จารใจรัก 48.1-50.2
ตอนที่ 48-1
พระชายาอิงชินอ๋องแค่นเสียงในลำคอ และไม่ได้เอ่ยไล่ฉินเจิงอีก
ชุนหลันเห็นเช่นนี้จึงยิ้มกล่าวอย่างรู้งาน “ความจริงแล้วหม่อมฉันเองก็อยากพักผ่อนสักหนึ่งวันเช่นกันเพคะ เรื่องพระชายาต้องขอมอบให้คุณชายรองช่วยดูแลแล้ว ท่านต้องดูแลพระชายาให้ดีนะเจ้าคะ”
“ป้าหลันวางใจเถอะ!” ฉินเจิงยืดอกรับปาก
ชุนหลันยิ้มพลางออกจากเรือนลั่วเหมย
“เรามาคัดเลือกหนังสัตว์ก่อนเถอะ แม้หนังสัตว์จะเป็นประเภทเดียวกัน แต่ความละเอียดไม่เหมือนกัน หนังสัตว์ที่มีความใกล้เคียงกันจะมีสีสันและความมันวาวคล้ายกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วถึงจะดูดี” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวกับเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงคัดเลือกหนังสัตว์ที่กองรวมกันเต็มกลางห้อง
พระชายาอิงชินอ๋องเชี่ยวชาญในด้านนี้มากอย่างเห็นได้ชัด เซี่ยฟางหวาเพียงแค่ลงมือทำตามที่นางจัดการไว้เท่านั้น
ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็แบ่งหนังสัตว์ภายในห้องตามระดับและประเภท
“เมื่อวานที่ให้เจ้าวาดแบบ เจ้าได้วาดหรือยัง” พระชายาอิงชินอ๋องใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อแล้วก็เอ่ยถามเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เอาออกมาดูสิ!” พระชายาอิงชินอ๋องสั่ง
เซี่ยฟางหวาเข้าไปในห้องแล้วหยิบกระดาษที่วาดเอาไว้เมื่อคืนก่อนเข้านอนออกมายื่นให้กับพระชายาอิงชินอ๋อง
เมื่อพระชายาอิงชินอ๋องรับไปพิจารณาดูรอบหนึ่งแล้วจึงยิ้มพลางกล่าวชม “มิน่าล่ะอาจารย์ผู้สอนศิลปะทั้งสี่ถึงเอ่ยชมเจ้าบ่อยๆ เพียงแค่มองลายเส้นเรียบง่ายเหล่านี้ก็เห็นถึงความสามารถในการวาดภาพแล้ว มิใช่ว่าใครก็สามารถทำได้” พูดจบนางก็รีบเอ่ยถาม “ทิงอิน ชาติกำเนิดของเจ้าต้องดีมากแน่นอนใช่หรือไม่ มิฉะนั้นลูกสาวของครอบครัวทั่วไปคงไม่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากมายขนาดนี้ นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่เด็ก”
นัยน์ตาของเซี่ยฟางหวาเพียงวูบไหว นางมิได้พยักหน้าและก็มิได้ส่ายหน้า
“ท่านแม่ ดื่มชาหรือไม่” ฉินเจิงเอ่ยถามกะทันหัน
พระชายาอิงชินอ๋องยื่นมือไปหาเขา
ฉินเจิงยื่นถ้วยชาให้พระชายาอิงชินอ๋อง จากนั้นก็ถือโอกาสเอากระดาษภาพวาดในมือของนางฉวยมาไว้ในมือของตนเอง เมื่อดูแล้วจึงกล่าว “นี่เป็นทักษะการวาดของฮว่าเซียนจื่อที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ก่อน”
“เป็นทักษะนี้จริง” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วทอดถอนใจ “ทักษะการวาดภาพของฮว่าเซียนจื่อเรียกได้ว่าบรรลุถึงขั้นอัจฉริยะ ผู้ใดมิอาจทัดเทียมได้ น่าเสียดายที่ไม่หลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังได้เชยชม มีผลงานเพียงสองชิ้นเท่านั้นที่หลงเหลือไว้ ภาพหนึ่งเป็นภาพวาดเมฆหมอกสีครามปกคลุมภูเขาที่แขวนเอาไว้ในห้องเจ้า ยังมีอีกภาพหนึ่งคือภาพหอหยกกลางทะเลหมอก ภาพวาดเหล่านี้ของทิงอินแม้จะมีเส้นวาดน้อยมาก แต่ก็แอบมีรูปแบบของฮว่าเซียนจื่อแฝงอยู่ในนั้นด้วย”
เซี่ยฟางหวาก้มหน้าลงเล็กน้อย นางซ่อนเอาไว้อย่างระมัดระวังแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังมีผู้ใดมองออก กล่าวได้ว่าทั้งสองมีสายตาอันแหลมคมยิ่ง
“เจ้าครอบครองภาพวาดเมฆหมอกสีครามปกคลุมภูเขาเอาไว้ ส่วนภาพหอหยกกลางทะเลหมอกกลับไร้ร่องรอยมาจนถึงทุกวันนี้ มิทราบว่าผู้ใดเก็บรักษาเอาไว้” พระชายาอิงชินอ๋องทอดถอนใจ “ว่ากันว่าภาพหอหยกกลางทะเลหมอกมีทักษะการวาดดีกว่าภาพวาดเมฆหมอกสีครามปกคลุมภูเขาเล็กน้อย ลายเส้นก็ง่ายและลื่นไหล ทั้งยังมีแนวคิดอันลึกซึ้งกว่าเช่นกัน”
“อยู่ที่จวนจงหย่งโหว!” ฉินเจิงกล่าวอย่างเฉื่อยชา
“จริงหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมึนงง
“จริงแท้แน่นอน ลูกชายท่านเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง” ฉินเจิงพยักหน้า
พระชายาอิงชินอ๋องมองพลางเห็นว่าเขามิได้มีทีท่าว่าพูดเล่นจึงยิ้มกล่าว “ดูเหมือนจะเป็นข้าเองที่เลอะเลือน ตระกูลเซี่ยสืบทอดมาอย่างยาวนานมากกว่าราชสำนักของเรา ครั้นสมัยราชวงศ์ก่อนก็เป็นครอบครัวขุนนางชั้นแนวหน้า ร่ำรวยทั้งเกียรติและเงินทอง มีกินมีใช้ตลอดกาล เมื่อพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้จึงมิมีครอบครัวใดเทียบได้ ภาพหอหยกกลางทะเลหมอกของฮว่าเซียนจื่อก็เช่นกัน เก็บรักษาไว้ที่จวนจงหย่งโหวก็มิถือเป็นเรื่องแปลก”
“ถูกโยนทิ้งไว้ในห้องเก็บของเล็กแห่งสวนไห่ถังจนฝุ่นจับหนานิ้วหนึ่งต่างหาก” ฉินเจิงแค่นเสียงเล็กน้อย
เซี่ยฟางหวานัยน์ตาสั่นไหว อดมิได้ที่จะเงยหน้าเหลือบมองฉินเจิงแวบหนึ่ง เขารู้ได้อย่างไรว่าภาพหอหยกกลางทะเลหมอกภาพนั้นมีฝุ่นเกาะอยู่ในห้องเก็บของของห้องนาง เขาเคยเข้าไปในห้องนอนของนางอย่างนั้นหรือ ท่านปู่กับท่านพี่อนุญาตให้บุรุษแปลกหน้าเข้าไปในห้องนางหรือ
พระชายาอิงชินอ๋องก็มองฉินเจิงพลางเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ข้าได้ยินว่าสวนไห่ถังแห่งจวนจงหย่งโหวเป็นสถานที่ที่คุณหนูของตระกูลอาศัยอยู่ เหตุใดเจ้าจึงรู้ได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ เคยเข้าไปที่นั่นตั้งแต่เมื่อใด”
“ลูกชายท่านเมื่ออยากไปที่ใดแล้วจะไปมิได้หรือ ยิ่งไปกว่านั้นก็สำรวจทุกซอกมุมของสวนไห่ถังแห่งจวนจงหย่งโหวแล้ว” ฉินเจิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ก่อเรื่องวุ่นวาย! ห้องนอนของสตรีไม่ใช่สถานที่ที่เจ้ากล่าวว่าอยากเข้าไปก็เข้าไปได้! แม้เจ้าจะมีนิสัยไร้เหตุผล เที่ยวก่อกวนไปทั่ว แต่ก็ควรจะรู้ข้อห้ามระหว่างบุรุษและสตรี ทั้งควรมีมารยาทและให้เกียรติด้วย แม้จวนอิงชินอ๋องของเราจะต้องแบกรับชื่อเสียงของราชนิกุล แต่ราชสำนักก็สืบทอดประเพณีมาอย่างยาวนานเช่นกัน เรื่องที่เจ้าแอบเข้าไปในห้องนอนของสตรีครอบครัวอื่น หากแพร่ออกไปจะทำอย่างไร!” พระชายาอิงชินอ๋องขมวดคิ้วในทันที
ฉินเจิงกระแอมออกมาพลางสลัดสีหน้าไม่ใส่ใจเมื่อครู่ทิ้งไปแล้วกล่าวเสียงเบา “ท่านแม่ นี่มิใช่ว่ามิมีผู้ใดรู้มิใช่หรือ หากท่านยังคงตะโกนเสียงดังเช่นนี้ต่อไป คงรู้กันทั่วทั้งจวนแล้ว”
พระชายาอิงชินอ๋องถลึงตามองเขาด้วยความโกรธ
“สิ่งนี้ก็โทษลูกไม่ได้เช่นกัน ได้แต่โทษต้นไห่ถังที่ปลูกเอาไว้ในลานของนาง ข้าจึงอยากไปเปรียบเทียบสักหน่อยว่าที่สุดแล้วลั่วเหมยของข้าหรือไห่ถังของนางงดงามกว่ากัน” ฉินเจิงยิ้ม
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินก็โมโหอีก “ดังนั้นเจ้าเลยแอบเข้าไปชมอย่างนั้นหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แค่ชมดอกไห่ถังก็เพียงพอแล้ว เหตุใดยังจะเข้าไปในห้องเก็บของอีก”
ฉินเจิงกะพริบตามองอย่างผู้บริสุทธิ์ “เวลานั้นพี่จื่อกุยบังเอิญมาชมดอกไห่ถังพอดี ข้าไม่สามารถหลบซ่อนได้ ทั้งยังไม่สามารถเข้าไปหลบในห้องนอนของผู้อื่นอย่างจริงจัง จึงได้แต่เช้าไปหลบในห้องหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าหลังเข้าไปแล้วจึงพบว่าเป็นห้องเก็บของ”
เหลวไหลทั้งเพ! เซี่ยฟางหวาแอบขบฟัน ถึงแม้นางจะไม่ได้อยู่ในห้องหลายปี ก็รู้ว่าห้องเก็บของเล็กของนางลงกลอนเอาไว้ หากเขาไม่งัดออกมีหรือจะสามารถเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อใด” พระชายาอิงชินอ๋องก็นึกขึ้นได้เช่นกันจึงมองฉินเจิงพลางเค้นถามเชิงตำหนิ
“หลายปีก่อนกระมัง! ลืมไปแล้ว” ฉินเจิงตอบ
“เจ้าเด็กไม่รักดี!” พระชายาอิงชินอ๋องดึงภาพวาดในมือเขากลับมา “วันนี้เจ้าไม่ต้องกินข้าวเที่ยง ทนหิวไป!”
“ท่านแม่ ฝีมือของทิงอินจำเป็นต้องมีข้าคอยกำกับอยู่ข้างกาย แม้สีสันหน้าตาจะยังดูไม่ค่อยได้ แต่รสชาติก็นับว่าพัฒนาขึ้นแล้ว เที่ยงวันนี้ท่านอยากอยู่ทานอาหารที่นี่หรือไม่” ฉินเจิงเอ่ยถาม
“อืม ข้าเองก็อยากลองชิมฝีมือของทิงอินดู” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
“ดังนั้นท่านก็ทานกับทิงอิน ส่วนลูกยืนมองอยู่ด้านข้าง ท่านจะแข็งใจได้หรือ” ฉินเจิงย้อนถาม
พระชายาอิงชินอ๋องยกมือขึ้นตีศีรษะของเขาครั้งหนึ่งทั้งยังเอ่ยด่าอีกประโยคถึงจะยอมปล่อยเขาไป จากนั้นก็หันมาสั่งให้เซี่ยฟางหวาหยิบเข็มกับด้ายมา
เซี่ยฟางหวาหันกายไปหยิบเข็มกับด้ายทั้งที่ยังมีความโมโหหลงเหลืออยู่ภายในจิตใจ ห้องเก็บของเล็กของนางเก็บสิ่งของไว้มากมายหลายอย่าง เกรงว่าเขาจะเห็นมันหมดแล้ว ด้วยฐานะของฉินเจิงไม่ถึงขนาดว่าจะหยิบฉวยติดมือไป แต่คงหยิบมาพลิกดูอย่างแน่นอน
เมื่อหยิบเข็มกับด้ายมาแล้ว พระชายาอิงชินอ๋องกับเซี่ยฟางหวาก็ลงมือเย็บหนังสัตว์ติดกัน
ฉินเจิงนั่งมองทั้งสองอยู่ด้านข้างพลางดื่มชาและทานอาหารว่าง สายตาทอดบนร่างของพระชายาอิงชินอ๋องครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทอดบนร่างของเซี่ยฟางหวาอย่างยากจะคาดเดาอารมณ์ได้
ยามเที่ยง พระชายาอิงชินอ๋องพักผ่อนอยู่ในห้อง ส่วนเซี่ยฟางหวางลงมือทำอาหาร โดยมีฉินเจิงก่อไฟและทิงเหยียนคอยต้มยา
หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้วพระชายาอิงชินอ๋องก็พักผ่อนอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดึงเซี่ยฟางหวามาเย็บเสื้อผ้าต่ออย่างกระตือรือร้น
ฉินเจิงเอ่ยถามถึงสถานการณ์ที่ทิงเหยียนไปหาครอบครัวหกแห่งตระกูลเซี่ย
“ตอนที่ข้าไปถึง แม่เฒ่าของครอบครัวหกแห่งตระกูลเซี่ยก็ได้สติแล้วและถามถึงคุณชาย ข้าจึงกล่าวออกไปตามที่คุณชายได้กำชับเอาไว้ แม่เฒ่าครอบครัวหกกล่าวขอบคุณ ทั้งบอกว่าหากวันหน้าคุณชายมีเวลาว่าง ก็ให้มานั่งเล่นพูดคุยกับซื่อจื่อตระกูลเซี่ยบ้างขอรับ” ทิงเหยียนรีบตอบ
ฉินเจิงพยักหน้า “ยังมีอีกหรือไม่”
ทิงเหยียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ตอนที่ข้าไปถึงที่พักของครอบครัวหก บังเอิญพบกับคนของวังหลวงที่หลินไท่เฟยส่งมาเยี่ยมไข้ด้วยขอรับ”
ฉินเจิงส่งเสียง ‘โอ้’ ออกมา
“หลินไท่เฟยส่งคนไปเยี่ยมแม่เฒ่าของครอบครัวหกแห่งตระกูลเซี่ยมิใช่เรื่องแปลก ทั้งสองเคยสนิทสนมกัน หลินไท่เฟยแต่งเข้าวังหลวงมาเป็นพระสนมของอดีตฮ่องเต้ ส่วนแม่เฒ่าของครอบครัวหกแต่งงานกับน้องชายสายเลือดเดียวกันของจงหย่งโหวและเข้ามาในจวนจงหย่งโหว เชื้อพระวงศ์และจวนจงโหย่วโหวมีแต่ไรมาก็มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่แล้ว ทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงวังหลังและครอบครัว แต่ก็ล้วนเป็นคนฉลาด ดังนั้นทั้งคู่จึงหยุดการไปมาหาสู่กัน จนกระทั่งอดีตฮ่องเต้สวรรคต นายท่านผู้เฒ่าแห่งครอบครัวหกก็ป่วยตาย แม่เฒ่าของครอบครัวหกจึงออกจากจวนจงหย่งโหวและสละที่พักอาศัยของครอบครัวหก ทั้งสองจึงค่อยๆ กลับมาติดต่อกันอีกครั้ง แต่ก็เป็นการส่วนตัว ปีนี้จึงสนิทสนมใกล้ชิดขึ้นอีกนิด ตลอดมาเจ้าไม่เคยสนใจเรื่องครอบครัวหกแห่งตระกูลเซี่ยจึงไม่รู้” พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นจากด้านข้าง
ฉินเจิงพยักหน้า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
“บัดนี้เหตุใดเจ้าถึงสนใจแม่เฒ่าของครอบครัวหกแห่งตระกูลเซี่ยขึ้นมาแล้ว เรื่องดีมาดีไปเหล่านี้มิใช่ว่าตลอดมาเจ้าไม่เคยสนใจใยดีหรือ ทุกปีอยากให้เจ้าไปเยี่ยมเยียนราชนิกุลและจวนต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์อันดีด้วยกันกับข้าในงานเทศกาลปีใหม่เจ้าก็ไม่ยอมไป บัดนี้เหตุใดจึงเปลี่ยนนิสัยแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องสงสัย
“บัดนี้มิใช่ว่าว่างจนจิตใจไม่สงบหรือ” ฉินเจิงตอบอย่างเอ้อระเหย
“ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่! แต่เจ้าต้องระวังตัวสักเล็กน้อย อย่าทำเรื่องเกิดขอบเขตอีก มิฉะนั้นหากเจ้ายังคงก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ต่อไป สตรีใดในเมืองหลวงจะยังกล้าแต่งงานกับเจ้า” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขาด้วยความไม่พอใจ
“ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เพื่อที่จะแต่งภรรยา วันข้างหน้าข้าจึงต้องไปมาหาสู่กับคนของจวนใหญ่ๆ ในเมืองหลวงให้มากกว่านี้ จะได้พยายามกอบกู้คะแนนกลับมา” ฉินเจิงกล่าว “ไม่แน่ว่าเวลาแต่งงานกับผู้ใดแล้วเกิดความลำบากใจ จะได้มีคนช่วยพูดให้ข้า”
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินก็หัวเราะเยาะและไม่สนใจเขาอีก
บัดนี้เซี่ยฟางหวาแม้แต่จะเหลือบมองฉินเจิงก็คร้านจะเหลือบมองแล้ว คนชั่วช้าเช่นนี้ ควรครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิตจึงจะดีที่สุด คงมิมีผู้ใดยินยอมแต่งงานกับเขา!
ตอนที่ 48-2
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
วันที่สอง หิมะยังคงตกไม่หยุด ทิงเหยียนกวาดลานไปแล้วรอบหนึ่ง แต่หิมะก็ตกลงมาปกคลุมกลางลานอีกครั้ง เขาโมโหจนโยนไม้กวาดทิ้งแล้วกลับเข้าไปผิงไฟฟังพระชายาอิงชินอ๋องพูดคุยกับเซี่ยฟางหวา ฉินเจิง และชุนหลันแทนแล้วไม่ยอมออกไปอีกเลย
วันที่สามยามเที่ยง ในที่สุดหิมะก็หยุดตก
พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจพลางมองไปนอกหน้าต่าง “จะสิ้นปีแล้ว คำนวณแล้วเหลือเพียงสิบเก้าวันเท่านั้น หิมะคราวนี้ตกถึงสามวัน เกรงว่าบนถนนคงจะถูกกองหิมะปิดทางหลายวัน พ่อค้าต่างถิ่นและประชาชนที่เดินทางกลับบ้านคงจะล่าช้ากว่ากำหนด ที่ร้ายแรงไปกว่านั้น น่ากลัวว่าไม่รู้จะมีคนไร้บ้านอีกกี่ชีวิตต้องหนาวตาย”
“ท่านแม่มีจิตใจเมตตากรุณา!” ฉินเจิงกล่าว
“หาได้มีจิตใจเมตตากรุณาไม่ ข้าเพียงอายุมากแล้ว จึงอยากอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ
ฉินเจิงไม่ได้ออกความเห็นใดๆ
ระหว่างที่กำลังพูดคุย ชุ่ยเหอ หญิงรับใช้รุ่นใหญ่ข้างกายพระชายาอิงชินอ๋องก็เข้ามาในเรือนลั่วเหมย
“ต้องเป็นตาแก่มาตามหาตัวท่านแน่” ฉินเจิงมองออกไปข้างนอกแวบหนึ่งก่อนกล่าวออกมา
“พ่อของเจ้ายังไม่ได้แก่ขนาดนั้น ยังเรียกว่าตาแก่ไม่ได้!” พระชายาอิงชินอ๋องไม่ชอบใจจึงตักเตือน เมื่อเห็นว่าฉินเจิงไม่กล่าวอะไรแล้วนางจึงกล่าวกับข้างนอก “ชุ่ยเหอ มีเรื่องอะไรหรือ ท่านอ๋องตามหาข้าหรือ?”
“เรียนพระชายา เป็นท่านอ๋องตามหาตัวท่านจริงเพคะ” ชุ่ยเหอยืนอยู่หน้าประตูพลางตอบ
“ได้กล่าวหรือไม่ว่ามีเรื่องอะไร” พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยถาม
ชุ่ยเหอค่อยๆ ลดเสียงลง “ไม่ได้บอกอะไรเพคะ! แต่หม่อมฉันบังอาจเดาว่า น่าจะเป็นเรื่องงานแต่งงานของคุณชายใหญ่ ฮองเฮามีพระราชเสาวนีย์ลงมาที่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่ไม่ได้มาถึงจวนของเรา พระชายา วันนั้นท่านพาบรรดาฮูหยินมุ่งหน้าไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายมือเปล่า บัดนี้หิมะหยุดตกแล้ว ท่านอ๋องจึงอยากให้ท่านไปจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายอีกครั้งหนึ่งเพื่อมอบสินสอดทองหมั้น”
“เกรงว่าจะไม่ใช่แค่ท่านพ่อเพียงผู้เดียวที่เรียกหาท่านแม่ ชายารองหลิวก็ตามไปด้วยสินะ” ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอ
“คุณชายรองกล่าวได้ถูกต้อง!” ชุ่ยเหอกล่าวเสียงเบา
“ให้พวกเขารอก่อน!” ฉินเจิงตีหน้าขรึม
พระชายาอิงชินอ๋องกลับลุกขึ้นยืน “ช่างเถอะ ข้าควรกลับไป! มุมของเสื้อคลุมทั้งสองตัวที่เหลืออยู่นี้ส่งต่อให้ทิงอินเย็บก็แล้วกัน! ส่วนเรื่องงานแต่งงานของพี่ชายเจ้า ในเมื่อพวกเราเป็นคนเริ่มก็ต้องทำให้เต็มที่ อย่าทำเกินไปนัก”
“กล่าวว่าท่านมีจิตใจเมตตากรุณา ท่านยังมิยอมรับ!” ฉินเจิงหัวเราะเยาะก่อนจะโบกมือ
พระชายาอิงชินอ๋องออกจากเรือนลั่วเหมยโดยมีชุนหลันช่วยประคอง
เมื่อพระชายาอิงชินอ๋องก้าวเท้าออกไปจากเรือนลั่วเหมย เซี่ยฟางหวาก็สะบัดเข็มกับด้ายในมือทิ้งทันที
“ไม่ทำแล้ว?” ฉินเจิงหันไปมองนาง
เซี่ยฟางหวาถลึงตามองฉินเจิงแวบหนึ่งด้วยความโหดเ**้ยม ก่อนจะสะบัดหน้าเข้าไปในห้องของตนเอง ถอดรองเท้าออกแล้วเอนกายลงพักผ่อนบนเก้าอี้คนงาม
หากกล่าวถึงในชาติก่อนนางชื่นชอบศิลปะทั้งสี่อันมีหน้ามีตาเหล่านี้มาก ทั้งยังตั้งใจร่ำเรียนงานเย็บปักถักร้อยเพื่อจะได้ตัดเสื้อผ้างดงามไว้ใส่เอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรสชาติของชีวิตสตรี แต่ในชาตินี้นางไม่ได้มีความสนใจอีกแล้ว เมื่อไม่มีคนคอยกำกับจ้องมองอยู่ด้านข้าง นางก็ไม่ได้สนใจที่จะทำ
ฉินเจิงเดินตามเข้ามาจากห้องข้างนอกแล้วจ้องมองนางอยู่นานสองนาน “ยังเหลือมุมที่ต้องเก็บอีกหน่อยเดียว รีบไปทำให้เสร็จ”
เซี่ยฟางหวาหลับตาสนิทไม่สนใจเขา คนที่อยากทำไม่ใช่นางนี่
ฉินเจิงรอสักพักหนึ่งก่อนจะกล่าวอีกว่า “เมื่อถึงช่วงหิมะตกทุกปี ร่างกายของพี่จื่อกุยต้องทนรับความหนาวเหน็บ ไม่รู้ว่าหิมะที่ตกหนักเช่นนี้จะเป็นเหตุทำให้ร่างกายที่แข็งแรงขึ้นของเขาทรุดลงหรือไม่ หากเจ้ารีบเย็บมุมผ้าคลุมทั้งสองตัวเสร็จเรียบร้อย หลังกินอาหารเสร็จข้าจะพาเจ้าไปจวนจงหย่งโหว”
เซี่ยฟางหวาลืมตามองฉินเจิง
“ว่ากันว่าสวนไห่ถังแห่งจวนจงหย่งโหวยิ่งเป็นวันหิมะตกหนักมาก ดอกไห่ถังก็จะยิ่งออกดอกสีสันสวยงาม เพราะเป็นดอกไห่ถังที่มีสายพันธุ์อยู่น้อยมากจึงจำเป็นต้องเลี้ยงดูอย่างดีทุกวัน อยากไปชมหรือไม่” ฉินเจิงเลิกคิ้วถาม
เซี่ยฟางหวาไม่อยากถูกเขาล่อลวงให้ติดกับ แต่บังเอิญว่าเหยื่อที่ใช้ล่อนั้นมีขนาดใหญ่เกินไปจึงได้แต่ลุกขึ้นนั่งหลังตรง
ฉินเจิงกระตุกยิ้มแล้วหันหลังออกไปจากห้อง
เซี่ยฟางหวาสวมรองเท้า ปลายเท้าบดลงบนพื้นอย่างรุนแรงแล้วออกไปจากห้อง จากนั้นก็หยิบเข็มกับด้ายขึ้นมาเย็บเสื้อผ้าใหม่อีกครั้ง
หนึ่งชั่วยามต่อมา มุมผ้าคลุมทั้งสองตัวก็เก็บปลายเสร็จแล้ว
เซี่ยฟางหวาโยนเข็มกับด้าย จากนั้นก็โยนเสื้อคลุมให้กับฉินเจิงที่อยู่เป็นเพื่อนนางตลอดไม่ไกล
ฉินเจิงรับเสื้อคลุมมาพินิจดูซ้ายแลขวา ตัวหนึ่งมีหนังเตียวม่วงผสม อีกตัวหนึ่งมีหนังจิ้งจอกขาวผสม รอยเย็บรวมกันอย่างหนาแน่นไร้ซึ่งตำหนิ เมื่อรวมกันแล้วคล้ายกับทำจากหนังสัตว์เพียงชิ้นเดียว โดยเฉพาะตรงปกเสื้อที่ทำแถบลายเอาไว้ตั้งตรงเล็กน้อย แลคล้ายกับช่อดอกโบตั๋น ช่างสวยงามเป็นอย่างยิ่ง เขาพิจารณาอยู่นานสองนานก่อนจะเลือกผ้าคลุมสีขาวยื่นให้เซี่ยฟางหวา “เจ้าลองสวมให้ข้าดู!”
เซี่ยฟางหวานั่งนิ่งไม่ขยับ
“เร็วเข้า!” ฉินเจิงเร่งนาง “พอเจ้าลองสวมเสร็จแล้ว เราจะได้รีบไปที่จวนจงหย่งโหว”
เซี่ยฟางหวาจึงได้แต่ลุกขึ้นยืนแล้วรับเสื้อคลุมมาพาดไว้บนร่างกายก่อนจะรวบมัดเป็นปมตามใจชอบ
ฉินเจิงราวกับไม่คุ้นชินกับการกระทำอันเอ้อระเหยไม่ได้ดั่งใจของนางจึงลุกขึ้นยืนแล้วดึงนางเข้ามาหา จากนั้นก็แก้ปมที่นางผูกเอาไว้ เขายืนอยู่เบื้องหน้านางและช่วยกลัดกระดุมใหม่ให้
เบื้องหน้ามีเงาหนึ่งเลื่อนมาบังเอาไว้ เซี่ยฟางหวาก้มหน้างุด ไม่มองเขา
ไม่นานฉินเจิงก็ปล่อยมือแล้วใช้สายตามองนางอย่างพิจารณา พริบตาเดียวก็เปลี่ยนความคิด “ช่างเถอะ วันนี้ไม่ต้องทำอาหารแล้ว พวกเราไปกินที่จวนจงหย่งโหวเถอะ พ่อครัวของที่นั่นฝีมือไม่เลว” ชะงักไปก่อนกล่าวต่อว่า “เจ้าสวมเสื้อคลุมตัวนี้ออกไปเถอะ! เดิมทีก็ทำมาให้เจ้าอยู่แล้ว”
เซี่ยฟางหวาไม่ฟังสิ่งที่เขากล่าวพลางยื่นมือหมายจะถอดเสื้อคลุมออก
“หากเจ้าไม่สวม เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะไม่ไปแล้ว” ฉินเจิงหันไปมองนาง
เซี่ยฟางหวาชะงักมือ ไม่ไปก็ไม่ต้องไป จะพูดกลับไปกลับมาเพื่อสิ่งใด!
ฉินเจิงพลันเผยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นกว่าเดิม “เพื่อเจ้า ข้าจึงพาลใส่หลูเสวี่ยอิ๋ง นั่นก็มีเหตุผลมิใช่หรือ ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นกล่าวว่าสายตาของข้าย่ำแย่ เมื่อพาเจ้าออกไปแล้วก็ต้องเหนือกว่าหลูเสวี่ยอิ๋งร้อยเท่า ข้าจึงจะพอมีหน้ามีตามิใช่หรือ”
เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าหนี
“ไปเถอะ ถือเสื้อคลุมสีม่วงตัวนี้ไปมอบให้กับท่านแม่ของข้าให้ชายารองหลิวอิจฉาเล่นด้วย” ฉินเจิงคว้าเสื้อคลุมขนเตียวม่วงตัวนั้นขึ้นมาแล้วเดินออกไป
เซี่ยฟางหวารู้สึกว่าบางคราเขาก็เหมือนกับเด็กที่ยังไม่โตอย่างไรอย่างนั้น สิ่งที่ทำให้ชายารองหลิวอิจฉาที่สุดมิใช่เสื้อคลุมขนเตียวม่วง แต่เป็นตำแหน่งพระชายาของอินชินอ๋องต่างหากเล่า!
ไม่นานทั้งสองก็ออกไปจากห้อง
“คุณชาย ท่านพาทิงอินออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ แล้วข้าล่ะ” ทิงเหยียนวิ่งออกมาจากห้องครัวเล็ก เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นยา
“เจ้าอยู่ต้มยาที่นี่” ฉินเจิงทิ้งประโยคนี้เอาไว้
ทิงเหยียนกะพริบตาปริบแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ถอยกลับไปยังห้องครัวเล็กอย่างน่าสงสาร พริบตาเดียวก็โผล่ศีรษะออกมาเอ่ยชมเซี่ยฟางหวา “ทิงอิน เจ้าสวมเสื้อคลุมตัวนี้แล้วสวยมากจริงๆ”
ฉินเจิงที่เดินอยู่เบื้องหน้าพลันชะงักเท้าแล้วออกคำสั่ง “เจ้าต้มยาทั้งหมดให้เสร็จในวันนี้”
ทันใดนั้นทิงเหยียนก็เบิกตากว้าง “คุณชาย ยังมียาเหลืออยู่อีกหลายห่อคงต้มไม่หมดในวันนี้แน่ เหตุใดจึงรีบเช่นนี้ขอรับ”
ฉินเจิงไม่ตอบแถมยังไม่สนใจเขา จากนั้นก็เดินออกไปจากลาน
เซี่ยฟางหวามองทิงเหยียนแวบหนึ่งก่อนจะตามฉินเจิงออกไปจากเรือนลั่วเหมย พลางคิดว่าต้องติดตามเจ้านายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้ช่างโชคร้ายยิ่งนัก
ทิงเหยียนหยิบห่อยาทั้งหมดออกมาอย่างอ่อนแรง พลางกลุ้มใจว่าตนทำสิ่งใดให้ฉินเจิงไม่พอใจอีกแล้ว
หลังหิมะตกหนักสิ้นสุดลง แม้อากาศจะยังไม่ปลอดโปร่งในทันที แต่ก็มีลมพัดสดชื่นแจ่มใส อากาศหลังหิมะตกสะอาดสดชื่น เมื่อลมหนาวพัดโชยมา ลมหายใจที่ปล่อยออกมาก็กลายสภาพเป็นควันสีขาวลอยละล่อง ไม่นานความแข็งตัวในอากาศก็กลายเป็นน้ำค้างแข็งอันโปร่งใสส่องประกายแวววาว
หิมะหนาครั้งนี้ทำให้อุณหภูมิลดลงจนแข็งตัว
บ่าวรับใช้ทั้งหมดที่มีของจวนอิงชินอ๋องเกือบจะออกมาทำความสะอาดลานที่เต็มไปด้วยหิมะ โดยเฉพาะทางที่ตรงมายังเรือนลั่วเหมยนั้นมีคนมากวาดออกไปจนสะอาดก่อนแล้ว ไร้ซึ่งหิมะสะสมอีก
เมื่อบรรดาบ่าวรับใช้เห็นฉินเจิงต่างก็แสดงความเคารพอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวาก็ตกใจพลางเรียกกล่าวว่าแม่นางทิงอิน
ระหว่างทางบังเอิญพบหัวหน้าคณะเฉียนผู้มีหนวดเคราและผมเผ้าสีขาว นัยน์ตาของเขาหยุดลงบนร่างของเซี่ยฟางหวาพลันเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าน้อยๆ ให้กับหัวหน้าคณะเฉียน บัดนี้คณะตระกูลเฉียนยังคงถูกฉินเจิงกักตัวเอาไว้ในจวนอิงชินอ๋อง และอาศัยอยู่ในเรือนอันเงียบสงบสองหลังทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตั้งแต่คืนนั้นพระชายาอิงชินอ๋องก็ไม่มีเวลาดูงิ้วอีก ฉินเจิงก็ไม่ปล่อยให้คณะตระกูลเฉียนออกจากจวน อีกทั้งยังออกคำสั่งว่าห้ามคนในจวนเข้าไปรบกวนหากเขาไม่อนุญาต ดังนั้นคณะตระกูลเฉียนจึงคล้ายถูกขังเอาไว้โดยปริยาย
หัวหน้าคณะเฉียนยังคงเหมือนเดิม เห็นได้ชัดว่าจวนอิงชินอ๋องไม่ได้ปฏิบัติต่อคณะตระกูลเฉียนอย่างไม่ยุติธรรมกลับให้การต้อนรับอย่างดี คนที่อยากดูงิ้วช่วงปลายปีมีน้อย ต้องผ่านปีใหม่ไปก่อนแต่ละครอบครัวถึงจะเชิญคณะงิ้วเข้ามาทำการแสดง เหตุผลที่คณะตระกูลเฉียนรีบเข้าเมืองหลวงมาก่อนปีใหม่ ก็เป็นเพราะอยากยึดผู้ว่าจ้างเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องรอนแรมหาที่พัก หากมิใช่ฉินเจิงเชิญพวกเขามาที่จวนโดยตรง คณะตระกูลเฉียนก็ต้องเสียค่าเช่าที่พักสำหรับคนในคณะตระกูลเฉียนทั้งหมด ดังนั้น บัดนี้ไม่ต้องควักเงินตัวเองจ่ายเป็นค่าปากท้องของคนในคณะ แน่นอนว่าเขาต้องพอใจเป็นอย่างมาก
หลายวันมานี้เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดเด็กใบ้ที่เก็บมาอย่างไม่ได้ตั้งใจในตอนนั้น ไปทำอย่างไรจึงเข้าตาคุณชายรองเจิงจนถึงกับรับเข้าไปคอยปรนนิบัติข้างกายได้ แต่ละวันล้วนได้ยินคนในจวนคุยกันว่าคุณชายรองเจิงเอ็นดูเด็กใบ้คนนี้อย่างมาก นั่นจึงทำให้เขายิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก แต่หลายวันก่อนเขาไม่สามารถเดินไปมาในจวนได้อย่างอิสระ และไม่สามารถเข้าไปในเรือนลั่วเหมยได้ ดังนั้นจึงมองไม่เห็น เมื่อได้พบในวันนี้ก็เกิดความไม่แน่ใจคิดว่าตนเองตาลายไป
เด็กสาวใบ้ที่เคยสวมชุดกระโปรงผ้าหยาบ ใบหน้าเหลืองซีด มีผิวหยาบกระด้าง สีหน้าไร้ซึ่งประกายสดใส ดูทึ่มๆ และซื่อๆ หากอยู่รวมกับผู้คนก็เกือบจะหาไม่เจอ
บัดนี้หญิงใบ้ผู้นั้นกลับสวมชุดแพรต่วนงดงามมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหิมะชั้นดีพาดเอาไว้บนไหล่ บนศีรษะปักด้วยปิ่นมุกมรกต ท่าทางการเดินอ่อนแอ้นอรชรทั้งยังวางท่าทีเย็นชาหนักแน่น แม้จะยังมีรูปลักษณ์ภายนอกดังเดิม แต่ผิวกายกลับนุ่มชุ่มชื้นขึ้นแถมยังมีใบหน้าสดใสอิ่มเอิบ เมื่อลมหนาวพัดมาก็เกือบจะพัดร่างของนางให้แหลกสลายไปด้วย จะเป็นเด็กใบ้ผู้นั้นได้อย่างไร แต่บังเอิญว่านางเป็นคนคนนั้น!
เขายืนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาอยู่นานก่อนจะลองเรียกดู “หญิงใบ้?”
“หัวหน้าคณะเฉียนคงจะหลงลืมไปแล้วใช่หรือไม่ เจ้าก็มองเห็นชัดเจนว่านางคือทิงอินของข้า มิใช่หญิงใบ้อะไรนั่น! อีกไม่นานคอของนางก็จะหายแล้ว” ฉินเจิงเลิกคิ้วก่อนจะกล่าวอย่างไม่ใจดี
หัวหน้าคณะเฉียนก็ได้สติกลับคืนมาในทันที จึงรีบก้มหน้ายอมรับผิด “ใช่ ใช่แล้ว คุณชายรองเจิงกล่าวถูกต้องแล้ว เป็นคนแก่อย่างข้าเองก็หลงลืมไป นางมิใช่หญิงใบ้ แต่เป็นทิงอินของท่าน ข้ามีตาหามีแววไม่”
“พอแล้ว! ครั้งนี้ข้าจะผ่อนผันให้!” ฉินเจิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ขอรับ!” หัวหน้าคณะเฉียนเห็นฉินเจิงไม่ได้กล่าวโทษจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ฉินเจิงมองตรงไปพลางเอ่ยถาม
“ไปพบพระชายาขอรับ!” หัวหน้าคณะเฉียนก้มหน้าตอบด้วยความเคารพ
“ท่านแม่เรียกเจ้าเข้าพบ? นางอยากดูงิ้วหรือ” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
หัวหน้าคณะเฉียนส่ายศีรษะ ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ว่ากันว่าวันนี้หลังเสร็จจากการเข้าเฝ้าช่วงเช้าเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวว่าฮูหยินของเขาอยากดูงิ้วของคณะตระกูลเฉียน ได้ยินว่าคณะตระกูลเฉียนพักอยู่ที่จวนอิงชินอ๋องจึงได้กล่าวกับท่านอ๋องเอาไว้ เมื่อท่านอ๋องกลับมาจึงคุยเรื่องนี้กับพระชายา พระชายาจึงเรียกข้าไปสอบถามว่ายินยอมจะไปจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายหรือไม่”
ฉินเจิงหรี่ตามอง “เจ้าตอบไปว่าอย่างไร”
หัวหน้าคณะเฉียนเงยหน้ามองฉินเจิงแวบหนึ่งก่อนจะรีบก้มศีรษะแล้วตอบอย่างระมัดระวัง “ข้าตอบไปว่าท่านเป็นผู้เชิญคณะตระกูลเฉียนมา ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถตัดสินใจเองได้ หากท่านตกลง ข้าก็จะไปจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย”
“ในเมืองหลวงแห่งนี้มีเรื่องใดที่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายมิรู้บ้าง? ข้าเป็นคนสกัดคณะตระกูลเฉียนไว้ให้มาที่จวนอิงชินอ๋อง วันนั้นที่ข้ากับซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหวแย่งชิงคณะตระกูลเฉียนกันก็อึกทึกครึกโครมไปทั่วเมืองไม่น้อย มีหรือเขาจะไม่รู้ วันนี้ยังคิดยืมตัวคณะตระกูลเฉียนไปอีก” ฉินเจิงหัวเราะเยาะ
หัวหน้าคณะเฉียนได้ยินก็ยิ่งก้มหน้าต่ำลงไปอีก เขาเป็นเพียงคณะตระกูลเฉียนผู้ต้อยต่ำ แท้จริงเป็นแค่จอกแหนในทะเลอันกว้างใหญ่ มิกล้าทำให้บรรดาผู้สูงศักดิ์คนใดในจวนใหญ่แห่งเมืองหลวงไม่พอใจ โดยเฉพาะเป็นคุณชายรองเจิงกับเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่บัดนี้เขากับคณะตระกูลเฉียนล้วนอยู่ที่จวนอิงชินอ๋อง จึงจำเป็นต้องให้การตัดสินใจหลักอยู่ที่คุณชายรองเจิง
“ตอนนี้เจ้าไปเก็บข้าวของ ประเดี๋ยวคณะตระกูลเฉียนทั้งหมดตามข้าไปที่จวนจงหย่งโหว!” ฉินเจิงโบกมือไล่หัวหน้าคณะเฉียน
หัวหน้าคณะเฉียนมึนงงครู่หนึ่งก่อนจะรีบขานรับ
ตอนที่ 48-3
ฉินเจิงเลิกสนใจเขาแล้วมุ่งตรงไปยังห้องโถงใหญ่ ใบหน้าแฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย
เซี่ยฟางหวาพลางคิดว่าฉินเจิงไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเสนาบดีฝ่ายซ้าย จึงนำคณะตระกูลเฉียนไปส่งยังจวนจงหย่งโหวแทน นี่เป็นการหักหน้าเสนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างชัดเจน แต่การที่เขาหักหน้าเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็มิใช่แค่ครั้งสองครั้ง แล้วยังมีสิ่งใดสำคัญอีก ยิ่งไปกว่านั้น คุณหนูหลูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับคุณชายใหญ่แห่งจวนอิงชินอ๋องได้ตกลงหมั้นหมายกันแล้ว และคงปรึกษาเรื่องฤกษ์งานแต่งในเร็ววันนี้ ไม่ว่าจะกล่าวจากที่ใด ต่างก็เป็นด้านที่ทั้งสองฝ่ายปฏิปักษ์ต่อกัน เขาจะหักหน้าเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็เป็นเรื่องอันสมควรแล้ว
เมื่อมาถึงห้องโถงของสวนโยวหลัน ฉินเจิงก็สาวเท้าเข้าไปในห้องทันที
ผู้ที่นั่งอยู่ในห้องคืออิงชินอ๋อง พระชายาอิงชินอ๋อง และแม่สื่ออีกสองท่าน ยังมีสตรีอีกท่านหนึ่งที่เซี่ยฟางหวาไม่เคยพบมาก่อน แม้จะมีอายุไล่เลี่ยกับพระชายาอิงชินอ๋อง แต่ก็ดูออดอ้อนฉอเลาะมากกว่านาง แม้จะอายุราวสี่สิบกว่าปีแต่ก็ยังคงทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกเห็นใจได้มากยิ่งขึ้น
มิต้องคาดเดาก็รู้ว่าต้องเป็นชายารองหลิวผู้ให้กำเนิดคุณชายใหญ่ฉินห้าวอย่างแน่นอน
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างภรรยาเอกกับอนุภรรยาก็คือ ภรรยาเอกจะสวยเพียบพร้อมและอ่อนโยน เป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัวของฝ่ายชาย ส่วนอนุภรรยานั้นเป็นเพียงแค่ของเล่นของฝ่ายชายเท่านั้น และชายารองก็เป็นอนุภรรยา ดังนั้นจึงต้องใช้ความออดอ้อนฉอเลาะเพื่อให้เป็นที่ชื่นชอบ นานวันเข้าก็กลายเป็นความคุ้นชินไป
“เจิงเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยถามฉินเจิงด้วยความแปลกใจ
ฉินเจิงทำความเคารพต่อบิดามารดาอย่างขอไปที หลังจากนั้นก็ชี้ไปข้างหลัง “เสื้อคลุมเสร็จแล้วจึงนำมาส่งให้ท่าน”
“เร็วขนาดนี้เชียว?” พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ เมื่อมองเซี่ยฟางหวาก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “ทิงอินสวมแล้วเหมาะยิ่งนัก วัยที่งดงามเปล่งประกายสวมสิ่งใดก็ดูดีทั้งนั้นจริงๆ”
“ท่านแม่สวมก็งดงามเช่นกัน!” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
เซี่ยฟางหวามาเดินมาตรงหน้าพระชายาอิงชินอ๋องแล้วยื่นเสื้อคลุมขนเตียวม่วงให้นาง
“นี่คงเป็นทิงอิน หญิงรับใช้ข้างกายคุณชายรองคนใหม่ใช่หรือไม่” ชายารองหลิวจ้องเซี่ยฟางหวาพลางเอ่ยปาก
ฉินเจิงไม่สนใจนาง
เซี่ยฟางหวาก็ไม่สนใจนาง
พระชายาอิงชินอ๋องก็ไม่สนใจนางเช่นกัน อีกทั้งยังรับเสื้อคลุมที่เซี่ยฟางหวายื่นมาให้พิจารณาดู จากนั้นก็พยักหน้าอย่างชื่นชอบแล้วออกคำสั่งกับชุนหลัน “เอาไปเก็บไว้ก่อนเถอะ!”
“ท่านแม่ไม่ลองตอนนี้หรือ” ฉินเจิงมองนางพลางเสนอแนะ
พระชายาอิงชินอ๋องโบกมือ แล้วกวาดตามองใบหน้าอันแข็งทื่อของชายารองหลิวแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มกล่าว “ไม่ลองแล้ว ของที่ข้าทำเองกับมือข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร”
ใบหน้าของชายารองหลิวเดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดงพักหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี พลางมองอิงชินอ๋องด้วยความอึดอัด
“คำพูดที่คุณหนูหลูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวเอาไว้ก็มิได้ผิดไปทั้งหมด! มีฐานะเพียงแค่หญิงรับใช้ผู้หนึ่งแต่กลับสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับแม่เจ้า นี่เป็นการลดฐานะของแม่เจ้าลงมาและเป็นการทำให้นางมีหน้ามีตา” อิงชินอ๋องมองเสื้อคลุมบนร่างของเซี่ยฟางหวาจากนั้นก็กล่าวด้วยความไม่พอใจ
เซี่ยฟางหวาเงยหน้าเหลือบมองอิงชินอ๋องแวบหนึ่ง
ทันใดนั้นฉินเจิงก็หันหน้ากลับไปแล้วกล่าวกับอิงชินอ๋องอย่างไม่พอใจเช่นกัน “ท่านพ่อกล่าวผิดไปแล้วหรือไม่ ทุกวันนี้ตระกูลของจวนอิงชินอ๋องเจริญรุ่งเรืองก็จริง แต่หลายร้อยปีก่อน คนของจวนอิงชินอ๋องก็ยังเป็นแค่ชนชั้นล่าง ฐานะของบรรพบุรุษมากมายล้วนต่ำต้อย หรือจะกล่าวว่าพวกเราที่เป็นลูกหลานมีเกียรติยศแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ให้ความเคารพต่อบรรพบุรุษแล้ว? ไม่เซ่นไหว้บูชาป้ายบรรพบุรุษแล้ว?”
“นี่มันคนละเรื่องกัน!” อิงชินอ๋องราวกับโดนตอกหน้าหงายแล้วกล่าวอย่างโมโห
ฉินเจิงหัวเราะเยาะอย่างไม่เกรงใจราวกับคร้านจะสนใจเขา จากนั้นก็กล่าวกับพระชายาอิงชินอ๋อง “ท่านแม่ ข้าจะพาทิงอินไปที่จวนจงหย่งโหว” พูดจบก็หันหน้าหมายจะออกไป
“รอก่อน!” พระชายาอิงชินอ๋องเรียกรั้งเขาไว้ “ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ถึงเวลาทานอาหารพอดี พวกเจ้าทานแล้วหรือ”
“ยัง เราจะไปทานที่จวนจงหย่งโหว” ฉินเจิงตอบ
พระชายาอิงชินอ๋องไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจากกำชับว่า “ถนนลื่น อย่านั่งรถหรือขี่ม้าออกไปเลย กลับกันจวนจงหย่งโหวก็อยู่ไม่ไกลเพียงแค่ถนนเส้นสองเส้นเท่านั้น หากพวกเจ้าจะไปก็เดินไปแทนเถอะ เจ้าแต่งกายบางควรสวมเสื้อผ้าหนากว่านี้สักหน่อย ข้ามีเสื้อคลุมตัวยาวที่ให้ช่างเย็บปักตัดเย็บใหม่ให้เจ้าอยู่ที่นี่”
“ไม่หนาว!” ฉินเจิงส่ายหน้า
“รอก่อน!” อิงชินอ๋องนึกขึ้นมาได้จึงตะโกนหยุดเขา “ฮูหยินของจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยากดูงิ้วของคณะตระกูลเฉียน เจ้า…”
“ให้นางต่อแถว!” ฉินเจิงตอบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไป
“เจ้าเด็กบัดซบ!” อิงชินอ๋องโมโห
ฉินเจิงชะงักเท้าหยุดยืนตรงหน้าประตูพลางหันหลังชำเลืองมองอิงชินอ๋องอย่างโอหัง จากนั้นก็กล่าวด้วยความเมินเฉยว่า “ตอนที่คณะตระกูลเฉียนเข้าเมืองมาเดิมทีเป็นซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหวที่ต้องการเชื้อเชิญไปให้เหล่าแม่เฒ่าของครอบครัวแห่งตระกูลเซี่ยชม แต่กลับถูกลูกชายของท่านแย่งชิงกลางคันเพื่อนำมาแสดงความเคารพกตัญญูต่อท่านแม่ บัดนี้พวกเขาก็อาศัยที่จวนของเราร่วมสิบกว่าวันแล้ว ควรจะส่งกลับไปให้จวนจงหย่งโหวแล้วมิใช่หรือ จะให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายมาลัดแถวได้อย่างไร แม้แต่เรื่องมาก่อนหลังท่านพ่อก็มิเข้าใจแล้วหรือ”
“เจ้าก็แย่งชิงพวกเขามาจากคนอื่นเช่นกัน จะยังมีหน้ามากล่าวว่าข้าไม่รู้จักมาก่อนมาหลังได้อย่างไร” ใบหน้าของอิงชินอ๋องฉายดูน่าเกลียดเล็กน้อย
“พี่จื่อกุยกับข้ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ข้าแย่งชิงมาแล้วก็แล้วกันไป แต่เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับข้ามิได้สนิทชิดเชื้อกัน เขาจะเอาเหตุผลใดมาอ้าง” ฉินเจิงมองเขาคล้ายกับมองท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น
อิงชินอ๋องอึ้งจนพูดไม่ออก
ทันใดนั้นชายารองหลิวก็เอ่ยออกมา “คุณชายรองเจิงกล่าวผิดแล้ว บัดนี้คุณชายใหญ่จะต้องแต่งงานกับคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับจวนอิงชินอ๋องของเราก็มีความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรกันแล้ว จะไม่สนิทชิดเชื้อกันได้อย่างไร”
“ชายารองหลิวมิใช่หรือที่กล่าวผิด หากจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะมีความสัมพันธ์กับจวนอิงชินอ๋อง นั่นก็เป็นความสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า!” ฉินเจิงแค่นเสียงแล้วหันหลังก้าวออกจากประตู
ใบหน้าของชายารองหลิวแดงจัดในพริบตาพลางอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
เซี่ยฟางหวาเดินตามฉินเจิงออกมา ม่านมู่ลี่ที่ประตูส่ายจนเกิดเสียงดังเพราะการเคลื่อนไหวของทั้งคู่
“ดูสิ ดูลูกชายบังเกิดเกล้าที่เจ้าสั่งสอน!” ความโกรธของอิงชินอ๋องยังไม่ได้ระบายออกมาจึงหันไปพาลใส่พระชายาอิงชินอ๋อง
“ท่านอ๋อง ลูกชายหม่อมฉันมิได้กล่าวอะไรผิดไป มีอะไรมิถูกต้องหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมองอิงชินอ๋องด้วยความสุขุมหนักแน่น
“เจ้า…เจ้าดูเขาพูดจากับข้า เห็นข้าเป็นตัวอะไร!” อิงชินอ๋องโกรธจนตัวแข็งแล้วถลึงตากล่าว
“แม้เขาจะชอบเที่ยวเล่นและก่อเรื่องวุ่นวายไปทั่ว แต่ก็มิเคยกลั่นแกล้งหรือต่อว่าผู้ต่ำต้อยกว่าในจวนเลย แม้เขาจะมีนิสัยไร้เหตุผล แต่ก็เข้ากับบรรดาคุณชายของจวนใหญ่ๆ ในเมืองหลวงได้ดี แม้บางคราเขาจะมิได้ทำตามกฎ แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร กล่าวว่าตอนที่ท่านอ๋องยังหนุ่มก็ทำตามกฎระเบียบหรือ ตอนที่หม่อมฉันยังมิได้แต่งงานเข้าจวนมา ท่านก็มีลูกสาวแล้วหนึ่งคน เจิงเอ๋อร์ของหม่อมฉันบัดนี้ใกล้จะสิบเจ็ดแล้วยังไม่มีแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียงสักคน ถึงแม้จะมีทิงอินแล้ว ก็มิได้รีบร้อนลากนางขึ้นเตียง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวอย่างใจเย็น
อิงชินอ๋องหน้าดำหน้าแดงและไม่ได้กล่าววาจาปะทะอีกกลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน “เรากำลังพูดถึงเขาอยู่ เจ้าจะลากข้าไปเกี่ยวด้วยทำไม”
พระชายาอิงชินอ๋องมองเขาดั่งผู้บริสุทธิ์ “ท่านอ๋องตำหนิว่าหม่อมฉันสั่งสอนลูกชายไม่ดี แต่ว่าลูกก็มีครึ่งหนึ่งที่เป็นของท่านเช่นกัน ขอแค่ท่านจะสั่งสอนเขา หม่อมฉันก็มิเคยขัดขวาง เหตุใดบัดนี้จึงตำหนิหม่อมฉันขึ้นมาได้”
อิงชินอ๋องไร้ซึ่งคำพูดอีกครั้ง
“เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่กล่าวอะไรเลย” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขาอย่างเค้นหาเหตุผล
“พอแล้วๆ ข้าผิดเอง ไม่ควรตำหนิเจ้า” อิงชินอ๋องขอโทษ “พวกเรารีบหารือเรื่องงานแต่งงานของห้าวเอ๋อร์เถอะ! ใกล้เที่ยงแล้วคงจะไปวันนี้ไม่ได้แล้ว วันนี้ก็พยายามกำหนดรายการของหมั้นให้เสร็จ พรุ่งนี้จะได้ไปมอบสินสอดทองหมั้น”
พระชายาอิงชินอ๋องสะบัดผ้าเช็ดหน้าอย่างไม่พอใจ “เรื่องนี้ให้ท่านอ๋องกับชายารองหลิวตัดสินใจเองแล้วกัน หม่อมฉันไม่ทำแล้ว เลี่ยงเมื่อถึงเวลานั้นหากทำแล้วไม่ถูกใจจะถูกตำหนิเอา” พูดจบก็หันไปกล่าวกับชุนหลัน “ชุนหลัน ไปเถอะ พวกเราไปเยี่ยมจวนเสนาบดีฝ่ายขวากัน”
“เพคะ พระชายา!” ชุนหลันตรงเข้าไปประคองพระชายาอิงชินอ๋อง
ชายารองหลิวเผยสีหน้าร้อนรนออกมาทันที พระชายาอิงชินอ๋องเป็นใหญ่ อำนาจควบคุมทุกอย่างในจวนอยู่ภายใต้กำมือของนาง หากนางไม่จัดการเรื่องนี้ ลำพังแค่ตำแหน่งชายารองจะยื่นมือไปหยิบจับสิ่งของต่างๆ ในคลังเก็บของได้อย่างไร มิฉะนั้นวันนี้ก็คงไม่จำเป็นต้องเรียกอิงชินอ๋องมา มิใช่เพราะเพื่อให้ของหมั้นของจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายดูดีขึ้นมาสักเล็กน้อยหรือ เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มกล่าว “เรื่องของคุณชายใหญ่ต้องพึ่งพาพระชายาให้ไปสู่ขอ งานแต่งงานถึงจะลุล่วงไปได้ด้วยดี พระชายาทำงานละเอียดรอบคอบ แม้จะมีส่วนใดไม่เหมาะสม ผู้ใดจะกล้าตำหนิท่าน เรื่องนี้ไม่มีท่านได้อย่างไร หม่อมฉันทำเรื่องนี้แทนพระชายาไม่ได้แน่”
พระชายาอิงชินอ๋องทำหน้านิ่งขรึมไม่กล่าวอะไร
อิงชินอ๋องกลืนความโกรธเมื่อครู่ลงไปในอก จำต้องยอมต่อพระชายาอิงชินอ๋องอีกครา เมื่อก่อนขอเพียงแค่เขาสั่งสอนลูกชาย ภรรยาของเขาแม้จะไม่ได้ขัดขวางต่อหน้า แต่ก็ไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ ต่อเขาเลยสักครั้ง มักกล่าววาจาจะทิ่มแทงเขาเสมอ ที่ร้ายแรงกว่านั้นยังเคยห้ามมิให้เขาเข้าไปในห้องของนางถึงสิบวันหรือครึ่งเดือน นานวันเข้า เจ้าเด็กคนนั้นก็ไม่แม้แต่จะเกรงกลัวเขาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถกล่าวว่านางผิดได้ เพราะนางไม่เคยกีดกันเขาเวลาสั่งสอนฉินเจิงเลยสักครั้ง
“ท่านอ๋อง ท่านรีบกล่าวอะไรสักอย่างเถิด! รีบทำให้พระชายาหายโกรธ” ชายารองหลิวยื่นมือไปดันอิงชินอ๋อง
อิงชินอ๋องจำใจลุกขึ้นแล้วตรงไปดึงมือของพระชายาอิงชินอ๋องเอาไว้พลางกล่าวอย่างนุ่มนวล “ข้าผิดเอง ข้าก็ขอโทษเจ้าแล้ว เจ้าอย่าโกรธเลยนะ” เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันซ้ายแลขวาแล้วกล่าวเสียงเบาอย่างเสียหน้าอยู่บ้าง “คนมากมายกำลังมองอยู่นะ!”
พระชายาอิงชินอ๋องเก็บสีหน้าพลางจ้องมองเขา จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งอย่างสง่างาม “ต่อไปท่านอ๋องห้ามตำหนิว่าหม่อมฉันไม่สั่งสอนเจิงเอ๋อร์ให้ดีอีก หากท่านปฏิบัติต่อเจิงเอ๋อร์อย่างที่ปฏิบัติต่อคุณชายใหญ่บ้าง เขาก็คงไม่ทำให้ท่านโมโหทุกวันเช่นนี้”
“ได้ ต่อไปข้าจะพูดจาดีๆ กับเขา” อิงชินอ๋องกล่าวอย่างยอมจำนน
พระชายาอิงชินอ๋องจึงยิ้มออกมาได้
ภายในใจของชายารองหลิวกลัดกลุ้มเมื่อเห็นอิงชินอ๋องเคารพนบนอบต่อพระชายาเหมือนที่นางเคารพนบนอบต่อหน้าอิงชินอ๋อง แต่เมื่อคิดได้ว่าแท้จริงฉินเจิงไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีเท่าที่ฉินห้าวได้รับก็หายกลัดกลุ้มเป็นปลิดทิ้งแล้วเกิดเป็นความโอหังแทนที่ แม้ฐานะของนางจะเทียบไม่ได้กับพระชายาอิงชินอ๋อง แต่ฉินห้าวลูกชายของนางก็แข็งแกร่งกว่าฉินเจิงมาก
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามก็หารือเรื่องของหมั้นและงานแต่งงานของฉินห้าวต่อ
ตอนที่ 48-4
เวลานี้ฉินเจิงออกมาถึงมุมประตูของจวนอิงชินอ๋องกับเซี่ยฟางหวาแล้ว เขาฟังสิ่งที่พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว นั่นคือเดินเท้าไปจวนจงหย่งโหว
ผู้คนอาจจะเหลือทนกับการที่หิมะตกติดต่อกันถึงสามวัน หลังหิมะหยุดแล้วจึงออกมาเดินบนขวักไขว่ถนน ถนนหน้าจวนอิงชินอ๋องมีทหารของทางการมาทำความสะอาดแล้ว แต่เพิ่งทำความสะอาดไปได้ครึ่งทาง แน่นอนว่าเดินทางด้วยรถม้าคงลำบาก
ฉินเจิงเดินช้าๆ ราวกับกำลังเดินเล่น
เซี่ยฟางหวาเดินตามอยู่ข้างหลังครึ่งก้าว ฝีเท้าก็เชื่องช้าพอกัน แม้จะได้กลับไปจวนจงหย่งโหว แต่ภายในใจกลับรู้สึกสงบ
เห็นได้ชัดว่าประชาชนบนถนนรู้จักฉินเจิง เมื่อเห็นเขาจึงยิ้มพลางโค้งตัวทักทาย ดูแล้วระมัดระวังตัวน้อยกว่าคนของกลุ่มลูกหลานชนรุ่นหลังผู้สูงศักดิ์ทำความเคารพเวลาพบฉินเจิง ฉินเจิงก็ดูอารมณ์ดีมาก ตลอดทางล้วนมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า บางครั้งยังเอ่ยทักทายบ้าง ไม่ได้มีท่าทีอวดดีแต่กลับดูเข้าถึงได้ง่าย
เซี่ยฟางหวาแอบครุ่นคิดในใจ ที่สุดแล้วคนผู้นี้มีนิสัยหรือหน้ากากมากน้อยเพียงใด ด้านไหนกันแน่ที่เป็นด้านที่แท้จริง ด้านไหนกันแน่ที่หลอกหลวง?
“กำลังคิดสิ่งใดอยู่” ฉินเจิงหันกลับมามองเซี่ยฟางหวาฉับพลัน
เซี่ยฟางหวาเก็บสีหน้า นางจำเป็นต้องมีสติรับมือตลอดเวลาเมื่ออยู่ข้างกายเขา มิฉะนั้นหากไม่ทันระวังจะถูกเขาอ่านความคิดเอาได้ นางเงยหน้าขึ้น เลียนแบบท่านิ้วดอกกล้วยไม้*[1] ซึ่งเป็นท่าทางในการร้องงิ้วที่เสี่ยวเฟิ่งเสียงมักจะแสดงให้เห็นอยู่บ่อยๆ คล้ายจะสื่อความว่าเขาลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าต้องพาคณะตระกูลเฉียนออกมาด้วย
ฉินเจิงเข้าใจแจ่มแจ้ง อธิบายว่า “ประเดี๋ยวจะมีคนพาคณะตระกูลเฉียนไปส่งยังจวนจงหย่งโหว”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เจ้าแปลกใจใช่หรือไม่ว่าเหตุใดประชาชนเหล่านี้ถึงไม่กลัวข้า” ฉินเจิงจ้องนางพลางเอ่ยถาม
เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะพยักหน้า ถึงอย่างไรนางก็คิดเช่นนี้จริงๆ
ฉินเจิงเลิกคิ้วอย่างตามใจชอบจากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “คนของกลุ่มชนรุ่นหลังผู้สูงศักดิ์คอยปกป้องข้าเพราะข้าเป็นทายาทสายตรงของจวนอิงชินอ๋อง วันหน้าต้องสืบทอดจวนอิงชินอ๋องต่อ แน่นอนว่าต้องไว้หน้าข้า ส่วนสหายที่มีความสัมพันธ์อันดี เช่นพี่จื่อกุย เยี่ยนถิง หลี่มู่ชิงเป็นต้น นั่นเป็นเพราะมีฐานะที่ไม่ต่างกันมาก ทั้งยังมีนิสัยเข้ากันได้ เรียกว่าสนิทกันฉันท์พี่น้องก็ว่าได้ ส่วนคนใช้ในร้านค้า โรงเตี๊ยม เรือหรู รวมไปถึงวังหลวงกับจวนต่างๆ ในเมืองหลวง หรือขุนนางชั้นธรรมดาล้วนกลัวข้า โมโหข้า อดทนต่อข้า รวมถึงคอยเอาใจข้า นั่นเป็นเพราะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องกับฐานะพวกเขา พวกเขารู้ว่าหากทำให้ข้าไม่พอใจจะไม่เป็นประโยชน์แก่ตัวพวกเขา ส่วนพวกประชาชนทั่วไป ฐานะของพวกเขาต่ำเกินไปจนเกือบกลายเป็นฝุ่นผง ไม่มีผลประโยชน์ใดมาเกี่ยวข้อง ข้าก็ไม่จำเป็นต้องดุด่าพวกเขาอย่างไม่ชอบธรรม ฉะนั้นแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่พวกเขาจะต้องกลัวข้า”
เซี่ยซูหัวพยักหน้าด้วยความชื่นชมอย่างจริงใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ชื่นชมคนชั่วผู้นี้ เป็นเรื่องยากที่จะมองตนเองและคนข้างกายออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แม้แต่นางเองจนถึงบัดนี้ก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง เขาเพิ่งจะอายุยังไม่สิบเจ็ดเต็ม กลับมองออกเช่นนี้ไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย
หลังฉินเจิงกล่าวถ้อยคำยาวเหยียดออกมาก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
เดิมทีเซี่ยฟางหวาก็ไม่อยากพูดมากความ เพียงแค่อยากเดินตามเขาเงียบๆ ก็เท่านั้น
ผู้คนบนถนนใหญ่นอกจากจะทักทายฉินเจิงตามมารยาทแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ทอดสายตาจรดลงบนร่างของนาง พวกเขาพิจารณาหญิงรับใช้ที่ถูกฉินเจิงรับมาไว้ข้างกายผู้นี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นปนอิจฉา ในสายตาของประชาชนทั่วไป นางดุจเทพธิดาก็มิปาน
แม้จะเป็นถนนสั้นๆ แต่ฉินเจิงกลับใช้เวลาเดินทางกว่าครึ่งชั่วยามจึงมาถึงจวนจงหย่งโหวในที่สุด
เซี่ยม่อหานทราบข่าวตั้งแต่ตอนที่ฉินเจิงออกมาจากจวนอิงชินอ๋องแล้ว และได้รู้ว่าเซี่ยฟางหวาก็ตามกลับมาที่จวนด้วยเช่นกันจึงรีบไปพบจงหย่งโหวที่ห้องโถงหรงฝูทันที เมื่อจงหย่งโหวทราบข่าวก็เอ่ยกำชับให้เขาสงบสติอารมณ์เอาไว้ อย่าเพิ่งเผยพิรุธออกมา ถึงจะไม่รู้ว่าฉินเจิงกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงจะรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้มันน่าประหลาดใจเกินไป แต่ก็ต้องสงบเสงี่ยมเข้าไว้
ใช้เวลาอยู่นานกว่าเซี่ยม่อหานจะซ่อนความตื่นเต้นกังวลได้ แม้เขากับฉินเจิงจะมีความสัมพันธ์อันดีมาหลายปีแต่กลับยิ่งมองเขาไม่ออก หากไม่ลากน้องสาวของเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็คงไม่คิดเรื่องของฉินเจิงมากขนาดนี้ แต่บัดนี้ในเมื่อลากน้องสาวเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วจึงไม่สามารถทำตัวตามเดิมได้อีก น้องสาวของเขายังไม่ได้กลับจวน เขาจะสงบจิตใจลงได้อย่างไร
“คอยดูท่าทีไปก่อนเถอะ! เจ้าเด็กฉินเจิงคนนี้แข็งแกร่งกว่าผู้เป็นพ่อมาก ทั้งยังแข็งกว่าว่าฉินห้าวที่ภายนอกดูแข็งแรงแต่ความจริงแล้วอ่อนแอราวกากเต้าหู้เยอะมาก” จงหย่งโหววิจารณ์
เซี่ยม่อหานพยักหน้า “ความจริงแล้วนางสามารถกลับจวนได้ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่”
“เด็กคนนั้นมีความคิดเป็นของตัวเอง ให้นางจัดการเองเถอะ! นางมีวิธีที่จะจบเรื่องราวอยู่แล้ว” จงหย่งโหวกล่าวอย่างใจกว้าง
เซี่ยม่อหานพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา “พวกเขาน่าจะใกล้มาถึงแล้ว ข้าจะออกไปต้อนรับ”
จงหย่งโหวโบกมือ
เซี่ยม่อหานออกมาจากห้องโถงหรงฝูก่อนจะกำชับกับท่านป้าฝูให้ทำอาหารเพิ่ม ท่านป้าฝูรีบขานรับทันที จากนั้นเขาพาซื่อซูตรงไปยังประตู เมื่อมาถึง ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาก็มาถึงพอดี
“ในเมื่อเจ้าจะมาก็ควรส่งคนมาแจ้งข้าให้ทราบก่อน” เซี่ยม่อหานกล่าวกับฉินเจิง
“ข้าไม่ได้นำของขวัญติดตัวมาด้วย แค่แวะมาเยี่ยมเยียนเท่านั้นและนำคณะตระกูลเฉียนที่ชิงตัวไปมาคืนให้กับท่าน แล้วถือโอกาสกินอาหารฝีมือของพ่อครัวในจวนท่านด้วย เช่นนี้แล้วจะแจ้งท่านล่วงหน้าเพื่อสิ่งใด ไม่ถือเป็นคนอื่นคนไกลเกินไปหรือ” ฉินเจิงเลิกคิ้วถาม
“นั่นสินะ!” เซี่ยม่อหานยิ้มพลางพยักหน้าจากนั้นก็ถือโอกาสนี้มองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง
“ดูเหมือนว่าใบสั่งยาที่ส่งมาจากกองทัพป้องกันพรมแดนม่อเป่ยจะใช้ได้ผลจริงๆ หิมะตกหนักขนาดนี้ท่านก็ไม่ป่วย แถมสีหน้าก็ดีขึ้นเยอะมาก บัดนี้ยังสามารถออกมารับข้าได้ด้วย” ฉินเจิงสำรวจสีหน้าของเซี่ยม่อหาน
“ต้องขอบคุณท่านลุงแล้ว” เซี่ยม่อหานคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ต้อนรับฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้าไปในจวน
ทั้งสองพูดคุยตลอดทางจนมาถึงห้องโถงหรงฝู
กลิ่นหอมของอาหารและเหล้าคละคลุ้งไปทั่วห้องโถง
ฉินเจิงทำจมูกฟุดฟิดพลันออกอาการดีใจ “การต้อนรับอันล้ำค่านี้ ต้องขอขอบคุณนายท่านผู้เฒ่ามากที่ให้ความกรุณา”
จงหย่งโหวแค่นเสียงในลำคอจากในห้อง “เจ้าเด็กน้อยเจิง เหล้าดีๆ ของข้าไม่ได้ดื่มง่ายขนาดนั้น หลังดื่มแล้วเจ้าต้องมีของมาแลกเปลี่ยนสักหน่อยแล้ว”
“กล่าวได้ดี!” ฉินเจิงก็ไม่ได้ปฏิเสธทั้งยังก้าวเข้าไปในห้อง
เซี่ยม่อหานตามมาข้างหลังถือโอกาสแลกเปลี่ยนสายตากับเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปในห้องพร้อมกัน
จงหย่งโหวนั่งอยู่ก่อนแล้ว ฉินเจิงสะบัดเสื้อคลุมตัวนอกแล้วนั่งลงข้างจงหย่งโหวอย่างไม่เกรงใจ
“แม่นางทิงอินก็นั่งลงเถอะ!” เซี่ยม่อหานเลื่อนเก้าอี้มาให้แล้วกวักมือเรียกนาง
เซี่ยฟางหวาหันไปมองฉินเจิง
ฉินเจิงเลิกคิ้ว “บอกแล้วมิใช่หรือว่าจะพาเจ้ามากินข้าว นั่งลงเถอะ! นายท่านผู้เฒ่ากับพี่จื่อกุยมิใช่คนที่มีทัศนวิสัยคับแคบ เจ้าเองก็เป็นคนของข้า ถึงอย่างไรก็เป็นแขกสำหรับพวกเขาเช่นกัน”
นัยน์ตาของเซี่ยฟางหวาวูบไหว
เซี่ยม่อหานเคยถูกประโยค ‘ทิงอินของข้า’ ที่ฉินเจิงกล่าวทำให้เกิดความไม่พอใจมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อได้ยินอีกครั้งจึงได้แต่หันไปมองเขาแวบหนึ่งเท่านั้น
แต่จงหย่งโหวกลับได้ยินเป็นครั้งแรก เมื่อได้ยินดังนั้นจึงถลึงตามอง “เจ้าเด็กน้อยเจิง หญิงรับใช้ของเจ้าก็คือหญิงรับใช้ของเจ้า จะเป็นคนของเจ้าได้อย่างไร พูดจาเหลวไหล!”
ฉินเจิงยิ้มบางและไม่ได้โต้แย้ง
“นั่งเถอะ!” จงหย่งโหวโบกมือให้เซี่ยฟางหวาราวกับไม่ได้ถือสาที่จะนั่งกินข้าวร่วมกันกับคนที่มีฐานะเป็นเพียงหญิงรับใช้เช่นนาง
เซี่ยฟางหวาค่อยๆ นั่งลง
เวลานี้ซื่อซูก็รายงานจากข้างนอกว่า “ซื่อจื่อ หัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่นแห่งจวนอิงชินอ๋องนำผู้คุ้มกันพาคณะตระกูลเฉียนมาส่งที่จวนของเราด้วยตัวเอง ท่านคิดว่าควรจะให้พวกเขาพักที่ใดขอรับ”
“ให้พักที่เรือนทิศเหนือแล้วกัน!” เซี่ยม่อหานคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ขอรับ!” ซื่อซูขานรับก่อนจะออกไป
เซี่ยม่อหานหันกลับมาฉินเจิงพลางกล่าว “ข้าได้ยินว่าวันนี้หลังจากเสนาบดีฝ่ายซ้ายเสร็จจากเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงตอนเช้าแล้วจึงขอตัวคณะตระกูลเฉียนกับอิงชินอ๋อง? บัดนี้เจ้านำคณะตระกูลเฉียนมาส่งให้ข้า…”
“จวนจงหย่งโหวยังจะต้องกลัวเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วยหรือ” ฉินเจิงมองตอบ
จงหย่งโหวแค่นเสียงในลำคอด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
“คงไม่ถึงขั้นกลัวหรอก แต่ถ้ามีปัญหาน้อยลงหน่อยก็ยิ่งดีมิใช่หรือ ผู้ใดบ้างจะไม่ชอบให้มีปัญหาน้อยๆ” เซี่ยม่อหานหัวเราะ
“วางใจเถอะ หากเขาจะมาหาเรื่องก็คงจะไปหาเรื่องข้าก่อน ข้าทำให้เขาเสียหน้า เขาจะต้องไม่ยอมเลิกราแต่โดยดีแน่ ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้เขาก็ยังไม่มีเวลาว่างที่จะมาหาเรื่องข้า มัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องที่ลูกสาวจะแต่งงาน” ฉินเจิงตบไหล่ของเขาเบาๆ
“แท้จริงแล้วเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่ได้เสียหน้า เขาคิดอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับเจ้ามาตลอดอยู่แล้วจะได้เป็นญาติกับจวนอิงชินอ๋อง บัดนี้แม้จะไม่ได้แต่งงานกับเจ้า แต่ก็แต่งงานกับพี่ชายของเจ้า อย่างไรก็มีความสัมพันธ์กันกับจวนอิงชินอ๋องอยู่ดี แม้จะผิดพลาดไปสักหน่อย แต่ก็พอถูไถไปได้” เซี่ยม่อหานกล่าวอย่างใช้ความคิด
“นั่นก็เพราะเขาต้องการช่วยลูกเขยแย่งชิงอำนาจของข้าถึงจะถูก มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถกุมอำนาจจวนอิงชินอ๋องได้” ฉินเจิงเบะปาก
เซี่ยม่อหานพยักหน้า
เซี่ยฟางหวานั่งกินข้าวอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด สำหรับเรื่องเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางในชาติก่อนไม่เคยสนใจเรื่องภายในราชสำนักจึงรู้น้อยมาก แต่จากความเข้าใจในชาตินี้นางก็พอจะกระจ่างแจ้งเล็กน้อย หากเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่มีความสามารถ ก็คงไม่สามารถดำรงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ ทั้งยังไม่สามารถดึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ส่วนหนึ่งมาเป็นพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คงไม่สามารถมีอำนาจก้าวข้ามตำแหน่งเสนาดีฝ่ายขวาครั้งแล้วครั้งเล่าได้จนฉินอวี้ต้องโดนเนรเทศออกไปจากเมืองหลวงภายใต้การยุแยงของเขา เขาเกลียดฉินเจิงนั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด
เมื่อระลึกถึงจวนจงหย่งโหว เมื่อชาติก่อนเขานำคนมายึดทรัพย์…
เซี่ยฟางหวาคิดถึงเรื่องนี้ สายตาพลันเย็นเยือกขึ้นมา
[1]*นิ้วโป้งกับนิ้วกลางชิดติดกัน
ตอนที่ 48-5
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นเพียงสุนัขจิ้งจอก ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นคนต่ำทรามอีกด้วย” จงหย่งโหวมองเซี่ยม่อหานและฉินเจิง “พวกเจ้ายังอ่อนหัดนัก อย่าดูถูกเขา เขาเพียงแค่ให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายคนโตของชายารองเท่านั้นไม่นับว่าเป็นความเสียหายที่แท้จริง แค่เพียงทำให้เขาเสียหน้าเล็กน้อย ไม่ได้มีผลกระทบอะไร เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เขาไม่โต้ตอบกลับอย่างแน่นอน แต่หากโต้ตอบ พวกเจ้าก็ต้องระวังตัว”
เซี่ยม่อหานพยักหน้า
ฉินเจิงราวกับไม่ได้ใส่ใจ
“เจ้าเด็กน้อยเจิง เจ้าอย่าทำเป็นไม่อยากฟังเลย แล้วก็อย่าคิดว่าตัวเองมีความสามารถ ข้าจะบอกให้ หากเจ้าเปิดโอกาสให้เขาเมื่อใด เขาจะทำให้เจ้าตายอย่างไรก็มิอาจทราบได้ ยังหนุ่มยังแน่นจึงหยิ่งยโสบ้างก็ไม่เป็นไร แต่หลักการที่ว่าอะไรที่มากเกินไปก็จะหักโค่นลงได้ง่ายๆ เจ้าต้องเข้าใจอย่างชัดเจน บัดนี้เหตุใดเจ้าถึงสามารถยืนอยู่ในเมืองหลวงหนานฉินได้โดยไร้คนขวางกั้น นั่นเป็นเพราะฐานะของเจ้า หากเจ้าเกิดมาเป็นคนธรรมดาไร้ฐานะ หรือไม่ได้รับความเอ็นดูจากฮ่องเต้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองคิดดู เจ้าจะสามารถยืนหยัดได้โดยไร้คนขวางกั้นได้หรือไม่” จงหย่งโหวกล่าวกับฉินเจิง
ฉินเจิงสลัดท่าทางอันไม่ใส่ใจเมื่อครู่ก่อนจะแสดงสีหน้าเคารพ “นายท่านผู้เฒ่าสั่งสอนได้ถูกต้อง”
“เจ้ารับฟังก็ดีแล้ว ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางสามารถเข้ามาในตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ได้ในระยะเวลาอันสั้นเพียงสองร้อยปีไม่ได้เป็นเพราะโชคชะตา แต่เป็นเพราะสมองและเล่ห์เหลี่ยม” จงหย่งโหวกล่าว “แม้ตระกูลหลูจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ก็สามารถทำให้ขุนนางฝ่ายบู๊ส่วนหนึ่งที่มีความสามารถรอบด้านมาเป็นพวกของเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ สถานการณ์ในราชสำนักไม่ทันไรก็เปลี่ยนแปลงแล้ว แต่เขาสามารถยืนหยัดอยู่ได้ถึงยี่สิบปีโดยไม่ล้มลง มิได้ได้มาโดยการประจบสอพลอฮ่องเต้อย่างแน่นอน”
ฉินเจิงวางตะเกียบลงแล้วฟังอย่างตั้งใจ
ถึงอย่างไรจงหย่งโหวก็อุทิศตัวเป็นทหารกว่าครึ่งชีวิต ทั้งยังมั่นคงในราชสำนัก ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาจากปากเขาจึงเป็นคำแนะนำอันล้ำเลิศ
“พอแล้ว จะมัวแต่พูดถึงคนต่ำทรามพรรค์นั้นเพื่อสิ่งใด กินข้าวเถอะ!” จงหย่งโหวโบกมือแล้วหยุดพูด จากนั้นก็ยังแก้วเหล้าขึ้นมาหมายจะชนกับฉินเจิงและเซี่ยม่อหาน
พลันฉินเจิงก็คลี่ยิ้มออกมาจนตาปิด “แม้จงหย่งโหวจะกล่าวเพียงสองสามประโยค แต่ก็เป็นประโยชน์กับข้ามาก แม้ในใจจะชัดเจนกับเรื่องนี้ แต่ไม่สนใจเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่อง หรือถูกคนอื่นอ่านออกทะลุปรุโปร่งก็เป็นอีกเรื่อง”
เซี่ยม่อหานมองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วยิ้มพลางพยักหน้า เขาชื่นชมฉินเจิงในส่วนนี้ที่มีนิสัยใจกว้าง
จงหย่งโหวกล่าวว่าจะไม่พูดถึงเสนาบดีฝ่ายซ้ายอีกก็ไม่พูดถึงจริงๆ ฉินเจิงกับเซี่ยม่อหานก็ไม่พูดถึง กลับดื่มเหล้าพลางเอ่ยถึงเรื่องเหล้าชั้นดีพลาง ผู้อาวุโสและเด็กหนุ่มทั้งสาม แม้จะมีความต่างระหว่างวัยขวางกั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีความคิดที่เข้ากันได้
ฉินเจิงไม่ได้ระมัดระวังตัวมากเกินไปราวกับกำลังอยู่ในบ้านของตัวเอง ซ้ำยังสบายใจกว่าอยู่บ้านตัวเองอีกด้วย
เซี่ยฟางหวารู้สึกไม่คุ้นตา แต่ก็จนปัญญา
เมื่อกล่าวถึงเหล้าชั้นดี เซี่ยม่อหานพลันเอ่ยถามฉินเจิงขึ้น “ไหเหล้าสีเขียวอมเทาที่เป็นเครื่องราชบรรณาการใบนั้นของเจ้าล่ะ”
ฉินเจิงที่กำลังดื่มเหล้าพลันสำลักออกมาเล็กน้อยตอบว่า “โยนทิ้งไปแล้ว!”
“โยนทิ้งไปแล้ว?” เซี่ยม่อหานมึนงง
ฉินเจิงส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคอจากนั้นก็ผินหน้ามองเซี่ยฟางหวาพลางเอ่ยถาม “ทิ้งไปแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า เมื่อกล่าวถึงนิสัยของคนผู้นี้ทำให้นางอยากจะถ่มน้ำลายทุกครั้ง วันนั้นเขาพูดเอาไว้เสียดิบดีว่าจะต้มเหล้ากับดอกเหมย แต่ต่อมาคิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับคำแล้วสั่งให้ทิงเหยียนเอาเหล้าไปทิ้ง
“น่าเสียดาย!” เซี่ยม่อหานไม่ได้ถามถึงสาเหตุแล้วถอนหายใจออกมา
“เจ้าเด็กบ้า เสียดายเหล้าดีๆ! ครั้งหน้าหากมีเหล้าดีๆ อีกก็นำมันมาให้ข้าที่นี่ จะมากน้อยเพียงใดข้าจะช่วยเจ้าดื่มเอง เสียดายของ!” จงหย่งโหวตำหนิ
“ก็ได้ หากได้เหล้าดีมาอีกข้าจะนำมาแสดงความกตัญญูต่อท่าน” ฉินเจิงยันหน้าผากกล่าว
จงหย่งโหวพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกว่าคำว่ากตัญญูนั้นไม่ถูกต้อง
เซี่ยม่อหานกลับมองฉินเจิงแวบหนึ่งพลันกล่าวออกมา “ข้าสั่งให้ท่านป้าฝูทำอาหารมาเพิ่ม เหตุใดบัดนี้จึงยังไม่มาอีก ข้าจะไปดูที่ห้องครัวสักหน่อย”
จงหย่งโหวโบกมือ
เซี่ยม่อหานยืนขึ้นแล้วกล่าวอีก “ไม่สู้ให้แม่นางทิงอินไปกับข้าด้วยเถอะ! จวนจงหย่งโหวมีแค่ท่านปู่กับข้า ดังนั้นจึงมีคนรับใช้น้อย ยิ่งเพราะท่านปู่กับข้านั้นล้วนรักความสงบจึงมีคนติดตามน้อยมาก ซื่อซูไปจัดแจงที่พักให้กับคณะตระกูลเฉียน เกรงว่าท่านป้าฝูเพียงคนเดียวคงยุ่งวุ่นวายมากแน่ๆ เจ้าไปกับข้าเถอะ ขอยืมแรงมาช่วยข้ายกอาหารสักประเดี๋ยว”
เซี่ยฟางหวาฟังจบก็รู้ในทันทีว่าท่านพี่ต้องการพูดคุยกับนางเพียงลำพังจึงหันไปมองฉินเจิงอย่างขออนุญาต
ฉินเจิงหันไปมองพลางยกแก้วเหล้าขึ้นกล่าว “ไม่สู้พี่จื่อกุยเรียกข้าไปมิดีกว่าหรือ”
“เจ้าจะไปทำไม อยู่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าสิ!” จงหย่งโหวตบโต๊ะ “หากพวกเจ้าไปกันหมดแล้วทิ้งข้าให้นั่งดื่มเหล้าเพียงคนเดียวจะไปสนุกอะไร เจ้าเด็กน้อยเจิงอยู่ที่นี่แหละ พวกเจ้าไปเถอะ!”
“ก็ได้!” ฉินเจิงวางแก้วแล้วเตือนเซี่ยม่อหาน “ท่านต้องดูแลทิงอินของข้าให้ดี อย่าทำนางหายล่ะ หากนางหายไป ข้าก็จะไปทวงคนจากท่าน หากท่านหาไม่เจอ ข้าก็จะอยู่ที่นี่ ไม่กลับแน่”
เซี่ยม่อหานได้ยินก็หัวเราะไม่ออก “น้องฉินเจิง ข้าแค่ยืมตัวแม่นางทิงอินไปยกอาหาร คงไม่ทำนางหายไปหรอก วางใจเถอะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ!” สุดท้ายฉินเจิงก็โบกมือปล่อยพวกเขาไป
เซี่ยม่อหานหันหลังเดินออกไปจากห้อง เซี่ยฟางหวาเดินตามออกไป ไม่นานทั้งสองก็ออกไปจากห้องโถงหรงฝู
ฉินเจิงหันหน้าออกไปมองข้างนอกจนกระทั่งไม่เห็นเงาของทั้งสองจึงหันกลับมา บังเอิญสบกับสายตาแก่ชราของจงหย่วโหวที่มองมาพอดี เขากะพริบตาปริบๆ และไม่ได้กล่าวสิ่งใด
จงหย่วโหวแค่นเสียงในลำคอและไม่ได้กล่าวอะไรเช่นกัน
ทั้งสองจึงดื่มเหล้าต่อ
เซี่ยม่อหานเดินอยู่เบื้องหน้าส่วนเซี่ยฟางหวาเดินตามอยู่ข้างหลัง เมื่อคนรับใช้ของจวนจงหย่วโหวเห็นทั้งสองต่างแสดงความเคารพต่อเซี่ยม่อหานอย่างพร้อมเพียงกัน ทั้งยังรู้ว่าวันนี้ฉินเจิงพาแม่นางทิงอินมาที่นี่จึงพากันสำรวจเซี่ยฟางหวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลังเดินไปอีกระยะหนึ่งรอบข้างก็ไร้ผู้คน เซี่ยม่อหานจึงหันมามองเซี่ยฟางหวาพลางเอ่ยเรียก “น้องพี่!”
เซี่ยฟางหวาคลี่ยิ้มกว้างพลางเอ่ยเรียกเช่นกัน “ท่านพี่!”
เซี่ยม่อหานมองรอยยิ้มของนางพลางถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มว่า “เดิมทีก็จากไปถึงแปดปี ในที่สุดเจ้าก็จะได้กลับเมืองหลวงแล้วจึงควรกลับมาที่บ้านถึงจะถูก แต่กลับบังเอิญโดนฉินเจิงชิงตัวเจ้าไปเสียได้ บัดนี้เขาพาคณะตระกูลเฉียนมาคืน เจ้ากลับต้องอยู่ที่จวนอิงชินอ๋อง นี่ช่างเป็น…มิรู้ว่าเวลานั้นหากเจ้าไม่ตามคณะตระกูลเฉียนเข้าเมืองหลวงมาอาจจะยังดีกว่า”
เซี่ยฟางหวาหัวเราะกลับไม่ได้คิดจะออกจากจวนอิงชินอ๋อง “บัดนี้อยู่ที่จวนอิงชินอ๋องก็ไม่เห็นจะเป็นไร ถึงอย่างไรข้าก็กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว จวนอิงชินอ๋องสำหรับราชสำนักหนานฉินนั้นมีสถานะพิเศษ สามารถสืบข่าวที่จวนจงหย่วโหวสืบไม่ได้มากมาย ท่านพี่อย่ากังวลใจกับเรื่องนี้เลย”
“ข้าไม่ได้กังวลใจกับเรื่องนี้ แต่เป็นความคิดที่แอบแฝงของฉินเจิงต่างหาก” เซี่ยม่อหานกล่าว
เซี่ยฟางหวาเงียบลง
เซี่ยม่อหานจ้องมองเซี่ยฟางหวา “น้องพี่ เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง เจ้าเองก็รู้สึกใช่หรือไม่ว่าฉินเจิงมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่? หากกล่าวว่าเขาจะฉวยโอกาสในตอนนี้เพื่อทำลายจวนจงหย่วโหว ในฐานะที่ข้ารู้จักเขามาหลายปี กล้ารับรองว่าเขาต้องไม่ทำอย่างแน่นอน แต่กลับบังเอิญมาชิงตัวเจ้าไปเช่นนี้ นับตั้งแต่เจ้าใช้ฐานะของหวางอิ๋นกลับเข้าเมืองหลวงจนถึงบัดนี้ก็เป็นเวลานานแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เจ้าว่าเขาไม่มีจุดมุ่งหมายอื่นจริงหรือ”
เซี่ยฟางหวาราวกับไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดี
เซี่ยม่อหานมองและพิจารณาสีหน้าของนาง น้องสาวผู้นี้มีใบหน้าสุขุมหนักแน่นทั้งยังซ่อนความคิดเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน มองแล้วดูสงบใจเย็นยิ่งนัก เขาจึงไม่สามารถอ่านได้ว่าในใจนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แม้แต่ต่อหน้าเขาผู้เป็นพี่ชายก็เป็นเช่นนี้ แล้วต่อหน้าผู้อื่นล่ะ นางไม่รู้หรือว่านางที่เป็นเช่นนี้นั้นพิเศษ หรืออาจจะเป็นเหตุผลนี้ที่ทำให้ฉินเจิงรู้สึกถูกอกถูกใจนาง?
“เจ้าคิดอย่างไร กว่าจะได้พบกันนั้นช่างยากเย็น ฉะนั้นเจ้าต้องพูดกับข้า ข้าจะได้รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร” เซี่ยม่อหานใช้น้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ไม่อยู่แล้ว ท่านปู่ก็แก่มากแล้ว ข้าปกป้องตระกูลและจวนจงหย่งโหวเพียงผู้เดียวไม่ได้ จึงต้องให้เจ้าออกไปทนรับความยากลำบากนานหลายปี พี่ยังไม่ได้เป็นคนไร้ประโยชน์ ฉะนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้คนเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เข้าแล้วจริงๆ”
เซี่ยฟางหวาฟังจบก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ท่านพี่อย่าคิดมากเลย ข้าเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร”
“อยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ เจ้าอยู่ข้างกายเขาหลายวันแล้ว ด้วยความฉลาดของเจ้าต้องสามารถเดาได้แน่ว่าเขาคิดอะไรอยู่” เซี่ยม่อหานเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ฉินเจิงเคยเข้าไปในห้องเก็บของเล็กของสวนไห่ถังให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงบางเบา
ทันใดนั้นสีหน้าของเซี่ยม่อหานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ท่านพี่ ท่านจำได้หรือไม่ว่าเข้าไปในสวนไห่ถังเมื่อใด ได้สังเกตหรือไม่ว่ามีคนเข้าไปในห้องเก็บของเล็ก” เซี่ยฟางหวาเอ่ยถาม
เซี่ยม่อหานครุ่นคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ส่ายหน้า “เจ้าไม่อยู่บ้านนานหลายปี ข้าก็เข้าไปที่สวนไห่ถังทุกเดือน สาเหตุเป็นเพราะอยากให้คนในจวนรู้สึกว่าเจ้ายังอยู่ที่สวนไห่ถัง ส่วนเหตุผลอีกประการเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้า ด้วยเหตุนี้เรื่องที่ฉินเจิงเคยเจ้าไปในสวนไห่ถังข้าจึงไม่เคยทราบเลยแม้แต่น้อย ห้องเก็บของเล็กของเจ้าอยู่ในทางเดินข้างหลัง ข้าก็ไม่เคยเข้าไปตรวจสอบจึงไม่เคยรู้เลย”
เซี่ยฟางหวานวดหน้าผากพลางคิดว่าการกระทำเยี่ยงขโมยของฉินเจิงนั้นช่างล้ำเลิศจริงๆ
“มิน่าล่ะทุกครั้งที่พวกเยี่ยนถิงกล่าวถึงสวนดอกไม้ของจวนต่างๆ มักจะมุ่งตรงมาที่สวนไห่ถังของจวนเรา แต่เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเลยแม้แต่น้อย ที่แท้ก็เคยเห็นมาแล้วนี่เอง แม้แต่ห้องเก็บของเล็กของเจ้าก็เข้าไปแล้ว” เซี่ยม่อหานโกรธเล็กน้อย “เมื่อก่อนข้าคิดมาตลอดว่าถึงแม้พฤติกรรมของเขาจะไม่ค่อยเคารพกฎเกณฑ์ แต่ก็น่าจะรู้เรื่องข้อห้ามของห้องนอนสตรี ผู้ใดจะไปรู้ว่าเขา…”
“ท่านพี่อย่าโกรธเลย ท่านคิดถึงจุดนี้ดีกว่าว่าเป็นเพราะเขาอยากเห็นต้นไห่ถังจริงๆ เลยเข้าไปในห้องของข้าใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเซี่ยม่อหาน เขาแสดงออกชัดเจนว่าโกรธ แน่นอนว่าย่อมไม่มีพี่ชายคนใดอยากได้ยินว่ามีบุรุษหน้าไหนก็ไม่รู้แอบเข้าไปในห้องน้องสาวของตัวเองตามใจชอบโดยที่เขาไม่รู้เรื่อง
เซี่ยม่อหานคลายความโมโหลง “เจ้าจะบอกว่า…”
“ยังไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าเขารู้สิ่งใด” เซี่ยฟางหวาถอนหายใจ
สีหน้าของเซี่ยม่อหานเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยความหนักแน่น “หากเขารู้ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในจวน เกรงว่าฐานะของเจ้าในตอนนี้เขาก็คงรู้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ก็คงอธิบายเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้”
เซี่ยฟางหวาเงียบลงอีกครั้ง
“เขากำลังคิดจะทำสิ่งใดอยู่กันแน่” เซี่ยม่อหานร้อนรน “หากเขารู้อยู่แล้ว ที่ขังเจ้าเอาไว้ในจวนอิงชินอ๋องเช่นนี้มีจุดประสงค์ใดกันแน่ ไม่อยากให้เจ้ากลับจวนได้? หลังจากนั้นล่ะ? เขาคิดจะทำสิ่งใด”
“หากข้าจะกลับจวนนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก เขาไม่ได้ขังข้าเอาไว้” เซี่ยฟางหวาตอบ
เซี่ยม่อหานควบคุมลมหายใจให้คงที่ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ก็ยังมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ
แม้เซี่ยฟางหวาจะไม่ได้โอ้อวดว่าตนฉลาด แต่นางก็ใช้ชีวิตมาถึงสองชาติแล้วเช่นกัน แต่สำหรับเรื่องฉินเจิง นานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เข้าใจการกระทำของเขาอยู่ดี นางเห็นว่าเซี่ยม่อหานก็คิดไม่ตกเช่นกันจึงเอ่ยขัด “ท่านพี่ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องของข้าก่อน เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีต่อข้า รอดูทีท่าไปก่อนเถอะ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นที่ท่านต้องรู้คือ สิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการจัดการไม่ใช่แค่เพียงจวนจงหย่งโหว แต่เป็นตระกูลเซี่ยทั้งหมด”
เซี่ยม่อหานตกใจ
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าให้เขาแล้วกล่าวยืนยันอีกครั้งว่า “เดิมทีข้าก็ไม่เคยคิดถึง เพียงรู้สึกว่าฝ่าบาทมีใจจะจัดการจวนจงหย่วโหวเท่านั้น แต่เมื่อสองวันก่อนพระชายาอิงชินอ๋องกลับกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง ทำให้ข้ารู้ตัวว่าสิ่งที่ข้าคิดนั้นยังง่ายเกินไป”
“พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวว่าอย่างไร” ถึงอย่างใจเซี่ยม่อหานก็เป็นซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่วโหว จึงปรับอารมณ์คืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว
“นางกล่าวว่า ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ของหนานฉินรวมเข้าด้วยกัน รวมถึงตระกูลชุยแห่งชิงเหอที่นางเกิดมา เกรงว่าจะยังเทียบไม่ได้กับตระกูลเซี่ยเพียงตระกูลเดียว ถ้าหากยังคงสืบทอดต่อไปเช่นนี้ วันหนึ่งคงรักษาไว้ไม่ไหว หนานฉินคงเปลี่ยนราชวงศ์และยุคสมัยเป็นสกุลเซี่ยเสียแล้ว ตระกูลเซี่ยเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่ขัดต่อข้อห้ามของราชสำนัก” เซี่ยฟางหวากล่าว
เซี่ยม่อหานหน้าซีดเผือดไปชั่วขณะหนึ่ง
“ท่านปู่น่าจะรู้เรื่องนี้ดี เพียงแต่หากฝ่าบาทไม่กระชากหน้ากากออกมา เขาก็จะไม่เปิดโปงสิ่งใดเช่นกัน” เซี่ยฟางหวากล่าว
เซี่ยม่อหานเม้มปากพลางพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านปู่คงกลัวว่าข้าจะกังวลใจและคิดมากเกินไปทำให้ร่างกายอ่อนล้า จึงไม่เคยปริปากบอกข้าเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่เจ้าจากไป แปดปีมานี้ท่านปู่ก็ไม่ได้ดูแลตระกูลเซี่ยอีก ราวกับต้องการตัดขาดการไปมาหาสู่ระหว่างตระกูลเซี่ยทุกครอบครัว”
“แต่ถึงแม้จวนจงหย่งโหวจะตัดขาดกับตระกูลเซี่ยทุกครอบครัว ตระกูลเซี่ยก็ยังคงยิ่งใหญ่” เซี่ยฟางหวาว่า
เซี่ยม่อหานถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางกล่าว “ตระกูลเซี่ยสืบทอดมาหลายร้อยหลายพันปี ลูกหลานที่ร่ำรวยก็มีมาก ที่แท้การที่ลูกหลานมีกินมีใช้นั้นก็เป็นเรื่องผิด”
เซี่ยฟางหวาหัวเราะเสียงเย็น “ดังนั้น ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ เหตุใดจึงต้องเลี่ยงด้วย”
“เจ้าหมายถึง?” เซี่ยม่อหานมองนาง
เซี่ยฟางหวากล่าวทีละประโยคอย่างชัดๆ “รวบรวมสายสัมพันธ์ทั้งหมดของตระกูลเซี่ยเข้าด้วยกัน เชือกทั้งหมดก็จะบีบเข้าหากันเอง แน่นอนว่าเชือกเพียงเส้นเดียวตัดง่าย ถ้าอย่างนั้นหากเป็นเชือกหลายพันหลายหมื่นเส้นล่ะ ต้องตัดยากกว่าใช่หรือไม่”
“แม้จะกล่าวเช่นนี้ ราชสำนักจะไม่ยิ่งหวาดกลัวจวนของเราหรือ ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ของตระกูลเซี่ยนั้นไม่ต้องพูดถึง พวกเขาปรารถนาที่จะให้จวนจงหย่งโหวของเราล่มสลายอย่างแรงกล้า จะให้สามัคคีกันได้อย่างไร” เซี่ยม่อหานส่ายหน้าอย่างท้อใจ
“ถึงอย่างไรก็เป็นตระกูลเซี่ยเหมือนกัน หากพวกเขารู้ว่าบนศีรษะของตัวเองมีดาบจ่ออยู่ จะยังมัวแต่แย่งชิงอำนาจกันอีกหรือไม่ ควรที่จะนำดาบเล่มนี้แกว่งคืนกลับไปก่อนมิใช่หรือ” เซี่ยฟางหวาถามกลับ เมื่อเห็นว่าเซี่ยม่อหานไม่กล่าวสิ่งใด นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นและจิตสังหาร “ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อตระกูลเซี่ย เช่นนั้นจะเก็บไว้เพื่อสิ่งใดอีก สู้พวกเราลงมือฆ่าก่อนเป็นการลับมีดมิดีกว่าหรือ!”
ตอนที่ 49-1
ให้ฆ่าคนในครอบครัวเดียวกัน? เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เซี่ยม่อหานชะงักทันทีเมื่อฟังจบ
เซี่ยฟางหวามองเซี่ยม่อหานทั้งที่ภายในดวงตายังแฝงไปด้วยจิตสังหารและความเยือกเย็น นางก้าวออกไปก้าวหนึ่งแล้วกุมมือของเขาไว้พลางกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านพี่ เราจะแพ้ไม่ได้! หากเราพ่ายแพ้ บางทีแม้แต่สุสานของท่านพ่อกับท่านแม่คงจะโดนขุดออกมา ถึงพวกเขาจะกลายเป็นเพียงกระดูกแล้วก็ยังยากที่จะหลุดพ้นจากจุดจบในป่าอันรกร้างได้”
สีหน้าของเซี่ยม่อหานขาวซีดในพริบตาแล้วโพล่งออกมา “น้องพี่!”
“ท่านพี่มิเชื่อหรือ” เซี่ยฟางหวายิ้มด้วยใบหน้านิ่งสงบ “ข้าเองก็เคยมิเชื่อเช่นกัน แต่สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ จะมีสิ่งใดมายืนยันได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าหากมันเกิดขึ้นมาล่ะ ถึงเวลานั้นคงสายเกินไป”
เซี่ยม่อหานกระตุกมุมปากและไม่ได้กล่าวสิ่งใด
“บนโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลัง หากจิตใจเมตตามากเกินไป จะถูกรังแกเอาได้ เช่นนั้นหากไม่อยากถูกรังแก เราก็ทำได้แค่เพียงต้องชิงลงมือก่อน” เซี่ยฟางหวามองไปยังท้องฟ้า “แปดปีก่อนข้าจากไปยังเขาไร้นาม ท่านน่าจะรู้ว่าลูกหลานจากตระกูลสูงศักดิ์ในกลุ่มนั้นไม่ได้มีแค่ข้าผู้เดียว? ขอเพียงท่านได้รู้จักชื่อแซ่ของลูกหลานจากตระกูลสูงศักดิ์เหล่านั้น ล้วนมีทายาทของพวกเขาไม่น้อยเลย”
“เพราะเหตุใด หรือพวกเขาเองก็มีจุดประสงค์เดียวกับเจ้า หรือเป็นเพราะถูกครอบครัวบงการ” เซี่ยม่อหานราวมิอยากเชื่อ
“องครักษ์เงาของราชสำนักนั้นต้องคัดเลือก ตระกูลใดจะกล้าบงการให้ทายาทของตนแฝงเข้าไปที่นั่นโดยไม่คิดถึงชีวิต” เซี่ยฟางหวายิ้มเย็น
“ถ้าอย่างนั้นพวกเขา…” เซี่ยม่อหานมองนาง
“หากไม่ใช่ถูกคนในครอบครัวบีบบังคับ ให้เชื้อสายสูงศักดิ์ต้องไปแทนเด็กกำพร้า ก็ถูกบรรดาแม่เลี้ยง อี๋เหนียง อนุภรรยาและพี่น้องบีบบังคับจนหมดหนางทำให้ต้องเลือกเส้นทางนี้” สายตาของเซี่ยฟางหวาพลันน่ากลัว “ในบรรดาคนเหล่านี้ใครบ้างไม่ใช่คนในครอบครัว ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่สายเลือด แต่แล้วอย่างไรล่ะ คนที่มักจะลงมือกับท่านล้วนแต่เป็นคนกันเองด้วยกันทั้งสิ้น”
เซี่ยม่อหานตกใจจนกล่าวไม่ออกทันที
“ปีนั้น ในผู้ถูกเลือกห้าพันคนมีลูกหลานของชนรุ่นหลังผู้สูงศักดิ์ที่ข้ารู้ทั้งหมดมีประมาณหนึ่งร้อยกว่าคน” เซี่ยฟางหวากล่าวอย่างใจเย็น “หลังมาถึงเขาไร้นาม ในบรรดาคนเหล่านี้ รอบแรกคนที่ฝึกซ้อมจนตายมีมากกว่าครึ่ง รอบสองก็ลดลงอีกครึ่งหนึ่ง รอบที่สามก็ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง… หลังจากออกไปเผชิญกับนรกเก้าชั้นก็เหลืออยู่แค่สิบกว่าคนเท่านั้น”
เซี่ยม่อหานตัวแข็งทื่อ
“ปีที่สามหรือก็คือห้าปีก่อน เขาไร้นามเคยเกิดความวุ่นวายภายในขึ้น เวลานั้นมีผู้คนบาดเจ็บและล้มตายไปจนไม่สามารถคำนวณได้” เซี่ยฟางหวาอธิบายอย่างใจเย็น “เดิมทีบางคนก็ได้กลายเป็นองครักษ์เงาที่ผ่านเกณฑ์แล้วและกำลังรอที่จะได้รับการปลดปล่อยออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ ถึงจะต้องกลายเป็นดาบคร่าชีวิตของราชสำนัก แต่ก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เช่นกัน แต่ยังไม่ทันจะได้ออกไปจากที่นั่นก็เกิดสงครามภายในขึ้น และไม่มีโอกาสได้ออกไปจากหุบเขาแห่งนั้นอีกเลย”
“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน” เซี่ยม่อหานยังตกตะลึงไม่หาย
“ท่านพี่ เรื่องสงครามภายในของเขาไร้นามนั้น ปรมาจารย์สามท่านกับพวกหัวหน้าจะรายงานให้ฮ่องเต้ทราบได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นระยะทางจากม่อเป่ยก็ไกลมากจึงไม่สามารถรายงานทุกเรื่องให้ฮ่องเต้ทราบได้ หากรังลับขององครักษ์แห่งราชสำนักเข้มงวดมากขนาดนั้นจริงๆ ล่ะก็ ข้าจะแฝงเข้าไปได้อย่างไร ผู้อื่นที่มีฐานะไม่ได้ต่ำต้อยเหมือนกันกับข้าจะถูกบีบบังคับให้ต้องเข้าไปได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวาหัวเราะ
เซี่ยม่อหานกลับยิ้มไม่ออกแล้วถามต่อ “หลังจากนั้นล่ะ”
“หลังจากนั้น องครักษ์เงาครึ่งหนึ่งของเขาไร้นามบ้างก็ตาย บาดเจ็บ ที่หนีหนีไป ทั้งยังบาดเจ็บภายในอย่างสาหัส” เซี่ยฟางหวากล่าวหนักแน่น “มิฉะนั้น ท่านคิดว่าต่อให้น้องสาวของท่านมีความสามารถยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แต่จะสามารถทำให้ฟ้าผ่าลงมาที่เขาไร้นามจนวายวอดได้ด้วยตัวตนเดียวหรือ”
เซี่ยม่อหานเม้มปากแน่น
“ท่านพี่ โลกใบนี้พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเสมอแม้ว่าท่านจะไม่อยากให้มันเปลี่ยน” เซี่ยฟางหวามองเขาแล้วกล่าวอย่างตั้งอกตั้งใจ “ท่านเห็นทุกคนในตระกูลเซี่ยเป็นญาติพี่น้อง แต่พวกเขากลับเห็นท่านเป็นเพียงซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหว กี่คนที่คิดจะแย่งชิงตำแหน่งภายภาคหน้าในมือท่านมา ทั้งยังอยากให้ท่านตาย อาการป่วยของท่านไม่ใช่โรคที่มีมาแต่กำเนิด นี่เป็นสิ่งที่ท่านไม่สามารถลืมได้ตลอดชีวิต”
เซี่ยม่อหานมองนางแล้วหลับตาลง ครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้น ความรู้สึกหลากหลายภายในดวงตาคู่นั้นพลันหายไป หลงเหลือไว้เพียงความเข้มแข็ง “น้องพี่กล่าวถูกต้องแล้ว เป็นข้าที่มองโลกแคบเกินไป”
เซี่ยฟางหวายิ้มปลอบใจ เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าท่านพี่ไม่เข้าใจ เพียงแต่ไม่เด็ดขาดเท่านั้นเอง
“ในเมื่อพวกเราจะลงมือก่อน เจ้าคิดไว้ดีแล้วหรือยังว่าจะทำอย่างไร” เซี่ยม่อหานเอ่ยถามเสียงเบา
“ข้าได้สั่งให้คนไปตรวจสอบทั้งคนและทรัพย์สินของตระกูลเซี่ยทั้งหมดแล้ว ก่อนคืนส่งท้ายปีเก่าน่าจะทราบผล ถึงเวลานั้นค่อยดูสถานการณ์แล้วตัดสินใจอีกที” เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่ดังมาจากหัวมุมและกำลังเดินมาทางนี้จึงตอบกลับเสียงเบา
เซี่ยม่อหานพยักหน้าแล้วไม่ได้ถามต่อ กลับตรงไปดูที่หัวมุม
ไม่นานซื่อซูก็เดินนำหัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่นแห่งจวนอิงชินอ๋องมาทางนี้ เมื่อเห็นทั้งสอง หัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่นก็งุนงงแล้วเผลอเรียกนางออกมา “แม่นางทิงอิน?”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
สี่ซุ่นมองนางด้วยความแปลกใจแล้วก็หันไปมองเซี่ยม่อหานด้วยความสงสัย
“ท่านปู่ยึดตัวคุณชายรองเจิงไว้เพื่อดื่มเหล้า ข้ากำชับกับห้องครัวไว้แล้วว่าให้ทำอาหารมาเพิ่มแต่กลับยังไม่ยกมาเสียทีจึงจะไปดูสักหน่อย คุณชายรองเจิงจึงสั่งให้แม่นางทิงอินมาช่วยข้ายกอาหาร” เซี่ยม่อหานยิ้ม
หัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุนพลันกระจ่างแจ้ง สีหน้าแห่งความสงสัยหายไปในทันทีแล้วโค้งตัวทำความเคารพเซี่ยม่อหาน
เซี่ยม่อหานโบกมือพลางถาม “ลุงสี่ซุ่นทานอาหารเที่ยงหรือยัง”
“ฟ้ายังสว่างอยู่ ที่จวนก็เตรียมอาหารไว้แล้ว เสร็จจากที่นี่ข้าจะกลับไปกินที่จวนก็ยังไม่สาย” สี่ซุ่นรีบตอบ
“ท้องฟ้าค่อนไปทางบ่ายแล้ว ลุงสี่ซุ่นทานอาหารที่นี่แล้วค่อยกลับเถอะ!” เซี่ยม่อหานหันไปกล่าวกับซื่อซู “เจ้าพาลุงสี่ซุ่นไปทานอาหารที่สวนจือหลันของพวกเราเถอะ! ประเดี๋ยวข้าไปห้องครัวแล้วจะสั่งให้ป้าฝูนำอาหารไปให้พวกเจ้า”
“ไม่รบกวนเซี่ยซื่อจื่อดีกว่า” หัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่นรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ได้รบกวนเลย ลุงสี่ซุ่นไม่ต้องเกรงใจไป คุณชายรองเจิงของเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับข้ามานานหลายปี วันนี้เขาก็อยู่ที่นี่ด้วย ท่านลำบากมาส่งคนของคณะตระกูลเฉียนให้ข้าแล้วก็ต้องเลี้ยงอาหารเป็นธรรมดา” เซี่ยม่อหานยิ้ม
“นี่…” หัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่นลังเล
“ท่านอย่าลังเลยเลย ในเรือนของซื่อจื่อตระกูลเรามีเหล้าไผ่เขียวอยู่ ข้าอยากดื่มมานานแล้ว ท่านช่วยให้โอกาสกับผู้เยาว์ทีเถอะ เพราะเวลาทั่วไปซื่อจื่อไม่ยอมให้ข้าหยิบมาดื่ม” ซื่อซูยื่นมือไปดึงตัวหัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่น
“วันนี้ข้าอนุญาตให้เจ้าดื่มได้ ไปเถอะ!” เซี่ยม่อหานหัวเราะ
ซื่อซูดีใจใหญ่
หัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่นเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้จึงเดินไปยังสวนจือหลันอย่างไม่ค่อยสบายใจโดยมีซื่อซูพาตัวไป
เซี่ยม่อหานกับเซี่ยฟางหวาเห็นว่าทั้งสองจากไปไกลแล้วจึงมองหน้ากันและไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก จากนั้นก็เดินไปยังห้องครัว
เมื่อมาถึงประตูห้องครัว ป้าฝูก็ยกถาดรองจานสองถาดออกมาพอดี เมื่อเห็นทั้งคู่ก็ตกใจ หลังจากนั้นก็มองเซี่ยฟางหวาแล้วลองเอ่ยเรียกนางเสียงเบา “คุณหนู?”
“ป้าฝู!” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“คุณหนูกลับมาแล้ว หลายวันนี้นายท่านผู้เฒ่ากับซื่อจื่อต่างไม่เคยนอนหลับสนิทเลย” ป้าฝูพลันยิ้ม
เซี่ยม่อหานรับจานในมือของนางมา จานหนึ่งถือไว้เอง ส่วนอีกจานก็ส่งให้เซี่ยฟางหวาพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “บัดนี้น้องสาวยังคงเป็นแม่นางทิงอินที่อยู่ข้างกายคุณชายรองเจิง และจะยังไม่กลับมาที่จวนชั่วคราว” พูดจบก็เห็นว่าป้าฝูมองเซี่ยฟางหวาอย่างร้อนใจ จึงสั่งว่า “รบกวนท่านทำอาหารอีกสองสามจานไปส่งให้กับซื่อซูที่สวนจือหลันด้วย ข้าให้หัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่นแห่งจวนอิงชินอ๋องอยู่ทานอาหารที่นี่”
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปทำเดี๋ยวนี้!” ป้าฝูเองก็ไม่ได้ถามมากความจากนั้นก็หันกลับไปยังห้องครัว
เซี่ยม่อหานกับเซี่ยฟางหวาก็ยกอาหารกลับไปยังห้องโถงหรงฝู
ท่ามกลางความเงียบสงบไร้ผู้คน เซี่ยม่อหานก็นึกขึ้นได้ว่าอีกครึ่งเดือนก็ปีใหม่แล้วและปีนี้เซี่ยฟางหวาจำเป็นต้องไปร่วมงานเลี้ยงในวัง ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “ก่อนจะถึงงานเลี้ยง เจ้าต้องหาวิธีที่จะปลีกตัวออกมา”
“ท่านพี่วางใจเถอะ! วันนั้นข้าจะต้องกลับจวนและไปร่วมงานเลี้ยงกับท่าน” เซี่ยฟางหวากล่าว
เซี่ยม่อหานพยักหน้าแล้วไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก
ตอนที่ 49-2 สัญญา
ทั้งสองกลับมาถึงห้องโถงหรงฝู ขณะกำลังจะข้ามธรณีประตูเข้าไป เสียงของฉินเจิงก็ดังลอดออกมาก่อน “พี่จื่อกุย ในที่สุดท่านก็พาทิงอินกลับมาคืนข้าโดยไม่บุบสลาย แม้จะช้าไปสักหน่อย แต่ข้าให้อภัยท่าน”
เซี่ยม่อหานเข้ามาในห้องพลางยิ้มกล่าว “ดูเหมือนว่าไม่มีอาหารจะไม่สนุก ท่านปู่กับน้องฉินเจิงจึงดื่มไปน้อยมาก!”
“รอท่านอยู่อย่างไรล่ะ” ฉินเจิงกล่าว
“เด็กคนนี้นั่งไม่ติดคล้ายกับมีเข็มทิ่มแทงบนเก้าอี้ หากข้าไม่ขวางเอาไว้ คงรีบไปตามหาพวกเจ้าตั้งนานแล้ว ดูเอาเถอะ หญิงรับใช้เพียงคนเดียวยังกลัวว่าจะหนีไป” จงหย่งโหวแค่นเสียงกล่าว
ฉินเจิงไม่ได้รู้สึกว่าเกินไปพลางมองเซี่ยฟางหวาที่เข้ามาในห้องแล้วกล่าวด้วยท่าทางสมเหตุสมผลว่า “ทิงอินเป็นของล้ำค่าที่ข้าเก็บได้ แน่นอนว่าต้องดูแลให้ดีไม่ให้หายไป มิฉะนั้นถึงเวลานั้นที่ข้างกายข้าไม่มีผู้ใดเหลืออยู่แล้ว จะไปร้องไห้กับใครได้”
จงหย่งโหวอึ้งแล้วถลึงตามองเขา “ในเมื่อคนก็กลับมาแล้ว อาหารก็มาแล้ว ครั้งนี้เจ้าควรสงบจิตใจลงแล้วดื่มเหล้าได้แล้วใช่หรือไม่”
“แน่นอน!” ฉินเจิงพยักหน้าแล้วขยิบตาใส่เซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะวางอาหารลงแล้วยกกาเหล้าขึ้นมารินให้เขาจนเต็มแก้ว
นัยน์ตาของฉินเจิงพลันวูบไหวเล็กน้อย แล้วยกมือยันหน้าผาก “ทิงอิน เจ้าไม่ควรซื่อเช่นนี้ พี่จื่อกุยกับนายท่านผู้เฒ่ากล่าวสิ่งใดเจ้าก็เชื่อสิ่งนั้น ข้าดื่มเหล้าไปห้าถึงหกแก้วแล้ว หากดื่มต่อไป เกรงว่าวันนี้คงต้องอยู่ที่จวนจงหย่งโหวเพราะเดินกลับไม่ไหวแล้ว”
“เดินไม่ไหวก็อยู่ที่นี่!” จงหย่วโหวกล่าว
“นั่นสิ! หายากนักที่เจ้าจะมาทานอาหารที่นี่ ไม่ใช่ตระกูลใดก็ได้รับการให้เกียรติเช่นนี้จากคุณชายรองเจิงนะ” เซี่ยม่อหานกล่าวติดตลก
ฉินเจิงกลอกตาแล้วกล่าวกับเซี่ยม่อหานว่า “ท่านหายไปนานขนาดนี้ต้องดื่มสามแก้ว!”
“ได้!” เซี่ยม่อหานไม่ปฏิเสธ
เซี่ยฟางหวานั่งลงแล้วทานอาหารอย่างช้าๆ
ผู้เฒ่าและเด็กหนุ่มสามคนต่างชนแก้วพลางพูดคุยกันอย่างเข้ากันได้ดี ทั้งยังดื่มอย่างมีความสุข
หลังทานอาหารเสร็จ จงหย่งโหวก็ดื่มจนเมา แม้วาจาจะไม่คล่องแคล่วเช่นเดิม แต่คิดไม่ถึงว่าจะยังเอ่ยไล่อย่างมีสติได้ “แก่แล้ว แค่เหล้าไม่กี่แก้วก็เมาเสียแล้ว คิดถึงตอนสมัยหนุ่มๆ เหลือเกิน แม้จะดื่มเหล้าขาวจากไซ่เป่ยห้าชั่งก็ยังสามารถขี่ม้าไปสู้รบได้ บัดนี้กลับทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว พวกเจ้าอยากทำสิ่งใดก็ไปทำเถอะ ข้าจะกลับไปนอนแล้ว”
“วันนี้น้องฉินเจิงเองก็ไม่ต้องกลับจวนแล้วพักที่สวนจือหลันของข้าเถอะ!” เซี่ยม่อหานหันไปมองฉินเจิง
ฉินเจิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพลางโบกมือ แล้วกล่าวด้วยท่าทีเมามายเล็กน้อย “ไม่ต้อง แม้ข้าจะดื่มไปมาก แต่ทิงอินไม่ได้ดื่มเลยแม้แต่น้อย พวกเราจะกลับจวน แม้สวนจือหลันของท่านจะงดงาม แต่ก็สู้เตียงที่นอนหลับอย่างสบายของข้าไม่ได้”
“ถึงอย่างไรก็จะกลับให้ได้หรือ?” เซี่ยม่อหานมองท้องฟ้า
ฉินเจิงส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะจัดรถไปส่งเจ้า!” เซี่ยม่อหานกล่าว
“ไม่ต้อง! แค่ถนนไม่กี่สายเท่านั้นเอง” ฉินเจิงปัดมือแล้วเดินออกไปจากห้องโถงหรงฝู
เซี่ยม่อหานเห็นว่าแม้ฉินเจิงจะเมา แต่ก็ยังมีท่วงท่าการเดินที่มั่นคง ไม่โซซัดโซเซ จึงไม่ดึงดันไปมากกว่านี้ เขาจึงออกมาส่งฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาออกจากจวน
เมื่อมาถึงประตูจวนจงหย่วโหว ฉินเจิงก็แสดงท่าทางบอกให้เซี่ยม่อหานหยุดแล้วพาเซี่ยฟางหวากลับไป
เซี่ยม่อหานยืนตรงประตูมองสองทั้งสองจนเดินจากไปไกล จากนั้นจึงละสายตาออกมาแล้วกลับเข้าจวน
หลังเดินไปได้เพียงถนนเส้นเดียว จู่ๆ ฉินเจิงก็หยุดเดินแล้วกล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ข้าเดินไม่ไหวแล้ว”
เซี่ยฟางหวาถลึงตามองเขา เมื่อครู่ท่านพี่บอกว่าจะจัดรถมาส่งเขาก็ไม่ยอม บัดนี้กลับกล่าวกับนางว่าเดินไม่ไหว? มันสายเกินไปแล้ว!
“เจ้าพยุงข้าหน่อย” ฉินเจิงเอ่ยขอ
เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าหนีอย่างไม่สนใจ
ทันใดนั้นฉินเจิงก็ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นแล้วกล่าวว่า “ข้าเดินไม่ไหวจริงๆ ถ้าเจ้าไม่พยุงข้า ข้าก็จะนั่งอยู่ที่นี่ล่ะ”
เซี่ยฟางหวาไม่คิดว่าคุณชายแห่งจวนอิงชินอ๋องผู้สง่าผ่าเผยจะนั่งลงบนพื้นถนนอย่างที่กล่าวเอาไว้ กลางวันในฤดูหนาวนั้นแสนสั้น แม้จะอยู่ที่จวนจงหย่งโหวเพียงประมาณสองชั่วยาม บัดนี้พลบค่ำก็ใกล้มาถึงแล้ว แม้ผู้คนบนถนนจะน้อยมากแต่เขาก็ไม่ได้คำนึงถึงฐานะของตนเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่กลัวว่าหากมีคนนำไปพูดต่อจะถูกหัวเราะเยาะ
ฉินเจิงมองนางตาปริบๆ
เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขาอยู่นาน เห็นว่าเขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะนั่งบนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเมามายพร่ามัว หากไม่ใช่เพราะดื่มจนเมาแล้วจะเป็นสิ่งใดไปได้ นางรู้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่มักจะดื่มเหล้าจนขาดสติ แต่ด้วยลักษณะเช่นนี้ของเขาแม้จะไม่ขาดสติ แต่ก็ทำให้นางหมดคำจะกล่าว
ผู้คนที่ผ่านมามองมายังทั้งสองด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นฉินเจิง แต่ก็ไม่ได้เข้ามาเอ่ยซักถาม
เซี่ยฟางหวาไม่อยากอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้เพื่อให้คนมอง จึงได้แต่ยื่นมือไปหาเขา
ฉินเจิงยื่นมือไปจับด้วยความดีใจแล้วลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่วจากนั้นก็ยิ้มกว้าง “ข้ารู้ว่าเจ้าทำเป็นไม่สนใจข้าไม่ได้”
เซี่ยฟางหวามองหน้าเขาหมายจะชักมืออกแต่กลับถูกเขากุมไว้แน่น
นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์หนานฉินมาและค่อยๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจนถึงบัดนี้ ประเพณีพื้นบ้านและบ้านเมืองเกิดขึ้นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับทหารและการสร้างผลงานอันล้ำเลิศ แม้ครอบครัวขุนนางและตระกูลตำแหน่งสูงศักดิ์จะสั่งสอนเรื่องชายหญิงไม่ควรโดนมือกันแต่ก็ไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายของกลุ่มชนรุ่นหลังผู้สูงศักดิ์มักจะโอ้อวดและใช้ชีวิตตามใจตัวเองทั้งในเรือนและบนถนน และมักจะมีเรื่องไร้สาระกระจายออกมา อย่างเช่นเรื่องที่หลูเสวี่ยอิ๋งแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายชอบฉินเจิง ไม่ว่าฉินเจิงจะปรากฏตัวขึ้นที่ใด ก็มักจะเห็นนางอยู่ตรงนั้นด้วยเสมอ เพียงแต่ฉินเจิงไม่ได้ชอบนางจึงก่อให้เกิดผลตามมาที่ว่าเขาผลักไสนางให้แต่งงานกับผู้อื่น แต่ถ้าหากฉินเจิงชอบ ผลลัพธ์ก็จะแตกต่างออกไป เรียกว่าเป็นเรื่องประโลมโลกก็ว่าได้
บัดนี้ ฉินเจิงร้องขอเช่นนี้ สำหรับเซี่ยฟางหวาแล้วรู้สึกว่าเกินไป แต่เป็นเพราะเขาเมา อีกทั้งนางก็ใช้ชีวิตที่เขาไร้นามมาถึงแปดปี นางไม่ได้เป็นคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวผู้มีมารยาทสตรีและไม่คบค้าสมาคมกับใครในสมัยนั้นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกว่าการที่กุมมือกับใครจะทำให้เกิดเรื่องเสียหายอีก
ผู้คนที่ผ่านมาต่างยิ้มอย่างเข้าใจและไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอีก ถึงอย่างไรเรื่องที่คุณชายรองเจิงโปรดปรานหญิงรับใช้ทิงอินก็รู้โดยทั่วกันนานแล้ว บัดนี้จะเดินจูงมือบนถนนเช่นนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ไม่จริงจังของชายหญิงเท่านั้น
ทั้งสองจูงมือกันอย่างนั้นจนในที่สุดก็มาถึงจวนอิงชินอ๋อง
หากแต่บังเอิญพบอิงชินอ๋องที่กลับมาถึงจวนพอดี เมื่อเขาเห็นมือของทั้งสองที่กำลังกอบกุมกันก็ตีหน้าขรึมทันทีแล้วตำหนิออกมา “ฉินเจิง ดูสภาพของเจ้าซิว่าเหมือนอะไรกัน!”
“ท่านพ่อ!” ฉินเจิงตะโกนเรียกอย่างเชื่องช้า
“เจ้าไปดื่มเหล้าที่ใดมาอีกแล้ว” อิงชินอ๋องได้กลิ่นเหล้าคลุ้งออกมาจากตัวของเขาจึงเอ่ยถามอย่างไม่ใจดี
“จวนจงหย่งโหว!” ดูเหมือนฉินเจิงจะดื่มจนเมาจริงๆ เมื่ออิงชินอ๋องเอ่ยถามเขาก็ตอบอย่างตั้งใจ
“ทีหลังไปจวนจงหย่งโหวให้น้อยลง!” อิงชินอ๋องกล่าว
ฉินเจิงยักคิ้วพลางสะบัดมือออกจากมือของเซี่ยฟางหวา จากนั้นก็ก้าวออกไปข้างหน้าแล้ววางแขนลงบนไหล่ของอิงชินอ๋อง เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบ “ท่านพ่อ ข้ารู้ความลับของท่าน”
“เจ้าพูดสิ่งใด” ร่างของอิงชินอ๋องนิ่งค้างราวกับนานแล้วหรือไม่เคยเลยสักครั้งที่ฉินเจิงจะเข้ามาใกล้เช่นนี้
“ข้าบอกว่าข้ารู้ความลับของท่าน” ฉินเจิงกล่าวอีกครั้ง
อิงชินอ๋องผินหน้ามองเขา “ในเมื่อเมาแล้วก็รีบกลับไปที่เรือนของเจ้า อย่ามาพูดจาเหลวไหลเช่นนี้”
ฉินเจิงยิ้มบางแล้วกล่าวเสียงเบา “คนที่ท่านชอบไม่ใช่แม่ของข้า ทั้งยังไม่ใช่ชายารองหรืออนุภรรยาคนใด แท้จริงแล้วเป็น…”
“หุบปาก!” อิงชินอ๋องยื่นมือไปปิดปากของเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าย่ำแย่
ฉินเจิงกะพริบตาปริบๆ ยอมเงียบปากไป
“เจ้าไปส่งเขา!” อิงชินอ๋องหันมามองเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวานวดข้อมือพลางพยักหน้า เดิมทีหากไม่ได้เป็นเพราะบังเอิญพบเขาผู้เป็นบิดา นางก็ต้องพาฉินเจิงไปส่งอยู่แล้ว
“ถ้าแม่เจ้ารู้เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ เกรงว่าข้าจะถลกหนังของเจ้าออกมา ดูสิว่าในจวนแห่งนี้จะยังมีผู้ใดปกป้องเจ้าอีก” อิงชินอ๋องเตือน เมื่อเห็นว่าฉินเจิงมองมาราวกับผู้บริสุทธิ์และแน่ใจว่าเขาจะไม่กล่าวไร้สาระอีกจึงปล่อยมือ จากนั้นก็กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ในเมื่อพระชายากับคุณชายรองล้วนชอบเจ้า และเชื่อว่าเจ้าจะดูแลคุณชายรองได้ดี ข้าก็จะไม่สืบหาประวัติของเจ้า ขอเพียงเจ้าไม่ได้ทำความผิดก็สามารถอยู่ที่จวนแห่งนี้ต่อไปได้ หากไม่ทำตามก็จงระวังตัวไว้ให้ดี”
เซี่ยฟางหวาก้มหน้าอย่างสงบ ดูแล้วมีมารยาทอย่างยิ่ง
“ดูแลเขาให้ดี สิ่งที่เขากล่าวเมื่อครู่ ห้ามหลุดออกไปแม้แต่คำเดียว” อิงชินอ๋องกล่าวอีก
เซี่ยฟางหวามองเขาอย่างไร้เดียงสาราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่เขากล่าว
อิงชินอ๋องเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางพูดไม่ได้ จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าตรงไหล่ที่ถูกฉินเจิงวางแขนกดไว้ให้เรียบร้อยแล้วเดินไปยังห้องโถง
สายตาของฉินเจิงจับจ้องบนแผ่นหลังของอิงชินอ๋องตลอดเวลา จังหวะการเดินของเขาเร็วขึ้นเล็กน้อยแม้ขาจะไม่มั่นคง ฉินเจิงมองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งไม่เห็นเงาของอิงชินอ๋องแล้ว
เซี่ยฟางหวาก็มองเขาอยู่เช่นกัน พลางคิดว่าฉินเจิงเมาจริงๆ หรือไม่ได้เมามาตั้งแต่แรกกันแน่
ขณะที่นางกำลังคิดฉินเจิงพลันหันกลับมาแล้วกุมมือนางเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่มีเรี่ยวแรงว่า “เดินต่อเถอะ!”
เซี่ยฟางหวาสะบัดมือออกจากเขาอย่างรุนแรง
ฉินเจิงโซเซราวกับยืนอย่างไม่มั่นคง ทันใดนั้นก็ล้มลงไปกับพื้นจนเกิดเสียง ‘โครม!’
เซี่ยฟางหวาชะงักไปทันที
คนเฝ้าประตูตกใจจนหน้าถอดสีแล้ววิ่งกรูเข้ามาอย่างตื่นตระหนก “คุณชายรอง?”
ตอนที่ 49-3 สัญญา
ฉินเจิงนอนกุมศีรษะอยู่บนพื้น จากนั้นก็ครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด “เจ็บจัง!”
“คุณชายรอง ท่านเจ็บที่ใดขอรับ” คนหนึ่งรีบประคองเขาขึ้นมาพลางถามอย่างเคร่งเครียด
“หัว ข้าเจ็บ!” ฉินเจิงกล่าว
“แย่แล้ว ศีรษะของคุณชายรองเกิดรอยนูนขึ้นมา” คนเดิมยื่นมือไปลูบศีรษะของฉินเจิงแล้วตกใจจนหน้าซีดในทันที
“จะทำอย่างไรดี” อีกคนหนึ่งเอ่ยถาม
“จะทำอย่างไรได้ รีบไปรายงานพระชายาเร็วเข้า แล้วก็รีบไปตามหมอหลวงมาดูอาการคุณชายรอง!” คนเดิมรีบกล่าว
ทันใดนั้นคนหนึ่งก็รีบวิ่งไปยังห้องโถง ส่วนอีกคนก็รีบออกจากจวนอิงชินอ๋องเพื่อไปตามหมอหลวงทันที
ฉินเจิงหลับตาแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน ท่าทางราวกับเจ็บนักหนา
เซี่ยฟางหวามองดูอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้ตัวว่าตนออกแรงไปมากเพียงใด ถึงแม้ฉินเจิงจะล้มลงไป แต่ก็ไม่ถึงขนาดกับเกิดบาดแผลได้ แต่เมื่อเห็นท่าทางของเขา อีกทั้งสีหน้าของทุกคนราวกับเกิดเรื่องใหญ่ นางจึงได้แต่เดินเข้าไปแล้วดึงคนที่ล้อมฉินเจิงออกจากนั้นก็ทรุดตัวลงลูบศีรษะของเขา
ฉินเจิงส่งเสียงร้องออกมาเมื่อเซี่ยฟางหวาสัมผัสโดนศีรษะของตน
เซี่ยฟางหวามั่นใจว่าสัมผัสโดนรอยบวมขนาดใหญ่บนศีรษะ พอนางกด ฉินเจิงก็ส่งเสียงร้องออกมา นางขมวดคิ้วแล้วคว้ามือของเขามาตรวจชีพจรดู เมื่อเห็นว่าชีพจรปกติ ไม่มีสิ่งใดประหลาดจึงปล่อยมือเขา
ทันใดนั้นฉินเจิงก็ลืมตามองนาง
เซี่ยฟางหวาสบตาเขา แม้เป็นเพียงชั่วพริบตาแต่นัยน์ตาของฉินเจิงก็สุกสว่างเป็นประกาย จากนั้นเขาก็หลับตาลงไปใหม่อีกครั้งแล้วดึงร่างกายของนางเข้ามากอดเอาไว้ พลางบ่นพึมพำอย่างเจ็บปวด “ท่านแม่ ข้าเจ็บ”
เซี่ยฟางหวาหน้าดำทะมึนในทันที
สายตาของคนเฝ้าประตูพลันนิ่งชะงักไป
ขณะเดียวกัน เสียงแห่งความวิตกกังวลทั้งหมดตรงหน้าประตูพลันเงียบลง
เซี่ยฟางหวายื่นมือไปผลักของเขาออกด้วยความโกรธ แต่เขากลับกอดเอาไว้แน่น ไม่มีการขยับเลยแม้น้อย นางโมโหจึงออกแรงมากกว่าเดิม
ครั้งนี้ ศีรษะของฉินเจิงก็วางลงบนไหล่ของนางแทน จากนั้นก็กล่าวขอร้องเสียงต่ำ “ท่านแม่ อย่าผลักข้า ข้าเจ็บจริงๆ”
สีหน้าของเซี่ยฟางหวาเปลี่ยนจากดำเป็นเขียวในทันที
คนเฝ้าประตูนิ่งค้างไม่ขยับแม้แต่น้อยจนคล้ายกลายเป็นขอนไม้ไปแล้ว
เซี่ยฟางหวาชะงักมือไปชั่วขณะ ไฟแห่งความโกรธในอกราวกับปะทุออกมา แน่นอนว่าคนที่ดื่มเหล้าจนเมาย่อมไร้เหตุผลจนแม้แต่แม่ก็ตะโกนเรียกออกมาได้ หากให้นางเป็นแม่ของเขาล่ะก็ รอชาติหน้าเถอะ! เซี่ยฟางหวาดึงดันที่จะยื่นมือไปผลักเขาออกด้วยความโกรธ
“แม่นางทิงอิน เจ้าอย่าผลักอีกเลย เกรงว่าคุณชายรองจะสมองกลับไปแล้ว หากเจ้าผลักต่อไปอาจจะยิ่งร้ายแรงกว่านี้ก็เป็นได้” คนหนึ่งรีบกล่าวห้ามเซี่ยฟางหวา
“ใช่แล้ว เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม รอให้พระชายากับหมอหลวงมาก่อนเถอะ!” อีกคนหนึ่งก็รีบกล่าวสมทบ
“ดูเหมือนคุณชายรองจะเจ็บมากจริงๆ ถ้าหากสมองกลับขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร” อีกคนก็กล่าวเช่นกัน
บัดนี้ก็มีอีกหลายคนรีบกล่าวสมทบต่อกัน
เซี่ยฟางหวาได้ยินคำแนะนำตามความคิดของคนเหล่านี้จนไม่ได้ออกแรงผลักเขาอีก
ฉินเจิงแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกตัว มือทั้งสองข้างก็กอดเอวของนางไว้ตลอด ส่วนศีรษะก็หนุนไว้บนไหล่ของนางพลางบ่นพึมพำว่าเจ็บ
สถานการณ์เปลี่ยนเป็นแข็งค้างในทันที
ขณะที่เซี่ยฟางหวาไม่ได้ผลักฉินเจิงออกไปอีกพลันร่างกายก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา เขาหายใจรดใส่นางจนลมหายใจแทรกไปทั่วทุกอณูบนร่างกายจนทำให้เดิมทีใบหน้าที่เขียวคล้ำเพราะความโกรธของนางนั้นค่อยๆ กลายเป็นสีแดงระเรื่อ แม้ท้องฟ้าจะมืดสลัวลงแล้ว ทั้งคนโดยรอบล้วนกลัดกลุ้มจนไม่ได้สังเกตเห็น แต่นางก็รู้สึกได้ว่าใบหูของตนร้อนผ่าวจนคล้ายกับเปลวไฟลุกไหม้อย่างนั้น
“เจิงเอ๋อร์?” น้ำเสียงร้อนใจของพระชายาอิงชินอ๋องดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
ร่างของเซี่ยฟางหวาพลันแข็งทื่อ
เสียงร้องของฉินเจิงที่ตะโกนว่าเจ็บก็ลดลงในทันที
“พระชายา ช้าหน่อยเพคะ ระวังหกล้ม” เสียงของชุนหลันก็ฟังดูแล้วร้อนใจเช่นกัน
“จะมัวช้าอยู่ได้อย่างไร เร็วกว่านี้อีก!” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว ฝีเท้าก็ราวกับเพิ่มความเร็วมากขึ้น
“เมื่อครู่ยังดีอยู่เลย เหตุใดจึงล้มลงได้” เสียงของอิงชินอ๋องก็เจือความร้อนใจเช่นกัน
“จะอะไรก็ช่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องไปดูอาการเขาก่อน ไปตามหมอหลวงหรือยัง รีบไปตามหมอหลวงมา!” พระชายาอิงชินอ๋องเร่ง
“เรียนพระชายา มีคนไปตามแล้วขอรับ!” คนหนึ่งตอบ
เซี่ยฟางหวาฟังเสียงฝีเท้าอันร้อนรนค่อยๆ ดังเข้ามาใกล้ ดูแล้วน่าจะมีประมาณสองสามคนคือ อิงชินอ๋อง พระชายาอิงชินอ๋อง และคนคอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกายอีกสองคน หากนำมามากกว่านี้เกรงว่าจะวุ่นวายเกินไป ทันใดนั้นนางรู้สึกปวดหัวขึ้นมาฉับพลัน
ฉินเจิงกลับยังเหมือนเดิม เขากอดนางเอาไว้พลางตะโกนว่าเจ็บอยู่อย่างนั้น เสียงดังบ้างเบาบ้างต่อเนื่องกันคล้ายน้อยใจเป็นอย่างยิ่ง
เซี่ยฟางหวาคิดอยากตีเขาให้ตาย ยิ่งฝีเท้ายิ่งเข้ามาใกล้ นางก็ไม่มัวพะว้าพะวง รีบออกแรงผลักเขาออกไปอีก
เพียงฝ่ามือสัมผัสโดนเขา เขาก็ร้อง ‘โอ๊ย’ เสียงดังออกมา
“เจิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง อย่าทำให้แม่ตกใจ!” พระชายาอิงชินอ๋องเดินเข้ามาใกล้แล้วโผเข้าหาทันที
มือของเซี่ยฟางหวาชะงักค้างอีกครั้ง
“เจ็บที่ใด รีบให้แม่ดูเร็ว!” พระชายาอิงชินอ๋องทรุดตัวลงมองฉินเจิง เพราะฟ้ามืดจึงมองได้ไม่ชัดเจน เห็นเพียงแค่คนสองคนกำลังกอดกันอยู่ นางแยกออกว่าคนหนึ่งเป็นลูกชายของนาง ส่วนอีกคนคือเซี่ยฟางหวาแต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะถามทั้งคู่ว่าเหตุใดจึงอยู่ในสภาพนี้ ได้แต่จ้องมองฉินเจิงพลางถามอย่างร้อนใจ
“ปวด…หัว…” ฉินเจิงตอบอย่างน้อยใจ หากแต่ศีรษะยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
“ล้มหัวกระแทกรึ?” พระชายาอิงชินอ๋องยื่นมือไปลูบศีรษะของเขา
“อึ่ก…เจ็บ” ฉินเจิงร้องออกมาทันทีที่มือของพระชายาอิงชินอ๋องสัมผัสโดน
“คิดไม่ถึงว่าจะล้มลงจนเกิดรอยบวมใหญ่ขนาดนี้ นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!” พระชายาอิงชินอ๋องตัวสั่นเทิ้มพลางเอ่ยถามเสียงสั่น “ปวดอย่างไร คล้ายกับแตกร้าวหรือไม่”
ฉินเจิงส่งเสียงร้องออกมาแทนคำตอบ
พระชายาอิงชินอ๋องพลันตกตะลึงจนน้ำตาไหลอาบแก้ม จากนั้นก็รีบกล่าวต่อ “หมอหลวงล่ะ เหตุใดหมอหลวงถึงยังไม่มาอีก! ท่านอ๋อง เร็วเข้า รีบส่งคนไปตามหมอหลวงมา!”
“รีบไปตามหมอหลวงอีกครั้ง!” อิงชินอ๋องได้ยินก็ร้อนรนขึ้นมาเช่นกันแล้วรีบออกคำสั่งเร่งด่วน
ผู้คุ้มกันหลายคนวิ่งออกไปยังบ้านของหมอหลวงอีกครั้ง
“นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ใครก็ได้บอกข้าสิ!” อิงชินอ๋องมองพระชายาผู้กำลังร้องห่มร้องไห้ จากนั้นก็มองไปยังฉินเจิงที่กำลังกอดเซี่ยฟางหวาพลางตะโกนว่าเจ็บอยู่ตลอดเวลา ในใจก็ยิ่งรู้สึกสับสนจึงเอ่ยถามอย่างโมโห
อิงชินอ๋องทำให้ผู้คนโดยรอบตกใจกลัวจนไม่กล้าปริปาก
“บอกมา! มีใครรู้บ้างหรือไม่ คุณชายรองล้มลงตรงหน้าประตูได้อย่างไร” อิงชินอ๋องกล่าวอีกครั้งด้วยความโกรธ
คนเฝ้าประตูต่างคุกเข่าลงกับพื้นโดยพร้อมเพียงกัน หนึ่งในนั้นรวบรวมความกล้าแล้วตอบอย่างตัวสั่น “หลังท่านอ๋องจากไป คุณชายรองเจิงก็ต้องการจับมือแม่นางทิงอินหมายจะประคองเพื่อกลับไปยังเรือน ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร อาจเป็นเพราะคว้าพลาด คุณชายรองจึงล้มลงไปกับพื้น…จนกลายเป็นเช่นนี้ขอรับ”
“คว้าพลาด?” อิงชินอ๋องขมวดคิ้ว
“ฟ้ามืดเกินไป ข้าน้อยเองก็มองไม่ชัด…” คนนั้นกล่าว
“ใครมองเห็นชัดเจน บอกมา!” ใบหน้าของอิงชินอ๋องเย็นชา
“ข้า…ข้าน้อยเห็นชัดเจนขอรับ คุณชายรองเจิงจับมือทิงอิน ทิงอินสะบัดมือออกจากคุณชายรองจนยืนไม่มั่นคง จากนั้นก็ล้มลง…” คนหนึ่งกล่าวออกมาอย่างติดอ่าง
“จริงหรือ” อิงชินอ๋องเอ่ยถามด้วยความโกรธ
“ข้าน้อยมั่นใจว่าเห็นชัดเจนขอรับ ไม่กล้าโกหก” คนนั้นตอบอย่างตัวสั่น
“ใครก็ได้ คุมตัวทิงอินไปโบย!” อิงชินอ๋องระเบิดโทสะ
คนหนึ่งได้รับคำสั่งก็มุ่งตรงเข้ามาหมายจะลากตัวเซี่ยฟางหวาไป
“อย่าลากท่านแม่ไป!” ฉินเจิงกล่าวเสียงดัง
คนที่ตรงเข้ามาก็หยุดชะงักอย่างรวดเร็ว
อิงชินอ๋องก็นิ่งชะงัก ส่วนพระชายาอิงชินอ๋องที่กำลังร้องไห้ก็นิ่งชะงักยิ่งกว่า
ชุนหลันตกใจแต่ได้สติขึ้นก่อนจึงรีบกล่าว “คุณชายรอง คนที่ท่านกอดอยู่คือแม่นางทิงอิน พระชายาอยู่ข้างกายท่านนะเพคะ!”
ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอพลางตะโกนว่าเจ็บ ทั้งยังกอดเซี่ยฟางหวาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ชุนหลันเห็นเช่นนี้จึงหันไปมองอิงชินอ๋อง อิงชินอ๋องก็คาดไม่ถึงกับเหตุการณ์นี้จึงหันไปมองพระชายาอิงชินอ๋อง
พระชายาอิงชินอ๋องนิ่งชะงัก หลังจากนั้นพักหนึ่งจึงได้สติกลับมาแล้วยื่นมือไปดึงฉินเจิง “เจิงเอ๋อร์ แม่อยู่นี่”
ศีรษะของฉินเจิงยังคงวางบนไหล่ของเซี่ยฟางหวา ปากก็คอยกระซิบ “เจ็บ…อย่าจับข้า…ท่านแม่”
พระชายาอิงชินอ๋องพลันหยุดมือ หัวใจคล้ายจะแตกสลาย นางนึกถึงเมื่อแปดปีก่อนตอนที่ฉินเจิงหายตัวไปสองวัน เมื่อกลับมาเนื้อตัวก็ถลอกปอกเปิกเต็มไปหมดจนแทบมองไม่ออกว่าเป็นเขา หลังจากเห็นนางแล้วก็หมดสติ มีไข้สูงแล้วพร่ำเพ้อออกมาว่า ‘ท่านแม่ ข้าเจ็บ’ เมื่อห้าปีก่อนเขาโดนหมาบ้าตัวหนึ่งกัดที่แถบชานเมือง เวลานั้นบริเวณน่องถูกกัดจนเหวอะหวะ เขาก็กอดนางเช่นนี้แล้วร้องออกมาว่า ‘ท่านแม่ ข้าเจ็บ’ เช่นกัน และเมื่อสามปีก่อน วันตั้งโลงศพของเต๋อฉือไทเฮาที่โปรดปรานเขาก็เป็นฤดูหนาวเช่นวันนี้ เขาคุกเข่าบนพื้นหิมะข้างโลงศพของไทเฮาถึงสามวันสามคืน ต่อมานางกลัวว่าเขาจะเจ็บขาจึงดึงเขาลุกขึ้นมา เขาเองก็กล่าวออกมาว่า ‘ท่านแม่ ข้าเจ็บ’ เช่นกัน บัดนี้ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้อีกครั้ง หัวใจของนางราวกับถูกเข็มทิ่มแทงอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่ 49-4 สัญญา
“แยกพวกเขาออก!” อิงชินอ๋องออกคำสั่งด้วยความโกรธ
“หยุดนะ! ใครกล้าเข้าไป ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ให้ดี!” พระชายาอิงชินอ๋องผุดยืนขึ้น ใบหน้าที่เปื้อนหยาดน้ำตาแสดงความโกรธออกมาชัดเจน นางหันไปกล่าวกับอิงชินอ๋องว่า “ท่านอ๋อง ท่านไม่เห็นหรือว่าเจิงเอ๋อร์บอกว่าเจ็บ ยังจะให้คนอื่นเข้าไปแยกอีกหรือ ท่านอยากให้เขาตายใช่หรือไม่”
“เจ้าพูดอะไร ข้าจะอยากให้ลูกชายของตัวเองตายได้อย่างไร” อิงชินอ๋องโกรธจนตัวแข็ง
“หลายปีแล้ว ท่านคิดแค่ว่าเขาไม่เชื่อฟัง ไม่เฉลียวฉลาด ไม่กตัญญู ไม่เคารพสิ่งที่พ่อสอน แต่กลับไม่คิดเคยเลยว่ากี่ครั้งแล้วที่เขาต้องหนีเอาชีวิตรอดจนเกือบตาย กี่ครั้งแล้วที่ท่านเกือบจะเสียลูกชายไป” พระชายาอิงชินอ๋องหัวเราะเสียงเย็น
“เจ้ากำลังพูดถึงอะไร” อิงชินอ๋องสีหน้าดุดัน
“ข้ากำลังพูดถึงสิ่งใดน่ะหรือ ข้ากำลังพูดถึงท่านอยู่อย่างไรล่ะ! บัดนี้กำลังรอให้หมอหลวงมาถึง แต่ท่านกลับไม่ได้สนใจเจิงเอ๋อร์ คิดแต่จะลงโทษคนอื่น ในใจของท่านเคยมีลูกชายคนนี้บ้างหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวถ้อยคำรุนแรง “แปดปีก่อน เจิงเอ๋อร์หายไปสองวัน ข้าส่งคนออกไปตามหาถึงสองวัน แต่สองวันนั้นท่านอยู่ที่ใด ท่านอยู่ชุ่ยหงโหลว! เมาไม่ได้สติอยู่ในห้องของหญิงคณิกา! ห้าปีก่อน เจิงเอ๋อร์ถูกหมาที่ชานเมืองกัดจนเกือบจะเสียขาไปข้างหนึ่ง ท่านอยู่ที่ใด ท่านกำลังวุ่นกับการตามหมอหลวงมารักษาลูกชายคนโตของท่าน สามปีก่อน วันตั้งโลงพระศพของเต๋อฉือไทเฮา เจิงเอ๋อร์คอยเฝ้าอยู่ถึงสามวันสามคืนจนป่วยและหมดสติบนถนนขณะส่งพระศพ เวลานั้นท่านทำสิ่งใด ท่านบอกว่าเขาอ่อนแอ ไทเฮารักเขาขนาดนั้น ถนนส่งพระศพสั้นขนาดนี้ยังอดทนไม่ได้ ตลอดหลายปีมานี้ ท่านนอกจากจะเอาแต่ตำหนิเขา ท่านเคยทำสิ่งใดอีกบ้าง”
อิงชินอ๋องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สีหน้าซีดเผือด
“ในใจของท่านมีแต่ลูกชายคนโต มีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นลูกของท่าน เจิงเอ๋อร์ของข้าไม่ได้เรื่อง หากท่านเห็นเขาแล้วขัดตา จะหย่ากันไปก็ได้ ไล่เราสองแม่ลูกออกจากตระกูล ตำแหน่งของท่านใครอยากได้นักก็เอาไป!” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขาด้วยแววตาเย็นชาและสิ้นหวัง
“จื่อชิง เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไรอยู่ หยุดพูดเดี๋ยวนี้!” อิงชินอ๋องโกรธและรับไม่ได้กับคำพูดของนาง “ข้าไม่เคยเห็นเขาเป็นลูกชายตั้งแต่เมื่อใด เพราะรักมากจึงจำเป็นต้องเข้มงวดกับเขา เจ้าไม่เข้าใจ!”
พระชายาอิงชินอ๋องสะบัดหน้าหนีอย่างรุนแรง นางไม่มองหน้าของอิงชินอ๋องอีก ร่างกายก็สั่นเบาๆ ไม่หยุด
บรรดาคนรับใช้ต่างตกใจกลัว ทั้งหมดคุกเข่าลงกับพื้นแล้วก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมา ทุกคนแทบจะอุดหูเอาไว้คล้ายไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งยังอยากอุดปากเอาไว้ไม่ให้ลมหายใจเล็ดลอดออกมา หลายปีมานี้ ถึงแม้จะเป็นคนเก่าแก่ที่รับใช้ในจวนอิงชินอ๋องมากว่าสิบปี ตั้งแต่พระชายาอิงชินอ๋องเข้ามาในตระกูลจนถึงบัดนี้ก็ไม่เคยเห็นพระชายาอิงชินอ๋องระเบิดโทสะเช่นนี้ออกมาต่ออิงชินอ๋องมาก่อน แม้นางจะเอาแต่ปกป้องคุณชายรองเจิง และทำสีหน้าไม่ค่อยดีใส่ท่านอ๋อง ไม่ยอมให้เขาเข้าห้อง เวลาต่อมากลับยังคงยิ้ม หัวเราะ ปฏิบัติต่อคนใช้อย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่มีผู้ใดเคยได้เห็นโทสะของพระชายาอิงชินอ๋องเลย
บัดนี้ได้เห็นโทสะของพระชายาอิงชินอ๋องระเบิดออกมาแล้ว พวกเขาจึงแทบอยากจะควักลูกตาออกมาราวกับไม่เคยมองเห็นมาก่อน
“พระชายา ท่านอย่าโมโหเลยเพคะ หมอหลวงมาถึงแล้ว รีบให้เขาดูอาการของคุณชายรองสำคัญกว่านะเพคะ” ชุนหลันเข้ามาประคองพระชายาอิงชินอ๋องทั้งที่ดวงตายังแดงก่ำยังเล็กน้อย ตลอดหลายปีนี้นางรับรู้ถึงความเจ็บปวดของพระชายา ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระชายาไม่ดี แต่กลับรู้สึกราวกับขาดสิ่งใดไปสักอย่าง เดิมทีพระชายาเองก็ไม่เคยเรียกร้องขอสิ่งใด แต่คุณชายรองกลับเป็นจุดอ่อนของพระชายา
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินแล้วจึงรีบพยักหน้า นางมองไปยังหมอหลวงซุนที่มีผู้คุ้มกันช่วยประคองเข้ามาตรงหน้าประตูแล้วรีบกล่าว “หมอหลวงซุน ท่านรีบหน่อย รีบช่วยเจิงเอ๋อร์ของข้าด้วย”
อิงชินอ๋องก็เร่งหมอหลวงซุนผ่านทางสายตาเช่นกัน
“ท่านอ๋อง พระชายา พวกท่านอย่างเพิ่งรีบร้อน ข้าต้องช่วยดูอาการของคุณชายรองอยู่แล้ว” หมอหลวงซุนถูกผู้คุมกันจวนอิงชินอ๋องประกบตัวมาจนท้องไส้ปั่นป่วน แม้ในใจจะแค้นเคือง แต่ก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย เมื่อเท้าสัมผัสกับพื้น ร่างของเขาก็สั่นขึ้นมา เขาพยายามควบคุมให้มั่นคงแล้วรีบเดินไปหาฉินเจิง
เซี่ยฟางหวาก่นด่าฉินเจิงในใจไปแล้วหลายร้อยหลายพันครั้ง อาการบาดเจ็บที่เห็นได้อย่างชัดเจนมีเพียงแค่รอยบวมบริเวณศีรษะเท่านั้น ตอนเด็กใครบ้างจะไม่เคยหกล้ม ถึงกับเจ็บปวดเช่นนี้ หรือต้องการยุแหย่ให้พ่อแม่ทะเลาะกันเฉยๆ
บัดนี้ฉินเจิงไม่ส่งเสียงร้องเลยสักแอะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการทะเลาะกันของบิดามารดาทำให้เขาชะงักไปหรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น
“คุณชายรอง ส่งมือของท่านมาให้ข้า” หมอหลวงซุนเห็นว่ามือทั้งสองข้างของฉินเจิงยังกอดเซี่ยฟางหวาเอาไว้ เขาไม่สามารถถือวิสาสะแตะตัวของเด็กผู้หญิงได้ จึงได้แต่กล่าวกับเขาอย่างนุ่มนวล
ฉินเจิงกลับไม่ขยับตัวเลยแม้แต่ศีรษะ
“เจิงเอ๋อร์เด็กดี เจ้าปล่อยทิงอินก่อนเถอะ หมอหลวงซุนจะได้ตรวจชีพจรให้เจ้า!” พระชายาอิงชินอ๋องเข้าไปใกล้แล้วกล่าวหลอกล่อฉินเจิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ฉินเจิงแสร้งเป็นไม่ได้ยิน ทั้งยังไม่ปล่อยมือ
“เจิงเอ๋อร์? ฟังแม่!” พระชายาอิงชินอ๋องจับมือเขา
“ท่านแม่ ตอนข้าชอบเต๋อฉือไทเฮา ไทเฮาก็ตายจากไป พอข้าชอบหมา หมาก็ตายจากไปอีก” จู่ๆ ฉินเจิงก็กล่าวออกมา
พระชายาอิงชินอ๋องชะงักมือแล้วเม้มปากแน่น เมื่อมองไปยังทั้งสองคนที่กำลังกอดกันอยู่ก็กล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าวางใจเถอะ มีแม่อยู่ทั้งคน แม่จะดูแลทิงอินเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถพาตัวนางไปได้แม้แต่สวรรค์! อีกทั้งจะไม่ยอมให้ใครมารังแกนางหรือแย่งนางไปจากเจ้า ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะชอบใครหรือสิ่งใด แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตแม่ก็จะปกป้องให้เจ้า”
ฉินเจิงเงียบ
“เจิงเอ๋อร์ แม่รับปากเจ้าแล้ว เจ้าก็ให้หมอหลวงซุนดูอาการให้ดีหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องหลอกล่ออีกครั้ง
“ท่านรับปากแล้ว แต่ท่านพ่อยังไม่ได้รับปาก” ฉินเจิงกล่าวเบาๆ
พระชายาอิงชินอ๋องหันไปมองอิงชินอ๋องอย่างรวดเร็ว
แม้ในใจอิงชินอ๋องจะมีแต่ความโกรธและรู้สึกว่าเรื่องในวันนี้ทำให้ตนรู้สึกอึดอัดใจ แต่ถึงอย่างไรฉินเจิงก็เป็นลูกชายของเขา เขาเองก็ร้อนใจอยู่มิน้อยเช่นกัน ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้เขาก็ไม่ระบายโทสะออกมาเพิ่มอีก ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วรับปาก “ข้าเองก็รับปากเจ้าเช่นกัน”
“ท่านรับปากสิ่งใดหรือ” ฉินเจิงหันหน้ามาเอ่ยถามอิงชินอ๋องอย่างฉับพลัน
อิงชินอ๋องมองหน้าเขา “แม่เจ้ารับปากสิ่งใด ข้าก็รับปากสิ่งนั้น จะไม่พาตัวทิงอินออกไป”
“เพียงเท่านี้ไม่ได้” ฉินเจิงก้มหน้าลงแล้วกล่าวด้วยความเจ็บปวด “วันนี้ข้าชอบทิงอิน ถ้าหากวันพรุ่งนี้ชอบผู้อื่นแทนล่ะ ทิงอินยังอยู่แต่ถ้าท่านพาคนอื่นไปล่ะ”
อิงชินอ๋องขมวดคิ้ว
“ท่านรีบรับปากเขาเถอะ!” พระชายาอิงชินอ๋องเร่ง
อิงชินอ๋องสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วทำหน้าขรึม “ก็ได้ จะเรื่องอะไรข้าก็รับปากเจ้าทั้งนั้น”
“ไม่ว่าข้าจะแต่งงานกับใครก็ต้องฟังข้า ถึงเวลานั้นท่านจะไม่ยินยอมไม่ได้ แล้วก็ไม่อนุญาตให้ท่านรังแกภรรยาของข้า” ฉินเจิงกล่าวอีก
อิงชินอ๋องเส้นเลือดกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ “ตั้งแต่โบราณหากจะแต่งงานต้องให้พ่อแม่หรือแม่สื่อเป็นผู้เอ่ยปาก ภรรยาที่เจ้าจะแต่งงานด้วยก็ต้องเชิดหน้าชูตาให้แก่จวนอิงชินอ๋อง ด้วยเหตุนี้จะตามใจเจ้าได้อย่างไร”
“ท่านแม่ ท่านพ่อไม่รักข้า ไม่เหมือนกับท่านที่โปรดปรานข้า ตามใจข้าทุกอย่าง” ฉินเจิงกล่าวอย่างน้อยใจกับพระชายาอิงชินอ๋อง
พระชายาอิงชินอ๋องขมวดคิ้วพลางมองไปยังอิงชินอ๋อง “ท่านอ๋อง ลูกชายของข้ามีเกียรติสูงศักดิ์ทั้งยังมีพรสวรรค์ เหตุใดจึงไม่สามารถทำสิ่งใดด้วยความชอบของตนได้ ถ้าหากเขาผู้เป็นสายเลือดแท้เพียงหนึ่งเดียวในจวนอ๋องแม้แต่จะแต่งงานกับคนที่ชอบก็ยังทำไม่ได้ ข้าว่าเราสองแม่ลูกก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่จวนแห่งนี้ บัดนี้ท่านก็ออกหนังสือหย่าร้างเถอะ หม่อมฉันจะรีบพาลูกออกไป จะได้ไม่รบกวนท่านเวลาเอ็นดูผู้อื่นอีก!”
ไฟแห่งโทสะของอิงชินอ๋องแทบปะทุออกมา เขาถลึงตามองพระชายาอิงชินอ๋องอย่างเงียบๆ
“ท่านอ๋อง ท่านรีบรับปากเถอะเพคะ! วันนี้พระชายามัวแต่จัดการเรื่องงานแต่งงานของคุณชายใหญ่ทั้งวันยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักคำ บัดนี้คุณชายรองยังล้มลงจนกลายเป็นเช่นนี้ ควรรีบให้หมอหลวงซุนดูอาการน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด หากกระทบกระเทือนถึงสมองจริงๆ คงเป็นเรื่องใหญ่ มัวชักช้าอยู่ไม่ได้เพคะ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นคุณชายรองมีท่าทางเช่นนี้มาก่อน” ชุนหลันกล่าวแนะนำ
“ก็ได้ แล้วแต่เจ้า!” อิงชินอ๋องยอมแพ้
พระชายาอิงชินอ๋องหันกลับมามองฉินเจิง ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงอ่อนโยนในทันที “เจิงเอ๋อร์ พ่อเจ้ารับปากแล้ว เจ้าก็รีบให้หมอหลวงซุนดูอาการเถอะ!”
“จริงหรือ ท่านพ่อรับปากแล้ว?” ฉินเจิงหันกลับมาแล้วมองอิงชินอ๋องอย่างจริงจัง
คิดไม่ถึงว่าเซี่ยฟางหวาจะเห็นความไร้เดียงสาดุจเด็กน้อยในดวงตาคู่นั้น จึงอดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลาย ทั้งหมดนี้เป็นเขาฉวยโอกาสขู่บังคับนี่? คนเลว!
“อืม ข้ารับปากเจ้า!” อิงชินอ๋องยืนยัน
“ต้องเขียนหนังสือเป็นหลักฐานส่งให้ทิงอินเก็บไว้ด้วย หากท่านกลับคำไม่ยอมรับจะทำอย่างไร” ฉินเจิงกล่าวอีก
“เจ้า…” ไฟแห่งโทสะของอิงชินอ๋องปะทุขึ้นอีกครั้ง “ข้าว่าเจ้าไม่ได้ล้มจนกระเทือนถึงสมองจริงๆ แล้ว!”
“ท่านแม่ ข้าเจ็บ” ฉินเจิงหันกลับมาแล้วส่งเสียงร้องด้วยความน้อยใจ
หัวใจของพระชายาอิงชินอ๋องเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดแทนแล้ว กล่าวอย่างโมโหว่า “ท่านอ๋องก็รับปากแล้ว ยังจะต้องกลัวเขียนหนังสือเป็นหลักฐานอีกหรือไร?”
“ถึงแม้จะไม่ได้เขียนออกมา พวกเจ้าก็เป็นภรรยาและลูกชายของข้า ข้าเองก็เป็นลูกผู้ชายพอ มีหรือจะกลับคำพูด” อิงชินอ๋องตำหนิ
พระชายาอิงชินอ๋องไม่เห็นด้วยพลางแค่นเสียงเย็น “นั่นก็ไม่แน่ ท่านก็ไม่ได้มีภรรยาและลูกชายเพียงคนเดียว”
อิงชินอ๋องโกรธจนตัวสั่นจากนั้นก็กล่าวด้วยความโมโห “ใครก็ได้ ไปเอากระดาษกับพู่กันมา!”
มีคนรีบวิ่งไปหยิบกระดาษกับพู่กันมาทันที
มือของฉินเจิงที่โอบรอบร่างของเซี่ยฟางหวาก็แน่นขึ้นทั้งยังไม่ส่งเสียงใด
เซี่ยฟางหวาอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสังเกตหยิกเข้าที่ใต้ซี่โครงของเขาอย่างแรง เมื่อฉินเจิงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดนางจึงรีบหยุดมือ
“เจิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าวุ่นวาย ให้หมอหลวงซุนดูอาการก่อนเร็วเข้า” เมื่อพระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเสียงก็เป็นห่วงขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อยังไม่เขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรเลย” ฉินเจิงส่ายศีรษะอย่างดื้อรั้น
พระชายาอิงชินอ๋องเงียบ
อิงชินอ๋องโกรธจนปวดไปถึงตับ แต่เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของฉินเจิงเขาก็สบายใจขึ้นกว่าเท่าตัว หากสมองของฉินเจิงกระทบกระเทือนจริงๆ จะสามารถบังคับให้เขาเขียนกระดาษสัญญาเช่นนี้ได้หรือ คงมีแต่แม่ของฉินเจิงที่ยังไม่รู้ความจริง หรือไม่ก็รู้แล้วแต่ก็ยังยอมให้เขาก่อเรื่องต่อ
ไม่นาน คนรับใช้คนหนึ่งก็นำกระดาษกับพู่กันมา
อิงชินอ๋องแค่นเสียงในลำคอแล้วรับกระดาษกับพู่กันมา คนรับใช้คนนั้นรีบโค้งหลังตรงหน้าเขาอย่างรู้งาน อิงชินอ๋องคลี่กระดาษออกแล้วถือพู่กันไว้ ก่อนจะค่อยๆ เขียนลงบนหลังของคนรับใช้
เซี่ยฟางหวามองดูอิงชินอ๋อง แม้ฟ้าจะมืด แต่ก็ยังมองเห็นว่าตัวอักษรของเขางดงาม ลายเส้นที่เขียนออกมาเป็นอักษรทรงพลังจนทะลุถึงหลังกระดาษ
เขาก็เป็นอ๋องที่มีความสามารถผู้หนึ่งเช่นกัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะอาการป่วยที่ขาตั้งแต่กำเนิด ราชบัลลังก์ในบัดนี้ก็คงเป็นของเขา
ไม่นานอิงชินอ๋องก็เขียนเสร็จ จากนั้นก็โยนให้ฉินเจิง “เอาไป!”
ฉินเจิงไม่รับทั้งยังผินหน้ามองแล้วกล่าวเสียงเบา “ยังไม่ประทับตราประทับส่วนตัวของท่านเลย!”
ความโกรธของอิงชินอ๋องแผ่ซ่านแต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ มีคนเก็บกระดาษขึ้นมาส่งให้ เขาหยิบตราประทับข้างเอวออกมาแล้วประทับลงบนกระดาษจากนั้นก็โยนให้เขาอีกครั้ง “ครั้งนี้ได้แล้วใช่หรือไม่!”
“ได้แล้ว!” ฉินเจิงปล่อยเซี่ยฟางหวาแล้วรับกระดาษสัญญามา มองดูแวบหนึ่งแล้วยื่นให้นาง จากนั้นก็กำชับอย่างเคร่งขรึม “ทิงอิน เจ้าต้องเก็บไว้ให้ดี นี่เป็นของสำคัญเท่าชีวิตของข้า ห้ามทำหาย”
เซี่ยฟางหวาอยากจะสะบัดมือใส่เขาอีกครั้ง แต่เพราะมีคนมากมายกำลังมองอยู่ นางจึงได้แต่รับกระดาษมาแล้วเก็บเข้าอกเสื้ออย่างเงียบๆ
ตอนที่ 49-5 สัญญา
“หมอหลวงซุน รีบตรวจชีพจรให้เขาเถอะ!” พระชายาอิงชินอ๋องรอมานานมากแล้ว เห็นเช่นนี้จึงเอ่ยเร่ง
เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นหลีกทางให้ จากนั้นก็ขยับแขนกับขาที่เกิดอาการชาเพราะฉินเจิงกอดไว้เป็นเวลานาน
หมอหลวงซุนตรงเข้าไปจับมือของฉินเจิง
ครั้งนี้ฉินเจิงก็นั่งก้มหน้าอยู่บนพื้นอย่างว่าง่าย
หมอหลวงซุนตรวจชีพจรมือซ้าย จากนั้นก็สลับเปลี่ยนเป็นมือขวา หลังจากนั้นพักหนึ่งก็ปล่อยมือแล้วเลื่อนไปคลำศีรษะของเขาด้วยสีหน้ากดดันแทน
“หมอหลวงซุน…เจิงเอ๋อร์…เขา…” พระชายาอิงชินอ๋องไม่อยากเอ่ยประโยคไม่ดีออกมา
“ใช่แล้วหมอหลวงซุน เจ้าพูดมาตามตรง!” อิงชินอ๋องเอ่ยเร่ง
หมอหลวงซุนเงยหน้ามองฉินเจิงแวบหนึ่ง ฉินเจิงกะพริบตามองเบาๆ เขาลุกขึ้นยืนแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็กล่าวอย่างไตร่ตรองกับอิงชินอ๋องและพระชายาอิงชินอ๋อง “เรียนท่านอ๋องและพระชายา คุณชายรองเจิงล้มลงไม่เบา ศีรษะ…”
“เป็นอย่างไรบ้าง” พระชายาอิงชินอ๋องเกือบจะยืนไม่ไหว ชุนหลันจึงคอยประคอง
หมอหลวงซุนมองพระชายาอิงชินอ๋องแวบหนึ่งจากนั้นก็ถอนหายใจกล่าว “ไม่ได้กระทบกระเทือนถึงสติปัญญา เพียงแต่เกรงว่าอาจจะมีเลือดคั่งอยู่เล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องนอนพักสามถึงห้าวัน ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้คุณชายรองทาน ระหว่างนี้ห้ามดื่มเหล้าแล้วก็งดตากลม มิฉะนั้นจะไม่เป็นการดีต่อร่างกาย”
“ได้ แค่ไม่กระทบกระเทือนถึงสติปัญญาก็ดีแล้ว ท่านรีบเขียนใบสั่งยามา!” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วพยักหน้า
“ตามข้าไปเขียนที่ห้องโถงด้านหน้าเถอะ!” อิงชินอ๋องกล่าวกับหมอหลวงซุน
หมอหลวงซุนขานรับ
“ชุนหลัน เจ้าตามท่านอ๋องกับหมอหลวงซุนไปเอาใบสั่งยามา แล้วจัดเตรียมของตอบแทนให้กับหมอหลวงซุนด้วย” พระชายาอิงชินอ๋องสั่ง
“เพคะ พระชายา!” ชุนหลันรีบพยักหน้า
เดิมทีอิงชินอ๋องเดินนำออกไปแล้ว เมื่อได้ยินจึงหันกลับมามองพระชายาอิงชินอ๋องแวบหนึ่ง แต่นางไม่ได้มองเขา สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ทั้งฝีเท้าที่ก้าวออกไปก็หนักแน่น
“ทิงอิน เจ้ามาประคองคุณชายรอง ข้าจะตามพวกเจ้าไปยังเรือนลั่วเหมย” พระชายาอิงชินอ๋องกวักมือเรียกเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วตรงเข้าไปประคองฉินเจิงขึ้นมา
ฉินเจิงยื่นมือออกไปจับมือของนางเอาไว้แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เขาไม่ได้ตะโกนว่าเจ็บแล้วก็ไม่ได้พยายามที่จะกอดเซี่ยฟางหวาอีก บทจะว่าเงียบก็เงียบ บทจะว่าง่ายก็ว่าง่าย
ชุ่ยเหอตรงเข้ามาประคองพระชายาอิงชินอ๋อง นางกวาดสายตามองรอบๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง “พวกเจ้าทุกคนปิดปากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้สนิท อย่าให้เล็ดลอดออกไปแม้แต่คำเดียว! หากข้าได้ยินข่าวลือมาจากข้างนอกแม้แต่นิดเดียว และรู้ว่าผู้ใดกล้านำออกไปพูดจะต้องถูกโบยจนตาย!”
“ขอรับ พระชายา!” เหล่าคนใช้ที่รวมตัวกันมุมหนึ่งรีบขานรับ
พระชายาอิงชินอ๋องมองไปยังหัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่นแวบหนึ่ง หัวหน้าพ่อบ้านสี่ซุ่นเข้าใจดี วันนี้เขาก็ดื่มเหล้าอยู่ที่จวนจงหย่วโหวเช่นกัน แต่ก็ไม่กล้าดื่มเยอะ บัดนี้จึงยังมีสติอยู่และรู้ว่าเรื่องที่ท่านอ๋องกับพระชายาทะเลาะกันในวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด เขาที่เป็นหัวหน้าพ่อบ้านจำเป็นต้องสั่งสอนคนกลุ่มนี้ใหม่อีกครั้ง ด้วยความเด็ดขาดนี้ จึงทำให้เขาเป็นหัวหน้าพ่อบ้านมาได้กว่ายี่สิบปี
พระชายาอิงชินอ๋องพึงพอใจ จากนั้นก็ชี้ไปยังหญิงรับใช้ข้างกายสองสามคนให้ตามฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาไปยังเรือนลั่วเหมย
ระหว่างทาง ฉินเจิงเดินอย่างเชื่องช้าและไม่ส่งเสียงใดออกมา
เซี่ยฟางหวาแอบด่าคนชั่วผู้นี้ในใจ พระชายาอิงชินอ๋องเป็นคนฉลาด คำพูดอันคลุมเครือไม่กี่ประโยคของหมอหลวงซุนหากนางไม่เข้าใจคงจะแปลกประหลาด แน่นอนว่านางรู้ว่าเขาเพียงแค่มีรอยบวมเท่านั้น ไม่ได้นักหนาอะไร ที่ต้องเขียนใบสั่งยานั้นก็เป็นเพียงการไว้หน้าฉินเจิงเท่านั้น
เมื่อกลับมาถึงเรือนลั่วเหมย พระชายาอิงชินอ๋องก็ให้ชุ่ยเหอกับชุ่ยเหลียนรอข้างนอกประตู ส่วนตนก็เดินเข้าไปในห้อง
เซี่ยฟางหวาประคองฉินเจิงข้างกายเข้าไปในห้อง
เข้ามาในห้องเพียงครู่เดียว พระชายาอิงชินอ๋องนั่งลงบนเก้าแล้วกล่าวกับฉินเจิงอย่างมีน้ำโห “คุกเข่าลง!”
เซี่ยฟางหวาพลางคิดว่าตนเดาไว้มิผิด พระชายาอิงชินอ๋องจะจัดการฉินเจิง นางจึงรีบปล่อยมือแล้วถอยหลังไปสองก้าว
ฉินเจิงเงยหน้ามองพระชายาอิงชินอ๋องแวบหนึ่งก่อนจะค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้น
“ดื่มเหล้าแล้วแกล้งเสียสติ ฉวยโอกาสขู่บังคับ เอะอะโวยวายอย่างไร้อย่างอาย ทั้งยังก่อเรื่องวุ่นวาย เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่ามันผิด” ใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยนเมื่อครู่ของพระชายาอิงชินอ๋องพลันเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นทันที
ฉินเจิงแววตาไหววูบพลางเรียกเสียงเบา “ท่านแม่!”
“ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าแม่!” พระชายาอิงชินอ๋องยิ่งโมโห
ฉินเจิงมองนาง ดูท่าทางจะโกรธไม่น้อย เขาฉีกยิ้มสู้แล้วบ่นพึมพำ “หากข้าไม่เรียกท่านว่าแม่ หรือจะให้เรียกสตรีทางเรือนตะวันตกว่าแม่”
“เจ้ากล้าหรือ!” พระชายาอิงชินอ๋องตบโต๊ะความรุนแรง
ฉินเจิงพลันหัวเราะ นัยน์ตาสุกใสมองนางแล้วระบายยิ้มอ่อนโยนจากนั้นก็เอ่ยถาม “ท่านแม่ วันนี้ท่านพาลโมโหใส่ท่านพ่อ หลังอัดอั้นเอาไว้หลายปี ภายในใจรู้สึกโล่งขึ้นบ้างหรือไม่”
พระชายาอิงชินอ๋องถลึงตามองเขาอย่างโมโหทันที
ฉินเจิงเลิกคิ้วใส่นางอย่างชอบใจ “หากตอนนั้นเขาออกหนังสือหย่าร้างขึ้นมาจริงๆ แล้วไล่เราสองแม่ลูกออกไป ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะเสียใจก็ไม่มีประโยชน์แล้ว มันสายเกินไป”
“เขาไม่ทำหรอก!” พระชายาอิงชินอ๋องแค่นเสียงเย็นโดยฉับพลัน
“เหตุใดท่านจึงมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำ ถ้าหากเขาทำล่ะ” ฉินเจิงเลิกคิ้วถาม
“ข้าอยู่กับเขามายี่สิบปี นิสัยของบิดาเจ้าเป็นเช่นไรมีหรือข้าจะไม่รู้! ถ้าหากข้าไม่มั่นใจข้าจะกล้ากล่าวออกมาหรือ”
“ใช่แล้ว หากไม่มั่นใจท่านจะกล้ากล่าวออกมาได้อย่างไร แล้วเรื่องที่ไม่มั่นใจ ลูกจะกล้าทำได้อย่างไร” ฉินเจิงพลันผุดยิ้มออกมา “เขาดื้อด้านมาตลอดหลายปี ข้าก็แค่ช่วยท่านแม่แก้ไขให้ถูกต้องเท่านั้น แล้วยังมีสิ่งใดไม่ดีอีกหรือ จะปล่อยให้เขาดื้อด้านเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ มิฉะนั้นคนอื่นจะฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากเขาในวันแต่งงานของข้าเพื่อซ้ำเติมเอาได้ ถึงเวลานั้นข้าไม่ได้แต่งงานกับภรรยาที่ปรารถนา ก็คงจะขาดทุนครั้งใหญ่แล้ว”
“ดังนั้นเจ้าก็เลยฉวยโอกาสนี้ขู่บังคับ? เจ้านี่ช่างเป็นลูกที่ดีของข้าจริงๆ!” พระชายาอิงชินอ๋องอยากตีเขา แต่กลัวจะโดนรอยบวมบนศีรษะของเขาจึงได้แต่เคาะโต๊ะ “วันนี้ข้าทำให้พ่อของเจ้าต้องเสียหน้าต่อหน้าคนมากมายในจวน ในใจเขาไม่แน่ว่าคงโกรธข้าอยู่ไม่น้อย! หลังจากนี้เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”
“ท่านแม่กลัวสิ่งใด ตลอดหลายปีมานี้เขาทำให้ท่านกับข้าผิดหวังมามาก ไม่ใช่ท่านที่ควรทำอย่างไร คนที่ควรคิดน่าจะเป็นเขามากกว่า?” ฉินเจิงมองนางอย่างไม่ได้รู้สึกผิด
“พูดเหลวไหล!” พระชายาอิงชินอ๋องตำหนิ
“บัดนี้ท่านพ่อกำลังโกรธ รอจนเขาหายโกรธแล้วก็รู้เองว่าควรทำสิ่งใด ว่าแต่เหตุใดท่านจึงโมโหใส่เขาเช่นนี้ แถมยังกล่าวถ้อยคำรุนแรง? ความโกรธแค้นนี้ไม่ได้สะสมเพียงวันหรือสองวัน เขาต้องทำให้ท่านผิดหวังมานานมากแล้วใช่หรือไม่” ฉินเจิงยิ้ม สายตาดูสบายๆ “ปีนั้นข้าหายตัวไปสองวัน ท่านก็ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ แน่นอนว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนเพิ่งจะมารู้เอาวันนี้ ห้าปีก่อนที่ข้าโดนหมากัด ตอนที่เขามาถึง หมอหลวงก็พันแผลให้เรียบร้อยแล้ว เขาจึงไม่เห็นแผล สามปีก่อนที่เต๋อฉือไทเฮาจากไป พระนางเป็นแม่แท้ๆ ของเขา แน่นอนว่าเขาต้องเสียใจมากกว่าใครจึงไม่ได้สนใจข้า หากไม่รู้ว่าข้าคุกเข่ามาถึงสามวันสามคืนก็สมควรแล้ว จะโกรธที่ข้าหมดสติบนถนนส่งพระศพก็สมควรแล้วเช่นกัน ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองทำสิ่งใดผิด บัดนี้กลับถูกท่านเปิดโปง ถึงอย่างไรเขาก็ต้องใช้เวลาไตร่ตรองหลายวัน”
“กับสิ่งที่เจ้าก่อเรื่องในวันนี้ก็ทำถูกแล้ว? ไม่ได้ทำผิดรึ?” ความโกรธของพระชายาอิงชินอ๋องพลันคลายลงเล็กน้อย
ฉินเจิงกะพริบตาปริบๆ ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยความน้อยใจ “ทิงอินผลักข้า”
พระชายาอิงชินอ๋องราวกับเพิ่งนึกถึงสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดได้จึงมองไปยังเซี่ยฟางหวาที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านข้าง นางคุยกับฉินเจิงมานานแล้ว แต่เซี่ยฟางหวาก็ยังเงียบราวกับไม่ได้อยู่ตรงนี้ ทันใดนั้นจึงเอ่ยถาม “เหตุใดนางต้องผลักเจ้า”
“ข้าจับมือของนาง นางไม่ยอม!” ฉินเจิงบอกตามความจริง
“ก็สมควรแล้ว!” พระชายาอิงชินอ๋องด่า
ฉินเจิงก้มหน้าราวกับโศกเศร้านักหนา
“ช่างเถอะ เจ้าลุกขึ้นมาเถอะ!” พระชายาอิงชินอ๋องโบกมือราวกับคร้านจะโกรธเขาแล้ว
ฉินเจิงยื่นมือไปหาเซี่ยฟางหวา “ทิงอิน พยุงข้าหน่อย”
เซี่ยฟางหวากลับไม่เข้าไปช่วยพยุงทั้งยังแอบคิดว่าพระชายาอิงชินอ๋องรักลูกเกินไปแล้ว เขาก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ นางกลับตำหนิเขาแค่สองประโยคก็จบแล้ว นางยังได้ชมและฟังไม่พอ ทางที่ดีที่คือควรให้เขาไปคุกเข่าหน้าศาลบรรพชนหลายๆ วัน
“ลุกขึ้นมาเอง!” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว
“เหน็บกินขาข้าแล้ว” ฉินเจิงมองพระชายาอิงชินอ๋อง
“ยังเสแสร้งอีกหรือ ใครจะไปเชื่อเจ้าอีก!” พระชายาอิงชินอ๋องถลึงตามอง
ฉินเจิงถอนหายใจอย่างจำใจก่อนจะนวดหน้าผาก “ท่านแม่ ครั้งนี้ข้าไม่ได้เสแสร้ง ขาข้าเป็นเหน็บชาจริงๆ ท่านก็รู้ว่าดื่มเหล้ามากแล้วมักจะควบคุมร่างกายไม่ค่อยได้”
พระชายาอิงชินอ๋องมองท่าทางยากลำบากของเขา ทันใดนั้นก็ทั้งโกรธทั้งขำแล้วสั่งเซี่ยฟางหวา “ทิงอิน เจ้าดึงเขาขึ้นมา”
เซี่ยฟางหวาก็ได้แต่ตรงเข้าไปยื่นมือไปดึงเขาขึ้นมา ครั้งนี้ร่างกายของเขาหนักกว่าที่เคยดึงขึ้นมาเมื่อสองครั้งก่อนหน้า แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเหน็บชาจริงๆ นางประคองเขาไปนั่งบนเก้าอี้ ขณะที่กำลังจะเดินออกไป ฉินเจิงก็รั้งนางเอาไว้แล้วชี้ไปที่ขาของตน “นวดให้ข้าด้วย!”
แม้หลายวันนี้เซี่ยฟางหวาจะทำงานบ้านทุกอย่างเช่น รินชา เทน้ำ ทำความสะอาดห้อง เก็บของ ทำอาหาร ซักผ้า แต่ก็ไม่เคยปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเขาเช่นนวดขามาก่อน จึงไม่ยอมรับแล้วผละออกจากเขา
ฉินเจิงราวกับจนปัญญากับนาง จึงได้แต่ลงมือนวดเอง
พระชายาอิงชินอ๋องมองทั้งสองพลันยิ้มออกมา “เจ้าเอาแต่แกล้งทิงอิน นางเลยไม่ฟังเจ้าแล้ว”
ตอนที่ 49-6 สัญญา
“ท่านแม่ ข้าเป็นลูกชายของท่าน ส่วนนางเป็นหญิงรับใช้ข้างกายข้า ในเมื่อนางผลักข้า ไม่สนว่าข้าจะทำถูกหรือไม่ ท่านก็ควรที่จะเข้าข้างข้าแล้วลงโทษนางมิใช่หรือ ลูกชายของท่านเป็นคนที่ผู้ใดคิดจะดึงมือก็ดึง คิดจะพยุงก็พยุงได้หรือ นางนี่ไม่รู้จักรักดีเลยจริงๆ” ฉินเจิงพูดพลางนวดขาพลาง
เซี่ยฟางหวากลอกตา
พระชายาอิงชินอ๋องเองก็กลอกตาอย่างเบื่อหน่ายเช่นกันก่อนจะด่าเขา “หากเข้าข้างเจ้า เจ้าก็จะยิ่งกำเริบเสิบสาน! สตรีเราต่างก็หน้าบาง หากเจ้ายังเหลวไหลเช่นนี้ต่อไป ดูสิว่าผู้ใดยังจะกล้าแต่งงานกับเจ้าอีก”
ทันใดนั้นฉินเจิงก็นึกขึ้นมาได้จึงเอ่ยกับเซี่ยฟางหวา “ทิงอิน กระดาษสัญญาที่พ่อข้าเขียนล่ะ”
เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหยิบกระดาษสัญญาออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้เขา
ฉินเจิงรับมาแล้วอ่านโดยละเอียดรอบหนึ่ง แล้วยักคิ้วหลิ่วตาด้วยสีหน้าพึงพอใจ “แม้พ่อข้าจะไม่เก่งเรื่องคน แต่กลับเขียนหนังสือได้ดีมาก โดยเฉพาะประโยคที่ว่าเรื่องแต่งงานให้ข้าเป็นผู้ตัดสินใจเองนั้นเขียนได้ดียิ่ง ตราประทับส่วนตัวอันนั้นน้อยครั้งจะหยิบออกมา บัดนี้ประทับไว้บนกระดาษแผ่นนี้ ดูแล้วรู้สึกสบายตายิ่งนัก”
เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าหนีด้วยความเบื่อหน่าย
พระชายาอิงชินอ๋องกลับดึงกระดาษไปอ่านดูอย่างละเอียดแล้วจึงพยักหน้าคล้อยตามฉินเจิง “แน่นอน ตัวอักษรของพ่อเจ้านับว่ามีชื่อเสียงที่สุดในราชสำนักหนานฉิน ส่วนตราประทับอันนี้เป็นของหมั้นตอนมอบสินสอด เขาให้หินหยกม่วงโซ่วซุนหายากแก่ข้า ข้าจึงร่างแบบแล้วให้คนไปทำตราประทับให้เขา หลังจากเขาได้รับมันแล้วก็ให้ผู้เชี่ยวชาญมาแกะสลักอักษร นับแต่นั้นก็กลายมาเป็นตราประทับส่วนตัวของเขาและใช้มาจนถึงบัดนี้”
“หากกล่าวเช่นนี้ภายในใจของเขาก็มีแต่ท่าน?” ฉินเจิงเลิกคิ้วถาม
พระชายาอิงชินอ๋องพลันใบหน้าแดงระเรื่อจากนั้นก็ตำหนิ “แน่นอน มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าเขาจะยอมเจ้าเพื่อให้ข้าพอใจหรือ เพียงแต่ฐานะของเขาคืออ๋อง คนธรรมดามีลูกหลานมากมายทั้งยังมีภรรยาสามอนุสี่ จะนับประสาอะไรกับท่านอ๋องแท้ๆ เล่า ข้าเองก็จำเป็นต้องคำนึงถึงทายาทของจวนอ๋องเช่นกัน จะให้มีเพียงภรรยาเอกเพียงหนึ่งเดียวได้อย่างไร ที่เขาให้เกียรติข้าและไม่ยอมให้ชายารองหรืออนุภรรยาคนอื่นๆ เหนือกว่า เรื่องในจวนอ๋องก็ให้ข้าเป็นผู้ตัดสินขาดก็ถือว่าดียิ่งแล้ว”
ฉินเจิงเบะปากอย่างเหยียดหยาม “ท่านพอใจง่ายจริงๆ”
“แล้วอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขาด้วยความไม่พอใจ “รอเจ้าสืบทอดตำแหน่งกลายเป็นอ๋อง เจ้าก็จะเข้าใจเองว่าจะมีเรื่องใดที่ทำให้พอใจได้อีก? วันข้างหน้าเจ้าต้องให้เกียรติภรรยาให้มากเช่นพ่อของเจ้า ภรรยาของเจ้าก็จะพอใจและมีความสุขแล้ว”
“นั่นก็ไม่แน่” ฉินเจิงกล่าว
พระชายาอิงชินอ๋องแค่นเสียง “จะไม่แน่ได้อย่างไร”
ฉินเจิงเหลือบตาไปมองเซี่ยฟางหวาที่กำลังไปเติมเชื้อเพลงในเตาผิงแล้วกล่าวออกมา “ภรรยาที่ข้าจะแต่งงานด้วยไม่แน่ว่าจะใจกว้างเหมือนท่าน และข้าก็ไม่แน่ว่าแต่งนางเพียงคนเดียวแล้วจะยังไม่รู้จักพอ คิดจะรับชายารอง อนุภรรยา หญิงรับใช้อะไรพวกนั้นเข้ามาอีก ในวันข้างหน้าลูกชายของข้าก็ไม่แน่ว่าจะต้องแย่งชิงพ่อคนเดียวกัน สรุปก็คือไม่แน่นอน”
พระชายาอิงชินอ๋องหัวเราะเยาะแล้วโยกศีรษะของเขา “เจ้าเด็กนี่ ไม่ปวดหัวแล้วหรือ”
“ปวดเล็กน้อย!” ฉินเจิงกล่าว
พระชายาอิงชินอ๋องยื่นกระดาษสัญญาในมือให้เขา “การบาดเจ็บครั้งนี้นับว่ามีค่ามาก เจ้าเก็บสิ่งนี้ไว้ให้ดีเถอะ!”
“ท่านจะไม่ช่วยข้าเก็บไว้หรือ” ฉินเจิงมองนาง
“ไม่ว่าเจ้าจะคิดสิ่งใด แต่วันข้างหน้าก็ต้องแต่งงาน จะแต่งงานกับคนแบบใดก็เป็นเรื่องของเจ้า แถมยังเป็นคนที่เจ้าจะต้องอยู่ด้วยตลอดชีวิต เจ้าคงไม่ทำร้ายตัวเองอยู่แล้ว ข้าจะช่วยเจ้าเก็บรักษาไปทำไม” พระชายาอิงชินอ๋องตวัดตามอง
“ท่านแม่ ท่านดีจริงๆ ลูกไม่รู้ว่าสะสมบุญมาตั้งแต่ชาติใดจึงได้มาเกิดในท้องของท่าน” ฉินเจิงยิ้ม
“ข้าก็ไม่รู้ว่าโชคร้ายตั้งแต่ชาติใด หรือติดหนี้เจ้าไว้ ชาตินี้เจ้าจึงเกิดมาเป็นลูกชายข้า” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวติดตลกแล้วลุกขึ้นยืนพลางหาวออกมาวอดหนึ่งแล้วกล่าว “ข้าได้ยินเสียงชุนหลันจากข้างนอก เจ้าเองก็รีบให้ทิงเหยียนไปต้มยาเถอะ แม้เจ้าจะไม่ได้ล้มแรง แต่ก็ต้องฟังสิ่งที่หมอหลวงซุนกล่าว พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านห้าวัน! ห้าวันนี้ไม่อนุญาตให้ออกไปไหน พรุ่งนี้เช้าข้าจะส่งทิงเหยียนไปขอลาพักให้เจ้าที่ห้องหนังสือ”
ฉินเจิงพยักหน้าแล้วขานรับอย่างว่าง่าย
“พระชายา! เอาใบสั่งยามาแล้วเพคะ! เมื่อส่งหมอหลวงซุนกลับไปแล้วข้าจึงรีบมา ท่านอ๋องกับหมอหลวงซุนไม่ได้คุยอะไรกัน หลังจากสั่งยาเสร็จแล้ว ท่านอ๋องก็ให้คนไปส่งหมอหลวงซุนกลับจวน” ชุนหลันมาถึงหน้าประตูแล้วกล่าวรายงาน
พระชายาอิงชินอ๋องขานรับแล้วเดินมาหน้าประตู เมื่อเลิกม่านออกชุนหลันก็รีบยื่นใบสั่งยาให้นาง นางอ่านดูครู่หนึ่งก่อนจะส่งให้กับทิงเหยียนที่เฝ้าอยู่หน้าประตู
ทิงเหยียนรับใบสั่งยามาแล้วรีบวิ่งไปยังห้องครัวเล็ก ภายในใจก็แอบคิดว่าวันนี้ตนลำบากมากจริงๆ คุณชายพาทิงอินไปดื่มเหล้าที่จวนจงหย่งโหว แต่เขาต้องเฝ้าห้องครัวเล็กแล้วต้มยาอยู่ครึ่งวัน เพิ่งจะต้มยาทั้งหมดเสร็จคิดว่าจะได้พักผ่อน กลับต้องมาต้มยาให้กับคุณชายแทน
ชุนหลันมาประคองพระชายาอิงชินอ๋อง
“ท่านอ๋องล่ะ ตอนนี้อยู่ที่ใด” พระชายาอิงชินอ๋องถาม
“ท่านอ๋องไปห้องหนังสือแล้วเพคะ!” ชุนหลันตอบเสียงเบา “วันนี้เกรงว่าจะพักที่นั่น ตอนข้าออกมา สีหน้าของท่านอ๋องไม่ค่อยดีเท่าใดนัก หลายปีที่ผ่านมาพระชายาไม่เคยทำเช่นนี้กับท่านอ๋องมาก่อน ท่านอ๋องคงจะไม่ใช่ว่าเพราะเหตุนี้ถูกแทงใจดำเข้า? ท่านกับคุณชายรอง…”
“อายุปูนนี้แล้ว ยังต้องเอาใจเขาอีกทำไม แทงใจบ้างก็ดีแล้ว เมื่อได้สติกลับมาไม่ลำเอียงรักแค่ฉินห้าวอีกก็พอ มีสิ่งใดอีกบ้างที่ข้ายังปลงไม่ตก ไปเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว เรากลับไปพักผ่อนกันดีกว่า!” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวอย่างไม่สนใจ
ชุนหลันพยักหน้าแล้วประคองนางออกไปข้างนอกเรือน
เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงแวบหนึ่งเหมือนเคย ก่อนจะส่งพระชายาอิงชินอ๋องถึงหน้าประตูเรือนลั่วเหมย
เวลานี้ฟ้ามืดสนิท แม้หิมะจะไม่ตกแล้ว แต่ลมแห่งฤดูหนาวก็เยือกเย็นราวคมดาบ
พระชายาอิงชินอ๋องหยุดชะงักเมื่อมาถึงประตู จากนั้นก็หันไปกล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ทิงอิน ข้าส่งคนไปสืบประวัติของเจ้ามาแล้ว”
เซี่ยฟางหวาชะงักก่อนจะเงยหน้ามอง นางรู้อยู่แล้วว่าพระชายาอิงชินอ๋องต้องตรวจสอบนาง พระชายาอิงชินอ๋องเป็นคนฉลาด ในเมื่อรักลูกชายมากเช่นนี้ มีหรือจะไม่ตรวจสอบประวัติของหญิงรับใช้ข้างกายลูกชายอย่างละเอียด
“ประมาณเดือนก่อน เจ้าถูกหัวหน้าคณะเฉียนซื้อกลับไปเป็นหญิงรับใช้ของเสี่ยวเฟิ่งเสียงจากตลาดมืด เขาเห็นว่าเจ้าเป็นใบ้แถมยังกำพร้า จึงวางใจที่จะให้เจ้ารับใช้ข้างกายเสี่ยวเฟิ่งเสียง” พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง “แต่หลังจากข้าตรวจสอบไปยังตลาดมืด ความเป็นมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเจ้าก็ถูกลบออกไปจนหมดราวกับปิดบังเอาไว้ ไม่เจอแม้แต่เบาะแสใดทั้งสิ้น เจ้าถูกคนส่งมาค้าขายที่ตลาดมืดได้อย่างไร เติบโตมาถึงขนาดนี้ได้อย่างไร เมื่อก่อนเคยอาศัยอยู่ที่ใด นิสัยเป็นอย่างไรกลับว่างเปล่าไม่มีที่มาแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา”
เซี่ยฟางหวาก้มหน้าแล้วฟังอย่างเงียบๆ
“ข้าใช้ทั้งสายลับของจวนอ๋องและอำนาจของตระกูลชุยแห่งชิงเหอแต่ก็ไม่เจอสิ่งใด” พระชายาอิงชินอ๋องจ้องมองนาง “จากอากัปกริยาของเจ้า ทั้งความสามารถในศิลปะทั้งสี่อย่าง งานเย็บปักถักร้อยต่างๆ ก็มองออกแล้วว่าเจ้าต้องมีชาติตระกูลดีมากแน่นอน สิ่งเหล่านี้เจ้ารู้ดีว่าจะทำให้คนสงสัยในชาติกำเนิดของเจ้า แต่เจ้าก็ไม่เคยปิดบัง ข้าสังเกตเจ้ามาหลายวันแล้ว แต่ก็คล้ายจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อเจิงเอ๋อร์ จึงทำให้ข้าวางใจในตัวเจ้าในที่สุด”
เซี่ยฟางหวาแอบคลี่ยิ้มเงียบๆ
“แม้แต่สายลับของจวนอิงชินอ๋องกับอำนาจของตระกูลชุยแห่งชิงเหอยังสืบหาไม่ได้ แน่นอนว่าต้องมีอำนาจไม่น้อยกว่าสองตระกูลปิดบังร่องรอยเอาไว้จึงสืบหาไม่เจอ ดังนั้น ภูมิหลังของเจ้าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยความหนักแน่น
เซี่ยฟางหวามองปลายเท้าพลางรอให้นางกล่าวต่อ นางจะไล่ตนออกไปหรือจะทำอย่างไรกับตน
“ลูกชายข้าเป็นอย่างไรข้าย่อมรู้ดี นิสัยของเจ้าเป็นอย่างไรข้าก็พอเข้าใจบ้างเล็กน้อย” พระชายาอิงชินอ๋องกลับเปลี่ยนคำพูด “ดังนั้น ที่มาของเจ้า เหตุใดจึงมาอยู่กับคณะตระกูลเฉียน ทั้งยังเข้ามาอยู่ข้างกายเจิงเอ๋อร์ ข้าจะไม่ถามอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่อยากให้เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง แล้วหลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าก็จะยังปฏิบัติต่อเจ้าเช่นที่ผ่านมา”
เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองนาง
“เจ้าแค่รับปากกับข้าว่าจะไม่ทำร้ายเจิงเอ๋อร์ ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม!” พระชายาอิงชินอ๋องจ้องนางพลางกล่าวทีละคำชัดๆ
นัยน์ตาของเซี่ยฟางหวาสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งปกคลุมไปด้วยสีดำสนิท จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมองพื้นดินซึ่งมืดดำเหมือนกันอีกครั้ง ช่างคล้ายกับนัยน์ตาสีดำสนิทของคนที่อยู่ห้องเวลามองหานางในบางครั้ง ทันใดนั้นนางก็ยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าให้พระชายาอิงชินอ๋อง
พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่รอช้าก็เดินไปยังเรือนหลักโดยมีชุนหลันประคองออกไป
ตอนที่ 50-1 ปกปิด
เซี่ยฟางหวายืนส่งพระชายาอิงชินอ๋องเดินจากไปจนไม่เห็นเงาตรงหน้าประตูเรือนลั่วเหมย จากนั้นถึงค่อยละสายตาออกมา
นางอดจะยอมรับไม่ได้ว่าตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวนอิงชินอ๋อง ภายในใจของนางก็อิจฉาฉินเจิงมาก อิจฉาที่เขามีแม่ที่ดีที่พร้อมจะทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงและพร้อมจะยกโทษให้เขาทุกครั้ง
ทั้งสองชาตินางเกิดมาเป็นคุณหนูสายตรงของตระกูลโหวที่ร่ำรวยและมีเกียรติ แต่กลับกำพร้าพ่อและแม่
ชีวิตทั้งสองชาติของนางได้ลิขิตเอาไว้แล้วว่าจะไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่
นางก้มศีรษะลงมองปลายเท้าท่ามกลางลมหนาวหากแต่ไม่ได้รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย และไม่ได้รีบร้อนที่จะเดินกลับเข้าไปในห้อง
“ทิงอิน วันนี้อากาศหนาว เจ้ายังมัวแต่ยืนทำสิ่งใดอยู่ตรงนี้ ไม่รีบกลับเข้าห้องหรือ” ทิงเหยียนวิ่งออกมาแล้วเอ่ยเร่งนาง “พระชายาเดินไปไกลแล้ว เจ้าไม่ต้องยืนส่งนานขนาดนี้ก็ได้”
เซี่ยฟางหวาหันมาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เด็กหนุ่มผู้มีอายุห่างจากนางไม่มากกล่าวด้วยเนื้อตัวสั่นเทิ้มเพราะความหนาว
ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเกิดมาในตระกูลชุยแห่งชิงเหอ ทั้งยังเป็นคนที่พระชายาอิงชินอ๋องพามาเพราะอยากให้มาเรียนหนังสือเป็นเพื่อนฉินเจิง แต่กลับกลายเป็นทาสรับใช้ผู้สูงศักดิ์คอยปรนนิบัติรับใช้เขามานานหลายปี
แม้จะเป็นคนรับใช้จากตระกูลชุยแห่งชิงเหอก็ยังมีฐานะสูงกว่าคุณชายตระกูลทั่วไปหนึ่งขั้น ยิ่งไปกว่านั้นคราก่อนเขาเรียกพระชายาอิงชินอ๋อง ว่าท่านอาเล็ก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลชุยแห่งชิงเหอ ทั้งยังสามารถยิ้มและทำหน้าบูดบึ้งต่อหน้านางได้แสดงว่าคงจะเป็นคุณชายผู้หนึ่ง ถึงมีคุณสมบัติที่จะเรียกพระชายาว่าท่านอาเล็กได้
จากคำพูดของพระชายาอิงชินอ๋อง เขาเองก็น่าจะมีพ่อแม่เช่นกัน ทั้งเวลานั้นพ่อแม่ของเขาก็คงไม่ยินยอมจึงได้ตัวเขามาด้วยความยากลำบาก
เขาจากพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กจะเคยคิดถึงบ้านบ้างหรือไม่
“เอ๋ เหตุใดเจ้าจึงใช้สายตาเช่นนี้จ้องมองข้า แปลกพิกล” ทิงเหยียนถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วกล่าวด้วยความขี้ขลาด
เซี่ยฟางหวาเบนสายตามองไปยังท้องฟ้าแทน
ทิงเหยียนเงยหน้ามองท้องฟ้าอันมืดสนิทตามนางด้วยความอึดอัด จากนั้นก็ละสายตากลับมามองนางที่ยังคงมองอยู่ก่อนจะกล่าวด้วยความไม่เข้าใจ “ท้องฟ้ามืดสนิทมองไม่เห็นแม้แต่ดาวสักดวง เจ้ากำลังมองสิ่งใดอยู่ มีอะไรน่าดูหรือ”
เซี่ยฟางหวาไม่สนใจเขาพลางมองต่อไป
“นี่ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวที่ทำให้คุณชายล้มบาดเจ็บจนไม่กล้ากลับไปนะ! คุณชายเอ็นดูเจ้ามาก จะลงโทษเจ้าได้อย่างไร เจ้ารีบกลับไปเถอะ! หากเจ้ายังมัวตากลมหนาวเช่นนี้จนป่วยขึ้นมา ข้าต้องปรนนิบัติพวกเจ้าทั้งสองคนคงเหนื่อยแย่” ทิงเหยียนกล่าวโน้มน้าว
เซี่ยฟางหวาคิดไม่ตกว่าคนอย่างฉินเจิงเลี้ยงดูทิงเหยียนให้โตมามีนิสัยเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าทั้งสิ้น มีความสุขก็ยิ้ม ถูกตำหนิก็ทำหน้าจะร้องไห้ แต่ละวันล้วนวิ่งวุ่นจัดการเรื่องต่างๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนกับผึ้ง เกรงว่าตอนนี้หากฉินเจิงจะไล่เขาออกไป เขาก็คงไม่อยากกลับไปตระกูลชุยแห่งชิงเหอแล้ว จะมีความคิดที่จะคิดถึงพ่อแม่ได้อย่างไร
“ไปเถอะ หากคุณชายเห็นว่าเจ้าอยู่นานเกินไปจะออกมาตาม” ทิงเหยียนถูฝ่ามือเร่ง
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
ทิงเหยียนกลับเข้าไปเฝ้าหม้อยาต้มอีกครั้งในห้องครัวเล็ก
เซี่ยฟางหวากลับเข้ามาในห้องก็พบว่าฉินเจิงหลับตาพลางตะแคงตัวนอนบนเก้าอี้พร้อมกับลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ คิดไม่ถึงว่าจะนอนหลับเช่นนี้ได้ ในมือของเขายังถือกระดาษสัญญาที่อิงชินอ๋องเขียนให้แผ่นนั้นอยู่แล้วหลับไปอย่างเงียบๆ ท่าทางดูไม่น่าจะสบายตัว แต่เขากลับนอนหลับได้อย่างสบายที่สุด นางยืนอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปดึงกระดาษออกมาจากมือเขา
ฉินเจิงลืมตาทันที
เซี่ยฟางหวาตกใจ
ฉินเจิงปล่อยมือแล้วหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะกล่าวอย่างเฉยเมย “แม่ข้าคุยสิ่งใดกับเจ้า”
เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ
“ไม่ว่านางจะกล่าวสิ่งใด เจ้าก็ต้องจำไว้ให้ดี” น้ำเสียงของฉินเจิงแม้ฟังดูแล้วไม่ใส่ใจ แต่ภายในกลับปิดบังความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวหนักแน่น “ข้าให้เจ้าเก็บกระดาษสัญญานี้ไว้ เจ้าก็ต้องเก็บไว้ให้ดี ห้ามทำหาย หากถึงเวลาที่ข้าจะแต่งงานต้องมีกระดาษแผ่นนี้ เข้าใจหรือไม่”
เซี่ยฟางหวากะพริบตาแล้วพยักหน้า วันนี้เขาได้รับกระดาษสัญญาอันยิ่งใหญ่แผ่นนี้ นางต้องเก็บรักษาไว้ให้เขาอย่างดีที่สุด เผื่อว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง เวลาที่เขาจะต้องแต่งงานจะได้มอบให้เขาเป็นของขวัญอวยพร
ฉินเจิงไม่กล่าวสิ่งใดอีกแล้วต้องการนอนต่อ
เซี่ยฟางหวาสะกิดเขาจนลืมตาขึ้นใหม่ นางชี้ไปยังห้องในสุดแต่เขาก็หลับตาลงอีกครั้ง “ขี้เกียจลุก”
เซี่ยฟางหวามองเขาอยู่นานก่อนจะยื่นมือไปดึงเขาให้ลุกขึ้นมา
ฉินเจิงก็ไม่ได้ต่อต้าน น้ำหนักครึ่งหนึ่งของร่างกายพิงเอาไว้กับร่างของนาง
เซี่ยฟางหวาแอบขบฟันพลางกึ่งพยุงกึ่งลากเขาเข้าไปส่งในห้องอย่างยากลำบาก เมื่อสัมผัสกับเตียง เขาก็แทบจะกระโจนลงไปบนเตียง นางรีบพยุงเขาเอาไว้ก่อน บัดนี้บนศีรษะมีรอยบวมอยู่แล้วรอยหนึ่ง หากวันพรุ่งนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งรอย พระชายาอิงชินอ๋องไม่เอ่ยถามคงแปลก
เซี่ยฟางหวาพยุงฉินเจิงให้นั่งลงบนขอบเตียง เขาลืมตาเพียงครึ่งหนึ่งพลางยิ้ม “ทิงอิน เจ้ามีความปรารถนาใดหรือไม่”
เซี่ยฟางหวาชะงัก นัยน์ตาสั่นไหวมองเขาแวบหนึ่งแล้วเม้มปาก แน่นอนว่านางมีความปรารถนา ความปรารถนาที่ว่าคือการปกป้องจวนจงหย่งโหวเอาไว้ได้ในชาตินี้ ถึงแม้ราชวงศ์หนานฉินจะต้องล่มสลาย แต่จวนจงหย่งโหวก็จะต้องอยู่รอดปลอดภัย
“ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็มีความปรารถนา!” ฉินเจิงก้มหน้าลง หุบยิ้มแล้วกล่าวเสียงเบา “ข้าก็เช่นกัน”
เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว คุณชายรองเจิงอยากได้สิ่งใดแล้วไม่ได้? ทั้งยังไม่สามารถทำความปรารถนาให้บรรลุได้อย่างนั้นหรือ แต่ก็มีความเป็นไปได้ จากการได้ใช้ชีวิตมาแล้วชาติหนึ่ง สิ่งที่ทำให้พอใจยากที่สุดคือจิตใจ การจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีนั้นเป็นเรื่องยาก เมื่อความปรารถนาหนึ่งสำเร็จแล้วก็ย่อมมีอีกความปรารถนาหนึ่งไม่จบสิ้น
“รินน้ำมาให้ข้า!” ฉินเจิงกล่าว
เซี่ยฟางหวาหันหลังเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วรินน้ำเปล่าแก้วหนึ่งให้เขา
ฉินเจิงรับไปดื่มก่อนจะส่งแก้วเปล่าคืนให้นาง จากนั้นก็กล่าวทั้งกลิ่นเหล้าคลุ้ง “ง่วงจะตายอยู่แล้ว ข้านอนล่ะ” กล่าวจบก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงช้าๆ ก่อนจะหลับตาลง
เซี่ยฟางหวาเห็นว่าเขาขี้เกียจแม้กระทั่งถอดเสื้อคลุมตัวนอก แต่นางก็ไม่ได้เอื้อมมือไปถอดให้เขา เพียงแค่ปล่อยม่านลงให้ คว่ำแก้วเอาไว้แล้วเดินออกไปจากห้อง
โคมไฟในห้องครัวเล็กยังสว่างอยู่ ทิงเหยียนคงกำลังยุ่งอยู่ข้างใน
เซี่ยฟางหวาเดินไปยังห้องครัวเล็กแล้วพบว่าทิงเหยียนหาวแล้วหาวอีกอยู่ด้านข้างเตาไฟ ยาที่กำลังต้มอยู่มีไอลอยขึ้นมาอย่างกำลังเดือดได้ที่ บนโต๊ะข้างๆ กันก็มีไหยาขนาดใหญ่ที่ต้มเสร็จแล้ววางเอาไว้ ทั้งหมดนี้คือยาต้มที่นางต้องดื่มให้หมด ในฤดูหนาวเช่นนี้ หากต้มยาแล้วตั้งพักเอาไว้สองสามวัน เวลาดื่มก็ค่อยอุ่นสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว วันนี้เขาคงยุ่งกับการทำตามคำสั่งของฉินเจิงทั้งวันจนไม่มีเวลาว่าง
“ทิงอิน เจ้ามาที่นี่ทำไม คุณชายอยากกินมื้อดึกหรือ” ทิงเหยียนเอ่ยถามเมื่อเห็นเซี่ยฟางหวาเข้ามา
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า แล้วใช้มือแสดงท่าทาง
“เจ้าอยากให้ข้ากลับไปนอนพักที่ห้อง?” ทิงเหยียนถามอย่างอึดอัด
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ไม่ได้!” ทิงเหยียนโบกมือ “ข้ายังไม่ได้ต้มยาของคุณชายเลย ต้องให้คุณชายได้กินยาก่อนครั้งหนึ่ง”
เซี่ยฟางหวาชี้เข้าหาตัวเอง
“เจ้าจะช่วยข้าต้มยา?” ดวงตาของทิงเหยียนลุกวาวในทันที
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า บัดนี้นางยังไม่ง่วง ถึงจะช่วยเขาต้มยาจนเสร็จก็ไม่เป็นไร
“ไม่เป็นไร ยาพวกนี้กลิ่นแรงนัก เจ้าต้องดื่มยาทุกวันก็ลำบากพอแล้วยังจะต้องมานั่งเฝ้ายาต้มอีก ข้าจะทำแทนเอง ข้าทนได้!” ทิงเหยียนส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวายิ้มออกมาแล้วเอื้อมมือผลักเขาออกไปข้างนอก หลังจากนั้นก็ปิดประตูใส่
ทิงเหยียนยืนเรียกข้างนอกประตูครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ถูฝ่ามืออย่างอารมณ์ดี “ทิงอิน เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ ขอบใจเจ้ามาก ในเมื่อเจ้าอยากช่วยข้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วกัน ข้าไปนอนก่อนล่ะ”
เซี่ยฟางหวาเงียบ
ทิงเหยียนรีบวิ่งกลับไปยังห้องของตน
เซี่ยฟางหวาคุกเข่าลงนั่งหน้าเตาไฟพลางจ้องมองยาต้มเงียบๆ
ทั้งเรือนลั่วเหมย แม้กระทั่งทั่วทั้งจวนอิงชินอ๋องก็ค่อยๆ เข้าสู่ความเงียบสงบ
เมื่อต้มยาชุดแรกเสร็จ เซี่ยฟางหวาก็ยังไม่ง่วง ด้วยเหตุนี้จึงนำยาชุดที่สองไปล้างให้สะอาดแล้วนำไปต้มอีกครั้ง
ในเมื่อบังคับให้นางดื่มยาต้มรสชาติขมเฝื่อนมานานเช่นนี้ ฉินเจิงเองก็ต้องลองกินยาขมๆ ดูบ้างเช่นกัน
ตอนที่ 50-2 ปกปิด
ตกดึก จู่ๆ ข้างนอกก็เกิดเสียงลมขู่คำราม ลมพัดแรงจนประตูหน้าต่างตีกันจนเกิดเสียงดัง
เซี่ยฟางหวาหันไปมองข้างนอกแวบหนึ่งแล้วจึงละสายตากลับมา จากนั้นก็พิงหลังกับแท่นวางเตาแล้วหลับตาลง
ไม่นานนักก็เกิดเสียงผลักประตูเข้ามาจากข้างนอก
เซี่ยฟางหวาลืมตาทันที
“เปิดประตูให้ข้า!” เสียงของฉินเจิงดังลอดเข้ามา
เซี่ยฟางหวาย่นคิ้วพลางคิดว่าคนผู้นี้มาทำอะไรที่นี่ เหตุใดจึงไม่หลับนอน นางลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู
ฉินเจิงยินพิงกรอบประตู ลมหนาวพัดวูบมาจนทำให้เส้นผมของเขาสยาย เสื้อผ้าก็ปลิวสะบัด ร่างกายที่ถูกความมืดปกคลุมจนบรรยายความรู้สึกไม่ได้ เมื่อเห็นนางเปิดประตูก็จ้องนางเขม็ง
เซี่ยฟางหวามึนงงครู่หนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วมอง
ฉินเจิงจ้องมองนางอยู่พักหนึ่งก่อนจะหลุบตาลงแล้วเอ่ยถาม “ต้มยาเสร็จแล้วใช่หรือไม่”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ข้ามาดื่มยา!” ฉินเจิงกล่าว
เซี่ยฟางหวากลอกตาแล้วเบี่ยงตัวหลบให้เขาเข้ามา
ฉินเจิงเดินเข้าไปในห้องครัวเล็กแล้วทรุดลงนั่งบนตำแหน่งที่เซี่ยฟางหวาเคยนั่งจากนั้นก็ยื่นมือไปหานาง
เซี่ยฟางหวาเทยาที่ต้มเสร็จแล้วก่อนหน้านี้ลงในถ้วยใบใหญ่ให้เขา เรียกได้ว่าเขามาได้ตรงเวลาพอดี บัดนี้ยาไม่ร้อนและไม่เย็นเกินไปจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะดื่ม เดิมทีนางคิดว่าในเมื่อเขานอนหลับก็เพียงพอแล้ว ถึงอย่างไรรอยบวมจากการกระแทกบนศีรษะก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จะดื่มยาพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย ถึงไม่ดื่มก็ไม่ถึงกับตาย แต่ในเมื่อเขาตามมาถึงห้องครัวก็ต้องทำให้เขาพอใจ
ฉินเจิงมองถ้วยยาขนาดใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้าพลันมือแข็งทื่อ
เซี่ยฟางหวายื่นถ้วยยาเข้าไปใกล้อีกนิด
ฉินเจิงคล้ายกับหดมือกลับไปแล้วแข็งทื่ออีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เซี่ยฟางหวามองเขาพลางคิดว่า คราก่อนเขาเคยกล่าวว่าเขาไม่เคยดื่มยาเลยตั้งแต่เด็ก ครั้งนี้สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอกกันแน่
“ช่างมัน ไม่ดื่มแล้ว ข้าจะกลับไปนอน” ฉินเจิงชักมือหลบแล้วลุกขึ้นยืน
เซี่ยฟางหวารีบสาวเท้าเข้าไปขวางเขาเอาไว้ บังอาจมารบกวนความเงียบสงบของนางแล้วจะกลับไปง่ายๆ เช่นนี้? ฝันไปเถอะ!
“เจ้าจะให้ข้าดื่มมันจริงๆ หรือ” ฉินเจิงมองนาง
เซี่ยฟางหวาทั้งไม่ได้ส่ายหน้าหรือพยักหน้า เขาอยากมาดื่มยาถึงที่นี่เอง จะมาโทษนางได้อย่างไร
“เจ้าดื่มยาของวันนี้หรือยัง” ฉินเจิงเอ่ยถาม
พลันเซี่ยฟางหวานัยน์ตาสั่นไหว นางยังไม่ได้ดื่ม
“ในเมื่อเจ้ายังไม่ดื่ม ก็มาดื่มพร้อมข้า ข้าถึงจะยอมดื่มมัน” ฉินเจิงกล่าว
เซี่ยฟางหวายัดถ้วยยาใส่มือของเขาทันทีที่ฟังจบ หลังจากนั้นก็หันไปเทยาให้ตัวเองถ้วยหนึ่งแล้วนำไปอุ่นให้ร้อนบนเตาไฟ
ฉินเจิงมองนางแล้วเหลือบมองถ้วยยาในมือตัวเอง มุมปากพลันปรากฏอารมณ์ที่ยากจะรับได้
เซี่ยฟางหวาแสร้งเป็นไม่เห็น ไม่นานก็อุ่นยาเสร็จ นางยกถ้วยขึ้นมาแล้วดื่มเข้าไปจนหมดในคำเดียว หลังจากนั้นก็เลิกคิ้วให้ฉินเจิง
ฉินเจิงยกถ้วยยามาจ่อที่ริมฝีปาก หลังจากนั้นก็เบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ เนื้อตัวแข็งไปแล้วเล็กน้อย เขาราวกับอยากโยนถ้วยยาทิ้งไปให้ไกล แต่เพราะเห็นว่าเซี่ยฟางหวากำลังมองมาด้วยใบหน้าขบขันจึงอดกลั้นเอาไว้ จากนั้นก็ดื่มยาเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงอย่างนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งกลืนยาลงไปจนหมด
เซี่ยฟางหวามองเขา ภายใต้แสงสว่างจากเตาไฟสะท้อนให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ทันใดนั้นเขาก็โยนถ้วยทิ้งพลันกระโดดกอดเซี่ยฟางหวา สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที เขาติดการกอดเป็นนิสัยแล้วใช่หรือไม่? ขณะที่นางจะตีเขา เขาก็ชิงกุมมือของนางไว้ก่อนแล้วกล่าวอย่างพะอืดพะอม “ถ้าจะไม่อยากให้ข้าอ้วกรดเจ้า ทางที่ดีเจ้าก็อย่าขยับดีกว่า”
เซี่ยฟางหวายืนนิ่ง
ฉินเจิงโอบนางไว้แล้วหายใจเข้าออกลึกๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
ใบหน้าของเซี่ยฟางหวาคล้ำแล้วแดง แดงแล้วคล้ำ ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงเพราะความโมโห เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตรงหน้าประตูจวนอิงชินอ๋องเมื่อตอนพลบค่ำก็รู้สึกได้ว่าทั้งเลือดและความโกรธจะประทุออกมาอีกครั้ง
“ที่แท้การดื่มยาอันขมเฝื่อนเช่นนี้ก็ไม่ได้ยากอย่างที่ข้าคิด ถ้าเป็นเช่นนั้นหากข้าอยากจะทำอะไรบางอย่างก็คงไปยากเกินไปใช่หรือไม่” ฉินเจิงผละมือออกปล่อยนาง แล้วนั่งลงบนม้านั่งเตี้ยข้างๆ เตาไฟ สีหน้าไม่ได้ปรากฏความพะอืดพะอมอีก
เซี่ยฟางหวาสงบอารมณ์ของตัวเอง นางคร้านจะมองเขาอีกจึงคุกเข่าลงเคี่ยวยา
ฉินเจิงเหลือบมองนางแล้วยิ้มออกมา จากนั้นก็กล่าวย้ำ “ต้องไม่ยากเกินไปแน่!”
เซี่ยฟางหวาไม่สนใจว่าเขาจะคิดอย่างไร เพียงคิดว่าหรือนางควรฟังคำแนะนำของท่านพี่ว่าไม่ควรอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้ มิฉะนั้น หากฉินเจิงนึกอยากจะกอดก็กอด นางก็คงได้แต่ปล่อยให้เขากอดตามใจชอบครั้งแล้วครั้งเล่าใช่หรือไม่
หากวันข้างหน้าฐานะเช่นนี้ของนางถูกแพร่ออกไป…
แม้นางจะตัดสินใจแล้วว่าชาตินี้จะไม่แต่งงาน แต่ก็ไม่อยากทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูแห่งจวนจงหย่วโหวของตนเสียหาย
“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่” จู่ๆ ฉินเจิงก็ขยับเข้ามาใกล้พลางจ้องตานางแล้วเอ่ยถาม
เซี่ยฟางหวาหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า
ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอเบาๆ
เซี่ยฟางหวาชี้ไปที่ประตูเพื่อสื่อว่าเขาควรกลับไปนอนได้แล้ว นางไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่ดื่มเหล้าจนเมา เดิมทีก็ง่วงจนหลับไปทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เพียงแต่ผ่านไปครู่หนึ่งเหตุใดจึงไม่นอนแล้ว ทั้งยังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
“ข้าไม่ง่วงแล้ว รอเจ้าก่อนแล้วกัน” ฉินเจิงส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวาเมิน
ห้องครัวเล็กเงียบลงเพราะไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดอีก ทั้งลมข้างนอกยิ่งพัดแรงขึ้น
ครึ่งชั่วยามต่อมา เซี่ยฟางหวาก็ต้มยาชุดที่สองเสร็จแล้ว นางเก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วดับไฟบนเตา จากนั้นก็หันมามองฉินเจิง
ฉินเจิงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วเดินนำออกไปจากห้องครัวเล็ก
เซี่ยฟางหวาปิดประตู จากนั้นทั้งสองก็กลับไปที่ห้อง
“พวกเรามาฝึกกระบี่สักหน่อยเป็นอย่างไร” เมื่อมาถึงประตู ฉินเจิงก็เสนอความคิดออกมากะทันหัน
ไม่อย่างไร! เซี่ยฟางหวาแสร้งเป็นไม่ได้ยืนแล้วข้ามธรณีประตูเข้าไป
ฉินเจิงได้แต่เดินตามเข้าไปในห้องแล้วกล่าวอีก “เล่นหมากรุกเถอะ!”
เซี่ยฟางหวาตรงเข้าไปในห้องของตัวเอง
ฉินเจิงก็เดินตามเข้ามาอีก เมื่อเห็นว่านางยืนสางผมตรงหน้ากระจกจึงเดินเข้าไปใกล้ “หรือไม่อย่างนั้นเรา…”
เซี่ยฟางหวาถลึงตามองเขาอย่างรวดเร็ว
ฉินเจิงถอยไปก้าวหนึ่งก่อนจะกล่าวด้วยความหงุดหงิด “นอนก็นอน! ข้าจะไม่ทำสิ่งใดแล้ว! แค่นอนก็พอแล้วใช่หรือไม่” พูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในห้องจองตนเอง
ม่านไข่มุกส่ายตามหลังเขาจนเกิดเสียงไพเราะน่าฟัง
เซี่ยฟางหวาหันกลับมาแล้วสยายผม จากนั้นก็เดินไปที่เตียงแล้วปล่อยม่านลงพร้อมเอนตัวนอน
ขณะที่นางเอนตัวลงนอนนั้น ทันใดนั้นฉินเจิงก็เดินออกมาจากในห้องแล้วตรงมายังเตียงของนาง
เซี่ยฟางหวาพลันลุกขึ้นแล้วคว้าม่านมาจับเอาไว้แน่น นางมองเขาด้วยแววตาดุดัน
ฉินเจิงหยุดฝีเท้าลงหน้าเตียงแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถาม “เจ้าเก็บกระดาษสัญญาแผ่นนั้นไว้ดีแล้วใช่หรือไม่”
เซี่ยฟางหวาโมโหจึงไม่ส่งเสียง
“ข้าแค่อยากมายืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง กลัวว่าเจ้าจะเก็บไว้ลวกๆ อย่างไม่ใส่ใจ ใครจะรู้ว่าเจ้าจะนอนไวขนาดนี้” ฉินเจิงบ่นพึมพำ ก่อนจะเอ่ยปลอบ “เจ้านอนเถอะ! ข้าไม่รบกวนแล้ว” พูดจบก็เดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
เซี่ยฟางหวารอจนได้ยินการเคลื่อนไหวว่าเขาขึ้นเตียงแล้วจึงปล่อยผ้าม่านแล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอน
ฉินเจิงผู้นี้ เขาไม่เพียงแต่มีปัญหาเยอะ ทั้งบางครั้งยังเสียสติด้วย จากที่นางเห็น เขาต่างหากที่มีอาการเสียสติกำเริบในบางครั้ง!
ขณะที่นางกำลังคิด เสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอก็ดังออกมาจากห้องข้างใน
เซี่ยฟางหวาหลับตา ในใจพลางแอบก่นด่าเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ง่วงหรือ ไม่ใช่ว่าตาสว่างหรือ ไม่ใช่ว่ายังจะอยากฝึกกระบี่หรือเล่นหมากรุกหรือ เหตุใดเพียงพริบตาก็หลับแล้ว เป็นคนบ้าจริงๆ!
นางหายใจเข้าออกอย่างสงบ ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทราตามไป
บัดนี้อิงชินอ๋องพักอยู่ที่ห้องหนังสือและยังไม่ได้นอนหลับ เขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดหลายปีนี้อย่างละเอียด พอคิดได้เช่นนี้ จึงรู้สึกว่าหลายปีนี้เขาเองก็ประมาทไปในหลายๆ เรื่อง มีเรื่องราวมากมายที่เดิมทีก็ควรจะเป็นเรื่องที่สะสางไปเรียบร้อยแล้ว กลับไม่ทันระวังว่าเขาเองอาจมองข้ามไป
เขาทะนงตัวว่าเป็นสามีที่ดีและเป็นบิดาที่ดี แต่บัดนี้เขากลับไม่ใช่ทั้งสามีที่ดีและบิดาที่ดี
แสงไฟในห้องหนังสือของอิงชินอ๋องสว่างตลอดทั้งคืน
ขณะเดียวกัน แสงไฟในเรือนตะวันตกซึ่งเป็นที่พักของชายารองหลิวก็ยังคงสว่างอยู่เช่นกัน
ฉินห้าวออกไปเยี่ยมเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลังหิมะตกหนักผ่านไป ในเมื่อเรื่องนี้ได้รับการตัดสินเด็ดขาดแล้ว ถึงแม้คุณหนูหลูเสวี่ยอิ๋งแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะไม่พอใจ แต่ฮองเฮาก็มีพระราชเสาวนีย์ลงมาแล้ว ฮ่องเต้เองก็ทรงเห็นด้วยกับเรื่องนี้ นอกเสียจากฉินห้าวจะตายจากไป โชคชะตาที่นางต้องแต่งงานกับเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ฉินห้าวจะตายง่ายขนาดนั้นหรือ? ไม่อย่างแน่นอน อิงชินอ๋องรักลูกชายคนโตผู้นี้มากกว่าทายาทสายตรง ทั้งยังอุปถัมภ์ค้ำชูด้วยความลำบากมาหลายปี จะยอมให้ผู้ใดยื่นมือเข้ามาทำร้ายเขาได้อย่างไร ตลอดหลายปีมานี้แม้แต่พระชายาอิงชินอ๋องเองก็ไม่เคยลงมือกับเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น นางจึงจำเป็นต้องแต่งงาน ไม่อยากแต่งก็ต้องแต่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น