บัลลังก์พญาหงส์ 477-483

บทที่ 477 ใจคอโหดร้าย

 

แม้จะบอกว่าเป็นพี่ชายสามารถสั่งสอนน้องชายน้องสาวได้ แต่เรื่องลงแส้หรือลงไม้กลับมีน้อยมาก โดยเฉพาะหลังแต่งงานแยกเรือนกันออกไปแล้ว เฝินหยางโหวกลับลงแส้จั่วเสี่ยนอวี้เพราะเรื่องนี้ แล้วยังโบยจั่วเสี่ยนอวี้จนต้องนอนพักรักษาตัว หากสมองไม่ผิดปกติ เกรงว่าคงทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้แน่นอน


 


 


จะต้องรู้ว่าจั่วเสี่ยนอวี้ทำธุระให้เฝินหยางโหวมากมายเท่าไร? เกรงว่าคำนึงเพียงเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่ควรที่จะลงมือกับจั่วเสี่ยนอวี้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อจากนี้ใครยังจะกล้าจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้เฝินหยางโหวอีก? พูดง่ายๆ ก็คือเฝินหยางโหวมองจั่วเสี่ยนอวี้เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง ทำดีก็ถือเป็นเรื่องสมควร ทำไม่ดีนั่นถือเป็นความผิดของเจ้า ควรลงโทษ


 


 


เฝินหยางโหวทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าบีบให้จั่วเสี่ยนอวี้เปลี่ยนใจ


 


 


ถาวจวินหลันรู้สึกตกใจกับการกระทำของเฝินหยางโหวมาก และยิ่งไม่มีทางเข้าใจได้


 


 


ฉินฮูหยินกลับแค่นหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่แค่ครั้งแรกเจ้าค่ะ ต่อให้พวกเราหมั้นหมายกันแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ก็ลดไปเพียงแค่ห้าหกครั้งเท่านั้น”


 


 


ถาวจวินหลันตกใจจนพูดไม่ออกทันที


 


 


ท้ายสุด พอเห็นฉินฮูหยินมีท่าทีลำบากใจ ถาวจวินหลันก็ปลอบเสียงเบา “ต่อจากนี้ไปก็จะดีขึ้น ข้ายังมียาทาแผลที่ท่านอ๋องเหลือเอาไว้รักษาบาดแผลเช่นนี้ได้ผลชะงัดนัก เป็นของที่ฮ่องเต้ประทานมาให้ ตอนที่เจ้าจะกลับก็เอาไปด้วยเถิด แต่ก็ต้องฉวยโอกาสนี้พักรักษาตัวให้ดี เจ้าว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่?”


 


 


ช่วยเฝินหยางโหวอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่กลับไม่ได้ผลดีอะไร ไม่สู้ฉวยโอกาสแอบขี้เกียจ บางทีจั่วเสี่ยนอวี้คงคิดเช่นนี้อยู่แล้ว


 


 


“แต่ความคิดของเฝินหยางโหวที่ไปขอหมั้นหมายนั่น เป็นความคิดที่สามีของเจ้าช่วยคิดจริงหรือ?” ถาวจวินหลันคิดว่าถ้าเป็นความคิดของจั่วเสี่ยนอวี้ เขาต้องคิดมานานแล้วว่าจะมีวันนี้ใช่หรือไม่? ความตั้งใจของเขา…


 


 


ฉินฮูหยินพูดเนิบๆ “เป็นความคิดที่สามีของข้าช่วยคิดจริงเจ้าค่ะ แต่เฝินหยางโหวเป็นคนบีบบังคับให้สามีของข้าช่วย พอตอนนี้เกิดเรื่องกลับโทษสามีของข้าเพียงคนเดียวเสียอย่างนั้นเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นเฝินหยางโหวก็ไม่สมควรทำ” แต่ถ้าจะพูดว่าทำไมอยู่ๆ เฝินหยางโหวให้จั่วเสี่ยนอวี้ช่วยออกความคิด เกรงว่าคงมีอะไรแอบซ่อนอยู่เป็นแน่?


 


 


แต่หลังจากนั้นถาวจวินหลันก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก แต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน สนทนาเรื่อยเปื่อยกันอยู่ครู่หนึ่ง พูดคุยตั้งแต่เรื่องสวน เสื้อผ้ามาจนถึงเรื่องลูก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่พริบตาเดียวท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง


 


 


ฉินฮูหยินลุกขึ้นมา “นี่ก็เย็นแล้ว ข้าควรจะกลับแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นมา “เช่นนั้นข้าจะไปส่งเจ้า สามีของเจ้าอยู่ที่บ้าน ข้าไม่รั้งให้เจ้าอยู่ร่วมทานอาหารด้วยกันแล้ว วันอื่นพวกเราค่อยเจอกันอีก” พอพูดจบก็เดินออกไปข้างนอกพร้อมฉินฮูหยิน


 


 


ฉินฮูหยินรีบพูดด้วยความตกใจ “ชายารองหยุดฝีเท้าเถิดเจ้าค่ะ ร่างกายของท่านยังไม่หายดี จะให้เหนื่อยไม่ได้” หยุดไปครู่หนึ่งนางก็พูดอีกว่า “ที่จริงแล้วยังมีอีกเรื่องที่สามีข้าฝากมาบอกท่าน ว่าถ้าปีนี้ในสวนผลเก็บเกี่ยวดี อย่าได้นำไปขาย ปีถัดไปราคาข้าวจะต้องพุ่งสูงขึ้นอีกเท่าตัวแน่นอน หากท่านอยากซื้อ ทางเจียงหนานเขาช่วยได้เจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “ต้องขอบคุณพวกเจ้าที่เตือนข้า”


 


 


ส่งฉินฮูหยินออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็หันไปมองหงหลัว ถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”


 


 


หงหลัวก้มหัวลงเล็กน้อย “ฉินฮูหยินปฏิบัติต่อบ่าวเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ ท่าทางคงอยากสานสัมพันธ์กับพวกเราจากใจจริง ส่วนเรื่องอื่นยังไม่รู้เจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันพูดว่า “ขอเพียงมีความจริงใจก็เพียงพอแล้ว”


 


 


ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น พูดแค่เรื่องที่จั่วเสี่ยนอวี้ต่อกรกับเฝินหยางโหวก็ช่วยลงแรงได้ไม่น้อย อีกอย่าง จั่วเสี่ยนอวี้ก็เก่งเรื่องการค้าขาย หากร่วมมือกับเขาก็ถือเป็นวิธีที่ไม่เลว


 


 


น่าหัวเราะที่เฝินหยางโหวมีคนล้ำค่าเช่นนี้ แต่ไม่เพียงไม่ใช้ให้ดี แล้วยังพยายามโยนออกไปข้างนอก


 


 


งานศพของจวนเหิงกั๋วโหวจัดอย่างยิ่งใหญ่ แม้แต่ฮองเฮาและพระชายาองค์รัชทายาทก็ไปแขวนคำอาลัยด้วยตนเอง อย่างไรแล้วนั่นก็เป็นแม่แท้ๆ ของฮองเฮา ได้ยินว่าฮองเฮาเสียใจมาก ร้องไห้หนักไปแล้วรอบหนึ่ง จากนั้นก็ให้คนไปที่จวนเฝินหยางโหวรอบหนึ่ง สั่งสอนเฝินหยางโหวไปแล้ว


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฮ่องเต้รังเกียจคนของจวนเฝินหยางโหว เกรงว่าฮองเฮาคงเรียกเฝินหยางโหวเข้าไปสั่งสอนด้วยตนเองในวังหลวง


 


 


แต่ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายเฝินหยางโหวพูดอะไร ถึงไม่เห็นได้รับโทษเลยแม้แต่น้อย และไม่ได้สั่งสอนอย่างโจ่งแจ้ง สำหรับเฝินหยางโหวแล้ว เรื่องแค่นี้ราวกับจักกะจี้เท่านั้น


 


 


ดังนั้นเฝินหยางโหวยังถึงขั้นไปสู่ขอคุณหนูสามของจวนเหิงกั๋วโหวด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง จากที่เฝินหยางโหวดูแล้ว ก่อนหน้านี้ยังถือว่าเขาคิดเด็ดดอกฟ้า แต่ตอนนี้ทั้งสองตระกูลเป็นจวนโหวเหมือนกัน ไม่มีเรื่องเด็ดดอกฟ้าอะไร อีกอย่างตอนนี้คุณหนูสามไม่แต่งงานกับเขา แล้วยังจะแต่งงานกับใครได้?


 


 


เฝินหยางโหวยังพูดว่า “รอจนผ่านการไว้อาลัยสามปี คุณหนูสามก็กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถึงตอนนั้นก็แต่งงานไม่ออกแล้ว”


 


 


เหิงกั๋วโหวโมโหจนแทบจะหายใจไม่ทัน และให้คนไล่เฝินหยางโหวออกไปทันที


 


 


แม้ว่าถาวจวินหลันจะไม่เห็นด้วยตาตนเอง แต่ก็ได้ยินคนเล่าให้ฟังอย่างสมจริงสมจังราวกับเห็นภาพจริง จึงให้นางหัวเราะจนแทบหายใจไม่ทัน ในขณะเดียวกันนางก็ถือว่ามั่นใจได้แล้ว เฝินหยางโหวคนนี้ไม่มีความคิดสงสารหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย


 


 


อีกอย่างเฝินหยางโหวไม่ได้เกรงใจแม้แต่น้อย ไม่ได้คิดถึงจวนเหิงกั๋วโหวแม้แต่น้อย แล้วถ้าจะบอกว่าเขาลืมคุณหนูสามไม่ได้ ก็ไม่สู้พูดว่าแก้แค้นที่จวนเหิงกั๋วกงปฏิเสธเขายังจะดีกว่า


 


 


ดูได้ตั้งแต่คราวขององค์หญิงเก้าแล้ว เฝินหยางโหวไม่ใช่คนใจกว้าง จะพูดว่าใจดำก็ไม่เกินไป เพราะว่าองค์หญิงเก้าปฏิเสธเขา เขาถึงกับลอบสังหารองค์หญิงเก้าในงานแต่งงานของนาง เช่นนั้นการแก้แค้นเหิงกั๋วโหวอย่างกำเริบเสิบสานโดยไม่สนใจใครก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล


 


 


ตอนนี้ถาวจวินหลันกำลังคิดว่า ไม่รู้ว่าจะเหมือนกับที่หลี่เย่คิดไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้วคุณหนูสามจะต้องเข้าวังหลวงไปอยู่ข้างกายองค์รัชทายาท


 


 


ตอนที่ถาวจวินหลันคาดเดาอยู่ในใจ ฮองเฮาก็เรียกพระชายาองค์รัชทายาทมาพูดคุย


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทรู้ว่าฮองเฮาเรียกพบ ตอนแรกก็ไม่ค่อยใส่ใจนัก ถ้าไม่ใช่เพราะนางกำนัลข้างกายพูดกล่อม พระชายาองค์รัชทายาทก็คงจะอ้างว่าป่วยแล้วไม่ไป นางรู้ดีว่าฮองเฮาต้องการพูดเรื่องอะไร


 


 


คงไม่มีอะไรนอกจากเรื่องน้องสามของตนเอง พอคิดถึงน้องสามที่ฉลาดและรูปงามของตน พระชายาองค์รัชทายาทก็หงุดหงิดทันที กระทั่งเกิดความเบื่อหน่ายในใจ


 


 


พอพระชายาองค์รัชทายามมาถึงเบื้องหน้าฮองเฮา ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรแม้แต่น้อย ยังคงทำความเคารพอย่างถูกต้องตามพิธี เหมือนปกติไม่มีผิดเพี้ยน


 


 


ฮองเฮามองพระชายาองค์รัชทายาทอย่างเอ็นดูทีหนึ่ง “หลายวันมานี้เจ้าเงียบไปไม่น้อย หยวนซื่อก่อเรื่องอย่างนั้นหรือ?”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทส่ายหน้า ยิ้มเฝื่อนๆ “หยวนซื่อจะดิ้นรนมากเพียงใดก็ยังเป็นแค่ชายารอง ไฉนเลยจะต้องไปสนใจนางด้วย หม่อมฉันทำเพื่อพี่สามและท่านย่า” พูดไปพูดมาในดวงตาของพระชายาองค์รัชทายาทก็เต็มไปด้วยน้ำตา


 


 


ฮองเฮาถอนหายใจตาม “เรื่องนี้น่าโศกเศร้าเสียจริง” หยุดไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาก็พูดว่า “แต่น้องสามของเจ้าก็น่ากังวลนัก เฝินหยางโหวไม่รู้ความ น้องสามของเจ้ายิ่งไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าไม่แต่งงานกับเฝินหยางโหว ก็ต้องตัดผมบวชเป็นแม่ชีไป แต่นางยังเด็กขนาดนั้น…เฮ้อ”


 


 


เสียงถอนหายใจของฮองเฮา เหมือนกับค้อนหนักเล่มหนึ่ง ทุบลงไปที่หัวใจของพระชายาองค์รัชทายาทอย่างแรง ทำให้นางเจ็บปวดมาก จนกระทั่งนางคาดเดาได้แล้วว่าฮองเฮาต้องการพูดอะไรต่อไป


 


 


พอถอนหายใจแล้ว ฉับพลันนั้นพระชายาองค์รัชทายามก็เงยหน้าขึ้นมา พูดเสียงเบา “เฝินหยางโหวไม่ดีก็จริง แต่ก็ยังมีประโยชน์ต่อองค์รัชทายาทเพคะ น้องสามถือเป็นครอบครัวจวนเหิงกั๋วโหวคนหนึ่ง จะต้องเสียสละสักเล็กน้อย คิดว่านางก็ต้องยินยอมเพคะ”


 


 


คำพูดนี้ของพระชายาองค์รัชทายาทหลุดออกไป ฮองเฮาก็มีท่าทีตื่นตะลึงเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “บุตรสาวจวนเหิงกั๋วโหวจะเสียสละอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน? อีกอย่างหนึ่ง คนอย่างเฝินหยางโหวก็ไม่ใช่สามีที่ดี”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทหลุบตาลงน้อยๆ “เพราะไม่ใช่สามีที่ดี ถึงได้บอกว่าเสียสละอย่างไรเล่าเพคะ” หากดีไปหมด ยังจะถือว่าเสียสละอะไรกัน? นั่นถือว่าเสพสุขแล้ว นางเสียสละมากมายขนาดนี้แล้ว ในตอนนี้มีกลับมีคนคิดจะมาพรากส่วนหนึ่งไป นางไม่มีทางยอมเป็นแน่


 


 


ฮองเฮาเลือกสตรีมากมายให้องค์รัชทายาทนางก็ไม่ต่อต้าน แต่ไม่มีทางเป็นน้องสาวของตนเอง นางจะจัดการคนอื่นอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ แต่หากเป็นคุณหนูจากจวนเหิงกั๋วกงอีกคนหนึ่ง นางก็ไม่อาจจัดการได้ตามใจชอบอีกแล้ว


 


 


ดังนั้นต่อให้ฮองเฮาไม่พอใจ นางก็ไม่มีทางตอบตกลงอย่างง่ายดายแน่นอน


 


 


ฮองเฮาจ้องมองพระชายาองค์รัชทายาทนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดเตือนพระชายาองค์รัชทายาทเล็กน้อย “นั่นเป็นน้องท้องเดียวกับเจ้า เป็นน้องแท้ๆ ที่เกิดจากแม่คนเดียวกัน!”


 


 


พูดจนถึงสุดท้าย น้ำเสียงก็เน้นหนักไปเล็กน้อย


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทเม้มริมฝีปาก ออกแรงบีบถ้วยชากระเบื้องขาวในมือ น้ำเสียงยังคงสงบนิ่ง “แต่นางเป็นสตรีของจวนเหิงกั๋วกง เสียสละเพื่อจวนเหิงกั๋วกงก็ถือเป็นเรื่องธรรมดานี่เพคะ ตอนนี้เฝินหยางโหวสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ ไม่ส่งหญิงสาวไปแต่งงานสักคน เขาจะยอมหยุดได้อย่างไร?”


 


 


นี่คือความจริง เฝินหยางโหวไม่มีทางยอมรามือ ต่อจากนี้ตอนที่จัดการธุระแทนองค์รัชทายาทก็ไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไร


 


 


ฮองเฮาสูดลมหายใจเข้าลึก กดความโกรธลงไป อย่างไรคำพูดของพระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่ได้ผิด ดังนั้นนางไม่อาจแสดงความโมโหออกมาได้ “ความตั้งใจของพ่อแม่เจ้าคือส่งน้องสามเข้ามาในวังหลวง อยู่ข้างกายองค์รัชทายาท วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อถามความคิดของเจ้า”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทฟังแล้วก็ไม่พอใจ รู้ว่าฮองเฮาทนพูดอ้อมค้อมกับนางไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงพูดออกมาตรงๆ นี่เป็นการบอกว่านางจะต้องให้คำตอบอย่างหนึ่งกับฮองเฮา


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทกัดฟันแน่น เงยหน้ามองฮองเฮา “เช่นนั้นความคิดของเสด็จแม่เล่าเพคะ?”


 


 


ฮองเฮามองตาของพระชายาองค์รัชทายาทที่มีน้ำเอ่อคลอ ฉับพลันนั้นก็เริ่มทนไม่ไหว แต่นางก็ยังคงกัดฟันพูดต่อ “ข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างไร ตอนนี้เจ้าก็ไม่มีลูกชาย มีน้องสาวคอยช่วยเจ้าก็ยังดีกว่าต้องไปเลี้ยงลูกของคนอื่น เจ้าคิดว่ามีเหตุผลหรือไม่?” 

 

 


บทที่ 478 ข่าวคราว

 

พระชายาองค์รัชทายาทหัวเราะแห้ง “ในเมื่อเสด็จแม่คิดดีแล้ว จะมาถามหม่อมฉันอีกทำไมเล่าเพคะ?”


 


 


ให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ กระทั่งต่อจากนี้ไปอาจไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก นี่เป็นจุดอ่อนของนาง ฮองเฮาจี้จุดนางตรงๆ เช่นนี้ ทำให้นางไม่มีแม้แต่คำพูดโต้ตอบ นางเป็นอะไร? ความพยามยามและความสามารถที่ผ่านมาหลายปีนี้ถือว่าเป็นอะไรกัน?


 


 


เพียงไม่นาน พระชายาองค์รัชทายาทก็รู้สึกท้อแท้ใจ


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทไม่ค่อยเกรงใจเท่าไร และยิ่งแสดงถึงความไม่เคารพ ฮองเฮาขมวดคิ้วน้อยๆ สุดท้ายก็ไม่ได้หาเรื่องอะไร กลับพูดปลอบเสียงอ่อนโยนว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นพระชายาองค์รัชทายาทที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต่อให้น้องสามของเจ้าเข้าวังหลวงมาก็เป็นได้เพียงชายารองเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจข้ามหน้าเจ้าไปได้ นางเป็นคนรู้ความ จะต้องเชื่อฟังเจ้าแน่นอน พวกเจ้าเป็นพี่น้องมารดาเดียวกัน ในอนาคตบุตรชายของนาง ก็เท่ากับบุตรชายของเจ้าไม่ใช่หรือ? แบบนี้เจ้าเองก็มีที่พึ่ง”


 


 


พอฮองเฮาพูดอธิบายและปลอบประโลมนางเช่นนี้ พระชายาองค์รัชทายาทก็ยังคงก้มหน้าไม่พูดไม่จา นางได้แต่ลอบหัวเราะเสียงเย็นในใจ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? จะเหมือนกันได้อย่างไร? เป็นหลานสาวเหมือนกัน นางก็แค่ได้เปรียบที่มาก่อนเท่านั้น แต่พอน้องสามให้กำเนิดบุตรชายกับองค์รัชทายาท เกรงว่าข้อได้เปรียบของนางก็คงไม่เหลือแล้ว! สุดท้ายท่านป้าแสนดีของนาง ก็ตัดใจทำนางได้ลงคอ


 


 


หากหวังดีกับนางจริง คงไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้มิใช่หรือ?


 


 


ฮองเฮาเห็นว่าพระชายาองค์รัชทายาทไม่พูดไม่จา ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าพระชายาองค์รัชทายาทคงไม่เข้าใจเรื่องนี้ จึงถอนหายใจพูดว่า “เรื่องนี้เจ้ากลับเอาไปคิดก่อนเถิด อย่างไรนั่นก็เป็นน้องสาวของเจ้า เจ้าทนมองนางโดดเข้าไปในกองเพลิงได้จริงหรือ?”


 


 


หลังจากพระชายาองค์รัชทายาทกลับไปแล้ว ฮองเฮาก็ส่ายหน้านวดหว่างคิ้วเล็กน้อย ก่อนเบนหน้าไปพูดกับกูกูที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายตนเอง “เจ้าดูซี นี่แหละคือสตรี”


 


 


กูกูครุ่นคิด แล้วจึงพูดแก้ตัวแทนพระชายาองค์รัชทายาทเล็กน้อย “พระชายาองค์รัชทายาทเป็นคนรู้ความมาตลอดเพคะ เรื่องนี้นางก็แค่ยังไม่เข้าใจ คิดว่านางจะต้องเข้าใจเรื่องนี้ได้ภายในเวลาอันเร็วแน่ และรู้ว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงหวังดีต่อนางเพคะ”


 


 


“ข้าไม่ได้หวังดีต่อนางหรืออย่างไร?” ฮองเฮาแค่นหัวเราะ “นางไม่มีบุตรชาย เรื่องนี้คนอื่นเอาไปพูดนินทาอยู่ตลอด เด็กที่เกิดจากสตรีคนอื่นจะสู้เด็กที่เจ้าสามคลอดออกมาได้อย่างไร? มีเพียงวิธีนี้จวนเหิงกั๋วโหวถึงจะเติบโตต่อไปได้อย่างยาวนาน สตรีนางนั้นไม่มีลูกไม้อะไร แล้วจะสั่นคลอนให้นางได้อย่างไร? จากที่ข้าดูแล้ว มีเพียงนางเท่านั้นที่เหมาะจะเป็นพระชายาองค์รัชทายาท และเป็นฮองเฮาในอนาคต”


 


 


ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็จบลงเช่นนี้แล้ว


 


 


หลังจากถาวจวินหลันได้รับข่าว ก็หัวเราะออกมา หันไปพูดกับหงหลัวว่า “เจ้าดูซี สุดท้ายแล้วก็จบเช่นนี้ คราวนี้ไม่รู้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทจะรู้สึกเช่นไร” หากเป็นนาง นางหวังให้เป็นผู้หญิงแปลกหน้าคนอื่นมากกว่า ไม่ใช่น้องสาวของตน


 


 


หงหลัวหยิบจอกชามารินน้ำชาให้ถาวจวินหลัน พลางพูดว่า “ท่านคิดเรื่องให้น้อยลงหน่อยเถิดเจ้าค่ะ นี่เป็นเรื่องของตระกูลเขา ไม่เกี่ยวกับพวกเรานะเจ้าคะ”


 


 


“ไม่เกี่ยวได้อย่างไร?” ถาวจวินหลันหมุนแหวนอัญมณีที่สวมอยู่บนนิ้วเล่น พูดออกมาเสียงเย็น “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าหยวนฉงหวาให้ข้อมูลอะไรกับข้า?”


 


 


มือของหงหลัวสั่น “ท่านจะบอกว่า…”


 


 


“คราวนี้ข้าต้องพบความลำบากมากมาย เบื้องหลังก็มีฝีมือของพระชายาองค์รัชทายาทอยู่ด้วย” ถาวจวินหลันหรี่ตาลงเล็กน้อย “ตอนนี้พระชายาองค์รัชทายาทเป็นมือซ้ายขวาของฮองเฮาแล้ว ฮองเฮาแก่ตัวลงเรื่อยๆ เรี่ยวแรงไม่สู้เมื่อก่อน เรื่องราวมากมายล้วนส่งต่อให้พระชายาองค์รัชทายาท”


 


 


“แต่ถ้าหยวนฉงหวาตั้งใจถ่ายทอดคำพูดเช่นนี้ เพราะอยากให้พวกเราต่อกรกับพระชายาองค์รัชทายาทเล่าเจ้าคะ?” หงหลัวคิดว่าคำพูดของหยวนฉงหวาไม่อาจเชื่อได้


 


 


ถาวจวินหลันส่ายหน้า “หยวนซื่อไม่กล้าโกหกข้า นางรู้ดีแก่ใจ ข้าไม่ได้มีนางเป็นหูเป็นตาคนเดียว สิ่งที่นางยังต้องพึ่งพิงข้าอีกเยอะ”


 


 


หงหลัวตกอยู่ภวังค์ครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างลังเล “ถ้าเช่นนั้นความหมายของท่าน”


 


 


ถาวจวินหลันพูดคำหนึ่งอย่างเยียบเย็น “ย่อมต้องเป็นไปตามประเพณี นางให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับข้าขนาดนี้ ข้าย่อมต้องมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้นางเช่นกัน มิเช่นนั้นจะสมกับที่พระชายาองค์รัชทายาทระแวดระวังทุกเรื่องได้อย่างไร?”


 


 


หงหลัวไม่ได้ถามอะไรอีก แต่ก็เข้าใจเป็นอย่างดี ในเมื่อเจ้านายของตนเองพูดเช่นนี้ ฉะนั้นในใจย่อมต้องมีแผนแน่นอน


 


 


ถาวจวินหลันมีแผนแล้วจริง นางเบนหน้าหัวเราะพลางพูดว่า “อีกครู่ข้าจะเข้าไปในวังหลวงสักรอบหนึ่ง เจ้าไปบอกหยวนซื่อว่าข้าอยากพบนาง” นางมีเรื่องอยากไปกำชับหยวนฉงหวาด้วยตนเอง


 


 


หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็ถามหงหลัวอีกว่า “เจ้าสืบมาชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ ว่าไทเฮาเรียกพบอันหย่วนโหวฮูหยินจริงหรือไม่ และจวนอันหย่วนโหวก็เอ่ยปฏิเสธคนที่ไปสู่ขอใช่หรือไม่?”


 


 


หงหลัวพยักหน้า “เป็นจริงตามนั้นเจ้าค่ะ ช่วงนี้อันหย่วนโหวฮูหยินเข้าวังหลวงบ่อยครั้ง และที่ปฏิเสธก็ไม่ใช่แค่เพียงสองสามคน”


 


 


ถาวจวินหลันตกอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ ถอนหายใจออกมา “ดูท่าทางไทเฮาตั้งใจแล้วจริงๆ เกรงว่าครั้งนี้จวนของพวกเราไม่เพียงแค่มีชายาเอกมาเพิ่มเท่านั้น แล้วยังมีนายหญิงอีกสองสามคน แต่ไม่รู้ว่าไทเฮาคิดจะให้กู้ซีเข้ามาในจวนเมื่อไร”


 


 


อย่างไรไทเฮาก็มาจากตระกูลกู้ จะลำเอียงไปทางตระกูลกู้ก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล และตอนนี้ตระกูลกู้ก็มีหญิงสาวเพียงแค่กู้ซีเท่านั้น คิดไปคิดมา เกรงว่าคงจะเหมือนสิ่งที่นางคิดมาก่อนหน้านี้นานแล้ว


 


 


แต่กู้ซีอ่อนแอเกินไป ไม่เหมาะมานั่งตำแหน่งนายหญิง ไม่รู้ว่าไทเฮาจะจัดการให้นางอยู่ในฐานะใด


 


 


ถาวจวินหลันคิดว่าถ้าไม่ผิดพลาดอะไร จะต้องเป็นตำแหน่งชายารองอย่างแน่นอน แม้จะบอกว่าชายารองมีสองคนแล้ว แต่สภาพของเจียงอวี้เหลียนตอนนี้ จะเพิ่มอีกสักคนก็ถือว่าสมเหตุสมผล


 


 


พูดตามจริง นางไม่อยากรับรู้เรื่องเหล่านี้ และยิ่งไม่อยากลืมตามองคนเหล่านี้ผ่านเข้ามาทางประตูใหญ่ของจวนตวนชินอ๋อง แต่นางจะมีวิธีอะไรอีก? นางไม่มีวิธีอะไรเลย นางห้ามไทเฮาหาพระชายาคนใหม่ให้หลี่เย่ไม่ได้ นางเองก็ขัดขวางไทเฮาเพิ่มคนให้หลี่เย่ไม่ได้อีก


 


 


บางทีหลี่เย่อาจจะปฏิเสธได้ แต่หลังจากปฏิเสธแล้วเล่า? ไทเฮาจะยิ่งรู้สึกว่านางพูดกรอกหูหลี่เย่ นี่ถือว่าตกเข้าไปอยู่ในวังวนปิดตาย ไทเฮาจะยิ่งคิดว่านางมีอิทธิพลต่อหลี่เย่ ยิ่งคิดหาวิธีเพิ่มคนเข้ามาให้เขาเพื่อเบนความโปรดปราน ให้หลี่เย่ไม่ใส่นางขนาดนี้


 


 


ดังนั้นไม่มีกู้ซีก็มีคนอื่น แค่ประโยคเดียว นางไม่อาจขัดขวางได้แม้แต่น้อย นางจะอิจฉาหรือไม่พอใจอย่างไร แต่ก็ไม่มีทางขัดได้มิใช่หรือ? สิ่งเดียวที่นางทำได้ก็คือสงบจิตสงบใจ พยายามให้ตนเองเป็นคนแรกที่รู้ เพื่อจะได้ไม่ให้ตนเองถึงขั้นถูกปิดหูปิดตา หรือไร้เดียงสามากเกินไป


 


 


แน่นอนว่านางไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้กับหลี่เย่ ช่วงนี้ซินพานกลับเข้ามาในราชสำนักอีกครั้ง หลี่เย่เองก็ยุ่งจนหาเวลาไม่ได้ ดังนั้นนางจึงไม่อยากนำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในจวนไปรบกวนสมาธิหลี่เย่อีก ไม่ว่าไทเฮาจะส่งใครเข้ามา นางก็เพียงแค่รอเท่านั้น


 


 


วันนี้ถาวจวินหลันไปเยี่ยมเฉินฮูหยินด้วยตนเอง จุดประสงค์ก็ด้วยเรื่องหลักฐานที่ตระกูลเฉินบอกว่าจะช่วยหา


 


 


พอเข้าไปในบ้านตระกูลเฉินแล้ว ทุกคนก็พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถาวจวินหลันก็พูดตรงๆ ว่า “เรื่องที่เฉินฮูหยินพูดครั้งที่แล้วว่าขาดเพียงพยานคนสำคัญคนเดียว ไม่ทราบว่าสุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะพยายามขจัดชื่อขุนนางนักโทษของตระกูลออกไป”


 


 


ตอนนี้ภายในห้องมีเพียงแค่เฉินฮูหยิน นาง และถาวซินหลันเท่านั้น ฉะนั้นนางถึงได้กล้าถามตรงๆ


 


 


แต่เดิมนางคิดว่าถามเช่นนี้ เฉินฮูหยินจะตอบว่าพยานอยู่ระหว่างทางแล้ว หรือว่ารอโอกาสอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อคำพูดของนางดังออกไป ใบหน้าของเฉินฮูหยินจะเผยแววลำบากใจ


 


 


แม้แต่สีหน้าของถาวซินหลันก็ผิดปกติเช่นเดียวกัน


 


 


ถาวจวินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็นอะไรหรือเจ้าคะ? เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? เกิดเรื่องขึ้นกับพยานคนนั้นหรือเจ้าคะ?”


 


 


ก็ไม่แปลกที่นางจะคาดเดาเช่นนี้ หลักๆ เป็นเพราะท่าทีของเฉินฮูหยินและถาวซินหลันน่าสงสัย ทำให้นางอดคิดเลอะเทอะไม่ได้


 


 


เฉินฮูหยินถอนหายใจ มองไปทางถาวซินหลันทีหนึ่ง พูดว่า “เรื่องกลับตาลปัตรแล้ว เกรงว่าจะไม่ง่ายเช่นนั้น หลังจากข้าพูดกับเจ้า ระหว่างทางมานี่พยานคนนั้นก็ติดโรคระบาด ตายไปแล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงไป เอ่ยปากพูดตอบโต้ตามสัญชาตญาณ “เป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ?”


 


 


เฉินฮูหยินถอนหายใจ “ข้าจะโกหกเจ้าทำไม? ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นายท่านของพวกเราเขียนฎีกาไว้เรียบร้อยแล้ว รอแเค่เพียงคนนั้นมาถึงเมืองหลวงก็รื้อคดีขึ้นมาได้ แต่คิดไม่ถึงว่า…”


 


 


ถาวจวินหลันเม้มริมฝีปาก รู้สึกผิดหวังอย่างพูดไม่ถูก แม้แต่สีหน้าก็ไม่น่ามอง แต่ตอนนี้เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้นางผิดหวังก็แก้ไขไม่ได้ ดังนั้นสุดท้ายจึงหัวเราะขมขื่น “สุดท้ายก็ยังไม่ถึงเวลา” ดังนั้นแม้แต่สวรรค์ก็ยังไม่ยอมให้โอกาสนี้แก่พวกเขา


 


 


เฉินฮูหยินถอนหายใจเบาๆ “ต่อจากนี้ไปจะต้องมีโอกาสเป็นแน่ แต่จะต้องรออีกหน่อย” ไม่ต้องพูดถึงถาวจวินหลัน นางเองก็รู้สึกผิดหวังเช่นเดียวกัน อย่างไรเรื่องนี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยคาดหวังอยู่นานแล้ว แต่ดันเกิดเรื่องเช่นนี้กะทันหัน ใครบ้างไม่ผิดหวัง?


 


 


เหมือนกับที่ถาวจวินหลันพูด นี่หมายความว่าเวลายังมาไม่ถึงเท่านั้น สวรรค์ลิขิตเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็จนปัญญา


 


 


แต่เฉินฮูหยินก็ยังคงรู้สึกผิดต่อถาวจวินหลัน มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงพูดว่าตนเองมีธุระ แล้วปล่อยให้พี่น้องสองคนพูดคุยกัน


 


 


ถาวจวินหลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉับพลันก็เงยหน้ามองถาวซินหลัน “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมถึงปิดบังข้า?”


 


 


ถาวซินหลันไม่ได้ตอบ แต่หดคอลงด้วยความใจฝ่อ


 


 


ถาวจวินหลันเห็นนางเป็นเช่นนี้ไฉนเลยจะไม่เข้าใจ? พวกเขากลัวว่านางจะผิดหวัง ดังนั้นจึงตั้งใจปิดบัง ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้นางมาถาม ก็ไม่รู้ว่าจะปิดบังไปอีกนานเพียงใด


 


 


พอถอนหายใจแล้ว นางก็รู้ซึ้งถึงน้ำใจนี้ จึงไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


กลับเป็นถาวซินหลันกลัวว่านางจะคิดมาก จึงหาเรื่องมาพูดคุยอย่างล้มประดาตาย สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดเรื่องตระกูลข่ง “ท่านพี่ ท่านลองเดาดูว่าตอนนี้ตระกูลข่งเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่งถึงจะเข้าใจว่าตระกูลข่งที่ถาวซินหลันพูดถึงคือใคร ฉับพลันก็ขมวดคิ้ว พูดเสียงเย็น “พวกเขาจะเป็นเช่นไรแล้วเกี่ยวข้องกับพวกเราอย่างไร? อยู่ดีๆ พูดถึงพวกเขาทำไมกัน? ทำให้อารมณ์เสียเปล่าๆ”


 


 


ถาวจวินหลันไม่อยากฟังเรื่องตระกูลข่งนั่นอีก แล้วยิ่งไม่อยากรู้สถานการณ์ของตระกูลข่ง ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกการแต่งงานในตอนนั้น หรือว่าฝีมือสกปรกเจ้าเล่ห์หลังจากนั้นข่งอวี้ฮุยทำ ก็ทำให้นางนึกรังเกียจมาก 

 

 


บทที่ 479 กรรมตามสนอง

 

ถาวซินหลันกลับหัวเราะเสียงดัง “ท่านพี่ข่งอวี้ฮุยเขาตายแล้วเจ้าค่ะ! ติดโรคระบาดตาย! ตอนที่โรคระบาดแพร่กระจาย เขาบังเอิญออกไปนอกเมืองพอดี สรุปว่าติดโรคกลับมา ยังไม่ทันรอสูตรยาออกมา ข่งอวี้ฮุยก็ตายไปเสียแล้ว! ท่านว่านี่เป็นเพราะกรรมตามสนองหรือไม่เจ้าคะ!?”


 


 


ถาวจวินหลันตะลึงไป แล้วก็หัวเราะเสียงเย็น “ย่อมต้องเป็นกรรมตามสนอง สมควรแล้ว” ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกสบายใจก็แผ่ซ่านมาจากก้นบึ้งใจ ทำให้นางโล่งใจมาก


 


 


พูดตามจริง นางเคยรังเกียจข่งอวี้ฮุยจนอยากให้ไปตาย แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าถ้านางตั้งใจเป็นปฏิปักษ์กับข่งอวี้ฮุย คงจะทำให้คนอื่นคิดว่าที่นางรังเกียจข่งอวี้ฮุยมากเช่นนี้เป็นเพราะความรัก ดังนั้นจึงไม่ได้จงใจทำอะไร คิดไม่ถึงว่าแม้แต่สวรรค์ก็ยังไม่ชอบหน้าข่งอวี้ฮุย ลิขิตว่าต้องจัดการเขา!


 


 


“ตระกูลข่งต้องพึ่งพิงข่งอวี้ฮุยทั้งนั้น เขาตายไปเช่นนี้ ภายในสิบปีตระกูลข่งอย่าได้คิดจะกลับตัวมาใหม่เลย” ถาวจวินหลันพูดไปพลางหัวเราะไปพลาง รอยยิ้มนั้นเยียบเย็นอย่างบอกไม่ถูก “ลูกชายที่ซุนเฟยเฟยคลอดมาเพิ่งจะสองขวบเองมิใช่หรือ”


 


 


ตระกูลข่งต้องเสื่อมถอยเป็นเรื่องที่แน่นอน เป็นกรรมตามสนองอย่างที่คาดไว้ ตอนนั้นเพื่อเกียรติยศเงินทอง ตระกูลถึงทอดทิ้งตระกูลนาง ตอนนี้มีจุดจบเช่นนี้ถือว่าปักมีดบาดหัวใจของพวกเขาเอง           


 


 


แต่พวกนั้นก็สมควรโดนแล้ว


 


 


“ข้ากำชับเฉินฟู่ไปแล้ว ให้ดูแลพวกเขาให้ดี แม้จะบอกว่าพวกเขายังไม่ได้ออกจากราชสำนัก ไม่ได้มีเกียรติยศเป็นขุนนาง แต่พวกเขาก็ยังมีทรัพย์สินเงินทองไม่น้อย พอให้พวกเขามีชีวิตสุขสบาย ข้าอยากให้พวกเขาค่อยๆ ล่มจม ชดใช้สิ่งที่พวกเราเคยประสบมาก่อนเจ้าค่ะ” ถาวซินหลันพูดอย่างโหดเ**้ยม ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


 


 


ถาวจวินหลันเข้าใจความรู้สึกของถาวซินหลัน ความจริงแล้วนางคิดว่าทำเช่นนี้ช่างเหมาะสมนัก จึงไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อม แต่กลับเตือนว่า “จักทำอะไรก็อย่าโจ่งแจ้งนัก อย่าทำให้พวกเราต้องเสียชื่อเสียง”


 


 


ถาวซินหลันหัวเราะน้อยๆ “ท่านพี่วางใจเถิดเจ้าค่ะ แม้เฉินฟู่จะไม่คล่องแคล่วในเรื่องนี้นัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พลาดไป อีกอย่างหนึ่งตัวเป็นลูกเขยของตระกูลถาว เขาก็ควรต้องออกแรงบ้าง เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพี่ใหญ่ มิเช่นนั้นพี่ใหญ่คงลงมือเอง เกรงว่ายามนั้นตระกูลข่งคงไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูกเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็เม้มปากหัวเราะ พลางส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ต้องบอกพี่ใหญ่ของเจ้าหรอก ตอนนี้ทางที่ดีอย่าให้เขาเสียสมาธิ อีกอย่างเรื่องเช่นนี้ไม่ควรให้เขาลงมือ ที่สำคัญที่สุดก็คือแค่ให้พวกเขาตายคงง่ายเกินไป”


 


 


ใช้ชีวิตอยู่อย่างทรมาน เหมือนตกนรกยิ่งกว่าตายไปสบายๆ นางอยากให้ตระกูลข่งมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อชดใช้กรรมที่ทำเอาไว้


 


 


ฉับพลันนั้น ถาวจวินหลันก็ใจกระตุกวูบ หรี่ตาลงพูดว่า “เจ้าว่า คนตระกูลข่งจะรู้เบื้องหลังหรือไม่? ตอนนั้นตระกูลข่งเปิดเผยท่านพ่อก็น่าจะเป็นเพราะมีคนชักใย หากเปิดปากคนตระกูลข่งได้ ก็อาจจะพลิกคดีได้เช่นกัน” เมื่อพูดเช่นนี้ตัวนางก็เริ่มตื่นเต้น


 


 


หากทำได้ ก็เท่ากับนางมีความหวังใหม่อีกครั้ง


 


 


ถาวซินหลันครุ่นคิด ใบหน้าเริ่มแสดงอาการตื่นเต้น “บางทีเรื่องนี้อาจเป็นไปได้เจ้าค่ะ พวกเราสามารถคิดหาวิธีได้”


 


 


ทั้งสองคนปรึกษาหารือเรื่องนี้อย่างรอบคอบ


 


 


ขณะที่ถาวจวินหลันผ่านถนนเส้นหนึ่งกลับจวน นางก็คิดบางอย่างออก จึงบอกชื่อถนนให้คนบังคับรถม้าอ้อมไป นางอยากจะไปดูสักหน่อย


 


 


ชื่อถนนที่นางบอกเป็นถนนที่บ้านตระกูลข่งตั้งอยู่ ไม่เพียงแค่ตระกูลข่ง ที่จริงแล้วบ้านเดิมของตระกูลถาวก็อาศัยอยู่บนถนนเส้นนั้น


 


 


รถม้าวิ่งตรงไปเรื่อยๆ ถาวจวินหลันก็เริ่มสับสนวุ่นวาย นานมาแล้วที่นางไม่ได้นึกถึงบ้านเดิมของตระกูลข่งและตระกูลถาว แต่เพราะคำพูดของถาวซินหลัน ความทรงจำในอดีตจึงพุ่งขึ้นเหมือนสายน้ำไหล


 


 


พอถึงจุดหมายปลายทาง ถาวจวินหลันไม่ได้ลงจากรถม้า เพียงแค่ให้จอดเอาไว้ข้างถนน ให้นางนั่งนิ่งๆ ครู่หนึ่ง


 


 


แม้ชุ่นฮุ่ยกับบ่าวรับใช้คนอื่นและคนบังคับม้าจะรู้สึกอึดอัดใจ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทุกคนดูออก ว่าถาวจวินหลันอารมณ์ไม่ค่อยดี


 


 


เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ถาวจวินหลันก็เปิดม่านเหลือบดูประตูใหญ่ของบ้านตระกูลข่งทีหนึ่ง เห็นบนประตูแขวนโคมไฟสีขาวเอาไว้ คำกลอนสีขาวที่แปะเอาไว้ก็ดูเลอะเลือน จึงรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย


 


 


มีความพอใจ มีความเหม่อลอย และยังมีความเศร้าอย่างแปลกประหลาด นางคิดไม่ถึงว่าข่งอวี้ฮุยจะตายง่ายแบบนี้ นางยังไม่ได้แก้แค้นอะไร เขาก็ตายไปเสียแล้ว ทำให้ความเกลียดในใจของนางยังไม่ได้ระบายออกมาแม้แต่น้อย


 


 


ตอนที่กำลังเหม่อลอย ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงร้องไห้ เมื่อหันหน้าไปดูก็พบว่าบริเวณหน้าประตูใหญ่ของบ้านตระกูลข่งมีสตรีกลุ่มหนึ่งนั่ง ขดตัวอยู่มุมหนึ่ง ร้องไห้เสียงเบา แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวและจนตรอก


 


 


ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว สั่งชุนฮุ่ย “เจ้าไปถามดูว่าผู้หญิงพวกนั้นเป็นอะไร ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ร้องเสียใจขนาดนั้น”


 


 


ผ่านไปไม่นานชุนฮุ่ยก็กลับมา รายงานเสียงเบา “คนเหล่านั้นเป็นอนุภรรยาของตระกูลข่งเจ้าค่ะ เพราะว่านายท่านของบ้านตระกูลข่งเสียไปแล้ว นายหญิงของตระกูลข่งจึงไล่อนุภรรยาที่ไม่เคยตั้งครรภ์ออกมาทั้งหมด บอกว่าไม่เลี้ยงดูคนไม่มีหน้าที่เจ้าค่ะ”


 


 


“แค่ไล่ออกมาอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันยกริมฝีปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ข้าคิดว่าจากนิสัยของนางแล้ว จะขายคนไปเสียอีก คิดไม่ถึงว่าแค่ไล่ออกมาเท่านั้น ถือว่านางมีเมตตาแล้ว”


 


 


“ล้วนเคยรับใช้เจ้านายมาก่อน หากขายออกไปก็ดูไร้เยื่อใยไปหน่อยมิใช่หรือเจ้าคะ? ที่สำคัญที่สุดก็คือไล่ออกมาเช่นนี้ สำหรับข้างนอกนั้นยังพูดได้ว่าปล่อยคนออกมาเพื่อให้แต่งงานใหม่ ไม่ทำให้ผิดเรื่อง แล้วยังได้ชื่อเสียงดีนะเจ้าคะ” ชุนฮุ่ยเบะปากมีท่าทีดูหมิ่น “แต่ไล่คนออกมาเช่นนี้ แม้แต่เงินเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีให้ ช่างตระหนี่เสียเหลือเกิน ก่อนนี้ยังเป็นตระกูลขุนนางอยู่แท้ๆ”


 


 


ถาวจวินหลันหัวเราะ “แต่เดิมตระกูลข่งก็ไม่ใช่ตระกูลร่ำรวยอยู่แล้ว ยามนี้ซุยเฟยเฟยคงเก็บไฟโกรธอยู่ นางไม่พอใจก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะได้สบายใจ”


 


 


ซุนเฟยเฟยไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้น


 


 


“มีอี๋เหนียงคนหนึ่งบอกว่าตั้งครรภ์สองเดือนแล้วเจ้าค่ะ” ชุนฮุ่ยพูดเสียงเบา “ไม่รู้ว่าฮูหยินคนนั้นจงใจไม่อยากมีเด็กเพิ่มมาแบ่งสมบัติถึงตั้งใจทำเช่นนี้หรือไม่”


 


 


ถาวจวินกลันเลิกคิ้วเล็กน้อย ตั้งครรภ์หรือ? เช่นนั้นก็น่าสนใจยิ่ง


 


 


“ไป เอาเงินให้พวกนางทุกคน คนละสองตำลึง คนที่ตั้งครรภ์ให้ไปสิบสองตำลึง ให้ทางทำมาหากินกับพวกนาง” คิดอยู่ครู่หนึ่งถาวจวินหลันก็สั่งชุนฮุ่ย แม้จะบอกว่านางเห็นแก่ตัวอยู่ แต่ก็ถือว่าสั่งสมบุญ สตรีมากมายขนาดนั้น หากต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว แม้แต่อยากจะกินข้าวก็ยังยาก แม้นเงินสองตำลึงไม่นับว่าเยอะ แต่ก็พอผ่านช่วงยากลำบากไปได้ จัดการตนเองก่อน แล้วค่อยหาช่องทางทำมาหากิน ก็ถือว่ารอดไปได้แล้ว


 


 


คนที่ตั้งครรภ์ถึงเป็นความตั้งใจที่แท้จริงของนาง ตอนนี้สายเลือดของข่งอวี้ฮุยมีเพียงเด็กที่เกิดจากซุนเฟยเฟยเท่านั้น แต่ถ้าเพิ่มอีกคนหนึ่งเล่า? ตระกูลข่งจะใส่ใจหรือไม่?


 


 


ขอเพียงแค่เรื่องการตั้งครรภ์เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นตระกูลข่งจะต้องใส่ใจเป็นแน่ แล้วหากนางใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ตระกูลข่งเล่า? ตระกูลข่งจะเป็นเช่นไร?


 


 


นี่อาจเป็นวิธีสกปรกไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เห็นผล และเมื่อเด็กคนนี้คลอดออกมาจะต้องทำให้ซุนเฟยเฟยไม่พอใจแน่นอน


 


 


นางยังจำสิ่งที่ซุนเฟยเฟยปฏิบัติต่อนางได้ดี นางไม่จำเป็นต้องทำรุนแรงเกินไป เพียงแค่ทำให้ซุนเฟยเฟยอารมณ์เสียก็พอแล้ว


 


 


พอชุนฮุ่ยให้เงินเสร็จเดินกลับมาแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่รั้งอยู่อีก


 


 


กลับเป็นผู้หญิงที่ได้เงินไปสิบสองตำลึงนั้นวิ่งตามมาอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “ฮูหยินได้โปรดรอข้าก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันแต่เดิมไม่คิดสนใจ ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมแพ้ ด้วยกลัวว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปผู้หญิงคนนั้นจะแท้งลูก สุดท้ายแล้วนางจึงเรียกให้หยุดรถม้า


 


 


นางมองไปยังชุนฮุ่ย แสดงท่าทีให้ชุนฮุ่ยเปิดปากพูด


 


 


ชุนฮุ่ยเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงพูดออกมาว่า “ทำไมหรือ ให้เจ้าไปสิบสองตำลึงยังไม่รู้จักพออีกหรือไร คิดอยากได้มากกว่านี้อีกหรือ?” นางจงใจพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้คนลำบากใจจนยอมแพ้ไป


 


 


ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกลับคุกเข่าลงบนพื้น พูดเสียงดังว่า “ข้าไม่ต้องการเงิน ขอเพียงฮูหยินรับข้าไปดูแลสักสองสามเดือน รอจนข้าคลอดลูกออกมาก็พอแล้วเจ้าค่ะ! ไม่ว่าถึงตอนนั้นฮูหยินจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะไม่บ่นแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ!”


 


 


ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว พูดกระซิบข้างหูชุนฮุ่ยเล็กน้อย


 


 


ชุนฮุ่ยก็พูดไปว่า “คำพูดของเจ้าช่างน่าขันนัก ฮูหยินของข้ามีฐานะสูงส่ง จะวางแผนทำอะไรกับเจ้าได้?”


 


 


สตรีนางนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ฉับพลันก็พูดขึ้นว่า “ถ้าไม่มีแผนแล้วจะให้เงินข้ามากมายขนาดนี้ทำไมเล่าเจ้าคะ? แม้ข้าจะไม่รู้ว่าฮูหยินมีแผนอะไร แต่ไม่ว่าฮูหยินจะมีเรื่องอะไร ข้าก็ยินยอมทำให้ฮูหยินบรรลุจุดประสงค์เจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น ก็เลิกคิ้วมทันที นางคิดไม่ถึงว่าสตรีนางนั้นจะหัวไวเช่นนี้ เพียงแค่เงินจำนวนหนึ่งก็คาดเดาความตั้งใจของนางได้แล้ว


 


 


แต่นางไม่มีทางยอมรับอย่างง่ายดาย จึงสั่งชุนฮุ่ยอีกเล็กน้อย


 


 


ชุนฮุ่ยจึงลงจากรถม้ามาเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวสองสามคำ หลังจากถ่ายทอดคำพูดของถาวจวินหลันไปแล้ว ก็จัดการที่อยู่ให้กับผู้หญิงคนนั้น


 


 


พอกลับไปยังจวนตวนชินอ๋องแล้ว ชุนฮุ่ยก็พูดว่า “บ่าวพาตัวหญิงชราที่พึ่งพาได้มาคนหนึ่งเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า “เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ มีเรื่องอะไรก็ค่อยมาบอกข้า” แม้จะบอกว่ามีประโยชน์ แต่สุดท้ายก็ไม่ต้องเก็บมาคิดมากนัก


 


 


“คนนั้นดูแล้วรู้เรื่องดีมากเจ้าค่ะ” ชุนฮุ่ยคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะเชื่อใจตนเองง่ายดายเช่นนี้ จึงยิ้มอย่างตื่นตกใจ แล้วก็พูดว่า “ไม่ว่าจะจัดการให้นางทำอะไร พักที่ไหน ก็ไม่บ่นแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันเพียงแค่ยิ้มปล่อยผ่านไป สถานการณ์เช่นนี้ฝ่ายตรงข้ามยังต้องเรื่องมากอะไรอีก? หากไม่มีนางปกป้อง ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องพูดถึงคลอดลูก แม้แต่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อก็ยังยาก


 


 


ขณะพูด ก็คิดบางอย่างได้ จึงพูดว่า “เรื่องวันนี้ไม่ต้องบอกท่านอ๋อง”


 


 


ชุนฮุ่ยรับคำเสียงเบา แล้วถอยอกไป ถาวจวินหลันกลับไปดูหมิงจูและซวนเอ๋อร์ อยู่เล่นกับพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง รอจนหลี่เย่กลับมา ทั้งครอบครัวก็ร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันอย่างสนุกสนาน


 


 


แต่ไม่รู้ว่าทำไมถาวจวินหลันถึงได้รู้สึกว่าหลี่เย่ดูผิดปกติ เขาเหลือบมองนางบ่อยๆ ทำไมกัน? 

 

 


บทที่ 480 รอบคอบ

 

ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้มีไปจนถึงตอนดึกหลังจากกล่อมเด็กทั้งสองคนหลับ และทั้งสองคนไปอาบน้ำขึ้นเตียงนอนแล้ว ถาวจวินหลันคิดว่าไม่ถามคงดีกว่า แต่คิดไปมาก็เอ่ยปากพูดว่า “วันนี้ท่านเป็นอะไรหรือ? ทำไมถึงมองข้าบ่อยๆ เล่า? หรือว่ามีดอกไม้ติดหน้าข้า?”


 


 


หลี่เย่ไอออกมาเบาๆ คล้ายอยากหัวเราะเพราะคำพูดติดตลกของนาง แล้วก็ได้ยินนางพูดว่า “ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าไปบ้านตระกูลเฉินอย่างนั้นหรือ? เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเขาถามเช่นนั้น ก็เข้าใจทันที เกรงว่าเขาคงรู้แล้วว่าเรื่องพลิกคดีต้องล่าช้าออกไปอีก กังวลว่านางจะรู้สึกผิดหวังใช่หรือไม่?


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ ก็อธิบายการกระทำเหลือบมองนางบ่อยๆ ของหลี่เย่ได้แล้ว นางพลันรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่าน จึงยิ้มและพูดว่า “เพคะ ไปที่ตระกูลเฉินมารอบหนึ่ง ไปถามเรื่องพยาน ใครจะรู้ว่าคนนั้นติดโรคระบาดเสียชีวิต ช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน ข้าผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็จนปัญญาเพคะ”


 


 


หลี่เย่นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดปลอบว่า “ต้องมีโอกาสอีกแน่นอน”


 


 


ถาวจวินหลันรับคำ “เพคะ” แต่กลับเขยิบเข้าไปใกล้หลี่เย่มากขึ้น พูดตามจริง ความรอบคอบละเอียดอ่อนของหลี่เย่ที่คิดถึงนาง ก็ให้นางมีความสุขมาก ถ้าเทียบกับคู่สามีภรรยาที่ตื่นเช้ามาวาดคิ้ว เทียบกับคู่สามีภรรยาที่ลุกขึ้นมามวยผมแบบที่นิยมกัน นางกลับรู้สึกว่าหลี่เย่เอาใส่ใจนางขนาดนี้มีความสุขกว่าสิ่งเหล่านั้นหลายเท่า


 


 


“ไม่มีเรื่องอื่นแล้วใช่หรือไม่?” หลี่เย่โอบถาวจวินหลันไว้ในอ้อมกอด และตบไหล่เบาๆ


 


 


ถาวจวินหลันตะลึงไป ตอบว่า “จะมีเรื่องอะไรได้อีก ไม่มีอะไรแล้วเพคะ” พอพูดออกไปแล้ว นางพลันคิดถึงเรื่องที่วันนี้ไปถนนบ้านตระกูลข่งมา ฉับพลันก็เริ่มใจฝ่อ หรือว่าที่หลี่เย่ถามคือเรื่องนี้? เขารู้แล้วอย่างนั้นหรือ?


 


 


แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว นางคิดว่าเป็นไปไม่ได้ นางสั่งทุกคนแล้วว่าไม่ให้พูดออกไป หลี่เย่น่าจะไม่รู้เรื่อง และเรื่องเล็กเช่นนี้ก็ไม่ควรค่าแก่ความสนใจของเขา


 


 


ถาวจวินหลันไม่เคยคิดว่าหลี่เย่จะหึงหวง หลี่เย่เองก็เป็นผู้ชาย มีนิสัยแบบผู้ชาย นั่นก็คือคาดหวังให้ผู้หญิงของตนเองรักเดียวใจเดียว ไม่ต้องพูดถึงพบหน้าหรือไปดู แค่คิดก็ไม่อยากให้คิดถึงชายอื่น


 


 


หลังจากนั้นหลี่เย่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ผ่านไปนานก็พูดเสียงเบาว่า “นอนเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว”


 


 


เพียงไม่นาน ทั้งสองก็ไม่พูดจากัน จนหลับไปอย่างเงียบๆ แต่ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าที่จริงแล้วผ่านไปนานหลี่เย่ก็ยังนอนไม่หลับ ลืมตามองเพดานมุ้งกว่าค่อนคืน


 


 


เรื่องการพลิกคดีต้องไร้ความหวังอีกแล้ว แม้ถาวจวินหลันจะผิดหวัง แต่ก็เก็บความรู้สึกนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจ ที่จริงแล้วที่นางผิดหวังไม่ใช่เพียงเพราะยังพ้นโทษขุนนางนักโทษไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งก็เพราะนางสูญเสียคุณสมบัติเข้าถึงตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋องไปโดยสิ้นเชิง


 


 


นางย่อมเข้าใจเหตุผลว่าไม่อาจไปบีบบังคับได้ ดังนั้นแม้จะผิดหวังเสียใจ ก็ยังต้องปรับสมดุลท่าทีให้เร็วที่สุด แล้วเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่เรื่องอื่น


 


 


ถาวจวินหลันอยากจะพบหยวนฉงหวา ดังนั้นวันนี้จึงพาซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวงมาทำความเคารพไทเฮา แต่นางไม่ได้พาหมิงจูมาด้วย ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว นางกลัวว่าหมิงจูร่างกายอ่อนแอจะรับไม่ไหว


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะซวนเอ๋อร์ผ่านเรื่องราวมามากมาย จึงเข้าใจเรื่องราวมากกว่าคนอื่นอยู่หลายส่วน และเชื่อฟังนางเป็นพิเศษ ขอแค่มีนางอยู่ เขาเองก็ชอบอยู่ติดนาง


 


 


มีบางครั้งที่ถาวจวินหลันคิดแล้วเจ็บปวดใจ บางทีอาจเพราะซวนเอ๋อร์กลัวว่านางจะส่งเขาออกไปอีก


 


 


“ซวนเอ๋อร์ อีกครู่หนึ่งจะไปพบเสด็จทวด เจ้าจะเสียงดังไม่ได้ ตอนนี้ท่านสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ไปแล้วเจ้าก็จะต้องให้นางกินยา แล้วค่อยเอาลูกอมถั่วของเจ้าให้เสด็จทวดกินดีหรือไม่?” ตอนนี้นางอุ้มซวนเอ๋อร์ไม่ไหวแล้ว ยังดีที่ขาของซวนเอ๋อร์มีแรงเดินมาพร้อมนางได้ ตอนนี้นางจูงซวนเอ๋อร์ พลางพูดสอนเขา


 


 


สองวันมานี้ไทเฮาไม่สบาย ตอนนี้ก็ยังไม่หาย อย่างแรกเป็นเพราะว่าไทเฮาบอกว่ายาขมจึงไม่กิน อย่างที่สองเพราะอายุมากแล้วร่างกายไม่เหมือนเมื่อก่อน


 


 


ถาวจวินหลันคิดว่าหากให้ซวนเอ๋อร์ไปเกลี้ยกล่อมไทเฮา ไทเฮาอาจจะยอมฟังบ้าง อีกทั้งซวนเอ๋อร์ยังอายุน้อย พูดไปแล้วก็ไม่ทำให้ไทเฮาเสียหน้ามิใช่หรืออย่างไร?


 


 


เมื่อเข้าไปในวังหย่งโซ่ว ถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่าอี้เฟยและอี๋เฟยต่างมาวังหย่งโซ่วเพื่อเยี่ยมดูไทเฮา


 


 


จางหมัวหมัวออกมาต้อนรับถาวจวินหลันด้วยตนเอง แล้วเอ่ยเตือนเสียงเบา “ภายในนั้นอย่าเสนอตัว อีกครู่หนึ่งชายารองอย่าพูดอะไรนะเจ้าคะ”


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า หันไปขอบคุณจางหมัวหมัว “ขอบคุณหมัวหมัวที่เอ่ยเตือน”


 


 


จางหมัวหมัวหัวเราะ ถามอีกว่า “ซินหลัน เจ้าเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


“เมื่อวานนี้ข้าไปบ้านตระกูลเฉินมารอบหนึ่ง ดูท่าทางใช้ได้เลยทีเดียว แม่สามีเอ็นดูนางมาก ข้าว่านางมีความสุขแล้ว” ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะตอบ ในใจนั้นรำพันอีกครั้งหนึ่ง จางหมัวหมัวเอ็นดูซินหลันมาก เพราะเรื่องนี้ตัวนางเองก็พลอยโชคดีไปด้วย เช่นในวันนี้ที่จางหมัวหมัวเอ่ยเตือนนาง พูดตรงๆ แล้วนอกจากไว้หน้าซวนเอ๋อร์แล้ว ก็เป็นการคำนึงถึงหน้าตาของถาวซินหลันด้วยเช่นกัน


 


 


เมื่อเข้าไปภายในห้อง ถาวจวินหลันก็เห็นอี๋เฟยที่สวมกระโปรงลายใบเฟิงสีแดงและอี้เฟยที่สวมกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเล ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสีสันแยงสายตาเกินไปบ้าง ไทเฮายังป่วยอยู่ พวกนางกลับใช้ชุดสีสันสดใสเช่นนี้แล้ว ไม่ผิดกาลเทศะไปหน่อยหรือ?


 


 


พอดึงสายตากลับมา ถาวจวินหลันก็หันไปทำความเคารพไทเฮาอย่างเรียบร้อย แล้วก็หันไปพยักหน้าทักทายอี๋เฟยและอี้เฟย “อี๋เฟยเหนียงเหนียง อี้เฟยเหนียงเหนียง”


 


 


อี้เฟยเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้ว แต่เป็นอี๋เฟยที่กระตือรือร้น “ชายารองถาวพาซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวงมาอีกแล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันฟังคำพูดนี้แล้วรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็เพียงยิ้มน้อยๆ เท่านั้น จูงมือซวนเอ๋อร์ไปหน้าเตียงของไทเฮาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


ซวนเอ๋อร์เรียกเสียงเบา “เสด็จทวด”


 


 


แม้จะบอกว่าไทเฮาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงนัก แต่ก็ยังยิ้มพลางตอบรับออกมาเสียงดัง และถามซวนเอ๋อร์ว่า “ด้านนอกหนาวหรือไม่?”


 


 


ซวนเอ๋อร์ส่ายหน้า “ด้านนอกมีดอกไม้บานเต็มเลย เสด็จทวดรีบไปดูเร็วเข้า”


 


 


ที่ซวนเอ๋อร์พูดถึงคือดอกเบญจมาศ ในตอนนี้แม้ว่าจะเข้าสู่เทศกาลฉงหยาง* แล้ว แต่ดอกเบญจมาศก็ไม่มีท่าทีจะร่วงโรย ออกดอกเป็นอย่างดี ภายในวังของไทเฮามีประดับเอาไว้ไม่น้อย


 


 


ไทเฮาหัวเราะตอบรับ “ดี” พลางแสดงท่าทีให้จางหมัวหมัวพาซวนเอ๋อร์ขึ้นมานั่งบนเตียง


 


 


ซวนเอ๋อร์เรียนกฎเกณฑ์มาไม่น้อย นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างถูกต้องตามระเบียบ ใบหน้าเคร่งขรึม “ได้ยินว่าเสด็จทวดไม่ทานยา เพราะว่ากลัว?”


 


 


นี่ไม่เหมือนกับที่ถาวจวินหลันสอนเอาไว้ ถาวจวินหลันพลันก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิดว่าคนอื่นคงคิดว่านางพูดกับซวนเอ๋อร์ว่าไทเฮาไม่ยอมกินยา


 


 


ไทเฮาเหลือบมองนางอย่างคาดไว้ แต่สายตาไม่ถือว่าตำหนิ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ถาวจวินหลันก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี


 


 


ซวนเอ๋อร์ไม่รอให้ไทเฮาตอบ ก็ควักถั่วหวานเม็ดหนึ่งมาจากในกระเป๋าพก เอียงตัวยื่นเข้าไปข้างปากของไทเฮา ยิ้มหรี่ตาพลางพูดว่า “ท่านแม่ทำให้ หวานมาก กินอันนี้แล้วไม่ต้องกลัวขม”


 


 


ซวนเอ๋อร์ยิ้มอย่างจริงใจ ไทเฮาเองก็ไว้หน้ามาก อ้าปากอมเอาไว้ โอบซวนเอ๋อร์พลางหัวเราะพูดว่า “เด็กน้อย กตัญญูเสียจริง”


 


 


ซวนเอ๋อร์ถูกชมทำให้รอยยิ้มสดใสมากกว่าเดิม และยิ่งมีชีวชีวาขึ้นมา เขาเอ่ยปากสั่งว่า “เอาถาดมา”


 


 


ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะทำอะไร จางหมัวหมัวคิดแล้วจึงหยิบถาดที่มีของว่างไปให้ ภายในนั้นยังมีขนมอยู่สองชิ้น


 


 


ซวนเอ๋อร์มองถาดทีหนึ่ง จากนั้นก็หยิบขนมขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ ชิ้นหนึ่งส่งเข้าปากตนเอง อีกชิ้นหนึ่งยื่นไปข้างปากไทเฮา “ทาน”


 


 


ไทเฮาเห็นว่าซวนเอ๋อร์คิดแบ่งให้นางชิ้นหนึ่ง ก็หัวเราะอ้าปากรับขนมเอาไว้ ขนมภายในวังหลวงแต่ละชนิดทำอย่าประดิดประดอย ขนมสองชิ้นนี้ขนาดเล็กพอๆ กับฝ่ามือของหมิงจู ก็เพื่อให้กินได้หมดภายในคำเดียว


 


 


หลังจากถาดว่างแล้ว ซวนเอ๋อร์ก็พยายามออกแรงหยิบกระเป๋าพกออกมา และเปิดปากกระเป๋า หยิบถั่วหวานออกมาวางบนถาดทีละเม็ด พอหยิบครบสิบเม็ดแล้ว ก็ไม่หยิบออกมาอีก ยิ้มพลางพูดว่า “ทานยาแล้วก็ทานลูกอม”


 


 


ทุกคนเข้าใจทันที ที่จริงแล้วถาดเอามาเพื่อใส่ลูกอมถั่ว ไม่ได้กินของหวาน


 


 


แม้แต่ถาวจวินหลันก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เด็กน้อย ทำอะไรกับดูวางท่าวางทาง ช่างน่าขันเสียจริง


 


 


ไทเฮาหัวเราะ จากนั้นก็โอบซวนเอ๋อร์เอาไว้ไม่ปล่อย “เจ้าเอาใจเช่นนี้ ข้าจะทำใจให้เจ้ากลับไปได้อย่างไร! อยู่เป็นเพื่อนทวดเลยดีกว่า“


 


 


แล้วซวนเอ๋อร์ก็เริ่มลังเล มองดูถาวจวินหลัน ก่อนส่ายหน้าอย่างมุ่งมั่น


 


 


ไทเฮาขมวดคิ้ว “หืม ทำไมซวนเอ๋อร์ถึงไม่อยู่กับทวดเล่า? ทำไมหรือ?”


 


 


ซวนเอ๋อร์โอบไทเฮา พูดเสียงเบาว่า “กลับไปดูน้องพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันส่งเสียงหัวเราะ “ตอนนี้ซวนเอ๋อร์ไปเล่นกับน้องทุกวันเพคะ เพิ่งจะโตได้ไม่เท่าไรก็รู้ว่าจะต้องเฝ้าหมิงจูนอน ไม่ให้ยุงมากัดน้องเพคะ”


 


 


ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “ตอนที่อยู่ในวังหลวงสองสามวันนั้นข้าเองก็สังเกตเห็นแล้ว นี่เป็นเรื่องดี ซวนเอ๋อร์เอ็นดูน้องสาว บอกได้ว่าเขาเป็นคนมีเมตตา และมีความรับผิดชอบ”


 


 


ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก ซวนเอ๋อร์เป็นลูกชายของนาง คนอื่นชื่นชมได้ แต่หากนางชมก็เหมือนกับว่าอัฐิยายซื้อขนมยาย


 


 


กลับเป็นอี๋เฟยที่รับคำ หัวเราะและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นในอนาคตพอองค์ชายเก้าโตแล้ว ก็ให้ซวนเอ๋อร์พาเขาไปเล่น”


 


 


ไทเฮามองไปทางอี๋เฟย “รอองค์ชายเก้าเดินได้วิ่งได้ ซวนเอ๋อร์ก็คงจะเรียนหนังสือแล้ว อีกอย่างไม่ได้อยู่ที่เดียวกันแล้วจะมาเล่นด้วยกันได้อย่างไร”


 


 


ไทเฮาบอกเป็นนัยว่าไม่ยินยอมให้ซวนเอ๋อร์เล่นกับองค์ชายเก้า ถึงได้จงใจพูดเช่นนั้น


 


 


อี๋เฟยเห็นว่าไทเฮาไม่พอใจ ฉับพลันนั้นก็เงียบไม่พูดอะไร


 


 


ในเวลาจู่ๆ อี้เฟยก็หัวเราะ “ซวนเอ๋อร์น่ารักเสียจริง ไม่ต้องเป็นองค์ไทเฮา แม้แต่ข้าเองก็ทำใจให้ซวนเอ๋อร์ไปไม่ได้ ซวนเอ๋อร์กล่อมให้ไทเฮาเสวยโอสถได้ ข้าว่าอยู่ในวังหลวงไปก่อนคงดีกว่า หากไม่มีคนกล่อม ไทเฮาคงไม่ยอมเสวยโอสถอีก ข้าเชื่อว่า ซวนเอ๋อร์คอยอยู่ข้างๆ ไทเฮาจะต้องเสวยโอสถเป็นแน่”


 


 


ท่าทีของไทเฮาที่มีต่ออี้เฟยนั้นดีกว่ามาก เมื่ออี้เฟยพูดหยอกเย้า ไทเฮาก็หัวเราะกล่าวว่า “เจ้าคนเจ้าเล่ห์”


 


 


ตอนที่กำลังพูดคุยกัน นางกำนัลที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามารายงาน “ฮ่องเต้เสด็จมาเพคะ”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ถาวจวินหลันก็เข้าใจทันทีว่าทำไมมาเยี่ยมไข้แท้ๆ แต่ทั้งสองคนกลับแต่งกายมีสีสันนัก


 


 


*เทศกาลฉงหยาง (重阳节) เทศกาลที่ตัดขึ้นในวันที่9 เดือน 9 

 

 


บทที่ 481 ข่าวลับ

 

ฮ่องเต้เสด็จมา ถาวจวินหลันก็รีบอุ้มซวนเอ๋อร์ลงมายืนให้ดี จากนั้นเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เข้ามาแล้วก็ดึงซวนเอ๋อร์ให้ทำความเคารพ ซวนเอ๋อร์ทำความเคารพไม่ค่อยเรียบร้อยนัก เอนเอียงไปมา แต่ก็ยังพอถือว่าผ่านไปได้


 


 


ฮ่องเต้มองไปทางซวนเอ๋อร์ ฉับพลันก็หัวเราะ “ซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวงมาอีกแล้วหรือ?” จากนั้นก็หันไปทำความเคารพไทเฮา พลางอุ้มซวนเอ๋อร์ขึ้นมาและนั่งลงข้างเตียง


 


 


ถาวจวินหลันยืนอยู่ข้างๆ ทำเป็นไม่มีตัวตน กลับเป็นอี๋เฟยและอี้เฟยที่ก้าวขึ้นไปหา


 


 


“ไทเฮาดีขึ้นแล้วหรือยัง?” ฮ่องเต้ถามอย่างเป็นกังวล และสังเกตเห็นลูกอมถั่วบนโต๊ะ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ซวนเอ๋อร์มาขอลูกอมกินอีกแล้วหรือ? อย่าให้กินลูกอมมากนักเลย มิเช่นนั้นต่อจากนี้ไปจะไม่ดีกับฟัน”


 


 


อี๋เฟยหัวเราะพลางพูดตอบ “ใช่ซวนเอ๋อร์ขอลูกอมเสียที่ไหนเล่าเพคะ อันนี้ซวนเอ๋อร์แบ่งลูกอมให้ไทเฮาเพคะ ซวนเอ๋อร์ยังให้ไทเฮาเสวยโอสถให้ดี เป็นเด็กที่น่ารักเสียจริง หากต่อมาองค์ชายเก้าเป็นที่รักอย่างซวนเอ๋อร์ได้ก็คงดีเพคะ”


 


 


อี๋เฟยพูดถึงองค์ชายเก้าขึ้นมา ฮ่องเต้จึงจำต้องถามบ้าง


 


 


เมื่อเห็นว่าหัวข้อสนทนายิ่งออกนอกเรื่องไปกันใหญ่ จู่ๆ ไทเฮาก็พูดว่า “นี่ก็เย็นแล้ว ถาวซื่อเจ้าพาซวนเอ๋อร์กลับไปเถิด อยู่ที่นี่นานๆ แล้วติดเชื้อหวัดไปมันจะไม่ดี” พูดไปพลาง ในใจของไทเฮาก็คิดไปพลาง ใช้วิธีเช่นนี้ต่อหน้าเด็กช่างน่าไม่อายเสียจริง


 


 


ถาวจวินหลันคิดจะทูลลาตั้งนานแล้ว แต่ก็จนปัญญาเพราะฮ่องเต้เพิ่งเสด็จมา แล้วนางจะเอ่ยทูลลาเลยก็ไม่เหมาะสม ถึงได้ยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้อยู่ตรงนั้น อีกอย่างนางเองก็นัดหยวนฉงหวาเอาไว้แล้ว


 


 


ในตอนนั้นก็พาซวนเอ๋อร์เอ่ยทูลลาพร้อมกัน ฮ่องเต้ยังมีท่าทีตัดใจไม่ลง พูดขึ้นว่า “หากไม่มีเรื่องยุ่งอะไร ก็พาซวนเอ๋อร์เข้ามาเดินเล่นในวังบ่อยๆ เถิด”


 


 


เมื่อออกมาจากวังหย่งโซ่วแล้ว ถาวจวินหลันก็พาซวนเอ๋อร์เดินช้าๆ หยวนฉงหวาน่าจะรอนางอยู่บนถนนเส้นนี้


 


 


ไม่ได้เดินออกไปไกลเท่าไร ถาวจวินหลันก็เห็นเงาของหยวนฉงหวา หยวนฉงหวาลงมือตัดดอกไม้ด้วยตนเอง ชุดสีม่วงตกอยู่ในกอเบญจมาศ คล้ายเทพธิดากลางดอกไม้


 


 


แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นความโทรมของหยวนฉงหวา เพราะคลอดก่อนกำหนดและไม่ได้อยู่ไฟ จึงยังไม่ได้ฟื้นฟูกลับมา ใบหน้าก็ซีดแทบไม่มีสีเลือด ผิวก็ขาวจนแทบจะมองทะลุได้ ทั้งร่างดูแล้วผอมซูบไปหมด


 


 


ด้วยผอมซูบลง ทำให้นางมีท่าทีราวนางฟ้ากลับสวรรค์อย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน และบวกกับใบหน้าหยิ่งทะนงของนาง ก็ยิ่งเพิ่มมากกว่าแต่เก่าสามส่วน


 


 


หยวนฉงหวาก่อนหน้านี้วางมาดได้แค่เพียงหน้าตาเท่านั้น แต่หยวนฉงหวาในตอนนี้มองเพียงครู่เดียวก็ทำให้รู้สึกแตกต่าง


 


 


ถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์เดินไปข้างทางเดิน ยิ้มพลางทักทายหยวนฉงหวา “เหลียงตี้*ดูอารมณ์ดีนัก แต่ดอกไม้นี้บานพอประมาณแล้ว เก็บไปวางไว้แค่สองวันก็เ**่ยวแล้ว”


 


 


“ข้าจะเอาดอกไม้บานเต็มที่นี่ไปเก็บไว้ใต้หมอน” หยวนฉงหวาหันหน้ามา ยิ้มบางๆ สายตามองข้ามถาวจวินหลันไปยังร่างของซวนเอ๋อร์ “นี่คือซวนเอ๋อร์ใช่หรือไม่? ข้าเพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรก หน้าตาน่ารักทีเดียว”


 


 


ถาวจวินหลันดึงมือของซวนเอ๋อร์แน่นขึ้นหลายส่วนตามสัญชาตญาณ


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าซวนเอ๋อร์จะเอ่ยปากก่อน “ท่านน้ารู้จักซวนเอ๋อร์หรือ?”


 


 


หยวนฉงหวาตะลึงไป แล้วก็เผยรอยยิ้มสดใสมากขึ้นหลายส่วน “รู้จัก ทำไมจะไม่รู้จักเล่า? เจ้าน่ารักขนาดนี้ข้าจะไม่รู้จักเจ้าได้อย่างไรเล่า?”


 


 


ถาวจวินหลันครุ่นคิด พูดกับซวนเอ๋อร์เสียงเบา “ซวนเอ๋อร์ไปช่วยท่านน้าเก็บดอกไม้เถิด แม่มีเรื่องจะพูดกับท่านน้าสักหน่อย ได้หรือไม่?” แม้นซวนเอ๋อร์ยังเด็กน่าจะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางก็ไม่อยากให้ซวนเอ๋อร์ได้ยิน


 


 


ซวนเอ๋อร์ติดเล่น ก็ตอบรับทันที หยวนฉงหวาเดินมายืนอยู่ข้างทางเดินพูดคุยกับถาวจวินหลัน


 


 


ถาวจวินหลันส่งปี้เจียวไปคอยดูแลซวนเอ๋อร์


 


 


“เจ้าโชคดีกว่าข้านัก” ไม่รู้ว่าถูกจี้จุดตรงไหน ฉับพลันหยวนฉงหวาก็ถอนหายใจ สายตาทอดมองไปยังซวนเอ๋อร์อยู่นานไม่ขยับไปไหน “หากลูกของข้าคนนั้นยังอยู่ ในอนาคตจะต้องเหมือนซวนเอ๋อร์อย่างแน่นอน”


 


 


ด้วยเป็นแม่คน ถาวจวินหลันจึงรู้สึกสงสารหยวนฉงหวา แล้วปล่อยวางความตะขิดตะขวงใจ พูดปลอบเสียงเบาว่า “”เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่าไปคิดมาก ต่อจากนี้หากเจ้าชอบเด็กจริง จะรับเลี้ยงสักคนก็ไม่เลวเช่นกัน”


 


 


หยวนฉงหวามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง “เจ้ารู้หรือไม่ ทำไมข้าถึงมองเจ้าขัดหูขัดตามาตลอด? เจ้าดูเอาก็แล้วกันตั้งแต่เล็กบ้านของเจ้าก็ดีกว่าข้า ดูจากหน้าตา แม้ว่าพวกเราจะไม่ต่างกันมาก แต่ทำไมข้าถึงสู้เจ้าไม่ได้? ต่อให้ตระกูลถาวล่มสลายลง ข้าก็ยังเทียบเจ้าไม่ได้ คิดว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าตอนนั้นเพื่อกดหัวเจ้าลงไป ข้าจงใจจ่ายเงินให้คนคัดเจ้าไปที่หน่วยงานซักล้าง ข้าคิดไม่ถึงว่าต่อให้เป็นเช่นนี้เจ้าก็ยังโดดเด่นได้อีก”


 


 


พูดถึงตรงนี้หยวนฉงหวาก็หัวเราะเยาะตนเอง “ตอนนั้นข้าเข้าวังหลวงมา ท่านพ่อของข้าอยากให้ข้าปรนนิบัติฮ่องเต้ แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ไม่สนใจข้าแม้แต่น้อย สุดท้ายแล้วข้าก็ทำได้แค่เดินตามทางของฮองเฮา ร้องขอตำแหน่งชายารององค์รัชทายาท เจ้าไม่รู้ใช่หรือไม่ ตอนที่ฮองเฮาเลือกข้าเป็นชายารองนั้น เป็นเพราะว่าข้ารับปากไว้ว่าจะต้องคลอดลูกชาย แล้วให้พระชายาองค์รัชทายาทเลี้ยง”


 


 


หยวนฉงหวาหรี่ตาลง ตาเหยี่ยวดูเฉียบคม “แต่ข้าคิดไม่ถึงว่า ข้าเข้าประตูไปนานขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่มีข่าวคราว องค์รัชทายาทก็ไม่ได้โปรดข้ามาก กว่าจะตั้งครรภ์ได้ก็ไม่ง่ายนัก ข้าดีใจเป็นที่ยิ่ง บวกกับก่อนหน้าข้าก็มีคนตั้งครรภ์ ข้าคิดว่าเด็กคนนี้อาจจะเลี้ยงเองได้ แต่คิดไม่ถึงว่า…”


 


 


แม้วันนี้จะไม่ได้ตั้งใจมาฟังความหลังของหยวนฉงหวา แต่ตอนนี้เมื่อนางฟังหยวนฉงหวาพูดเรื่องเหล่านี้ ก็ยิ่งทวีความสงสาร ส่วนเรื่องเรื่องหน่วยงานซักล้าง นางก็คาเดาได้นานแล้ว


 


 


ฉับพลันหยวนฉงหวาก็ยิ้มน้อยๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมตอนนี้ถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แล้วยังทำให้องค์รัชทายาทชอบอยู่ได้? เพราะข้าไม่เพียงแค่รู้ความลับขององค์รัชทายาทเท่านั้น และยิ่งรู้ว่าเขาชอบผู้หญิงแบบไหน ดังนั้นข้าจึงหาผู้หญิงเช่นนั้นให้เขาสองคน แม้ฐานะจะต่ำต้อยไปหน่อย แต่งานบนเตียงก็ดีเลิศ องค์รัชทายาทคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเขามายุ่งกับคนข้างกายของข้า แต่ความจริงแล้วข้าจัดการเองทั้งหมด”


 


 


ถาวจวินหลันมองหยวนฉงหวาอย่างตื่นตะลึง องค์รัชทายาทมักมากในกามเช่นนี้เลยหรือ? ส่วนเรื่องความลับ…


 


 


ถาวจวินหลันกำลังลังเลว่าควรถามหรือไม่ หยวนฉงหวาก็ก้าวขึ้นมาเอง พูดเสียงเบาว่า “องค์รัชทายาทและหญิงมีสามีคนนั้นแอบมีสัมพันธ์ลับกัน จนคลอดลูกชายคนหนึ่งออกมา องค์รัชทายาทกำลังคิดจะเอาเด็กคนนั้นมาจดไว้ใต้ชื่อของข้า เด็กคนนั้นอายุสองเดือนกว่าแล้ว รอเพียงแค่โอกาสเหมาะสมเท่านั้น”


 


 


สองเดือนกว่า! ถาวจวินหลันรู้สึกเหมือนหัวถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าอย่างจัง แล้วก็ถลึงตาโตด้วยความตื่นตกใจ มองไปยังหยวนฉงหวาอย่างไม่อยากเชื่อ จากนั้นนางก็ตั้งสติได้ ไม่ องค์ชายเก้าจะเอามาให้ผู้หญิงขององค์รัชทายาทเลี้ยงได้อย่างไร?


 


 


หยวนฉงหวาเหมือนเข้าใจความคิดของนาง จึงพูดชื่อนิทานพื้นบ้านออกมาเสียงเบา “แมวดาวแลกองค์รัชทายาท”


 


 


ถาวจวินหลันเริ่มหนักใจทันที แมวดาวแลกองค์รัชทายาท แมวดาวแลกองค์รัชทายาท! นางฉับพลันก็คิดบางอย่างได้ ถาวจวินหลันอดพูดไม่ได้ว่า “ถ้าเช่นนั้นองค์ชายเก้า”


 


 


หยวนฉงหวายิ้มน้อยๆ “มิเช่นนั้นทำไมเด็กสองเดือนเต็มแล้ว องค์รัชทายาทถึงเพิ่งพูดเรื่องรับอี๋เฟยสองแม่ลูกนั้นกลับมาวังหลวงเล่า? อย่างแรกเพราะไม่ได้แท้งตั้งแต่แรก อย่างที่สองคือจะหาเด็กที่อายุพอๆ กันมาสับเปลี่ยนอย่างแนบเนียน”


 


 


ถาวจวินหลันสูดหายใจเข้าลึก แล้วก็ถามอีกว่า “ไทเฮารู้เรื่องนี้หรือไม่?”


 


 


รอยยิ้มของหยวนฉงหวายิ่งกว้างมากขึ้นกว่าเดิม “อาจจะปิดบังแค่พระชายาองค์รัชทายาทเท่านั้น เจ้าลืมไปแล้วหรือ ปลายปีที่แล้วพอฮองเฮารู้ว่าอี๋เฟยตั้งครรภ์ ก็เป็นลมล้มพับไป?”


 


 


เมื่อพูดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็เข้าใจความหมายของหยวนฉงหวา ฮองเฮารู้เรื่องนี้ และด้วยรู้เรื่องนี้ ถึงได้เป็นลมไป ในตอนนั้นนางเองก็ไม่พอใจ อย่างไรตอนที่อี๋เฟยตั้งครรภ์ก็ไม่ได้สั่นคลอนตำแหน่งฮองเฮาเท่าไรนัก แต่ทำไมฮองเฮาถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนั้น? เมื่ออธิบายเช่นนี้ ก็เข้าใจทุกอย่างได้แล้ว


 


 


อีกทั้งหากไม่ได้ฮองเฮาช่วยปิดบัง เกรงว่าอี๋เฟยเองก็คงจะปิดบังอายุครรภ์ของตนเองได้ยาก ส่วนหลังจากนั้นแผนการละครที่นางและหลี่เย่คิดว่าฉลาดกลับเป็นการช่วยอี๋เฟย


 


 


หากไม่ใช่เพราะรั้งอยู่ที่พระราชฐาน สถานการณ์ตอนที่อี๋เฟยคลอดจะต้องทำให้คนสงสัยอย่างแน่นอน! อย่างไรคลอดก่อนกำหนดและคลอดตามกำหนดก็ต่างกัน! แล้วเด็กนั้นแท้จริงแล้วครบเดือนหรือไม่ก็มองออกได้ด้วยตาเปล่าแน่! เลี้ยงเด็กอยู่ที่พระราชฐานมาสองเดือน ต่อให้คนอื่นสงสัยก็อธิบายได้


 


 


จู่ๆ ถาวจวินหลันก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง คิดไม่ถึงว่านางจะช่วยอี๋เฟยเข้าแล้ว


 


 


โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าอี๋เฟยพาองค์ชายเก้ากลับมาอย่างอลังการยิ่งใหญ่ คิดถึงท่าทีของอี๋เฟย นางก็ยิ่งรู้สึกผิด กระทั่งอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษหยวนฉงหวา “ทำไมไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?”


 


 


หยวนฉงหวาหัวเราะเสียงเย็น “พูด? ข้าพูดไปใครจะเชื่อ? หากพูดไปตอนนั้นเองข้าก็ยังเอาตัวไม่รอด ไฉนเลยจะมีเวลาไปสนใจคนอื่น อีกทั้งอี๋เฟยก็เป็นนายเก่าของข้า ข้าขึ้นเป็นชายารองได้ ก็เป็นเพราะนางช่วยออกเงินปูทางให้ข้า”


 


 


หยุดไปครู่หนึ่ง เพราะกลัวว่าถาวจวินหลันไม่สบายใจไม่ยอมช่วยนาง หยวนฉงหวาก็พูดไปอีกเรื่องหนึ่ง “หากเปิดเผยตั้งแต่ตอนนั้น แล้วจะมีผลอย่างตอนนี้ได้อย่างไร? เด็กคนนี้คลอดออกมา ถึงเวลานั้นหยดเลือดทดสอบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ไม่ใช่ เจ้าว่าฮ่องเต้จะคิดอย่างไร?”


 


 


ถาวจวินหลันเองก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงตำแหน่งขององค์รัชทายาทนี้ เกรงว่าคงจะนั่งได้ไม่นานอีกแล้ว อีกทั้งไม่แน่ว่าแม้แต่ชีวิตก็ยังไม่อาจรักษาไว้ได้


 


 


ไม่เพียงแค่องค์รัชทายาท แม้แต่ฮองเฮาเองก็ต้องรับผิดชอบเองทั้งหมดเหมือนกัน


 


 


เมื่อยังมีไพ่ใบนี้อยู่ในมือ หลี่เย่ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพียงแค่รอวันไหนที่อารมณ์ไม่ดี ก็พูดเรื่องนี้เสียเลย


 


 


แต่… “ปากเปล่าไม่มีหลักฐาน เกรงว่าฮ่องเต้คงจะไม่เชื่อง่ายดายเช่นนี้ จะต้องวางแผนให้ดี”


 


 


ถาวจวินหลันคิดถึงจุดประสงค์ที่ตนเองมาในวันนี้ พูดเสียงเบากับหยวนฉงหวา “เรื่องโรคระบาดนี้ เป็นแผนการของพระชายาองค์รัชทายาทจริงหรือไม่?”


 


 


หยวนฉงหวาพยักหน้า พูดอย่างมั่นใจ “แน่นอน ข้ากล้าเอาชีวิตเป็นประกัน”


 


 


ถาวจวินหลันมองไปยังหวนฉงหวาอย่างมีเลศนัย ถามความสงสัยของตนเอง “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร?”


 


 


 


 


*เหลียงตี้ ตำแหน่งพระชายารองในองค์รัชทายาท 

 

 


บทที่ 482 เปลี่ยนแปลง

 

หยวนฉงหวาตะลึงไป จากนั้นก็หลุบตาลง “องค์รัชทายาทหลุดปากพูดออกมาเอง ที่จริงองค์รัชทายาทไม่ค่อยชอบพระชายานัก พระชายาทำเรื่องนั้น องค์รัชทายาทเองก็หงุดหงิด กลัวว่าจะมีคนรู้ แล้วจะพาลมาถึงเขา และคิดกล่าวโทษพระชายาว่าทำงานไม่รอบคอบ ทำไมถึงไม่จัดการตวนชินอ๋องให้ตายไปพร้อมกัน”


 


 


หยวนฉงหวาพูดอย่างเย้ยหยัน ถาวจวินหลันกลับไม่มีใจไปครุ่นคิดความหมายของหยวนฉงหวา ในหัวของนางตอนนี้เต็มไปด้วยท่าทางเคร่งขรึมขององค์ชายรัชทายาท


 


 


นางยังจำท่าทางขององค์รัชทายาทตอนฉลองวันเกิดหลี่ในวังเต๋ออันได้ ตอนนั้นนางยังคิดว่าองค์รัชทายาทใจกว้าง พอตอนนี้คิดถึงภาพตอนที่องค์รัชทายาทพูดเช่นนั้นก็รู้สึกว่าจอมปลอมเป็นที่ยิ่ง


 


 


ด้วยองค์รัชทายาทเป็นพี่ชาย นั่นจึงถือเป็นแบบอย่างตัวร้ายดั้งเดิม อะไรเรียกว่าไม่รักพี่รักน้อง? แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว อะไรเรียกว่าไม่สนใจสายเลือดเดียวกัน? นี่ก็ถูกต้องแล้ว อะไรเรียกว่าใจมารดั่งงูพิษ นี่ก็ถูกต้องแล้ว!


 


 


แม้จะบอกว่าหลี่เย่ไม่ใช่คนดีนัก แต่อย่างน้อยหลี่เย่ก็ไม่ได้หวาดระแวงคิดจะกำจัดองค์รัชทายาทจนถึงชีวิต ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ ต่อให้องค์รัชทายาทไม่ใช่องค์รัชทายาท เขาก็ยังเป็นลูกชายคนโตของฮ่องเต้ ต่อให้ไม่มีอำนาจอะไร แต่อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่ากินอยู่ได้โดยไร้กังวล


 


 


หากคิดอยากจัดการองค์รัชทายาทให้ตายไปจริงๆ ถาวจวินหลันคิดว่าหลี่เย่คงจะทำสำเร็จไปนานแล้ว


 


 


หลี่เย่อยากให้ฮองเฮาตายแบบไม่มีที่ฝัง อย่างไรแล้วฮองเฮาก็ไม่ใช่คนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับหลี่เย่ อีกทั้งระหว่างสองฝ่ายก็ยังมีความบาดหมางกัน


 


 


แต่องค์รัชทายาทเล่า? หลี่เย่ทำอะไรให้กันแน่? องค์รัชทายาทถึงอยากให้หลี่เย่ตายไปให้พ้นสายตา!


 


 


พูดว่าไม่โมโหนั้นก็ถือว่าโกหก ถ้าหากองค์รัชทายาทยืนอยู่ตรงหน้านางตอนนี้ นางยังคิดอยากจะก้าวเข้าไปตบคนที่ไร้เยื่อใย จอมปลอมคนนั้นสักที! เทียบกับความเ**้ยมโหดขององค์รัชทายาแล้ว วิธีของหลี่เย่…ช่างไม่พอดูเสียจริง


 


 


ใช่แล้ว องค์รัชทายาทเป็นลูกชายแท้ๆ ของฮองเฮา แม้ว่าฝีมือจะไม่สู้ฮองเฮา แต่ถ้าพูดถึงความเ**้ยมโหดกลับไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย ฮองเฮาเป็นเช่นนั้น องค์รัชทายาทจะดีได้อย่างไร?


 


 


พอหัวเราะเยาะแล้ว ถาวจวินหลันก็มองหยวนฉงหวาอย่างสงสาร “ที่จริงแล้วเจ้าต้องรู้สึกดีใจแทนลูกของเจ้า มีพ่อที่เ**้ยมโหดไร้เยื่อใยขนาดนี้ ชีวิตของเขาคงไม่มีความสุขแน่นอน”


 


 


หยวนฉงหวาขมวดคิ้ว ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “เจ้าไม่ต้องสนใจ ตอนนี้ข้าขอแค่ให้เจ้าช่วยส่งลูกชายเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาทมาเลี้ยงใต้ชื่อข้าก็พอแล้ว ส่วนเจ้าจะทำอะไรกับองค์รัชทายาทข้าก็ช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น”


 


 


ถาวจวินหลันเข้าใจความคิดของหยวนฉงหวา คิดไปคิดมานางก็แย้มยิ้ม “ข้าช่วยเจ้าได้ แต่เจ้าต้องคิดให้ดี แม้จเด็กคนนี้เป็นสายเลือดขององค์รัชทายาท แต่หลังจากฮ่องเต้รู้ความจริงแล้วอาจไม่เก็บเขาเอาไว้ เจ้ารออีกช่วงหนึ่ง ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวอะไร ข้ารับประกันได้ว่าในอนาคตต่อให้องค์รัชทายาทล่มจมลง ข้าจะต้องปกป้องชีวิตของเจ้าเป็นแน่ ให้เจ้าสบายไปจนถึงบั้นปลายชีวิต เป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


หยวนฉงหวาอยากได้ลูกชาย ก็ด้วยอยากมีที่พึ่งพาในยามแก่ชรา นางรับประกันแบบนี้ ย่อมดึงดูดใจไม่น้อยเลยทีเดียว


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มมองสีหน้าท่าทีของหยวนฉงหวาที่เริ่มมีความลังเลปรากฏขึ้น


 


 


สุดท้ายหยวนฉงหวาก็ถามว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าทำได้มากขนาดนั้น”


 


 


“ทำไมถึงไม่เชื่อ? เจ้าอยากให้องค์รัชทายาทตายไม่ใช่หรืออย่างไร? หากองค์รัชทายาทตายไป เจ้าว่าภายในท่านอ๋องและองค์ชายที่เหลืออยู่ใครมีความหวังมากที่สุด?” ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม ท่าทีมีเมตตาช่วยหยวนฉงหวาคิด “และข้าเป็นแม่ของซวนเอ๋อร์ ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากตวนชินอ๋องมาก ไม่ว่าจะช่วยเจ้าพูดตรงๆ หรือว่าคอยเป่าหูก็เป็นเรื่องง่ายดายนัก ไม่ใช่หรืออย่างไรกัน?”


 


 


หยวนฉงหวาหัวเราะแฝงด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าเอาความมั่นใจมาจากที่ใด”


 


 


รอยยิ้มของถาวจวินหลันไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงยังคงเย็นสบายเช่นเดิม “เจ้าว่าข้าเอาความมั่นใจมาจากใดเล่า?”


 


 


“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเอาคำพูดเหล่านี้ไปบอกคนอื่นอย่างนั้นหรือ” หยวนฉงหวาเลิกคิ้ว “หากองค์รัชทายาทรู้เรื่องเหล่านี้ เจ้าว่าเขาจะคิดอย่างไร?”


 


 


“เจ้าเอาไปพูดเถิด” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย “ข้าเป็นเพียงแค่คนที่เจ้ารังเกียจเท่านั้น แต่องค์รัชทายาทนั้นเป็นคนที่ฆ่าลูกของเจ้า ถ้าหากเจ้ายอมช่วยเขา ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก”


 


 


หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันที่มองหยวนฉงหวาด้วยแววตาเป็นประกายก็พูดประโยคสุดท้าย “ข้าพูดแล้วจะเป็นอะไร? องค์รัชทายาทรู้แล้วจะทำไม? แต่เดิมก็เป็นน้ำกับไฟอยู่แล้ว ส่วนคนอื่น พวกเขาไม่จำเป็นต้องเชื่อ แล้วทำไมเจ้าจะต้องหาเรื่องไม่พอใจเองด้วย?”


 


 


“เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว” หยวนฉงหวาสะอึกไปกับคำพูดนี้จนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด


 


 


ถาวจวินหลันยังคงแย้มยิ้ม ทว่าครั้งนี้กลับมีความเศร้าแฝงอยู่เล็กน้อย “คนย่อมต้องเปลี่ยนไปตามเวลา เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? หากเป็นแต่ก่อน เจ้าจะคิดแผนการมากมายขนาดนี้หรือไม่เล่า?”


 


 


หยวนฉงหวาครุ่นคิดคำพูดของถาวจวินหลันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หัวเราะไม่พูดอะไรอีก แต่รอยยิ้มนั้นมองอย่างไรก็ขมขื่นเป็นอย่างมาก


 


 


ถาวจวินหลันพูดต่อไปอย่างไม่สนใจอะไร “คุณหนูสามคนนั้นยังอยู่ในช่วงไว้อาลัย หากไม่ส่งเข้ามาในวังหลวงตอนนี้ก็ต้องรออีกสามปี ฮองเฮาต้องให้ตำแหน่งชายารองกับนาง เจ้าเตรียมพร้อมเอาไว้ให้ดี หากพวกนางสองพี่น้องสมัครสมานสามัคคีกัน ชีวิตของเจ้าจะต้องลำบากแน่นอน แต่หาก…เกรงว่าคงจะไม่มีเวลามาสนใจเจ้ามากขึ้นอีก”


 


 


หยวนฉงหวาเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงหัวเราะเสียงเย็น “แค่ปลุกระดมเท่านั้น แต่อย่างไรก็ยังเป็นพี่น้องแท้ๆ กัน”


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า “แน่นอนว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ข้าไปสืบมาเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในจวนก็ไม่ได้สนิทสนมกัน อย่างไรอายุก็ต่างกัน แล้วตอนที่พระชายาองค์รัชทายาทแต่งงาน คุณหนูสามเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง? หลายปีผ่านมานี้ย่อมไม่ต้องพูดถึงความห่างเหิน แม้แต่พระชายาองค์รัชทายาทหวาดระแวงเพียงใด เจ้าย่อมรู้ดีกว่าข้า อีกทั้งหากคุณหนูสามรู้ว่าพี่สาวของตนไม่ได้ต้อนรับนาง แล้วยังแนะนำให้นางเสียสละด้วย จะเป็นอย่างไร?”


 


 


หยวนฉงหวานั้นตอบกลับในใจเงียบๆ กลัวว่าสถานการณ์ต่อจากนี้คงเหมือนน้ำกับไฟ ไม่มีความสัมพันธ์ดั่งพี่น้องอีก


 


 


แต่หยวนฉงหวาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มและพูดว่า “จนถึงวันนี้ ข้าคิดได้แล้วว่าเจ้ากับข้าไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น ที่จริงแล้วเจ้าเองก็เห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์ พวกเราแค่เพียงพอฟัดพอเหวี่ยงเท่านั้น”


 


 


ถาวจวินหลันตะลึงไปเล็กน้อย รู้สึกว่าหยวนฉงหวาพิลึก ยากจะเข้าใจ แต่ก็ยังยิ้มและพูดกับหยวนฉงหวาว่า “นอกจากเทพแล้ว ใครบ้างไม่เห็นแก่ตัว? เจ้าแค่คิดว่าข้าดีเกินไปเท่านั้น”


 


 


เห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์เป็นนิสัยของมนุษย์ นางไม่ใช่เทพ แล้วจะไม่มีนิสัยแบบนี้ได้อย่างไร? หากนางไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์แล้ว นางจะปกป้องลูกหญิงชายทั้งสองคนได้อย่างไร? จะป้องกันคนมีประสงค์ร้ายได้อย่างไร?


 


 


พอพูดเรื่องเหล่านี้จบแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่อยากอยู่ต่อ ยิ้มพลางโบกมือเรียกซวนเอ๋อร์ “ซวนเอ๋อร์ ไปกัน พวกเรากลับจวน”


 


 


ซวนเอ๋อร์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอาดอกไม้ใส่ไว้ในตะกร้า วิ่งออกมาจากดงดอกไม้ เอามือเล็กบีบสองนิ้วของถาวจวินหลันเอาไว้แน่น


 


 


พอพยักหน้าให้กับหยวนฉงหวา ถาวจวินหลันก็พูดว่า “ข้าขอตัวไปก่อน หยวนเหลียงตี้จงรักษาตนเองให้ดี คิดว่าจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”


 


 


หยวนฉงหวาพยักหน้าน้อยๆ “เช่นนั้นข้าไม่ส่งชายารองถาวแล้ว”


 


 


เพียงไม่นาน ต่างฝ่ายต่างก็แยกไปคนละทาง หลังจากถาวจวินหลันขึ้นรถม้ามาแล้ว ก็อุ้มซวนเอ๋อร์เข้ามานั่งในอ้อมกอด ยิ้มพลางบีบมืออวบอ้วนของเขา “ซวนเอ๋อร์ พอกลับไปแล้ว เจ้าพาน้องสาวไปเล่นดีหรือไม่? พากันไปเล่นป๋องแป๋งเถิด หรือว่าให้ข้าพาพวกเจ้าไปหากั่วเจี่ยเอ๋อร์ดี?”


 


 


กั่วเจี่ยเอ๋อร์เป็นน้องสาวของซวนเอ๋อร์เช่นเดียวกัน ซวนเอ๋อร์เองก็สนิทกับนาง อีกทั้งอยู่ด้วยกันช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็ยิ่งสนิทสนมมากขึ้น แม้จะพูดว่าไม่อาจสู้หมิงจูได้ แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก


 


 


พูดแล้วก็แปลก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายเลือดหรือไม่ ซวนเอ๋อร์จึงรักและเอ็นดูหมิงจูมากกว่า และยิ่งมีความอดทนมากกว่า ปกติแล้วยังไม่ค่อยรู้สึก แต่เมื่อเทียบกับกั่วเจี่ยเอ๋อร์แล้วก็เห็นชัดมากยิ่งขึ้น           


 


 


เรื่องนี้ถาวจวินหลันรู้สึกลุแก่โทษอยู่บ้าง ยังดีที่จิ้งหลิงไม่คิดมาก มิเช่นนั้นคงอึดอัดไปกันหมดมิใช่หรืออย่างไร? ต่อให้หลี่เย่มอง หลี่เย่ก็ยังรู้สึกขำขัน


 


 


ภายในจวนมีเด็กสี่คน มีเพียงแค่เซิ่นเอ๋อร์ที่โดดเดี่ยวมากที่สุด ซวนเอ๋อร์ไม่เคยพูดถึงน้องชายคนนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเล่นด้วยกัน เจียงอวี้เหลียนไม่ยอมปล่อยเซิ่นเอ๋อร์ออกมา ปกติแล้วก็คอยดูอยู่ในสายตาตลอดเวลา เหมือนกลัวว่าคลาดสายตาไปแล้วจะไม่เห็นอีกอย่างนั้น


 


 


ซวนเอ๋อร์รับคำอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ไม่อยากเข้าวังอีกแล้ว”


 


 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซวนเอ๋อร์แสดงอารมณ์เช่นนี้ ถาวจวินหลันแปลกใจเล็กน้อย “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงไม่อยากเข้าวังหลวงเล่า? เพราะไม่ชอบเสด็จทวดหรือ?”


 


 


“ไม่ชอบ!” ซวนเอ๋อร์หน้าขึงขัง “กระโปรงแดงน่าเบื่อ”


 


 


กระโปรงแดง หมายถึงอี๋เฟย คิดไม่ถึงว่าซวนเอ๋อร์จะไม่ชอบอี๋เฟยถึงเพียงนี้


 


 


“เสด็จปู่ ไม่ชอบ” ซวนเอ๋อร์พลันพูดถึงฮ่องเต้อีก ถาวจวินหลันงุนงงทันที ฮ่องเต้รักและเอ็นดูซวนเอ๋อร์ ดังนั้นซวนเอ๋อร์จึงสนิทสนมใกล้ชิดกับฮ่องเต้มาโดยตลอด


 


 


“ทำไมถึงไม่ชอบฮ่องเต้เล่า?” ถาวจวินหลันหลอกล่อเสียงอ่อนโยน “หรือกลัวว่าเสด็จปู่มีองค์ชายเก้าให้โปรดปรานแล้ว พระองค์จะไม่เอ็นดูเจ้าอย่างนั้นหรือ?” นางพูดเองก็อดหัวเราะไม่ได้ ซวนเอ๋อร์น่าจะไม่มีความคิดเช่นนี้หรอกใช่หรือไม่? อีกทั้งซวนเอ๋อร์คงไม่เข้าใจความหมายของนางด้วยซ้ำไป


 


 


“เหม็น” ซวนเอ๋อร์พ่นคำพิลึกน่าแปลกใจนี้ออกมา จากนั้นก็ถามอะไรไม่ได้ แต่เมื่อถามว่าทำไมก็บอกว่าเหม็น ถาวจวินหลันไม่เข้าใจความคิดของเขาจริงๆ จึงทำได้แค่ปล่อยไป


 


 


แต่หลังจากนั้น นางก็พยายามให้ซวนเอ๋อร์หลีกเลี่ยงฮ่องเต้ มิเช่นนั้นเจ้าเด็กคนนี้คงโมโห แล้วพูดเรื่องไม่น่าฟังต่อหน้าคนอื่นเป็นแน่


 


 


ตกดึกถาวจวินหลันอยากจะบอกเรื่องที่หยวนฉงหวาพูดกับนางให้หลี่เย่รู้


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่นางอยากจะพูด กลับหาโอกาสพูดออกไปไม่ได้ ตอนที่รับประทานอาหารนั้นย่อมไม่เหมาะสม คนเยอะปากมากย่อมพูดเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ แต่เดิมหลังจากทานข้าวนั้นเหมาะสมที่สุด ปกติแล้วพวกเขาสามีภรรยาสองคนมักจะพูดคุยกันในเวลานี้ แต่วันนี้หลี่เย่กลับไปที่ห้องหนังสือ บอกว่ามีธุระต้องจัดการ


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำได้แค่รอให้หลี่เย่กลับมาเท่านั้น แต่นางกลับรอจนหลับไปแล้ว ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลี่เย่ รอจนผ่านไปกว่าค่อนคืนกว่าจะกลับมา แต่เพราะสะลึมสะลือนางเองก็ไม่ได้คิดจะพูดถึงเรื่องนี้


 


 


พอเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ยิ่งไม่มีโอกาส


 


 


สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่องสองสามวัน ฉับพลันถาวจวินหลันก็รู้สึกแปลก หลี่เย่เป็นอะไรไป? 

 

 


บทที่ 483 คนใหม่

 

ถาวจวินหลันมีใจคิดจะพูดกับหลี่เย่ดีๆ แต่หลังจากนั้นสองสามวันก็หาโอกาสเหมาะไม่ได้ อีกอย่างเห็นท่าทีของหลี่เย่เป็นปกติ นางเองก็อดสงสัยไม่ได้ หรือว่านางเดาผิดไป?


 


 


แม้ว่าจะยังไม่ได้พูดคุย แต่นางเองก็ยังบอกเรื่องขององค์รัชทายาทกับอี๋เฟย และเรื่องแมวดาวแลกองค์รัชทายาทที่หยวนฉงหวาพูดให้หลี่เย่ฟัง


 


 


หลี่เย่แปลกใจเล็กน้อย “แมวดาวแลกองค์รัชทายาท?”


 


 


ถาวจวินหลันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันที จึงขมวดคิ้วถามกลับว่า “ท่านรู้เรื่ององค์รัชทายาทและอี๋เฟยอยู่แล้วหรือเพคะ?”


 


 


“อืม” หลี่เย่ตอบรับเสียงเบา แล้วถาวจวินหลันก็ไม่สบายใจทันที นางอดก้มหน้าลงไปไม่ได้ พูดเสียงเบาว่า “ทำไมท่านไม่บอกข้าเล่า?”


 


 


หลี่เย่ตะลึงไป แล้วก็ส่ายหัว “เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน เป็นแค่การคาดเดาของข้าเองเท่านั้น อีกอย่างเจ้าก็มีเรื่องต้องทำมากมาย บอกเจ้าไปก็ยิ่งทำให้เจ้าปวดหัวมากกว่าเดิมเท่านั้น”


 


 


ถาวจวินหลันเงยหน้ามองหลี่เย่ “ท่านทราบเรื่องนี้มานานแล้วหรือยังเจ้าคะ?” แม้นคำอธิบายของหลี่เย่จะธรรมดาและน่าเชื่อถือ แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี


 


 


“ที่จริงแล้วก็เพิ่งรู้ไม่กี่วันก่อน ก่อนหน้าเจ้าเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง?” หลี่เย่ยิ้มบางๆ พลางตบมือของถาวจวินหลันเบาๆ “เอาเถิด ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะเป็นอย่างไร อี๋เฟยจะเป็นอย่างไร พวกเราก็สนใจแค่การใช้ชีวิตของตนเองก็พอแล้ว”


 


 


เมื่อพูดมาจนถึงตอนนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจพูดอะไรต่อได้ จึงส่งเสียงรับคำเบาๆ


 


 


หลี่เย่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากจวน หลายวันมานี้เขาออกไปแต่เช้ากลับเข้ามาดึก เวลาอยู่ในจวนไม่ได้เยอะ เวลาพูดคุยเหมือนวันนี้ถือว่าหาได้ยาก


 


 


พอหลี่เย่ออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจ ยังคงรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แม้ว่าหลี่เย่จะปฏิบัติกับนางเช่นเดิม แต่นางก็ยังรู้สึกว่าหลี่เย่มีท่าทีห่างเหินอยู่บ้างเล็กน้อย


 


 


หรือว่า…เขาเปลี่ยนใจแล้ว? ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา ถาวจวินหลันตื่นตกใจ แล้วก็รู้สึกว่าน่าขัน นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? บางทีหลี่เย่อาจจะยุ่งมากก็ได้


 


 


ตอนที่ถาวจวินหลันคาดเดาเลอะเทอะอยู่ ทางด้านพระชายาองค์รัชทายาทก็เรียกน้องสาวของตนเข้าวังหลวง ขอให้ฮองเฮาตัดสิน เอาคุณหนูสามมาเป็นชายารองให้องค์รัชทายาท


 


 


จากนั้นพระชายาองค์รัชทายาทก็ช่วยจัดห้องเลือกเรือนให้กับน้องสาวคนที่สามหรือว่าเสี่ยวหวังซื่อด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์พี่น้องลึกซึ้งจริงหรือไม่ เรือนของเสี่ยวหวังซื่อจึงอยู่ข้างกับเรือนหลัก เป็นห้องที่อยู่ติดกันกับห้องของพระชายาองค์รัชทายาทเอง ซึ่งหมายความว่าองค์รัชทายาทออกมาจากทางพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว เดินอีกสิบกว่าก้าวก็มองเห็นเรือนของเสี่ยวหวังซื่อได้


 


 


การกระทำนี้ของพระชายาองค์รัชทายาททำให้คนคิดชื่นชมสรรเสริญ พระชายาองค์รัชทายาทไม่ยินยอมให้น้องสาวของตนอยู่กับเฝินหยางโหว ถึงได้จงใจทำเช่นนี้ รักและเอ็นดูน้องมากเพียงใดกัน? และพี่น้องทั้งสองคนก็คอยปรนนิบัตรองค์รัชทายาท ก็ยังดีกว่าหญิงมากหน้าหลายตา ยังพูดคุยกันได้ด้วยดีมากกว่า อีกอย่างนี่ก็เป็นความใจกว้างของพระชายาองค์รัชทายาท ยอมคิดถึงเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์รัชทายาทมากกว่า


 


 


แต่ลับหลัง ทุกคนก็อดพูดไม่ได้ว่า พระชายาองค์รัชทายาทกำลังปกป้องตำแหน่งของตระกูลหวังอยู่ อย่างไรองค์รัชทายาทก็ไม่มีลูกชายจากภรรยาเอก แม้แต่ที่เกิดจากอนุภรรยาแม้แต่คนเดียวก็ไม่มี พระชายาองค์รัชทายาทรับน้องสาวของตนเองเข้าไป นี่ไม่ได้เป็นการแสดงออกว่าอยากให้ตระกูลหวังให้กำเนิดสายเลือดขององค์รัชทายาทหรืออย่างไร? องค์รัชทายาทเป็นใครกัน องค์รัชทายาทเป็นคนที่จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต หากเป็นลูกชายคนโตขององค์รัชทายาท ไม่ว่าจะออกมาจากท้องของพระชายาองค์รัชทายาทหรือออกมาจากท้องของเสี่ยวหวังซื่อ ต่อจากนี้ไปตำแหน่งของตระกูลหวังจวนเหิงกั๋วโหวก็ไม่มีใครสั่นคลอนได้มิใช่หรือ?


 


 


หลังจากถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้แล้ว นางคิดว่าไทเฮาไม่น่าจะทนอีกแล้ว พระชายาองค์รัชทายาทเริ่มมีชื่อเสียง ไทเฮาเองก็น่าจะเริ่มเพิ่มคนเข้ามาในจวนตวนชินอ๋องแล้วเช่นเดียวกัน


 


 


เมื่อเทียบกับฮองเฮาที่ให้โอกาสพระชายาองค์รัชทายาทสร้างชื่อเสียงดีๆ ไทเฮาคงไม่ให้โอกาสนี้กับนางอย่างแน่นอน ไทเฮาเพียงแค่ให้นางจัดเก็บห้องให้เรียบร้อย เพื่อรอรับคนใหม่เข้าไปในเรือน


 


 


อีกทั้งฮองเฮายังคำนึงถึงความรู้สึกของพระชายาองค์รัชทายาท แต่ไทเฮากลับไม่คิดถึงใจนางเลย


 


 


ถาวจวินหลันเตรียมจิตใจให้พร้อม นางรู้ดีว่าต่อให้นางขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่พอใจก็ไร้ประโยชน์ ถ้าจะไม่พอใจ ไม่สู้แสดงท่าทีละเลยดีกว่า อย่างน้อยเมื่อเป็นเช่นนี้นางอาจจะมีชื่อเสียงดีๆ เหลืออยู่บ้าง


 


 


เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ วันนี้มีคนตรงมาที่จวนตวนชินอ๋องเพื่อมาแจ้งเรื่องนี้กับนางโดยตรง “ไทเฮากำหนดให้คุณหนูกู้จากจวนอันหย่วนโหวเป็นชายารองของตวนชินอ๋อง ชายารองถาวโปรดจัดเก็บเรือนให้เร็วที่สุด ไทเฮาตรัสว่าคุณหนูกู้บอบบาง ไม่อาจละเลยได้เจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขมขื่นอยู่ครู่หนึ่ง บอบบาง ไม่อาจละเลยได้ นั่นหมายความว่าให้นางเคารพกู้ซี นี่ยังไม่ทันได้เข้าประตูมาก็ข้ามหัวนางมากขนาดนี้แล้ว


 


 


แค่ต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วอย่างไร? ถาวจวินหลันก็ทำได้แค่ยิ้มรับคำสั่งของไทเฮาเท่านั้น


 


 


หลังจากนั้นนางย่อมต้องให้คนไปเก็บกวาดเรือน ที่จริงแล้วเรือนเฉินเซียงไม่ได้มีตำแหน่งดีมากในจวน แม้จะห่างจากด้านหน้าไม่มาก แต่กลับห่างจากเรือนอื่นๆ ค่อนข้างไกล พูดให้น่าฟังก็คือสงบเงียบ พูดให้ไม่น่าฟังก็คือห่างไกล ตอนแรกที่ชอบใจเรือนนี้ก็เพราะถาวจวินหลันไม่ยินยอมให้หลี่เย่อยู่ใกล้กับอนุภรรยาคนอื่นมากเกินไป


 


 


แม้จะบอกว่าแท้จริงแล้วอาศัยอยู่ภายในเรือนเขตเดียวกันหมด แต่สุดท้ายแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยมิใช่หรือ?


 


 


อีกอย่างครั้งนี้นางเองก็ได้รับประโยชน์ ไม่ว่ากู้ซีจะอาศัยอยู่ที่ใด ก็ไม่ใกล้กับนางทั้งนั้น


 


 


สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็เลือกเรือนที่อยู่ไม่ไกลจากเจียงอวี้เหลียนมากนัก อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับเรือนหลัก เรือนนี้ใหญ่ วิวทิวทัศน์ก็ดี ถึงอย่างไรจะละเลยที่อยู่ของกู้ซีก็ไม่ดีนัก


 


 


จากนั้นนางก็สั่งให้คนไปเก็บกวาดเรือน


 


 


ทางด้านนี้เพิ่งเข้ามา เจียงอวี้เหลียนเมื่อถึงเวลาเดินเล่นยามบ่ายก็เข้ามา เจียงอวี้เหลียนยามนี้มีร่างกายอ่อนแอ เวลาเดินก้าวหนึ่งก็ต้องให้คนคอยประคอง แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงแก่ชีวิต


 


 


ถาวจวินหลันเห็นท่าทีลำบากเช่นนั้นของเจียงอวี้เหลียน ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ร่างกายเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจะมาด้วยตนเองอีกทำไม? มีอะไรอยากถามอยากพูด ก็ให้บ่าวรับใช้มาพูดแทนซี”


 


 


เจียงอวี้เหลียนเป็นประเภทไม่มีเรื่องเดือดร้อนก็จะไม่มาหา เรื่องนี้นางรู้ดีแก่ใจ


 


 


เจียงอวี้เหลียนหัวเราะเบาๆ นั่งลงบนเก้าอี้ เลียริมฝีปาก ไออยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ พูดว่า “ดูท่าทางชายารองถาวคงจะคาดเดาได้แล้วว่าข้ามาทำไม”


 


 


ถาวจวินหลันนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ยิ้มบางๆ “เพราะเรื่องที่ข้าให้คนเก็บกวาดเรือนอย่างนั้นหรือ? เจ้าเดาไม่ผิดหรอก จวนของพวกเราจะมีคนใหม่เข้ามาแล้ว เป็นกู้ซีญาติผู้น้องของท่านอ๋องที่เคยมาสองสามครั้งก่อนหน้านี้ และเป็นคนที่ไทเฮาเลือกด้วยตนเอง ช้าย่อมไม่กล้าละเลยเป็นแน่”


 


 


เจียงอวี้เหลียนนิ่งอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจ จู่ๆ ก็พูดว่า “แค่ชายารองคนเดียวยังมีอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ แล้วฐานะชายาเอกในอนาคตเล่า? พูดตามตรงแล้ว ข้ากลับหวังให้เจ้าเป็นชายาเอก”


 


 


ไม่รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนพูดจากใจจริงหรือว่ามีประสงค์ร้าย แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ดี ถาวจวินหลันก็ไม่เก็บมาใส่ใจ จึงแย้มยิ้มกล่าว “อย่าเอาข้าไปเปรียบเลย ข้ามีคุณสมบัติเป็นพระชายาที่ใดกัน?”


 


 


เจียงอวี้เหลียนหัวเราะ ท่าทีเหมือนอย่ามาล้อเล่น “นอกจากเจ้าเกรงว่าในจวนของพวกเราคงไม่มีคนไหนครองตำแหน่งชายาเอกได้อีกแล้ว หรือว่าเจ้าไม่คิดเช่นนี้?”


 


 


ถาวจวินหลันส่ายหน้า “คนต้องรู้จักพอ”


 


 


เจียงอวี้เหลียนเก็บรอยยิ้มอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย แล้วพูดตรงๆ ขวนผ่าซาก “พูดตามจริงแล้ว หรือว่าเจ้าอยากให้กู้ซีคนนั้นเข้ามาในจวนหรือ? นางอายุน้อยรูปงาม และยังเป็นเครือญาติกับท่านอ๋อง ที่สำคัญที่สุดก็คือไทเฮาต้องลำเอียงไปทางนาง เจ้าคิดว่าหลังจากนี้ยังจะมีที่ยืนให้เจ้าอีกหรือ?”


 


 


เจียงอวี้เหลียนพูดสิ่งที่นางคาดเดาออกมาหมด เห็นได้ชัดว่า เจียงอวี้เหลียนสัมผัสได้ถึงอันตราย รู้สึกว่าไม่ควรให้กู้ซีเข้าจวนมา


 


 


ถาวจวินหลันหัวเราะเยาะ ถามเจียงอวี้เหลียนกลับว่า “ใครจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งของไทเฮาได้? ตอนนี้ภายในจวนของพวกเรามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น มีใครไม่คิดบ้างว่าเราต้องเพิ่มจำนวนคน? แม้จะไม่ยินยอม แต่เจ้าคิดว่ามีประโยชน์อะไร?”


 


 


เจียงอวี้เหลียนย่อมไม่มีแรงต่อต้าน ใบหน้าดำคล้ำไม่พูดจา


 


 


“ข้าไม่มีความสามารถนั้น ดังนั้นจึงได้แต่ทำตามคำสั่งของไทเฮาเท่านั้น” ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งก็พูดต่อไป “ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างนี้แล้วยังจะแย่งอะไรได้อีก? ช่วงชิงชีวิตกลับมาได้ เจ้าก็ต้องรู้จักพอได้แล้ว”


 


 


ที่เตือนเจียงอวี้เหลียนเช่นนี้ก็ด้วยนางรู้ดีแก่ใจ หากเจียงอวี้เหลียนหาเรื่องให้กู้ซีเดือดร้อนหลังจากกู้ซีเข้ามาในเรือนแล้ว ไทเฮาต้องยิ่งไม่ชอบนางและกล่าวโทษนางมากขึ้น


 


 


อีกทั้งยังทำให้ครอบครัวไม่มั่นคง ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่ยินยอมให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้น ไม่ให้ใครมารั้งขาหลี่เย่เอาไว้อีก


 


 


เจียงอวี้เหลียนลุกขึ้นช้าๆ เดินออกไปด้วยโทสะ ก่อนเดินออกไปยังทิ้งคำท้ายไว้ “เจ้าก็รอดูเถิด”


 


 


แต่ไม่รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนให้นางรอดูกูซีกดหัวพวกนาง หรือให้นางดูอะไร ถาวจวินหลันส่ายหน้าเบาๆ รู้สึกว่าเจียงอวี้เหลียนใจร้อนเกินไป มีเซิ่นเอ๋อร์แล้วต้องกังวลทำไมอีก? ต่อให้หลี่เย่หมดรัก พวกนางก็ยังมีลูกอยู่ข้างกาย ไม่มีทางเลวร้ายอย่างแน่นอน


 


 


อีกอย่างถ้าจะพูดว่าหลี่เย่จะเปลี่ยนไปรักคนอื่น นางก็ไม่มีทางเชื่อ แต่เมื่อคิดท่าทีของหลี่เย่หลายวันมานี้ นางก็เริ่มหวั่นใจ


 


 


แต่แม้ว่าจะรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ นางเชื่อว่าหลี่เย่ไม่ใช่คนที่ได้ใหม่ลืมเก่า


 


 


จัดเก็บเรือนให้เรียบร้อย การตกแต่งห้องใช้เวลากว่าสิบวันเต็มๆ ถาวจวินหลันฉวยโอกาสตอนที่เข้าไปทำความเคารพไทเฮาพูดเรื่องนี้


 


 


ไทเฮาดูพอใจมาก “ในเมื่อจัดเตรียมพร้อมแล้ว ข้าก็จะให้เจ้าซีย้ายเข้าไป”


 


 


ถาวจวินหลันก้มหน้านิ่งหลบสายตา “เพคะ” จะช้าเร็วก็ต้องย้ายมา นางก็ทำใจไว้แล้ว ดังนั้นสีหน้าจึงยังคงสงบนิ่งอยู่


 


 


“เย่เอ๋อร์ยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่?” จู่ๆ ไทเฮาก็ถาม


 


 


ถาวจวินหลันเงยหน้ามองไทเฮาด้วยท่าทีแปลกใจ “ท่านอ๋องไม่รู้เรื่องนี้หรือเพคะ?” หยุดไปครู่หนึ่งก็ตั้งสติได้ว่าไทเฮากำลังถามตนเองอยู่ จึงได้ถามขึ้นอีกว่า “หม่อมฉันไม่เคยพูดเรื่องนี้กับท่านอ๋องเพคะ หลายวันมานี้ท่านอ๋องยุ่ง ไม่ค่อยได้อยู่ในจวนนัก”


 


 


ไทเฮาพยักหน้า “แต่ก็ไม่รู้ว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าหมายความว่าเพราะเจ้าคิดว่าคนใจจวนของเจ้าน้อย เลยตั้งใจมาขอข้าให้เอาเจ้าซีเข้าไปในจวนภายในเร็ววันใช่หรือไม่”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม