แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 468-483

ตอนที่ 468

 

 หาทางเอาเอง

 


 


 


แม่อวี๋ล้างมือ ถอดเสื้อนอกออกแล้วฝังเข็มให้ต้าอี เอวเคล็ดห้ามนวดภายใน24ชั่วโมง ใช้วิธีฝังเข็มเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด


 


 


ต้าอีว่าง่ายเธอเปิดเสื้อขึ้น แต่แม่อวี๋กลับไม่เห็นด้วย


 


 


“ไม่ได้ เสื้อผ้าเกะกะ”


 


 


ถึงแม้ต้าอีจะรู้สึกว่าตำแหน่งที่ฝังเข็มอยู่แค่บริเวณเอว ไม่จำเป็นต้องถอด แต่นี่คือท่านแม่ของอวี๋หมิงอี้ เธอไม่กล้าผิดใจ จึงถอดเสื้อออกอย่างว่าง่าย เหลือแค่เสื้อใน แม่อวี๋กวาดตามองทั่วแล้วถอนหายใจ


 


 


“สู้พ่อไม่ได้เลยจริงๆ…”


 


 


ขาวจั๊วเชียว ไม่จูบเลยสักนิด ทำทื่อๆเลยแบบนั้นแล้วเอวจะไม่เคล็ดได้ไง?


 


 


“คุณน้าว่าอะไรนะคะ?”


 


 


“นอนลง อย่าขยับ น้าจะฝังเข็มให้จ้ะ”


 


 


แม่อวี๋ลูบเล็กน้อย แล้วก็ถอนหายใจอีก “นี่ถึงขนาดไขข้อตรงเอวเคลื่อนผิดรูป ทำไมรู้จักแต่เรื่องใช้กำลังกันนะ?”


 


 


ฝีมือแย่จริงๆสินะ


 


 


อวี๋หมิงอี้ที่กำลังกล่อมลูกอยู่ในห้องรับแขกถูกโยนความผิดให้โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่


 


 


ต้าอีไม่คิดเลยว่าแม่อวี๋จะคิดไปในทางนั้น เธอยังว่าตามไปด้วย


 


 


“หนูทำครั้งแรก ไม่ค่อยเป็นเท่าไร พี่รองให้หนูทำยังไงหนูก็ทำแบบนั้น อาจจะผิดวิธีไปหน่อย…”


 


 


ลูกกลิ้งบริหารหน้าท้องที่เขาให้มามันฝืดจะตาย อาจเพราะก่อนหน้านี้ไว้ให้ผู้ชายฝึก เธอออกแรงมากไปหน่อยเอวเลยเคล็ด


 


 


“อะไรนะ? ให้หนูทำ?”


 


 


แม่อวี๋หน้าเสีย ต้าอีพอเห็นแม่อวี๋โกรธก็ตกใจไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


แม่อวี๋จัดการฝังเข็มด้วยความเร็วสูงสุด “นอนไปนะอย่าขยับ เดี๋ยวสักพักน้าจะมาเอาเข็มออก”


 


 


พูดจบก็พุ่งไปที่ห้องรับแขกด้วยความโมโห อุ้มพ่านพ่านไปขังไว้ในห้องกับต้าอี จากนั้นก็ชี้หน้าอวี๋หมิงอี้ คำพูดมากมายที่อยู่ในใจแต่กลับพูดไม่ออก


 


 


โกรธจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน


 


 


“แก…” แม่อวี๋ชี้ไปที่อวี๋หมิงอี้ จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความโกรธ


 


 


อวี๋หมิงอี้งง “แม่ พ่อทำให้โมโหเหรอครับ?”


 


 


นอกจากเรื่องนี้ก็นึกไม่ออกแล้วจริงๆว่าทำไมแม่ถึงโกรธขนาดนี้?


 


 


“แกนะแก ไม่ใช่แต่งงานครั้งแรกซะหน่อยทำไมยังเป็นแบบนี้?” แม่อวี๋พูดด้วยความอับอาย แต่ในใจกลับแค้นตาแก่ที่บ้าน


 


 


ตาแก่หน้าไม่อาย รู้จักแต่เอาตัวรอดคนเดียว ทำไมไม่รู้จักสั่งสอนลูกชายเรื่องอย่างว่าบ้าง?


 


 


ดูตารองซิ ทำลูกสาวคนอื่นจนเป็นแบบนี้แล้ว


 


 


คนอายุใกล้สามสิบแล้ว จะให้แม่มาพูดเรื่องแบบนี้ ไม่รู้จะเอ่ยปากยังไง


 


 


“ทำไมพูดถึงเรื่องแต่งงานอีกแล้วล่ะครับ?” อวี๋หมิงอี้ไม่เข้าใจว่าแม่โมโหเรื่องอะไร


 


 


“แก ช่างเถอะ ฉันไปพูดกับต้าอีก็แล้วกัน”


 


 


ไม่รู้จะพูดยังไงกับลูกชายจริงๆ นี่มันไม่ควรเป็นหน้าที่ของพ่อหรอกเหรอ? ไม่ถูกสิ ก็ไม่เคยได้ยินพ่อบ้านไหนสอนลูกเรื่องแบบนี้นะ หรือว่าเรื่องแบบนี้เป็นเองกันเหรอ?


 


 


นึกถึงสามีที่ไม่ต้องมีคนสอนก็เทคนิคแพรวพราว แล้วหันมาดูลูกแต่ละคนที่น่าเป็นห่วงทั้งนั้น แม่อวี๋ล่ะปวดใจ


 


 


อวี๋หมิงอี้งงในงง มองแม่กุลีกุจอทำนู่นนี่ เมื่อกี้อุ้มพ่านพ่านเข้าไป ตอนนี้อุ้มพ่านพ่านออกมา แล้วชี้หน้าอวี๋หมิงอี้พลางพูด “แกพาลูกออกไปซื้อขนมไป ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงไม่ต้องกลับมา”


 


 


“ให้เด็กกินขนมไม่ดีนะครับ”


 


 


“ออกไป” แม่อวี๋โมโห คิดว่าแต่ละวันของเธอง่ายนักเหรอ?


 


 


อวี๋หมิงอี้อุ้มลูกเผ่นออกไปทันที ประสบการณ์บอกเขาว่า ถึงจะไม่เข้าใจว่าพวกผู้หญิงโกรธเรื่องอะไร แต่บทเรียนได้สอนว่า เวลาที่ผู้หญิงอาละวาด ให้ออกไปอย่างเงียบๆ ออกห่างจากต้นตอของอันตราย นี่คือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด


 


 


จากนั้นต้าอีก็เห็นแม่อวี๋มาในท่าทีของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ค่อยๆเดินเข้ามาหาเธอ…


 


 


ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงอวี๋หมิงอี้ก็พาพ่านพ่านกลับมาตรงเวลา


 


 


“เดี๋ยวแม่พาหลานกลับไป ช่วงสองวันนี้แกก็ดูแลต้าอีดีๆเข้าใจไหม?” แม่อวี๋อุ้มพ่านพ่านขึ้นมา แล้วยิ้มพลางพูด “พ่านพ่านจ๊ะ ไปเที่ยวสวนสนุกกับย่าดีไหมจ๊ะ?”


 


 


“แต่ปะป๊า…”


 


 


พ่านพ่านมองอวี๋หมิงอี้ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์


 


 


“ให้ปู่ทำม้าไม้ให้เอามั้ย?” โอ๋เด็ก หลักสำคัญคือจะโอ๋ยังไง


 


 


“แล้วก็อีอี…” เห็นได้ชัดว่าพ่านพ่านหวั่นไหวแล้ว พยายามขัดขืนโดยใช้วิธีของเด็กๆ


 


 


“ไปเที่ยวสวนสนุกจากนั้นไปทำม้าไม้ แล้วก็ซื้อไอติมให้หนูกินด้วยดีไหมจ๊ะ?”


 


 


“ไปฮะ”


 


 


อวี๋หมิงอี้ทำหน้าไม่ถูกที่ลูกชายอยู่ๆก็ถูกซื้อได้ “ไม่อยากเล่นกับปะป๊าแล้วเหรอ?”


 


 


ช่วงหลายวันนี้เขาหยุดบินพอดี อยู่ในช่วงพักผ่อน ยังคิดอยากพาลูกชายกับต้าอีไปเที่ยวด้วยกัน


 


 


“ไปกับอีอี” ตอนนี้พ่านพ่านรู้สึกครอบครัวอบอุ่นมาก ไปจากที่นี่ก็ไม่เป็นไร


 


 


เด็กจะความรู้สึกไวมาก ก่อนหน้านี้พ่านพ่านรู้สึกว่าปะป๊ากับอีอีดูแปลกๆ จึงอยากให้อยู่ด้วยตลอดเวลา กลัวจะถูกทุกคนทิ้ง ช่วงหลายวันนี้รู้สึกได้ว่าปะป๊ากับอีอีดูรักใคร่กลมเกลียวกันดี เด็กน้อยจึงวางใจ


 


 


แม่อวี๋หอมแก้มพ่านพ่าน จากนั้นก็เงยหน้ามองเหยียดลูกชาย


 


 


“เด็กยังรู้เรื่องดีกว่าแกเลย”


 


 


“……” นี่เขาผิดตรงไหนกันเนี่ย อวี๋หมิงอี้เงยหน้าถามสวรรค์ในใจ


 


 


“บ๊ายบายปะป๊ากับอีอีสิจ๊ะ จริงๆเลย คราวหน้าไม่แน่อาจต้องเปลี่ยนคำเรียกแล้ว แกน่ะไม่ต้องหมั้นหรอก แต่งกันไปเลย อายุปูนนี้แล้วยังไม่รู้จักหนักเบา เห็นเขาไม่มีพ่อแม่ก็รังแกเขา ถ้ายังจะเป็นแบบนี้อีกฉันจะไม่สนแกแล้ว”


 


 


“ผมจะไปรังแกเขาได้ไง?” นี่มันเรื่องอะไรกัน?


 


 


แค่ออกกำลังกายหน้าท้องนี่เป็นปัญหาถึงขั้นพ่อแม่เลยเหรอ? งั้นวันๆเขาทำเป็นร้อยครั้งที่ทำงานทำไมไม่เห็นมีใครเป็นห่วงเขาบ้าง


 


 


ในใจของอวี๋หมิงอี้รู้สึกอยากจะบ้า ไม่เข้าใจจริงๆว่าไฟโกรธของแม่มาจากไหน


 


 


พอส่งแม่กลับไปแล้ว อวี๋หมิงอี้ก็ยังไม่รีบร้อนเข้าไปดูต้าอีในห้อง แต่ครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วโทรหาพ่อ


 


 


“พ่อครับ ทำให้แม่โกรธอะไรหรือเปล่าครับ?”


 


 


ด้วยระดับอีคิวของอวี๋หมิงอี้ เขาคิดว่าคนที่จะทำให้แม่ปรี๊ดแตกได้ขนาดนี้คงมีแค่พ่อคนเดียว ปรากฏว่าพอพ่ออวี๋ได้ยินเสียงลูกที่ไม่เอาไหน ลูกที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ เมื่อคืนเขาไม่ได้หลับได้นอนก็เพราะไอ้ลูกคนนี้ทำเรื่องไม่สำเร็จ เล่นเอาเขาถูกเมียจิกขึ้นมา นี่ถ้าเขาไม่จัดการ ‘เผด็จศึก’ ทำให้เมียสงบลงล่ะก็ เมื่อคืนคงไม่ได้นอน


 


 


ครั้นแล้วพ่ออวี๋จึงจัดการด่าอวี๋หมิงอี้เป็นชุด


 


 


อวี๋หมิงอี้ทำหน้าเหวอตั้งแต่ต้นจนถูกด่าจบ ตอนแรกก็แม่ ตอนนี้ก็พ่อ นี่เขาทำอะไรไปกันแน่วะเนี่ย?


 


 


พ่ออวี๋ด่าลูกชายเสร็จก็โล่งใจไปไม่น้อย สุดท้ายจึงพูดคำสำคัญออกมา


 


 


“แต่งงานเมื่อไร?”


 


 


“แต่งงาน?”


 


 


“แกนี่ กล้าทำไม่กล้ารับผิดชอบหรือไง?” ถ้าเป็นแบบนี้ พ่ออวี๋รู้สึกว่าไม้กวาดเพชฌฆาตของเขาในที่สุดก็มีที่ให้ออกโรง แบบนี้มันต้องฟาด ฟาด ฟาด


 


 


“ถ้าต้าอียอมก็แต่งได้ครับ เพียงแต่ตอนนี้เธอยังเรียนอยู่ คงไม่เหมาะมั้งครับ? เรียบจบแล้วค่อยแต่ง เธอจะได้ไม่กดดัน” ในใจของอวี๋หมิงอี้ คบกับแฟนโดยไม่เร่งเรื่องแต่งงาน แบบนั้นเป็นการบังคับจนเกินไป


 


 


คำตอบนี้พ่ออวี๋ถือว่าเป็นการยอมรับว่าตัวเองไม่เอาไหน


 


 


“เอาล่ะ แกน่ะไปหาหนังจินXเหมยดูซะนะ ตอนนั้นฉันก็ดูเรื่องนี้แหละเป็นตัวนำร่อง แม่แกจะให้ฉันสอนแกให้ได้ มีอะไรให้สอน เป็นผู้ชายมันต้องหาทางเอาเอง”

 

 

 


ตอนที่ 469

 

เสียดแทงใจ

 


 


 


จิน…อะไรเหมยนะ?


 


 


อวี๋หมิงอี้หลังจากวางสายก็คิดทบทวน เมื่อกี้เขาได้ยินผิดหรือพ่อพูดแบบนั้นจริงๆ?


 


 


เป็นไปไม่ได้มั้ง?


 


 


แต่ในบรรดานิยายที่มีชื่อเสียงทั้งในอดีตและปัจจุบัน ในจีนและในต่างประเทศ ดูเหมือนชื่อนี้จะมีแค่ชื่อเดียว พ่อให้เขาดูหนังของเรื่องนี้ทำไมกัน?


 


 


งงในงง…


 


 


อวี๋หมิงอี้รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่พิลึกสุดๆ ทุกคนดูประหลาดไปหมด ท่าทางประหลาดเหล่านี้พอรวมอยู่ด้วยกันเขาก็ไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่


 


 


ปรากฏว่าพอผลักประตูเข้าไปก็เห็นก้อนใหญ่ๆอยู่บนเตียง


 


 


ต้าอีใช้ผ้าห่มห่อตัวเองไว้


 


 


“นอนแล้วเหรอ?”


 


 


“ยัง…”เสียงของต้าอีลอยมาจากในผ้าห่ม


 


 


ตอนนี้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวมาก


 


 


อันที่จริงแม่อวี๋ไม่ได้พูดอะไรที่เกินเลยกับเธอ ด้วยความที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะมานั่งสอนอย่างละเอียด ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของคนมีการศึกษา ภายในหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาพูดคุยเรื่องทั่วไปไปแล้วถึง58นาที เพียงแต่สองนาทีสุดท้ายเป็นช่วงที่สำคัญมาก โดยแม่อวี๋บอกว่าเธอไม่ถือสาถ้าจะต้องเลี้ยงน้องชายหรือน้องสาวของพ่านพ่านอีกคนหนึ่ง เรียนหนักก็ไม่เป็นไร แม่อวี๋ช่วยเลี้ยงลูกให้ได้


 


 


แต่ครั้งหน้าเวลามีอะไรกันให้เบาๆหน่อย ส่วนเอวถ้าเกิดปัญหาหนักขึ้นมาจริงๆต่อไปจะเป็นเรื่องใหญ่…


 


 


ถึงแม้จะพูดขึ้นมาแค่นิดเดียว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ต้าอีหน้าแดงหูแดง ออกอาการเขินสุดๆ


 


 


ทำไมทุกคนถึงได้มายุให้เธอกับพี่รองทำเรื่องอย่างว่าจังนะ


 


 


ถ้าไม่มีความคิดในเรื่องนั้น อยู่กันยังไงก็ดูเป็นธรรมชาติ แต่พอมีก็รู้สึกว่าบรรยากาศดูแปลกๆ


 


 


พี่รองไม่อาจล่วงรู้ความคิดของต้าอี เพียงแค่รู้สึกเหมือนเธอจะดูเสียใจอยู่ในผ้าห่ม ครั้นแล้วจึงไปนั่งข้างเตียง เอามือไปเลิ่กผ้าห่มขึ้น


 


 


ถ้าไม่มีความคิดเรื่องนั้น ปกติทั้งสองคนก็ทำกันแบบนี้ เป็นเรื่องปกติ


 


 


แต่นับตั้งแต่ทุกคนพยายามผลักดันให้เธอก้าวหน้าในเรื่องอย่างว่า การกระทำธรรมดาๆนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอหัวใจเต้นแรง หน้าแดงหูแดง


 


 


“เป็นอะไร?” เขาสังเกตเห็นว่าเธอนอนตัวขด จึงถามด้วยความไม่เข้าใจ


 


 


“คุณน้าบอกว่าเดี๋ยวพอถึงตอนเย็นเอวฉันก็ไม่มีปัญหาแล้ว”


 


 


“งั้นก็ดีสิ” อวี๋หมิงอี้ไม่แปลกใจ เพราะแม่ของเขาเก่งเรื่องนี้มาก อาการแค่นี้เบาๆ


 


 


“ถึงตอนนั้นก็ออกกำลังกายได้แล้ว” หน้าเธอแดงมาก


 


 


“อ่อ งั้นวันนี้บริหารหน้าท้องเบาๆก็แล้วกัน…ช่างเถอะ ไม่ต้องทำหรอก พักผ่อนดีกว่า”


 


 


“……” บนโลกนี้เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เธออยากทำกิจกรรมเข้าจังหวะสองคนกับเขา แต่เขากลับคิดแค่เรื่องจะให้เธอก้มไถไอ้เครื่องออกกำลังกายหน้าท้องนั่น


 


 


แต่ไม่เป็นไร ประธานเชี่ยนบอกแล้วว่าให้ ถอด


 


 


ต้าอีตัดสินใจแล้วว่า คืนนี้จะใช้เคล็ดลับของประธานเชี่ยน


 


 


จะให้เธอฟิตร่างกายเหรอ? ได้สิ ใช้เคล็ดลับของประธานเชี่ยน ถอดไอ้ล้อเครื่องบ้านั่นทิ้ง ชนะชัวร์


 


 


ไม่ได้เพราะอะไร เพราะประโยคนั้นของเขา เรียนจบแล้วค่อยแต่งงาน คนที่ไม่มีครอบครัวอย่างเธอก็อยากจะสร้างครอบครัวกับคนที่ตัวเองรักบ้าง


 


 


แน่นอนว่า เหตุผลที่ทำให้ต้าอียืนหยัดในเรื่องนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง


 


 


นั่นก็คือทฤษฎีหน้าต่างแตกที่ประธานเชี่ยนพูดถึง


 


 


ต้าอีศรัทธาในตัวประธานเชี่ยน คำพูดของประธานเชี่ยนเป็นดั่งคำพูดศักดิ์สิทธิ์


 


 


ดังนั้นถ้าเสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าเพื่อนๆรอบตัวต่างถูกจึ๊กกันหมดแล้ว อีกทั้งยังเป็นเพราะแรงยุของเธอ เสี่ยวเชี่ยนจะต้องอยากเอาหัวชนกำแพงแน่นอน


 


 


นี่ตัวฉันผิดหรือไร


 


 


ไอ้ที่ควรถูกจึ๊กกลับไม่สำเร็จ คนพวกนี้มาแห่ทำตามอะไรกันตอนนี้


 


 


หากจะว่ากันตามจริง เรื่องของสืออวี้กับเฉียวเจิ้นก็มีสาเหตุมาจากที่เสี่ยวเชี่ยนทำเครื่องปั่นน้ำผลไม้ระเบิดใส่กำแพงนั่นแหละ


 


 


แต่ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนยังไม่รู้ว่าลูกคุณหนูสุดบ๊องได้หลุดพ้นจากความเป็นวัยรุ่นใสๆไปแล้ว


 


 


เธอโทรหาต้าอีแล้วเจอกับเรื่องที่เสียดแทงใจ


 


 


ครั้นแล้วจึงนึกได้ว่าเธอยังมีน้องเสี่ยวยวี่เป็นที่พักพิงทางใจได้อยู่


 


 


ขณะที่กำลังคิดหลบหลีกจากคู่อวี๋หมิงอี้ที่ทำร้ายจิตใจ ไปหาลูกคุณหนูที่สุดแสนน่ารักเพื่อให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย ทันใดนั้นลูกคุณหนูก็โทรเข้ามาพอดี


 


 


พอเริ่มพูดก็พูดจาอึกๆอักๆ


 


 


“ประธานเชี่ยน…ช่วยด้วย…”


 


 


“เกิดอะไรขึ้น?” เสี่ยวเชี่ยนเป็นห่วงขึ้นมาทันที เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวยวี่?


 


 


“ฉันปวดมาก…เธอซื้อยาแก้ปวดมาให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันลงจากเตียงไม่ไหวแล้ว”


 


 


“เป็นแบบนี้ได้ยังไง?” หรือว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นทำให้เสี่ยวยวี่ได้รับบาดเจ็บ?


 


 


ถึงเสี่ยวเชี่ยนจะชอบพูดแซวว่านี่คือลูกคุณหนูสุดติงต๊อง แต่ความสัมพันธ์กลับไม่ธรรมดา นี่คือซุปเปอร์เพื่อนสนิทที่ร่วมทุกข์กันมาตั้งแต่ในหุบเขา


 


 


พอได้ยินเสียงที่น่าสงสารของเสี่ยวยวี่ เสี่ยวเชี่ยนก็เครียดขึ้นมาทันที


 


 


“ฉันถูกพี่เฉียวเจิ้นจึ๊กแล้ว ฉันเจ็บมากเลย ซื้อยาแก้ปวดให้หน่อยสิ แล้วก็ซื้ออาหารหนูมาให้เยี่ยเหล่ากับหงเหนียงด้วย”


 


 


“…เยี่ยเหล่า? หงเหนียง?” คือไรวะ?


 


 


หนูแฮมเตอร์ตัวอ้วนที่สืออวี้เลี้ยงไม่ได้ชื่อเบนโบ้กับโบ้เบนหรอกเหรอ?


 


 


แค่คืนเดียวก็เปลี่ยนชื่อแล้ว อีกอย่างจึ๊กหมายความว่าไง? คงไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกนะ?


 


 


แล้วก็ได้ยินเสียงสืออวี้พูดออกมาด้วยความเขิน “เปลี่ยนชื่อแล้ว เพราะพวกมันสองตัว ฉันกับพี่เฉียวเจิ้นถึงได้เป็นผัวเมียกัน ตอนนี้ฉันเหมือนกับเธอแล้วนะ พวกเราเป็นผู้หญิงโดยสมบูรณ์แล้ว ฮี่ๆๆ~”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกดตัดสายทิ้งทันที


 


 


เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองท้องฟ้าอย่างเงียบๆ


 


 


ใครเป็นผู้หญิงกันโว้ย


 


 


เสี่ยวเฉียงของเธอจึ๊กไม่สำเร็จเคมะ นี่เธอไปสร้างเวรกรรมอะไรไว้กันแน่เนี่ย ทำไมพวกที่ไม่ตั้งใจกลับทำสำเร็จ เธอวางแผนมาตั้งนานแต่กลับล้มเหลวทุกครั้ง?


 


 


แต่ลูกคุณหนูสุดต๊องกลับไม่ได้เข้าใจถึงความรู้สึกการถูกทำร้ายจิตใจของเสี่ยวเชี่ยน โทรกลับมาหาเธออีกครั้ง


 


 


“ประธานเชี่ยน ทำไมวางสายไปล่ะ มือเผลอไปกดเหรอ?”


 


 


“ไม่อยากยุ่งกับเธอ”


 


 


“ไม่เอาน่า…ฉันรู้ เธอเคยสอนฉันว่าเป็นผู้หญิงยิงเรือต้องรู้จักเคารพตัวเอง ควบคุมช่วงล่างให้ดี แต่เรื่องนี้โอกาสมันหายากนะ ฉันเห็นเขาก็ดูจริงใจดี เมื่อคืนตอนพวกเราอยู่ด้วยกัน เขาร้องไห้ด้วยเธอรู้ไหม ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ”


 


 


จนถึงตอนนี้สืออวี้ยังไม่เข้าใจว่าที่เสี่ยวเชี่ยนวางสาย เพียงเพราะตัวเธอนั้นหิวโหยอยู่คนเดียว คนอื่นกินเนื้อกันเสร็จไปหมดแล้ว ปวดใจ


 


 


ไม่ใช่เรื่องควบคุมช่วงล่างอะไรทั้งนั้น อย่างเรื่องของสืออวี้กับเฉียวเจิ้นที่เก็บงำความรู้สึกมานาน พอมีโอกาสก็เต็มที่ เรื่องนี้ไม่แปลกใจเท่าไร แต่ที่เธอรับไม่ได้ก็คือ ทำไมรูมเมทเธอถึงได้เสร็จกันหมดแล้ว เหลือแค่เธอที่พรหมจรรย์ยังอยู่ดี?


 


 


ครั้นแล้วเสี่ยวเชี่ยนก็วางสายอีกรอบด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง


 


 


พอสืออวี้โทรมารอบที่สามก็ถึงกับวิงวอน “ประธานเชี่ยนอย่าโกรธสิ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา…”


 


 


“หุบปากเดี๋ยวนี้” ไม่ฟังโว้ย เสียดแทงใจ


 


 


สุดท้ายก็อดเอ็นดูสืออวี้ไม่ได้ ถึงยัยคนนี้จะทำเธอขุ่นเคือง แต่ก็ยังคงเป็นคุณหนูจอมต๊องในสายตาของเสี่ยวเชี่ยนเหมือนเดิม บางครั้งเสี่ยวเชี่ยนไม่คิดว่าสืออวี้คือเพื่อนสนิทแต่เป็นเด็กน้อยที่เธอเลี้ยงเอาไว้ พอเห็นเด็กที่ไม่ประสีประสากลายร่างเป็นแบบนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนโลลิต้าดาร์คโหมด


 


 


“บอกที่อยู่มา เดี๋ยวฉันไปหา”


 


 


เฮ้อ นี่มันเวรกรรมอะไร ไม่เพียงแต่จะต้องมาเจอเรื่องเสียดแทงใจพร้อมๆกัน ยังจะต้องเอายาแก้ปวดกับอาหารหนูไปให้อีก ชีวิต…


 


 


ประธานเชี่ยนรู้สึกเศร้าใจ

 

 

 


ตอนที่ 470

 

 เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

 


 


 


ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าไปในโรงแรมพร้อมของที่สืออวี้ต้องการ รวมถึงอาหารเย็น เธอก็เห็นสืออวี้ที่บอกว่าตัวเองลงจากเตียงไม่ได้กำลังยืนส่องกระจกสำหรับแต่งตัวอยู่ ใบหน้าก็ฉีกยิ้มหวานอยู่คนเดียว


 


 


หน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้กลิ่น ‘ดอกเกาลัด’ ‘ดอกโพทิเนีย’ ไม่อย่างนั้นจะยิ่งเสียดแทงใจมากกว่าเดิม


 


 


ห้องแบบสองเตียง เตียงหนึ่งราบเรียบเหมือนไม่เคยถูกแตะต้อง ส่วนอีกเตียงสภาพเหมือนผ่านสงครามมา จินตนาการได้เลยว่าสงครามเมื่อคืนดุเดือดแค่ไหน


 


 


“ส่องดูอะไรน่ะ ก็แค่เยื่อหายไปใช่ว่าจะมีเนื้อส่วนไหนเพิ่มเข้ามา มองก็มองไม่ออกหรอก มากินยาได้แล้ว”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเอาของวางตรงหัวเตียง แล้วเรียกสืออวี้มา


 


 


ลูกคุณหนูสุดต๊องยังคงฝึกยิ้มอยู่หน้ากระจก “ประธานเชี่ยน สังเกตเห็นไหมว่าฉันดูไม่เหมือนปกติ?”


 


 


“อืม ดูโง่กว่าเดิม”


 


 


“ไม่ใช่นะ มันเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง” เธอยืนส่องกระจกมองตัวเอง อันที่จริงในใจรู้สึกซับซ้อนบอกไม่ถูก ที่แท้พอมีความคืบหน้าแบบเห็นได้ชัดมันรู้สึกแบบนี้เอง ดูแล้วตัวเธอก็ยังเป็นเธอ แต่มันเหมือนมีตรงไหนที่ไม่เหมือนเดิม


 


 


กำลังคิดว่าคนข้างนอกจะเป็นเหมือนกับเธอเมื่อคืนหรือเปล่า ความรู้สึกแบบในใจมีเรื่องที่อยากพูดแต่ก็พูดไม่ออก คล้ายกับว่าเธอยังคงเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็เหมือนกับมีตรงไหนที่แตกต่าง รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนละคนกับเมื่อวาน คล้ายกับโตขึ้น ถึงกับรู้สึกว่าสง่าราศีเปลี่ยนไป


 


 


อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนก็ดูออก การเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้ใหญ่จะมากจะน้อยก็ย่อมมีความเปลี่ยนแปลง แต่เนื่องจากมีความอิจฉาตาร้อนที่คนอื่นได้กินอิ่มแต่ตัวเองยังหิวอยู่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะขัดสืออวี้ ยัยคนนี้จะได้ไม่ได้ใจจนเกินไป


 


 


หลายวันนี้กลับหอไม่ได้ จึงมานอนกับสืออวี้ มีสองเตียงพอดี สืออวี้ที่เพิ่งเสร็จภารกิจโตข้ามคืนเห็นได้ชัดว่ามีอะไรอยากเม้าท์มอยมากมาย เอาเสี่ยวเชี่ยนเป็นโพรงไม้ ส่วนเสี่ยวเชี่ยนเองก็สงสัย สืออวี้กับเฉียวเจิ้นความสัมพันธ์เย็นชากันมาตั้งนาน ทำไมอยู่ๆกลายเป็นแบบนี้?


 


 


“อันที่จริงจะว่าไปฉันว่าสวรรค์ให้โอกาสฉัน ตอนจะก้าวออกรู้สึกยากลำบากมาก แต่พอได้ก้าวออกไปแล้วจริงๆกลับพบว่าความลังเลก่อนหน้านี้ทำให้เสียเวลาไปมาก ฉันไม่เสียใจเลย”


 


 


สามารถพูดออกมาได้แบบมีหลักการขนาดนี้ โตขึ้นแล้วจริงๆ เสี่ยวเชี่ยนกับสืออวี้ขึ้นไปนอนเอนกันคนละเตียง เสี่ยวเชี่ยนฟังเพื่อนสนิทเล่าถึงความคิดของตัวเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนเด็กสาวในครอบครัวโตขึ้น พลางคิดถึงตัวเองในตอนนั้น


 


 


ชาติที่แล้วตอนเธอกับอวี๋หมิงหลางมีอะไรกันครั้งแรก เธอคิดอะไรบ้างนะ?


 


 


ไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นเธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจสูง หน้าที่การงานประสบความสำเร็จไปแล้ว เธออยากทำอะไรก็กล้าทำ หากจะว่ากันโดยแก่นแท้ เธอเป็นฝ่ายทำให้อวี๋หมิงหลางหลับนอนกับเธอ ทั้งๆที่ไม่ได้คิดจะให้รับผิดชอบอะไร


 


 


แต่ตอนนั้นพอเห็นเขาตื่นขึ้นมาแล้วเดินหน้าบึ้งออกไป เธอกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ


 


 


ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่แสนประหลาด ตอนที่ยังมาไม่ถึงขั้นนี้ สาวน้อยจะไม่ค่อยคุยกันเรื่องนี้ บางครั้งไม่ทันระวังพูดขึ้นมาก็จะรู้สึกเขินอาย


 


 


แต่พอกลายเป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้วมาคุยกันเรื่องนี้ก็จะเริ่มไม่แคร์อะไรทั้งนั้น กล้าถามกล้าพูดหมด


 


 


“จริงสิประธานเชี่ยน ฉัน…อยากขอความรู้จากเธอหน่อย คือว่า เรื่องนั้นน่ะ…”


 


 


ฟังจากน้ำเสียงที่อ้ำๆอึ้งๆ เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้ทันทีว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดี


 


 


“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”


 


 


“ตอนเธอกับหัวหน้าอวี๋ทำอย่างนั้นกัน เธอร้องยังไงเหรอ? ฉันรู้สึกว่า…หนังที่เคยดูเมื่อก่อนมันร้องเว่อร์ไปหน่อย”


 


 


ทำยังไงก็รู้สึกอายแบบบอกไม่ถูก


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองบน เห็นไหมล่ะ? ว่าแล้วว่ายัยนี่ต้องถามอะไรไม่ดี


 


 


เธอแทบไม่ได้ทำอะไรเลย จะร้องอะไรล่ะ?


 


 


“มอตโตะมอตโตะยาดะ ไดเทะไดเทะคิมูจิ อิไตอิไตฮายาคุ ไอคุไอคุสุโก้ย ท่องอันนี้ไปแล้วกัน” เสี่ยวเชี่ยนจงใจสอนแบบผิดๆ


 


 


“…ฉันไม่เชื่อหรอก หัวหน้าอวี๋รักชาติจะตาย เธอเนี่ยนะจะร้องออกมาแบบนั้น เอาจริงๆสิ จริงจังหน่อย” สืออวี้อยากคุยแบบเปิดอก ถามออกมาด้วยใจจริง แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับมาหลอก แบบนี้ระหว่างเราสองคนยังจะไว้ใจกันได้ไหมเนี่ย?


 


 


“ทำไมอยากถามเรื่องนี้ล่ะ?”


 


 


“ฉันไม่รู้จะแสดงออกถึงความรู้สึกดีที่มีต่อเขายังไง รู้สึกว่าตัวเองไม่คล่องยังไงก็ไม่รู้” นี่คือความชอบที่มีต่อคนรักอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้จะแสดงความรู้สึกตอบกลับเขาไปยังไง


 


 


“ถ้าเธอคล่องเขาคงอยากร้องไห้” ก็มือใหม่กันทั้งนั้น จะเป็นไปได้ไงที่พอเริ่มขับรถก็คล่องจนบินได้?


 


 


นึกถึงตอนนั้นอวี๋หมิงหลางทั้งโง่ทั้งซื่อ จะสอดใส่ลงไปตรงไหนก็ยังหาไม่เจอ คลำหาอยู่นาน เสี่ยวเชี่ยนก็อดทนใจเย็น ตอนนี้พอมาคิดดูก็น่าขำไม่น้อย


 


 


“แค่อยากให้เธอวิเคราะห์จากมุมมองทางจิตวิทยาว่าฉันควรทำไง?”


 


 


อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนอยากบอกว่า ปล่อยไปตามธรรมชาติไม่ต้องไปตั้งใจมากคือวิธีที่ดีที่สุด แต่เนื่องจากตอนนี้เธอกำลังอยู่ในภาวะอิจฉาตาร้อน เธอจึงเปิดโหมดสอนเพื่อนในทางไม่ดี


 


 


“จริงๆแล้วในมุมมองทางจิตวิทยา มนุษย์เราจะมีความรู้สึกที่ยากจะบรรยายต่อภาษาแม่ของตัวเอง อย่างเช่นคนบางคนก่อนตายจะพูดภาษาบ้านเกิดออกมา ก่อนที่เฉียวเจิ้นจะถูกครอบครัวเธออุปการะเขาเป็นคนที่ไหน?”


 


 


“คนอีสานบ้านเฮาไง~” สืออวี้จงใจเลียนแบบสำเนียงอีสาน


 


 


“ดังนั้น แค่เธอร้องออกไปว่า อ้ายจ๋าอ้ายจ๋า ก็ได้แล้ว เขาจะยิ่งชอบเธอแน่นอน”


 


 


“…จริงเหรอ?” ทำไมรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก?


 


 


“อืม พอถึงเวลาที่เหมาะๆก็เพิ่มไปอีก ว้าวแม่จ๋า ปู่จ๋า อาจจะยิ่งดีมากขึ้น”


 


 


เทคนิคชั้นสูงของการต้มตุ๋นเพื่อน ก็คือการพูดเรื่องหลักการก่อนที่จะหลอกอะไร รับรองสำเร็จ


 


 


ส่วนสืออวี้จะทำตามที่บอกหรือไม่นั้นเสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ อย่างไรเสียหลังจากนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เฉียวเจิ้นไล่อัดอวี๋หมิงหลางอยู่หลายวันในค่าย เหตุผลไม่ชัดเจน


 


 


เมียสร้างหนี้ผัวชดใช้ สอนเมียคนอื่นผิดๆก็ต้องมาคิดบัญชีกับอวี๋หมิงหลาง ถูกต้องแล้ว


 


 


“จริงสิสืออวี้ ตกลงว่าพวกเธอสองคนมันเรื่องอะไรกัน?”


 


 


“ตอนที่เขามาส่งฉันมันเหลือห้องสองเตียงอยู่ห้องเดียว ไม่มีห้องเดี่ยว พวกเราก็เลยเปิดได้ห้องเดียว จากนั้นพอฉันอาบน้ำออกมาก็จับเยี่ยเหล่าออกมาจากกรง”


 


 


“หนูนั่นเมื่อก่อนชื่อเบนโบ้ไม่ใช่เหรอ?”


 


 


“ฮี่ๆ ใครจะไปรู้ว่ามันลามก มันวิ่งเข้าไปในเสื้อฉัน…”


 


 


“…ราบเรียบเหมือนจานแบบนั้น องค์หญิงไท่ผิงที่หน้าหลังไม่ต่าง ยังจะกล้าบอกตัวเองมีเนินเหรอ?”


 


 


“ใครว่ากันเล่าฉันก็มีนะอีกหน่อยมันต้องใหญ่ขึ้น กลับไปฉันจะไปกินซุปมะละกอ*ทุกวัน”


 


 


“ก็ได้ องค์หญิงมะละกอเธอชนะ จากนั้นล่ะ?”


 


 


“จากนั้น…”


 


 


จากนั้นก็เป็นขั้นตอนอันแสนโรแมนติค มีกลอนเป็นเครื่องยืนยัน สาวน้อยวัยแรกแย้ม ชายหนุ่มในห้วงรัก สองเราใจเต้นตึกตัก พลอดรักไร้ซึ่งความเขินอาย


 


 


ช่วงเวลาสองวันจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น


 


 


สำหรับเสี่ยวเชี่ยนแล้วช่วงเวลาสองวันก็คือการเข้าเรียนรวมถึงนั่งเม้าท์กับเพื่อนสนิท ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม จะจึ๊กแล้วหรือยังไม่จึ๊กก็ยังคงใช้ชีวิตกันตามปกติ


 


 


แต่สำหรับบางคน ช่วงสองวันนี้เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก


 


 


*มีความเชื่อว่าการกินซุปมะละกอจะช่วยเพิ่มขนาดหน้าอกได้


 

 

 


ตอนที่ 471

 

ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนกับศาสตราจารย์หลิวไปถึงการทดสอบก็สิ้นสุดลงแล้ว


 


 


ศาสตราจารย์หลิวไปหาหวางย่าเฟย เสี่ยวเชี่ยนไปหาหลิวลี่ อยากจะไปดูว่าเด็กคนนี้จำเป็นต้องเยียวยาทางด้านจิตใจหรือไม่


 


 


สภาพของหลิวลี่ดูมอมแมมมาก การทดสอบช่วงสามวันนี้ทำให้เนื้อตัวเขาเลอะไปด้วยดินโคลน ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนไปถึงหลิวลี่กำลังนั่นเหม่อตามลำพังอยู่บนก้อนหิน มองภูเขาที่อยู่ไกลๆ สายตาทอดยาว


 


 


เขาเพิ่งผ่านประสบการณ์ ‘ความเป็นความตาย’ มา ในสถานการณ์ที่เพิ่มเข้าไปทดสอบเขากับหวางย่าเฟยโดยเฉพาะ หัวหน้าใหญ่พ่อของเขาถูกคนร้ายจับเป็นตัวประกัน เขาผ่านไปพอดี แต่ทว่ากลับสู้ ‘คนร้าย’ ไม่ได้


 


 


พ่อบอกให้เขาไป แต่เขาไม่ไป หลังจากที่พ่อดึงสลัก ‘ระเบิดมือ’แล้ว ทันใดนั้นหลิวลี่ก็เข้าใจได้ทันทีว่าอะไรคือวีรบุรุษ ที่แท้พ่อกับพี่ชายเขาคือวีรบุรุษแบบนี้นี่เอง ส่วนเขายังห่างชั้นนัก


 


 


ถึงแม้หลังจากที่คนร้ายดึงผ้าปิดหน้าออกแล้วพบว่าเป็นพรรคพวกเดียวกัน แต่หลิวลี่วินาทีนั้นได้คุกเข่าเอามือปิดหน้าร้องไห้หนักไปแล้ว


 


 


นี่คือสถานการณ์จำลองให้เขากับหวางย่าเฟยโดยเฉพาะ แต่พวกเขากลับไม่คิดว่านี่เป็นแค่เหตุการณ์จำลอง คิดว่าเจอโจรเข้าแล้วจริงๆ


 


 


มนุษย์หากไม่อยู่ในสถานการณ์ที่สุดแล้วจริงๆ ไม่มีทางจินตนาการได้ว่า วีรบุรุษคำๆนี้ที่พูดกันออกมาอย่างง่ายดาย แต่พอทำจริงนั้นยากเพียงใด ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าพี่ชายกับพ่อของเขานั้นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างไร และก็เข้าใจแล้วว่าตัวเขายังห่างไกลจากคำว่าวีรบุรุษนัก คนที่มีแต่พลังแต่ไร้ความสามารถก็ทำได้แค่เพิ่มความวุ่นวาย ยิ่งมีความสามารถก็ยิ่งทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นหลิวลี่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกนับถืออวี๋หมิงหลางที่ตั้งใจจำลองสถานการณ์นี้ขึ้นมา เรื่องบางเรื่องพูดยกเหตุผลมามากมาย อธิบายกันมาเป็นปีๆยังไม่สู้ผลที่ได้เจอกับตัวในช่วงการทดสอบสองสามวันนี้ เติบโตขึ้นในชั่วพริบตา


 


 


เธอยืนอยู่ตรงนั้นมองหลิวลี่อยู่ไกลๆ


 


 


หัวหน้าใหญ่เดินมาจากอีกทางหนึ่งแล้วนั่งข้างหลิวลี่


 


 


“พ่อ…ผมทำให้พ่อผิดหวังหรือเปล่า?”


 


 


“แกทำได้ดีมาก มากกว่าที่พ่อคิดไว้เสียอีก” หัวหน้าใหญ่พูดปลอบ


 


 


หลิวลี่แขนเสื้อเช็ดน้ำตา เขาไม่กล้ามองพ่อ ถูกพ่อเอากำปั้นทุบไหล่ “ร้องอะไรกัน ลูกผู้ชายห้ามร้องไห้”


 


 


“ผมต่างกับพี่มากเลยใช่ไหม? ผมไม่มีทางเป็นวีรบุรุษเหมือนพี่ได้”


 


 


“เด็กโง่ แกจะเป็นแบบเขาทำไม แกก็เป็นแก แกมีชีวิตเป็นของตัวเอง พี่หลางของแกจำลองสถานการณ์นี้ขึ้นมาไม่ใช่เพราะอยากทำร้ายจิตใจแก แต่เพราะอยากให้แกเข้าใจว่า ทุกคนต่างมีตัวตนที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้ แกทำดีที่สุดแล้ว ลูกชาย”


 


 


“ผมทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง…ถ้านั่นเป็นเหตุการณ์จริงผมคงเสียพ่อไปแล้ว…พ่อ ถ้าพี่อยู่ก็คงไม่เป็นแบบนี้หรือเปล่า?” หลิวลี่ไม่รู้จะให้อภัยตัวเองอย่างไร


 


 


“ตอนที่พ่อบอกให้แกไป แกไม่ได้ถอย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความคิดของแกเหมือนกับพี่ชายแก พี่หลางมาบอกพ่อตอนจบว่า แกเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง เพียงแต่ลูกเอ๊ย บางสิ่งบางอย่างใช่ว่ามีแค่เลือดร้อนๆก็จะเพียงพอ แกเก่งมากแล้ว แกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแกทำตัวสมกับเป็นน้องชายของวีรบุรุษ”


 


 


ความฝันของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งได้สลายไปในแบบนี้


 


 


เลือดร้อนใครก็ต่างมี แต่แค่นั้นยังไม่พอ ยังต้องมีความสามารถด้วย


 


 


“ผมไม่ได้ทำให้พ่อกับพี่ขายหน้าเหรอ?”


 


 


“เปล่าซะหน่อย คนที่ทำให้พี่หลางชมได้มีไม่เยอะ แต่แกทำให้เขาชื่นชมได้ ลูกชาย ยังอยากเป็นทหารอยู่ไหม?”


 


 


“ไม่แล้วครับ…ผมจะกลับไปทำงานของผม เป็นเทศกิจที่ยอดเยี่ยมที่สุด จะทำให้พ่อกับพี่ขายหน้าไม่ได้”


 


 


“เพราะงานเหนื่อยเลยกลัวเหรอ?”


 


 


“เปล่าครับ เป็นเพราะผมเข้าใจแล้วว่า ผมยังห่างชั้นกับทหารหน่วยรบพิเศษมาก ผมเห็นคนที่อายุเท่าผมสุขภาพร่างกายและความสามารถทางการทหารของเขาสูงกว่าผมมาก สภาพร่างกายที่มีมาแต่กำเนิดนี้เปลี่ยนกันไม่ได้ แต่ผมสามารถทำงานในหน้าที่ของตัวเองไม่ให้พวกพ่อขายหน้าได้ครับ”


 


 


ในช่วงการทดสอบ หลิวลี่ได้เห็นทหารเก่งๆ เขาใจถึงการเป็นทหารอย่างแท้จริง ความคิดของเขาจึงเปลี่ยนไป


 


 


“อ่อ ไม่อยากไปฝึกในค่ายทหารเหรอ?”


 


 


“ขอแค่ผมระลึกอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นน้องชายของวีรบุรุษ จำไว้เสมอว่าจะไม่ทำให้พ่อกับพี่ขายหน้า ผมก็จะสามารถทำคุณประโยชน์ในหน้าที่การงานที่แสนธรรมดาได้เหมือนกัน พ่อ ผมเข้าใจพ่อแล้ว ‘เหล่าลูกชาย’ที่พ่อดูแลยอดเยี่ยมมากจริงๆ ผมที่เป็นลูกชายแท้ๆก็จะทำให้พ่อขายหน้าไม่ได้ ต่อให้ไม่ได้เป็นทหาร ผมก็จะเข้มงวดกับตัวเอง”


 


 


ระหว่างมนุษย์ด้วยกันต่างมีความแตกต่างกันในเรื่องพละกำลังรวมถึงความฉลาด เรื่องนี้จะไม่ยอมก็ไม่ได้ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หลิวลี่ได้เห็นกับตาแล้วว่าเหล่าทหารที่อายุพอๆกับเขามีความพยายามในการทำการทดสอบอย่างไร ต่างยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งนั้น ทั้งชีวิตหลิวลี่อาจเป็นอย่างอวี๋หมิงหลางไม่ได้ แต่เขาสามารถเป็นตัวเองที่ยอดเยี่ยมได้ในหน้าที่การงานของเขาเอง


 


 


นี่ก็คือแนวคิดในเรื่องคนเก้าบุคลิกที่เสี่ยวเชี่ยนพูดถึง คุณไม่มีทางกลายเป็นคนอื่นได้ แต่เป็นตัวเองที่สุดยอดได้


 


 


หัวหน้าใหญ่มองลูกชายตัวเองที่โตข้ามคืนอย่างภูมิใจ คำพูดที่ไม่กล้าพูดมาตลอด ในที่สุดก็ได้พูดออกมาในเวลานี้


 


 


“ลูกชาย แกเกลียดพ่อหรือเปล่า? พ่อไม่ค่อยได้ดูแลแกเลย”


 


 


“ตอนแรกก็มีบ้างนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่แล้วครับ พ่อ ตอนที่พ่อดึงสลักระเบิดผมซึ้งใจมาก ผมว่าผมเข้าใจแล้ว ในใจพ่อยังรักผมอยู่ เพียงแต่งานของพ่อทำให้ดูแลครอบครัวไม่ได้ แต่พ่อสามารถฝึกทหารเก่งๆแบบพี่หลางออกมาได้เยอะขนาดนั้น สุดยอดเลยพ่อ เป็นวีรบุรุษย่อมต้องเสียสละ ถ้าผมเป็นวีรบุรุษแบบพ่อไม่ได้ อย่างน้อยผมก็จะเป็นคนในครอบครัวที่สนับสนุนวีรบุรุษ”


 


 


“แกนี่ พูดจาชวนขนลุก” หัวหน้าใหญ่น้ำตาคลอเพราะคำพูดของลูกชาย เพื่อที่จะไม่ให้ลูกชายเห็นน้ำตาจึงคิดจะกอดเหมือนตอนเด็กๆ แต่หลิวลี่ผลักออกด้วยความเขิน โตขนาดนี้แล้วอย่ามาทำเหมือนตอนเด็กๆ แต่เขาก็สู้แรงของหัวหน้าใหญ่ไม่ได้ สองพ่อลูกกอดกันแน่น


 


 


วีรบุรุษนั้นยิ่งใหญ่ ครอบครัวของวีรบุรุษก็ยิ่งใหญ่เหมือนกัน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นภาพนี้ก็หันตัวเดินออกไปอย่างเงียบๆ


 


 


ดูท่าเธอจะไม่ต้องทำสรุปอะไรทั้งนั้นแล้ว หลิวลี่กับหัวหน้าใหญ่ได้คลี่คลายปมในใจเรียบร้อยแล้ว


 


 


ปมในใจของหลิวลี่คลายออก ถ้าอย่างนั้นความโกรธเกลียดของอาจารย์ก็จะค่อยๆลดน้อยลง โอกาสที่อาจารย์กับหัวหน้าใหญ่จะกลับมาคืนดีกันก็คงมีเยอะขึ้น


 


 


พอหันตัวไปก็เห็นหวางย่าเฟยที่ดวงตาฉายแววโกรธ ร่างกายเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตยืนอยู่ตรงหน้า


 


 


เขาเหน็ดเหนื่อยอย่างยากลำบากกว่าจะมาถึงในช่วงสุดท้าย ขาดอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น แต่กลับล้มเหลวทำให้ไม่ผ่านการทดสอบ


 


 


ไม่ต้องรอให้เฉียวเจิ้นประกาศผลหวางย่าเฟยก็เข้าใจแล้ว เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นเขาก็จะได้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษอย่างที่ได้ฝันเอาไว้


 


 


เขามั่นใจว่าจะต้องเป็นจิตแพทย์คนนี้แน่นอนที่เอาเขาไปขาย ดังนั้นคนของ011ถึงได้ใช้วิธีนี้มาทดสอบเขา เพื่อให้เขาสละสิทธิ์ไปเอง


 


 


ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่เอาความลับไปบอก เขาก็ต้องผ่านอย่างแน่นอน


 


 


“คุณมันไม่สมควรเป็นจิตแพทย์” หวางย่าเฟยพูดจบก็หันตัวเดินออกด้วยความโกรธ ความฝันสูญสลาย เขาสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ลงมือทำอะไรเกินไปได้ แต่เวลานี้ในใจเต็มไปด้วยความเสียใจ


 


 


“ไม่สมควร…เหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยความโกรธของหวางย่าเฟยพลางพึมพำ

 

 

 


ตอนที่ 472

 

มีคนยื่นแก้วน้ำของทหารมาตรงหน้าเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองก็เห็นอวี๋หมิงหลางยืนอยู่ข้างหลัง


 


 


เนื่องจากเขาต้องแสดงเป็น ‘คนร้าย’ จึงแต่งตัวนอกเครื่องแบบ


 


 


“ดื่มน้ำก่อนสิ มุมปากแห้งหมดแล้ว”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเปิดแก้วน้ำแล้วดื่ม อวี๋หมิงหลางตบบ่าเธอ


 


 


“เขาก็แค่ยังคิดไม่ได้ คำพูดของเขาไม่ได้จงใจว่าคุณหรอก เขาก็แค่ผิดหวังมาก ไม่มีที่ระบายอารมณ์ เดี๋ยวเขาก็คิดได้เอง”


 


 


ดูสิ เป็นแฟนที่เอาใจใส่แค่ไหน พอเห็นแฟนถูกโมโหใส่ก็รีบโผล่มาปลอบในทันตา


 


 


เดิมเสี่ยวเชี่ยนก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเขาตบบ่าเธอก็สำลัก


 


 


เธอไอแค่กๆออกมา แล้วเอาคืนเขาหนึ่งที


 


 


“อวี๋เสี่ยวเฉียง นายโง่หรือเปล่า?”


 


 


ฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นดื่มน้ำมาทำตัวเป็นพี่ชายที่เอาใจใส่ เกือบทำเธอสำลักตาย


 


 


“แหะๆ หยอกคุณเล่น อยากช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น…”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไล่ตีเขา แต่อวี๋หมิงหลางวิ่งเร็วมาก


 


 


“ดูสิ ตอนนี้คุณดีขึ้นเยอะเลย สีหน้าดีกว่าเมื่อกี้ที่ดูซังกะตายอีก ผมทำก็เพราะเป็นห่วงคุณนะ”


 


 


ตอนที่หวางย่าเฟยพูดว่าเสี่ยวเชี่ยนไม่สมควรเป็นจิตแพทย์ อวี๋หมิงหลางเห็นสายตาของเสี่ยวเชี่ยนที่มองไปก็ปวดใจ อยากจะตามไปจับหวางย่าเฟยกดพื้นแล้วอัดให้น่วมนัก


 


 


แต่ในฐานะที่เป็นทหาร อวี๋หมิงหลางเข้าใจความรู้สึกของหวางย่าเฟยในเวลานี้ดี เป็นใครก็คงรับไม่ได้ ลำบากลำบนกว่าจะผ่านการทดสอบ แต่กลับถูกตอกหน้าในตอนท้าย


 


 


น่าเสียดายที่เสียวเหม่ยของเขาทำไปตามหน้าที่ แต่กลับถูกต่อว่าแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่


 


 


อวี๋หมิงหลางฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนดึงเสี่ยวเชี่ยนเข้ามากอด “ลูกเชี่ยน ไม่ต้องเสียใจนะ คุณเป็นผู้หญิงที่เก่งที่สุด คุณจะต้องกลายเป็นจิตแพทย์ที่เก่งที่สุดได้แน่”


 


 


“อืม ฉันรู้”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้โกรธเรื่องที่ถูกหวางย่าเฟยต่อว่า เธอก็แค่สะดุดหูตอนที่หวางย่าเฟยพูดว่าเธอไม่สมควรเป็นจิตแพทย์ มันทำให้เธอนึกถึงชาติที่แล้วตอนอาจารย์ชี้หน้าเธอแล้วพูดแบบเดียวกันนี้


 


 


“การรักษาเขาด้วยการทดสอบเป็นไปอย่างราบรื่นไหม?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถามอวี๋หมิงหลาง


 


 


อวี๋หมิงหลางพยักหน้า “ตอนที่ ‘หัวหน้าใหญ่’ ถูกจับเป็นตัวประกัน ผมจงใจจัดให้หวางย่าเฟยกับหลิวลี่อยู่ทีมเดียวกัน เขาเกิดอาการเวียนหัว ยิงปืนเฉียด หัวหน้าใหญ่จึงดึงระเบิดมือ แต่ผมก็นับถือใจเขานะ”


 


 


“หืม?”


 


 


“เขาคงนึกถึงเรื่องในตอนนั้นผ่านเหตุการณ์สมมตินี้อย่างแน่นอน”


 


 


หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนบอกเรื่องราวกับอวี๋หมิงหลางคร่าวๆ อวี๋หมิงหลางก็ลงมือเช็คภูมิหลังของหวางย่าเฟย เขาเคยอ่านประวัติของทหารคนนี้ แวบแรกก็รู้สึกว่าใช้ได้เลยทีเดียว การฝึกฝนทำได้ดีหมด ปืนก็ยิงแม่น แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันมีตรงไหนที่แปลกๆ


 


 


ตอนนี้มาคิดดู ในช่วงการฝึกซ้อม หวางย่าเฟยไม่มีการบันทึกว่ายิงข้าศึกตาย เป็นมือปืนที่ไม่ได้ยิงเลยสักนัด ตอนนี้พอมาดู เซ้นส์ของอวี๋หมิงหลางนี่แม่นจริงๆ


 


 


จากการวินิจฉัยของเสี่ยวเชี่ยน ตอนเด็กๆหวางย่าเฟยน่าจะเคยเจอเหตุการณ์แนวๆจี้ชิงตัวประกัน เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ถ้าไปสืบดูก็น่าจะเจอ พอสืบไปก็พบว่าหลายปีก่อนได้เกิดเหตุการณ์มีคนใช้ปืนอัดลมทำร้ายคนขึ้นจริงๆ ตอนนั้นมาตรการยังไม่เข้มงวดเท่าตอนนี้ หวางย่าเฟยก็คงอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น


 


 


อวี๋หมิงหลางจึงได้จำลองสถานการณ์เสมือนจริงขึ้นมาจากบันทึกข้อมูลที่สืบได้ เพื่อกระตุ้นจิตใจของหวางย่าเฟย


 


 


สีหน้าทุกข์ใจของหวางย่าเฟยในชั่วขณะนั้นทำให้อวี๋หมิงหลางมั่นใจว่าวิธีทดสอบนี้ได้ผล หวางย่าเฟยจะต้องนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วอย่างแน่นอน


 


 


แต่สิ่งที่ทำให้อวี๋หมิงหลางคาดไม่ถึงก็คือ หวางย่าเฟยกลับอดทนต่ออาการผิดปกติของร่างกายแล้วทำภารกิจที่เหลือจนเสร็จ พอไปถึงจุดสุดท้ายเขาก็ล้มลงไปอ้วกข้างทาง ก่อนที่หวางย่าเฟยจะไปหาเสี่ยวเชี่ยนได้ถูกให้น้ำเกลืออยู่บนรถ พอได้สติขึ้นมาหน่อยก็รีบวิ่งไปหาเสี่ยวเชี่ยน


 


 


ถ้าอวี๋หมิงหลางตัดสถานะความเป็นแฟนของเสี่ยวเชี่ยนทิ้ง ใช้เพียงแค่สถานะความเป็นหัวหน้าทหารมองหวางย่าเฟย เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เรื่องนี้สามารถมองเห็นได้ถึงความเข้มแข็งในจิตใจของเขา ระยะทางในช่วงสุดท้ายนั่นมีความยากมากสำหรับคนธรรมดา แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ถูกทำให้สะเทือนใจด้วยความทรงจำในอดีต คนที่มีปัญหาด้านสภาพจิตใจแบบเขา


 


 


ลูกเชี่ยนของเขาเลยต้องมารับกระสุนปืนโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่


 


 


อวี๋หมิงหลางกลัวลูกเชี่ยนจะเสียใจเพราะคำพูดของหวางย่าเฟยจึงรีบวิ่งมาดู


 


 


เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า


 


 


“ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ขอแค่ฉันคิดว่ามันถูก คนอื่นจะพูดยังไงก็ช่างมัน”


 


 


ในใจของเธอมีตราชั่งอยู่ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองเพียงเพราะคำพูดของคนอื่น ไม่อ้อนวอนให้คนอื่นมาพอใจ ขอแค่ไม่ผิดต่อตราชั่งนี้ของตัวเองก็เพียงพอแล้ว


 


 


“คุณเป็นแบบนี้ผมเป็นห่วงนะ” อวี๋หมิงหลางกอดเธอ แล้วเอามือลูบผมเธอ


 


 


รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเข้มแข็งมาก แต่ก็ยังคงรู้สึกเสียใจแทนกับเรื่องที่เธอต้องเจอ


 


 


“ฉันจะแคร์แค่คนที่เข้าใจฉันเท่านั้น คนที่ไม่เข้าใจ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจเพราะคนพวกนั้น หลายปีมานี้ฉันก็เป็นแบบนี้มาตลอด”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองเขากลับด้วยแววตาลึกซึ้ง เอามือลูบหน้าเขา ในใจรู้สึกพอใจแล้ว


 


 


คนบางคนใช้ชีวิตโดยแคร์แต่สายตาคนอื่น มีความทุกข์ความสุขโดยขึ้นอยู่กับคำพูดของคนอื่น แต่เธอใช้ชีวิตอยู่ในโลกของตัวเอง โลกใบนั้นมีแค่คนที่แคร์เธอกับคนที่เธอแคร์ เพราะเวลาเกิดเรื่องขึ้นมา มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้นที่ดีกับเธอจริงๆ คนอื่นจะชอบหรือไม่ชอบล้วนไม่ส่งผลอะไรต่อเธอทั้งนั้น


 


 


และก็มีแค่คนที่จิตใจเข้มแข็งเท่านั้นถึงจะสัมผัสได้ถึงโลกที่โดดเดี่ยวและเต็มไปด้วยความมั่นใจนี้


 


 


ถึงเธอจะไม่เสียใจที่ถูกหวางย่าเฟยต่อหน้า แต่กลับซึ้งใจที่ได้รับการเห็นใจจากอวี๋หมิงหลาง


 


 


“เสียวเหม่ย ผมรัก…ไม่ได้ ประโยคนี้พูดไม่ได้” อวี๋หมิงหลางอยากสารภาพรักกับลูกเชี่ยนของเขาที่ทั้งเข้มแข็งและก็อ่อนแอในเวลาเดียวกัน แสดงความรักที่มีให้เธออย่างลึกซึ้ง


 


 


แต่พูดไปได้แค่ครึ่งเดียวเขากลับเบรกกะทันหัน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองเขาอย่างสงสัย ทำไมไม่พูดให้จบล่ะ?


 


 


“ผมจะใส่ชุดนี้พูดคำพูดสำคัญกับคนที่สำคัญไม่ได้ คุณรอก่อน รอผมไปเปลี่ยนชุด”


 


 


“อุ๊บ” เสี่ยวเชี่ยนขำอวี๋หมิงหลาง


 


 


อันที่จริงบางครั้งเสี่ยวเฉียงก็น่ารักเป็นพิเศษ


 


 


หลังจากที่หวางย่าเฟยว่าเสี่ยวเชี่ยนเสร็จในใจก็เหมือนมีรูโหว่ขนาดใหญ่ที่อุดไม่ได้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ได้ปลดปล่อยความกดดันที่สอบไม่ผ่าน กลับรู้สึกแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ


 


 


อันที่จริงพอพูดจบเขาก็เสียใจ


 


 


“คุณไม่ควรตำหนิเฉินเสี่ยวเชี่ยนนะ” ศาสตราจารย์หลิวยืนอยู่ไม่ไกล เธอเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง


 


 


ลูกชายของเธอกับอดีตสามีปรับความเข้าใจกันได้เพราะการจำลองสถานการณ์ในครั้งนี้ แต่คนไข้ของเธอกลับเกลียดเสี่ยวปืนเหล็กเพราะเรื่องนี้


 


 


“คุณเป็นใครกันแน่?”


 


 


ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนบอกกับหวางย่าเฟยว่าศาสตราจารย์หลิวคือแม่บ้านเช็ดกระจก แต่การมาปรากฏตัวที่นี่ได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นแค่คนเช็ดกระจกธรรมดา


 


 


“ฉันคือศาสตราจารย์หลิว การวินิจฉัยของเฉินเสี่ยวเชี่ยนในครั้งนี้ผ่านความเห็นชอบจากฉัน คุณจะเข้าใจว่าฉันเป็นคนวินิจฉัยคุณก็ได้นะ” ยามที่ศาสตราจารย์หลิวเจอกับปัญหา สิ่งที่คิดก็ยังคงเป็นการปกป้องเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“ผมคิดว่าจิตแพทย์อย่างพวกคุณจะปกปิดความลับของคนไข้เสียอีก…” ตอนหวางย่าเฟยฟื้นขึ้นมา พอได้รู้ว่าตัวเองไม่ผ่านก็เกลียดเฉินเสี่ยวเชี่ยนเข้าไส้ แต่ตอนนี้ แม้แต่การจะพูดออกมาเขาก็ไม่มีความมั่นใจแล้ว


 


 


ตกลงมันผิดพลาดที่ตรงไหนกัน…

 

 

 


ตอนที่ 473

 

“ฉันอนุญาตให้เขาทำแบบนั้นเอง” ถึงแม้ศาสตราจารย์หลิวจะใช้ความรุนแรงกับเสี่ยวเชี่ยนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ในใจให้ความสำคัญกับเสี่ยวเชี่ยนมาก พอเกิดเรื่องก็ออกรับหน้าแทน


 


 


“ความฝันที่ผมหวังไว้มาหลายปีถูกพวกคุณทำพังไปแบบนี้ แต่ที่น่าสมเพชยิ่งกว่าก็คือ ผมไม่รู้ว่าควรเกลียดใคร”


 


 


หวางย่าเฟยพูดอย่างอ่อนแรง


 


 


ถึงแม้เขาจะพูดแบบนั้นกับเสี่ยวเชี่ยน แต่ในใจกลับว่างเปล่า ตอนนี้สมองของเขาไม่สามารถประมวลความคิดอย่างมีสติได้ แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า คำพูดนั้นของเขาไม่เหมาะสม


 


 


ผ่านความเหนื่อยล้ามาสามวัน ความฝันอยู่ห่างออกไปแค่ก้าวเดียว กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ความรู้สึกนี้ยากจะบรรยาย


 


 


“ทำไมต้องเกลียดล่ะ? สิ่งที่พลาดไปก็ย่อมมีเหตุผลที่ต้องพลาด สุขภาพของคุณในตอนนี้ ถ้าเข้าหน่วยรบพิเศษไปจะเกิดอะไรขึ้น คิดว่าคุณเองก็คงรู้ดี เมื่อเทียบกับความจริงถูกเปิดเผยตอนนั้น ไม่สู้ออกมารักษาตัวอย่างสบายใจดีกว่า”


 


 


“รักษาตัว…หึหึ”


 


 


ทำไมคนที่ป่วยต้องเป็นเขาด้วย?


 


 


พอนึกถึงตัวเองที่ฝึกซ้อมทุกวัน กลับถูกคัดออกด้วยปัญหานี้


 


 


“ต่อไปฉันจะรักษาคุณ อาการของคุณจะว่าไงดีล่ะ อันที่จริงก็ไม่ได้หนักหนาอะไร หลังจากรักษาไม่กี่ครั้งก็ยังมีความหวังที่จะหายดี”


 


 


คำพูดของศาสตราจารย์หลิวไม่ได้ทำให้หวางย่าเฟยรู้สึกดีขึ้น กลับยิ่งทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ


 


 


รู้สึกแย่ที่ เขาไม่รู้ว่าใครถูก แม้แต่จะเกลียดใครเขาก็ไม่รู้ ในใจอึดอัดแปลกๆ


 


 


“ผมไม่จำเป็นต้องรักษา ก็แค่ยิงปืนกับคนจริงไม่ได้ไม่ใช่เหรอ? ผมก็กลับไปปลูกผัก พอถึงเวลาก็ปลดประจำการเป็นคนธรรมดา ไม่จับปืนตลอดชีวิตก็ไม่ต้องทำผิด ผมทนพอแล้วกับหมออย่างพวกคุณที่อ้างเรื่องจรรยาบรรณ ตอนที่พวกคุณทำเรื่องนี้ไม่ได้ถามความเห็นผมด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมมีสิทธิ์เลือกชีวิตตัวเอง”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวถอนหายใจ “หนุ่มน้อย คุณอายุยังน้อย คุณไม่รู้หรอกว่าที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อคุณทั้งนั้น…”


 


 


ถ้าเสี่ยวเชี่ยนบอกเขาก่อน หวางย่าเฟยก็จะสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกจริง และเขาก็คงตามหาอดีตที่ถูกปิดผนึกไว้ไม่เจอ นึกไม่ออก แล้วก็จะรักษาไม่ได้ ถึงตอนนั้นคนๆนี้ก็คงหมดหนทางเยียวยาแล้วจริงๆ


 


 


ทำได้แค่ใช้วิธีนี้ช่วยให้เขาได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์จำลองเสมือนจริง


 


 


ตอนนี้ในใจของหวางย่าเฟยรู้สึกยากเกินกว่าจะรับได้ นี่คือปฏิกิริยาของคนปกติ เขารู้สึกว่าเสี่ยวเชี่ยนทำผิดจรรยาบรรณ เอาเรื่องของเขาไปบอกหน่วย แต่เขากลับไม่รู้ว่า ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่ทำแบบนั้น แล้วมาปรึกษากับเขาก่อน หวางย่าเฟยก็คงกลายเป็นคนไร้ความสามารถ


 


 


ต่อให้ตอนนี้เข้าหน่วยรบพิเศษได้ พอถึงตอนหลังที่ทางหน่วยทำการฝึกซ้อมจริง ก็จะสังเกตเห็นทันที ที่น่ากลัวกว่าก็คือ ถ้าไม่ได้ผ่านการซักซ้อมเสมือนจริงแล้วไปทำภารกิจ ผลที่ตามมายากจะคาดเดาได้


 


 


กรณีของเขาค่อนข้างพิเศษ ยิงกับเป้ามองอาการไม่ออก ไม่ว่าจะเป้าเคลื่อนที่ เป้ารูปคน หรือหุ่นเสมือนคนจริง ล้วนไม่พบปัญหาใดๆ แต่ที่ร้ายแรงก็คือ ขอแค่เป็นคนจริงเขาก็จะเกิดอาการเวียนหัว หากหน้ามืดตอนไม่ใช่เวลาก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต


 


 


ศาสตราจารย์หลิวคิดว่าสิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนทำไม่มีอะไรไม่ดี ถึงแม้หากพิจารณากันจริงๆจะผิดต่อจรรยาบรรณ แต่จากมุมมองของเธอ หากเป็นเธอก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน


 


 


แต่คนเราเมื่อมาถึงจุดนี้ความคิดก็จะสะดุดได้ง่าย หวางย่าเฟยในเวลานี้กำลังเป็นแบบนั้น


 


 


“พวกคุณไปเถอะ ผมไม่มีทางรับการรักษา วางใจได้ ถึงเวลาผมจะไปเอง เรื่องใหญ่ที่พวกคุณเป็นห่วงนักหนาไม่มีทางเกิดแน่ ผมจะไม่จับปืนแล้ว”


 


 


หวางย่าเฟยพูดด้วยความโกรธแต่อ่อนแรง อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไป แต่ตอนนี้เขาอยากหนีไป


 


 


“เขาอยากช่วยคุณจริงๆ แต่คุณกลับเข้าใจเขาผิด การปฏิเสธการรักษาไม่เป็นผลดีกับคุณเลยสักนิด” ศาสตราจารย์หลิวพูดใส่หลังหวางย่าเฟยที่ดูโดดเดี่ยว


 


 


สิ่งที่ได้รับเป็นเพียงความเงียบ ทหารคนหนึ่งที่พาความฝันมาได้ฝันสลายลง ไม่อยากพูดอะไรอีก


 


 


ศาสตราจารย์หลิวส่ายหน้า เธอยังยืนยันความคิดตัวเอง เสี่ยวเชี่ยนไม่ผิด


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางพอกอดกันพอแล้วก็เดินเคียงข้างกันมา


 


 


“เสี่ยวปืนเหล็ก เขาปฏิเสธการรักษา เดี๋ยวไว้ฉันจะมาปรับมุมมองเขา เธอไม่ต้องคิดมากนะ เธอทำถูกแล้ว”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวสร้างความมั่นใจให้เสี่ยวเชี่ยนอีกครั้ง เสี่ยวเชี่ยนกระพริบตาถี่ๆ


 


 


“หนูได้ยินไม่ชัด อาจารย์พูดอีกครั้งสิคะ”


 


 


“เธอทำถูกแล้ว”


 


 


“ก็ยังได้ยินไม่ชัด…”


 


 


“เธอทำถูก…เดี๋ยวนะ ยัยเด็กคนนี้นี่ จงใจแกล้งฉันเหรอ?”


 


 


ถูกต้อง ก็แกล้งอาจารย์ไงคะ เสี่ยวเชี่ยนอยากฟังคำยืนยันจากอาจารย์ การกลั่นแกล้งสำเร็จด้วยดี


 


 


ศาสตราจารย์หลิวขำ จากนั้นก็ชี้หน้าเสี่ยวเชี่ยน “เธอนี่นะ เสียทีที่ฉันเป็นห่วง ยังคิดว่าเธอจะเสียใจ”


 


 


ปรากฏว่ายัยเด็กคนนี้ดูไม่แคร์จริงๆ


 


 


ใจกว้างจริงๆ


 


 


“หนูจะเสียใจทำไมคะ? คนที่เกลียดหนูมีเยอะแยะไป เขานี่ลำดับที่เท่าไรกัน?” ที่เสี่ยวเชี่ยนทำแบบนี้มีวัตถุประสงค์เดียวนั่นก็คือ ไม่อยากให้อวี๋หมิงหลางวุ่นวายในภายหลัง


 


 


เธอบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว หวางย่าเฟยจะเข้าใจก็ดี ไม่เข้าใจก็ช่าง คนที่เธออยากปกป้องมีแค่อวี๋หมิงหลางผู้ชายของเธอเท่านั้น


 


 


“ไว้ฉันจะไปหาเขา เขาบอกว่าจะไม่จับปืนอีกแล้ว จะกลับไปเป็นทหารปลูกผักเหมือนเดิม พอถึงเวลาก็จะปลดประจำการ”


 


 


“ไม่จำเป็น” คนที่พูดคืออวี๋หมิงหลาง


 


 


“ไม่อยากได้ทหารคนนี้แล้วเหรอ?” ศาสตราจารย์หลิวถาม จากข้อมูลที่ได้กลับมา อวี๋หมิงหลางน่าจะแคร์หวางย่าเฟยคนนี้มากอยู่


 


 


“อยากครับ แต่ถ้าตัวเขาเองแม้แต่อุปสรรคแค่นี้ยังไม่กล้าเผชิญ งั้นเขาก็ไม่เหมาะจะเป็นทหารของผม ทหารของผมต้องเจออุปสรรคมากกว่านี้เยอะ ทหารหน่วยรบพิเศษต้องบีบบังคับคนให้จนมุม ออกรบอย่างโดดเดี่ยวได้ ควรเป็นทหารที่แข็งแกร่งที่สุด เอาชนะอุปสรรคได้ทุกอย่าง พวกเราไม่มีใครคอยเป็นกองหนุน ต้องเข้าสู่จิตใจส่วนลึกของศัตรู ไม่มีอะไรทั้งนั้น ที่มีก็คือความเชื่อและการยืนหยัดอดทน ถ้าอุปสรรคแค่นี้ก็ทำให้เขากลับไปปลูกผักได้แล้ว งั้นเขาก็ไม่เหมาะจะเป็นทหารของผม”


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่ได้พูดด้วยอารมณ์


 


 


เขาจริงจังและพร้อมรับผิดชอบกับคำพูดนี้


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า แล้วสบตากับอวี๋หมิงหลางอย่างเข้าใจกัน


 


 


อันที่จริงเรื่องนี้เสี่ยวเชี่ยนก็เคยคุยกับอวี๋หมิงหลางก่อนหน้านี้ เสี่ยวเชี่ยนหวังว่าอวี๋หมิงหลางจะให้โอกาสหวางย่าเฟยได้ทดสอบเป็นการส่วนตัวอีกครั้งหลังจากที่อาการของเขาหายดี ถ้าผ่านก็ให้เขาเข้าหน่วย เพราะทหารดีๆหายาก


 


 


โรคจิตเวชใช่ว่าจะรักษาไม่หาย ทุกคนต่างมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคจิตเวชในช่วงวัยที่ต่างกัน ก็เหมือนกับไข้หวัดที่เป็นกันได้ง่าย ไม่อาจปฏิเสธพรสวรรค์และความพยายามที่ทหารคนนี้มีเพียงเพราะเขาเคยเป็นโรคจิตเวช แบบนั้นมันคือการเหยียด


 


 


อวี๋หมิงหลางยอมทำตามคำขอร้องของเสี่ยวเชี่ยน แต่ก็ได้บอกถึงหลักการของเขาอย่างชัดเจน จะทำให้เป็นกรณีพิเศษ แต่เงื่อนไขคือ หวางย่าเฟยจะต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ เพราะอวี๋หมิงหลางอยากฝึกเขาเป็นมือสไนเปอร์ นี่คือตำแหน่งพิเศษที่จิตใจต้องแข็งแกร่งมาก ห้ามผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว


 


 


ตำแหน่งพิเศษ เงื่อนไขก็ยิ่งต้องเข้มงวด ดังนั้นอวี๋หมิงหลางจึงไม่ให้ศาสตราจารย์หลิวไปหาหวางย่าเฟย นี่ก็ถือเป็นความรับผิดชอบต่อหวางย่าเฟยเหมือนกัน


 


 


ก็เหมือนกับที่หลิวลี่ไม่ขอเข้าเป็นทหารอีก งานที่เหมาะกับแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าไม่เหมาะสมจริงๆก็อย่าฝืนจะดีกว่า


 


 


อวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนมองหน้ากัน ในสายตาของทั้งสองคนต่างอ่านใจของกันและกันออก

 

 

 


ตอนที่ 474

 

อวี๋หมิงหลางไม่ได้ใจร้าย เขาเองก็อยากฝึกมือสไนเปอร์ที่มีพรสวรรค์ 


 


 


แต่เรื่องบางอย่างบังคับกันไม่ได้จริงๆ 


 


 


ต่อให้หวางย่าเฟยต่อจากนี้ไม่จับปืนอีกก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของเขา แต่ก่อนที่เขาจะคิดได้ อวี๋หมิงหลางไม่มีทางปล่อยให้ใครเข้าไปเตือนสติเขา 


 


 


มีคนดีใจ มีคนเสียใจ มีคนได้ประสบการณ์แล้วเติบโต บางคนก็คิดว่าฝันสลาย สถานการณ์จำลองพิเศษนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับหัวหน้าใหญ่จะดีขึ้นเพราะหลิวลี่หรือเปล่า แต่ตอนที่อวี๋หมิงหลางเล่าเรื่องการช่วยเหลือกันระหว่างหลิวลี่กับหัวหน้าใหญ่ให้ศาสตราจารย์หลิวฟัง เสี่ยวเชี่ยนมั่นใจว่า เธอเห็นอาการหวั่นไหวในดวงตาของอาจารย์ 


 


 


ตอนที่เห็นอาจารย์เดินไปทางสองพ่อลูก ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกได้ยืนด้วยกันอีกครั้ง เสี่ยวเชี่ยนก็รู้สึกประทับใจ 


 


 


“เสี่ยวเฉียง” 


 


 


“หืม?” 


 


 


“ครั้งนี้นายได้ทำความดีนะ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางพูดอย่างภูมิใจ “แน่นอน ต่อไปถ้าคุณมีปัญหาอะไรอย่าแบกไว้คนเดียว กล้าๆพุ่งเข้าไปเลย เรื่องที่คุณแก้ไขไม่ได้ก็ยังมีผมอยู่” 


 


 


ยังมีผมอยู่ สี่คำนี้เป็นคำแสดงความรักที่ไพเราะที่สุดที่เสี่ยวเชี่ยนเคยได้ยิน 


 


 


ให้กำลังใจได้มาก มีพลังสุดๆ ฟังแล้วไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ความรู้สึกที่มีคนยืนอยู่กับเธอมันดีจริงๆ 


 


 


ตอนที่ศาสตราจารย์หลิวเดินเข้าไป หัวหน้าใหญ่กำลังยืนเกาะบ่าลูกชายพลางสรุปผลงานที่เพิ่งได้ทำกันไป 


 


 


ดวงตาของหลิวลี่ยังแดงๆอยู่ ความรู้สึกที่มีต่อพ่อกำลังเพิ่มขึ้น 


 


 


พอเห็นแม่เดินมาเขาก็รีบนั่งตัวตรง ไม่กล้าให้พ่อเกาะบ่าแล้ว 


 


 


“โตขนาดนี้แล้วยังจะร้องไห้อีก?” ศาสตราจารย์หลิวถาม 


 


 


“ในเขาลมแรง…” หลิวลี่พูดอย่างอายๆ 


 


 


“ครั้งนี้ลูกทำได้ดีมาก อย่าว่าเขาเลย” หัวหน้าใหญ่ปกป้องลูกชาย 


 


 


พูดจบก็เสียใจ หญิงสูงวัยคนนี้อารมณ์ร้ายจะตาย พูดออกไปแบบนั้นถ้าเป็นตอนปกติได้ลงไม้ลงมือแล้ว 


 


 


หัวหน้าใหญ่แอบหวั่นใจ ฝ่ามือของศาสตราจารย์หลิวยังไม่ทันลอยไปก็ได้ยินเธอถามขึ้นมาก่อน 


 


 


“เหล่าหลิว ตอนนั้นดึงสลักระเบิดมือจริงๆเหรอ?” 


 


 


“เอ่อ บทเขียนมาแบบนั้น” อันที่จริงตอนนั้นในใจของหัวหน้าใหญ่รู้อยู่แล้วว่าเป็นการแสดง แต่ตอนที่เห็นลูกชายพยายามช่วยเขาสุดชีวิต เขาก็อินไปกับบทเลยทันที 


 


 


ตอนดึง เขาต้องการให้ลูกชายไปจริงๆ โทษอวี๋หมิงหลางนั่นแหละที่แสดงได้สมจริงมาก 


 


 


“มิน่าล่ะ คุณน่ะ แม้แต่สถานการณ์จำลองยังคิดจริงได้ฉันล่ะยอมเลยจริงๆ แก่ปูนนี้แล้วยังคิดไม่ได้อีก” 


 


 


หัวหน้าใหญ่ยิ้มอย่างอายๆ ยังคงปากแข็ง อยากรักษาหน้าตัวเองไว้อยู่ “ต้องโทษอวี๋หมิงหลางเจ้าบ้านั่นที่ลงมือโหดเ**้ยมเกินไป ผมล่ะสงสัยว่าเขาเอาความแค้นตอนปกติมาลงตอนนั้นหมด หมัดที่เขาชกมาที่ท้อง ผมเจ็บจริงนะนั่น” 


 


 


ไม่โทษที่ลูกคิดจริง ตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคนร้ายจริงๆ 


 


 


“ไม่เป็นไร ความแค้นเรื่องงานเรื่องส่วนตัวที่อวี๋ไข่เหล็กเอาไปลงกับคุณตอนแสดง คุณรอดูเถอะ ฉันจะเอาไปลงกับการบ้านของเสี่ยวปืนเหล็ก พวกเราค่อยล้างแค้นคืน” 


 


 


คำพูดของศาสตราจารย์หลิวทำให้หัวหน้าใหญ่ตกใจ วันนี้ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้…ดูอ่อนโยนนัก? 


 


 


ศาสตราจารย์หลิวประทับใจกับการกระทำของหัวหน้าใหญ่ในวันนี้จริงๆ อันที่จริงตอนที่เขายอมให้ลูกเข้าร่วมการทดสอบนี้ ศาสตราจารย์หลิวก็ไม่ได้เกลียดเขาเท่าไรแล้ว พอได้ฟังที่อวี๋หมิงหลางเล่าว่าหัวหน้าใหญ่ทำเรื่องแบบนั้นเพื่อลูก เห็นเขาสั่งสอนลูก เธอก็รู้สึกน้ำตารื้น 


 


 


เธอตำหนิเขามาตลอดที่ไม่สั่งสอนลูกให้ดี แต่ตอนนี้มาคิดดู การจากไปของลูกชายคนโตจะโทษเขาก็ไม่ได้ เพียงแต่สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจยังทำเธอเสียใจทำให้ต้องหาที่ระบาย คล้ายกับว่าการเอาความผิดป้ายไปที่หัวหน้าใหญ่แล้วเธอจะรู้สึกผิดต่อลูกชายคนโตน้อยลง 


 


 


แต่การแสดงออกของหวางย่าเฟยเมื่อครู่ทำให้ศาสตราจารย์หลิวคล้ายกับได้มองเห็นตัวเอง 


 


 


สภาพหวางย่าเฟยที่อยากเกลียดแต่ก็เกลียดไม่ได้ ทำได้แค่พาลโกรธเฉินเสี่ยวเชี่ยน นั่นมันเหมือนท่าทีที่เธอทำกับเหล่าหลิวเลยไม่ใช่เหรอ? 


 


 


พอมาเป็นคนสังเกตการณ์แล้วถึงได้เห็นตัวเองบนตัวหวางย่าเฟย ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำมันไม่ยุติธรรมกับหัวหน้าใหญ่ 


 


 


แต่หัวดื้อมาทั้งชีวิต ทำให้ศาสตราจารย์หลิวยังมีมาดอยู่ จะให้ออกหน้าเต็มตัวก็ไม่ใช่ ทำได้แค่อ่อนลงทีละนิดๆ 


 


 


หัวหน้าใหญ่รู้สึกได้ว่าศาสตราจารย์หลิวดูอ่อนลง ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นทันที นี่การกลับไปแต่งงานอีกครั้งมีความหวังแล้ว 


 


 


ส่วนหลิวลี่พอเห็นแบบนั้นก็มองพ่อ แล้วก็มองแม่ ทันใดนั้นไอเดียก็มา 


 


 


“แม่ ผมเป็นโรค” 


 


 


“โรคอะไร?” ศาสตราจารย์หลิวรีบเบนความสนใจแล้วถามด้วยความเป็นห่วง 


 


 


หัวหน้าใหญ่พอได้ยินลูกชายพูดแบบนั้นก็เข้าใจทันที รีบเป็นกองหนุน 


 


 


“ใช่ๆๆ เสี่ยวลี่ป่วย คือ เสี่ยวเชี่ยนบอกว่า เขามีอาการของโรคอารมณ์แปรปรวน โรคนี้เนี่ยต้องให้พ่อคอยดูแล แน่นอนว่าแม่ก็ต้องดูแลด้วยเหมือนกัน พวกเราสามคนต้องอยู่กันพร้อมหน้าบ่อยๆ” 


 


 


หัวหน้าใหญ่เป็นคนประเภทที่ว่าแค่หยิบยื่นบันไดมาก็พร้อมก้าวขึ้นไปเหยียบ 


 


 


ก่อนหน้านี้อยากพูดกับศาสตราจารย์หลิวเรื่องนี้แต่ไม่กล้า พอศาสตราจารย์หลิวอ่อนลงหน่อยเขาก็รีบให้ความร่วมมือกับลูกชายคว้าโอกาสไว้ทันที 


 


 


“เสี่ยวปืนเหล็กพูด…ว่าโรคอารมณ์แปรปรวนต้องให้พ่อแม่คอยดูแล?” ศาสตราจารย์หลิวพอจะฟังปัญหาออกแล้ว 


 


 


ใช่ว่าเฉินเสี่ยวเชี่ยนจะไม่เคยรักษาโรคอารมณ์แปรปรวน จะผิดพลาดเรื่องความรู้ง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ? คงจะหลอกคนนอกสินะ 


 


 


อีกอย่าง หลิวลี่เป็นลูกของเธอ ถึงแม้เธอจะคอยจับผิดอยู่บ่อยๆ บอกว่าลูกคนนี้เหมือนคนเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน แต่นั่นก็พูดไปเพราะความโมโห ป่วยจริงไหมเธอเองรู้ดีแก่ใจ 


 


 


“ใช่ๆ ต้องอยู่ดูแล ครอบครัวสามคน ขาดไม่ได้แม้แต่คนเดียว เสี่ยวหลิว ผมรู้ว่าคุณไม่ค่อยพอใจผม ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่นี่เป็นการทำเพื่อลูกไม่ใช่เหรอ?” เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าใหญ่รู้สึกว่า การป่วยก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน เอาลูกเป็นข้ออ้างข่มเสี่ยวหลิวได้ เพอร์เฟค 


 


 


“แม่ โรคของผมหนักมากเลยนะ ไม่แน่วันไหนอาจจะเป็นบ้าก็ได้ ไม่มีพ่อกับแม่ไม่ได้จริงๆนะ แม่ก็ให้พ่อกลับมาอยู่บ้านบ้างเป็นครั้งเป็นคราวได้ไหม?” 


 


 


“อยู่เหรอ?” 


 


 


“ผมไม่อยู่ห้องคุณก็ได้ ผมอยู่ห้องเสี่ยวลี่ ใช่ไหมลูกชาย? ผมไม่ไปรบกวนฟรีๆนะ ผมผัดไข่เป็นนะ” 


 


 


“คุณผัดไข่ทีเทน้ำมันครึ่งขวด สงสารกระทะฉันเถอะ แล้วก็ ห้องเสี่ยวลี่เป็นเตียงเดี่ยวจะนอนได้ไง?” 


 


 


หัวหน้าใหญ่ได้ยินดังนั้นก็หน้าเจื่อน ไม่ได้จริงๆสินะ เธอยังคงโกรธเขาอยู่ 


 


 


“เอาบ้านเก่าของเราขายทิ้งซะแล้วซื้อบ้านใหม่ ฉันลืมเสียวซ่วงไม่ได้ อยู่ที่นั่นก็มีแต่จะสะเทือนใจ อพาร์ทเม้นท์ของมหาวิทยาลัยคุณมาก็ไม่สะดวก ซื้อบ้านที่ใหญ่ขึ้น อย่าเอาที่ไกลมหาวิทยาลัยมากนัก เอาแบบสามห้องนอน ฉันต้องมีห้องหนังสือไว้ทำงาน ถ้าเงินไม่พอคุณออกเพิ่ม” 


 


 


ศาสตราจารย์หลิวพูดจบหัวหน้าใหญ่ก็ยืนอึ้ง นี่มัน… 


 


 


หลิวลี่ก็อึ้ง 


 


 


สองพ่อลูกสีหน้าไปในทางเดียวกัน 


 


 


เดิมคิดว่าการเกลี้ยกล่อมศาสตราจารย์หลิวจะเป็นอะไรที่เปลืองแรงมาก แต่พอเธอพูดแบบนี้ เปลี่ยนบ้าน อีกทั้งยังยอมให้เหล่าหลิวกลับมาได้บ่อยๆด้วย? 


 


 


“มองอะไรเล่า ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงแต่งงานอีกรอบนะ แค่ให้โอกาสคุณ ต่อไปจะเป็นยังไงก็ต้องดูพฤติกรรมแล้ว ฉันไม่ได้ทำเพื่อตาแก่ชั่วๆอย่างคุณหรอกนะ ฉันยังโกรธคุณอยู่ นี่ก็ นี่ก็ทำเพื่อลูกไม่ใช่เหรอไง?” ศาสตราจารย์หลิวถูกมองจนทั้งเขินทั้งโกรธ และก็ทำตัวเลียนแบบหัวหน้าใหญ่ เอาเรื่องลูกมาอ้าง 

 

 

 


ตอนที่ 475

 

ผลการวินิจฉัยโรคของเสี่ยวเชี่ยนสามารถหลอกหัวหน้าใหญ่กับลูกชายได้ แต่ไม่มีทางหลอกศาสตราจารย์หลิวได้ 


 


 


ศาสตราจารย์หลิวเข้าใจดีว่านี่จะต้องเป็นเรื่องที่เสี่ยวปืนเหล็กกับอวี๋ไข่เหล็กรวมหัวกันทำแน่นอน สองคนนี้เป็นคนฉลาด พออยู่ด้วยกันก็ชอบวางแผนก่อเรื่อง 


 


 


ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเด็กๆช่วยหัวหน้าใหญ่กันสุดฤทธิ์ ศาสตราจารย์หลิวเลยวางแผนบ้าง แสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้อะไร 


 


 


อืม งั้นก็คิดว่าลูกเป็นโรค ‘อารมณ์แปรปรวน’ ไปแล้วกัน 


 


 


อวี๋หมิงหลางเดินออกไปส่งเสี่ยวเชี่ยน มีรถมารอรับเธอแล้ว 


 


 


“ผมไปส่งคุณกลับไม่ได้นะ” อวี๋หมิงหลางช่วยเสี่ยวเชี่ยนจัดปกคอเสื้อด้วยอารมณ์เสียดาย 


 


 


“อืม ไม่เป็นไรหรอก ฉันกลับเองได้” เสี่ยวเชี่ยนไม่รอศาสตราจารย์หลิวแล้ว เธอเดาว่าเวลานี้ศาสตราจารย์หลิวน่าจะกำลังอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก มีหัวหน้าใหญ่อยู่เธอก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้าแล้ว 


 


 


“เจอกันครั้งหน้าพี่จะพาไปขับรถอย่างดีเลยนะ…” เขายังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ เส้นทางแห่งการกินเนื้อช่างลำบากนัก… 


 


 


“เลิกคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว เดี๋ยวก็เลือดกำเดาไหลอีกหรอก นายกลับไปพาทหารกลับเถอะ” เสี่ยวเชี่ยนโบกมือ เตรียมจะหันไปขึ้นรถ แต่พอเห็นท่าทางอาลัยอาวรณ์ของเขาจึงเดินไปกระซิบที่ข้างหูอวี๋หมิงหลาง 


 


 


“ยังไงฉันก็เป็นของนาย จะช้าจะเร็วก็เหมือนกันนั่นแหละ” 


 


 


พูดจบก็ไม่ดูสีหน้าของเขารีบขึ้นรถทันที 


 


 


อวี๋หมิงหลางมองควันที่ถูกปล่อยออกมาจากท่อไอเสีย ผู้หญิงที่เขารักค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกร้อนๆตรงจมูก 


 


 


“หัวหน้า ทำไมเลือดกำเดาไหลล่ะ?” เฉียวเจิ้นเดินผ่านมาเห็นหัวหน้าศัตรูพ่ายของตัวเองกำลังยืนแข็งทื่อเป็นเสาไฟฟ้า ตรงจมูกมีของเหลวสีแดงไหลออกมา… 


 


 


อวี๋หมิงหลางเอามือเช็ด เช็ดเสร็จก็ไหลอีก 


 


 


พอเห็นเฉียวเจิ้นทำหน้างง ทันใดนั้นเขานึกขึ้นได้ว่าไอ้นี่มันชิงกินเนื้อตัดหน้าเขาไปก่อน ด้วยความโมโหจึงแจกลูกถีบไปหนึ่งที 


 


 


“อะไรวะเนี่ย” เฉียวเจิ้นโมโห 


 


 


“เห็นหน้าแล้วหงุดหงิด ยืนบื้ออะไรอยู่เล่า ไปพาคนกลับค่ายสิ” ได้กินแล้วใช่ไหม กิน กินให้ตายไปเลย 


 


 


“หัวหน้าใหญ่ One บ้าไปแล้ว มันทำร้ายโผม” เฉียวเจิ้นพอเห็นครอบครัวหัวหน้าใหญ่เดินกันมาสามคนก็รีบเข้าไปฟ้อง 


 


 


“ใครบ้านะ?” แต่ทว่าหัวหน้ากลับสนใจเรื่องนี้ 


 


 


“ผมน่ะสิ” อวี๋หมิงหลางตอบอย่างภูมิใจ 


 


 


“ตาเหยี่ยว ช่วงนี้นายละเลยการฝึกไปหรือเปล่า?” หัวหน้าใหญ่ถาม 


 


 


“ใช่ครับ เอาเรี่ยวเอาแรงไปลงที่อื่นหมดแล้ว เอวงี้พลิ้วเชียว” อวี๋หมิงหลางยอมรับว่าตอนนี้เขาอิจฉาริษยา แล้วจะทำไมล่ะ 


 


 


“หมิงหลางจมูกเป็นอะไรน่ะ?” ศาสตราจารย์หลิวสังเกตเห็นว่าอวี๋หมิงหลางเลือดกำเดาไหล 


 


 


“คิดถึงเมียมากสินะ เดี๋ยวพอฝึกแบบปิดก็จะไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือนเลยมาลงที่ผม เฮ้อ ผมจะทำอะไรได้ ใครใช้ให้ผมเป็นลูกน้องเขาล่ะ” เฉียวเจิ้นพูดอย่างปลงๆ 


 


 


อวี๋หมิงหลางทั้งอายทั้งโมโห อยากจะเข้าไปอัดอีกรอบ พอกระโดดเข้าไปเฉียวเจิ้นก็ลื่นเหมือนปลาไหลรีบไปหลบอยู่ด้านหลังหัวหน้าใหญ่ 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่สนหรอก ยกเท้าจะเข้าไปเตะ แต่ถูกหัวหน้าใหญ่ยื่นขามาขวาง 


 


 


“เอาล่ะ เลิกเล่นได้แล้ว ตาเหยี่ยวนายไปพาคนใหม่กลับไปดูแลไป” 


 


 


“ครับ” 


 


 


“One นายอยู่นี่ก่อน ทำงานเก็บตกนิดหน่อยก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ” 


 


 


“งานเก็บตกอะไรครับ?” อวี๋หมิงหลางยังไม่เข้าใจ การทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว เรื่องงานเก็บกวาดกับดักอะไรพวกนี้เป็นหน้าที่ของทหารที่นี่ แล้วจะให้เขาอยู่ทำไม? 


 


 


คนฉลาดๆแต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญสมองกลับตามไม่ทัน หัวหน้าใหญ่ตบบ่าอวี๋หมิงหลางแล้วชี้หน้าเขา 


 


 


“เก็บตกแกนี่ไงล่ะ เข้าใจยัง?” 


 


 


นี่มันเหมือนถูกหวยรางวัลใหญ่ชัดๆ อวี๋หมิงหลางรู้สึกเหมือนโลกสดใสขึ้นมาทันที เบิกตาโพลงด้วยความรู้สึกเซอร์ไพร้ส์ 


 


 


“หัวหน้า ทำไมวันนี้หล่อจังครับ? น้าหลิว ดูลุงคนนี้สิครับ มีหัวใจเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ ทำอะไรก็รอบคอบ เหมาะแก่การเป็นหัวหน้าครอบครัวที่สุด ของมันต้องมีเลยนะครับ” 


 


 


“ถ้ายังไม่หยุดพูดมากก็กลับหน่วยไปเลย” หัวหน้าใหญ่เริ่มใส่อารมณ์ 


 


 


“รับรองครับงานเก็บตกนี้จะออกมาดีแน่นอน หัวหน้าวางใจได้เลยครับ” อวี๋หมิงหลางทำความเคารพอย่างสวยงาม หัวหน้าใหญ่ หึ ออกมาหนึ่งทีแล้วเดินจากไป 


 


 


เฉียวเจิ้นส่ายหน้าแล้วตบบ่าอวี๋หมิงหลาง “One ฉันรู้แล้วว่าทำไมนายถึงถีบฉัน อิจฉาฉันใช่ไหมล่ะ?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางหัวเราะเจ้าเล่ห์ สายตาของเขาในตอนนี้สดใสยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ 


 


 


เขาไม่ตอบเฉียวเจิ้น แต่พึมพำตัวเลขออกมา 


 


 


“บ่นอะไรน่ะ?” 


 


 


“ฉันกำลังคำนวณความเร็วในการวิ่งของฉันกับความเร็วรถ ฉันต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะไล่ตามรถเสียวเหม่ยทัน แต่ไม่ได้ ถ้าใช้ความเร็ว60กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นตัววัด ตอนนี้รถที่เธอนั่งคงเข้าเมืองไปแล้ว ฉันคงวิ่งไปไม่ได้ ดังนั้นฉันต้องรีบเรียกรถตามเธอไป” 


 


 


หลังจากนั้นแผนการทำสงครามก็ต้องทำให้สำเร็จ 


 


 


เฉียวเจิ้นมองบน “นี่นายอยากมากขนาดไหนกันเนี่ย? เรื่องแบบนี้ยังต้องมานั่งคำนวณ? แล้วยังจะปฏิเสธว่าไม่ได้ไล่เตะฉันเพราะความอิจฉา?” 


 


 


ก็เพราะไม่อยากเสียเวลาไปแม้สักวินาทีไง? 


 


 


อวี๋หมิงหลางแอบเซ็งที่ให้เสี่ยวเชี่ยนกลับไปก่อน เขาจะไปรู้ได้ไงว่าตาลุงหัวหน้าใหญ่จะมองออกขนาดนี้ เซ็งมากเข้าใจไหม 


 


 


“ฉันจะอิจฉานายทำไม? คิดว่านายมีเมียแล้วฉันไม่มีหรือไง?” 


 


 


ฮี่ๆ เดี๋ยวก็จะได้จู๋จี๋กับเสียวเหม่ยแล้ว สุดแสนจะรอคอย~ 


 


 


หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนออกจากที่อวี๋หมิงหลางมาแล้วในใจก็รู้สึกเศร้า 


 


 


สายตาที่เขามองส่งเธอนั้นมันช่างทำให้ปวดใจนัก อย่างน้อยๆก็ควรได้ป้อนเนื้อให้เขากินก่อนกลับ ปล่อยให้เขาต้องอดกลั้นไปเรื่อยๆแบบนี้เธอกลัวเขาจะเป็นอะไรไป 


 


 


แต่สองครั้งก่อนหน้านี้ก็บังเอิญเกินไป มีแต่เรื่องเข้ามา หวังว่าครั้งหน้าเจอกันเธอจะได้ส่งเนื้อเข้าปากเขาอย่างง่ายๆเสียที 


 


 


รถขับเข้าสู่เขตเมือง ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเสี่ยวเชี่ยนก็ดังขึ้น มีข้อความเข้า เมื่อครู่อยู่ในเขตภูเขาไม่มีสัญญาณจึงไม่ได้รับ 


 


 


พอเปิดดูก็พบว่าเจิ้งซวี่ให้เธอโทรกลับ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนจึงโทรไปหาเจิ้งซวี่ 


 


 


“โทรหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” 


 


 


“คนที่ให้ไปสืบได้เรื่องมาแล้วนะ ข้อมูลอยู่ที่ผับเรนโบว์ในตัวเมือง ว่างๆก็ไปเอาแล้วกัน” 


 


 


“อืม เข้าใจแล้ว” 


 


 


“แล้วก็ ช่วงนี้ระวังตัวด้วยนะอย่าให้ใครจับจุดอ่อนได้” เจิ้งซวี่พูดเตือน 


 


 


“นายได้ข่าวอะไรมาเหรอ?” 


 


 


“ลูกน้องผมบอกมาว่าช่วงนี้มีคนสืบเรื่องคุณอยู่ ผมให้คนไปจัดการแล้ว กำลังสืบอยู่ว่าเป็นฝีมือใคร แต่คนๆนี้ดูท่าจะไม่เบา เลยยังสืบไม่ได้ข้อมูลอะไร เฉินเสี่ยวเชี่ยน นี่คุณไปก่อเรื่องอะไรไว้หรือเปล่า?” 


 


 


“ก่อเรื่องเหรอ? เปล่านะ ฉันอยู่ในมหาลัยไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลยนะ” คนเดียวที่เธอชอบไปหาเรื่องก็คือตาเสี่ยวเฉียงผู้เส้นเลือดฝอยในจมูกเปราะบาง ชอบแกล้งให้เขาเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ 


 


 


“แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนกำลังสืบชีวิตประจำวันของคุณ รวมถึงรูปถ่าย ชีวิตคุณในมหาลัย แล้วก็เรื่องประวัติความรัก ลูกน้องของผมไปเจอเข้าพอดี ผมเลยสั่งให้เอาข้อมูลจริงบ้างเท็จบ้างบอกไป” 


 


 


“เข้าใจแล้ว นายทำถูกแล้ว” เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจ ถ้าเจิ้งซวี่ไม่ทำแบบนั้น อีกฝ่ายก็ไปสืบจากคนอื่นอยู่ดี 


 


 


แล้วใครกันที่กำลังตามสืบเรื่องเธอ? 


 


 


นี่คือปริศนา 


 


 


“แค่นี้ก่อนนะแบตฉันจะหมด” เสี่ยวเชี่ยนวางสาย หน้าจอโทรศัพท์ปรับแสงลดลงแล้ว แบตเธอเหลืออีกแค่นิดเดียว 


 


 


ทันใดนั้นเองก็มีสายเข้า เสี่ยวเชี่ยนยังไม่ทันได้เห็นว่าเบอร์ใครโทรศัพท์ก็ดับ 


 


 


ใครกันนะ? 

 

 

 


ตอนที่ 476

 

เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าใครโทรมา เพราะแบตหมดพอดี 


 


 


เธอไปรับข้อมูลที่เจิ้งซวี่ฝากไว้ที่ผับ เสร็จแล้วก็กลับโรงแรม พอเดินไปตรงลิฟท์ยังไม่ทันจะได้เข้าก็รู้สึกเหมือนมีแรงมหาศาลพุ่งมาจากทางด้านหลัง 


 


 


มีคนร้ายเหรอ? 


 


 


กลางวันแสกๆยังมีคนกล้าทำเรื่องแบบนี้ ตอนแรกเธอเครียดและตกใจ จากนั้นเธอก็ป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณ เธอรีบก้มตัวแล้วหันไปจับข้อเท้าของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ออกแรงดึง นี่คือวิชาป้องกันตัวที่อวี๋หมิงหลางสอนเธอไว้ เดิมเธอคิดว่าอีกฝ่ายจะล้มเสียอีก 


 


 


ปรากฏว่าคนๆนั้นกลับตั้งหลักได้แล้วโจมตีเข้าที่บั้นท้ายของเธออย่างง่ายดาย 


 


 


“ความรู้สึกไวดีนี่ แต่ก็ยังช้าเกินไป แรงก็ยังไม่พอ” 


 


 


เสียงที่คุ้นเคยดังจากข้างหลังเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหันกลับไปอย่างแทบไม่เชื่อสายตา คนร้ายที่เมื่อครู่แตะอั๋งบั้นท้ายเธออย่างหน้าไม่อายกำลังยืนยิ้มโบกมือให้เธออยู่ 


 


 


“คนสวยผมมาแล้ว ยังเหลือที่จอดรถให้ผมอยู่หรือเปล่า?” 


 


 


“นาย” เสี่ยวเชี่ยนชี้หน้าอวี๋หมิงหลาง นี่เธอเห็นภาพลวงตาหรือเปล่า? 


 


 


เมื่อกี้ตอนที่แยกกับเสี่ยวเฉียงยังคิดอยู่เลยว่าคงไม่ได้เจอกันอีกนาน ยังแอบเศร้าอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่นี่อะไรยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เจอกันอีกแล้ว? 


 


 


อวี๋หมิงหลางลากเธอไปหลบข้างลิฟท์ตรงจุดที่ไม่มีคนแล้วเชยคางเธอขึ้นมา “ทำไมปิดเครื่อล่ะ หืม?” 


 


 


“เมื่อกี้นายโทรมาเหรอ?” 


 


 


“อืม คิดถึงผมเปล่า?” 


 


 


“ไม่คิดถึง” สิแปลก 


 


 


เขาเล่นมาเซอร์ไพร้ส์แบบนี้ เซอร์ไพร้ส์เสียจนทำให้เธอมองข้ามเรื่องการเล่นพิเรนทร์ของเขาได้ 


 


 


“นายหาฉันเจอได้ไง?” 


 


 


ตอนนี้เธอพักอยู่กับสืออวี้ ไม่ได้อยู่ในหอพัก ติดต่อก็ไม่ได้ แต่เขากลับหาเธอเจอได้ในเวลาอันรวดเร็ว 


 


 


“ง่ายจะตาย ลองคิดดูสิ คุณกลับหอพักไม่ได้ แล้วจะไปไหนได้? ไม่ไปหาต้าอีก็สืออวี้มีแค่สองคนนี้ ผมโทรหาพี่รองก่อน ปรากฏว่าแทบอยากอ้วก” 


 


 


“พี่รองมีเรื่องอะไรเหรอ?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกำลังสงสัย แต่พอเห็นสายตาของเขาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาที่ทุกคนได้กินเนื้อกันหมดแล้ว เธอก็เข้าใจทันที 


 


 


“เหอๆ…พี่รองก็มีอารมณ์แบบนั้นด้วย หลายวันก่อนก็กิน ตอนนี้กินอีกแล้ว? กลางวันแสกๆด้วย?” 


 


 


ไม่กลัวจุกตายหรือไง 


 


 


“ใช่ เขาเป็นคนไม่รู้เวล่ำเวลาแบบนั้นแหละ ทำอย่างกับไม่เคยเจอผู้หญิงมาก่อน” คำพูดนี้ของอวี๋หมิงหลางเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา 


 


 


ตอนที่เขาโทรไป เสียงของพี่รองเห็นได้ชัดว่าแปลกๆ ตอนแรกเขาก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอได้ยินเสียงหอบของผู้หญิงเขาก็เข้าใจทันที 


 


 


“จากการวิเคราะห์ลักษณะเด่นของนิสัย ฉันสงสัยจริงๆนะว่าพี่รองคงไม่ได้เจอผู้หญิงมานานจริงๆน่ะแหละ…” ไม่ว่าเสี่ยวเชี่ยนจะมองอวี๋หมิงอี้ในมุมไหนก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่เหมือนผู้ชายที่รู้ว่าอดีตภรรยาเป็นโรคแล้วยังจะดันทุรังทำเรื่องอย่างว่าได้ 


 


 


ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าไม่เคยได้สัมผัสกับผู้หญิงจริงๆ และนี่ก็เป็นครั้งแรก 


 


 


“คุณพูดพึมพำอะไรน่ะ? ลูกเชี่ยน พี่รองนำหน้าไปแล้วนะ พวกเราจะมารั้งท้ายไม่ได้ ไป รีบไปกันเถอะ~” 


 


 


ถึงเวลาจะยังมีอีกเยอะ แต่หลังจากที่มีประสบการณ์ล้มเหลวในครั้งก่อนหน้ามาแล้ว อวี๋หมิงหลางได้ซึมซับเป็นอย่างดี 


 


 


“ไปไหน? ที่นี่ก็โอเคดีไม่ใช่เหรอ?” อยู่ในโรงแรมแล้วยังจะไปไหนอีก? 


 


 


“ยังไม่หรูพอ จองที่เดิมไว้…ผมรู้สึกว่าป้าแม่บ้านคราวก่อนมองผมแปลกๆ” 


 


 


“……” เสี่ยวเชี่ยนเกือบหลุดหัวเราะออกมา 


 


 


แบบนี้เรียกว่าอะไร? 


 


 


หยามศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ถึงไกลก็จะไป? 


 


 


“งั้นเดี๋ยวฉันขึ้นไปบอกสืออวี้ก่อน” เสี่ยวเชี่ยนอยากขึ้นไป แต่ถูกอวี๋หมิงหลางรั้งไว้ 


 


 


“โทรไปบอกก็ได้” 


 


 


แทบไม่อยากเสียเวลาเลยแม้แต่วินาทีเดียว 


 


 


อยากรีบไปทำแล้ว 


 


 


เขาเดินจูงมือเสี่ยวเชี่ยนออกไป รีบพาเธอไปยังโรงแรมเมื่อคราวก่อนอย่างไม่รอช้า พอเข้าห้องได้ก็รีบกดเธอเข้ากับประตู 


 


 


มีครั้งหนึ่ง ครั้งสองที่ล้มเหลวไปแล้วจะปล่อยให้มีครั้งสามไม่ได้ เสี่ยวเชี่ยนรับรู้ได้ถึงพลังอันแรงกล้าในความอยากเป็นเจ้าของของเขาจากการกระทำที่ส่งผ่านมา ก่อนหน้านี้ยังมีความนุ่มนวลอยู่บ้าง มีความสุนทรีย์ คารมคมคาย ตอนนี้ได้กองทุกอย่างทิ้งไว้ เหลือเพียงความปรารถนาของชายหญิงล้วนๆ 


 


 


อวี๋หมิงหลางจูบเธออย่างบ้าคลั่งดุจหมาป่าที่หิวโหยมาเป็นหมื่นปี สอดใส่ลิ้นเข้าไปประสานกับเธอ แสดงอำนาจของตัวเองอย่างเต็มที่ มือของเธอคล้องที่คอเขาไว้ ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็ตัวสั่น 


 


 


“เป็นอะไรไป เจ็บแล้วเหรอ อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวเจ็บกว่านี้อีก…” เขาจูบหน้าผากเธอ มือก็ซุกซนไปเรื่อย สำรวจในจุดซ่อนเร้นด้วยความอยากรู้ สัมผัสได้ถึงสายน้ำแห่งวัยเยาว์ที่ไหลออกมาอุ่นๆชวนให้เคลิบเคลิ้ม 


 


 


“ไม่ใช่…นายรอเดี๋ยวได้ไหม?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแทบอยากร้องไห้ ครั้งแรกเธอเตรียมชุดชั้นในสีแดงมีคริสตัล ประจำเดือนเธอก็มาในทันที 


 


 


ครั้งสองเธอเตรียมชุดชั้นในสีชมพูสุดแสนจะแบ๊ว แต่ก็มีเรื่องเข้ามาขัดจังหวะเสียอย่างนั้น 


 


 


วันนี้เธอไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะเห็นว่าต้องเข้าไปในเขา เลยใส่แค่ชุดชั้นในธรรมดาสีเนื้อ … สีแบบที่ผู้ชายไม่ชอบที่สุด สีเนื้อแบบเรียบๆที่ถูกจัดอันดับความเชยเป็นที่หนึ่ง 


 


 


ไม่เพียงแต่จะไม่มีความเด่น สีก็ชวนให้ผู้ชายรังเกียจ อีกทั้งกางเกงในก็เป็นแบบผ้าฝ้ายตัวใหญ่มีความป้าสุดๆ… 


 


 


เฝ้าคิดมาตลอดว่าอยากมีความทรงจำที่สวยงามที่สุดกับเขา แต่เขากลับไม่รอให้ถึงช่วงเวลาดีๆ ไม่รอให้ดอกไม้ผลิบานอย่างสวยงาม กลับอยู่ๆก็มาปรากฏตัวในเวลานี้ ทำให้เธอแทบอยากจะบ้า 


 


 


“รอเหรอ?” อวี๋หมิงหลางอึ้ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เธอมองเขาด้วยสายตาวิงวอน แต่กลับไปกระตุ้นความปรารถนาที่เก็บไว้ในใจเขามาตลอด อารมณ์ที่อัดอั้นมานาน ได้ปลดปล่อยออกมาแล้วในเวลานี้ 


 


 


เขาเชยคางเธอขึ้นมา กดมือเธอไว้ แล้วเอาตัวเข้าไปแนบ ออกแรงตรงเอวเล็กน้อย ถึงมีเสื้อผ้ากั้นอยู่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงพลังที่กำลังพลุ่งพล่าน 


 


 


“สักนาทีก็รอไม่ได้แล้ว คุณเป็นของผม” 


 


 


เธอหอบเบาๆ แต่กลับถูกเขาฉวยโอกาสจู่โจมเข้าที่ริมฝีปาก จากนั้นก็แทบจะโยนเธอขึ้นเตียง 


 


 


อวี๋หมิงหลางในเวลานี้ทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วว่องไว มือซ้ายปลดเข็มขัด มือขวาล้วงโทรศัพท์ออกมาเตรียมถอดแบตออก สายตาอันเฉียบคมจ้องเธออย่างไม่ละสายตา ทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไร เสื้อผ้าก็ยังอยู่ครบ แต่สายตาของเขากลับสะกดให้ความรู้สึกเหมือนเนื้อตัวว่างเปล่า ทุกอย่างจัดการเสร็จเรียบร้อย เธอรู้สึกตัวหวิวอย่างบอกไม่ถูก ในเวลานี้บรรยากาศกำลังร้อนแรงถึงขีดสุด 


 


 


อวี๋หมิงหลางอยู่ในสภาพเตรียมพร้อม แบตมือถือถอดออกเรียบร้อย เข็มขัดก็ถอดออกแล้ว ในขณะที่หมาป่าผู้หิวโหยกำลังจะเขมือบลูกแกะอยู่ๆก็มีคนมาเคาะประตู 


 


 


“คุณผู้ชายคะไม่ทราบว่าได้กดเรียกพนักงานหรือเปล่าคะ?ฎ 


 


 


“โว้ย” อวี๋หมิงหลางเดินไปที่ประตูด้วยความโมโห อยากจะรู้นักว่าพนักงานคนไหนที่มันไม่รู้จักกาลเทศะแบบนี้ 


 


 


ส่วนเสี่ยวเชี่ยนรีบลุกเดินไปที่ห้องน้ำทันที อยากจะรีบอาบน้ำ แล้วออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัวก็ยังดีกว่าปล่อยให้เขาเห็นกางเกงในสีเนื้อรุ่นอาม่า 


 


 


“ทำไมไม่รู้จักเวล่ำเวลา? ถ้าไม่อยากตายก็รีบไปซะ” อวี๋หมิงหลางโมโหมาก เล่นเอาพนักงานคนนั้นตกใจกลัว ดูจากสีหน้าโหดๆของอวี๋หมิงหลาง บวกกับกางเกงที่ปลดกระดุมเรียบร้อยก็รู้ได้ทันทีว่าเข้ามาขัดจังหวะอะไร… 


 


 


“ขอโทษค่ะ ฉันเคาะผิดห้อง” 


 


 


“ไป” 


 


 


ต่อให้ฟ้าถล่มก็ไม่มีทางห้ามพี่หลางกินเนื้อได้ 


 


 


อวี๋หมิงหลางใช้เท้าถีบประตูปิด สายตาเหลือบไปเห็นเสี่ยวเชี่ยนกำลังเข้าห้องน้ำ 


 


 


ในสมองของเสี่ยวเชี่ยนมีอยู่ความคิดเดียว รีบถอดกางเกงในสีเนื้อแบบป้าๆนี่ออก อยากสร้างความประทับใจให้เขาที่สุด และมันก็กำลังจะสำเร็จ 


 


 


ในจังหวะที่กำลังจะปิดประตูได้อยู่แล้วนั้นก็มีขาเบียดเข้ามา “อยากอาบน้ำไม่พาผมเข้าไปด้วยเหรอ?” 


 


 


“เปล่านะ คือฉัน…ว้าย” 


 

 

 


ตอนที่ 477 ในที่สุดก็ต้องมา

 

“เสี่ยวเฉียง รอแป๊ปนึงนะๆ…” เธอดันเขาออกด้วยอาการหน้าแดงกล่ำ 


 


 


“กลัวเหรอ?” 


 


 


“เปล่า…” เสี่ยวเชี่ยนยังคงกังวลเรื่องชุดชั้นในสีเนื้อ แต่เสี่ยวเฉียงกลับเข้าไปงับหูเธอเบาๆ ชวนให้เคลิ้ม 


 


 


พอรู้ว่าหนีไม่ได้แล้ว เธอจึงจำต้องใช้วิธีสุดท้าย 


 


 


ทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของเขา แล้วใช้ไม้ตายที่ไม่เคยล้มเหลวมาก่อนไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้ 


 


 


“พี่คะ หนูอยากอาบน้ำ…” 


 


 


น้อยครั้งที่เธอจะทำเสียงออดอ้อน และอวี๋หมิงหลางก็เป็นคนที่ชอบอะไรแบบนี้เป็นพิเศษเสียด้วย หากเธอใช้วิธีนี้ เขาก็ติดกับอย่างง่ายดาย 


 


 


ครั้งนี้ก็เป็นไปตามคาด เขาใช้สายตาที่หวานหยาดเยิ้มจนแทบสำลักจ้องไปที่ริมฝีปากของเธอ จากนั้นก็เอาลิ้นแตะริมฝีปากอันได้รูปของเสี่ยวเชี่ยน เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาที่บริเวณปาก พาให้เคลิ้มไปทั้งตัว 


 


 


จังหวะนั้นเธอเห็นเขายิ้มเล็กน้อยแล้วบอกว่า ได้ เสี่ยวเชี่ยนดีใจมาก ขณะที่กำลังจะดันเขาออกเพื่อที่เธอจะได้ถอดชุดชั้นในสีเนื้อรุ่นป้าทิ้ง จากนั้นก็คลุมผ้าเช็ดตัวแล้วกลายร่างเป็นนางจิ้งจอก มีไอน้ำคละคลุ้งอยู่รอบตัว จัดให้ตาหนุ่มเลือดร้อนนี่ไม่ต้องนอนไปเลยทั้งคืน 


 


 


แต่… 


 


 


คำพูดต่อมาของเขาได้ทำให้สวรรค์ของเธอพังทลายลงแล้วผลักเธอกลับเข้าไปหาชุดชั้นในบ้าๆนั่นอีก 


 


 


“เดี๋ยวผมอาบด้วย…” 


 


 


ที่ควรมา สุดท้ายก็ต้องมา 


 


 


ชุดชั้นในสีเนื้อที่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเคียดแค้น ในที่สุดก็ถูกเปิดเผย 


 


 


แต่สถานการณ์กลับไม่ได้แย่เหมือนที่เสี่ยวเชี่ยนคิด 


 


 


เพราะสิ่งที่เธอเป็นกังวลได้อยู่ในสายตาของเขาไม่เกินสามวินาที เขาจัดการถอดเสื้อในเธอไปพร้อมกับเสื้อนอก ส่วนกางเกงในสีเนื้อก็ดึงออกพร้อมกับกางเกงเช่นกัน แทบไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ พวกมันถูกวางกองไว้บนพื้น คงแอบพูดกันอย่างน้อยใจเงียบๆว่า พวกมันเกิดเป็นสีเนื้อแล้วไปทำให้ใครเดือดร้อน? ถึงได้ดูถูกกันแบบนี้ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกโชคดีที่เขาไม่ได้สนใจกางเกงในรุ่นอาม่าสีเนื้อพวกนี้ หรือควรจะอายกับท่าทางที่ไม่รู้จักอายของเขาดี 


 


 


“ดูสิลูกเชี่ยนตัวแข็งทื่อเชียว ขนลุกด้วย น่าสงสารจัง ไม่ต้องกลัวนะ พี่ชายมาแล้ว…” 


 


 


เขาโอบเธอเดินไปที่อ่างอาบน้ำ น้ำอุ่นไหลออกมาจากก๊อกอย่างรวดเร็ว คู่รักจูบกันอย่างดูดดื่มในอ่างอาบน้ำ ไอน้ำลอยคลุ้งอยู่รอบตัวพวกเขา ประตูที่ไม่ได้ปิดสนิททำให้เสียงที่ชวนให้เกิดอาการหน้าแดงเล็ดลอดออกไป… 


 


 


คนๆเดียวกันมักจะแสดงออกต่างกันในสภาพอารมณ์ที่แตกต่าง ท่าทางของเขาในตอนนี้ดีกว่าเมื่อชาติที่แล้วมาก ใช้เพียงแค่มือกับปากก็พาเธอไปขึ้นสวรรค์ได้ ในขณะที่เธอกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น เขาก็อุ้มเธอขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว 


 


 


ครั้งแรกอันมีค่าจะมาเสียเวลาอยู่ในอ่างไม่ได้ ความโรแมนติคจะอยู่แค่ในใจไม่ได้ ต้องสลักมันไว้บนเตียงด้วย 


 


 


ผิวพรรณอันสวยงามของเธอเหมือนถูกฉาบด้วยแป้งหอมๆ เปล่งปลั่งเมื่ออยู่บนเตียงสีขาว คล้ายกับดอกโบตั๋นที่แย้มบานเต็มที่ ทั้งบริสุทธิ์ทั้งยั่วยวน 


 


 


เขาตกอยู่ในห้วงอารมณ์ทั้งเสียดายทั้งภูมิใจ ใช้สายตามองสำรวจ ‘พื้นที่’ ที่เป็นของเขา ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า ถึงลูกเชี่ยนของเขาจะสวย แต่เขาไม่มีทางยอมให้คนอื่นเห็นได้ง่ายๆ ของของเขา ยังไงก็ต้องเป็นของเขา 


 


 


“ลูกเชี่ยน ผมมาแล้ว” 


 


 


“ฉันรอนายอยู่นานแล้วนะ…” เธอกางแขนออก แล้วมองเข้าไปในดวงตาของเขา รอมานานแสนนาน 


 


 


เดินบนเส้นทางอันไม่ยุติธรรมมาทั้งชาติ 


 


 


โชคดีที่ชาตินี้ในที่สุดก็ได้เจอกันอีก 


 


 


สองใจเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีอะไรมาขวางกั้นอีก ไม่ได้กินยาระงับปวด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่าไร ตอนที่ทั้งสองคนได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว น้ำตาของเธอได้คลออยู่ที่ตาเพราะคำพูดของเขา 


 


 


“ผมจะรักคุณตลอดไป” 


 


 


น่าซึ้งใจจริงๆ เธอลืมตาขึ้น ขณะที่กำลังจะบอกกับเขาว่าไม่เป็นไร กลับได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขาพูดขึ้นอีก 


 


 


“พวกเรายังมีเวลาอีกเยอะ ไม่ต้องออกแรงงับมากขนาดนั้น คุณนี่ตะกละจัง…” 


 


 


…โวะ 


 


 


(ขอตัดภาพ) 


 


 


เวลาผ่านไปนานราวกับหนึ่งศตวรรษ หลังจากที่พายุฝนสงบลง อวี๋หมิงหลางก็เดินตัวเปล่าเข้าห้องน้ำ ปล่อยน้ำในอ่างที่เย็นแล้วทิ้ง จากนั้นก็เปิดน้ำใส่ใหม่ 


 


 


เขาเดินไปอุ้มสุดที่รักที่ถูกพลังแห่งรักทำให้หมดแรงไปแช่น้ำอุ่นในอ่าง จากนั้นก็ออกไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศภายในห้อง 


 


 


สุดท้ายเขาเดินไปหยิบก้อนกระดาษกับซองอลูมิเนียมเอาไปทิ้งถังขยะ งานเก็บตกที่เหลือ ทุกอย่างทำออกมาได้อย่างราบรื่น 


 


 


เมื่อเคลียร์ทุกอย่างแล้วเขาก็กลับเข้าไปในห้องน้ำ ดึงตัวสาวงามที่กำลังหลับตาด้วยความสบายเข้ามากอด ทั้งสองคนนอนกอดกันแช่น้ำอุ่นอย่างมีความสุข 


 


 


ผู้ชายที่ในที่สุดก็สมความปรารถนาได้เปิดเผยความสามารถทางด้านคารมของตัวเองออกมาอีกครั้ง มือหนาเคลื่อนไปตามร่างกายเธออย่างนุ่มนวล แต่ก็ไม่ลืมที่จะพูดจาหวานๆออกมา 


 


 


“ปากลูกเชี่ยนดั่งซากุระ เอวพลิ้วดั่งต้นหลิว ดั่งที่ว่า ไหลลื่นดุจสายน้ำ…” 


 


 


“ถ้ายังพูดต่อออกไปได้เลยนะ” เสี่ยวเชี่ยนทั้งโกรธทั้งอาย ที่เขาเรียกกันว่าคนพาลมีปัญญาแบบมั่วๆ วันนี้เธอได้รู้ซึ้งแล้ว 


 


 


เขาหัวเราะออกมาเล็กน้อย “อืม ไม่พูดแล้ว รักแค่คำเดียว ผมใช้การกระทำแสดงออก กลัวก็แต่คนได้ยินจะคลั่งเอา ที่รัก คุณคลั่งผมหรือเปล่า…” 


 


 


ไม่อะ ฉันอยากฉีกร่างนายให้เป็นชิ้นๆ… 


 


 


น้ำอุณหภูมิสูงขึ้น ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังถูกทำให้เคลิบเคลิ้มอยู่นั้น สมองของเธอก็คิดไปว่า บางทีรอเสร็จเรื่องก่อนค่อยฉีกก็ได้ 


 


 


ฉีกซองอลูมิเนียมเล็กๆนั่นก็ถือเป็นการฉีกเหมือนกัน… 


 


 


ดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ถุงเล็กๆถูกใช้ไปมากมายดั่งดอกไม้ผลิบานเต็มท้องทุ่ง 


 


 


อย่าได้มองข้ามการปลดปล่อยอารมณ์ของผู้ชายเลยทีเดียว ตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงตอนเย็น ถ้าไม่ติดว่าท้องเธอร้อง แรงก็หมดแล้วด้วย เพราะเธอดูไม่ไหวแล้วจริงๆ อวี๋หมิงหลางถึงได้หยุดแผนการการกินเนื้อครั้งที่Nอย่างเสียดาย 


 


 


ถ้าทำให้เธอหิวตาย อีกหน่อยอาจไม่มีเนื้อให้กินแล้ว 


 


 


เขาจึงจัดการเก็บของอย่างง่ายๆ ส่วนเธอหมดแรงหลับไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้ถึงการจ้องมองอย่างแรงกล้า พอลืมตาขึ้นก็เห็นเขานอนตะแคงเอามือยันหัวกำลังมองเธอด้วยความรัก 


 


 


“กี่โมงแล้ว?” เสี่ยวเชี่ยนหาวออกมา รู้สึกปวดไปทั้งตัว 


 


 


ความรู้สึกคล้ายกับถูกรถบรรทุกบดทับไปหลายรอบ บางจุดเหมือนไม่เข้าที่ ปวดสุดๆ 


 


 


“จะสามทุ่มแล้ว” 


 


 


“นายคงไม่ได้จ้องฉันอยู่แบบนี้สองชั่วโมงหรอกนะ?” 


 


 


เหมือนเวลาของเธอหายไปช่วงหนึ่ง สุดท้ายจำได้แค่ว่าเหนื่อยจนต้องคว้าหมอนมาขัดขืนแล้วผล็อยหลับไป พอตื่นมาอีกทีเวลาก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว 


 


 


“คุณสวย” เขาพูดอย่างจริงจัง ดวงตาเป็นประกาย 


 


 


ในที่สุดเขาก็ได้มอบตัวเองให้กับเธออย่างสมบูรณ์ และก็ทำให้เธอตกเป็นของเขาทั้งหมด ความสุขอันยิ่งใหญ่แบบนี้ทำให้อวี๋หมิงหลางที่เพิ่งได้อัปเกรดเป็นผู้ชายเต็มตัวเกิดความรู้สึกพอใจชนิดที่ว่าเหมือนได้ครอบครองโลกทั้งใบ 


 


 


“ตาบ้า…” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้า เธอดึงกางเกงขึ้นมา เห็นๆอยู่ว่ามีความสุขแต่กลับแสร้งทำเป็นมีมาด “นายคงไม่ได้ออกไปซื้อข้าวตอนฉันหลับใช่ไหม?” 


 


 


“ไม่อยากห่างจากคุณ คุณสวย” 


 


 


“สวยก็กินไม่ได้ หิวจะตายอยู่แล้ว” 


 


 


“คุณสวย” 


 


 


เขาทำตัวเหมือนถูกอะไรเข้าสิง พูดซ้ำกลับไปกลับมา ก็แค่อยากจะชมเธอ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ใช่คนที่จะเขินได้ง่ายๆ แต่กลับจิตใจเบิกบานกับคำพูดแบบหน้าด้านๆของเขา 


 


 


อวี๋หมิงหลางอุ้มเธอขึ้นมา พอเห็นจุดสีแดงบนผ้าปูที่นอนสีขาว อารมณ์ศิลปินก็มาอีกระลอก “ดอกไม้แดงอันสวยสดงดงาม เหน็ดเหนื่อยเพียงใดทำเพื่อเธอ บัดนี้ดอกไม้ร่วงโรยบนหิมะขาว ครั้งหน้าไม่เจ็บจะฟินกว่านี้อีก” 


 


 


“…ออกไป” 

 

 

 


ตอนที่ 478 ได้ปลดปล่อยเสียที

 

ร้อยคนก็ร้อยแบบ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเธอถึงได้เหนื่อยเหมือนร่างจะแยกออกเป็นเสี่ยงๆ จุดซ่อนเร้นนั่นก็เจ็บจนเหมือนจะฉีกออก ส่วนอวี๋หมิงหลางน่ะเหรอ สีหน้าบ่งบอกว่ามีความสุขอย่างล้นเหลือ 


 


 


เขาเอากล่องกระดาษทิชชู่มาทำเป็นโทรโข่ง แล้วพูดจาโม้ใส่เสี่ยวเชี่ยนอย่างจริงจัง หลังจากที่ได้ครอบครองเสี่ยวเชี่ยนแล้วเอวก็ไม่ปวด เลือดกำเดาก็ไม่ไหล ชั่วเวลาไม่นานทำไปตั้งหลายรอบโดยไม่รู้จักเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อย ฮี่ๆ ไม่รู้สึกผิดต่อเสี่ยวเฉียงน้อยแล้ว กลิ่นวะนิลาไม่เลวเลย ครั้งเดียวเจ๋งยิ่งกว่าสามครั้ง…ยังไม่ทันจะได้บรรยายจนจบก็ถูกเสี่ยวเชี่ยนหยิกหู ถ้ายังกล้าเพ้อเจ้ออีก จะปล่อยให้หิวไปทั้งปีเลย 


 


 


แบบนั้นไม่ได้ ถ้ายังไม่เคยกินยังไม่เท่าไร แต่นี่ได้สัมผัสกับวิวที่สวยงามที่สุดบนโลกไปแล้ว จะให้กลับไปถือศีลกินเจเหมือนเมื่อก่อนได้ยังไง? 


 


 


ไม่ได้เด็ดขาด 


 


 


ในที่สุดชายหนุ่มเจ้าคารมก็เลิกแต่งกาพย์กลอนเพี้ยนๆ หันมาทำตัวว่าง่ายกับเธอ เอาเทพวีนัสสิบองค์มาแลกกับเฉินเสี่ยวเชี่ยนคนเดียวเขาก็ไม่ยอม เทพแขนขาดแบบนั้นมีหรือจะสู้สุดที่รักของเขาที่สวยงามเบ่งบานเหมือนดอกไม้แรกแย้มแบบนี้ได้? 


 


 


แต่น่าเสียดายที่ความสุขอันสวยงามแบบนี้เขาแบ่งปันให้คนนอกรู้ไม่ได้ คำพูดชื่นชมเธออย่างจริงใจก็ถูกเสี่ยวเชี่ยนห้ามเอาไว้ อวี๋หมิงหลางทำได้แค่ข่มเก็บมันไว้ในใจอย่างเสียดาย ช่วยเธอแต่งตัวจนเสร็จแล้วพาเธอออกไปกินข้าว 


 


 


เดิมเสี่ยวเชี่ยนไม่อยากขยับตัวเลยแม้แต่น้อย เธอรู้สึกเหมือนตอนนี้ตัวเองกลายเป็นคนพิการ แค่เดินยังเจ็บ อยากจะนอนอยู่เฉยๆบนเตียงจนเช้า แต่ตอนนี้อวี๋หมิงหลางไม่อยากให้เธออยู่ห่างจากสายตาแม้แต่วินาทีเดียว จะให้เธอออกไปด้วยให้ได้ ถึงขนาดบอกว่าถ้าเธอไม่อยากเดินเดี๋ยวเขาแบกได้ 


 


 


ตือโป๊ยก่ายแบกเมีย… 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้จะพูดยังไงกับผู้ชายที่ไม่มีประสบการณ์คนนี้ว่าเธอปวดมาก คาดว่าเขาเองก็คงไม่รู้ ผู้ชายที่เอะอะก็สืบค้นข้อมูลอีกทั้งยังเป็นพวกถือเรื่องความสะอาดทางด้านความรู้สึก คงคิดว่าจะเจ็บแค่ตอนที่เยื่อพรหมจรรย์ขาดเท่านั้น แต่กลับไม่รู้เลยว่าอาการปวดจะมีต่อเนื่องไปอีกหลายวัน 


 


 


ประธานเชี่ยนยังคงวางมาด อายที่จะพูดออกไป และก็แอบกลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วตานี่จะรู้สึกผิด เห็นเขามีความสุขขนาดนี้ก็แอบหมั่นไส้เบาๆ รู้สึกว่าตอนนี้อวี๋หมิงหลางจิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างมาก เอาไม้เขี่ยขี้แหย่ก็คงยังอารมณ์ดีได้ สุขใจอะไรเบอร์นั้น 


 


 


ครั้นแล้วจึงได้แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่เจ็บไม่ปวด ก้าวเดินอย่างลำบาก เดินตามเขาออกไป 


 


 


ออกไปเจอป้าทำความสะอาดคราวก่อนพอดี อวี๋หมิงหลางรีบโอบเสี่ยวเชี่ยนเข้ามา แล้วถลึงตามองป้าอย่างภูมิใจ 


 


 


อีกทั้งยังพูดเสียงเข้มกับป้า “ไปเก็บห้อง1314ด้วยครับ พวกเราขอซื้อผ้าปูที่นอน เอาถังขยะไปเททิ้งด้วยนะครับ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนโมโหกับความหน้าด้านของเขาเลยหยิกเอวลงไปแรงๆ อวี๋หมิงหลางรู้สึกเหมือนตัวเองได้ลบล้างความอับอายไปจนหมดสิ้นแล้ว เขาแทบอยากจะเอาเสี่ยวเชี่ยนแห่ไปให้ทั่วเมือง 


 


 


ป้าแม่บ้านที่ลืมเขาไปนานแล้วมองตามหลังอวี๋หมิงหลางด้วยความงุนงงพลางพึมพำ “บ้าเปล่าเนี่ย…” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเป็นผู้ชายที่อยู่ด้วยง่าย ขอแค่เสี่ยวเฉียงน้อยอิ่มจะใช้เขารังแกเขายังไงก็ได้ เขาบริการเสี่ยวเชี่ยนอย่างยิ้มแย้ม มื้อนี้เสี่ยวเชี่ยนกินด้วยความเรื่องมาก เดี๋ยวก็ว่าซุปร้อนไป เดี๋ยวก็ว่าแกะปูช้า แต่อวี๋หมิงหลางก็ไม่โกรธ จะดุจะว่ายังไงก็ได้  


 


 


เดิมเสี่ยวเชี่ยนอยากจะเอาคืนเขาที่ทำเป็นได้ใจใหญ่ แต่พอเห็นเขาอารมณ์ดียิ้มตาหยีขนาดนี้ความโกรธก็หายหมด ดูแล้วรื่นตา คล้ายกับว่าไม่ปวดแล้ว 


 


 


นึกถึงชาติที่แล้วที่แค่ครั้งเดียวทำเสร็จก็เล่นเอาเธอโกรธไปหลายวัน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตอนนี้ก็มีความสุขดี แม้แต่อวี๋เสี่ยวเฉียงที่ทำตัวหน้าด้านแต่งกลอนเพี้ยนๆเธอก็ยังไม่หงุดหงิดเท่าไร 


 


 


“น้องคะ” เสี่ยวเชี่ยนเรียกพนักงานมาขอเมนู กวาดตามองจนทั่วแล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ตรงจุดหนึ่ง 


 


 


“เพิ่มซุปซานเย่าเก๋ากี้หนึ่งที่ค่ะ” 


 


 


“ลูกเชี่ยน ซุปยังมีอยู่เลยนะ?” อวี๋หมิงหลางมองซุปที่ยังเหลืออยู่เกินครึ่งหม้อแล้วถามด้วยความสงสัย 


 


 


“สั่งให้นาย” 


 


 


พอพนักงานเดินไปแล้วเสี่ยวเชี่ยนก็ลูบหน้าเขา จากนั้นก็พูดกึ่งล้อเล่นกึ่งจริง “สามีภรรยาทำเรื่องอย่างว่าบ่อยๆธาตุภายในจะอ่อนแรงลง แพทย์แผนจีนเรียกว่า ‘หมดกำลัง’ แล้วยิ่งคู่ข้าวใหม่ปลามันแล้วด้วย การดื่มซุปบำรุงจะช่วยปรับสภาพภายในได้ พรุ่งนี้นายจะไปฝึกแล้ว คงไม่อยากไปเข่าทรุดต่อหน้าลูกน้องหรอกใช่ไหม?” 


 


 


ตานี่ต้องเป็นคนจากดาวดวงอื่นแน่ๆ พลังถึงได้มีมากมายจนล้นขนาดนี้ 


 


 


อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนอยากจะสื่อว่าเดี๋ยวกลับไปใครบางคนแถวนี้ควรจะเพลาๆลงบ้าง เลิกทำอย่างบ้าคลั่งแล้วรีบนอนพักผ่อนซะ 


 


 


แต่อวี๋หมิงหลางกลับเข้าใจเป็นว่า ลูกเชี่ยนนี่ช่างเอาใจใส่เขากลัวเขาเหนื่อยเลยอยากบำรุงให้ก่อน 


 


 


ครั้นแล้วจึงพูดด้วยความซึ้งใจ “วางใจได้ ผมเป็นสามีจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แรงดีไม่มีตก…” 


 


 


ทำไมเสี่ยวเชี่ยนฟังดูรู้สึกแปลกๆ? 


 


 


อวี๋หมิงหลางถือคติที่ว่า กินภาษีประชาชนก็ต้องรับใช้ประชาชน ต้องทำสงครามยันเช้า~ 


 


 


แต่พอซุปที่สั่งมาถึง เสี่ยวเชี่ยนป้อนเขาไปได้หนึ่งคำอวี๋หมิงหลางก็หน้านิ่ว 


 


 


“ผมเคยกินมันมาก่อน” 


 


 


แถมยังกินบ่อยด้วย 


 


 


“หืม? กินที่ไหน?” เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตามอง 


 


 


นี่มีคนจ้องจะอยากได้ซุปเปอร์เสี่ยวเฉียงของเธออย่างนั้นเหรอ? ไม่ได้เด็ดขาด นับตั้งแต่ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ไม่นาน ผู้ชายคนนี้ทั้งบนและล่าง แม้แต่จุดที่ไม่อาจบรรยายมีร่องรอยของเธอสลักไว้ทั้งหมด ใครกล้ามาแย่งเขาไปมันต้องตายกันไปข้าง 


 


 


“แผนกครัวทำให้กินไง พวกเขาทำไอ้นี่ให้ผมกินบ่อยๆ บอกว่าเป็นซุปบำรุงจากที่บาดเจ็บครั้งก่อน แต่บ่าผมหายตั้งนานแล้วนะ บอกพวกเขาแล้วว่าไม่ต้องทำแล้ว แต่ก็ไม่ฟัง ผมเองก็ไม่อยากทิ้ง เสียดายของ ก็เลยทนกินๆไป…” 


 


 


เขาบ่นออกมายืดยาว พอเห็นเธอทำหน้าคิดหนักจึงรีบยิ้มเอาใจ “แต่ซุปที่ลูกเชี่ยนป้อนอร่อยกว่าเยอะเลย เอาอีกๆ~” 


 


 


“……” เสี่ยวเชี่ยนพอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมเสี่ยวเฉียงที่น่าสงสารของเธอถึงได้เลือดกำเดาไหลบ่อยๆ 


 


 


พอจะเดาได้ว่ามีคนจัดแจงอยู่เบื้องหลัง มีว่าที่แม่สามีที่ดีเกินไปก็ปวดหัวเหมือนกันนะ… 


 


 


ก่อนกลับเสี่ยวเชี่ยนอยากซื้อยาทาแก้ปวด แค่คิดดูก็รู้ว่าต้องบวมแน่ แต่ก็อายที่จะพูดออกไปตรงๆ ทำได้แค่บอกว่าตัวเองอยากไปร้านขายยา โชคดีที่ออกจากร้านอาหารไปไม่ไกลก็เจอ เพียงแต่จะเดินไปร้านยาต้องผ่านตลาดกลางคืนก่อน 


 


 


ทั้งสองคนเดินไป เสี่ยวเชี่ยนให้อวี๋หมิงหลางรออยู่ด้านนอก แต่เขาก็เดินตามเข้าไป อีกทั้งยังทำหน้าเหมือนหมาหวงเจ้าของ กลัวเจ้านายหาย เสี่ยวเชี่ยนจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย 


 


 


“ขอยาทาแก้ปวดบวมค่ะ …ฉันปวดมือ” ประโยคสุดท้ายคือข้ออ้าง 


 


 


อวี๋หมิงหลางฉวยโอกาสตอนที่พนักงานไปหยิบยาพูดด้วยความไม่อาย 


 


 


“ขอดูเร็กซ์กลิ่นผลไม้ เอาแบบบางสุดๆนะครับ” 


 


 


“ได้ครับ รอสักครู่” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนตัวแข็ง หน้าแดงกล่ำขึ้นทันตา พนักงานที่แสนจะ ‘ใส่ใจ’ ตอนที่ไปหยิบถุงยางกลิ่นผลไม้ ก็ได้หยิบยาอีกหลอดยื่นให้เสี่ยวเชี่ยน แล้วพูดด้วยความหวังดี 


 


 


“พี่ครับ ถ้าพี่จะทาตรงนั้นล่ะก็ ผมแนะนำใช้แบบสมุนไพรร้อยเปอร์เซ็นต์ดีกว่า แต่ถ้าพี่จะทามือที่เจ็บก็เอาหลอดที่พี่ถืออยู่ เอาอันไหนดีครับ?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหน้าแดงจนแทบระเบิด อายจะตายอยู่แล้ว เมื่อกี้เธอจะหาข้ออ้างไปทำไมกัน น่าอายจริงๆ ทำได้แค่รีบชี้ไปยังยาทาสมุนไพรร้อยเปอร์เซ็นต์หลอดนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองสีหน้าของพนักงาน แล้วรีบเดินออกจากร้านทันที ทิ้งเสี่ยวเฉียงที่ซื้อถุงยางอย่างใจเย็นไว้ในนั้น 

 

 

 


ตอนที่ 479 เสี่ยวเฉียงไม่อ่อน

 

“เสียวเหม่ย~รอโผมด้วย~” 


 


 


อวี๋หมิงหลางถือถุงวิ่งออกมาจากร้านขายยา 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขา เดินช้าๆอยู่ข้างหน้า เธอเดินได้ช้ามากจริงๆ รู้สึกเหมือนร่างจะแยกเป็นเสี่ยงๆ 


 


 


“เลิกโกรธเถอะนะ” เขาวิ่งตามมาจูงมือเธอ 


 


 


“ฉันโกรธอะไร?” เสี่ยวเชี่ยนถามกลับ 


 


 


“คุณโกรธเรื่อง…ไม่ชอบกลิ่นผลไม้ใช่ไหม? ผมบอกเขาไปแล้วให้เปลี่ยนเป็นกลิ่นช็อคโกแลต…” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองบน 


 


 


ดู๊ ดูเอา ว่าแล้วเชียวว่าสมองตาทึ่มนี่จะต้องคิดกันไปคนละเรื่องกับเธอ 


 


 


ช่างเถอะ ไม่คุ้มเลยที่จะมานั่งโกรธคนแบบนี้ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าถ้าคนเราอยากจะใช้ชีวิตให้สบายใจก็อย่าเอาเรื่องไร้สาระมาหงุดหงิดจะดีกว่า อย่างเช่น อย่าไปโกรธผู้ชายซื่อๆอย่างอวี๋หมิงหลางที่ยังไงก็ไม่มีวันเข้าใจความคิดของผู้หญิง 


 


 


คนมาเดินตลาดกลางคืนไม่มากนัก เสี่ยวเชี่ยนเห็นข้างทางมีซุ้มยิงปืนชิงรางวัล มีคู่รักคู่หนึ่งกำลังเล่นอยู่ ดูเหมือนจะทำได้ไม่ดีเท่าไร ผู้หญิงจึงทุบตีผู้ชาย ผู้ชายจึงเดินหนีด้วยความโกรธ ส่วนผู้หญิงก็ไล่ตามอยู่ด้านหลัง 


 


 


ความรักทำไมถึงได้มีหลากหลายรูปแบบนัก คู่รักแต่ละคู่มีการใช้ชีวิตร่วมกันที่แตกต่างกัน เสี่ยวเฉียงของเธออาจจะมีติงต๊องไปบ้างเป็นบางเวลา แต่จริงๆแล้วก็โอเคมากอยู่ 


 


 


พอมาเทียบกันแบบนี้ก็รู้สึกว่าเรื่องที่เขาทำขายหน้าเมื่อครู่ในร้านยาก็ไม่ได้น่าโกรธเท่าไร ช่างเถอะ ออกจากร้านแล้วยังจะมีใครรู้จักเธออีก พอคิดได้แบบนี้ก็รู้สึกว่าอารมณ์หงุดหงิดก่อนหน้านี้ไร้สาระมาก ครั้นแล้วเธอจึงยื่นมือไปอยากจะคล้องแขนเขา 


 


 


เป็นอีกครั้งที่สมองของอวี๋หมิงหลางคิดไปคนละเรื่องกับเสี่ยวเชี่ยน อยู่ๆเขาก็ยกมือชี้ไปที่ซุ้มยิงปืน มือของเสี่ยวเชี่ยนจึงคว้างกลางอากาศ ตาผู้ชายทึ่มนี่ก็ไม่สังเกตเห็น เธอจึงต้องแสร้งเอามือไปจัดผม 


 


 


อย่าไปโกรธคนสมองไม่เต็มเลย ใจเย็นๆ… 


 


 


“เสียวเหม่ย อยากให้ผมไปยิงตุ๊กตาเหรอ?” 


 


 


รางวัลคือตุ๊กตาตัวใหญ่บิ๊กบึ้ม 


 


 


เห็นอยู่ชัดๆว่าเป็นคำพูดธรรมดา แต่หลังจากที่เพิ่งเกิดสงครามบนเตียงไป อยู่ๆเสี่ยวเชี่ยนก็รู้สึกว่ามันแฝงไว้ซึ่งความนัย… 


 


 


ใบหน้าของเธอแดงกล่ำอีกรอบ ยิงตุ๊กตา? 


 


 


นี่เธอคิดมากไปเองหรือตานี่หน้าไม่อายจนเกินไป? 


 


 


“เสียวเหม่ย?” เขาไม่มีทางเข้าใจความคิดลามกของเสี่ยวเชี่ยน กำลังรอคำตอบด้วยความสงสัย 


 


 


“อืม ใช่” 


 


 


เธอเองก็ไม่รู้จะบอกว่าเขาฉลาดหรือโง่ดี หรือเขาจะเป็นคนที่ไม่มานั่งคิดอะไรหยุมหยิม? 


 


 


ปืนตามซุ้มยิงปืนในตลาดกลางคืนไม่มีความแม่นยำทั้งนั้น ล้วนถูกดัดแปลงมาแล้ว อวี๋หมิงหลางหยิบขึ้นมากระบอกหนึ่งแล้วเล็งหาจุด จากนั้นก็โยนเงินยี่สิบหยวนให้เจ้าของร้านแล้วเริ่มโซโล่เดี่ยว 


 


 


ปืนอัดลมที่ต่อให้ถูกดัดแปลงมาแล้วก็ยากที่จะสกัดความสามารถของจอมทหารได้ ตอนแรกอวี๋หมิงหลางก็แค่กะเล่นเอาสนุกๆ แต่พอเหลือบเห็นเสี่ยวเชี่ยนมองเขามาอย่างมีความสุขทันใดนั้นพลังก็พุ่งมาอย่างไร้ขีดจำกัด ยิงปืนด้วยท่าทางต่างๆ สองนัดสุดท้ายเขาหันหลังแล้วยิงลอดผ่านรักแร้ 


 


 


ลูกโป่งที่อยู่บนกระดาน นอกจากนัดแรกที่ทดลองยิงแล้ว นัดที่เหลือยิงถูกลูกโป่งหมด 


 


 


เจ้าของร้านหน้าเขียวเลยทีเดียว 


 


 


เงินยี่สิบหยวนเล่นได้สองครั้ง ทำได้แค่อดกลั้นความโมโหไว้ในใจ แล้ววางลูกโป่งขึ้นไปใหม่ให้เต็ม ในใจก็แอบก่นด่า ได้สองคนนี้มันจะมาพังร้านเหรอวะ? 


 


 


ตุ๊กตาตัวที่ใหญ่ที่สุดราคาร้อยกว่าหยวนเลยนะ มันอยู่ในถุงพลาสติคมาสองปีแล้ว ไม่มีใครเอาไปได้ เจ้าของร้านเองก็ไม่คิดว่าจะมีคนเอาไปได้ด้วยซ้ำ 


 


 


แต่ตอนนี้มันถูกถอดถุงพลาสติคที่เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะออก เผยให้เห็นขนนุ่มนิ่มอยู่ในอ้อมกอดของเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


ฮือๆ เจ็บใจนัก… 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ค่อยชอบของที่พวกเด็กผู้หญิงชอบเท่าไรนัก แต่ตัวนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกัน 


 


 


“เถ้าแก่ ผมเอาสิบหยวน” 


 


 


เสียงนี้มัน… 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างจำได้ เสียงอันคุ้นเคย พอหันไปดูก็เป็นหวางย่าเฟยจริงๆ 


 


 


เขาแต่งตัวธรรมดา หน้าแดงเล็กน้อย ดูเหมือนจะเพิ่งไปดื่มเหล้ามา 


 


 


ส่วนข้างตัวเขามีเด็กวัยรุ่นสองคนเดินตามมา ใส่ชุดลำลองเหมือนกัน แต่ดูจากทรงผมและบุคลิกแล้วก็รู้ได้ว่าเป็นทหาร 


 


 


หวางย่าเฟยพูดกับเจ้าของร้าน แต่สายตากลับมองอวี๋หมิงหลางอย่างท้าทาย 


 


 


อวี๋หมิงหลางเลิ่กคิ้ว โอ๊ะโอ คิดจะมาลองดีกับเขา? 


 


 


“ย่าเฟย ช่างเถอะ” ทหารที่มากับหวางย่าเฟยกระตุกแขนเสื้อหวางย่าเฟย 


 


 


วันนี้มีทั้งคนดีใจและเสียใจ ผู้ทำคะแนนได้ดีในการทดสอบสามลำดับแรกถูกพาไปเมืองQแล้ว ส่วนหวางย่าเฟยที่ตกการคัดเลือกได้หยุดครึ่งวัน 


 


 


ไม่มีใครอยากได้เวลาหยุดนี้ ในขณะที่เขากำลังเศร้าเสียใจ ทันใดนั้นก็เห็นหัวหน้าของ011คนเฮงซวยอยู่กับจิตแพทย์ที่ทำให้เขาต้องมาเป็นแบบนี้ 


 


 


คล้ายกับว่าวางแผนกันมานานเพียงเพื่อคัดคนออกหนึ่งคน หวางย่าเฟยรู้สึกเดือดขึ้นมาทันที เขาเดินไปที่ซุ้มยิงปืนแล้วเอาปืนแบบเดียวกับอวี๋หมิงหลาง จากนั้นก็ยกนิ้วกลางให้อวี๋หมิงหลาง 


 


 


011ไอ้คนเฮงซวย ตอนคัดเลือกทำตัวเหมือนเทพเจ้า เอาชะตาชีวิตคนอื่นไว้ในกำมือ ขัดหูขัดตามานานแล้ว อยากจะทำลายมันซะ อยากจะทำลายความโอหังของมันซะ 


 


 


หลายปีแล้วที่ไม่มีคนกล้ายกนิ้วกลางให้กับเขา อวี๋หมิงหลางพอเห็นแบบนั้นไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ ในใจยังแอบรู้สึกตลก 


 


 


เขาผายมือทำท่าเชิญ ทั้งสองคนหยิบปืนขึ้นพร้อมกัน อวี๋หมิงหลางยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัดเพื่อเป็นการแสดงออกว่าเขาไม่เอาเปรียบหวางย่าเฟย เพราะเมื่อครู่เขาได้ลองปืนไปแล้ว เขาให้เวลาหวางย่าเฟย 


 


 


หวางย่าเฟยก็เลียนแบบอวี๋หมิงหลาง ยิงไปหนึ่งนัดเพื่อเรียกความพร้อม จากนั้นก็เริ่มยิงอย่างรวดเร็ว 


 


 


อวี๋หมิงหลางมองเขายิงปืนด้วยท่าทางนิ่งๆ มองอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ 


 


 


ส่วนเสี่ยวเชี่ยนกลับรู้สึกว่าอวี๋หมิงหลางมีความสุขุม จากมุมมองของคนนอกอย่างเธอ สองคนนี้แตกต่างกันมาก ถึงหวางย่าเฟยจะเก่ง แต่ก็ดูอวดความสามารถมากเกินไป 


 


 


อวี๋หมิงหลางยืนมองด้วยท่าทางนิ่งๆ แต่กลับให้ความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา 


 


 


การอวดความสามารถไม่ใช่เรื่องแย่ คนที่เก่งจนอวดได้มีมากมาย แต่ฝีมือของแต่ละคนเมื่อผ่านอะไรมามากมายก็จะอยู่ในระดับที่เก็บซ่อนเอาไว้ภายในแบบอวี๋หมิงหลาง ในใจของเสี่ยวเชี่ยนรู้ดีถึงความสามารถของอวี๋หมิงหลาง เขาเป็นคนที่มีความสามารถก็พร้อมจะใช้อย่างเต็มที่ 


 


 


แต่ในด้านการทำงาน อวี๋หมิงหลางเลือกที่จะไม่แสดงออกให้คนภายนอกเห็น นี่เป็นสิ่งที่น่านับถือมาก เสี่ยวเชี่ยนพอนึกได้ว่าตัวเองได้ผู้ชายที่เก่งขนาดนี้มาครอบครอง ความรู้สึกภาคภูมิใจก็แผ่ซ่านในจิตใจ 


 


 


หวางย่าเฟยยิงเสร็จอย่างรวดเร็ว เหมือนผลงานของอวี๋หมิงหลางก่อนหน้านี้ ยิงโดนหมด เจ้าของร้านถึงกับหน้าเขียว 


 


 


หมดกัน อยู่ไม่ได้แล้ว เจ๊งแน่ๆ 


 


 


ตาอวี๋หมิงหลางแล้ว 


 


 


หวางย่าเฟยพอยิงเสร็จก็โล่งใจมาก 


 


 


วันนี้เขาอึดอัดคับแค้นใจมาทั้งวัน เขาแค่อยากเห็นว่าอวี๋หมิงหลางยังมีอะไรจะพูดอีก ผู้ชายคนนี้วันนี้ทำท่าทางยโส เหยียบความฝันของเขาทั้งหมดให้แหลกสลาย และในเวลานี้เขาอยากพิสูจน์ให้อวี๋หมิงหลางเห็นว่า ถ้าไม่ติดว่าเป็นโรค ฝีมือของเขาก็ไม่ได้น้อยหน้าไอ้บ้า011 นี่เลยสักนิด 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลาง ตอนนี้ดูเหมือนทางออกที่ดีที่สุดก็คือการเสมอกัน 


 


 


เพราะอีกฝ่ายยิงถูกเป้าทั้งหมด ถ้าเสี่ยวเฉียงไม่หาข้อได้เปรียบอื่นเพิ่มเข้ามา สถานการณ์ก็ดูจะเสียเปรียบ 


 


 


อวี๋หมิงหลางเพิ่งจะได้เป็นผู้ชายเต็มตัวเมื่อไม่นานมานี้ คิดว่าเขาอ่อนเหรอ? 

 

 

 


ตอนที่ 480 ไม่ง่ายเหมือนกัน

 

ในพจนานุกรมของอวี๋หมิงหลางไม่มีคำว่า อ่อน 


 


 


หลังจากที่หวางย่าเฟยทำผลงานยิงถูกเป้าหมด อวี๋หมิงหลางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ถอยหลัง ถอยอีก แล้วก็ยังถอยอีก… 


 


 


“เฮ้ย ถอยออกไปไกลขนาดนั้นทำไม” 


 


 


เจ้าของร้านถึงกับกลัว 


 


 


นี่ได้ตุ๊กตารางวัลใหญ่ของเขาไปแล้วยังจะเอาปืนไปด้วยเหรอ? 


 


 


“ฉันอยู่นี่นายจะกลัวทำไม?” เสี่ยวเชี่ยนพูด เธอสังเกตท่าทางของอวี๋หมิงหลาง 


 


 


“แต่อยู่ห่างขนาดนั้นยิงไม่โดนแน่ ปืนนี่ยิงได้ไกลสุดก็แค่ไม่กี่เมตร” เจ้าของร้านรู้จักปืนตัวเองดี นี่เป็นปืนของเล่น อีกทั้งยังถูกดัดแปลง หากยืนห่างออกไปมากเกิน บวกกับแรงลมหรือปัจจัยอื่นๆอีก ถ้าอยากจะยิงโดนคงต้องระดับปรมาจารย์ 


 


 


“ยิงโดนไม่โดนก็เรื่องของเขา ดูเฉยๆก็พอแล้ว” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดจบก็หันไปมองอวี๋หมิงหลาง 


 


 


หวางย่าเฟยมีสีหน้าอึ้ง คนที่ตามมาด้วยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา 


 


 


“แบบนี้จะยิงโดนได้ยังไง?” 


 


 


ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าหน่วย011เก่งขั้นเทพ และก็รู้ว่าทหารของที่นั่นล้วนคัดเลือกจากสุดยอดของแต่ละที่มาอยู่รวมกัน แต่ต่อให้เป็นจอมทหารเมื่อมาเจอภารกิจที่ไม่น่าจะทำให้สำเร็จได้แบบนี้ก็ไม่น่าจะทำได้หรือเปล่า? 


 


 


หลังจากที่อวี๋หมิงหลางถอยจนพอใจแล้วเขาก็เริ่มยิงปืน ปังๆๆๆ เสียงลูกโป่งแตกดังตามมา พวกของหวางย่าเฟยมองกันตาค้าง 


 


 


มีคนใช้ปืนที่ถูกดัดแปลงมายิงโดนเป้าในระยะที่แทบจะเป็นไปไม่ได้แบบนี้ได้จริงๆเหรอ? 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่ได้ยิงเรียงกันด้วย 


 


 


เขายิงบนบ้าง ล่างบ้าง ตรงกลางบ้าง ตอนแรกพวกหวางย่าเฟยยังคิดว่าเขายิงมั่วแล้วบังเอิญโดน แต่พอเขายิงถูกลูกโป่งมากขึ้นเรื่อยๆทุกคนต่างก็มองกันจนตาค้าง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกสนุกขึ้นมาทันที 


 


 


เขายิงเป็นคำว่าเหม่ย 


 


 


ยิงไปเรื่อยๆจนนัดสุดท้ายเขาหลับตายิง ระยะห่าง ความเร็วลม ลูกกระสุน อีกทั้งตำแหน่งของลูกโป่ง ทุกอย่างอยู่ในใจเขาหมดแล้ว มือสไนเปอร์ที่แท้จริงไม่ได้อาศัยสายตาในการยิง 


 


 


อวี๋หมิงหลางยิงเสร็จแล้ว แต่คำว่าเหม่ยยังขาดไปหนึ่งขีดซ้ายบน เขาจึงเดินไปที่ขอบกั้นหน้าร้านแล้วเก็บก้อนหินขึ้นมา จากนั้นก็ปาไปตรงตำแหน่งที่ขาดอยู่ ชื่อที่เขาเรียกเธอปรากฏอยู่บนแผงลูกโป่งแล้ว 


 


 


อวี๋หมิงหลางวางปืนลงแล้วมองไปทางเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


ลูกเชี่ยน คุณสวยที่สุด 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยกนิ้วโป้งให้เขา นายเท่ห์มาก 


 


 


ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังทำร้ายคนโสดอยู่นั้น ในใจของหวางย่าเฟยกำลังเกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออก 


 


 


เขามีพรสวรรค์เรื่องยิงปืนที่เหนือกว่าคนอื่น และก็คิดมาตลอดว่าฝีมือของเขาล้ำเลิศสุดๆ แต่วันนี้พอได้มาเจอกับคนเก่งกว่าถึงได้พบว่าฝีมือของตัวเองนั้นยังอยู่ห่างอีกไกล 


 


 


เมื่อครู่ยังรู้สึกอัดอั้นตันใจ อยากให้อวี๋หมิงหลางยอมรับในความพยายามของเขา ถึงขนาดคิดไปว่าหลังจากที่อวี๋หมิงหลางได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของเขาแล้ว อวี๋หมิงหลางจะรู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจให้เขาสอบไม่ผ่าน 


 


 


แต่พออวี๋หมิงหลางยิงปืนเป็นชื่อเรียกของเสี่ยวเชี่ยนโดยใช้วิธีที่ไม่น่าเชื่อ หวางย่าเฟยก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกมือล่องหนมาตบเข้าที่หน้าอย่างแรง 


 


 


ไอ้011นี่คงจะยิ่งภูมิใจสินะ เขาคงดูน่าขบขันมากกว่าเดิม… 


 


 


แม้แต่เสี่ยวเชี่ยนยังคิดว่าอวี๋หมิงหลางจะทำท่ายกนิ้วโป้งทิ่มลงหรือไม่ก็ส่ายนิ้วชี้เพื่อเป็นการตอบโต้ที่เมื่อครู่หวางย่าเฟยยกนิ้วกลางให้เขา 


 


 


แต่ไม่ใช่ พออวี๋หมิงหลางยิงเสร็จเขาไม่ได้มองหวางย่าเฟยเลยสักนิด แต่ยื่นมือไปที่เจ้าของร้าน เจ้าของร้านทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ 


 


 


“ตัวใหญ่มีแค่สองตัว พวกนายได้คนละตัวก็หมดแล้ว เอาตัวเล็กไปสองตัวได้ไหม?” 


 


 


ไอ้พวกก่อกวนนี่มันมาจากไหนกันแน่วะเนี่ย คว้าแจ็คพอตไปหมดแล้ว 


 


 


อวี๋หมิงหลางมองเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้รู้สึกเกรงใจเลยแม้แต่น้อย เธอชี้ไปที่ตุ๊กตาสองตัว เจ้าของร้านแอบร้องไห้ในใจพร้อมกับหยิบตุ๊กตาส่งให้เสี่ยวเชี่ยน ไปได้แล้ว รีบๆไสหัวไปเลย 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกอดตุ๊กตาตัวเล็กสองตัว อวี๋หมิงหลางถือตัวใหญ่แล้วเดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


“ทำไม” หวางย่าเฟยตะโกนถามไล่หลังอวี๋หมิงหลาง 


 


 


อวี๋หมิงหลางหยุดเดินแล้วหันไปมองเด็กหนุ่มที่ถูกเขาหักหน้าอย่างไม่มีชิ้นดี 


 


 


“ไม่ทำไมหรอก ที่หน่วยของพวกเราไม่มีความจำเป็นต้องถามคำว่าทำไม” 


 


 


ทหารหน่วยรบพิเศษมีแค่การรับปากทำภารกิจด้วยใจเต็มร้อยเท่านั้น ไม่มีใครถามว่าทำไม และก็ไม่มีใครมานั่งหาเหตุผล 


 


 


“แต่ระยะห่างเมื่อกี้นายไม่น่าจะยิงโดน ทำไม…”ถูกหักหน้าในเรื่องที่ตัวเองถนัดที่สุด หวางย่าเฟยรู้สึกสะเทือนใจมาก 


 


 


“นายคิดแค่ว่ายิงโดนแล้วเป็นไง ยิงไม่โดนแล้วเป็นไง แต่ตอนที่ฉันจับปืนขึ้นมาในใจฉันมีแค่เป้าหมาย ตอนฝึกซ้อมยิงปืนนายจะถูกสอนให้ดูความเร็วลม การเล็งเป้า หรืออาจถูกฝึกให้จดจำสภาพของปืน แต่เรื่องพวกนี้มันไม่จำเป็นสำหรับพวกเรา ฉันไม่สนว่าจะมีความยากแค่ไหน คิดอยู่อย่างเดียวคือทำให้สำเร็จ นายเป็นคนเก่ง แต่ความเก่งของนายได้กลบจุดมุ่งหมายแรกที่เคยมีในใจ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางพูดจบก็ไม่สนหวางย่าเฟยที่ยืนอยู่ที่เดิม เดินควงแขนเสี่ยวเชี่ยนออกไป หวางย่าเฟยยืนอยู่ตรงนั้นมองอวี๋หมิงหลางเดินห่างออกไป ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร 


 


 


“ย่าเฟยอย่าคิดมากเลยนะ พวกเราสู้พวกเขาไม่ได้หรอก หน่วย011แต่ละคนกินกระสุนแทนข้าวด้วยซ้ำ กระสุนที่พวกเขายิงออกไปเยอะกว่าข้าวที่พวกเรากินอีกมั้ง ถ้านายได้ไปอยู่ในที่แบบนั้นฝีมือนายก็ไม่ด้อยไปกว่าเขาหรอก” 


 


 


ทหารที่มากับหวางย่าเฟยพูดปลอบ 


 


 


หวางย่าเฟยกลับส่ายหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก 


 


 


ไม่ใช่ ไม่เหมือนกันหรอก 


 


 


เขาไม่อยากหลอกตัวเอง 011คนนั้นมีดีพอที่จะอวดจริงๆ 


 


 


อวี๋หมิงหลางกล้ายืนในตำแหน่งนั้นใช้ปืนของเล่นที่มีปัญหาเรื่องการเล็ง แล้วเขาใช้อะไรเป็นตัวช่วยเรื่องความแม่นยำ? 


 


 


อักษรเหม่ยยังคงอยู่บนกระดานนั่น แต่สภาพจิตใจของหวางย่าเฟยในเวลานี้ช่างอยู่ห่างจากคำๆนี้มากนัก 


 


 


นี่เขาเกลียดอะไรผิดไปหรือเปล่า… 


 


 


เดินออกไปไกลมากแล้ว เสี่ยวเชี่ยนเห็นร้านค้าร้านหนึ่ง มีแม่พาลูกสาวมานั่งขายของ เด็กคนนั้นเอาแต่จ้องตุ๊กตาที่อยู่ในอ้อมกอดของเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าไปเอาตุ๊กตาตัวเล็กสองตัวยื่นให้เด็กคนนั้น 


 


 


พอกลับมาก็เจอสายตาของอวี๋หมิงหลางที่มองมากึ่งๆแซว เธอรีบอธิบายแก้เขิน 


 


 


“ฉันไม่ชอบก็เลยยกให้เด็กไป” 


 


 


อวี๋หมิงหลางลูบผมเธอแล้วมองเธออย่างเอ็นดู “ปากแข็งจังน้า” 


 


 


เสียวเหม่ยของเขาน่ารักที่สุด ปากร้าย แต่จิตใจดี 


 


 


“อวี๋เสี่ยวเฉียง อันที่จริงนายชอบหวางย่าเฟยนั่นใช่ไหมล่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนไม่ยอมให้อวี๋หมิงหลางแซวอยู่ฝ่ายเดียว จึงจงใจเอาคืน 


 


 


“ผมชอบคุณแค่คนเดียว” อวี๋หมิงหลางเล่นมุก 


 


 


“เหอๆ…ไม่ชอบแต่พูดกับเขาตั้งเยอะแยะน่ะนะ?” 


 


 


“ต่อให้ผมพูดมากกว่านี้แต่ถ้าเขาคิดไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์” 


 


 


สายตาของอวี๋หมิงหลางมองข้ามเสี่ยวเชี่ยนไปด้านหลังเธอ 


 


 


เด็กคนเมื่อกี้ที่เสี่ยวเชี่ยนเอาตุ๊กตาไปให้ถูกแม่สั่งให้วิ่งมาพร้อมกับปลาหมึกปิ้งของร้านตัวเอง 


 


 


เด็กน้อยยัดใส่มือเสี่ยวเชี่ยนด้วยความเขิน แล้วพูดเบาๆว่า ขอบคุณค่ะ จากนั้นก็หันตัววิ่งกลับไป 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองเด็กน้อยแล้วยิ้มออกมา 


 


 


“แม่ของเขาดีจัง รู้จักมอบของขวัญที่ดีที่สุดให้ลูกที่ไม่ใช่เงินทองหรือวัตถุ แต่เป็นจิตใจที่รู้จักสำนึกในบุญคุณ การสั่งสอนเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางชื่นชม แต่กลับเห็นเสี่ยวเชี่ยนมองเขาด้วยท่าทางกลั้นยิ้ม 


 


 


“นายเป็นพ่อให้คนตั้งเยอะแยะ เป็นนายก็ไม่ง่ายเหมือนกัน” 

 

 

 


ตอนที่ 481 แฉความจริง

 

อวี๋หมิงหลางตกใจ “ลูกเชี่ยน มีไวขนาดนั้นเลย? ไม่น่ามั้ง เพิ่งจะทำเอง…อีกอย่างตอนนั้นก็ใส่ถุง ต่อให้มีรูลอดออกไปก็ต้องรอเวลาปฏิสนธิอีกระยะหนึ่งไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


“ไปไกลๆเลย ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนทำอารมณ์ไม่ถูกกับการขัดจังหวะของเขา คนๆนี้นี่ชมไม่ได้เลยจริงๆ จุดประเด็นนิดหน่อยก็จินตนาการเลยเถิด 


 


 


อันที่จริงเธอหมายความว่า บทบาทของอวี๋หมิงหลางในที่ทำงานก็เหมือนผู้ปกครองที่เข้มงวด ฝึกทหารเก่งๆ ต่อให้อยู่ข้างนอกมาเจอหวางย่าเฟยแบบนี้ก็ยังใช้วิธีรับมือแบบเฉพาะ 


 


 


สายตาของอวี๋หมิงหลางทอดยาวไปไกล แววตาเหมือนกำลังครุ่นคิด เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ 


 


 


นี่เขากำลังเป็นห่วงเรื่องอนาคตของหวางย่าเฟยอยู่เหรอ บางครั้งเสี่ยวเฉียงของเธอก็เท่ห์ทะลุปรอทเลยจริงๆ 


 


 


“เดี๋ยวกลับไปถึงพวกเราน่าจะลองที่กระจกดูบ้างนะ คราวก่อนไม่สำเร็จผมแอบเสียดายนิดหน่อย … เอ๊ะลูกเชี่ยน ทำไมสะดุดล่ะ?” 


 


 


“ไปไกลๆเลยไอ้คนหน้าไม่อาย” 


 


 


เธอไม่ควรคิดว่าตานี่จะคิดเรื่องที่เอาการเอางานเลยจริงๆ คนอะไรคิดเรื่องอย่างว่าด้วยสีหน้าจริงจังอะไรขนาดนี้ 


 


 


เดี๋ยวกลับไปเสี่ยวเฉียงจะทำอะไรบ้าง ไม่ต้องบอกก็รู้ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนที่น่าสงสาร ทายาไปยังไม่ทันจะหายปวด ผู้ชายหน้าด้านบางคนบอกว่าจะให้เสี่ยวเฉียงน้อยเป็นหมอทายาให้เอง ทาไปทามาก็ อะนะ 


 


 


วันต่อมาตอนที่เสี่ยวเชี่ยนตื่นขึ้นก็เป็นเวลากลางวันแล้ว ข้างกายเย็นเฉียบ เขาออกไปนานแล้ว 


 


 


ทำเสร็จแล้วก็ไปเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกของเสี่ยวเชี่ยนกลับแตกต่างจากเมื่อชาติที่แล้ว ถึงแม้ในใจจะแอบผิดหวังนิดหน่อย แต่ที่มีมากกว่าก็คือความเข้าใจ 


 


 


ถึงร่างกายจะยังปวดอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความสบายตัว เขาคงจัดการทำความสะอาดให้เธอ แม้แต่จุดที่ปวดก็ทายาให้อย่างดี อีกทั้งหัวเตียงยังมีซุปที่เขาสั่งมาไว้ให้ ถึงกับไปหาหม้อรักษาอุณหภูมิมาใส่ไว้เพราะกลัวจะเย็นชืดหมด 


 


 


ความใส่ใจที่พอจะทำได้ทั้งหมดเขาทำให้เธอแล้ว ใต้กล่องข้าวมีกระดาษโน้ตที่เขาทิ้งไว้ให้ 


 


 


จนถึงตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนยังอารมณ์ดีอยู่กับการได้แชร์ความรู้สึกร่วมกับคนรัก แต่พอเธออ่านกระดาษโน้ตใบนั้นก็เกิดความรู้สึกที่หมดคำจะพูด 


 


 


ถ้ำแห่งนางฟ้านางสวรรค์ ความสวยงามอยู่ที่จุดสุดยอดที่อันตรายนั้น ครั้งหน้าเจอกัน พวกเราค่อยร่วมค้นหาธรรมชาติอันพิศวงด้วยกันอีกนะ รอคอยวันที่จะได้จอดรถด้วยกันอีก 


 


 


ตาบ้านี่…เขียนจอดตัวใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้ตั้งใจจริงๆเหรอ? 


 


 


ตุ๊กตาที่เมื่อวานยิงปืนได้มาถูกเขาวางไว้ที่พื้นข้างเตียง ที่น่าทุเรศก็คือเขาเอาขนมปังแท่งยาวทำจากข้าวโพดที่ซื้อกลับมาไปวางระหว่างขาของตุ๊กตา เมื่อคืนไม่ทันได้มองดูให้ดีๆ พอวันนี้มองดูแล้ว อันที่จริงตุ๊กตาหมีตัวนี้ก็หน้าตาคล้ายอวี๋หมิงหลางอยู่เหมือนกันนะ ดูหน้าด้านพอกัน 


 


 


“บ้าบอจริงๆ ท่าอะไรนั่น…” เสี่ยวเชี่ยนไปดึงขนมปังออก ดูเหมือนอวี๋หมิงหลางที่กลายเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้วจะหน้าหนายิ่งกว่าเดิม เอาของแบบนี้ไปวางตรงนั้น ในสมองเลยมีภาพเหตุการณ์เมื่อคืนลอยมา 


 


 


ดูเหมือนเธอจะได้จับของประมาณนี้เหมือนกัน แต่ยาวกว่าอันนี้…ฮึ่ย ลามกตามตาบ้านั่นไปแล้ว 


 


 


ถึงแม้ร่างกายจะยังอ่อนล้า แต่ในใจกลับเต็มอิ่ม ความรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความกดดันออกไปจนโล่ง ทำให้เสี่ยวเชี่ยนสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เธออาบน้ำแล้วกินอาหารเช้า เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้แล้วเธอคงไม่ไปเข้าเรียน โดดเรียนเลยทั้งวัน 


 


 


บนโต๊ะตรงหัวเตียงนอกจากจะมีอาหารเช้าแล้วยังมีซองเอกสารสีน้ำตาลวางอยู่  


 


 


ไม่มีร่องรอยถูกแกะเลยสักนิด  


 


 


มันคือข้อมูลที่เจิ้งซวี่ไปสืบมาให้เธอ 


 


 


เมื่อวานเสี่ยวเชี่ยนยังไม่ทันจะได้แกะดูก็ถูกอวี๋หมิงหลางลอบโจมตีเสียก่อน 


 


 


เมื่อเช้าตอนอวี๋หมิงหลางทำความสะอาดก็คงเห็นเข้าแล้วถึงได้วางไว้ตรงที่ที่เธอมองเห็นง่าย 


 


 


นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนประทับใจ เพราะบนซองมีชื่อบริษัทของเจิ้งซวี่อยู่ เขาเห็นแล้วแท้ๆแต่กลับไม่แกะดู แสดงว่าเขาเข้าใจและให้เกียรติ แม้แต่ในกระดาษโน้ตที่ทิ้งไว้ก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้ 


 


 


แสดงให้เห็นว่าอวี๋หมิงหลางมีความเป็นผู้ใหญ่แล้ว 


 


 


นึกถึงตอนที่เพิ่งคบกันใหม่ๆ แม้แต่แสดงละครบนเวทีเขายังกระโดดขึ้นไปป่วนแถมยังลากตัวเธอออกไปด้วยสีหน้าหึงหวงสุดขีด ตอนนี้กลับใจกว้างไม่ถามถึงเรื่องเอกสารที่รู้ทั้งรู้ว่าเจิ้งซวี่เป็นคนให้เธอมา เขาไม่เพียงแต่จะให้เกียรติเธอ ยังแสดงให้เห็นว่าตอนนี้อวี๋หมิงหลางมีความมั่นใจในความสัมพันธ์ของเธอกับเขาแล้ว 


 


 


ได้กินแล้วแต่กลับยังดูแลเป็นอย่างดี เสี่ยวเชี่ยนชื่นชมเสี่ยวเฉียงอยู่ได้ไม่ถึงวินาทีก็นึกถึงเมื่อชาติก่อน หรือนี่จะเป็นความแตกต่างระหว่างเธอเป็นฝ่ายรุกก่อน กับเขาเป็นฝ่ายรุกก่อน? 


 


 


เพิ่งแยกกันแท้ๆแต่คิดถึงเขาอีกแล้ว อยู่ๆเสี่ยวเชี่ยนก็นึกถึงสืออวี้ที่วันต่อมาหลังจากที่ได้เป็นสาวเต็มตัวเอาแต่ยืนส่องกระจก ความรู้สึกที่ทั้งมีความสุขทั้งน่าแปลกใจ 


 


 


ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่แปลกไป แต่โดยรวมแล้วรู้สึกว่าตัวเองดูโอเคขึ้น ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนผิวพรรณจะเปล่งปลั่งขึ้น…แต่รอยจ้ำๆเล็กๆใหญ่ๆบนตัวขอมองข้ามไปก่อน ตาคนปีหมางับไม่รู้จักจบจักสิ้น แถมยังวางแผนมาอย่างดีว่าตรงไหนไม่มีเสื้อผ้าบัง เลือกเฉพาะที่เป็นจุดลับในร่มผ้า 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเปิดซองออกแล้วหยิบเอกสารออกมา ของประดับบนเพดานได้สะท้อนให้เห็นรอยแดงประหนึ่งลูกสตรอเบอรี่ตรงคอเสี่ยวเชี่ยนที่คนบางคนทิ้งเอาไว้ 


 


 


ตำแหน่งนั้นเสี่ยวเชี่ยนมองไม่เห็น แต่ขอแค่เธอรวบผมออกคนอื่นๆก็จะเห็นหมด 


 


 


ของประดับที่อยู่เพดานมองเห็นแผนการอันร้ายกาจของอวี๋เสี่ยวเฉียงหมดแล้ว มันสะท้อนกับแสงที่ส่องเข้ามา คล้ายกับกำลังบอกว่า เสียวเหม่ยช่างไร้เดียงสาจริงๆ ผู้ชายที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าอย่างอวี๋เสี่ยวเฉียงจะพลาดโอกาสที่จะได้ตีตราเธอได้อย่างไร? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกขายเข้าแล้ว เธอหยิบเอกสารออกมาแล้วตั้งใจอ่าน 


 


 


อ่านไปได้สองหน้าก็รู้สึกเย็นสันหลัง 


 


 


เธอให้เจิ้งซวี่ไปสืบความเป็นไปในช่วงนี้ของหูเหม่ยจิ้ง คู่หมั้นของโลนวูล์ฟอดีตหัวหน้าของหน่วยย่อยโลนวูล์ฟที่อวี๋หมิงหลางเป็นหัวหน้าอยู่ตอนนี้ 


 


 


จากผลการสืบของเจิ้งซวี่ หูเหม่ยจิ้งอยู่เมืองแถวๆนี้ อีกทั้งยังเป็นครูอนุบาลในโรงเรียนรัฐบาล ผู้ชายที่เธอแต่งด้วยคือฉู่เซวียน เป็นข้าราชการระดับล่าง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นว่าทั้งชื่อ สถานที่ หรือแม้แต่ชื่อสามีจะตรงกันหมด 


 


 


ต่อให้จนถึงตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนก็ยังคงหวังว่าผู้หญิงที่เธอต้องการหาตัวจะเป็นคนละคนกับคนที่เธอเคยเจอก่อนหน้านี้ 


 


 


แต่จากรูปที่ร่วงออกมาจากซองเอกสาร คล้ายกับได้ฉีกความหวังของเสี่ยวเชี่ยนออกเป็นเสี่ยงๆ 


 


 


รูปพวกนี้น่าจะเพิ่งถ่ายเมื่อไม่กี่วันนี้ เหมือนหูเหม่ยจิ้งกับฉู่เซวียนจะออกไปจ่ายตลาดมา ทั้งสองคนต่างถือของพะรุงพะรัง เสื้อที่เธอใส่เป็นตัวเดียวกับที่เจอเสี่ยวเชี่ยนครั้งก่อน 


 


 


ท่าทางอันอ่อนโยนของเธอเสี่ยวเชี่ยนยังจำได้ 


 


 


พูดจาทั้งเบาทั้งช้า ฟังดูก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงนุ่มนวล ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่พูดจาใส่อารมณ์ก็จะดูอ่อนหวานแบบนี้เช่นกัน ตอนนี้เธอยังตัดสินไม่ได้ว่า หูเหม่ยจิ้งคนนี้เป็นนักแสดงมาแต่กำเนิดหรือเป็นคนสองบุคลิก ไม่อย่างนั้นทำไมหูเหม่ยจิ้งที่เธอเจอมันถึงได้แตกต่างจากข้อมูลที่เธอได้มามากขนาดนี้? 

 

 

 


ตอนที่ 482 นึกแล้วก็ปวดใจ

 

ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าคู่หมั้นของโลนวูล์ฟก็คือหูเหม่ยจิ้งภรรยาของฉู่เซวียนที่เสี่ยวเชี่ยนเคยรักษา 


 


 


จากที่ซาลาแมนเดอร์บอก ผู้หญิงคนนี้แย่มาก ใจจืดใจดำ เอาเงินชดเชยของโลนวูล์ฟไปตั้งแต่เถ้ากระดูกของเขายังไม่ทันเย็นแล้วไปแต่งงานกับคนอื่น 


 


 


แม้แต่อวี๋หมิงหลางที่เป็นคนยุติธรรมมาตลอดยังยอมรับว่าผู้หญิงคนนั้นไร้ซึ่งความเห็นใจ 


 


 


หูเหม่ยจิ้งที่เสี่ยวเชี่ยนได้สัมผัสคนนี้นิสัยอ่อนโยน เอาใจใส่สามีตัวเอง ถึงสามีจะเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนชนิดไม่รุนแรงก็ยังคอยอยู่เคียงข้าง ดูแลอย่างใกล้ชิด 


 


 


อีกทั้งสิ่งที่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกตกใจยิ่งกว่าก็คือ แม่บุญธรรมของผู้หญิงคนนี้ก็คือแม่แท้ๆของโลนวูล์ฟ 


 


 


ถ้าโลนวูล์ฟไม่ตาย หูเหม่ยจิ้งก็คงได้เรียกอาจารย์ว่าแม่ เพราะเป็นแม่สามี 


 


 


แต่หลังจากที่โลนวูล์ฟตาย หูเหม่ยจิ้งกับอาจารย์ก็มีสถานะเป็นแม่ลูกบุญธรรมกัน อีกทั้งดูจากท่าทีของอาจารย์ก็ดูจะพอใจเธออยู่ไม่น้อย ฉู่เซวียนสามีของเธอเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน อาจารย์จึงให้เสี่ยวเชี่ยนไปรักษา เท่าที่ฟังจากที่หูเหม่ยจิ้งเล่า อาจารย์มักจะไปเยี่ยมเยียนเธอบ่อยๆ 


 


 


อาจารย์ที่ปกติไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครเท่าไร แต่กลับมีความรักความเอ็นดูให้หูเหม่ยจิ้ง เหมือนเป็นแม่ลูกกันจริงๆ 


 


 


ข้อมูลมากมายเหลือเกิน เสี่ยวเชี่ยนมึนไปหมดแล้ว เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆว่ามันเกิดความผิดพลาดขึ้นตรงไหนกันแน่ 


 


 


ภายใต้สถานการณ์แบบนี้อย่าว่าแต่จะให้ทำดีกับหูเหม่ยจิ้งเลย ไม่อาฆาตแค้นก็ดีแค่ไหนแล้ว ขนาดเพื่อนทหารของโลนวูล์ฟยังพากันกัดฟันพูดด้วยความโกรธเมื่อพูดถึงเรื่องหูเหม่ยจิ้ง อาจารย์ที่เป็นแม่แท้ๆก็น่าจะยิ่งโกรธแค้นถึงจะถูกสิ 


 


 


สมองอันชาญฉลาดของเสี่ยวเชี่ยนได้นึกถึงความเป็นไปได้หลายๆแบบ 


 


 


อาจารย์ไม่มีทางไม่เคยเจอหูเหม่ยจิ้ง เพราะตอนนั้นโลนวูล์ฟหมั้นกับเธอไปแล้ว จะต้องเคยพาไปให้พ่อแม่ดูตัวอย่างแน่นอน 


 


 


งั้นจะเป็นไปได้ไหมว่า อาจารย์ใช้วิธีอื่นในการแก้แค้นให้ลูกชาย? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนนึกได้แค่เหตุผลนี้ ก็เหมือนกับเมื่อชาติก่อนหลังจากที่ลูกสาวเธอจากไปเธอก็เริ่มคิดหาวิธีต่างๆในการทรมานคนเลวที่ทำร้ายลูกสาวเธอให้ค่อยๆตายไปทีละคน วิธีการของเธอโหดร้ายมาก 


 


 


นิสัยของอาจารย์ก็ไม่ต่างจากเธอมากนัก หรือจะเป็นเพราะโกรธแค้นหูเหม่ยจิ้งเลยแนะนำผู้ชายที่เป็นโรคอารมณ์แปรปรวนให้กับหูเหม่ยจิ้ง? 


 


 


อีกทั้งยังส่งมือใหม่ไปรักษาฉู่เซวียนซึ่งก็คือเธอ หวังจะให้เธอรักษาฉู่เซวียนจนเพี้ยน ทำให้อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะกลายเป็นโรคจิต แล้วมีลูกที่เป็นโรคอารมณ์แปรปรวน ซึ่งโรคนี้ติดต่อทางพันธุกรรมได้… 


 


 


ข้อสันนิษฐานของเสี่ยวเชี่ยนยิ่งคิดยิ่งน่ากลัว แต่ก็ยังมั่นใจไม่ได้ อาจารย์ไม่ใช่คนไม่รอบคอบ ต่อให้เกลียดหูเหม่ยจิ้งขนาดไหนก็ไม่น่าลากคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างเธอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย 


 


 


ไม่รู้ว่าเหตุมันเกิดขึ้นตรงไหน ดังนั้นตอนนี้เธอปวดหัวมาก 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางวิ่งไปถามศาสตราจารย์หลิวตรงๆ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องในครอบครัวของศาสตราจารย์หลิว แต่มันยังเกี่ยวข้องกับรอยแผลในส่วนลึกจิตใจของอาจารย์ ตอนนี้อาจารย์กับหัวหน้าใหญ่เพิ่งจะคืนดีกัน ถ้าไปรื้อฟื้นเรื่องราวเจ็บปวดในอดีตขึ้นมา ความพยายามก่อนหน้านี้ของอวี๋หมิงหลางก็จะสูญเปล่า อุตส่าห์ลงทุนลงแรงสร้างสถานการณ์จริงในการรักษาหัวหน้าใหญ่กับหลิวลี่ 


 


 


ดังนั้นเสี่ยวเชี่ยนนึกวิธีดีๆออกวิธีหนึ่ง 


 


 


เธอไปที่บ้านศาสตราจารย์หลิว แต่อาจารย์ไม่อยู่ หลิวลี่อยู่บ้านคนเดียว พอได้ยินเสียงคนเคาะประตูเขาก็หอบร่างกายอันหนักอึ้งออกมาเปิดประตู 


 


 


“พี่เชี่ยนเองเหรอ” 


 


 


“อืม เป็นอะไรน่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าตัวเองเดินมาด้วยสภาพน่าเวทนาแล้ว หลิวลี่อาการหนักยิ่งกว่าเธออีก แทบจะยืดตัวไม่ขึ้น 


 


 


“เดิมผมว่าจะไปทำงาน แต่เมื่อวานโคตรเหนื่อยเลย วันนี้ลุกไม่ขึ้นทั้งวัน พี่เชี่ยนมาหาผมเหรอ?” 


 


 


ตอนนี้หลิวลี่รู้สึกนับถือทหารหน่วยรบพิเศษมาก นี่มันไม่ใช่อาชีพที่คนทั่วไปจะมาทำก็ได้ หลายวันมานี้เขารู้สึกเหมือนร่างจะแยกขาดออกจากกัน ร่างกายเหนื่อยจนไม่รู้จะเหนื่อยยังไงแล้ว  


 


 


“อืม” 


 


 


“งั้นพี่นั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวผมไปชงชามาให้” 


 


 


“ขอบใจ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองไปรอบบ้านแล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ตรงจุดหนึ่งในห้องรับแขก เธอสังเกตเห็นบนชั้นวางโทรทัศน์มีตุ๊กตาถักรูปหมาตัวเล็ก เธอเคยเห็นที่บ้านของหูเหม่ยจิ้ง ดูเหมือนหูเหม่ยจิ้งจะชอบทำงานเย็บปักถักร้อย ทุกครั้งที่ไปบ้านมักจะเห็นอุปกรณ์ถักบนโซฟา 


 


 


“เสี่ยวลี่ ตุ๊กตาตัวนั้นพี่เหม่ยจิ้งเป็นคนทำหรือเปล่า?” 


 


 


หลิวลี่มองไปตามที่เสี่ยวเชี่ยนชี้แล้วพยักหน้า “ใช่ๆ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเดินไปหยิบขึ้นมาแล้วบีบๆดู นี่มันหมาป่าชัดๆ ใช้กระดุมแบบพิเศษมาเย็บเป็นตา ดูแล้วน่ารักแบ๊วไม่เบา 


 


 


“พี่เหม่ยจิ้งมาบ้านนายบ่อยๆเหรอ?” 


 


 


“ใช่แล้ว วันหยุดเขาก็จะมาที บางครั้งคุยกับแม่ตั้งนาน พี่เขาทำกับข้าวอร่อยมากเลยนะ” 


 


 


“อ่อ คุยถูกคอกับอาจารย์ได้ไม่ใช่คนธรรมดาเลยจริงๆนะ” เสี่ยวเชี่ยนจงใจพูดชี้นำ 


 


 


เด็กคนนี้อายุยังไม่มาก ยังอ่อนต่อโลก การจะล้วงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกจากปากไม่น่ายาก 


 


 


ตามคาด หลิวลี่ร่ายยาวออกมาทันที 


 


 


“ใช่ไหมล่ะ นิสัยอย่างแม่ผมใครจะไปทนไหว บางครั้งแม่ใส่อารมณ์กับพี่เหม่ยจิ้งด้วย ผมนั่งฟังยังรู้สึกแย่เลย แต่พี่เหม่ยจิ้งกลับไม่โกรธ อีกทั้งยังยอมเรียกเป็นแม่บุญธรรมด้วย” 


 


 


“อาจารย์ใส่อารมณ์เรื่องอะไรเหรอ?” 


 


 


“บางครั้งก็เรื่องงาน พี่เหม่ยจิ้งเป็นคนใจดีมาก เอาง่ายๆก็คือเป็นคนซื่อเกินไป โดนรังแกในที่ทำงานบ่อยๆ เพื่อนร่วมงานชอบมาขอแลกเวรกับเขา บางครั้งเจอเด็กที่ดูแลยากก็จับมายัดไว้ห้องพี่เหม่ยจิ้ง เล่นเอาพี่เขาเหนื่อยทุกวัน แม่ผมเห็นทีก็ว่าที มีครั้งหนึ่งโกรธมากถึงกับจะตามไปคุยกับครูใหญ่” 


 


 


ฟังดูก็ปกติดี อาจารย์ค่อนข้างให้ความสนใจในตัวผู้หญิงคนนี้ เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ศาสตราจารย์หลิวเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่งถ้าถูกใจใครก็ยิ่งจะด่ามากเป็นพิเศษ ถ้าชอบถึงขนาดเสี่ยวเชี่ยนเวลาโกรธมากๆก็จะลงไม้ลงมือ 


 


 


งั้นก็ไม่เหมือนกับวางแผนไม่ดีไว้…เสี่ยวเชี่ยนตัดสินใจลองคิดไปด้านอื่น 


 


 


“เสี่ยวลี่ ก่อนหน้านี้ฉันเคยเจอซาลาแมนเดอร์เพื่อนพี่ชายนาย เขาเป็นห่วงนายมากนะ” 


 


 


“หา พี่เจิงน่ะเหรอ พี่เขาส่งของเล่นมาให้ผมทุกฤดูเลยนะ ผมบอกพี่เขาไปแล้วว่าผมทำงานแล้วไม่เล่นไอรอนแมนแล้วพี่เขาเลยส่งเสื้อผ้ามาแทน หลายวันก่อนส่งผลไม้มาให้แม่ลังนึงด้วย เห็นบอกว่าที่บ้านเขาปลูก” 


 


 


หลังจากที่ซาลาแมนเดอร์ปลดประจำการแล้วก็กลับบ้านเกิดไปเป็นหมอ เขาไม่เคยลืมหัวหน้าโลนวูล์ฟของเขา 


 


 


“นั่นสิ ซาลาแมนเดอร์ยังบอกกับฉันด้วยว่าแปปเดียวนายโตเป็นหนุ่มแล้ว ใกล้จะมีแฟนแล้ว ไม่ได้ร่วมงานมงคลของพี่นายแต่เขาอยากไปงานของนายนะ” 


 


 


“เฮ้อ พี่ผม…” พอนึกถึงพี่ชายหลิวลี่ก็เศร้าใจ 


 


 


“ถ้าพี่ไม่เกิดเรื่องตอนนี้ผมก็คงกลายเป็นอาแล้ว ตอนพี่หมั้นตอนนั้นผมสอบเข้ามอปลายพอดี แม่ให้ผมไปอยู่โรงเรียนประจำของเอกชนเลยไม่ได้กลับมา ได้ยินว่าผู้หญิงที่พี่หามานิสัยแย่มาก ชอบอาละวาด พี่ผมต้องคอยยอมให้บ่อยๆ ถ้าผู้หญิงคนนั้นนิสัยแบบพี่เหม่ยจิ้งไม่แน่พี่ก็คงไม่เสียสมาธิตอนทำงาน…” 

 

 

 


ตอนที่ 483 ใกล้เคียงความจริง

 

“นายว่าอะไรนะ? คู่หมั้นของพี่ชายนายเป็นผู้หญิงอารมณ์ร้ายงั้นเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนจับประเด็นได้ 


 


 


หลิวลี่พยักหน้า “ใช่ พี่เจิงบอกผมแบบนั้น ตอนนั้นที่พี่โทรหาผมก็พูดแบบนั้น บอกว่าผู้หญิงคนนั้นอารมณ์ร้อน พอผมเจอแล้วอย่าไปยั่วโมโหเขา” 


 


 


แต่ที่น่าเสียดายก็คือยังไม่ทันได้เจอกันพี่ชายของเขาก็มาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของผู้หญิงคนนั้นอีกเลย 


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะข้อมูลของเจิ้งซวี่เชื่อถือได้ เสี่ยวเชี่ยนคงสงสัยว่าหูเหม่ยจิ้งที่หลิวลี่กับซาลาแมนเดอร์พูดถึงกับคนที่เธอได้สัมผัสมากับตัวไม่ใช่คนๆเดียวกัน 


 


 


ข้อมูลที่ได้จากหลิวลี่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนพอจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอไม่เสียเวลาอยู่ต่อ หาข้ออ้างออกจากที่นั่นแล้วรีบไปยังโรงเรียนอนุบาลของหูเหม่ยจิ้ง 


 


 


เวลานี้เด็กๆกำลังนอนกลางวันกันอยู่พอดี เสี่ยวเชี่ยนบอกถึงวัตถุประสงค์ที่มา ไม่นานเธอก็ได้เจอหูเหม่ยจิ้ง 


 


 


“รบกวนหรือเปล่าคะ?” 


 


 


“ไม่ค่ะ ฉันว่างพอดี ทำไมหมอเฉินมาที่นี่ได้ล่ะคะ หรือว่าอาการของฉู่เซวียนแย่ลง?” หูเหม่ยจิ้งโพกผ้ามีลายไว้ที่ศีรษะ ผมเปียยาวห้อยลงมา ดูแล้วอ่อนหวานมาก 


 


 


“ไม่ใช่ค่ะ ฉันผ่านมาแถวนี้พอดี นึกได้ว่าคุณทำงานที่นี่ก็เลยแวะมาหาน่ะค่ะ อันที่จริงก็มีเรื่องอยากจะขอร้องคุณหน่อย” 


 


 


“มีเรื่องอะไรพูดมาได้เลยค่ะ ฉู่เซวียนอาการดีขึ้นมากหลังจากที่หมอเฉินรักษา ฉันไม่รู้ว่าจะขอบคุณยังไงดี ให้เงินคุณก็ไม่รับไว้” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแอบพูดในใจว่า ถ้าเธอกล้ารับเงินอาจารย์ได้บ่นไม่เลิกแน่ หญิงสูงวัยคนนั้นขี้บ่นจะตาย” 


 


 


“คือว่าใกล้จะถึงวันเกิดของคู่หมั้นฉันแล้ว ฉันอยากให้ของขวัญที่ฉันทำเอง ฉันเห็นตุ๊กตาที่อยู่ในบ้านอาจารย์น่ารักมากเลยอยากจะรบกวนคุณสอนฉันทำหน่อยได้ไหมคะ?” 


 


 


หูเหม่ยจิ้งมีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วเผยรอยยิ้มออกมา 


 


 


“ฉันก็คิดว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้ เริ่มต้นถักเป็นห่วงนะคะ จากนั้นก็…” 


 


 


เธอพูดอะไรมาเสี่ยวเชี่ยนฟังไม่เข้าใจทั้งนั้น รู้สึกเหมือนฟังคัมภีร์สวรรค์ ให้เธอใช้สมองน่ะได้ แต่ถ้าเป็นงานฝีมือล่ะก็ขอบาย แต่เธอก็ยังต้องแสร้งทำเป็นเข้าใจ พยักหน้าไปตามที่หูเหม่ยจิ้งว่า 


 


 


“…ถักไป25แถวก็จะเริ่มเป็นรูปขึ้นมา ถ้าคุณจำไม่ได้เดี๋ยวฉันเขียนให้ค่ะ ตอนคุณทำโทรมาถามฉันก็ได้นะคะ” 


 


 


หูเหม่ยจิ้งเอากระดาษกับปากกามาเขียน เขียนไปก็พูดไป เสี่ยวเชี่ยนแสร้งทำเป็นเข้าใจ แต่ในขณะเดียวกันก็กำลังคิดหาทางล้วงเอาข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากหูเหม่ยจิ้ง เธอแสร้งทำเป็นเออออตาม 


 


 


“หมาน้อยนี่น่ารักจัง” 


 


 


หูเหม่ยจิ้งเขียนๆอยู่ก็เงยหน้ามองเสี่ยวเชี่ยนแล้วพูดอย่างจริงจัง 


 


 


“นี่ไม่ใช่หมาธรรมดานะคะ เป็นหมาป่า ตอนที่คุณไปซื้อกระดุมมาทำตาบอกทางร้านนะคะว่าเอาแบบฉันนี่ มันจะเหมือนดวงตาของหมาป่าค่ะ” 


 


 


“หมาป่า?” 


 


 


“ค่ะ…ฉันถักเป็นแต่แบบนี้ ฉันเรียกมันว่าโลนวูล์ฟหมด คุณไม่คิดว่าตุ๊กตาพวกนี้มันดูโดดเดี่ยวเหรอคะ ถึงจะเป็นหมาป่าแต่มันก็มีความอ่อนโยนที่แตกต่างออกไป” 


 


 


“…ทำไมถึงเป็นโลนวูล์ฟคะ ไม่ตั้งชื่อแบบอื่น?” เสี่ยวเชี่ยนถาม สายตาจ้องหูเหม่ยจิ้งไม่วางตา 


 


 


หูเหม่ยจิ้งเขียนต่อเหมือนไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ “ก็แค่อยากให้ชื่อโลนวูล์ฟ ฉันชอบชื่อนี้ ฉันชอบ…” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอึ้ง จากประสบการณ์ของเธอ ถ้าหูเหม่ยจิ้งเคยทำเรื่องแบบนั้นกับโลนวูล์ฟ ในทางทฤษฎีเธอก็ควรจะเลี่ยงชื่อนี้ แล้วจะพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้ได้ยังไง? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนตัดสินใจลองขยายความให้มากขึ้นเพื่อลองใจเธอ 


 


 


“จริงๆแล้วทำไมฉันถึงอยากทำของสิ่งนี้ให้คู่หมั้น? นั่นก็เพราะเขาเป็นทหาร และหน่วยที่เขาอยู่ก็ชื่อโลนวูล์ฟด้วยค่ะ” 


 


 


“จริงเหรอคะ งั้นก็ดีเลย ให้อันนี้พอดีเลย” หูเหม่ยจิ้งเงยหน้า แล้วยิ้มให้เสี่ยวเชี่ยนอย่างจริงใจ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนจ้องเธอโดยไม่กระพริบตา เผื่อจะเห็นแววตาอะไรบ้างในดวงตาของหูเหม่ยจิ้ง 


 


 


แต่ไม่มีเลย นี่คือดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์มาก 


 


 


ต่อให้เป็นคนที่เจ้าเล่ห์ เก็บซ่อนอารมณ์เก่ง แต่ประธานเชี่ยนก็ย่อมมองออกบ้าง หูเหม่ยจิ้งให้ความรู้สึกที่ไม่มีอะไรแอบแฝง เปิดเผยมาก 


 


 


“ได้ยินว่า ชื่อหน่วยของเขาวีรบุรุษที่พลีชีพไปเป็นคนตั้งด้วยค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนพูดออกมาตรงๆ ถ้ามาขนาดนี้แล้วหูเหม่ยจิ้งยังไม่รู้สึกอะไรงั้นก็แสดงว่าคงเกิดปัญหาขึ้นแล้วจริงๆ 


 


 


“สันติสุขเป็นการไว้อาลัยที่ดีที่สุดให้กับวีรบุรุษ หวังว่าพวกเขาจะพักผ่อนให้สบายบนสวรรค์” หูเหม่ยจิ้งพูดอย่างจริงใจแล้วยื่นกระดาษในมือให้เสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“เหม่ยจิ้ง วันอาทิตย์ฉันมีธุระนิดหน่อยเธอเข้าเวรแทนฉันได้ไหม?” คุณครูผู้หญิงที่แต่งตัวจัดจ้านคนหนึ่งเดินเข้ามา 


 


 


“แต่วันอาทิตย์ฉันนัดแม่บุญธรรมไว้แล้วว่าจะไปกินข้าวที่บ้านท่าน” หูเหม่ยจิ้งพูดอย่างลำบากใจ 


 


 


“ฉันรู้น่าว่าเธอเป็นคนดี ฝากด้วยนะ~” 


 


 


คุณครูผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะเกรงใจ แต่ท่าทางแข้งกระด้าง ดูก็รู้ว่าใช้วิธีนี้เอาเปรียบหูเหม่ยจิ้งมาหลายครั้งแล้ว 


 


 


“เขาไม่สะดวกคุณไปหาคนอื่นเถอะค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนพูด 


 


 


“คุณเป็นใคร?” คุณครูคนนั้นถามเสี่ยวเชี่ยนอย่างไม่ยอม หูเหม่ยจิ้งเป็นครูที่นิสัยดีที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้ เรื่องที่ทุกคนไม่อยากทำมาหาหูเหม่ยจิ้งก็ถูกแล้ว 


 


 


“ฉันเป็นนักเรียนของแม่บุญธรรมเขา เขาไม่สะดวกอาทิตย์คุณอย่ามาวานเขาเลย” 


 


 


ครูคนนั้นเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ ปากก็บ่นพึมพำ หูเหม่ยจิ้งยิ้มให้เสี่ยวเชี่ยนอย่างอายๆ “เดือดร้อนคุณเลย” 


 


 


“เรื่องที่ไม่ชอบปฏิเสธไปก็จบค่ะ คุณดูไม่อยากทำแล้วทำไมต้องรับปากคนอื่นด้วยล่ะคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม 


 


 


“ฉันก็นิสัยแบบนี้ล่ะค่ะ ไม่ค่อยชอบมีเรื่องกับใคร ยอมได้ก็ยอม ก็ไม่ได้มีอะไรแย่นี่คะ…ถอยหนึ่งก้าวโลกก็จะน่าอยู่ขึ้น” ตอนที่หูเหม่ยจิ้งพูดประโยคนี้เหมือนมีอะไรเสียดแทงใจ 


 


 


ดูเหมือนแววตาจะหม่นลง มีน้ำตามาคลอที่ดวงตา 


 


 


“ขอโทษค่ะหมอเฉินฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย…ฉันอยากเข้าไปพักสักหน่อย” 


 


 


พอรู้สึกได้ว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่อยู่หูเหม่ยจิ้งก็เอามือปาดน้ำตา แล้วพูดกับเสี่ยวเชี่ยนด้วยความรู้สึกผิด 


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมารบกวนคุณเอง คุณไปทำงานเถอะค่ะฉันขอตัวกลับก่อน” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นน้ำตาของหูเหม่ยจิ้ง จะบอกว่าน้ำตานั่นกลั่นออกมาจากความรู้สึก ไม่สู้บอกว่ามันไหลออกมาโดยอัตโนมัติ 


 


 


คำพูดนั้นของหูเหม่ยจิ้งไม่ใช่ตัวเธอเองเป็นคนคิด จะต้องมีใครบางคนเป็นตัวกระตุ้นเธอ และมีความเป็นไปได้ว่าคนๆนั้นก็คือโลนวูล์ฟ 


 


 


พอออกมาจากโรงเรียนอนุบาลเสี่ยวเชี่ยนก็กลับโรงแรม แล้วสรุปข้อมูลที่ได้ออกมา ผลที่ได้ใกล้ความจริงเข้าไปทุกที 


 


 


หูเหม่ยจิ้งไม่ได้แสร้งทำ เธอลืมเรื่องโลนวูล์ฟไปแล้วจริงๆ นิสัยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่จิตใต้สำนึกของเธอยังจำโลนวูล์ฟได้ 


 


 


เธอตั้งชื่อตุ๊กตาที่ถักว่าโลนวูล์ฟ ตอนที่เธอบอกว่าชอบโลนวูล์ฟ แววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชอบนั้นไม่ได้เสแสร้งออกมาอย่างแน่นอน 


 


 


ความทรงจำของเธอถูกเก็บซ่อนไว้เพราะเรื่องราวอันเจ็บปวด แต่จิตใต้สำนึกกลับไม่เคยลืมสิ่งที่เธอเคยชอบ 


 


 


ถ้าหูเหม่ยจิ้งสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นปัญหาทางจิตเวชแบบไหนกันที่ทำให้เธอเกิดอาการแบบนี้ สมองของเสี่ยวเชี่ยนได้ทำการสืบค้นโรคต่างๆอย่างรวดเร็ว 


 


 


ตัดโรคหลายบุคลิกทิ้ง ตัดโรคจิตเภททิ้ง ตัด… 


 


 


ทันใดนั้นหน้าจอโทรศัพท์ของเธอก็สว่างขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์ของเจิ้งซวี่ 


 


 


เจิ้งซวี่โทรหาเธอเวลานี้ทำไมกัน? 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม