ่อ เจ้าหมายความว่า…”
เจ้าวิหารสวรรค์เข้าใจทันที หัวเราะก่นด่า “ไอหนุ่มแก่เอ๊ย เจ้าเล่ห์อย่างกับจิ้งจอก เจ้าอยากรับเขาเป็นศิษย์ใช่มั้ยล่ะ”
“ไม่ว่าอย่างไรถ้าข้าเจอเขาจริงๆ ศิษย์พี่ใหญ่ห้ามแย่งนะ ถือว่าท่านรับปากแล้วนะ ข้าจะได้ไปหาเขาให้พบ”
“ได้ ไปเถอะ ลูกศิษย์เจ้าก็ศิษย์หลานของข้า ไม่มีอะไรต้องแย่ง เจ้าวางใจเถอะ”
“เรื่องนั้นก็ไม่แน่ ศิษย์พี่ใหญ่จำคำมั่นของตัวเองไว้นะ”
“เหอะๆ”
2 ศิษย์พี่น้องพูดคุยหัวเราะกันไปเรื่อย ไม่มีใครล่วงรู้ถึงเรื่องที่พวกเขาคุยกันได้
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน
พริบตาเดียวผ่านไปอีกหลายวัน ใกล้ฤกษ์สงครามเข้าไปเรื่อยๆ และตาเฒ่าที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ ไปไหนก็เจอแต่ตาเฒ่าเต็มไปหมด
หยูเฮงรับไม่ได้มาก นางส่ายหัว “นี่มันมีผลกับความสุนทรีต่อสายตาของข้ามาก มีแต่ตาแก่เพล่นพล่านอยู่เต็มไปหมด น่าอึดอัดซะจริง”
ไม่สนใจสีหน้าเจ็บปวดของเหล่าตาเฒ่า หยูเฮงกลับเข้ามิติและไม่ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอีก
แม้ว่าตาเฒ่าพวกนี้จะอยู่ระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์กันแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองได้อยู่ดี นอกจากจะถึงระดับปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์ถึงจะมีพลังมากพอ
ตาเฒ่าอยู่กันเป็นกลุ่มๆ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็ยอมรับว่ามีผลต่อความสุนทรีของสายตาจริงๆ แต่นางจะไม่ไปเผชิญกับเหล่าตาเฒ่าพวกนี้ก็ไม่ได้
มีเวลาแค่ 3 วันเท่านั้น จะไม่วางแผนศึกกับเมืองโลกทมิฬไม่ได้
ในโถงประชุมมีคนอยู่เต็มไปหมด มองไปก็มีแต่พวกตาเฒ่าที่บนหน้ามีแต่ริ้วรอย เฉิงเสี่ยวเสี่ยวลืมแค่ครึ่งตาฟังคำแนะนำจากทุกคน
ผู้เฒ่าหยิงเป็นประธาน ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ถูกถามขึ้นจนหมด
1 ชั่วยามผ่านไป เฉิงเสี่ยวเสี่ยวทนไม่ไหวอีกต่อไป ลืมตาขึ้นก่อนจะกวาดสายตาไปยังทุกคนด้วยแววตาเป็นประกาย ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่หยุดเรื่องที่คุยไว้และทอดสายตามาที่นาง
“คุณหนู มีอะไรจะแนะนำรึเปล่า” ผู้เฒ่าหยิงมองนางพร้อมถาม
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหล่มองเขาแว้บหนึ่ง ค่อยๆเอ่ยขึ้น “ข้าฟังทุกคนคุยกันมาครึ่งวัน ท่าทางไม่มีใครคิดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด”
เรื่องที่คิดไม่ถึง?
ทุกคนต่างหันไปมองหน้ากัน เห็นความแปลกใจและความงุนงงจากแววตาของอีกฝ่าย
ผู้เฒ่าหยิงชะงักไป ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “คุณหนู เรื่องสำคัญอะไร โปรดบอกพวกเราด้วย”
“ที่ผ่านมาที่เราไปประมือกับพวกเขาก็ล้วนเป็นพวกของเมืองโลกทมิฬที่บุกเข้ามา ทำให้แต่ละเมืองของเราอลหม่านไปหมด ประชาชนเดือดร้อน ขณะเดียวกันก็ทำลายไปหลายพื้นที่ ครั้งนี้ทุกคนคงคาดการณ์กันได้ว่าตาแก่ของเมืองโลกทมิฬต้องลงมือเอง จะนำพาซึ่งการทำลายล้างขนาดไหนเชื่อว่าพวกท่านก็รู้ดี หรือว่าพวกท่านจะไม่วางแผนเรื่องนี้หน่อยเหรอ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกล่าวเรียบๆ
ทุกคนถึงบางอ้อทันที คณบดีแห่งสำนักรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “คุณหนูพูดถูก ศึกครั้งนี้อาจจะสร้างความเสียหายให้พวกเรามากขึ้นกว่าเดิม ข้าคิดว่าอย่าให้พวกเขาเข้ามาจะดีที่สุด พวกเราเข้าไปรบกับพวกเขาในเมืองโลกทมิฬเลยจะดีกว่า อย่างไรซะพวกเขาก็เป็นฝ่ายส่งสาสน์สงครามมา พวกเราเข้าไปในเมืองโลกทมิฬก็ไม่ถือว่าผิด”
“ถูกต้อง อย่างไรซะเมืองโลกทมิฬก็ไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีกแล้ว ถึงเวลาสู้กันจะไปทำลายอะไรเข้าก็ไม่น่าเสียดาย แต่พื้นที่ในแต่ละเมืองของเราเป็นที่ที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดี จะทำลายแบบนี้ไม่ได้ ไม่งั้นอีกไม่นานก็จะเกิดที่แบบเมืองโลกทมิฬขึ้นอีก”
“เมื่อก่อนเป็นพวกเขาที่มาถึงที่ ครั้งนี้ตาพวกเราบ้าง นี่สิเรียกว่าบุกมาบุกกลับ ไอพวกชั่วนั่นจะได้ไม่ทำพิษบนที่ของพวกเรา พวกเขาจะตายก็ไปตายในที่ของตัวเอง”
“ถูกต้อง ครั้งนี้กลุ่มเทียนยีก็คงจะใช้พิษ ถ้าให้พวกเขามาอยู่ในที่ของเราอาจจะเกิดดินแดนมรณะขึ้นก็ได้ ครั้งนี้จะให้พวกเขาเข้ามาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นประชาชนจะเดือดร้อนกว่านี้”
“ถ้าถามข้าครั้งนี้ล้างบางพวกเขาที่เมืองโลกทมิฬให้หมดเลยก็ดี อย่างไรซะพวกนั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไร สมควรตายอยู่แล้ว”
“…….”
ทุกคนต่างพากันพูดขึ้น พวกเขาเข้าใจถึงความหนักหนาของเรื่องนี้ ล้วนไม่สนับสนุนให้ผู้ฝึกตนวิถีมารเข้ามา
ปัญหานี้ถูกแก้ไขไป ผู้เฒ่าหยิงถามต่อด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู มีปัญหาอื่นอีกใช่หรือไม่”
“อีกปัญหาหนึ่ง พวกเราจะล้างบางคนของเมืองโลกทมิฬตั้งแต่แก่ยันเด็กน่ะเป็นไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ทุกคนควรจะเลือกที่ออกมาสักที่ให้คนแก่และเด็กจากเมืองโลกทมิฬอยู่รึเปล่า”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวโยนปัญหามาอีกข้อ
ทุกคนได้ยินปัญหานี้แตกฮือกันทันที
ปัญหานี้สำคัญมาก ไม่รู้ว่าเมื่อกี้ทุกคนตั้งใจรึเปล่าที่ไม่มีใครพูดถึงเลย ตอนนี้ถูกยกออกมาแล้วก็ต้องเผชิญมัน
แน่นอนผู้ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีก็คือราชวงศ์จากอีก 3 เมือง พวกเขารู้ว่าจำเป็นต้องแบ่งพื้นที่ให้คนของเมืองโลกทมิฬได้ตั้งรกราก
ผู้เฒ่าหยิงเห็นปฏิกิริยาจากทุกคน แล้วหันไปเหล่สีหน้าของคุณหนูตัวเอง ยิ้มออกมาอย่างพิลึกพิลั่น
——————————-
TQF:บทที่ 509 ไม่มีค่าพอให้แค้น (1)
ปัญหาสำคัญก็ต้องเป็นเรื่องที่อาศัยของเมืองโลกทมิฬ
ในใจของ 3 ราชวงศ์รู้กันในใจดีว่าปัญหานี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข แต่จะแบ่งที่ตรงไหนไป ในหัวของพวกเขามีความคิดหลายอย่าง แต่ไม่มีใครในพวกเขายอมพูดออกมาก่อน สถานการณ์จึงเงียบสงัด
ส่วนคนที่เหลืออยู่ พวกเขามาจากหลากหลายอิทธิพล เรื่องของการแบ่งพื้นที่พวกเขาก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้ ทุกสายตาจึงตกไปอยู่ที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยว รอให้นางเอ่ยปาก
เห็นปฏิกิริยาของทุกคนแล้วเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเข้าใจดีว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ ขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าแต่ละราชวงศ์วางแผนอะไรกันอยู่
คิดไปคิดมาจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ตามความเห็นข้า ไม่ว่าจะให้คนของเมืองโลกทมิฬไปไว้ที่ไหน เมืองไหน ก็ไม่ยุติธรรมกับพวกเขาอยู่ดี เพื่อจะได้แก้ปัญหานี้ ข้าอยากให้ทุกคนเสนอที่ที่ทุกคนยอมรับกันได้ จะให้ดีที่สุดควรเป็นเขตชายแดนของทั้ง 4 เมือง หรือก็คือที่ที่ไม่อยู่ใต้การปกครองของพวกเรา ส่วนจะเป็นตรงไหนทุกคนสามารถเสนอกันได้ หวังว่าทุกคนจะเลือกที่ที่เหมาะสม ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้ อย่าทะเลาะหรือไม่พอใจกันด้วยเรื่องนี้อีก”
ความหมายถูกสื่อออกอย่างชัดเจน สถานที่ก็เป็นที่ยอมรับได้ของทุกคน รัชทายาทแห่งอาณาจักรเฟิงหลิงยืนขึ้นพร้อมประสานมือ “คุณหนู พวกเราจะทำตามที่บอก”
“พวกเราก็เหมือนกัน ทุกคนเลือกที่มา พวกเราสนับสนุนหมด”
“พวกเราก็พร้อมจะสนับสนุน คุณหนูตัดสินใจได้เลย”
รัชทายาทของอีก 2 เมืองกล่าวบ้าง
ในใจของพวกเขารู้กันดีว่าให้คนของเมืองโลกทมิฬไปอยู่ขอบชายแดนเป็นที่ที่ดีที่สุดแล้ว พวกเขายอมรับได้จากใจจริง
“ดี ในเมื่อทุกคนยอมรับได้งั้นเราก็ให้พวกเขาอยู่แถบชายแดนนั่นแหละ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า “หลังจากนี้เราจะหารือกันเรื่องการออกรบในอีก 3 วันกับเมืองโลกทมิฬ ทุกคนมีความคิดเห็นอย่างไรเสนอมาได้เลย
“คุณหนู ครั้งนี้เราเตรียมส่งไปกี่คน” ผู้อาวุโสฉินถาม
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหันมองเขาก่อนจะใช้ความคิด “ครั้งนี้เราต้องคัดคนที่จะส่งไป เรื่องจำนวนไม่เกี่ยว คู่ต่อสู้ของเราครั้งนี้ไม่ธรรมดา ทุกคนที่อยู่ที่นี่เกรงว่าจะต้องออกโรงกันหมด หวังว่าทุกคนจะเตรียมใจไว้ด้วย ส่วนคนอื่นที่เหลืออาจจะมีส่งออกไปบ้าง เพื่อคอยตรวจตราตามแต่ละเมืองไม่ให้มีผู้ฝึกตนวิถีมารแอบอยู่ในฝูงชนได้ ขณะเดียวกันฟื้นฟูหัวเมืองที่กลายเป็นสนามรบไปให้ดี พยายามให้ชาวบ้านได้กลับมามีชีวิตสงบสุขอีกครั้ง เรื่องนี้ให้เจ้านิกายฉินและเจ้าเขาจี้ไปทำ”
“ขอรับ คุณหนู”
“คุณหนู พวกเราเข้าใจ”
ทั้ง 2 ผู้เฒ่ารับภารกิจไว้และทุกคนหารือเกี่ยวกับปัญหาอื่นๆต่อ
หลายชั่วยามผ่านไป ในที่สุดเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็สลัดเรื่องงี่เง่าพวกนี้ออกไปได้ กลับมาสู่ที่พักก็เจอลูกศิษย์แก่เฒ่าของตัวเอง เฟิงเซียวจื่อ
“อาจารย์ ท่านทำธุระเสร็จแล้วหรือ ลูกศิษย์ขอถามคำถามอาจารย์สักหน่อยได้มั้ย” เฟิงเซียวจื่อถามด้วยสีหน้าคาดหวัง
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหยุดฝีเท้าลง เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ตั้งแต่ที่เขามาปรากฏตัวที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนตัวเองก็แทบไม่ได้เจอหน้าเขาเลย เรียกได้ว่าไม่ได้ชี้แนะอะไรเขาเลย ส่วนเขาได้รับตำราฝึกสัตว์อสูรจากหยูเฮงดีใจราวกับได้ของล้ำค่า ตั้งใจเรียนรู้ในทุกๆวัน ในที่สุดวันนี้ก็ปรากฏตัวมาหานาง
ในใจของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์ตามแบบแผนเช่นนั้น สิ่งที่จะสอนเขาได้จริงๆนั้นมีไม่มาก เหล่าสัตว์ศักสิทธิ์ของนางก็มีสัญญาผูกมัดในมิติอยู่ ไม่จำเป็นที่นางจะต้องทุ่มเทกายใจไปฝึกสัตว์อสูรเหล่านั้น
แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ทำอะไรไม่ได้กับความรั้นของเฟิงเซียวจื่อ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ อดหัวเราะไม่ได้ก่อนจะเอ่ย “ได้ เราไปนั่งกันที่ห้องรับแขกกันดีกว่า เรื่องใดที่ข้ารู้ข้าจะบอกเจ้า”
“ขอรับ ขอบคุณท่านอาจารย์” เฟิงเซียวจื่อดีใจเป็นอย่างมาก มีรอยยิ้มเบิกบานอยู่บนใบหน้า
หลังจากที่อาจารย์และศิษย์เข้าไปในห้องรับแขกแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็คอบตอบคำถามกับสิ่งที่เฟิงเซียวจื่อสงสัยและไม่เข้าใจ
อันไหนที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้นางก็จะบอกเขา ที่ไม่รู้ก็จะเรียกหยูเฮงมาตอบ สุดท้ายแล้วลูกศิษย์เฒ่าคนนี้พอใจมากและดีใจมาก
เมื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกลับมาที่ตำหนักเถาวัลย์หยกก็เห็นโม่ซวนซุนยกของอร่อยมาให้อีกแล้ว
ช่วงนี้อาหารการกินของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเขาเป็นคนจัดการเองทั้งหมด และทุกมื้อจะมาตรงเวลาเป๊ะ ไม่ว่าจะทำอาหารอร่อยมาเยอะเท่าไหนก็จะบังคับนางให้กินจนหมด ห้ามเหลือทิ้งเด็ดขาด
ในเวลาไม่กี่วัน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกว่าตัวเองอ้วนขึ้น ถ้าบำรุงขนาดนี้ต่อไปเรื่อยๆต่อให้นางไม่อยากกลายเป็นคนอ้วนก็คงไม่ทันแล้ว
เห็นว่าเป็นของตุ๋นอีกแล้ว นางก็หมดคำจะพูด
โม่ซวนซุนเห็นสีหน้านางก็รู้ได้ทันทีว่านางคิดอะไรอยู่ รีบเอ่ยขึ้น “อย่าคิดจะปฏิเสธ เดี๋ยวต้องรีบไปจัดการเรื่องของเมืองโลกทมิฬอีก ถึงเวลาเจ้าก็ยุ่งจนไม่มีเวลาพัก ตอนนี้ตอนกินเยอะๆหน่อยจะได้ไม่ผอมจนสลบไปอีก”
“เว่อกินไปรึเปล่า” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเม้มปาก แต่ก็ต้องเตรียมกินของตุ๋นให้หมด
ถ้าไม่กินละก็เขาต้องบ่นอีกเป็นครึ่งวันแน่ น่ารำคาญจะตาย
โม่ซวนซุนมองนางที่กินซุปอยู่ บนใบหน้าหล่อเหลาระบายไปด้วยรอยยิ้ม ดีใจถึงที่สุด
“เจ้ากินอะไรมาหรือยัง” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถามขึ้นหลังจากที่กินเสร็จ
“กินมาแล้ว ข้าไม่ปล่อยให้ตัวเองหิวหรอก”
เก็บถ้วยขึ้น โม่ซวนซุนพูดอีก “พวกตาแก่นั่นคุยกันว่าอย่างไรบ้าง ไม่ได้มีอะไรลำบากเกินไปใช่มั้ย”
“ยังดี ไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขลำบากอะไรนัก” นึกถึงเรื่องที่ประชุมกันไป เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงมากนัก อย่างไรซะที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนก็มีก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์อยู่ไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่อยู่จุดสูงสุดของระดับจักพรรดิ์เทพยุทธ์
ด้วยคนเหล่านี้จะเอาชนะเมืองโลกทมิฬไม่ใช่เรื่องยากอะไร
โม่ซวนซุนพยักหน้าเบาๆ “ครั้งนี้หลังจากที่สงครามจบลงแล้วถือว่าสงบได้จริงๆ เสี่ยวเสี่ยว ข้าว่าจะตามไปดูหน่อย เจ้าล่ะ”
“เจ้าจะไปด้วย?
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวแปลกใจนิดหน่อย “ไปก็ดี พวกตาแก่ที่เมืองโลกทมิฬน่ะไม่น่าไว้ใจหรอก เราไปดูด้วยกันก็ไม่เลว”
——————————–
TQF:บทที่ 510 ไม่มีค่าพอให้แค้น (2)
“เสี่ยวเสี่ยว เจ้าหมายความว่าเจ้าก็จะไป?”
“ใช่ ศึกครั้งสุดท้าย เราไปดูด้วยกัน”
“เรื่องนี้….”
โม่ซวนซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เสี่ยวเสี่ยว ให้ข้าออกโรงเองก็จัดการได้แล้ว เจ้าอยู่ที่บ้านนี่แหละ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”
“ไม่ ครั้งนี้ข้าอยากไปดูหน่อย”
“ทำไมล่ะ”
มองคนที่มีสีหน้าแน่วแน่ โม่ซวนซุนถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่รู้สิ สังหรณ์ใจว่าศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดา อาจจะมีเรื่องอย่างอื่นที่เราคาดไม่ถึงก็ได้”
“เรื่องที่คาดไม่ถึง?”
โม่ซวนซุนเลิกคิ้ว เขารู้ว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่พูดอะไรแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เกรงว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นจริงๆ
“เสี่ยวเสี่ยว เจ้าจะ…”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว ตัดสินใจแล้วว่าจะไปก็คือจะไป”
“งั้นก็ได้ มะรืนเราไปด้วยกัน”
“ได้”
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนเริ่มรวบรวมไพร่พล ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธชุดแรกออกเดินทางไปแล้วภายใต้การวางแผนของผู้เฒ่าหยิง บุกเข้าไปในเมืองโลกทมิฬเพื่อสู้กับผู้ฝึกตนวิถีมาร
ตกกลางคืน มีแขกไม่ได้รับเชิญมาที่ตำหนักเถาวัลย์หยก
เห็นการมาของเขาเฉิงเสี่ยวเสี่ยวชะงักไป ก่อนจะรีบกลับมามีท่าทีเรียบเฉยตามปกติ แต่ไม่ได้เป็นฝ่ายทักทายก่อน
ตาเฒ่าลั่วเห็นปฏิกิริยาของนางเหมือนกับที่คาดการณ์ไว้ เขาย่างก้าวเข้าไปในศาลา นั่งลงตรงหน้าเฉิงเสี่ยวเสี่ยว
“เสี่ยวเสี่ยว ข้าเรียกเจ้าแบบนี้ได้มั้ย” ไม่รู้ทำไม อยู่ต่อหน้าหลานสาวคนนี้แล้วตาเฒ่าลั่วไม่สามารถวางตัวเหนือกว่าในฐานะท่านตาได้เลย กลับมีท่าทีอ่อนโยน ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องมาเห็นคงนึกว่าเป็นตาหลานที่สนิทกันมาก
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองเขาแว้บนึงก่อนจะกล่าวเรียบๆ “แล้วแต่”
“งั้นก็ดี” ตาเฒ่าลั่วยิ้ม “เสี่ยวเสี่ยว ไม่คิดว่าพริบตาเดียวเจ้าก็โตแล้ว ไม่เพียงแต่ฉลาดเฉลียว หน้าตาก็ยังสะสวยอีกด้วย เสี่ยวเสี่ยว ข้าขอบคุณเจ้านะ ที่เจ้ายอมปล่อยวางเรื่องในอดีต และไม่ถือโทษโกรธกัน เจ้าช่วยเหลือพวกเราไว้เยอะจริงๆ ข้าจะจำไว้อยู่ในใจเสมอ”
“ไม่จำเป็น ท่านรู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ข้าก็แค่ช่วยท่านน้าเท่านั้น ไม่ได้เป็นเพราะท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า”
“ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ช่วยไปแล้ว ข้าก็ต้องขอบคุณ” ตาเฒ่าลั่วไม่ใส่ใจน้ำเสียงเย็นชาของนาง พูดต่อ “เดี๋ยวก็ต้องไปออกรบกับเมืองโลกทมิฬแล้ว เสี่ยวเสี่ยว ต้องการให้ข้าไปด้วยมั้ย”
“เรื่องนี้ให้ผู้เฒ่าหยิงเป็นคนจัดการ ถ้าท่านอยากไปก็ไปบอกผู้เฒ่าหยิง” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพูดอย่างไม่ใส่ใจ ในใจยังรู้สึกไม่ค่อยอยากเผชิญหน้ากับเขา
ตาเฒ่าลั่วจ้องมองนางอย่างตั้งใจ อดถามคำในใจออกไปไม่ได้ “เสี่ยวเสี่ยว เจ้ายังแค้นข้าอยู่ใช่รึเปล่า”
“แค้นท่าน…”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ว่าทำไมเขาถามคำถามแบบนี้ขึ้นอีก สีหน้าเข้มขึ้นนิดหน่อย “ทำไมต้องแค้นท่านด้วย ท่านมีอะไรที่คุ้มค่าที่จะให้ข้าแค้น ท่านมีชีวิตดีๆของท่าน ข้ามีชีวิตลำบากของข้า นี่มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องแค้น ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องทุ่มเทแรงใจไปแค้นคนอื่น”
“….” ตาเฒ่าลั่วยิ้มเฝื่อนๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกดี ที่จริงเขาตั้งใจจริงๆที่จะคุยกับหลานสาวให้เข้าใจ ทำให้สิ่งบาดหมางในใจหายไป
แต่ว่า….
ในเวลานี้โม่ซวนซุนกลับเจอเข้ากับน้องชายว่าที่ภรรยา เฉิงเจิ้งหยวน
“พี่เขย เตรียมจะไปออกรบกับเมืองโลกทมิฬจริงรึเปล่า ท่านพาข้าไปดูด้วยสิ ได้มั้ย” เฉิงเจิ้งหยวนมองเขาด้วยใบหน้าคาดหวัง
“เป็นไปไม่ได้” โม่ซวนซุนปฏิเสธแบบไม่แม้แต่จะคิด ล้อเล่นรึไง ต้องไปประมือกับพวกตัวประหลาดจากเมืองโลกทมิฬ จะให้พาตัวถ่วงไปด้วยได้อย่างไร หาเรื่องให้ทรมานตัวเองชัดๆ
เฉิงเจิ้งหยวนอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้มาก จะยอมพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร
“ไม่ได้เจิ้งหยวน เจ้าเด็กเกินไป สงครามครั้งนี้ไม่ได้ง่ายแบบที่เจ้าคิด เจ้าไปฝึกฝนให้ดีก่อน”
“พี่เขย ท่านรังแกคนหรือไง ข้าจะยังเป็นเด็กอยู่ได้ไง ข้าบรรลุนิติภาวะแล้วชัดๆ ทำไมข้าจะเข้าร่วมไม่ได้”
“เจ้า…”
ความดื้อรั้นของน้องคนนี้โม่ซวนซุนเองก็รู้สึกแล้ว อดปวดหัวไม่ได้ เจ้าเด็กนี่ไม่ยอมง่ายๆแน่
สุดท้ายเขาจะออกคำสั่งอย่างช่วยไม่ได้ “อยากไปก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ข้าจะกดระดับวิทยายุทธลงถึงราชันย์เทพยุทธ์เพื่อประมือกับเจ้า ถ้าเจ้าสามารถกันการโจมตีของข้าได้ถึง 10 ท่า ข้าก็จะพาเจ้าไป แต่ถ้าเจ้าไม่สามารถรับไหวเจ้าก็ต้องเป็นเด็กดีฝึกฝนตัวเองอยู่ที่นี่”
“ได้ ข้ารับปาก” เฉิงเจิ้งหยวนรีบรับปากโดยไม่ต้องคิด
เพราะเขาอยากจะหายอดฝีมือมาประมือด้วยตั้งนานแล้ว จะได้ฝึกความไวของปฏิกิริยาด้วย
“เริ่ม…”
โม่ซวนซุนตะโกนขึ้น ลมปราณของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
————————————-
TQF:บทที่ 511 ไม่มีค่าพอให้แค้น (3)
เฉิงเจิ้งหยวนประสานมือ ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่แบบนี้ไม่ให้เสียมารยาท เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ดูอยู่ไกลๆมีรอยยิ้มอยู่ในแววตา
“พี่เขย ขออภัยด้วย…” พูดจบเฉิงไป๋หยวนก็ไม่ได้อิดออด ทุ่มฝ่ามือไปที่หน้าอกของโม่ซวนซุนอย่างแรง
ตู้มม…
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น โม่ซวนซุนและเฉิงเจิ้งหยวนชนกันด้วยกำปั้น ร่างของเฉิงเจิ้งหยวนถอยกรูดไปเรื่อยๆ สีหน้าหม่นหมองขึ้นไม่น้อย
“พี่เขย ท่านแน่ใจนะว่าไม่ได้หลอกข้า ข้าดูยังไงก็ไม่ใช่วิทยายุทธระดับราชันย์เทพยุทธ์ เก่งเกินไป” เฉิงเจิ้งหยวนไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่ ค้นพบว่าตัวเองกับพี่เขยไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันเลย
โม่ซวนซุนยังคงมีท่าทีเรียบๆสบายๆ ไม่ได้สนใจกับความตกใจของอีกฝ่าย ราวกับกำลังกินลมชมวิวยังไงอย่างงั้น ให้ความรู้สึกเดาไม่ออก
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ยอมแพ้หรอก” เฉิงเจิ้งหยวนกัดฟัน จากเดิมที่แอบดีใจกับการอยู่ระดับราชันย์เทพยุทธ์ แต่ตอนนี้เมื่อได้ประมือกับพี่เขยคนนี้ก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่ธรรมดา
“ข้าไม่ยอมแพ้หรอก…”
เฉิงเจิ้งหยวนตะโกนลั่น ใส่หมัดเข้าไปอีก ลมหมัดอันแข็งกร้างทำให้คนอื่นๆตกใจไปตามๆกัน
ใส่หมัดเหมือนๆกัน แต่ความรู้สึกที่ออกมาราวกับกำลังเล่นอยู่ โม่ซวนซุนใส่หมัดไปอย่างเบาหวิว เฉิงเจิ้งหยวนกลับรู้สึกถึงอันตราย
รอยกำปั้นของโม่ซวนซุนทะลุอากาศออกมา อากาศแหลกสลายไปเรื่อยๆ เฉิงเจิ้งหยวนจำต้องถอยกลับ
หลังจากที่ใช้เพียงหมัดเดียวทำให้อีกฝ่ายถอยไปได้เขาก็หายตัวไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายทันที ใส่หมัดออกไปโดยไม่ให้ตั้งตัว “หมัดระเบิดภูเขา”
บนใบหน้าของเฉิงเจิ้งหยวนมีความตกใจอีกครั้ง ก่อนจะมีแววตาแข็งกร้าว “หมัดกลืนกินความมืดมิด”
แสงสีดำขนาดใหญ่เสมือนพุ่งออกมาจากกำปั้นกลายเป็นกำปั้นดำ มีพลังลมปราณประหลาดและทำให้คนอื่นใจสั่นอยู่รอบๆ
แสงสีดำปะทะเข้ากับรอยหมัดระเบิดภูเขา
ทั้ง 2 อย่างปะทะเข้าด้วยกัน หมัดสีดำโจมตีเข้ามาราวกับมังกรดุร้าย
แต่โม่ซวนซุนก็ยังคงเรียบเฉย หมัดของเขาส่งเสียงแหลกสลายออกมาไม่หยุดก่อนจะระเบิดออก มีลมปราณแข็งแกร่งกระจายไปทุกทิศทาง ร่างของเฉิงเจิ้งหยวนกระตุกอย่างหนักก่อนจะรีบล่าถอยไป
ตู้มมม….
หน้าของเฉิงเจิ้งหยวนซีดเผือก ถอยไปหลายก้าว ในหัวดังอื้อไปหมด ทุกอย่างตรงหน้าหายไปเหลือแค่หมัดมหึมาแต่เลื่อนลอย
ร่างของเขากระตุกและถอยหลังไป ประกายแห่งความแข็งกร้าววูบขึ้นในตา ในใจไม่ยอมแพ้กระโดดขึ้นโจมตีทันทีพร้อมตะโกนขึ้น “นี่ท่าที่ 3 แล้ว ยังเหลืออีก 7 ท่า”
“วางใจเถอะ ขอแค่เจ้ารับไหว เจ้าจะได้การโจมตีจากข้าไป 10 ท่าแน่ๆ” โม่ซวนซุนตอบพลางยิ้มเบาๆ
ขณะนั้น 2 มือของเฉิงเจิ้งหยวนเริ่มหมุนไม่หยุดทำให้เกิดลมขึ้น แสงประกายหนึ่งแว้บไป ก่อนจะมีพลังภายในพันและหมุนรอบตัวเขา แต่ละรอบแห่งการหมุนก็ขยายใหญ่ขึ้น 1 เท่า
“น่าสนใจนี่ แต่ยังไม่พอ เจิ้งหยวน เจ้าต้องป้องกันให้ดีนะ”
“ข้าต้องทนได้ถึง 10 ท่าแน่ๆ ข้าจะไปเมืองโลกทมิฬ”
ขณะนี้เฉิงเจิ้งหยวนที่เหงื่อไหลเต็มตัวยังไม่ยอมแพ้ โจมตีต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวใช้กำปั้นเดี่ยวใช้พลังฝ่ามือ เดี๋ยวรุกเดี๋ยวรับ สู้กันสนุกสุดๆ
———————————-
TQF:บทที่ 512 เดินทางด้วยกัน กำจัดผู้ฝึกตนวิถีมาร (1)
2 หนุ่มหล่อเยาว์วัยต่อสู้กันนี่เป็นอาหารตาชั้นเลิศจริงๆ
รูปร่างเพรียวบาง ท่าทางพลิ้วไหว บารมีแรงกล้า การขยับตัวแต่ละครั้งก็สร้างความสุนทรีแก่การมอง
เหล่าทหารยามและสาวใช้ที่ดูอยู่ไกลๆต่างมีท่าทีเคลิ้มฝัน ลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน
ตู้มม
ภายใต้สายตาของทุกคน เฉิงเจิ้งหยวนกระเด็นไปด้วยพลังฝ่ามือ ร่างของอีกคนที่เป็นคนเขวี้ยงเขาออกไปพุ่งไปรับตัวเขาไว้อย่างรวดเร็ว
จะผลักออกไปหรือจะช่วยไว้ก็เกิดขึ้นด้วยกันในพริบตา โม่ซวนซุนขยับร่างกายอย่างสง่า
“พี่เขย ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านเลย” เฉิงเจิ้งหยวนเอ่ยอย่างเจ็บใจ
โม่ซวนซุนหัวเราะพลางตบบ่าเขาเบาๆ “เจิ้งหยวน อายุเจ้ายังน้อย ยังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้จริงเท่าไหร่ เจ้าต้องฝึกฝนตัวเองให้มาก รอให้เจ้าอายุเท่าข้าแล้วก็ไม่ด้อยกว่าข้าหรอก”
“อื้ม ข้ารู้ ข้าไม่เคยผ่านการสู้รบแบบเอาเป็นเอาตายมาก่อน ประมือกับคนกันเองไม่มีประโยชน์เท่าไหร่หรอก” เฉิงเจิ้งหยวนรู้เรื่องของตัวเองดี เขาหัวตกลง
“เอาหน่า เจ้าก็ไม่ต้องท้อแท้ไปหรอก วันหลังเจ้ายังมีโอกาส แต่ครั้งนี้ไม่ได้ คนที่พวกเราต้องเจอน่ะมีแต่ตัวประหลาดทั้งนั้น ต่อหน้าพวกเขาแม้แต่ข้ายังไม่กล้าประมาท ด้วยระดับวิทยายุทธและประสบการณ์ของเจ้าไม่เหมาะจะไปเมืองโลกทมิฬจริงๆ”
“ข้ารู้”
เฉิงเจิ้งหยวนตอบเซ็งๆ เมื่อกี้เขาลำบากมากกว่าจะกันได้ 7 ท่า ครั้งนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะได้ไป เขาคาดหวังไว้เยอะก็ต้องผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา
คนเราต้องรู้จักเติบโต และต้องเผชิญได้กับทุกๆอย่าง โม่ซวนซุนไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ตบบ่าเขาแล้วก็เดินจากไป
วันที่ 10 มาถึงแล้ว พวกตาเฒ่าที่ได้อยู่บ้านตอนนี้ถูกเรียกใช้ให้ไปออกรบหมด นอกจากชุดแรกที่ไป ที่เหลืออยู่มีแต่สัตว์วิญญาณ พวกเขาเพิ่งจะออกเดินทางกันในวันนี้
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุนไม่ได้ไปกันคนชุดนี้ พวกเขายังคงกินอาหารเช้าอย่างสบายๆ ราวกับไม่ได้มีแผนจะไปด้วย
ไม่นานนักพวกเขาก็กินอาหารเช้าเสร็จ ทั้ง 2 จับมือกันเข้าไปที่สวนของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์
เห็นการมาของทั้ง 2 อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์คลี่ยิ้ม “พวกเจ้าเตรียมจะออกเดินทางตอนไหน”
“อาจารย์ปู่ ไม่รีบ….”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มอ่อนโยน “พวกตาเฒ่าเป็นฝูงเลย เชื่อว่าพวกเขาจะจัดการกันได้ พวกเราไปสมทบช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก”
“อาจารย์ปู่ เสี่ยวเสี่ยวหมายความว่าเราเป็นฝ่ายช่วยเหลือ ถ้าตาเฒ่าพวกนั้นต้านไม่ไหวแล้วพวกเราค่อยปรากฏตัว ตอนนี้ยังแค่เริ่มต้น พวกเราไม่รีบไปในตอนนี้” โม่ซวนซุนพูดต่อ
“ตามใจพวกเจ้า”
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ไม่ได้ใส่ใจนัก ขมวดคิ้วมองไปที่ทั้ง 2 พลางเอ่ย “ผลลัพธ์ของศึกนี้คงไม่แย่มาก แต่ว่าพวกเจ้า….”
“อาจารย์ปู่ พวกเราทำไมหรือ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถามอย่างไม่เข้าใจ
โม่ซวนซุนก็มองเขาด้วยสีหน้าสงสัย
“ไม่มีอะไร แค่มองพวกเจ้าไม่ออกเท่านั้นเอง พวกเจ้าต้องระวังตัวกันด้วยนะ อย่าไปดูถูกคนของเมืองโลกทมิฬ”
“อาจารย์ปู่ พวกเราไม่ดูถูกพวกเขาหรอก” ใจของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกระตุกเล็กน้อย ยิ้มอ่อนๆ
โม่ซวนซุนกล่าวอย่างมั่นใจ “อาจารย์ปู่ คนที่จะทำอะไรพวกเราได้จริงๆน่ะมีไม่เยอะหรอก คาถาใจของข้ากับเสี่ยวเสี่ยวเป็นปรปักษ์กับผู้ฝึกตนวิถีมาร พวกเราระมัดระวังหน่อย ไม่เป็นไรหรอก”
“เสี่ยวเสี่ยว เดี๋ยวข้าจะเข้ามิติ” อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์มองพวกเขาก่อนจะเอ่ยคำขอของตัวเอง
“ได้ ไม่มีปัญหา”
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์มักจะเข้าไปอยู่ในมิติเป็นเวลา 10 วันหรือบางทีก็ครึ่งเดือน สำหรับคำขอของเขาเฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้แปลกใจอะไร
โม่ซวนซุนกลับมองเขาราวกับนึกอะไรขึ้นได้
1 วันให้หลัง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุนต่างคนต่างเรียกกระเรียนวิเศษมา และนั่งมันเดินทางออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน
ส่วนเหล่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่มารวมตัวกันที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนไม่มีใครไปไหนทั้งนั้น ราวกับกำลังรออะไรอยู่
รอจนพวกเขามาถึงของอาณาจักรเฟิงหลิง ไม่มีประชาชนอยู่เลยสักคน ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ ดินเหลืองและไอดำคละคลุ้งไปทั่ว พลังมารพุ่งขึ้นสู่ฟ้าอยู่ไกลลิบ ขณะเดียวกันก็มีผู้อาวุโสจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนใช้คาถาใจบริสุทธิ์ลบล้างพลังมารนั้น เห็นได้ว่าการต่อสู้นี้เริ่มขึ้นได้สักพักแล้ว
ตู้มม….ขช
เสียงดังสนั่นดังมา ทั้ง 2 ที่ลอยตัวอยู่ในอากาศมองไปตามเสียง ได้ว่าบนยอดเขาไกลๆมีคนอยู่หลายคน ดูจากบรรยากาศตรงนั้นแล้วน่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างจักพรรดิ์เทพยุทธ์ บางคนในนั้นแค่ยืนมอง และก็พร้อมจะเข้าสมทบ
“เสี่ยวเสี่ยว เราไปดูกันหน่อยมั้ย” โม่ซวนซุนถาม
“ไม่รีบ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า มองไปยังท่าทางสะท้านพิภพของพวกเขา เอ่ยต่อ “ท่าทางจะยังไม่ได้สู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย เดี๋ยวเราค่อยไปก็ไม่สาย”
“นั่นมันก็จริง”
โม่ซวนซุนที่อยู่บนจุดสูงสุดย่อมมองออกถึงสถานการณ์การต่อสู้ของพวกเขา แม้จะเรียกว่าอันตรายได้ แต่ยังไม่ถึงนาทีเป็นนาทีตาย
—————————————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น