แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 484-496

ตอนที่ 484 เข้าใจแล้ว

 

“เฉินเสี่ยวเชี่ยน มีเรื่องจะบอก คุณต้องเตรียมใจเอาไว้นะ” เสียงทุ้มต่ำของเจิ้งซวี่ลอยมา 


 


 


“อืม ว่ามา” 


 


 


“อาหญิงของไอ้เล็กกำลังจะไปที่มหาลัยคุณแล้วฟ้องเรื่องที่คุณรักษาคนไข้โดยไม่มีใบอนุญาต ผมสืบมาได้แล้วว่า คนที่ส่งคนมาสืบเรื่องคุณก่อนหน้านี้ก็คือเขา คุณต้องเตรียมใจเอาไว้นะ” 


 


 


“…” เจ้ากรรมนายเวรยังไม่ไปเกิด? 


 


 


ถ้าเจิ้งซวี่ไม่พูดเสี่ยวเชี่ยนก็เกือบลืมไปแล้วว่ายังมีบุคคลที่ชอบทำตัวให้คนอื่นรังเกียจอยู่ 


 


 


“เฉินเสี่ยวเชี่ยน ได้ยินหรือเปล่า?” 


 


 


“อืม” 


 


 


“คุณอย่าทำเป็นไม่ใส่ใจเรื่องนี้นะ เขาวางแผนมานานแล้ว เขาไม่ได้แค่สืบได้ว่าคุณรักษาโรคเบื่ออาหารให้ลูกสาวทังต้าเย่ ยังสืบเจออาจารย์ประจำชั้นสมัยมอปลายของคุณ เรื่องที่คุณไปข่มขู่อาจารย์ประจำชั้น และที่หนักกว่าก็คือ ดูเหมือนเขาจะสืบจากร่องรอยการเดินทางของคุณจนพบว่าตอนนี้คุณกำลังรักษาให้กับผู้หญิงที่ชื่อจิงจิงอยู่” 


 


 


“เหอๆ” 


 


 


อาหญิงนี่ขยันจริงๆ ทำไมไม่เหนื่อยตายไปเลยนะ? 


 


 


นี่ถึงกับเอาแว่นขยายมาส่องที่เธอ? 


 


 


“คนของผมไม่ได้พูดอะไร แค่ให้ข้อมูลปลอมไป แต่ดูเหมือนเขาจะใช้อิทธิพลอื่นในการตามสืบด้วย ผมจะไปสืบต่อ ดูซิว่าใครมันกล้าตามสืบเรื่องคนของผม” 


 


 


คำพูดของเจิ้งซวี่ซ่อนความโกรธไว้ไม่มิด 


 


 


การแว้งกัดของอาหญิงไม่ได้ทำให้เสี่ยวเชี่ยนเกิดการหวั่นไหวทางอารมณ์ ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสนุกก็คืออาการของเจิ้งซวี่ 


 


 


“ถูกคนขุดคุ้ยรู้สึกยังไงบ้าง?” 


 


 


“อย่าให้ผมรู้นะว่าใครกล้าสืบเรื่องของคุณข้ามหัวผม จะตัดขามันทิ้ง” 


 


 


คุณชายซวี่อิทธิพลแทบจะใหญ่คับเมืองQ คนของเขาจัดการเรื่องนี้แล้วแต่กลับมีคนกล้ามายุ่งกับเสี่ยวเชี่ยนชนิดที่ข้ามหน้าข้ามตาเขา อีกทั้งยังตามสืบได้ละเอียดแบบนี้แสดงว่าฝีมือต้องไม่เบาเลยจริงๆ 


 


 


เจิ้งซวี่รู้สึกว่าการถูกตบหน้าครั้งนี้รุนแรงมาก ต้องล้างแค้น ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่จะไม่มีหน้าไปเจอเสี่ยวเชี่ยนเลย แม้แต่ชื่อคุณชายซวี่ก็ต้องมาถูกหยามไปด้วย 


 


 


“อายุตั้งเท่าไรแล้วยังจะทำตัวเลือดร้อนอีก เอาน่าฉันเข้าใจแล้ว ไม่เป็นไรน่า” กลายเป็นว่าเสี่ยวเชี่ยนเป็นฝ่ายปลอบเจิ้งซวี่ 


 


 


ใจกว้างเสียจนเจิ้งซวี่รู้สึกชื่นชม 


 


 


“เฉินเสี่ยวเชี่ยน ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ[1]…” 


 


 


พอคิดได้ว่าคำพูดนี้ไม่เหมาะเท่าไร เจิ้งซวี่ก็นิ่งไป แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับจับคำพูดได้ 


 


 


“อืม เราไม่ร้อนใจเจ้าสิร้อนใจ ซวี่กงกงวางใจเถอะ หลายปีมานี้เราเจอกับพวกอยากลองดีมาเยอะไม่เคยกลัวไม่ว่าใครหน้าไหน กับแค่ผู้หญิงวัยทองคนเดียวที่อยากรนหาที่ตาย เราจะกลัวทำไมรึ?” 


 


 


“ดูเหมือนเขาจะไปข่มขู่มหาลัยคุณ มีอะไรให้ผมช่วยไหม?” 


 


 


“ไม่ต้องหรอก ฉันจัดการเองได้” 


 


 


“งั้นผมไม่ยุ่งแล้วนะ…เฉินเสี่ยวเชี่ยน ทำไมเสียงคุณดูแปลกๆ?” เจิ้งซวี่อยากถามตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนบิดขี้เกียจ “เมื่อคืนนายทำอะไรล่ะ?” 


 


 


“กับ…” เล่นผีผ้าห่มกับใครบางคนทั้งคืน ชีวิตเจิ้งซวี่ไม่เคยเหงา เจิ้งซวี่ชะงัก เกือบถูกเสี่ยวเชี่ยนระเบิดความจริงแล้ว 


 


 


“ผมทำอะไรแล้วเกี่ยวอะไรกับเสียงแหบๆของคุณ?” 


 


 


“เพราะเมื่อคืนนายทำอะไรฉันก็ทำแบบนั้นแหละ เข้าใจ๋?” 


 


 


“ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด~” 


 


 


เสียงตัดสายลอยมา เสี่ยวเชี่ยนยักไหล่ เขาวางสายไปแล้ว 


 


 


ความอดทนของเจิ้งซวี่มีน้อยลงเรื่อยๆ เขาทนฟังเสี่ยวเชี่ยนอวดความรักไม่ได้ 


 


 


คาดว่าความโกรธที่เกิดจากเสี่ยวเชี่ยนกวนโมโหครั้งนี้คงเอาไปลงกับคนที่กล้าข้ามหน้าข้ามตาเขาสืบเรื่องของเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกสนุกบนความทุกข์ของคนอื่น ผลลัพธ์ที่เธอต้องการก็คือตีวัวกระทบคราด ใครใช้ให้คนที่มีตาหามีแววไม่แบบนั้นตามสืบเรื่องของเธอล่ะ สมน้ำหน้า 


 


 


ส่วนอาหญิง…เสี่ยวเชี่ยนถอนหายใจ อาหญิงเป็นคนที่ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้งก็ไม่เคยยอมแพ้เลยจริงๆ ถูกเหยียบก็ยังลุกขึ้นมาพยายามต่อ เริ่มจากสามพี่น้องอวี๋หมิงหลาง อวี๋หมิงซี อวี๋หมิงอี้ตามลำดับ ลูกชายถูกอวี๋หมิงหลางจับโยนไปทำงานในที่กันดาร สามีที่มีอนาคตดีก็ถูกเมียตัวเองทำเสียจนต้องเกษียณก่อนวัย ก่อนหน้านี้อวี๋หมิงหลางยังบอกอีกว่า เพราะเรื่องที่อาหญิงทำ พี่รองเลยไปเข้าไปเคลียร์กับอาหญิงเลยตรงๆ 


 


 


ได้ยินว่าอาเขยถึงกับจะขอหย่าแล้ว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นหญิงสูงวัยคนนี้ก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะทำร้ายเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


ไร้สาระจริงๆ… 


 


 


อันที่จริงอาหญิงควรจะวางมือไปตั้งแต่เรื่องพี่รองแล้ว ทำไมอยู่ๆกลับมีเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก อยากจะเห็นเสี่ยวเชี่ยนล้มลงให้ได้? 


 


 


สิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ก็คือ ทางหลี่เจิ้นลูกชายของอาหญิงเกิดเรื่องแล้ว เขตภูเขาที่หลี่เจิ้นไปทำงานอยู่ เขาเป็นแค่ข้าราชการระดับล่าง ตอนลงพื้นที่ไปสำรวจไม่ทันระวังตกลงไปในร่องน้ำ กระดูกช่วงเอวหัก ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงรักษาด้วยการผ่าตัด ได้ยินว่าตำแหน่งที่เป็นอยู่ใกล้เส้นประสาทมาก มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอัมพาต ตอนนี้ต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด 


 


 


พออาหญิงรู้เรื่องนี้ก็แทบคลั่ง สามีกำลังจะขอหย่า ครอบครัวที่เคยมีความสุขของเธอต้องมามีแต่เรื่องวุ่นวาย ตอนนี้ลูกชายป่วยอีก สาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้เธอคิดบัญชีไปที่อวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยน หลังจากที่เกิดเรื่องต่อกันมามากมาย เธอได้มองว่าเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางเป็นศัตรูกับเธอเต็มตัว คิดจะใช้อำนาจทำให้เสี่ยวเชี่ยนเรียนไม่จบ หากลูกชายเธอเป็นอัมพาต ใครก็อย่าคิดว่าจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข 


 


 


ถึงแม้เสี่ยวเชี่ยนจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่ก็พอคิดได้ว่าคงมีเรื่องอะไรมาเป็นตัวกระตุ้นอาหญิงเข้าแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น วิธีที่อาหญิงใช้ในครั้งนี้ก็ยังฉลาดสู้ครั้งก่อนๆไม่ได้ จะบอกว่าหมาเวลาจนตรอกเลยต้องกระโดดกำแพงก็ยังจะดูถูกหมาเลย 


 


 


ตอนนี้พยานที่อาหญิงมีก็คงมีแค่อาจารย์สมัยมอปลายของเธอ แต่นั่นก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์ 


 


 


ส่วนคนอื่นน่ะเหรอ คิดว่าใครจะไปเป็นพยานให้? 


 


 


ทังต้าเย่เป็นพ่อบุญธรรมของเธอ ตระกูลทังก็กิจการใหญ่โต ไม่มีทางยอมรับหรอกว่าลูกสาวตัวเองเคยมีปัญหาทางด้านจิตเวช ส่วนครอบครัวจิงจิงก็ย้ายไปอยู่เมืองข้างๆเมืองQแล้ว ปิดบังชื่อแซ่ของตัวเอง เพราะกลัวคนอื่นจะรู้เรื่องในอดีตของลูกสาว แล้วจะไปช่วยเป็นพยานให้อาหญิงเรื่องที่เสี่ยวเชี่ยนรักษาคนโดยไม่มีใบอนุญาตได้ยังไง? 


 


 


ดูท่าจะต้องใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟันกับอาหญิงเสียแล้ว ครั้งนี้เสี่ยวเชี่ยนอยากจะเอาให้หญิงสูงวัยคนนี้ไม่กล้ามายุ่งกับเธออีก ตอนนี้เสี่ยวเฉียงทำการฝึกภายในติดต่อไม่ได้แล้ว เรื่องนี้เธอจึงต้องลงมือเอง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมีวิธีอยู่ในใจแล้ว ครั้งนี้คงจะเป็นการตัดรากถอนโคน เธอแทบจะไม่เก็บเรื่องอาหญิงมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ 


 


 


สืออวี้โทรมาหาเธอพอดีเพื่อถามว่าทำไมไม่กลับไป เสี่ยวเชี่ยนจึงคืนห้องแล้วไปหาสืออวี้ ตอนเย็นทั้งสองคนนัดฉิวฉิวออกไปหาของย่างกินที่ตลาดกลางคืน น่าเสียดายที่ร้านของเถ้าแก่ตาตี่คนนั้นไม่อยู่แล้ว ร้านที่เหลืออร่อยสู้ร้านนั้นไม่ได้ 


 


 


“ประธานเชี่ยน พวกเธอระเบิดห้องพักกันจริงๆเหรอ?” ฉิวฉิวถามเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


สืออวี้กับเสี่ยวเชี่ยนกำลังแย่งปีกไก่ย่างไม้สุดท้ายกันอยู่ สืออวี้ใช้วิธีถุยน้ำลายใส่ เสี่ยวเชี่ยนจึงต้องยอมให้ด้วยความแค้น ครั้นแล้วจึงเอาพริกไปเหยาะใส่เนื้อในจานของสืออวี้เป็นการระบายความโกรธ ตอนนี้สืออวี้สิวขึ้นกินเผ็ดมากไม่ได้ ศึกครั้งนี้ทั้งสองคนจึงหายกัน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองสืออวี้แทะปีกไก่ไม้สุดท้าย แล้วไประบายอารมณ์ด้วยการกินเนื้อย่างแทน “ไม่ได้ระเบิด ก็แค่ทาสีผนังใหม่ ช่วยมหาลัยน่ะ” 


 


 


“นั่นมันก็ถือเป็นการระเบิดแล้วไม่ใช่เหรอ? ฉันค้นพบว่าภาพลักษณ์ของพวกเธอเวลาอยู่ข้างนอกกับอยู่กันส่วนตัวแตกต่างกันสุดๆ แต่ละคนเหมือนมีวิญญาณสองดวงในร่างเดียว ประธานเชี่ยนแสดงเก่งเรื่องนี้คงไม่ต้องพูดถึง แต่สืออวี้หลังปิดเทอมกลับมาดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ เป็นโรคหลายบุคลิกเหรอ?” ฉิวฉิวแซว 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนได้ยินฉิวฉิวพูดแบบนั้นอยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ เธอหันไปมองสืออวี้แล้วก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา อ๋า ที่แท้หูเหม่ยจิ้งก็เป็นแบบนี้นี่เอง 


 


 


 


 


 


[1] ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีกลับร้อนใจ หมายถึง ตัวเจ้าของเรื่องยังไม่ร้อนใจแต่คนรอบข้างกลับร้อนใจแทนเสียแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 485 ทางเลือกที่ต่างกัน

 

 


 


 


สืออวี้รู้สึกเสียวสันหลังที่ถูกเสี่ยวเชี่ยนจ้องแบบไม่วางตา 


 


 


“ประธานเชี่ยน ทำไม…พวกเราสั่งปีกไก่อีกสองไม้ก็ได้นะ” สืออวี้พูดอย่างกล้าๆกลัวๆ 


 


 


ก็แค่แย่งปีกไก่มาไม้เดียว ถึงกับต้องจ้องกันขนาดนี้เลยเหรอ? 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องปีกไก่” เสี่ยวเชี่ยนมองสืออวี้ด้วยสายตาที่แฝงความนัย 


 


 


“เอ่อ…เถ้าแก่คะ เอาเนื้อย่างมาอีกสามไม้ ปีกไก่สามค่ะ” สืออวี้สั่งอาหารให้ประธานเชี่ยน อยู่ๆอย่ามาทำตัวจริงจังขึ้นมาจะได้ไหม 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองสืออวี้ เธอเข้าใจแล้วว่าเรื่องคู่หมั้นของโลนวูล์ฟมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


หูเหม่ยจิ้งไม่ได้เป็นโรคหลายบุคลิก เพราะโรคหลายบุคลิกจะต้องอยู่บนพื้นฐานที่มีสองบุคลิกขึ้นไป แต่หูเหม่ยจิ้งกลับมีท่าทางที่นิ่งสุขุม มีแค่บุคลิกเดียวที่แตกต่างจากเมื่อก่อน 


 


 


คำพูดของฉิวฉิวเมื่อครู่ได้ดึงเอาความทรงจำของเสี่ยวเชี่ยนออกมา เธอเกือบลืมโรคนั้นที่สืออวี้เป็นเมื่อชาติที่แล้ว และก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอถูกศาสตราจารย์หลิวตบ 


 


 


โรคเก็บซ่อนความทรงจำจากการสะเทือนใจ หรือที่เรียกว่าบุคลิกสลับขั้ว จะมีอาการหลังจากที่เจอเรื่องสะเทือนใจทำให้ลืมตัวตนก่อนหน้านี้ แล้วใช้ชีวิตในแบบตัวตนใหม่ทั้งหมด ดังนั้นหูเหม่ยจิ้งจึงลืมเรื่องราวก่อนหน้านี้  หรือถึงขนาดที่แม้แต่ตัวตนของตัวเองก็ลืมหมด 


 


 


เหมือนกับว่าเธอได้มีชีวิตใหม่เป็นครั้งที่สอง เริ่มต้นใหม่ มีชีวิตแต่งงานที่ราบเรียบ ใช้ชีวิตของตัวเองไป 


 


 


ปริศนาทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว หูเหม่ยจิ้งเป็นโรคเดียวกันกับสืออวี้เมื่อชาติก่อน 


 


 


ศาสตราจารย์หลิวบอกว่า เมื่อก่อนเธอเกือบได้ลูกสะใภ้ดีๆมาอยู่ด้วย ซาลาแมนเดอร์กับอวี๋หมิงหลางบอกว่าหูเหม่ยจิ้งเป็นผู้หญิงใจดำ คำพูดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแบบนี้กลับเป็นความจริง ความเป็นจริงที่ขัดแย้งในตัวเองแท้จริงคือเรื่องเดียวกัน 


 


 


หูเหม่ยจิ้งเคยเป็นคนที่ดีมาก ถึงแม้จะอารมณ์ร้อนไปบ้าง แต่โลนวูล์ฟก็รัก และเป็นที่ยอมรับของศาสตราจารย์หลิวแม่ของโลนวูล์ฟ 


 


 


แต่หลังจากที่โลนวูล์ฟตายไป หูเหม่ยจิ้งก็รับกับความจริงอันโหดร้ายนี้ไม่ได้จนเป็นโรคทางจิตเวชอย่างรุนแรง ทำให้เกิดบุคลิกสลับขั้ว เธอจึงลืมอดีตที่เคยมีกับโลนวูล์ฟ แต่จิตใต้สำนึกของเธอกลับยังจำได้ว่าเคยชอบโลนวูล์ฟ 


 


 


เธอชอบทำตุ๊กตาหมาป่า แต่กลับใช้อีกหนึ่งตัวตนใช้ชีวิตอย่างสงบไปวันๆ 


 


 


และทำไมศาสตราจารย์หลิวถึงไปหาหูเหม่ยจิ้งบ่อยๆ เรื่องนี้ก็มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล 


 


 


ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนยังสงสัยอยู่ว่า คนนิสัยแย่อย่างอาจารย์ ต่อให้ชอบใครมากๆก็ไม่มีทางไปมาหาสู่บ่อยๆ แต่กลับดูแลหูเหม่ยจิ้งเป็นอย่างดี คอยมาหากัน 


 


 


ที่แท้ที่อาจารย์ไปหาหูเหม่ยจิ้งบ่อยๆไม่ใช่เพราะคิดถึง แต่เพื่อช่วยทำให้บุคลิกของเธอคงที่ นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้จักโรคนี้ดี บุคลิกใหม่ทั้งหมดที่แสดงออกของบุคลิกสองขั้ว ถึงแม้จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะนึกเรื่องตัวตนก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้อีก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก 


 


 


และความทรงจำที่นึกขึ้นได้นี้อาจกินเวลาไม่กี่เดือน หรืออาจจะเป็นหลายสิบปี เพราะการจะเป็นโรคนี้ได้จะต้องมีเรื่องสะเทือนใจอย่างรุนแรงมาก ในแวดวงจิตแพทย์ยังคงมีข้อถกเถียงกันว่าควรรักษาคนไข้หรือไม่ 


 


 


ชาติที่แล้วเสี่ยวเชี่ยนรักษาสืออวี้จนหาย ทำให้สืออวี้จำช่วงเวลาที่เลวร้ายขึ้นมาได้ เธอเสียสติสุดท้ายก็เลือกที่จะฆ่าตัวตาย ศาสตราจารย์หลิวจึงตัดความเป็นศิษย์อาจารย์กับเสี่ยวเชี่ยนเพราะเรื่องนี้ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ยังคงไม่ยอมให้กับอาจารย์ เพราะต่อให้เธอไม่รักษาสืออวี้ คนที่เป็นโรคนี้ก็ไม่รู้ว่าจะนึกเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้อีกเมื่อไร ก็เหมือนกับรองเท้าบู๊ทที่ลอยคว้างในอากาศ หากไม่ตกถึงพื้นก็จะมั่นคง 


 


 


ปัญหานี้เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง100% 


 


 


แต่เธอไม่คิดเลยว่าอาจารย์เองก็เจอกับคนไข้แบบนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังใช้ตัวเองเป็นหนทางที่เรียกได้ว่าควรต้องให้คะแนนเต็มในการแก้ปัญหา 


 


 


ถ้าหูเหม่ยจิ้งไม่ได้มีเรื่องโลนวูล์ฟทำให้ต้องมาเกี่ยวข้องกับอาจารย์ การกระทำนี้ของอาจารย์ก็คงจะไม่มีอะไร เพราะอย่างไรเสียอาจารย์ก็เป็นจิตแพทย์ 


 


 


แต่ลูกชายของอาจารย์คือโลนวูล์ฟ อีกทั้งโลนวูล์ฟยังตายอย่างน่าเวทนา 


 


 


ทุกครั้งที่อาจารย์ต้องเจอหูเหม่ยจิ้งก็เหมือนกับต้องฉีกแผลที่เพิ่งจะปิดสนิทออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


ช่วยให้ว่าที่ลูกสะใภ้ในอดีตพยายามลืมลูกชายของเธอ ค่อยๆลบความทรงจำของลูกชายเธอออกจากสมองของหูเหม่ยจิ้ง นี่จิตใจของอาจารย์จะต้องแบกรับความรู้สึกมากขนาดไหนกันถึงทำได้ขนาดนี้? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงท่าทางเสียใจของอาจารย์ตอนจุดธูปไหว้หลิวส่วง แล้วนึกถึงตอนหลังจากนั้นไม่นานอาจารย์ก็ต้องไปรักษาอาการให้คู่หมั้นของหลิวส่วง พอนึกได้อย่างนั้นความรู้สึกเจ็บปวดก็แผ่ซ่านในจิตใจของเธอ 


 


 


มีแค่เธอเท่านั้นถึงจะเข้าใจความเจ็บปวดนี้… 


 


 


สืออวี้มองเสี่ยวเชี่ยน ประธานเชี่ยนใช้สายตาอันลึกซึ้งมองมาที่เธอ มองๆอยู่ก็ร้องไห้ 


 


 


สืออวี้ตกใจรีบเข้าไปโอ๋เสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“ประธานเชี่ยน ไม่ต้องร้องนะ ก็แค่ไก่เอง เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่นะ ไม่ต้องร้อง ไม่งั้นเธอจับฉันไปย่างเป็นปีกไก่เลยก็ได้ ขอแค่เธอหยุดร้องเป็นพอ…” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าตัวเองเก็บอาการไม่อยู่ เธอเช็ดน้ำตาแล้วสูดจมูก “ฉันแค่นึกถึงบางเรื่องขึ้นมา ไม่เป็นไรแล้ว กินกันเถอะ” 


 


 


“ช่วงนี้น่ารำคาญมาก เถ้าแก่ที่ร้านเป็นบ้าหรือไงไม่รู้ ชอบหาเรื่องทุกวัน อยากจะหาโอกาสเอากระสอบไปคลุมแล้วอัดให้น่วมจริงๆ” ฉิวฉิวเห็นเสี่ยวเชี่ยนดูแปลกไปจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย 


 


 


“นั่นสิ ช่วงนี้ฉันก็มีแต่เรื่องขัดใจ พ่อกับแม่ยังไม่รู้เรื่องฉันกับพี่ ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง ฉันว่าเทอมนี้ฉันน่าจะสอบตกด้วย” 


 


 


สืออวี้พูดเสริม 


 


 


เห็นแววตาเสี่ยวเชี่ยนดูหม่นลงจึงพูดอย่างระมัดระวัง “ประธานเชี่ยนอย่าคิดมากนะ ไม่ต้องรู้สึกกดดัน” 


 


 


“ฉันไม่เป็นไร กินข้าวเถอะ” 


 


 


ขณะที่ฉิวฉิวกับสืออวี้กำลังปลอบเสี่ยวเชี่ยนก็ได้ยินคนเรียกฉิวฉิวจากทางด้านหลัง 


 


 


“พี่ฉิว หมอเฉิน~” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกับสืออวี้มองไปตามเสียง จิงจิงยืนถือของอยู่กับเด็กผู้หญิงอีกคนอยู่ที่หน้าร้าน พอเห็นฉิวฉิวก็โบกมือให้อย่างดีใจ 


 


 


ฉิวฉิวยืนขึ้นทันที ใบหน้าแสดงความยินดีแบบที่สังเกตไม่ได้ง่ายๆ 


 


 


“จิงจิงมาได้ยังไง?” 


 


 


“ฉันมาเที่ยว พวกพี่มากินของอร่อยกันทำไมไม่เรียกฉันบ้าง?” ตอนนี้สีหน้าของจิงจิงดีกว่าเมื่อก่อนมาก ถึงจะผอมไปหน่อยแต่ก็ดูเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปแล้ว 


 


 


“ก็กลัวเธอจะไม่ว่าง ฮ่าๆ มากินด้วยกันสิ…” ฉิวฉิวเรียกจิงจิง จิงจิงจึงลากเพื่อนใหม่เข้าไปนั่งด้วย ทุกคนคุยกันอย่างสนุกสนาน 


 


 


พอกินกันเสร็จแล้วเสี่ยวเชี่ยนกับสืออวี้ก็เตรียมจะกลับโรงแรม ฉิวฉิวจึงฉวยโอกาสตอนจิงจิงเผลอ ลากเสี่ยวเชี่ยนไปตรงที่ที่ไม่มีคน 


 


 


“ประธานเชี่ยน เธอรักษาจิงจิงเป็นไงบ้างแล้ว” 


 


 


“กระต่ายตัวโตแล้ว สถานการณ์โอเคนายก็น่าจะรู้สึกได้ มากสุดก็อีกสามครั้งฉันก็จะแก้โลกของเขาให้ดีขึ้นได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็จะทำการสะกดจิตเพื่อผนึกความทรงจำ แต่ฉิวฉิวฉันต้องบอกนายเรื่องหนึ่ง บางทีการผนึกความทรงจำครั้งนี้ความรู้สึกดีๆที่เขามีให้นายจะเปลี่ยนไป ฉันจะผนึกแค่ครึ่งเดียวหรือจะทั้งหมดก็ได้ นายอยากให้ทำแบบไหน?” 


 


 


ลืมเรื่องที่เจ็บปวดก็ต้องลืมเรื่องที่มีความสุขไปด้วย ปัญหาที่ศาสตราจารย์หลิวเจอก็ได้มาอยู่ตรงหน้าฉิวฉิวเช่นกัน อยู่ๆเสี่ยวเชี่ยนก็อยากรู้ว่า คนอื่นเมื่อเจอเรื่องแบบเดียวกันจะเลือกทำแบบไหน 

 

 

 


ตอนที่ 486 เปลี่ยนทัศนคติ

 

ฉิวฉิวพอได้ยินเสี่ยวเชี่ยนถามแบบนั้นก็แสดงสีหน้าเศร้าๆ เขามองไปยังร้านขายเสื้อผ้าหน้าร้อนที่อยู่ไม่ไกลพลางถามเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“เธอสามารถทำเสร็จก่อนจะถึงฤดูที่เขาจะใส่กระโปรงให้ฉันดูได้หรือเปล่า?”


 


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่ออกไปเดินเล่น ฉิวฉิวได้ซื้อกระโปรงน่ารักๆให้จิงจิง ฉิวฉิวหวังแค่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนจะสามารถดำเนินไปจนถึงฤดูที่ดอกไม้เบ่งบาน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่อยากจะทำร้ายจิตใจฉิวฉิว แต่จะไม่ให้พูดความจริงก็ไม่ได้


 


 


“อาจจะเร็วกว่านั้นมาก นับตั้งแต่ปลายเดือนนี้เป็นต้นไป นายจะต้องค่อยๆถอยห่างจากเขาจนกระทั่งเขาลืมนาย หลังจากที่ฉันกรอกข้อมูลตัวตนใหม่ใส่สมองเขาแล้ว นายจะมาปรากฏตัวในโลกของเขาอีกก็ได้ แล้วแสร้งทำเป็นคนแปลกหน้า ทำความรู้จักกับเขาอีกครั้ง เพียงแต่เขาในตัวตนใหม่จะยังมีความรู้สึกแบบในตอนนี้กับนายหรือเปล่าไม่มีใครรู้”


 


 


ก็เหมือนกับหูเหม่ยจิ้งคู่หมั้นของโลนวูล์ฟ ตอนที่รักใครคนหนึ่งก็คิดว่านั่นคือทั้งชีวิต แต่หลังจากผ่านเรื่องราวมากมายถึงได้พบว่า คนที่เคยรักพอมาถึงวันหนึ่งสุดท้ายก็จะกลายเป็นคนที่ผ่านมาแล้วผ่านไป


 


 


เนื่องจากมีเรื่องของหูเหม่ยจิ้งให้เห็นก่อนหน้านี้ ดังนั้นตอนที่เสี่ยวเชี่ยนพูดกับฉิวฉิวในใจจึงยิ่งเข้าใจ


 


 


ไม่ว่าจิงจิงจะรู้สึกอย่างไรกับฉิวฉิว ติดฉิวฉิว เป็นสิ่งกระตุ้นที่เกิดจากความไม่ไว้ใจผู้ชายหลังจากป่วย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ฉิวฉิวคงมีใจให้จิงจิงไปแล้ว เมื่อกี้ตอนกินข้าว เสี่ยวเชี่ยนมองเห็นท่าทีของทั้งสองคนที่มีต่อกัน ดังนั้นตอนที่ถามเรื่องพวกนี้เธอจึงต้องพูดตรงๆ


 


 


“ก่อนปลายเดือนเหรอ งั้นฉันก็ยังมีเวลาพาเขาไปดูดอกไห่ถัง” ฉิวฉิวโบกมือให้จิงจิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังมองมาทางเขา


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจความหมายของฉิวฉิว เขาต้องการใช้ช่วงเวลาที่เหลือเพื่อสร้างความทรงจำครั้งสุดท้าย


 


 


“ประธานเชี่ยนไม่คุยละ ไปก่อนนะ” ฉิวฉิวโบกมือให้เสี่ยวเชี่ยนแล้วยิ้มสดใสดังเคยให้ พออยู่ในบรรยากาศแบบนี้ยิ่งทำให้เสี่ยวเชี่ยนเกิดความรู้สึกเศร้ามากกว่าเดิม


 


 


ระหว่างทางกลับเสี่ยวเชี่ยนเอาแต่คิดเรื่องที่เกิดขึ้นของคนรอบตัวเธอ สืออวี้ที่ปกติพูดจ้อไม่หยุดก็เอาแต่เงียบ


 


 


“สืออวี้เป็นอะไรไป?” เสี่ยวเชี่ยนสังเกตเห็นว่าสืออวี้ดูแปลกๆตั้งแต่กินข้าวเสร็จ


 


 


สืออวี้ถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ฉันกลุ้มเรื่องไม่รู้จะเอ่ยปากบอกพ่อกับแม่เรื่องฉันกับพี่ยังไง แต่พอเห็นฉิวฉิวก็รู้สึกว่าฉันยังไม่ใช่คนที่น่าสงสารที่สุด อย่างน้อยฉันกับพี่อาจจะโดนลงไม้ลงมือบ้างแต่สุดท้ายก็ยังได้อยู่ด้วยกัน”


 


 


ความกลัดกลุ้มทั้งหมดล้วนมีตอนที่ไม่มีใครมาให้เปรียบเทียบ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า “ฉันจะเล่าเคสที่เกี่ยวกับงานของฉันให้ฟัง มีคนๆหนึ่งกลุ้มใจกับชีวิตมาก รู้สึกว่าตัวเองเจอกับเรื่องที่แย่ที่สุด วันๆได้แต่นั่งเศร้า เขาเลยไปหานักปรัชญาชื่อดังเพื่อขอวิธีแก้ไข เธอเดาดูว่านักปรัชญาพูดว่าไง?”


 


 


“อ่อ กลุ้มมากก็ไปตะกายกำแพงสิ?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองบน “ถ้าใช้วิธีรักษาคนแบบเธอ พวกเราฆ่าคนตายไปเท่าไรแล้ว หา? นักปรัชญาบอกเขาว่า ให้เขาไปที่หมู่บ้านแล้วไล่เคาะประตูทุกบ้านแล้วถาม…”


 


 


“เธอเคยได้ยินเรื่องแอมXไหม?”


 


 


อยู่ๆสืออวี้ก็พูดแทรกขึ้นมา ช่วงสองปีมานี้บริษัทขายตรงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย หลังจากที่มีการแก้ระบบรัฐวิสาหกิจ หลายคนต่างคิดว่าวิธีทำธุรกิจแนวใหม่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ แต่กลับพบว่าคนที่เดินไปจนถึงจุดสูงสุดจริงๆมีน้อยมาก มีคนจำนวนมากเข้าไปแล้วก็ต้องถอยออกมา กฎ80/20นั้นเหมาะที่จะใช้ในทุกวงการ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเหล่มองสืออวี้ สืออวี้ส่งยิ้มแหยๆกลับมา “ก็ฉันได้ยินว่าไล่เคาะประตูตามบ้านก็เลยนึกถึงเรื่องนี้ไง เธอพูดต่อสิ ฉันอยากรู้ว่านักปรัชญาบอกเขาว่าอะไร”


 


 


“เขาบอกกับคนที่คิดว่าตัวเองกลุ้มใจจนใกล้เป็นโรคซึมเศร้าคนนั้นให้ไปไล่เคาะประตูตามบ้านเพื่อหาดูว่าใครบ้างไม่มีเรื่องกลุ้มใจ พอเขาไปเคาะทั้งหมู่บ้านแล้วอารมณ์ก็ดีขึ้น ไม่คิดว่าตัวเองกลุ้มใจอยู่คนเดียวอีกต่อไป เพราะต่อให้เป็นครอบครัวที่เราคิดว่าเขาจะต้องมีชีวิตที่ดี แต่พอปิดประตูทุกคนต่างมีความกลุ้มใจที่แตกต่างกันออกไป”


 


 


สิ่งที่แสดงออกให้คนอื่นเห็นล้วนมีแต่ด้านดี ส่วนความกลัดกลุ้มมีแค่ตัวเองที่เข้าใจ


 


 


“ประธานเชี่ยน ทำไมวันนี้ดูเซ้นซิทีฟจัง? ไปอยู่กับหัวหน้าอวี๋มาทั้งคืนดูเป็นผู้หญิงมากขึ้นเรื่อยๆเลยนะ ฉันว่าเธอดูต่างจากตอนที่เพิ่งเจอกันมาก”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้ม ต้องยอมรับเลยว่าลูกสาวเศรษฐีจอมติงต๊องเซ้นส์แรงกับบางเรื่องจริงๆ มีเซ้นส์ของพวกศิลปิน


 


 


“ฉันชอบเธอในตอนนี้ ฉันว่าจิตวิญญาณของเธอไม่ได้ดูล่องลอยบ่อยๆแล้ว บางช่วงเธอเจอคนที่เธอสนใจ จิตวิญญาณของเธอก็จะลงมา ทำให้เธอกลายเป็นคนจริงๆ แต่หลายครั้งที่เธอดูล่องลอยอยู่ในอากาศ มองคนที่เธอเธอไม่อยากจะสนใจ…เวลาเธอพูดถึงหัวหน้าอวี๋จิตวิญญาณของเธอก็จะลงมา เมื่อกี้ไม่รู้ทำไม พอเธอพูดกับฉิวฉิวเสร็จฉันว่าเธอก็ลงมาเหมือนกัน เธอดูใส่ใจ”


 


 


สืออวี้พูดได้เห็นภาพ เสี่ยวเชี่ยนคิดสักพักแล้วพยักหน้า


 


 


“อืม เธอพูดถูก พอเธอพูดแบบนี้ฉันถึงได้พบว่า ตอนที่ฉันรักษาคนอื่นฉันเองก็กำลังหาทางช่วยเหลือตัวเองไปด้วย ถ้าใช้คำพูดของเธอก็คงเป็น จิตวิญญาณของฉันถ้าลงมาได้ทั้งหมดแล้ว โรคย้ำคิดย้ำทำที่ติดการล้างมือของฉันก็จะหาย”


 


 


ช่องโหว่ในจิตใจที่มีเลือดไหลได้ถูกซ่อมแซมทีละนิดตั้งแต่เธอคบกับอวี๋หมิงหลาง หลังจากที่เธอกลับมา ก็ได้ไปเจอกับคนไข้เมื่อชาติก่อนมีทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ หลังจากที่ได้ไปเจออีกครั้ง แต่ละครั้งก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ความรู้สึกเหล่านี้ได้เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ อาการของเสี่ยวเชี่ยนก็ค่อยๆดีขึ้น ตอนนี้โรคย้ำคิดย้ำทำของเธออาการเบาลงไปมากแล้ว


 


 


“เจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆบ้างก็ดีเหมือนกันนะ เพราะเธอไม่สมบูรณ์แบบถึงได้น่ารัก ฉลาดขนาดนี้แล้ว ถ้าเอาสิ่งๆให้เธอไปหมดคนอื่นได้หมั่นไส้เธอพอดี ดูอย่างเทพวีนัสแห่งวงการศิลปะสิ เพราะเขาแขนขาดถึงได้สวย จริงสิประธานเชี่ยน เธอกลับไปที่หอกับฉันหน่อยสิ ฉันจะไปเอากระดาษ ที่เอามาใช้หมดแล้ว”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรอสืออวี้อยู่หน้ามหาวิทยาลัย แสงไฟสาดส่องไปที่ป้ายมหาวิทยาลัย นึกถึงเวลานี้ของเมื่อวาน เธอกับเสี่ยวเฉียงกำลังเล่นผีผ้าห่มกันอยู่ แต่ตอนนี้ต่างแยกย้ายกันแล้ว


 


 


“หมอเฉิน”


 


 


“นาย?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นหวางย่าเฟยที่อยู่ไม่ไกล เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย


 


 


เมื่อคืนนายคนนี้แข่งยิงปืนกับเสี่ยวเฉียง ถูกเสี่ยวเฉียงเอาชนะแบบราบคาบ แล้ววันนี้มาที่มหาวิทยาลัยเธอทำไม?


 


 


แถมสายตาที่หวางย่าเฟยมองเธอก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน หลังจากที่เธอเข้าไปยุ่งเรื่องการทดสอบของเขา เขาก็แค้นเธอมาตลอด แต่ในเวลานี้เสี่ยวเชี่ยนกับมองเห็นแววตาที่สำนึกผิดของเขา ชั่วเวลาแค่คืนเดียวเปลี่ยนทัศนคติคนได้เลยเหรอ?


 


 


“ผมเอง ผมมีเรื่องจะคุยด้วย คุณสะดวกไหม?” 

 

 


ตอนที่ 487 ได้รับการยอมรับ

 

“นายคงไม่ได้รออยู่นี่ทั้งวันหรอกนะ?” อยู่ๆเสี่ยวเชี่ยนก็คิดได้ว่าหวางย่าเฟยไม่มีวิธีติดต่อเธอ เขารู้แค่ว่าเธอเป็นนักศึกษาของที่นี่ หรือแม้แต่เธอเรียนสาขาไหนเขาก็ไม่รู้


 


 


อีกอย่างตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว


 


 


หวางย่าเฟยหลบตาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดอย่างเกร็งๆ “อันที่จริงก็ไม่นานหรอก”


 


 


ก็แค่ตั้งแต่บ่ายสี่โมงจนถึงตอนนี้ เดิมทีเขาคิดจะกลับแล้วแต่ไม่นึกว่าจะเห็นเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“นายไปหาศาสตราจารย์หลิวเพื่อติดต่อฉันก็ได้นี่”


 


 


“อ๊า จริงด้วย ลืมได้ไงเนี่ย ผมคิดแค่ว่าคุณเป็นนักศึกษาของที่นี่ ถ้ามาดักรอที่ประตูก็น่าจะได้เจอ…”


 


 


นั่นสิ ถ้าเขาไปหาศาสตราจารย์หลิวก็จบแล้ว ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วย


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นท่าทางอึ้งๆของหวางย่าเฟยแล้วก็แอบขำในใจ


 


 


คนฉลาดก็มีตอนที่คิดไม่ทันเหมือนกัน แต่หวางย่าเฟยเป็นแบบนี้ก็สนุกดีนะ น่ารักแบบทึ่มๆ


 


 


ก็เหมือนกับที่เสี่ยวเฉียงบอก คนๆนี้มีความสามารถเป็นนักแม่นปืนมาแต่กำเนิด ยืนรออยู่หน้ามหาวิทยาลัยได้นานขนาดนี้ก็แสดงว่ามีความอดทนสูง ไม่เสียทีที่เสี่ยวเฉียงให้ความสำคัญ ไม่เพียงแต่ทำเพื่อเขาเป็นกรณีพิเศษ เมื่อวานยังใช้โอกาสที่แข่งกันสั่งสอนหวางย่าเฟย


 


 


“ว่ามาสิว่ามีเรื่องอะไร”


 


 


“ผมอยากบอกคุณว่า ขอบคุณมาก ผมเข้าใจแล้ว อาการของผมเป็นแบบนี้เข้าหน่วยรบพิเศษตอนนี้ไม่ได้หรอก เจอปัญหาแล้วมองข้ามไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ผมจะรับการรักษา พอผมหายแล้วจะไปสอบใหม่”


 


 


หลังจากที่ได้แข่งกับอวี๋หมิงหลาง ความอวดดีของหวางย่าเฟยก็เหมือนได้ถูกทำลายลง


 


 


หลังกลับไปเขาคิดอยู่นานแล้วก็เข้าใจ


 


 


เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า เขาคิดว่าตัวเองเก่ง คิดว่าตัวเองคือที่สุดแล้ว คิดว่าการที่ตัวเองไม่ได้เข้า011เป็นการสูญเสียของพวกเขา แต่พอเห็นอวี๋หมิงหลางเขาถึงได้พบว่า ที่แท้โลกก็ไม่ได้หมุนรอบตัวใครคนใดคนหนึ่ง


 


 


ถ้าอวี๋หมิงหลางทำตัวเหมือนเหยียบเขาไว้ บางทีเขาอาจไม่คิดได้แบบนี้ แต่อวี๋หมิงหลางกลับใช้วิธีเก็บซ่อนความสามารถของตัวเอง ไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งนั้น แต่กลับทำให้หวางย่าเฟยคิดได้


 


 


ที่แท้คนที่เก่งจริงๆเป็นแบบนี้ คนในหน่วยของเขาปากชอบว่าคนของ011 บอกว่าคนพวกนั้นบ้า ชอบดูถูกคนอื่น เห็นทหารเป็นผักเป็นปลาอยากจะมาเลือกก็มา รู้สึกว่าคนพวกนั้นไม่ให้เกียรติคนอื่น


 


 


แต่พอได้ประลองฝีมือจริงๆถึงพบว่า คนพวกนั้นไม่ใช่ไม่ให้เกียรติคนอื่น หากมองในสภาวะปกติ จะเห็นได้ว่าเป็นเพราะพวกเขาอยู่ในจุดตีนเขา มองขึ้นไปยังคนที่อยู่บนเขาเลยคิดว่าคนที่อยู่บนนั้นดูถูกตัวเอง แท้ที่จริงแล้วตัวเองนั่นแหละที่รู้สึกต้อยต่ำ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็เหมือนกับได้รับคำปลอบใจ เธอพยักหน้า


 


 


“นายคิดได้แล้วดีจัง คนบางคนทั้งชีวิตยังคิดไม่ได้เลยนะ นายใช้เวลาแค่วันเดียว”


 


 


น้อยครั้งที่เธอจะประเมินใครสูงแบบนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ใช้ได้เลยทีเดียว คนที่ยกตัวเองขึ้นสูงมีไม่น้อย แต่คนที่ยอมรับได้ว่าตัวเองยังดีไม่พอมีไม่มาก รู้จักปรับตัวยอมรับความจริง ตอนหนุ่มยังคิดได้ขนาดนี้ อนาคตจะต้องไปได้ไกลอย่างแน่นอน ไม่เสียทีที่อวี๋หมิงหลางเล็งคนๆนี้ไว้…ถึงแม้อวี๋หมิงหลางจะไม่ยอมรับก็ตาม


 


 


แต่เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าผู้ชายของเธอถูกใจทหารคนนี้เข้าแล้ว อวี๋หมิงหลางถูกใจใครคนนั้นก็จะซวย เพราะเขาจะทรมานให้หนักที่สุด


 


 


“ผมอยากจะขอโทษคุณด้วยใจจริง แล้วก็อยากจะขอร้องคุณให้เป็นจิตแพทย์ของผมต่อ ช่วยผมกำจัดปีศาจร้ายในใจของผม”


 


 


“ศาสตราจารย์หลิวเก่งกว่าฉันไปให้เขารักษาก็เหมือนกัน”


 


 


“ไม่ ผมอยากให้คุณรักษา” หวางย่าเฟยพูดอย่างแน่วแน่


 


 


เพราะเขาพูดไปว่าเสี่ยวเชี่ยนไม่สมควรเป็นหมอ ในใจจึงรู้สึกผิดมาตลอด เขาไม่อยากเปลี่ยนหมอ อยากให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาเขาต่อ


 


 


“…ก็ได้ ฉันจะไปพูดกับศาสตราจารย์หลิว”


 


 


“อันนี้ให้คุณ…คุณเป็นหมอควรค่าแก่การถูกยอมรับ” หวางย่าเฟยล้วงซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดใส่มือของเสี่ยวเชี่ยนอย่างรวดเร็ว ยัดเสร็จก็ไม่รอดูสีหน้าของเสี่ยวเชี่ยนวิ่งหนีไปทันที ความเร็วขนาดเขาเสี่ยวเชี่ยนตามไม่ทัน


 


 


“นี่” เสี่ยวเชี่ยนตะโกนเรียก แต่เขาไม่หยุด


 


 


เปิดซองจดหมายออกดู ข้างในมีธนบัตรฉบับใหม่อยู่หลายใบ นี่คือค่ารักษาเหรอ?


 


 


นอกจากเงินแล้วยังมีกระดาษโน้ตอยู่หนึ่งใบที่เขียนว่า หมอเฉินคุณเก่งที่สุด


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตา ตาทึ่มเอ๊ย…


 


 


เงินจำนวนหลายร้อยนี้สำหรับยุคสมัยนี้เป็นจำนวนเงินไม่น้อย อย่างน้อยๆก็คือเงินเดือนของเขาทั้งเดือน สำหรับเสี่ยวเชี่ยนแล้ว เวลาในการรักษาหนึ่งชั่วโมงของเธอไม่ใช่เป็นเงินแค่นี้ แต่เงินไม่ได้คืออยู่กับว่ามากน้อย ความหมายของมันไม่เหมือนกัน นี่เป็นการแสดงถึงการยอมรับในตัวเธอ การให้เงินหมอเป็นเรื่องปกติที่ควรทำ เงินนี่เธอควรรับไว้


 


 


ห่างออกไปไม่ไกล กล้องถ่ายรูปเลนส์ซูมได้บันทึกภาพเหตุการณ์นี้ไว้ คนหนุ่มสวมหมวกแก๊ป ใส่เสื้อยืดแขนยาวกางเกงยีนส์พูดพึมพำกับตัวเอง “หลักฐานนี่น่าจะพอแล้วมั้ง?”


 


 


หมวกแก๊ปปกคลุมผมสีทองเอาไว้ ผมจุกเล็กโผล่ลอดออกมา คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ยุคสมัยนี้ไม่ค่อยได้เห็นคนต่างชาติมากนัก พอเจอก็อยากจะมองให้มากหน่อย


 


 


คนหนุ่มผมทองดวงตาสีเขียวเอามือตบกล้องถ่ายรูปของตัวเองเบาๆด้วยความภูมิใจ งานนี้จะสำเร็จอีกรอบแล้ว ความรู้สึกที่กำลังจะได้เงินมันดีจริงๆ~


 


 


“ประธานเชี่ยน มองอะไรอยู่เหรอ?” สืออวี้ออกมาแล้ว เธอเอามือโบกไปมาข้างหน้าเสี่ยวเชี่ยน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนจึงละสายตาที่มองตรงไปข้างหน้า เมื่อครู่เธอรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองอยู่ แต่พอหันไปก็เห็นเงาเบื้องหลังของคนแค่คนเดียว


 


 


“เปล่า ไปกันเถอะ”


 


 


วันถัดมาหลังจากเสี่ยวเชี่ยนเลิกเรียน รุ่นพี่ที่มาสอนแทนอาจารย์เรียกเธอไว้ บอกว่าศาสตราจารย์หลิวเรียกหาเธอ ให้ไปหาที่บ้าน เสี่ยวเชี่ยนดูเวลาเห็นใกล้เที่ยงพอดีจึงไปซื้อกับข้าวที่โรงอาหารสองอย่างแล้วค่อยไป


 


 


ศาสตราจารย์หลิวทำกับข้าวไว้แล้ว ล้วนเป็นอาหารง่ายๆที่กินกันปกติ ดูก็รู้ว่าไม่ได้เห็นเสี่ยวเชี่ยนเป็นคนนอก


 


 


“ทำไมเธอยังซื้อกับข้าวมาอีกล่ะ เป็นนักเรียนอย่าเที่ยวใช้เงินส่งๆ” ศาสตราจารย์หลิวเห็นเสี่ยวเชี่ยนถือกับข้าวเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะพูด


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่ขัดสนเรื่องเงิน”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มพลางพูด ตอนนี้เธอไม่เดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆ ทุกเดือนมีรายได้จากการเก็บค่าเช่า บ้านที่แม่ยกให้เธอตอนงานหมั้นมีคนมาเช่าแล้ว คอนโดที่แม่สามีตกแต่งให้อย่างดีก็มีคนเช่าแล้ว ทุกเดือนเธอจะมีรายได้ มั่นคงกว่ามนุษย์เงินเดือนเสียอีก


 


 


พูดถึงเรื่องเงินเสี่ยวเชี่ยนก็นึกขึ้นมาได้ เธอจึงหยิบซองจดหมายที่เมื่อวานหวางย่าเฟยให้เธอมา เอามาวางบนโต๊ะแล้วเลื่อนให้ศาสตราจารย์หลิว


 


 


“นี่มันอะไรกัน ติดสินบน? เธอรู้ใช่ไหมว่าที่ฉันเรียกเธอมาเพราะมีข่าวดี?”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนจะเหมือนครั้งก่อน พอเปิดออกมากลับเป็นวิทยานิพนธ์ จึงพูดแซว


 


 


ครั้งนี้ที่เธอเรียกเสี่ยวเชี่ยนมาก็เพราะมีข่าวดีจะบอก


 


 


“ข่าวดีเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนเอามือกดซองจดหมายไว้


 


 


“ใช่ เรื่องยื่นคำร้องขอเรียนจบก่อนของเธอ ฉันกับอาจารย์ที่ปรึกษาเธอไปจัดการมาให้แล้ว ทางฝ่ายกองกิจการนักศึกษาอนุญาตแล้ว แต่เธอต้องคว้าโอกาสไว้ให้ดี อย่าหลงระเริง เดินแต่ละก้าวด้วยความระมัดระวัง ครั้งนี้ถ้าเธอทำพลาด เธอก็จะไม่ได้ใบปริญญา”


 


 


“วางใจได้ค่ะ หนูผ่านแน่” เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างมั่นใจ ค่อยๆชักมือเลื่อนซองจดหมายกลับมา


 


 


“ทำไม ให้แล้วจะเอาคืนเหรอ?” ศาสตราจารย์หลิวถามด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

 


ตอนที่ 488 ใช่ และก็ไม่ใช่

 

“หนูกลัวพออาจารย์เห็นว่าเป็นเงินก็จะคิดว่าหนูติดสินบน จากนั้นก็จะโมโหแล้วริบโอกาสคืน ไว้หนูค่อยให้อาจารย์ดีกว่า”


 


 


“เงิน?” ศาสตราจารย์หลิวนึกไม่ถึงว่าในนั้นจะเป็นเงินจริงๆ


 


 


“ค่ะ เมื่อเย็นวานหวางย่าเฟยมาหาหนู บอกว่าต้องการให้ค่ารักษากับหนู หนูคิดว่าเงินนี้ถือเป็นการยอมรับในความสามารถในการทำงานของอาจารย์กับหนูเลยควรรับไว้ แต่ตอนนี้หนูไม่มีใบประกอบโรคศิลปะ ถ้ารับไว้ก็เท่ากับรักษาโรคโดยไม่มีใบอนุญาต ดังนั้นหนูเลยอยากเอาให้อาจารย์ค่ะ”


 


 


ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้าแล้วหยิบซองจดหมายมาเปิดดู จากนั้นก็คิ้วขมวด


 


 


“ทำไมไปเอาเงินเขามาเยอะขนาดนี้?”


 


 


“…นี่เหรอเยอะ? มิน่าอาจารย์ทำงานวิจัยมาตลอดชีวิตยังอยู่ได้แค่อพาร์ทเม้นท์เก่าๆ”


 


 


“ฉันมีบ้านแต่ขายไปแล้ว…เอาส่วนนี้ไปคืนเขา ส่วนนี่แบ่งไว้เป็นเงินทำวิจัยให้รุ่นพี่เธอ อันนี้ให้เธอ”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวควักเงินออกมายี่สิบ เสี่ยวเชี่ยนน้ำตาจะไหล


 


 


“อาจารย์ ในใจของอาจารย์หนูมีค่าแค่ยี่สิบเองเหรอคะ?”


 


 


เงินที่หวางย่าเฟยให้ไม่กี่ร้อยนี่เดิมก็ไม่ได้มากมายอยู่แล้ว อาจารย์ยังจะให้เอาไปคืนเยอะขนาดนี้อีก มาถึงเธอแค่ยี่สิบ ทำแบบนี้ถึงได้ไม่มีเพื่อนไง


 


 


“ในใจของฉันเธอประเมินค่าไม่ได้ จะให้ใช้เงินมาเป็นตัววัดไม่ได้เข้าใจไหม? อีกอย่างครอบครัวของหวางย่าเฟยก็ฐานะไม่ดี ทหารยศต่ำๆแบบเขาจะมีเงินสักเท่าไรกัน?”


 


 


“แต่ไปรักษาที่ไหนก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น จะมาคิดราคาถูกๆเพราะพวกเราไม่สั่งยาให้ได้ไงคะ อาจารย์ทำให้ราคาตลาดมันวุ่นวาย คนในวงการเขาจะเกลียดเอานะคะ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรักษาคนไม่เคยคิดราคาถูกๆ หน้าที่การงานของเธอก้าวหน้าจนรู้จักคนไปแทบทุกวงการ แต่อาจารย์สนใจแต่สังคมชั้นล่าง ค่ารักษาถูกแล้วถูกอีกจนสร้างความหมางใจให้คนในแวดวงเดียวกันไม่น้อย


 


 


“เฉินเสี่ยวเชี่ยน ในอนาคตเธอจะเดินไปทางไหน?”


 


 


“หนูแพลนไว้ว่าจะรับปรึกษาส่วนตัวให้กับคนระดับสูงค่ะ ตอนนี้ตลาดยังขาดแคลนในเรื่องนี้…ถึงหนูไม่ทำก็มีคนอื่นทำอยู่ดี จะปล่อยให้แกะตัวอ้วนๆของบ้านเราหนีเอาเงินไปเสียให้ต่างชาติได้ไงคะ อีกอย่างเรื่องของสังคมพื้นฐานจิตใจของคนบ้านเรา พวกฝรั่งใช่ว่าจะเข้าใจได้ดี”


 


 


ความหมายก็คือ ในอนาคตประธานเชี่ยนไม่เก็บแพงเท่าไรหรอก แต่จะเก็บให้แพงที่สุด ฆ่าแกะตัวอ้วนๆให้เมามัน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดให้ดูแย่ไว้ก่อน เป้าหมายของเธอไม่มีทางเปลี่ยน เธอทำตัวเป็นคนดีอย่างอาจารย์ไม่ได้ การคิดค่ารักษาถูกๆหรือฟรีบ้างไม่เหมาะใช้กับคนมีเงิน คนที่มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีในระดับหนึ่งจะคิดว่าราคาถูกๆใช่ว่าจะดี


 


 


แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ ศาสตราจารย์หลิวไม่ได้รู้สึกโกรธกับการพูดความคิดออกมาตรงๆของเสี่ยวเชี่ยน แต่พยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


 


 “คนเรามีปณิธานที่ไม่เหมือนกัน ฉันไม่บังคับให้เธอมาเป็นอย่างฉันหรอก อีกอย่างสิ่งที่เธอพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล งานด้านเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวระดับสูงยังเป็นที่ขาดแคลนจริงๆนั่นแหละ เพียงแต่…”


 


 


“เพียงแต่หนูไถเงินกับคนรวยแล้วก็อย่าลืมช่วยคนจน อย่าเอาแต่คิดถึงเรื่องเงินใช่ไหมคะ? อาจารย์วางใจได้ค่ะ อีกหน่อยถ้าหนูทำได้ขึ้นมา นอกจากหนูจะรักษาให้พวกคนรวยแล้วหนูก็จะรับงานที่อยู่ในขอบเขตของหนูเพื่อตอบแทนสังคมด้วยค่ะ”


 


 


ชาติที่แล้วเธอก็ทำแบบนี้


 


 


ศาสตราจารย์หลิวส่ายหน้า “ไม่ได้หมายความแบบนั้น อันที่จริงฉันแค่อยากบอกเธอว่า การเก็บค่ารักษาถูกแพงไม่ได้เป็นตัววัดหลักการของหมอ ในอนาคตขอแค่จดจำอาชีพของเธอ รวมถึงความสุขที่ได้จากการทำงานไว้ บางครั้งความภาคภูมิใจของพวกเราก็ไม่ได้มาจากตัวเงิน ยังมีสิ่งอื่นอีกที่ทำให้เรามีความสุข เธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ ฉันไม่อยากเห็นเธอเป็นหุ่นยนต์เก็บเงิน ฉันอยากให้เธอมีความสุขกับการเป็นหมอ”


 


 


คำพูดพวกนี้ชาติที่แล้วศาสตราจารย์หลิวไม่เคยพูดกับเสี่ยวเชี่ยน พอได้ยินแบบนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็แอบซึ้งใจ


 


 


“ดังนั้นที่อาจารย์รับรักษาฟรีบ่อยๆเป็นเพราะมีความสุขกับการได้ทำเหรอคะ?”


 


 


“ใช่สิ คนที่มาปรึกษาแต่ละคนล้วนให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันกับฉัน การได้สัมผัสกับพวกเขา ได้รู้จักโลกของพวกเขาก็ทำให้ฉันได้พัฒนาตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงินนะ”


 


 


“งั้นอาจารย์พัฒนาตัวเองมานานขนาดนี้…ทำไมยังถึงได้โดดเดี่ยว ไม่ได้ทำให้มีคนอยากจะเข้ามาทำความรู้จักอยู่อีกล่ะคะ?”


 


 


อยู่ๆศาสตราจารย์หลิวก็อยากเข้าไปตีเสี่ยวเชี่ยน เด็กคนนี้นี่ นับวันชักเอาใหญ่


 


 


“อาจารย์ อันที่จริงหนูมีคำถามที่อยากถามอาจารย์ค่ะ เรื่องนี้มันอัดอั้นอยู่ในใจหนูมานานแล้ว เกี่ยวกับเรื่องหูเหม่ยจิ้งค่ะ”


 


 


วันนี้คุยกันมาขนาดนี้แล้วเสี่ยวเชี่ยนจึงไม่อยากเก็บไว้อีกต่อไป เลยพูดเรื่องหูเหม่ยจิ้งออกมา


 


 


“เขาทำไมเหรอ?” พอได้ยินชื่อหูเหม่ยจิ้งศาสตราจารย์หลิวก็จริงจังขึ้นมาทันที


 


 


“ตอนที่หนูไปรักษาให้ฉู่เซวียนก็ได้ให้หูเหม่ยจิ้งทำแบบทดสอบด้วย อาจารย์ก็รู้ว่าหากในครอบครัวมีสมาชิกที่มีปัญหาจิตเวชสมาชิกคนอื่นๆก็ย่อมจะได้รับอิทธิพลในระดับที่แตกต่างไปด้วย แล้วหนูก็พบว่าหูเหม่ยจิ้ง…”


 


 


“เขาดูเป็นคนเก็บตัวใช่ไหม?”


 


 


“ตอนแรกก็เป็นแบบนั้นค่ะ แต่ต่อมาหนูก็พบว่าพอหนูพูดถึงเรื่องทฤษฎีสองดวงจิตเขาดูมีอาการที่แปลกไป พอคิดได้ว่าเขาเป็นลูกบุญธรรมของอาจารย์หนูเลยมาถาม…”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพยายามพูดให้ไม่มีช่องโหว่ แต่ศาสตราจารย์หลิวกลับส่ายหน้า แล้วยื่นมือไปดีดหน้าผากเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“เธอเจออะไรเข้าใช่ไหมล่ะ กะแล้วว่าปิดบังเธอไม่ได้ เธอมันฉลาดเกินไป หูเหม่ยจิ้งไม่ได้เป็นคนสองบุคลิกหรอก แต่เป็นคนบุคลิกสลับขั้ว หรือที่ในทางจิตวิทยาเรียกว่าโรคเก็บซ่อนความทรงจำจากการสะเทือนใจ เธอก็คงรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปก็เท่านั้น ยัยเสี่ยวปืนเหล็กเธอนี่มันแสบจริงๆ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอึ้งก่อน จากนั้นหน้าก็ค่อยๆแดง รู้สึกว่าตัวเองอุตส่าห์พูดอ้อมตั้งไกล พยายามหาวิธีปิดบังวัตถุประสงค์ของตัวเอง แต่อาจารย์กลับมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


 


 


สมกับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาระดับปริญญาเอก ไอคิวสูงมาก มองเสี่ยวเชี่ยนออกได้อย่างง่ายดาย เสี่ยวเชี่ยนเห็นอาจารย์พูดออกมาตรงๆแบบนี้ก็ไม่เกรงใจจะปิดบังอีกต่อไป


 


 


“ใช่ค่ะ หนูรู้แล้วว่าเขาเป็นบุคลิกสลับขั้ว แต่หนูไม่ค่อยเข้าใจ…อาจารย์คะ ทำไมอาจารย์ถึงได้เสี่ยงอันตรายขนาดนั้นแบกรับความเจ็บปวดในใจเพื่อทำเรื่องแบบนั้นล่ะคะ ทำไปเพื่ออะไรกันแน่?”


 


 


ในเมื่อเป็นคนฉลาด งั้นก็เปิดอกคุยกันไปเลย เสี่ยวเชี่ยนพูดจากใจจริง เธอรู้สึกเป็นห่วงอาจารย์มาก


 


 


“เพราะรู้ว่าเธอเป็นห่วงฉัน ฉันถึงได้ไม่โกรธ…เด็กน้อยเอ๋ย ปีนี้เธออายุเท่าไรแล้ว?” ศาสตราจารย์หลิวถอนหายใจแล้วถามเสี่ยวเชี่ยน เวลานี้เสี่ยวเชี่ยนสัมผัสไม่ได้ถึงความทะนงตนในตัวเองของอาจารย์แบบที่มียามปกติ มีแค่ผู้ใหญ่ธรรมดาที่อยู่ตรงหน้า


 


 


“สิบเก้าแล้วค่ะ แต่หนูเคยทำแบบทดสอบจิตใจของตัวเอง ปาไปสี่สิบแล้วค่ะ”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวยิ้มบางๆพลางส่ายหน้า “ต่อให้สภาพจิตใจเธอเท่าคนอายุสี่สิบ แต่ในสายตาฉันเธอก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี เด็กอายุเท่าเธออาจไม่มีทางเข้าใจการกระทำของฉัน อันที่จริงที่ฉันทำแบบนั้นก็เพราะมีเหตุผล”


 


 


“เหตุผลอะไรคะ?”


 


 


“มีอยู่สองเหตุผล หนึ่งคือจากมุมมองคนเป็นหมออย่างฉัน ฉันมีหน้าที่ทำแผนการรักษาที่ฉันคิดว่าเหมาะสมให้กับคนที่มีอาการบุคลิกสลับขั้ว แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าก็คือ…”


 


 


สายตาของศาสตราจารย์หลิวทอดยาวไปไกล ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจทันที


 


 


“เป็นเพราะอาจารย์อยากทำตามความปรารถนาของลูกชาย ดูแลคนที่เขาห่วงใยใช่ไหมคะ?”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า


 


 


ใช่ และก็ไม่ใช่

 

 

 


ตอนที่ 489 ความคิดโตขึ้นอีกแล้ว

 

“เสี่ยวเชี่ยน จิตวิทยาในฐานะที่เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งของสังคมมนุษย์ พวกเรายังหาข้อสรุปไม่ได้เกี่ยวกับคนเราเมื่อตายกลายเป็นฝุ่นผงแล้วไปที่ไหนต่อ ฉันไม่รู้ว่าโลกนี้มีวิญญาณหรือเปล่า แต่ฉันเชื่อว่ามีวิธีที่ทำให้ฉันกับลูกชายได้อยู่ด้วยกันตลอดไป นั่นก็คือทำให้คนที่เขาชอบที่สุดตอนมีชีวิตอยู่ได้มีชีวิตที่เป็นสุข เธอจะบอกว่าฉันทำเพื่อลูกชายก็ได้ แต่ที่มากกว่าก็คือมันเป็นทางออกหนึ่งให้จิตใจของฉัน”


 


 


นี่คือคนสูงวัยที่มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าครึ่งชีวิต คำพูดที่กลั่นออกมาจากสมองอันชาญฉลาด


 


 


เวลานี้เสี่ยวเชี่ยนยากที่จะเข้าใจถึงสภาพจิตใจของศาสตราจารย์หลิวได้ทั้งหมด แต่เธอกลับเข้าใจถึงความรักที่แม่คนหนึ่งมีให้กับลูกอย่างเต็มที่


 


 


ต่อให้เขาไม่อยู่แล้วก็ต้องเป็นตัวแทนเขาทำให้คนที่เขารักมีความสุข


 


 


ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าการที่ศาสตราจารย์หลิวเข้าไปใกล้ชิดหูเหม่ยจิ้งนั้นเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก พอมาดูตอนนี้ถึงพบว่า ศาสตราจารย์หลิวไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ลำบากอะไร กลับมีความสุขด้วยซ้ำ


 


 


เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจให้เสี่ยวเชี่ยนเป็นอย่างมาก


 


 


เธอคิดทบทวนแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับหวางย่าเฟย เรื่องแบบเดียวกันที่คิดว่าไม่มีใครทำได้ แต่กลับมีผู้ใหญ่ทำได้อย่างไม่เปิดเผย อีกทั้งการแก้ปัญหาแบบนี้เธอก็ไม่เคยเจอมาก่อน ในเวลานี้ในใจของเสี่ยวเชี่ยนเกิดความรู้สึกที่หลากหลาย


 


 


ไม่มีคนที่ถูกเสมอ ต่อให้บางช่วงคิดว่าตัวเองทำได้ดีมากแล้ว แต่พอเดินผ่านไปแล้วหันกลับมามอง ที่แท้ก็สามารถทำได้ดีกว่านี้อีก


 


 


บทเรียนในวันนี้สอนเธอได้อย่างลึกซึ้ง เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่านี่เป็นการสะเทือนใจมากที่สุดตั้งแต่เธอกลับมาเกิดใหม่


 


 


“เรื่องบุคลิกสองขั้ว บ้านเรามีการถกเถียงกันมาตลอด การปลุกความทรงจำจะเป็นการดึงเอาเรื่องที่น่ากลัวที่สุดกลับมา ถ้าไม่ปลุกความทรงจำอีกหนึ่งตัวตนก็จะหนีจากความเป็นจริง แต่ก็ไม่รู้ว่าวันไหนความทรงจำในอดีตที่โหดร้ายนั้นจะกลับมา เสี่ยวเชี่ยน อีกหน่อยถ้าเธอรักษาคนไข้แล้วเจอเคสแบบนี้เธอจะทำไง?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเงียบไปนาน ในที่สุดเธอก็พูดคำตอบที่ต่างจากเมื่อชาติที่แล้ว


 


 


“สังเกตอาการอย่างละเอียดแล้วรักษา ไม่มีคำตอบที่แน่นอนสำหรับคำถามนี้ค่ะ คนไข้ต่างกันย่อมมีทางเลือกที่ต่างกัน บางคนเหมาะกับแบบนี้ บางคนเหมาะกับอีกแบบ”


 


 


เรื่องที่คิดมาทั้งชาติ ในที่สุดเวลานี้เสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจแล้ว


 


 


ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความคาดหวัง


 


 


“เธอเก่งมากที่คิดได้แบบนี้ ไม่ใช่แค่โรคนี้นะ ในขอบข่ายงานของพวกเรายังมีอีกหลายคำถามที่ไม่มีคำตอบที่แน่นอน ก็เหมือนกับชีวิตของคนเรา การแก้ปัญหาในแต่ละช่วงย่อมมีรูปแบบที่ต่างกัน บางครั้งเราต้องใช้ตรงนี้ในการตัดสิน”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวลูบตรงตำแหน่งหัวใจ “จิตแพทย์ก็เหมือนกับกระจกบานหนึ่งที่สามารถส่องให้เห็นถึงต้นตอปัญหาของผู้เข้ารับคำปรึกษา เวลาที่พวกเรารักษาคนไข้ ก็เหมือนกับเราได้ส่องเห็นเงาตัวเองผ่านคนอื่น”


 


 


“เหมือนจะเข้าใจแล้วค่ะ…” ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็นึกถึงเรื่องทฤษฎีดวงวิญญาณที่สืออวี้พูดถึง หลังจากที่เธอกลับมาก็ได้ไปรักษาให้คนอื่นมาตลอด และในระหว่างนั้นเธอก็ค่อยๆเจอชิ้นส่วนวิญญาณของตัวเองที่หล่นหาย


 


 


“ค่อยๆเรียนรู้ไป รอเธออายุเท่าฉันเธอก็จะเข้าใจทั้งหมดเอง”


 


 


นี่เป็นการสนทนาช่วงมื้ออาหารกลางวันที่มีความหมายมาก เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเหมือนตัวเองโตขึ้นมาอีกหน่อย


 


 


มีเสียงคนเคาะประตู ศาสตราจารย์หลิวจึงไปเปิด


 


 


“เสี่ยวจ้าว?”


 


 


เสี่ยวจ้าวก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาของเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“ศาสตราจารย์หลิวคะฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วยเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้เฉินเสี่ยวเชี่ยนเรียนจบก่อน เกิดเรื่องกับเขาแล้วค่ะ มีคน…”


 


 


เสี่ยวจ้าวพูดไปได้ครึ่งทางก็เงยหน้าเห็นเสี่ยวเชี่ยนที่นั่งคาบตะเกียบอยู่ในห้องรับแขก


 


 


เสี่ยวเชี่ยนโบกมือให้เธอ “มีคนมาร้องเรียนหนูเรื่องรักษาคนไข้โดยไม่มีใบอนุญาตใช่ไหมคะ?”


 


 


เหอๆ มีคนทนไม่ไหวจริงๆด้วยสินะ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้อยู่แล้วว่าอาหญิงจะต้องมาเห่าใส่ ไม่ได้เกินความคาดหมายเลยสักนิด แอบอยากให้มีเรื่องสนุกเสียด้วยซ้ำ


 


 


“มันเรื่องอะไรกัน เข้ามาคุยก่อน” ศาสตราจารย์หลิวให้เสี่ยวจ้าวเข้าไปในห้องรับแขก


 


 


เสี่ยวจ้าวมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความลำบากใจ มาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเจ้าตัวจะดีเหรอ?


 


 


“มีอะไรก็พูดมาตรงๆได้เลยค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างสบายๆแล้วคีบเนื้อเข้าปากคล้ายกับไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ


 


 


“พูดมาเถอะ เด็กคนนี้ยังไม่เครียดเลย” เห็นได้ชัดว่าศาสตราจารย์หลิวยืนอยู่ข้างเสี่ยวเชี่ยน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนสังเกตตำแหน่งยืนของศาสตราจารย์หลิว ถึงแม้อาจารย์จะแสดงออกว่าวางตัวเป็นคนกลาง แต่ท่ายืนของเธอ ขาเอียงมาทางเสี่ยวเชี่ยน ท่าทางเล็กๆน้อยๆที่แสดงออกสามารถสะท้อนถึงสิ่งที่อยู่ในใจ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจดีถึงหลักการมีต้นไม้ใหญ่ให้พึ่งพิง ในช่วงที่ปีกเธอยังไม่แข็งแรงนี้ อยู่ในมหาวิทยาลัยพึ่งพาอาจารย์ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน อีกทั้งอาจารย์ก็เป็นคนที่ปกป้องลูกศิษย์ เรื่องนี้สร้างปัญหาไม่ได้อยู่แล้ว ครั้งนี้อาหญิงทำขายหน้าอีกแล้ว


 


 


“มีคนมาร้องเรียนกับพวกเราบอกว่าเฉินเสี่ยวเชี่ยนรักษาคนไข้โดยไม่มีใบอนุญาต หากทางมหาวิทยาลัยไม่มีคำอธิบายเรื่องนี้เขาก็จะเอาเรื่องนี้ไปร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก หากมีข่าวลอดออกไปจะไม่ดีต่อมหาวิทยาลัย เรื่องนี้เขาเข้ามาคุยกับคณบดีโดยตรง คณบดีไม่กล้าข้ามหน้าศาสตราจารย์หลิวเลยให้มาถามก่อนค่ะว่าจะเอาไง…”


 


 


“อะไรคือเอาไง? เขาบอกว่ามีก็มีงั้นเหรอ? หลักฐานล่ะ?” ศาสตราจารย์หลิวชักสีหน้า


 


 


“มีรูปถ่าย มีพยาน ฝ่ายนั้นพาอาจารย์สมัยมอปลายของเฉินเสี่ยวเชี่ยนมา อาจารย์ดูรูปถ่ายนี่สิคะ…”


 


 


เสี่ยวจ้าวยื่นรูปถ่ายให้ เสี่ยวเชี่ยนดูแล้วก็ขมวดคิ้ว


 


 


ในรูปเป็นตอนเมื่อวานเย็นที่หวางย่าเฟยยัดซองจดหมายใส่มือเธอ เป็นรูปถ่ายที่ต่อเนื่องกันตั้งแต่หวางย่าเฟยยัดซองจนหมายจนกระทั่งเธอเปิดซองจดหมายออกดู


 


 


อย่างกับละครน้ำเน่า


 


 


ให้ใครดูก็คงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


ลางสังหรณ์เมื่อวานของเธอนั้นถูกต้องแล้ว มีคนสะกดรอยตามเธอ


 


 


“จังหวะการถ่ายใช้ได้เลยนะคะ แต่ถ่ายหนูออกมาน่าเกลียดไปหน่อย ทำไมถึงได้ถ่ายมุมนี้นะ? ขาหนูดูสั้นไปเลย” เสี่ยวเชี่ยนวิจารณ์ภาพถ่าย


 


 


“นักศึกษาเฉินเสี่ยวเชี่ยน นี่เธอไม่รู้สึกถึงความร้ายแรงของปัญหานี้เลยเหรอ? เรื่องนี้มันเกี่ยวกับชื่อเสียงของทางมหาวิทยาลัยนะ ถ้าไม่สามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลได้ พวกเราคงต้องไล่เธอออกตามกฎ ทำให้เธอ…”


 


 


“ใครกล้ามาแตะต้องเขาเดี๋ยวได้เห็นดีกัน” ศาสตราจารย์หลิวตบโต๊ะ ไก่ทอดราสซอสกระเด้งขึ้นตามแรงตบ


 


 


“ศาสตราจารย์หลิวเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว…”


 


 


“ขนาดไหน? ฉันเป็นคนให้เขาไปฝึกงาน ใครบอกว่านั่นคือการรักษากัน? เอาเงินใส่ซองมาให้แล้วมีปัญหาอะไรเหรอ? งั้นที่ฉันเห็นเสียวหลี่ยัดเงินให้อธิการบดี เห็นเสี่ยวอู๋ลงมาจากรถรองคณบดีตอนดึกๆดื่นๆ แล้วก็เธอ…”


 


 


“ฉันไม่ได้ล่วงเกินอาจารย์เลยนะคะ” เสี่ยวจ้าวกลัวศาสตราจารย์หลิวมาก


 


 


ไม่มีใครกล้าหาเรื่องหญิงสูงวัยคนนี้ ในแวดวงคนในมหาวิทยาลัยไม่มีใครที่มีประวัติขาวสะอาดเท่าไร แต่ศาสตราจารย์หลิวกลับยึดถือแนวทางที่ใสสะอาดได้มาตลอด คนแบบนี้จุดที่น่ากลัวที่สุดอยู่ที่สามารถยอมพลีชีพพร้อมที่จะลากคนร่วมลงนรกไปด้วยกัน ดังนั้นพอได้ยินว่าเสี่ยวเชี่ยนอาจเป็นคนของศาสตราจารย์หลิว คณบดีจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เลยให้อาจารย์ระดับล่างมาหยั่งเชิงดูก่อน


 


 


ท่าทีของศาสตราจารย์หลิวเด็ดขาดมาก ใครกล้าแตะต้องเสี่ยวเชี่ยนแม้แต่ปลายเล็บเธอก็จะจัดการคนๆนั้นให้สิ้นซาก พูดได้ทำได้อย่างแน่นอน


ตอนที่ 490 อยากเจอจริงๆ

 

เสี่ยวจ้าวแค่มาลองถามดู ศาสตราจารย์หลิวยื่นคำขาด แสดงจุดยืนชัดเจน เธอต้องปกป้องเสี่ยวเชี่ยน ใครกล้าแตะต้องเสี่ยวเชี่ยนเธอก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด


 


 


หญิงสูงวัยคนนี้ไม่เคยสนใจเรื่องผลประโยชน์อะไรกับใครทั้งนั้น หากใครกล้ามายั่วโมโหก็พร้อมจะทำลายคนนั้น อย่าว่าแต่คณบดีเลย แม้แต่อธิการบดีเห็นเธอยังไม่กล้าทำอะไร ถึงชีวิตในมหาวิทยาลัยจะไม่ได้โอเคนัก แต่ก็เป็นเบอร์หนึ่งของบุคคลที่ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย


 


 


พอเห็นศาสตราจารย์หลิวแสดงท่าทีชัดเจนแบบนี้เสี่ยวจ้าวก็รู้สึกกลุ้มขึ้นมาทันที


 


 


“อันที่จริงเรื่องนี้จะว่าเล็กก็ไม่เล็กจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ถ้าอีกฝ่ายต้องการทำให้เป็นปัญหาขึ้นมาสถานการณ์คงไม่ส่งผลดีกับพวกเราเท่าไร อาจารย์ต้องเข้าใจพวกเรานะคะ งั้นเอาแบบนี้ดีไหมคะ ให้เฉินเสี่ยวเชี่ยนไปเจอคนๆนั้นเอง? ถ้าเรื่องนี้ไม่เป็นเรื่องจริงก็จะได้คืนความบริสุทธิ์ให้กับเด็กด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง เราจะไม่สนเรื่องชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยไม่ได้นะคะ”


 


 


“สนเรื่องชื่อเสียงเหรอ? แล้วตอนที่พวกเธอทำเรื่องที่คนเป็นอาจารย์ไม่ควรทำเคยคิดถึงชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยไหม? เขาไม่ได้ทำไม่จำเป็นต้องไปเจอใครทั้งนั้น พวกเธอจัดการได้ก็จัดการไป จัดการไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ ถ้ารอให้ฉันออกหน้าล่ะก็เรื่องใหญ่แน่”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวต้อนจนจนมุม เสี่ยวเชี่ยนแอบชื่นชมอาจารย์ที่ออกหน้าแทนอย่างเงียบๆ หญิงสูงวัยคนนี้พอทำแบบนี้แล้วเท่ห์ไม่เบา


 


 


“แต่ว่า คือ คือ…” เสี่ยวจ้าวจะมองไปทางไหนก็ลำบากใจ


 


 


เธอเป็นแค่คนกลาง จะล่วงเกินศาสตราจารย์หลิวก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้ากลับไปเผชิญหน้ากับอธิการบดี


 


 


เสี่ยวเชี่ยนดูอย่างสนุกสนานจนพอใจแล้วจึงยืนขึ้น


 


 


“เรื่องนี้ให้หนูจัดการเองค่ะ หนูรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”


 


 


“เฉินเสี่ยวเชี่ยน เรื่องนี้เธอไม่จำเป็นต้องออกหน้า ฉันจัดการเอง” ศาสตราจารย์หลิวคิดว่าเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของเธอ อย่าว่าแต่เพราะเสี่ยวเชี่ยนเป็นเด็กที่เธอชอบเลย เสี่ยวเชี่ยนรักษาให้หวางย่าเฟยก็เพราะเธอเป็นคนอนุญาต จะให้ปล่อยไปไม่สนใจไม่ได้


 


 


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าหนูจัดการไม่ดีอาจารย์ค่อยออกหน้าก็ได้ค่ะ หนูบริสุทธิ์ใจ”


 


 


สาเหตุที่เสี่ยวเชี่ยนทำแบบนี้หนึ่งคือ เธออยากจัดการอาหญิงให้เด็ดขาด สองคือเธอสามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน


 


 


แน่นอนว่าการหลบอยู่หลังอาจารย์นั้นย่อมปลอดภัยอยู่แล้ว แต่การไปผิดใจกับผู้บริหารคนอื่นด้วยไม่ใช่เรื่องที่ดี ต่อให้อีกฝ่ายไม่เล่นงานเธอเรื่องนี้ก็ยังมีโอกาสอีกเยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องต้องเพิ่มความวุ่นวาย


 


 


“ใช่ค่ะใช่ เธอคิดได้แบบนี้ก็ดี ฉันเชื่อในความสามารถของเธอว่าจะต้องจัดการเรื่องนี้ได้แน่นอน ทางที่ดีพวกเธอจัดการกันเองอย่างเงียบๆดีกว่า” เสี่ยวจ้าวพอใจกับท่าทีของเสี่ยวเชี่ยนมาก พยักหน้าไม่หยุด


 


 


เหมือนยกภูเขาออกจากอก โยนของร้อนออกจากมือได้แล้ว~


 


 


“งั้นเธอจัดการเรื่องเด็กที่สอบตกแบบเงียบๆด้วยหรือเปล่า? พวกเขาให้เครื่องสำอางหรือว่าให้กระเป๋าล่ะ?” ศาสตราจารย์หลิวพูดอย่างไม่ไว้หน้า เสี่ยวจ้าวรู้สึกอายมาก


 


 


หญิงสูงวัยคนนี้ปกติไม่ยุ่งเรื่องแบบนี้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสามารถปกปิดเธอได้


 


 


“อาจารย์กินข้าวต่อเถอะนะคะ ฉันขอตัวก่อนค่ะ”


 


 


เสี่ยวจ้าวรีบออกไปทันที


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแอบขำในใจ พอเห็นท่าทางที่ยังโมโหอยู่ของศาสตราจารย์หลิวเธอจึงพูดปลอบ


 


 


“อาจารย์จะไปโกรธพวกเขาทำไมคะ เรื่องแค่นี้เอง หนูมีวิธีจัดการค่ะ”


 


 


“เห็นคนพวกนี้แล้วหงุดหงิด วันๆทำงานขายผ้าเอาหน้ารอด พอเกิดเรื่องก็พูดจาผลักภาระให้คนอื่น หึ เรื่องแบบนี้อันที่จริงก็ไม่เห็นมีอะไร ทางมหาลัยทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ก็ได้แล้ว ยังจะให้เราจัดการ? เฮงซวย แสดงว่าคนที่มาร้องเรียนเป็นคนมีอิทธิพลพวกเขาถึงไม่กล้ามีเรื่องด้วย…เฉินเสี่ยวเชี่ยน นี่เธอไปก่อเรื่องไว้ใช่ไหม”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวกำลังโมโห แต่ท่าทางที่โมโหคนนอกกับคนในนั้นไม่เหมือนกัน ประโยคช่วงแรกเป็นการระบายความไม่พอใจกับประชดโลกแห่งความเป็นจริง ส่วนประโยคช่วงหลังเป็นท่าทีของผู้อาวุโสที่โมโหเด็กดื้อที่ไปก่อเรื่องข้างนอกมา”


 


 


“เปล่านะคะ อย่ามาปรักปรำหนู หนูจะไปหาเรื่องใครได้? ทางนั้นต่างหากที่ไม่เลิกรากับหนูซักที”


 


 


“เธอรู้เหรอว่าใคร?”


 


 


“รู้สิคะ อาหญิงของอวี๋ไข่เหล็ก น้องสาวของคุณอวี๋เว่ยกั๋ว น้องสามีของคุณฉีเจียว เขานั่นแหละค่ะ ลูกชายเขาเคยมีปัญหากับหนูมาก่อน คือเรื่องเป็นแบบนี้ค่ะ…”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เธอไม่ได้มองว่าอาจารย์เป็นคนนอก อีกอย่างเรื่องแบบนี้ถ้าไม่พูดให้เคลียร์ตั้งแต่แรก หญิงสูงวัยคนนี้ได้เคืองเธอไปอีกหลายปีแน่


 


 


เริ่มตั้งแต่เรื่องที่อาจารย์ประจำชั้นมอปลายของเธอรวมหัวกับพ่อเธอเอาใบตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยไปซ่อน ตามมาด้วยเรื่องหมั้นกับผู้ชายเฮงซวย แล้วก็ถือโอกาสเล่าเรื่องที่ว่ารู้จักกับอวี๋ไข่เหล็กได้ยังไงไปด้วย ไปจนถึงเรื่องที่ผิดใจกับอาหญิงครั้งแล้วครั้งเล่าจนกลายเป็นพลังแค้นอันยิ่งใหญ่…


 


 


ศาสตราจารย์หลิวฟังพลางหน้านิ่วคิ้วขมวด กัดฟันกรอดด้วยความแค้น


 


 


พอฟังถึงตอนท้ายศาสตราจารย์หลิวก็หน้าบึ้ง แล้วสรุปเหตุการณ์ชนิดที่เสี่ยวเชี่ยนถึงกับทำหน้าไม่ถูก


 


 


“อวี๋ไข่เหล็กตัวแสบนี่ทำเรื่องที่ลูกผู้ชายสมควรทำจริงๆ ดีมาก ได้ช่วยจิตแพทย์ของวงการพวกเราไว้”


 


 


เล่ามาตั้งยืดยาวได้บทสรุปแบบนี้ก็ตลกดีนะ


 


 


“ดังนั้นนี่เป็นสิ่งที่หนูคิดไม่ตกค่ะ หนูรู้ว่าระหว่างคนเราด้วยกันไม่ควรจะใช้ไม้แข็ง มันก็ยังพอจะมีวิธีที่นุ่มนวลอยู่ แต่หนูเห็นคนแบบอาหญิงเอะอะก็ทำให้เป็นเรื่อง จัดการไปได้ครั้งหนึ่ง เว้นไปสักพักก็เป็นบ้ากลับมาหาเรื่องอีก จัดการเสร็จก็เอาอีก อาจารย์ว่าชีวิตที่สวยงามของคนเราทำไมจะต้องมานั่งปวดหัวกับคนที่มีแนวโน้มเป็นโรคจิตด้วยถูกไหมคะ?”


 


 


ครั้งนี้เสี่ยวเชี่ยนตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการเอาให้อาหญิงกลับมาหาเรื่องไม่ได้อีก ครั้งเดียวอยู่หมัด ไม่อยากปวดหัวอีกแล้ว น่ารำคาญ


 


 


“ผู้หญิงบ้าที่ไม่รู้จักโตแบบนี้สมองไม่ได้เรื่องจิตใจยังเลวร้ายอีก เมื่อก่อนตอนที่รังแกฉีเจียวฉันก็ทนไม่ไหวแล้ว นึกไม่ถึงว่าหลายปีมานี้ยังสำนึกไม่ได้ ฉันจะไปหาเขา ฉันจะไปคุยกับเขาเรื่องเมื่อตอนปี83ที่แฟนของเขาไปทำงานต่างที่แล้วเขาไปเที่ยวกลางคืนกับผู้ชายอายุมาก”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตา “อาจารย์เป็น007เหรอคะ?”


 


 


เรื่องแบบนี้ยังรู้? มหัศจรรย์มาก


 


 


“แย่มาก บังอาจมารังแกคนของฉัน ฉันจะไปหาเขา อายุปูนนี้แล้วไม่รู้จักไปทำสวนปลูกดอกไม้ วาดรูปเล่นดนตรีสงบจิตสงบใจ วันๆเอาแต่หาเรื่องคนอื่น”


 


 


“อาจารย์อย่าไปเลยค่ะ นี่เป็นเรื่องระหว่างหนูกับเขา หนูไปจัดการเองดีกว่า”


 


 


“เธอน่ะเหรอ?”


 


 


“ค่ะ มีเหตุก็ต้องมีผล ถึงเวลาที่หนูควรจัดการให้มันจบๆไปเสียที ถ้าหนูไม่ไหวอาจารย์ค่อยยกเรื่องผู้ชายแก่คนนั้นมาพูด…อาจารย์คะ เขามีชู้ตอนสาวๆจริงเหรอคะ?”


 


 


ดูไม่ออกเลยว่าอาหญิงจะเป็นคนแบบนั้นด้วย


 


 


“หึ ทำอะไรลงไปรู้ดีแก่ใจ ถ้ากล้าทำก็อย่ากลัวว่าคนอื่นจะรู้ เสี่ยวเชี่ยน จิตแพทย์อาจเป็นอาชีพที่รู้ความลับของคนอื่นเยอะที่สุด อีกหน่อยเธอก็จะได้รู้ความลับของคนอื่นมากขึ้น ซึ่งเธอก็ต้องช่วยพวกเขาเก็บเป็นความลับ ห้ามเอาไปพูดส่งเดช มันไม่สมควร”


 


 


“…ดังนั้นอาจารย์เลยจะปกปิดความลับแบบให้โลกรู้?” พูดมาเสียดิบดี ตบท้ายด้วยเรื่องจรรยาบรรณซะงั้น อาจารย์ตลกจัง


 


 


“หึ” ศาสตราจารย์หลิวหันหน้าหนีด้วยท่าทางเชิ่ดๆ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มมุมปาก ถึงเวลาที่จะได้แสดงความสามารถของตัวเองแล้ว อาหญิง อยากเจอหน้าจริงๆ 

 

 


ตอนที่ 491 จะยอมได้ยัง

 

“ประธานเชี่ยน ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ? จะไปเจอใครเหรอ?”


 


 


สืออวี้เดินวนรอบเสี่ยวเชี่ยนไปๆมาๆ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนก้มมองสำรวจเสื้อผ้าตัวเอง “มันแปลกเหรอ?”


 


 


“มันดูเป็นทางการมาก เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนใส่ชุดขาวแล้วให้ความรู้สึกเย็นชา มองเธอแล้วรู้สึกเครียดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนตบบ่าสืออวี้ “สมกับที่เรียนด้านศิลปะ เซ้นส์เป๊ะมาก”


 


 


เธอต้องการทำตัวสร้างแรงกดดันให้อาหญิง เดี๋ยวเธอกำลังจะไปจัดการกับอาหญิงให้รู้เรื่อง


 


 


“แปลกจัง ต้าอีอยู่หอก็ชอบใส่เดรสขาว ทำไมให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับเธอใส่เลยล่ะ?” สืออวี้พูดด้วยความสงสัย


 


 


เสี่ยวเชี่ยนสวมเสื้อกันลมตัวยาวสีขาวยี่ห้อOnly ข้างในสวมเสื้อเชิ้ตงานดีสีเดียวกัน กางเกงสูทขากระบอกแฟชั่น รองเท้าส้นสูง8เซนติเมตร ผมปล่อยยาวสยายลงมา สวมแว่นกันแดดสีชา ไปยืนที่ไหนไม่เพียงแต่จะดูสง่าแล้ว ยังดูมีบุคลิกที่ข่มคนข้างๆได้อย่างง่ายดาย ยิ่งถ้าเอามือเสยผมยิ่งให้ความรู้สึกอีกแบบ


 


 


“ที่เธอรู้สึกเครียดขึ้นมาเป็นเพราะช่วงนี้เธอเป็นกังวลเรื่องตัวเองกับพี่ชายไง สีที่ต่างกันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกับคนในแต่ละอารมณ์ สีขาวให้ความรู้สึกเย็นชา สร้างแรงกดดัน สีแดงทำให้คนคิดมากกับรู้สึกหงุดหงิดใจ วันนี้ถือว่าฉันเมตตาอยู่นะที่ไม่ใส่สีแดงไปเจอเขา”


 


 


นักจิตวิทยาค่อนข้างพิถีพิถันเรื่องการใช้สี เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าต้องแต่งตัวแบบไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


 


 


“ฉันกลับรู้สึกว่าคนหุ่นไม่ดีใส่สีขาวไม่เพียงแต่จะทำให้คนอื่นเครียดแล้วยังจะทำให้ดูเผละด้วย ช่วงนี้ฉันน้ำหนักขึ้นตั้งโลกว่า แต่ฉันคิดดูแล้วพี่เฉียวเจิ้นคงไม่แคร์เรื่องฉันอ้วนหรอก เขาไม่ใช่ผู้ชายที่สนเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก”


 


 


สืออวี้เพ่งความสนใจไปที่หุ่นของเสี่ยวเชี่ยน ประธานเชี่ยนหุ่นดีจริงๆ เอวเล็กมาก


 


 


เนื่องจากความสัมพันธ์ของเธอกับพี่เฉียวเจิ้นคืบหน้าไปมาก เธอจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ชอบกินจุกจิก แล้วทุกอย่างก็ไปลงที่หุ่น เนื้อหนังมากองเป็นภูเขา จะไม่ให้อ้วนได้ไง


 


 


“เลิกหาข้ออ้างกินจุกจิกได้แล้ว เป็นผู้หญิงต้องโหดๆกับตัวเองหน่อย ใส่เสื้อผ้าที่แพงที่สุดที่เธอซื้อได้ รักษารูปร่างให้เพอร์เฟคที่สุด การจะรักคนๆหนึ่งเริ่มที่รูปร่างหน้าตา ตามมาด้วยรสนิยม ถ้าพี่เธอหน้าตาเหมือนดาวตลกเธอยังจะชอบเขาไหม? เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเธออ้วนถึงร้อยโลเขายังจะซื่อสัตย์กับเธออยู่อีกสักเท่าไรกัน? ต่อไปถ้าจะจึ๊กกันต้องปิดไฟ แล้วพอเขาคลำเจอห่วงยางรอบตัวเธอ ไม่แน่อาจคิดว่านั่นเป็นหน้าอกเธอนะ…”


 


 


“อ๊า ปากร้ายมาก” สืออวี้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง


 


 


นึกถึงภาพนั้นแล้วก็อดขนลุกไม่ได้


 


 


เสี่ยวเชี่ยนตบบ่าสืออวี้ แล้วมองน่องไก่ทอดที่วางอยู่บนเตียงสืออวี้อย่างสื่อความหมาย จากนั้นก็ส่ายหน้า


 


 


“จากมุมมองทางจิตวิทยาการมองคนที่รูปร่างหน้าตานับเป็นเรื่องที่อยู่ในหลักการ ภาพลักษณ์ของเธอเป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติตัวเอง และก็ให้เกียรติคนอื่น ในฐานะที่เป็นผู้หญิงการใช้ชีวิตอย่างพิถีพิถันก็ถือเป็นการให้เกียรติชีวิตเราเองด้วยนะ”


 


 


พอเสี่ยวเชี่ยนไปแล้วสืออวี้ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ส่องกระจกของโรงแรมอยู่อย่างนั้น แล้วดึงพุงน้อยๆของตัวเองเล่น


 


 


“คิดว่าเนื้อตรงท้องเป็นนมงั้นเหรอ? นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ ประธานเชี่ยนปากร้ายจริงๆ”


 


 


ตอนที่สืออวี้เอาน่องไก่เก็บขึ้นเพราะเป็นอุปสรรคในการลดน้ำหนัก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง ประธานเชี่ยนจะไปพบใครกันเธอยังไม่ได้ถามเลย


 


 


จะว่าไปดูเหมือนช่วงนี้บุคลิกประธานเชี่ยนจะกู่ไม่กลับแล้ว รู้สึกว่าหลังจากที่ได้เจอกับหัวหน้าอวี๋ครั้งล่าสุดประธานเชี่ยนก็ดูสุขุมนิ่งมากขึ้น


 


 


เสี่ยวเชี่ยนใจนิ่งลงไปมาก ไม่ค่อยหงุดหงิด มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ความสัมพันธ์กับอวี๋หมิงหลางมั่นคง บวกกับการได้อยู่กับศาสตราจารย์หลิวทำให้เธอมีความคิดที่แตกต่างออกไปจากเดิมในด้านอาชีพ ดังนั้นพลังจึงเต็มเปี่ยมขึ้นทุกวัน


 


 


เรื่องบางเรื่องที่คิดไม่ตกมาตลอด พอเจอทางออกก็ทำให้รู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้นมา แล้วอาหญิงดันเข้ามาหาเรื่องในช่วงที่เสี่ยวเชี่ยนพลังร้ายกาจขั้นสุดพอดี


 


 


ถือว่าซวยมาก


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไปยังโรงแรมที่อาหญิงกบดานอยู่ตามที่อยู่ที่เจิ้งซวี่ให้มา อาหญิงที่สวมชุดนอนมาเปิดประตูออกอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด


 


 


“ทำไมเป็นแก?”


 


 


“ค่ะ ฉันเอง”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนดันตัวอาหญิงออกแล้วเดินเข้าไปข้างในด้วยท่าทางเชิ่ดๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา เธอทำตัวตามสบายจนอาหญิงโมโห


 


 


“ยัยเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ฉันอนุญาตให้เธอเข้ามาแล้วหรือไง? แม่เธอสอนเธอมายังไง พวกเด็กบ้านนอกไร้มารยาทจริงๆ” อาหญิงมองเหยียดเสี่ยวเชี่ยน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด มองหน้าหาเรื่อง


 


 


“คนผู้รากมากดีอย่างคุณก็ใช่ว่าจะดีเด่มาจากไหน เรื่องที่แทงฉันลับหลังยังไม่ได้รับอนุญาตจากฉันเลยนะคะ จริงไหม?”


 


 


“แก” อาหญิงนึกไม่ถึงว่าเสี่ยวเชี่ยนจะกล้ามาหาเรื่องถึงที่ และที่นึกไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือเสี่ยวเชี่ยนมาถึงก็งัดไพ่ใบสุดท้ายออกมาทันที


 


 


พอนึกถึงลูกชายที่ยังอาการหนักในใจก็หงุดหงิดขั้นสุด อาหญิงอยากไปดูลูกแต่สามีไม่อนุญาต ความโกรธแค้นนี้จึงมาลงที่เสี่ยวเชี่ยน ดังนั้นอาหญิงจึงพูดจาอย่างไม่เกรงใจ มองเสี่ยวเชี่ยนอย่างดูถูก แล้วพูดจายโสใส่


 


 


“ฉันแทงแกข้างหลังไปแล้ว แกเตรียมลาออกได้เลย ฉันทนแกไม่ไหวมานานแล้ว เพราะการปรากฏตัวของแกทำให้ครอบครัวที่สงบของฉันเกิดเรื่องขึ้นมากมาย นี่เป็นผลจากการกระทำของแก”


 


 


“ตอนฉันห้าขวบฉันชอบจอมยุทธ์คิ้วขาวมาก หวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะได้พิทักษ์ความยุติธรรมแบบจอมยุทธ์คิ้วขาวบ้าง”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดคนละเรื่อง เล่นเอาอาหญิงถึงกับงง


 


 


“แกมาบอกฉันทำไม?”


 


 


คุยกันอยู่ดีๆก็ลากยาวไปเรื่องความเพ้อฝันในวัยเด็ก?


 


 


“ฉันหมายความว่า มนุษย์มักจะคิดแต่เรื่องที่สวยงาม ใครๆต่างก็มีความปรารถนา แต่โลกนี้มักไม่เป็นไปตามที่เราหวัง เพราะคุณไม่ใช่พระเจ้า คุณไม่มีอำนาจตัดสินชะตาคนอื่น คุณคิดจะ ‘ให้ผลจากการกระทำ’ กับฉันก็เหมือนกับที่ฉันอยากเป็นจอมยุทธ์คิ้วขาวในวัยเด็กนั่นแหละ แต่ตอนฉันห้าขวบน่ะยังไร้เดียงสาอยู่เลย คุณอายุปูนนี้แล้วทำไมยังคิดเพ้อเจ้ออยู่อีกนะ?”


 


 


“แก” อาหญิงชี้หน้าเสี่ยวเชี่ยนด้วยความโมโห พูดไม่ออกอยู่นาน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแสยะยิ้ม “ความไร้เดียงสาของคุณ ความไม่รู้จักโตของคุณ ความหวังลมๆแล้งๆของคุณ ทำให้คุณทำคนอื่นเดือดร้อนเพื่อวัตถุประสงค์ของตัวเอง สุดท้ายก็ต้องรับผลกรรมที่ตัวเองก่อ แต่คุณไม่เพียงแต่จะไม่สำนึกยังคิดหาทางลงมือกับคนที่ฉลาดกว่าคุณมีคนหนุนหลังแข็งยิ่งกว่าคุณ รู้ไหมว่าแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร? หาเรื่องให้คนอื่นเขาดูถูกไง”


 


 


“มันจะมากเกินไปแล้วนะ แกมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้” อาหญิงมีแต่คนเอาใจมาทั้งชีวิต ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้ใส่


 


 


“ก็สิทธิ์ที่ฉันมีวุฒิภาวะกว่าไง ฉลาดกว่า มีคนสนับสนุนมากกว่า ฉันพูดแบบนี้แล้วจะยอมได้ยัง?”

 

 

 


ตอนที่ 492 เลียนแบบ

 

ได้ยินคนพูดบ่อยๆว่า เด็กดื้อเอาแต่ใจพอโตเดี๋ยวก็ดีขึ้น


 


 


แต่จะเป็นแบบนั้นจริงเหรอ?


 


 


ที่โตน่ะมีแค่ตัว หลายคนใจไม่โตตามด้วย อาหญิงก็คือคนแบบนั้นนั่นแหละ


 


 


“คุณเกิดมาในตระกูลที่ดี พ่อแม่คุณตามใจคุณ พี่ชายพี่สะใภ้ก็ยอมคุณ สามีคุณเห็นแก่บารมีของครอบครัวคุณเลยยอมให้ทุกอย่าง เด็กน้อยที่อยู่ในใจคุณไม่เคยต้องเจอความลำบากอะไร คนที่ไม่เคยถูกทำร้ายจิตใจยากที่จะเติบโต ดังนั้นพฤติกรรมของคุณทุกอย่างในสายตาฉันจำกัดความได้คำเดียว ไม่รู้จักโต”


 


 


“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกกล้าว่าฉันแบบนี้เลยเรอะ”


 


 


ช่วงนี้อาหญิงมีเรื่องประเดประดังเข้ามาในชีวิตมากมายเหลือเกิน ความสง่าแบบผู้ดีที่เคยมีก็หายไปจนหมดสิ้น ดูแก่ทรุดโทรม กลายเป็นคนโมโหร้าย


 


 


“ค่ะ คุณมันคนดันทุรังไม่รู้จักโต อีกทั้งยังเป็นโรคชอบเพ้อเจ้อเบาๆด้วย ชอบเอาทัศนคติตัวเองไปยัดเยียดให้คนอื่น ทำได้ทุกอย่างเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเอง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆคงได้ใกล้ไปหาจิตแพทย์แล้วล่ะ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดปนสงสารเล็กน้อย สายตาของเธอมองเหยียดๆเสียดแทงเข้าไปถึงส่วนลึกจิตใจของอาหญิง


 


 


“แกสิบ้า ฉันไม่ได้ป่วย พวกแกมันชอบรังแกคนอื่น”


 


 


“เฮ้อ…จะว่าไงดีล่ะ คุณมาจนถึงขั้นนี้ได้คนในครอบครัวคุณก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ พวกเขาให้คุณเยอะเกินไป ทำให้คุณรู้จักแต่จะเป็นฝ่ายรับเพียงอย่างเดียว พวกเขากลับลืมสอนคุณให้รู้จักใช้ชีวิต รับมือกับอุปสรรค จิตใจของคุณอยู่ในสภาวะที่กินเท่าไรก็ไม่อิ่มอยู่เสมอ มักจะรู้สึกขาดแคลนความรัก อันที่จริงตัวคุณเองก็ไม่ได้มีความสุข”


 


 


“ทำไมฉันจะไม่มีความสุข ฉันมีครอบครัว มีกิจการ สามีฉันก็ตำแหน่งใหญ่โต แล้วจะไม่มีความสุขได้ยังไง”


 


 


“ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไงคุณก็ไม่รู้สึกมีความสุข จิตใจคุณมักจะปรารถนาในสิ่งที่เกินตัว สำหรับคนที่มีนิสัยดันทุรังแบบคุณ มันได้ก่อตัวเป็นทัศนคติอันเลวร้ายที่มีต่อโลกใบนี้ไปแล้ว เทวดาก็ช่วยคุณไม่ได้ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงความคิดอันดื้อรั้นของคุณได้ ดังนั้นการที่ฉันมาไม่ได้จะมาสั่งสอนอะไรหรอก ความคิดบิดเบี้ยวของคุณใครก็ช่วยคุณไม่ได้”


 


 


“แล้วแกมาทำไม” อาหญิงอยากจะหยิบไม้มาไล่เสี่ยวเชี่ยนออกไป


 


 


“ฉันมาเพื่อต้องการบอกคุณว่าฉันจะทำไงกับคุณ ฉันไม่เหมือนกับคุณหรอกนะ คุณเอาเรื่องที่ฉันถูกลักพาตัวไปแพร่กระจายในหมู่ญาติ เอาเรื่องพี่รองกับต้าอีไปบอกคนตระกูลหวาง ตอนนี้ยังคิดจะหาเรื่องบีบให้ฉันลาออกจากมหาลัย เรื่องพวกนี้เป็นฝีมือคุณถูกไหมล่ะ?”


 


 


 ตอนเสี่ยวเชี่ยนพูดเธอเอามือล้วงกระเป๋าแอบกดปากกาบันทึกเสียง


 


 


“ฉันทำแล้วยังไงล่ะ ก็ฉันเหม็นขี้หน้าแก แต่น่าเสียดายที่แกมันดวงแข็ง ฉันทำลายแกไม่ได้น่าผิดหวังจริงๆ”


 


 


“ฉันไม่ชอบใครก็แสดงความไม่พอใจออกไปซึ่งๆหน้า เรื่องแทงคนอื่นลับหลังแบบนี้ฉันทำไม่เป็น มันทำให้ภาพลักษณ์ฉันดูแย่”


 


 


“แกน่ะเหรอ? แกมีสิทธิ์อะไรกล้ามาทำฉัน แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร” ถูกคนที่ต่ำกว่าหาเรื่องเป็นความรู้สึกที่แย่มาก ในใจของอาหญิงเหมือนมีไฟแผดเผา


 


 


“ฉันไม่ได้เป็นใครทั้งนั้น ฉันเป็นแค่ผู้หญิงที่อวี๋หมิงหลางชอบ เป็นลูกสะใภ้ที่พ่อแม่เขาชอบ อีกอย่างฉันเป็นคนที่มีสมอง ตอนที่คุณคิดจะเล่นงานฉัน เคยคิดไหมว่าตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นคนชนชั้นล่างของสังคมที่อยู่ในครอบครัวยากจนแบบที่คุณคิดอีกแล้ว? คุณทำฉันก็เหมือนทำตระกูลอวี๋ คุณแน่ใจเหรอว่าทำแบบนี้แล้วจะเป็นการไว้หน้าพี่ชายคุณ? สิ่งที่คุณคิดมีแค่เฉินเสี่ยวเชี่ยนผู้หญิงที่คุณเกลียด แต่กลับไม่คิดว่าคุณทำฉันก็เท่ากับทำร้ายตระกูลอวี๋ของคุณเอง”


 


 


“แกเนี่ยนะคนตระกูลอวี๋ ฉันไม่เคยยอมรับ แกมันไม่คู่ควร”


 


 


“ดูสิ ฉันบอกว่าคุณเป็นโรคชอบเพ้อเจ้อ คุณไม่ยอมรับแล้วฉันเกี่ยวอะไรด้วย? ฉันเป็นสะใภ้คนเล็กที่ผ่านการหมั้นหมายแล้วของตระกูลอวี๋ คุณเป็นผู้หญิงที่แต่งออกไปแล้ว ไม่รู้จักใช้ชีวิตให้ดี คิดแต่จะมายุ่งเรื่องทางบ้านพ่อแม่ตัวเอง ว่างมากนักใช่ไหม? คุณอยากยุ่งแล้วพี่สะใภ้อนุญาตหรือยัง? คุณไม่ต้องพูดอะไร ฉันรู้ว่าคุณจะพูดประมาณว่าคุณคิดยังไงโลกก็ต้องเป็นแบบนั้น คุณไม่ใช่เทวดา นอกจากตัวคุณเองแล้วใครก็ควบคุมคุณไม่ได้หรอก เข้าใจไหม?”


 


 


เห็นอาหญิงหายใจแรงด้วยความโมโห แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับยังทำมาดนิ่งทำตัวเหนือกว่า


 


 


เธอพูดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว


 


 


“ตอนนี้มาพูดเรื่องฉันจะเอาไงต่อไปดีกว่า คุณชอบเล่นเกมร้องเรียนกับทำเรื่องให้เป็นที่วิพากย์วิจารณ์ไม่ใช่เหรอ? ฉันก็จะเอาอย่างคุณนั่นแหละ เลียนแบบประสบการณ์ที่มีมากมายของคุณ วันต่อๆไปคุณลองเดาดูสิว่าหมู่บ้านที่คุณอยู่เขาจะคุยเรื่องอะไรกัน? ลูกชายนอนโรงพยาบาลคุณยังไม่ไปดูแล ดั้นด้นข้ามวันข้ามคืนมาถึงเมืองนี้ เปิดห้องโรงแรมอยู่กับเด็กหนุ่ม ฉันแถมรูปถ่ายเข้าออกโรงแรมให้ด้วยอะ ฉันจะไปยัดเงินให้พนักงานเค้าเตอร์เอาข้อมูลการเปิดห้องของคุณมาให้ด้วยก็ได้นะ จึ๊ๆ มีร้อยปากก็ฟังไม่ขึ้นหรอก”


 


 


“ไร้สาระ ฉันไม่ได้แอบมีชู้ แกรักษาคนไข้โดยไม่มีใบอนุญาตจริงๆ แต่ฉันอยู่ตัวคนเดียว”


 


 


โคลนนี้ถูกสาดมาชนิดที่อาหญิงรับมือไม่ทัน


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาเสี่ยวเชี่ยนไม่เคยออกไพ่ตามกฎอยู่แล้ว วิธีที่เธอรับมือกับคนบางครั้งก็ไม่ได้ใสสะอาดเช่นกัน แต่สะใจสุดๆ


 


 


“นั่นสิคะ ฉันมันไร้สาระ แต่คนอื่นเขาจะเชื่อคุณไหมนะ? เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับทฤษฎีทางจิตวิทยาที่น่าสนุกอยู่ทฤษฎีหนึ่งนะคะ จิตวิทยามีแขนงหนึ่งที่เรียกว่าจิตวิทยาข่าวลือ พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้นี่แหละ ข่าวลือมักจะมีทางแทรกซึมเข้าไปในจิตใจคนอย่างเงียบๆก่อนที่ผู้คนจะตั้งข้อสงสัย ข่าวลือที่แข็งแกร่งที่สุดจะทำให้ความจริงต้องชิดซ้าย ดังนั้นหลายคนจึงยอมที่จะเชื่อข่าวลือมากกว่าเชื่อความจริง”


 


 


“ไม่มีทาง ไม่มีทาง…” อาหญิงโมโหจนตัวเกร็งไปหมด


 


 


“ฉันจะบอกให้นะ ข่าวลือที่จะเผยแพร่ออกไปได้สำเร็จต้องมีครบตามกฎเก้าข้อ หนึ่งในนั้นก็คือ ข่าวลือนั้นจะต้องอยู่ในความคาดหมายและสมเหตุสมผล อย่างเช่นฉันบอกว่าคุณลักลอบคบชู้ นี่ก็เป็นไปตามที่คนทั่วไปคาดคิดเรื่องชีวิตของสาวตระกูลดีทั้งหลาย ส่วนเรื่องสมเหตุสมผล ได้ยินว่าอาเขยกำลังจะหย่ากับคุณ เดิมทีสาเหตุก็ไม่ชัดเจนอยู่แล้ว แล้วถ้าข่าวลือนี้แพร่ออกไปคิดว่ามีน้ำหนักไหมล่ะ?”


 


 


ผู้คนที่ไม่เคยได้สัมผัสกับชีวิตบางแบบก็มักจะมีการคาดเดากันไปต่างๆนานา เพราะไม่เคยได้สัมผัสกับคนที่มีชีวิตดีๆแบบอาหญิง คนพวกนั้นก็จะมีความคิดอยู่บนพื้นฐานความอยากรู้อยากเห็นบวกความอิจฉา ความรู้สึกนี้หากมีอะไรไปกระตุ้นเข้าหน่อยก็เหมือนเติมปีกให้กับจินตนาการ


 


 


“ก่อนหน้านี้ฉันไม่อยากยุ่งกับคุณหรอก เพราะคุณลืมไปแล้วว่าคุณแซ่อวี๋ แต่ฉันไม่ลืมว่าในอนาคตฉันต้องแต่งกับอวี๋หมิงหลาง ฉันรู้ว่าเรื่องในครอบครัวพอปิดประตูจะทะเลาะกันยังไงก็ได้ แต่ถ้ารู้ไปถึงคนภายนอก คนที่อับอายก็คือคนในครอบครัวตัวเอง คนอื่นเขาไม่สนหรอกว่าคุณมีบุญคุณอะไรกับเขา สนกันแต่ว่าตระกูลอวี๋ทะเลาะกันเองแล้ว แต่คุณวางใจได้ ฉันทำอะไรฉลาดเสมอ ก่อนที่ฉันจะทำลายชื่อเสียงคุณจนเละเทะฉันมีมาตรการป้องกัน ไม่ลากพ่อแม่สามีฉันมาเกี่ยวด้วยแน่นอน ฉันต้องปกป้องชื่อเสียงของพวกเขา”


 


 


พอเสี่ยวเชี่ยนบอกความคิดของตัวเองจบก็ลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปยิ้มกว้างให้อาหญิงที่ยืนงงอยู่


 


 


“ความฉลาดเป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณไม่มี ฉันมาบอกคุณแล้วนะว่าฉันจะทำไงต่อจากนี้ เตือนแล้วนะเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน บ๊ายบาย”


 


 


เสื้อคลุมกันลมสีขาวพลิ้วไปตามจังหวะหันตัวอันสง่างามของเสี่ยวเชี่ยน เธอเดินออกไปอย่างมาดมั่น

 

 

 


ตอนที่ 493 แก้ปัญหาอย่างสมบูรณ์แบบ

 

 


 


เห็นได้ชัดเลยว่าการมาเยือนของเสี่ยวเชี่ยนครั้งนี้สร้างแรงโจมตีให้อาหญิงได้อย่างมหาศาล


 


 


ถ้าเสี่ยวเชี่ยนทำตามวิธีของตัวเองจริงๆ อาหญิงไม่มีทางสู้กลับได้เลยสักนิด แพ้ราบคาบ


 


 


อีกหลายวันข้างหน้าอาหญิงจะใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง


 


 


วิธีที่เสี่ยวเชี่ยนใช้กับเธออันที่จริงก็คือวิธีที่เธอทำกับเสี่ยวเชี่ยน


 


 


เพียงแต่อาหญิงไม่ได้ทำให้เสี่ยวเชี่ยนสะเทือนเลยสักนิด แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับจับจุดอ่อนของเธอได้


 


 


เสี่ยวเชี่ยนออกมาจากที่อาหญิงก็ตรงไปที่เมืองQ เอาเสียงของอาหญิงที่บันทึกไว้มอบให้พ่ออวี๋แม่อวี๋


 


 


ตอนที่คุยกับอาหญิง เธอเลือกบันทึกเสียงเฉพาะตรงที่มีประโยชน์กับเธอ


 


 


หลังจากที่พ่ออวี๋แม่อวี๋ฟังจบก็โมโหสุดขีด โดยเฉพาะพ่ออวี๋ที่เป็นคนตรงไปตรงมา พอฟังจบก็พูดออกมาแค่ว่าไม่ได้เรื่อง แล้วถีบประตูเดินออกไปที่ห้องรับแขก


 


 


แม่อวี๋เองก็ไม่ได้โมโหน้อยไปกว่ากัน เสี่ยวเชี่ยนบันทึกได้มีคุณภาพเนื้อเน้นๆ ช่วงที่เธอพูดจาโจมตีอาหญิงถูกลดทอนออกไป แต่ช่วงที่อาหญิงยอมรับว่าทำเรื่องไม่ดีถูกเน้นออกมา


 


 


ใครฟังก็ต้องคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนเด็กดีปะทะกับอาหญิงที่ไม่รู้จักโต


 


 


พ่ออวี๋โมโหจนถีบประตูออกไปแล้ว ส่วนแม่อวี๋เดินไปเดินมาด้วยความโกรธ


 


 


“น่าโมโหที่สุด แย่มากจริงๆ”


 


 


“ความผิดหนูเองค่ะคุณน้า ถ้าหนูอดทนก็คงดี” เสี่ยวเชี่ยนขอโทษอย่างไม่มีความจริงใจสุดๆ


 


 


“นี่มันไม่ใช่ปัญหาของหนูตั้งแต่แรกแล้วจ้ะ หนูทำดีแล้ว น้าโกรธที่อาหญิงไม่รู้จักโตสักที อายุปาเข้าไปขนาดนี้แล้วทำไมถึงได้ทำเรื่องเด็กๆแบบนั้น? แย่ที่สุด”


 


 


แม่อวี๋โมโหมากไม่ไหวแล้ว


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยืนตรงก้มหน้า ทำท่าทางเป็นเด็กน่าสงสาร


 


 


แต่ในใจคิดว่า วิธีของเธอดูจะเป็นนางร้ายมากไปหน่อย แต่ทำไงได้ ใครใช้ให้อาหญิงแผนเยอะนัก มีแต่วิธีแบบนี้แหละถึงจะเอาอยู่


 


 


ทำตัวยืนอยู่ข้างศีลธรรม ทำตัวเองให้ชัดเจน สุดท้ายยังสามารถยืมมือของพ่ออวี๋แม่อวี๋จัดการอาหญิงได้ ความโกรธได้ระบายออกไปแล้ว ครั้งนี้อาหญิงได้กลัวจนหัวหดแน่


 


 


เรื่องนี้เสี่ยวเชี่ยนได้ประเมินส่วนได้ส่วนเสียไว้ก่อนแล้ว ถ้าทำตามวิธีที่เธอพูดทำลายชื่อเสียงของอาหญิงเอาให้ลุกขึ้นยืนไม่ได้อีก สะใจก็จริง แต่ผลที่ตามมาอาจมีมากกว่านั้น


 


 


ไม่มีกำแพงที่ลมผ่านไม่ได้ ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของพลตรีอวี๋ที่ให้ความสำคัญกับพี่น้อง เธอก็อาจจะกลายเป็นคนที่ใจไม้ไส้ระกำในสายตาตระกูลอวี๋


 


 


อวี๋หมิงหลางเป็นผู้ชายที่ปกป้องคนของตัวเอง เขาไม่มีทางว่าอะไรเธอเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเขาจะคิดอย่างไร ต่อให้อาหญิงมีความผิดจริง แต่การที่เสี่ยวเชี่ยนข้ามหัวผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งสองไปจัดการอาหญิง จากคนที่มีเหตุผลก็อาจจะกลายเป็นไร้เหตุผลได้


 


 


การขู่อาหญิงเสร็จแล้วค่อยมาจัดการทางด้านพ่ออวี๋แม่อวี๋ ไม่เพียงแต่จะรับประกันเรื่องที่อาหญิงจะไม่ก่อเรื่องอีก ยังได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าพ่ออวี๋แม่อวี๋ด้วย อาหญิงเมื่อเทียบกับเสี่ยวเชี่ยนแล้วตอนนี้อยู่กันคนละระดับ


 


 


“ยังดีนะที่หนูเป็นเด็กฉลาด ไม่อย่างนั้นคนอย่างอาหญิงอาจจะไปก่อเรื่องอย่างอื่นอีก เรื่องนี้หนูจัดการได้ดีมากจ้ะ น้ารับรองนะว่าจะให้ความยุติธรรมกับหนู เรื่องที่เขาทำสมัยสาวๆน้าอดทนมาเกินพอ แต่เขาแก่แล้วกลับยังคิดไม่ได้ ยังกล้ายุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่นอีก น้าให้อภัยไม่ได้แล้ว”


 


 


แม่อวี๋แค้นอาหญิงทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ โมโหจนควบคุมตัวเองไม่ได้


 


 


“งั้นคุณลุงจะว่าอะไรหนูหรือเปล่าคะ?”


 


 


“เขาไม่พอใจก็ไม่มีประโยชน์ อาหญิงทำถึงขนาดนี้แล้วความผิดครึ่งหนึ่งก็มาจากพี่ที่ไม่ได้เรื่องอย่างพวกเขานั่นแหละ บอกให้หัดควบคุมน้องสาวตัวเองบ้างตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่ลงมือทำกัน แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้งามหน้านัก สาเหตุที่แท้จริงก็ตาแก่นั่นแหละ”


 


 


แม่อวี๋เริ่มเสียงดัง พ่ออวี๋ที่สูบบุหรี่อย่างใจเย็นอยู่ในห้องรับแขกได้ยินเข้าจึงเดินเข้ามาด้วยความโมโหแล้วชี้แม่อวี๋


 


 


“ทำไมอะไรก็มาโยนที่ผมหมด เขาทำผิด คุณอยากจะว่าจะสอนก็ตามใจ แล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วย?”


 


 


“ตาแก่อย่ามาปัดความรับผิดชอบนะ เรื่องที่เขาทำคิดว่าแค่ดุแค่สอนแล้วจะจบเหรอ? นี่ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่ฉลาด รู้จักหยุดเรื่องนี้ก่อนที่จะบานปลาย ไม่งั้นพวกเราไม่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านไปแล้วเหรอ? อวี๋เว่ยกั๋ว เรื่องนี้คุณคิดจะจัดการยังไง คุณให้ฉันอดทนมาทั้งชีวิตฉันก็ไม่พูดอะไร ถ้าคุณกล้าให้ลูกสะใภ้ฉันอดทนอีกล่ะก็ ฉันจะไม่อยู่กับคุณแล้ว”


 


 


พ่ออวี๋โมโหคิดจะปาบุหรี่ในมือทิ้ง แต่หันไปเห็นแม่อวี๋ถลึงตาใส่ กล้าทิ้งเรี่ยราดก็ลองดูสิ


 


 


พ่ออวี๋มองหารอบๆก็ไม่เห็นที่ทิ้งจึงสูบต่อเข้าไปเต็มปอดเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ จากนั้นจึงพูดต่อ “นี่คุณช่วยมีเหตุผลหน่อยได้ไหม? ผมพูดอะไรแล้วเหรออยู่ๆจะมาหาเรื่องไป? เรื่องความขัดแย้งข้างนอกพวกเราก็มานั่งหาวิธีช่วยกันแก้ไขสิ คุณอย่าเอะอะก็พูดเรื่องหย่า”


 


 


ก่อนหน้านี้แม่อวี๋ยังโมโหดุจฟ้าผ่า พอได้ยินพ่ออวี๋พูดแบบนี้อยู่ๆก็หัวเราะออกมา เสี่ยวเชี่ยนที่กำลังดูฉากนี้อย่างสนุกสนานถึงกับตกใจ


 


 


แม่อวี๋ชี้หน้าสามีแล้วพูดอย่างได้ใจ “อวี๋เว่ยกั๋ว เหล่าอวี๋ ในที่สุดก็ยอมรับแล้วว่าเขาเป็นคนนอก คุณไม่เข้าข้างเขาแล้วเหรอ? ไม่บอกว่าเขาเป็นคนในครอบครัวแล้วเหรอ?”


 


 


พ่ออวี๋รู้สึกอาย ยายแก่คนนี้นี่ อย่ามาคิดบัญชีต่อหน้าเด็กมันได้ไหม ช่วยไว้หน้ากันบ้าง…


 


 


“คือว่า งั้นหนูขอตัวหลบไปก่อนนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าตัวเองควรถอย แต่แม่อวี๋รั้งเธอไว้


 


 


“เสี่ยวเชี่ยนหนูไม่ต้องไป เรื่องนี้พวกเรามีเหตุผล แล้วหนูเป็นเจ้าทุกข์ทำไมต้องหลบ? อยู่ฟังตรงนี้นี่แหละ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สอนพวกเราไว้ว่า คัดสิ่งไม่ดีทิ้งเหลือแต่สิ่งดีๆไว้ แยกของปลอมออกจากของจริง พัฒนาจากภายนอกสู่ภายใน ปัญหานี้ร้ายแรงมาก หลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องแก้ไข”


 


 


“ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สอนพวกเราไว้ว่า ไม่มีความรักที่ไร้สาเหตุ ความเกลียดชังก็เช่นเดียวกัน ครั้งนี้เสี่ยวฝานทำผิดร้ายแรงจริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะสั่งสอนไม่ได้ พวกเราต้องตามหาสาเหตุ หาแรงจูงใจของเขาแล้วสั่งสอนให้ดี แก้ไขในสิ่งที่ผิด”


 


 


“ไปปกป้องไกลๆเลย ท่านผู้นำยังกล่าวอีกว่า ถ้าพวกมันจะบุกก็ต้องจัดการพวกมันให้สิ้นซาก เรื่องก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ ถ้าเขามาโจมตี พวกเราทำลายเขาซะ แล้วเขาก็จะสบาย จัดการได้น้อยก็สบายน้อย จัดการได้มากก็สบายมาก จัดการให้สิ้นซากได้ก็จะสบายสุดๆ ถ้าเขามาพวกเราก็จะสู้ สู่เพื่อชิงความสงบสุข”


 


 


เดินร่วมกันมาตั้งแต่ยุคสมัยสร้างประเทศ ท่องกันมาเป็นชุดๆ ไม่มีใครยอมใคร เสี่ยวเชี่ยนยืนฟังทั้งสนุกทั้งเพลิน


 


 


แม่อวี๋เถียงสู้จนพ่ออวี๋พูดไม่ออก ทำได้แค่สูบบุหรี่เข้าไปเต็มปอด พ่ออวี๋ที่อยู่ข้างนอกออกจะมีบารมี แต่กลับต้องมาพ่ายแพ้ให้กับปัญหาของน้องสาวตัวเอง แม่อวี๋จัดการเหยียบเขาเสียแบน พ่ออวี๋ไม่เคยจนมุมแบบนี้มาก่อน แต่ใครใช้ให้เขาเลี้ยงน้องจนเสียนิสัยแบบนี้ล่ะ


 


 


สถานการณ์ครอบครัวกำลังวิกฤต เสี่ยวเชี่ยนเห็นคนแก่ทั้งสองใกล้ได้ลงไม้ลงมือเต็มทีก็รู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ตัวเองจะได้ทำตัวเป็นคนดี ได้เวลาทิ้งไพ่เพื่อจบเกม


 


 


ทั้งต้องปลอบให้แม่อวี๋สบายใจขึ้น ทั้งต้องดึงพ่ออวี๋ที่จุดยืนไม่ชัดเจนให้มาเป็นพวกให้ได้ 

 

 


ตอนที่ 494 นี่ใครกันนะ

 

แม่อวี๋ปะทะคารมกันดุเดือดกับพ่ออวี๋ ใช้คำพูดของท่านผู้นำงัดออกมาสู้กัน เพื่อหวังจะได้ข่มอีกฝ่ายว่าตัวเองมีศีลธรรมสูงกว่า


 


 


แม่อวี๋แค้นอาหญิงเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว อดีตที่เคยถูกรังแกทำได้แค่อดทน พอได้ยินว่าอาหญิงคิดจะทำลายว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอด้วย จึงควบคุมไฟโกรธเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป


 


 


พ่ออวี๋เองก็โกรธกับการทำตัวของน้องสาว ไม่คิดจะปล่อยไว้เหมือนกัน แต่อย่างไรเสียนั่นก็น้องสาวแท้ๆ จะให้ทำโหดร้ายเทียบเท่ากับศัตรูก็ไม่ใช่ ได้แต่เก็บความโกรธแค้นไว้ในใจ เกลียดในความไม่เอาไหนของน้องสาว เถียงกับแม่อวี๋มาถึงขนาดนี้ก็เหมือนกับได้ระบายความโกรธออกไปบ้าง


 


 


“เลิกทะเลาะกันเถอะค่ะ ฟังหนูพูดหน่อยค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนตะโกนออกมาระงับสถานการณ์


 


 


“ทั้งสองคนพูดถูกค่ะ แต่ท่านผู้นำยังพูดอีกว่า ธรรมชาติย่อมเป็นไปตามกฎ มนุษย์ก็ต้องผ่านความยากลำบากถึงเป็นรูปเป็นร่าง พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังไม่ทันไรเลยมาทะเลาะกันเองแล้ว ไม่เท่ากับทำร้ายน้ำใจกันเองเหรอคะ ใจเย็นๆกันก่อนเถอะค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มีปัญหาก็ต้องแก้ อย่าทำลายความสามัคคีในครอบครัวเลยนะคะ”


 


 


คำพูดนี้พูดได้กินใจมาก ช่วยดึงแม่อวี๋ที่ออกนอกเรื่องไปให้กลับมา เตือนแม่อวี๋ว่าถ้าเรามีเหตุผลก็ต้องพูดด้วยเหตุผล อย่าเบี่ยงเบนประเด็น ขณะเดียวกันก็เหมือนได้ยื่นบันไดไปให้พ่ออวี๋ลง ไม่ทำให้ชายชราคนนี้เสียหน้าจนเกินไป


 


 


บันไดนี้ทำให้รู้สึกสบายมาก พ่ออวี๋ได้ใช้ประโยชน์


 


 


เขากระแอมเสียง แล้วพูดชมเสี่ยวเชี่ยนด้วยความพอใจ “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ที่จะเข้าใจเรื่องพวกนี้มีไม่เยอะ”


 


 


“ใช่ไหมล่ะ เสี่ยวเชี่ยนของพวกเราไปที่ไหนก็ความสามารถโดดเด่นเกินใคร เด็กดีแบบนี้ทำไมถึงได้มีคนใจร้ายมารังแกได้นะ?” แม่อวี๋รู้อดีตของเสี่ยวเชี่ยนจึงเห็นใจเสี่ยวเชี่ยนมาก เลยพลอยเกลียดผู้ชายเลวที่จะมาหลอกเสี่ยวเชี่ยนแต่งงานไปด้วย


 


 


อาหญิงทำกับเสี่ยวเชี่ยนแบบนี้เป็นการหาเรื่องโดยไร้เหตุผลสิ้นเชิง อาหญิงรักลูกชายตัวเองจนไม่สนความเป็นความตายของคนอื่น แล้วจะไม่ให้แม่อวี๋เห็นใจเสี่ยวเชี่ยนได้ยังไง


 


 


เด็กดีๆคนหนึ่งเกือบถูกทำลาย บ้านเคยถูกคนลอบเผา ถ้าถูกทำลายชีวิตจะทำยังไง ไปทวงความยุติธรรมกับใครได้?


 


 


หลังจากทำให้พ่ออวี๋แม่อวี๋สงบลงได้ก็เท่ากับได้ลากหัวข้อสนทนาที่ไม่ลงรอยให้กลับเข้าสู่ประเด็นหลัก ปากกระบอกปืนควรจะหันออกด้านนอก ไม่ใช่คนในบ้าน


 


 


“อันที่จริงหนูก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกรังแกอะไรนะคะ เรื่องมันก็ไม่ได้ส่งผลมากมายเท่าไร เพียงแต่ถ้าอาหญิงยังทำแบบนี้ต่อไป หนูกลัวว่าอีกหน่อยจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แล้วจะซวยคนอื่นๆในบ้านเราไปด้วย บ้านเรามีอาชีพที่ค่อนข้างพิเศษ จะให้เกิดความด่างพร้อยไม่ได้ ปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการแบบนี้จะว่าเล็กก็ไม่เล็กจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่หนูเป็นเด็กก็อาจจัดการได้ไม่ดีพอเลยอยากขอให้ผู้ใหญ่อย่างคุณลุงคุณน้าช่วยออกหน้าจัดการดีกว่าค่ะ”


 


 


พูดได้สวยมาก ดูอ่อนน้อมและแสดงท่าทีชัดเจน สรุปความให้พ่ออวี๋แม่อวี๋


 


 


ตามคาด พ่ออวี๋เงียบไปหลายวินาที


 


 


“ผมจะจัดการเอง”


 


 


ได้ยินสามีพูดแบบนี้แม่อวี๋ก็วางใจ ตาแก่คนนี้ไม่ค่อยยอมแสดงท่าทีชัดเจนง่ายๆ ปล่อยให้คาราคาซัง แต่ถ้าพูดออกมาแบบนี้แล้ว เรื่องนี้ก็จะต้องตามสืบให้ถึงที่สุด ต้องให้ความยุติธรรมกับเสี่ยวเชี่ยน


 


 


มาถึงขนาดนี้แล้วเสี่ยวเชี่ยนพอจะคาดการณ์ได้ถึงผลลัพธ์ เธอชนะแบบได้เปรียบเห็นๆ ลอยมาเหนือลม ศัตรูไม่มีทางให้เดินต่อแล้ว


 


 


บอกเลยว่าอีกหน่อยอาหญิงคงไม่ได้มาปรากฏในโลกของเธออีกต่อไปแล้ว เอาชนะอาหญิงได้ ทั้งยังได้รับการยอมรับจากพ่ออวี๋แม่อวี๋ ยิงปืนหนึ่งนัดได้นกสองตัว


 


 


พ่ออวี๋ลุกขึ้นออกไปยังที่ทำงานเพื่อจัดการเรื่องนี้ แม่อวี๋อยากรั้งให้เสี่ยวเชี่ยนค้างสักคืนแล้วค่อยกลับไป แต่เสี่ยวเชี่ยนปฏิเสธแบบอ้อมๆ


 


 


นานๆจะได้กลับมาทีย่อมต้องกลับไปดูแม่กับน้องชายไม่เอาไหนเสียหน่อย ค้างที่บ้านสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมหาวิทยาลัย


 


 


แม่อวี๋ได้ยินว่าเสี่ยวเชี่ยนจะกลับบ้านไม่เพียงแต่จะไม่โกรธยังช่วยเรียกรถคนขับรถให้ไปส่งด้วย แล้วถือโอกาสฝากของบำรุงมากมายไปให้แม่เสี่ยวเชี่ยน


 


 


ระหว่างรอคนขับเอารถมาเสี่ยวเชี่ยนเงยหน้ามองท้องฟ้า แม่อวี๋จึงถามด้วยความสงสัย


 


 


“เสี่ยวเชี่ยนคิดอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?”


 


 


“ถามสวรรค์ว่าโลกนี้ใครกำหนด…”


 


 


แม่อวี๋รู้สึกขำ “ทำไมทำตัวเหมือนคนรุ่นน้าเลยล่ะจ๊ะ? ดูคำพูดคำจา”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนละสายตากลับมาแล้วส่งยิ้มให้แม่อวี๋ “หนูมี…จะว่าเป็นเพื่อนก็ได้ค่ะ เขาเป็นคนที่น่าสนใจมาก ชอบท่องพวกหลักการของผู้นำ ถ้าคิดจะเอาชนะคนอย่างเขาให้ได้ก็ต้องเอาชนะด้วยวาจาของท่านผู้นำ หนูใช้เวลานานมากกว่าจะชนะเขา”


 


 


เรื่องที่เธอพูดอันที่จริงมันก็เป็นเรื่องเมื่อชาติที่แล้ว


 


 


เพราะคนๆนั้นทำให้เธอท่องหลักการของท่านผู้นำจนขึ้นใจ ตอนนั้นเธอรำคาญคนๆนั้นมากแบบแทบทนไม่ไหว ตอนนี้พอมานึกถึงก็ตลกดี


 


 


เมื่อครู่ตอนที่แม่อวี๋เถียงกับพ่ออวี๋ ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็นึกถึงเรื่องเมื่อชาติก่อนถึงได้พูดแบบนั้นออกไป


 


 


“เพื่อนของหนูคนนี้อายุไม่น้อยแล้วใช่ไหมจ๊ะ? ไม่50ก็น่าจะ40หรือเปล่า?” แม่อวี๋ถาม


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเอียงคอคิด “ปีนี้น่าจะ…27นะคะ”


 


 


“อายุน้อยแบบนั้นทำไมถึงได้มีความคิดแบบคนรุ่นน้าได้ น่าตลกจัง” แม่อวี๋หัวเราะ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยักไหล่ “ถ้าคุณน้าได้อยู่กับเขาก็จะรู้ค่ะว่าไม่ตลกเลยสักนิด หัวโบราณชะมัด”


 


 


ตอนนั้นเธอวุ่นวายเพราะคนๆนี้มาก ชาตินี้ทางที่ดีอยู่ห่างๆไว้ดีกว่า หูจะได้โล่งๆ


 


 


รถมาแล้ว เสี่ยวเชี่ยนดึงความคิดกลับมา แล้วโบกมือลาแม่อวี๋


 


 


สิ่งที่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนคาดไม่ถึงก็คือ เธอกลับบ้านไม่ได้บอกเจี่ยซิ่วฟางก่อน เจี่ยซิ่วฟางออกไปทำงานรับซื้อเศษวัสดุก่อสร้างแล้ว


 


 


เฉินจื่อหลงน้องชายเธอยังไม่เลิกเรียน เธอจำได้ว่าตัวเองพกกุญแจบ้านมาแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าจำผิด เพราะในกระเป๋าไม่มี


 


 


เสี่ยวเชี่ยนโทรหาแม่ มีเสียงดังหนวกหูแทรกเข้ามาในสาย คงจะกำลังคิดเงินกันอยู่


 


 


ได้กำไรทีละเล็กละน้อยจนรวมกันเป็นหมื่นๆ ทำๆไปแล้วก็ติดใจ ต่อให้ได้ยินว่าลูกสาวกลับมาบ้านก็ไม่ได้รีบร้อน บอกให้เสี่ยวเชี่ยนออกไปเดินเล่นก่อน หรือไม่ก็ไปเดินห้างซื้อเสื้อผ้า จ่ายไปเท่าไรเดี๋ยวเอามาเบิกกับแม่


 


 


สมกับเป็นแม่แท้ๆของเธอ…


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่านับตั้งแต่เจี่ยซิ่วฟางยืนหยัดได้ด้วยตัวเองนิสัยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก มีความมั่นใจในตัวเองมากกว่าเดิม


 


 


เห็นได้ชัดว่านิสัยของผู้หญิงเกี่ยวข้องกับเรื่องฐานะทางการเงิน ขอแค่พึ่งพาตัวเองได้ ต่อให้เป็นผู้หญิงที่ชอบพึ่งพาคนอื่นก็มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก


 


 


แต่พอแม่เธอ ‘ยืนหยัดด้วยตัวเองได้แล้ว’ เธอกลับเข้าบ้านไม่ได้ เซ็งจริงๆ


 


 


เพิ่งจะไม่กี่โมง เธอขี้เกียจออกไปเดินเล่น เดิมคิดว่าเฉินจื่อหลงใกล้จะเลิกเรียนแล้ว แต่น้องชายไม่เอาไหนไม่รู้ว่าพอเลิกเรียนแล้วไปเที่ยวเล่นที่ไหนต่อ รออยู่นานก็ยังไม่กลับมา จึงทำได้แค่นั่งรออยู่ตรงบันไดภาวนาให้เจี่ยซิ่วฟางกลับมาเร็วๆ


 


 


ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังรอด้วยความหงุดหงิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงมีคนเดินขึ้นมา ตอนแรกคิดว่าเป็นคนในครอบครัวตัวเอง แต่พอหันไปเห็นก็ถึงกับสตั๊น


 


 


ทำไมโลกมันแคบแบบนี้ ไม่อยากเจอใครก็ดันเจอ


 


 


เมื่อกี้เพิ่งจะพูดกับแม่อวี๋เรื่องเขา ตอนนี้ก็มาปรากฏตัวแล้ว


 


 


คนที่เพิ่งขึ้นมานี้สูงประมาณ 175เซนติเมตร หน้าตาขาวตี๋ หากอยู่ในสายตาของพวกเด็กๆก็คงเป็นอปป้าเกาหลี แต่ตานี่รักประเทศมาก อย่าได้เรียกอปป้าให้ตานี่ได้ยินเชียว ได้มองค้อนตบโต๊ะท่องหลักการผู้นำออกมายืดยาว อย่าได้คิดจะเดินหนีง่ายๆเชียวล่ะ…


 


 


เขาที่สวมแว่นตาอยู่ดูแล้วมีความสุภาพ มีบุคลิกของผู้คงแก่เรียน สวมชุดสูทสีดำเชิ้ตขาวอย่างเป็นทางการ ในมือถือกระเป๋าเอกสาร เวลาที่ไม่พูดจาให้ความรู้สึกสุภาพอ่อนโยน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นใบหน้านั้นในใจก็อยากจะหนีออกไปให้ไวที่สุด เธอหันหน้าเข้ากำแพงโดยอัตโนมัติ แสร้งทำเป็นไม่เห็นเขา


 


 


ผู้ชายคนนั้นหยิบกุญแจ นิ้วเรียวยาวที่ดูแลตัดเล็บจนสะอาดสะอ้านไขกุญแจแล้วเดินเข้าห้องไป พอได้ยินเสียงปิดประตูเสี่ยวเชี่ยนก็ถอนหายใจโล่งอกแล้วหันตัวกลับมา


 


 


ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นยื่นหน้าออกมาแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง


 


 


“ขอโทษนะครับมีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”

 

 

 


ตอนที่ 495 ขอรบกวนหน่อยนะ

 

ผู้ชายคนนั้นเปิดประตูมาเจอเสี่ยวเชี่ยนตอนหันมาพอดี เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นเขาก็มุมปากกระตุก ส่วนผู้ชายคนนั้นพอเห็นเสี่ยวเชี่ยนก็อึ้งไปเล็กน้อย


 


 


สะ เป็นผู้หญิงที่สะอาดจัง


 


 


นี่คือความสะอาดที่ออกมาจากบุคลิกภาพ บวกกับหน้าตาที่น่ารักทำให้คนต่างเพศอยากจะมองต่อนานๆ ผู้ชายคนนั้นรู้สึกตัวว่าตัวเองเก็บอาการไม่อยู่ไปหน่อยจึงรีบปรับอารมณ์แล้วพูดกับเสี่ยวเชี่ยนด้วยท่าทางเคร่งขรึม


 


 


“ต้องการให้ช่วยไหมครับ?”


 


 


“ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณค่ะ”


 


 


“อ่อ” ผู้ชายคนนั้นปิดประตูอีกครั้ง ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เปิดออกอีกแล้วส่งเก้าอี้ให้เสี่ยวเชี่ยน


 


 


“คุณมานั่งรอตรงนี้สิครับ อันที่จริงผมอยากเชิญคุณมานั่งในบ้าน แต่พอคิดว่าผมอยู่ตัวคนเดียว บุรุษต้องพึงระวังตัวไม่ให้เป็นที่ครหา ที่ใดมิโจ่งแจ้ง ให้พึงระวังไว้ ดังนั้น…”


 


 


“ดังนั้นตอนคุณอายุสี่สิบกว่าถึงยังหาเมียไม่ได้ไง เหอๆ” เสี่ยวเชี่ยนพึมพำเบาๆ


 


 


“คุณว่าอะไรนะครับ?”


 


 


“เปล่าค่ะ ฉันพูดว่าขอบคุณค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนยิ้มเกร็งๆกลับไป


 


 


“ไม่เป็นไรครับ ผมชื่อเลี่ยวหยุนฉาง อาศัยอยู่ห้องนี้ ไม่เคยเจอคุณมาก่อน คุณเป็นอะไรกับน้าเจี่ยเหรอครับ?” เป็นเพื่อนบ้านกัน ปกติเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจี่ยซิ่วฟาง เจี่ยซิ่วฟางเป็นคนที่อัธยาศัยดี ไปที่ไหนก็ชอบที่จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน


 


 


“ฉันเป็นลูกสาวเขาค่ะ”


 


 


“ได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้ได้เจอโฉมงามสมกับคำบอกเล่าเลยครับ ดูฉลาดมีความรู้” เขาได้ยินเจี่ยซิ่วฟางชมลูกสาวให้ได้ยินบ่อยๆแต่ไม่เคยเจอตัวจริง ครั้งนี้เห็นแล้วก็รู้สึกไม่ธรรมดาจริงๆด้วย ใช้คำว่าสวยมาบรรยายไม่ได้ ดูก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงคงแก่เรียน ดังนั้นเขาจึงให้คะแนนรูปลักษณ์บุคลิกของเสี่ยวเชี่ยนสูงที่สุด…เขาคิดเอาเองว่าสูงที่สุด


 


 


“ขอบคุณค่ะ…”


 


 


เหอๆ เหมือนชาติที่แล้วเขาจะไม่ได้ประเมินเธอแบบนี้นะ เมื่อชาติก่อนตานี่พูดว่าอะไรนะ?


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพยายามนึก กดราคาตลาด เรียกราคาเกินจริง ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ดีเลวทำหมด ไร้ซึ่งเหตุผล ชอบเอาแต่ใจ…เยอะมาก เอาเป็นว่านึกไม่ออกแล้ว


 


 


“งั้นคุณนั่งรอไปนะครับ ผมจะไปทำกับข้าว ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ตะโกนเรียกได้”


 


 


“ค่ะ ฟู่กุ้ย”


 


 


เขาหันไปมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยท่าทางเกร็งๆ “คุณว่าอะไรนะครับ?”


 


 


“เปล่าค่ะ ฉันขอบคุณคุณ พี่หยุนฉาง”


 


 


อ่อ งั้นเขาหูแว่วไปเหรอ? เขาพยักหน้าให้เสี่ยวเชี่ยนอย่างเขินๆแล้วเดินเข้าบ้าน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเอามือกุมท้อง ฮ่าๆๆๆๆ สีหน้าเขาเมื่อกี้โคตรฮาเลย


 


 


คนๆนี้จริงๆมีชื่อว่าเลี่ยวฟู่กุ้ย เกิดในตระกูลคนมีการศึกษา มีความรู้มากมายทั้งตำราโบราณและปัจจุบัน ทั้งในและต่างประเทศ กิจกรรมยามว่างคือเอางานวิจัยปรัชญาการเมืองมานั่งเปรียบเทียบ อีกทั้งยังชอบท่องหลักการของผู้นำ เป็นผู้ชายหัวแข็งไม่ยอมคน


 


 


แต่คนๆนี้เก่งมาก เขาเป็นสมาชิกของสำนักนิติจิตเวชที่มีชื่อเสียงในประเทศ ดอกเตอร์ทางด้านนิติจิตเวช อีกหน่อยเขาจะเป็นอาจารย์ไม่ประจำทางด้านนิติจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เนื่องจากอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญาเอกของเขาเป็นศิษย์พี่ของศาสตราจารย์หลิวอาจารย์ที่ปรึกษาของเสี่ยวเชี่ยน ถ้าว่ากันตามธรรมเนียมแล้วเมื่อชาติก่อนตอนเสี่ยวเชี่ยนเจอเขาควรจะเรียกเขาว่ารุ่นพี่ด้วยความเคารพ แต่เธอกลับไม่ทำ


 


 


ชาติที่แล้วเสี่ยวเชี่ยนเปิดคลินิกทำเองตามลำพัง เธอเก็บค่ารักษาแพงๆจากคนรวย เลี่ยวฟู่กุ้ยทำงานวินิจฉัยนิติจิตเวชจนเสียยิ่งกว่าจน ถึงจะเป็นอาจารย์ไม่ประจำเพิ่มด้วยก็ยังมีเงินเพิ่มมาไม่เท่าไร รู้สึกไม่ค่อยพอใจเสี่ยวเชี่ยนบอสสาวมาดเท่ห์ที่เป็นถึงประธานขับมาเซราติ เขาคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนทำราคาตลาดรวน จ้องแต่จะเอาเงิน เพียงแต่ด้วยเนื้องานของพวกเขาทำให้ต้องมีได้ติดต่อกันบ้าง จะไม่คุยกันเลยก็ไม่ได้


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยถูกเสี่ยวเชี่ยนพูดจาไร้เหตุผลใส่บ่อยๆ เสี่ยวเชี่ยนเองเพื่อที่จะต่อปากต่อคำกับเขาถึงกับบ้าท่องหลักการผู้นำอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เพื่อที่จะเอาไปสู้กับเขาซึ่งๆหน้า


 


 


อาชีพของเลี่ยวฟู่กุ้ยคือมีหน้าที่รับงานจากฝ่ายกฎหมายแล้วทำการวินิจฉัยตรวจสอบคดีอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับคนที่มีปัญหาทางด้านจิตเวชและประสาท พูดง่ายๆก็คือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวินิจฉัยปัญหาจิตเวชและประสาท


 


 


คนๆนี้แซ่เลี่ยวชื่อฟู่กุ้ย แต่ด้วยความที่เป็นคนมีการศึกษาสูง คิดว่าชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้นั้นเชยสะบัด จึงตั้งชื่อให้ตัวเองใหม่ว่าหยุนฉาง คนข้างนอกต่างเรียกเขาว่าหัวหน้าเลี่ยว เพื่อนๆเรียกเขาว่าหยุนฉาง มีแค่เสี่ยวเชี่ยนเท่านั้นที่ทำตัวหาเรื่อง มาถึงก็เรียกชื่อเขาเลยเต็มๆว่าเลี่ยวฟู่กุ้ย


 


 


จากนั้นชะตาของทั้งสองคนก็เหมือนถูกผูกกันไว้ จริงๆแล้วคนๆนี้กับเสี่ยวเชี่ยนเดินกันคนละเส้นทาง เสี่ยวเชี่ยนเปิดคลินิกส่วนตัวทำของตัวเอง แต่บางครั้งก็จะถูกเชิญไปวินิจฉัยในคดีแพ่งที่เกี่ยวกับปัญหาจิตเวช เมื่อชาติก่อนทั้งสองคนจึงได้เจอกันบ่อย ชาตินี้เสี่ยวเชี่ยนเลยอยากหลบคนปัญญาสูงหัวโบราณคนนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าไม่ได้เจอในมหาวิทยาลัยกลับมาเจอกันในสถานการณ์ที่พูดไม่ออกแบบนี้


 


 


ถ้าไม่ติดว่ามีความทรงจำจากเมื่อชาติก่อน ตอนนี้มาเจอตานี่เธอก็คงจะมองว่าเป็นแค่เพื่อนบ้านที่ดูประหลาด แต่เพราะมีความทรงจำของชาติที่แล้วเธอจึงรู้สึกว่าโลกนี้มันเล็กจริงๆ


 


 


ผ่านไปอีกสักพักเจี่ยซิ่วฟางถึงกลับมา เห็นเสี่ยวเชี่ยนนั่งเล่นเกมงูในโทรศัพท์อยู่จึงเดินเข้าไปลูบมือ รู้สึกว่ามือเย็นมากจึงดุเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“เด็กโง่ นั่งนี่ไม่หนาวหรือไง? ทำไมไม่ไปหาที่นั่งรอเล่า?”


 


 


“…แม่กลับมาช้ายังจะกล้าว่าอีก?” เสี่ยวเชี่ยนเซ็ง


 


 


“ก็ไปหาเงินให้พวกแกสองพี่น้องไง รีบเข้าบ้านเถอะ แล้วใครให้เก้าอี้มา?”


 


 


“เลี่ยวฟู่กุ้ย”


 


 


“ใครนะ?”


 


 


“เลี่ยวหยุนฉาง”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดอีกชื่อเจี่ยซิ่วฟางถึงเข้าใจ


 


 


“อ๋า หลานเลี่ยวนี่เป็นเด็กดีจริงๆ แกขอบคุณเขาหรือเปล่า? เดี๋ยวตอนเย็นแม่เรียกเขามากินข้าวด้วยกันแล้วกัน ช่วงนี้มีเรื่องวานเขาบ่อยๆ บ้านเราหลอดไฟเสียก็ได้เขาช่วยมาเปลี่ยนให้”


 


 


เจี่ยซิ่วฟางพอใจในตัวเด็กหนุ่มเพื่อนบ้านที่มีมารยาทคนนี้มาก รู้ว่าเขายังไม่มีครอบครัวก็เลยเที่ยวทำตัวเป็นแม่สื่อช่วยหาให้ แนะนำผู้หญิงมาให้เลี่ยวฟู่กุ้ยรู้จักหลายคน ถึงแม้จะไม่สำเร็จ แต่สองบ้านก็ได้พูดคุยกันบ่อยๆ โดยเฉพาะพอได้รู้ว่าหลานเลี่ยวสูญเสียแม่ไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่พ่อคนเดียว เจี่ยซิ่วฟางก็เกิดความรู้สึกสงสารอย่างหนัก


 


 


“เขาทำกับข้าวแล้ว แม่อย่าไปรบกวนเขาเลย” เสี่ยวเชี่ยนคิดในใจว่า ให้เธอนั่งกินข้าวกับเลี่ยวฟู่กุ้ยเดี๋ยวได้เป็นแผลในกระเพาะอาหารพอดี


 


 


“งั้นเดี๋ยวฉันเอาเก้าอี้ไปคืนเขาก่อน เสี่ยวเชี่ยน แกก็มาด้วยสิ ทำความรู้จักกับอาเลี่ยวกับพี่เลี่ยวไว้”


 


 


“……” นี่มันอะไรกัน เลี่ยวฟู่กุ้ยกลายเป็นพี่เธอไปแล้วเหรอ? เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที นี่เธอกลับชาติมาเกิดทำไมมีโรคติดตัวมาเยอะขนาดนี้นะ?


 


 


หนึ่งในห้าร้อยเศรษฐีใหญ่ทังต้าเย่กลายเป็นพ่อบุญธรรมของเธอ ทังสุ่ยเซียนว่าที่บอสสาวในอนาคตกลายมาเป็นพี่น้องบุญธรรมกับเธอ ลูกสาวเศรษฐีจอมติงต๊องเป็นเพื่อนสนิทเธอ เด็กผู้หญิงที่เหมือนวิญญาณกระโดดตึกเป็นว่าที่พี่สะใภ้รองของเธอ ตอนนี้หนึ่งในศัตรูกลายมาเป็นพี่ชาย?


 


 


เอาน่า อย่างน้อยพ่อของลูกก็ยังเป็นคนเดิม


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกำลังสับสนทางความคิด เธอมองเจี่ยซิ่วฟางเคาะประตูบ้านคนอื่น


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยที่อยู่ในสภาพสวมผ้ากันเปื้อนเดินมาเคาะประตู เสี่ยวเชี่ยนเลิ่กคิ้ว โอ้โห ตานี่มีมุมเป็นพ่อบ้านด้วย?


 


 


ไม่ใช่แค่สวมผ้ากันเปื้อนนะ บนแว่นยังมีไอน้ำที่ลอยจากหม้ออาหารมาเกาะด้วย ดูๆแล้วนี่มันพ่อบ้านชัดๆ


 


 


“หยุนฉาง นี่เสี่ยวเชี่ยนลูกน้า เจอกันแล้วใช่ไหม? ช่วยดูแลเขาด้วยนะ ดูสิ รบกวนแย่เลย”


 


 


“ไม่เป็นไรครับน้าเจี่ย เข้ามานั่งก่อนสิครับ”


 


 


อย่ารับปากนะ เสี่ยวเชี่ยนตะโกนเสียงดังในใจ


 


 


แต่ทว่ามาดามเจี่ยซิ่วฟางดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงตะโกนในใจของลูกสาว


 


 


“งั้นก็ขอรบกวนหน่อยนะ เกรงใจจัง โอ๊ะ ทำอะไรน่ะหอมจัง?” เจี่ยซิ่วฟางเดินเข้าบ้านพลางพูด

 

 

 


ตอนที่ 496 งานมา หนีเร็ว

 

เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าแม่ตัวเองดีทุกอย่าง เพียงแต่นิสัยชอบรับรู้เรื่องราวสารทุกข์สุขดิบเยี่ยมเยียนประชาราษฎร์เนี่ยออกจะน่าปวดหัวไปเสียหน่อย


 


 


คนเขากำลังทำกับข้าวจะเข้าไปทำไม


 


 


โดยเฉพาะบ้านของเลี่ยวฟู่กุ้ย ที่นี่มีเลี่ยวฟู่กุ้ย เขาชอบพูดจามีหลักการ บุคคลที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นเป็นอยากเดินอ้อมไปอีกทาง แต่แม่เธอกลับเดินเข้าไปหา โว้ย อะไรกันวะ


 


 


แต่เจี่ยซิ่วฟางไม่ได้ยินเสียงในใจที่ลูกสาวตะโกน เดินดุ่มๆเข้าไปในบ้านของเลี่ยวฟู่กุ้ย


 


 


เสี่ยวเชี่ยนทำได้แค่เดินตามเข้าไปอย่างเซ็งๆ อันที่จริงเธอชอบทางเดินในตึกมากกว่า กลิ่นผักกาดขาวเน่าที่ถูกวางกองไว้ข้างหน้าตอนหน้าหนาวที่ยังไม่จางหายไปยังหอมกว่าบ้านคนหัวโบราณอย่างเลี่ยวฟู่กุ้ยเลยด้วยซ้ำ


 


 


ถึงแม้เมื่อชาติก่อนเธอจะได้เจอกับตานี่อยู่บ้างตอนทำงาน แต่ก็ไม่เคยมาบ้านเขา พอได้เข้ามาเสี่ยวเชี่ยนก็แอบตกใจเล็กน้อย


 


 


แม่บอกว่าตานี่อาศัยอยู่กับพ่อ ผู้ชายโสดอยู่กันสองคนแต่กลับเก็บบ้านได้สะอาดเป็นระเบียบมาก


 


 


ถึงแม้บ้านของอวี๋หมิงหลางก็สะอาด แต่แตกต่างจากบ้านตานี่ อวี๋หมิงหลางไม่ค่อยได้กลับบ้าน ของก็ไม่ค่อยซื้อ ในบ้านมีแค่เฟอร์นิเจอร์ง่ายๆ ดูก็รู้เลยว่าเป็นบ้านชายโสดแท้ๆ ส่วนเลี่ยวฟู่กุ้ยกับพ่ออาศัยอยู่อย่างแท้จริง ในบ้านปลูกดอกไม้ไว้มากมายเต็มระเบียง มีกรงนกหลายกรงที่ข้างในเลี้ยงนกอยู่ไม่น้อย สะอาดสะอ้าน มีกลิ่นหอมอ่อนๆโชยมา ให้ความรู้สึกเป็นกลิ่นอายของบ้านที่มีคนอยู่


 


 


พอนึกถึงเสี่ยวเฉียงของเธอเสี่ยวเชี่ยนก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะไปทำความสะอาดบ้านเขาเสียหน่อยแล้วค่อยกลับมหาวิทยาลัย คราวก่อนเสี่ยวเฉียงให้กุญแจสำรองกับเธอไว้


 


 


ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังใจลอยคิดถึงอวี๋หมิงหลางเลี่ยวฟู่กุ้ยก็แอบมองเธอ เขารู้สึกว่าผู้หญิงที่ดูเย็นชาคนนี้ในเวลานี้ดูเหมือนจะให้ความรู้สึกอบอุ่น เธอนั่งอยู่บนโซฟามองต้นตะบองเพชรที่ระเบียงอย่างเงียบๆ ความทรงจำเมื่อแรกพบที่ดูหยิ่งๆ ตอนนี้กลับดูเป็นอีกแบบ สองสไตล์ในตัวคนๆเดียวกัน แต่กลับดูมีชีวิตชีวา


 


 


 “น้องเสี่ยวเชี่ยนชอบตะบองเพชรเหรอครับ?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยังคงใจลอยคิดถึงเรื่องวันพรุ่งนี้ที่จะไปบ้านอวี๋หมิงหลาง เจี่ยซิ่วฟางจึงสะกิดลูกสาว เสี่ยวเชี่ยนถึงได้สติกลับมา


 


 


“หืม?”


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยถามอีกครั้ง


 


 


“อ่อ ไม่ชอบค่ะ”


 


 


เกิดความกระอักกระอ่วน


 


 


บรรยากาศดูแย่ลง เดิมเลี่ยวฟู่กุ้ยอยากหาเรื่องคุยเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับตอบออกมาแบบนี้ ไม่เหลือทางให้เดินต่อ


 


 


เจี่ยซิ่วฟางไม่รู้เรื่องราวบาดหมางระหว่างลูกสาวตัวเองเมื่อชาติก่อนกับเลี่ยวฟู่กุ้ย เธอรู้สึกว่าวันนี้ลูกสาวดูผิดปกติจึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน


 


 


“เขาจะไปเข้าใจอะไร รู้จักแต่เรียนหนังสือ กลายเป็นพวกหนอนหนังสือไปแล้ว ไม่รู้เรื่องภายนอกเท่าไร จะปลูกดอกไม้เป็นได้ยังไง หยุนฉาง เราปลูกดอกไม้สวยมากเลยนะ เลี้ยงง่ายไหม?”


 


 


“ง่ายอยู่ครับ ไม่ต้องรดน้ำบ่อยๆ น้าเจี่ยอยากได้ไหมครับ? ผมจะเด็ดใบมันให้แล้วน้าเอาไปปลูกลงกระถางที่บ้าน อีกไม่กี่วันรากมันก็จะงอกเอง เลี้ยงง่ายมากครับ”


 


 


“งั้นก็ดีเลยจ้ะ”


 


 


จังหวะที่เลี่ยวฟู่กุ้ยออกไปเด็ดใบตะบองเพชรเจี่ยซิ่วฟางก็ถลึงตาใส่เสี่ยวเชี่ยน ไอ้ลูกเวร มารยาทกินเป็นข้าวเย็นหมดแล้วหรือไง?


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเบ้ปาก เมื่อเทียบกับที่ตานี่กวนประสาทเธอเมื่อชาติที่แล้ว ท่าทางของเธอในวันนี้ยังมีมารยาทเกินไปด้วยซ้ำ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนจินตนาการแทบไม่ออกเลยว่าผู้ชายที่ดูอ่อนโยนแบบนี้อีกสิบกว่าปีให้หลังจะกลายเป็นชายแก่โสดสนิทที่หัวรั้น


 


 


เมื่อชาติที่แล้วทั้งสองคนจุดยืนต่างกัน เวลาเจอกันก็ทะเลาะกันบ่อยๆ แต่ลึกๆแล้วเสี่ยวเชี่ยนยอมรับว่าตาคนนี้เก่งมากในหน้าที่การงาน และที่น่าชื่นชมมากก็คือ เขาเป็นคนมีหลักการมาก ในสภาพแวดล้อมที่มีความพิเศษแบบนั้น เขาไม่เกรงกลัวอำนาจบารมีหรืออำนาจของเงิน รักษาความยุติธรรมอย่างเหนียวแน่น นี่เป็นจุดที่เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกนับถือเขาที่สุด


 


 


หากว่ากันตามกฎแล้ว คนที่มีปัญหาทางประสาทหากทำผิดในช่วงที่อาการกำเริบสามารถหนีความผิดได้ เลี่ยวฟู่กุ้ยเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะที่วินิจฉัยว่าใครมีอาการทางประสาท มีคนคิดจะติดสินบนให้เขามากมาย แต่เขายึดมั่นในหลักการอย่างสูงส่ง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ข่มขู่เขาอย่างไร เขาก็ยังยืนหยัดในความถูกต้อง เป็นโรคก็บอกว่าเป็น ไม่เป็นก็บอกไม่เป็น ใครจะมาหา เขาไม่สนทั้งนั้น


 


 


ครั้นแล้วเมื่อชาติที่แล้วจึงมีเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวที่มีบารมีมากแต่ยากจน ถึงแม้เสี่ยวเชี่ยนจะอคติกับเขาในบางเรื่อง แต่ก็รู้สึกนับถือในความเถรตรงของเขาที่เหมือนกับอาจารย์ของเธอ


 


 


คนที่ยืนหยัดในความยุติธรรมได้ปีสองปีนั้นมีเยอะ แต่คนที่ทำได้ตลอดชีวิตโดยไม่ออกนอกลู่นอกทางเลยแม้แต่น้อย หรือถึงขนาดที่ว่าหลายครั้งถูกคนทำร้ายก็ยังยืนหยัดคำเดิม มีไม่มากเลยจริงๆ


 


 


ก็ได้ เจอแล้วก็เจอ ยังไงซะวงการของเธอก็ไม่ได้ใหญ่ คนที่สามารถเดินไปถึงจุดสูงสุดจนเป็นที่ยอมรับในประเทศก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน ที่ต้องได้เจอช้าเร็วยังไงก็ต้องเจอ เสี่ยวเชี่ยนปลอบตัวเองแล้วเหลือบมองเลี่ยวฟู่กุ้ยที่กำลังเอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อใบตะบองเพชรให้เจี่ยซิ่วฟาง ดูเหมือนตานี่ก็ไม่ได้น่ารำคาญเหมือนอีกสิบปีให้หลังนะ ไม่มีคำพูดติดปากร่ายยาวเหมือนสวดมนต์…


 


 


“ไม่รู้ว่าน้าจะปลูกขึ้นไหมนะ” เจี่ยซิ่วฟางรับมาแล้วพูดอย่างถ่อมตัว


 


 


“ไม่เป็นไรครับ ชื่อแห่งความสุขก็คือการสร้าง คุณน้าได้สร้างประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นคุณน้าก็คือคนที่มีความสุขครับ” เลี่ยวฟู่กุ้ยพูดอย่างจริงจัง


 


 


เห็นได้ชัดว่าเจี่ยซิ่วฟางไม่เข้าใจ จึงได้แต่ยิ้มแก้เขิน แต่ในใจพูดว่า เด็กคนนี้ดีทุกอย่าง แต่จะดีกว่านี้ถ้าพูดอะไรที่เข้าใจยากให้น้อยลงหน่อย


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเขียนคำว่า เหอๆ ตัวโตๆในใจ ดู๊ ตานี่นี่คงไม่เหมาะกับคำชม กำลังอยากจะชมเลี่ยวฟู่กุ้ยว่าไม่ได้แย่เหมือนเมื่อชาติก่อน เขาก็ปล่อยคำพูดออกมาทันที


 


 


กลัวว่าเจี่ยซิ่วฟางจะอยากอยู่คุยต่อเสี่ยวเชี่ยนจึงดึงแขนเสื้อแม่ “แม่หนูหิวแล้ว”


 


 


“ได้เวลากลับไปทำกับข้าวแล้ว ฝากทักทายคุณพ่อด้วยนะหยุนฉาง พวกเราขอตัวกลับก่อน”


 


 


พ่อของเลี่ยวฟู่กุ้ยเป็นผู้พิพากษา เวลานี้ยังนั่งทำงานต่อไม่กลับบ้าน เสี่ยวเชี่ยนไม่เคยเจอเมื่อชาติที่แล้ว แต่ได้ยินว่าเหมือนกับเลี่ยวฟู่กุ้ยเปี๊ยบ อารมณ์แบบเป็นเลี่ยวฟู่กุ้ยเวอร์ชั่นแอดว้านซ์


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยเดินมาส่งสองแม่ลูกที่ประตู พอเปิดประตูก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดดำทั้งตัวยืนอยู่ เจี่ยซิ่วฟางสะดุ้งตกใจ


 


 


ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเคาะประตู อยู่ๆประตูก็เปิดออกเธอจึงตกใจ แต่หลังจากที่เห็นคนในบ้านเธอก็รีบปรับสีหน้ายิ้มกว้างออกมา


 


 


“ใช่รองหัวหน้าเลี่ยวแพทย์นิติเวชหรือเปล่าคะ?”


 


 


ตอนนี้เลี่ยวฟู่กุ้ยยังไม่เป็นศาสตราจารย์ ตำแหน่งของเขาในศูนย์วิจัยคือรองหัวหน้าแพทย์นิติเวช


 


 


“ใช่ครับ คุณคือ…”


 


 


“ท่านใต้เท้าเปา ช่วยให้ความเป็นธรรมกับพี่ชายของฉันด้วย” ผู้หญิงคนนั้นอยู่ๆก็คุกเข่าลง


 


 


เล่นเอาเจี่ยซิ่วฟางตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว อะไรกันเนี่ย แค่มาเอาต้นไม้ทำไมถึงได้เกิดเรื่องได้?


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแค่เห็นก็เข้าใจ นี่คงจะเป็นญาติผู้ต้องหาสักคดี คิดจะมาติดสินบนเลี่ยวฟู่กุ้ยสินะ


 


 


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำงานของผม กรุณากลับไปด้วยครับ มีเรื่องอะไรค่อยไปคุยกันที่หน่วยงานครับ” เลี่ยวฟู่กุ้ยพูดอย่างมีมารยาท


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่อยากยุ่งเรื่องวุ่นวายพวกนี้ เธอรีบลากแม่ที่อยากรู้เรื่องชาวบ้านออกไป แม่ งานมา หนีเร็ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม