บัลลังก์พญาหงส์ 484-490
บทที่ 484 น้ำแข็งละลาย
คำพูดของไทเฮาดังเข้าหูของถาวจวินหลัน ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกตื่นตะลึงมากกว่าอะไร นางไม่เข้าใจความหมายของไทเฮา สุดท้ายแล้วอยากให้นางกล่อมหลี่เย่ให้รั้งกู้ซีเอาไว้ หรืออยากให้ชื่อเสียงดีๆ นี้เป็นของรางวัลที่นางเชื่อฟัง?
คิดไปคิดมา ถาวจวินหลันก็พูดแค่ว่า “ตอนนี้ท่านอ๋องอยู่จวนน้อยนักเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสพูดหรือไม่”
ไทเฮาขมวดคิ้ว ไม่ได้ดึงดันต่อไป เพียงแค่น้ำเสียงเรียบลงหลายส่วน “ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอมก็ช่างเถิด เอาล่ะ เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าเองก็เหนื่อย เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
ถาวจวินหลันเองก็ไม่คิดอยู่นาน จึงลุกขึ้นขอตัวทูลลา
พอออกมาจากวังหย่งโซ่วแล้ว รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของถาวจวินหลันก็ดิ่งลึกลงไปอย่างควบคุมไม่ได้ ท่าทีที่ไทเฮามีต่อนางยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ดูท่าทางต่อจากนี้ไปนางจะต้องเข้าวังหลวงให้น้อยลง
อีกทั้ง เรื่องนี้หลี่เย่ยังไม่รู้ ถ้าเขารู้แล้ว เขาจะไม่พอใจหรือไม่? นางเองก็จับทางไม่ถูก นางจัดเรือนโดยยังไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้หลี่เย่รู้ บางทีตอนแรกหลี่เย่ยังปฏิเสธได้ แต่พอนางทำเช่นนี้กลับปิดหนทางปฏิเสธไปเสียแล้ว
เมื่อเดินออกมา กลับบังเอิญพบกับหยวนฉงหวา หยวนฉงหวาสวมกระโปรงสีแดงอ่อน พานางกำนัลสองสามคนออกมาเดินเล่น ดูท่าทางสบายมาก
“เจ้าเข้าวังมาอีกแล้ว” หยวนฉงหวาเรียกถาวจวินหลันพลางยิ้มและพูด
ถาวจวินหลันพยักหน้า “อืม เข้ามาทำความเคารพไทเฮา”
“ทำไมไม่ไปหาฮองเฮาเหนียงเหนียงเล่า? กลัวว่านางจะวางยาเจ้าหรืออย่างไร?” หยวนฉงหวาพูดขึ้นมาเอง น้ำเสียงดูค่อนแคะเล็กน้อย “แต่เจ้าไม่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาโดยตลอด? ต่อให้นางวางยาเจ้าตายจริง เจ้าก็คงไม่กลัว”
ถาวจวินหลันนวดหว่างคิ้ว ควบคุมความหงุดหงิดเอาไว้ไม่ไหว พูดเนิบๆ ว่า “ข้ามีเรื่องจะต้องกลับจวนไป ไม่พูดกับเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน”
หยวนฉงหวาก็ยังเป็นหยวนฉงหวา แม้ว่าจะร่วมมือกับนาง ก็ยังคงแก้ไขท่าทีเช่นนั้นไม่ได้
“มีธุระหรือ? ใช่เรื่องต้องรับคนใหม่เข้าไปหรือไม่?” หยวนฉงหวายิ้มอย่างมุ่งร้าย เหมือนว่าไม่ไปสะกิดแผลของถาวจวินหลันแล้วก็คงไม่พอใจ
ถาวจวินหลันมองหยวนฉงหวาทีหนึ่ง หมดซึ่งความอดทน “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เห็นว่าทำให้ถาวจวินหลันหงุดหงิดได้แล้ว หยวนฉงหวาก็หัวเราะด้วยความดีใจ สุดท้ายแล้วนางก็พูดว่า “ตั้งแต่ที่เสี่ยวหวังซื่อเข้าวังหลวงมา รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทก็น้อยลงไปเยอะ ช่วงเวลาดับไฟยามดึกก็ช้ามากขึ้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไม? เพราะว่าองค์รัชทายาทไปพักในห้องของเสี่ยวหวังซื่อบ่อยครั้ง”
ถาวจวินหลันยิ่งไม่เข้าใจความหมายของหยวนฉงหวา แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
“องค์รัชทายาทไม่ชอบพระชายาองค์รัชทายาท แต่ไม่เห็นว่าจะรังเกียจเสี่ยวหวังซื่อ และใช้เสี่ยวหวังซื่อทำให้พระชายาองค์รัชทายาทไม่พอใจ วิธีนี้ข้าเป็นคนบอกองค์รัชทายาทเอง องค์รัชทายาทไปหาเสี่ยวหวังซื่อทุกวัน แต่ความจริงแล้วกลับไม่แตะเสี่ยวหวังซื่อแม้แต่น้อย” รอยยิ้มของหยวนฉงหวายิ่งไม่น่าดู “มองดูเสี่ยวหวังซื่อมีความทุกข์แต่พูดไม่ได้ มองดูพระชายาองค์รัชทายาทอารมณ์เสียหงุดหงิดทุกวัน ข้าจึงอารมณ์ดีมาก”
ถาวจวินหลันมั่นใจแล้วว่าหยวนฉงหวาพูดกับนางเยอะขนาดนี้ ก็เพียงเพราะความสบายใจสามคำนี้เท่านั้นเอง
“ช่วงนี้อี๋เฟยก็ได้รับความโปรดปรานเช่นเดียวกัน” หยวนฉงหวาพูดต่อ “เพียงแค่ข้าคิดภาพอี๋เฟยถูกเปิดเผยความผิด ก็แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ได้รับความโปรดปรานก็ดี ได้รับความโปรดปรานมากขึ้นก็ดี ในอนาคตก็ยิ่งน่าสงสาร”
จากคำพูดของหยวนฉงหวา ถาวจวินหลันก็อดคิดถึงสถานการณ์นั้นไม่ได้ แล้วก็นึกสงสารฮ่องเต้ หากรู้เรื่องที่อี๋เฟยทำอะไรเอาไว้ เกรงว่าฮ่องเต้คงต้องเอานางตายแน่นอนใช่หรือไม่?
“เอาเถิด ในเมื่อเจ้าสบายใจก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?” ถาวจวินหลันไม่อยากฟังต่อ เบนตัวเดินออกไป นางรู้สึกว่าที่จริงหยวนฉงหวาคงสติฟั่นเฟือนไปแล้ว ที่ไม่ได้บ้าอย่างถึงที่สุดก็เป็นเพียงเพราะหยวนฉงหวายังไม่ได้แก้แค้นเท่านั้นเอง รอจนถึงวันที่ได้ชำระแค้นแล้ว เกรงว่าหยวนฉงหวาคงสิ้นสติไปจริงๆ
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉับพลันก็รู้สึกทั้งสงสารและหวาดกลัว ผู้หญิงภายในวังหลังลึกนี้ เหมือนจะไม่มีใครหาความสุขได้เลยใช่หรือไม่? วันข้างหน้านางก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่?
ความเย็นเยียบกระแสหนึ่งพัดขึ้นมาจากปลายเท้า แต่เดิมที่ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกร้อน ตอนนี้กลับอดสั่นสะท้านไม่ได้
ถาวจวินหลันยิ่งไม่อยากรั้งอยู่อีกต่อไป
เมื่อกลับมายังจวนตวนอ๋อง ถาวจวินหลันก็คิดถึงความผิดปกติของหลี่เย่ในหลายวันมานี้ คิดเรื่องเหลวไหลเปะปะ แม้แต่ความคิดไปหยอกล้อหมิงจูและซวนเอ๋อร์ก็ยังไม่มี
เมื่อคิดไปมา นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและใช้ปิ่นเกล้าผมแบบง่ายๆ และใช้ผ้าห่อเอาไว้ ก่อนเดินเข้าไปในครัวเล็ก ด้วยแขนเสื้อเป็นอุปสรรคกับการทำงาน จึงต้องถกแขนเสื้อขึ้นไปบางส่วน
แม้จะบอกว่าเป็นสามีภรรยากันมานานแล้วไม่เห็นต้องออดอ้อนเอาใจกันอีก แต่นางก็ยังอยากรู้ว่าหากหลี่เย่รู้ว่านางลงครัวทำอาหารเองแล้วจะชอบใจหรือไม่?
ด้วยตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลง พอคิดไปคิดมาแล้ว ถาวจวินหลันจึงทำปลาเขมือบแพะ น้ำแกงเห็ดสามสหาย และยังมีถั่วงอกสดและถั่วลันเตาผัดที่หาได้ยากในเวลานี้
นอกจากทำปลาเขมือบแพะแล้ว อย่างอื่นก็เป็นอาหารธรรมดาทั่วไป
สุดท้ายถาวจวินหลันก็สั่งให้คนเอาเหล้าผลไม้ที่เพิ่งหมักในปี้นี้มาไหหนึ่ง
ตอนที่หลี่เย่กลับมา อาหารยังทำไม่เสร็จ เพราะไม่เห็นคนของถาวจวินหลัน เมื่อถามบ่าวรับใช้แล้วถึงได้รู้ว่าวันนี้ถาวจวินหลันลงครัวด้วยตนเอง เขายังรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย
ตอนแรกคิดจะไปดู แต่พอคิดว่าตัวเองมีแต่จะไปทำให้วุ่น จึงไปดูซวนเอ๋อร์กับหมิงจูแทน
ซวนเอ๋อร์นั่งอยู่บนเตียงเล่นเสือผ้าเป็นเพื่อนหมิงจู ตอนนี้หมิงจูทำทุกอย่างด้วยตนเองเป็นกว่าครึ่งแล้ว เด็กโตคนหนึ่ง เด็กเล็กคนหนึ่งพูดตามคำผู้ใหญ่ทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่กลับดูมีความสุขมาก
หลี่เย่ก้าวขึ้นไปอุ้มหมิงจู ฉับพลันนั้นซวนเอ๋อร์ก็พุ่งขึ้นมา “ท่านพ่อ!” ไม่เพียงเอ่ยเรียกเต็มปากเต็มคำ แต่ยังมีความสุขมาก
ทว่ารอยยิ้มของหลี่เย่พลันก็หายไป อุ้มซวนเอ๋อร์ขึ้นมานั่งบนขาของตน ยิ้มและพูดว่า “ซวนเอ๋อร์คิดถึงพ่อขนาดนี้เลยหรือ?”
ซวนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างแรง ชี้ไปที่น้องสาว “คิดถึงท่านพ่อทั้งนั้น”
ไฉนเลยหมิงจูจะเข้าใจเรื่องคิดถึงหรือไม่คิดถึง ในความเป็นจริงแล้วมีเพียงถาวจวินหลัน แม่นม และซวนเอ๋อร์ที่วนอยู่รอบตัวนาง ส่วนพ่อที่นางไม่ได้พบบ่อยๆ นี้จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้
ดังนั้นหมิงจูจึงมองไปทางซวนเอ๋อร์อย่างมึนงง
ซวนเอ๋อร์เองก็ไม่ประหม่า และพูดคำที่น่าตกใจออกมา “ท่านแม่ก็เช่นกันขอรับ”
หลี่เย่หัวเราะออกมาในทันใด “เป็นเด็กเป็นเล็กจะไปรู้อะไร” เขาอยู่เล่นเป็นเพื่อนซวนเอ๋อร์และหมิงจูอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากถาวจวินหลันทำอาหารเสร็จ ล้างมือและปล่อยผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วนั้นถึงได้ไปหาหลี่เย่ ส่วนหน้าที่ต่อไปนั้น เช่นวางอาหาร ตั้งโต๊ะ ย่อมไม่จำเป็นต้องมีนาง
ยังไม่ทันได้เข้าห้อง ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงหัวเราะของสามพ่อลูก จึงหยุดฟังอยู่ข้างนอกครู่หนึ่งถึงได้เปิดม่านเดินเข้าไป จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ได้ยินเสียงพวกเจ้าตั้งแต่ไกล มีเรื่องอะไรน่าดีใจขนาดนี้หรือ?”
หลี่เย่เงยหน้ายิ้มตอบ “ข้าจักกะจี้ซวนเอ๋อร์”
เห็นเสื้อผ้าของซวนเอ๋อร์เละเทะไปหมด หมิงจูเองก็เละเทะเช่นเดียวกัน ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็หัวเราะออกมา “เขากลัวคนจักกะจี้เพคะ ท่านก็อย่ารังแกเขาอีกเลย มิเช่นนั้นเล่นมากเกินไปแล้วกลางคืนจะฉี่รดที่นอนเอา”
คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าของซวนเอ๋อร์เคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด “ไม่มี! ไม่ฉี่รดที่นอน!”
ซวนเอ๋อร์จะอายุสามขวบแล้ว เด็กอายุเท่านี้ก็รู้จักคำว่าหน้าตาแล้ว ทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ซวนเอ๋อร์ก็มักจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่ถาวจวินหลันและผู้ใหญ่เห็นท่าทีของเขาก็อดหัวเราะไม่ได้
ถาวจวินหลันเห็นซวนเอ๋อร์มีท่าทีเช่นนี้ก็ยิ่งมีความสุข ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
หลี่เย่เองก็เช่นกัน แต่กลับจงใจพูดขึ้นมาช้าๆ “อย่างนั้นหรือ? สองวันมานี้ข้ายังได้ยินแม่เจ้าพูดว่าจะต้องทำกางเกงให้เจ้าอีกสองตัว มิเช่นนั้นฤดูหนาวฉี่รดที่นอนแล้วจะไม่มีเปลี่ยน”
ซวนเอ๋อร์อายจนต้องไปหลบทันที แต่ก็ทำให้คนอื่นหัวเราะออกมามากขึ้นในทันใด
หัวเราะหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันถึงได้พูดออกมาว่า “เอาเถิด ควรทานอาหารแล้ว หมิงจูก็ต้องทานนมแล้วเช่นกัน”
หลี่เย่พยักหน้า ส่งหมิงจูให้กับแม่นมที่อยู่ข้างๆ ก่อนจัดการกับเสื้อผ้าของซวนเอ๋อร์ด้วยตนเอง แล้วถึงได้พาเขาไปเตรียมตัวทานอาหาร
ถาวจวินหลันเห็นเสื้อผ้าของหลี่เย่มีจุดที่สกปรก จึงดึงเขาเอาไว้และถามว่า “ทำไมถึงได้สกปรกเยอะขนาดนี้เพคะ?”
หลี่เย่ก้มหน้ามองดู แปลกใจเช่นกัน “ไม่รู้ว่าไปเปื้อนอะไรที่ไหนมา”
ถาวจวินหลันกล่าวโทษ “ทำไมถึงได้สะเพร่าเช่นนี้เจ้าคะ? ท่านเดินไปมาข้างนอก คนอื่นเห็นเข้าจะทำเช่นไรเพคะ?”
หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้ก็อดหัวเราะน้อยๆ ไม่ได้ “นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครมาดูละเอียดเช่นนี้อีก อีกอย่างหนึ่งน่าจะเปื้อนตอนที่กลับมาแล้ว มิเช่นนั้นหวังหรูและโจวอี้ก็คงจะสังเกตเห็นแล้ว”
ถาวจวินหลันคิดแล้วก็เห็นด้วย “น่าจะเป็นซวนเอ๋อร์ทำเปื้อน” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดถึงเรื่องอื่น “วันนี้ข้าทำปลาเขมือบแพะ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ได้ทำมานานแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือตกไปบ้างแล้วหรือยัง นี่เป็นของที่ข้าเรียนตอนสมัยยังเป็นหญิงสาวนอกวัง เป็นอาหารที่ท่านพ่อชอบที่สุด”
หลี่เย่ย่อมต้องเคยกินปลาเขมือบแพะมาก่อน อาหารชนิดนี้เมื่อเอามารวมกันแล้วก็คือคำว่าสดใหม่สองคำนี้ รสชาติย่อมไม่ต้องพูดถึง เขารู้ว่าอาหารชนิดนี้เวลาทำขึ้นมานั้นจะต้องมีขั้นตอนยิบย่อยมากมาย จึงได้ขมวดคิ้วพูดว่า “อยู่ดีๆ ทำอาหารที่ต้องเหนื่อยเช่นนี้ทำไมกัน? ทำให้ตัวเองเหนื่อยแท้ๆ ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี ทำไมถึงไม่รักร่างกายตัวเองบ้างเล่า?”
หลี่เย่ตำหนินาง ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา หลี่เย่ใส่ใจเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังเป็นห่วงนางอยู่ แล้วจะเป็นเช่นนี้หรือไม่?
นางก็ก้มหน้าหัวเราะและพูดว่า “เพียงวุ่นวายเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เหนื่อยหรือลำบากเลยเพคะ ขอเพียงท่านชอบ ข้าจะทำทุกวันก็ย่อมได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ว่างอยู่แล้ว”
แต่นางกลับไม่รู้ว่าพอหลี่เย่ได้ยินคำพูดนี้ของนาง เรื่องที่ติดที่อยู่ในใจมาหลายวันนี้กลับค่อยๆ สลายหายไป พอเข้าใจแล้วหลี่เย่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย จะหวาดระแวงเช่นนั้นทำไมกัน? สถานการณ์ตอนนี้และต่อจากนี้ถึงสำคัญที่สุด ส่วนก่อนหน้านี้ เรื่องราวที่ผ่านไปนานเช่นนั้นยังจะคิดให้เขาทำอะไรอีก?
“เหนื่อยเกินไปข้าเจ็บปวดใจ” หลี่เย่จับมือของถาวจวินหลันไว้เอง ก่อนกดเสียงต่ำพูดเช่นนี้ออกมา ไม่ให้บ่าวรับใช้ที่ตามมาข้างหลังได้ยิน
ถาวจวินหลันได้ยินก็รู้สึกเขินอาย หันไปมองบรรดาบ่าวรับใช้ตามสัญชาตญาณ พบว่าอยู่ไกลไม่ได้ยินคำพูดของพวกนาง ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่อยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ แล้วซวนเอ๋อร์ก็ยังอยู่ นางเองก็ทำเรื่องอื่นไม่ได้จริงๆ มองหลี่เย่อย่างกล่าวโทษทีหนึ่ง แล้วไม่กล้ามองเขาอีก
แต่ในใจก็ยังลอบถอนหายใจเบาๆ
บทที่ 485 ดังเดิม
ปลาเขมือบแพะย่อมสดอร่อยจนคนแทบกัดลิ้นลงไปด้วย
แม้แต่ซวนเอ๋อร์ ก็กินเข้าไปบางส่วนด้วยความช่วยเหลือของแม่นม ท้องนั้นกลมป่อง ตอนที่ถาวจวินหลันเอามือไปลูบท้องก็ต้องตกใจยกใหญ่ “ทำไมเด็กคนนี้ไม่รู้จักอิ่มเลยเล่า?”
หลี่เย่กลับสงบนิ่ง “เด็กก็เป็นเช่นนี้ ต่อจากนี้ไม่ต้องให้เขากินเยอะขนาดนี้ก็พอแล้ว”
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่อย่างสงสัย “ท่านรู้ได้อย่างไรเพคะ?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าเจ็ดก็เป็นเช่นนี้” หลี่เย่พูดเนิบๆ หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดเสริมอีก “มีครั้งหนึ่งที่เขากินอาหารที่เจ้าทำ ไม่ใช่ว่าพุงกางหรืออย่างไร? แล้วยังต้องเชิญหมอหลวงมาอีก” ถาวจวินหลันนึกภาพเหตุการณ์ตอนนั้นขึ้นมา ก็อดหัวเราะไม่ได้ แล้วก็ส่ายหัวถอนหายใจ “เวลาผ่านไปไวจริงๆ ตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ แต่ตอนนี้ได้ยินว่าอี้เฟยเริ่มมองหาลูกสะใภ้แล้ว”
อี้เฟยเสาะหาลูกสะใภ้ไม่ใช่เรื่องลับอะไร แม้ทุกคนจะไม่ได้พูดเปิดเผย แต่ก็รับรู้กันอย่างดี ฮ่องเต้เองก็ปล่อยเลยตามเลย อย่างไรแล้วก็เป็นมารดาแท้ๆ ขององค์ชาย ให้ความคิดเห็นเล็กน้อยย่อมได้ แต่สุดท้ายคนที่ตัดสินใจนั้นยังคงเป็นฮ่องเต้เท่านั้นก็พอ
แต่เริ่มมองหาลูกสะใภ้ตั้งแต่ตอนนี้ กลับเร็วกว่าหลี่เย่และองค์รัชทายาทตอนที่อายุเท่านั้นอยู่เยอะ ที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนั้นองค์รัชทายาทและหลี่เย่เพิ่งจะผ่านช่วงเวลาสวรรคตของฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นจึงต้องล่าช้าออกไปให้ดูเหมาะสม
หลี่เย่พยักหน้า “อีกทั้งเริ่มเข้าว่าการแล้ว จึงออกจากวังหลวงน้อยครั้งนัก”
พอคิดถึงภาพขององค์ชายเจ็ดที่เดินตามหลี่เย่ทั้งวันในตอนนั้น และคิดถึงภาพชายหนุ่มเยาว์วัยที่ได้พบเห็นในช่วงหลายวันมานี้ นางก็รู้สึกเหมือนไม่ใช่คนเดียวกันอีกแล้ว
เมื่อนึกถึงองค์ชายเจ็ด ถาวจวินหลันก็นึกถึงองค์รัชทายาทขึ้นมา นางพลันสงสัยเล็กน้อย คิดไปคิดมาก็เอ่ยปากถามว่า “ในเมื่อท่านกุมจุดอ่อนขององค์รัชทายาทอยู่ในมือ ท่านก็ไม่ต้องหวาดระแวงองค์รัชทายาทถึงขนาดนั้นแล้วซี หาโอกาสเปิดเผยเรื่องนี้…” องค์รัชทายาทจะต้องรักษาตำแหน่งไม่ได้อย่างแน่นอน
หลี่เย่ส่ายหน้า “จับขโมยต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา พูดโดยไม่มีหลักฐานใครจะเชื่อ? ถึงเวลานั้นถูกลอบกัดเข้า จะกลายเป็นเรากล้ำกลืนเสียเอง มีเพียงแค่จับได้คาหนังคาเขาถึงทำให้องค์รัชทายาทหมดโอกาสแก้ตัว”
นอกจากจู่โจมตรงเป้าเพียงครั้งเดียว มิเช่นนั้นเขาก็ไม่อาจลงมือได้
ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เข้าใจความคิดของหลี่เย่ จึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก หยุดไปครู่หนึ่ง ก็คิดถึงคำพูดของไทเฮาในวันนี้ได้ จึงพูดขึ้นว่า “ข้ายังมีอีกเรื่องต้องพูดกับท่าน”
นางสั่งให้แม่นมอุ้มซวนเอ๋อร์ออกไป และให้บ่าวรับใช้ยกโต๊ะไปจัดการ นางลงมือต้มชาเพื่อช่วยย่อยอาหาร แล้วถึงพูดเสียงเบาว่า “วันนั้นไทเฮาให้คนมาแจ้งข่าวว่ากู้ซีจะเข้ามาเป็นชายารองของท่าน และให้ข้าเก็บกวาดเรือน ข้านึกว่าท่านรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จึงจัดการเก็บกวาดเรือนเรียบร้อย แต่วันนี้ไทเฮากลับบอกข้าว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้แจ้งให้ท่านทราบ เป็นข้าเองที่ทำให้ท่านตกที่นั่งลำบาก”
หลี่เย่ขมวดคิ้วทันที “กู้ซีหรือ?”
หลี่เย่ไม่ชอบกู้ซีจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องไม่สนิทกัน อีกทั้งมองใบหน้าที่คล้ายกับมารดาของตน เขาก็หลบแทบไม่ทันแล้ว เรื่องนี้ทำให้เขาลำบากใจจริงๆ
แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของถาวจวินหลัน เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ช่างเถิด ความตั้งใจของไทเฮา แม้เป็นข้าก็ขัดขวางไม่ได้ ไทเฮาอยากให้ข้าและตระกูลกู้กระชับสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมากขึ้น”
แต่เมื่อกู้ซีเข้ามาในจวน เขากลับไม่อยากสนิทสนมด้วยจริงๆ คิดไปมา เขาก็พูดว่า “เลี้ยงดูให้อยู่อาศัยไม่อดอาหารไม่ขาดตกบกพร่องก็พอ” ส่วนเรื่องอื่นก็ถือว่าปล่อยไป
ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยนัก ทำเช่นนี้เกรงว่าตระกูลกู้และจวนตวนชินอ๋องคงไม่ได้สนิทสนมกันมากขึ้น แต่กลับยิ่งทำให้เกิดช่องว่างต่างหาก
อีกทั้งนี่ยังถือว่าทำลายชีวิตที่เหลือของกู้ซี
แต่นางจะเอาอะไรไปกล่อมหลี่เย่? ใจจริงแล้วนางไม่อยากแบ่งหลี่เย่ให้คนอื่น อีกทั้งคำพูดเหล่านั้นก็เป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้น
เพื่อเปลี่ยนเรื่องพูด และเพื่อถามสิ่งที่คาอยู่ในใจมาหลายวัน ถาวจวินหลันจึงถามหลี่เย่เสียงเบา “ท่านโกรธข้าอย่างนั้นหรือ?”
หลี่เย่นิ่งไป แล้วก็หลบสายตาของถาวจวินหลันด้วยความประหม่า เพียงแค่หัวเราะเฝื่อนๆ “หมายความว่าอย่างไรกัน”
ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่มีปฏิกิริยามากขนาดนี้ ไฉนเลยจะยังไม่เข้าใจ? จึงหัวเราะขมขื่นกล่าว “พวกเราเป็นสามีภรรยากัน แม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจกันมากนัก แต่ก็รู้ใจกันแปดถึงเก้าส่วน แล้วทำไมท่านต้องปิดบังข้าเล่า? มีอะไรก็ควรพูดตรงๆ หากข้าไม่ดี ข้าก็จะได้แก้ไข มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นพวกเราถึงจะไม่ห่างเหินกัน มิใช่หรือเพคะ”
หลี่เย่เริ่มคล้อยตามเล็กน้อย
ถาวจวินหลันก้มหน้าลง พูดต่อเสียงเบา “คราวนี้ท่านหลบหน้าข้าอยู่หลายวัน ถ้ายังมีครั้งต่อไปเล่า? ก็ยังจะหลบข้าอยู่อีกหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ข้ายอมให้ท่านไล่ข้าออกไปจากจวนเลยดีกว่า มิเช่นนั้นข้าคงลำบากใจมาก”
นี่เป็นความในใจของนาง ตอนที่ยังไม่รู้สึกว่าหลี่เย่หลบหน้า ก็ยังพอปล่อยไปได้ แต่หลังจากรู้สึกแล้ว ช่างทุกข์ทนอย่างยากจะเอ่ย
หลี่เย่ถอนหายใจ “วันนั้นเรื่องที่เจ้าเดินทางออกมาจากบ้านตระกูลเฉิน ข้ารู้แล้ว ข้า…” หยุดไปครู่หนึ่ง หลี่เย่ก็เหมือนเรียกความกล้าขึ้นมา กอดอกของตนเองเอาไว้ “ข้าก็ไม่สบายใจ”
ถาวจวินหลันนิ่งไป ที่นางก็คิดไว้ก็คือเรื่องนี้ แต่เดิมนางอยากจะปิดบังหลี่เย่ ก็เพราะกลัวว่ากลัวเขาจะคิดมาก แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้ คิดไปคิดมาก็รู้สึกสงสัย นางให้คนปิดไว้มิใช่หรืออย่างไร? หลี่เย่ไปรู้มาจากที่ไหนกัน?
หลี่เย่รู้ว่าถาวจวินหลันสงสัย จึงหัวเราะขมขื่น “บ่าวหลุดปากพูดออกมา แต่เดิมข้าก็ไม่ได้ใส่ใจมาก แต่เจ้ากลับจงใจปิดบังข้า ข้าถึงได้หงุดหงิดที่สุด”
ด้วยไม่อาจพูดกับคนอื่นได้ เรื่องที่ยิ่งปิดบังไว้ก็ยิ่งคาใจ ในใจของมนุษย์นั้นล้วนคิดเหมือนกัน แม้จะรู้ว่าที่จริงแล้วถาวจวินหลันไม่ได้ทำอะไร แต่ในใจของเขาก็รู้สึกผิดปกติอยู่ดี
ที่สำคัญที่สุดก็คือวันนั้นเขาถามแล้วรอบหนึ่ง ถาวจวินหลันกลับไม่ได้มีท่าทีจะจริงใจเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้เขาขัดใจมากขึ้นไปอีก
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น สุดท้ายก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งพบเจอสิ่งนั้น แต่เดิมนั้นนางไม่อยากให้หลี่เย่คิดมาก แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้าม ไม่เพียงแค่ไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ตอนแรก แต่เรื่องราวก็ไม่เป็นไปดั่งใจหวัง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน” ถาวจวินหลันมองดวงตาของหลี่เย่พลางอธิบายอย่างจริงใจ “ข้าแค่ไม่อยากทำให้ท่านกังวลเท่านั้นเพคะ ข้าได้ยินว่าตระกูลข่งตกที่นั่งลำบาก คิดว่าสาแก่ใจเลยอยากจะไปดู ข้าอยากไปดูว่าอะไรเรียกว่าทำไม่ดีย่อมได้ผลร้าย และอะไรเรียกว่ากรรมตามสนอง!”
แม้ตอนแรกจะยังพบหน้ากันอย่างสงบสุขได้ แต่สุดท้ายแล้วก็เก็บอารมณ์ต่อไปไม่ได้ ความรังเกียจคิดแค้นที่นางมีต่อตระกูลข่งนั้น ไม่เพียงแค่ข่งอวี้ฮุย คนกลับกลอกเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือตระกูลข่งไร้เยื่อใยไม่มีศักดิ์ศรีตอนที่ตระกูลถาวตกที่นั่งลำบาก
“ส่วนเงินที่ให้ผู้หญิงเหล่านั้น ก็ด้วยสงสารพวกนางเท่านั้นเพคะ” ถาวจวินหลันหรี่ตาลง “เก็บพวกนางไว้ให้นึกแค้นตระกูลข่ง สาปแช่งตระกูลข่ง ไปกระจายข่าวสิ่งที่ตระกูลข่งทำ ทำลายชื่อเสียงของพวกเขาไม่ดีหรือ?”
ถาวจวินหลันพูดถึงตอนสำคัญ ก็แทบจะไม่สนใจแล้วว่าหลี่เย่จะคิดอย่างไร แม้กระทั่งนางเองยังไม่สนใจว่าคำพูดเหล่านี้ฟังแล้วโหดร้ายยิ่งนักอีกด้วย
หลี่เย่มองท่าทีตื่นเต้นของถาวจวินหลัน ก็เริ่มรู้สึกคล้อยตามเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมา จับมือของถาวจวินหลันที่กำเข้าหากันแน่นเพราะความโกรธเอาไว้ พูดว่า “ข้าขอโทษ”
เขาพูดสามคำนี้ด้วยเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำ ฉับพลันหิมะในใจของถาวจวินหลันก็ค่อยๆ ละลายไป นางอ้าปากน้อยๆ สุดท้ายก็ส่ายหน้าเอ่ย “ท่านต้องขอโทษข้าเรื่องอะไรอีกเพคะ?”
“เป็นข้าเองที่คิดมากเกินไป” หลี่เย่พูดเสียงต่ำ ความหงุดหงิดภายในใจนั้นเหมือนกับเชือกมัดเขาเอาไว้แน่นหลายชั้น ทำให้เขาดิ้นไม่หลุด
ถาวจวินหลันยิ้มสดใส “ข้าเองก็คิดมากเช่นเดียวกัน ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? ยิ่งท่านคิดมาก ข้าเองก็ยิ่งดีใจ” เพราะนี่แสดงออกว่าหลี่เย่ใส่ใจนางมากเพียงใด
นางลิ้มลองรสชาตินี้ด้วยตนเอง ดังนั้นถึงยิ่งเข้าใจ หากไม่สนใจ แล้วจะมานั่งทรมานกว่าครึ่งวันเพราะการกระทำเพียงเล็กน้อยของเขาหรือ?
แล้วจะมองดูเขาเข้าใกล้ชิดกับคนอื่นแล้วทรมานเหมือนมีน้ำมันราดกองไฟหรือ?
“ต่อจากนี้ไปไม่ให้หลบหน้าข้าอีกแล้วนะเพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ ขยับเข้าไปในอ้อมกอดของหลี่เย่ “ไม่ว่าอย่างไร ห้ามทำเช่นนั้นอีก ข้าทรมานเหลือเกิน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ถาวจวินหลันแสดงอารมณ์ของตนเองออกมาก่อน ทันใดนั้นหลี่เย่ก็ตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก และชื่นชอบเป็นอย่างมาก
ถาวจวินหลันเรียบร้อยอยู่ในกฎเกณฑ์ตลอด เทียบกับผู้หญิงบอบบาง พึ่งพาคนอื่นแล้วนั้น น้อยครั้งนักที่นางจะเป็นเช่นนี้
แต่ทุกครั้งที่นางแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา เขาก็ยิ่งหวั่นไหวมากขึ้น และยิ่งหวงแหนมากขึ้น เขาหวังว่าถาวจวินหลันจะพึ่งพาเขา หวังว่าถาวจวินหลันจะไม่ห่างเขาไปไหน
มีบางครั้งที่ถาวจวินหลันหัวแข็งมากเกินไป ทำให้เขารู้สึกว่า ที่จริงแล้วถาวจวินหลันไม่เห็นเขาสำคัญ ไม่มีเขาถาวจวินหลันก็ยังใช้ชีวิตต่อได้ด้วยดี
วันนี้ตอนนี้ความรู้สึกเช่นนี้กลับสลายหายไป
ทั้งสองคนพูดคุยแบ่งปันความทุกข์ซึ่งกันและกัน พูดคุยเรื่องส่วนตัวกันอยู่นาน เช้าวันรุ่งขึ้นก็กลับมาดีกันเหมือนเดิม จึงมีท่าทีปลอดโปร่งโล่งใจ
ถาวจวินหลันรออยู่สามวันก็ไม่เห็นกู้ซีเข้าจวนมา จึงเริ่มรู้สึกอึดอัด ในเมื่อพูดว่าไทเฮาเร็วที่สุด คิดว่าควรจะเป็นสองสามวันนี้เสียอีก แล้วทำไมถึงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย? เหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น!
หรือว่าหลี่เย่ทำอะไร? ถาวจวินหลันคิดเช่นนี้ แต่กลับส่ายหน้าและปฏิเสธไป ถ้าหลี่เย่ทำจริงก็ต้องบอกนาง
หรือจะบอกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร? ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อคิดถึงสุขภาพของกู้ซี นางก็ยิ่งคิดว่ามีความเป็นไปได้มาก อย่างไรตอนนี้ก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของกู้ซีรับไม่ไหวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เมื่อพูดถึงอากาศหนาว ถาวจวินหลันก็คิดว่าตนเองนั้นยิ่งไม่ได้เรื่อง ปีนี้ต้องใส่เสื้อชุดคลุมบางเร็วกว่าปีที่แล้วสี่เดือน และต้องเผาถ่านเร็วขึ้น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงรู้สึกมือเท้าเย็นเยียบ และยิ่งไม่อยากออกไปไหน ด้านนอกหนาวเกินไป ออกไปครั้งหนึ่งก็แข็งแทบทนไม่ไหว
ด้วยไม่ชอบออกไปข้างนอก ดังนั้นนางจึงรู้ข่าวคราวล่าช้าไปเล็กน้อย แม้ว่าจะมีคนมารายงานข่าวสำคัญ แต่ข่าวเล็กๆ น้อยๆ กลับไม่ได้รับรู้
วันนี้ถ้าองค์หญิงแปดไม่ได้มาหานางที่นี่ ก็ไม่รู้ว่านางจะได้ยินข่าวนี้จากที่ไหน
บทที่ 486 ไร้ศักดิ์ศรี
กู้ซีถูกแต่งตั้งเป็นจวงผิน
หลังจากถาวจวินหลันรู้ข่าวนี้แล้ว นางก็ตกใจจนอ้าปากค้าง จวงผินนั่นเป็นตำแหน่งผินทั้งเก้า ถือว่าสูงมากแล้ว อย่างน้อยสำหรับสตรีที่เพิ่งเข้าวังหลวงก็เป็นเช่นนั้น แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือในเมื่อเป็นตำแหน่งผินทั้งเก้า นั่นก็ถือว่าเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้แล้ว
กู้ซีกลายเป็นหญิงของฮ่องเต้
เป็นไปได้อย่างไร? ถาวจวินหลันจึงรีบถามทันที “เป็นไปได้อย่างไร?”
องค์หญิงแปดส่ายหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เรื่องนี้ล้อเล่นได้หรือเจ้าคะ? ท่านคิดว่าข้าไม่รู้ความสำคัญของเรื่องนี้หรืออย่างไรเจ้าคะ? เดิมไทเฮาตั้งใจมอบกู้ซีให้กับจวนตวนชินอ๋อง แม้ว่าจะไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ออกไป แต่มีคนรู้เรื่องนี้มากมายตั้งเท่าไรเล่าเจ้าคะ?”
ไม่ต้องพูดว่าพวกนางรู้กันเป็นอย่างดี แม้แต่ฮ่องเต้ เกรงว่าคงรู้อยู่แก่ใจเช่นเดียวกัน แต่ด้วยรู้อยู่แก่ใจ ถึงได้น่าตกใจ โมโหและเสียหน้า
ตั้งแต่อดีต แม้จะเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ แต่มีใครถูกกล่าวชื่นชมบ้างเล่า? ไม่มีใครรอดพ้นการตำหนิไปได้ ตอนนี้อย่างเดียวที่น่าดีใจก็คือเรื่องนี้ยังไม่ได้ทำพิธีจริงจังเท่านั้นเอง ถือว่าไว้หน้าฮ่องเต้และหลี่เย่ มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าสองพ่อลูกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
โดยเฉพาะหลี่เย่ ความแค้นที่ถูกแย่งภรรยาย่อมไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเป็นบิดาของตนเอง ดั้งนั้น แม้ว่าจะโมโหแต่ก็ไม่มีที่ให้ระบายเรื่องนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแก้แค้นเลย
แน่นอนว่าฮ่องเต้ก็เสียหน้าอยู่ไม่น้อย แม้จะไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้า แต่ลับหลังมีใครบ้างไม่เอาไปนินทา? แม้แต่ฮองเฮาเองก็คงจะพูดเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ถาวจวินหลันทำใจรับเรื่องนี้อย่างยากเย็น แล้วสงสัยบางเรื่องจึงถาม “ถ้าเช่นนั้นไทเฮามีปฏิกิริยาอย่างไรหรือ? ขุนนางมีปฏิกิริยาเช่นไร? ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?”
พูดตามจริง แม้ว่านางไม่อยากให้กู้ซีเข้าจวนมา แต่ก็ไม่คิดจะใช้วิธีนี้มาบรรลุเป้าหมาย มิเช่นนั้นจวนตวนชินอ๋องคงเสียหน้าไปอีกนาน
แล้วคนๆ นี้ยังเป็นฮ่องเต้ จวนตวนชินอ๋องต้องถูกลบหลู่ ไม่เพียงแค่ไม่อาจแก้แค้นได้ แล้วยังจะต้องแสร้งยิ้มเหมือนไม่เป็นอะไรอีก บางทีอาจต้องแสดงความยินดีที่ฮ่องเต้ได้หญิงงามคนใหม่ด้วยซ้ำ
ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องนี้ ก็เหมือนถูกคนเอากองไฟยัดเข้ามา ฉับพลันก็ร้อนรุ่มหงุดหงิดไปหมด
องค์หญิงแปดถอนหายใจ พูดเสียงเบาว่า “ไทเฮาได้ยินข่าวนี้ก็สลบไปเลยเจ้าค่ะ ส่วนขุนนางฝ่ายบุ๋นก็เพิ่งจะมีคนส่งฎีกา แล้วเสด็จพ่อก็บอกว่าเป็นเรื่องภายในวังหลัง ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก และถูกตีกลับไป ทั้งยังตำหนิว่าไม่รู้จักทำงาน รู้จักแต่สนใจเรื่องอื่น จึงสั่งโบยขุนนางบุ๋นคนนั้นอีกยี่สิบไม้ ซ้ำยังถอดกางเกงโบยกลางท้องพระโรงต่อหน้าขุนนางมากมายอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ยังจะมีใครกล้าพูดอีกเล่าเจ้าคะ?
ถาวจวินหลันพลันแค่นหัวเราะ ตอนนี้ราชสำนักมีขุนนางกล้าเกลี้ยกล่อมอยู่น้อย คนไม่กลัวตายยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่ ฮ่องเต้กระทำเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครยอมถูกโบยตีต่อหน้าต่อตาอีก
สำหรับขุนนางบุ๋นที่ร่างกายอ่อนแอ โบยตียี่สิบไม้ก็แทบจะพรากไปกว่าครึ่งชีวิต อีกทั้งถกกางเกงตีต่อหน้าขุนนางคนอื่นก็ยิ่งเสียเกียรติ…
ร่างกายเจ็บปวดยังไม่พอ ทั้งต้องเสียศักดิ์ศรี แล้วยังมีใครกล้าเสี่ยงอีก? อีกทั้งเหมือนที่ฮ่องเต้พูดเอาไว้ นี่เป็นเรื่องของวังหลัง ราชสำนักไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยแม้แต่น้อย
ถาวจวินหลันอยากพบหลี่เย่จนสติแทบแตก เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแม้ว่าจะไม่ชอบกู้ซีอย่างไร หลี่เย่ก็คงจะรู้สึกไม่ดีเช่นกัน ไม่ใช่เพราะกู้ซีแต่เป็นเพราะการกระทำของฮ่องเต้…
เรื่องตอนนั้นหลี่เย่ก็คิดกล่าวโทษฮ่องเต้อยู่บ้าง มาถึงตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก เกรงว่าความสัมพันธ์พ่อลูกที่เหลืออยู่ต้องสลายหายไปใช่หรือไม่เล่า?
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวานตอนบ่าย วันนี้ก็กระจายออกไปแล้ว” องค์หญิงแปดขมวดคิ้ว เอามือไปอิงไว้ที่เตาผิง รู้สึกว่าอุ่นขึ้นมาแล้วถึงได้ยกจอกชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง “ท่านจะต้องเตรียมใจไว้ให้ดี เกรงว่าเรื่องนี้คงจะแพร่สะพัดไปช่วงหนึ่ง”
ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ “ต่อให้ไม่ได้เตรียมพร้อมก็คงว้าวุ่นใจไปช่วงหนึ่งแน่ๆ ” อย่ามองว่าบรรดาหญิงสูงศักดิ์เหล่านั้นดูสูงส่งมีมารยาท แต่ความเป็นจริงปากยื่นตายาว ชอบนินทาเช่นเดียวกัน ต่อหน้าอาจจะพูดไม่ได้ แต่ลับหลังก็ต้องแอบพูดบ้าง
แม้กระทั่งมีคนไม่รู้จักกาลเทศะ ต้องเข้ามาสอบถามแล้วถึงได้ยอมจบไป
คิดถึงเรื่องเหล่านั้นถาวจวินหลันก็ปวดหัวอย่างรุนแรง
“ต่อจากนี้ถ้าพบกัน คงจะอึดอัดน่าดู” องค์หญิงแปดพูดพลางส่ายหัว มองไปยังถาวจวินหลันอย่างสงสาร ฉับพลันก็ส่ายหัวอีกครั้ง “ต่อจากนี้ไทเฮาคงจะรำคาญใจน่าดู”
ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ ถือว่าอกตัญญู ทั้งที่รู้ความคิดของไทเฮาอยู่แล้ว ก็ยังจะให้กู้ซีไปอยู่ในวังหลังของตนเอง ทำให้ไมทเฮาเกรี้ยวโกรธ
แต่นั่นเป็นฮ่องเต้ ใครจะกล้าพูดตำหนิ? อยากอายุสั้นนักหรืออย่างไร?
องค์หญิงแปดกดเสียงต่ำทันที พูดข้างหูถาวจวินหลัน “ที่จริงแล้วเรื่องนี้เสด็จแม่ของข้าบอกว่ามีเงื่อนงำอยู่เล็กน้อย แม้จะบอกว่ากู้ซีเคยเข้าวังหลวงมา แต่ก็ไม่เคยพบฮ่องเต้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าขันทีไม่รู้เรื่องรู้ราวคนไหนพากู้ซีเดินไปทางที่ฮ่องเต้ต้องเดินผ่าน ไปๆ มาๆ ฮ่องเต้ถึงได้บังเอิญพบเข้า”
ถาวจวินหลันคิดว่าเหลื่อเชื่อ “ต่อให้บังเอิญพบกัน รู้ว่ากู้ซีมีฐานะเช่นไร ฮ่องเต้ก็คงไม่ถึงขั้นทำเรื่องสิ้นคิดขนาดนี้หรอก”
“อย่างไรเรื่องนี้ก็มีเงื่อนงำมาก แต่บ่าวที่อยู่ในสถานการณ์นั้นกลับปากแข็งเหมือนเปลือกหอยไม่มีผิด ถามไม่ได้ความเลยแม้แต่น้อย” องค์หญิงแปดคล้ายสนใจเรื่องนี้อย่างมาก ขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย “ดังนั้น เสด็จแม่ของข้าจึงบอกว่าต้องมีเบื้องหลังแน่ อีกทั้งยังพูดออกมาไม่ได้”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “คิดว่ามีเพียงอย่างนี้เท่านั้นถึงจะอธิบายได้” แต่นางไม่อยากคาดเดาอะไรอีกแล้ว อย่างไรก็เป็นเรื่องด่างพร้อยภายในครอบครัว หากเป็นไปได้แม้แต่คิดนางยังไม่อยากจะคิด
แต่ที่องค์หญิงแปดพูดเช่นนี้กับนางก็ด้วยหวังดี จึงได้ฝืนยิ้มเอ่ยพูดขอบใจองค์หญิงแปด “วันนี้ต้องขอบใจเจ้าที่เดินทางมาบอกเรื่องนี้กับข้าโดยเฉพาะ มิเช่นนั้นกว่าข้าจะรู้เรื่องก็คงทำให้คนอื่นขำขันเสียแล้ว”
องค์หญิงแปดสะบัดมือ พูดแค่ว่า “พวกเราถือเป็นอะไรกัน?”
ถาวจวินหลันยิ้มอย่างซึ้งน้ำใจ แล้วพูดว่า “ข้าต้องไปสั่งทุกคนในจวนแล้ว ไม่รั้งองค์หญิงแปดให้อยู่นานแล้ว รอวันไหนข้ามีเวลาว่าง ข้าจะไปหาเจ้า”
องค์หญิงแปดก็คิดเช่นนี้ จึงลุกขึ้นขอตัวลา
หลังจากส่งองค์หญิงแปดกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ให้หงหลัวเรียกคนคอยดูแลจวนทุกคนมา และยังมีเจ้านายทั้งหลาย แม้แต่เจียงอวี้เหลียนที่ร่างกายอ่อนแอก็ถูกเชิญมาเช่นเดียวกัน
พอคนมาครบแล้ว ถาวจวินหลันก็พูดเพียงว่า “ต่อจากนี้ห้ามทุกคนพูดถึงคุณหนูกู้อีก แล้วยังมีเรือนที่จัดเก็บใหม่ด้วย คนที่ขัดคำสั่ง ต้องส่งขายออกนอกจวนทันที!”
สิ้นเสียง ทุกคนก็เงียบเป็นเป่าสากทันที เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
น้อยครั้งที่ถาวจวินหลันจะมีท่าทีทรงอำนาจเคร่งขรึมขนาดนี้ ตอนนี้มีท่าทีเช่นนี้ ก็ทำให้คนเหล่านี้นิ่งอึ้งไป
สุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนก็ถามว่า “นี่เกิดอะไรขึ้น?”
ถาวจวินหลันกลับไม่อธิบายอย่างละเอียด เพียงแค่สั่งเนิบๆ “ทำตามที่ข้าพูดก็พอแล้ว เรื่องอื่นพวกเจ้าไม่ต้องคิดเยอะ เอาเถอะ นอกจากเจ้านายทั้งหลายแล้ว คนอื่นก็แยกย้ายกันไปเถิด”
เพียงไม่นาน ทุกคนก็พากันแยกย้ายไปพร้อมกับความสงสัย ถาวจวินหลันถึงได้เหลือบมองความสงสัย ความกังวล และกระวนกระวายของทุกคน แล้วพูดออกมาช้าๆ ว่า “ฮ่องเต้แต่งตั้งกู้ซีเป็นจวงผิน ต่อจากนี้ไปถือเป็นคนในวังหลวง ไม่เกี่ยวข้องกับจวนตวนชินอ๋องอีก! ต่อให้มี ก็มีเพียงความสัมพันธ์ญาติผู้น้องกับท่านอ๋องเท่านั้น!”
ตอนแรกถาวจวินหลันก็ไม่ได้ปิดเรื่องกู้ซีจะเข้ามาในจวน ดังนั้นนางจึงไม่มั่นใจว่ามีคนมากเท่าไรที่รู้เรื่องนี้แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงลองดูเท่านั้น
พอเห็นทุกคนมีท่าทีสงสัยไม่แน่ใจ ถาวจวินหลันก็เอ่ยปากอีกว่า “เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ พวกเจ้าต้องเงียบเอาไว้ และยิ่งไม่อาจกระจายเรื่องนี้ออกไป มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องดีเป็นแน่! อีกอย่าง อย่าพูดถึงเรื่องนี้ เดี๋ยวท่านอ๋องจะคิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก! ถ้าใครไม่ฟัง ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ไว้หน้า!”
จิ้งหลิงพูดแสดงจุดยืนของตนเองก่อน “เรื่องนี้ข้ารู้หนักเบา ไม่กล้าพูดมั่วอย่างแน่นอน ข้าสั่งกำชับคนเบื้องล่างอย่างดีแล้ว ไม่มีทางให้พวกนางพูดนินทาแน่นอน!”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ มองไปยังจิ้งหลิงทีหนึ่งด้วยความชื่นชม นางลำเอียงชอบจิ้งหลิง ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
จากนั้นคนอื่นๆ ก็แสดงจุดยืนเช่นเดียวกัน แม้แต่เจียงอวี้เหลียนก็ไม่กล้าเสแสร้ง แม้กระทั่งท่าทีก็ยังจริงใจมาก แต่ดูท่าทีถอนใจของนาง ถาวจวินหลันก็รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนคงดีใจมากกว่าเป็นกังวลและตกใจเป็นแน่
นางจึงอดส่ายหัวไม่ได้ เพียงทุ่มเทแค่ความจริงใจเพียงนิดเดียว คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง หลี่เย่จะเอาอะไรมาจริงใจต่อนาง? ต่อให้นางเป็นหลี่เย่ นางก็ไม่ชอบเจียงอวี้เหลียน
ตอนที่ทุกคนแยกย้ายไปกันแล้ว ถาวจวินหลันก็หลับตารวบรวมสมาธิ แล้วคิดอะไรบางอย่างได้ทันที ลุกขึ้นมานั่งตัวตรง เรียกหงหลัวติดต่อกัน
หงหลัวรีบเข้ามาในห้อง “ชายารองเป็นอะไรหรือเจ้าคะ? มีอะไรจะสั่งหรือเจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันมีสีหน้าลำบากใจ “ในเมื่อเก็บกวาดเรือนไปแล้ว คงปล่อยว่างไว้ไม่ได้ มิเช่นนั้นคนอื่นจะพากับคิดไปเรื่อยเปื่อย ข้าคิดว่าคงจะต้องหาวิธีปิดบังเรื่องนี้”
หงหลัวครุ่นคิดพิจารณาคำพูดของถาวจวินหลันอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าสมเหตุสมผล แต่นางก็คิดแผนการดีๆ ไม่ออก เพียงแค่พูดอย่างลำบากใจว่า “บ่าวไม่มีความคิดดีๆ เจ้าค่ะ” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็พูดอย่างสงสัย “อีกทั้งต้องถามท่านอ๋องก่อนแล้วค่อยว่ากันหรือไม่เจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถามท่านอ๋องแล้ว แต่ท่านอ๋องไม่มีเวลามาพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ข้าคิดหาวิธีก่อน ถึงเวลาค่อยคุยกับเขา ถ้าหากเขาคิดว่าเหมาะสมพวกเราก็ลงมือทำเลย จะได้ไม่ไม่ต้องให้เขาคิดอีก”
เรื่องนี้แต่เดิมก็น่ารำคาญใจแล้ว ถ้าให้หลี่เย่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก นางก็ไม่สบายใจ
ตอนที่กำลังพูดกับหงหลัวอยู่ ทางด้านวังหลวงก็มาขอเข้าพบอยู่ด้านนอก เมื่อเข้ามาก็พูดว่า “อีกครู่หนึ่งท่านอ๋องกลับมา ชายารองจะต้องช่วยเกลี้ยกล่อมท่านอ๋องนะขอรับ!”
บทที่ 487 ไม่ง่าย
หวังหรูรีบมาบอกทั้งที่ยังไม่ได้ทำความเคารพ ถาวจวินหลันใจไม่ดี รีบถามว่า “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?”
หวังหรูแค่นยิ้ม “ท่านอ๋องทำคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ข้าและโจวอี้ดูแล้วรู้สึกว่าผิดปกติอยู่เล็กน้อย ถึงได้บังอาจมาเตือนชายารองก่อนขอรับ”
ถาวจวินหลันอยู่กับหลี่เย่มานานหลายปี ทำไมจะไม่เข้าใจหลี่เย่? ไม่ว่าหลี่เย่จะโมโหก็ดีโกรธแค้นก็ดี นางหวังว่าเขาจะระบายอารมณ์ออกมา อย่าได้เก็บไว้ให้อึดอัดใจ
หลี่เย่ถนัดอดทนและหลบซ่อนที่สุด ยิ่งโมโห ยิ่งใส่ใจมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเก็บเอาไว้ลึกที่สุด แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้นางเป็นกังวล ด้วยอยู่กับหลี่เย่มาโดยตลอด คิดว่าหวังหรูและโจวอี้คงจะเข้าใจหลี่เย่เช่นเดียวกัน ดังนั้นถึงได้เป็นกังวลเช่นนี้
ถาวจวินหลันพยักหน้า เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ “ข้ารู้แล้ว”
หวังหรูมองบ่าวรับใช้ที่อยู่รอบข้างทีหนึ่ง เห็นเพียงแค่หงหลัวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ถึงได้รายงานคำพูดที่เหลืออยู่อย่างสบายใจ “ฮ่องเต้ชื่นชอบคุณหนูกู้ แต่งตั้งเป็นจวงผิน”
หวังหรูคิดว่าถาวจวินหลันไม่รู้เรื่องนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าองค์หญิงแปดบอกนางอย่างละเอียดแล้ว แต่ถาวจวินหลันก็ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด เพียงแค่พยักหน้าพูดว่า “ข้ารู้แล้ว”
เพราะหลี่เย่อยู่ด้านนอก หวังหรูจึงไม่กล้าอยู่นาน รีบขอตัวกลับไป ทำเป็นไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
ถาวจวินหลันครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง คิดว่าจะเกลี่ยกล่อมหลี่เย่อย่างไรดี และควรพูดเรื่องที่ตนเองครุ่นคิดมาก่อนหน้านี้อย่างไร ตอนที่กำลังสับสนอยู่ก็ได้ยินเสียงรายงานจากด้านนอกว่าหลี่เย่กลับมาแล้ว
ถาวจวินหลันรีบลุกขึ้นออกไปต้อนรับ เพิ่งถึงหน้าประตูหลี่เย่ก็เลิกม่านเดินเข้ามาพอดี ทำเอาลมเย็นด้านนอกพัดเข้ามาด้วย ทำให้นางอดสั่นสะท้านไม่ได้
หลี่เย่มองอยู่ก็รีบยืนไม่กล้าขยับไปไหน ขมวดคิ้วกล่าวว่า “รีบไปอิงไฟอยู่หน้าเตาผิงเร็วเข้า รอจนข้าถอดชุดคลุมแล้วจะตามไป” แม้จะบอกว่าถาวจวินหลันดูไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายร่างกายก็ยังอ่อนแออยู่มาก จะต้องระมัดระวังทุกด้านถึงจะถูก มิเช่นนั้นปล่อยให้ร่างกายเย็น แล้วเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะทำเช่นไร?
ถาวจวินหลันกลับไม่ยอม ยังคงยิ้มและยื่นมือออกไปช่วยเขาถอดเสื้อกันลมออก “ช่างเถิดเจ้าค่ะ ไม่ใช่ตุ๊กตากระดาษเสียหน่อย ทำไมจะต้องระวังเช่นนั้นด้วยเพคะ? แต่เพราะไม่ทันได้ป้องกันถึงได้เป็นเช่นนี้ ไฉนเลยจะต้องรุนแรงเช่นนั้น?”
หลี่เย่กลับไม่ยอม “ระมัดระวังไว้จะแล่นเรือได้ถึงหมื่นปี”
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน หลี่เย่ก็ถอดผ้ากันลมของตนเองออก พลางโยนไปให้หงหลัว จากนั้นเขาก็พาถาวจวินหลันเดินไปอิงไฟหน้าเตาผิง ดูจากท่าทีเช่นนี้แล้ว กลับไม่ได้ต่างไปจากปกติเท่าไร
ถาวจวินหลันกลับยิ่งเป็นกังวล คนปกติพบเรื่องเช่นนี้ไฉนเลยจะสงบนิ่งได้เพียงนี้? อย่างไรหลี่เย่ก็เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เทพเซียนใดๆ ดังนั้นเขาก็ทำได้เพียงเก็บอารมณ์เหล่านี้เอาไว้ในใจเท่านั้นเอง
นางเจ็บปวดใจเล็กน้อย แล้วอดจับมือเขาไว้ไม่ได้ แต่แรกนั้นคิดจะพูดเล็กน้อย แต่ฉับพลันกลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา เพียงแค่หัวเราะ “ข้าช่วยท่านอุ่นมือดีกว่า” พลางขยิบตาส่งสัญญาณให้หงหลัวพาคนถอยออกไป อย่างไรตอนที่พูดคุยเรื่องส่วนตัว จะให้บรรดาบ่าวรับใช้มาอยู่ข้างๆ ได้อย่างไรกัน?
มือของหลี่เย่ไม่ได้เย็น แต่กลับอุ่นกว่ามือของถาวจวินหลันอยู่ด้วยซ้ำ หลี่เย่พลันก็แย้มยิ้ม พลิกมือของนางเอาไว้ในฝ่ามือ “เหตุใดมือของเจ้าถึงได้เย็นเยียบเช่นนี้? มือข้ายังอุ่นเสียกว่า”
ถูกมือของหลี่เย่กุมเอาไว้ ถาวจวินหลันยิ่งรู้สึกอุ่นเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งรู้สึกว่าไอความร้อนไหลเข้ามาจนถึงในใจของนาง ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ อดถามหลี่เย่ไม่ได้ว่า “ท่านอยู่ต่อหน้าข้าแล้วยังจะต้องปิดบังหลบซ่อนอีก พยายามอดทนอยู่หรือเพคะ?”
หลี่เย่ชะงักไปเล็กน้อย ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด หยุดนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง ก็ได้สติกลับมา แล้วยังปากแข็ง “พูดถึงอะไรหรือ?”
“ข้ารู้แล้ว” ถาวจวินหลันพูดเสียงเบา ออกแรงบีบมือของหลี่เย่เอาไว้ “ท่านยังจะคิดปิดบังข้าอีกหรือ?”
หลี่เย่กำมือแน่น แล้วค่อยๆ คลายออกอย่างอ่อนแรง แล้วไหล่ทั้งสองข้างก็ตกลง รอยยิ้มอบอุ่นพลันเปลี่ยนเป็นท่าทีขมขื่น แม้แต่น้ำเสียงก็ดูแหบพร่ากว่าปกติหลายเท่า “เจ้าว่า น่าขันหรือไม่เล่า?”
ถาวจวินหลันรู้ว่าหลี่เย่พูดถึงอะไร จึงถอนหายใจเอ่ย “น่าขันเพคะ”
พ่อลูกต้องมาแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน พูดจริงๆ แล้วเรื่องเช่นนี้ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก และเป็นเรื่องน่าขบขันประมาณหนึ่งเลยทีเดียว แน่นอนว่านางไม่อยากปลอบใจหลี่เย่ แต่พอเจอกับคำถามเช่นนี้ของหลี่เย่ นางกลับพูดขัดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
นางจะพูดว่าฮ่องเต้ไม่สนใจความสัมพันธ์พ่อลูก เพียงแค่ชื่นชอบกู้ซีมากเกินไป และระงับอารมณ์ไม่อยู่เท่านั้นได้อย่างนั้นหรือ?
ย่อมไม่อาจทำได้ ไม่ว่าจะระงับอารมณ์ไม่ได้อย่างไร แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ฮ่องเต้ไม่ไว้หน้าหลี่เย่เช่นนี้ และไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงนี้ได้ สุดท้ายที่นางพูดออกมาก็เป็นเพียงความในใจของนางเท่านั้น
หลี่เย่หัวเราะทันที “ใช่แล้ว น่าขันนัก น่าขันเหลือเกิน!” คำสุดท้าย หลี่เย่แทบจะเค้นตะโกนออกมาจากลำคอ และเพราะคำนี้ก็ถือเป็นการเปิดเผยอารมณ์ของหลี่เย่ในทันใด
อย่างที่คาดไว้ ไม่ใช่ไม่โมโห ไม่โกรธแค้น เพียงแต่อดทนเอาไว้ไม่แสดงออกมาเท่านั้นเอง
“ช่างเถิดเพคะ ประเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ถาวจวินหลันไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องปลอบประโลมหลี่เย่เช่นไร สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงกอดหลี่เย่เอาไว้เหมือนที่ทำกับซวนเอ๋อร์ จับศีรษะของเขามาพิงไว้ที่บ่าของตนเอง และยังตบบ่าของเขาพลางพูดเบาๆ
หลี่เย่ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่พิงอยู่บนบ่าของถาวจวินหลันอยู่นานไม่ขยับไปไหน ผ่านไปนานถึงได้ลุกขึ้นมาใหม่ แต่ดวงตากลับแดงก่ำ
ถาวจวินหลันตกใจเล็กน้อย และยิ่งรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็กลัวว่าหลี่เย่จะรู้สึกระอาใจ จึงทำเป็นมองไม่เห็น แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ท่านเองก็อย่าเก็บไปใส่ใจ พูดได้แค่ว่าแต่ละคนมีชะตาต่างกัน กู้ซีไม่ได้เข้ามาในจวนของพวกเราก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร แทนที่จะทำลายอนาคตของนาง ไม่สู้ให้นางไปมีความสุข ท่านว่าจริงหรือไม่?”
หลี่เย่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่กลับค่อยๆ สงบใจได้ “ถือว่าสมเหตุผล”
ถาวจวินหลันยิ้มพลางพูดความคิดของตนเอง “ในเมื่อเก็บกวาดเรือนแล้ว หาพวกเราปล่อยไปก็ถือว่าไม่เหมาะสม ไม่สู้เลือกเข้าเรือนมาอีกสักคน ไทเฮาสุขภาพไม่ค่อยดีนัก หากรู้เรื่องนี้คงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง แต่พวกเราต้องคุยกันให้ดีก่อน ต่อให้มีคนใหม่เข้าจวนมาก็ไม่อนุญาตให้ท่านไปหา”
คำพูดนี้แต่เดิมเป็นเรื่องล้อเล่น หลี่เย่ฟังแล้วก็รู้สึกขบขัน พูดว่า “ในเมื่อเก็บกวาดแล้ว ก็ให้จิ้งหลิงย้ายไปเถิด นางต้องดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ เปลี่ยนที่ให้ใหญ่หน่อยก็ถือว่าเหมาะสม ส่วนคนใหม่ยังไม่จำเป็น สถานการณ์วุ่นวายบานปลาย เขาเป็นคนทำก็ให้เขาเก็บกวาดเอง”
เขาในที่นี้ย่อมต้องหมายถึงฮ่องเต้
ถาวจวินหลันครุ่นคิด รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าพูดว่า “ก็ดีเพคะ จิ้งหลิงอยู่กับท่านมานานหลายปี และยังเลี้ยงดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ แค่เรื่องเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว ไม่ถือว่าน่าเกลียดจนเกินไปเพคะ”
เรื่องนี้ตกลงตามนี้ จู่ๆ หลี่เย่ก็ส่ายหน้าพลางพูดว่า “องค์หญิงแปดคงสนิทกับเจ้าจริงๆ ถึงได้มาพูดเรื่องนี้กับเจ้า”
ถาวจวินหลันกลัวเขาจะคิดว่าองค์หญิงแปดเป็นคนชอบนินทา จึงพูดว่า “นางแค่กลัวข้าไม่รู้ ถึงเวลาจะถูกมองเป็นตัวตลก ถึงได้หวังดีมาเตือน พูดไปแล้วก็ต้องขอบคุณนางนะเพคะ”
หลี่เย่รู้สึกถึงความคิดของถาวจวินหลัน จึงหัวเราะออกมา “ถ้าเช่นนั้นข้าก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้น้ำใจอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันคลี่ยิ้ม รีบพูดว่า “ไฉนเลยข้าจะหมายความเช่นนั้น”
“องค์หญิงแปดบอกรายละเอียดกับเจ้าหรือไม่?” จู่ๆ หลี่เย่ก็ถาม “นางพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
ถาวจวินหลันตะลึงไป ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของหลี่เย่ แล้วก็บอกคำพูดขององค์หญิงแปดอย่างละเอียด
หลี่เย่พยักหน้า “อิงผินเป็นคนมีเส้นสาย ข่าวไวมากทีเดียว” ฟังจากน้ำเสียงของเขา กลับมีความชื่นชมแฝงอยู่ไม่น้อย
พอเห็นหลี่เย่สงบนิ่งแล้ว ถาวจวินหลันก็เริ่มใจกล้า รวบรวมความกล้าถามว่า “เรื่องนั้นเหมือนกับที่องค์หญิงแปดพูดเลยหรือ? กู้ซีถูกคนวางแผนจริงหรือ?”
หากเป็นเช่นนี้จริง ไทเฮาจะต้องไม่ยอมปล่อยไปแน่นอน แม้กระทั่งฮ่องเต้ ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องถูกคนวางแผนใส่เช่นนี้ เกรงว่าภายในวังหลวงคงจะฝนเลือดกระเซ็นสาด กระทั่งอาจส่งผลกระทบไปถึงราชสำนัก
พูดให้ไม่น่าฟัง ใครมีความแค้นกับกู้ซีเล่า? ถึงกับต้องวางแผนทำร้ายกู้ซี? หญิงสาวที่ดีไม่แต่งกับสองชาย หากกู้ซีมีนิสัยรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าคงจะฆ่าตัวตายไปแล้ว พูดตรงๆ ก็คือ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับกู้ซี ถาวจวินหลันรู้สึกว่าเป็นการพุ่งเข้าหาหลี่เย่มากกว่า จุดประสงค์ก็เพื่อทำให้หลี่เย่ตกที่นั่งลำบาก ถ้าไม่เช่นนั้นจะลงมือเช่นนี้กับหญิงสาวคนหนึ่งเลยหรือ?
อย่างไรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลี่เย่จะต้องไม่พอใจฮ่องเต้เป็นแน่ อีกทั้งฮ่องเต้มองหลี่เย่แล้วก็คงจะทำตัวไม่ถูก สถานการณ์เช่นนี้ ความสัมพันธ์พ่อลูกของทั้งสองคนจะยังดีอยู่อีกหรือไร? ในเมื่อพ่อลูกไม่ลงรอยกัน เช่นนั้นหลี่เย่จะถูกลดความโปรดปรานก็ถือเป็นเรื่องในไม่ช้านี้
คิดไปคิดมาสุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ยังคงพุ่งเป้าหมายที่ฮองเฮา ภายในวังหลวง ฮองเฮาคิดจะกระทำการเล็กๆ น้อยๆ ถือว่าง่ายดายมาก
ปกติแล้วหลี่เย่ก็เข้ากับถาวจวินหลันได้ดี เขามองเพียงนิดเดียวก็รู้ความคิดของถาวจวินหลัน พยักหน้าพลางส่ายหน้า สุดท้ายก็พูดว่า “เรื่องคงจะไม่ได้ง่ายดายเพียงนี้ หากเพียงแค่พบกัน เขาคงจะไม่ถึงขั้นทำเรื่องสิ้นสติเช่นนี้เป็นแน่”
ฮ่องเต้ไม่ใช่คนเลอะเลือน เพียงแค่หน้าตาไม่สามารถล่อฮ่องเต้ให้ติดกับได้อย่างแน่นอน หลี่เย่เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี อย่างไรในสายตาฮ่องเต้ ผู้หญิงเหล่านี้ก็แทบไม่ต่างจากของชิ้นหนึ่งเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ฮองเฮาก็ไม่ยกเว้น แล้วจะเอาอะไรกับกู้ซีเล่า?
กู้ซีจะหน้าตาเหมือนเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ ตอนที่เสด็จแม่ของตนยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่เห็นว่าจะมีข้อยกเว้น ดังนั้นกู้ซียิ่งไม่มีทางเป็นไปได้
ด้วยหลี่เย่เข้าใจดี จึงรู้สึกแปลก และปล่อยวางไปไม่ได้
พอได้ยินหลี่เย่พูด ถาวจวินหลันก็เริ่มเข้าใจ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป “ใช่แล้ว เกรงว่าคงจะไม่ง่ายเช่นนี้”
บทที่ 488 ไม่สงบ
เห็นถาวจวินหลันคิดมาก หลี่เย่ก็หันกลับมาปลอบประโลมนางแทน “เจ้าก็ไม่ต้องกลัว เรื่องนี้จวนตวนชินอ๋องไม่เสียเปรียบ ต่อให้เสียเปรียบแล้ว ใครก็ไม่ทีทางระบายอารมณ์กับพวกเราเป็นแน่ กลับเป็นว่าจะหาสิ่งชดเชยเราด้วยซ้ำไป”
ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่พูดเช่นนี้ ก็พยักหน้าไม่พูดเรื่องนี้อีก พูดแค่เพียงเรื่องยิบย่อยทั่วไปเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
แน่นอนว่านางย่อมต้องรู้ว่าไม่พูดเรื่องนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยผ่านไป เรื่องนี้เกรงว่าคงจะกระทบไปหลายวัน รอจนตกดึกหลี่เย่ก็สะดุ้งตื่นจากภวังค์ฝันทีหนึ่ง แล้วนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งไม่พูดไม่จา ในใจของนางก็ยิ่งเข้าใจว่า หลี่เย่ก็คงผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ยากเช่นเดียวกัน
แม้จะบอกว่าการปลอบประโลมไม่ได้มีผลแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลี่เย่จะไม่สนใจ
ถาวจวินหลันเองก็ไม่พูดจา นั่งนิ่งๆ กว่าค่อนคืนเป็นเพื่อนหลี่เย่ ทั้งสองคนอิงแอบอยู่ข้างกัน รอจนอารมณ์เริ่มสงบ ถาวจวินหลันก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว รู้เพียงแค่ตื่นมาวันรุ่งขึ้นก็มีผ้าห่มคลุมอยู่บนร่างเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เห็นร่างของหลี่เย่ พอเรียกคนเข้ามาปรนนิบัติตนเองล้างหน้าล้างตา อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ถาวจวินหลันก็ถามชุนฮุ่ยว่า “ท่านอ๋องไปตั้งแต่เมื่อไร?”
ชุนฮุ่ยรีบเอาเศษธูปหอมที่เหลืออยู่ในกรงรมควันออกมาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนสลับธูปหอมอีกกลิ่นหนึ่งเข้าไป แล้วใช้ไม้จิ้มเงินพลิกถ่านที่อยู่ด้านล่างขึ้นมา พลางตอบว่า “ฟ้าเพิ่งจะสว่างไม่นานก็ออกจากจวนไปเจ้าค่ะ พี่หงหลัวให้ห้องครัวเล็กเตรียมทำบะหมี่ถ้วยหนึ่งเอาไว้ ท่านอ๋องทานแล้วถึงได้เดินทางออกไปเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างพอใจ อากาศหนาวเพียงนี้ หากออกไปโดยไม่ได้กินข้าว ถูกลมเย็นพัดเข้าหาแล้วยังรู้สึกหิวย่อมต้องไม่ดีเป็นแน่ บะหมี่นั้นอุ่น กินเข้าไปแล้วก็อุ่นไปทั้งร่าง แม้ว่าจะมาถึงศาลาว่าการแล้วก็ยังไม่รู้สึกหนาว หงหลัวคิดอย่างรอบคอบ สมแล้วที่เป็นอันดับหนึ่งในเรือนเฉินเซียง
เมื่อล้างหน้าสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันเพิ่งจะทานข้าวเช้าเสร็จ ภายในวังหลวงก็มีราชโองการสั่งลงมา บอกว่าไทเฮาให้นางเข้าไปในวังหลวงปรนนิบัติยามป่วย และคิดถึงซวนเอ๋อร์ ให้นางพาซวนเอ๋อร์เข้าไปด้วย
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้แปลกใจ หากไทเฮาจะมีเรื่องอยากกำชับกับนางเล็กน้อย อย่างไรเรื่องนี้ก็จะต้องจัดการให้ดี มิเช่นนั้นเกิดเรื่องไม่เหมาะสมก็คงทำให้คนเห็นเป็นเรื่องขบขันแน่นอน
“เจ้ากลับไปรายงานไทเฮา บอกว่าข้าจะตามไป” พอพูดจบ ถาวจวินหลันก็หันไปสั่งให้คนจัดการซวนเอ๋อร์ให้เรียบร้อย ในเมื่อจะเข้าวังหลวง ซวนเอ๋อร์ก็จะต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย
เพราะคำนึงถึงบรรยากาศภายในวังหลวงไม่ค่อยดีเท่าไร ถาวจวินหลันจึงไม่กล้าให้ซวนเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าสีสดมากเกินไป เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน สวมกางเกงสีแดงไหม และยังมีรองเท้ายาวสีดำหนังกวางอีกคู่หนึ่ง ทั้งร่างนั้นมีเพียงแค่เครื่องประดับหยกที่บริเวณเอวและสร้อยคอเท่านั้น และยังมีปะการังสีแดงที่สลักเป็นรูปกิเลนน้อยบนหมวกผิวสุนัขจิ้งจอก
เมื่อซวนเอ๋อร์ได้ยินว่าจะต้องเข้าวังหลวง ก็ถามอย่างลังเล “น้องสาวไปด้วยหรือไม่ขอรับ?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “หนาวเกินไป น้องไม่ได้ไปด้วย มิเช่นนั้นคงแข็งเป็นแน่ พวกเราไปแค่สองคน”
ซวนเอ๋อร์พยักหน้า ทำท่าทางเป็นผู้ใหญ่เข้าไปหอมแก้มลาหมิงจู แล้วถึงเดินตามถาวจวินหลันออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ถาวจวินหลันอุ้มซวนเอ๋อร์ขึ้นไปบนเกี้ยว รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบ พูดตามจริงแล้ว นางไม่อยากเข้าไปในวังหลวงเวลานี้ บรรยากาศภายในวังหลวงไม่ค่อยดี นางกลัวว่าจะทำให้ซวนเอ๋อร์ตกใจ และกลัวว่าถึงเวลานั้นตนเองจะตกที่นั่งลำบากและเสียหน้า
แต่ไทเฮาเรียกพบ ไฉนเลยนางจะปฏิเสธได้? พูดไปแล้ว ไม่ว่าจะยืดหัวออกไปหรือหดหัวลงมาก็ล้วนเจอแต่คมดาบ ไม่สู้ว่าเด็ดขาดให้เร็วเลยจะดีกว่า
พอเข้าไปภายในวังหลวง ด้วยไทเฮาเอ็นดูซวนเอ๋อร์ ดังนั้นจึงให้คนคอยท่าไว้ ส่งเกี้ยวอุ่นของตนเองไปรอ ดังนั้นตลอดทางจึงไม่ถูกลมเย็นเท่าไรนัก แล้วตรงเข้าไปยังประตูใหญ่ของวังหย่งโซ่ว
ด้วยร่างกายของไทเฮาไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นจึงนอนเอนตัวอยู่บนตั่งนอน บนร่างนั้นยังมีผ้าไหมห่มเอาไว้ ถาวจวินหลันมองแวบหนึ่งก็รู้ว่าครั้งนี้วุ่นวายครั้งใหญ่แล้ว สีหน้าของไทเฮาไม่ค่อยน่าดูนัก ท่าทางก็ดูเชื่องช้า เหมือนว่าแก่ลงไปหลายปีนัก
ต้องรู้ว่าไทเฮาอายุเยอะมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าบำรุงร่างกายดี คนปกติจะมีอายุยืนถึงขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน? เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น พูดตามจริงแล้ว ไทเฮาดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์ไปทำความเคารพ แล้วก็ดันซวนเอ๋อร์ออกไป “ซวนเอ๋อร์ เจ้าไปทำความเคารพเสด็จทวดเสีย”
อย่างไรซวนเอ๋อร์ก็ยังเด็ก เห็นไทเฮามีท่าทีเช่นนี้ก็ตกใจเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งไม่กล้าเดินขึ้นไปข้างหน้า เพียงแค่กำชุดของถาวจวินหลันเอาไว้แน่นไม่กล้าปล่อยมือ
ถาวจวินหลันประหม่าเล็กน้อย และรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา ไทเฮาเห็นเช่นนี้ จะต้องรู้สึกไม่ดีแน่นอน แม้จะบอกว่าไม่ลงมือทำอะไรซวนเอ๋อร์ แต่ก็ต้องไม่มีความสุขแน่นอนใช่หรือไม่?
ถาวจวินหลันจึงพูดเร่งอีก แต่ซวนเอ๋อร์ยังคงไม่ขยับ
กลับเป็นไทเฮาที่เอ่ยปากแทน “อย่าทำให้เขาตกใจเลย ให้คนพาเขาออกไปเล่นเถิด”
ถาวจวินหลันมองไปยังซวนเอ๋อร์ ส่งสายตาไปให้ปี้เจียวอย่างจนใจ เรียกให้นางอุ้มซวนเอ๋อร์ไปที่อื่น
“ไทเฮาเพคะ” รอจนซวนเอ๋อร์เดินออกไป ถาวจวินหลันก็เรียกไทเฮาเสียงเบา และไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อไป หยุดไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรร่างกายของท่านก็สำคัญที่สุดนะเพคะ”
ไทเฮาฝืนยิ้ม “มีอะไรสำคัญ แก่ขนาดนี้แล้ว ขัดหูขัดตาคนอื่นมานานแล้ว”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเวิ้งว้าง รีบแย้งกลับไปว่า “ไทเฮาหมายความว่าอย่างไรเพคะ? ท่านอายุยืนนาน ไม่รู้มีคนมากมายเท่าไรชื่นชมยินดีนะเพคะ”
ไทเฮาเพียงแค่พยักหน้า “ใครจะดีใจหรือไม่ดีใจ ในใจของข้ารู้ดี วันนี้ที่เรียกให้เจ้ามาก็ด้วยมีเรื่องอยากกำชับเล็กน้อย”
“ไทเฮาท่านพูดมาเถิดเพคะ หม่อมฉันฟังอยู่” ไทเฮาเป็นเช่นนี้แม้ว่าจะไม่พอใจไทเฮามากเพียงใด ก็สลายหายไปในพริบตา พูดกันตามจริงแล้วนางไม่หวังให้เกิดอะไรขึ้นกับไทเฮา สำหรับหลี่เย่แล้ว ไทเฮาไม่เพียงแค่เป็นเสด็จย่าที่รักและเอ็นดูเขาเท่านั้น ทั้งยังเป็นที่พึ่งพิงอีกด้วย ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ นางเองก็หวังให้ไทเฮามีอายุยืนอยู่ดี
ไทเฮาถอนหายใจ เสียงเบาลงหลายส่วน “เรื่องของจวงผิน เจ้าคงจะรู้แล้วใช่หรือไม่”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าวางแผนรับมืออย่างไร?” ไทเฮาถามอีก
ถาวจวินหลันพูดแผนการของตนทั้งหมด “หม่อมฉันกำชับคนในจวนทั้งหมดแล้วว่าไม่ให้พูด อีกทั้งหม่อมฉันก็ได้ปรึกษากับท่านอ๋องเรื่องเรือนที่จัดเตรียมไว้แล้วเพคะ คิดจะให้จิ้งหลิงและกั่วเจี่ยเอ๋อร์ย้ายเข้าไป อย่างไรก็เป็นลูกสาวคนโตของท่านอ๋อง ควรที่จะสมหน้าตาเสียหน่อยเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้าติดๆ กัน มองถาวจวินหลันอย่างชื่นชม “เจ้าจัดการได้เหมาะสม” เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนว่าจัดเก็บเรือนไว้เพื่อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกู้ซี ส่วนคนอื่นก็พูดได้ว่าจวนตวนชินอ๋องนั้นไม่ได้คิดจะรับคนใหม่เลยแม้แต่น้อย
นานๆ ครั้งไทเฮาจะชื่นชมนาง ทว่าถาวจวินหลันกลับไม่ได้ดีใจแม้แต่น้อย เพียงแค่ฝืนยิ้ม “ไทเฮาชมเกินไปแล้วเพคะ”
“จวงผินเป็นญาติผู้น้องของตวนชินอ๋อง ตอนนี้ได้รับการแต่งตั้งก็ถือเป็นเรื่องดี ในเมื่อเจ้าเข้าวังหลวงมาแล้ว ก็ไปแสดงความยินดีกับนางเถิด ให้คนอื่นเห็นว่าพวกเราลูกหลานตระกูลกู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ตอนที่ไทเฮาพูดเช่นนี้ก็ดูกระชุ่มกระชวยขึ้นมาเล็กน้อย หายใจเข้าไม่ทัน ไออยู่นาน
ถาวจวินหลันตกใจรีบไปช่วยไทเฮา ความกังวลในใจยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไทเฮาเป็นเช่นนี้จะทนผ่านฤดูหนาวไปได้หรือไม่? ก่อนหน้านี้ตอนอากาศร้อน ไทเฮาก็ป่วยมาแล้วรอบหนึ่ง คราวนี้เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้อีกจะไม่น่ากังวลได้อย่างไร?
พอไทเฮาสงบแล้ว ถาวจวินหลันก็ผ่อนลมหายใจ พลางพูดกล่อมว่า “ไทเฮารักษาร่างกายให้ดีเพคะ อย่าเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องเหล่านี้อีกเลย อย่างไรเรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว ไม่อาจเรียกคืนมาได้แล้วเพคะ”
ไทเฮาใช้ผ้าเช็ดปากเบาๆ หัวเราะขมขื่น “แก่แล้ว ไร้ประโยชน์”
หยุดไปครู่หนึ่ง ไทเฮาก็พูดอีกว่า “พูดตามจริงแล้ว เรื่องครั้งนี้ก็เพราะว่ากู้ซีถูกคนใส่ร้าย ข้าคิดมาตลอดว่าแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ทำร้ายนาง”
ถาวจวินหลันเห็นไทเฮาวิเคราะห์เช่นนี้ แต่เดิมที่ไม่คิดจะแทรก ทว่าสุดท้ายก็อดพูดแทรกไม่ได้ “หม่อมฉันกลับไม่คิดเช่นนั้นเพคะ สุดท้ายแล้วจวงผินก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ใครจะคิดเช่นนี้เล่าเพคะ? พูดตามตรง ก็คงพุ่งเป้ามาที่ท่านอ๋อง เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ท่านอ๋องเสียหน้าไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของท่านอ๋องกับฮ่องเต้ก็คงได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันเพคะ”
ที่ถาวจวินหลันไม่รู้ก็คือ นางทำให้คำพูดต่อไปของไทเฮาจุกอยู่ที่ลำคอ
ไทเฮาขยับตัว สุดท้ายแล้วก็พยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น” การวิเคราะห์นี้ถือว่าอธิบายได้ละเอียดในทุกแง่ เพียงแค่เป็นเช่นนี้ แต่เดิมคนที่ถูกสงสัยนั้นก็ต้องถูกคัดเลือกอีกครั้ง อย่างไรจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็ไม่เหมือนกัน
อย่างเช่นถ้าพุ่งเป้ามาทางกู้ซีเพียงคนเดียว ถาวจวินหลันก็จะถูกสงสัยคนแรก แต่ถ้าหากพุ่งเป้ามาทางหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็จะถูกตัดออกไปในทันใด
ไทเฮาครุ่นคิดนิ่งอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ไม่พูดจา ถาวจวินหลันเองก็ครุ่นคิดอยู่ในใจ
“ข้าให้คนเตรียมของขวัญเอาไว้ให้เจ้า เจ้าไปหาจวงผินเสียหน่อย” ไทเฮาได้สติกลับคืนมา เวลาก็ใกล้เย็นแล้ว จึงพูดว่า “ซวนเอ๋อร์ให้อยู่กับข้าที่นี่ ไม่ต้องเอาไปด้วย”
ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะคิดรอบคอบเช่นนี้ จึงรีบพยักหน้ารับคำ ส่วนซวนเอ๋อร์นั้นนางไม่อยากพาไปด้วยจริงๆ
แต่ก็ยังอดกำชับซวนเอ๋อร์เล็กน้อยไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าปี้เจียวกล่อมซวนเอ๋อร์อย่างไร ตอนที่ซวนเอ๋อร์เข้ามาอีกครั้งก็ไม่กลัวไทเฮาอีกแล้ว แต่กลับพุ่งเข้าไปเรียกเสด็จทวดอย่างสนิทสนม เรื่องนี้ทำให้ถาวจวินหลันแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง
ไทเฮาเองก็เริ่มดีใจ เทียบกับรอยยิ้มฝืดเคืองก่อนหน้านี้แล้ว รอยยิ้มของไทเฮาตอนนี้ยิ่งจริงใจมากกว่าเดิม
จางหมัวหมัวเองก็ถอนหายใจ หยอกล้อกับซวนเอ๋อร์ “ซวนเอ๋อร์อีกครู่หนึ่งไปดูไทเฮาทานยาดีหรือไม่? หากไทเฮาทานยาหมดแล้ว ข้าจะให้ซวนเอ๋อร์กินของว่าง”
ซวนเอ๋อร์รับปากอย่างชัดถ้อยชัดคำ พลางพูดขอว่า “จะเอาดอกท้อทอด”
ไทเฮารับปากทันที “เอาเถิดๆๆ ดอกท้อทอดก็ดอกท้อทอด”
เห็นสถานการณ์เช่นนี้ถาวจวินหลันก็โล่งใจ จึงเดินออกไปด้วยความสบายใจ แม้จะบอกว่าจวงผินเพิ่งได้รับการแต่งตั้ง แต่เพราะว่าพระราชวังมีวังอยู่เยอะ ดังนั้นจึงมีวังของตนเองเลย
ถาวจวินหลันเดินมาตามทาง ในใจก็ครุ่นคิดว่าควรพูดอะไรไม่ควรพูดอะไร
แต่เมื่อคิดเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว นางก็ยังรู้สึกลังเล ไม่สบายใจอยู่ดี รอจนเดินมาถึงวังเสียนฝูของจวงผิน ถาวจวินหลันมองพระราชวังวิจิตรสวยงาม ฉับพลันในหัวก็คิดถึงเรื่องหนึ่งได้ ก่อนหน้านี้ไทเฮาคิดว่ามีคนมุ่งร้ายต่อกู้ซี และคนที่ไทเฮาสงสัยเป็นใครกัน?!
บทที่ 489 สงสาร
พอคิดไปคิดมาแล้วคนที่ถูกไทเฮาสงสัยก็มีเพียงนางเท่านั้น
เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นวาบ นางหัวเราะไม่ออกแม้แต่น้อย เมื่อนางยืนอยู่หน้าประตูวังเสียนฝู นางรู้สึกเพียงแค่ร่างกายหนักอึ้ง ก้าวไม่ออกแม้เพียงก้าวเดียว
มิน่าเล่า หลังจากนางพูดคำนั้นออกมา ไทเฮาถึงได้มีท่าทีเช่นนั้น ตอนนั้นนางเพียงแปลกใจไม่ได้คิดมาก แต่ตอนนี้มาคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็เข้าใจสิ่งที่แอบซ่อนอยู่โดยเร็ว
หากนางไม่พูดออกไป ไทเฮาจะพูดอย่างไร? อาจจะถามนางใช่หรือไม่? ไทเฮารู้สึกมาตลอดว่านางเจ้าแผนการอยู่ไม่น้อย ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ก็ถูก นางก็มีเหตุผลให้ทำเรื่องเช่นนี้ นางเองก็เคยแสดงออกต่อหน้าไทเฮามาก่อน นางไม่ยินยอมให้กู้ซีเข้ามา แม้ว่าไม่ได้ต่อต้านแต่ก็ไม่ได้ต้อนรับ
นางผิดหวังเล็กน้อย แต่ที่มากไปกว่านั้นคือตาสว่าง ไทเฮาคิดเช่นนี้กับนางมาตลอดมิใช่หรืออย่างไร?
แม้ว่าผิดหวัง แต่ยังดีที่ไม่เยอะ อย่างไรนางเองก็ไม่คิดว่าไทเฮาจะเชื่อใจนาง เพียงแต่คิดว่าน่าขบขันยิ่งนัก นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะถูกสงสัย
นางกำนัลข้างๆ มองถาวจวินหลันที่นิ่งงันมองดูวังเสียนฝูไม่ก้าวเดินเข้าไป แม้ว่าจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูด ทว่ากลับแอบเงยหน้ามองถาวจวินหลันอยู่บ่อยครั้ง
ถาวจวินหลันได้สติกลับมา ดึงแขนเสื้อของตนเอง เอามือปิดไว้ข้างใน อึ้งตะลึงอยู่เพียงแค่ชั่วครู่เล็กๆ นางก็รู้สึกว่ามือเท้าเย็นเฉียบไปหมด นางจึงไม่กล้าล่าช้าอีกต่อไป ยกเท้าก้าวเดินเข้าไปในวังเสียนฝู
พอถึงประตูวัง นางกำนัลที่เฝ้าประตูก็ถามเล็กน้อย แล้วก็มีคนเข้าไปรายงานทันที ส่วนถาวจวินหลันก็ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างในช้าๆ วังเสียนฝูดูแล้วไม่เลว ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอย่างมีระเบียบ ตกแต่งวิจิตรงดงาม ทั่วทั้งพระราชฐานดูแล้วทั้งสวยงามทั้งกว้างขวาง แต่ก็ไม่ขาดความประณีต
ถาวจวินหลันคิดอยู่ในใจ ในเมื่อถูกวางแผน แต่ฮ่องเต้ก็ยังเอ็นดูกู้ซีจริง แต่ไม่รู้ว่าได้ความเอ็นดูโปรดปรานนี้เพราะไทเฮา หรือจากตัวของกู้ซีเอง
ความเป็นไปได้สองอย่างนี้ นางเอนเอียงไปอย่างหลังมากกว่า
เมื่อถึงประตูห้อง ถาวจวินหลันก็เห็นนางกำนัลใหญ่หน้าตาใจดีออกมาต้อนรับ ยิ้มและทำความเคารพนาง “ชายารองถาวเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
พอเข้าไปในห้องแล้ว ถาวจวินหลันก็ยิ่งรู้สึกว่าฮ่องเต้โปรดปรานกู้ซีเหมือนที่นางคาดเอาไว้ แม้จะบอกว่าไม่เคยเห็นเรือนของพระสนมคนอื่น แต่ถ้าเทียบกับวังของฮองเฮา ก็ไม่เห็นว่าจะดีกว่าที่แห่งนี้ไปสักเท่าไร
แน่นอนว่าของเหล่านี้นางมองเพียงแค่แวบเดียวก็หลุบสายตาลง เป้าหมายของนางคือกู้ซี ไม่ใช่มองสิ่งของอย่างอื่น แต่พอกวาดตามองรอบด้าน นางกลับไม่เห็นจวงผิน จึงมองไปยังนางกำนัลที่ออกมาต้อนรับด้วยความสงสัย
“จวงผินเหนียงเหนียงประชวรเจ้าค่ะ กำลังพักผ่อนอยู่ ขอให้ชายารองตามข้ามาเถิด” หลังจากอธิบายแล้ว นางกำนัลคนนั้นก็แสดงท่าทีให้ถาวจวินหลันเดินตามตนเข้าไปในเรือน
ถาวจวินหลันคิดถึงร่างกายของจวงผิน ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร ที่จริงแล้วต่อให้ร่างกายแข็งแรงดี จู่ๆ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าคงจะทรุดเหมือนกัน
เพียงไม่นาน นางก็รู้สึกสงสารกู้ซี พูดไปแล้ว กู้ซีเองก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นฝุ่นผง
พอเข้ามาภายในห้อง ถาวจวินหลันก็เหลือบมองเห็นกู้ซีหรือจวงผินที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
ถาวจวินหลันก้าวขึ้นไปทำความเคารพก่อน “จวงผินเหนียงเหนียง”
กู้ซีกะพริบตาเล็กน้อยเพราะคำพูดนี้ สุดท้ายแล้วก็แค่นหัวเราะพูดว่า “ชายารองถาวมากมารยาทเกินไปแล้ว ดูห่างเหินเหลือเกิน” แล้วก็หันไปสั่งนางกำนัลคนอื่น “พวกเจ้าออกไปเถิด ข้าจะพูดคุยกับชายารองถาว”
นี่หมายความว่าจะพูดคุยเรื่องส่วนตัว
พอทุกคนถอยออกไปหมดแล้ว น้ำตาของกู้ซีก็ไหลลงมาทันที และโถมเข้าหาอ้อมกอดของถาวจวินหลัน “พี่สะใภ้ ข้าจะทำอย่างไรดี?”
เสียงของกู้ซีแฝงไว้ด้วยความล่องลอยและไร้ที่พึ่ง ทำให้คนที่ได้ยินอดปวดใจไม่ได้
ถาวจวินหลันโอบกู้ซีเอาไว้ พลางถอดหายใจเบาๆ “เรื่องมาถึงตรงนี้แล้วยังทำอะไรได้อีก? เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
กู้ซีน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาก็ไหลพรากกว่าเดิม “ข้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร! ข้าอยากจะออกจากวังหลวง แต่ทว่า…”
ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทำได้เพียงบีบไหล่ของกู้ซีเบาๆ เท่านั้น
พอร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง กู้ซีก็ยอมสงบลง แต่กลับถอนหายใจ หัวเราะขมขื่นพูดว่า “พี่ชายต้องเสียหน้าแน่เลยใช่หรือไม่? พี่สะใภ้เองก็ต้องคิดว่าข้าไม่มีศักดิ์ศรีใช่หรือไม่?”
ถาวจวินหลันรีบส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าพูดแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าเองก็อย่าแบกความผิดไว้ทั้งหมด”
กู้ซีร้องไห้กระซิกๆ น้อยใจจนพูดไม่ออก “ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดว่าไม่อยากแต่งงานกับท่านพี่ แต่ไทเฮากับท่านพ่อก็เอาแต่พูดว่าต้องทำเช่นนี้ แต่ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ข้าแต่งงานกับคนธรรมดาให้รู้แล้วรู้รอดไป!”
คำพูดเหล่านี้ของกู้ซีแฝงไว้ด้วยความกล่าวโทษ และแค้นเคือง แต่จะไม่โกรธได้อย่างไร? ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกโกรธแค้นทั้งนั้น โชคชะตาของตนเอง กลับลิขิตด้วยตนเองไม่ได้ แล้วยังต้องบังเอิญพบเรื่องเช่นนี้อีก
แต่นอกจากคำพูดปลอบประโลมแล้ว ถาวจวินหลันก็พูดอะไรไม่ออกอีก สุดท้ายแล้วนางก็เตือนกู้ซีเล็กน้อย “ต่อจากนี้เจ้าอย่าพูดแบบนี้อีก ในเมื่อตอนนี้เป็นจวงผินแล้ว ก็จะต้องคำนึงถึงอนาคต ต่อจากนี้เจ้าไม่อาจพูดเรื่องเกือบเข้าจวนตวนชินอ๋องได้อีก ทั้งยังต้องทำเหมือนตั้งใจเข้าวังหลวงมาตั้งแต่แรก มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงกู้ศักดิ์ศรีกลับมาได้เหมือนเดิม และตระกูลกู้ก็จะไม่ถูกพาลลากไปด้วย เจ้าจำเอาไว้”
กู้ซีตัวสั่นสะท้าน แต่ก็ยังรับปากอย่างเชื่อฟัง “ข้าจะจำไว้ ข้าไม่มีทางทำให้พี่ชายและตระกูลกู้ตกที่นั่งลำบาก”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ พลางลูบผมของกู้ซี ไม่รู้สึกอย่างใดนอกจากสงสาร
“ขอบคุณพี่สะใภ้ที่ช่วยเตือนข้า” ถาวจวินหลันครุ่นคิดแล้วก็ตัดสินใจใช้ไทเฮาเป็นข้ออ้าง “ไฉนเลยข้าจะคิดเรื่องเหล่านี้ได้? ยามนี้ไทเฮาประชวร เจ้าก็ควรหายดีในเร็ววัน จะได้ไปอยู่ต่อหน้าไทเฮา ให้ไทเฮาดีใจ จะได้หายเร็วขึ้น”
ยามนี้ไทเฮาเป็นเพียงที่พึ่งเดียวของกู้ซีในวังหลวง หากกู้ซีฉลาด ทางที่ดีควรต้องลงหลักปักฐานให้มั่นคงก่อนไทเฮาสวรรคต มิเช่นนั้นในสถานการณ์ที่ตระกูลกู้ยังไม่แข็งแกร่งพอ วันเวลาต่อจากนี้แค่คิดก็รู้ได้
แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่อาจพูดตรงๆ ได้ ทำได้เพียงเอ่ยเตือนชี้แนะเท่านั้น สุดท้ายกู้ซีเข้าใจหรือไม่ นั่นก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
พออยู่พูดคุยเป็นเพื่อนกู้ซีอีกครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็หาทางขอตัวกลับไป
แต่ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยคำพูดขอตัวหลับ กู้ซีกลับถามเรื่องหนึ่งอย่างกะทันหัน “พี่สะใภ้ ท่านว่าแท้จริงแล้วข้าทำให้ใครโมโห เขาถึงได้ทำร้ายข้าเช่นนี้?”
กู้ซีน้ำตาเอ่อคลอเบ้า ลูกตาดำขลับคู่นั้นมองนิ่งไปยังถาวจวินหลัน ปรากฏแววดื้อรั้นและหัวแข็งอย่างไม่มีที่มาที่ไป
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้” แต่เดิมนางอยากพูดความจริง แต่หากกู้ซีรู้ความจริง นางจะโกรธแค้นหลี่เย่ โกรธแค้นจวนตวนชินอ๋องหรือไม่? อีกทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่มีหลักฐานมิใช่หรืออย่างไร?
ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเอ่ยปากบอกความจริง
กู้ซีมีสีหน้าผิดหวัง ท่าทีเช่นนั้นยิ่งทำให้ถาวจวินหลันอึดอัดใจ สุดท้ายถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นมา เอ่ยขอตัวลา “นี่ก็เย็นแล้ว ข้าควรออกจากวังหลวงเสียที”
กู้ซีก้มหน้าผิดหวังมากขึ้น “พี่สะใภ้ อยู่กับข้าก่อนได้หรือไม่?”
ถาวจวินหลันทำได้แค่นั่งลงไปอีกครั้ง พออยู่เป็นเพื่อนกู้ซีอีกสักระยะหนึ่ง แต่กู้ซีไม่เปิดปากพูด ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทว่าต่างมองกันไปมาด้วยความตื่นตะลึง
สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ทนต่อไปไม่ไหว ทำได้เพียงลุกขึ้นขอตัวลาอีกครั้ง ยังดีที่ครั้งนี้กู้ซีไม่ได้เอ่ยรั้งนานเอาไว้อีก ปล่อยให้ถาวจวินหลันไปแต่โดยดี
พอออกมาจากวังเสียนฝู ถาวจวินหลันก็ถอนใจ นางอยู่กับกู้ซีแล้วอึดอัดใจยิ่งนัก แม้ว่านางจะสงสารกู้ซี แต่พูดตามจริงแล้วนางกับกู้ซีไม่ได้สนิทกันมากเท่าไร ปลอบประโลมเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
รอจนรับซวนเอ๋อร์มาแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่กล้าอยู่นาน รีบออกจากวังหลวงไป ยังดีที่นั่งเกี้ยวอุ่นมาตลอดทาง อีกทั้งฤดูหนาวไม่มีคนออกมาเดินเล่น จึงไม่ได้บังเอิญพบใครเข้า
เมื่อเดินทางกลับมาถึงจวนตวนชินอ๋อง ถาวจวินหลันก็เรียกจิ้งหลิงมาพูดเรื่องย้ายเรือน
จิ้งหลิงย่อมต้องตกใจมาก “ให้ข้าย้ายไปหรือ? นี่ไม่เหมาะสมนัก ฐานะเช่นข้า…” อนุภรรยาคนเดียวอาศัยอยู่ในเรือนใหญ่โตขนาดนั้น เทียบกับอนุภรรยาสองคนมีฐานันดรเท่ากัน ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่เหมาะสม
ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ “เวลานี้ยังจะมาปฏิเสธอะไรอีก? มองไปทั่วทั้งจวน นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครมีคุณสมบัติเช่นนี้อีก? เจ้าก็รู้ว่าทำไมตอนนี้ถึงได้เร่งรีบให้คนย้ายเข้าไปอาศัย”
เมื่อพูดเช่นนี้จิ้งหลิงก็นิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย้ายเถิด” หยุดไปครู่หนึ่งก็หัวเราะเยาะ “แต่เกรงว่าภายในจวนคงจะมีคนไม่พอใจอีกแล้ว”
ถาวจวินหลันรู้ว่าจิ้งหลิงพูดถึงถาวจือ จึงส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “ปล่อยนางไป อีกอย่าง นางกล้าทำอะไรเจ้าอย่างนั้นหรือ? มีข้าอยู่ เจ้าจะกลัวอะไร”
จิ้งหลิงเลิกคิ้ว ท่าทีโอหัง “ข้ากลัวนางหรือ? ก็แค่ไม่พอใจเท่านั้นเอง”
“ไม่ต้องไปสนใจนางก็พอแล้ว” ถาวจวินหลันพูดออกมาตรงๆ ในเวลานี้ไฉนเลยยังจะต้องมาสนใจความรู้สึกของถาวจืออีกด้วย? แน่นอนว่าภายในใจนั้นแทบจะอยากให้จิ้งหลิงย้ายไปพรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำไป
จิ้งหลิงรู้ว่าเรื่องนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี จึงรับปากทันที
ตกดึกตอนที่หลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ท่าทีของหลี่เย่ไม่มีความสุขอย่างนั้นหรือ?
“เกิดอะไรขึ้น?” พูดไปพลางช่วยหลี่เย่เปลี่ยนเสื้อผ้าไปพลาง ถาวจวินหลันเอ่ยถามอย่างหยอกเย้าว่า “ทำเงินหล่นหรือเพคะ?”
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะแกล้งป่วย” หลี่เย่กลับพูดเนิบๆ ออกมา
แกล้งป่วย?! ถาวจวินหลันใจตกวูบ อยู่ดีๆ จะแกล้งป่วยทำไม?
บทที่ 490 เจ็บปวดใจ
สุดท้ายถาวจวินหลันก็ไม่ได้ถามหลี่เย่ว่าทำไมถึงแกล้งป่วย เพียงแค่หัวเราะและพูดว่า “เพคะ ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลง ท่านจะได้อยู่บ้านเป็นเพื่อนข้า พวกเราครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันนานแล้ว ซวนเอ๋อร์กับหมิงจู และกั่วเจี่ยเอ๋อร์แทบจะจำหน้าท่านไม่ได้อยู่แล้ว”
ที่จริงไม่ถามนางก็พอรู้อยู่แก่ใจ คงเป็นเพราะเรื่องของจวงผิน ไม่ว่าฮ่องเต้จะรู้สึกอึดอัดสั่งให้หลี่เย่หลบไปก่อนอย่างไร ตัวของหลี่เย่เองก็ยังคงรู้สึกประหม่าอยู่ดี หรืออาจด้วยคำเยาะเย้ยถากถางของคนอื่น ก็ล้วนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งนั้น
อาจด้วยท่าทีของนางเรียบนิ่งเกินไป หลี่เย่จึงรู้สึกสบายใจ แม้กระทั่งเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ดี”
ถาวจวินหลันก็ถือว่าหลี่เย่หยุดพักผ่อน จึงพาเขาไปทำกิจกรรมต่างๆ นานาทุกวัน มีท่าทีผ่อนคลายสบายใจอยู่เล็กน้อย
และอารมณ์ของหลี่เย่ก็กลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะสถานการณ์เช่นนี้ เรื่องไม่พอใจพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จิ้งหลิงก็ฉวยโอกาสตอนนี้ ย้ายเข้าไปในเรือนใหม่
เพียงพริบตาก็เข้าฤดูหนาว ด้วยช่วงนี้บรรยากาศภายในจวนกดดันอยู่เล็กน้อย ดังนั้นถาวจวินหลันและหลี่เย่จึงปรึกษากันแล้วว่าจะใช้เวลาช่วงเทศกาลนี้ไปอย่างดี เพราะว่าได้เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว บรรดาสัตว์เลี้ยงต่างๆ เช่น ไก่ เป็ด ปลาและแพะนั้นก็ถูกส่งเข้ามาในจวน รวมทั้งชุดคลุมกันหนาวที่ทำใหม่ ถาวจวินหลันก็ให้คนเอาไปแจกภายในวันนี้
ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันที่มอบเสื้อใหม่ให้คนในเรือน แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ได้ประทานเสื้อคลุม ชุดหนังให้กับบรรดาขุนนางทั้งหลาย ส่วนฮองเฮาก็ประทานให้กับฮูหยินที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งภายนอกและภายใน
ฮ่องเต้ดูจะมีเมตตาต่อหลี่เย่มากเป็นพิเศษ นอกจากสิ่งที่สมควรได้รับแล้วชุดหนึ่ง ฮ่องเต้ก็ยังนำเอาผ้าคลุมขนเตียวที่เคยใส่เมื่อนานมาแล้วประทานให้กับหลี่เย่อีกชุดหนึ่ง
การกระทำครั้งนี้ทำให้เกิดข่าวลือสะพัดอีกครั้งหนึ่ง จะต้องรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่แม้แต่องค์รัชทายาทก็ไม่ได้รับ และนั่นยังเป็นเสื้อผ้าที่ฮ่องเต้เคยสวมใส่ตอนยังเป็นองค์รัชทายาท พอฮ่องเต้ประทานให้หลี่เย่แล้ว ก็ทำให้คนอดคิดมากไม่ได้
ฮ่องเต้ปฏิบัติกับหลี่เย่ดีเช่นนี้ ทำให้ฮองเฮาปฏิบัติกับสมาชิกผู้หญิงอย่างธรรมดาไม่ได้อีก คิดไปคิดมาจึงประทานกระโปรงนกยูงทองเพิ่มให้อีกตัวหนึ่ง กระโปรงตัวนี้ถักมาจากหางของนกยูง แม้จะบอกว่าไม่ค่อยป้องกันความเย็นเท่าไรนัก แต่ความสวยงามนั้นก็มีให้ประจักษ์ มองไกลๆ แล้วนั้นไม่ค่อยรู้สึกสวยเท่าไร แต่หากเดินเข้ามาดูใกล้ๆ สีทุกส่วนของกระโปรงตัวนี้กลับไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะบามอยู่ใต้แสงไฟหรือแสงอาทิตย์ ก็ยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน ตอนที่ขยับไปมาก็เหมือนมีนกยูงหลากสีสันตัวหนึ่งมาหมอบอยู่บนกระโปรง สวยงามจนพูดไม่ออก
กระโปรงเช่นนี้แค่ตัวเดียวไม่ต้องพูดว่าเสียขนนกยูงไปมากเท่าไร แค่เพียงระยะเวลาการทำก็ต้องอ้าปากค้างแล้ว ดังนั้นแม้ว่าจะสวยงามแต่มีทรัพย์สินก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้
กระโปรงตัวนี้เป็นสิ่งที่ฮองเฮาได้รับมาตอนยังเป็นพระชายาองค์รัชทายาทเมื่อหลายปีก่อน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมอบให้ถาวจวินหลัน
ตอนที่ถาวจวินหลันได้รับก็รู้สึกตื่นตะลึงเพราะความได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึง แล้วก็อดขมวดคิ้วหัวเราะขมขื่นไม่ได้ นางหันไปพูดกับหลี่เย่ “คราวนี้ดีแล้ว ข้าอยากจะอยู่เงียบๆ ก็อยู่เงียบๆ ไม่ได้เสียแล้ว”
หากมอบให้พระชายาองค์รัชทายาทก็ถือว่าถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต่อให้ไม่มอบให้พระชายาองค์รัชทายาท ก็อาจจะมองให้กับองค์หญิงสักองค์ นั่นก็ถือว่าสมเหตุสมผล แต่มอบให้นางถือเป็นเรื่องอะไรกัน? คิดได้ว่าบรรดาสมาชิกผู้หญิงทั้งหลายนางคงกลายเป็นคนที่เด่นที่สุดแล้ว
หลี่เย่หัวเราะเยาะ “กลัวอะไร? หรือว่าเจ้าไม่เหมาะสมกัน? เจ้าสนใจแค่สวมใส่ก็พอแล้ว ยิ่งพวกเขาอิจฉา เจ้าก็ยิ่งต้องใส่ออกไปข้างนอกให้พวกเขาไม่พอใจซี”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าหลี่เย่จงใจอยากให้สมาชิกผู้หญิงคนอื่นไม่พอใจ คิดไปแล้วก็ถูก ในเมื่อประทานให้แล้วเก็บซ่อนเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง นางจึงแย้มยิ้มพูดว่า “พูดถูกเพคะ ข้าจะใส่กระโปรงตัวนี้ในงานเลี้ยงในจวนสิ้นปีนี้”
คนอื่นทำให้หลี่เย่ไม่พอใจ พวกเขาก็ยิ่งต้องทำให้คนอื่นไม่พอใจด้วยเช่นเดียวกัน
หลี่เย่พยักหน้า แต่กลับกำชับว่า “ให้คนเอาไปซักตรวจสอบให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยใส่”
ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าหลี่เย่กลัวฮองเฮาทำอะไรกับชุดนี้
ด้วยต้นฤดูหนาวก็มีเทศกาลที่สำคัญ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงได้ให้คนเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้ วันนี้เป็นวันแห่งการบำรุง ดังนั้นอาหารจึงสมบูรณ์มาก หนึ่งในนั้นมีเนื้อแกะต้มเป็นของหลัก
หลายวันมานี้หลี่เย่อยู่บ้าน แต่ด้วยอารมณ์ไม่ดีจึงไม่ได้ไปห้องของคนอื่น ทำให้กู้อวี้จือและคนอื่นๆ นั้นไม่ได้เห็นหน้าหลี่เย่มาหลายวันแล้ว เมื่อได้พบหลี่เย่ ้เห็นหน้าหลี่เย่มาหลายวันแล้ว ใากันนานแล้วทุกคนจึงมีใบหน้าแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศกและคาดหวัง
ถาวจวินหลันทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ว่าอย่างไรนางก็พูดเกลี้ยกล่อมให้หลี่เย่ไปหาพวกนางบ้างไม่ได้จริงๆ
และหลี่เย่ก็ยิ่งไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ดังนั้นไม่ว่าจะมองด้วยสายตาโศกเศร้เพียงใด ก็เหมือนทำให้คนตาบอดดูเท่านั้น
สุดท้ายแล้วก็มีคนทนไม่ไหว กู้อวี้จือพูดอย่างไม่พอใจว่า “ดูจากวันนี้แล้ว ข้าก็รู้ว่าชายารองถาวและท่านอ๋องรักกันดี” รักกันจนคนอื่นทนไหว ไม่รู้ว่าที่เรียกพวกนางมาเพราะถาวจวินหลันต้องการอวดอ้างหรือไม่?
ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจนัยของคำพูดนี้ แต่นางก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน อย่างไรหลี่เย่ก็อยู่ที่นี่กับนาง นางได้รับประโยชน์แล้ว แล้วทำไมจะต้องไปต่อล้อต่อเถียงเอาชนะกันอีก?
กลับเป็นถาวจือที่แทรกขึ้นมา ถอนหายใจพลางพูดว่า “เพราะว่าพวกเราไม่มีโชคได้ปรนนิบัติท่านอ๋อง ไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องก็เท่านั้น”
เจียงอวี้เหลียนแย้มยิ้มพูดผสมโรงอย่างอวดอ้าง “พูดไปแล้ว ข้าก็ไม่ได้พบหน้าท่านอ๋องมาหลายวันแล้ว หากท่านอ๋องมีเวลาก็มาหาเซิ่นเอ๋อร์บ้างซีเพคะ”
พอหลี่เย่ต้องเจอกับความหึงหวงและคิดเล็กคิดน้อยพวกนี้ เขากลับตอบโต้ตรงไปตรงมา กวาดตามองอย่างทรงอำนาจทีหนึ่ง แล้วทุกคนก็ต้องกลืนคำพูดลงท้องไปทั้งหมด “ทานข้าว” หลี่เย่ก็พูดเนิบๆ หนึ่งคำ แล้วเรื่องนี้ก็จบไปในที่สุด
ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย ก้มหน้าทานอาหารต่อ เวลาทานข้าวห้ามพูด เมื่อเริ่มทานอาหารแล้วก็จะไม่มีคนพูด พอทานข้าวเสร็จ ต่อให้กู้อวี้จือและถาวจืออยากจะเชิญชวนหลี่เย่ แต่พอเห็นท่าทีเรียบนิ่งของหลี่เย่แล้วก็ต้องล้มเลิกไป
ถาวจวินหลันและหลี่เย่เดินเคียงกันกลับไปยังเรือนเฉินเซียง ถาวจวินหลันหยอกเย้าหลี่เย่ “ท่านอ๋อง ตอนนี้ยิ่งทรงอำนาจมากขึ้นแล้ว”
หลี่เย่เองก็ไม่ปฏิเสธ “คนจะมีค่าก็เพราะรู้จักพอ” พวกนางไม่รู้จักพอ เขาย่อมไม่เกรงใจที่จะวางท่าทีทรงอำนาจให้เห็น พลางหันไปสอนถาวจวินหลัน “เวลานี้ไม่เหมือนกับอดีตแล้ว เจ้าเองก็แสดงอำนาจออกมาบ้าง กดพวกนางเอาไว้จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากขนาดนี้”
ถาวจวินหลันพยักหน้า แต่ก็ส่ายหน้าอีก “พวกนางไม่ยอมแพ้” หลี่เย่เป็นท่านอ๋อง เป็นนายของพวกนาง พูดอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ฐานะของนางกลับก้ำกึ่ง
“จะกลัวอะไร ยังมีข้าอยู่” หลี่เย่ยิ้มพลางพูดชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าเป็นหลักประกันให้เจ้า พวกนางไม่ยอมก็ต้องยอม”
ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดง่ายๆ ตรงไปตรงมาของหลี่เย่ก็อึ้งไป แล้วนางก็ยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนเปลี่ยนเรื่องพูด “ใช่แล้ว ช่วงนี้ด้านเฝินหยางโหวไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยหรือ?”
“จะไม่มีความเคลื่อนไหวได้อย่างไร?” หลี่เย่หัวเราะเยาะ “สุดท้ายแล้วก็ส่งลูกของอนุภรรยาคนหนึ่งไปเป็นภรรยาเอกของเฝินหยางโหว และส่งสาวงามมากเสน่ห์คนหนึ่งไปให้ ถึงสงบเฝินหยางโหวลงได้ มิเช่นนั้นจากนิสัยของเฝินหยางโหวแล้ว จะไม่สร้างเรื่องได้อย่างนั้นหรือ?”
“ถ้าเช่นนั้น ช่วงนี้น้องชายของเฝินหยางโหวไม่เคลื่อนไหวอะไรเลยหรือ?” ถาวจวินหลันถามอีก คิดถึงฝีมือของจั่วเสี่ยนอวี้แล้ว นางรู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่อาจจบเช่นนี้ได้เป็นแน่
“ช่วงนี้เขาไปทำธุระที่เจียงหนาน” หลี่เย่พูดออกมา สุดท้ายแล้วก็หัวเราะ “พูดไปแล้วก็ควรขอบคุณเจ้า ที่ช่วยหาตัวช่วยมากฝีมือเช่นนี้มาให้ข้า มีเขาก็ถือว่าช่วยข้าได้มาก” อย่างแรกจั่วเสี่ยนอวี้รู้เรื่องมากมายจากเฝินหยางโหว อย่างที่สองจั่วเสี่ยนอวี้ช่วยเหลือเขาทำเรื่องปิดหูปิดตาผู้อื่นได้
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มทันที “พวกท่านเห็นพ้องต้องกันพอดี แต่จั่วเสี่ยนอวี้คาดหวังอะไร? คงไม่ใช่เพียงแค่แก้แค้นเท่านั้นเป็นแน่เพคะ” ถ้าคิดจะแก้แค้นจริง จั่วเสี่ยนอวี้คงจะลงมือนานไปแล้ว แม้กระทั่งไม่จำเป็นจะต้องขอตัวช่วยจากภายนอก
“เขาอยากได้ตำแหน่งของเฝินหยางโหว” หลี่เย่ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เขาเป็นคนใจกล้า เขาไม่พอใจที่จะเป็นแค่พ่อค้าเท่านั้น อีกอย่างเขาเองก็ต้องวางแผนแทนลูกชายของเขา”
ถาวจวินหลันเข้าใจในทันใด ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าจั่วเสี่ยนอวี้ใจกล้าบ้าบิ่นเกินไป พูดตามจริง เรื่องนี้นอกจากหลี่เย่แล้วก็ไม่มีใครทำให้เขาพอใจได้ จะต้องรู้ว่าตอนนี้จวงอ๋องยังไม่หายขาด เหลือเพียงแค่อู่อ๋องก็ไม่ได้มีดีอะไร
พอพูดถึงเรื่องนี้ถาวจวินหลันก็นึกเรื่องหนึ่งได้ “เกรงว่าอี้เฟยเองก็คงจะใจกล้าเช่นเดียวกัน” เพราะเหตุนี้ครั้งที่แล้วอี้เฟยยังเคยดึงนางเป็นพวกมาก่อน อยากให้หลี่เย่ช่วยประคับประคององค์ชายเจ็ด
หลี่เย่ส่ายหน้า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล องค์ชายเจ็ดอยู่ข้างเดียวกับข้า แค่เพียงอี้เฟยคนเดียวไม่มีทางสำเร็จ” แม้จะบอกว่าองค์ชายเจ็ดค่อยๆ โตขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังทำปีกกล้าขาแข็งไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกลัว
ถาวจวินหลันพยักหน้า “เรื่องนี้ท่านมั่นใจก็ดีแล้ว”
หลี่เย่ยิ้มพลางยื่นมือไปจับมือของถาวจวินหลันเอาไว้ กดเสียงลงต่ำหลายส่วน “มีเจ้าคอยเตือนข้า ข้ายังจะต้องกลัวอะไรอีก? สิ่งที่ข้าคิดไม่ถึง เจ้าก็ช่วยข้าคิดได้ พวกเราถือว่าเป็นใจเดียวกัน ทุกอย่างล้วนประสบความสำเร็จได้ จริงหรือไม่เล่า?”
วันนี้ลมหนาว ลมหายใจของหลี่เย่จึงยิ่งร้อนรุ่มเข้าไปใหญ่ ทำให้นางถอยหลังหลบลงไปตามสัญชาตญาณ แต่หลี่เย่กลับกุมมือของนางแน่น นางไม่มีทางถอยได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับหน้าแดงมากขึ้นเพราะสายตาของเขา
นางพูดเบาๆ ออกมาคำหนึ่ง กล่าวโทษเสียงต่ำ “ไม่สำรวมเลยนะเพคะ”
หลี่เย่กลับดูจริงจังขึ้นมา จู่ๆ ก็พูดว่า “เกรงว่าข้าเองคงจะว่างได้อีกไม่กี่วันแล้ว วันพรุ่งนี้จะต้องกลับไปยุ่งวุ่นวายที่ราชสำนักแล้ว”
ถาวจวินหลันย่อมรู้ว่าหลี่เย่อยู่ในจวนตลอดไปไม่ได้ จึงยิ้มออกมา “ท่านไปทำธุระของท่านเถิด ภายในจวนยังมีข้า” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “วันนี้ฮ่องเต้ประทานรางวัลใช่หรือไม่?”
“อืม” หลี่เย่ตอบ พลางอธิบายออกมา “เสด็จพ่อมีท่าทีเช่นนี้ ก็คงด้วยระยะนี้พรรคพวกขององค์รัชทายาทฉวยโอกาสวางอำนาจ เสด็จพ่อไม่อยากเห็นภาพเช่นนี้ ย่อมต้องอบรมสั่งสอนคนให้อยู่ในฐานะเท่าเทียมกันและตั้งป้อมประจันหน้ากับองค์รัชทายาท”
และคนผู้นั้นก็ต้องเป็นหลี่เย่ แม้ว่าถาวจวินหลันจะรู้สึกปวดใจ แม้ว่านี่เป็นฉากที่หลี่เย่และนางอยากเห็น แต่พอเปลี่ยนมาพูดอีกอย่างหนึ่ง หากหลี่เย่ไม่มีจิตใจที่จะแย่งชิงเล่า? ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการทำลายหลี่เย่อย่างเห็นได้ชัด เพราะหากหลี่เย่ล้มเหลวจากสถานการณ์ในตอนนี้ หลี่เย่ก็จะเหลือเพียงแค่จุดจบเดียวเท่านั้น นั่นก็คือตายไม่ได้ฝัง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น