บัลลังก์พญาหงส์ 470-476

บทที่ 470 พระชายาคนใหม่

 

ที่บอกว่าเมื่อโรคมาก็มาอย่างรุนแรง นานมากกว่าโรคจะหาย แม้ว่าจะบำรุงอย่างดี แต่เมื่อซวนเอ๋อร์และหมิงจูตามจิ้งหลิงกลับมา ถาวจวินหลันก็ยังคงไม่หายดี


 


 


ยังดีที่ท่าทีผ่ายผอมหมือนโครงกระดูกไม่มีให้เห็นแล้ว มิเช่นนั้นนางคงเป็นกังวลว่าจะทำให้ลูกหญิงชายทั้งสองคนตกใจ


 


 


ลองคำนวณเวลาดูแล้ว ซวนเอ๋อร์และหมิงจูจากไปเกือบสามเดือน ซวนเอ๋อร์ยังดี อย่างไรก็ยังจดจำคนได้ แต่หมิงจูกลับลืมไปแล้วว่าบิดามารดาของตนเองหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อเจอหน้าถาวจวินหลันยังดี บางทีอาจพอมีสายสัมพันธ์แม่ลูก สุดท้ายก็ไม่ได้ห่างเหินขนาดนั้น แต่เมื่อเจอหน้ากับหลี่เย่ แม้แต่อุ้มก็ยังไม่ยอมให้หลี่เย่อุ้ม


 


 


เมื่อคิดว่าไทเฮาคิดถึงซวนเอ๋อร์และหมิงจูมาก ถาวจวินหลันให้หมิงจูปรับตัวอยู่สองสามวัน ก็พาพวกเขาพี่น้องเข้าไปในวังหลวง นี่ก็เป็นการเข้าวังทำความเคารพไทเฮาครั้งแรกหลังจากนางหายป่วย


 


 


ถาวจวินหลันก็ตั้งใจไปรับเซิ่นเอ๋อร์กลับมา นี่คือคำร้องขอของเจียงอวี้เหลียน หลายวันมานี้ เจียงอวี้เหลียนคิดถึงเซิ่นเอ๋อร์จนไม่อยากกินอาหารแล้ว ถ้าไม่พากลับมาเกรงว่าเจียงอวี้เหลียนคงจะก่อเรื่องอีกแน่


 


 


แน่นอนว่านางเองก็เห็นแก่ตัว ด้วยเป็นแม่ของซวนเอ๋อร์ นางไม่ดีใจที่จะเห็นไทเฮาเอ็นดูหรือโปรดปรานเซิ่นเอ๋อร์ นางหวังจากใจจริงให้ซวนเอ๋อร์เป็นที่หนึ่ง


 


 


พูดถึงเจียงอวี้เหลียนก็ถือว่าโชคดีมาก อาการหนักมากขนาดนั้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายยังรอดมาได้ แม้จะบอกว่ามีผลข้างเคียง ต่อจากนี้ไปในฤดูหนาวจะไอง่ายขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังรักษาชีวิตได้มิใช่หรืออย่างไร?


 


 


อาการของคนในจวนที่พอๆ กับเจียงอวี้เหลียน แต่มีเพียงเจียงอวี้เหลียนที่ทนมาได้ แม้แต่ชิงอวิ๋นที่ถาวจวินหลันลงแรงไปมากถึงเพียงนั้น สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยไว้ได้


 


 


เดินทางเข้ามาในวังหลวง ถาวจวินหลันย่อมต้องเดินตรงไปที่วังหย่งโซ่วของไทเฮาก่อน


 


 


ไทเฮาเพิ่งออกกำลังกายเสร็จ จางหมัวหมัวกำลังช่วยเช็ดเหงื่อให้ไทเฮา ก็ได้ยินเสียงรายงานจากข้างนอกว่าชายารองถาวมา


 


 


ไทเฮาได้ยินก็เลิกคิ้ว ยิ้มให้จางหมัวหมัวออกไปรับ “ซวนเอ๋อร์จะต้องกลับมาแล้วเป็นแน่ เจ้ารีบไปดูเร็วเข้า” หลายวันที่ไม่ได้พบ ไม่รู้ว่าซวนเอ๋อร์ยังจำย่าคนนี้ได้หรือไม่?


 


 


จางหมัวหมัวได้ยินไทเฮาพูดเช่นนี้ ก็ถอนหายใจ รีบยิ้มพลางพูดว่า “เพคะ ไทเฮาอย่าเร่งรีบไป ซวนเอ๋อร์ยังอยู่ข้างนอกเป็นแน่ บ่าวจะรับซวนเอ๋อร์เข้ามาเพคะ”


 


 


พูดไปพลาง ในใจของจางหมัวหมัวก็คิดไปพลาง ก่อนหน้านี้ยังเป็นกังวลว่าไทเฮาจะพาลไม่ชอบใจซวนเอ๋อร์เพราะเรื่องของถาวจวินหลันไปด้วย ตอนนี้มาคิดดูแล้วคงกังวลมากเกินไป ไม่แน่ว่าเพราะเห็นแก่หน้าซวนเอ๋อร์ เลยไว้หน้าถาวจวินอยู่บ้างด้วยซ้ำไป


 


 


จางหมัวหมัวออกจากห้องไป ก็เห็นถาวจวินหลันพาแม่นมและบ่าวสองคนยืนรออยู่ด้านนอกตามที่คาดไว้ เด็กทั้งสองคนถูกจูงเอาไว้คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งอุ้มเอาไว้ น่ารักบอบบางเหมือนก้อนหยก ทำให้หัวใจของคนละลาย


 


 


จางหมัวหมัวคิดในใจ ไม่แปลกใจที่ไทเฮาจะลำเอียงเอ็นดูซวนเอ๋อร์ เพียงแค่มองซวนเอ๋อร์ก็ดีกว่าเซิ่นเอ๋อร์ อีกอย่างชายารองถาวก็เลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ


 


 


แม้แต่หมิงจูที่เด็กกว่าเซิ่นเอ๋อร์ แต่ก็เลี้ยงให้คนรู้สึกชอบใจได้มากกว่าเซิ่นเอ๋อร์ ท่าทีไม่ร้องไม่โวยวาย หัวเราะอารมณ์ดีนี้จะไม่ให้คนชอบใจได้อย่างไร?


 


 


เมื่อเข้าไปในห้อง ไม่ทันรอให้ถาวจวินหลันพาเด็กๆ ทำความเคารพไทเฮา ไทเฮาก็โบกมือเรียกซวนเอ๋อร์ก่อน “มา ซวนเอ๋อร์มาเร็วเข้า มาหาย่าเร็ว”


 


 


ซวนเอ๋อร์จำไทเฮาได้ จึงรีบสะบัดมือของแม่นมออกอย่างคุ้นเคยคล่องแคล่ว พุ่งเข้าไปด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม วิ่งไปพลางตะโกนเสียงดังไปพลาง “เสด็จย่า!”


 


 


ไทเฮาที่ชื่นอกชื่นใจก็พูดตอบรับติดๆ กัน เอ่ยชมว่า “ซวนเอ๋อร์น่ารักนัก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน พูดชัดกว่าแต่ก่อนแล้ว แค่ได้ยินเสียงก็รู้ ซวนเอ๋อร์จะต้องตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ”


 


 


ถาวจวินหลันยืนอยู่ข้างๆ เม้มปากยิ้ม ไม่ใช่หรืออย่างไรกัน ออกข้างนอกไปครั้งหนึ่ง นิสัยของซวนเอ๋อร์ยิ่งดื้อรั้นขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน แม้แต่เสียงก็ดังมากยิ่งขึ้น สองวันก่อนหน้านี้ก็ร้องไห้หนัก แทบจะกระชากผนังห้องพัง


 


 


แต่มีท่าทีเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้มีท่าทีเหมือนเด็กมากขึ้น


 


 


พูดไปพลาง ไทเฮาก็หยิบขนมพุดตานที่อยู่ข้างมือส่งให้ซวนเอ๋อร์ “เอาไปกินเถิด”


 


 


ซวนเอ๋อร์ไม่เกรงใจ รับไปถือเอาไว้ในมือ ตอนที่กำลังจะกัดเข้าไป ฉับพลันก็สังเกตเห็นดวงตาดำเป็นประกายของหมิงจูมองมาที่ตน จึงรีบหยิบออกมา ส่งไปให้ “ให้น้อง”


 


 


ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกใจ รอยยิ้มยิ่งมายิ่งมีเมตตา “ซวนเอ๋อร์รู้จักแบ่งปันน้องสาวแล้ว รู้ความมากจริงๆ”


 


 


แต่หมิงจูยังเล็ก ถาวจวินหลันไม่กล้าให้หมิงจูกิน จึงพูดกล่อมซวนเอ๋อร์เสียงอ่อนว่า “ซวนเอ๋อร์กินเองเถิด นี่ไม่ใช่น้ำตาล ไม่อาจให้น้องสาวกินได้”


 


 


ซวนเอ๋อร์ถึงได้พยักหน้าส่งเข้าปากตัวเองไปคำหนึ่ง อาจด้วยอร่อย ดวงตาจึงหรี่ลง


 


 


ไทเฮามองอยู่ รู้สึกน่ารักน่าเอ็ดดูยิ่งนัก จึงโอบซวนเอ๋อร์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย


 


 


สุดท้ายแล้วก็เป็นจางหมัวหมัวที่เตือนไทเฮา “จะให้อุ้มคุณชายเซิ่นเอ๋อร์ออกมาหรือไม่เพคะ? ให้พวกเขาพี่น้องได้พบกัน”


 


 


แล้วแม่นมก็อุ้มเซิ่นเอ๋อร์เข้ามา ถาวจวินหลันมองทีหนึ่งก็อดมองไปทางหมิงจูไม่ได้ เซิ่นเอ๋อร์ดูแล้วไม่ได้มีเรี่ยวแรงแข็งแรงเท่าหมิงจู


 


 


ซวนเอ๋อร์พุ่งเข้าไปดู เซิ่นเอ๋อร์ไม่สนใจเขา เขาเองก็ไม่ได้ตื้ออีก เดินออกไปเล่นอีกทางหนึ่ง


 


 


ไทเฮาเห็นว่าซวนเอ๋อร์คิดแต่จะออกไปเล่นไปข้างนอก จึงสั่งให้นางกำนัลและแม่นมพาซวนเอ๋อร์ออกไปอย่างจนปัญญา และให้เซิ่นเอ๋อร์กับหมิงจูตามไปด้วย เหลือเพียงแค่ถาวจวินหลันเอาไว้พูดคุย เรื่องนี้ ถาวจวินหลันคาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว


 


 


เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ไทเฮาคงไม่อาจไม่ถามอะไรแม้แต่น้อย


 


 


“ตอนนี้ใครเป็นคนถือสิทธิ์ขาดดูแลจวนอ๋อง?” คำถามแรกที่ไทเฮาเปิดปากถามคือสิ่งนี้อย่างที่คาดเอาไว้


 


 


ถาวจวินหลันตอบตามตรง “ยังคงเป็นหม่อมฉันเพคะ แต่ตอนนี้ร่างกายของหม่อมฉันไม่ค่อยสมบูรณ์พร้อมนัก จึงให้อี๋เหนียงคนอื่นภายในจวนคอยช่วยเหลือ ไม่ได้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ถือว่าเป็นเรื่องดีภายในเรื่องไม่ดีเพคะ”


 


 


ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” นี่ก็เป็นเพราะว่าคนในจวนตวนชินอ๋องมีน้อย มิเช่นนั้นแล้วไฉนเลยจะสงบเงียบเช่นนี้? ดังนั้นพูดได้ว่ามีอนุภรรยาเยอะก็มีข้อดีของมัน รับอนุภรรยาน้อยก็มีข้อดีของมันเช่นกัน


 


 


ข้อดีที่หลี่เย่หัวแข็งไม่รับอนุภรรยาเยอะได้แสดงให้เห็นตอนนี้แล้ว


 


 


“เรื่องงานศพของหลิวซื่อจัดการอย่างเหมาะสมหรือไม่?” ไทเฮาถามเรื่องอื่นอีก


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า “จัดการอย่างเหมาะสมแล้วเพคะ น่าจะไม่มีเรื่องอะไรผิดพลาด”


 


 


“หลิวซื่อโชคร้ายนัก” ไทเฮาขมวดคิ้ว “ตายในช่วงเวลานั้นพอดี แม้แต่งานศพเองก็ยังจัดไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ตอนนี้เจ้าถึงต้องจัดการให้ดีเสียหน่อย อย่าให้คนอื่นคิดว่าจวนตวนชินอ๋องเย็นชาเกินไป แม้แต่งานศพก็ยังทำให้ดีไม่ได้”


 


 


แม้จะบอกว่าเป็นงานศพ แต่ถ้าพิธีเล็กเกินไปก็ทำให้หลี่เย่เสียหน้ามิใช่หรืออย่างไร? “ข้าได้ยินว่าไม่ได้เอาไปฝังที่สุสานตะวันตกหรือ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


 


 


ถาวจวินหลันอธิบายอย่างละเอียด “นี่เป็นคำร้องขอสุดท้ายของพระชายาเพคะ บอกว่าอยากฝังที่เดียวกับลูกชาย เพื่อไม่ให้เด็กเหงา จิตใจความเป็นแม่ของนางนี้ ท่านอ๋องเองก็เข้าใจดีเพคะ จึงได้อนุญาต ดังนั้นถึงไม่ได้ไปฝังที่สุสานตะวันตก” สุสานตะวันตกถือเป็นสุสานของสมาชิกราชวงศ์ นอกจากฮ่องเต้ในรัชกาลก่อนแล้ว สมาชิกของราชวงศ์ก็จะฝังอยู่ที่นั่นเช่นกัน ตามหลักการแล้วหลิวซื่อเองก็ต้องถูกฝังอยู่ที่สุสานตะวันตกเช่นเดียวกัน แต่ด้วยลูกชายของนางยังไม่ครบปีก็เสียชีวิตไปก่อน ดังนั้นจึงไม่สามารถฝังที่สุสานตะวันตกได้ ดังนั้นหลิวซื่อเองก็ไม่อาจฝังที่สุสานตะวันตก


 


 


ไทเฮาพยักหน้า ถอนหายใจทีหนึ่ง “ช่างน่าสงสารจิตใจคนเป็นแม่เหลือเกิน”


 


 


ถาวจวินหลันก็ทอดถอนหายใจเช่นเดียวกัน


 


 


ไทเฮาไม่ได้รำพึงรำพันอยู่นาน แล้วพูดถึงเรื่องอื่น “หลิวซื่อจากไปกะทันหัน ต้องหาชายาเอกคนใหม่ให้ตวนอ๋องแล้ว อายุขนาดนี้ก็เริ่มยากแล้ว”


 


 


ในเมื่อต้องเป็นชายาเอก ถ้าเด็กเกินไปก็ไม่เหมาะสม แต่ถ้าอายุมากเกินไปก็ไม่ได้ทำให้คนพอใจได้ พูดไม่น่าฟังก็คืออายุเยอะขนาดนั้นแล้วยังไม่แต่งงาน เกรงว่าคงจะมีอะไรที่ไม่ดี และถูกคนคัดตกไปในที่สุด


 


 


ถาวจวินหลันมองไทเฮาทีหนึ่ง รู้ดีว่าไทเฮาเริ่มพิจารณาหาภรรยาคนใหม่ให้หลี่เย่แล้ว อีกทั้งความหมายของไทเฮาก็คือหาคนใหม่จากด้านนอกมาแต่งเข้าเรือน


 


 


เรื่องนี้นางไม่อาจแสดงความคิดเห็นได้ จึงก้มหน้าไม่พูดจา


 


 


กลับเป็นไทเฮาที่ยิ้มน้อยๆ พลางถามนางว่า “ถาวซื่อ เจ้ารู้ความชื่นชอบของตวนชินอ๋องมากที่สุด เจ้าว่าเขาขอบชายาเอกแบบไหนมากที่สุด?”


 


 


นิ้วของถาวจวินหลันพลันกำแน่น นางรู้ชัดว่าไทเฮาเพียงนางไปอย่างนั้น ไม่ได้อยากได้คำตอบอะไรจากปากของนาง


 


 


แต่ในเมื่อไทเฮาเอ่ยปากแล้ว หากนางไม่ตอบก็จะดูไร้มารยาท ไร้กาลเทศะไปเสียหน่อย ดังนั้นจะตอบอย่างไรก็ล้วนเป็นปัญหาทั้งนั้น


 


 


ก่อนอื่น ตามเหตุตามผลแล้ว นางไม่มีคุณสมบัติไปเลือกชายาเอกแทนหลี่เย่ ยิ่งไม่ต้องพูดว่านางยินยอมหรือไม่ หากนางกล้าแสดงความคิดเห็นอะไรที่เป็นจริงมา เกรงว่าไทเฮาคงไม่ไว้หน้าอย่างแน่นอน และคงคิดว่านางกำลังวางแผนอะไรอยู่


 


 


อีกอย่างนางเองก็ไม่รู้จะหาชายาเอกอย่างไรให้กับหลี่เย่


 


 


ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายถาวจวินหลันก็ส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องนี้ยังต้องพึ่งไทเฮาตัดสินใจเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบ หากเรื่องอนุภรรยา หม่อมฉันยังพูดได้บ้าง แต่นี่เป็นการตบแต่งชายาเอก ไฉนเลยจะมีพื้นที่ให้หม่อมฉันออกความเห็นเล่าเพคะ?”


 


 


ไทเฮามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง ลอบพยักหน้าพอใจ คิดว่าถาวจวินหลันเป็นคนรู้จักกาลเทศะ แต่เมื่อคิดถึงฎีกาของหลิวซื่อ ในใจของไทเฮาก็ไม่ค่อยพอใจ ความพอใจจึงค่อยๆ หายไป


 


 


ถาวจวินหลันปล่อยให้ไทเฮาพิจารณาตามใจชอบ พยายามทำท่าทีโอนอ่อนคล้อยตาม แน่นอนว่าในใจของนางต้องไม่พอใจอยู่มากนัก ถ้าพูดตามความรู้สึกในใจแล้ว นางไม่คาดหวังให้หลี่เย่ตบแต่งชายาเอกคนใหม่เข้ามา แต่ถ้าพูดตามหลักเกณฑ์แล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องถูกต้องตามทำนองคลองธรรมมากที่สุด


 


 


ไทเฮาหัวเราะ “ข้าเองก็ไม่ได้ให้เจ้าตัดสินใจ เพียงแค่ให้เจ้าออกความเห็นเท่านั้น ในมือของข้าพอมีตัวเลือกอยู่บ้าง เจ้าช่วยข้าดูเสียหน่อย”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่าไทเฮาเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว แต่เพียงแค่นางไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วไทเฮาคิดจะทำอะไรกันแน่


 


 


เรื่องการเลือกพระชายาคนใหม่ นางคิดว่าต่อให้ควรทำ แต่สุดท้ายก็ดูเร่งรีบมากเกินไปหน่อย


 


 


หลิวซื่อยังตายไม่ถึงครึ่งปีเลยด้วยซ้ำไป! หากเสนอเรื่องชายาเอกคนใหม่ขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ คนอื่นจะคิดอย่างไร?


 


 


ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็เอ่ยปากว่า… 

 

 


บทที่ 471 พุทราหวาน

 

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็เอ่ยปากพูดว่า “ตอนนี้เพิ่งทำพิธีฝังพระชายาไปไม่นาน ทำอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่เช่นนี้คงจะไม่เหมาะสมหรือไม่เพคะ? ข่าวกระจายออกไปแล้วชื่อเสียงของท่านอ๋องคงไม่ดีแน่เพคะ”


 


 


ไทเฮามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง หัวเราะออกมา “เรื่องนี้ข้าย่อมต้องเข้าใจ แต่ตอนนี้ก็เพียงแค่ดูเท่านั้น ตกลงกันเป็นการส่วนตัวก็ยังไม่ได้เอาเข้าประตูมาในทันใด ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น คงไม่อาจรอให้พ้นปีไปก่อนแล้วถึงเริ่มพูดเรื่องแต่งงานได้ ถ้าเช่นนั้นกว่าจะแต่งเข้าเรือนมาต้องรอนานถึงขนาดไหนกัน? ตอนนี้จวนตวนชินอ๋องไม่มีนายหญิง ช่างไม่ถูกต้องเสียจริง”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ่งกล้ำกลืนฝืนทน ความหมายของไทเฮานั้นเห็นได้ชัดว่ารอจนชายาเอกคนใหม่เข้ามาในเรือนแล้ว ก็จะยกอำนาจดูแลจวนในมือของนางให้อีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ผิด อย่างไรนางก็เพียงแค่จัดการชั่วคราวเท่านั้น ย่อมไม่อาจสู้ชายาเอกตวนอ๋องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมได้


 


 


“หากไทเฮาเห็นว่าหม่อมฉันตัดสินใจรอบคอบ หม่อมฉันเองก็ช่วยดูได้เพคะ” สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ทำได้แค่เพียงพูดเช่นนี้ ในใจของนางรู้ดี ที่ไทเฮาพูดมามากมายเช่นนี้ ก็เพียงต้องการฟังคำนี้ของนางเท่านั้น แต่นางกลับไม่ยินยอมพูดอย่างถ่อมตัวมากเกินไป


 


 


ไทเฮาเห็นถาวจวินหลันยอมพูด รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร แต่เจ้าวางใจได้ ไม่ว่าจะเลือกใครมาเป็นชายาเอก ตำแหน่งของซวนเอ๋อร์ก็ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทำให้เขาไม่พอใจ เจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดซวนเอ๋อร์ ย่อมต้องไม่ได้รับความอยุติธรรมเป็นแน่”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะทันที นี่ถือว่าตบหัวแล้วลูบหลังมิใช่หรือ? สมแล้วที่เป็นไทเฮา พูดเรื่องนี้ไหลลื่นราวสายน้ำ เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง


 


 


หากนางเป็นกังวลแค่ตำแหน่งของซวนเอ๋อร์จะถูกโค่น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ย่อมต้องดีใจอย่างถึงที่สุด แต่เหตุผลหลักที่นางไม่อยากให้หลี่เย่แต่งชายาเอกคนใหม่เข้ามา กลับเป็นเพราะใจของนางเอง ดังนั้นเมื่อนางได้ยินคำพูดนี้ไม่เพียงแค่ไม่ดีใจ แต่กลับรู้สึกเย้ยหยัน


 


 


แต่คำพูดเหล่านี้นางย่อมไม่อาจให้ไทเฮารู้ได้ หากไทเฮาได้ยิน คงจะคิดว่านางคิดเพ้อเจ้อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มิใช่หรือ?


 


 


ดังนั้น สุดท้ายแล้วนางก็ทำได้แค่ก้มหัว พูดเสียงเบา “ขอบพระทัยไทเฮาที่สงสารหม่อมฉันเพคะ”


 


 


หลังจากนั้นไทเฮาก็นำภาพเหมือนของหญิงสาวสองสามคนมาให้ถาวจวินหลันดู แต่ละคนหน้าตางดงาม ตระกูลโด่งดัง พูดได้ว่าทุกคนห่างกับถาวจวินหลันไกลจนมองไม่เห็นฝุ่น


 


 


ถาวจวินหลันไม่เพียงแแค่พูดว่าใครดี แต่ยังเอ่ยชมทุกคนสองสามคำ และเก็บคำพูดไม่ดีไว้ในใจ นางรู้ดี หากนางกล้าจับผิด ไทเฮาจะต้องไม่พอใจเป็นแน่ ดังนั้นไม่สู้เอ่ยชมออกมาทุกคน แสดงท่าทีที่ดีออกมายังจะดีกว่า


 


 


แต่ที่จริงแล้วก็ไม่มีข้อให้จับผิด ในเมื่อส่งมาถึงมือของไทเฮาแล้ว สตรีทุกนางที่อยู่ในสมุดภาพของไทเฮาย่อมหาเรื่องจับผิดได้ยาก ต่อให้มีก็ถูกข้อดีกลบไปหมด


 


 


พอดูภาพเหมือนของสตรีที่เป็นตัวเลือกชายาเอกตวนชินอ๋องแล้ว ไทเฮาก็ทอดถอนใจ “ว่าไปแล้ว หลิวซื่อส่งฎีกาฉบับหนึ่งขึ้นมา แสดงความคิดเห็นหนึ่งต่อข้า พอมาคิดดูให้ละเอียดแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”


 


 


ถาวจวินหลันตะลึงไป ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้พูดถึงหลิวซื่อ? หรือจะบอกว่าฎีกาของหลิวซื่อเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?


 


 


เมื่อคิดถึงคำพูดของหลิวซื่อตอนนั้น ถาวจวินหลันพลันใจเต้นเร็ว หรือว่า…หากเป็นจริงตามที่นางคาดเดา ไทเฮาจะมีความเห็นเช่นไร?


 


 


ขณะที่ถาวจวินหลันใจเต้นดั่งกลองรัว และความคิดสับสนวุ่นวาย ไทเฮาก็พูดออกมา “หลิวซื่อให้แต่งตั้งเจ้าเป็นชายาเอกตวนชินอ๋อง”


 


 


นี่เหมือนกับสิ่งที่ถาวจวินหลันคาดเดาเอาไว้ แต่ถาวจวินหลันกลับมองไม่เห็นว่าไทเฮาจะเห็นด้วย


 


 


เมื่อเจอกับสายตานิ่งของไทเฮาที่มองมา ถาวจวินหลันก็เข้าใจความหมายของไทเฮา ไทเฮาคิดจะให้นางเอ่ยปฏิเสธเรื่องนี้ด้วยตนเอง จึงอดแค่นหัวเราะในใจไม่ได้ ปกติไทเฮาก็ดูถูกนางอยู่แล้ว


 


 


แต่ถาวจวินหลันกลับแสร้งเป็นไม่เข้าใจความหมายของไทเฮา เพียงแค่แสดงท่าทีแปลกใจ “พระชายาเขียนเรื่องเช่นนั้นในฎีกาหรือเพคะ!”


 


 


ไทเฮาหรี่ตาลง จากนั้นก็หัวเราะออกมา ถามออกมาตามสบายว่า “อะไรกัน เจ้าไม่รู้เรื่องอย่างนั้นหรือ?”


 


 


ถาวจวินหลันส่ายหน้า “หม่อมฉันก็เพิ่งรู้ตอนที่ฎีกาถูกส่งไปแล้ว ส่วนเนื้อหานั้นหม่อมฉันย่อมไม่รู้แม้แต่น้อยเพคะ”


 


 


ไทเฮาพยักหน้า แต่กลับไม่ได้พูดว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ จากที่ถาวจวินหลันดูแล้ว เกรงว่าไทเฮาคงไม่เชื่อคำพูดนี้แม้แต่น้อย


 


 


แต่ไทเฮาจะเชื่อหรือไม่แล้วเกี่ยวข้องอย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็ไม่มีทางให้นางเป็นชายาเอกตวนชินอ๋องเป็นแน่ ดังนั้น นางจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร


 


 


“ตวนชินอ๋องมีนิสัยเรียบง่าย เกรงว่าหลายเรื่องคงจะขัดกัน เจ้ากลับไปเกลี้ยกล่อมเขาเสียหน่อย” ไทเฮาถอนหายใจ ฉับพลันก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา


 


 


หากฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ไทเฮา หากนางไม่ได้เคารพไทเฮา เกรงว่าตอนนี้นางคงหัวเราะเยาะออกมา ไทเฮาวางแผนมาดีตามที่คาดไว้ ตบหัวแล้วลูบหลัง ปล่อยให้นางดิ่งลึกลงไปอีกครั้ง สุดท้ายก็ให้นางไปเกลี้ยกล่อมให้หลี่เย่แต่งชายาเอกคนใหม่


 


 


แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ของไทเฮาก็เป็นการลอบสังเกตการณ์ หากนางเชื่อฟังไทเฮากล่อมให้หลี่เย่แต่งชายาเอกคนใหม่เข้ามา ก็แสดงว่านางไม่มีความคิดทะเยอะทะยานนั้นจริง แต่หากนางพูดอย่างอื่นต่อหน้าหลี่เย่ หรือไปเป่าหูหลี่เย่ให้แต่งตั้งนางเป็นชายาเอก เช่นนั้นก็ถือว่าแสดงความทะเยอทะยานของนางอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


ถาวจวินหลันสูดหายใจเข้าลึก หลุบตาลงปิดบังอารมณ์ของตนเองเอาไว้ พูดเสียงเบา “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในใจของท่านอ๋องย่อมต้องมีความคิดอยู่แล้วเพคะ ไม่ใช่เรื่องที่หม่อมฉันเข้าไปแทรกได้ แต่หม่อมฉันจะนำความตั้งใจของไทเฮาไปถ่ายทอดให้ท่านอ๋องฟัง ท่านอ๋องกตัญญูมาโดยตลอด คิดว่าจะต้องเชื่อฟังไทเฮาเป็นแน่เพคะ”


 


 


ให้นางไปพูดอะไรต่อหน้าหลี่เย่ก็ได้ แต่ถ้าจะให้นางไปกล่อมหลี่เย่ยอมรับผู้หญิงคนอื่น นางไม่ยินยอม! ต่อให้ต่อจากนี้ไปจะต้องสูญเสียความช่วยเหลือจากไทเฮา นางเองก็ยินยอม!


 


 


บางทีถ้าเป็นแต่ก่อนนางคงลังเลแล้วสุดท้ายก็จะยอมให้เพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นไทเฮา แต่ตอนนี้…ความเป็นความตายก็ผ่านมาแล้ว ยังต้องกลัวอะไรอีก? ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากไทเฮา หรือว่านางจะทำเรื่องที่ตนเองอยากทำไม่ได้หรืออย่างไร?


 


 


เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทีแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องทั้งที่เข้าใจดีของถาวจวินหลัน ไทเฮาย่อมไม่อาจทำอะไรต่อไปได้ เพียงแค่สีหน้าเย็นลงหลายส่วน ออกคำสั่งไล่แขก “ให้ซวนเอ๋อร์และหมิงจูอยู่ในวังอีกสักสองสามวันก่อนเถิด ข้าไม่ได้พบพวกเขามานาน คิดถึงเป็นที่ยิ่ง”


 


 


แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่ได้คิดว่าไทเฮาจะเอาซวนเอ๋อร์และหมิงจูมาข่มขู่นาง จึงยิ้มและพูดว่า “ไทเฮาไม่รังเกียจพวกเขาว่าดื้อรั้นก็ไม่เป็นอะไรเพคะ สามารถคลายความไม่สบายใจของไทเฮาได้ ก็ถือว่าซวนเอ๋อร์มีประโยชน์แล้วเพคะ”


 


 


หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “แต่ชายารองเจียงคิดถึงเซิ่นเอ๋อร์มาก ให้เซิ่นเอ๋อร์กลับไปหานาง ถือว่าทำให้นางมีความสุขเพคะ ไม่แน่ว่าเมื่อดีใจสุขภาพก็จะดีตามมาด้วยนะเพคะ ไทเฮาว่า…”


 


 


สำหรับเซิ่นเอ๋อร์นั้นไทเฮาย่อมไม่ได้ชื่นชอบขนาดนั้น จึงไม่ค่อยสนใจ โบกมือให้ทันที “พากลับไปเถิด”


 


 


ถาวจวินหลันกำลังจะทูลลากลับจวนไป แต่ด้านนอกกลับมีนางกำนัลเข้ามารายงานกะทันหัน “อี๋เฟยเหนียงเหนียงพาองค์ชายน้อยมาเพคะ บอกว่ามาทำความเคารพไทเฮา”


 


 


อี๋เฟยกลับมาแล้ว? ถาวจวินหลันเลิกคิ้วน้อยๆ หลายวันมานี้นางไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่อี๋เฟยได้ลูกชายกลับมา คิดว่าจะต้องมีอนาคตดีเป็นแน่


 


 


แต่เหตุผลตอนแรกที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่นั่นเป็นเพราะว่ามีดวงชะตาขัดกับไทเฮา ตอนนี้กลับเข้ามาเสนอตัวต่อหน้าไทเฮา ไม่กลัวว่าคนจะเอาไปนินทาหรืออย่างไร? หรือถ้าไทเฮาเป็นอะไรไป แล้วถูกผลักความรับผิดชอบไปที่นางเล่า?


 


 


คำพูดที่จะขอตัวลาตอนแรก ย่อมต้องกลืนเข้าไปอีกครั้ง พูดตามจริง นางอยากเห็นว่าอี๋เฟยเป็นอย่างไรบ้าง?


 


 


ไทเฮาพยักหน้า “ให้นางเข้ามา ด้านนอกลมแรง อย่าให้พัดจนหลานข้าตกใจ”


 


 


เพียงไม่นาน อี๋เฟยก็เข้ามา อุ้มผ้าไว้ในอ้อมอก ดูแล้วคงจะเป็นองค์ชายเก้า


 


 


ถาวจวินหลันลุกขึ้นทำความเคารพอี๋เฟย “ทำความเคารพอี๋เฟยเหนียงเหนียงเพคะ”


 


 


อี๋เฟยทำความเคารพไทเฮาแล้ว ถึงได้มองมาทางถาวจวินหลัน เลิกคิ้วเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นชายารองถาว อาจด้วยไม่ได้พบมานาน ได้ยินว่าเจ้าติดเชื้อโรคระบาดจนเกือบเสียชีวิตมิใช่หรือ? ตอนนี้ดูแล้วข่าวลือคงไม่เป็นจริงเสียแล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือโกหกก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้นเพคะ ด้วยความดีของอี๋เฟยเหนียงเหนียง ตอนนี้หม่อมฉันเกือบจะหายดีแล้วเพคะ กลับเป็นอี๋เฟยเหนียงเหนียงหลังจากให้กำเนิดแล้วกลับมีน้ำมีนวลขึ้นไม่น้อย ดูงดงามเหลือเกินเพคะ”


 


 


ตอนที่อี๋เฟยตั้งครรภ์นั้นผอมกว่านี้มาก เมื่อเทียบตอนนั้นกับตอนนี้แทบจะเป็นคนละคน ตอนนี้อวบอิ่มมีน้ำมีนวล สีหน้าย่อมต้องดูดีขึ้นมาก ยิ่งดูสวยมากขึ้นหลายส่วน


 


 


อี๋เฟยยิ้มสดใสออกมา “ขอบใจ” ท่าทีดูสมใจมากนัก


 


 


“นี่คือองค์ชายเก้าหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันก้าวขึ้นมาข้างหน้า พิจารณามองในผ้า แน่นอนว่าไม่ได้ยื่นมือออกไป หลังจากมองดูแล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยชม “องค์ชายเก้าดูแข็งแรงยิ่งนัก ไม่เหมือนกับเพิ่งคลอดออกมาเลยแม้แต่น้อยเพคะ ดูท่าทางอี๋เฟยจะต้องเลี้ยงดูเป็นอย่างดีแน่นอนเพคะ”


 


 


ดวงตาของอี๋เฟยเป็นประกาย เม้มปากหัวเราะ “แม่นมสามคนสลับกันมาดูแล ย่อมต้องแข็งแรงอยู่แล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มแต่ไม่พูด ต่อให้ซวนเอ๋อร์และหมิงจูจะมีแม่นมกี่คน ก็ไม่เห็นแข็งแรงเท่าองค์ชายเก้า แต่องค์ชายเก้ากลับดูอ้วนสมบูรณ์มากกว่าหมิงจูที่อายุเดือนด้วยซ้ำไป


 


 


แต่นี่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางจึงไม่พูดอะไรอีก รอให้ไทเฮาพูดคุยกับอี๋เฟย


 


 


ไทเฮากลับไม่ได้มีท่าทีตั้งใจพิจารณามององค์ชายเก้า แต่หัวเราะเอ่ย “สุดท้ายคนที่เป็นแม่คนเจอกันก็มีเรื่องพูดอยู่ตลอด ชายารองถาวเลี้ยงลูกได้ดี อี๋เฟยก็ควรเรียนรู้จากนาง”


 


 


ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะอย่างถ่อมตน “ไฉนเลยจะเป็นหม่อมฉันเลี้ยงเพคะ ไทเฮาเลี้ยงซวนเอ๋อร์มากับมือ หม่อมฉันไม่กล้าแย่งผลงานเป็นแน่ ส่วนหมิงจู เวลาที่อยู่กับหม่อมฉันก็น้อยนัก คราวนี้ที่จากไปก็เกือบสามเดือน เกือบจะจำหม่อมฉันไม่ได้แล้วเพคะ”


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ก็รู้สึกโศกเศร้าและรู้สึกผิดขึ้นมา


 


 


อี๋เฟยส่งองค์ชายเก้าให้แม่นมอุ้ม อมยิ้มมองไปทางถาวจวินหลัน “ชายารองถาวมีทั้งลูกชายและลูกสาว ไม่อาจถ่อมตนได้อีกแล้ว ข้ายังคิดอยากจะศึกษาจากเจ้า แม้จะมีเจ้าเก้าแล้ว แต่ในใจของข้าก็ยังคิด หากว่ามีลูกสาวอีกสักคนก็คงจะดี”


 


 


เมื่อได้ยิน ถาวจวินหลันก็เกือบสำลัก ดูจากอายุของฮ่องเต้แล้ว ยังคิดจะมีอีกหรือ? นี่ไม่ฝืนไปหน่อยหรืออย่างไร? 

 

 


บทที่ 472 คุณสมบัติ

 

ตกดึกตอนที่พบหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็บอกความคิดของไทเฮาให้หลี่เย่รับรู้ “ความหมายของไทเฮาคือ อยากคัดตัวเลือกชายาเอกคนใหม่ให้เสร็จสิ้นเพคะ”


 


 


หลี่เย่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่กลับไม่ได้ตื่นตกใจมากนัก ทว่าแสดงท่าทีสงบนิ่งและเย็นชา “อืม”


 


 


เห็นหลี่เย่ไม่เอ่ยปฏิเสธเช่นนี้ ในใจของถาวจวินหลันก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิด อดกัดลิ้นของตนไม่ได้ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ นางกลัวว่าจะควบคุมความหงุดหงิดนี้ไว้ไม่ได้ แม้ในใจของนางจะรู้ดีว่าไม่มีอะไรน่าหงุดหงิด แต่นางก็ยังควบคุมไม่ได้ มองดูหลี่เย่มีท่าทีเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ


 


 


คิดอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายแล้วนางก็ถามตามใจคิด “แล้วท่านเล่า? คิดว่าอย่างไร?”


 


 


หลี่เย่เงยหน้าขึ้นมา สายตาย้ายจากหนังสือที่อยู่ในมือไปยังใบหน้าของถาวจวินหลัน ยิ้มเล็กน้อย “ทำไมจู่ๆ ถึงได้ถามเช่นนี้? ตอนนี้หลิวซื่อเพิ่งเสียชีวิตไป อย่างไรก็รอผ่านไปสักครึ่งปีก่อนเรื่องนี้ก็ยังไม่สายเกินไป”


 


 


ตอนที่หลี่เย่พูดออกมา ทั้งมีท่าทีเป็นธรรมชาติและหนักแน่นมั่นคง เห็นได้ชัดว่าเขาคิดเช่นนี้มาตลอด


 


 


ถาวจวินหลันรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ยังคงแสดงความคิดของไทเฮาอีกครั้ง “แต่ไทเฮาคิดอยากจะคัดเลือกชายาคนใหม่ให้เสร็จในเร็ววัน หรือท่านคิดว่าเร่งรีบมากเกินไป?”


 


 


“มีอะไรต้องเร่งรีบกัน?” หลี่เย่ยิ้มพลางพูดออกมา มองไปทางถาวจวินหลันอย่างแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าใส่ใจเรื่องนี้เสียนี่” แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้นมากอีกหลายส่วน มองดูมีความสุขยิ่งนัก


 


 


ถาวจวินหลันมองปฏิกิริยาของเขา รู้สึกอายแกมโมโห จึงถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “จะไม่เร่งรีบได้อย่างไร? ข้าเป็นอนุภรรยาก็ควรต้องรู้ว่าฮูหยินใหญ่จะมาเมื่อไรมิใช่หรือ? ควรต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนมิใช่หรือ!”


 


 


“จะต้องเตรียมทำอะไร?” เห็นถาวจวินหลันร้อนรน หลี่เย่กลับหัวเราะ “แล้วทำไมเจ้าจะต้องเตรียมพร้อม? ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่มีทางข้ามเจ้าไปได้ ฮูหยินใหญ่ ถ้าไม่ใช่เจ้าก็ย่อมมิใช่คนอื่น ก่อนหน้านี้ข้าเลือกด้วยตนเองไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้าไม่ใช่องค์ชายรองที่ให้คนคอยชักจูงได้อีกแล้ว”


 


 


ที่ถาวจวินหลันร้อนรนเช่นนี้ก็อธิบายแล้วว่านางใส่ใจเรื่องนี้ ดังนั้นเขาย่อมต้องดีใจ


 


 


ถาวจวินหลันกลับคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะตอบเช่นนี้ จึงตื่นตะลึงจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา พูดได้ว่าหลังจากวันนี้นางกลับจากวังหลวงมาอารมณ์ก็ย่ำแย่มาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงเรื่องหลี่เย่ต้องตบแต่งชายาเอกคนใหม่ อารมณ์ของนางจึงมีแต่แย่ลง


 


 


และที่นางหงุดหงิดเมื่อครู่นี้ ก็ด้วยเหตุนี้เหมือนกัน พูดจากใจแล้ว นางหวังมากว่าหลี่เย่จะปฏิเสธเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ที่หลี่เย่พูดปฏิเสธเรื่องนี้ด้วยตนเองนั้น และพูดคำพูดนั้นออกมานางกลับรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย


 


 


หลังจากซาบซึ้งแล้ว สุดท้ายก็ทำได้แค่ฝืนยิ้มออกมา “อย่ามาล้อข้าเล่นเลยเพคะ ไฉนตัวข้าจะเหมาะสมกับตัวเลือกของไทเฮา? เพียงแค่พูดถึงชาติตระกูลก็มากพอแล้ว”


 


 


หลี่เย่ก็เพียงแค่พูดให้นางอารมณ์ดีขึ้นเท่านั้น ต่อให้ตอนที่หลี่เย่พูดจะเอาจริงเอาจัง แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับเป็นเรื่องตลกที่ไม่มีวันเป็นไปได้


 


 


ถ้าบอกว่าผ่านไปอีกสักสองสามปี สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปทำให้นางมีโอกาส นางยังพอเชื่อได้ แต่ตอนนี้…นางกลับรู้ดีแก่ใจว่าไม่มีโอกาสเป็นจริง อย่างไรโทษของขุนนางนักโทษตระกูลถาวก็ยังไม่ตกไป ถาวจิ้งผิงก็เพียงแค่ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้บ้างเท่านั้น ถ้าจะพูดว่ามีอำนาจล้นฟ้าจนไม่มีใครกล้าแตะต้อง ก็ยังห่างไกลยิ่งนัก


 


 


ถาวจวินหลันเริ่มไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ จึงตัดสินใจส่ายหน้าจงใจพูดว่า “เอาเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไปดูว่ามีของว่างยามดึกอะไรบ้าง” พอพูดจบก็คิดจะเดินออกไปข้างนอก


 


 


หลี่เย่กลับจับข้อมือของนางเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย พูดออกมาอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้ล้อเล่น ตอนหลิวซื่อนั้นเพราะว่าไม่อาจทำตามใจตนเองได้ สถานการณ์เช่นนี้ข้าไม่มีทางให้เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง ตำแหน่งชายาเอกตวนอ๋องมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่นั่งได้”


 


 


ถาวจวินหลันตะลึงนิ่งไปเล็กน้อย ความรู้สึกเจ็บปวดและอ่อนหวานค่อยๆ เกิดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ สุดท้ายแล้วก็กระจายไปทั่วใจ และปิดกลั้นคอของนางเอาไว้ ทำให้นางสะอึกสะอื้นพูดอะไรไม่ออก


 


 


นางเห็นความจริงใจ จริงจัง และหัวแข็งของหลี่เย่


 


 


ความจริงใจนี้ทำให้นางร้องไห้ เรื่องที่อัดอั้นตันใจมาตลอดได้คลายลง ที่จริงแล้วขอแค่หลี่เย่ดีต่อนาง แล้วทำไมนางยังจะต้องใส่ใจเรื่องมากมายเช่นนี้ด้วย? เป็นชายารองไปตลอดแล้วจะทำไม? เป็นรองคนอื่นแล้วจะทำไม? ก่อนหน้านี้ก็มีหลิวซื่อ ถ้าหลังจากนี้จะมีหลิวซื่อ โจวซื่อ หลี่ซื่อมาอีกคนก็ไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ยังต้องใช้ชีวิตเหมือนเดิมมิใช่หรืออย่างไร? ทำไมจะต้องน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ด้วย?


 


 


เมื่อคิดเรื่องนี้เข้าใจ ถาวจวินหลันก็เก็บความรู้สึกอื่นลงไป ส่งยิ้มให้หลี่เย่น้อยๆ “จะเป็นชายาเอกหรือไม่มีความสำคัญอะไร ขอเพียงท่านคิดเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วเพคะ”


 


 


หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็หัวเราะสดใสมากกว่าเดิม “เจ้าวางใจ ข้าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือหรืออย่างไรกัน? ในเมื่อข้าพูดเช่นนี้แล้วข้าย่อมต้องวางแผนเอาไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล เพียงแค่รอก็พอ”


 


 


“เพคะ” คราวนี้ถาวจวินหลันไม่ได้พูดตอบโต้ เพียงแค่เอ่ยรับคำเสียงเบา แล้วโถมตัวเข้าไปในอ้อมอกของหลี่เย่อีกครั้ง ในใจกลับคิดว่าจะทำได้หรือไม่ ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ขอแค่เพียงได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ตลอดไป นางก็พอใจแล้ว


 


 


วันนี้หลังจากหลี่เย่ทานอาหารและออกไปเดินชมบรรยากาศ ก็ถามอย่างกะทันหัน “พรุ่งนี้เจ้าไปที่จวนขององค์หญิงแปดสักรอบหนึ่งเถิด”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็อดตะลึงไม่ได้ ถามกลับตามสัญชาตญาณ “องค์หญิงแปดเป็นอะไรหรือ?”


 


 


“ผู้ลอบสังหารคราวที่แล้วถูกจับตัวแล้ว” หลี่เย่พูดเสียงเบา แต่สิ่งที่ปากพูดและการกระทำกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ฟังแค่เสียงก็จะรู้สึกเข้มงวด แต่การกระทำกลับอ่อนหวานอ่อนโยน ร่างกายของถาวจวินหลันยังคงอ่อนแรงอยู่ หมอหลวงบอกว่าทางที่ดีจะต้องคลายกล้ามเนื้อทุกวัน ดังนั้นเขาจึงจูงนางออกมาเดินเล่นทุกวัน


 


 


ถาวจวินหลันตื่นตะลึงเพราะคำพูดนี้ของหลี่เย่ “พบแล้วหรือ?” นี่ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว ในที่สุดก็หาพบแล้วอย่างนั้นหรือ? ก่อนหน้าหลี่เย่พูดว่าเบาะแสขาดตอน นางยังคิดว่าคงจะหาตัวไม่ได้แล้ว เรื่องนี้จึงได้ปล่อยผ่านไปเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่า… จะพูดว่าไม่แปลกใจก็เป็นเรื่องโกหก หลังจากความตื่นตกใจแล้ว นางก็รีบถามว่า “ถ้าเช่นนั้นสุดท้ายแล้วเป็นใครที่ทำเรื่องนี้?”


 


 


“เป็นเฝินหยางโหวจริง แต่ระหว่างนั้นก็มีฝีมือขององค์รัชทายาทอยู่ด้วย” หลี่เย่ย่อมไม่ปิดบัง แล้วพูดผลที่สืบได้ให้นางฟัง “เฝินหยางโหวทำเพราะไม่พอใจเรื่องน้องเก้าปฏิเสธการแต่งงาน คิดจะแก้แค้นอยู่ตลอด องค์รัชทายาทช่วยเฝินหยางโหวจัดการเรื่องปิดบัง ส่วนฮองเฮารู้หรือไม่นั้นก็ไม่อาจรู้ได้”


 


 


ถาวจวินหลันครุ่นคิด พูดออกมาอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาจะต้องรู้เรื่องนี้เป็นแน่ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่รู้ แต่หลังจากองค์รัชทายาทช่วยเฝินหยางโหวแล้วต้องรู้เป็นแน่” องค์รัชทายาทคงไม่ปิดบังฮองเฮาเป็นแน่


 


 


อีกอย่างเพียงแค่กำลังขององค์รัชทายาทเอง พูดตามตรงนางยังสงสัยว่าองค์รัชทายาทมีความสามารถเช่นนี้จริงหรือ


 


 


หลี่เย่หัวเราะเบาๆ แต่พอได้ยินก็เย็นวาบไม่น้อย “ไม่ว่าฮองเฮาจะรู้เรื่องนี้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรหนี้แค้นครั้งนี้ควรจะต้องแก้แค้นอย่างไรก็ควรต้องทำเช่นนั้น ขอเพียงแค่ทำให้องค์รัชทายาทสั่นคลอน ฮองเฮาก็ต้องไม่สบายใจเป็นแน่”


 


 


“เรื่องโรคระบาดครั้งนี้ สุดท้ายแล้วหลี่ว์หลิ่วติดโรคระบาดได้อย่างไรสืบออกมาได้แล้วหรือยังเพคะ?” ถาวจวินหลันไม่อยากพูดเรื่องเหล่านั้นข้างนอกอีก อย่างไรถ้าไม่ระวังปล่อยให้คนได้ยินเข้า นั่นก็จะไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางใส่ใจตั้งแต่แรก และหากมีคนได้ยินก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัว


 


 


หลี่เย่ส่ายหน้า “สืบได้ครึ่งหนึ่งเบาะแสก็ขาดไป รู้เพียงแค่ว่าโรคระบาดนี้เริ่มมานางกำนัลข้างกายของหลี่ว์หลิ่ว ส่วนต้นเหตุมาจากที่ใดกลับไม่รู้แล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่มาคิดดูแล้วต้นสายนั้นจะต้องควบคุมเป็นอย่างดีแน่นอน มิเช่นนั้นบรรดานางกำนัลในวังหลวงแต่ละวันต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากมายไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่กลับไม่ระบาดไปยังคนเยอะกว่านี้ แน่นอนว่าต้องลงมือไปไม่น้อยเป็นแน่ คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ในวังหลวงได้ มีไม่เยอะนักเพคะ”


 


 


หลี่เย่ย่อมต้องเข้าใจความหมายของนาง จึงแค่นหัวเราะออกมา “แต่ขาดก็แค่หลักฐานเท่านั้น คราวนี้ฮ่องเต้ให้สืบเรื่องนี้อย่างหนัก ขอเพียงมีความเกี่ยวข้องกับฮองเฮาแม้แต่นิดเดียว ฮองเฮาก็ไม่รอดแน่ แต่น่าเสียดาย…”


 


 


ถาวจวินหลันเองก็นิ่งไปเช่นกัน ถูกแล้ว ไม่มีหลักฐานต่อให้ในใจจะเข้าใจมากเพียงใด นั่นก็ไร้ประโยชน์


 


 


“พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนองค์หญิงแปดสักครั้ง ไปเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นการชดเชยแก่นาง” ถาวจวินหลันคิดถึงสถานการณ์ในตอนนั้นขึ้นมา ก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ แล้วก็ถอนหายใจ “เกรงว่าองค์หญิงเก้าก็คงคิดไม่ถึง ว่าคำพูดปฏิเสธตอนนั้นสร้างเรื่องเดือดร้อนมากมายจนถึงตอนนี้”


 


 


เมื่อพูดถึงองค์หญิงเก้า หลี่เย่ก็คิดถึงคำพูดที่นางพูดกับเขา จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ แล้วจึงพูดว่า “ถ้าหากเจ้ามีเวลา ก็ไปมาหาสู่กับนางให้บ่อยหน่อยเถิด ปกติแล้วนางเป็นคนอ่อนไหวยิ่งนัก ในเมื่อเจ้าเป็นทั้งพี่สะใภ้และพี่สามี จะใส่ใจนางให้มากก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”


 


 


จากคำพูดในวันนั้น เกรงว่าองค์หญิงเก้าคงจะมีความคิดอะไรต่อถาวจวินหลันเป็นแน่ ด้วยเป็นน้องสาวที่คิดว่าสนิทอย่างหาได้ยาก หลี่เย่ย่อมไม่คาดหวังให้ระหว่างองค์หญิงเก้าและถาวจวินหลันมีปัญหากัน ดังนั้นถึงได้พูดเช่นนี้


 


 


แม้ถาวจวินหลันจะแปลกใจที่หลี่เย่พูดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่นึกว่าหลี่เย่เป็นห่วงองค์หญิงเก้า นางจึงตกปากรับคำว่า “เพคะ”


 


 


คนหนึ่งไม่ได้อธิบายให้ละเอียด อีกคนหนึ่งก็ไม่ได้คิดลึก ทั้งสองคนที่ปกติแล้วเข้ากันได้เป็นอย่างดีกลับไม่เข้าใจกันอย่างหาได้ยาก ผลที่ออกมาทำให้ผลลัพธ์และสิ่งที่คาดเอาไว้ไปกันคนละทิศละทาง


 


 


แต่นั่นถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญยังคงเป็นเรื่องที่วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันไปจวนองค์หญิงแปด ความจริงแล้วถาวจวินหลันไปเพียงแค่บอกกล่าวข่าวหนึ่ง แต่ยังได้รับอีกข่าวมาจากทางองค์หญิงแปดด้วย 

 

 


บทที่ 473 ข่าวคราว

 

เพราะทั้งสองใกล้ชิสนิทสนมกัน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไม่ได้ส่งหมายแจ้งไปก่อน วันรุ่งขึ้นก็เดินทางออกไปเลย คนที่ไปด้วยยังมีถาวซินหลันและองค์หญิงเก้า อย่างไรไปแล้วคงไม่อาจพูดคุยกันแค่สองสามประโยค ขาดไม่ได้ที่จะอยู่เล่นด้วยกันทั้งวัน ดังนั้นถึงได้เรียกทั้งสองคนไปด้วยเพื่อให้สนุกมากยิ่งขึ้น


 


 


ที่ชวนองค์หญิงเก้า ก็ด้วยเกี่ยวข้องกับคำพูดของหลี่เย่


 


 


แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว ถาวจวินหลันก็แอบหาโอกาสพูดคุยกับองค์หญิงแปดเป็นการส่วนตัว อย่างไรพูดต่อหน้าองค์หญิงเก้าก็มีแต่ทำให้องค์หญิงเก้ารู้สึกผิดและขอโทษเท่านั้น


 


 


ถาวจวินหลันเล่าเรื่องที่หลี่เย่สืบพบให้องค์หญิงแปดฟัง แล้วท่าทีขององค์หญิงแปดก็ผิดปกติไป ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ แต่สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น


 


 


ความรู้สึกเหล่านั้นแพร่กระจายออกมาจากตัวองค์หญิงแปด จนถาวจวินหลันรับรู้สึกได้ เมื่อคิดถึงลูกขององค์หญิงแปด นางก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา “ในเมื่อรู้ว่าเป็นใครแล้ว ข้าจะต้องเรียกความยุติธรรมให้เจ้าเป็นแน่”


 


 


องค์หญิงแปดหัวเราะเสียงเย็น “ก่อนหน้านี้เพราะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ตอนนี้รู้แล้ว ข้าย่อมต้องไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน ท่านเองก็ไม่ต้องเกรงใจข้า เรื่องนี้ต้องเป็นข้าลงมือแก้แค้นนี้เอง”


 


 


ถาวจวินหลันมององค์หญิงแปดที่มีท่าทีเ**้ยมโหดก็นึกแปลกใจ แม้นรู้อยู่แล้วว่าองค์หญิงแปดไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ แต่ในวันนี้ดูแล้วคงประเมินองค์หญิงแปดต่ำไปเสียหน่อย


 


 


เมื่อเทียบกับองค์หญิงแปดแล้ว องค์หญิงเก้าจะอ่อนแอกว่าหน่อย พูดไปก็เป็นเพราะว่าไม่มีแม่ เมื่อคิดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็สงสารองค์หญิงเก้าอยู่หลายส่วน


 


 


คิดว่าองค์หญิงแปดมีความคิดรอบคอบ คาดว่าจะต้องเดาได้ว่าเป็นเฝินหยางโหวที่ทำเรื่องนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงพูดขอโทษแทนองค์หญิงเก้า “ตอนนั้นน้องเก้าถูกบีบให้แต่งงาน ตอนหลังปฏิเสธถึงทำให้เฝินหยางโหวคิดแค้น แต่อย่างไรนางก็พาลทำให้เจ้าเหนื่อยไปด้วย ข้าต้องขอโทษเจ้าแทนนางด้วย”


 


 


พูดจบ ถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นทำความเคารพเต็มพิธีต่อองค์หญิงแปด นางรู้สึกผิดต่อองค์หญิงแปดจริงๆ


 


 


องค์หญิงแปดตกใจมาก รีบโน้มตัวไปข้างๆ ถลึงตามองถาวจวินหลันพลางพูดว่า “ท่านคิดจะบั่นทอนอายุข้าอย่างนั้นหรือ? หรือว่าท่านไม่เคยเห็นข้าเป็นน้องสาว? ข้ารู้ว่าท่านและองค์หญิงเก้าสนิทกันมาก แต่ก็อย่าลืมว่าข้าเองก็เป็นน้องสาวของพี่รอง พวกเราถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ควรมากพิธีขนาดนี้”


 


 


องค์หญิงแปดพูดด้วยความจริงใจ ในใจของถาวจวินหลันกระตุกวูบ อดหัวเราะไม่ได้ “เป็นข้าเองที่มากพิธีไป ข้าผิดไปแล้ว ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”


 


 


ทันใดนั้นองค์หญิงแปดก็หลุดหัวเราะออกมา ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้บรรยากาศโศกเศร้านั้นหายไปมากกว่าครึ่ง หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหางตาเอาไว้ พลางพูดกล่าวโทษอย่างออดอ้อน “เป็นเพราะท่านไม่ดี อยู่ๆ พูดเรื่องเศร้าขึ้นมา ทำให้ข้าร้องไห้จนตาแดง อีกครู่หนึ่งจะออกไปพบหน้าคนอื่นได้อย่างไร?”


 


 


ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพูดว่า “บอกว่าฝุ่นเข้าตาเจ้าแล้วกัน”


 


 


องค์หญิงแปดส่ายหน้าให้กับคำพูดเจ้าเล่ห์ของถาวจวินหลัน “ท่านนะท่าน! ไม่พูดกับท่านแล้ว ข้าจะไปประคบตาเสียหน่อย ท่านไปอยู่เป็นเพื่อนพวกนางก่อนเถิด มิเช่นนั้นพวกนางไม่เห็นเราคงจะกล่าวโทษอยู่เป็นแน่”


 


 


ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเดินออกมาก่อน ย่อมไม่เห็นว่าองค์หญิงแปดร้องไห้อีกรอบหลังจากนางเดินออกไปแล้ว


 


 


บ่าวรับใช้ขององค์หญิงแปดรอจนองค์หญิงแปดร้องไห้เสร็จแล้ว ถึงได้ปลอบเสียงเบา “อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นนายท่านรู้เข้าคงจะเจ็บปวดอีกเป็นแน่” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็อดกล่าวโทษไม่ได้ “องค์หญิงเก้ายังคงพึ่งพาไม่ได้ จะก่อนจะหลังก็พาลทำให้องค์หญิงเหนื่อยมากี่รอบแล้วเจ้าคะ? ยังดีที่นายท่านใจกว้าง ถ้าเป็นบ่าวคงไม่พอใจไปนานแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


องค์หญิงแปดส่ายหัว “ไม่ต้องพูดแล้ว นางไม่ได้ตั้งใจ แล้วตอนนี้นางก็ใกล้ชิดกับพี่รอง และยังเป็นน้องสะใภ้ของชายารองถาว ก็ไม่ควรพูดเช่นนี้แล้ว ไม่มีอะไรต้องเก็บมาคิดมาก ก็แค่เด็กคนนั้น…ไม่มีดวงชะตาสมพงศ์กับข้า”


 


 


บ่าวรับใช้ไม่พูดต่อ เพียงแค่ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่


 


 


องค์หญิงแปดเห็นท่าทางเช่นนั้น ก็พูดเตือน “เสด็จแม่เคยพูดเอาไว้ว่าให้รักษาความสัมพันธ์อันดีกับพี่รอง ในอนาคตอาจเป็นที่พึ่งของพวกเราได้”


 


 


บ่าวรับใช้นั้นเป็นคนที่อิงผินส่งมาเพื่อดูแลรับใช้ข้างกายองค์หญิงแปดโดยเฉพาะ ได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่คนมองโลกแคบ เมื่อถูกพูดเช่นนี้ ก็เข้าใจนัยที่แฝงไว้ พูดอย่างแปลกใจว่า “หรืออิงผินเหนียงเหนียงคิดว่า…”


 


 


“อืม” องค์หญิงแปดรับคำ พลางกำชับอีกว่า “รีบทาแป้งให้ข้าใหม่เร็วเข้า เสียเวลามานานแล้วไม่เหมาะสมนัก”


 


 


เพราะถาวจวินหลันช่วยพูดแก้ตัวไว้เล็กน้อย ดังนั้นช่วงเวลาทีองค์หญิงแปดหายไปจึงไม่มีใครคิดอะไรมาก พอองค์หญิงแปดมาถึงแล้ว ทั้งสี่คนก็เล่นไพ่นกกระจอกด้วยกันอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


ตอนที่จับไพ่ องค์หญิงแปดกลับพูดเรื่องหนึ่งขึ้นมา “ได้ยินว่าในวังเริ่มจัดงานคัดเลือกหญิงสาวอีกแล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันตะลึงไป เผลอปล่อยไพ่หลุดมือไป “คัดเลือกหญิงสาว? ไม่ใช่ว่าหลายปีมานี้ไม่ได้เลือกแล้วหรือ?”


 


 


“ก็เพราะหลายปีมานี้ไม่ได้เลือก ไม่รู้ว่าทำไมปีนี้ถึงได้เสนอขึ้นมา ได้ยินว่าไปเสนอไทเฮาและฮองเฮาและก็ตกลงเรื่องนี้ เสด็จพ่อก็ไม่มีความคิดเห็นอะไรเจ้าค่ะ” องค์หญิงแปดยิ้มพลางพูดอธิบาย และพูดเร่งถาวจวินหลันว่า “ปล่อยไพ่เร็วเข้าเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันหงายไพ่ ในใจกลับรู้สึกไม่สงบเล็กน้อย ตามปกติแล้วทุกสามปีจะมีการจัดการเลือกครั้งใหญ่หนึ่งครั้ง แต่ก่อนหน้านี้เพราะไว้อาลัยแคว้นฮ่องเต้จึงประกาศงดไปสามปี หลังจากนั้นมาก็เพราะมีภัยพิบัติบ่อยครั้ง ไม่อยากจะผลาญเงินของประชาชน ดังนั้นจึงไม่มีการจัดงานขึ้น ตอนนี้ฮ่องเต้อายุมากขึ้นแล้ว สุขภาพร่างกายก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อน นางคิดว่างานคัดเลือกหญิงสาวนี้ไม่ควรมีอีกแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ก็จะเสนอขึ้นมาเช่นนี้


 


 


องค์หญิงแปดเหมือนจะรู้ความคิดของถาวจวินหลัน นางหัวเราะพลางพูดว่า “ต่อให้เสด็จพ่อไม่เอาไปเยอะ ก็จะต้องประทานให้กับองค์ชายและขุนนางทั้งหลาย ท่านอ๋องและองค์ชายที่อยู่ข้างกายก็คงจะต้องถูกยัดให้สองสามคน”


 


 


ถาวจวินหลันคิดดูแล้วก็สมเหตุสมผล จึงไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก คัดเลือกหญิงสาวก็ดี ไม่คัดเลือกก็ดี เรื่องนี้ไม่ควรให้นางจัดการ อย่างมากก็ทำได้เพียงแปลกใจเท่านั้นเอง


 


 


ส่วนจะให้หญิงสาวกับหลี่เย่หรือไม่ รอจนเลือกได้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องรอฤดูร้อนปีหน้า ยังมีเวลากว่าครึ่งปี


 


 


แต่ในใจของนางก็ยังครุ่นคิดว่าถ้าถึงตอนนั้นประทานคนมาให้หลี่เย่ นางเองก็คงต้องสนับสนุนให้หลี่เย่เก็บเอาไว้ อย่างแรกเพราะว่าจวนตวนอ๋องเหลือนายหญิงน้อยเกินไป อย่างที่สองก็เพราะว่าร่างกายของเจียงอวี้เหลียนไม่ไหวแล้ว เกรงว่าหลังจากนี้ไปอีกนานถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ ไม่มีทางปรนนิบัติหลี่เย่ได้ ไทเฮาจะต้องกำหนดมาให้อย่างแน่นอน


 


 


บางทีอาจไม่ต้องรอถึงงานคัดเลือก ถาวจวินหลันคิดอย่างเย้ยหยัน และลอบถอนหายใจ เรื่องเช่นนี้ ไม่ว่านางจะไม่พอใจอย่างไร ก็ไม่มีทางไปขัดขวางได้ อย่างไรผู้หญิงทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน แม้แต่ฮองเฮาก็เป็นเหมือนกันมิใช่หรืออย่างไร? ไม่ต้องพูดถึงนางเลย


 


 


“อี๋เฟยกลับวังหลวงครั้งนี้ได้รับการต้อนรับดีมาก” ฉับพลันองค์หญิงแปดก็พูดถึงอี๋เฟยและองค์ชายเก้า “เพราะเป็นลูกชายที่เกิดช้าสุด เสด็จพ่อจึงรักใคร่น้องเก้ามาก แม้แต่น้องเจ็ดและน้องแปดก็เทียบไม่ได้”


 


 


องค์ชายเจ็ดและองค์ชายแปดปีนี้อายุสิบสี่ปีคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งอายุครบแปดปี ลูกชายที่ฮ่องเต้รักใคร่มากที่สุดก่อนหน้านี้คือพวกเขาสองคน แน่นอนว่าอาจด้วยมีเพียงแค่องค์ชายสององค์นี้ที่ยังอยู่ในวังหลวง


 


 


อี้เฟยแม่ขององค์ชายเจ็ดและหรูกุ้ยเฟยแม่ขององค์ชายแปด ก็ยังถือว่าได้รับความโปรดปรานเพราะเหตุผลนี้


 


 


ที่จริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะว่าหลายปีก่อนนี้กุ้ยเฟยที่กำลังมีหน้ามีตาล้มป่วยลง ที่จริงก็ควรจะเป็นกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด แต่น่าเสียดาย กุ้ยเฟยและเสด็จแม่ของหลี่เย่มีชะตาสั้นเหมือนกัน


 


 


แต่เมื่อพูดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะกุ้ยเฟยเสียชีวิตกะทันหัน เช่นนั้นฮองเฮาก็คงจะต้องปวดหัวเป็นแน่ ฮ่องเต้เคยแต่งตั้งกุ้ยเฟยสองครั้ง คนหนึ่งคือแม่ผู้ให้กำเนิดของหลี่เย่ อีกคนหนึ่งก็คือหวังกุ้ยเฟย หวังกุ้ยเฟยเป็นคนมีฝีมือ สามารถต่อกรกับฮองเฮาได้มาตลอด แต่น่าเสียดาย…


 


 


หัวข้อนี้ถูกดึงออกไปไกล ถาวจวินหลันรวบรวมสมาธิไม่คิดเยอะอีก เพียงแค่พูดตามน้ำองค์หญิงแปด “สองวันก่อนนี้ข้าเพิ่งเข้าวังหลวงไปครั้งหนึ่ง ได้พบอี๋เฟย ข้าดูแล้วมีน้ำมีนวลมากกว่าตอนก่อนคลอดอยู่มากนัก เห็นได้ชัดว่าตอนอยู่ไฟคงบำรุงดีเลยทีเดียว”


 


 


องค์หญิงแปดยิ้มแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน “จะไม่ใช่ได้อย่างไร? ไม่รู้ว่านางอยู่ในที่ห่างไกลกันดารขนาดนั้น แท้จริงแล้วอยู่ไฟอย่างสบายอกสบายใจได้อย่างไรกัน? ถ้าเป็นข้าคงจะอึดอัดตายไปแล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันแย้มยิ้ม “อาจด้วยรู้ว่าถ้าไม่บำรุงให้ดีก็จะสูญสิ้นโอกาสไปโดยสิ้นเชิง นางเลยจำเป็นต้องทำเช่นนี้” แต่ฉวยโอกาสตอนนี้บำรุงให้ดี ก็อธิบายได้ว่าอี๋เฟยเป็นคนฉลาด


 


 


“อี๋เฟยเพิ่งกลับวังหลวงมาได้ไม่นาน เสด็จพ่อก็พลิกป้ายชื่อไปหลายรอบแล้ว ดูจากสถานการณ์นี้เกรงว่าอี๋เฟยคงจะได้รับความโปรดปรานอีกแล้วเจ้าค่ะ” องค์หญิงแปดพูดออกมา คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เหมือนไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่


 


 


องค์หญิงเก้าที่ไม่ค่อยเอ่ยปากพูดก็หัวเราะออกมา “ไม่ว่าใครจะได้รับความโปรดปรานแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราเล่าเจ้าคะ? พี่แปด ท่านว่าใช่หรือไม่?”


 


 


องค์หญิงแปดมององค์หญิงเก้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มกว้าง “เพราะเหตุนี้ เป็นข้าเองที่เบื่อเกินไปถึงได้มากังวลเรื่องนี้”


 


 


ถาวซินหลันก็หัวเราะพลางพูดแทรกขึ้นมา “จริงซี พวกท่านได้ยินแล้วหรือไม่ คุณชายสามของจวนเหิงกั๋วกงทนไม่ไหวแล้ว คุณหนูสามที่เกิดจากภรรยาเอกก็ถูกเฝินหยางโหวขอแต่งงานอยู่ตลอด เหิงกั๋วกงโมโหจนต้องกระทืบเท้า”


 


 


เรื่องนี้ทุกคนรู้กัน หญิงสาวทั้งสี่จึงพูดเรื่องนี้กันอย่างครึกครื้น


 


 


องค์หญิงแปดหัวเราะเสียงดังออกมา พูดพร้อมสีหน้ามีความสุข “สมควรแล้ว ปกติเหิงกั๋วกงชอบเดินอย่างเย่อหยิ่งอวดทะนงนัก ตอนนี้ก็ถือเขาต้องประสบเคราะห์แล้ว”


 


 


“พูดไปแล้ว ได้ยินว่าสถานการณ์ของฮูหยินชราเหิงกั๋วกงก็ไม่ดีนักไม่ใช่หรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ไม่ใช่ว่าคุณหนูสามของภรรยาเอกจะต้องไว้อาลัยสามปีหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ถือว่าเสียเวลาแล้ว” องค์หญิงเก้าพูดอย่างสงสัยเล็กน้อย


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มพลางส่ายหน้า “เรื่องที่เหิงกั๋วกงเป็นกังวลไม่ใช่เรื่องการไว้อาลัยของหญิงสาวจะเสียเวลาหรือไม่ สิ่งที่เขาควรเป็นกังวลก็คือฮูหยินชราเหิงกั๋วหงเสียชีวิตไป แล้วฮ่องเต้ต้องการให้เขาไว้อาลัยแล้วจะทำเช่นไร? ไม่เพียงแค่ตัวเหิงกั๋วกงเท่านั้น แล้วยังมีลูกชายของเขาอีก ล้วนต้องไว้อาลัยเช่นเดียวกัน”


 


 


เมื่อพูดเช่นนี้ คนของจวนเหิงกั๋วกงก็ต้องหายไปจากราชสำนักอย่างน้อยกว่าครึ่ง ที่เหลืออยู่ก็ล้วนเป็นญาติหรือว่ามีความสัมพันธ์ห่างเหินกัน


 


 


หากมีคนฉวยโอกาสตอนนี้เพื่อปราบจวนเหิงกั๋วกง อย่างนั้นแผนการก็ได้ผลคุ้มค่าแล้ว 

 

 


บทที่ 474 ญาติ

 

ด้วยองค์หญิงเก้าไปคนละทางกับจวนตวนขินอ๋อง ดังนั้นจึงไม่ได้ไปกับถาวจวินหลัน แต่ถาวซินหลันกลับหัวเราะสดใสและพูดว่า “ข้านั่งรถคันเดียวไปกับท่านพี่ หลังจากนั้นค่อยให้พวกเขาอ้อมกลับไป”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ แล้วบีบแก้มถาวซินหลันเบาๆ “ทำเช่นนี้ไม่สู้ไปทานข้าวที่จวนของข้าเลยดีกว่า ให้คนไปรายงานก่อน บอกว่าข้าให้เจ้าอยู่ทานข้าวด้วยกัน”


 


 


ถาวซินหลันก็ไม่เกรงใจ ตอบในในทันที จากนั้นก็ขึ้นรถม้าตามถาวจวินหลันไป ไม่ยอมนั่งแยกกัน ต้องนั่งติดกับถาวจวินหลัน เอาศีรษะไปแนบชิดกับศีรษะกับพี่สาวของตนเอง


 


 


เมื่อเจอท่าทีออดอ้อนของถาวซินหลัน ถาวจวินหลันย่อมไม่ปฏิเสธ แต่กลับจับปิ่นที่ปักอยู่หลวมๆ บนศีรษะของถาวซินหลันให้เรียบร้อยอย่างเอ็นดู


 


 


“ท่านพี่” หลังจากรถม้าวิ่งไประยะหนึ่งแล้ว ถาวซินหลันพลันเอ่ยปากทำลายความเงียบ


 


 


ถาวจวินหลันส่งเสียงตอบรับ “หืม?”


 


 


“ไม่มีชายาเอกตวนชินอ๋องแล้ว ก็จะต้องเลือกชายาเอกคนใหม่ให้พี่เขยใช่หรือไม่เจ้าคะ?” เสียงของถาวซินหลันค่อนข้างเบา แต่กลับชัดเจนอย่างน่าประหลาด แม้กระทั่งเสียงล้อของรถม้าที่หมุนบดไปกับพื้น เสียงกีบม้ากระทบพื้นและเสียงพูดคุยของคนบนถนนก็ไม่อาจทำให้เสียงของนางที่พูดประโยคเมื่อครู่นี้ถูกกลบหายไปได้


 


 


ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง ยังคงส่งเสียงตอบรับเบาๆ “น่าจะเป็นเช่นนั้น”


 


 


ถาวซินหลันนั่งตัวตรง มองตาของถาวจวินหลัน “ถ้าอย่างนั้น ท่านพี่อยากเป็นชายาเอกตวนชินอ๋องหรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


ถาวจวินหลันนิ่งไป สบตากับถาวซินหลันอยู่ครู่หนึ่งถึงได้สติคืนมา นางรีบหลุบตาลงซ่อนดวงตาของตัวเองเอาไว้ แสร้งทำเป็นมองข้างล่าง “พูดอะไรเหลวไหล? เป็นเด็กไม่รู้จักโตเสียจริง คิดอะไรก็พูดออกมาหมด”


 


 


ที่นางพูดเช่นนี้ก็ด้วยจงใจทำลายบรรยากาศเคร่งเครียด มิเช่นนั้นนางคงไม่เป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งนางยิ่งไม่สามารถมองแววตาของถาวซินหลันได้ พอต้องเจอกับสายตาบริสุทธิ์ของน้องสาวตนเอง นางก็ไม่อยากพูดโกหก หรือบิดเบือนความในใจของตัวเอง ดังนั้น จึงไม่อาจตอบได้ ทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องคุย


 


 


แต่ถาวซินหลันกลับไม่ให้โอกาสนี้กับนาง ถามนางอย่างตรงไปตรงมา “อยากหรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


ถาวจวินหลันต้องหลีกเลี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่มองถาวซินหลันพลางหัวเราะอย่างขมขื่น และพูดแฝงนัย “มีที่ไหนพูดอยากได้แล้วจะทำได้ ข้าอยากให้ท่านพ่อ ท่านแม่กลับมามีชีวิตแล้วเป็นจริงได้หรือไม่? ข้าอยากกลับไปตอนที่ตระกูลถาวยังสงบสุข แล้วเป็นไปได้หรือไม่? ข้ามีฐานะเช่นใด? หรืออาศัยเพียงแค่ความโปรดปรานจากท่านอ๋องแล้วข้าจะกำเริบเสิบสานได้อย่างนั้นหรือ? คิดเพ้อเจ้อในเรื่องเกินจริงอย่างนั้นหรือ? มีคนพูดว่ารู้จักพอถึงจะมีความสุข แล้วข้าก็ควรทำเช่นนั้น”


 


 


ที่พูดแบบนี้ก็ถือว่าแสดงความคิดของนางแล้ว ดูจากสติปัญญาของถาวซินหลันแล้วคิดว่าจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน


 


 


“ทำไมถึงบอกว่าคิดเพ้อเจอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เล่าเจ้าคะ?” ถาวซินหลันยังคงดื้อรั้น “ข้าช่วยท่านได้ถ้าอยากเป็นจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริง”


 


 


ถาวจวินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าถาวซินหลันเอาความคิดดื้อรั้นเหล่านี้มาจากไหน นางกลัวว่าถาวซินหลันจะเก็บเรื่องนี้ไปคิดจริงจัง จึงจงใจส่ายหัว “ไม่ ข้าไม่อยาก ต่อให้ข้าอยาก ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลา หรือเจ้าไม่รู้ว่า ที่จริงแล้วไทเฮามีตัวเลือกชายาเอกตวนชินอ๋องคนใหม่แล้ว”


 


 


ถาวซินหลันไม่รู้เรื่องนี้เลย จึงเผลอร้องเสียงหลงออกมา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ นางเข้าใจดี ในรายชื่อของไทเฮาต้องไม่มีถาวจวินหลันเป็นแน่


 


 


ถ้าจะพูดถึงความผิดหวังย่อมต้องมี แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความไม่ยอมและโมโห “ทำไม? ท่านพี่มีอะไรไม่ดีเจ้าคะ? ข้าไม่เชื่อ ยังจะมีใครเอาชนะท่านพี่ได้กัน? ไทเฮาเลือกใครมาบ้าง? ข้าจะต้องให้คนเหล่านี้ปฏิเสธให้ได้!”


 


 


ถาวซินหลันพูดเปิดเผยความหมายโจ่งแจ้งอย่างถึงที่สุด


 


 


พอเห็นท่าทีไม่พอใจของถาวซินหลัน ถาวจวินหลันก็เจ็บปวดใจเล็กน้อยและยังรู้สึกถึงความอบอุ่นจางๆ แต่สุดท้ายนางก็ยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้ ถ้าเจ้าทำเช่นนั้นจริง จะให้ข้าตายไม่มีที่ฝังหรืออย่างไร”


 


 


ถาวซินหลันโมโหจนกัดริมฝีปาก นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถึงพูดอย่างขลาดกลัว “ข้าว่าท่านอ่อนแอเกินไป! ท่านถูกตวนชินอ๋องให้กินยาเสน่ห์!” เมื่ออารมณ์ร้อน แม้แต่คำว่า ‘พี่เขย’ ก็ไม่พูด


 


 


ถาวจวินหลันถอนหายใจ ขมวดคิ้วอธิบายว่า “ทำไมเจ้าถึงได้ไม่คำนึงถึงเหตุผลเช่นนี้? เจ้าลองคิดให้ดี หากเรื่องถูกทำลายตอนนี้ ไทเฮาจะคิดว่าใครทำ? ไทเฮาแต่เดิมก็ไม่ชอบข้าอยู่แล้ว เจ้าเองก็รู้ ทำไมถึงได้พูดอะไรมั่วๆ ออกมา? หากข้าทำเกินไป ไทเฮาจะต้องบีบบังคับให้ตวนชินอ๋องเก็บลูกไล่แม่เป็นแน่ เจ้าลองคิดให้ดีสถานการณ์ในตอนนี้ข้าควรจะทำเช่นไร?”


 


 


ถาวซินหลันถูกพี่สาวของตนเองสั่งสอนเช่นนี้ กลับไม่รู้สึกอัปยศแม้แต่น้อย เพราะนางรวมสมธิทั้งหมดไว้ที่เรื่องที่ถาวจวินหลันวิเคราะห์


 


 


นางเก็บคำพูดของถาวจวินหลันมาคิดอย่างละเอียดอีกทีหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็พบความจริงข้อหนึ่ง ถูกต้องตามที่ถาวจวินหลันพูด เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายเลยแม้แต่น้อย


 


 


แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่พอใจ นางกัดริมฝีปากพูดว่า “หรือว่าท่านจะยอมแพ้แล้ว? ยามนี้พี่ใหญ่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หรือว่ายังเป็นหลักให้ท่านไม่ได้? หลิวซื่อตายแล้ว หากมีชายาเอกตวนชินอ๋องคนใหม่ ครั้งต่อไปอาจไม่ได้โชคดีอย่างนี้อีกนะเจ้าคะ”


 


 


ถาวซินหลันย่อมต้องคิดก่อนแล้ว ว่าถึงเวลานั้นก็ค่อยกำจัดทิ้งไป แต่พอคิดไปคิดมา ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกไป อย่างไรนางก็ไม่ใช่คนที่เ**้ยมโหดเช่นนั้น ที่บอกว่าไม่ควรคิดทำร้ายคนอื่น เป็นคำพูดที่ถาวจวินหลันสอนนางมาตั้งแต่แรก


 


 


พอรู้ว่าถาวซินหลันกำลังเป็นกังวลแทนตนเอง แม้ว่าถาวจวินหลันจะรู้สึกเศร้าใจ แต่ก็ยังอดแย้มยิ้มไม่ได้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ต้องไม่ยอมแพ้เช่นนี้เป็นแน่ สำหรับโอกาสนั้น ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่ตัดใจไม่ได้ อีกอย่างภายในช่วงเวลาสั้นๆ คงยังเลือกชายาคนใหม่ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เจ้าและจิ้งผิงย่อมต้องช่วยเหลือข้าได้อย่างแน่นอน แต่ตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋องเป็นสิ่งที่ใครจะเป็นก็ได้หรืออย่างไรกัน?” หากหลี่เย่ยังคงเป็นท่านอ๋องใบ้เช่นเดิม บางทีเรื่องนี้ก็จะง่ายขึ้น นางคงได้เป็นชายาเอกตวนชินอ๋องคนใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


แต่ตอนนี้ หลี่เย่เป็นตวนชินอ๋อง แล้วยังได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้ ย่อมเอามาเทียบกันไม่ได้


 


 


ถาวซินหลันยังคงไม่พอใจ ทว่าถาวจวินหลันกลับยิ้มพลางตบบ่านาง “เอาเถิด ก็เพียงรักษาสถานการณ์ในตอนนี้เอาไว้ คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว เขาดีกับข้ามาก ข้ายังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?”


 


 


ถาวซินหลันส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่เขาทำดีกับท่านเท่านั้นก็พอแล้วนะเจ้าคะ” อย่างไรอนุภรรยาและภรรยาเอกก็ต่างกัน ด้วยเป็นผู้หญิงเหมือนกัน นางย่อมต้องรู้สึกเหมือนเจอเรื่องที่ถาวจวินหลันเจอกับตัวเอง หากลองเทียบกับก่อนหน้านี้ ต่อให้หลิวซื่อจะมีแค่ชื่อแต่ไร้ตัวตนนั้น ทว่าถาวจวินหลันก็ยังคงต้องเคารพนาง เป็นมนุษย์ย่อมต้องรู้สึกน้อยใจเป็นธรรมดา มิใช่หรือ? เป็นภรรยาเอก อย่างไรก็ต้องอยู่สูงกว่าอนุภรรยาเล็กน้อย


 


 


แต่ไม่ว่าถาวจวินหลันจะพูดดีอย่างไร นางก็ยังรู้สึกว่าพี่สาวของตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม อีกทั้งยังไม่ยุติธรรมมาก หากเป็นไปได้นางไม่ยินยอมให้พี่สาวของตนเองพบเจอกับเรื่องเช่นนี้


 


 


ไม่รู้ว่าสุดท้ายเพราะเป็นพี่น้องกันหรือไม่ แม้ว่าถาวซินหลันจะไม่ได้พูดออกมาหมด แต่ถาวจวินหลันก็ยังเข้าใจคำพูดต่อมาได้ทันที รอยยิ้มจึงยิ่งกว้างขึ้นไปอีก แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา


 


 


นางรู้ว่าถาวซินหลันหวังดีต่อนาง แต่ไม่อาจละโมบได้ทุกเรื่อง จะได้คืบเอาศอกไม่ได้ บางทีอาจครอบครองตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋องได้ด้วยวิธีบางอย่าง แต่พอได้รับแล้วเล่า? ความสงสัยและต่อต้านของไทเฮา ความลำบากใจของหลี่เย่ และเรื่องที่มาทำลายความสัมพันธ์ของสามีภรรยาในอนาคต เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากได้


 


 


เพื่อตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋อง ทุ่มเทสิ่งเหล่านี้ไปก็ไม่คุ้ม


 


 


เพียงไม่นานก็มาถึงจวนตวนชินอ๋อง ถาวซินหลันกลับไม่เข้าไปทานอาหาร หลังจากคุยเรื่องพวกนี้ไป ถาวซินหลันก็หดหู่มาก ไม่อยากทานอาหารอีก


 


 


ถาวจวินหลันจนปัญญา ได้แต่ให้นางกลับไป


 


 


ตอนที่ถาวซินหลันจะกลับก็ยังพูดกับถาวจวินหลันว่า “ที่จริงแล้วพี่ใหญ่บอกให้ข้ามาถามท่านก่อน หากเป็นข้า ข้าคงจะทำก่อนแล้วค่อยบอก” ดังนั้นนางจึงขัดแย้งอย่างมาก ด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าถ้าเป็นเช่นนี้จะไม่ถาม แต่อีกด้านก็รู้สึกว่าโชคดีที่ถามไป


 


 


ต้องแบกรับความคิดเช่นนี้ ถาวซินหลันก็รู้สึกปวกเปียกมากขึ้น


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงไปเล็กน้อย แล้วหัวเราะออกมา “ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วงข้าขนาดนี้” แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่ความอบอุ่นและซาบซึ้งใจของนางก็ไม่อาจมีอะไรมาเทียบได้


 


 


พวกเขาสามพี่น้องไม่ได้ห่างเหินกันไกลเพียงเพราะออกเรือนกันไปแล้ว แต่กลับยิ่งสนิทสนมกันมากอย่างไม่มีช่องว่าง เรื่องนี้ถาวจวินหลันปลื้มใจมาก โดยเฉพาะถาวจิ้งผิง หญิงสาวที่แต่งงานออกไปแล้วไม่ได้เป็นเหมือนน้ำที่โดนสาดออกไป ถาวจิ้งผิงยังเห็นพวกนางเป็นครอบครัวเดียวกันได้ และไว้หน้าพวกนางมากพอ น้องชายเช่นนี้จะไปหาจากที่ไหนได้?


 


 


อีกอย่าง ถาวจิ้งผิงยังคิดได้ว่าควรมาถามถาวซินหลันก่อน ก็แสดงออกว่าเขาพิจารณารอบคอบแล้ว เห็นน้องชายของตนเองยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ พี่สาวอย่างนางย่อมต้องมีความสุขมากขึ้น


 


 


ในขณะเดียวกันถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าเรื่องกำจัดชื่อขุนนางนักโทษออกจากตระกูลถาวก็สมควรแก่เวลาแล้ว ก่อนเกิดโรคระบาด ตระกูลเฉินบอกว่าหาพยานสำคัญได้แล้วคนหนึ่ง รอจนพยานเข้ามาในเมืองหลวงก็ยื่นฎีกาขอให้ตรวจสอบใหม่อีกครั้งได้


 


 


แม้ว่าเรื่องนี้จะต้องล่าช้าไปเพราะโรคระบาด แต่มาคิดดูแล้วก็ถึงแก่เวลาแล้ว นางวางแผนว่าจะไปพบเฉินฮูหยินด้วยตนเองพรุ่งนี้ แม้ว่าเรื่องนี้ให้ถาวซินหลันกลับไปถามได้ แต่ด้วยมารยาทและความเคารพ นางจึงต้องไปด้วยตนเองครั้งหนึ่ง


 


 


ไม่เพียงแค่นาง ถาวจิ้งผิงก็ควรไปด้วยเช่นกัน


 


 


ถาวจวินหลันครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ในใจ อารมณ์ก็สดใสปลอดโปร่งเป็นพิเศษ อย่างไรขอแค่ตระกูลถาวสลัดชื่อขุนนางนักโทษออกไปได้ ก็มีประโยชน์ต่ออนาคตของถาวจิ้งผิง ถึงเวลานั้นพบว่าที่จริงแล้วตระกูลถาวถูกใส่ร้าย ฮ่องเต้เองก็ต้องอยากชดใช้เล็กๆ น้อยๆ แน่นอน บางทีนางก็อาจได้รับประโยชน์บางอย่างจากเรื่องนี้เช่นเดียวกัน


 


 


บวกกับฎีกาของหลิวซื่อก่อนตาย และคิดหาวิธีอีกเล็กน้อย ตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋องก็ไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม


 


 


แต่ก่อนหน้านั้นต้องหาวิธีกำจัดชื่อขุนนางนักโทษออกไปก่อน


 


 


ตกดึกตอนที่หลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันก็พูดเรื่องคัดเลือกหญิงสาวที่องค์หญิงแปดบอกนาง และกังวลเล็กน้อย “ท่านว่าโรคระบาดเพิ่งหมดไป ประชาชนที่ลี้ภัยมายังไม่จัดการให้ดี ก็เริ่มจัดพิธีคัดเลือกหญิงสาวแล้วจะทำให้ประชาชนไม่พอใจหรือไม่”


 


 


หลี่เย่พยักหน้า “เกรงว่าคงไม่พอใจเป็นแน่” 

 

 


บทที่ 475 เบื้องหลัง

 

ไม่ว่าประชาชนจะพอใจหรือไม่ เรื่องคัดเลือกหญิงสาวก็ตัดสินใจตามแล้ว เป็นไทเฮาที่เริ่มเสนอก่อน จากนั้นตระกูลกู้ก็ร่วมมือกับขุนนางชั้นสูงเสนอฎีกา อย่างไรตั้งแต่ฮ่องเต้ครองบัลลังก์มาก็ยังไม่มีการคัดเลือกหญิงสาวเลย ดังนั้นต่อให้ช่วงเวลาไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ก็ยังถือว่าสมเหตุสมผล


 


 


วันรุ่งขึ้นหลังจากข่าวเรื่องพิธีคัดเลือกหญิงสาวกระจายออกไป จวนเหิงกั๋วโหวกลับเคาะระฆังมรณะ


 


 


ถาวจวินหลันได้รับข่าวหลังจากนั้น คิดไม่ถึงว่าเวลาไม่ถึงชั่วยามจวนเหิงกั๋วโหวก็สูญเสียไปแล้วสองคน คนหนึ่งคือฮูหยินชราเหิงกั๋วโหว และอีกคนคือลูกชายคนที่สาม


 


 


ถาวจวินหลันย่อมต้องแปลกใจ จึงถามบ่าวรับใช้ที่มารายงาน “ด้านนอกได้บอกหรือไม่ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร?” การตายนี้บังเอิญเกินไป ถ้าจะบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ นางไม่มีทางเชื่อว่าจะบังเอิญขนาดนี้ เวลาห่างกันยังไม่ถึงชั่วยามเลย!


 


 


หลี่เย่ที่ให้กลับมารายงานข่างนั้น บอกให้นางเตรียมของร่วมงานศพสองชุดส่งไปที่จวนเหิงกั๋วโหว อย่างไรนั่นก็เป็นญาติของฮองเฮา ในนามแล้วหลี่เย่ก็ยังต้อเรียกว่าท่านลุงด้วยซ้ำไป ย่อมต้องไว้หน้าให้มาก


 


 


“ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับเฝินหยางโหวเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้คนนั้นรู้มาเพียงเล็กน้อย ฟังแค่นั้น ก็เท่ากับว่าไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่น้อย สามารถตอบคำถามได้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า รู้ว่าบ่าวรับใช้ไม่รู้แน่ชัด จึงไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแค่เรียกหงหลัวมา “ไป เตรียมของร่วมงานศพที่สมน้ำสมเนื้อมาสองชุด อีกครู่หนึ่งข้าจะนำไปมอบด้วยตนเอง” ให้คนนำไปส่งย่อมต้องไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน ในเมื่อต้องแสดงท่าที ก็จะต้องทำให้เหมือนหน่อย


 


 


หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็เรียกปี้เจียวมากำชับ “สั่งคนไปถามองค์หญิงเก้าว่าจะไปหรือไม่? ถ้าไป พวกเราก็จะได้ไปพร้อมกัน” มีเพื่อนร่วมทาง ระหว่างทางก็จะได้มีเพื่อนคุย อีกทั้งเมื่อไปแล้วก็คงไม่ดีหากนั่งอยู่แค่ครู่เดียว อย่างไรก็ควรต้องให้เวลาผ่านไปช่วงธูปหนึ่งถึงจะถูก


 


 


เพียงไม่นาน ก็เตรียมของที่ใช้ในงานศพเรียบร้อย ทางด้านองค์หญิงเก้าก็ตอบกลับมาแล้ว บอกกว่าอีกครู่หนึ่งให้ถาวจวินหลันไปรับนาง


 


 


พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบง่าย และถอดเครื่องประดับออก ถาวจวินหลันถึงได้ออกจากประตูไป องค์หญิงเก้าเองก็แต่งกายไม่ต่างกันมากนัก หลังจากทั้งสองพบกันแล้วก็ต้องพูดคุยเรื่องนี้กัน


 


 


องค์หญิงเก้าถามถาวจวินหลันว่า “ ไม่รู้ว่าจวนเหิงกั๋วโหวเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้ตายกะทันหันตั้งสองคน? เรื่องงานศพจะทำเช่นไร?”


 


 


ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ตอนที่พี่รองของเจ้าให้คนมาแจ้งข้าก็พูดไม่ชัดเจน ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน เรื่องงานศพจะทำเช่นไร แล้วยังจะทำอะไรได้อีก? ทำได้เพียงจัดพร้อมกันเท่านั้น คงไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้ แม้จะบอกว่าตอนนี้อากาศไม่ร้อน ไม่ต้องกลัวว่าศพจะเหม็นเน่า แต่อย่างไรก็ไม่เหมาะสม ต้องยึดพิธีศพของฮูหยินชราเป็นหลัก ส่วนคุณชายสาม…”


 


 


องค์หญิงเก้าพยักหน้าไม่ได้ถามอะไรอีก


 


 


ถาวจวินหลันคิดถึงคำของหลี่เย่ จึงถามองค์หญิงเก้าว่า “ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง? จิ้งผิงไม่ได้รังแกเจ้าใช่หรือไม่? หากเขารังแกเจ้า เจ้าก็ให้คนมาแจ้งข้าได้เลย ข้าจะไปจัดการเขาให้เอง”


 


 


องค์หญิงเก้าหัวเราะ “จิ้งผิงดีมากเจ้าค่ะ ไม่ได้รังแกข้า”


 


 


ถาวจวินหลันก็หัวเราะเช่นเดียวกัน “คิดว่าตัวเจ้าเองก็คงจะเข้าใจ แม้เขาจะมีนิสัยดื้อรั้นไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นคนอ่อนโยนคนหนึ่ง หากเขาโมโห เจ้าเองก็ถอยให้ก้าวหนึ่ง พอเขาคิดได้จะต้องมาขอโทษเจ้าเป็นแน่”


 


 


องค์หญิงเก้าคิดถึงท่าทีเย็นชาหลายวันมานี้ของถาวจิ้งผิง ก็รู้สึกมืดมน ยิ้มอย่างฝืดเคือง “อืม ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันมองท่าทีขององค์หญิงเก้า ฉับพลันก็รู้สึกแปลก จึงอดถามไม่ได้ “เจ้ากับจิ้งผิงเป็นอะไรหรือ? ทะเลาะกันหรืออย่างไร?” พอนางพูดออกไปแล้ว ถึงเพิ่งได้สติกลับมา ถามเช่นนี้ดูกะทันหันเกินไปหน่อย


 


 


องค์หญิงเก้ามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง ยิ้มเฝื่อน “ไม่ได้ทะเลาะกันเจ้าค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี” นางและถาวจิ้งผิงไฉนเลยจะถือว่าทะเลาะกันได้ แม้ว่านางอยากจะทะเลาะ แต่ถาวจิ้งผิงก็ต้องสนใจนางก่อนถึงจะถูก เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน องค์หญิงเก้าก็รู้สึกขมไปทั้งปาก


 


 


องค์หญิงเก้าไม่ยอมพูด ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจจะบีบบังคับ จึงถอนหายใจเสียงเบา “ทะเลาะกันก็ไม่เป็นอะไร ข้ากับท่านอ๋องเองก็เคยทะเลาะกันมาก่อน แต่พอจบเรื่องก็ควรถอยคนละก้าว เขามีนิสัยดื้อรั้น เจ้าเองก็ถอยมาก่อน พวกเจ้าสองคนคุยกันให้ดี ก็จะแก้ไขปัญหาได้ราบรื่นแล้ว”


 


 


นางตั้งใจช่วยองค์หญิงเก้าและถาวจิ้งผิงจริงๆ


 


 


แต่ไม่รู้ว่าองค์หญิงเก้าได้ฟังบ้างหรือไม่ ยังไม่ทันรอให้องค์หญิงเก้าพูดอะไร รถม้าก็หยุดลง มาถึงจวนเหิงกั๋วโหวแล้ว


 


 


เมื่อลงจากรถม้า ถาวจวินหลันก็เห็นโคมไฟขาวและกระดาษกลอนสีขาวที่หน้าประตู


 


 


แล้วนางก็ให้บ่าวเอาของร่วมงานศพไปมอบให้ แล้วถึงได้เดินตามบ่าวชราเข้าไปข้างในพร้อมองค์หญิงเก้า พวกนางมาเพื่อไว้อาลัยฮูหยินชรา ส่วนคุณชายสามกลับไม่เหมาะให้ผู้หญิงอย่างพวกนางเข้าไปไว้อาลัย


 


 


ฮูหยินชราแต่งกายเรียบร้อย ใส่ชุดพิธีตำแหน่งผิน บนศีรษะมีมงกุฎ ในปากอมไข่มุก มือทั้งสองข้างถืออัญมณีเอาไว้ นอนหลับตานิ่งอยู่ภายในโลงศพ แลดูมีท่าทีมีเมตตาอยู่หลายส่วน


 


 


ถาวจวินหลันเข้าไปก็เห็นเพ่ยหยางโหวฮูหยิน นางคุกเข่าอยู่ตรงนั้น อย่างไรฮูหยินชราก็เป็นแม่ใหญ่ของนางมิใช่หรืออย่างไร?


 


 


เมื่อจุดธูป และก้มคำนับแล้ว ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้าก็ยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่นานร่างของเพ่ยหยางโหวูหยินก็ส่ายไปมา ถาวจวินหลันจึงก้าวเข้าไปพูดว่า “ท่านแม่เป็นอะไรเจ้าคะ? เพราะว่าคุกเข่านานเกินไปหรือไม่เจ้าคะ? ถ้าอย่างนั้นก็พักเสียหน่อย มิเช่นนั้นกลับไปยังต้องให้คนอื่นมาคอยดูแลท่านนะเจ้าคะ ไม่ใช่ว่าทำเรื่องวุ่นวายอีกหรืออย่างไรเจ้าคะ?”


 


 


ด้วยเป็นลูกสาว คำพูดของถาวจวินหลันย่อมไม่อาจเสียมารยาทจนเกินไป คนอื่นก็ทำได้แค่เปิดปากพูดกล่อมเพ่ยหยางโหวฮูหยินเล็กน้อย


 


 


เพ่ยหยางโหวฮูหยินลุกขึ้นตามแรงดึง แล้วให้ถาวจวินหลันประคองตนเองไปห้องข้างๆ เพื่อพักผ่อน


 


 


“ท่านแม่มานานเท่าไรแล้วเจ้าคะ?” ถาวจวินหลันถามเสียงเบา


 


 


เพ่ยหยางโหวฮูหยินส่ายหน้าพูดว่า “ไม่นานเท่าไรนัก มาเร็วกว่าพวกเจ้าประมาณครึ่งชั่วยามได้”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นท่านแม่ก็คงไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น”


 


 


เพ่ยหยางโหวฮูหยินส่ายหน้า “ใครบอกว่าข้าไม่รู้? ข้ารู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เป็นเรื่องที่เฝินหยางโหวบีบบังคับให้แต่งงาน”


 


 


“บีบบังคับให้แต่งงานหรือเจ้าคะ?” ถาวจวินหลันพูดซ้ำอีกครั้งด้วยความตกใจ รู้สึกว่าคาดไม่ถึง นี่ยังไม่ได้ตกลงว่าจะหมั้นหมายด้วยซ้ำไป แล้วจะพูดเรื่องบีบบังคับแต่งงานได้อย่างไรกัน?


 


 


เพ่ยหยางโหวฮูหยินหัวเราะเยาะ “ไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกความคิดเหลวไหลให้เฝินหยางโหว เฝินหยางโหวพูดไปทั่วว่าตนเองหมั้นหมายกับคุณหนูสาม อีกไม่นานก็จะแต่งเข้าเรือน และไปก่อเรื่องวุ่นวายกับครอบครัวที่เดิมหมั้นหมายกับคุณหนูสามไว้หลายรอบ ทำลายงานแต่งงานของคุณหนูสามไม่พอ แล้วยังทำให้คนตระกูลนั้นเยาะเย้ยคุณหนูสามอีก พูดว่าหญิงสาวคนหนึ่งแต่งงานกับผู้ชายสองคน คราวนี้ไม่รู้ว่าคุณหนูสามไปได้ยินคำพูดนี้มาได้อย่างไร ก็เลยจะฆ่าตัวตาย หลังจากคุณชายสามรู้เรื่องแล้ว ก็จะไปเรียกร้องความยุติธรรมจากเฝินหยางโหว แต่พอลงจากเตียงกลับล้มหน้าคะมำไป ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็เสียชีวิต หลังจากที่คุณชายสามเสียชีวิตแล้วนั้น ฮูหยินชราได้ยินข่าวร้ายก็เกิดร้อนใจ หายใจไม่ทัน”


 


 


เพ่ยหยางโหวพูดออกมาอย่างละเอียด ถาวจวินหลันตกใจเป็นอย่างมาก “นี่แทบจะเป็นเหมือนละครแล้วนะเจ้าคะ”


 


 


“จะไม่ใช่ได้อย่างไรกัน” เพ่ยหยางโหวฮูหยินเริ่มมีท่าทีเย้ยหยันมากยิ่งขึ้น “น่าชมกว่าในละครตั้งเยอะ ต่อจากนี้ไปไม่รู้ว่าจวนเฝินหยางโหวและจวนเหิงกั๋วโหวจะวุ่นวายเพียงใด”


 


 


ครู่เดียวก็มีคนเสียชีวิตไปสองคน ล้วนเป็นเพราะเพ่ยหยางโหว หากเหิงกั๋วโหวกล้ำกลืนความแค้นนี้ลงไปอย่างง่ายดาย เกรงว่าต่อจากนี้ไปแม้แต่หน้าที่จะออกจากบ้านก็ยังไม่มี แต่แม้ว่าจวนเฝินหยางโหวจะล่มสลาย แต่ก็กุมจุดอ่อนของฮองเฮาเอาไว้ ไม่มีทางแก้ไขได้ชัดเจน


 


 


ถาวจวินหลันวางแผนอยู่ในใจ แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องนี้มีฝีมือของหลี่เย่บ้างหรือไม่?


 


 


และนางก็รู้สึกว่าคนที่ออกความคิดให้กับเฝินหยางโหว ก็คือจั่วเสี่ยนอวี้ที่เป็นน้องชายจากอนุภรรยาของเฝินหยางโหว นอกจากเขา เกรงว่าคงไม่มีใครจัดการกับเฝินหยางโหวเช่นนี้ได้


 


 


แต่เมื่อเป็นเช่นนี้คุณหนูสามซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อผ่านเรื่องราวเหล่านี้แล้ว คนปกติย่อมไม่มีทางพูดเรื่องหมั้นหมายกับนางเป็นแน่ อีกอย่างมาพรากชีวิตของพี่ชายและย่าของตนเองไป ในใจของนางย่อมต้องรู้สึกไม่ดีเป็นแน่


 


 


พอเห็นท่าทีเหน็ดเหนื่อยของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ถาวจวินหลันก็ยิ้มบางๆ “แต่วันเวลาต่อจากนี้ไปท่านแม่ก็จะขาดคีมเหล็กไปหนึ่งอัน ช่างน่ายินดีด้วยเหลือเกิน” ฮูหยินชราครอบครองตำแหน่งแม่ใหญ่ ปกติแล้วชอบชี้นิ้วสั่งจวนเพ่ยหยางโหว ยามนี้ไม่มีฮูหยินชราแล้ว เกรงว่าในใจของเพ่ยหยางโหวฮูหยินคงไม่ได้โศกเศร้าสักเท่าไร อาจรู้สึกสบายใจเสียด้วยซ้ำ


 


 


เพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่ได้ปฏิเสธอะไร กลับเห็นด้วยกับคำพูดของถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วเพ่ยหยางโหวฮูหยินก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง ทำให้ถาวจวินหลันเข้าใจในทันใดว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินรู้สึกเช่นไร


 


 


“เมื่อวานซืนฮูหยินยังบีบบังคับให้ข้าเอาลูกของอนุภรรยาไปแต่งงานกับเฝินหยางโหว” นี่คือคำพูดของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ตอนที่พูดสิ่งนี้ออกมา เพ่ยหยางโหวก็มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ถาวจวินหลันคิดว่า หากนางเป็นเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ไม่ส่งเสียงหัวเราะก็ถือว่าเก็บอารมณ์ได้ดีแล้ว การกระทำเช่นนี้ของฮูหยินชราช่างไม่น่าเคารพเสียจริง


 


 


หลังจากนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็ขอตัวกลับจวน แต่หลังจากกลับไปแล้ว นางก็กำชับหงหลัวว่า “เจ้าไปด้วยตนเองสักครั้งหนึ่ง ไปเชิญฉินฮูหยินมาพูดคุยกับข้าเสียหน่อย”


 


 


ฉินซื่อเป็นภรรยาของจั่วเสี่ยนอวี้ หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจั่วเสี่ยนอวี้ ถ้าเช่นนั้นฉินซื่อก็ต้องรู้อย่างแน่นอน


 


 


นางอยากจะรู้เบื้องหลังของเรื่องนี้ อีกอย่าง มีแค่รู้เบื้องหลังเรื่องนี้แล้ว นางถึงจะลงมือเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตนเอง แค้นขององค์หญิงแปดยังไม่ได้ชำระเลย


 


 


ถาวจวินหลันกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานอย่างไม่คาดคิด “ถาวจืออี๋เหนียงและจิ้งหลิงอี๋เหนียงทะเลาะกันเจ้าค่ะ จิ้งหลิงอี๋เหนียงลงมือตบถาวจืออี๋เหนียงด้วยเจ้าค่ะ!”


 


 


ถาวจวินหลันตกใจมาก “ไม่มีทางหรอก?” แม้จะบอกว่าจิ้งหลิงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่เคยลงมือตบตีใครมาก่อน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


 


 


ที่สำคัญที่สุดก็คือหลายปีมานี้ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น! เจ้านายทั้งสองคน ทะเลาะกันก็ไม่แปลก แต่นี่ถึงกับลงไม้ลงมือ!


 


 


นี่ถูกต้องที่ไหนกัน? ถาวจวินหลันนวดหว่างคิ้ว “ประคองข้าไปดู” ในขณะเดียวกันนางก็ปวดหัว หากนี่เป็นเรื่องจริง นางที่เป็นคนดูแลจวนอยู่ตรงกลางย่อมต้องลำบากใจที่สุด 

 

 


บทที่ 476 โง่เขลา

 

ถาวจวินหลัวเพิ่งมาถึง ถาวจือก็กุมหน้าวิ่งเข้ามาหา ร้องไห้พลางพูดว่า “ขอให้ชายารองเรียกความยุติธรรมให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันมองเพียงปราดเดียวก็เห็นรอยนิ้วมือบนใบหน้าของถาวจือ เห็นได้ชัดว่าโดนตบมาสักพักแล้ว ใบหน้าเริ่มบวมขึ้น อธิบายได้ว่าแรงตบไม่เบาเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าใช้แรงไปมากเท่าไรกัน


 


 


พอเห็นถาวจือเป็นแบบนี้ ถาวจวินหลันก็หันไปมองจิ้งหลิงที่มีสีหน้าสงบนิ่ง พูดตามตรง ท่าทีของจิ้งหลิงเช่นนี้ชวนให้นางนึกถึงวันวาน จึงอดตะลึงไปไม่ได้


 


 


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” แม้จะบอกว่าในใจเข้าข้างจิ้งหลิง แต่อยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ นางย่อมไม่อาจแสดงออกมากเกินไปได้ ดังนั้นจึงไม่ได้หันไปมองจิ้งหลิงมาก เพียงแค่ถามเสียงเย็นเท่านั้น


 


 


ถาวจือร้องไห้น่าเวทนามากขึ้น สะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นภาษา แต่ก็พยายามชิงพูดก่อนอย่างทุลักทุเล “ชายารองมองไม่ออกหรืออย่างไรเจ้าคะ? จิ้งหลิงอี๋เหนียงกล้าลงมือตบข้า! ขอให้ชายารองมอบความยุติธรรมให้ข้าด้วย! เรียกร้องความยุติธรรมให้ข้าถึงจะถูกนะเจ้าคะ!”


 


 


ถาวจวินหลันสูดหายใจเข้าลึก ไม่สนใจถาวจือ เพียงแค่เรียกบ่าวรับใช้มา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าพูดมา! อยู่ดีๆ ทำไมจิ้งหลิงอี๋เหนียงถึงเริ่มลงไม้ลงมือ!”


 


 


ถาวจวินหลันเริ่มมีท่าทีโมโหหงุดหงิดแล้ว ท่าทางทรงอำนาจแผ่ออกมาเต็มร่าง จนบ่าวคนนั้นเริ่มกล้าๆ กลัวๆ พลางคิดว่าทำไมตนเองถึงได้ดวงซวยเช่นนี้ อีกด้านก็ไม่กล้าล่าช้ากว่านี้แม้แต่น้อย รีบตอบกลับไป “แต่เดิมจิ้งหลิงอี๋เหนียงพาคุณหนูใหญ่มาเล่นอยู่ที่สวนเจ้าค่ะ ถาวจืออี๋เหนียงเห็นจึงเข้ามาหยอกคุณหนูใหญ่เล่น แต่ไปๆ มาๆ ไม่รู้ว่าทำไมอี๋เหนียงทั้งสองคนถึงได้ทะเลาะกัน สุดท้ายก็เริ่มลงไม้ลงมือเจ้าค่ะ”


 


 


บ่าวรับใช้ไม่ได้พูดว่าทำไมถึงทะเลาะกัน ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย สายตาเฉียบคมกวาดมองไป ไม่ต้องอ้าปากฝ่ายตรงข้ามก็รู้ความคิดของตนเอง


 


 


บ่าวรับใช้รีบอธิบาย “ไม่ใช่บ่าวไม่เข้าไปห้ามนะเจ้าคะ แต่เพราะว่าห้ามไม่ทัน จิ้งหลิงอี๋เหนียงลงมือกะทันหัน ไม่มีใครคาดคิดเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันหันไปทางจิ้งหลิง “จิ้งหลิง เจ้าบอกข้าซีว่าทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือกันด้วย อยู่จวนเดียวกัน ต่อให้ทะเลาะกันหรือไม่พอใจก็ไม่ควรต้องลงมือมิใช่หรือ? ถ้าข่าวแพร่กระจายออกไปคนอื่นคงคิดว่าผู้หญิงในจวนตวนชินอ๋องเป็นผู้หญิงร้ายกาจ”


 


 


คำพูดนี้เหมือนจะสั่งสอนจิ้งหลิง แต่ความเป็นจริงแล้วกำลังช่วยจิ้งหลิงอยู่ อย่างไรคนที่ลงมือย่อมต้องเสียเปรียบกว่า ว่ากล่าตักเตือนก่อน ให้คนอื่นพอฟังแล้วรู้สึกว่ายุติธรรม หลังจากนี้ตอนลงโทษก็จะเบา แล้วก็จะไม่มีคนเอาไปพูดติฉินนินทา


 


 


อีกอย่างให้จิ้งหลิงพูดถึงสาเหตุย่อมต้องดีกว่าให้ถาวจือพูด อย่างน้อยจิ้งหลิงก็ไม่ใส่สีตีไข่


 


 


หางตาของถาวจวินหลันสังเกตเห็นอาการขมุบขมิบปากของถาวจือหลังจากฟังคำพูดของนาง เห็นได้ชัดว่าถาวจือคาดเดาความคิดของนางได้แล้ว ในใจไม่คิดยอมแพ้


 


 


แต่ไม่ยอมแพ้แล้วอย่างไร? จิ้งหลิงเป็นคนของนาง ซื่อสัตย์ต่อนาง นางย่อมต้องลำเอียง มิเช่นนั้นแม้แต่ประโยชน์เพียงนิดเดียวยังไม่มีแล้วจะทำให้จิ้งหลิวอยู่กับนางต่อไปได้อย่างไร?


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจิ้งหลิงมีเหตุผล ต่อให้ไม่มีเหตุผลนางเองก็ต้องเอนเอียงกว่าอยู่ดี


 


 


จนถึงตอนนี้แล้วอารมณ์โมโหของจิ้งหลิงก็ยังไม่สงบลง ก่อนเอ่ยปากพูดก็ถลึงตามองถาวจืออย่างดุร้ายทีหนึ่ง พูดเสียงเย็นว่า “เรื่องที่นางพูดล้วนแต่บอกว่าข้าดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ไม่ดี กั่วเจี่ยเอ๋อร์ก็โชคไม่ดีเหมือนกับแม่แท้ๆ ของนาง แล้วยังหยิกกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ที่ข้าตบนางยังถือว่าน้อยไป!”


 


 


เห็นได้ชัดว่าท่าทีของจิ้งหลิงอยากจะตบถาวจืออีกสักที


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ตกใจมาก รีบหันไปมองถาวจืออย่างเยียบเย็น “ถาวจือ เจ้าจะว่าอย่างไร?” หากถาวจือพูดเช่นนี้จริง ก็สมควรถูกตบแล้ว


 


 


สายตาของถาวจือมีประกายแวบหนึ่ง แล้วก็ส่ายหัวพูดปฏิเสธ “ข้าจะพูดอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ? ส่วนเรื่องที่หยิกกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ข้าก็แค่อยากจะลูบหน้าของกั่วเจี่ยเอ๋อร์เท่านั้น ไฉนเลยจะหยิกนาง? เป็นนางที่ดื้อเอง ถึงได้ไม่ระวังถูกเล็บบาดเข้าเจ้าค่ะ”


 


 


ยังไม่รอให้ถาวจวินหลันมีปฏิกิริยา ก็ได้ยินเสียงดุดันของจิ้งหลิง “เจ้ากล้าสาบานหรือไม่ว่าไม่ได้พูดเช่นนั้น? กล้าสาบานหรือไม่ว่าเจ้าไม่ตั้งใจ? แล้วเจ้ากล้าสาบานหรือไม่ว่าเจ้าไม่เคยคิดจะเอากั่วเจี่ยเอ๋อร์มาเป็นของตนเอง!”


 


 


ประโยคสุดท้ายนั้นจิ้งหลิงพูดอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด พอได้สติกลับคืนมา ก็เบนสายตามองไปยังร่างของถาวจือโดยไม่ได้นัดหมาย


 


 


ถาวจือมีท่าทีเก้ๆ กังๆ นางถลึงตามองจิ้งหลิง “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร? ตอนแรกข้าเคยคิดว่า เพราะว่าเคยได้ร่วมทุกข์สุขกับหงฉวีมาก่อน หากช่วยนางเลี้ยงกั่วเจี่ยเอ๋อร์ จะได้ทำให้นางไปอย่างสงบ แต่หลังจากนั้นกั่วเจี่ยเอ๋อร์อยู่กับเจ้า แล้วข้าเคยพูดอะไรหรืออย่างไร?”


 


 


ถาวจือสารภาพอย่างเปิดเผย เป็นธรรมชาติ ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ


 


 


ถาวจวินหลันเห็นว่าจิ้งหลิงยังคิดจะพูดต่อ จึงรีบพูดว่า “เอาเถิด พอได้แล้ว!” หากทะเลาะกันต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน


 


 


แม้ว่าจิ้งหลิงจะหงุดหงิด แต่อย่างไรก็ถือว่าไว้หน้านาง ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


ถาวจวินหลันมองไปยังถาวจือ พลางมองไปที่จิ้งหลิงอีกครั้ง “ถาวจือ ในเมื่อเจ้าคิดจะหยอกล้อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ก็ควรไตร่ตรองดูก่อนว่าจะทำให้ร่างกายบาดเจ็บหรือไม่ ส่วนจิ้งหลิง วิธีของเจ้าก็มากเกินไปหน่อย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าทั้งสองคนปิดประตูกักบริเวณหนึ่งเดือน! แล้วก็คัดบทสวดชำระจิตใจอีกสิบบท!” บทสวดชำระจิตใจนทำให้พวกนางทั้งสองคนสามารถชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ลบล้างความไม่พอใจเหล่านั้นออกไปได้


 


 


หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดอีกว่า “ต่อจากนี้ไป หากมีเรื่องเช่นนี้อีก จะไม่ใช่แค่ปิดประตูกักบริเวณและคัดบทสวดชำระจิตใจง่ายๆ เช่นนี้แล้ว! พวกเจ้าคิดทำเรื่องไม่ดี ทางที่ดีก็เก็บไปให้หมด! มิเช่นนั้นพอชายาเอกคนใหม่เข้ามาในจวน พวกเจ้ายังไม่มีมารยาทเช่นนี้ อย่ามาโทษว่าข้าไม่ได้เตือนพวกเจ้า!”


 


 


สิ้นเสียง ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นก็มีท่าทีตื่นตะลึง แต่ถาวจวินหลันไม่พูดอะไรอีก เพราะคิดว่าอีกเดี๋ยวฉินซื่อก็จะมาถึงแล้ว ดังนั้นนางจึงพูดว่า “แยกย้ายเถิด”


 


 


จิ้งหลิงต้องเดินไปทางเดียวกับถาวจวินหลัน ดังนั้นจึงต้องเดินตามหลังไป


 


 


เมื่อเดินไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็เหลือบมองจิ้งหลิงนิ่ง พลางพูดว่า “ฝีมือของเจ้าแต่ก่อนเล่า? ทำไมตอนนี้ถึงไม่เหลือแม้แต่น้อย? ถาวจือยั่วโมโหเจ้า จนเจ้ายังทำเรื่องอย่างนี้อีก คนอื่นจะมองเจ้าอย่างไร? ข้าเพียงแค่ให้เจ้าช่วยเลี้ยงดูกั่วเจี่ยเอ๋อร์เท่านั้น แต่ยังไม่ได้มอบให้อยู่ใต้ชื่อของเจ้า หากเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องมีสักวันที่ปกป้องกั่วเจี่ยเอ๋อร์เอาไว้ไม่ได้”


 


 


จิ้งหลิงจะเอ่ยปากพูด แต่กลับไม่มีเสียงดังออกมา ต้องก้มหน้าลงไปอีกครั้งอย่างพ่ายแพ้ แต่มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อกลับกำเข้าหากันแน่น


 


 


“แม้ว่ากั่วเจี่ยเอ๋อร์จะเกิดจากอนุภรรยา แต่ก็เป็นบุตรสาวคนโตของท่านอ๋อง หากเจ้าไม่เหมาะสมที่จะเลี้ยงนาง ต่อให้ท่านอ๋องจะเห็นความสัมพันธ์ในวันวาน ก็ไม่มีทางให้เจ้าเลี้ยงดูนางอีก เจ้าจำเรื่องนี้เอาไว้ให้แม่น” ถาวจวินหลันมองจิ้งหลิงที่มีท่าทีเช่นนี้นิ่ง ถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงสองส่วน “อีกอย่าง กลับไปข้าจะให้คนเอายาทาแผลเป็นมาให้ขวดหนึ่ง กั่วเจี่ยเอ๋อร์ใช้ เจ้าเองก็ใช้ด้วย มือของเจ้าถูกข่วนจนเลือดออกแล้ว”


 


 


จิ้งหลิงซ่อนมือข้างที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ เกรงว่าบ่าวรับใช้ของนางคงไม่สังเกตเห็น คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะสังเกตเห็น จิ้งหลิงพลันรู้สึกน้อยใจทันที


 


 


“เอาเถิด ข้ารู้นิสัยของเจ้า ข้าเองก็รู้ว่าเจ้าใส่ใจกั่วเจี่ยเอ๋อร์ แต่เจ้าไม่อาจบุ่มบ่ามเช่นนี้ได้อีกแล้ว” ถาวจวินหลันมองจิ้งหลิงที่มีท่าทีสงบนิ่งลง รู้ว่าในใจของนางคงรู้สึกไม่ดีนัก จึงเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน แล้วปล่อยไป


 


 


พอแยกกับจิ้งหลิงแล้ว ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจพลางพูดกับปี้เจียวว่า “เจ้าดูซี ก่อนหน้านี้จิ้งหลิงเป็นเช่นไร? แค่เพื่อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ นางถึงได้แสดงความโมโหออกมา น่าสงสารหัวใจคนเป็นแม่เสียจริง” หากฐานะของจิ้งหลิงสูงเสียหน่อย ก็ยังถือไพ่ดีกว่าเล็กน้อย นางอาจช่วยให้หลี่เย่มอบกั่วเจี่ยเอ๋อร์ไปเลี้ยงไว้ใต้ชื่อของนางอย่างถูกต้อง แต่น่าเสียดาย…


 


 


ปี้เจียวก็ถอนหายใจตาม “พวกเขาทะเลาะกันทำให้ชายารองลำบากแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะขมขื่น “ไม่มีทาง ใครใช้ข้านั่งอยู่ตำแหน่งนี้เล่า หากเป็นคนอื่นก็คงเหมือนกัน”


 


 


พอกลับมายังเรือนเฉินเซียงพักผ่อนจนหายใจอย่างสะดวกแล้ว คนเฝ้าประตูก็รายงานว่าฉินซื่อมาถึงแล้ว


 


 


ตอนที่หงหลัวเดินเข้ามาพร้อมฉินซื่อ ถาวจวินหลันก็เดินยิ้มเข้าไปต้อนรับ “ตอนนี้ยังต้องรบกวนให้เข้ามาด้วยตนเอง ช่างน่าระอาเสียจริง”


 


 


ฉินซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน “ทำให้ชายารองถาวหายเบื่อได้ ก็ถือเป็นโชคดีของข้าเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันเชิญให้ฉินซื่อนั่ง และให้คนยกชาเข้ามา แล้วถึงได้เอ่ยปากพูดว่า “วันนี้ตอนแรกคิดจะเชิญเจ้ามาตอนเช้า แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฮูหยินชราของจวนเหิงกั๋วโหวจะเสียชีวิต ข้าเป็นสตรีของจวนเพ่ยหยางโหว แม้ว่าจะเป็นบุตรสาวบุญธรรม แต่ก็ต้องไปกราบไหว้ด้วยตนเอง ถึงได้ล่าช้ามาจนถึงตอนนี้”


 


 


หยุดไปครู่หนึ่งนางก็ถอนหายใจอีกครั้ง พลางพูดว่า “พูดไปแล้วก็น่าสงสาร ฮูหยินเฒ่ากับคุณชายสามจากไปกะทันหันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจวนเหิงกั๋วโหวจะเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


ดวงตาของฉินซื่อเป็นประกาย รอยยิ้มอ่อนโยนกว่าเดิม “อาจด้วยทำผิดต่อองค์เทพ”


 


 


ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้ “เป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็ไม่แน่” สุดท้ายแล้วทำผิดต่อองค์เทพจริงหรือไม่นางไม่รู้ แต่ทำผิดต่อหลี่เย่เป็นเรื่องจริง


 


 


“ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับเฝินหยางโหวใช่หรือไม่? ไม่รู้ว่าฉินฮูหยินทราบข่าวลือนี้หรือไม่?” คนฉลาดไม่พูดคำอ้อมค้อม ดังนั้นถาวจวินหลันจึงถามอย่างโจ่งแจ้ง


 


 


ฉินฮูหยินก็เป็นคนตรงไปตรงมา จึงพยักหน้าโดยไม่มีสีหน้าลังเลแม้แต่น้อย “เกิดเรื่องนั้นขึ้นจริง เป็นเรื่องที่เฝินหยางโหวก่อขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เฝินหยางโหวก็คงไม่เป็นเช่นนี้แล้ว ตอนนี้เฝินหยางโหวเองก็กำลังโศกเศร้าอยู่ เรียกสามีของข้าไปสั่งสอนอย่างหนักรอบหนึ่ง แล้วยังลงแส้อีกด้วย ตอนนี้สามีของข้ายังต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะดีขึ้น”


 


 


ขณะที่พูด หว่างคิ้วของฉินฮูหยินก็เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เห็นได้ชัดว่าเป็นกังวลจริง


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเล็กน้อย “ลงแส้หรือ?” นี่…เฝินหยางโหวเป็นคนไร้สมองจริงๆ หรืออย่างไร?

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม