ยอดสตรีฉางอิ๋ง 48-57

 ตอนที่ 48 โอกาสในวิกฤต (1)

โดย

Xiaobei

 


               ท่าทีตอบสนองของตวนมู่อู๋ยิวเป็นไปตามที่กู้อี้หรานคาดเอาไว้ เขาหัวเราะแล้วหัวเราะอีก “ไม่ใช่เว่ยฉางเฟิง เป็นพี่สาวของเขาเว่ยฉางเฟิง”


               “คุณหนูตระกูลเว่ย?” ครานี้แม่แต่หลิวซีสวินก็ยังมีสีหน้าตกใจเช่นกัน พลางเอียงตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยด้วยความสนใจยิ่ง “คู่หมั้นของเสิ่นจั้งเฟิง? ที่เว่ยฉางเฟิงบอกว่ามีนายหญิงอยู่บนเขาไผ่น้อย ก็คือผู้นี้? หน้าตานางเป็นเช่นไร?” จริงอยู่ว่าเขาถามว่า “หน้าตานางเป็นเช่นไร” แต่บนใบหน้านั้นเกือบจะเขียนเอาไว้ว่า ‘จะให้ดี ขอให้หน้าตาของคุณหนูตระกูลเว่ยผู้นี้น่าเกลียดยากจะทนมองไหว ให้เสิ่นจั้งเฟิงได้แต่งงานกับหญิงอัปลักษณ์’ และ ‘ไม่เพียงแค่มีหน้าตาอัปลักษณ์ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแม่นางผู้นี้เจ้าอารมณ์ ขี้อิจฉาชอบโวยวายด้วยยิ่งดี’…


               ตวนมู่อู๋ยิวกลับรู้สึกสงสัยยิ่ง “คนแปลกหน้าขึ้นเขาไป เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่กลับไม่ได้หลบเลี่ยง คนที่พวกเจ้าพบคือคุณหนูตระกูลเว่ยจริงๆ หรือ?”


               แม้เขาจะไม่ชอบเว่ยฉางเฟิง แต่ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวและตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่ว ตระกูลหลิวแห่งตงหูต่างเป็นตระกูลใหญ่ในแถบทะเล อย่างไรตวนมู่อู๋ยิวก็ยังเชื่อในชื่อเสียงของตระกูลเว่ย หากเป็นคุณหนูตระกูลเว่ยจริงๆ โดยเฉพาะคุณหนูซึ่งเป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรงที่มีกำหนดใกล้จะออกเรือน มีหรือจะยอมให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นคนนอกพบเจอได้ส่งเดช?


               ดังนั้นตวนมู่อู๋ยิวจึงกลับรู้สึกว่า “อย่าได้เป็นเจ้าเด็กน้อยเว่ยฉางเฟิงที่อายุน้อยๆ เพียงนี้แต่กลับไปลุ่มหลงในอิสสตรี แสร้งทำเป็นว่าออกมาท่องเที่ยว แล้วพาสาวใช้รูปงาม หรือไม่ก็นางบำเรอในบ้านพวกนั้นขึ้นเขามาทำเรื่องเย้ยฟ้าท้าดินกันเสียเล่า?”


               ตระกูลใหญ่สูงศักดิ์มั่งคั่งมาหลายชั่วอายุคน สามารถสืบทอดชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลมาได้หลายร้อยปีโดยมิได้เสื่อมถอย ผู้สืบสกุลส่วนใหญ่สร้างความรุ่งเรื่องให้ตระกูล แต่ก็ยากจะหลบเลี่ยงคนดีคนเลวปะปน บุตรหลานในตระกูลก็ย่อมจะมีทั้งที่หลักแหลมมีฝีมือ ฝักใฝ่หาความก้าวหน้า เพื่อให้ฐานะของตระกูลตนสูงส่งยิ่งขึ้น แต่ก็มีที่ท่าดีทีเหลว เพียงเสพสุขจากกองเงินกองทองของตระกูล แต่กลับไม่ถามไถ่ถึงเรื่องภายนอก ทำตัวดังเป็นจิ้งผิงกง และยิ่งมีบุตรหลานรุ่นหลังที่อาศัยความมั่งมีของตระกูล วันวันเอาแต่หมกตัวอยู่ในหอสุรา ไม่เคยคิดหาความก้าวหน้า


               ประเภทสุดท้ายนี้ต่างก็มีกันทุกตระกูล แม้ว่าคนในตระกูลเดียวกันก็ยังดูแคลนพวกเขา แต่เพราะมีสายเลือดเดียวกัน นอกจากจะด่าทอไปสองสามประโยคว่าเป็นบุตรหลานที่ไม่ได้ความแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่อาจลากออกไปตีจนตายได้


               ในเมื่อตวนมู่อู๋ยิวได้เป็นราชองครักษ์อี้ ก็แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนประเภทไม่คิดหาความก้าวหน้า และออกจะดูแคลนลูกหลานตระกูลใหญ่ที่เป็นเช่นนี้ เขาไม่ชอบเว่ยฉางเฟิงเป็นอย่างมาก จึงเป็นธรรมดาที่จะคิดว่าเว่ยฉางเฟิงเป็นคนเช่นนั้น…แม้จะรู้ว่าเว่ยฉางเฟิงเชี่ยวชาญเรื่องวรรณกรรม ประวัติศาสตร์และกฎหมายมากถึงเพียงใด และไม่น่าจะเป็นคนไม่ฝักใฝ่ความก้าวหน้า แต่…พูดส่งเดชไปเช่นนี้ก็สะใจดีไม่เบา!


               กู้อี้หรานกล่าวเตือนอย่างรอมชอมว่า “กระท่อมบนเขานั้นคับแคบนัก คุณหนูผู้นั้นคงไม่รู้ว่าพวกเราจะขึ้นเขามาจึงบังเอิญได้พบเข้า จะอย่างไรนางก็เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หากมิใช่เพราะเหตุบังเอิญ มีหรือจะให้พวกเราพบเห็นได้ส่งเดช? ยามที่ขึ้นไปเห็นนางพาสาวใช้ บ่าวไพร่เดินเล่นอยู่ริมลำธาร ผู้คนที่ติดตามมานั้นไม่ธรรมดา นางเองก็สวมหมวกปิดหน้า พวกข้าไม่กล้ามองนานนัก ทว่าก็เกิดเหตุบังเอิญขึ้นอีก ยามเมื่อลงเขา เว่ยชิงอยากพาพวกเราหลบเลี่ยงนาง จึงจงใจเลือกเส้นทางเล็กๆ หลังกระท่อม ไม่คิดว่าคุณหนูผู้นั้นกลับคิดเช่นเดียวกัน จึงได้ไปนั่งพักรอที่ศาลาไผ่หลังกระท่อม…งูเขียวหางไหม้ตัวนั้นเลื้อยพันอยู่บนต้นเสาของศาลาที่ตัดไผ่สดมาสร้าง สีสันแทบจะเป็นสีเดียวกัน โชคดีที่จงฉีสายตาแหลมคม ซัดมีดพกที่อยู่ในแขนเสื้อออกไปปักงูตัวนั้นไว้กับต้นเสา”


               “สายตาของท่านพี่เติ้งนั้น ไร้ผู้เทียบเทียมมาแต่ไร” ตวนมู่อู๋ยิวเข้าใจความหมายของกู้อี้หราน ว่ากู้อี้เหรานแน่ใจว่าคนที่พวกเขาพบนั้นคือคุณหนูตระกูลเว่ย ก่อนหน้านั้นเขาคาดเดาไปส่งเดชว่านายผู้หญิงผู้นั้นมีฐานะไม่ดี ซึ่งถือเป็นการล่วงเกินคุณหนูตระกูลเว่ย แม้ที่นี่จักไม่มีคนของตระกูลเว่ยอยู่ แต่การพูดจาลบหลู่คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ว่าเป็นสาวใช้หรือนางบำเรอ ก็ถือเป็นการกระทำที่เสื่อมเสียเกียรติ


               ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูตระกูลเว่ยผู้นี้ยังเป็นคู่หมายของคนที่พวกเขารู้จัก…จึงได้เอ่ยเฉไฉไปว่า “หากมิใช่เป็นเพราะท่านพี่เติ้ง เสิ่นจั้งเฟิงที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยังไม่ได้สวมหมวก[1]คนแรกของพวกเราผู้นั้น เหอะๆ!” เสิ่นจั้งเฟิงได้ชื่อว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้สวมหมวกคนแรกที่ได้เป็นถึงราชองครักษ์ซิน ซึ่งมีชื่อเสี่ยงเลื่องลือเป็นอย่างยิ่งตลอดหลายปีมานี้ ในสายพระเนตรของฮ่องเต้ก็ทั้งยังได้รบการชมเชยเป็นอันมากเช่นกัน แม้ว่าพวกของตวนมู่อู๋ยิวจะมาจากตระกูลที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าเสิ่นจั้งเฟิงเพียงเล็กน้อย ทว่าต่างก็เป็นบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ ทั้งยังอยู่ในวัยที่เลือดลมพลุ่งพล่าน แล้วจะมีผู้ใดยอมให้ผู้ใดเล่า?


               ลำพังเพียงแค่ได้ยินเขาเอ่ยถึงเสิ่นจั้งเฟิงด้วยฉายาเช่นนี้ก็รู้ได้ว่าพวกเขาจงใจเพียงใด เมื่อคิดขึ้นมายามนี้ว่าพวกพ้องของตนช่วยเหลือคู่หมายของเสิ่นจั้งเฟิงเอาไว้หนหนึ่ง ก็รู้สึกว่าตนได้โอกาสที่จะเย้ยเสิ่นจั้งเฟิง… ต่อให้เสิ่นจั้งเฟิงเก่งกาจกว่านี้แล้วจะอย่างไร? หากไม่ได้เติ้งจงฉีแล้ว กระทั่งคู่หมายก็ไร้ปัญญาจะปกป้อง!


               ไม่คิดว่าเติ้งจงฉีกลับยิ้มอย่างราบเรียบออกมาหนหนึ่ง “เดิมทีข้าก็นึกว่านี่เป็นผลงานชิ้นงาม แต่ภายหลังกลับพบว่าแม้มิได้ข้าลงมือ คุณหนูผู้นั้นก็ใช่ว่าจะได้รับอันตราย”


               “ไยท่านพี่เติ้งจึงกล่าวเช่นนี้?” นอกจากกู้อี้หรานแล้ว ตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินต่างแปลกใจเป็นอันมาก


               เติ้งจงฉีและกู้อี้หรานสบตากันหนหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า “ก็เพราะคุณหนูตระกูลเว่ยผู้นี้มีฝีมือไม่เบาเลยน่ะสิ แม้ไม่รู้ว่านางจะเคยร่ำเรียนวิชาอาวุธลับมาก่อนหรือไม่ แต่ด้วยระยะห่างสิบกว่าจั้ง กลับใช้ปิ่นปักผมหยกหัวมนปักทะลุตัวงูเขียวหางไหม้อีกตัว… ความสามารถเช่นนี้ เกรงว่าแม้งูเขียวหางไหม้ตัวนั้นจะเลื้อยเข้าไปในเสื้อผ้าของนาง หากถูกพบเห็นเข้า ด้วยความว่องไวของคุณหนูผู้นี้ มันก็ไม่อาจจะทำร้ายนางได้”


               ใบหน้าของตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ ต่างเบิกตาโพลงพูดจาติดๆ ขัดๆ ว่า “คนที่เจ้าว่าคือคุณหนูตระกูลเว่ย หรือว่าองครักษ์ลับบ้านเว่ยกันแน่?”


               เติ้งจงฉีตอบว่า “เป็นคุณหนูตระกูลเว่ย เมื่อเว่ยฉางเฟิงรู้ถึงเหตุการณ์นี้ ก็ตื่นตกใจแล้ววิ่งตามมาที่หลังกระท่อม ร้องเรียก ‘ท่านพี่’ หลายหน หลานสาวคนโตของตระกูลเว่ยอยู่ที่เมืองหลวง คนที่เว่ยฉางเฟิ่งเรียกว่าพี่ได้ ก็มีเพียงบุตรสาวคนโตสายเลือดโดยตรง พี่สาวร่วมท้องคนเดียวของเขา และคือผู้ที่หมั้นหมายกับเสิ่นจั้งเฟิงคนนั้นนั่นเอง”


               กู้อี้หรานเห็นตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินจ้องมองมาทางตนก็เข้าใจความหมายของพวกเขา แล้วพยักหน้าตอบว่า “เป็นดังนั้นจริงๆ คุณหนูตระกูลเว่ยผู้นี้มีความกล้าหาญเกินคน เมื่อจงฉีพบงูเขียวหางไหม้ตัวแรกนั้น เพียงเพราะมันอยู่ด้านบนศีรษะของนางเพียงนิ้วเดียว เพราะเหตุการณ์คับขันจึงลงมือโดยไม่ทันได้อธิบาย มีดพกลอยไปปักอยู่ในศาลาข้างบนศีรษะของนาง…อย่าว่าแต่นายหญิงตระกูลใหญ่เลย แม้แต่ชายฉกรรจ์เช่นพวกเรา หากกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในศาลาแล้วจู่ๆ ก็เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ต่างก็ต้องตกใจจนร้องเสียงหลง กระทั่งแข้งขาอ่อนลงกับที่ ทว่านอกจากคุณหนูผู้นั้นจะไม่ส่งเสียงร้องตกใจ กระทั่งเมื่อรู้ถึงสาเหตุกลับยังลุกขึ้นมาจัดแจงเสื้อผ้าในทันใด แล้วออกจากศาลามาขอบคุณจงฉี! ระหว่างนั้น สาวใช้ของนางเห็นงูเขียวหางไหม้อีกตัวหนึ่งอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง องครักษ์ตระกูลเว่ยยังไม่ทันได้ลงมือ ก็กลับถูกคุณหนูผู้นี้ดึงปิ่นจากผมของสาวใช้ข้างกายออกมาซัดใส่มันจนตาย!”


               เขาและเติ้งจงฉีสบตากันหนหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ว่า “พวกข้าก็เพิ่งจะเคยเห็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่เป็นเช่นนี้เป็นหนแรก!” ในถ้อยคำนี้ มีเจ็ดส่วนที่เป็นการอุทานด้วยความตกใจ สองส่วนเป็นคำชม และยังมีอีกส่วนหนึ่งเป็นความรู้สึกสับสนซับซ้อน


               “…” กู้อี้หรานและเติ้งจงฉีต่างก็ไม่ใช่คนพูดโป้ปด เมื่อทั้งสองคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวว่าคุณหนูตระกูลเว่ยมีฝีมือเหนือคน ตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินนิ่งเงียบลงไปทันใด พักใหญ่ หลิวซีสวินที่มีร่างกายกำยำ กลับอุทานออกมาด้วยความคับแค้นใจว่า “ตัวเสิ่นจั้งเฟิงเองก็มีตำแหน่งผู้ยังไม่สวมหมวกอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เหตุใดแม้แต่ภรรยาของเขาก็ยังน่ากลัวถึงเพียงนี้!”


               ทุกคนรู้ว่าเขาพ่ายแพ้การประลองให้กับเสิ่นจั้งเฟิงถึงสามครั้งสามครา แม้ปากมักไม่เอ่ยถึง แต่ในใจกลับอดจะขัดเคืองไม่ได้ แม้แต่คู่หมายก็ยังเก่งกาจถึงเพียงนี้… กู้อี้หรานกำลังจะปลอบเขา ไม่คิดว่าเพียงหลิวซีสวินขยับดวงตา แววแห่งความแค้นในใจพลันหายไปสิ้น แล้วกลับพลิกวิฤกตให้เป็นโอกาสขึ้นมา “คุณหนูตระกูลเว่ยเก่งกาจถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถูกงูเขียวหางไหม้ทำให้ตกใจ ต่อหน้าแขกซึ่งเป็นคนนอกเช่นพวกเจ้า กลับมิได้หลบเลี่ยงที่จะสังหารงูเขียวหางไหม้อีกตัวเป็นการแก้แค้น…ความร้ายกาจเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เกรงว่าคงจะเป็นแม่เสือสาวเสียกระมัง? เกรงว่าปีหน้ายามเข้าบ้านก็จะถลกแขนเสื้อขึ้น แล้วจัดการเสิ่นจั้งเฟิงเสียสิ้นฤทธิ์ ควบคุมเขาจนอยู่หมัด…งานแต่งครานี้ จัดได้ดี! จัดได้ดีจริงๆ!”


————————————————————–


[1] ผู้ยังไม่ได้สวมหมวก หมายถึง ชายหนุ่มที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี



ตอนที่ 48 โอกาสในวิกฤต (2)

โดย

Xiaobei

 


เขาชูถ้วยชาขึ้นอย่างเปรมปรีดิ์ แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าขอให้ภายภาคหน้า คุณหนูเว่ยผู้นี้จงมีความสุขยืนยาว มีบุตรธิดาดังหมาย จัดการเสิ่นจั้งเฟิงให้ชี้ตะวันออกไม่กล้ามองตะวันตก ไปทิศใต้ไม่กล้าเหลียวทิศเหนือไปชั่วชีวิต!”


               …กู้อี้หรานกระแอมไอหนหนึ่ง แล้วว่า “พวกเรามาว่ากันเรื่องที่ต้องเร่งเดินทางกันต่อไปดีกว่า” คนทั้งกลุ่มมาไกลจากเมืองหลวงถึงเพียงนี้แล้ว ทั้งยังมีราชโองการของฮ่องเต้อยู่กับตัว แต่กลับเอาแต่คิดจะสาปแช่งเสิ่นจั้งเฟิงให้ได้แม่เสือสาวแต่งเข้าบ้าน… หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะยิ่งทำให้เสิ่นจั้งเฟิงยิ่งสร้างเงามืดให้กับพวกเขาลึกลงไปอีก


               หากพูดต่อไปเกรงว่าชาตินี้จะไม่มีหวังจะเอาชนะคนผู้นี้ได้


               จากนั้นไม่นานข้าวปลาอาหารก็จัดเตรียมมาให้เรียบร้อย หลังจากนั้นพวกบ่าวใช้ตะเกียบเงินตรวจสอบดูว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมใด จึงได้ยักมาให้ ทุกคนล้วนเป็นบุตรตระกูลใหญ่ ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีเวลาทานอาหารไม่พูดจา ร้านสุราจึงได้เงียบลง


               เติ้งจงฉีดูท่าทางจิตใจสงบ รับประทานอาหารด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย แต่ใจเขากลับเต้นเร็ว…


               …ที่แท้นั่นคือคุณหนูตระกูลเว่ย มิใช่ว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท?


               บนเขาไผ่น้อย เติ้งจงฉีเหลียวมองเว่ยฉางอิ๋งที่สวมหมวกคลุมหน้าถึงสามครั้งสามครา แต่นั่นหาใช่เพราะเขาไม่รู้จักมารยาทหรือว่าหลงใหลได้ปลื้มในหญิงงาม


               เขาเป็นบุตรชายสายเลือดโดยตรงของตระกูลหลิวแห่งเมืองหรง แต่บิดาได้ล้มป่วยและเสียชีวิตไปเมื่อเขาอายุได้เจ็ดปี ยามเมื่อมีชีวิตอยู่ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นห้า…หากดูตามประวัติการรับราชการที่ผู้เป็นปู่เคยรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม เขาก็จะสามารถเข้าเป็นราชองครักษ์ซวินได้ ทว่ายามเมื่อบิดาของเขามีชีวิตอยู่นั้นเป็นคนอารมณ์ร้ายอุปนิสัยไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เขาสร้างความบาดหมางให้กับพี่น้องทั้งหมด กระทั่งญาติข้างภรรยายังโมโหโกรธาเสียจนตัดขาดไม่คบค้าสมาคมกับเขา


               มีบิดาเช่นนี้ เพียงคิดก็รู้ว่ายามเมื่อสิ้นบิดาไปเจิ้งจงฉีจะมีสภาพเช่นไร


               แม้จะบอกว่าอย่างน้อยเขาก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นราชองครักษ์อี้ แต่ด้วยกลวิธีที่อาและลุงพร้อมใจลงมือ แล้วเขาจะทำเช่นไรได้? หากมิใช่อาหญิงที่เป็นพระสนมเอกชั้นกุ้ยเฟย[1]คอยปกป้อง…


               หากเอ่ยถึงฐานะพระสนมเอกในวังหลังแห่งต้าเว่ยนับว่าไม่ได้ต่ำเลย รองจากฮองเฮาลงมาก็คือพระสนมเอกชั้นกุ้ยเฟยแล้ว ดังนี้จึงเห็นได้ว่า ฐานะในวังหลวงของอาหญิงของเติ้งจงฉีนั้นไม่เลวเลย


               ทว่าพระสนมเอกเติ้งได้ตำแหน่งสนมเอกกุ้ยเฟยตั้งแต่เข้าวัง หลายสิบปีผ่านไป ตำแหน่งฮองเฮาก็เปลี่ยนมาแล้วถึงสามองค์ แต่นางกลับยังคงเป็นสนมเอก…เรื่องนี้ยากจะไม่รู้สึกน่าเสียดายและน่าเศร้า


               เดิมทีพระสนมเอกเติ้งก็ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส


               ในรัชสมัยของฮ่องเต้หยวนเพ่ย เมื่อหลิวฮองเฮาที่ถือกำเนิดในตระกูลหลิวแห่งตงหูประชวรและสิ้นพระชนม์ ตำแหน่งฮองเฮาก็ว่างลง ยามนั้นตำหนักหลังก็มีเสียงร่ำลือกันว่า ฮ่องเต้ทรงไม่มีจิตใจจะเลือกเอาหญิงสูงศักดิ์จากตระกูลสูงเข้ามาในวังอีก แต่กลับคิดจะให้พระสนมเอกกุ้ยเฟยขึ้นมารับตำแหน่งนี้


               แม้จะว่าไปแล้วการนำพระสนมซึ่งถือเป็นพระชายาน้อยมาเป็นอัครมเหสีนั้นไม่ถูกต้องตามหลักการ ทว่าในรัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์นี้ พระองค์ก็เคยทำเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ต่างๆ มาก็ไม่น้อยแล้ว ตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายล้วนรู้เห็น แม้จะมีคนกล้าทำเรื่องที่ทำให้ถูกปลดจากตำแหน่งได้ แต่เมื่อทำลงไปแล้วก็ยังพลอยทำให้วงศ์ตระกูลเดือดร้อน ต่อให้มีคนทำการต่อไปจริงๆ คนในตระกูลก็จะไม่ยินยอมเป็นแน่


               หลังจากที่มีขุนนางหลายคนต้องโทษประหารในรัชสมัยนี้ เมื่อฮ่องเต้ประสงค์จะทำการใดก็สามารถทำได้อย่างอิสระแล้ว…


               ชาติตระกูลของพระสนมเอกเติ้งไม่ทัดเทียมกับของฮองเฮาหลิวทว่า นางกลับเป็นลูกผู้น้องโดยตรงกับฮ่องเต้…พระมารดาขององค์ฮ่องเต้เป็นสนมขั้นสอง[2]ตำแหน่งซิวหรง[3]ในสมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน และถือกำเนิดในตระกูลเติ้งแห่งเมืองหรงเช่นกัน


               ดังนั้นแล้วเมื่อพระสนมเอกเติ้งเข้าวังมาจึงได้เป็นพระสนมเอกชั้นกุ้ยเฟยในทันที…


               แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่าในยามที่วาสนากำลังจะมาถึงมือของสนมเอกเติ้ง ลูกผู้น้องฝั่งบิดาของฮองเฮาหลิว ซึ่งเป็นบุตรสาวสายเลือดตรงคนหนึ่งของตระกูลเฉียนแห่งเมืองจ้าวจวิ้นผู้มีใบหน้างดงามยิ่งได้ตามมารดาเข้าวังมาคารวะศพลูกผู้พี่ และ ‘ไม่ระวัง’ เดินหลงทางอยู่ในตำหนักฉางเล่อ จนทำให้ไม่สามารถออกจากวังได้ตามเวลา แต่กลับ ‘บังเอิญ’ พบกับฮ่องเต้ที่มาจุดธูปไหว้อดีตฮองเฮาในยามนั้นพอดี


               จึงทำให้ฮองเฮาองค์ที่สองในรัชสมัยนี้แซ่เฉียน


               มารดาของฮองเฮาเฉียนผู้นี้ก็คืออาหญิงของฮองเฮาหลิว


               ทว่า แม้ตระกูลหลิวแห่งตงหูจะใช้ฮองเฮาเฉียนมาขัดขวางไม่ให้มีฮองเฮาเติ้งปรากฏตัวขึ้นได้สำเร็จ แต่ตระกูลหลิวเองก็ต้องเสียผลประโยชน์เป็นอันมาก หลังจากที่ฮองเฮาเฉียนมีทายาทได้สองปี บุตรชายคนโตที่ถือกำเนิดจากฮองเฮาหลิวซึ่งในยามนั้นดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทผู้สืบบัลลังก์มาสิบปีแล้ว กลับถูกคนเปิดโปงว่าประกอบพิธีพ่อมดหมอผีอยู่ในพระราชวัง ด้วยหวังจักได้สืบราชบัลลังก์เร็วขึ้น…


               ฮ่องเต้กลับมิได้ประหารพระราชโอรส แต่ให้พ้นจากตำแหน่งรัชทายาทและสั่งเนรเทศ ทว่าก็ยังทำให้อดีตองค์รัชทายาทที่เคยชินกับชีวิตสุขสบายมาแต่กำเนิดจิตใจบอบช้ำอย่างรุนแรงจึงได้ชักกระบี่ออกมาปลิดชีวิตตนเอง และทิ้งจดหมายเอาไว้บอกเล่าความในใจ พระชายาของอดีตองค์รัชทายาทจึงได้สูญเสียพระสวามีไปพร้อมกัน… ซึ่งนี่ก็คือเรื่องราวน่าเศร้าขององค์รัชทายาทองค์ที่หนึ่งแห่งรัชสมัยนี้


               จากนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ที่ได้เข้ามาอยู่ในวังตะวันออกในเวลาต่อมา จักต้องเป็นองค์ชายสี่ที่เกิดจากฮองเฮาเฉียน


               เมื่อถูกฮองเฮาเฉียนชิงตำแหน่งในวังตะวันออกครานั้น แม้พระสนมเอกเติ้งจะรู้สึกเสียดาย แต่กลับมิได้เจ็บปวดใจนานนัก นั่นเพราะครานั้นนางยังไม่มีทางออก ยังคงเป็นห่วงว่ายามใดจึงจะมีพระโอรสสักคน หลายปีจากนั้น ที่สุดนางก็มีองค์ชายหก ทว่าฐานะของฮองเฮาเฉียนก็มั่นคงดีแล้ว พระสนมเอกเติ้งเองก็มิได้มีความคิดอื่น เฝ้าแต่เอาใจจดจ่อในการอบรมเลี้ยงดูองค์ชายหกเท่านั้น


               แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่าองค์ชายหกทั้งเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบ พระชันษาก็ยังน้อย จึงทำให้ใครๆ หลงใหลชื่นชอบ จนค่อยๆ ขึ้นมาอยู่เหนือกว่าองค์รัชทายาทองค์ใหม่ที่มีพระชันษาโตกว่าเขาหลายปี… ยามนั้นพระสนมเอกเติ้งยังสาว ปลื้มปิติยินดีที่พระโอรสอันเป็นที่รักเฉลียวฉลาด ทั้งนางยังเป็นลูกผู้น้องของฮ่องเต้ จึงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ไม่น้อย ฐานะของนางในวังจึงเป็นรองแต่เพียงฮองเฮาเท่านั้น แม้นางจะยังคงคอยปกป้องตนเองจากฮองเฮาเฉียน ทว่าก็จะไม่มีทางยินยอมให้องค์ชายหกเติบโตมาอย่างไร้ความสามารถ


               ทว่าผลจากความไม่ยินยอมของนาง กลับคือในปีที่องค์ชายหกอายุยังไม่ถึงกำหนดเกล้าผมก็ประชวรและสิ้นพระชนม์


               เพราะเรื่องนี้พระสนมเอกเติ้งเกือบจะเสียสติ ฮ่องเต้ก็กริ้วเป็นอย่างมาก แต่ผลจากสืบสวน สาเหตุกลับเป็นเพราะเจ้านายฝ่ายหญิงพระองค์หนึ่ง พระสนมเอกฮั่ว[4]ที่แต่ไรมามีอุปนิสัยเรียบร้อยและเป็นคนเงียบได้สมรู้ร่วมคิดกับหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงจี้อิงวางแผนทำร้ายองค์ชายหก สาเหตุเพราะพระสนมเอกฮั่วและพระสนมเอกเติ้งต่างก็เป็นสนมขั้นหนึ่งเช่นกัน สนมเอกฮั่วในตำแหน่งซูเฟยไม่เพียงอยู่ในลำดับที่รองจากตำแหน่งกุ้ยเฟยของสนมเอกเติ้ง สนมเอกเติ้งยังมีพระโอรส ทว่านางกลับไม่มี…


               ด้วยสาเหตุที่น่าขันเช่นนี้ แล้วพระสนมเอกเติ้งจะสามารถรับได้อย่างไร? นางโขกศีรษะอยู่นอกห้องทรงพระอักษรจนใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด แต่สิ่งที่นางได้รับกลับคือผู้รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ทูลต่อฮ่องเต้ว่านางใส่ร้ายฮองเฮา ลบหลู่ตำหนักกลาง หากมิใช่ว่าครานั้นองค์ไทเฮาเติ้งยังอยู่ นางคงไม่อาจรักษาตำแหน่งสนมเอกกุ้ยเฟยเอาไว้ได้แล้ว แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พระสนมเอกเติ้งก็ยังถูกกักบริเวณถึงครึ่งปีเต็ม


               หลังจากครึ่งปี ภายในวังก็มีคนใหม่มาเพิ่มอีก ความรักใคร่ของฮ่องเต้เมื่อลดลงก็หดหายไปนับพันจั้ง… ทว่าในเวลาครึ่งปีที่ถูกกักบริเวณนี้ ก็หาได้ไร้ประโยชน์ใดเลยไม่ อย่างน้อยเมื่อการกักบริเวณสิ้นสุดลง พระสนมเอกเติ้งก็กลับสงบลงได้ ทั้งยังมีท่าทีเคารพนบนอบฮองเฮาเฉียนเสียยิ่งว่าก่อน เมื่อฮ่องเต้ไต่ถามนางบอกว่าหลังจากสำนึกได้แล้วก็รู้สึกผิดต่อฮองเฮา


               ความเคารพนบนอบและรู้สึกผิดนี้ ที่สุดก็ได้รับผลตอบแทน


               …ผ่านไปเกือบสิบปี หลังจากที่พระโอรสขององค์รัชทายาทองค์ที่สองในรัชสมัยนี้ประสูติได้ไม่นาน ฮองเฮาเฉียนก็ต้องโทษให้ปลิดชีวิตตนเอง ด้วยข้อหา ‘วางแผนทำร้ายสนมในวังด้วยความริษยา’… จนถึงวันตาย ก็ไม่มีแม้สักคำว่าฮองเฮาเฉียนมีความเกี่ยวพันกับการตายขององค์ชายหก


               ทว่าที่สุดแล้วฮองเฮาเฉียนก็ได้รับโทษให้ปลิดชีวิตตนแล้ว ทั้งแพ้พ่ายชื่อเสียงย่อยยับ ทั้งยังพลอยทำให้ตระกูลเฉียนได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง


_________________________


 [1] พระสนมเอกชั้นกุ้ยเฟย ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในสนมเอกทั้งสี่ตำแหน่ง


[2] สนมขั้นสอง มีชื่อเรียกว่า “จิ่วผิน” มีทั้งสิ้น 9 ตำแหน่ง


[3] ชิวหรง อยู่ในลำดับที่ 5 ของสนมขั้นสองทั้ง 9 ตำแหน่ง


[4] พระสนมเอกฮั่ว ในที่นี้นางอยู่ในตำแหน่ง “ซูเฟย” เป็นอันดับสองของสนมเอกทั้งสี่



ตอนที่ 49 เติ้งจงฉี

โดย

Xiaobei

               ในราชโองการให้ฮองเฮาเฉียนปลิดชีวิตตนเองได้ระบุเอาไว้ว่าต้องโทษฐานวางแผนทำร้ายสนมในวัง และผู้ที่ถูกฮองเฮาวางแผนทำร้ายก็คือสนมขั้นเจ็ดตำแหน่งอวี้ชี ผู้ซึ่งเยาว์วัยและงดงามยิ่ง และเพิ่งจะเข้าวังมาไม่ถึงครึ่งปี


               ทั้งที่เป็นเพียงสนมขั้นเจ็ดแต่กลับทำให้ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นสนมขั้นเจ็ดผู้นี้ยังเป็นสามัญชนธรรมดา เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ต่างรู้สึกว่าทำเช่นนี้มากเกินไป แต่คงเพราะฮ่องเต้รักใคร่สนมขั้นเจ็ดผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง จึงยืนกรานให้ฮองเฮาต้องโทษปลิดชีวิตตนเอง


               ไม่เพียงเท่านี้ กระทั่งองค์รัชทายาทก็ยังถูกฮ่องเต้กล่าวโทษว่าเป็น ‘บุตรของหญิงเพศยา เป็นผู้อกตัญญูยิ่ง’ พลอยติดร่างแหไปด้วย เช่นเดียวกับพี่ชายคนโตของเขาก็ถูกขับออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาททั้งยังถูกเนรเทศออกนอกเมือง


               รัชทายาทองค์นี้ไม่ได้ปลิดชีวิตตนเอง แต่หลังจากนั้นหลายปีเขาก็ตรอมใจจนตาย… ซึ่งนี่ก็คือเรื่องราวน่าอนาถขององค์รัชทายาทองค์ที่สองในรัชกาลปัจจุบัน


               ในคืนที่พระสนมเอกรู้ข่าวการตายของเขา นางก็เมามายอย่างหนัก


               ตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ว่างลงเป็นครั้งที่สอง ครานี้ฮ่องเต้ถึงกับออกพระโอษฐ์ต่อสนมเอกเติ้งเองว่าจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาองค์ต่อไป…


               แต่แล้ว…


               สุดท้ายฮ่องเต้กลับแต่งตั้งให้สนมขั้นสองตำแหน่งเจาอี๋ซึ่งถือกำเนิดในตระกูลกู้แห่งหงโจวมาเป็นฮองเฮา


               แม้แต่บำเหน็จรางวัลตามสมควร สนมเอกเติ้งก็มิได้รับ


               เมื่อฮองเฮากู้เข้าปกครองตำหนักฉางเล่อนั้น นางก็มีองค์ชายเก้าซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้แล้ว ไม่นานนัก นางจึงได้หมั่นหมายบุตรสาวสายเลือดตรงของตระกูลซ่งแห่งเจียนหนานให้เป็นพระชายาใหญ่ขององค์ชายเก้า…ซึ่งก็คือซ่งไจ้สุ่ยนั่นเอง


               หลังจากนั้นอีก องค์ชายเก้าก็ได้รับราชโองการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทองค์ที่สามในรัชกาลปัจจุบันอย่างราบรื่น


               ตำแหน่งฮองเฮาของฮองเฮากู้นั้นมั่นคงยิ่งนัก มั่นคงจนกระทั่งปลายปีมานี้ แม้ว่าสนมเอกชั้นกุ้ยเฟยจะเป็นรองก็แต่ฮองเฮาองค์เดียว ทว่าพวกนางกำนัลกลับแทบจะจดจำสนมเอกกุ้ยเฟยไม่ได้แล้ว…


               การต่อสู้อย่างลับๆ ในวังหลวงเช่นนี้ แม้เติ้งจงฉีจะไม่ได้จงใจไปสอบถามอาหญิงเป็นพิเศษ ทว่าจากการอธิบายเรื่องราวโดยคร่าวด้วยท่าทีราบเรียบของสนมเอกเติ้ง ก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตื่นตระหนกจนตัวสั่นสะท้านของนางแล้ว


               แม้ตัวเติ้งจงฉีจะไม่ชอบเรื่องราวดำมืดในวังหลวง แต่พระสนมเอกมีบุญคุณอันใหญ่หลวงกับเขา… ยิ่งไปกว่านั้นการที่สนมเอกช่วยเขาเช่นนี้ แต่กลับมิได้ร้องขอสิ่งใดจากเขาเลย ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกายท่านอาหญิงผู้นี้เผยให้รู้ว่าลูกหลานในตระกูลเติ้งมีมากมาย แต่พระสนมเอกกลับเอาใจใส่เติ้งจงฉีเป็นพิเศษ สาเหตุมีเพียงประการเดียว ซึ่งก็คือหน้าตาของเติ้งจงฉีละม้ายคล้ายกับองค์ชายหกที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วถึงสี่ห้าส่วน…


               ข้าราชบริพารวังหลวงผู้นั้นเอ่ยเช่นนี้ ก็เพียงเพราะต้องการให้เติ้งจงฉีวางใจว่าที่พระสนมเอกดีกับเขานั้นมิได้คิดเป็นใดอื่นอย่างแน่นอน เพียงแค่ต้องการจะแสดงความคิดคำนึงถึงองค์ชายหกผ่านตัวเขาเท่านั้น


               แต่นี่ก็มิได้หมายความว่าเติ้งจงฉีจะเอาแต่มองพระสนมตกที่นั่งลำบากแต่กลับนิ่งดูดาย….


               เมื่อคิดถึงเรื่องราวก่อนจะออกจากเมืองมาหนนี้ นี่เป็นครั้งแรกในเวลาหลายปีแล้วที่ท่านลุงใหญ่เพิ่งจะเรียกตนมาพบเป็นการส่วนตัว… ดวงตาของเติ้งจงฉีค่อยๆ แข็งกร้าวขึ้นมา แล้วแววตาพลันเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ หากไม่พยายามตอบแทนคุณพระสนมเอก แม้กระทั่งครานี้นางต้องเจออันตรายร้ายแรงในวังแต่กลับไม่คิดจะให้ตนล่วงรู้ หากไม่เป็นเพราะท่านลุงใหญ่คิดว่าบ้านตระกูลเติ้งไม่อาจเลี้ยงดูเติ้งจงฉีมาเสียเปล่า ก็เกรงว่าตั้งแต่ต้นจนจบเติ้งจงฉีจะไม่รู้ว่าเหตุใดสนมจงจู่ๆ จึงได้รุ่งเรืองขึ้นมา…


               ที่ท่านลงุใหญ่ทำเช่นนี้ แน่นอนว่ามิใช่เพราะหวังดีต่อเติ้งจงฉี แต่ผู้ใหญ่ที่รู้สึกเกลียดชังบิดาของเติ้งจงฉีเป็นอย่างมากผู้นี้ก็ได้พูดออกมาชัดเจนว่า เติ้งจงฉีไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือพระสนมเอก ทว่าหากสนมเอกเกิดเรื่องแล้ว ก็จะส่งผลกระทบต่อตระกูลเติ้ง ถึงยามนั้น ตำแหน่งราชองครักษ์อี้ของเติ้งจงฉีก็ไม่มีทางจะดำรงอยู่ต่อไปได้


               หากดำรงตำแหน่งต่อไปไม่ได้ก็ได้แต่ต้องกลับเมืองหรงเท่านั้น


               ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงพระสนมเอก ลำพังเพียงเติ้งจงฉีผู้เดียว เขากลับมิได้สนใจว่าจะมีความก้าวหน้าหรือไม่ ภายใต้การสืบทอดอำนาจการปกครองของเหล่าตระกูลใหญ่และราชสำนักมาหลายชั่วอายุคนเช่นนี้ ทั้งยังถูกพวกลุงและอาที่ผูกใจพยาบาทและหมายมั่นปั้นมือไว้แต่แรกแล้วว่าจะไม่ให้เขามีวันได้โอกาสแสดงผีมือ…ทว่าเขายังมีน้องสาวร่วมท้องอยู่ผู้หนึ่ง


               น้องสาวที่มีนามเรียกขานเล่นๆ ว่าวานวาน เมื่อเกิดมาก็ไร้มารดา อายุได้สองปีก็บิดาตายจาก เรียกได้ว่านางและพี่ชายคนโตต้องพึ่งพากันมาแต่เกิด นางล้วนต้อง


อาศัยเติ้งจงฉีพี่ชายคนนี้ทุ่มเทดูแล และต้องคอยระแวดระวังตัวในบ้านตระกูลเติ้งจึงสามารถเติบโตมาได้… ภาษิตว่าพี่ชายคนโตเป็นดั่งบิดา หากมิเคยได้ประสบกับตัว ก็ยากจะเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ได้


                แม้เติ้งจงฉีจะอายุมากกว่าวานวานห้าปี ทว่ามีครึ่งหนึ่งที่เขากลับมองน้องสาวประหนึ่งเป็นบุตรสาว…เขาไม่อาจลืมภาพยามมารดามีปัญหาในการคลอดและดิ้นรนบอกกล่าวเขาอย่างสุดชีวิตว่าจักต้องดูแลน้องสาวให้ดี เขายิ่งไม่อาจลืมเลือนวันที่บิดาของเขาจากโลกนี้ไปในเหมันตฤดูอันแสนเหน็บหนาว ในชินถางที่เย็นเฉียบ ดวงตาที่เบิกโพลงจนเห็นตาขาวและดำชัดเจนของเติ้งวานวานที่อายุยังน้อยเพียงสองขวบ นางเอื้อมมือน้อยๆ ออกมาดึงชายเสื้อเขาอย่างขวัญผวา สงสัยและหวาดกลัว


               …แววตาแห่งความหวาดกลัวว่าจะถูกปฏิเสธและถูกทิ้งขว้างเช่นนั้น ทำให้ความเจ็บปวดประเดประดังเข้ามาภายในจิตใจของเติ้งจงฉี นับแต่พระสนมเอกออกปากให้เขาได้เข้ามาเป็นราชองครักษ์อี้ เบี้ยหวัดของเติ้งจงฉีแทบจะนำไปใช้กับน้องสาวจนหมด สิ่งที่คุณหนูคนอื่นๆ ของตระกูลเติ้งมี เขาก็จะพยายามหามาให้เติ้งวานวานอย่างสุดกำลัง


               แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เติ้งจงฉีก็ยังคงรู้สึกว่าเขาทำให้น้องสาวต้องลำบาก นั่นเพราะก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือจากพระสนมเอก ความเป็นอยู่ในบ้านตระกูลเติ้งของพวกเขานั้นช่างต่ำต้อยและยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน


               ยามนี้น้องสาวที่เขาเฝ้าดูแลมาอย่างยากลำบาก ที่สุดก็ใกล้จะถึงวัยออกเรือนแล้ว การตระเตรียมเรื่องงานแต่งที่เหมาะสมให้นางนี้ ยากเย็นเสียยิ่งกว่าดูแลนางอย่างระมัดระวังมาจนเติบใหญ่ และยากเย็นยิ่งกว่าจัดหาอาภรณ์ชั้นเลิศอย่างคุณหนูตระกูลเติ้งคนอื่นมีเสียอีก


               ปีนี้เติ้งวานวานอายุสิบสี่แล้ว เขายังมิได้ยกนางให้ผู้ใด หากบิดาของพวกเขายังอยู่ ป่านนี้ก็ควรจะได้หาคู่ครองให้แล้ว


               แม้เติ้งจงฉีเองก็ยังมิได้มีคู่ครอง ทว่าเขาเป็นชาย ภายภาคหน้าของเพียงสร้างฐานะมีการงานมั่นคง ก็มิต้องกังวลว่าจะสู่ขอคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่ได้ ทว่าวัยแรกแย้มของหญิงสาวคนหนึ่งเช่นเติ้งวานวานจะรั้งรอได้อย่างไร? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสมบัติติดตัวของสตรียามออกเรือน…ทรัพย์สมบัติที่บิดามารดาทิ้งเอาไว้ให้ล้วนอยู่ภายในตระกูล หากท่านลุงใหญ่ไม่อนุญาตเขาก็ยากจะเอามาให้ถึงมือได้


               …ครานี้ท่านลุงใหญ่รับปากเขา ไม่ว่าจะทำการสำเร็จหรือไม่ ขอเพียงเขาไปทำ ลุงใหญ่ก็จะมองเติ้งวานวานประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ และจะหาตระกูลที่เหมาะสมให้นาง และจัดงานแต่งให้อย่างยิ่งใหญ่


               เติ้งจงฉีรู้ว่าแม้ท่านลุงใหญ่จะเกลียดชังบิดาของตน แต่เขาก็เป็นคนรักษาคำพูด


               ไม่ว่าจะเพื่อพระสนมเอกหรือเพื่อน้องสาว เขาก็ไม่มีเหตุผลใดจะต้องสั่นคลอน


               เพียงแต่ครานี้ เรื่องราวเริ่มต้นมาราบรื่น แต่เมื่อใกล้จะบรรลุเป้าหมาย กลับพลาดเป้าไปเพียงน้อยนิดเท่านั้น


               เขายังคงไม่ได้พบกับซ่งไจ้สุ่ย


               ข่าวคราวที่พระสนมเอกเติ้งเสาะหามาได้อย่างยากเย็นว่าว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทผู้นี้มิได้ต้องการจะแต่งเข้าวังเลยแม้แต่น้อย และด้วยเหตนี้ซ่งไจ้สุ่ยจึงได้ยื้อเวลาอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยไม่ยอมมาเมืองหลวงสักที


               หากผู้ที่บังเอิญได้พบบนเขาไผ่น้อยมิใช่คุณหนูตระกูลเว่ยแต่คือซ่งไจ้สุ่ย ว่ากันว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้อบรบเลี้ยงดูคุณหนูผู้นี้มาตั้งแต่ยังเล็กเพื่อเตรียมให้เป็นฮองเฮาในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าจะด้านฐานะวงศ์ตระกูลหรือว่า กลวิธีในการปกครองบ้านเมือง ล้วนคู่ควรที่จะเป็นชายาองค์รัชทายาท… เมื่อถูกจดจ้องไปหลายครั้งหลายครา นางก็ย่อมต้องเกิดความเคลือบแคลงขึ้นมาในใจ


               ขอเพียงทำให้ซ่งไจ้สุ่ยเกิดความเคลือบแคลง เติ้งจงฉีก็มีวิธีของเขา หากวันนี้ซ่งไจ้สุ่ยได้มีโอกาสสนทนากับเขาเพียงลำพัง เรื่องว่าจะทำเช่นใดให้ว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทหลบเลี่ยงการแต่งเข้าวัง… หรือหากไม่อาจเกลี่ยกล่อมซ่งไจ้สุ่ยได้จริงๆ แสงสว่างวาบในวันนี้ ก็มิใช่ว่าจะให้เอียงไปอีกสักหน่อยไม่ได้…


                ใช้ตนเองแลกกับชีวิตของพระสนมเอกและอนาคตของน้องสาว เติ้งจงฉีก็นับว่าคุ้มแล้ว


               ทว่า แม้เขาจะเตรียมการเสียสละตนเช่นนี้ แต่โชคชะตากลับไม่เข้าข้าง เดิมทีนั้นระหว่างทางได้รับข่าวสารมาว่าเว่ยฉางเฟิงพี่น้องและซ่งไจ้สุ่ยล้วนออกมาจากรุ่ยอวี่ถัง และมาพักอยู่บนเขาไผ่น้อยเป็นเวลาสั้นๆ เขาจึงได้สู้อุตส่าห์เร่งพวกพ้องรีบเดินทางมาให้ทันโอกาสนี้…แต่ยามนี้…กลับไม่เข้าทีเสียแล้ว


               เกรงว่าอีกไม่กี่วันซ่งไจ้เถียนก็จะมถึงเฟิ่งโจวพร้อมด้วยเสิ่นโจ้ว เมื่อเขามาถึงแล้ว ก็ย่อมจะไม่อนุญาตให้น้องสาวยื้อเวลาอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยต่อไป


               อีกทั้งจากที่นี่ไปชิงโจวต่อให้เร่งรีบปานใดก็ยังต้องใช้เวลาสามวันถึงจะไปถึง รวมกับที่ต้องเสาะหาคนในครอบครัวของสนมจงก็มิรู้ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด…นอกเสียจากว่าซ่งไจ้เถียนจะพักอยู่ที่เฟิ่งโจวกับน้องสาวจนถึงยามที่พวกเขาย้อนกลับมา แต่เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?


               ยิ่งไปกว่านั้นรอจนซ่งไจ้เถียนมาถึงแล้ว แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะยอมให้ความร่วมมือกับเขา ก็เกรงว่าจะไม่สะดวกเสียแล้ว


               เมื่อเติ้งจงฉีทานอาหารเสร็จ เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว


               เมื่อทุกคนดื่มน้ำชาหมดและออกมาจากร้านสุกรา บ่าวไพร่จูงม้ามา ทุกคนต่างพากันจัดแจงอานและดึงตัวขึ้นบนหลังม้า ในขณะที่กำลังจะเร่งออกเดินทางต่อไป…ม้าของเติ้งจงฉีพลันร้องเสียงฮี่ยาวๆ ยกขาสูง แล้วถีบเจ้าของกระเด็นออกไป จนไปตกกระทบพื้นดังพั่บและไปนอนมอบอยู่กับพื้น เขากระเสือกกระสนขยับตัวอยู่พักหนึ่งแต่กลับยากจะลุกขึ้นได้!


               “จงฉี?!” พวกของกู้อี้หรานทั้งสามคนพากันตื่นตกใจอย่างยิ่ง! พากันรีบลงจากม้ามาดู…และพบว่าเติ้งจงฉีกระอักเลือดออกมาแล้ว!


               สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะเดินทางต่อไปได้ ทว่าก็มิอาจจะขัดราชโองการได้เช่นกัน ดังนั้นจึงจำต้องหาโรงเตี๊ยมในเฟิ่งโจวให้เขาได้พักรักษาตัว


               เขาส่งพวกพ้องออกเดินทางทั้งลมหายใจรวยรินและต้องออกจากภารกิจนี้ เติ้งจงฉีนอนพักอยู่ในโรงเตี้ยมด้วยใบหน้าซีดขาว แต่จิตใจกลับสงบนิ่ง มองไปบนเพดาน คิดในใจว่า ‘ด้วยความกว้างขวางของตระกูลเว่ยในเฟิ่งโจว เกรงว่าสองสามวันก็จะต้องมีคนมาแสดงความขอบคุณข้า เพียงแต่ว่าฉางซานกงฉลาดหลักแหลม เช้านี้ข้าเพิ่งจะช่วยหลานสาวของเขา และปฏิเสธคำเชิญของหลานชายเขา ผ่านไปไม่นานก็ถูกม้าของตัวเองถีบบาดเจ็บ จนไม่อาจไม่หยุดพักที่เฟิ่งโจวได้…เกรงว่าเขาจะเกิดระแวงสงสัยขึ้นมา’


               แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่มีทางอื่น หากไม่ทำลายสัญญาที่ฮองเฮากู้ได้ทำไว้กับซ่งอวี่วั่ง พระสนมเอกเติ้งก็จะมีอันตราย ยิ่งไปกว่านั้นความคิดและแผนการของซ่งไจ้สุ่ยก็มิใช่ธรรมดา ยามนี้นางไม่ต้องการจะแต่งงานกับองค์รัชทายาท แต่หากวันใดได้แต่งขึ้นมาและได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท เพื่อตนเองแล้วมีหรือนางจะไม่ช่วยฮองเฮาและองค์รัชทายาท? ถึงยามนั้นพระสนมเอกเติ้งก็จะต้องมีอุปสรรคเพิ่มขึ้นอีก


               ตระกูลเว่ย… คิดดูแล้วการที่ตระกูลเว่ยยอมให้ซ่งไจ้สุ่ยยื้อเรื่องอยู่นานเช่นนี้ แม้ไม่สนับสนุนให้นางปฏิเสธการแต่งงาน แต่ก็มิได้เห็นดีเห็นงามกับเรื่องงานแต่งครานี้ แม้ตระกูลเว่ยและตระกูลซ่งจะเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานมาหลายชั่วคน แต่แท้จริงแล้วก็เป็นสองตระกูล… และซ่งไจ้สุ่ยเองมิใช่บุตรสาวของตระกูลเว่ย!


               หลายปีมานี้อำนาจของรุ่ยอวี่ถังในรัชสมัยนี้น้อยลงทุกที ในรุ่นของเว่ยฉางเฟิงก็ก็ยังมิได้โตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยความหลักแหลมของเว่ยฮ่วน ต่อให้มองเรื่องนี้ออก แต่ก็ใช่ว่าจะเปิดโปงแผนการของเขา อย่างไรรุ่ยอวี่ถังในยามนี้ก็จำเป็นต้องสงวนท่าทีเอาไว้ รอจนคนในรุ่นของเว่ยฉางเฟิงเติบใหญ่เสียก่อน


               เว่ยฮ่วนคงไม่บุ่มบ่ามเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งใดๆ ในยามนี้ ต่อให้ซ่งไจ้สุ่ยเป็นหลานสาวของเขาก็ตาม


               แน่นอนว่าเมื่อเติ้งจงฉีช่วยเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ ทั้งยังพักรักษาตัวอยู่ที่เฟิ่งโจว แล้วเข้าไปในรุ่ยอวี่ถังเพื่อเกลี่ยกล่อมให้ซ่งไจ้สุ่ยปฏิเสธการแต่งงาน เรื่องนี้ก็จะทำให้ตระกูลเว่ยเข้าไปพัวพันด้วย เว่ยฮ่วนจะต้องแค้นเคืองเขาเพราะเรื่องนี้… แต่นั่นก็ช่างประไร


               อย่างไร พระสนมเอกก็อยู่ที่เมืองหลวง เติ้งวานวานก็อยู่ที่เมืองหลวง


               ในเฟิ่งโจวแห่งนี้ ก็มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น


               ในยามที่เติ้งจงฉีอยู่ในโรงเตี๊ยม ใคร่ครวญอย่างละเอียดว่าจะทำลายการแต่งงานของซ่งไจ้สุ่ยและองค์รัชทายาทได้อย่างไรนั้น พวกของเว่ยฉางอิ๋งทั้งสามคนก็ได้มาถึงตีนเขาเสียที


               ยังไม่ทันได้ขึ้นรถ กลับมีองครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาแต่ไกลและรายงานต่อเว่ยฉางเฟิงว่า “คุณชายขอรับ มีคนต้องการจะขึ้นเขามาชมป้ายขอรับ”


               “ให้เขารอก่อน” เว่ยฉางเฟิงกำลังกำชับกำชาให้คนที่ประคองพี่สาวทั้งสองให้ระวังให้มากหน่อย เมื่อได้ยินคำจึงกล่าวว่า “บอกเขาว่าพวกเรามีนายผู้หญิง รอสักพักพวกเราไปแล้ว จึงจะให้เขาขึ้นเขามา” นับแต่ซ่งไจ้สุ่ยตัดสินใจจะมาเที่ยวที่เขาไผ่น้อย ตระกูลเว่ยก็ได้ส่งคนมาปิดล้อมตรวจตราและปิดเขาไผ่น้อยเอาไว้ ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุแท้จริงที่เว่ยฉางอิ๋งบอกว่าซ้ายขวาไร้ผู้คน… ยามนี้ฤดูร้อนค่อยๆ เลือนหายไป ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะออกไปท่องเที่ยว หากตระกูลเว่ยไม่ไล่คนไป บนเขาไผ่น้อยที่เต็มไปด้วยต้นไผ่สีเขียวชอุ่ม บวกกับป้ายสลักหิน ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ จะไม่มีผู้คนมาท่องเที่ยวได้อย่างไร?


               วันนี้พวกเขาจะกลับแล้ว แต่ยังไม่ได้ออกจากเขาไป จึงแน่นอนว่าเขาไผ่น้อยยังคงปิดเอาไว้อยู่ เขาไผ่น้อยแห่งนี้เป็นสมบัติของตระกูลเว่ย ป้ายสลักหิน ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ นั้นอยู่ที่ตีนเขา เพื่อให้ผู้คนในหล้าได้มาชม… ซึ่งนี่ก็คือความใจกว้างของตระกูลเว่ย แต่หากเมื่อคนในตระกูลเว่ยมีความจำเป็น และต้องปิดเขาไผ่น้อยเป็นการชั่วคราวก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว


               องครักษ์รับคำ แต่กลับไม่ได้ไป หากแต่มีสีหน้าครุ่นคิด


               เว่ยฉางเฟิงเอ่ยถามอย่างสังสัยว่า “ยังมีเรื่องใดอีก?”


               “ข้าน้อยเห็นว่าคนผู้นั้นช่างดูไม่ธรรมดา…” ครานี้องครักษ์ลังเลสักพักจึงได้กล่าวว่า “คล้ายมิใช่คนธรรมดาทั่วไปขอรับ”


               สิ่งที่สืบทอดกันมาภายในตระกูลเว่ยนั้น พวกบ่าวไพร่นั้นรู้ดีกว่ามิใช่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบเทียมได้ ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเว่ยเองก็มีพี่น้องที่ใบหน้ามีสง่าราศีกว่าคนทั่วไปจำนวนไม่น้อย ความไม่ธรรมดาของผู้ที่มา ถึงกับทำให้องครักษ์ลังเลไม่กล้าปฏิบัติตามคำสั่ง เห็นได้ชัดว่าราศีของคนผู้นี้ดูไม่แพ้คนตระกูลเว่ย หรืออย่างน้อยก็ไม่ด้อยกว่าคนตระกูลเว่ยสักเท่าใด ไม่เพียงแค่เว่ยฉางเฟิงที่รู้สึกสงสัยไม่เบา แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเช่นกัน “ไม่ธรรมดาเช่นใด?”


               องครักษ์ตอบอย่างหนักแน่น “หลายปีก่อน ข้าน้อยเคยได้เห็นนายท่านหนหนึ่ง เมื่อได้เห็นทีท่าของคนผู้นั้น รู้สึกว่าช่างคล้ายกับนายท่านอยู่หลายส่วน”


               ซ่งไจ้สุ่ยไม่เคยได้เข้าคารวะท่านอาที่ร่างกายอ่อนแอขี้โรคผู้นี้มาก่อน แต่เว่ยฉางเฟิงพี่น้องกลับมีสีหน้าตกใจ… แม้เว่ยเจิ้งหงจะไม่ค่อยพบคนภายนอก แต่เป็นผู้ที่แม้มองเพียงผ่านก็ยังดูสง่างาม ทว่ากลับมีคำร่ำลือในเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ว่าเขาเป็น ‘บุตรชายที่ร่างกายอ่อนแอไร้ความหวัง ทั้งยังทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล’ แม้จะร่ำลือว่าเขามีร่างกายอ่อนแอ แต่กลับไม่อาจใช้คำว่า ทำลายความหวังของวงศ์ตระกูลมาอธิบายได้ กระทั่งลูกหลานตระกูลมีชื่อทั้งหลายก็ยังห่างชั้นจากเขายิ่งนัก


               หลายปีมานี้ ในบรรดาคนตระกูลใหญ่เมื่อเอ่ยถึงความสง่างามก็จะต้องนำมาเปรียบเปรยกับความสง่างามของเว่ยเจิ้งหง เพียงแต่ผู้ที่เคยพบเว่ยเจิ้งหงนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย และคนส่วนใหญ่ก็เล่าขานกันมาเช่นนั้น… แต่องครักษ์ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เคยได้เห็นเว่ยเจิ้งหงมาก่อน


               เมื่อกล่าวมาดังนี้ ความสง่างามของผู้ที่ต้องการขึ้นเขามาชมป้ายผู้นี้จึง…


               เว่ยฉางอิ๋งเข้าไปกระซิบข้างหูน้องชายในทันที “ข้าและท่านพี่ไจ้สุ่ยจะขึ้นรถไปก่อน เจ้าเชิญคนขึ้นมาพูดคุย พวกเราคอยดูอยู่ในรถว่าเป็นผู้ใดกันแน่ ถึงขั้นสามารถเทียบเทียมท่านพ่อของพวกเราได้?”


___________________________



ตอนที่ 50 ฝากตัว

โดย

Xiaobei

เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยขึ้นไปนั่งในรถเรียบร้อย และปลดม่านคลุมรถบางเบาลงมา ครานี้เว่ยฉางเฟิงจึงได้สั่งองครักษ์ผู้นั้นว่า “ไปเชิญผู้มาเยือนมาพบ”


ในเมื่อคนผู้นั้นต้องการจะขึ้นเขามาชมป้าย ก็จะต้องไม่ปฏิเสธคำเชิญของเว่ยฉางเฟิง


เมื่อเห็นคนชุดสีขาวเดินตามองครักษ์มาอย่างคล่องแคล่วว่องไง เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยที่อยู่ในรถต่างตกใจเล็กน้อย“ชุดขาว? หรือจะเป็นชาวบ้านทั่วไป?” ชุดขาวไม่ได้ผ่านการย้อมสี ดังนั้นราคาจึงถูก และเป็นเสื้อผ้าที่ชาวบ้านทั่วไปสวมใส่ บ่อยครั้ง ‘ชุดขาว’ สองคำนี้ก็ได้นำไปใช้เรียกแทนชาวบ้านทั่วไปด้วย


ความเคารพต่อตระกูลสูงศักดิ์และการดูแคลนชาวบ้านทั่วไปที่มีในรัชสมัยปัจจุบันนี้เห็นชัดปานใด แม่นางทั้งสองต่างรู้ดี ชาวบ้านทั่วไปก็มิใช่ว่าจะไม่มีคนเข้าไปเป็นขุนนางในวัง ทว่า…ตำแหน่งมีชื่อที่สุด มีอำนาจมากที่สุดนั้นไม่มีวันถึงมือพวกเขา


ยิ่งไปกว่านั้นแม้ชาวบ้านจะมีทรัพย์สมบัติแต่ก็ยังห่างไกลกับตระกูลใหญ่หลายขุม หากไร้ซึ่งมรดกตกทอดไร้ซึ่งความมั่งคั่งมหาศาล พวกเขาหรือจะมีแก่ใจสงบนิ่งมาสร้างความสง่างามให้ตนเอง?


เช่นนั้นระหว่างชนชั้นสูงจึงให้ความสำคัญกับความสง่างาม…และแต่ไรมาก็จะมีเฉพาะในชนชั้นสูง


ทว่าเรื่องราวในโลกยากหยั่งถึง กลับมีคนจำนวนน้อยเหลือเกินที่แม้จะมีชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่กลับเกิดมาสง่างามและมิได้แปดเปื้อนด้วยโลกิยะทั้งปวง


คนประเภทนี้ ก็เอ่ยได้เพียงประโยคเดียวว่าเป็นสวรรค์ประทานให้


หรือว่าครานี้ ก็คือคนประเภทนี้?


เมื่อคนเข้ามาใกล้ ก็เป็นชุดขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวบ้านทั่วไปดังว่า ทั้งยังเปรอะเปื้อนฝุ่นดินเล็กน้อย หาได้สะอาดหมดจดไม่ ชายเสื้อตัวยาวถึงขั้นมีรอยโคลนหลังฝนติดอยู่สองสามจุด


แต่องครักษ์มิได้โป้ปดจริงๆ คนผู้นี้มีความสง่างามเหนือธรรมดา


เครื่องแต่งกายของเขาเรียบง่ายเป็นอย่างมาก เสื้อตัวยาวสีขาว บนหัวสวมหมวดสีเขียวไผ่ เท้าสวมรองเท้าไม้ เครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายจนดูยากจนเช่นนี้ เป็นการแต่งกายของผู้ยากไร้ที่ได้ร่ำเรียนหนังสือซึ่งพบเห็นได้บ่อยที่สุด


แต่อาภรณ์ที่เรียบง่ายเช่นนี้เมื่ออยู่บนกายของชายหนุ่มแน่นที่เรียกตนว่าซินหย่งแล้วกลับให้ความรู้สึกว่ามีความห่างไกลลึกลับหาที่สุดมิได้ฉาบอยู่บนตัวเขาชั้นหนึ่ง


ซินหย่งผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา ผิวพรรณขาวผ่องหมดจด แต่สิ่งที่จับใจคนเสียยิ่งกว่าความหล่อเหลาผุดผ่องกลับคือความรู้สึกเหินห่างยิ่งนัก… แต่ภาพของเขาซึ่งสวมชุดขาวหมวกสีไผ่และยืนอยู่บนพื้นดินที่เป็นโคลน ค่อยๆ ก้าวเข้ามาด้วยจิตใจสงบนิ่งเช่นนี้ กลับทำให้ทุกคนต่างรู้สึกว่าเขาควรจะเป็นขุนนางตำแหน่งสูงผู้หนึ่ง หรือกระทั่งเป็นผู้มีชื่อเสียง


ความสง่างามที่ทำให้คนรู้สึกนับถือ ให้ความเคารพอย่างไม่มีเงื่อนไข กระทั่งชื่นชอบตั้งแต่แรกเห็นเช่นนี้…แม้แต่เว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งก็ยังอดจะพลอยรู้สึกไปด้วยไม่ได้ แม้แต่พวกเขาก็ยังเคยได้เห็นจากตัวของเว่ยเจิ้งหงเท่านั้น


มิน่าเล่าองครักษ์นายนั้นจึงได้บอกกับนายว่าผู้ที่ขอขึ้นเขามาชมป้ายสลักนั้นไม่ธรรมดา


เดิมทีตัดสินใจไว้แล้วว่าหากเป็นคนในตระกูลมีชื่อ ก็จะพูดคุยสานสัมพันธ์กัน แต่ยามนี้ในเมื่อเป็นชาวบ้านทั่วไปเว่ยฉางเฟิงจึงเกิดความคิดจะทาบทามคนเข้าบ้านขึ้นมาในทันใด เดิมทีเขายืนอยู่หน้ารถม้าเพื่อรอคารวะผู้มาเยือน… ด้วยฐานะหลานชายบ้านใหญ่ของตระกูลเว่ยและอีกฝ่ายเป็นเพียงชาวบ้านชุดขาว ทำเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเป็นการเย่อหยิ่ง ทว่าเขากลับถูกความสง่างามของผู้มาเยือนทำให้ลุ่มหลงเสียนี่ เขาจึงจงใจก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วประสานมือคารวะและเอ่ยทักก่อน


เว่ยฉางอิ๋งเห็นดั้งนั้นจึงรีบหันสายตากลับมาแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ และไม่รู้ว่าวันนี้จงใจมาหรือไม่?” หากเป็นคนตระกูลใหญ่ นางก็กลับเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องบังเอิญมาถึงและพบว่าเขาไผ่น้อยปิดอยู่ แต่ในเมื่อเป็นชาวบ้านทั่วไป แม้จะมีความสามารถเกินคนแต่ก็ควรลำพองตัว หรือไม่สมควรเป็นฝ่ายขอพบพวกตระกูลใหญ่ และจงใจเลือกโอกาสเช่นนี้เพื่อเข้าใกล้เว่ยฉางเฟิงและขอให้ช่วยทำการบางอย่าง… แม้จะน่าสงสัยว่าเขาต้องการยกฐานะตนเอง แต่ผู้ที่ทำเช่นนี้ โดยมากแล้วล้วนเป็นผู้ที่ทะนงตนว่ามีความสามารถเหนือผู้อื่น


หากเทียบกับความสามารถของพวกเขา ชนชั้นสูงก็มิได้รังเกียจที่จะไว้หน้าพวกเขาสักน้อย


ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยเพียงเท่านี้ และกลับมิได้ดูแคลนซินหย่งด้วยเหตุนี้ แต่ซ่งไจ้สุ่ยกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์กับซินหย่งผู้นี้เป็นอันมาก กล่าวว่า “คนผู้นี้มีความสง่างามเช่นท่านอาแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น ที่แท้ท่านอางดงามถึงเพียงนี้! มิน่าเล่าท่านย่าจึงได้เล่าว่าปีนั้นที่ท่านอาหญิงออกเรือน เหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหกล้วนมีความประสงค์จะแต่งงานด้วย แต่ท่านอาหญิงกลับยืนยันว่าจะยอมแต่งกับท่านอาเท่านั้น”


“ท่านพ่อสง่างามเหนือธรรมดาจริงๆ เหนือกว่าคนผู้นี้ เพียงแต่ร่างกายของท่านพ่อ…” น้ำเสียงของเว่ยฉางอิ๋งนั้นทั้งภูมิใจและทั้งเสียดาย


ซ่งไจ้สุ่ยปลอบประโลมว่า “จนยามนี้ท่านอาก็ไม่ใช่ว่าอาการดีแล้วหรอกหรือ? แม้จะอ่อนเพลียอยู่บ้าง ไม่ชอบความวุ่นวาย แต่รุ่ยอวี่ถังยิ่งใหญ่เพียงนี้ ให้ท่านพักผ่อนอย่างสงบก็ไม่เห็นเป็นไร ยิ่งไปกว่านั้นบางทีผ่านไปอีกสักหน่อยก็จะหายดีแล้ว”


หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็คงดี… เว่ยฉางอิ๋งนึกถึงจี้ชวี่ปิ้งขึ้นมา พลันรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ…แล้วเริ่มคิดล่องลอยไปไกล


รอจนนางได้สติคืนมา เว่ยฉางเฟิงก็สั่งให้ทุกคนออกเดินทางแล้ว


เว่ยฉางอิ๋งเรียกน้องชายมาสอบถามที่ข้างรถ “คนเมื่อครู่นี้เล่า?”


เว่ยฉางเฟิงตอบว่า “เขาขึ้นเขาไปชมป้ายหินแล้ว”


“เป็นเช่นไร?”


ที่ว่าเป็นเช่นไร ก็คือสอบถามเว่ยฉางเฟิงว่ารู้สึกอย่างไรกับคนผู้นี้ และ ความสามารถของคนผู้นี้สมควรทาบทามมาทำงานหรือไม่ และทาบทามได้สำเร็จหรือไม่… เว่ยฉางเฟิงกล่าวยิ้มๆ “ครานี้ ถือว่าองครักษ์นายนั้นได้สร้างคุณงามความดี คนผู้นี้วาจาไม่ธรรมดา ไหวพริบดี ทั้งที่เป็นชาวบ้านทั่วไป เหมาะสมที่จะเรียกเข้าไปทำงานในตระกูล… ข้าได้บอกกับเขาเรียบร้อยแล้ว หากชมป้ายสลักแล้วยังต้องการจะชมลายมือของจริง สามารถไปหาข้าที่รุ่ยอวี่ถังได้”


เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “กระทั่งลายมือ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ของจริง เจ้าก็อนุญาตให้เขา? เรื่องนี้จักต้องบอกกล่าวต่อท่านปู่”


“จะให้เขาได้อย่างไร?” เว่ยฉางเฟิงกล่าว “ข้าบอกว่าให้เขาไปชมเท่านั้น และแน่นอนว่าต้องไปชมในบ้านเรา”


เขาพึมพำกับตนเองว่า “ข้าคิดว่าอีกสองสามวันคนผู้นี้จะต้องมาหาที่บ้าน หาไม่แล้วเขาจักต้องขอขึ้นเขามาชมป้ายในวันนี้ให้ได้เพื่อสิ่งใด?”


เห็นได้ชัดว่าเว่ยฉางเฟิงก็คิดว่าเป้าหมายของซินหย่งที่มาขอชมป้ายสลักหินนี้เป็นเรื่องเท็จ แต่ความต้องการเข้าใกล้ตนต่างหากที่เป็นเรื่องจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้คนผู้นี้มิได้ตอบรับการทาบทามของเขาเช่นหนนี้ ก็เพียงแสร้งปล่อยเพื่อรอจับเท่านั้น…ทำวางท่าไปเช่นนั้นเอง


ผู้มีความสามารถแท้จริงโดยมากแล้วล้วนไม่ยอมคุกเข่าให้ใคร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถูกทาบทามให้มาทำงานก็กลับตอบรับในทันที..เช่นนี้มิสู้เข้าไปขอฝากตัวเสียแต่แรกเลยดีกว่า!


เมื่อตระกูลสูงศักดิ์คัดเลือกคนเข้าบ้าน ก็หาได้รังเกียจที่จะใช้วิธีลดตัวลงไปสนิทสนมด้วย เพราะขอเพียงอยู่ในขอบเขตที่พวกเขาสามารถรับได้ เช่นนั้นก็พอดีเป็นดังคำกล่าวที่ว่าตระกูลมีชื่อย่อมให้เกียรติผู้มีความสามารถ


ดังนั้นวันนี้ เมื่อเห็นว่าซินหย่งยังคงเอ่ยคำลากับเว่ยฉางเฟิง แล้วขึ้นเขาไปชมป้ายสลัก… สองพี่น้องจึงมิได้รู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย สมมติว่าเว่ยฉางเฟิงพูดจากับเขาสักพักก็พาเขากลับตระกูลเว่ยได้แล้ว เช่นนั้นต่างหากที่จะทำให้รู้สึกเคลือบแคลงใจ!


เว่ยฉางเฟิงได้รับการอบรมจากเว่ยฮ่วนมาแต่เล็ก หาได้ต้องเร่งรีบ ขอเพียงทำตามเหตุผลของอีกฝ่ายที่ต้องการมาชมป้ายสลักบนเขาไผ่น้อย แล้วให้สัญญาว่าจะให้อีกฝ่ายไปชมลายมือ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ของจริง นอกจากจะรักษาหน้าตาของอีกฝ่ายแล้ว ยังเป็นการแสดงความใจกว้างของตนอีกด้วย.. อย่างไรก็เพียงให้อีกฝ่ายเข้าไปเยี่ยมชมในจวน สำหรับเว่ยฉางเฟิงแล้วก็มิได้เสียหายแต่อย่างใด แต่ลายมือจริงนี้ล้ำค่ายิ่ง มีเพียงคนในตระกูลเว่ยที่จะได้ชม และมิใช่ใครก็ได้จะสามารถได้เห็น


สำหรับชาวบ้านธรรมดาเช่นซินหย่ง คำสัญญานี้นับว่าเป็นสิ่งยั่วยวนยิ่ง ทั้งยังเป็นความจริงใจและให้เกียรติที่ไม่เลวเลยจริงๆ


เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า “เช่นนี้ เราก็สามารถได้เขา แปด เก้าส่วนจากสิบส่วน” เมื่ออีกฝ่ายมีความต้องการอยู่ก่อนแล้ว เว่ยฉางเฟิงมีท่าทีอ่อนน้อมทั้งยังให้คำสัญญา ตามหลักการแล้ว คนผู้นี้ก็จะต้องเป็นคนของเว่ยฉางเฟิง …แม้ข้างกายของเว่ยฉางเฟิงจะมีเว่ยชิงอยู่แล้ว และยังมีโม่ปินเว่ยที่แม่เฒ่าซ่งหมายตาเอาไว้ แต่จนถึงยามนี้ก็ยังหาตัวไม่พบ หากจะว่ากันจริงๆ เขายังไม่มีผู้มีความสามารถมาเป็นมือขวา แต่เรื่องนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็นผู้ตระเตรียมให้ หากทาบทามซินหย่งผู้นี้ได้สำเร็จ ก็จะเป็นผู้มีความสามารถคนแรกที่เว่ยฉางเฟิงเป็นผู้สรรหามาได้


แม้จะอาศัยชื่อเสียงของตระกูลเว่ย แต่นี่ก็ถือเป็นการพิสูจน์ความสามารถและ ความสง่างามของเว่ยฉางเฟิง


เว่ยฉางเฟิงที่อายุได้สิบห้าปี ทั้งยังเป็นบุตรชายคนเดียวของบ้านใหญ่ จึงต้องการการพิสูจน์ตนเองเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง


เว่ยฉางอิ๋งย่อมรู้สึกยินดีกับน้องชายเป็นธรรมดา


ในวัยที่เพิ่งได้เกล้าผมก็มีคนมีความสามารถเข้ามาขอฝากตัว…แม้วิธีการจะดูไม่ตรงไปตรงมาไปสักหน่อย แต่อารมณ์ของเว่ยฉางเฟิงก็ยังดีอยู่มาก จึงได้เกิดความคิดจะทาบทามคนขึ้นมา เขาปั้นหน้าไม่ใส่ใจและกล่าวว่า “กลับไปแล้วยังต้องให้คนไปตรวจสอบดูสักหน่อย ลำพังแค่ฟังดูยังตัดสินสิ่งใดมิได้” คำพูดพูดไปเช่นนั้น แต่มุมปากกลับอดจะโค้งขึ้นมาไม่ได้


“จะต้องสอบถามดูหัวนอนปลายเท้าให้ดี” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกพึงพอใจในตัวน้องชายเสียยิ่งกว่าเก่า “คนที่ต้องอยู่ใกล้ตัว ต้องระวังไว้ให้มาก”


ตลอดทางไม่มีการพูดจาใด


เมื่อกลับถึงจวน ฮูหยินซ่งร้อนใจจึงไปรอตรงที่ลงรถ แม้จะไม่ได้พบหน้าเพียงวันสองวัน เมื่อฮูหยินซ่งพบหน้าบุตรชายบุตรสาวก็กลับตื่นเต้นเสียยิ่ง ราวกับพรากจากกันมานานปีเช่นนั้น เมื่อไต่ถามหนแล้วหนเล่าจนได้ความว่าทั้งสามคนต่างไม่เป็นอะไรแล้วนั่นล่ะ ครานี้จึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ และพาพวกเขาไปพบแม่เฒ่าซ่ง


เมื่อเทียบกับสะใภ้ใหญ่ แม่เฒ่าซ่งซึ่งเป็นห่วงหลานๆ ไม่แพ้กัน กลับควบคุมท่าทีได้ดีกว่ามาก ยามหลานๆ ทั้งสามคนมาคารวะต่อหน้า ก่อนอื่นใด นางรีบห้ามซ่งไจ้สุ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่ามิต้องคุกเข่าลงคารวะ ให้นางมานั่งตรงหน้าจากนั้นสีหน้าก็พลันหนักอึ้ง แล้วให้เว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งคุกเขาลง และตำหนิพวกเขาทั้งสองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่าประมาทเลินเล่อ ดูแลแขกไม่ทั่วถึง กระทั่งทำให้ซ่งไจ้สุ่ยบาดเจ็บอยู่บนเขาไผ่น้อย


แน่นอนว่านี่เป็นการจงใจทำให้ซ่งไจุ้ส่ยดู แม้จะแสดงท่าทีให้เกียรตินาง แต่ก็เป็นการบ่งบอกเป็นนัยว่าการกระทำของนางนั้นทำให้พี่น้องบ้านใหญ่ต้องลำบาก


และเป็นธรรมดาที่ซ่งไจ้สุ่ยจะไม่มีทางดูไม่ออก แม้นางจะมีแผนการในใจ แต่เพราะเป็นสาวเป็นแส้ผิวพรรณบอบบาง ยิ่งไปกว่านั้นนางก็รู้สึกผิดต่อลูกผู้น้องทั้งสองอยู่ในใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นภาพนี้ ในหน้าของนางจึงเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง อดจะเอ่ยคำขอความเห็นใจทั้งที่รู้สึกอึดอัดในใจไม่ได้… รอจนที่สุดแม่เฒ่าซ่งอนุญาตให้เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงลุกขึ้นแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยพลันรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกไต่ถามต่อไปว่าบาดเจ็บได้อย่างไร จึงรีบเอ่ยเรื่องที่ต้องการกลับเมืองหลวง


แน่นอนว่าแม่เฒ่าซ่งจะต้องรั้งนางไว้ ฮูหยินซ่งก็กล่าวว่า “ยามนี้อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี แล้วจู่ๆ ก็จะไปได้อย่างไร? หรือยังขัดเคืองฉางเฟิงและฉางอิ๋ง หากเป็นเช่นนั้น ดูซิว่าข้าจะทำโทษพวกนางอย่างไรอีก?”


“เป็นเพราะยังไม่หายดี จึงอยากจะขอลาเจ้าค่ะ” ซ่งไจ้สุ่ยทำตามคำเตือนของเว่ยฉางอิ๋ง นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นแล้วกล่าวเสียงเบาอย่างช้าๆ ว่าครานี้หากมิได้น้องฉางอิ๋งช่วยไว้ และไม่ได้น้องฉางเฟิงคอยดูแล มีหรือข้าจะยังเป็นเช่นยามนี้? เพียงแต่ข้าไม่ขอปิดบังท่านอาว่าสองวันมานี้ข้าหกล้มอีกหลานหน ก่อนนี้ท่านหมอจี้บอกว่าเมื่อเลือดสลายไปแล้วก็จะหาย ยามนี้รอยฟกช้ำยังไม่จางไปหมด แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ค่อยปกติ.. ฉางอิ๋งก็บอกว่าตอนนางเล็กๆ และหกล้มจนช้ำเป็นรอยเขี้ยวบ้างม่วงบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอาการดังเช่นข้า… แม้ว่ายามนั้นนางไม่ได้หกล้อมโดนหัวเข่าก็ตาม”


“ข้าหาได้กังขาต่อวิชาแพทย์ของท่านหมอจี้ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นผู้ให้การรักษาท่านปู่ วิชาแพทย์ของเขาย่อมต้องดีเป็นแน่ แต่ว่ากันว่าแต่ละศาสตร์มีความรู้เฉพาะด้าน อาการบาดเจ็บภายนอกของข้าครานี้ ท่านหมอจี้มิได้มีความชำนาญด้านนี้ อาการบาดเจ็บดังเพลิงเผา ยิ่งรั้งรอนานยิ่งยุ่งยาก ดังนั้นนข้าจึงคิดว่ารีบกลับไปเมืองหลวงจะดีกว่า..อย่างไรเสียที่นั่นก็มีหมอหลวงอยู่จำนวนมาก”


แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งสบตากันคราหนึ่ง แล้วนิ่งเงียบไปเกือบเค่อ แม่เฒ่าซ่งจึงได้เอ่ยว่า “จี้อวิ๋นไม่ชำนาญอาการบาดเจ็บภายนอกจริงๆ หัวเข่าของเจ้า.. ยามนี้มีอการเช่นใดกันแน่?”


ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มเจื่อน กล่าวว่า “จนยามนี้เมื่อลุกขึ้นและเดินยังรู้สึกปวดอยู่บ้าง ซึ่งมีสาเหตุมาจากเลือดคั่ง แต่…ดีๆ อยู่กลับพลันไร้เรียวแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น และล้มลงไป จนเดี๋ยวนี้ข้ายังไม่กล้าให้พวกชุนจิ่งอยู่ห่างข้าแม้ครึ่งก้าว”


คนในห้องโถงได้ยินคำแล้วต่างหันกลับมา ปรากฏว่าพวกสาวใช้ทั้งชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งแทบจะยืนประกบติดตัวยามซ่งไจ้สุ่ยยืนอยู่ กระทั่งยังเตรียมพร้อมจะประคองซ่งไจ้สุ่ยอยู่ทุกเมื่อ


เมื่อเห็นสภาพการณ์ดังนี้ สีหน้าของแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งพลันหนักอึ้งขึ้นมา ฮูหยินซ่งเองก็เป็นอาแท้ๆ ของซ่งไจ้สุ่ย ยิ่งทำให้รู้สึกเป็นกังวลต่ออาการบาดเจ็บของนาง พลันเอ่ยอย่างตกใจว่า “ไม่ใช่จี้อวิ๋นบอกว่าสองสามวันก็จะหายหรอกหรือ…ที่เจ้าว่าเช่นนี้ คือยังไม่หาย? หรือยังไม่หายดี?”


“ยังไม่หายเจ้าค่ะ” ผู้ที่ตอบคำมาคือเว่ยฉางอิ๋ง นางขมวดคิ้วแล้วว่า “วันนี้ บนรถม้าตลอดทางกลับบ้านมา ท่านพี่ยังเซไปข้างหน้าหนหนึ่ง โชคดีชุนจิ่งตาดีมือไวดึงเอาไว้ มิเช่นนั้นอีกเพียงน้อยก็จะตกออกไปนอกรถแล้ว!”


คำกล่าวนี้แม้แต่แม่เฒ่าซ่งยังมีสีหน้าเปลี่ยนไป พลันว่า “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”


ในเมื่อกลับมาที่จวนแล้ว หากต้องการจะเรียกหมอมาก็แน่นอนว่าจะสะดวกยิ่งกว่าเดิม หนนี้ไม่เพียงแค่จี้อวิ๋น แพทย์มีชื่อในเมืองมีเท่าใดก็เรียกมาจนเกือบหมด…แต่ทั้งที่เป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีใครสามารถให้การวินิจฉัยที่ดีได้


ทุกคนต่างบอกว่าชีพจรของซ่งไจ้สุ่ยเป็นปกติ… แต่เหตุใดจึงเกิดอาการเข่าอ่อนแรงอยู่เรื่อยๆ ต่างก็ไม่มีใครบอกได้ชัดเจน


เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป แม้แต่เว่ยฮ่วนยังมาสอบถามด้วยตนเอง เขาไม่คุ้ยเคยกับซ่งไจ้สุ่ย และไม่สะดวกที่จะไถ่ถามซ่งไจ้สุ่ยตรงๆ จึงให้บ่าวไพร่ไปสอบถามดู คิดก็ยังไม่ทันได้คิด เขาก็ให้คนไปบอกกับแม่เฒ่าซ่งว่า “เรื่องนี้น่าสงสัย”



ตอนที่ 51 หยกสลักนกกระเรียนเซียน…อื่ม…นกกระจอกเหลือง (1)

โดย

Xiaobei

 


               ต่อให้เว่ยฮ่วนไม่เตือน แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งก็สงสัยอยู่แล้วว่าซ่งไจ้สุ่ยกำลังแกล้งทำ แต่การสงสัยเช่นนี้กลับหาหลักฐานออกมาไม่ได้ และจะไปสอบถามให้แน่ชัดก็ไม่สะดวก… แม่นางคนนี้กระทั่งเรื่องทำให้ตัวเองเสียโฉมก็ยังทำออกมาได้ หากยิ่งไปบังคับนาง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางจะทำเรื่องใดออกมาได้อีก


               จะขว้างของใส่หนูก็กลัวถูกของแตก เหมือนไม่มีหนทางใดเลย


               จะอย่างไร ซ่งไจ้สุ่ยผู้เป็นอาแท้ๆ ก็กลัวว่าหลานสาวจะเกิดเรื่องจริงๆ แต่ในใจก็ยังมีความสงสัยอยู่เจ็ดส่วนว่าซ่งไจ้สุ่ยจะแกล้งทำ แต่เพื่ออีกสามส่วนที่เหลือจึงไปปรึกษากับแม่เฒ่าซ่ง “หากไจ้สุ่ยไม่ได้แกล้ง เช่นนั้น หรือว่า… ควรรีบให้นางกลับเมืองหลวงโดยเร็ว? เพื่อมิให้พลาดโอกาสรักษาในเวลาที่สมควร? นั่นเพราะในแถบนี้ของเราก็ไม่มีหมอมีชื่อที่ชำนาญการรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกจริงๆ”


               เมื่อได้ยินคำว่า “พลาดโอกาสรักษาในเวลาที่สมควร” แม้จะไม่ได้ยินชื่อว่า ‘จี้ชวี่ปิ้ง’ สามคำนี้ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของแม่เฒ่าซ่งก็ยังกระตุกหนหนึ่ง ดวงตาก็ล่องลอยไปหลายส่วน เกือบเค่อจึงได้กล่าวว่า “ซ่งไจ้เถียนจวนจะมาถึงแล้ว บ้านเราก็ไม่มีคนที่เหมาะสมจะไปส่งเด็กคนนี้ หากให้นางซึ่งเป็นหญิงเดินทางลำพังผู้เดียว ต่อให้มีองครักษ์ติดตามไปด้วยก็ยังดูน่าสงสารเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นนางยังบาดเจ็บอยู่ด้วย! อาการบาดเจ็บนี้แม้จะเกิดจากเจตนาของนาง แต่อย่างไรก็ยังได้รับบาดเจ็บบนเขาไผ่น้อย อย่าให้ผู้คนคิดว่าบ้านเราไม่อยากจะรับผิดชอบ จึงได้เร่งไล่นางไป อย่างไรก็รอให้ซ่งไจ้เถียนมาถึงเสียก่อนเถิด”


               นิ่งไปสักพัก จึงกล่าวต่อว่า “ส่วนเรื่องที่บาดเจ็บจริงหรือแกล้งนั้น ก็ให้ซ่งไจ้เถียนไถ่ถามเองเถิด เพราะนางก็มิใช่ลูกของบ้านเรา บางเรื่องหากพูดความจริงออกมา… กลับกลายเป็นเรื่องกระอั่กกระอ่วนใจของพวกเราเสียอีก”


               เรื่องของซ่งไจ้สุ่ยนี้น่าลำบากใจยิ่งนัก แต่แม่เฒ่าซ่งก็ยังคงห่วงใยหลานสาวในไส้ ดังนั้นจึงตัดสินใจอย่างไม่มากความว่าจะรั้งตัวซ่งไจ้สุ่ยเอาไว้จนกว่าซ่งไจ้เถียนจะมาถึง แล้วจึงเอ่ยถึงอีกเรื่องว่ามีข่าวส่งมาจาก ‘ปี้อู๋’ ว่าพอจะได้เบาะแสที่อยู่ของโม่ปินเว่ยบ้างแล้ว ควรจะไปหาคนผู้นี้ด้วยตนเองสักหน เพื่อทาบทามมาให้ฉางเฟิง”


               ฮูหยินซ่งจึงได้พักเรื่องของหลานสาวเอาไว้ก่อน แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “ขอบคุณท่านแม่! เมื่อใดต้องออกเดินทางเจ้าคะ?”


               “ฉางเฟิงเพิ่งจะกลับมาจากเขาไผ่น้อย ให้เขาพักสักหน่อย… แล้วไปพาตัวโม่ปินเว่ยกลับมาให้ได้เสียก่อนที่เสิ่นโจ้วจะมาถึง” แม่เฒ่าซ่งนิ่งคิดสักพักจึงกล่าวว่า “ข้อเท็จจริงของชัยชนะครั้งใหญ่หลวงที่หัวเมืองทางเหนือนั้น มิอาจจะเปิดเผยออกไปได้ แต่…บางทีอาจจะบอกกล่าวกับตระกูลเสิ่นได้บ้าง”


               คำกล่าวเช่นนี้ก็คือต้องการโม่ปินเว่ยผู้นี้มาเป็นพยาน!


หลังจากลงมาจากเขาไผ่น้อย เว่ยฉางเฟิงดูเหมือนจะมีโชคไม่น้อย ยังมิทันกลับถึงบ้านก็ได้ชาวบ้านนามว่าซินหย่งเข้ามาหา ซึ่งรู้กันเป็นนัยว่าคือการขอฝากเนื้อฝากตัว เพิ่งจะกลับถึงบ้านท่านย่าก็ได้บอกกับเขาว่าได้เบาะแสของโม่ปินเว่ยแล้ว…ข้างฝั่งของซินหย่งก็รอแต่เพียงเว่ยฮ่วนไปตรวจสอบดูหัวนอนปลายเท้าของเขาให้แน่ชัดเสียก่อน แล้วจึงไปสอบถามเขาดูสักหนสองหน แสดงท่าทีออกมาให้ชัดเจนว่าบ้านตระกูลเว่ยต้องการรับคนซึ่งมีความทะนงตนว่าเก่งกาจเหนือคนเช่นซินหย่ง แล้วทุกอย่างก็จะสำเร็จโดยดี


               ส่วนเรื่องของโม่ปินเว่ยทางนี้ ก็ได้แม่เฒ่าซ่งไปสอบถามลวี่จื่อเกี่ยวกับความถนัดตลอดจนอุปนิสัยใจคอของเขามาเรียบร้อยแล้ว เมื่อตัดสินใจเรื่องวิธีการทาบทามคนเข้าบ้านแล้ว ก็คาดการณ์ว่าจะไม่มีสิ่งใดเกินความคาดหมาย


               เรื่องเหล่านี้ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกับเว่ยฉางอิ๋งเท่าใดนัก แต่เรื่องที่เติ้งจงฉีพักอยู่ที่เฟิ่งโจวนั้นได้แพร่สะพัดมาถึงจวนตระกูลเว่ยอย่างรวดเร็ว


               ด้วยฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยผู้สูงศักดิ์ แน่นอนว่าไม่อาจติดหนี้บุญคุณแต่กลับไม่ยอมทดแทน


               เว่ยฉางเฟิงยังไม่ได้ไปหาโม่ปินเว่ย แต่เขากลับไปที่โรงเตี๊ยมหนหนึ่ง พูดจาหวานล้อมจนปากคอแห้ง ที่สุดก็สามารถรับเติ้งจงฉีมารักษาตัวที่รุ่ยอวี่ถัง


               ซึ่งแน่นอนว่าแม่เฒ่าซ่งรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเติ้งจงฉีที่ช่วยให้หลานสาวแท้ๆ ของตนให้รอดพ้นจากเขี้ยวงูหางไหม้เป็นอันมาก ถึงขั้นตั้งใจให้เฉินหรูผิงพาตนมาที่เรือนรับแขกเพื่อขอบคุณเติ้งจงฉี แต่ว่าพวกผู้เฒ่ามักจะคิดการล้ำลึกยิ่งกว่า เมื่อเฉินหรูผิงออกจากจวนไป ก็มีองครักษ์ขี้ม้าเร็วไปยังเมืองหลวง เพื่อตรวจสอบความตื่นลึกหนาบางของเขาแล้ว


               เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เติ้งจงฉีคาดการณ์เอาไว้แล้ว เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าแม้จะอาจเข้าไปในรุ่ยอวี่ถังได้ และโอกาสของเขาก็มีเพียงไม่กี่วันนี้เท่านั้น บางที่ตระกูลเว่ยอาจจะไต่ถามไม่ได้ว่าท่านลุงใหญ่บอกกล่าวกับเขาเช่นใดตอนเรียกเข้าไปพบ แต่คนจำนวนมากในเมืองหลวงต่างก็รู้กันดีว่าพระสนมเอกเติ้งดูแลเขาเป็นอย่างดี


               หากมิใช่ว่าหลายปีมานี้พระสนมเอกไม่ได้มีอำนาจใด และฐานะของตระกูลเติ้งในบรรดาตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็อยู่ในระดับกลาง หลายปีมานี้ตระกูลเติ้งไม่ค่อยเป็นที่สนใจของผู้คน เกรงว่าแม้ตระกูลเว่ยจะไม่ต้องสอบถามดูเป็นพิเศษก็สามารถคาดเดาวัตถุประสงค์ของเขาออก ดังนั้นก่อนที่บ้านตระกูลเว่ยจะรู้ตัว จึงต้องจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยให้ได้เสียก่อน


               ตัวของซ่งไจ้สุ่ยอยู่ที่เรือนด้านหลัง และมีเรือนต่างๆ กั้นอยู่ระหว่างกลาง หากต้องการจะติดต่อละทำให้นางเชื่อใจเขาก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาเสียเลย แต่เติ้งจิงฉีได้เตรียมตัวเอาไว้เป็นดิบดีมาตั้งแต่ตอนที่อยู่เมืองหลวงแล้ว แม้ว่าความจริงแล้วสิ่งที่เขาทำต้องอาศัยสวรรค์เข้าข้าง แต่ครานี้โชคของเติ้งจงฉีก็มิได้ย่ำแย่…


               บ่าวไพร่ที่ตระกูลเติ้งส่งมาปรนนิบัติดูแลเขาหนนี้ ยามจัดเก็บห่อผ้าของเติ้งจงฉีนั้น ไม่ทันระวังทำหยกประดับชิ้นหนึ่งหัก เห็นชัดว่าหยกประดับชิ้นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก กระทั่งแม้ยามนี้ที่เติ้งจงฉีรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ทั้งยังอยู่ในบ้านของผู้อื่น แต่เขาก็ยังคงโมโหโกรธาเป็นอย่างมากถึงขึ้นยกถ้วยน้ำชามาตีหัวบ่าวผู้นั้น และไล่ให้เขาไสหัวออกไป!


               บ่าวตระกูลเว่ยที่อยู่ข้างๆ เข้าไปเตือนเขาว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นไม่ควรมีอารมณ์เกรี้ยวกราด และได้ไถ่ถามดึงประวัติของหยกประดับชิ้นนี้ดูว่าตระกูลเว่ยจะชดใช้คืนให้เขาได้หรือไม่ เติ้งจงฉีกลับทอดถอนใจออกมาว่า “หยกประดับสีเหลืองไขมันแพะสลักรูปนกกระจอกเหลืองชิ้นนี้หาใช่ของที่ตระกูลมีชื่อทำขึ้น หากแต่เป็นสหายสนิทผู้หนึ่งมอบให้ เป็นหยกที่เขาสลักเองกับมือ และข้าเป็นคนขอมา ไม่คิดว่าครานี้กลับถูกบ่าวโง่ทำเสียหาย… เรื่องที่ข้าเป็นทุกข์ก็คือมิรู้ว่ายามเมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้วจะบอกกล่าวกับเขาเช่นใด”


               เมื่อคำพูดนี้ถูกถ่ายทอดไปจนถึงเรือนหลัง แม่เฒ่าซ่งจึงได้กล่าวว่า “เอาเศษหยกที่หักมาต่อกัน แล้วไปหาช่างฝีมือดีสลักอีกอันตามแบบอันเดิมก็สิ้นเรื่องแล้ว หากเขาไม่ต้องการ ก็ลองไปดูว่าในคลังของบ้านเรามีหยกประดับชิ้นใดที่เหมาะสมจะให้เขาได้สักชิ้น เมื่อกลับไปเมืองหลวงแล้วก็นำไปไถ่โทษกับสหายผู้นั้น ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็เคยช่วยฉางอิ๋งมาก่อน แม้บ่าวของเขาจะเป็นคนทำของแตก แต่บ้านเราชดเชยให้เขาก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว”


               เพราะเติ้งจิงฉีเคยช่วยเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้จึงได้ถูกเชิญตัวเข้ามาพักรักษาในรุ่ยอวี่ถัง หยกประดับที่เขาหวงแหนแตกและแม่เฒ่าซ่งตัดสินใจชดเชยให้นี้ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องบอกให้เว่ยฉางอิ๋งรู้


               ซ่งไจ้สุ่ยไปที่เรือนหมิงเซ่อเพื่อเยี่ยมเยือนซ่งไจ้สุ่ย และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนก็มีแต่เพียงน้อยนิด นานๆ สักครั้งจะมีเรื่องราวใหม่ๆ นางจึงบอกกับลูกผู้พี่ไปเรื่อยเปื่อยว่า “…ท่านย่าตัดสินใจจะเลือกหยกประดับโบราณชิ้นหนึ่งมอบให้คุณชายเติ้ง เพียงแค่ไม่รู้ว่าเขาจักยอมรับไว้หรือไม่ แต่จะว่าไปสหายผู้นี้ของคุณชายเติ้งก็ช่างประหลาดคนนัก ข้าเคยได้ยินแต่หยกสลักหงส์ หยกสลักนกยูง หยกสลักนกกระเรียนเซียน…แต่กลับไม่เคยได้ยินหยกสลักนกกระจอกเหลืองมาก่อนเลย!”


รอยยิ้มของซ่งไจ้สุ่ยหดหายไปในทันใด แล้วว่า “หยกสลักนกกระจองเหลืองหรือ?”


               “ใช่แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งกล่าว “นกกระจอกเหลืองอย่างในเรื่องตั๊กแตนจับจั๊กจั่นและมีนกกระจอกเหลืองอยู่ข้างหลังนั่นล่ะ… ภาพของนกกระจอกเหลืองนี่มันมีสิ่งใดพิเศษนักหนาหรือ? ท่านพี่ว่าแปลกประหลาดหรือไม่?”



ตอนที่ 51 หยกสลักนกกระเรียนเซียน…อื่ม…นกกระจอกเหลือง (2)

โดย

Xiaobei

 


“ประหลาดแน่นอน” ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งคิดไปเกือบเค่อ แล้วพลันเงยหน้าขึ้นและสั่งให้บ่าวไพร่ออกไป ครานี้จึงได้ยิ้มเย็นออกมาและเอ่ยว่า “เดิมทีข้าคิดอยากจะวาดภาพนกกระเรียนเซียน แต่ครานั้นอายุยังน้อยเกินไป ทั้งยังมิได้เรียนวาดภาพด้วยพู่กัน จึงวาดออกมา… อ้วนไปสักหน่อย ปรากฏว่าพี่รองที่ดวงตาไร้แววของข้าผู้นั้นจึงได้มองนกกระเรียนเซียนของข้าเป็นนกกระจอกเหลืองเสียนี่!”


               เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง ครึ่งเค่อดวงตาจึงพลันเบิกโพลงและกล่าวอย่างติดขัดว่า “ละ…ลูกผู้พี่รอง?!”


               “เจ้าบอกว่าบนเขาวันนั้นเติ้งจงฉีเอาแต่มองเจ้าไม่หยุด…” ซ่งไจ้สุ่ยหลักแหลมเสียจริงๆ เข้าใจเรื่องราวได้ในทันใด “เกรงว่าเขาจะนึกว่าเจ้าเป็นข้า จึงอยากจะดึงดูดความสนใจจากเจ้ากระมัง?” แล้วถามว่า “วันนั้นเขาอาจจะห้อย…อื่ม หยกประดับรูปนกกระจอกเหลืองที่ว่านี้?”


               เว่ยฉางอิ๋งเผยมือออก ยิ้มเจื่อนพลางว่า “เขาจักรู้ได้อย่างไรว่าหยกประดับชิ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกับท่านพี่? ยามนั้นข้าคิดแต่เพียงว่าคนแปลกหน้าผู้นี้ช่างไร้มารยาทยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้มองเขานานนัก ยิ่งมิต้องเอ่ยว่าจะสนใจเครื่องประดับบนตัวเขา”


               ซ่งไจ้สุ่ยยกมือขึ้นมาเท้าคาง ทอดถอนใจว่า “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าพึ่งพาเจ้าไม่ได้ ช่างเถิด ยังดีที่ยามนี้เขาอยู่ข้างหน้านี้…”


               “ท่านพี่ ท่านอย่าได้เลอะเลือน!” เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ รีบกล่าวว่า “ท่านจะไปที่นั่นได้อย่างไร?”


               “ข้าไปด้วยตนเองไม่ได้…” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยเสียงหนักว่า “แต่หากให้องครักษ์ไป กลับพอมีโอกาสบ้าง”


               เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “องครักษ์ของท่านพี่? เชื่อใจได้หรือ? ลูกผู้พี่รองอุตส่าห์สั่งคนมาส่งข่าวให้ท่านพี่ทั้งที…”


               “มีองครักษ์นายหนึ่งที่เป็นของพี่รอง” ซ่งไจ้สุ่ยขมวดคิ้วพลางว่า “ข่าวคราวที่พี่รองส่งมาให้ข้าก่อนนี้ก็จะให้คนผู้นี้ส่งมา น่าแปลก ครานี้ไยเปลี่ยนคนแล้ว? ทั้งยังเป็นคุณชายเติ้ง ข้ามิเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเขาเป็นสหายของพี่รอง”


               เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยว่า “หรืออาจเป็นเพราะครานี้ท่านลุงเพ่งเล็งอย่างหนัก? อีกประการท่านพี่ก็มิได้อยู่ในเมืองหลวง หากอาศัยแต่จดหมาย ลูกผู้พี่รองก็คงมิอาจเขียนทุกเรื่องที่ต้องการบอกกับท่านพี่ไว้ในจดหมายแล้วมอบให้สหายสนิททุกครั้งไปหรอกกระมัง?”


               “เป็นไปได้อย่างยิ่ง” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวเสียงหนัก “หยกสลักนกกระเรียนเซียน…อื่ม…นกกระจอกเหลืองชิ้นนั้น พี่รองเป็นคนแกะสลักเอง เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ทั้งยามปกติเขาก็ไม่ชอบพกติดตัว หากแต่เอาใส่กล่องไม้และวางเอาไว้เท่านั้น คนนอกล้วนไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงที่มาของของสิ่งนี้ คาดว่าหากพี่รองไม่ได้เป็นคนพูด เติ้งจงฉีก็ไม่มีวันรู้ความหมายของของสิ่งนี้ ที่เขาด่าทอบ่าวไพร่อย่างเกรี้ยวกราดในบ้านตระกูลเว่ยไปเช่นนี้… เกรงว่าบ่าวผู้นั้นจะได้รับคำสั่งจากเขาให้ทำหยกประดับแตก เพื่อดึงดูดความสนใจของข้า!”


               นางนิ่งคิดเกือบเค่อ จึงเอ่ยต่อไปว่า “จักต้องหาวิธีไปไถ่ถามคนผู้นี้ดู!”


               …ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยแล้วพลันลงมือ นางเรียกองครักษ์ของตนเข้าพบในทันที เหตุผลนั้นมีอยู่แล้ว ว่านางเตรียมตัวจะกลับเมืองหลวง จึงต้องเรียกองครักษ์มาสอบถามว่าเตรียมการไปถึงไหนแล้ว


               อาศัยข้ออ้างนี้เรียกองครักษ์ที่คอยรับคำสั่งของซ่งไจ้เจียงนายนั้นเข้ามาที่เรือนหลัง แล้วมอบภารกิจแก่เขาให้ไปติดต่อกับเติ้งจงฉี


               เติ้งจงฉีพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยในฐานะแขกคำสำคัญ หาใช่นักโทษไม่ จึงไม่อาจให้คนมาคอยจับตาดูเขาไว้ตลอดวัน องครักษ์ตระกูลซ่งก็อยู่ที่เรือนด้านหน้ามาหลายเดือนแล้ว จึงคุ้นเคยกับบริเวณบ้านเป็นอย่างดี ไม่ถึงสองวันก็ได้พบกับเติ้งจงฉี และบอกว่าจะไปรายงานคุณหนูบ้านตนเรื่องเตรียมการกลับเมืองหลวง แล้วนำความของเติ้งจงฉีตั้งแต่ต้นจนจบรายงานต่อนาง


               เพียงได้ยินประโยคแรก สีหน้าของทั้งซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งก็เปลี่ยนไปทันใด…


               “คุณชายเติ้งกล่าวว่า องค์ฮองเฮาทรงทราบแล้วว่าคุณหนูปฏิเสธการแต่งงานมาหลายครา และถูกนายผู้ชายเรียกตัวกลับ ทั้งยังขัดเคืองอย่างมาก ตำหนักตะวันออกก็กล่าวลับหลังว่านายผู้ชาย…ไม่รู้จักอบรมบุตรสาว” องครักษ์คุกเข่าอยู่นอกม่านและเล่าความอย่างระมัดระวัง


               เว่ยฉางอิ๋งกลับสูดหายใจลึก และกุมมือซ่งไจ้สุ่ย กล่าวว่า “ท่านพี่ เช่นนี้แล้วจักทำเช่นใดดี?!”


          หากจะว่ากันจริงๆ ก่อนนี้นางรู้สึกเห็นใจซ่งไจ้สุ่ยที่ต้องแต่งงานกับองค์รัชทายาทแห่งตำหนักตะวันออกที่บ้าตัณหามากรัก แม้จริงๆ จะรักใคร่เอ็นดูนางแต่ก็ช่วยเหลือสิ่งใดมิได้ แม้จะเกิดเรื่องบนเขาไผ่น้อย และช่วยซ่งไจ้สุ่ยคิดหาหนทางปฏิเสธการแต่งงาน…และกลัวว่าซ่งไจ้สุ่ยจะยิ่งคิดสั้นไปเสียกว่าเดิม จะอย่างไร เมื่อซ่งไจ้สุ่ยต้องการรูปโฉมนางก็มีรูปโฉม ต้องการวงศ์ตระกูลก็มีวงศ์ตระกูล ต้องการอุบายก็มีอุบาย… แล้วหากลูกผู้พี่ผู้นี้ไม่อาจนั่งในตำแหน่งว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท แล้วในใต้หล้านี้จะมีหญิงใดนั่งในตำแหน่งนี้ได้อีก?


          นั่นเพราะหากต้องการจะยกเลิกสัญญาการแต่งงานที่ตกลงกันไว้นานแล้ว ทั้งยังเป็นสัญญาที่มีต่อราชสำนักจึงมีความกดดันใหญ่หลวง และมีผลติดตามมาอย่างหนัก แม้เว่ยฉางอิ๋งจะประเมินความสามารถของท่านปู่ไว้ด้วยการมองโลกในแง่ดีที่สุด แต่ก็กลับรู้ดีว่าเรื่องนี้มีทางเป็นไปได้น้อยมาก แม้อุบายจะแยบยลปานใดก็ยังต้องระมัดระวังเป็นที่สุด ดังนั้นแม้จะเห็นใจซ่งไจ้สุ่ย แต่กลับไม่กล้าลงมือทำสิ่งใดเพื่อนาง ทำได้แต่เพียงใช้วิธีเล่นละครสลับฉาก พยายามให้ลูกผู้พี่ผู้นี้เป็นกังวลกับเรื่องอื่นๆ แทนบ้างเท่านั้น


           แต่ยามนี้…ทั้งฮองเฮาและองค์รัชทายาทต่างก็ทรงทราบแล้วว่าซ่งไจ้สุ่ยไม่ยินยอมสนองคำสัญญาแต่งงาน อีกทั้งฮองเฮากู้ผู้นี้ก็คือผู้ที่เหยียบย้ำบนชีวิตของฮองเฮาเฉียนและองค์รัชทายาทองค์ที่สองในรัชกาลนี้จนสามารถขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสูงส่งนี้ได้!


               การแต่งงานครานี้ก็เป็นเรื่องที่ฮองเฮาเฉียนเป็นผู้เสนอออกมา… แต่ยามนี้ว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทกลับหาเรื่องไม่ยอมแต่งงานกับองค์รัชทายาทครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นแม่สามีทั่วไปมาได้ยินว่าสะใภ้ยังมิทันได้แต่งเข้าบ้านก็รังเกียจลูกชายของตนแล้ว ก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะพูดจาออกมาเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเป็นฮองเฮา… และผู้ที่ถูกรังเกียจนั้นคือองค์รัชทายาท!


               แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะทะนงตนว่าในบรรดาหญิงสาวด้วยกัน หากว่ากันเรื่องกลอุบายแล้วนางโดดเด่นกว่าผู้ใด เมื่อนำเรื่องนี้มาเปรียบกับคนที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน นางไม่มีทางหวั่นเกรงต่อผู้ใด แต่หากเอ่ยถึงฮองเฮากู้ นางกลับต้องระมัดระวังอย่างสุดตัว!


               เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งหาได้มีความรู้สึกใดกับฮองเฮากู้ ดีเลวอย่างไรคนที่นางต้องแต่งงานด้วยก็มิใช่องค์ชาย แต่จากท่าทียามซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยถึงฮองเฮากู้ทุกครั้ง ก็สามารถมองออกถึงความหวาดกลัวที่ซ่งไจ้สุ่ยมีต่อฮองเฮาผู้นี้


          เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกขึ้นมาว่าการครั้งนี้เกิดจะรับมือแล้ว!


               ทั้งฮองเฮากู้และองค์รัชทายาทต่างรู้เรื่องนี้ เช่นนั้นต่อให้ซ่งไจ้สุ่ยคิดจะเปลี่ยนความตั้งใจในยามนี้ แล้วยอมแต่งเข้าตำหนักตะวันออกแต่โดยดี ทว่าจะได้มีวันอยู่อย่างสุขสงบหรือ? หรือต่อให้ซ่งอวี่วั่งไม่เร่งรัดนางไประยะหนึ่ง แต่ภายหน้าผู้ใดเล่าจะรับประกันได้? ไม่แน่ว่า ไม่เพียงแค่ซ่งไจ้สุ่ยผู้เดียวที่จะลงเอยไม่สู้ดี แม้แต่ซ่งอวี่วั่งก็จะต้องพลอยลำบากไปด้วย!


               …หากองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ ตระกูลซ่งก็จะไม่มีบทลงเอยที่น่าพึงใจ แต่หากองค์รัชทายาทไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ แล้วซ่งไจ้สุ่ยจะมีบทลงเอยที่น่าพึงใจได้หรือไม่?


          เดิมทีตั้งท่าปฏิเสธงานแต่งอย่างสุดกำลัง แต่ยามนี้หากไม่ปฏิเสธงานแต่งก็ยิ่งไม่มีทางรอด! แต่ว่าฮองเฮาและองค์รัชทายาทต่างก็รู้ถึงความไม่ยินยอมของซ่งไจ้สุ่ย อุบายแกล้งว่าอาการบาดเจ็บที่หัวเข่ายังไม่หายก่อนหน้านี้ยังมีพอมีประโยชน์บ้างไหม?!


               ซ่งไจ้สุ่ยคอยระมัดระวังตัวอย่างดีมาโดยตลอด แต่เมื่อยามนี้ได้ยินเรื่องนี้ ก็พลันร้อนรนสับสนขึ้นมา มีเสียงอึกอักในคำพูด “ข้าจักรู้ได้อย่างไร? หรือชีวิตข้าจะอับโชคเช่นนี้แล้วจริงๆ?!”


_______________________________



ตอนที่ 52 บอกตามตรง (1)

โดย

Xiaobei

 


               เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางรุ่มร้อนจนใบหน้าถอดสี รีบไถ่ถามข้างนอกม่านไปอย่างไร้ซึ่งสติว่า “ในเมื่อคุณชายเติ้งเป็นคนที่ส่งข่าวของพี่รองมา เช่นนั้นลูกผู้พี่รองจะต้องมีวิธีใช่หรือไม่?”


               ซ่งไจ้สุ่ยได้ยินคำ จึงกลั้นน้ำตา และรอฟังอย่างมีความหวัง


               และได้ยินองครักษ์เอ่ยอย่างเคารพนบนอบว่า “คุณชายเติ้งบอกว่า แผนการที่ดีที่สุดในยามนี้ ก็คือคุณหนูจะต้องไม่แต่งเข้าวังหลวง หาไม่แล้วจะไม่เป็นผลดีเลย!”


               เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “ยังต้องพูดอีกหรือ? เจ้าบอกมาสิว่าลูกผู้พี่รองมีวิธีใดหรือไม่!”


               “คุณชายเติ้งบอกมาวิธีหนึ่ง เพียงแต่…” องครักษ์นิ่งลังเล


               ซ่งไจ้สุ่ยพลันบันดาลโทสะขึ้นมา แล้วตบไปบนโต๊ะอย่างแรงคราหนึ่ง เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “จนเวลานี้แล้ว เจ้ายังมาร่ำไรเช่นนี้อีก?! ในเมื่อพี่รองมีแผนบอกฝากคุณชายเติ้งมา แล้วเจ้ากลับมาลังเลเพื่อสิ่งใด! ต่อให้แผนการนี้เสี่ยงเพียงใด ดีเลวอย่างไรก็หาใช่ความคิดของเจ้าไม่!”


               องครักษ์จนใจ จึงต้องบอกไปว่า “คุณชายเติ้งบอกว่า ในระยะนี้ภายในวังจะเกิดเรื่องไม่สู้ดีขึ้น หากคุณหนูกลับเมืองหลวงในเวลานั้น ก็จะสามารถสร้างข่าวลือออกไปได้ว่าเพราะดวงชะตาของคุณหนูชงกับฮ่องเต้ เช่นนี้คุณหนูก็ไม่เหมาะจะเข้าวังอีกต่อไปแล้ว”


               เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ กล่าวว่า “ดวงชะตาไม่ดี ชื่อเสียงเช่นนี้…”


               “แม้แต่ชีวิตยังจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ ยังจะมาสนใจเรื่องเหล่านี้อีกรึ?” อย่างไรเสียเรื่องของซ่งไจ้สุ่ย ก็มีเพียงตัวของซ่งไจ้สุ่ยเองเป็นคนตัดสิน นางสูดหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “เพียงวิธีนี้…จะทำให้ฮ่องเต้ทรงเชื่อได้หรือ?”


               องครักษ์ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “คุณชายเติ้งบอกว่า ขอเพียงคุณหนูกลับไปถึงตัวเมืองของเมืองหลวงในวันคล้ายวันเกิดของสนมเสี่ยวอี๋แซ่จง ก็จะมีคนไปทำการนี้ เพื่อเป็นการปกป้องคุณหนูให้ไม่ต้องแต่งเข้าตำหนักตะวันออก!”


               ซ่งไจ้สุ่ยฟังแผนการแสนแยบยลนี้ออกในทันที แววตาพลันเกิดข้อสงสัย “เจ้าได้ถามเขาหรือไม่ ความคิดนี้เป็นของพี่รองของข้า หรือว่าเป็นความคิดของเขาเอง?”


               “คุณชายเติ้งบอกว่า เขาไม่ต้องการจะปิดบังคุณหนูว่าอาหญิงแท้ๆ ของเขาก็คือพระสนมเอกกุ้ยเฟยในวัง”


               เว่ยฉางอิ๋งร้องอ่ะออกมาหนหนึ่ง “กุ้ยเฟย? คำของคนผู้นี้เชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด!”


               “ข้ารู้!” ยามนี้ซ่งไจ้สุ่ยสงบลงมาได้แล้ว พลางยิ้มเย็นกล่าวว่า “ที่แท้พระสนมเอกและฮองเฮามีเรื่องบาดหมางกัน… นี่เป็นแผนการที่สนมเอกจะล่มบัลลังก์ฮ่องเฮาเช่นนั้นรึ?” นางรวบรวมสติอยู่เกือบเค่อ แล้วมุมปากของนางก็พลันยกขึ้น “แล้วจะอย่างไร? ขอเพียงพระสนมเอกไม่ต้องการให้ข้าแต่งเข้าตำหนักตะวันออกจริงๆ ต่างคนก็ต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็ถือว่าสมควรอยู่แล้ว!”


               เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเตือนว่า “พระสนมเอกและฮองเฮามีเรื่องกันจริงหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องการปลุกปั่นให้ท่านพี่ไม่แต่งเข้าตำหนักตะวันออก เรื่องนี้ก็ยังพูดยาก ยิ่งไปกว่านั้นหากพระสนมเอกมีเป้าหมายเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ไม่แน่ว่านางจะไม่ทำร้ายท่านพี่!”


               “ข้ารู้ว่าพระสนมเอกก็ไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน” ซ่งไจ้สุ่ยพยักหน้า สายตาแน่วแน่ แต่กลับกล่าวว่า “แต่ว่าเรื่องที่เราคิดกันไปไว้ก่อนหน้านี้ เห็นชัดว่าใช้การไม่ได้แล้ว อย่างน้อยทางฝั่งของพระสนมเอกนี้ข้ายังพอมีโอกาสอยู่ หากไม่เช่นนั้น อย่าว่าแต่ตัวข้าเลย เกรงว่าแม้แต่เจ้าก็ยังต้องถูกลากมาเกี่ยวข้องด้วย!”


               นางยกมือขึ้นยั้งคำที่เว่ยฉางอิ๋งต้องการจะพูด “พวกเราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน หาใช่พี่น้องร่วมมารดา ก่อนนี้ข้าก็เคยบอกแล้ว ว่าผู้ที่รักเจ้าที่สุดก็คือท่านอาหญิง หากเจ้าจะแสดงความกล้าหาญใด ก็จักต้องคิดถึงท่านอาหญิงเสียก่อน! นางเฝ้ารอมากี่ปีจึงได้เจ้ามาเป็นบุตรสาว ยังมีท่านอาเขยและฉางเฟิงอีก!”


               เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้เอ่ยคำใด ครึ่งเค่อจึงได้พูดออกมาเบาๆ ว่า “เรื่องในโลกไยข่มขื่นเช่นนี้!”


               “กว่าจะถึงวันคล้ายวันเกิดของสนมจงยังมีเวลาอีกสองเดือน” ซ่งไจ้สุ่ยมองไปยังนอกม่านแล้วสั่งความว่า “เจ้าจงไปหาคนที่สามารถเชื่อถือได้ แล้วไปที่เมืองหลวงหนหนึ่ง สอบถามเรื่องของตระกูลเติ้งดูสักหน่อย โดยเฉพาะพระสนมเอกและเติ้งจงฉี!”


               องครักษ์ตอบว่า “ขอรับ” และบอกอีกว่า “คุณชายเติ้งบอกว่า อีกสองสามวันบาดแผลของเขาก็หายแล้ว อาจจะต้องย้ายออกไป หรือจะต้องเร่งตามพวกพ้องเดินทางต่อไป แต่เขาได้ทิ้งที่อยู่แห่งหนึ่งที่นอกเมืองไว้ให้ข้าน้อย บอกว่าถึงเวลาสามารถไปหาเขาได้ที่นั้น”


               “ดูท่าว่าเรื่องของสนมเอกและฮองเฮาจักไม่ใช่ความลับเสียแล้ว” ซ่งไจ้สุ่ยเข้าใจเป็นอย่างดี แล้วเอ่ยกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ครานี้เขาวางแผนไปอยู่ที่เรือนหน้า และส่งข่าวมาให้ข้า แต่หากท่านย่ารองและท่านอาหญิงได้ยินเรื่องนี้ ก็จะต้องจัดการให้เขาไปเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงรีบทิ้งที่อยู่สำรองเอาไว้ให้… คนผู้นี้ทำการรอบคอบและระวังยิ่ง เห็นทีว่าจะเป็นบุตรชายสายเลือดตรงของตระกูลเติ้งจริงๆ”


               เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจ เอ่ยว่า “แต่ลำพังจะพึ่งพาหนทางรอดนี้ทางเดียว จะให้ดีพระสนมเอกเติ้งผู้นั้นอย่าได้เลวร้ายเกินไป”


                “อย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่ถือหยกประดับของพี่รองข้ามา” สีหน้าของซ่งไจ้สุ่ยสงบนิ่งเคร่งเครียด แต่น้ำเสียงกลับผ่อนคลาย กล่าวว่า “อย่างน้อยพี่รองก็รู้สึกว่านี้คือทางรอดทางหนึ่งล่ะ!”


               เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดไปเกือบเค่อ แม้จะรู้สึกว่าหากพูดไปแล้วจะทำลายความคิดฝันของซ่งไจ้สุ่ย แต่เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก จึงยังต้องเอ่ยปากไปว่า “แม้ท่านพี่จะบอกว่าคนนอกจะไม่รู้จักหยกประดับรูปนกกระจอกเหลือง แต่ข้ารู้สึกว่าอย่างไรก็ควรเอาเศษหยกเหล่านั้นมาดูเสียหน่อย ว่าเป็นหยกที่ลูกผู้พี่รองแกะสลักเองชิ้นนั้นจริงๆ หรือไม่ เพราะคุณหนูตระกูลใหญ่ที่อยู่แต่ส่วนลึกภายในจวนเช่นพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเฟิ่งโจวก็ดี หรือเจียงหนานก็ดี ล้วนอยู่ห่างจากเมืองหลวงถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดเมื่อพวกเราคิดเห็นเรื่องใดแต่เพียงน้อยนิด ทางเมืองหลวงกลับรู้เสียก่อนพวกเราแล้ว? เรื่องของข้านั้นแล้วไป เพราะเรื่องที่ข้าร่ำเรียนวรยุทธกับท่านลุงเจียงนั้น มีคนจำนวนมากเคยได้พบเห็น จึงไม่มีทางปิดบังผู้คนได้ แต่เรื่องความไม่ยินยอมของท่านพี่นี้ นอกจากพูดคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวและเขียนจดหมายไปหาท่านลุง… แล้วเรื่องนี้รั่วไหลออกไปได้อย่างไร? หากเรื่องนี้ยังสามารถรั่วไหลออกไปได้ ประสาอะไรกับหยกประดับชิ้นเดียว?”


               ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งงันไปชั่วครู่ จึงได้เอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ก็จริง”


               …หากหยกประดับรูปนกกระจอกเหลืองมิได้บ่งบอกว่าเป็นของที่ซ่งไจ้เจียงมอบให้มา เช่นนั้นสถานการณ์ที่ซ่งไจ้สุ่ย หรืออาจกล่าวได้ว่าตระกูลซ่ง กำลังประสบอยู่นี้ยิ่งน่าอึดอัดมากขึ้นไปอีก


               มากจนถึงขึ้นที่ความลับมากมายก็มิอาจเก็บงำเอาไว้ได้แล้ว


               และนี่ยังเป็นการส่งสัญญาณอีกว่า ความน่าเชื่อถือของเติ้งจงฉีนั้น มิอาจอาศัยซ่งไจ้เจียงมาพิสูจน์ให้เขาได้ หากซ่งไจ้สุ่ยปักใจเชื่อและดำเนินการตามแผนการของเขา มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดผลเช่นไร?


               แต่หากไม่แยแสคนผู้นี้… หนทางภายภาคหน้าของซ่งไจ้สุ่ยก็จะไร้แสงสว่างเช่นกัน


               ครานี้เมื่อออกไปจากเรือนหมิงเซ่อแล้ว เว่ยฉางอิ๋งเดินวนเวียนอยู่ที่ทางออกอยู่พักใหญ่ๆ จึงได้ตัดสินไปหาฮูหยินซ่ง


               เมื่อเห็นบุตรสาวมาหา ฮูหยินซ่งวางของในมือลง แล้วไถ่ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “เป็นอะไรไป?”


               “แผลเก่าของท่านพี่ยากจะรักษา หากท่านแม่มีคนทางนี้เพียงพอแล้ว อย่างไรก็ให้พวกของฮว่าผิงไปอยู่ดูแลนางในเรือนหมิงเซ่อเถิด” เว่ยฉางอิ๋งลังเลอยู่เกือบเค่อจึงได้กล่าวออกไปดังนั้น


               ฮูหยินซ่งขมวดคิ้ว แล้วส่งสายตาไปทางซ้ายและขวา แม่นมซือเข้าใจความหมาย จึงได้ให้คนนอกที่ไม่ไว้ใจออกไปจนหมด


               “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?”



ตอนที่ 52 บอกตามตรง (2)

โดย

Xiaobei

 


ดวงตาของเว่ยฉางอิ๋งพลันแดงก่ำขึ้นมา และสะอึกสะอื้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา


               เมื่อฮูหยินซ่งได้ยินก็นิ่งเหม่อไปพักใหญ่ จึงได้เอ่ยอย่างแผ่วเบาออกมา “เด็กคนนี้เหตุใดจึงได้อาภัพเช่นนี้?” และจากนั้นจึงได้เห็นแจ้งขึ้นมาทันใด กล่าวอย่างมีโทสะว่า “ล้มเลิกการแต่งงาน… อย่างไรก็เป็นเรื่องล้มเลิกสัญญาแต่งงานกับทางราชสำนัก เจ้าก็ยังกล้าไปยุ่งย่าม? เจ้ากล้าดีเสียจริง!”


                “เดิมทีเพราะรู้สึกว่าองค์รัชทายาทไม่ดี สงสารท่านพี่ที่ทั้งเก่งกาจทั้งงดงาม จึงได้คิดว่าพอจะมีความหวังสักน้อย อย่างไรเสียท่านพี่ก็มีอุบายมากมาย ไม่เหมือนข้าที่ได้แต่ทำให้ท่านแม่เป็นต้องเป็นห่วง อีกทั้งครานี้ฮองเฮาเป็นผู้คัดเลือกพระชายาเอง แม้องค์รัชทายาทจะไม่ล้ำเลิศ ทว่าท่านพี่อาจจะมีทางทำให้องค์รัชทายาทปรับปรุงตัวได้? แต่ยามนี้หากท่านพี่เข้าตำหนักตะวันออกไหนเลยจะมีชีวิตรอด? เว่ยฉางอิ๋งปาดน้ำตาสะอื้นขอร้องว่า “ท่านแม่ ท่านก็มีท่านพี่ไจ้สุ่ยเป็นหลานสาวคนเดียว จะคิดหาทางไม่ได้เลยจริงๆ หรือ? ฮองเฮาและองค์รัชทายาทต่างก็ผูกใจเจ็บเพราะเหตุนี้แล้ว ไม่ว่าวันหน้าจะเป็นเช่นไร ยังไม่ต้องเอ่ยถึงตัวท่านพี่เอง แม้แต่ท่านลุงก็จะพลอยตกที่นั่งลำบากไปด้วย! วันหน้ายามองค์รัชทายาทได้สืบบัลลังก์ เมื่อหวนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อย่างถ้วนถี่ มิใช่ว่าท่านลุงต้องชดเชยด้วยตัวพี่ไจ้สุ่ยแล้ว ยังต้องสูญเสียอำนาจในมืออีก กลายเป็นว่าลงแรงช่วยเหลือตำหนักตะวันออกไปเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?


               ฮูหยินซ่งพลันสับสนในจิตใจยิ่งนัก ดวงตาก็แดงขึ้นมา กล่าวทั้งน้ำตาว่า “เจ้าจะรู้สิ่งใด? ไจ้สุ่ยก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ข้าหรือจะไม่สงสารนาง? แต่ท่านลุงของพวกเจ้า…ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ยามนี้ท่านลุงของพวกเจ้าเปลี่ยนใจ การแต่งงานนี้ก็ใช่ว่าเขาบอกว่าจะยกเลิกก็ยกเลิกได้? มิต้องเอ่ยว่าคนที่ไจ้สุ่ยจะแต่งงานด้วยคือองค์รัชทายาท หากแต่เป็นเจ้า เจ้าคิดว่าเรื่องการแต่งงานกับตระกูลเสิ่นก็จะเปลี่ยนแปลงได้ตามใจงั้นรึ?!”


               เมื่อแม่นมซือเห็นสถานการณ์ดังนั้นจึงรีบเข้ามาช่วยรอมชอม ฮูหยินซ่งเช็ดน้ำตา สงบจิตใจและกล่าวต่อไปว่า “แต่ที่เจ้าว่ามาก็ถูก ยามนี้ไม่ใช่เรื่องว่าเมื่อไจ้สุ่ยแต่งเข้าตำหนักตะวันออกและจะอยู่ดีมีสุขหรือไม่แล้ว หากแต่ตระกูลซ่งไม่ควรจะชดใช้ด้วยบุตรสาวสายเลือดตรงซึ่งมีเพียงผู้เดียวในรุ่นนี้ ทั้งยังต้องถูกฮองเฮาและองค์รัชทายาทผูกใจเจ็บอีก!”


               นางเงยหน้าขึ้นและสั่งความกับแม่นมซือ “เหยียนมั่ว ข้าจักเขียนจดหมายถึงท่านพ่อ! ลูกสาวบ้านตระกูลซ่งของข้า ไยต้องตกอยู่ในสภาพที่คิดจะปฏิเสธการแต่งงานแล้วกลับต้องมาพึ่งพาตระกูลเติ้งด้วย?!”


               เพื่อความปลอดภัยและอนาคตของตระกูลซ่ง ฮูหยินซ่งจงไม่มีจิตใจจะไปรบเร้าซ่งอวี่วั่งที่ยืนกรานมาโดยตลอดว่าจะให้บุตรสาวแต่งเข้าวังตามสัญญา อีกประการหนทางจากเฟิ่งโจวถึงเมืองหลวงก็ห่างไกลนัก แต่กับเจียงหนานกลับใกล้กว่ามาก


               ประมุขตระกูลซ่ง ซ่งซินผิงซึ่งดำรงตำแหน่งตวนหุ้ยกง เนื่องจากไม่คุ้นชินกับสภาพอากาศในเมืองหลวง หลังจากที่ซ่งอวี่วั่งมีการงานมั่นคงแล้ว จึงได้ลาออกจากราชการและพาภริยากลับมาตั้งถิ่นฐานที่เจียงหนาน จนทุกวันนี้ก็ยังอยู่ที่เจียงหนานถัง ซ่งซินผิงให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตระกูลซ่งเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยยินดีเรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยไม่อยากจะแต่งเข้าวัง… แต่ก็หาใช่ว่าซ่งซินผิงจะเห็นดีเห็นงามที่ในบ้านจะมีพระชายาองค์รัชทายาทสักคนหรือว่าคิดว่าองค์รัชทายาทนั้นไม่เลวเลยทีเดียว เรื่องที่เขาสนใจก็คือหากซ่งไจ้สุ่ยไม่ได้แต่งงาน ชื่อเสียงของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานก็จะเสียหาย


               และเพราะซ่งซินผิงสนับสนุนซ่งอวี่วั่ง ยืนกรานจะให้ซ่งไจ้สุ่ยทำตามคำสัญญาแต่ก่อนเก่า เช่นนั้นแม้แม่เฒ่าซ่งนั้นรักใคร่หลานสาวแต่ก็กลับไร้กำลังจะปกป้องนาง


               แต่หากเทียบกับชื่อเสียงของตระกูลซ่งแล้ว หากต้องชดใช้ด้วยหลานสาวก็ใช่จะเป็นการดี กระทั่งเรื่องผูกพยาบาท ซ่งซินผิงจะต้องไม่ยอมทำเป็นแน่


               ซ่งซินผิงมีสมญานามว่าหนึ่งสัญญาดังทองคำพันชั่ง มีชื่อเสียงเป็นเลิศในดินแดนแถบทะเลว่าเป็นผู้ที่รักษาคำพูด ทว่าก็หาใช่คนโง่…มิเช่นนั้นเขาจะปกครองผู้คนในในเจียงหนานถังได้อย่างไร? สิ่งสำคัญของประมุขของตระกูลก็คือต้องสามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่วงศ์ตระกูล ปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลซ่ง หาใช่เพียงแสดงตนว่าสูงส่งยิ่งใหญ่กว่าคนในหล้าเท่านั้น


               ฮูหยินซ่งผู้เป็นลูกสาวแท้ๆ ของซ่งซินผิง มีหรือจะไม่รู้ว่าบิดาของตนผู้นี้ ต้องรักษาชื่อเสียงเรื่องการรักษาสัจจะมาอย่างยากลำบากเพียงใด เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลเท่านั้น


               ยามนี้ตระกูลซ่งถูกฮองเฮาและองค์รัชทายาทผู้ใจเจ็บแล้ว เรื่องนี้มิใช่ว่าจะให้ซ่งไจ้สุ่ยแต่งออกไปก็จะจบเรื่อง ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไยต้องให้หลานสาวเข้าไปชดใช้ด้วย? ดีชั่วอย่างไรความแค้นเคืองก็บังเกิดขึ้นแล้ว มิสู้รอดูทางฝั่งของพระสนมเอกเติ้ง…ว่าหากพอมีโอกาส ก็ให้เรื่องของฮองเฮาเฉียนแม่ลูกเกิดขึ้นอีกหนหนึ่ง กำจัดผลที่อาจจะเกิดตามมาให้สิ้นซากจึงจะสามารถวางใจได้!


               เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเห็นมารดาคิดเห็นเช่นนี้ นางจึงแอบโล่งใจ คิดในใจว่าการที่นางมาเปิดเผยกับมารดาอย่างตรงไปตรงมานั้นถูกต้องแล้ว แม้ท่านย่าจะเป็นท่านย่าอีกคนของลูกผู้พี่ แต่ก็ห่างออกมาอีกชั้นหนึ่ง มารดาตนเป็นอาแท้ๆ ของลูกผู้พี่ก็ย่อมจะรักใคร่ลูกผู้พี่มากกว่า… หากไม่มีมารดา นางเองคงไม่อาจหว่านล้อมท่านตาให้ทำการใดได้


               ท่านตาน่าจะทำให้ท่านลุงเกรงกริ่งได้มากว่าท่านยายกระมัง? และคงจะมีความคิดอ่านมากกว่าท่านลุง? ท่านปู่ของตนนั้นหลักแหลมเป็นที่ยิ่ง และคาดว่าฐานะของท่านตาก็คงทัดเทียมกับท่านปู่ของตน อุบายในการปกครองบ้านเมืองก็คงไม่ต่างกันสักเท่าใด


               นางลอบโล่งอกอยู่ในใจ แต่กลับไม่ลืมที่จะพูดให้ชัดเจน “เรื่องวันนี้ทำให้ท่านพี่ไจ้สุ่ยตกใจมาก ข้ากลัวว่าท่านพี่จะคิดไม่ตก… ก่อนหน้านี้ท่านพี่คิดเพียงจะทำลายโฉมของตนเพื่อจักได้ไม่ต้องแต่งเข้าตำหนักตะวันออก แต่ยามนี้เกรงว่านางจะคิดฆ่าตัวตาย เพื่อมิให้ต้องทำตระกูลซ่งลำบากไปด้วย!”


               หากมิได้คิดถึงเรื่องนี้ เกรงว่าจะเกิดเรื่องน่าเศร้าที่มิอาจจะย้อนคืนได้ หาไม่แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่นำเรื่องราวทั้งหมดมาบอกแก่มารดาเช่นนี้


               ฮูหยินซ่งสูดหายใจลึก กล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว… แม่นมซือ เจ้าจงไปดูแลเด็กคนนี้ที่เรือนหมิงเซ่อเถิด เพื่อจะได้ไปปลอบประโลมนางด้วย” ทั้งยังกำชับเว่ยฉางอิ๋งว่า “อย่าเพิ่งบอกกล่าวเรื่องนี้แก่ท่านย่าของเจ้า โดยเฉพาะเรื่องของเติ้งจงฉี”


               “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า


               ฮูหยินซ่งเองก็หาได้ไม่กลัวว่าจะดึงตระกูลเว่ยมาเกี่ยวข้องด้วย แต่ยามนี้ตระกูลซ่งประสบวิกฤต นางซึ่งเป็นบุตรสาวของตระกูลซ่ง และเติบโตมาด้วยความรักทะนุถนอมของบิดา อย่างไรก็ต้องคิดหาทางช่วยเหลือตระกูลของตนสักครา แต่หากให้เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งรู้เข้า ก็จะต้องตัดสินใจในฉับพลันและตัดขาดความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างรวดเร็วที่สุด


               หากเป็นเช่นนี้ เติ้งจงฉีก็จะต้องถูก ‘เชิญ’ ออกไปจากรุ่ยอวี่ถังหรือกระทั่งออกจากเฟิ่งโจวเป็นแน่แท้ แม้ฮูหยินซ่งจะออกปากว่าลูกสาวบ้านซ่งหากจะปฏิเสธงานแต่ก็มิต้องให้ตระกูลเติ้งช่วยเหลือ แต่เรื่องครานี้กระชั้นชิดนัก และมิรู้ว่าซ่งซินผิงจะหาหนทางในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้หรือไม่ หากไร้หนทางแล้วจริงๆ ทางฝั่งของตระกูลเติ้งนี้ก็ยังสามารถใช้เป็นทางออกสุดท้ายได้


                ทว่าหากมีเพียงซ่งไจ้สุ่ยผู้เดียว ก็ยังต้องคำนึงว่าอาจจะถูกสนมเอกเติ้งให้ร้าย แต่หากตระกูลซ่งและตระกูลเติ้งรวมมือกันแล้ว สนมเอกเติ้งก็จักไม่กล้าให้ร้ายซ่งไจ้สุ่ย อย่างไรก็ดีตระกูลซ่งก็เป็นหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ หากถูกโจมตี หรือกระทั่งต้องสิ้นตระกูล ถูกโจมตีปางตาย ก็มิใช่สิ่งที่ตระกูลเติ้งจะรับมือไหว หากสนมเอกเติ้งมิได้แค้นเคืองคนทั้งตระกูลเข้ากระดูกดำ ภายใต้สถานการณ์ที่บ้านตระกูลซ่งออกหน้าแทนซ่งไจ้สุ่ย นางก็จะไม่ทำสิ่งที่เป็นผลร้ายกับซ่งไจ้สุ่ยเป็นแน่


               ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อสนมเอกเติ้งได้ให้หลานชายเร่งมาที่เฟิ่งโจว ในช่วงเวลาที่ซ่งอวี่วั่งยังไม่ทันรู้ตัว เห็นได้ชัดว่าภายในวังจะต้องได้เบาะแสบางอย่างที่แม้แต่ซ่งอวี่วั่งก็ยังไม่รู้


               แล้วในเมื่อตระกูลซ่งจะยกเลิกการแต่งงานในลำดับต่อไป ก็จะต้องเตรียมการรับมือฮองเฮากู้และองค์รัชทายาทเอาไว้ ขอเพียงสนมเอกเติ้งมีเรื่องบาดหมางกับฮองเฮา เมื่อมีพระสนมเอกผู้นี้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองก็แต่ฮองเฮา ทั้งยังเป็นลูกผู้น้องโดยตรงของฮ่องเต้อยู่ภายในวังหลวง ก็จักสามารถลงมือและควบคุมฮองเฮาได้ไม่มากก็น้อย


               …แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องคำนึงถึงตระกูลเว่ยมากที่สุด เพราะอย่างไร ฮูหยินซ่งก็ยังแซ่ซ่ง


________________________



ตอนที่ 53 สายตาเฉียบคมของแม่เฒ่า

โดย

Xiaobei

               แม้ฮูหยินซ่งสั่งให้บุตรสาวปิดบังแม่เฒ่าซ่งไปด้วยกัน แต่ไม่กี่วัน ความเป็นมาของเติ้งจงฉีก็ยังคงส่งมาจากเมืองหลวง ดูจากข้อความในจดหมายของนกพิราบสื่อสาร “เติ้งจงฉีได้รับการดูแลจากสนมเอกเป็นอย่างดี” แม่เฒ่าซ่งขมวดคิ้วแน่น แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดกับฮูหยินซ่งว่า “ที่แท้เติ้งจงฉีผู้นี้มีเจตนาอื่น จักต้องส่งคนไปเพิ่มที่เรือนพักของเขาแล้ว”


               ฮูหยินซ่งพยักหน้า “ข้าจักสั่งความให้เรือนชั้นนอกดูแลเรื่องนี้”


               “คนผู้นี้ช่วยฉางอิ๋งเอาไว้ แต่แรกก็เป็นพวกเราเองที่ให้ฉางเฟิงไปเชิญเขามารักษาตัวที่บ้านด้วยตัวเอง แม้ยามนี้จะพบว่าเขาไม่น่าไว้วางใจ แต่หากจะขับไล่เขาออกไปเช่นนี้ ก็จะทำให้ชื่อเสียงของฉางอิ๋งเสื่อมเสีย” แม่เฒ่าซ่งครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อ จึงว่า “คอยจับตาดูเขาให้ดีเถิด อย่าได้เลินเล่อตกหลุมพรางของเจ้าเด็กคนนี้”


               ฮูหยินซ่งกำลังจะตอบรับ แม่เฒ่าซ่งก็เอ่ยออกมาอีกประโยคหนึ่ง “ใช่แล้ว ดูไจ้สุ่ยไว้ให้ดีๆ ด้วย”


               ฮูหยินซ่งใจเต้นขึ้นมา แต่ฝืนยิ้มและกล่าวว่า “ท่านแม่โปรดวางใจ หลายวันมานี้ไจ้สุ่ยทำตัวดีมาก และยามนี้นางก็รู้แล้วว่าไจ้เถียนจวนจะถึงแล้ว ทั้งยังรับปากว่าจะรอจนไจ้เถียนมาถึงค่อยเดินทางไปด้วยกัน เด็กคนนี้แม้ไม่อยากจะแต่งเข้าวัง แต่ก็มิใช่ว่าไม่รู้ความ เรื่องบนเขาไผ่น้อยครานี้… นางก็สำนึกเสียใจแล้วที่ทำให้ฉางเฟิงและฉางอิ๋งต้องลำบากไปด้วย…”


               “ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้” แม่เฒ่าซ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “เรื่องบนเขาไผ่น้อยนั้นผ่านไปแล้ว ก็ยังเป็นเด็กกันนี่ มีหรือจะไม่ก่อความวุ่นวาย? ข้าพูดถึงเติ้งจงฉีผู้นี้พุ่งเป้ามาที่ซ่งไจ้สุ่ย ไม่ว่าเขาจะคิดการใดอยู่ ไม่ว่าจะอย่างไร ยามนี้ฉางเฟิงก็ยังเล็ก บ้านเราไม่เหมาะจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาใด ดังนั้นจักต้องทำให้เขาไม่มีโอกาสใดติดต่อกับไจ้สุ่ยได้”


               “เรื่องนี้…?” ซ่งไจ้สุ่ยตื่นตระหนกอยู่ในใจ นางรู้ว่าแม่เฒ่าซ่งปราดเปรื่องมาแต่ไร ยามนี้จึงเดาวัตถุประสงค์การมาของเติ้งจงฉีออกแล้ว ส่วนเรื่องที่จะพบว่าตนและบุตรสาวปิดบังนางนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วจักต้องเกิดขึ้นแน่ และตนก็ไม่กล้าพูดปด นิ่งเงียบไปเกือบเค่อจึงได้กล่าวว่า “ในเมื่อท่านแม่สงสัยในตัวเติ้งจงฉี ดีชั่วอย่างไรยามนี้เขาก็อยู่ในบ้านเรา หรือว่า…ไปไต่ถามเขาตรงๆ ว่าคิดจักทำการใดกันแน่?”


                แม่เฒ่าซ่งแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง กล่าวว่า “เรื่องนี้จักถามเอาความได้หรือ? เขาอยู่ที่เรือนหน้ามาหลายวันแล้ว หากคิดจะบอกสิ่งใดกับพวกเราก็คงจะเอ่ยปากไปเสียตั้งนานแล้ว แต่ตลอดมากลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด เห็นชัดว่ามิได้พุ่งเป้ามาที่บ้านเราแต่กลับพุ่งเป้ามาที่คนในบ้านเรา!” พูดถึงตรงนี้แม่เฒ่าซ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “เฮ่อ…ที่เขามาเพราะต้องการลากบ้านเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างนั้นรึ? สองสามปีมานี้สนมเอกเติ้งนิ่งเงียบมาโดยตลอด แต่เหตุใดเป็นถึงสนมเอก…แล้วต้องพุ่งเป้ามาที่ไจ้สุ่ย คงมิใช่ว่าสนมเอกกำลังลอบคิดการโค่นล้มฮองเฮากู้อยู่หรอกนะ?”


               ฮูหยินซ่งก้มหัวลง เอ่ยเสียงเบาว่า “หากเป็นเช่นนี้ บ้านเราควรทำเช่นไรดี?”


               “พระสนมเอกไม่มีพระโอรสเป็นของตน” แม่เฒ่าซ่งกลับมิได้ตอบในทันใด หากแต่ดูเหมือนกำลังขบคิดบางสิ่ง พลางค่อยๆ หมุนกำไลที่ข้อมือ แล้วกล่าวว่า “ทั้งตำแหน่งและความรักใคร่ของฮ่องเต้ก็ไม่เทียบเท่าฮองเฮา แต่นางกลับกล้าจะโค่นฮองเฮา… อื่ม คราก่อนเจ้าบอกว่าสนมเสี่ยวอี๋แซ่จงที่ฮ่องเต้เพิ่งจะรับเข้ามานั้นเป็นที่โปรดปรานยิ่ง เพียงคำพูดของนางประโยคเดียว ก็ถึงขั้นส่งราชองครักษ์อี้ไปตามหาญาติให้นางที่ชิงโจว?”


               ฮูหยินซ่งตอบว่า “เจ้าค่ะ ราชองค์รักษ์อี้สองสามนายนั้น…”


               กลับเห็นแม่เฒ่าซ่งยกมือขึ้นปรามไม่ให้นางพูดต่อ แล้วกล่าวอย่างสงบว่า “ข้ารู้แล้ว สนมเอกเติ้งและฮองเฮากู้เคยมีความแค้นต่อกัน ยามนี้เกรงว่าจะถึงเวลาสำคัญ…ยิ่งไปกว่านั้นพระสนมเอกยังเป็นรอง นางจึงได้วางแผนมาลงมือที่ไจ้สุ่ย!”


               เมื่อเห็นว่าฮูหยินซ่งมีท่าทีตกใจ แม่เฒ่าซ่งจึงอธิบายด้วยความอดทนว่า “ฮองเฮากู้ควบคุมตำหนักกลางมานานปี ฐานะของนางมั่นคงมาโดยตลอด แต่นับแต่ปีนี้ มิใช่ว่าพวกเราจะได้ยินข่าวลือว่าฮ่องเต้ลุ่มหลงสนมเมี่ยวที่เพิ่งเข้ามาใหม่ และห่างเหินกับฮองเฮามาหลายเดือน จนทำให้ตำแหน่งของฮองเฮาและผู้สืบทอดบัลลังก์สั่นคลอน? ยิ่งไปกว่านั้นสนมเมี่ยวผู้นี้ยังรับเลี้ยงดูองค์ชายสิบหกและองค์ชายสิบเจ็ดด้วย?”


               ฮูหยินซ่งตกใจ กล่าวว่า “จริงหรือ?”


               “ฮองเฮาปกครองตำหนักกลาง มีเล่ห์เหลี่ยมเหนือคน อีกทั้งนางยังมีองค์รัชทายาท หากสนมเมี่ยวผู้นี้ไม่มีคนคอยหนุนหลัง มีหรือที่บอกว่าจะโผล่ออกมาจู่ๆ ก็โผล่ออกมาได้?” แม่เฒ่าซ่งกล่าวอย่างดูแคลนว่า “นี่จักต้องเป็นฝีมือของพระสนมเอกเป็นแน่ องค์ชายสิบหก องค์ชายสิบเจ็ดสององค์นี้ก็ไม่แน่ว่าเป็นสนมเมี่ยวที่คิดอยากจะรับเลี้ยงดู น่าจะเป็นความคิดของสนมเอกเติ้งเสียมากกว่า! อย่างไรเสียองค์ชายหกโอรสของสนมเอกเติ้งก็สิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว สนมเมี่ยวยังสาว กำลังเป็นที่รักใคร่ของฮ่องเต้แต่กลับยังไม่ทันมีโอรส! เพื่อป้องกันเรื่องเหนือความคาดหมาย ดังนั้นจึงได้รับองค์ชายสิบหกและสิบเจ็ดเอาไว้ดูแล!”


               “เพียงแต่สนมเอกเติ้งยังประเมินฮองเฮากู้ไว้ต่ำเกินไป แม้สนมเมี่ยวจะกำลังเรืองอำนาจ จนทำให้ผู้คนแคลงใจว่าฮองเฮาอาจจะต้องเดินซ้ำรอยอตีตฮองเฮาเฉียน… ทว่า สนมจงที่เพิ่งจะปรากฏตัวในยามนี้ ก็มิได้กดความโดดเด่นของสนมเมี่ยวลงไปหรอกรึ?” แม่เฒ่าซ่งยิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วว่า “เดิมทีสนมเอกเติ้งคิดจะอาศัยสนมเมี่ยวมาจัดการฮองเฮา แต่ครานี้ฮองเฮากลับจัดหาสนมจงมา… ดังนั้นความรุ่งเรืองของสนมเมี่ยวจึงได้อันตรธานไปสิ้น ก็มิน่าเล่าสนมเอกเติ้งจึงได้ส่งเติ้งจงฉีผู้นี้มา”


               สีหน้าของฮูหยินซ่งค่อยๆ เปลี่ยนไป…เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะเล่าเรื่องที่องครักษ์ของซ่งไจ้สุ่ยไปสอบถามมาได้ให้นางฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แต่นางกลับไม่ได้คิดเลยไปถึงเรื่องของสนมเมี่ยวและสนมจง…


               “ท่านแม่ เช่นนั้นบ้านเรา?” ฮูหยินซ่งตั้งสติ และสอบถามด้วยเสียงอ่อน


               แม่เฒ่าซ่งสงบนิ่งไปนาน จึงได้ค่อยๆ ตอบกลับมาในขณะที่ฮูหยินซ่งจับจ้องมาด้วยสายตากระสับกระส่าย “ก็ทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น ดีชั่ว ฮองเฮาก็ได้เปรียบ แต่ก็หาใช่ว่าสนมเอกเติ้งจะไม่มีกำลังตอบโต้! คอยดูไปก่อนค่อยว่ากันเถิด”


               “เหตุใดท่านแม่จึงกล่าวว่าพระสนมเอกเติ้งใช่จะไม่มีกำลังตอบโต้?” ฮูหยินซ่งทั้งรู้สึกตกใจและยินดีอยู่ภายในใจ พลางลองสอบถามดู


               “หากฐานะของฮองเฮาในตำหนักกลางยังมั่นคงเช่นก่อนมา แล้วยังต้องการสนมจงเพื่อสิ่งใด?” แม่เฒ่าซ่งเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “ในวังมิได้มีสนมขั้นสูงคนใหม่มานานแล้ว สนมเมี่ยวผู้นี้ถือว่ามาสั่นคลอนตำแหน่งของฮองเฮาจริงๆ หาไม่แล้ว ไยฮองเฮาต้องยกนางในแซ่จงที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยผู้นี้ขึ้นมายื้อให้อำนาจตน? ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ฮองเต้ก็รักใคร่สนมจงผู้นี้แล้ว สนมเมี่ยวก็มิใช่ว่ายังดีอยู่หรือ? ก็มิเห็นได้ยินว่าองค์ชายสิบหกและสิบเจ็ดที่นางเลี้ยงดูเกิดเรื่องใด เห็นได้ว่าสนมเอกเติ้งยังคงมีกำลังอยู่ไม่เบาเลย ยิ่งไปกว่านั้นสนมเมี่ยว…ก็มีฐานะระดับหนึ่งอยู่ในตำหนักกลาง!”


               นางมองสะใภ้ใหญ่หนหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเป็นนัยว่า “เรื่องสนมเมี่ยวเป็นที่โปรดปรานนั้นเป็นเรื่องตั้งแต่ต้นปีแล้ว เหตุใดพี่ชายเจ้าจึงมิได้บอกกับเจ้าเลย?”


               ฮูหยินซ่งยิ้มเจื่อนพลางว่า “จดหมายที่ส่งไปมาก็มิได้เอ่ยเรื่องนี้ กลับมีแต่เรื่องเร่งรัดให้ไจ้สุ่ยขึ้นเหนือไปเมืองหลวงเจ้าค่ะ”


               “นี่อาจเป็นเพราะฮองเฮาต้องการกำลังหนุน” แม่เฒ่าซ่งหรี่ตานิ่งคิดไปเกือบเค่อ กล่าวว่า “แม้จะบอกว่ามีสัญญาแต่งงานอยู่ก่อนแล้ว แต่ไจ้สุ่ยก็ยังมิได้ออกเรือน ตระกูลซ่งก็หาใช่คนโง่! ยิ่งไปกว่านั้นแม้ตำหนักตะวันออกจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮองเฮา แต่เรื่องนี้ก็ไม่พ้นความหลักแหลมของฮองเฮาไปได้! ฮองเฮาเองก็ไม่อาจจะจับตาดูตำหนักตะวันออกได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่นนี้แล้วที่ไหนจะมีเวลามาจดจ่อเรื่องสู้รบปรบมือกับสนมเอกเติ้งและสนมเมี่ยว? หากไจ้สุ่ยเข้าวังไปแล้ว แม้ไม่อาจช่วยเหลือเรื่องรับมือกับสนมเอกเติ้งได้ อย่างน้อยก็สามารถรักษาไม่ให้ตำหนักตะวันออกเกิดเรื่องเกิดราวได้”


               ฮูหยินซ่งอดไม่ได้จึงกล่าวไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดฮองเฮาจึงได้ยอมให้ไจสุ่ยรั้งเวลาอยู่ในเฟิ่งโจวนานถึงเพียงนี้? แม้จะพูดได้ว่าระหว่างนี้ท่านพี่ก็ได้เขียนจดหมายมาเร่งรัดนางขึ้นเหนืออยู่หลายครั้ง แต่หากส่งคนมาเร็วกว่านี้ ไจ้สุ่ยอาจจะตามไปเมืองหลวงเร็วกว่านี้แล้ว?”


               แม่เฒ่าซ่งขมวดคิ้วพลางว่า “ อาจเป็นเพราะถูกสนมเอกเติ้งขัดขวางอยู่ก็เป็นได้…เดิมทีมิใช่สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าเมื่อไจ้สุ่ยปักปิ่นแล้วก็จะให้แต่งเข้าตำหนักตะวันออกหรอกหรือ? แล้วยามนี้เป็นเวลาใดแล้ว? สามปีก่อนทางเมืองหลวงส่งข่าวมาว่าอย่างไร? ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามิเห็นได้พูดถึงแต่อย่างใดนี่?”


               “เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” ฮูหยินซ่งพึมพำเสียงเบาว่า “พวกเรามิได้อยู่ที่เมืองหลวง ตอนนั้นก็มิได้สนใจเท่าใดนัก… ยามนี้คิดไปก็รู้สึกว่าแปลก ต่อให้ฮองเฮาไม่เอ่ยถึง ตามธรรมเนียมแล้วขุนนางในราชสำนักก็ควรจะพูดถึงเรื่องนี้บ้าง”


               แม่เฒ่าซ่งว่า “ก็อาจมิใช่ว่าจะไม่มีคนเอ่ยถึงเลย เพียงแต่พวกเรามิได้ไปสอบความเท่านั้น” เว่ยฉางอิ๋งอายุน้อยกว่าซ่งไจ้สุ่ยหนึ่งปี สามปีก่อนนางอายุสิบสี่ เป็นเวลาที่เตรียมจะเข้าพิธีปักปิ่น ทั้งแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งต่างก็ตั้งอกตั้งใจตระเตรียมการใหญ่เช่นนี้ให้นางตั้งแต่นางอายุได้สิบสามปีแล้ว เพื่อจะได้จัดพิธีปักปิ่นนี้ให้ยิ่งใหญ่ที่สุด ในสองปีนั้นพวกนางจึงมิได้มีแก่ใจไปสนใจเรื่องอื่น


               อีกประการหนึ่ง เรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยได้รับการหมั้นหมายจากราชสำนักต่างก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงอายุที่ตกลงกันไว้กลับมิเห็นว่าจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ… แล้วผู้ใดเล่าจะคาดเดามิได้ว่าต้องเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นแล้ว? อย่างเช่นว่าราชสำนักได้ไปหมายตาบุตรสาวของตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นเพื่อมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว… เพราะที่จริงแล้ว เมื่อตอนที่หยกประดับทองชิ้นนั้นมาถึงมือซ่งไจ้สุ่ย ฮองเฮากู้ก็ยังเป็นเพียงแค่สนมชั้นเจาอี๋เท่านั้น


               เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ อีกทั้งตระกูลเว่ยก็สนิทชิดเชื้อกับตระกูลเว่ยมาแต่ไร การไปซักไซ้เอาความก็มิใช่จะเป็นการทำให้ตระกูลซ่งเสียหน้าเท่านั้นหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นก็มิได้อยู่ที่เมืองหลวง ดังนั้นเมื่อเห็นตระกุลซ่งไม่ได้มีคำอธิบายใดมา ตระกูลเว่ยก็ได้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพื่อมิให้ตระกูลซ่งต้องลำบากใจ


               ยามนี้ฮูหยินซ่งลอบโล่งอกอยู่ในใจ เรื่องนี้หากพวกตนยังอยู่ที่เมืองหลวงก็จักไม่มีทางปิดเงียบอยู่เช่นนี้ได้ อย่างน้อยคนอื่นๆ ในตระกูลเว่ยก็ยังคงจะไต่ถาม นางผู้เป็นอาแท้ๆ ของซ่งไจ้สุ่ยก็คงต้องไปสอบถามเอาความต่อหน้าซ่งอวี่วั่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นวันนี้ก็ไม่ต้องเปลืองแรงไปดาดเดาสิ่งใดแล้ว


               หากมิใช่เพราะแม่เฒ่าซ่งหลักแหลม หนนี้นางก็ยังคงไม่ได้คิดไปถึงตัวสนมเมี่ยวและสนมจงทั้งสองคนซึ่งเป็นคนใหม่ในวัง… แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังไม่กล้าจะเปิดเผยเรื่องของเติ้งจงฉีไปทั้งหมด ทำได้เพียงสำทับตามคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ฟังท่านแม่พูดดังนี้ หนนี้เกรงว่าตระกูลซ่ง…จะลำบากแล้ว?”


               “อย่างไร อีกไม่กี่วันไจ้เถียนก็จะมาถึงแล้ว ในจดหมายไม่สะดวกจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ เจ้าก็ลองถามเขาดูเถิด” แม่เฒ่าซ่งขมวดคิ้ว พักใหญ่ จึงกล่าวว่า “ทว่า ฮองเฮากู้เป็นบุตรสาวของตระกูลกู้แห่งหงโจว หงโจวมิใช่อยู่ที่เจียงหนานหรอกรึ? ครานั้น ฮองเฮากู้ยังเป็นสนมชั้นเจาอี๋อยู่ ที่นางคิดจะสู่ขอไจ้สุ่ยเป็นสะใภ้ ก็มิใช่ว่าเพราะว่าถิ่นฐานของตระกูลกู้อยู่ใกล้กับบ้านตระกูลซ่งหรอกหรือ? อีกประการก็เพราะหมายตากำลังอำนาจของตระกูลซ่ง จึงได้ต้องการจะดองกับตระกูลซ่ง เมื่อมีตระกูลซ่งที่อยู่ชิดใกล้คอยสนับสนุน ตระกูลกู้ย่อมรุ่งเรืองได้อย่างรวดเร็ว! และด้วยประเด็นที่หงโจวอยู่ในเจียงหนานนี้ ฮองเฮากู้ก็คงจะไม่ทำการใดกับตระกูลซ่งหรอก”


               …แต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ฮองเฮากู้ยังไม่รู้ว่าซ่งไจ้สุ่ยรังเกียจบุตรชายของนางนี่!


               ยามนี้ฮองเฮาผู้นี้และองค์รัชทายาทต่างก็รู้แล้วว่าซ่งไจ้สุ่ยไม่ได้พึงพอใจองค์รัชทายาท เอาแต่คิดจะล้มเลิกการแต่งงานอยู่ทุกชั่วขณะจิต!


               ก่อนหน้านี้ เพียงเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งมีความคิดจะกำราบควบคุมสามีเล่าลือไปถึงเมืองหลวง ฮูหยินซูยังพลันชักสีหน้าใส่ อีกทั้งตระกูลเสิ่นยังมีฐานะทัดเทียมกับตระกูลเว่ยด้วย! แล้วประสาอะไรกับราชสำนัก?


               ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่เคยมีความคิดจะล้มเลิกการแต่งงานเลย!


               หากลองเปลี่ยนมาเป็นตนเอง หากเว่ยฉางเฟิงมีว่าที่ภริยา แล้วให้ฮูหยินซ่งรู้ว่าอนาคตลูกสะใภ้ผู้นี้กลับรังเกียจลูกชายของตนและไม่ต้องการจะแต่งเข้าบ้าน… สะใภ้เช่นนี้นางก็ไม่ต้องการเช่นกัน ไม่เพียงแค่ไม่ต้องการ นางยังอยากจะกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปเสียด้วยซ้ำ! บุตรชายแท้ๆ ของนางไม่ว่าดูอย่างไรก็ดีไปเสียทุกอย่าง นังคนไม่รักษาสัญญาคนนี้มีตาหรือไม่กันแน่! แม้ว่าด้วยธรรมเนียมแล้วอย่างไรก็ต้องแต่งนางเข้าบ้าน ฮูหยินซ่งไม่นับวันรอเวลาคิดบัญชีก็แปลกแล้ว! แล้วจิตใจของผู้ที่เป็นแม่ในใต้หล้าจะแตกต่างกันไปได้สักเท่าใด?


                ฮูหยินซ่งนิ่งทนอยู่ครู่ใหญ่ แม้จะไม่กล้าพูดทุกเรื่องออกมา แต่ก็ยังลองสอบถามไปว่า “ท่านแม่ หากฮองเฮากู้รู้เรื่องที่ไจ้สุ่ยไม่ยินยอมแต่งงานกับองค์รัชทายาทเล่า?”


               เมื่อคำพูดนี้ออกไป ก็พลันเห็นแม่เฒ่าซ่งกวาดสายตาดังสายฟ้ามาที่ตน!


               ฮูหยินซ่งก้มตาลงมองจมูก ส่วนจมูกก็มองลงมาถึงใจ และนั่งอย่างสงบเสงี่ยม


               พักใหญ่ แม่เฒ่าซ่งจึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ฮองเฮาก็จะต้องไม่ยินดีเป็นธรรมดา องค์รัชทายาทก็ด้วย แต่ฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดิน นางจะต้องมีเหตุมีผล”


               แน่นอนว่าฮูหยินซ่งต้องเข้าใจความหมายของคำว่า ‘มีเหตุมีผล’ อยู่แล้ว นางอดจะกัดริมฝีปากแน่นไม่ได้ พลางว่า “หากเป็นเช่นนั้น เมื่อไจ้สุ่ยแต่งเข้าไป วันหน้าเกรงว่าจะเป็น…ภัยแฝงต่อตระกูลซ่งเช่นกัน?”


               แม่เฒ่าซ่งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องแต่งเข้าวัง ก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วรึ?”


               ฮูหยินซ่งพลันมองเหม่อ แล้วฟังแม่เฒ่าซ่งพูดต่อไปว่า “สองวันก่อนเจ้าเขียนจดหมายหาพ่อเจ้า ก็มิใช่พูดเรื่องนี้หรอกรึ?”


               “…” ฮูหยินซ่งกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น มิรู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรดี!


               ฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อไปว่า “จดหมายของเจ้านั้น แน่นอนว่าข้ามิได้อ่านหรอก ทว่า… เรื่องนี้ ดีชั่วเติ้งจงฉีก็อยู่ที่บ้านตระกูลเว่ย หากสนมเอกเติ้งคิดการเอาไว้รัดกุมแล้วจริงๆ ในความเห็นค่า มิสู้มอบเรื่องนี้ให้ตระกูลเติ้งจัดการเป็นดี”


               “เพราะเหตุใด?” ฮูหยินซ่งตั้งใจกล่าว คำกล่าวนี้จะว่าก็ไปรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล เห็นเพียงฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามาที่ตนหนหนึ่ง จึงกล่าวอย่างราบเรียบว่า “จะอย่างไรการล้มเลิกสัญญาแต่งงานก็มิใช่ชื่อเสียงที่ดีอะไร แม้ว่าฉากหน้าจะเจรจารอมชอมกันได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเป็นเรื่องเช่นใด ผู้ที่มีความคิดเห็นละเอียดอ่อนจะไม่รู้เชียวหรือ? แต่หากว่าตระกูลซ่งมิได้จงใจยกเลิกการแต่งงาน แต่กลับถูกคนใช้กลอุบายจงใจจับแยก…เช่นนั้นก็ไร้หนทางใดแล้ว”


               “…!”


               คำกล่าวนี้ของแม่เฒ่าซ่งทำให้ฮูหยินซ่งตกใจและรู้กระจ่าง เมื่อกลับมาที่ห้องของตน ฮูหยินซ่งเร่งเขียนจดหมายไปเจียงหนานอีกฉบับจนแทบรอไม่ไหว แต่กลับสั่งความบ่าวรับใช้ที่อยู่ซ้ายขวาว่า “ไปบอกคนดูแลเรือนนอก นับแต่บัดนี้ไป จงจับตาดูเรือนพักของเติ้งจงฉีเอาไว้ให้ดี… และดูด้วยว่าอาการบาดเจ็บของเขาเป็นเช่นไรแล้ว หากสามารถลุกเดินได้ ก็ให้ดูว่าในยามที่ไม่ผู้คนสังเกตเห็น ให้เขามาเรือนด้านหลังหนหนึ่ง!”


               แม่นมซือรีบตอบว่า “บ่าวจะไปบอกเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”


_________________________



ตอนที่ 54 ราชทูตมาถึง (1)

โดย

Xiaobei

 


               …เมื่อฮูหยินซ่งได้พบกับเติ้งจงฉีแล้ว วันต่อมาก็ได้เรียกซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งมาพบตน และพูดเข้าประเด็นทันใดว่า “เรื่องงานแต่งครานี้จะต้องขัดขวางเอาไว้แล้ว แม้ว่าจดหมายตอบจากทางเจียงหนานจะยังไม่มาถึง แต่คาดว่าจะต้องเห็นเช่นนี้เช่นกัน สนมเอกเติ้งบอกว่า ในวันคล้ายวันเกิดของสนมจง จะเกิดเรื่องไม่เป็นมงคลในตำหนักกลาง… เพราะตำหนักจาวฮวาซึ่งเป็นที่พำนักของสนมเอกเติ้งอยู่ทางทิศใต้ของพระราชวังเมื่อถึงยามนั้นฮองเฮาและสนมจงจะส่งคนของพวกนางเข้ามาลงมือ”


               นิ่งไปสักพัก ฮูหยินซ่งจึงกล่าวต่อไปว่า “เหตุที่องค์ชายใหญ่ในรัชกาลนี้ถูกให้พ้นจากตำแหน่งก็เพราะถูกอดีตฮองเฮาเฉียนให้ร้ายว่าใช้คาถาพ่อมดหมอผีสาปแช่งฮ่องเต้! ดังนั้นหากฮ่องเต้ทรงคิดว่าพระสนมเอกไม่เป็นมงคล ต่อให้ไม่ได้ปลดนางจากตำแหน่งสนมเอก อนาคตของสกุลเติ้งก็จะดำดิ่งลงเหว! ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายเพียงพระองค์เดียวของสกุลเติ้งซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะถูกกล่าวหาว่ากาลกินี… ตามการคาดการณ์ของพระสนมเติ้ง จะใช้เจ้าเป็นตัวแทนนาง โดยให้เจ้าเข้าวังจากทางประตูทิศใต้ในวันนั้น”


               ซ่งไจ้สุ่ยพยักหน้า กล่าวว่า “ขอเพียงไม่ต้องสมรสกับองค์รัชทายาท เรื่องเหล่านี้ข้าหาได้กลัวไม่”


               “ไม่” ฮูหยินซ่งมองนางหนหนึ่ง แล้วกลับส่ายหัวบอกว่า “ยามนี้เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว มิได้เห็นว่าคำกล่าวนี้มีช่องโหว่หรอกหรือ?”


               ซ่งจุ้ยสุ่ยตกใจ แล้วฟังฮูหยินซ่งกล่าวว่า “ยังมิต้องเอ่ยถึงแผนการของฮองเฮากู้และสนมจง เหตุใดสนมเอกเติ้งจึงรู้มาตั้งนานแล้ว? จึงได้บอกว่าครานี้เพื่อให้สนมจงได้มีรอยยิ้ม ฮ่องเต้ถึงกับให้ราชองครักษ์อี้ลงใต้มาที่ชิงโจวเพื่อค้นหาคนในครอบครัวของสนมจงเป็นพิเศษ… ในสี่คนนั้นมีคนใดที่เป็นคนของฮองเฮากู้หรือสนมจง? แม้กู้อี้หรานก็แซ่กู้เช่นกัน  แต่กลับเป็นเพียงคนในตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง! ส่วนคนของตระกูลตวนมู่และตระกูลหลิวนั้นมีหรือที่ฮองเฮาจะใช้งานได้ง่ายๆ?”


               “หากเจ้าเป็นฮองเฮากู้ เมื่อเห็นรายชื่อราชองค์อี้ทั้งสี่นายนี้… ทั้งที่รู้ว่ายามนี้เจ้าอยู่ที่เฟิ่งโจว และราชองค์รักษ์อี้จะไปชิงโจวก็จะต้องผ่านมาทางเฟิ่งโจว เจ้าจะไม่คำนึงถึงว่าเมื่อเติ้งจงฉีผ่านมาทางเฟิงโจวนั้นจะเกิดเรื่องใดบ้างหรือ?” ฮูหยินซ่งยิ้มเย็น แล้วกล่าวเตือนว่า “อย่าได้ลืมว่าฮองเฮากู้ก็รู้ว่าเจ้าไม่ยินยอมแต่งเข้าวังสิ!”


               ซ่งไจ้สุ่ยตกใจ “เช่นนั้นทั้งหมดนี้… เดิมทีก็อยู่ในแผนการของฮองเฮา?”


               “และอยู่ในแผนการของสนมเอกด้วย” ฮูหยินซ่งเอ่ยอย่างหนักใจว่า “เติ้งจงฉีเป็นหลายชายแท้ๆ ของสนมเอกเติ้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับการดูแลจากสนมเติ้งมาแต่เล็ก! เมื่อคนของสนมเอกมาแล้ว เจ้าว่าฮองเฮาจะมิได้เตรียมการรับมือรึ? และสนมเอกมีหรือจะไม่ได้คิดถึงประเด็นนี้?”


               “บ้านเราอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง ไม่อาจได้ยินข่าวคราวได้ทั้งหมด ไปมาก็ไม่ทันเวลา ยามนี้ก็ยังไม่อาจวางแผนที่รัดกุมได้ แต่คำกล่าวของท่านย่าของฉางอิ๋งนั้นไม่ผิด ตระกูลซ่งเป็นอันดับหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ จึงไม่สามารถทำเรื่องยกเลิกสัญญาแต่งงานเช่นนี้ได้!” เมื่อเห็นว่าซ่งไจ้สุ่ยมีสีหนาเปลี่ยนไป ฮูหยินซ่งจึงพูดต่อไปว่า “แต่หากว่ามีผู้อื่นไม่ยินดีให้ตระกูลซ่งมีพระชายาองค์รัชทายาท แล้วจัดการลงมือทำการบางอย่าง ให้เจ้าไม่อาจแต่งเข้าวังหลวงได้ เช่นนั้นก็ไม่อาจโทษตระกูลซ่งได้!”


               ซ่งไจ้สุ่ยคล้ายขบคิดบางสิ่ง แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นพระสนมเอกจึง?”


               “มิผิด” ฮูหยินซ่งพยักหน้า กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ายินยอมให้ความร่วมมือ สนมเอกเติ้งมีวิธีมากมายให้เจ้าแต่งงานไม่สำเร็จ เติ้งจงฉีผู้นั้นหลักแหลมแต่ก็ใจคอเด็ดเดี่ยว เขามาเฟิ่งโจวครานี้ได้เตรียมการให้ตนกลับไปไม่ได้เอาไว้แล้ว คนประเภทนี้เมื่อถูกบีบบังคับ ก็มิใช่จะไม่กล้าลงมือกับเจ้า! เหตุที่สนมเติ้งเลิกเจ้ามารับเรื่องอัปมงคลแทนนาง ก็เพื่อเป็นการให้ข้ออ่างแก่ตระกูลซ่งว่า… เรื่องแต่งงานหนนี้ถูกตระกูลเติ้งทำลาย มิใช่เพราะตระกูลซ่งต้องการจะล้มเลือกการแต่งงาน เข้าใจหรือไม่?”


               เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางกล่าวว่า “จะว่าไปเรื่องนี้ก็เป็นการเสียสละขอองตระกูลเติ้ง” จากนั้นก็เลิกคิ้ว แล้วว่า “แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าสนมเอกมั่นใจเกินไปหน่อย เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกสองเดือน ไยนางจึงได้แน่ใจนัก? ประการต่อมาเมื่อท่านพี่ไจ้สุ่ยไปเมืองหลวง แม้จะส่งคนไปคอยจับตาดูตลอดทาง หากข้าเป็นฮองเฮา ในเมื่อรู้ว่าท่านพี่จะเข้าวังในวันคล้ายวันเกิดของสนมจง เหตุใดจึงไม่ทำให้เลื่อนไปสักวัน? ว่าไปแล้วเรื่องอัปมงคลที่จะเกิดในวันคล้ายวันเกิดของสนมจงนั้น…สนมจงจะไม่ได้รับผลกระทบบ้างหรอกหรือ?”


               “ใครบอกเจ้าว่าเรื่องอัปมงคลจะต้องมีเพียงฮองเฮาและสนมจงเป็นผู้จัดการ?” ฮูหยินซ่งชี้ไปหานางอย่างเบามือ แล้วเอ่ยอย่างเวทนาว่า “จริงอยู่ว่าเราต้องใช้ตระกูลเติ้ง แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องฟังพวกเขาไปเสียทุกเรื่องนี่!” สนมเอกเติ้งว่าเช่นนี้ ก็แสดงว่านางยินยอมจะรับความผิดเรื่องการทำลายการแต่งงานของไจ้สุ่ยและตำหนักตะวันออก เพื่อปกป้องหน้าตาของตระกูลซ่ง! ความคิดที่ว่านี้แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น”


               เว่ยฉางอิ๋งมองไปยังซ่งไจ้สุ่ย “เช่นนั้นท่านพี่ไจ้สุ่ยจะทำเช่นไรเล่า?”


               “ปฏิเสธไม่ยอมแต่งเข้าวังหลวงก็ดี เข่าเจ็บไม่หายเดินเหินไม่สะดวก็ดี” ฮูหยินซ่งมองหลานสาวคราหนึ่ง แล้วว่า “อย่างไรยังพอมีเวลา รอให้ไจ้เถียนมาถึงแล้ว ข้าจะสอบถามเรื่องในเมืองหลวงอย่างละเอียด จึงค่อยตัดสินใจ”


               เมื่อได้ยิน ‘เข่าเจ็บไม่หาย’ สี่คำ ซ่งไจ้สุ่ยกระอั่กกระอ่วนใจจนหน้าแดงขึ้นมา กล่าวว่า “ก่อนนี้หลอกท่านอา ข้า…”


               “เกรงว่าเจ้าเด็กโง่นี่เป็นคนออกความคิดให้เจ้าล่ะสิ?” ฮูหยินซ่งยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่ง มองดูหลานสาวซึ่งฉลาดหลักแหลมและใจกว้างมาโดยตลอด มีอาการทำอะไรไม่ถูกเมื่อถูกพูดแทงใจดำ ในใจรู้สึกขบขันแต่ก็รู้สึกวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เพราะเมื่อคิดว่าวันก่อนตนยังหลงนึกว่าสามารถปิดบังแม่เฒ่าซ่งได้เป็นอย่างดี ไม่คิดว่าเมื่อแม่เฒ่าซ่งชี้ประเด็นออกมา จึงได้รู้ว่าทุกสิ่งล้วนในอยู่สายตาของฮูหยินผู้เฒ่า…อย่างไรเสียเมื่ออายุร่วงโรยไปก็มิใช่ว่าไม่มีขอดี ปัญญาที่สั่งสมมาตามอายุคือสิ่งที่พรสวรรค์ไม่อาจจะทดแทนได้


               แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะมีปัญญาล้ำเลิศทั้งยังได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี ทว่าอย่างไรก็อายุยังน้อยไปสักนิด เมื่อคิดถึงตรงนี้ ยามเมื่อฮูหยินซ่งอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าและถูกนางรุกไล่นั้นก็ได้รับการปลอบโยนเพียงน้อยนิด ตนจึงไม่กล้าจะหัวเราะเยาะซ่งไจ้สุ่ยแล้ว หากแต่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เมื่อครู่นี้ได้รับข่าวคราวมาแล้ว อีกสามวันราชทูตจะมาถึง พวกเจ้าจงอย่าคิดฟุ่งซาน จงเตรียม…ทุกสิ่ง…เอาไว้ให้ดี อย่างไรก็มีผู้ใหญ่อย่างพวกเราอยู่!”


               เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะฮิๆ พลางพยักหน้า ซ่งไจ้สุ่ยก็ระบายลมออกมายาวๆ แต่กลับรีบลุกขึ้นคราวะฮูหยินซ่งหนหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าฮูหยินซ่งจะพยายามขัดขวางนางไว้เพียงใด แล้วยิ้มหวานพลางว่า “ข้าเชื่อในตัวท่านอา!”


               นางเงยหน้าขึ้น พอแย้มยิ้มแววตาก็เป็นประกาย ความรู้สึกพึ่งพาและซาบซึ้งของซ่งไจ้สุ่ยกับท่าทีมั่นอกมั่นใจของเว่ยฉางอิ๋งที่แสดงออกมาในเวลาเดียวกันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ฮูหยินซ่งเสียสมาธิ และในระหว่างนั้นนางจึงได้ลอบตัดสินใจอย่างแน่วแน่อยู่ในใจว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องช่วยหลานสาวที่น่าสงสารผู้ให้จงได้… ฮูหยินซ่งหาได้คิดว่าบุตรสาวของตนไม่ได้สำนึกขอบคุณ แต่กลับรู้สึกสะท้อนใจที่นางเว่ยจากไปเร็วเกินไป หลานสาวแสนดีเช่นนี้ไร้มารดาคอยปกป้องคุ้มครอง นางหวาดกลัวการแต่งเข้าตำหนักตะวันออกเพียงนั้น แต่กลับต้องอดทนเอาไว้ไม่กล้าเอ่ยกับตน…คงเพราะเกรงจะถูกปฏิเสธ


               ยามนี้ตนเองซึ่งเป็นอาเพิ่งจะตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเอาเมื่อตอนที่สถานการณ์มีแนวโน้มเปลี่ยนไป แต่กลับทำให้นางซาบซึ่งเป็นนักหนา หลานสาวที่รู้ความเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้ฮูหยินซ่งรู้สึกผิดยิ่งขึ้น


               “ได้แต่หวังว่าไจ้เถียนจะนำข่าวดีมา ให้เด็กทั้งสองคนมีที่พึ่งพิงดีๆ สักแห่งเถิด” ฮูหยินซ่งกล่าวกับแม่นมซือด้วยความกลัดกลุ้ม หลังจากส่งแม่นางทั้งสองออกไปแล้ว



ตอนที่ 54 ราชทูตมาถึง (2)

โดย

Xiaobei

 


เวลาสามวันไม่นานก็มาถึงแล้ว


               วันนี้รุ่ยอวี่ถังเปิดประตูกลางของจวนออกเพื่อน้อมรับราชโองการ เว่ยฮ่วนนำอยู่ข้างหน้าลูกชายและหลานชาย ส่วนพวกสตรีในตระกูลอยู่แถวหลัง เมื่อถูกพวกผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าบังไว้หมด ยิ่งทำให้พวกสตรีอยู่ห่างจากราชทูตที่อ่านราชโองการไกลออกไปอีก ยามรับราชโองการนั้นยังต้องคุกเข่าลงกับพื้น ดั้งนั้นเมื่อรับราชโองการประกาศเกียตริคุณให้แก่เว่ยฮ่วนและเว่ยเซิ่งเหนียนเรียบร้อยแล้ว จึงมิได้มองเห็นใบหน้าของราชทูตอย่างชัดเจน แม้แต่สายตาเฉียบคมของเว่ยฉางอิ๋ง ก็ทำได้เพียงอาศัยช่วงเวลาหมุนตัวเพียงสั้นๆ เขย่งปลายทำลอบมองเห็นแค่เพียงชุดสีม่วงของขุนนางใหญ่เท่านั้น


               ครานี้เว่ยห่วนได้นำบุตรชายและหลายชายมาห้อมล้อมต้อนรับราชทูต พวกสตรีต่างต้องตามฮูหยินซ่งกลับเรือนหลังแล้ว


               เครื่องแต่งกายบนตัวของเว่ยฉางอิ๋งได้แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งใช้เวลาคัดเลือกและแก้ไขให้หลายวัน หลังจากค่อยๆ ลองทีละชิ้นแล้วจึงได้ตัดสินใจเลือก นางจัดแจงเสื้อผ้านั่งสงบเสงี่ยมรอที่เรือนเสียนซวงอยู่กว่าหนึ่งชั่วยาม จนกระทั่งนึกว่าเสิ่นโจ้วและท่านปู่จะคุยกันออกรส แล้ววันนี้ไม่คิดจะพบตนเสียแล้ว เมื่อนั้นเองจึงเห็นซวงหลี่มาเชิญนาง “ท่านประมุขและฮูหยินผู้เฒ่าให้คุณหนูใหญ่ไปคารวะผู้ใหญ่ในโถงเจ้าค่ะ”


               แม้จะบอกว่าได้เตรียมตัวมาตั้งนานแล้ว และวันนี้ก็หาได้ต้องไปพบกับพ่อแม่สามี แต่เมื่อเวลาจวนเจียน เว่ยฉางอิ๋งก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง แล้วเร่งให้นางเฮ่อช่วยตรวจความเรียบร้อยของอาภรณ์และหน้าตาให้ตนอีกครั้ง ความจริงแล้วนางเฮ่อรู้สึกเป็นกังวลกับนางอยู่ในใจ แต่ในยามนี้ก็จะต้องสงบใจ พลางยิ้มและกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่งดงามมาแต่กำเนิด และเครื่องแต่งกายในวันนี้ก็ยังเป็นฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเป็นผู้จัดหามาให้ ยังเกรงว่าตระกูลเสิ่นจะพยายามจับผิดอีกหรือ?”


               ซวงหลี่กล่าวอีกว่า “ข้าน้อยเข้ามา ยังมองคุณหนูใหญ่จนเกือบเหม่อเลยเชียว!”


               …ความจริงแล้วเครื่องแต่งกายของเว่ยฉางอิ๋งในวันนี้มิได้มีสีสันฉูดฉาด จะอย่างไรหนนี้ก็เป็นการเข้าคารวะเสิ่นโจ้ว หาได้เข้าพบเสิ่นจั้งเฟิงไม่ แม้พวกผู้อาวุโส จะชอบให้ลูกหลานแต่งกายสีสันสดใส แต่นี่เป็นการพบกันครั้งแรก และเว่ยฉางอิ๋งก็จะไปเป็นสะใภ้ที่บ้านตระกูลเสิ่น ทุกอย่างจึงเน้นที่ความภูมิฐานสง่างามเป็นหลัก


               ดังนั้นแม่เฒ่าซ่งจึงได้เลือกเสื้อคอป้ายตัวสั้นสีน้ำทะเลเข้มปักลายกิ่งก้านไม้ที่วางตัวเป็นภาพแมนดาล่า[1] ข้างนอกทับด้วยเสื้อส้างหรูตัวสั้นคอป้ายแขนกว้างสีเหล้าแดงระเรื่อปักรูปใบชาขาว ตัวท่อนล่างสวมกระโปรงหลิวซานจีบรอบสีงาช้าง ที่เอวคาดด้วยผ้าพื้นสีม่วงเข้มอมแดงปักดิ้นทองลายเมฆขดทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด มีผ้าคล้องแขนสีเขียวหยกลายดอกไม้เล็กๆ เวลานี้ฤดูร้อนเพิ่งจะผ่านไป อากาศเริ่มหนาว แต่ฤดูใบไม้ร่วงก็ยังไม่ปรากฏชัดเจน ในรุ่ยอวี่ถังยังคงมีดอกไม้บานสะพรั่งอย่างที่เคย ดอกสีแจ่มชัดใบหนาแน่น เป็นการขับให้ตัวนางดูเรียบง่ายและสง่างามได้พอดิบพอดี ทำให้เว่ยฉางอิ๋งยิ่งดูภูมิฐานเป็นพิเศษ


               แต่ยังได้คำนึงถึงว่าเว่ยฉางอิ๋งยังเป็นสาวน้อย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแต่งกายเรียบง่ายแล้ว ก็จะไม่สามารถขับเอาความสง่างามออกมาให้เห็นได้ ดังนั้นฮูหยินซ่งจึงได้เสนอให้เปลี่ยนหยกประดับเป็นหยกเขียวเหลือบห้าสีรูปผีเสื้อที่มีสีสันแวววาว สายห้อยหยกประดับก็เปลี่ยนเป็นเชือกถักร้อยลูกปัดสีแดงทับทิมเลือดที่มีสีสด


               ส่วนเครื่องประดับศีรษะ ปิ่นคู่หยกสีเลือดที่ฮูหยินซูให้มาคู่นั้นก็จะต้องนำมาปักด้วย… แม่เฒ่าซ่งเลือกเสื้อและกระโปรงที่สีสันไม่เข้มนักให้หลานสาวก็เพื่อไม่ให้โดดเด่นกว่าปิ่นคู่นี้ด้วยนั้นเอง ยังถือเป็นการให้เกียรติแก่ปิ่นและต่างหูที่ฮูหยินซูมอบให้มา รวมทั้งพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อแสดงให้เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งนั้นคู่ควรกับปิ่นคู่ซึ่งมีชื่อเสียงยิ่งในบรรดาตระกูลสูงศักดิ์คู่นี้อย่างแน่นอน


               ความตั้งใจของแม่เฒ่าซ่งนั้นช่างล้ำลึก ยามนี้บนช่อผมที่แยกม้วนเป็นสองมวยซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสาวน้อยที่ยังมิได้ออกเรือนมีเพียงปิ่นคู่ปักอยู่ และไม่มีเครื่องประดับใดอื่นอีก


               มวยผมที่ดำขลับดังปีกกาและปิ่นหยกสีเลือดสีสดที่ห้อยระย้าลงมา ช่างขับกันยิ่ง ดูคล้ายเรียบง่าย แต่กลับเป็นเพราะสองสีเข้มที่ตัดกัน กลับทำให้ผู้พบเห็นประทับใจเป็นยิ่งนัก เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็มีใบหน้างดงามผิวพรรณผุดผ่อง เมื่อยิ่งถูกขับขึ้นมาด้วยผมสีขนกาและปิ่นสีเลือด ยิ่งทำให้คิ้วดูเข้มริมฝีปากแดง แก้มผ่องดังหิมะ สันจมูกเด่นชัด เห็นแล้วยากจะลืมเลือน


               นางถูกห้อมล้อมไปด้วยบ่าวไพร่ และมาถึงเรือนหลังด้วยความสง่างาม ซวงหลี่เขาไปรายงานก่อน ไม่นานนัก จึงได้ออกมาและพยักหน้า เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึกหนหนึ่ง พลางจัดจีบกระโปรง และวางท่าทีให้สุภาพเรียบร้อย แล้วเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย…


               เรือนหลังมีการจัดวางแจกันดอกไม้สนเพิ่มเติมจากเดิมบ้าง ทั้งยังเปลี่ยนพรมปูพื้นผืนใหม่ นอกจากนี้ก็มิได้มีสิ่งใดแตกต่างไปจากยามปกติ แม่เฒ่าซ่งจัดที่นั่งทางซ้ายมือของที่นั่งหลักไว้ให้เว่ยฮ่วน ตนเองนั่งอยู่ทางด้านขวา ด้านหลังมีเฉินหรูผิงยืนรออยู่ สาวใช้หลักของฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งซวงจูและซวงเจียงต่างคอยอยู่ข้างที่นั่งทั้งสองข้างของนายตน


               เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าหนึ่งในคนที่นั่งในที่นั่งสองที่นี้จะต้องเป็นเสิ่นโจ้ว ซึ่งยามนี้กำลังจับจ้องมาสำรวจตน นางจึงไม่กล้าวอกแวก หันมาคารวะเว่ยฮ่วน และแม่เฒ่าซ่งด้วยดวงตาตรงนิ่งไม่ไหวติง เมื่อคารวะท่านปู่และท่านยาแล้ว… แม่เฒ่าซ่งยิ้มน้อยๆ พลางแนะนำนาง “ยังไม่รีบมาพบท่านอาตระกูลเสิ่นของเจ้า?”


               เมื่อได้ฟังคำของท่านย่า เว่ยฉางอิ๋งจึงได้หันตัวไปทางที่นั่งของแขกสำคัญเพื่อคารวะ และเอ่ยเรียกท่านอา นางโค้งตัวต่ำ แล้วพลันได้ยินเสียงหัวเราะก้องกังวานพลางเอ่ยว่า “เอ๋ นี่คือแม่นางที่สู่ขอให้แก่หลานจั้งเฟิงของบ้านข้ารึ? ช่างงดงามทั้งใบหน้าและกริยา สมแล้วกับที่เป็นบุตรสาวของสกุลเว่ย…ลุกขึ้นเถิด ต่างก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธี”


               เสียงนี้กังวานดังระฆัง มีพลังเหลือล้น พูดได้ว่ายามเมื่อพูดจาเสียงก็ดังสะนั่นห้องไปหมด แต่ลำพังเพียงเสียงนี้ ช่างเข้ากับภาพของสนามรบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่มีเสียงร้องตะโกนอย่างดุดันยามเข้ารบเช่นในความคิดของคนทั่วไปทุกประการ


               เว่ยฉางอิ๋งอดจะคิดไปถึงว่าที่สามีของตนผู้นั้นไม่ได้ ว่าจะมีลักษณะเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่? หากเป็นเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นบุตรสาวตระกูลอื่นที่แสนบอบบาง ขวัญอ่อนสักหน่อย อย่างเช่นจูหลานที่มาคราวก่อน หากถูกเจียงเจิงตะคอกเสียงดังใส่หนหนึ่งก็จะต้องตกใจจนล้มทั้งยืนเป็นแน่…


               ในเมื่อต้องเป็นสะใภ้ตระกูลเสิ่น ไม่อาจไม่ถือสาเลยจริงๆ!


               นางกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ว่า เพื่อพิสูจน์ว่าตนเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ที่สุภาพสง่างาม และสามารถแบกรับตำแหน่งนายผู้หญิงของตระกูลเสิ่นได้อย่างแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้นในยามนี้ก็ยังคงมีความเหนียมอายเช่นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน นางจึงทำได้เพียงฝืนใจข่มความต้องการที่อยากจะเงยหน้าขึ้นมาดูสักหน่อยว่าเสิ่นโจ้วมีหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่ ทั้งนี้ก็เพราะความร้อนใจใคร่ศึกษาดูให้ละเอียดว่าหน้าตาของเสิ่นจั้งเฟิงน่าจะเป็นเช่นไรนั่นเอง จึงได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อย สิบนิ้วเรียวที่ถนัดในการถือมีดซานเตา[2]และกระบี่ชิงเฟิงกำผืนผ้าเช็ดหน้าจิ่นซิ่วสีสดแน่น และเพียงยืนอยู่กับที่อย่างสงบนิ่ง… เสิ่นโจ้วมิได้รู้ว่าว่าที่หลานสะใภ้กำลังมีความคิดแผลงๆ มากมายอยู่ในใจ เมื่อเห็นรูปโฉมนางงดงาม กริยามารยาทเรียบร้อยก็รู้สึกพึ่งพอใจยิ่ง กลับเอ่ยชมนางจากใจจริงว่าเรียบร้อยสง่างามไปสองสามประโยค จนเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งต่างต้องกล่าวถ่อมตนแทนนางไปอีกสองสามประโยค


               เว่ยฉางอิ๋งเสียสมาธิไปฟังคำของท่านปู่และท่านย่า และทำทีขวยเขินให้รับกับสถานการณ์ รอจนท่านปู่ท่านย่าและเสิ่นโจ้วกล่าวคำชื่นชมในรูปโฉมและกริยามารยาทของตนตามมารยาทเสร็จแล้ว ก็คาดว่าท่านย่าจะสั่งให้ตนออกไปหรือไม่ก็เรียกตนให้มาอยู่ข้างๆ นาง…จากนั้น… การเข้าคารวะผู้ใหญ่ของนางครั้งนี้ก็จวนจะสมควรแก่เวลาแล้ว


               ไม่คิดว่าเมื่อการสนทนาตามมารยาทนั้นจบแล้ว แม่เฒ่าซ่งกลับชี้ไปทางที่นั่งที่อยู่ถัดจากของเสิ่นโจ้ว อมยิ้มแล้วว่า “นี่คือลูกผู้พี่ พี่ใหญ่ซ่งของเจ้า ก่อนนี้ยามเจ้ายังห่อผ้าอ้อมของทารกอยู่เคยได้พบกัน หลังจากนั้นเมื่อพวกเรากลับเฟิ่งโจวแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย คิดว่าคงจะจำไม่ได้แล้ว”


___________________


[1] แมนดาล่า เป็นภาพวงกลมที่มีลวดลายต่างๆ อยู่ภายใน


[2] ซานเตา คือมีดพกขนาดกลาง มีใบมีโค้งเล็กน้อย



ตอนที่ 55 เหล่าผู้ใหญ่

โดย

Xiaobei

               “ที่แท้ลูกผู้พี่ใหญ่ซ่งก็มาด้วยหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งนั้นรู้อยู่แล้วว่าซ่งไจ้เถียนก็มาด้วย เพียงแต่วันนี้ต้องเข้าคารวะเสิ่นโจ้ว ด้วยความตื่นเต้นเกินไปจึงกลับลืมเรื่องของซ่งไจ้เถียนเอาไว้บนเมฆชั้นเก้าโน่น ยามนี้ได้แม่เฒ่าซ่งย้ำเตือนจึงรีบหันตาไปมองอย่างรวดเร็ว พลางโค้งตัวลงคาราวะ “ข้าเคยได้ยินท่านแม่เอ่ยถึงท่านลุงและท่านพี่ทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง น่าเสียดายที่แต่ก่อนยังเล็กนัก หาได้จดจำสิ่งใดได้ไม่ เดิมทีนึกว่าหลังจากนี้จึงจะได้พบ ไม่คิดว่าตอนนี้ก็จักได้พบกับลูกผู้พี่ใหญ่แล้ว”


                แม้เมื่อเทียบกับการเข้าคารวะเสิ่นโจ้วก่อนหน้านี้ เว่ยฉางอิ๋งกลับดูสนิทสนมกับซ่งไจ้เถียนอย่างเห็นได้ชัด แต่เรื่องนี้กลับมิได้เป็นการทำให้เสิ่นโจ้วรู้สึกขัดเคือง อย่างไรเสียเว่ยฉางอิ๋งก็ยังมิได้ออกเรือน แม้หากว่ากันตามฐานะจริงๆ นางก็นับเป็นคนของตระกูลเสิ่นแล้ว กระทั่งเสิ่นโจ้วเองก็เพิ่งจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าแม้ยามยังมิได้เข้าประตูอย่างเป็นทางการ หากสงวนท่าทีสักหน่อยก็เป็นธรรมเนียมที่คุณหนูตระกูลใหญ่พึงปฏิบัติ ทั้งยิ่งทำให้เห็นเกียรติภูมิที่สูงส่งของบุตรสาวสายเลือดตรงของตระกูลเว่ย


               ยิ่งไปกว่านั้นเสิ่นโจวเป็นญาติผู้ใหญ่ของนาง ทั้งยังเพิ่งได้พบหน้ากันหนแรก มีเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งอยู่ด้วย หากเว่ยฉางอิ๋งพูดมากกลับจะเห็นว่าไม่สำรวมเสียอีก ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งเป็นคนในรุ่นเดียวกัน เป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ แม่เฒ่าซ่งก็ยังบอกว่ายามที่เว่ยฉางอิ๋งยังห่อผ้าอ้อมอยู่ก็เคยได้พบลูกผู้พี่แล้ว การแสดงความสนิทสนมในยามนี้สักเล็กน้อยก็ทำให้เห็นความเป็นกันเองและเข้ากับคนง่ายของเว่ยฉางอิ๋ง


               ยามที่เว่ยฉางอิ๋งกวาดตามองไปนั้น เห็นว่าลูกผู้พี่ของตนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา ท่าทีสุขุม มีกลิ่นอายของผู้คงแก่เรียนเด่นชัดอยู่บนหน้าผาก เพียงมองก็รู้ว่าเป็นคนในตระกูลผู้มีการศึกษา บนตัวสวมชุดยาวสีแดงระเรื่อปักลายอย่างชุดขุนนาง บนศีรษะสวมหมวกผ้าแบบอ่อน คาดเอวด้วยเข็มขัดหยก นิ้วหัวแม่มือยังสวมแหวนยกหนา…นั่งคำนับตอบด้วยท่าทีสำรวม แต่ก็มิได้ไม่มีท่าทีเป็นกันเองกับตระกูลเว่ย มีสง่าราศีของคนในตระกูลสูงศักดิ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้จะความสง่างามจะมิได้โดดเด่นจนเป็นที่สนใจของทุกสายตา แต่ก็กลับหาที่ติมิได้เลย


               ตามคำที่แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งสอนสั่งอยู่ทุกวี่วัน คนเช่นนี้บางทีมิได้มีข้อบกพร่องให้เห็นเด่นชัด ทว่ากลับเป็นคนระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าเรื่องใดก็จะมีการวางแวนและคิดการเอาไว้ก่อน ไม่ใคร่ยินดีหากถูกผู้ใดต่อต้าน เว่ยฉางอิ๋งจึงคิดว่า ไม่รู้ว่าลูกผู้พี่ผู้นี้จะหัวรั้นเช่นท่านลุงหรือไม่?


               แม้เว่ยฉางอิ๋งจะคาดเว่าลูกผู้พี่ผู้นี้มิใช่คนช่างเจรจาสักเท่าใดนัก แต่ยามนี้ซ่งไจ้เถียนกลับมีท่าทีอ่อนโยนบอกให้ลูกผู้น้องลุกขึ้น ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ลำบากให้น้องฉางอิ๋งมาพบแล้ว ท่านพ่อก็คิดถึงท่านอาอยู่เสมอ จะว่าไปแล้วเมื่อได้เจอน้องฉางอิ๋งคราแรกนั้น น้องยังไม่ครบเดือนเลย เพียงพริบตายามนี้ก็จะออกเรือนแล้ว เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วนัก ครานี้มาเฟิ่งโจวท่านพ่อยังได้สั่งให้ข้านำของกำนัลมาให้น้องฉางอิ๋งเป็นพิเศษด้วยชิ้นหนึ่ง ถือเสียว่าให้ของกำนัลยามแต่งออกเป็นการล่วงหน้า”


               คำกล่าวของเขาอ่อนโยนสีหน้าอบอุ่น ทำให้คนรู้สึกดีด้วยได้อย่างง่ายดายนัก เป็นการแสดงความเอ็นดูต่อผู้มีศักดิ์เป็นน้องอย่างที่บุตรตระกูลใหญ่พึงมี เพียงแต่ถูกเอ่ยถึงเรื่องที่ตนจะออกเรือนต่อหน้าธารกำนัล แก้มนวลดังหยกเนื้อมันแพะของเว่ยฉางอิ๋งก็ยังมีสีแดงระเรื่อฉาบขึ้นมา พลางหันหน้าออกน้อยๆ กรอกตาขึ้นบนเล็กน้อย แม่เฒ่าซ่งพลันหัวเราะออกมาในทันใด “อวี่วั่ง เกรงใจเกินไปแล้ว เจ้าเองก็ต้องลำบากเดินทางมา”


               จากนั้นจึงได้เรียกเว่ยฉางอิ๋งมายืนข้างหลังตน


               เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเสียใจยิ่งที่ตนยังไปไหนไม่ได้ แต่ใบหน้ากลับยังต้องทำทีสำรวม แล้วเดินไปยืนตามคำ นางเพิ่งจะยืนเข้าที่ ก็ได้ยินเว่ยฮ่วนเอ่ยปากกับเสิ่นโจ้วว่า “เรื่องการรบกับหัวเมืองทางเหนือครานี้…”


               กลายเป็นว่ายังคุยธุระกันไม่ทันเสร็จ แต่กลับไม่รู้เพราะเหตุใจจึงได้เรียกเว่ยฉางอิ๋งเข้ามาคาราวะเสียก่อน


               อาศัยจังหวะนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงลอบสังเกตเสิ่นโจ้วอยู่เงียบๆ


               อนาคตท่านอาท่านนี้อายุราวครึ่งร้อย ใบหน้านั้นดูกล้าหาญชาญชัยใหญ่โตเช่นเดียวกับเสียงของเขาดังว่า หากพิจารณากันตามตรง เสิ่นโจ้วก็นับว่ามีโหงวเฮ้งสมส่วนงดงาม คิ้วกว้างปากได้รูป แม้ผมและเคราที่ฟูดังสิงโต สีผิวดังทองแดงจะอำพรางใบหน้าไว้บ้าง แต่กลับยังมิอาจปิดบังไอสังหารที่พลุ่งพล่านเอาไว้ได้… เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่พึงพอใจ เขาก็ถลกแขนเสื้อขึ้นมาอย่างตื่นเต้นยินดี กระทั่งน้ำชาหยดเปื้อนอยู่ที่หน้าอกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ความหยาบกระด้างและไม่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ทั้งหมดทั้งมวลช่างห่างไกลกับชายรูปงามดูสง่าผิวพรรณขาวเนียนซึ่งเป็นที่เชิดชูของคนในตระกูลสูงศักดิ์ในยามนี้ลิบลับ…


               เว่ยฉางอิ๋งซึ่งได้รับอิทธิพลทางความคิดมาอย่างลึกซึ้งว่าเหล่าตระกูลสูงศักดิ์นั้นให้ความสำคัญกับความงดงาม แต่ไรมามาตรฐานของชายหนุ่มก็จะต้องนำไปเทียบกับใบหน้าและความสง่างามของเว่ยเจิ้งหง เมื่อได้เห็นใบหน้าของท่านอาท่านนี้ชัดเจนแล้ว นางจึงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง


               …ช่างเถิด อย่างไรข้าก็มิได้วาดหวังว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะเป็นที่พึงพอใจของข้า


               ก็แค่สามี ขอเพียงให้ถูกข้ากำราบจนอยู่หมัดเป็นพอ!


               นางปลุกปลอบตนเองเช่นนี้


               ด้วยความผิดหวังที่มหาศาลเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งถึงกับไม่มีแก่ใจไปฟังการสนทนาของพวกผู้ใหญ่ จวบจนเกือบถึงยามจุดตะเกียง แล้วมีบ่าวไพร่เข้ามารายงาน จึงได้ดึงสตินางกลับมา “ท่านซ่งเจ้ากรมธุรการและบุตรชายของเขาซ่งตวนมาถึงเรือนหน้าแล้ว บอกว่าต้องการขอพบราชทูตเจ้าค่ะ”


               เว่ยฉางอิ๋งพลันตกใจ เห็นเพียงท่านปู่ลูบเคราที่คางอย่างสงบ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “อ่ะ พวกเขาคงจะเสร็จธุระแล้ว… ในเมื่อเป็นเช่นนี้…อย่างนั้น…ตานเซียวท่านคิดเห็นเช่นไร?”


               ตานเซียวคือนามรองของเสิ่นโจ้ว ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วผู้ใหญ่จะขานนาม ส่วนผู้อยู่ในรุ่นเดียวกันนั้นขานนามรอง เหตุที่เว่ยฮ่วนเรียกขานเขาเช่นนี้ย่อมเป็นการให้เกียตริต่อราชทูต แต่แม้ว่าเสิ่นโจ้วจะมีอายุครึ่งร้อยแล้ว ทั้งนับรุ่นและนับอายุก็ยังมิเท่ากับเว่ยฮ่วน อีกทั้งสองตระกูลก็กำลังจะเป็นดองกัน ดังนั้นจึงมิได้วางท่าแต่อย่างใด พลันรีบเอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “ท่านประมุขเว่ย ขานนามรองของข้าเถิด” จากนั้นจึงตอบไปว่า “ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว ข้าก็รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่ง เกรงว่าไร้เรี่ยวแรงจะประกาศราชโองการ มิสู้ให้… ท่านเจ้ากรมซ่งโปรดรอไปเสียก่อนสักคืน วันพรุ่งจึงค่อยอ่านราชโองการประกาศเกียรติคุณแก่พวกเขาพ่อลูก?”


               เว่ยฮ่วนยิ้มอย่างสุขมเยือกเย็น แล้วว่า “ก็ควรเป็นเช่นนั้น วันนี้พวกต้องเร่งเดินทาง ยามนี้ก็ค่ำแล้ว เร่งรีบประกาศราชโองการ กลับดูไม่งาม… ซ่งหานและซ่งต่วนต่างก็เป็นผู้มีเหตุมีผล จักต้องมิได้เห็นว่าผิดแปลกเป็นแน่”


               ทั้งสองคนสบตากันแล้วยิ้ม เว่ยฮ่วนพยักหน้าต่อทุกคนในโถง “ไปกันเถิด”


               บ่าวที่เข้ามาบอกข่าวก่อนนี้เข้าใจแล้ว จึงได้โค้งตัวแล้วว่า “ข้าน้อยจะไปบอกกล่าวกับท่านเจ้ากรมซ่งพ่อลูกบัดเดี๋ยวนี้”


               ได้ยินถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งพอจะเข้าใจแล้ว…


               ด้วยแผนการของจือเปิ่นถาง รุ่ยอวี่ถังรู้อยู่เต็มอกว่าซ่งหานและซ่งตวนแย่งเอาไพร่พลของโม่ปินเว่ยซึ่งเป็นสามัญชน แต่เพื่อมิให้ตกหลุมพรางของเว่ยฉี รุ่ยอวี่ถังจึงมิอาจประกาศออกไปได้ แต่รุ่ยอวี่ถังก็หาใชว่าจะไม่ทำการใดเลย โดยเฉพาะเมื่อขุนนางที่มาประกาศเกียรติคุณที่เฟิ่งโจวในครานี้เป็นเสิ่นโจ้ว… ก่อนหน้านี้เว่ยฉางเฟิงเพิ่งจะดูแลส่งพี่สาวทั้งสองกลับมาจากเขาไผ่น้อย จากนั้นก็ไปเชิญเติ้งจงฉีมารักษาตัวที่บ้านตระกูลเว่ยอีก และมิใช่ว่ายังไม่ทันไรก็ได้รับคำสั่งให้ไปแสดงความชื่มชมและให้เกียรติโม่ปินเว่ยผู้นั้นในทันทีอีกหรือ?


               ขอเพียงความจริงไม่ถูกเปิดโปง จนยามนี้ซ่งหานและซ่งตวนต่างก็ยังคงคิดว่าตนได้สร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวง ว่ากันตามจริงแล้ว เมื่อเสิ่นโจ้วอ่านราชโองการประกาศเกียรติคุณแก่เว่ยฮ่วนและเว่ยเซิ่งเหนียนแล้ว แม้ไม่ได้อ่านราชโองการประกาศเกียรติคุณแก่ซ่งหานพ่อลูกในทันที ก็ควรเรียกพวกเขามาที่รุ่ยอวี่ถัง กล่าวคำปลุกปลอบให้กำลังใจสักสองสามประโยคเสียก่อน… แม้เสิ่นโจ้วจะมิได้เป็นคนเอ่ยถึง เว่ยฮ่วนก็ควรจะเป็นคนกล่าว เพื่อเป็นการแสดงว่าพวกเขาซึ่งเป็นขุนนางชั้นสูงหาได้รู้สึกริษยาผู้มีฝีมือที่ต่ำศักดิ์กว่าไม่


               เมื่อทำเช่นนี้ก็จะทำให้ชื่อเสียงของซ่งหานและซ่งตวนยิ่งมีโอกาสจะรุ่งเรื่องขึ้นอีกโข


               แต่เว่ยฮ่วนต้องการจะบอกกล่าวเรื่องราวที่แท้จริงแก่เสิ่นโจ้วและซ่งไจ้เถียน จึงไม่ต้องการให้ซ่งฮานพ่อลูกมาอยู่ต่อหน้า ทั้งยังไม่ยิมยอมทำให้ชื่อเสียงของขุนนางชั้นสูงหม่นหมอง ดังนั้น… เกรงว่าหากไม่อาจหาเหตุมารั้งซ่งหานและซ่งตวนเอาไว้ ให้พวกเขาไม่สามารถมาหาได้ก่อนหน้านี้ ไม่ก็ให้คนที่ส่งไปนั้น คอยจัก ‘หา’ พวกเขาไม่พบสักที หรือแม้กระทั่งเมื่อพวกเขามาถึงแล้วก็เข้ามาในบ้านตระกูลเว่ยไม่ได้… สรุปก็คือ เป็นเว่ยฮ่วนส่งคนไปหาพวกเขาพ่อลูก แต่คนทั้งสองก็กลับไม่มาถึงสักที…เช่นนั้นความรับผิดชอบย่อมต้องอยู่ที่ตัวซ่งหานและซ่งตวน


               และด้วยเว่ยฮ่วนเป็นผู้ที่ ‘หวังดี’ ทั้งยัง ‘เห็นใจ’ ผู้น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เข้าหน้ากันไม่ติด จึงได้จงใจเชิญเสิ่นโจ้วมาที่เรือนหลัง ยังมิได้กล่าวถึงเรื่องที่ให้ซ่งไจ้เถียนและแม่เฒ่าซ่งผู้ภริยาคอยอยู่ด้วย ยังได้เรียกให้หลานสาวแท้ๆ ที่มีสัญญาแต่งงานกับตระกูลเสิ่นเข้ามาคารวะด้วย ใช้เรื่องนี่มากลบเกลื่อนมิให้รู้สึกว่าซ่งหานเมินเฉยกับราชทูต และเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลงด้วย


               ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่เมื่อเว่ยฉางอิ๋งคาราวะเสิ่นโจ้วและซ่งไจ้เถียนแล้ว จึงมิได้ให้กลับไปยังเรือนเสียซวง หากแต่ถูกรั้งตัวให้อยู่ต่อไป… ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรั้งนางไว้แล้ว พวกผู้ใหญ่ก็กลับมิได้เอ่ยถึงเรื่องสัญญาแต่งงาน หรือเรื่องการไปรับตัวเจ้าสาวแต่อย่างใด หากแต่ไปเอ่ยถึงเรื่องการงานที่จริงจังในทันที


               ที่เรียกนางมาก็เพียงให้เป็นป้ายตั้งอยู่นิ่งๆ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเว่ยฮ่วนนั้นใจกว้างช่วยออกหน้าแทนซ่งหานพ่อลูกก็เพียงเท่านั้น…


               ดังเช่นคำที่แม่เฒ่าซ่งเคยกล่าวไว้ก่อนหน้า ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานเป็นหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล ประมุขซ่งซินผิงมีสมญานามว่าหนึ่งคำสัญญาดังทองพันช่าง มิเคยผิดคำ ตระกูลเช่นนี้ เมื่อเอ่ยคำใดย่อมต้องทำตาม แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าตำหนักตะวันออกในยามนี้เมามัวโลกีย์จนสุดจะทนไหว หาได้คู่ควรไม่ แต่จักให้ยกเลิกการแต่งงานได้อย่างไร?! เรื่องยกเลิกการแต่งงานนั้น ตระกูลซ่งไม่มีวันทำแน่! ตระกูลซ่งรักษาคำพูดมาแต่ไหนแต่ไร… แต่ หากเป็นสนมเอกเติ้งหรือผู้อื่นยื่นมือเข้ามาขวาง ให้ซ่งไจ้สุ่ยไม่อาจเข้าอภิเษกกับองค์รัชทายาทได้อีกต่อไป นี่ก็เป็นเรื่องที่หมดหนทางแล้ว!


               เพราะตระกูลซ่งเอง ก็เป็นผู้รับเคราะห์เช่นกัน!


               สถานการณ์ยามนี้คือ เว่ยฮ่วนพยายามอย่างสุดกำลังที่จะส่งเสริมซ่งหานพ่อลูก แต่พ่อลูกคู่นี้กลับไม่ได้ความ การมาสายเช่นนี้นอกจากจะเป็นการเพิกเฉยต่อราชทูต ยังเป็นการไม่ไว้หน้าเว่ยฮ่วนด้วย… แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เว่ยฮ่วนยังคงเรียกหลานสาวออกมาช่วยกู้สถานการณ์ให้พวกเขา ขุนนางระดับสูงที่ดีเช่นนี้ เรียกได้ว่ามีคุณธรรมเหลือล้น…ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะซ่งหานพ่อลูกไม่ดี หรือบางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาทะนงตนว่ามีความชอบใหญ่หลวงที่เอาชนะศึกกับหัวเมืองเหนือได้ ยามนี้จึงเริ่มยโสโอหังเสียแล้ว?


               หากจะว่าไปเว่ยฮ่วนผู้เป็นขุนนางคนสำคัญของแคว้น ได้ขอเกษียณกลับมาพักผ่อนที่บ้านเกิดแต่กลับต้องมาพบกับเจ้ากรมธุรการซึ่งเป็นเพียงข้าราชการในหัวเมืองที่มีสายตาตื่นเขินเช่นนี้ ช่างน่าระอาใจเสียเหลือเกิน…


               ทำเช่นนี้เรียกได้ว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัว ไม่เพียงได้โอกาสเจรจากับเสิ่นโจ้วและซ่งไจ้เถียนก่อน ทั้งยังได้ป้ายสีให้ซ่งหานและซ่งตวน สั่นคลอนภาพลักษณ์ของขุนนางที่สร้างความดียิ่งใหญ่ ซึ่งผู้คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางต่างคิดไปว่าพวกเขาเป็นเช่นนั้น แล้วยังได้จัดการเรื่องส่วนตัวไปพร้อมกัน…นั่นคือให้หลานสาวแท้ๆ เข้าคราวะผู้ใหญ่ฝ่ายบ้านสามีหนหนึ่ง


               ยิ่งไปกว่านั้นในแผนการนี้ยังมีความต้องการส่วนตัวของเว่ยฮ่วนอยู่เล็กน้อย นั่นคือหลานสาวเว่ยฉางอิ๋งคนนี้จะมีความเรียบร้อยอ่อนโยนหรือไม่นั้น เขาหรือจะไม่รู้? แม้จะบอกว่าแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งต่างคอยอบรมมาอย่างถ้วนถี่ แต่แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงมิใช่คนที่เชื่อฟังคำ! ยามนี้มีเรื่องสำคัญต้องพูด เสิ่นโจ้วหรือจะมีแก่ใจไปสังเกตสังกาหลานสะใภ้…อาศัยโอกาสนี้ทำให้หลานสาวที่เขาไม่ใคร่จะวางใจนักเอาตัวรอดผ่านไปได้…


               ในเฟิ่งโจว เมื่อประมุขตระกูลเว่ยต้องการจะลงมือกับผู้ใด ก็ย่อมจะทำได้ไหลลื่นตามใจเป็นธรรมดา


               พอตื่นเช้าในวันต่อมา เว่ยฉางอิ๋งก็ได้ยินจูสือและจูหลานคุยเล่นกันอยู่ทางเดิน และเป็นเรื่องเมื่อคืนนี้พอดี นางจึงเรียกบ่าวทั้งสองมาหาเพื่อสอบถาม ที่แท้ยามนี้ทั้งจวนกำลังเล่าลือกันเรื่องนี้ บอกว่าซ่งหานและซ่งตวนนั้นช่างบังอาจนัก แม้กระทั่งราชทูตพวกเขาก็ยังมีท่าทีเพิกเฉยไม่ใส่ใจ ทั้งยังทำให้ประมุขขายหน้า


               ข่าวลือนี้เกิดที่เรือนเสียซวง เมื่อยามพลบค่ำ แม่นมซือได้ไปรายงานกับฮูหยินซ่งว่า ข่าวลือได้แพร่ออกไปต่างๆ นานา แม้กระทั่งสาเหตุที่พวกของซ่งหานเพิกเฉยต่อราชทูตก็ยังมีคนปั้นเสริมเติมแต่งจนครบถ้วนแล้ว บอกว่าซ่งหานและซ่งตวนทะนงตนว่าสร้างคุณใหญ่หลวงในหัวเมืองเหนือ ทั้งยังไม่พอใจอย่างมากที่เมื่อราชทูตมาถึงแล้วเว่ยฮ่วนไม่ยอมให้ตนเข้าไปร่วมต้อนรับด้วย ทำให้เมื่อเว่ยฮ่วนรับราชโองการประกาศเกียรติคุณของตนพ่อลูกแล้ว จึงเพิ่งให้คนไปเรียกซ่งหานและซ่งตวนให้มาพบราชทูตก่อน การกระทำเช่นนี้กลับทำให้ซ่งหานเห็นว่าเป็นการลบหลู่ จึงจงใจยื้อเวลาไว้จนถึงยามที่ต้องจุดโคมจึงได้มา


               ถึงตรงนี้ยังไม่หมด เมื่อคืนทั้งที่เป็นเว่ยฮ่วนและเสิ่นโจวจงใจไม่อ่านราชโองการ จึงได้ใช้ข้ออ้างว่าฟ้ามืดแล้ว และเสิ่นโจ้วเดินทางมาทั้งวันจึงรู้สึกเหนื่อยล้า และจัดแจงให้ซ่งหานและซ่งตวนกลับไปเสียก่อน แต่แล้วในข่าวลือกลับกลายเป็นว่า ‘ราชทูตเร่งเดินทางมาตลอดวัน ทั้งยังได้อ่านราชโองการประกาศเกียรติคุณให้แก่ท่านประมุขและนายผู้ชายสาม เป็นเหตุให้เหนื่อยล้า ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านั้นยังรอซ่งหานพ่อลูกเสียนานแต่ก็ไม่มาถึงสักที จึงต้องการจะสอบถามถึงสาเหตุ! ไม่คิดว่าเมื่อบ่าวนำคำสั่งไปสอบถามถึงสาเหตุที่พวกเขามาล่าช้า กลับทำให้ซ่งหานพ่อลูกแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ชักสีหน้าขึ้นมาทันใด แล้วสะบั้นแขนเสื้อจากไป!’


__________________________



ตอนที่ 56 แผนค่อยๆเข้าที่ (1)

โดย

Xiaobei

 


               เว่ยฉางอิ๋งฟังอย่างขบขัน กล่าวว่า “ถึงขั้นนั้นแล้วหรือนี่?”


               “เช่นนี้ฮ่องเต้ก็จะไม่เลื่อนขึ้นให้พวกเขาทั้งยังให้ไปจากเฟิ่งโจวด้วย” เว่ยฉางเฟิงจิบชาไปอึกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “แม้จะบอกว่าพวกเขาไปจากเฟิ่งโจวแล้ว ก็มิใช่ว่าบ้านเราจะจัดการพวกเขาไม่ได้ แต่หากสามารถจัดการให้เสร็จสิ้นเสียแต่ในเฟิ่งโจว ก็ควรจะทำในเฟิ่งโจวเป็นดี”


               แม้น้ำเสียงของเขาจะราบเรียบ แต่ภายในกลับปิดบังความกังวลเอาไว้ไม่ได้ เว่ยฉางอิ๋งอดจะหันหน้าไปถามเขาด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นทุกข์เรื่องใด?”


               เว่ยฉางเฟิงมองไปรอบๆ หนหนึ่ง แม่นมซือจึงสั่งให้คนอื่นๆ ออกไป ฮูหยินซ่งก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “ฉางเฟิง มีเรื่องใด?”


               “โม่ปินเว่ยไม่ยอมเข้าสวามิภักดิ์” เว่ยฉางเฟิงถอนหายใจอย่างจนใจ


               เมื่อได้ยินคำฮูหยินซ่งขมวดคิ้วแน่น เว่ยฉางอิ๋งก็ถามอย่างประหลาดใจ “เพราะเหตุใด? หรือเป็นเพราะซ่งหานและซ่งตวน?” เรื่องราวของเรือนหน้าเช่นนี้ปกติแล้วนางจะไม่สนใจ ยังนึกว่าเรื่องนี้จัดการสำเร็จตั้งนานแล้วเสียอีก ว่ากันตามหลักการทั่วไปแล้ว ยามนี้โม่ปินเว่ยผู้นั้นไม่มีทางใดให้เดินอีก หากไม่มาพึ่งพาเว่ยฉางเฟิง แม้จะชีวิตอยู่ต่อไปก็ยังมีอันตราย คนผู้นี้ไยมิยอมเข้าสวามิภักดิ์?”


               “เป็นเช่นนั้น” เว่ยฉางเฟิงพยักหน้า


               “ยามนี้มีความเป็นไปได้เก้าส่วนว่าคนทั้งสองจะไม่ไปจากเฟิ่งโจว รอให้ผ่านวันสองวันนี้ไปก่อน ให้พวกเขาหลงภูมิใจในคุณงามความดีเสียให้เต็มที่ ใช้ชื่อเสียงเสียให้เต็มอิ่ม ต่อให้มอบให้โม่ปินเว่ยลงมือแก้แค้นด้วยตนเองก็หาได้เป็นไรไม่” ฮูหยินซ่งเอ่ยเตือนสติ


               เว่ยฉางเฟิงยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “ท่านแม่ยังไม่ทราบ ข้าก็ให้คำมั่นกับเขาไปเช่นนี้ แต่โม่ปินเว่ยกลับยืนกรานว่าต้องการเรียกร้องความยุติธรรม”


               “ความยุติธรรม?” สีหน้าของฮูหยินซ่งค่อยๆ หม่นลงไป “หรือว่าเขาต้องการ…?”


               “ท่านแม่กล่าวถูกต้องแล้ว เขาต้องการจะกอบกู้ชื่อเสียงคืนมา” เว่ยฉางเฟิงถอนใจ “แต่คำประกาศเกียรติคุณนั้นเป็นดำริของฮองเต้ จนบัดนี้ราชโองการก็มาถึงแล้ว แล้วข้าจะรับคำเขาได้อย่างไร?”


               ฮูหยินซ่งพลันมีสีหน้าเคืองโกรธ “คนผู้นี้ช่างไม่รู้จักซาบซึ้งในน้ำใจของผู้อื่นเสียจริงๆ !”


               เว่ยฉางเฟิงได้รับอิทธิพลจากเว่ยฮ่วน มักใจกว้างยิ่งนักกับผู้ที่มีความสามารถ จึงกลับกล่าวเตือนฮูหยินซ่งว่า “เรื่องของชาวบ้านผู้นี้ก็น่าอนาถ เมื่อหนีออกมาจากเมืองเหลียวนั้นมีความเป็นได้เก้าส่วนว่าอาจต้องตาย อาศัยความเก่งกาจอาจหาญของตนดักซุ่มโจมตีชนเผ่าหรง ทั้งยังบุกเข้าไปสังหารผู้นำของศัตรูด้วยตนเอง… ไม่คิดว่าพอซ่งหานไปถึง ไม่เพียงสิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นผลงานของซ่งตวน กระทั่งมั่วปิ่นเว่ยยังถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขลาดไร้สามารถ หลบหนีการรบด้วยความกลัวอีก! การสับเปลี่ยนดำเป็นขาวเช่นนี้ หากเป็นพวกเราก็เกรงว่าจะโกรธแค้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก”


               ฮูหยินซ่งคิดอยากช่วยบุตรชายอย่างสุดใจ แค่นคำออกมาว่า “หากมิใช่เพราะเจ้าต้องใช้เขา คนผู้นี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ก็ยังมิรู้ได้! ยามนี้ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องอื่นกว้างขวางนัก จนสามัญชนผู้นี้มิอาจจะจินตนาการได้เลย! เขานึกว่าเขาจะกอบกู้ชื่อเสียงกลับมาได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นรึ?”


               “เท่าที่ฟังฉางเฟิงว่า โม่ปินเว่ยผู้นี้เป็นคนหัวรั้นเอาการ” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินถึงตรงนี้ พลันหยุดคิดสักพัก จึงกล่าวว่า “กลัวแต่เพียงว่าเมื่อเข้าพบฉางเฟิงคราแรก ก็นึกว่าจะมีหวังได้กอบกู้ชื่อเสียงคืนมา? รออีกสักสองสามวันให้เขาสงบลงบ้าง เกรงว่าเขาจะเข้าใจเองว่าสิ่งใดควรไม่ควร อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็สามารถนำกองกำลังของเมืองเหลียวที่เหลือเพียงน้อยนิดเข้าสู้รบด้วยยุทธวิธีใช้อ่อนเอาชนะแกร่ง เมื่อดักซุ่มโจมตีชนเผ่าหรงได้แล้ว ยังเข้าสังหารผู้นำของศัตรูด้วยตนเอง…จักต้องมิใช่ผู้ที่ไร้สมองหรือรู้จักแต่เพียงหัวรั้นท่าเดียวเป็นแน่”


               เว่ยฉางเฟิงนิ่งคิดเป็นนาน จึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ที่ท่านพี่กล่าวก็ถูกต้อง ยามนี้ข้าได้ให้เขาไปอยู่ในที่สงบลับตาคน เขาก็มิเคยปฏิเสธ ด้วยข้อนี้ ยังพอมีหวังว่าคนผู้นี้จะยอมสวามิภักดิ์กับเรา”


               ฮูหยินซ่งฟังบุตรชายบุตรสาวล้วนเห็นดีว่าควรให้เวลาแก่โม่ปินเว่ยสักสองสามวัน จึงได้มีน้ำเสียงอ่อนลงว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้โอกาสเขาสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”


               เว่ยฉางอิ๋งเห็นเว่ยฉางเฟิงมิได้มีเรื่องอื่นที่ต้องการจะปรึกษาอีก จึงได้เอ่ยถามฮูหยินซ่งว่า “ใช่แล้ว ท่านแม่ลูกผู้พี่ใหญ่ได้พบกับท่านพี่ไจ้สุ่ยแล้วหรือยัง? เรื่องของฮองเฮาและสนมเอก?” วานนี้นางยืนอยู่ข้างหลังแม่เฒ่าซ่งอยู่สองชั่วยาม จนถึงเวลาอาหารเย็นจึงได้รับอนุญาตให้ไปได้ สำหรับเว่ยฉางอิ๋งแล้วการยืนสองชั่วยามนั้นหาได้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ ทว่าการที่ต้องยืนอยู่เบื้องหน้าคนตระกูลเสิ่นสองชั่วยาม…แม้จะบอกว่านอกจากเสิ่นโจวจะเอ่ยวาจาตามมารยาทยามเมื่อนางเข้าคารวะ จากนั้นก็ไปปรึกษาเรื่องชัยชนะที่เมืองเหนือกับเว่ยฮ่วน แล้วก็มิได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อยก็ตาม


               แต่ผู้ใดจะรู้ว่าคนผู้นี้จะมีแผนที่ใช้ได้สองทางหรือไม่? แล้วคอยลอบแอบสังเกตกริยาของตนโดยมิให้ผู้ใดรู้? และเพราะเป็นกังวลเช่นนี้ แม้ว่าในโถงจะไม่มีคนสนใจตน เว่ยฉางอิ๋งที่ยืนอยู่ข้างหลังแม่เฒ่าซ่งก็ยังไม่กล้าผ่อนคลายหรือทำเมินเฉย จึงเอาแต่ยืนก้มตามองจมูก จมูกก้มมองหัวใจ สำรวมท่าที สงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา


               แต่ก็มิใช่เป็นการยืนตัวตรงธรรมดา นางต้องคอยปรายตาดูปอยผมเสื้อผ้ากระโปรงที่โดนลมซึ่งพัดเข้ามาจากประตูห้องโถงพัดจนยุ่งเหยิง ทั้งคิดว่าที่ตนเองเอาแต่ยืนอยู่เช่นนั้นจะเป็นการเหม่อลอยเกินไปหรือไม่ แล้วยังคิดอีกว่าการยืนรออย่างสงบอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบเช่นนี้คล้ายกับไม่ค่อยเหมาะควรเท่าใด? เพียงแต่เรื่องที่พวกผู้ใหญ่ปรึกษาหารือกันนั้นก็มิได้มีที่ใดให้ตนพูดแทรกได้…


               มีความคิดต่างๆ นานาเช่นนี้พลิกไปพลิกมาอยู่ภายในใจ ทั้งยังไม่กล้าขยับตัวจนเกินงาม ท่ามกลางความสำรวมนั้น หางตาก็คอยจะปรายไปทางเสิ่นโจ้ว ด้วยเกรงว่ายามเขาหันมาสังเกตตน แล้วตนจะมีท่าทางไม่สวมรวมและสง่างามพอ ตาต้องคอยสังเกตไปทุกทางหูก็ต้องเบิกกว้างไปทั่วทิศอยู่เช่นนี้… มิรู้ว่าลำบากเสียยิ่งกว่าที่ตนไปฝึกวรยุทธ์กับเจียงเจิงเช่นปกติอีกกี่มากน้อย


               ดังนั้นเมื่อแม่เฒ่าซ่งปล่อยนางไปแล้ว ทันทีที่นางถึงเรือนเสียซวงก็แทบจะล้มหัวลงนอน ส่วนเรื่องที่พี่น้องตระกูลซ่งพูดคุยกันในยามนั้น นางจึงมิรู้เลยแม้สักน้อย


               ฮูหยินซ่งเห็นว่าตอนนี้ไม่มีผู้ไม่เกี่ยวข้องอยู่ จึงพยักหน้าแล้วว่า “สนมเอกและฮองเฮาเปิดศึกกันขึ้นแล้ว”


               “หลายปีก่อนองค์ชายหกสิ้นพระชนม์ไปอย่างมีเงื่อนงำ แม้อดีตสนมเอกฮั่วจะเคยเป็นหนึ่งในสนมเอกซึ่งอยู่ในขั้นเดียวกับสนมเอกเติ้ง แต่แล้วด้วยเหตุผลที่นางเป็นบุตรจากภรรยาน้อย จึงเป็นผู้ที่มีนิสัยขลาดกลัว โดยเฉพาะเมื่อได้ให้กำเนิดองค์หญิงหลิงเซียนแล้ว ความรักใคร่ของฮ่องเต้ที่มีต่อนางก็ลดน้อยลงมา นางจึงทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่ด้วยการดูแลองหญิงค์หลิงเซียนตลอดมา” ฮูหยินซ่งจิบน้ำชาอึกหนึ่ง จึงกล่าวต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นวิชาแพทย์ของจี้อิงก็ล้ำเลิศนัก หากจะวางยาพิษองค์ชายหกจริงๆ มีหรือจะให้คนตรวจพบได้อย่างง่ายดาย? อีกประการการไปช่วยสนมฮั่ววางยาองค์ชายหกนั้นมีประโยชน์ใดกับจี้อิง! จากนั้นจึงเกิดเรื่องกับอดีตฮองเฮาเฉียน พวกเราต่างคิดว่าจะต้องเป็นเพราะนางเฉียนเป็นกังวลว่าองค์ชายหกเป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้เป็นอย่างมาก แล้วจักสั่นคลอนการสืบทอดบัลลังก์ของบุตรชายนาง ดังนั้นเมื่อวางยาองค์ชายหกแล้ว จึงได้ใส่ร้ายสนมฮั่วและจี้อิง เมื่อมองในยามนี้ กลับน่าจะมีความเกี่ยวพันกับฮองเฮากู้องค์ปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”


               เว่ยฉางอิ๋งฟังอย่างปวดหัว จึงกล่าวว่า “เหตุใดเรื่องก็นานมากแล้ว จนยามนี้ยังไม่จบสิ้น? ทั้งยังพลอยมาเกี่ยวพับกับท่านพี่ไจ้สุ่ยอีก”


               “กว่าจะถึงที่สิ้นสุดนั้นยังเร็วเกินไป!” ฮูหยินซ่งส่ายหัวหนแล้วหนเล่า กล่าวว่า “สนมเอกเติ้งมีองค์ชายหกเป็นพระโอรสเพียงองค์เดียว ผู้ใดทำร้ายองค์ชายหก สนมเอกก็ยอมพร้อมแม้ชีวิตก็ไม่ต้องการ ขอเพียงได้แก้แค้นให้กับองค์ชายหกให้จงได้! เมื่อมองดังนี้แล้ว เติ้งจงฉีก็กลับมีหลายส่วนที่เชื่อถือได้” ฮูหยินซ่งเห็นบุตรชายและบุตรสาวเป็นดังชีวิต ความต้องการแก้แค้นหลังจากสนมเอกเติ้งสูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักไป นางย่อมเข้าใจได้เป็นอย่างดี


               “ใช่แล้ว ท่านแม่ หยกประดับรูปนกกระจอกเหลือง” เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกขึ้นมาได้ จึงได้เอ่ยเตือนว่า “เป็นลูกผู้พี่รองให้แก่เติ้งจงฉีหรือไม่?”


               ฮูหยินซ่งขมวดคิ้วพลางว่า “เรื่องหยกนี่เจ้ากลับไปอย่าได้เอ่ยกับไจ้สุ่ยอีกเชียว คืนก่อนลูกผู้พี่ใหญ่ไม่พอใจเป็นอันมาก…และที่บ้านเราไม่ได้ทำการใดๆ ก็ด้วยเหตุนี้ รอจนเขากลับเมืองหลวงไปแล้ว หรือไม่ก็เขียนจดหมายกลับไป ก็ยังเกรงว่าทางโน้นก็จะยังคงเกิดเรื่องอีกหน”


               เว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามพร้อมกันอย่างประหลากใจว่า “เหตุใด?”



ตอนที่ 56 แผนค่อยๆเข้าที่ (2)

โดย

Xiaobei

 


“เจ้าว่าเติ้งจงฉีผู้นี้รู้เรื่องหยกประดับรูปนกกระจอกเหลืองมาได้อย่างไร?” ฮูหยินซ่งส่งเสียงหึออกมา “เป็นเพราะพี่สะใภ้รองของพวกเจ้า! หลังจากนางแต่งเข้าบ้าน ก็พบว่าลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าแยกเก็บหยกประดับชิ้นนี้ไว้ในกล่องไม้เพียงชิ้นเดียว และยังกำชับบ่าวไพร่ว่าห้ามแต่ต้องตามใจ ไม่รู้ว่าลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าเก็บเรื่องราวของพวกเขาพี่น้องเมื่อครั้งยังเยาว์ไว้ระลึกถึง แต่กลับสงสัยว่าก่อนที่ลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าจะแต่งงานกับนางเคยมีเรื่องเจ้าชู้มากรักมาก่อน… นางก็หาได้สอบถามลูกผู้พี่รองของพวกเข้า อาศัยโอกาสว่าลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าไม่ได้หยิบเอาหยกชิ้นนั้นมาดูบ่อยครั้ง จึงได้ไปหยิบออกมาสอบถามกับพวกบ่าวไพร่ในบ้านตระกูลซ่ง ท่านป้าสะใภ้ของพวกเจ้าเสียไปเร็ว จนยามนี้บ้านตระกูลซ่งก็เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าคอยดูแล ซึ่งนางก็รู้เรื่องหยกชิ้นนี้ เมื่อได้ยินพวกบ่าวไพร่เอ่ยถึงเข้า จึงได้ไปบอกถึงสาเหตุที่เก็บหยกชิ้นนี้เอาไว้แก่คนแซ่ตวนมู่ แล้วคนแซ่ตวนมู่ผู้นี้จึงได้นำหยกประดับนี้ไปคืน!”


               “ลูกผู้พี่ใหญ่ของเจ้าก็ได้ยินจากพี่สะใภ้ใหญ่เล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัว จึงมิได้เอามาใส่ใจ เมื่อคืนยามเมื่อได้พูดคุยกับไจ้สุ่ย และได้เอ่ยถึงว่าลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าหาได้สนิทสนมกับเติ้งจงฉีไม่ แล้วเติ้งจิงฉีไปเอาหยกสลักนกกระจอกเหลืองที่หน้าตาคล้ายกันมาจากที่ใด? คิดไปคิดมาก็มีเพียงเรื่องที่พี่สะใภ้รองของพวกเจ้าที่เคยไถ่ถามครานั้น จึงทำให้มีคนรู้มากมาย เอาไปเอามาก็แพร่สะพัดออกไป! โชคดีที่ครานี้มิใช่เรื่องใหญ่ หาไม่แล้วคงไม่แคล้วทำร้ายไจ้สุ่ยและทำร้ายบ้านเราจนยับเยิน?” ฮูหยินซ่งทอดถอนใจพลางว่า “คนแซ่ตวนมู่ผู้นี้ก็ช่างไรคุณธรรมเสียจริง!”


               เว่ยฉางอิ๋งพี่น้องได้ยินแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วว่า “พี่สะใภ้รองก็มีเจตนา เรื่องเช่นนี้เพียงไต่ถามลูกผู้พี่รองก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วหรือ? ไยต้องทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้?”


               เว่ยฉางอิ๋งถามเรื่องการแต่งงานของซ่งไจ้สุ่ยต่อไป “ยามนี้ลูกผู้พี่ใหญ่ก็มิใช่ว่าเอ่ยถึงเรื่องที่ท่านพี่ไจ้สุ่ยจะแต่งเข้าตำหนักตะวันออกหรอกหรือเจ้าคะ?”


               “หากเขายังว่าเช่นนี้ ข้าคงต้องขอถามเขาเสียหน่อยแล้วว่าเขาเป็นพี่ชายคนโตประสาอะไร” ฮูหยินซ่งส่งเสียงหึออกมาหนหนึ่ง ราวกับว่าเมื่อวานได้สั่งสอนซ่งไจ้เถียนไปแล้วเขาจึงได้ยอมให้คำสัญญาที่นางพึงพอใจ แล้วว่า “ปัญหาในยามนี้ก็คือจะยกเลิกสัญญาแต่งงานอย่างไร” นิ่งไปพักหนึ่ง ฮูหยินซ่งถอนใจพลางว่า “เมื่อครู่นี้มีจดหมายจากท่านตาของพวกเจ้ามาแล้ว กลับมีความเห็นเดียวกับท่านย่าของพวกเจ้า ว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากตระกูลเติ้งจึงจะสำเร็จได้”


               เว่ยฉางเฟิงตั้งสติอยู่เกือบเค่อ กล่าวว่า “ยังคงยุ่งยากอยู่บ้าง ก่อนนี้คำพูดของเติ้งจงฉี ก็เพียงมาบอกความต้องการแทนพระสนมเอก ทว่าการจะยกเลิกการแต่งงานจริงๆ แล้ว มิใช่เรื่องง่ายเลย” ที่ว่าจะให้เข้าวังตามวันเวลา แล้วใช้ดวงชะตะที่ชงกับฮ่องเต้มาหลบเลี่ยงการแต่งเข้าตำหนักตะวันออก… ความคิดนี้เป็นพระสนมเอกเสนอออกมา แม้เติ้งจงฉีจะบอกว่าพระสนมเอกมีความมั่นใจอยู่มากจึงได้ให้คำสัญญาเช่นนี้ ทว่าในส่วนที่ไม่มั่นใจนั้น เป็นธรรมดาที่เติ้งจงฉีย่อมไม่ยอมพูดออกมา…ในความเป็นจริงแล้วเขาเองก็อาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ แต่มีหรือที่ตระกูลซ่งจะอาศัยเพียงคำพูดของเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้แล้วจะให้เชื่อไปเสียหมด? หากสนมเอกพลาดพลั้งขึ้นมา ก็มิเท่ากับว่าตระกูลซ่งจะต้องเสียบุตรสาวเข้าวังไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ!


               ถึงยามนั้น ซ่งไจ้สุ่ยจะต้องช่วยตำหนักตะวันออกหรือต่อต้านตำหนักตะวันออกกัน?


               ดังนั้นเหตุผลในการยกเลิกการแต่งงานนี้ จะต้องมาจากตระกูลซ่ง แต่ความอัปมงคลต่างหากที่ตระกูลเติ้งต้องเป็นผู้แบกรับ


               “ตระกูลเติ้งเป็นเพียงแค่ตระกูลใหญ่ ฐานะไม่ทันเทียมสกุลซ่ง หากถูกพวกเขาใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆ ไม่เพียงจะทำให้ผู้คนเกิดความสงสัย ยังจะทำให้หน้าตาของสกุลซ่งเสื่อมเสียอีกด้วย” ฮูหยินซ่งกดเสียงต่ำ แล้วว่า “ลูกผู้พี่ใหญ่ของพวกเจ้ามีความคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือให้เติ้งจงฉีรีบรักษาตัวให้หายแล้วเร่งตามพวกพ้องไป เขาและไจ้สุ่ยรออยู่ที่บ้านเราจนพี่น้องของสนมจงผ่านมาที่เฟิ่งโจว จึงค่อยสมทบกับพวกเขาและไปเมืองหลวงด้วยกัน!”


               เว่ยฉางอิ๋งขบคิดสักน้อย แล้วว่า “อ่า หรือว่า?”


               “มิผิด ทำเช่นอดีตฮองเฮาเฉียนผู้นั้น” ฮูหยินซ่งว่า “สนมจงเป็นคนของฮองเฮา ทั้งยังมีชาติตระกูลต่ำต้อย…นี่เป็นในทางแจ้ง ส่วนในทางลับนั้นเติ้งจงฉีจะต้องลงมือทำการบางสิ่งแน่นอน ชั่วดีอย่างไรตระกูลเติ้งก็เป็นบ้านฝั่งมารดาของฮ่องเต้ เรื่องนี้แม้จะไล่หาคนผิดจนถึงที่สุด ก็จะไล่ได้ถึงเติ้งจิงฉีผู้เดียว ด้วยความเคารพและเพื่อเห็นแก่องค์ไทเฮา ฮ่องเต้ก็จะไม่ทำการใดกับตระกูลเติ้ง”


                 เว่ยฉางอิ๋งพี่น้องสบตากัน เป็นทีว่าเข้าใจความหมายของนางว่า สนมจงเป็นคนของฮองเฮา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีชาติตระกูลต่ำต้อย เช่นนี้แล้วหากวันใดพี่น้องของนางต้องโทษวางแผนทำร้ายองค์รัชทายาท ไม่เพียงสามารถโจมตีฮองเฮาได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากซ่งไจ้สุ่ยไม่ได้เป็นชายาองค์รัชทายาทก็ไม่ถึงกับต้องบาดหมางกับตระกูลอื่นๆ และไม่ต้องก่อความแค้นเคืองใดอื่นอีก… เช่นนี้แล้วหากพวกขุนนางมีการหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ คำครหาที่มีต่อตระกูลซ่งก็จะลดน้อยลงหรือมีน้อยที่สุด ดังนั้นพี่น้องของสนมจงที่ราชองครักษ์อี้ไปตามหาที่ชิงโจวนั้น นับว่าเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับตระกูลซ่ง… ไม่แน่ว่า โอกาสเช่นนี้ก็ยังเป็นสนมเอกเติ้งเป็นผู้วางหมากเอาไว้?


               เมืองหลวงอยู่ห่างไกล หากจะมาติดตามไล่เรียงถึงที่เฟิ่งโจวนั้นเป็นไปไม่ได้ ทำได้ก็แค่คาดเดาในเบื้องต้นเท่านั้น


               จะว่าไปสนมจงผู้นี้ก็น่าสงสาร เกียรติยศนั้นเป็นฮองเฮาส่งเสริมให้นาง แต่การรับคนในครอบครัวของนางมาครึ่งหนึ่งกลับเป็นความคิดของสนมเอก…จนยามนี้ตระกูลซ่งไม่ต้องการจะให้บุตรสาวไปเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ก็วางแผนมาลงมือกับคนในครอบครัวนางอีก


               ทว่าในต้าเว่ยที่ดูเพียงฐานะสูงต่ำของแต่ละตระกูล สามัญชนเช่นสนมจงนี้ เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าบรรดาตระกูลใหญ่ก็จะต้องดิ้นรนหาทางรอดอยู่แล้ว


               เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงรู้สึกดีใจแทนซ่งไจ้สุ่ยเสียอีก “ท่านพี่ไม่ต้องไปเป็นพระชายาองค์รัชทายาทน่าหดหู่นั่นแล้ว!”


               “แล้วมิควรหรอกรึ?” ฮูหยินซ่งหรี่ตา ความเปรมปรีดิ์ในสีหน้านั้นกลับมีเพียงบางเบา แต่ที่มีมากกว่ากลับคือความกลัดกลุ้ม “หากครานั้นเป็นฮองเฮากู้ทำร้ายองค์ชายหกจริง…ฮองเฮาผู้นี้และองค์รัชทายาทต้องถูกโค่นล้มถึงจะดี!”


               เว่ยฉางเฟิงไม่เข้าใจจึงจับจ้องไปที่มารดาคราหนึ่ง แต่ฮูหยินซ่งกลับไม่มีแก่ใจจะเล่าความ พลันกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้ายังมีบางเรื่องต้องทำ”


               เมื่อถูกสั่งให้ออกมา เว่ยฉางเฟิงไต่ถามพี่สาวด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดท่านแม่ต้องหวังให้ฮองเฮาและองค์รัชทายาทถูกโค่น?” แม้ฮูหยินซ่งจะสงสารหลานสาวที่ต้องแต่งงานกับองค์รัชทายาทแสนเจ้าชู้ ทว่าก่อนนี้ก็มิเห็นว่านางจะมีท่าทีรุนแรงเหมือนที่คนหนุ่มสาวเช่นซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งเป็น แต่ครานี้กลับแทบจะรอให้ฮองเฮากู้และองค์รัชทายาทเกิดเรื่องไม่ได้? วันนี้นางเกิดอะไรขึ้น?


               เว่ยฉางอิ๋งเอียงหัวนิ่งคิดไปเกือบเค่อ แล้วพลันมีสีหน้าเข้าใจแจ่มชัดขึ้นมา แต่กลับกวาดตาไปทางน้องชายหนหนึ่งแล้วว่า “เข้าพอจะรู้สักหน่อยแล้ว…แต่ข้าไม่บอกเจ้า!”


               “…” เว่ยฉางเฟิงมองนางไม่พูดจา “เช่นนั้นข้าจะกลับไปถามท่านแม่”


               “ห้ามไปถามเชียว! มิเห็นหรือว่าตอนนี้ท่านแม่อารมณ์ไม่ดี?” เว่ยฉางอิ๋งได้ยิน จึงรีบรั้งเขาไว้ พลางเอ่ยเสียงเบา “ทางท่านย่าก็ห้ามไปด้วย… ข้าบอกเจ้าเสียเลยก็แล้วกัน เมื่อครู่นี้ท่านแม่มิได้บอกแล้วรึ? ว่าการตายขององค์ชายหกพลอยทำให้ครอบครัวของจี้อิงหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงในตอนนั้นได้รับเคราะห์ไปด้วย? หากตระกูลของจี้อิงไม่ได้เกิดเรื่อง ครานั้นท่านพ่อของพวกเราก็จะสามารถรักษาจนหายได้ ก่อนนี้ท่านแม่ยังนึกว่าเป็นอดีตฮองเฮาเฉียนที่ทำร้ายองค์ชายหก แล้วแม่ลูกตระกูลเฉียนก็มิใช่ว่าได้รับผลกรรมไปตั้งนานแล้วหรอกหรือ? แต่ไม่คิดว่าฮองเฮากู้องค์ปัจจุบันก็จะมีส่วนด้วย! คนที่ทำร้ายจี้อิงก็เท่ากับเป็นคนที่ทำร้ายท่านพ่อของเรา… เจ้ายังจะไปถามท่านแม่ อยากจะให้ท่านแม่ไม่สบายใจหรือ?”


               ปีนั้นตระกูลเว่ยรั้งรอมิได้เชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษาเว่ยเจิ้งหง นั่นเพราะไม่เชื่อว่ายามเขาอายุได้สิบเอ็ดปีบ้านของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จนต้องร่อนเร่ไปทั่วไร้คนดูแลไร้คนสอนสั่งอยู่สี่ปี พออายุได้สิบห้าปีก็สามารถออกมาทำงานด้านการแพทย์ได้โดยลำพัง… แต่หากจี้อิงไม่เกิดเรื่องใด ต่อให้ไม่บอกว่าจี้อิงจะสามารถรักษาเว่ยเจิ้งหงได้หรือไม่ บอกแต่เพียงว่าจี้ชวี่ปิ้งได้รับชายา ‘หลายชายคนโตที่หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงตั้งใจสอนสั่ง เลือดเนื้อเชื้อไขสืบทอดสกุลจี้ที่มีอายุนับร้อยปี’ แม้เขาเพิ่งจะเกล้าผมในปีเดียวกันนั้น แต่มีจี้อิงยืนยันและรับประกันให้เขา ตระกูลเว่ยก็จะต้องไปเสาะหาเขามาลองรักษาดู…


               หากมิใช่เพราะคิดแค้นเคืองด้วยเรื่องนี้ เมื่อดูจากสถานการณ์ของตระกูลเว่ยในยามนี้ที่รุ่นหลานยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ รุ่นลูกก็ไม่แข็งแกร่ง ในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องสงวนท่าทีไม่ไปมีเรื่องกับผู้ใดเช่นนี้  เหตุใดแม่เฒ่าซ่งจึงคิดการอุกอาจโดยให้ตระกูลซ่งล้มเลิกการแต่งงานไปตามน้ำ แต่กลับไม่ยอมตัดขาดจากเรื่องนี้ในทันใดเล่า?


               เหตุผลในเรื่องนี้แท้จริงแล้วเพราะแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งล้วนเป็นบุตรสาวของตระกูลซ่ง แล้วตระกูลเว่ยและตระกูลซ่งก็ใกล้ชิดสนิทสนมกัน แต่ก็มีสาเหตุอีกส่วนใหญ่ที่นางยังคงเกลียดชังคนร้ายตัวจริงซึ่งอยู่เบื้องหลังการทำร้ายองค์ชายหก ทั้งยังให้ร้ายสนมฮั่วและจี้อิงเมื่อครานั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ทำร้ายเว่ยเจิ้งหงด้วย!


               เว่ยฉางเฟิงได้ยินคำดังนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป…


___________________________



ตอนที่ 57 จงเจี๋ย

โดย

Xiaobei

               เสิ่นโจ้วพักอยู่ที่เฟิงโจวสิบวัน ครานี้กำลังจะกลับเมืองหลวงเพื่อไปรายงานเรื่องเสร็จสิ้นภารกิจ แม้ซ่งไจ้เถียนจะมาพร้อมเขา แต่กลับมิได้เป็นราชทูต ทว่าประจวบเหมาะมาทางเดียวกัน ทั้งยังได้ขอลาเอาไว้ก่อนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกลับไปพร้อมเขา


               …เติ้งจงฉีรักษาตัวหายตั้งแต่ก่อนเสิ่นโจ้วจะไป และได้มุ่งหน้าลงใต้เร่งตามพวกพ้องไป


               พี่ชายและน้องสาวตระกูลซ่งใช้ข้ออ้างในการเยี่ยมเยือนญาติเพื่อพักอยู่ในเฟิ่งโจว โดยเป็นที่รู้กันภายในว่าเพื่อรอราชองครักษ์อี้ย้อนกลับมา จนถึงต้นเดือนแปด ในที่สุดพวกของกู้อี้หรานก็เดินทางอย่างตรากตรำจนเข้ามาในตัวเมืองเฟิ่งโจว บ่าวตระกูลเว่ยรายงานข่าวกันเข้ามาเป็นทอดๆ จนถึงเรือนหลัง แม่เฒ่าซ่งจึงถามว่า “พวกเขาหาญาติของสนมจงพบแล้วหรือ?


               “ในขบวนของราชองครักษ์อี้มีรถม้าสองคัน ซึ่งตอนขาไปนั้นไม่มีเจ้าค่ะ” บ่าวประสานมือคำนับพลางตอบ “ดูจากวัสดุและแบบของรถม้าแล้วคล้ายจะซื้อที่ชิงโจว คาดว่าเป็นญาติของสนมจงแน่แล้วเจ้าค่ะ”


               แม่เฒ่าซ่งพยักหน้า พลางสั่งให้คนไปเรียกฮูหยินซ่งมา แล้วสั่งความว่า “คุณชายตระกูลเติ้งเคยช่วยเหลือฉางอิ๋งของบ้านเรา แม้คราวก่อนจะได้เชิญเขามารักษาตัวที่บ้านเรา ทว่าเขายังคงคำนึงถึงราชโองการของฮ่องเต้ บาดแผลยังมิทันหายดีก็เร่งตามพวกพ้องไปแล้ว และไม่รู้ว่ายามนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง? จะว่าไปบ้านเรายังมิทันได้ขอบคุณเขาอย่างเป็นทางการเลย…ยามนี้เขากลับมา ไม่อาจให้เขาเพียงผ่านเมืองไปเช่นนี้ แต่กลับไม่ได้มิได้เลี้ยงขอบคุณ”


               ฮูหยินซ่งเข้าใจความหมาย กล่าวว่า “คุณชายเติ้งหาได้ผ่านไปเพียงลำพัง หากเชิญเขาเพียงผู้เดียว แต่กลับไม่เชิญพวกพ้องของเขาด้วย เกรงว่าจะเป็นการทำให้คุณชายเติ้งลำบากใจ มิสู้เชิญพวกเขาทั้งหมดมาเที่ยวชมที่บ้านเราสักพัก?”


               “ควรเป็นเช่นนั้น” แม่เฒ่าซ่งกล่าว “ให้ฉางเฟิงและเกาชวนไปเชิญเขาด้วยกัน…บุตรสาวบ้านเรานั้นสำคัญยิ่ง มิอาจละเลยต่อผู้ที่เคยยื่นมือช่วยเหลือเป็นอันขาด”


               เพราะมีเรื่องที่ครั้งก่อนเติ้งจงฉีเคยช่วยเว่ยฉางอิ๋งจากปากงูเขี้ยวหางไหม้อยู่ก่อนแล้ว การที่ตระกูลเว่ยเชื้อเชิญเขาจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล กอปรกับยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนจึงจะถึงวันคล้ายวันเกิดของสนมจง จากเฟิ่งโจวไปเมืองหลวง เดินทางรถก็ใช้เวลาเพียงสิบกว่าวัน หลานชายตระกูลเว่ยทั้งสองคนรับคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเดินทางไปเชิญด้วยตนเอง วาจาสุภาพเป็นมิตร ท่าทีจริงใจ พวกของกู้อี้หรานมีท่าทีปฏิเสธเล็กน้อย แต่ก็รับคำเชิญในที่สุด


               ในเฟิ่งโจวนี้พวกเขาก็ไม่มีที่อื่นให้ไปพัก หากจะไปที่รุ่ยอวี่ถังย่อมต้องปรึกษากันเสียก่อนว่าจะจัดการเรื่องที่พักของญาติสนมจงอย่างไร ซึ่งญาติของสนมจงมีจำนวนคนไม่มาก แค่น้องชายน้องสาวของสนมจงหนึ่งคู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นจงเจี๋ยผู้น้องชายก็แต่งงานแล้วและบุตรสาวหนึ่งคน ครั้งนี้กระทั่งภริยาและบุตรสาวก็ได้พามาด้วย จงลี่ผู้น้องสาวเพิ่งจะอายุได้สิบสามปี เดิมทีกำลังจะหมั้นหมายกับบ้านอื่น แต่เมื่อราชองครักษ์อี้ไปหาพวกเขาที่ชิงโจว และรู้ว่าพี่สาวได้เข้ารับใช้ฮองเต้ในวังหลวงทั้งยังเป็นที่โปรดปรานยิ่ง ย่อมเป็นธรรมดาที่จงเจี๋ยจะไม่ยอมยกน้องสาวให้ผู้ใดในชิงโจวแล้ว


               บ้านสกุลจงยากไร้ ดังนั้นสนมจงจึงได้เข้าไปรับใช้ในวังหลวงเมื่อกาลก่อน ก่อนนี้ทั้งจงเจี๋ยและภริยาต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อเห็นการแต่งกายของราชองครักษ์อี้นั้นไม่ธรรมดา กระทั่งขุนนางในชิงโจวที่ช่วยพวกเขาตามหาพวกตนก็ยังมีท่าทีเกรงอกเกรงใจพวกเขามาก จึงรู้ได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญ…คนสำคัญทั้งสี่คนนี้ยิ่งกลับมีท่าทีสุภาพต่อพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง แรกเริ่มนั้นพวกเขายังรู้สึกตื่นเต้น ประหนึ่งว่าอยู่ในฝัน แต่ในระยะเวลาหลายวันจากชิงโจวถึงเฟิ่งโจวก็มิได้เห็นว่าท่าทีของพวกราชองค์จะเปลี่ยนไป จึงรู้สึกว่าคงเพราะสนมจงเป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่งดังว่า ราชองครักษ์เหล่านี้จึงได้ดูเกรงกริ่งถึงเพียงนี้และไม่กล้าละเลยพวกตน


               บรรดานางในวังหลวงของต้าเว่ยจากตำแหน่งเจียลี่ซึ่งเป็นตำแหน่งต่ำสุดถึงเฮาเฮาซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดทั้งสิ้นมีสิบหกขั้น ตำแหน่งเสี่ยวอี๋นับเป็นลำดับที่ห้าจากท้าย เมื่อเทียบกับชาติกำเนิดและการเวลาที่ได้เข้ารับใช้ฮ่องเต้ของสนมเสี่ยวอี๋แซ่จงผู้นี้แล้ว ตำแหน่งเช่นนี้ถือว่ามีเกียรติเป็นอย่างมาก แต่หากจะไล่กันตามลำดับขั้น ความจริงแล้วพวกของกู้อี้หรานนั้นสูงกว่านางอยู่ขั้นหนึ่ง… ซึ่งแน่นอนว่าพวกญาติสกุลจงย่อมจะไม่รู้ รู้เพียงพี่สาวเข้าพระเนตรฮ่องเต้า ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานเช่นนี้ พวกเขาทั้งครอบครัวจึงนับได้ว่าเป็นพระญาติของฮ่องเต้แล้ว ภายใต้ความตื่นเต้นที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเช่นนี้ จึงรู้สึกได้ใจอยู่ภายในใจไม่เบาเลย


               เมื่อเข้าไปในตัวเมืองแล้ว คนทั้งกลุ่มได้ถูกเว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนรั้งตัวเอาไว้ คราแรกนั้นจงเจี๋ยรู้สึกดีใจมาก คิดว่าเพราะสนมจง คุณชายทั้งสองนี้จึงรีบมาประจบประแจงพวกตน เขากำลังจะสั่งให้กู้อี้หรานลองสอบถามความเป็นมาของอีกฝ่าย เพื่อดูว่าตนสมควรจะหยุดพักพูดคุยด้วยหรือไม่ แต่ฟังไปฟังมา ผู้ที่เว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนมาเชื้อเชิญนั้นกลับเป็นเติ้งจงฉี จึงได้เชิญกู้อี้หราน ตวนมู่อู๋ยิว หลิวซีสวินไปด้วยพร้อมกัน… แต่กลับมิได้เอ่ยถึงพวกเขาเลย


               จนกระทั่งเติ้งจงฉีและกู้อี้หรานตอบรับคำเชื้อเชิญของบ้านตระกูลเว่ยแล้ว จึงได้หันกลับมาปรึกษากันว่าจะหาที่พักให้แก่พวกของจงเจี๋ย จงเจี๋ยถึงได้เข้าใจทั้งที่แทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยว่า ‘ตระกูลเว่ยมิได้คิดจะเชิญพวกเขาเลยแม้แต่น้อย!’


               สำหรับคนสกุลจงที่เมื่อรู้ว่าพี่สาวได้เป็นสนมของฮองเต้แล้วประหนึ่งว่าได้ขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์ การที่ตระกูลเว่ยมองข้ามหัวพวกเขาเช่นนี้ ดังเป็นการตบหน้าอย่างแรง แล้วทำให้พวกเขาสำเหนียกตนว่า ที่แท้แล้ว แม้พี่สาวจะได้รับใช้ฮ่องเต้ แต่ก็หาใช่ว่าคนทั้งใต้หล้าต่างต้องให้เกียรติแก่สกุลจง?


               การสำเหนียกตนเช่นนี้ช่างเสียหน้านัก จงเจี๋ยคิดจะเอ่ยปากตำหนิและไต่ถามเว่ยฉางเฟิงหรือเว่ยเกาชวน แต่เพราะพวกเขาเป็นชาวบ้านธรรมดามานาน และกริยาวาจาของอีกฝ่ายนั้นก็แสดงให้เห็นถึงสง่าราศีของตระกูลใหญ่ จึงทำให้จงเจี๋ยที่เพิ่งจะเคยออกจากบ้านเกิดเป็นหนแรกรู้สึกขลาดกลัวและไม่กล้าเอ่ยปากใด เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขาพลันหนักอึ้งขึ้นมาในทันใด


               สำหรับความคับแค้นใจของจงเจี๋ยนี้ ทั้งเว่ยฉางเฟิงและเติ้งจงฉีต่างสังเกตเห็น และอาศัยจังหวะที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นพากันยิ้มออกมา… การที่ตระกูลเว่ยไม่เชื้อเชิญคนสกุลจง เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เริ่มมีมาในรัชสมัยนี้ว่าชนชั้นสูงและสามัญชนนั้นแตกต่างกัน แม้สนมจงจะเป็นผู้สูงศักดิ์คนใหม่ในตำหนักกลาง ในสายตาของตระกูลเว่ยซึ่งเป็นตระกูลสูงศักดิ์ที่หยั่งรากลึกในแคว้นแห่งนี้มาช้านานนั้น ไม่ควรคู่ที่ต้องไปประจบคนสกุลจง… หากวันนี้ตระกูลเว่ยเข้าไปกล่าวทักทายพวกของจงเจี๋ยอย่างมีอัธยาศัยล้นเหลือ เมื่อเรื่องเล่าลือออกไปจึงจะกลายเป็นเรื่องน่าขัน และเสียชื่อเสียงของตระกูลเว่ย ประการที่สอง นี่กลับเป็นการขุดหลุมพรางให้กับเรื่องที่จะดำเนินต่อไป


               และแล้ว จงเจี๋ยก็กลับให้ความร่วมมือจริงๆ เสียด้วย…


               เว่ยฉางเฟิงลอบเยาะอยู่ในใจ คนเช่นจงเจี๋ยซึ่งไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ต่อให้ไม่ได้ถูกผู้อื่นจัดการเอาระหว่างทาง เมื่อไปถึงเมืองหลวงก็จะต้องก่อความเดือดร้อนให้สนมจงเป็นแน่… เมืองหลวงสูงส่งดังสวรรค์ชั้นฟ้า สนมจงที่เพิ่งจะเป็นที่โปรดปรานมาไม่กี่เดือนจะคุ้มกะลาหัวให้จงเจี๋ยได้สักกี่มากน้อย? หากสนมจงผู้นี้ฉลาด ในเมื่อรู้จักนิสัยใจคอของน้องชายตน แม้จะคิดถึงน้องชายและน้องสาวปานใดก็จะไม่น่าจะคิดถึงจนถึงเพียงนี้… ดูท่าแล้วความคิดที่จะเอาญาติมาที่เมืองหลวงนี้ต้องเป็นสนมเอกเติ้งเป็นคนออกความคิดแน่


                พวกของกู้อี้หรานเองก็สังเกตเห็นอาการขุ่นเคืองของจงเจี๋ยเช่นกัน ยามนั้นก็รู้สึกอึ้งอยู่บ้าง ผ่านไปเกือบเค่อจึงได้สติกลับมา จงเจี๋ยอายุยังน้อยและยากจน หากไม่เพราะพี่สาว ชั่วชีวิตนี้เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสได้ออกมาจากชิงโจว ยามเมื่ออยู่ที่ชิงโจว พวกเขาก็เป็นชาวบ้านแสนจะธรรมดาที่หากินได้พอประทังชีวิตเท่านั้น ส่วนเรื่องความสูงศักดิ์ในใต้หล้านี้ไม่มีทางจะไปเข้าใจหรือไม่เข้าใจสิ่งใด… แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องรู้จักตระกูลซูแห่งชิงโจว แต่คนในอีกสายหนึ่งของตระกูลซูที่มาช่วยพวกของกู้อี้หรานตามหาจงเจี๋ยในครานี้ก็มีความนอบน้อมยิ่ง ซึ่งความนอบน้อมนี้ย่อมมีให้แก่ราชโองการของฮ่องเต้และตระกูลของพวกของเติ้งจงฉีทั้งสี่คนต่างหาก


               แต่เรื่องที่มาของความนอบน้อมซึ่งรู้กันในทีนี้กลับทำให้จงเจี๋ยเข้าใจผิดเสียแล้ว เขาจึงได้ใจจนลืมตัว นึกว่าฐานะเช่นนี้ของพี่สาวทำให้แม้แต่ตระกูลซูก็ยังต้องนอบน้อมให้  และเพราะพวกเขาล้วนไม่เคยได้ยินชื่อของตระกูลเว่ยมาก่อน… แล้วถือดีอย่างไรกล้าเมินเฉยต่อพวกเขา?


               แม้พวกของกู้อี้หรานจะนอบน้อมต่อจงเจี๋ย แท้จริงก็เพียงเพราะประการแรกได้รับการอบรมมาดีแต่กำเนิด ประการที่สองสนมจงกำลังเป็นที่โปรดปราน จึงไม่ต้องการจะสร้างความขัดเคืองในเรื่องเล็กน้อยกับนาง หากจะบอกว่าเป็นเพราะเคารพนบนอบต่อจงเจี๋ยจริงๆ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ยามนี้เมื่อสังเกตว่าจงเจี๋ยเกิดความขัดเคืองเพราะตระกูลเว่ยมิได้เชื้อเชิญเขา หลังจากนิ่งอึ้งไปแล้วต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี… ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเว่ยถึงกับสั่งให้หลานชายบ้านใหญ่มาเชื้อเชิญด้วยตนเอง หากไม่เพราะเติ้งจงฉีเคยช่วยชีวิตพี่สาวร่วมท้องของเขามาก่อน แม้แต่พวกเขาเองก็จะมิได้รับการปฏิบัติเช่นนี้


               หากไม่ได้บุญคุณของเติ้งจงฉี เกรงว่าจะทำได้เพียงให้หลิวซีสวินอาศัยความสัมพันธ์ว่าเป็นคนในตระกูลเดียวกับสะใภ้ของจิงผิงกง แล้วเข้ามาคารวะที่จวนของจิงผิงกงจึงจะทำให้ตระกูลเว่ยไม่อาจปิดประตูไม่ยอมเปิดรับพวกเขาได้ ตระกูลทางสายของเว่ยฮ่วนนี้ พวกเขาทั้งสี่คนรวมกันก็ยังหาลู่ทางเข้าหาไม่ได้เลย


               แต่ยามนี้กลับมีชาวบ้านผู้หนึ่งอาศัยพี่สาวที่เกิดเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ขึ้นมา จึงได้โอกาสไปเมืองหลวง แล้วกลับรู้สึกเคืองโกรธที่ถูกตระกูลเว่ยมองผ่าน… ลองนึกดูว่าหลายร้อยปีมานี้มีผู้ที่เกิดในตระกูลใหญ่จำนวนเท่าใดที่หวังจะได้ชมลายมือจริงของ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ แต่กลับไม่มีลู่ทางเข้ามาขอตระกูลเว่ย… ในขณะที่พวกของกู้อี้หรานไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอยู่นั้น ฉวยโอกาสที่เว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนไม่ได้สังเกตเห็น จึงได้เอ่ยเตือนจงเจี๋ยสักนิดว่า “ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวนับเป็นหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ มีฐานะทัดเทียมกับตระกูลซูแห่งชิงโจว ซึ่งให้ความสำคัญกับธรรมเนียมประเพณีเป็นที่สุด พวกเขาไม่รู้จักคุณชายจง จึงมิกล้าเชื้อเชิญส่งเดช จึงต้องเชิญให้คุณชายจงและฮูหยินจุน รวมทั้งคุณหนูจงไปรอที่โรงเตี๊ยมสักพัก รอจนข้าเข้าคาราวะท่านประมุขเว่ยและฮูหยินผู้เฒ่าแล้วจักรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”


               เพียงแต่กู้อี้หรานไม่รู้ว่าจงเจี๋ยหาได้เข้าใจคำพูดแฝงนัยยะของคนในตระกูลเลื่องชื่อไม่ จึงฟังความหมายแท้จริงซึ่งแฝงอยู่ในคำพูดนี้ไม่ออก นอกจากจะไม่ยอมลงบันไดมาแล้ว กลับกล่าวตำหนิว่า “ในเมื่อพวกเขาไม่รู้จักข้า เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่บอกให้พวกเขารู้เล่า? พวกเขาไม่รู้หรือว่าพี่สาวข้าเป็นถึงสนมเอกของฮ่องเต้?”


               “…” กู้อี้หรานกระแอมไอแห้งๆ หนหนึ่ง แล้วว่า “คุณชายจง สนมเสี่ยวอี๋ถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งสนม ซึ่งตำแหน่งสนมเอกนั้นอยู่เหนือสนมทั่วไป เมื่อเข้าเมืองหลวงแล้ว หากคุณชายกล่าวเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้สนมเสี่ยวอี๋เดือดร้อนเอาได้”


               เขามิได้มีความเกี่ยวพันใดเลยกับสนมจง กับฮองเฮากู้ก็เพียงมีแซ่เดียวกันแต่มิใช่ครอบครัวเดียวกัน การตักเตือนเท่านี้นับว่าเมตตาที่สุดแล้ว เพียงแต่เมื่อจงเจี๋ยได้ยินว่าจะทำให้สนมจงเดือดร้อน แม้เขาจะตกใจแต่ยังคงกล่าวอย่างงุนงงว่า “แต่ฮองเต้โปรดปรานพี่ใหญ่มากไม่ใช่รึ? ไม่อย่างนั้นจะให้พวกเจ้ามารับพวกข้าไปพบพี่ใหญ่ที่เมืองหลวงได้อย่างไร?”


               คนที่ฮองเต้เคยโปรดปรานนั้นมีมากและจากไปก็มาก ในรัชสมัยนี้แม้แต่องครัชทายาทก็แต่งตั้งมาแล้วถึงสามพระองค์…องค์รัชทายาททั้งสามพระองค์นี้มีองค์ใดบ้างที่ไม่เคยถูกฮ่องเต้กล่าวชมหนแล้วก็หนเล่า?


               กู้อี้หรานเห็นจงเจี๋ยไร้ปัญญา ก็คร้านจะเอ่ยต่อไปให้มากความ จึงเพียงยิ้มกลบเกลื่อน “สนมเสี่ยวอี๋ย่อมเป็นที่โปรดปรานเป็นอันมากเป็นธรรมดา ดังนั้นฮ่องเต้จึงได้สั่งให้พวกข้ามาตามหาทุกท่านที่ชิงโจว”


               “เช่นนั้นพวกเจ้าก็เอาเรื่องนี้ไปบอกแก่คุณชายห้าแห่งตระกูลเว่ยคนนั้นเสียสิ” จงเจี๋ยกล่าวไปอย่างไร้เดียงสา “ข้ากลับไม่ได้พิศวาสอยากไปบ้านตระกูลเว่ย แต่ที่พวกเขามองผ่านพวกข้าแบบนี้ ช่างไม่มีมารยาทเอาเลย! เรื่องนี้หากไม่ได้พูดให้กระจ่าง พอไปถึงเมืองหลวงได้พบกับพี่ใหญ่แล้ว ข้าจะต้องเอาไปบอกพี่ใหญ่แน่นอน”


               คำกล่าวของเขานี้มีน้ำเสียงขู่แอบแฝงอยู่ กู้อี้หรานและเพื่อนพ้องสบตากันคราหนึ่ง แล้วยิ้มเจื่อนพลางว่า “ฮองเต้มีคำสั่ง ได้กำหนดวันกลับเอาไว้แล้ว พวกข้ามิกล้าทำให้เสียเวลา แต่ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซ่งได้ให้หลานชายแท้ๆ มาเชิญ จึงจำเป็นต้องไปแสดงมารยาทตอบแทน เช่นนั้น พวกเราเหลือคนไว้อยู่กับทุกท่าน เมื่อไปบ้านตระกูลเว่ยและบอกกล่าวสักคำก็เดินทางต่อไปทันที เป็นเช่นไร?”


               …นี่หาใช่เพราะได้ยินคำขู่ของจงเจี๋ยเพียงประโยคเดียว แล้วกู้อี้หรานรู้สึกตื่นตระหนกจริงๆ จนถึงขั้นเปลี่ยนคำจากที่สัญญาไว้กับตระกูลเว่ย หากแต่เพราะตวนมู่อู๋ยิวไม่ถูกกับเว่ยฉางเฟิงอยู่ก่อนแล้ว ก่อนหน้านี้จึงได้บอกกับกู้อี้หรานด้วยเสียงต่ำว่าเขาไม่อยากไปบ้านตระกูลเว่ย ฐานะของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วทัดเทียมกับตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว ตวนมู่อู๋ยิวจึงมิได้พิศวาสอยากเข้าประตูบ้านตระกูลเว่ย กู้อี้หรานคิดว่าประจวบเหมาะให้ตวนมู่อู๋ยิวอยู่ที่โรงเตี๊ยมคอยเฝ้าคนสกุลจงเอาไว้ เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้น


               แม้จงเจี๋ยจะไร้ปัญญา แต่เมื่อกู้อี้หรานมิได้ต่อความเรื่องที่จะแนะนำเขากับเว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวน เขาก็พอจะคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าที่กู้อี้หรานไม่ยอมทำเช่นนั้น เพราะต่อให้เขาทำเช่นนั้นแล้วตระกูลเว่ยก็ยังไม่เชื้อเชิญตนอยู่ดี จึงบันดาลโทสะ และกล่าวเตือนว่า “ราชองค์รักกู้เดินทางอย่างลำบากมาตลอดทาง พวกเราก็เห็นอยู่ วันหน้าเมื่อได้พบกับพี่ใหญ่แล้ว ความลำบากของราชองครักษ์ทุกท่านที่มีมาตลอดทาง พวกเราจะต้องนำไปบอกกับพี่ใหญ่อย่างละเอียด”


               แต่ไรมากู้อี้หรานเป็นคนอารมณ์ดี ทั้งยังรู้ว่าจงเจี๋ยเป็นเพียงชาวบ้านเล็กๆ คนหนึ่งที่เท้าไม่เคยย่างกรายออกนอกเมืองมาก่อน ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จึงได้หลงนึกไปว่าเมื่อพี่สาวได้เป็นสนมเสี่ยวอี๋แล้วจะสามารถสบประมาททุกคนที่ต่ำกว่าราชสำนักลงมาได้ เมื่อได้ยินคำขู่ที่ชัดแจ้งของเขาเช่นนี้จึงเพียงรู้สึกขบขัน แต่ตวนมู่อู๋ยิวกลับมิได้มีอารมณ์ดีเช่นนั้น เขากล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “รอจนกลับถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้าอยากจะพูดอย่างไรก็เชิญพูด! แต่ยามนี้ไปโรงเตี๊ยมกับข้าก่อน!”


               ทั้งยังกำชับกู้อี้หรานว่า “พวกเจ้ารีบไปรีบกลับ…แล้วรีบออกเดินทาง!”


_________________________

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม