บัลลังก์พญาหงส์ 463-469

บทที่ 463 เขียนจดหมาย

 

พระชายาองค์รัชทายาทมองฮองเฮาแล้วหัวเราะ “เสด็จแม่ดีใจหรือไม่เพคะ? ตอนนี้ถาวซื่อติดเชื้อโรคระบาดแล้ว มีเวลาอยู่อีกไม่กี่วันแล้ว แม้จะบอกว่าไม่สามารถจัดการถาวซื่อออกไปอย่างเงียบเชียบได้ แต่นี่ก็ถือว่าไม่ต่างกันมากเท่าไรนะเพคะ”


 


 


อีกทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือไม่มีคนสงสัยพวกนางอย่างแน่นอน เพียงแค่คิดว่ามีเหตุมาจากเชื้อโรคระบาด จำต้องพูดเลยว่าโรคระบาดรอบนี้มาได้ทันเวลา มิเช่นนั้นแล้ว จะมีโอกาสดีแบบนี้ได้อย่างไรกัน?


 


 


แต่พระชายาองค์รัชทายาทกลับลืมไปแล้วว่าพี่สามของตนเองก็ติดเชื้อโรคระบาด กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นเดียวกัน


 


 


ฮองเฮาหัวเราะ มองดูดอกไม้ที่ตนเองตัดแต่งพอสมควรแล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนวางกรรไกรลงพลางพูดว่า “ครั้งนี้ไม่เพียงแค่กำจัดถาวซื่อเท่านั้น ยังทำให้ตวนอ๋องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย ถือว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว แผนการของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทได้ยินเช่นนี้ ก็อดหัวเราะชอบใจไม่ได้ แม้ฮองเฮาจะปฏิบัติต่อนางอย่างอบอุ่นมาโดยตลอด แต่ก็พูดชื่นชมเช่นนี้น้อยครั้ง ดังนั้นคราวนี้นางทำให้ฮองเฮาเอ่ยชื่นชมได้ นอกจากดีใจแล้ว ก็ยังเขินอายด้วย “เพราะสบโอกาสด้วยเพคะ”


 


 


“ครั้งนี้ถือว่าเจ้ามีผลงานแล้ว” ฮองเฮายิ้ม ฉับพลันก็เปลี่ยนบทสนทนา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่าทางเจ้ากล้าปิดบังข้าเรื่องพี่สามของเจ้าติดเชื้อโรคระบาด ก็เพราะคิดว่ามีผลงานจากเรื่องนี้แล้วซิท่า”


 


 


รอยยิ้มของพระชายาองค์รัชทายาทนิ่งค้างไปทันที แล้วก็รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง นางคิดไม่ถึงว่าเวลานี้ฮองเฮาจะพูดเรื่องนี้กะทันหัน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ฮองเฮารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?


 


 


ในเมื่อฮองเฮารู้เรื่องนี้แล้ว แต่ตอนแรกกลับยิ้มไม่เปิดเผยอะไร ก็ทำให้พระชายาองค์รัชทายาทรู้สึกสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทไม่แปลกใจเลย ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าฮองเฮาคงจะรู้แผนการของนางอย่างละเอียดหมดแล้ว? ทว่านางกลับยังหลงระเริงดีใจ คิดว่าตัวเองฉลาดอีก


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทไม่สนใจฐานะและหน้าตาของตนเองอีกต่อไป รีบนั่งคุกเข่าลงไปทันที ทั้งยังอธิบายอย่างตะกุกตะกัก


 


 


ฮองเฮามองพระชายาองค์รัชทายาทที่สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่เปิดปากพูดอยู่ดี


 


 


“เสด็จแม่!” พระชายาองค์รัชทายาทส่งเสียงเรียกวิงวอน ในใจนั้นก็คิดหาข้ออ้างดีๆ มาช่วยตนเอง “ที่หม่อมฉันทำเช่นนี้ก็ด้วยหวังดีต่อองค์รัชทายาทนะเพคะ!”


 


 


ฮองเฮาเลิกคิ้วเล็กน้อย มีท่าทีไม่เชื่อเท่าไรนัก


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทยังคงอธิบายต่อไป “หากตอนนี้จวนเหิงกั๋วกงโดนปิดกั้น ข้างกายขององค์รัชทายาทยังจะมีคนช่วยหรือเพคะ? ตอนนี้ราชสำนักมีสถานการณ์เช่นนี้ เป็นเวลาที่องค์รัชทายาทจะต้องคิดหาวิธีดึงใจประชาชนสร้างฐานอำนาจ ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากจวนเหิงกั๋วกง เกรงว่าอาศัยเพียงความพยายามขององค์รัชทายาทลำพังคงจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้นะเพคะ”


 


 


หยุดไปครู่หนึ่ง พระชายาองค์รัชทายาทก็ลอบมองสีหน้าของฮองเฮา และพูดอีกว่า “หม่อมฉันเองก็เห็นแก่ตัวอยู่เล็กน้อยเพคะ อย่างไรจวนเหิงกั๋วกงก็เป็นบ้านของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะทนมองจวนเหิงกั๋วกงสูญเสียโอกาสนี้ และไร้อำนาจไปได้อย่างไรเพคะ ”


 


 


สุดท้ายฮองเฮาก็ยอมเปิดปากพูด “แล้วจวนเหิงกั๋วกงไม่ใช่บ้านของข้าหรืออย่างไร? ข้าจะยินยอมมองมันล่มสลายไปได้อย่างไร? เจ้าปิดบังข้าเพื่ออะไร? ข้าเองก็ไม่ได้โทษเจ้า แต่เจ้าก็ต้องพิจารณาความสำคัญของเรื่องนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วน โรคระบาดเป็นเรื่องเล็กหรืออย่างไร? เจ้าก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ หากทำอะไรผิดไปแม้แต่นิดเดียว ก็อาจจะมีจุดจบที่เลวร้าย!”


 


 


เสียงของฮองเฮาเริ่มโหดเ**้ยมมากขึ้น “ถาวซื่ออาจจะรู้ว่าอะไรเรียกว่าความถูกต้องและชอบธรรม ทำไมเจ้าถึงยังเทียบไม่ได้แม้แต่ถาวซื่อเล่า? เรื่องที่ถาวซื่อเสนอให้ปิดจวนก็ได้รับคำชมตั้งมากมาย เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไรกัน? ทำไมเจ้าไม่คิดบ้างว่าไม่มีความลับใดปิดบังได้ถาวร! ตอนนี้อาจจะปิดบังเอาไว้ได้ แต่หลังจากถูกคนขุดคุ้ย จะต้องเสียหน้ามากเพียงใด?”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทถูกฮองเฮาสั่งสอนจนไม่อาจเหงยหน้าขึ้นมาได้ นางกำหมัดแน่น เล็บที่ได้รับการตะไบมาเป็นอย่างดีก็ทิ่มไปบนฝ่ามือ จนรู้สึกปวดแสบขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


แต่พระชายาองค์รัชทายาทกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นแล้ว นางรู้สึกแค่เพียงความอัปยศอดสู เพราะฮองเฮาตำหนินางว่าสู้ถาวจวินหลันไม่ได้


 


 


แต่พระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่ได้โต้กลับไปแม้แต่น้อย เพียงแค่ก้มหน้ารับฟัง ทว่าพอฮองเฮาเห็นว่าพระชายาองค์รัชทายาทมีท่าทีเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าควรพอแต่เพียงเท่านี้ ถึงได้ผ่อนคลายอีกครั้ง “ตอนนี้เจ้าอายุยังน้อย ต่อจากนี้ไปเจอเรื่องอะไรก็ต้องคิดให้เยอะ ตัดสินใจไม่ได้ก็มาถามข้า อย่าตัดสินใจทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีก”


 


 


“เพคะ เสด็จแม่” พระชายาองค์รัชทายาทตอบรับเสียงอ่อน ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความน่างสงสาร


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทเริ่มสำนึกได้แล้วว่า ก่อนหน้านี้ที่คิดว่าความสัมพันธ์แม่สามีลูกสะใภ้ของตนและฮองเฮาดีมาก คงเป็นแค่ภาพภายนอกเท่านั้น ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่านางเข้าวังหลวงน้อยครั้ง ทุกครั้งที่มาก็มาเข้าเฝ้าฮองเฮาตลอด ดังนั้นถึงได้ดูเหมือนสนิทกันเท่านั้นเอง พอตอนนี้ได้พูดคุยเพิ่มมากขึ้น และอาศัยอยู่ในวังหลวงเหมือนกัน จึงได้ถูกเปิดเผยออกมาภายในช่วงเวลาสั้นๆ


 


 


นิสัยของฮองเฮาที่เอาเรื่องทุกอย่างมากุมไว้ในมือนั้น เกรงว่าคงไม่อาจสานสัมพันธ์อันดีกับลูกสะใภ้ได้ในทุกรูปแบบใช่หรือไม่? นอกจากคนคนนั้นจะไม่มีความสามารถอะไรเลยแม้แต่น้อย นิสัยอ่อนแอจนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง รู้จักแค่เพียงเชื่อฟังเท่านั้น


 


 


พอออกมาจากวังของฮองเฮา ใบหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทก็เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปิดบังได้ แล้วยังแฝงแววเยาะเย้ยเอาไว้ แต่ปฏิกิริยาเย้ยหยันนั้นถูกเก็บเอาไว้ในส่วนลึก ไม่มองให้ชัดเจนก็จะไม่สังเกตเห็น


 


 


ภายในวังหลวงจะมีใครกล้ามองใบหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทเล่า?


 


 


ตอนนี้ฮองเฮาและพระชายาองค์รัชทายามยังไม่รู้ว่ามีคนส่งฎีการ้องเรียนจวนเหิงกั๋วกง หากรู้แล้ว ตอนนี้ฮองเฮาคงไม่มีใจมาสั่งสอนลูกสะใภ้เป็นแน่ และพระชายาองค์รัชทายาทคงจะไม่มีเวลามาหมกหมุ่นอยู่กับอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ นี้เป็นแน่


 


 


ถาวจวินหลันฝืนกินข้าวต้มไปคำหนึ่ง แล้วก็รู้สึกกินต่อไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ในปากของนางรับรสไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติสดใหม่อย่างไรก็ไร้รสชาติไปหมด แล้วจะเอาอะไรกับข้าวต้มที่จืดชืดเล่า?


 


 


ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็วางข้าวต้มลง “วางไว้ก่อนเถิด อีกครู่หนึ่งข้าค่อยกิน” ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือไม่ นางรู้สึกว่าอาการวันนี้แย่ลงกว่าเมื่อวานไม่รู้ตั้งเท่าไร


 


 


เรื่องแรกเลยคือรู้สึกว่าทั้งร่างเริ่มๆร้เรี่ยวแรงมากกว่าเดิม ไข้ก็ยิ่งขึ้นสูงกว่าเดิม รู้สึกเฉื่อยแฉะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีแรง


 


 


ปี้เจียวเห็นแล้วก็ร้อนรนอย่างมาก ยกชามข้าวต้มขึ้นมาพูดเกลี้ยกล่อมปากเปียกปากแฉะว่า “กินสักครึ่งถ้วยเถิดเจ้าค่ะ แม้ว่าจะไม่ชอบรสชาติ แต่ก็ต้องฝืนทานไว้รองท้องเสียหน่อยมิใช่หรือเจ้าคะ? เมื่อวานนี้ทานไปเพียงแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น วันนี้ยังไม่ทานอีก แล้วจะทนไหวได้อย่างไรเจ้าคะ?”


 


 


ชุนฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ร้อนรนเช่นเดียวกัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ชายารองทานอีกหน่อยเถิด ต่อให้ไม่ชอบสิ่งนี้ แล้วมีอะไรอยากทานหรือไม่เจ้าคะ? ไม่ว่าอะไรห้องครัวก็ทำให้ได้ทั้งนั้น”


 


 


ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่ได้อยากกินอะไร วางไว้ก่อนเถิด ข้าปวดหัวมาก อยากจะงีบหน่อยแล้วค่อยกิน”


 


 


บ่าวรับใช้ทั้งสองคนเห็นเช่นนั้นก็ไม่อาจกล่อมต่อไปได้ ทำได้เพียงประคองถาวจวินหลันให้นอนลงและถอยออกจากห้องไป


 


 


ปี้เจียวมองดูถ้วยข้าวต้มที่ไม่ได้พร่องลงไปมากนัก ก็แทบจะน้ำตาไหลออกมา “นี่จะทำอย่างไรดี?”


 


 


ชุนฮุ่ยมองถ้วยนั้นวูบหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจอย่างขมขื่น “ตอนแรกพระชายาก็เป็นเช่นนี้ ได้ยินมาว่าชายารองเจียงก็เช่นกัน”


 


 


ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกปี้เจียวตีเข้ากลางหลัง “พูดเลอะเทอะอะไรกัน? ชายารองจะต้องสวรรค์คุ้มครองเป็นแน่! เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!”


 


 


ชุนฮุ่ยเองก็เพราะว่าร้อนรนถึงได้พูดเช่นนี้ พอได้สติกลับคืนมา นางถึงคิดว่าไม่ควรพูดอย่างนี้ตั้งแต่แรก นี่ไม่ใช่การราดน้ำมันลงบนกองเพลิงหรืออย่างไร?


 


 


ฉับพลันนั้นชุนฮุ่ยก็รีบสบถ พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ชายารองจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”


 


 


ไม่ว่าบรรดาบ่าวรับใช้จะคาดหวังมากเพียงใด อาการของถาวจวินหลันก็ไม่มีวี่แววจะดีขึ้น ตอนกลางวันก็สะลึมสะลือนอนหลับทั้งวัน พอตกกลางคืนก็ตื่นขึ้นมากะทันหัน เขม็งมองแสงจันทร์ที่สาดแสงเข้ามาจากนอกหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจ


 


 


นางรู้สึกว่าตัวนางคงรอไม่ถึงวันได้ยารักษาแล้ว จากอาการแบบนี้ของนางยังจะยืดเวลาได้อีกกี่วันกันเชียว? จากตอนที่หมอหลวงสวีเสนอแผนการนั้นก็ผ่านมากว่าสิบวันเต็มแล้ว


 


 


ระยะเวลาสิบวันนี้ ไม่มีข่าวดีส่งมาแม้แต่น้อย แม้แต่หมอหลวงสวีเองก็มีอาการไม่ค่อยต่างจากนางในตอนนี้นัก แม้แต่เรือนในก็ไม่ได้มาอีกแล้ว และเจียงอวี้เหลียนเองก็ประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ เท่านั้น


 


 


ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ไม่ใช่ว่านางไม่อยากอดทนอีกต่อไป แต่เกรงว่าสวรรค์จะไม่ให้โอกาสนั้นกับนาง สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาว่านางทนไหวหรือไม่


 


 


“ชายารองตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” ปี้เจียวเฝ้าอยู่ข้างเตียงมาโดยตลอด แม้ว่าเมื่อครู่จะเผลอนอนหลับไป แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าหลับสนิท เมื่อได้ยินเสียงถาวจวินหลันขยับก็ตาสว่างทันที พอปี้เจียวเห็นว่าถาวจวินหลันลืมตาก็ส่งเสียงดังด้วยความตกใจระคนดีใจ


 


 


ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้ เพราะท่าทีเช่นนี้ของปี้เจียวเหมือนกลัวว่านางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกอย่างนั้น


 


 


“ชายารองหิวข้าวหรือไม่เจ้าคะ หรือว่ากระหายน้ำหรือไม่?” ไม่รอให้ถาวจวินหลันสั่งอะไร ปี้เจียวก็ถามอีก


 


 


ถาวจวินหลันรู้สึกกระหาย คิดไปคิดมากลับไม่ขอน้ำมาดื่ม พูดขึ้นว่า “เอาข้าวต้มมาให้ข้ากินสักถ้วย” ด้วยนอนหลับมาทั้งวัน คราวนี้จึงรู้สึกว่าคอแห้งจนเสียงแหบ


 


 


อย่างไรก็ยังไม่อยากอาหาร ไม่สู้เอาข้าวต้มมากินแทนน้ำ ทั้งคอชุ่มชื้นแล้วยังถือว่ากินอะไรรองท้องด้วย


 


 


พอเห็นว่าถาวจวินหลันร้องขอกินเอง ปี้เจียวก็รีบไปยกข้าวต้มมาด้วยความดีใจและตกใจ ไม่เพียงแค่ข้าวต้มเท่านั้น ยังเอาอาหารเรียกน้ำย่อยมาให้อีกสองจาน จานหนึ่งเป็นหน่อไม้เปรี้ยว อีกจานหนึ่งเป็นแตงกวาสดแช่เย็น จานหนึ่งขาวใส อีกจานหนึ่งเขียวสด วางเอาไว้ด้วยกันแล้วก็ชวนให้คนคิดอยากลองชิม


 


 


ถาวจวินหลันรู้ว่านางเตรียมเอาไว้เพราะหวังให้ตนเองกินมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่กินเพิ่มอีกสักคำสองคำ คงไม่สามารถตอบแทนน้ำใจนี้ได้


 


 


ดังนั้นแม้ว่าจะไม่อยากอาหาร และไม่รู้รสชาติอาหาร แต่ถาวจวินหลันก็ยังคงกล้ำกลืนกินข้าวต้มเข้าไปจนหมดถ้วย ยังดีที่หน่อไม้เปรี้ยวจานนั้นใช้ได้ทีเดียว มิเช่นนั้นเกรงว่านางคงกินไม่ลง


 


 


เพียงแค่กินข้าวต้มเข้าไปถ้วยหนึ่ง ปี้เจียวก็ดีใจมากแล้ว “พรุ่งนี้เช้าให้ห้องครัวทำกับข้าวที่เปรี้ยวเย็นมาหน่อยแล้วกันนะเจ้าคะ”


 


 


ถาวจวินหลันหัวเราะ ไม่ได้พูดความจริงออกมา ในใจคิดว่าหลายวันมานี้ปี้เจียวเหน็ดเหนื่อยมาก ทำให้นางดีใจได้เล็กน้อยก็คงจะดี จึงสั่งปี้เจียวว่า “ประคองข้าขึ้นมา ข้าอยากจะไปเดินเล่น ไปอ่านหนังสือในห้องหนังสือ”


 


 


ปี้เจียวลังเลเล็กน้อย


 


 


ถาวจวินหลันยิ้ม “อ่านหนังสือไม่ได้ทำให้คนเหนื่อย ข้าเองก็รู้สึกเบื่ออยากหาอะไรทำฆ่าเวลา” แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางไม่ได้อยากอ่านหนังสือ แต่คิดจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง 

 

 


บทที่ 464 กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจ หากนางทนไม่ไหว ต่อให้ก่อนตายอยากจะพบหลี่เย่ก็ไม่อาจพบได้ ดังนั้นนางถึงอยากจะเขียนจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นที่ไม่เหลืออะไรไว้แม้แต่ประโยคเดียว


 


 


ตอนนี้อาจจะส่งจดหมายทันทีไม่ได้ แต่รอจนผ่านเรื่องโรคระบาดนี้ไป ก็คงจะได้เห็นหลี่เย่แล้ว ถึงเวลานั้น ถ้ามีวิธีรักษาโรคระบาดแล้ว นางเองก็ไม่กลัวหลี่เย่ติดโรค


 


 


ประโยคที่เขียนทิ้งเอาไว้ ก็เพียงแค่ฝากให้หลี่เย่ดูแลลูกหญิงชายทั้งสองคนให้ดี และไม่ต้องโศกเศร้าเท่านั้น ถือว่าเขียนสั่งเสียทุกอย่างเอาไว้แล้ว


 


 


ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เขียนลงไปอีกประโยคหนึ่งในจดหมายอย่างเอาจริงเอาจัง ‘ถ้าข้าโชคไม่ดี ก็ขอเพียงได้ร่วมหลุมเดียวกับท่าน’


 


 


มีเพียงชายาเอกเท่านั้นที่จะฝังไว้ที่เดียวกับหลี่เย่ เรื่องนี้ไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นประโยคนี้ของนางก็เป็นการบอกหลี่เย่อ้อมๆ ว่าหลังจากนางตายไปก็ให้แต่งตั้งนางเป็นชายาเอก


 


 


นางไม่ได้ใส่ใจกับตำแหน่งนี้ แต่นางต้องใส่ใจซวนเอ๋อร์และหมิงจู


 


 


ลูกชายและลูกสาวที่เกิดจากอนุภรรยาไม่มีอนาคต หลี่เย่ยังอายุน้อยไม่อาจเลิกแต่งภรรยาหรือรับอนุ ถึงเวลาแต่งชายาเอกเข้ามาใหม่ และให้กำเนิดลูก ซวนเอ๋อร์ก็จะต้องกลายเป็นตะปูในตา แต่ถ้าซวนเอ๋อร์เป็นลูกจากภรรยาเอกเล่า? แม้นหลี่เย่จะมีลูกที่เกิดจากภรรยาเอกอีกคนหนึ่งก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก อย่างน้อยต่อหน้าก็ยังต้องแสดงให้เห็นอย่างนั้น


 


 


ส่วนลับหลัง ถาวจวินหลันเชื่อว่าหลี่เย่จะต้องปกป้องซวนเอ๋อร์ อีกทั้งยังมีไทเฮาและฮ่องเต้ สองพระองค์นี้เอ็นดูรักใคร่เหลนและหลานคนนี้มาก แม้แต่หมิงจูก็ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เช่นกัน แม้ว่าเหตุผลจะเป็นเพราะหน้าตาคล้ายย่าของตนเอง แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงอะไรมิใช่หรือ?


 


 


ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง นางก็จรดปลายพู่กันลงไปอีกครั้ง ‘ขอให้ท่านอ๋องส่งลูกชายหญิงทั้งสองคนให้ไทเฮาคอยเลี้ยงดู’ หลังจากนางตายไป หลี่เย่อาจจะตกอยู่ใจห้วงแห่งความเศร้าไปช่วงหนึ่ง ถึงตอนนั้นจะต้องดูแลลูกชายหญิงทั้งสองคนไม่ได้แน่นอน อีกทั้งเขาเป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะอ่อนโยนละเอียดอ่อนมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเทียบกับนางได้ ไม่ใช่ว่านางไม่วางใจให้เขาเลี้ยงลูก แต่มันไม่เหมาะสม


 


 


อีกทั้งต้องให้หลี่เย่หาเวลามาทำในสิ่งที่เขาอยากทำด้วย


 


 


จดหมายฉบับหนึ่งถูกเขียนออกมาอย่างตามใจชอบ สุดท้ายหมดกระดาษไปกว่าสามใบแล้วก็ยังเขียนไม่จบ นางเขียนตั้งแต่เรื่องหลังนางตาย จนถึงเรื่องการออกเรือนของหมิงจู ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ไม่คร้านว่ายิบย่อย กลัวแค่ว่าจะตกหล่นอะไรไป


 


 


ปี้เจียวไม่รู้ตัวหนังสือ แต่นางก็ดูออกว่าถาวจวินหลันกำลังเขียนจดหมายอยู่ แต่พอเห็นท่าทีจริงจัง ตั้งอกตั้งใจของถาวจวินหลัน นางก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวน


 


 


ถาวจวินหลันเขียนจดหมายฉบับนี้จบ ท้องฟ้าก็เริ่มมีแสงอาทิตย์ส่องมารำไร จึงเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ในซองจดหมาย แล้วใส่ในกล่องอีกครั้งอย่างจริงจัง ก่อนวางไว้ในห้องหนังสือ


 


 


ปี้เจียวที่อยู่ข้างๆ ย่อมต้องเห็นชัด และถาวจวินหลันก็ตั้งใจให้ปี้เจียวเห็น เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากนางตายไปปี้เจียวจะต้องนำจดหมายฉบับนี้ไปให้หลี่เย่อย่างแน่นอน


 


 


นางรวบรวมสมาธิเขียนจดหมายกว่าค่อนคืน จากสภาวะร่างกายของถาวจวินหลันแล้วถือว่าเกินจะรับไม่ไหวแล้ว ตอนที่รวบรวมสมาธิเขียนจดหมายยังไม่ทันรู้สึก แต่ตอนนี้ทำเสร็จแล้วก็รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก จึงเรียกให้ปี้เจียวประคองนางไปพัก


 


 


แต่ที่ถาวจวินหลันไม่รู้ก็คือ แม้ว่าปี้เจียวจะไม่รู้หนังสือ แต่นางก็พอคาดเดาได้บ้างบางส่วน หลังจากนางหลุบตาดู ก็แอบลากชุนฮุ่ยออกไปร้องไห้อยู่ที่ระเบียง และหงหลัวก็บังเอิญมาเห็นเข้า สุดท้ายบ่าวรับใช้ทั้งสามคนจึงร้องไห้หูตาแดงก่ำ


 


 


หงหลัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ปรึกษากับปี้เจี้ยวอย่างไม่มั่นใจนัก “หรือว่าเรื่องนี้พวกเราไปแอบบอกท่านอ๋องดี? อาการของชายารองถาว…”


 


 


ปี้เจียวส่ายหัว “หากชายารองรู้เข้าจะต้องไม่ชอบใจเป็นแน่”


 


 


หงหลัวกัดฟัน “ตอนนี้จะคิดเยอะขนาดนั้นได้อย่างไร”


 


 


ปี้เจียวยังคงไม่กล้า


 


 


กลับเป็นชุนฮุ่ยที่พูดแทรก ถอนหายใจ “บอกท่านอ๋องใช่ว่าจะทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ให้ท่านอ๋องไปเร่งหมอหลวงเหล่านั้น แต่ถึงเวลานั้นเกรงว่าท่านอ๋องคงต้องเข้ามาในจวนเพื่อพบชายารองอย่างไม่สนใจอะไร” ไม่ต้องพูดว่าถาวจวินหลันจะหงุดหงิด เกรงว่าคงยากที่จะรักษาหัวเอาไว้


 


 


หงหลัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจ “บอกท่านอ๋องเถิด ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรข้าก็ยอมรับ! แต่เรื่องนี้พวกเจ้าอย่าเข้ามายุ่งเลย ข้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” ถ้าจะเอาชีวิตนางจริง นางเองก็ยอม


 


 


ปี้เจียวมองหงหลัวทีหนึ่ง “เรื่องนี้จะให้เจ้าแบกรับเอาไว้ได้อย่างไร? ถ้าจะแบกรับก็ต้องแบกด้วยกัน”


 


 


ชุนฮุ่ยเองก็หัวเราะออกมา “ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนั้น ถึงเวลานั้นหากท่านอ๋องจะเข้ามาในจวนจริง พี่หงหลัวคิดหาวิธีห้ามไว้ก็พอแล้ว”


 


 


อีกอย่าง ขอแค่เพียงหลี่เย่ไม่ได้ติดเชื้อโรคระบาด ก็ไม่ต้องกังวลว่าหัวจะหลุดออกจากบ่า ถึงเวลานั้นอย่างมากก็เพียงแค่รับโทษสักรอบหนึ่งเท่านั้นเอง


 


 


แม้ว่าจะเป็นการลงโทษก็ต้องรอไปอีกสักพักใหญ่ เพราะคนที่ปรนนิบัติข้างกายถาวจวินหลันยามนี้มีเพียงพวกนางไม่กี่คนเท่านั้น


 


 


หงหลัวลงมืออย่างรวดเร็ว ตอนที่หลี่เย่รู้ข่าวว่าถาวจวินหลันป่วยหนัก ท้องฟ้าก็เพิ่งจะมืดสนิท


 


 


ที่จริงเขาเองก็คาดการณ์เอาไว้นานแล้วว่าจะต้องมีวันเช่นนี้ อย่างไรเขาก็รู้อาการของโรคระบาดดี ถาวจวินหลันทนมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีกว่าคนอื่นมากแล้ว


 


 


แต่เขาก็ยังคิดว่าเร็วเกินไปอยู่ดี


 


 


พริบตาเดียว เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร


 


 


สุดท้ายแล้วหลี่เย่ก็พยักหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน” พอภายในห้องเหลือเขาเพียงคนเดียว เขาถึงได้ก้มหัวปิดหน้าทันที


 


 


เขายังทำอะไรได้อีก? เขาทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เวลานี้หลี่เย่เสียใจที่ตนเองไม่ใช่หมอ ความรู้สึกหงุดหงิดที่ตนเองไม่รู้วิชาแพทย์พลันพลุ่งพล่าน หากเขารู้วิชาแพทย์ อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งรออยู่ที่นี่


 


 


รสชาติของการรอคอยนั้นทรมานเกินไป เทียบได้กับเอาคนไปตั้งไว้บนกองไฟอย่างไรอย่างนั้น


 


 


แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองยังทำอะไรได้อีก สิ่งที่ควรทำเขาก็ทำหมดแล้ว บรรดาหมอที่อยู่นอกเมืองก็มีกว่าเจ็ดแปดคนที่ติดเชื้อโรคระบาดไปแล้ว และคนของกรมหมอหลวง ก็ถูกเขา ‘ตักเตือน’ ไปแล้วรอบหนึ่งเช่นกัน


 


 


 


 


 


 


เขารู้สึกไร้ที่พึ่งงอย่างถึงที่สุด ความรู้สึกที่ได้แต่นิ่งอยู่กับที่ เขาเคยมีแค่ตอนที่มารดาของเขาเสียชีวิต เขาไม่ชอบใจความรู้สึกนี้มาก เขาเคยสาบานมาก่อนว่าไม่มีทางให้ตนเองตกหลุมไร้ที่พึ่งเช่นนี้อีก แต่ตอนนี้…


 


 


หลังจากรู้สึกไร้ที่พึ่งแล้ว ก็คือความเกลียดแค้น


 


 


“คุณชายสามของจวนเหิงกั๋วกงเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาเรียกหลิวเอินเข้าพบ ใบหน้าของหลี่เย่ไร้อารมณ์ หรี่ตามองแล้วถาม


 


 


หลิวเอินคาดเดาได้ว่าหลี่เยาจะต้องถามเช่นนี้แน่นอน จึงตอบว่า “ร่างกายเริ่มอ่อนแอมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงบอกว่าอย่างมากก็ทนได้อีกแค่สิบวันเท่านั้น”


 


 


หลี่เย่ยิ้มเย็น “สิบวันนานเกินไปแล้ว”


 


 


ความหมายนี้คือ ต้องการส่งคุณชายสามของจวนเหิงกั๋วกงไปสวรรค์ก่อนกำหนด หลิวเอินไม่แปลกใจแม้แต่น้อย พยักหน้ารับปากทันที ก่อนยิ้มรายงานว่า “ที่จริงแล้วยังมีข่าวดีอีกหนึ่งเรื่องพ่ะย่ะค่ะ ท่านฮูหยินและฮูหยินของจวนเหิงกั๋วกงเริ่มมีอาการเชื้อโรคระบาดแล้ว”


 


 


หลี่เย่กลับไม่ขบขันแม้แต่น้อย “ไม่ใช่ว่าตัวเหิงกั๋วกงติดเชื้อเองเสียหน่อย มีอะไรน่าดีใจ?” ต่อให้เหิงกั๋วกงติดเชื้อเอง อาการของถาวจวินหลันก็ทำให้เขากังวลอยู่ดี


 


 


หลิวเอินลอบถอนหายใจ ไม่กล้าพูดอะไรอีก แล้วขอตัวกลับไป ตัวเขาเองก็อยากให้เหิงกั๋วกงติดเชื้อโรคระบาด แต่ตัวเหิงกั๋วกงไม่ได้อาศัยที่จวนเหิงกั๋วกงแล้ว แต่ไปพักอยู่บ้านญาติตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน ไม่กลับไปเลยแม้แต่น้อย แล้วจะมีโอกาสจากที่ไหนกัน?


 


 


แต่แม้ว่าเหิงกั๋วกงจะไม่มีทางติดเชื้อโรคระบาดได้ แต่ก็ทำให้การที่เหิงกั๋วกงต้องปวดหัวเพราะเรื่องโรคระบาดได้


 


 


ฎีการ้องเรียนอีกฉบับหนึ่งถูกส่งไปให้ฮ่องเต้ คราวนี้ยังแนบหลักฐานไปด้วย เขียนชัดแจ้งแม้แต่ที่พักซ่อนตัวของเหิงกั๋วกง


 


 


ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ก็ได้สืบแล้ว แต่จวนเหิงกั๋วกงปิดบังเอาไว้อย่างแน่นหนา ดังนั้นจึงยังสืบสาวอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้ ฮ่องเต้หันไปสั่งขันทีเป่าฉวนเสียงเย็น “เจ้าไปเชิญเหิงกั๋วกงให้เข้าวังหลวงด้วยตนเองสักรอบซิ”


 


 


ขันทีเป่าฉวนรู้อยู่แก่ใจว่าฮ่องเต้โมโหจริงๆ แล้ว จึงรีบรับคำสั่งและออกไปจัดการทันที


 


 


คิดได้เลยว่า พอเหิงกั๋วกงเห็นขันทีเป่าฉวนจะมีท่าทีตื่นตกใจมากเพียงใด


 


 


เหิงกั๋วกงถูกกั้นแยกแล้ว ทหารองครักษ์ที่เฝ้าดูก็มากกว่าจวนตวนชินอ๋องกว่าเท่าตัว อีกทั้งยังตำหนิเหิงกั๋วกงโดยตรง ไม่เพียงแค่เหิงกั๋วกงที่โดนกั้นแยก ยังเรียกฮองเฮามาเข้าพบ “เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”


 


 


ฮองเฮาตกใจ นางรู้ดีว่าฮ่องเต้กำลังสงสัยตนเองอยู่ ย่อมไม่กล้ายอมรับ เพียงแค่พูดว่า “หม่อมฉันไม่ทราบว่าฮ่องเต้พูดถึงเรื่องอะไรเพคะ?”


 


 


ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น โยนฎีการ้องเรียนเหิงกั๋วกงไปเบื้องหน้าฮองเฮา พูดเย้ยหยันว่า “ฮองเฮาไม่รู้จริงหรือว่าเรื่องอะไร?” พูดไปแล้วใครจะเชื่อ?


 


 


ฮองเฮาอ่านฎีกานั้นจบก็ตกใจจนหน้าถอดสี รีบคุกเข่าลงไป “ฮ่องเต้ได้โปรดระงับโทสะ หม่อมฉันขอยอมรับโทษแทนพี่ชายเพคะ!”


 


 


ฮ่องเต้มองฮองเฮานิ่ง ไม่พูดอะไรพักใหญ่ พอเอ่ยปากกลับพูดว่า “ข้าคิดมาตลอดว่าฮองเฮาเป็นคนมองภาพรวม รู้กฎเกณฑ์เป็นอย่างดี และคิดว่าเหิงกั๋วกงก็เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่า”


 


 


ฮองเฮากัดฟันแน่น “คิดว่าพี่ชาย พี่สะใภ้ และท่านแม่คงเลอะเลือนไปเป็นแน่ ถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้เพคะ”


 


 


“ตอนที่พบโรคระบาด เหิงกั๋วกงฮูหยินเข้าวังหลวงมาพบพระชายาองค์รัชทายาทรอบหนึ่ง” ฮ่องเต้รู้เรื่องเหล่านี้มาก่อนแล้ว จึงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ แฝงความเย็นเยียบเอาไว้


 


 


ฮองเฮาจิกฝ่ามือตนเองอย่างแรง แล้วถึงพูดอย่างสงบนิ่งว่า “พระชายาองค์รัชทายาทยังอายุน้อยเพคะ แล้วนั่นก็เป็นบ้านของนาง หม่อมฉันจะต้องสั่งสอนนางให้ดีเพคะ ต่อจากนี้จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก”


 


 


ฮ่องเต้ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ แต่กลับเปลี่ยนเรื่อง “จวนเหิงกั๋วกงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฮองเฮาคิดว่าควรจะลงโทษเช่นไร? ข้าเคยพูดไว้แล้วว่า หากเกิดโรคระบาดในเมืองหลวงจะต้องแจ้งแยกห่างในทันที ป้องกันคนจำนวนมากติดเชื้อ! แต่จวนเหิงกั๋วกงยังทำเช่นนี้…”


 


 


ฮองเฮานิ่งไป นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะถามตนเอง แต่เมื่อสบตากับสายตาล้ำลึกของฮ่องเต้ นางก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ นางเข้าใจความหมายของฮ่องเต้แล้ว


 


 


หากนางขอร้องแทนจวนเหิงกั๋วกง เกรงว่าฮ่องเต้จะโมโหมากกว่าเดิม แต่หากนางไม่ขอร้อง นางก็ไม่อาจลำเอียงได้แม้แต่น้อย แต่นั่นเป็นบ้านของนาง หากนางยุติธรรมเที่ยงตรงไม่เห็นแก่หน้าใครเลย คนอื่นจะมองนางอย่างไร?


 


 


ฮ่องเต้ทำเช่นนี้เพราะต้องการลงโทษนาง! ฮองเฮาพลันขมขื่นเต็มอก แต่ใบหน้านั้นทำได้เพียงนิ่งสงบ 

 

 


บทที่ 465 คำพูดไม่ดี

 

สุดท้ายฮองเฮาก็ตัดสินใจพูดว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชสำนัก หม่อมฉันเป็นคนในวังหลัง หม่อมฉันไม่อาจเข้าไปยุ่งเพคะ ส่วนเรื่องลงโทษ ไม่ว่าฮ่องเต้จะสั่งบทลงโทษอะไรมา จวนเหิงกั๋วกงก็ไม่กล้าอิดออดแน่นอนเพคะ”


 


 


ฮ่องเต้มองฮองเฮาวูบหนึ่ง พูดเนิบๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลดตำแหน่งลงมาขั้นหนึ่งแล้วกัน”


 


 


ลดตำแหน่งลงมา พูดแล้วที่จริงก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร มีใครบ้างไม่อาศัยเบี้ยหวัดจากตำแหน่งมาเลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งกงหรือว่าโหว สวัสดิการก็ไม่ได้ต่างกันมาก แต่ที่สำคัญคือ หลังจากลดตำแหน่งขุนนางแล้ว เหิงกั๋วกงคงต้องขายหน้ามาก เกรงว่าจวนเหิงกั๋วกงคงไม่อาจลืมตาอ้าปากในราชสำนักได้ช่วงหนึ่ง


 


 


ฮองเฮารู้สึกขมขื่น แต่กลับไม่สามารถแสดงออกมาได้แม้แต่น้อย เพียงแค่ทำความเคารพ พูดออกมาอย่างจริงใจ “ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่เมตตาเพคะ” การที่ปฏิบัติอย่างเป็นธรรมอย่างรวดเร็วเช่นนี้ถือว่าเป็นบุญคุณของกษัตริย์ เรื่องนี้ฮองเฮารู้ดี


 


 


อีกอย่างไม่ว่าจะเป็นใครก็จะต้องชื่นชมฮ่องเต้ว่าใจกว้างมีเมตตา อย่างไรจวนเหิงกั๋วกงทำเรื่องเช่นนี้ เพียงแค่ลดระดับลงไปขั้นหนึ่ง และไม่ได้ลงโทษอย่างอื่นด้วย ก็ถือว่าเมตตาตั้งเท่าไรแล้ว


 


 


ฮ่องเต้ไม่สนใจฮองเฮา “ไม่มีครั้งหน้าอีก เจ้ากลับไปเถิด”


 


 


ตอนที่ฮองเฮาได้ยินคำว่า ‘ไม่มีครั้งหน้าอีก’ ก็อดกำนิ้วแน่นไม่ได้ ฮ่องเต้กำลังตักเตือนนางและจวนเหิงกั๋วหงอย่างเปิดเผย ว่าหากทำผิดอีก ไม่มีทางง่ายดายเช่นนี้เป็นแน่


 


 


คิดอยู่ครู่หนึ่ง ฮองเฮาก็โขกศีรษะลงไปอีกครั้ง พูดว่า “เรื่องนี้หม่อมฉันเองก็มีความผิด เป็นหม่อมฉันที่ไม่สอนพระชายาองค์รัชทายาทและครอบครัวของนาง หม่อมฉันยินยอมปิดประตูสำนึกผิดเพคะ”


 


 


ฮ่องเต้เงยหน้ามองอย่างแปลกใจเล็กน้อย หัวเราะครู่หนึ่งก็พูดว่า “ในเมื่อเจ้าพูดเอง ก็ปิดไปสักเดือนหนึ่งเถิด พระชายาองค์รัชทายาทก็ด้วย” แม้ว่าองค์รัชทายาทจะเปี่ยมคุณธรรมเพียงใด แต่ถ้ามีคนในบ้านแบบนี้ ก็จะต้องถูกลากไปในทางเสียเป็นแน่


 


 


ฉับพลันฮ่องเต้ก็ขบขัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้องค์รัชทายาทรู้มากเพียงใด? แล้วมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่?


 


 


ขณะที่จวนเหิงกั๋วกงเริ่มถูกโรคระบาดกัดกิน อาการของถาวจวินหลันก็แย่ลง


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว ทุกวันนางตื่นมาไม่เกินสองชั่วยาม เวลานอกเหนือจากนั้นก็หลับอยู่ตลอด ร่างกายก็มีไข้รุมอยู่ตลอดเช่นกัน ทั้งร่างรู้สึกหนักอึ้งจนพูดไม่ออก


 


 


แม้กระทั่งตัวนางเองก็ยังรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของตนเอง นางถึงได้เรียนรู้ว่าอะไรเรียกว่าน้ำมันหมดไฟก็มอด มิน่าเล่าคนอื่นล้วนพูดว่า ตนเองย่อมรู้สังขารตนเองดีที่สุด ดีหรือไม่ดี อ่อนแอหรือแข็งแรง เพียงปราดเดียวก็รู้แล้ว


 


 


ยามนี้เจียงอวี้เหลียนเหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายแล้ว


 


 


ถาวจวินหลันคิดอย่างโศกเศร้าว่า บางทีรอหลังจากโรคระบาดครั้งนี้ผ่านไปแล้ว โลงศพที่ถูกแบกออกจากประตูใหญ่ของจวนตวนชินอ๋องคงต้องมีกว่าสามใบแล้ว คนที่นำไปก่อนคือหลิวซื่อ จากนั้นก็เป็นนางและเจียงอวี้เหลียน


 


 


ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นหลี่เย่จะเสียใจหรือไม่? หวังว่าเขาคงไม่ทำเรื่องโง่ๆ เพียงเพราะโศกเศร้า


 


 


ถาวจวินหลันคิดไปเรื่อยเปื่อย แต่กลับทนความง่วงงุนไม่ได้จึงหลับไปอีกครั้ง


 


 


ปี้เจียวหันไปสบตาชุนฮุ่ยทีหนึ่ง พบว่าในสายตาของอีกฝ่ายหวาดกลัวและเป็นกังวลเหมือนตนเอง ครั้งนี้ถาวจวินหลันตื่นมาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ แม้แต่เวลาป้อนข้าวต้มถ้วยหนึ่งก็ยังไม่พอ


 


 


แม้กระทั่งตัวนางเองก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของตนเอง และนางก็รู้ว่าอะไรเรียกน้ำมันหมดไฟก็มอด มิน่าคนอื่นอาการทรุดหนัก เกรงว่าคงไม่ใช่แค่โรคระบาดที่ทรมานคน แต่เป็นความหิวที่ฆ่าคนตาย นอกจากป้อนน้ำและน้ำแกงบำรุงเข้าไปแล้ว ความจริงสองวันมานี้ถาวจวินหลันไม่อยากอาหารอีกแล้ว ร่างกายของนางผ่ายผอมอ่อนแรงลงด้วยความเร็วที่ตามองเห็น


 


 


เสื้อผ้าก่อนหน้านี้ที่พอดีตัว ตอนนี้กลับเหมือนชุดคลุม แขวนอยู่บนร่างอย่าหละหลวม ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกทนไม่ได้


 


 


“เมื่อไรจะคิดยารักษาได้กัน?” ปี้เจียวทนไม่ไหวอีกต่อไป เริ่มส่งเสียงร้องไห้ แต่ก็ยังไม่กล้าร้องเสียงดัง พยายามกลั้นเสียงเอาไว้ เสียงร้องไห้แบบนี้กลับดูเจ็บปวดมากกว่าร้องไห้เสียงดัง  และส่งผลกระทบกับคนรอบข้างได้ง่ายขึ้น


 


 


ชุนฮุ่ยก็เริ่มมีน้ำตาไหลอาบแก้ม


 


 


ตอนนี้ต้องรายงานอาการของถาวจวินหลันให้หลี่เย่ทราบทุกวัน ตั้งแต่หลี่เย่รู้ว่ถาวจวินหลันไม่อยากอาหารแล้ว ก็หงุดหงิดไม่พอใจทันที เขารู้ว่านี่หมายความว่าอะไร


 


 


คนทั่วไปมีคำพูดว่า ขอเพียงกินได้ ไม่ว่าป่วยหนักอย่างไรก็ไม่มีปัญหา หากกินอะไรไม่ลงนั่นถือว่าอันตราย


 


 


คนไม่กินไม่ดื่มจะมีแรงทนไหวได้อย่างไร? อีกทั้งร่างกายก็มีอาการเจ็บป่วยอีกด้วย


 


 


หากถาวจวินหลันเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่อาจทนได้นานกว่านี้เป็นแน่


 


 


หลี่เย่รู้สึกได้ถึงความอันตราย สุดท้ายแล้ว เขาก็นั่งไม่ติดที่อีกต่อไป หยิบเสื้อคลุมเดินออกไปนอกประตู ส่งเสียงสั่งหวังหรูเบาๆ ว่า “ไป ออกนอกเมือง”


 


 


หวังหรูตกใจมาก รีบดึงหลี่เย่เอาไว้สุดกำลัง ปากก็พูดกล่อมว่า “นายท่านจะทำอะไร? ตอนนี้สถานการณ์ด้านนอกเป็นเช่นนั้น จะไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


หลี่เย่กวาดมองมือของหวังหรูที่จับตนเอง หวังหรูพลันรู้สึกเหมือนมีใบมีดบาดผ่านมือของตนเองไป แทบอยากจะปล่อยมือออกทันที


 


 


แต่เขาจะกล้าปล่อยมือได้อย่างไร? แม้นออกนอกเมืองแล้วไม่ติดเชื้อกลับมาตาย แต่หลังจากกลับมาแล้วก็ต้องถูกโบยจนตายเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่อาจปล่อยมือได้!


 


 


“กินยาเข้าไปแล้ว ไม่ติดเชื้อเป็นแน่” หลี่เย่พูดเนิบๆ “หากเจ้ายังห้ามอีก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าก็ไม่ต้องมารับใช้ข้างกายข้าอีก วันนี้ข้าจำต้องออกไปนอกเมืองสักครั้ง”


 


 


หวังหรูยังไม่กล้าปล่อยมือ


 


 


“ในเมื่อไม่ยอมให้ข้าไป เจ้าก็ไปแทนข้า” หลี่เย่เห็นหวังหรูเป็นเช่นนี้ ก็ไม่อยากเสียเวลาต่อไป จึงพูดให้เป็นกลางที่สุด


 


 


หวังหรูผ่อนลมหายใจ แล้วก็หัวเราะขมขื่น แต่เมื่อคิดว่าตนเองไปเสี่ยงอันตรายดีกว่าให้เจ้านายไป เขาก็รับปากทันที


 


 


“เจ้าไปถาม ว่าพวกเขาจะรู้ผลเมื่อไรกันแน่?” หลี่เย่หรี่ตาลง ทั้งร่างมีไอเย็นเยียบ “บอกพวกเขา หากชายารองของจวนข้าตายเพราะโรคระบาดนี้ พวกเขาก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป”


 


 


หวังหรูตกใจยกใหญ่เพราะคำพูดนี้ของหลี่เย่ ความหมายของคำพูดของเจ้านายนั้น หากชายารองตายไป เขาจะฆ่าคนเพื่อให้ชดใช้อย่างนั้นหรือ?


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว หลี่เย่เพียงแค่ตั้งใจพูดขู่เท่านั้น หากจะฆ่าหมอจำนวนมากขนาดนี้ เขาคงไม่มีอำนาจไปทำแบบนั้น มากที่สุดก็ปล่อยออกไปนอกวังหลวง ไม่ให้กลับมาอีกตลอดไปเท่านั้น


 


 


แต่หวังหรูกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาพึมพำอยู่ในใจ ผลกระทบที่ชายารองมีต่อท่านอ๋อง มากเกินไปหน่อยแล้ว


 


 


หลี่เย่มองดูหวังหรูออกจากเมือง เขาก็ไม่รู้จะต้องทำอะไรต่อไป แต่เมื่อเดินออกมาจากห้องแล้ว เขาก็ไม่อยากกลับไปอีก ตัดสินใจเดินไปตามทางบ้านตระกูลถาว ที่จริงแล้วส่วนที่เขาพักคือเรือนด้านนอก แต่องค์หญิงเก้าและถาวจิ้งผิงสั่งเอาไว้นานแล้วว่าไม่ต้องห้ามเขา ภายในบ้านนี้เขาเดินไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ


 


 


เมื่อเดินไปมาเช่นนี้ จนเดินเข้ามาถึงสวนดอกไม้ในเรือนในหลี่เย่ก็ยังไม่รู้สึกตัว ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้สมาธิของเขาไม่ได้อยู่ที่ภาพบรรยากาศ เพียงแค่เดินไปเรื่อยๆ อย่างเหม่อลอย แค่ระวังไม่ให้ตนเองล้มเท่านั้น


 


 


ตอนนี้ใกล้ถึงเดือนเก้าแล้ว บรรยากาศเริ่มเย็นแล้วไม่พอ ต้นไม้ดอกไม้ภายในสวนก็เริ่มร่วงหล่น และยิ่งมีใบไม้สีแดงของต้นเฟิงที่ปลูกเอาไว้ มองไกลๆ ดูแล้วเหมือนกับประกายไฟลูกใหญ่


 


 


หลี่เย่คิดถึงสมัยตอนที่ยังอยู่ในวังหลวงกับถาวจวินหลัน ตอนที่เขาให้ถาวจวินหลันอยู่ดูต้นเฟิงเป็นเพื่อนเขานั้น ในตอนนั้นกุ้ยฮวาเจียง*เพิ่งทำเสร็จ ถูกนางเอามาทำเป็นขนมหวานต่างมากมาย กินเข้าไปแล้วนั้นไม่เพียงแค่หวานหอม และแม้แต่บรรยากาศก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นหอมชวนดม ทำให้ความเยือกเย็นฤดูใบไม้ร่วงหายไปหมด


 


 


ในตอนนั้นเขาก็คิดว่า หากเขาได้ใช้ชีวิตร่วมกับนางทุกวัน ผ่านฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวด้วยกันทุกปี เกรงว่าชาตินี้ชีวิตของเขาคงจะไม่รู้สึกหนาวเหน็บเยือกเย็นอีกต่อไป


 


 


หลี่เย่อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ายังมีเวลาอีกมาก ดังนั้นจึงละเลยถาวจวินหลันอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้เมื่อคิดดูแล้วเขากลับหงุดหงิดจนอดตบหน้าตัวเองแรงๆ ทีหนึ่งไม่ได้


 


 


“พี่รอง” เสียงอ่อนหวานดังมา หลี่เย่เบนหน้าไปมองก็พบว่าเป็นองค์หญิงเก้ากับบ่าวรับใช้สองคนยืนอยู่ไม่ไกลจากตน ไม่รู้ว่ายืนอยู่นานเท่าไรแล้ว


 


 


หลี่เย่ยิ้มบางๆ ตามความเคยชิน “น้องเก้า”


 


 


“พี่รอง วันนี้ออกมาเดินข้างนอกได้แล้วหรือ ปกติไม่เห็นท่านออกมา ข้าเองก็ไม่กล้าไปรบกวนท่าน” องค์หญิงเก้าพูดกล่าวโทษอย่างไม่จริงจัง ยิ้มพลางเดินก้าวขึ้นมา “พี่รองต่อจากนี้ไปก็ต้องทำเหมือนวันนี้นะเพคะ หมกตัวอยู่ในห้องดื่มเหล้าทุกวันได้เรื่องที่ไหนกัน?”


 


 


หลี่เย่หัวเราะ ไม่พูดอะไร ดูแล้วไม่ได้เก็บไปใส่ใจ ในเวลานี้ หากไม่กินเหล้าให้ตัวเองชินชา เขาไม่เพียงนอนไม่หลับ แต่กลัวว่าจะทำเรื่องที่ไม่สมควรด้วย


 


 


“ถ้าจะให้ข้าพูด พี่รองไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนี้” องค์หญิงเก้าให้บ่าวรับใช้ถอยไปไกล แล้วก็เดินเข้ามายืนเคียงไหล่กับหลี่เย่ช้าๆ “ซวนเอ๋อร์และหมิงจู แล้วยังมีเซิ่นเอ๋อร์ยังสบายดีมิใช่หรือเจ้าคะ? พี่รองไม่ชอบหลิวซื่อ ครั้งนี้ก็เปลี่ยนชายาเอกได้พอดี ไม่มีอะไรไม่ดี ส่วนชายารองถาวน คิดว่านางเองก็ต้องปลอดภัยเช่นกัน”


 


 


หลี่เย่เก็บรอยยิ้มมององค์หญิงเก้าทีหนึ่ง “เจ้าไม่เข้าใจ”


 


 


องค์หญิงเก้า “ที่จริงแล้วข้าไม่เข้าใจมาตลอดว่าทำไมพี่รองถึงได้ชอบชายารองถาว แม้ว่านางจะดีแต่ก็มิใช่ว่าทั้งใต้หล้าจะไม่มีสตรีที่ดีกว่านาง เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย?”


 


 


หลี่เย่ยิ้มบางๆ “ไม่ใช่เพราะว่านางดี” แต่นางพิเศษกว่าคนทั่วไป แม้ว่าคนอื่นจะดีกว่าก็ไม่ใช่ถาวจวินหลัน ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย


 


 


“ท่านทำดีกับนางเช่นนี้แล้วนางทำอะไรบ้าง?” องค์หญิงเก้าเริ่มกล่าวโทษ “นางหลอกใช้ท่าน แล้วยังสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอีกมากมาย จุดประสงค์ของนางใครๆ ก็ดูออก นางใจกล้ามากเกินไป มินาเล่าไทเฮาถึงไม่ชอบนาง”


 


 


หลี่เย่มององค์หญิงเก้าอย่างแปลกใจ เขาคิดมาตลอดว่าองค์หญิงเก้าชื่นชอบถาวจวินหลันมาก แต่คำพูดขององค์หญิงเก้าในวันนี้…


 


 


“ก่อนหน้านี้ข้าชอบนางมากก็จริง แต่พี่รองไม่เห็นหรือว่านางไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว?” องค์หญิงเก้าถอนหายใจ พูดเนิบๆ หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “ท่านใส่ใจนางเช่นนี้แล้วนางเคยทำแบบนี้กับท่านหรือไม่? เกรงว่าสิ่งที่นางใส่ใจมากที่สุดก็คือชื่อเสียงของนางเท่านั้น องค์หญิงแปดมีประโยชน์ต่อนาง นางยิ่งสนิทกับองค์หญิงแปดมากกว่าข้าอยู่หลายเท่าตัว”


 


 


 


 


*กุ้ยฮวาเจียง คือแยมดอกกุ้ยฮวา 

 

 


บทที่ 466 สองวัน

 

คำพูดขององค์หญิงเก้าแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ หลี่เย่กลับไม่ได้เก็บเอาไปใส่ใจ เพียงแค่ยิ้มปลอบองค์หญิงเก้าว่า “ตำแหน่งไม่เหมือนกัน เรื่องที่ต้องเผชิญหน้าก็ไม่เหมือนกัน แล้วจะเหมือนเดิมได้อย่างไร?” หากชายารองของตวนชินอ๋องอากัปกิริยาเหมือนนางกำนัล ถ้าเช่นนั้นก็ทำให้เขาปวดใจมากจริงๆ


 


 


อีกอย่างเขาเองก็ไม่รู้สึกว่าถาวจวินหลันมีอะไรไม่ดี


 


 


กลับเป็นองค์หญิงเก้า เขาเบนหน้าไปมององค์หญิงเก้าทีหนึ่ง พูดเตือนว่า “อย่ากล่าวเช่นนี้ให้จิ้งผิงได้ยิน” ถาวจวินหลันเป็นพี่สาวของเขา ภรรยาของตนเองพูดจาไม่ดีต่อพี่สาวของตนเอง แม้ว่าใบหน้าของเขาไม่แสดงออกมา แต่ต้องไม่พอใจแน่นอน


 


 


องค์หญิงเก้าเม้มปาก นางจนปัญญา ไม่สามารถพูดโน้มน้าวหลี่เย่ได้แม้แต่น้อย ความโกรธพลันพลุ่งพล่าน นางอดพูดอย่างเง้างอดไม่ได้ว่า “พี่รอง ท่านไม่กลัวนางจะทำลายอนาคตของท่านหรืออย่างไรเพคะ? หากมีนางอยู่ จะมีหญิงสาวดีๆ คนไหนยินยอมแต่งงานเป็นชายาเอกของท่าน? มีลูกจากอนุภรรยาสองคนแล้วไม่พอ ยังมีชายารองเช่นนี้อีกคน ใครจะยอม?”


 


 


“ข้ารู้ดี” หลี่เย่พยักหน้า แต่กลับไม่อาจพูดเรื่องนี้ต่อไปได้ ในความเป็นจริงแล้ว เขายังไม่คิดเรื่องตบแต่งชายาเอกคนใหม่ อีกทั้งตอนนี้เขาก็ไม่อาจแบ่งความสนใจไปที่เรื่องเหล่านั้นได้ สิ่งที่เขาใส่ใจมากที่สุดตอนนี้ก็คือถาวจวินหลัน


 


 


เมื่อเห็นองค์หญิงเก้าตั้งท่าจะพูดต่อ หลี่เย่ก็รู้สึกจนปัญญา “หากเจ้ามีเวลาก็ควรไปดูแลจิ้งผิง ว่าไปแล้ว เกิดเรื่องอะไรระหว่างพวกเจ้า?”


 


 


เมื่อพูดถึงถาวจิ้งผิง องค์หญิงก้าวก็ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกต่อไป เพียงแค่ส่ายหัวพูดเนืบๆ “ไม่มีอะไรเพคะ” แต่แค่มองดูท่าทีก็รู้ จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่


 


 


“แม้ว่าเจ้าจะเป็นองค์หญิง ก็ไม่ควรวางท่าให้มากเกินไป ถาวจิ้งผิงเป็นคนใช้ได้ เจ้าอย่าเอาแต่ใจมากเกินไป” จากที่หลี่เย่ดูแล้ว องค์หญิงเก้าได้สามีดีแบบถาวจิ้งผิงก็ถือว่าหายากแล้ว โดยเฉพาะองค์หญิงเก้าไม่ค่อยได้รับความโปรดปราน แต่ได้คู่สมรสดีเช่นนี้ถือว่าไม่ง่าย ควรต้องรักษาเอาไว้ให้ดี


 


 


“พี่รองท่านไม่รู้หรอก เขา…” องค์หญิงเก้ากระทืบเท้า แต่กลับไม่ยอมพูดต่อ สุดท้ายแล้วก็พูดอีกว่า “สรุปแล้วคือเขาไม่ดี”


 


 


หลี่เย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “เขารับอนุภรรยาอย่างนั้นหรือ?” จากที่เขาดูแล้วมีเพียงปัญหานี้เท่านั้นที่รุนแรงขนาดนี้


 


 


องค์หญิงเก้าตะลึงไป แล้วก็ส่ายหน้าขมวดคิ้วแน่นพูดว่า “เขาบังอาจ! ข้าเป็นองค์หญิงนะ!”


 


 


หลี่เย่มองดูท่าทีเช่นนี้ขององค์หญิงเก้า ฉับพลันก็หัวเราะออกมา “ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนกับตอนอยู่ในวังหลวงอีกแล้ว” ตอนที่อยู่ในวังหลวง องค์หญิงเก้าระมัดระวังมาก ปกติแล้วไม่กล้าพูดเสียงดัง แต่ตอนนี้ดูแล้ว…


 


 


องค์หญิงเก้าตะลึงไป เงียบอยู่ครู่ใหญ่


 


 


แล้วหลี่เย่ที่ก็พูดแฝงนัย “มีอะไรให้ไม่กล้าเล่า? แม้ว่าจะไม่ดีหากบอกให้เจ้ารู้ แต่เขาเลี้ยงดูไว้ข้างนอกแล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไร? เขาโดเด่นถึงเพียงนั้น แล้วยังอายุน้อยอีก ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวมากขนาดไหนที่อยากจะโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดเขา พวกบรรดาสามีจากตระกูลใหญ่เก่าแก่ที่อนาคตไม่ได้ดีเท่าไรนัก ยังสู้เขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาได้รับความเชื่อถือจากฮ่องเต้ หากเขาอยากมีอนุ แค่ขอร้องให้ฮ่องเต้ประทานให้สักสองสามคนก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”


 


 


ฮ่องเต้ไม่มีทางใส่ใจองค์หญิงเหล่านี้ ในความเป็นจริงแล้วตั้งแต่เล็กจนโต ฮ่องเต้ก็เข้าพบองค์หญิงเก้าน้อยครั้งมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรักใคร่เอ็นดูเลย


 


 


อีกอย่างในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ก็จะต้องอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิต อย่างไรองค์หญิงเก้าก็เป็นน้องสาวของตน และถาวจิ้งผิงก็เป็นน้องชายของถาวจวินหลัน เขาย่อมต้องคาดหวังให้ทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดี ที่เขาพูดเช่นนี้ไม่เพียงแค่เพราะองค์หญิงเก้า แต่ก็ยังพูดแทนถาวจิ้งผิงอีกด้วย


 


 


จากที่แต่เดิมองค์หญิงเก้าตั้งใจพูดเกลี้ยกล่อมหลี่เย่ แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายหลี่เยาจะพูดกับนางเช่นนี้ นางจึงเลิกคิดเรื่องก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว นางรวบรวมสมาธิทั้งหมดมาวิเคราะห์คำพูดของหลี่เย่


 


 


เพียงไม่นาน จากที่องค์หญิงเก้าตั้งใจจะพูดกับหลี่เย่ว่าตนเองมีปัญหาอะไรกับถาวจิ้งผิง แต่เมื่อคำพูดมาอยู่ปลายริมฝีปาก นางกลับต้องกลืนลงไป


 


 


“พี่รองเก็บเรื่องที่ข้าบอกไปคิดให้ดีเถิดเพคะ” เมื่อไม่มีอารมณ์จะเดินชมสวนอีก องค์หญิงเก้าก็ทิ้งคำพูดนี้ไว้ให้หลี่เย่ แล้วคิดจะกลับไป


 


 


หลี่เย่พยักหน้า แต่กลับไม่ได้เก็บไปใส่ใจ จากที่เขาดูแล้ว ถาวจวินหลันสำคัญกว่าทุกเรื่อง ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเขาก็ไม่สนใจ


 


 


พอถึงแก่เวลาแล้ว คิดว่าหวังหรูคงกลับมาแล้ว หลี่เย่ถึงได้กลับไปยังที่พักของตน


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง?” หลี่เย่ไม่รอให้หวังหรูทำความเคารพ ก็ถามออกมาตรงๆ


 


 


หวังหรูเหลือบมองหลี่เย่วูบหนึ่ง สุดท้ายก็พูดว่า “ได้ยินมาว่าเกือบจะได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หลี่เย่ขมวดคิ้วสีหน้าดำคล้ำ “อะไรเรียกว่าเกือบแล้ว? แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร!”


 


 


หวังหรูทำได้แค่พูดตามความจริง “ได้คิดค้นเทียบยาแรกออกมาแล้วขอรับ แต่ยังไม่ได้ทดลองฤทธิ์ยา เกรงว่ายังต้องใช้เวลาอีกเจ็ดวันพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หลี่เย่ได้ยินก็ดีใจ แต่สุดท้ายก็พูดออกมาอย่างเกรี้ยวโกรธ “เจ็ดวัน! รออีกเจ็ดวันได้ที่ไหนกัน!” ตอนนี้ถาวจวินหลันอาการหนักขนาดนั้นแล้ว รออีกเจ็ดวันจะเป็นอย่างไร? เกรงว่าไม่ต้องเดาก็รู้ได้แล้ว!


 


 


หลี่เย่คิดว่าหมอพวกนี้ไร้ประโยชน์ นี่ผ่านมาตั้งกี่วันแล้ว? มีคนต้องตายเพราะโรคระบาดนี้มากเพียงใด? แต่พวกเขากลับยังคิดค้นเทียบยาไม่ได้!


 


 


“มากที่สุดสามวัน! ไม่ สองวัน!” หลี่เย่พูดอย่างดุร้าย “หากสองวันต่อจากนี้ยังไม่ได้วิธีรักษา อย่ามาโทษว่าข้าเลือดเย็นไร้หัวใจ”


 


 


ถาวจวินหลันรอไม่ได้ เขาเองก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตราย ถ้าไม่ใช่เพราะคำนึงว่าเทียบยายังไม่สมบูรณ์ กลัวว่ากินแล้วเกิดปัญหา เขาก็ไม่อยากรอนานแม้เพียงน้อย


 


 


หวังหรูได้ยินเช่นนั้นก็หน้าดำคล้ำ สองวัน? ท่านอ๋องประเมินพวกเขาสูงเกินไปแล้ว


 


 


แต่หลี่เย่ได้พูดออกมาแล้ว อีกทั้งหวังหรูก็เข้าใจว่าภายในจวนตวนชินอ๋องมีคนจำนวนมากรอให้เขากลับไปช่วย เขาจึงไม่โน้มน้าวหลี่เย่อีก ในใจคิดว่าสร้างความกดดันให้พวกเขาถึงจะดี แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือ คนที่ลำบากใจและปวดหัวไม่ใช่เขาเสียหน่อย


 


 


ไม่ต้องพูดว่าหลี่เย่จะไปข่มขู่หมอเหล่านั้นอย่างไร หลี่เย่คิดแล้วก็ให้คนไปบอกข่าวนี่กับคนใจจวน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้คนในจวน


 


 


อีกทั้งเขายังอยากให้ถาวจวินหลันรู้ว่า เทียบยาได้ออกมาแล้ว ขอเพียงแค่อดทนรอเท่านั้น อย่างน้อยก็ทำให้นางสบายใจเล็กน้อยมิใช่หรืออย่างไร?


 


 


แต่หลี่เย่กลับคิดไม่ถึงว่า เมื่อข่าวกระจายไปถึงจวนตวนชินอ๋อง แต่กว่าถาวจวินหลันจะรับรู้เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งวันเต็ม ไม่มีเหตุผลอื่น แต่เพราะว่าถาวจวินหลันนอนหลับอยู่ตลอดเท่านั้น


 


 


ที่จริงแล้ว ถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้ไปก็ไม่ได้แตกต่างเท่าไรนัก อาการของนางในตอนนี้ใช่ว่านางอยากจะทนก็ทนได้ ความเหน็ดเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตวิญญาณกัดกร่อนจนนางเหลือสติอีกไม่เท่าไรแล้ว


 


 


อีกทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือ นางไม่รู้ว่านางจะได้รับการรักษาจนหายดีหรือไม่ ดูจากอาการของนางแล้ว เกรงว่าคงจะยากลำบาก


 


 


ไม่ได้มีเพียงถาวจวินหลันที่คิดเช่นนี้ แม้แต่ปี้เจียวและชุนฮุ่ยก็กังวลเรื่องเดียวกัน อย่างไรก็เห็นอาการกันอยู่ ไม่ใช่ว่าพวกนางอยากจะสาปแช่งถาวจวินหลัน


 


 


แต่ถาวจวินหลันกลับดีใจแทนหลี่เย่ อย่างไรหลี่เย่ก็คิดค้นเทียบยาได้แล้ว ถือเป็นเรื่องดีสำหรับหลี่เย่ ไม่เพียงแค่ได้รับชื่อเสียง ที่มากไปกว่านั้นคือฮ่องเต้ให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น


 


 


สองวันจะบอกว่ายาวก็ไม่ยาว จะบอกว่าสั้นก็ไม่สั้น แม้ว่าจะมีหลายคนทนทรมานให้เวลาผ่านพ้นไป แต่สำหรับคนปกติ กลับผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเดียว


 


 


ตามคำสั่งของหลี่เย่ วันนี้ถึงเวลาต้องไปเอาสูตรยามาแล้ว


 


 


คราวนี้หลี่เย่ไปด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้ที่ไม่กล้าให้หลี่เย่มาก็เพราะว่ายังไม่มียารักษาโรคระบาด แต่ตอนนี้มีแล้วย่อมไม่ต้องระมัดระวังอีกต่อไป


 


 


ตอนที่มอบสูตรยาให้ หมอที่นำขบวนก็ขลาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด “เทียบยานี้ยังไม่รู้ว่ามีผลเช่นไร ท่านอ๋องช่วยยืดเวลาให้อีกสองวันได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


หลี่เย่กลั้นความโกรธเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึก ถามว่า “มั่นใจว่ารักษาโรคระบาดได้อย่างนั้นหรือ?”


 


 


หมอพยักหน้า “รักษาโรคระบาดก็ได้อยู่ แต่เพียงไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดผลภายหลังหรือไม่ อย่างไรเทียบยานี้ก็มีคนไม่มากที่เคยทดลองมาก่อน ตอนนี้ผลที่ออกมาก็ไม่เลว แต่หลังจากนั้นไปก็ยากจะพูดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หลี่เย่หัวเราะเสียงเย็น “ถ้าหากเจ้าเอาเทียบยาที่มีข้อผิดพลาดออกมา เกรงว่าคนคงตายหมดเป็นแน่! เจ้าศึกษาเทียบยาต่อไป เทียบนี้ข้าจะเอาไปใช้ก่อน หากมีผลข้างเคียง คิดว่าพวกเจ้าคงรักษาได้เป็นแน่ ใช่หรือไม่?”


 


 


หมอตื่นตกใจเพราะท่าทีเยือกเย็นที่แผ่กระจายมาจากหลี่เย่จนไม่กล้าพูดอะไรออกมา


 


 


หลี่เย่หยิบเทียบยาพลางเดินออกไป หากเป็นไปได้ เขากลับอยากจะโยนเทียบยาที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ไปตรงหน้าคนคนนั้น แต่ตอนนี้ถาวจวินหลันรอไม่ไหวอีกแล้ว ต่อให้ไม่รู้ว่าผลของยาจะเป็นอย่างไร ขอเพียงรักษาโรคระบาดได้ เขาก็ทำได้แค่เพียงลองเสี่ยงอันตรายเท่านั้น


 


 


ต่อให้เหลือผลข้างเคียง แต่อย่างน้อยก็ต้องรักษาชีวิตเอาไว้ก่อนไม่ใช่หรืออย่างไร?


 


 


หลังจากหลี่เย่กลับเข้ามาในเมืองแล้ว ก็จัดการคัดลอกเทียบยาทันที ฉบับหนึ่งส่งไปในจวน อีกฉบับหนึ่งส่งไปที่กรมหมอหลวง พูดไปแล้ว ยามนี่กรมหมอหลวงกลับสู้หมอข้างนอกไม่ได้


 


 


หลี่เย่หรี่ตาลง พลางหัวเราะเยาะ ฝีมือแพทย์เช่นนี้ไฉนเลยจะฝากความหวังได้? ดูท่าทางต่อจากนี้ไปถ้าป่วยเป็นอะไรขึ้นมา ก็ไม่จำเป็นต้องหาหมอของกรมหมอหลวงแล้ว


 


 


ที่จริงแล้วกรมหมอหลวงเองก็คิดค้นสูตรยาขึ้นมาได้สูตรหนึ่ง เพียงแต่เหมือนกับบรรดาหมอข้างนอกคือ ไม่รู้ว่าผลของยาเป็นอย่างไรจึงไม่กล้ารายงาน คิดอยากให้เวลาผ่านไปอีกสองวันแล้วค่อยว่ากัน เมื่อตอนนี้ได้รับเทียบยามา นอกจากกรมหมอหลวงจะแปลกใจแล้ว ก็ยังรู้สึกละอายและร้อนรน เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าทุกคนคงคิดว่าคนในกรมหมอหลวงไร้ประโยชน์แล้ว


 


 


เมื่อนำสูตรยาสองสูตรมาเทียบกัน หัวหน้ากรมหมอหลวงก็คิดบางอย่างได้ จับบ่าวคหนึ่งมาแล้วพูดว่า “เจ้ารีบไปบอกตวนชินอ๋อง อย่าเพิ่งรีบใช้ยา สูตรยานั้นมีปัญหา จะต้องแก้ไข”


 


 


พอถึงตอนที่สูตรยาของกรมหมอหลวงถูกส่งมา หลี่เย่ก็กวาดตามองทีหนึ่ง พบว่ามีการเปลี่ยนตัวยาสองชนิดจริง หมอหลวงที่อยู่ข้างๆ ก็รีบพูดว่า “สูตรยาก่อนหน้านี้มีฤทธิ์แรงเกินไป เกรงว่าทานเข้าไปแล้วจะเกิดผลข้างเคียง ตอนนี้เปลี่ยนตัวยาสองชนิด ฤทธิ์ยาเบาลงมาก ทั้งออกฤทธิ์รักษาโรคระบาดได้ และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หลี่เย่พยักหน้า เอ่ยชมคล้ายหัวเราะ “ที่แท้กรมหมอหลวงก็มีความสามารถอย่างที่คาดเอาไว้” พลางเรียกให้คนนำสูตรยาส่งไปที่จวนโดยใช้ม้าเร็ว และตัวเขาเองก็นำสูตรยานี้เข้าไปในวังหลวง


 


 


ก่อนหน้านี้เพราะเขากลัวว่ากรมหมอหลวงต้องใช้เวลาคิดสูตรยานาน ดังนั้นจึงไม่ได้รอ และให้ใช้ยาต่อไป ตอนนี้เขากลับรู้สึกร้อนรน ไม่รู้ว่าถาวจวินหลันได้กินยาเข้าไปบ้างหรือยัง


 


 


แต่ตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงส่งคนไปถามเท่านั้น ตนเองกลับต้องเข้าไปในวังหลวงก่อน 

 

 


บทที่ 467 สิ้นสุด

 

 


 


ถาวจวินหลันเพิ่งตื่นขึ้นมาเตรียมจะดื่มยา ก็มีคนมาแจ้งว่าต้องเปลี่ยนยาใหม่อีกถ้วยหนึ่ง ดังนั้นนางจึงยังไม่ได้ดื่มยาฤทธิ์แรงตัวนั้น


 


 


เมื่อเทียบกับความโชคดีของถาวจวินหลัน เจียงอวี้เหลียนกลับดื่มเข้าไปแล้ว ดื่มยาลงไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ยาก็เริ่มออกฤทธิ์ เจียงอวี้เหลียนพลันทรมานไปทั้งร่าง ไม่เพียงแค่อาเจียนท้องเสีย แล้วยังเลือดกำเดาไหลไม่หยุด บรรดาบ่าวรับใช้ตกใจจนต้องไปรายงานให้หงหลัวทราบ หากต้องทรมานเช่นนี้ต่อไป เจียงอวี้เหลียนที่แต่เดิมร่างกายอ่อนแรงคงรับไม่ไหว ถ้าหากทนไม่ไหว คงต้องจัดงานศพอีก ดังนั้นจึงต้องเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า


 


 


พอหงหลัวรู้อาการของเจียงอวี้เหลียน นางและคนอื่นก็โล่งใจ ยังดีที่ถาวจวินหลันไม่ได้ดื่มยาตัวนั้น


 


 


ถาวจวินหลันดื่มสูตรที่กรมหมอหลวงแก้ไขมา แม้จะมีอาเจียนและท้องเสียเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รุนแรงมาก อีกทั้งดูมีเรี่ยวแรงเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่สลบไสลไปอีก


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ โรคระบาดนี่ก็เริ่มมีหวังที่จะรักษาให้หาย


 


 


ม้าเร็วรีบไปรายงานอาการของถาวจวินหลันให้หลี่เย่และกรมหมอหลวงรับรู้ ฉับพลันนั้นทุกคนก็ตื่นเต้นดีใจ ด้วยโรคระบาดเหมือนเมฆครึ้มที่ปกคลุมไปทั่วเมืองหลวงนานกว่าหนึ่งเดือน แต่ตอนนี้สามารถสลายเมฆหมอกนั่นได้แล้ว จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร?


 


 


จะต้องรู้ว่า หนึ่งเดือนมานี้ต้องเจอความระแวดระวัง ตกใจ และเป็นกังวล


 


 


ด้วยฤทธิ์ยาของสูตรนี้ได้ผล ดังนั้นโจวอี้ที่รายงานข่าวนี้กับหลี่เย่จึงเข้าไปในพระราชฐาน รายงานเรื่องนี้ให้หลี่เย่ฟังต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้


 


 


หลี่เย่รู้สึกยินดีหลายส่วน ผ่านไปครู่หนึ่งก็รู้สึกเหมือนทั้งร่างถูกสูบพลังไปหมด และยิ่งยินดีอย่างพูดไม่ออก


 


 


แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขากลับหัวเราะไม่ออก ทั้งๆ ที่ดีใจมาก แต่กลับหัวเราะไม่ออก ทว่าเหมือนมีความโกรธกระแสหนึ่งพุ่งพล่านขึ้นมาเร่งเร้าให้เขาไปแก้แค้น


 


 


ฮ่องเต้ออกจากภวังค์ของความดีใจ แล้วพูดเสียงดังว่า “ดี ถ่ายทอดคำของข้าไป ประทานรางวัลให้หมอและหมอหลวงเหล่านี้!” พอสงบความตื่นเต้นได้แล้ว เขาก็นึกถึงหลี่เย่ จึงได้หัวเราะพลางพูดกับหลี่เย่ว่า “คราวนี้ตวนชินอ๋องสร้างผลงานใหม่! ตบรางวัล! ข้าต้องคิดให้ดีก่อนว่าควรให้อะไรเจ้า!”


 


 


 


 


 


 


ยามนี้องค์รัชทายาทที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็มองไปทางหลี่เย่ สิ่งที่แอบแฝงอยู่ในสายตาช่างซับซ้อนเป็นอย่างมาก


 


 


องค์รัชทายาทครุ่นคิด สุดท้ายแล้วก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง กล่าวเตือนฮ่องเต้เสียงเบา “เสด็จพ่อ น้องรองควรได้รับรางวัล แต่เรื่องที่เขากักขังหมอ และข่มขู่หมอหลวง…”


 


 


ความหมายขององค์รัชทายาทคือ ถึงจะขัดขวางการประทานรางวัลไม่ได้ แต่อย่างน้อยนางวัลที่หลี่เย่ได้ก็คงไม่ได้ดีมากนัก และไม่ให้หลี่เย่โดดเด่นมากก็เท่านั้น เป็นแค่ชินอ๋องคนเดียวจะโดดเด่นไปมากมายทำไมกัน? ข้ามหน้าข้ามตาองค์รัชทายาทอย่างเขาหมายความว่าอย่างไร?


 


 


แต่ฮ่องเต้กำลังมีความสุข ไฉนเลยจะเก็บคำพูดขององค์รัชทายาทไปใส่ใจ? เพียงแค่คิดว่าองค์รัชทายาทไม่รู้จักกาลเทศะ มาทำให้ทุกคนหมดสนุกในช่วงเวลานี้ ดังนั้นจึงเหลือบมององค์รัชทายาทวูบหนึ่ง พูดเนิบๆ ว่า “ถ้าไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าตอนนี้คงไม่เห็นแม้แต่เงาของสูตรยา องค์รัชทายาทก็ควรต้องเรียนชั้นเชิงเช่นนี้เอาไว้เสียงบ้าง”


 


 


หยุดไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รู้สึกว่าเสียน้ำใจคนไปหน่อย จึงหันไปมองหลี่เย่อีกรอบ “แต่เจ้าเองก็ทำไม่ถูก เจ้าหาเวลาว่างไปขอโทษด้วยตนเองตามบ้านเถิด”


 


 


องค์รัชทายาทกัดฟันแน่น รู้สึกว่าถูกดูหมิ่น แต่เขาเองก็ไม่กล้าต่อต้านฮ่องเต้ เพียงแค่รับคำ และเชื่อฟังเท่านั้น


 


 


หลี่เย่ก็รับบทลงโทษนี้อย่างสบายอกสบายใจ “ลูกต้องไปขอโทษอย่างจริงใจแน่พ่ะย่ะค่ะ ลูกทำไม่ถูก” อย่างไรขอเพียงบรรลุจุดประสงค์ เรื่องขอโทษหรืออะไรก็ตามแต่ล้วนเป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น


 


 


ฉับพลันนั้นฮ่องเต้ก็ถอนหายใจอีกรอบ “หลายวันมานี้เมื่อคิดถึงประชาชนที่อยู่นอกเมือง ข้าเองก็นอนไม่หลับ ตอนนี้ถือว่าได้หลับอย่างสบายใจแล้ว”


 


 


ฉับพลันนั้นก็เริ่มมีคนเอาหน้าพูดเลียแข้งขา “ฮ่องเต้มีใจเป็นห่วงประชาชน ช่างเป็นความสุขของประชาชนใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


หลี่เย่ฟังอย่างไม่ใส่ใจ ในใจก็เริ่มคิดวางแผน เขาจะขอของรางวัลอะไรจากฮ่องเต้ดี? คงไม่อาจปล่อยโอกาสหลุดลอยไป แล้วยังมีทางด้านจวนเหิงกั๋วกงที่ไม่อาจปล่อยไปได้


 


 


องค์รัชทายาทยังจำเรื่องจวนเหิงกั๋วกงได้ “สูตรยานี้ยังต้องคัดลอกให้จวนเหิงกั๋วกงด้วยฉบับหนึ่งนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฟังคำพูดนี้ขององค์รัชทายาท เหมือนกลัวว่าใครจะตั้งใจเก็บสูตรยานี้เอาไว้ไม่มอบให้ก็มิปาน


 


 


หลี่เย่ได้ยินก็ส่งยิ้มให้องค์รัชทายาท “องค์รัชทายาทโปรดวางใจ เสด็จพ่อจะไม่มอบสูตรยาให้จวนเหิงกั๋วกงได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เหิงกั๋วกงทำคุณประโยชน์มากมาย แม้จะบอกว่าเหิงกั๋วกงถูกลงโทษเพราะเรื่องปิดบังการแพร่กระจายของโรคระบาด แต่ในพระทัยเสด็จพ่อย่อมเป็นห่วงขุนนางเก่าแก่อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้มองไปยังหลี่เย่วูบหนึ่ง ความมืดมนที่อยู่บนใบหน้าพลันหายไปเล็กน้อย องค์รัชทายาทพูดเช่นนี้ก็เหมือนทำให้ฮ่องเต้เสียหน้า ต่อให้เขาไม่ชอบจวนเหิงกั๋วกงอย่างไร ก็คงไม่ถึงขั้นยึดสูตรยาเอาไว้ไม่มอบให้ เขามาขอร้องอย่างบีบบังคับเช่นนี้ คิดอะไรอยู่กันแน่? กำลังจะบอกขุนนางเหล่านี้ว่าฮ่องเต้อย่างเขาขี้งกอย่างนั้นหรือ?


 


 


องค์รัชทายาทดูออกว่าฮ่องเต้ไม่พอใจ จึงรีบพูดอธิบายว่า “น้องรอง ข้าจะกังวลเรื่องฮ่องเต้ไม่ให้เทียบยากับจวนเหิงกั๋วกงได้อย่างไร? ข้าก็เพียงพูดเตือนเท่านั้นเอง” หยุดไปครู่หนึ่ง องค์รัชทายาทก็มองไปทางฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ พูดไปแล้ว ลูกยังมีอีกเรื่องต้องเตือนเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้เริ่มหงุดหงิด แต่กลับไม่แสดงออกมาแม้แต่น้อย เพียงแค่สะบัดมือ “เจ้าพูดเถิด”


 


 


“อี๋เฟยคลอดมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว น้องเก้าก็ครบรอบเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกคิดอยู่ว่าควรจะรีบพาพวกนางสองแม่ลูกกลับมาที่วังหลวงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? น้องเก้าไม่อาจเติบโตนอกวังหลวงได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ตอนที่องค์รัชทายาทพูด ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ ดูแล้วมีท่าทีเป็นพี่ชายเปี่ยมด้วยเมตตา


 


 


ฮ่องเต้กลับลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ในความเป็นจริง หลายวันมานี้มัวแต่กังวลเรื่องโรคระบาดและภัยพิบัติ ฮ่องเต้จึงลืมอี๋เฟยไปสนิท ไม่ต้องพูดถึงลูกคนสุดท้องที่ตนเองเคยคาดหวังมานานเลย


 


 


องค์รัชทายาทพูดขึ้นมากะทันหัน ทำให้ฮ่องเต้นึกถึงเรื่องนี้ได้ทันที จึงเกิดอาการประหม่า กระแอมไอพลางขมวดคิ้วพูดว่า “อี๋เฟยมีชะตาขัดกับไทเฮา”


 


 


องค์รัชทายาทรีบเปิดปากพูดทันที “ลูกให้โหราจารย์ตรวจดูแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไม่ได้มีดวงชะตาขัดกันแล้ว”


 


 


ฮ่องเต้ได้ยินอย่างนั้นก็หยุดพูด พยักหน้าพูดว่า “อีกสองสามวันค่อยรับกลับมาเถิด”


 


 


องค์รัชทายาทโล่งใจ กลับมาหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง ท่าทีเช่นนั้นทำให้หลี่เย่อดมองไม่ได้ หรือว่าองค์รัชทายาทจะเปลี่ยนเป็นคนอบอุ่นแล้วอย่างนั้นหรือ!


 


 


แต่ยามนี้องค์ชายเก้าเป็นเพียงเด็กทารก บ้านเดิมของอี๋เฟยก็ไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่ง ไม่จำเป็นต้องกังวลว่ามีใครจะข่มขู่


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ หลี่เย่จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ


 


 


ตอนที่ออกมาจากพระที่นั่งใหญ่ แต่เดิมองค์รัชทายาทเดินนำอยู่ข้างหน้า แต่องค์รัชทายาทกลับตั้งใจเดินถอยลงมาก้าวหนึ่ง แล้วมองหลี่เย่ พร้อมหัวเราะและพูดยินดี “ได้ยินว่าแก้วตาดวงใจของน้องรอง ชายารองถาวเองก็ติดเชื้อโรคระบาดใช่หรือไม่? ตอนนี้กลับประจวบเหมาะ ข้าต้องแสดงความยินดีกับน้องรองแล้ว แต่เจ้าก็ไม่มีชายาเอกแล้ว ควรต้องไว้ทุกข์เสียหน่อยถึงจะดี น้องรองวางใจ ข้าจะต้องให้เสด็จแม่เลือกชายาเอกให้เจ้าอย่างดีเป็นแน่”


 


 


หลี่เย่อมยิ้มมีความสุข ท่าทางราวกับอาบน้ำอยู่ท่ามกลางลมวสันต์ “ต้องขอบพระทัยองค์รัชทายาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ทำไมน้องรองไม่เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เล่า? หรือดูถูกข้าอย่างนั้นหรือ?” องค์รัชทายาทแสยะยิ้ม


 


 


หลี่เย่ไม่อยากเสียเวลาอยู่กับองค์รัชทายาทตรงนี้อีก จึงพูดตามน้ำ “พี่ใหญ่”


 


 


องค์รัชทายาทสะอึกไป ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อ มองดูหลี่เย่ที่แสร้งทำเหมือนสนิทสนม ไฉนเลยเขาจะยังพูดอะไรได้? คงไม่อาจเอาเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบบั้นท้ายเย็นๆ ได้ใช่หรือไม่?


 


 


หลี่เย่เห็นว่าองค์รัชทายาทไม่ได้พูดอะไรต่อ จึงหัวเราะพูดว่า “น้องยังมีธุระ ต้องขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พอออกจากวังหลวงมา หลี่เย่ก็สั่งว่า “กลับจวนอ๋อง” เขาอยากจะไปดูถาวจวินหลันแทบขาดใจว่าในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว


 


 


โจวอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงไป จากนั้นก็เตือนเสียงเบา “ในตอนนี้ทหารองครักษ์ยังไม่ได้สลายกำลังพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้กลับไปก็ไม่อาจไปหาชายารองถาวได้ แต่ตอนนี้เอาโลงศพของชายาเอกไปฝังได้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ” โจวอี้ว่า


 


 


หลี่เย่ถอนหายใจ ส่ายหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็กลับบ้านตระกูลถาวเถิด” เขาเองก็ดีใจจนเลอะเลือนไป กลับลืมว่ามีเรื่องนี้ เกรงว่ากว่าทหารองครักษ์เหล่านั้นจะสลายกำลังยังจะต้องใช้เวลาอีกหลายวัน


 


 


“ในเมื่อหลิวซื่อบอกว่าอยากฝังร่วมกับลูกชายของนาง ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่นางขอเถิด” อย่างไรเขาก็ไม่อยากฝังร่วมกับหลิวซื่อ ในเมื่อตอนนี้ไม่ต้องเห็นหน้าค่าตาของหลิวซื่อแล้ว ตอนที่เขาตายไปก็ไม่อยากเจออีก เกรงว่าหลิวซื่อเองก็คงไม่อยากพบเขาเช่นกัน


 


 


“อีกอย่าง ถ่ายทอดคำพูดไปด้านนั้น หลังจากนี้อีกเดือนหนึ่งให้จิ้งหลิงพาเด็กทั้งสามคนกลับเข้าเมืองหลวงมา” หลายวันมานี้ไม่ได้เจอซวนเอ๋อร์และหมิงจู เกรงว่าถาวจวินหลันคงคิดถึงมาก แน่นอนว่าเขาเองก็คิดถึง หลังจากนี้หนึ่งเดือน โรคระบาดน่าจะเริ่มน้อยลงแล้ว พอถึงตอนนั้นก็ไม่มีอันตรายอะไรอีก


 


 


หยุดไปครู่หนึ่ง เสียงของหลี่เย่ก็เบาลงอีกหลายส่วน กำชับโจวอี้ว่า “ข้าอยากให้คุณชายสามของจวนเหิงกั๋วกงตาย ส่วนเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ และเหิงกั๋งกงฮูหยิน ก็ทำให้พวกนางทรมานเสียบ้าง”


 


 


แม้จะบอกว่าหลิวซื่อตายไปก็ไม่น่าเสียดาย แต่อย่างไรนางก็เป็นคนของจวนตวนชินอ๋องของเขา อีกอย่างเมื่อหลิวซื่อตายไปเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นการทำลายแผนการของเขา


 


 


โจวอี้รับคำเสียงเบา การที่จัดการเหิงกั๋วกงให้หมดไปนั้นเขาทำไม่ได้ แต่แค่ให้ลูกชายคนที่สามของเหิงกั๋วกงตายกลับง่ายมาก ตามสืบเหิงกั๋วกงมานานขนาดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าสืบเอาสายสืบของพวกเขาออกมาแล้วมิใช่หรือ?


 


 


“เหิงกั๋วกงถูกลดตำแหน่ง เกรงว่าคุณหนูสามคนนั้นคงจะหาคู่ครองไม่ง่ายอีกต่อไป เรื่องนี้ให้คนไปพูดต่อหน้าฮ่องเต้” หลี่เย่หัวเราะเสียงเย็น “เจ้าว่า ฮองเฮาจะคล้อยตามหรือไม่? พระชายาองค์รัชทายาทไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ เกรงว่าในใจของฮองเฮาคงไม่พอใจใช่หรือไม่? คราวนี้พระชายาองค์รัชทายาทยังตั้งใจปิดบังเรื่องโรคระบาดในจวนเหิงกั๋วกงอีก…” ดูจากนิสัยของฮองเฮาแล้ว คิดว่าคงไม่พอใจเป็นแน่


 


 


แต่ถ้าคุณหนูสามเข้าวังหลวงไป คนที่ไม่พอใจก็ควรจะเป็นองค์รัชทายาทและพระชายาองค์รัชทายาท พระชายาองค์รัชทายาทไม่พอใจเพราะว่าตำแหน่งถูกคุกคาม และองค์รัชทายาทกลับไม่พอใจเพราะถูกบังคับอีกครั้งหนึ่ง คิดว่าถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะมีละครที่น่าดูมากมายขนาดไหน


 


 


และเขาก็สามารถดูเรื่องสนุกได้อย่างสบายใจ 

 

 


บทที่ 468 วุ่นวาย

 

ถาวจวินหลันกินยาติดต่อกันหลายครั้ง วันรุ่งขึ้นก็รู้สึกสบายกว่าเดิม ไข้ต่ำที่มีมาตลอดก็ลดหายไป มีเรี่ยวมีแรง และไม่เลอะเลือนอีกแล้ว


 


 


แต่นางกลับรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูก นอนอยู่กับที่เป็นระยะเวลานาน กระดูกในร่างแข็งหมดแล้ว ไม่ให้รู้สึกทรมานได้อย่างไร? แทบจะรู้สึกว่านอนมากกว่านี้อีกเพียงนาทีเดียวก็ไม่ไหว


 


 


แต่ร่างกายของนางก็ยังห่างไกลจากขั้นที่ลุกขึ้นมาเดินเหินได้ ในความเป็นจริงก็ยังรู้สึกอ่อนแรงอยู่ ให้นอนก็ไม่อยากนอนอีก ดังนั้นนางจึงเรียกปี้เจียวและชุนฮุ่ยมาประคองตนเองขึ้นนั่ง


 


 


ด้วยนอนติดๆ กันหลายวัน ตอนนี้นางย่อมไม่รู้สึกง่วงงุนแม้แต่น้อย อีกทั้งบ่าวทั้งสองคนคอยชวนคุย ทั้งป้อนยา ทั้งจัดการเรื่องการทานอาหาร ก็ยิ่งมีเรี่ยวแรงมากขึ้น


 


 


ในความเป็นจริงที่นางกลับมาดีได้ ไม่มีใครในเรือนสนใจว่าจะดึกเพียงใด แต่ทุกคนกลับมีเรี่ยวแรงฉับพลันทันที มีใครบ้างไม่หวังให้เจ้านายของตนเองหายดี? ปกติแล้วถาวจวินหลันเป็นคนมีเมตตา ย่อมต้องทำให้คนรู้สึกยำเกรง


 


 


แต่เมื่อตกดึกทุกคนก็ต้องนอนหลับ หลังจากตื่นเต้นดีใจไปแล้วก็ต้องพากันแยกย้าย พอเหลือคนเฝ้าอยู่สองสามคน ส่วนคนที่เหลือก็ไปนอน อย่างไรพรุ่งนี้ก็ยังต้องมาเข้าเวร คงไม่อาจให้แต่ละคนมาเข้าเวรด้วยสภาพอิดโรยอ่อนแรงหรอกใช่หรือไม่?


 


 


ถาวจวินหลันมองไปยังชุนฮุ่ยและปี้เจียว ในใจก็รู้ดีว่าพวกนางควรจะไปนอนได้แล้ว จึงพูดว่า “พวกเจ้าไปนอนก่อนเถิด มิเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ใครจะมาเข้าเวร?”


 


 


ชุนฮุ่ยและปี้เจียวสบตากัน ส่ายหน้าอย่างพร้อมเพียง “ตอนที่ชายารองนอน บ่าวก็นอนแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่ได้ พวกเจ้าเหลือคนหนึ่งไว้เฝ้าตอนกลางคืน อีกคนไปนอนก่อนเถิด” ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพูดออกมา “ข้าไปนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ครู่หนึ่งก็ได้แล้ว อย่างไรก็ไม่ได้เรียกใช้พวกเจ้า”


 


 


เมื่อพูดเช่นนี้ ปี้เจียวก็พยักหน้าพูดก่อนว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชุนฮุ่ยก็ไปนอนก่อนเถิด”


 


 


ชุนฮุ่ยกลับส่ายหัว “หลายวันมานี้พี่ปี้เจียวไม่ได้พักผ่อนดีๆ ท่านไปก่อนเถิด ท่านดูรอยดำใต้ตาท่าน สาหัสกว่าข้ามากนัก อีกอย่างหนึ่งท่านก็ปรนนิบัติชายารองมานานกว่าข้า ปรนนิบัติยามกลางวันเหมาะสมที่สุด เหมือนที่ชายารองพูด ตอนกลางคืนไม่มีเรื่องให้เรียกใช้ กลับเป็นกลางวันที่มีเรื่องต้องจัดการมากมาย”


 


 


ปี้เจี้ยวได้ยินเช่นนี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับปาก


 


 


ดังนั้นจึงเหลือชุนฮุ่ยเอาไว้เฝ้ายามดึก


 


 


ถาวจวินหลันไม่สนใจว่าใครเฝ้ายามดึก ถึงอย่างไรนางก็ให้ชุนฮุ่ยออกไปพักข้างนอกก่อนอยู่ดี


 


 


แน่นอนว่าอ่านหนังสือเป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงที่นางให้คนออกไปมากขนาดนี้ก็เพียงเพื่อจะแอบร้องไห้ตอนไม่มีคนอยู่เท่านั้นเอง หลายวันมานี้แม้ว่าช่วงเวลาที่นางเหม่อลอยจะเยอะกว่า แต่ความหวาดกลัวในใจก็ไม่ได้น้อยเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะรู้ดีว่าร่างกายตนเองอ่อนแรงลงทุกวัน ความรู้สึกหวาดกลัวก็ยิ่งมากขึ้นจนถึงขีดสุด


 


 


ต่อให้เตรียมใจมาพร้อมแค่ไหน แต่ถ้าจะบอกว่าไม่กลัวเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ถูกเก็บอยู่ในใจมาตลอดก็เท่านั้น ตอนนี้ความสิ้นหวังได้รับการช่วยเหลือ นอกจากนางรู้สึกยินดีและดีใจแล้ว ก็อยากร้องไห้อย่างหนักหน่วง


 


 


และมากไปกว่านั้น นางยังรู้สึกน้อยใจอย่างไร้เหตุผล ความรู้สึกน้อยใจนี้ทำให้นางอดร้องไห้เสียงดังไม่ได้


 


 


นางรู้ดีแก่ใจว่าเก็บความรู้สึกนี้ไม่ได้ มีเพียงแค่ระบายออกมาเท่านั้นถึงจะดีที่สุด อีกอย่างนางเองก็อยากร้องไห้หนัก


 


 


บางทีถ้าเป็นแต่ก่อน นางคงไม่อาจร้องไห้เช่นนี้ แต่ตอนนี้นางไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ช่วงเวลาที่ต้องดิ้นรนทรมานระหว่างความเป็นความตายนั้น มีหลายสิ่งอย่างมากมายที่นางมองจนแตกฉาน เปิดกว้างออกขึ้นมาก


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะต้องรักษาหน้า ไม่ยินยอมให้บ่าวรับใช้ทั้งสองคนมาร้องไห้เป็นเพื่อนตน นางเองก็ไม่ต้องเปลืองแรงไล่คนออกไปเช่นนี้


 


 


แต่เมื่อนางเริ่มร้องไห้ ประตูก็ถูกผลักเข้ามา นางตกใจยกใหญ่ รีบหันไปทางเตียง ไม่อยากให้ชุนฮุ่ยเห็นท่าทางหมดสภาพของนาง ปากก็พูดว่า “ชุนฮุ่ย เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”


 


 


แต่ชุนฮุ่ยกลับไม่ได้ตอบ นางได้ยินแค่เสียงปิดประตู แล้วก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหยุดบริเวณเตียง


 


 


ชุนฮุ่ยเป็นอะไรไป? ถาวจวินกลันหยิบผ้ามาเช็ดหน้า ในใจก็สงสัย พลางใช้หางตามองไปยังชุนฮุ่ย แต่เมื่อมองไปกลับตกใจอย่างรุนแรง


 


 


ไหนคือชุนฮุ่ย? นี่หลี่เย่ชัดๆ แม้จะเห็นเพียงชายเสื้อไม่เห็นหน้าคน แต่ไฉนเลยยังจะต้องดูหน้าเล่า? เพียงแค่มองครั้งเดียวก็มั่นใจได้ว่าเป็นหลี่เย่ไม่มีทางผิดแน่นอน


 


 


“ท่านมาได้อย่างไร?” นางตกใจมาก คำพูดก็ติดขัด อีกทั้งเพิ่งร้องไห้มาทำให้เสียงแปลกมาก


 


 


“ข้ามาดูเจ้า” หลี่เย่ถอนหายใจ แฝงไว้ด้วยความสงสาร “ทำไมเจ้าผอมลงไปมากขนาดนี้? ยังมาแอบมาร้องไห้คนเดียวตรงนี้อีก? พวกนางปรนนิบัติเจ้าไม่ดี หรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”


 


 


ตอนแรกถาวจวินหลันคิดจะถามหลี่เย่ว่าเข้ามาได้อย่างไร ยังคิดจะไล่ให้เขาออกไป แต่ก็ถูกคำพูดนี้ของเขาทำให้รู้สึกเจ็บปวดใจ น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ก็ไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


นางรีบเช็ดน้ำตาทันที ฉับพลันหลี่เย่ก็ยื่นมือออกมาจับไหล่ของนางเบาๆ ให้หันมา ต่อให้นางไม่อยากให้หลี่เย่เห็นรอยน้ำตาบนใบหน้า แต่ก็ไม่สามารถทำได้แล้ว


 


 


ทว่านางก็ยังไม่กล้ามองตาหลี่เย่ นางกลัวว่านางมองแล้วจะยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และคงอยากจะโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา


 


 


“ท่านอย่าจับข้า” นางคิดได้ว่าโรคระบาดในร่างกายยังไม่ทันหายดี ก็รีบพูดขัดไว้ก่อน และเตือนเขาว่า “ท่านอยู่ให้ไกลข้าหน่อย”


 


 


“กลัวอะไร?” หลี่เย่กลับไม่สนใจ และกดไหล่ของนางเอาไว้อย่างบ้าอำนาจและระมัดระวังมากกว่าเดิม พูดเสียงเบาว่า “อยากร้องก็ร้องออกมาเถิด อย่าเก็บเอาไว้เลย”


 


 


หลายวันมานี้ถาวจวินหลันจะต้องตกใจเป็นแน่ ที่จริงแล้วไม่ต้องพูดถึงถาวจวินหลัน แม้แต่ตัวเขาเองก็อยากร้องไห้ อีกนิดเดียว เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น บางทีเขาอาจจะไม่ได้เห็นถาวจวินหลันอีก ไม่ต้องพูดว่าจะได้กอดหรือพูดคุยกันเช่นนี้ได้อีก


 


 


ความรู้สึกที่ได้ที่เกือบสูญเสียกลับมาอีกครั้ง ทำให้เขาคิดจะทะนุถนอมให้ดี


 


 


เพราะคำพูดนี้ของหลี่เย่ ทำให้น้ำตาของถาวจวินหลันไหลมากขึ้นกว่าเดิม เมื่ออารมณ์พุ่งขึ้นมา บวกกับมียารักษาโรคระบาดแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลและคิดมากอีก นางจึงยื่นมือออกไปกอดเอวเขาอย่างอดไม่ไหว แล้วสะอื้นไห้


 


 


“ข้ากลัวจริงๆ” นางพูดสะอึกสะอื้น “กลัวว่าจะไม่ได้พบท่านอีก ไม่ได้เจอซวนเอ๋อร์และหมิงจู”


 


 


“ข้าก็กลัว” หลี่เย่ตอบรับเสียงเบา แล้วตบหลังนางเบาๆ เหมือนกลัวว่านางร้องไห้หนักจนหายใจไม่ทัน ถาวจวินหลันอิงแอบในอกของเขา ย่อมมองไม่เห็นคิ้วที่ขมวดแน่นและท่าทีเจ็บปวดของเขา


 


 


“ตอนที่หลิวซื่อตาย ข้ากลัวมาก” ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องตอนนั้น และยิ่งตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ หลี่เย่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของนางอย่างรวดเร็ว จึงตบหลังนางเหมือนต้องการจะปลอบประโลม


 


 


ถาวจวินหลันยกยิ้มขึ้นน้อยๆ พูดเสียงเบาว่า “ตอนนั้นข้าติดเชื้อโรคระบาดแล้ว เมื่อคิดถึงหลิวซื่อ ก็คิดว่าตนเองจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เมื่อคิดเช่นนั้นข้าก็กลัวมาก”


 


 


“ข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” หลี่เย่พูดเสียงเบา “ไม่มีทาง เจ้าก็ไม่เป็นอะไรแล้วมิใช่หรือ”


 


 


“อืม” ถาวจวินหลันหัวเราะ ใช้ปกเสื้อของเขาเช็ดน้ำตาอย่างลุแก่โทษ แล้วก็ค่อยๆ สงบลงด้วยการปลอบโยนของเขา นางคิดถึงคำพูดเหล่านั้นที่หลิวซื่อพูดกับนางก่อนตาย ก็อดถอนหายใจไม่ได้


 


 


“ตอนที่หลิวซื่อตาย นางเสียดายมาก” ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดเรื่องเหล่านั้นกับหลี่เย่ อย่างไรก็มีเพียงแค่บอกให้เขารู้เท่านั้น เขาถึงจะป้องกันตัวจากฮองเฮาดีกว่าเดิมมิใช่หรือ?


 


 


“หลิวซื่อไม่ชอบท่าน ก็ด้วยมีฮองเฮาคอยยุยง หลังจากนั้นมานางสูญเสียลูกไปก็เป็นฝีมือของฮองเฮาเช่นกัน” แม้ว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของนาง ไม่ได้มีหลักฐาน แต่จากท่าทีของหลิวซื่อ นางก็ยิ่งรู้ว่าเป็นความจริง นางไม่ได้ใส่ร้ายฮองเฮาแม้แต่น้อย อย่างไรหลิวซื่อเป็นคนเจอเรื่องนี้ด้วยตนเอง เกรงว่าคงรู้ชัดกว่าคนอื่นว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้หลิวซื่อปิดบังเอาไว้ จึงมองไม่ออก แต่หลังจากนางทำลายม่านกั้นนั้นได้แล้ว หลิวซื่อไฉนเลยจะยังไม่เข้าใจอีก?


 


 


“แม้แต่โรคระบาดครั้งนี้ ก็เป็นมีฝีมือของฮองเฮาส่วนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะฮองเฮามอบของที่ทำให้ติดเชื้อโรคระบาดได้ หลิวซื่อก็คงจะไม่ติดเชื้อโรคระบาด” ถาวจวินหลันพูดช้าๆ พยายามอธิบายอย่างชัดเจน “ฮองเฮาหลอกใช้ความรังเกียจที่หลิวซื่อมีต่อท่าน อยากใช้หลิวซื่อทำร้ายท่าน หากหลิวซื่อตายไป ต่อให้ท่านจะไม่ชอบหลิวซื่อ แต่ก็ต้องไว้หน้าบ้าง ถึงตอนนั้นท่านก็มีโอกาสติดเชื้อโรคระบาดมาก”


 


 


จริงๆ แล้วคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับหลิวซื่อ มีจำนวนน้อยมากที่ไม่ติดเชื้อโรคระบาด ชุนฮุ่ยเป็นข้อยกเว้น แต่ข้อยกเว้นเช่นนี้มีไม่ถึงสองคนด้วยซ้ำไป


 


 


ก็โชคดีเหมือนปี้เจียว แต่ถาวจวินหลันคิดว่าเพราะร่างกายของพวกนางแข็งแรงกว่าเล็กน้อย อย่างไรปกติแล้วนางอยู่ในตำแหน่งสูงส่งมีชีวิตสุขสบาย บวกกับร่างกายเสียหายจากการคลอดลูกก็ยังไม่ได้บำรุง ย่อมไม่สามารถเทียบได้กับชุนฮุ่ยและปี้เจียวที่ทำงานอยู่ตลอดเป็นแน่


 


 


“ข้ารู้” หลี่เย่ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย และตอบเสียงเบา


 


 


ครั้งนี้ถาวจวินหลันตะลึงไป


 


 


“ทุกคนคิดว่าหลิวซื่อติดโรคจากหลี่ว์หลิ่ว แต่เพียงแค่แสดงอาการออกมาช้าเท่านั้น แต่ตอนนั้นฝีมือการแพทย์ของหมอที่มาตรวจก็ใช้ได้ ไม่มีทางตรวจพลาด ดังนั้นข้าเดาว่าหลังเรื่องนี้หลิวซื่อต้องทำอะไรแน่” หลี่เย่เห็นว่าถาวจวินหลันแปลกใจ จึงยิ้มและอธิบายว่า “นอกจากฮองเฮาแล้ว ยังมีใครหวังให้จวนตวนชินอ๋องของพวกเราพินาศอีก?”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็เข้าใจทันที “ดังนั้นท่านถึงได้ลงมือกับจวนเหิงกั๋วกง”


 


 


หลี่เย่กลับไม่อธิบาย เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกนาง ที่เขาทำเช่นนี้ก็ด้วยหวังดีกับนาง ไม่ใช่เพราะตนเอง ถ้าเพื่อตัวของเขาเองเขาก็คงจะไม่แก้แค้นเร็วขนาดนี้ ตอนนี้เขามาคิดดูแล้วในตอนนั้นถือว่าบุ่มบ่ามมากเกินไป เรื่องเช่นนี้ถ้าหากว่ามีคนไปพบเข้า ถึงตอนนั้นคงจะขมวดปมเรื่องนี้ยากแน่นอน 

 

 


บทที่ 469 คดเคี้ยว

 

เมื่อเจอกับสายตาคาดหวังของถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วหลี่เย่ก็พูดอย่างหมิ่นเหม่คลุมเครือ “ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อระบายความโมโหเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาทอยู่ในวัง คง…”


 


 


เรื่องนี้ไม่ใช่คำโกหก ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาทอยู่ในวังหลวง ทำให้เขาหาวิธีลงมือกับองค์รัชทายาทได้ยาก เขาเองก็คงไม่เลือกโต้กลับไปเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่น่าแปลกใจ


 


 


หลี่เย่คิดในใจ นี่คือลิขิตสวรรค์


 


 


หลี่เย่นอกจากปลอบประโลมถาวจวินหลันแล้ว ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรมากกว่านั้น ในค่ำคืนที่สงบนี้ทั้งสองคนพูดจากันอยู่ครู่หนึ่ง จนขอบฟ้าเริ่มสว่าง ถาวจวินหลันถึงได้มีปฏิกิริยา “ท่านจะกลับไปตอนไหน?”


 


 


หลี่เย่รู้ดีว่าตนเองสมควรไปแล้ว มิเช่นนั้นถ้าคนอื่นเห็นว่าตนอยู่ที่นี่ก็จะต้องสร้างความเดือดร้อนมากมาย เขาจึงพูดอย่างตัดไม่ขาดว่า “สมควรต้องไปแล้วจริง”


 


 


“ถ้าเช่นนั้นท่านก็รีบไปเถิด ข้าเองก็ง่วงแล้ว อยากจะพักเสียหน่อย” ถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้หลี่เย่จากไปอย่างสบายใจ แน่นอนว่านางเองก็เริ่มเหนื่อยแล้วจริง อย่างไรนางก็ป่วยมานานขนาดนี้ร่างกายอ่อนแรงไปมาก เพราะว่าตัดใจไม่ลงถึงได้ยืนหยัดอยู่ ตอนนี้ย่อมต้องรู้สึกเหนื่อยเป็นแน่


 


 


คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดกำชับว่า “ต่อไปนี้อย่าเข้ามาเช่นนี้อีก ไม่ว่าอย่างไรผ่านไปอีกไม่กี่วันข้าก็จะหายดีแล้วเพคะ”


 


 


หลี่เย่ส่งเสียงตอบรับ แต่ก็ไม่ได้เก็บไปคิด แผนการของเขาคือจะต้องเว้นระยะอีกสักสองสามวันแล้วค่อยมาหาถาวจวินหลันอีก เรื่องครั้งนี้ทำให้เขาตกใจมาก เขากลัวว่าถาวจวินหลันจะปิดบังเขาเอาไว้อีก เขากลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีก


 


 


อย่างเช่นหากฮองเฮารู้ว่าถาวจวินหลันเริ่มหายดี แล้วจะรู้สึกเช่นไร? แล้วยังจะทำเรื่องอะไรอีก?


 


 


ถาวจวินหลันรอจนหลี่เย่กลับไป ก็ส่งเสียงเรียก “ชุนฮุ่ย!”


 


 


ชุนฮุ่ยได้ยินเสียงก็รีบวิ่งเข้ามา ถามว่า “ชายารองมีอะไรหรือเจ้าคะ?”


 


 


“ท่านอ๋องเข้ามาได้อย่างไร?” ถาวจวินหลันหรี่ตามองชุนฮุ่ย “ทำไมเจ้าไม่ห้ามเขาเอาไว้? ทำไมถึงได้ปล่อยเขาเข้ามา?” ครั้งที่แล้วที่หลี่เย่เข้ามา อย่างน้อยก็ยังยืนอยู่นอกหน้าต่าง แต่คราวนี้กลับตรงเข้ามาในห้องเลย เพราะเหตุผลที่ว่ามีเทียบยารักษาโรคแล้ว แต่นี่ก็มีความเกี่ยวข้องกับคนเฝ้ายามด้วย


 


 


ชุนฮุ่ยแสดงท่าทีใจฝ่อ รีบคุกเข่าลงในทันใด “ชายารองได้โปรดระงับโทสะ บ่าว…”


 


 


“ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนของท่านอ๋อง เชื่อฟังเขาก็ถือเป็นเรื่องสมควร แต่เจ้าจะต้องรู้จักแบ่งแยกมีหนักมีเบา มีช้ามีด่วน เขาวุ่นวาย เจ้าไม่ยับยั้งเกลี้ยกล่อมแล้วยังลอยน้ำตามเขา ในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะติดเชื้อโรคระบาดอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ต้องระวังเอาไว้บ้าง” สุดท้ายถาวจวินหลันก็ไม่ได้พูดรุนแรง “ในเมื่อต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องปรนนิบัติข้างกายข้า ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเรียนกับหงหลัวและปี้เจียวให้มาก”


 


 


ชุนฮุ่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ”


 


 


“ท่านอ๋องเข้ามาทางประตูหลักหรืออย่างไร?” ถาวจวินหลันนึกเรื่องนี้ได้ จึงเอ่ยปากถาม


 


 


“เข้ามาจากประตูหลักเจ้าค่ะ” ชุนฮุ่ยมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง แล้วค่อยตอบคำถาม


 


 


ถาวจวินหลันถอนหายใจ ส่ายหน้าไม่พูดอะไรอีก ทำไมคนเหล่านี้ถึงได้เล่นตามหลี่เย่ตลอดเลย


 


 


“ข้ายังมีเรื่องอยากถามเจ้า” ฉับพลันถาวจวินหลันก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามอีกครั้ง


 


 


ชุนฮุ่ยรีบตอบ “ชายารองถามเลยเจ้าค่ะ ถ้าบ่าวรู้บ่าวจะตอบให้ละเอียดแน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


“เจ้าลุกขึ้นมาตอบก่อน” เห็นว่าชุนฮุ่ยยังคุกเข่าแสดงความจงรักภักดี ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้ นางชี้ไปที่เก้าอี้ “เขยิบเก้าอี้มานั่งแล้วฟังข้าพูด”


 


 


ชุนฮุ่ยรู้ว่าถาวจวินหลันสงสารตนเอง จึงรีบเอ่ยขอบคุณ แล้วทำตามคำสั่งของถาวจวินหลัน


 


 


“เจ้าเป็นเส้นสายที่ท่านอ๋องจัดเตรียมเอาไว้อย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันอยากถามเรื่องนี้


 


 


ชุนฮุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิดว่าหลี่เย่โปรดปรานเอ็นดูถาวจวินหลันมากขนาดนี้ จะต้องพูดไว้ก่อนแล้ว จึงพูดอย่างสบายใจ “เจ้าค่ะ ท่านอ๋องจัดการให้บ่าวไปอยู่ข้างกายชายาเอกเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันไม่ได้ถามว่าหลี่เย่จัดให้ชุนฮุ่ยไปอยู่ข้างกายหลิวซื่อเพื่ออะไร หากอยากถามก็ต้องไปถามหลี่เย่ ไม่ใช่ถามชุนฮุ่ย ที่นางอยากถามก็คือ “ข้าถามเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นบ่าวรับใช้ใหญ่ คิดว่าเจ้าเองก็ต้องปรนนิบัติข้างกายชายาเอกมาตลอด ทำไมถึงไม่พบความผิดปกติของชายาเอกเลยเล่า? นางติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร เจ้าไม่รู้เลยอย่างนั้นหรือ?”


 


 


ชุนฮุ่ยได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ กลัวว่าถาวจวินหลันจะสงสัยตนเอง จึงรีบพูดอธิบายว่า “แม้จะบอกว่าได้รับเบี้ยหวัดของบ่าวรับใช้ใหญ่ แต่ความจริงแล้วบ่าวรับใช้ข้างกายมีเพียงชิงอวิ๋นเจ้าค่ะ บ่าวเข้าไปช่วยบ้างเป็นบางครั้ง พระชายาไม่เชื่อใจบ่าว ดังนั้นทุกเรื่องจึงปิดบังบ่าวเอาไว้ คราวนี้ที่พระชายาล้มป่วย ชิงอวิ๋นก็บอกว่าเป็นโรคเก่ากำเริบ พระชายาไม่อนุญาตให้ไปเชิญหมอหลวง ทุกวันเพียงแค่ทานยาเม็ดเท่านั้นเจ้าค่ะ เป็นยาเม็ดที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงส่งคนมามอบให้เจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันจำได้ว่าฮองเฮาประทานยาเม็ดมาให้จำนวนหนึ่ง และเพราะว่าครั้งนั้นหลี่ว์หลิ่วถึงได้ทำให้จวนอ๋องหลายที่ต้องถูกกักตัวไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง จวงอ๋องก็ล้มป่วยเพราะว่าสาเหตุนี้


 


 


ยาเม็ดนั้นนางไม่ได้แตะแม้แต่น้อย ทว่าให้คนเอาไปเก็บไว้


 


 


“ตั้งแต่ฮองเฮาเริ่มประทานยามาให้ ด้านชายาเอกก็ไม่มีคนอื่นมาอีกแล้วใช่หรือไม่?” ถาวจวินหลันยังคงอึดอัดมาก แม้เรือนของหลิวซื่อจะไม่ได้แน่นหนา แต่·ก็ไม่ได้หมายความว่าใครจะเข้าไปก็ได้


 


 


หากมีคนอื่นเข้าไปในเรือนของหลิวซื่อ นางจะต้องรู้ข่าวในทันที


 


 


ชุนฮุ่ยพยักหน้า “ไม่มีคนอื่นเข้ามาเจ้าค่ะ”


 


 


คราวนี้ถาวจวินหลันยิ่งอึดอัดขึ้นกว่าเดิม “ในเมื่อไม่มีคนอื่นเข้าไป แบ้วพระชายาจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร”


 


 


ชุนฮุ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกรายละเอียดเรื่องหนึ่งได้ “กล่องยานั้นของพระชายา จะพูดให้น้อยก็มีกว่ายี่สิบเม็ด แต่พอพระชายาล้มป่วยแล้ว บ่าวเคยเห็นพระชายาทานยาครั้งหนึ่ง ภายในกล่องนั้นกลับเหลือยาเพียงสามสี่เม็ดเจ้าค่ะ เกรงว่าคงจะทานมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันคำนวณเวลาอย่างละเอียด ในใจก็กระตุกวูบ “ความหมายของเจ้าคือโรคระบาดของพระชายาปรากฏอยู่บนยานั้น” เมื่อพูดเช่นนี้ก็อธิบายได้ หลังจากครั้งแรกที่ไม่มีคนติดเชื้อโรคระบาด หลิวซื่อคงเริ่มลงมือ ถ้าหากกินตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เวลาก็ประจวบเหมาะพอดี


 


 


“ยานั่นยังเหลืออยู่หรือไม่?” ในเมื่อเกิดความสงสัย ถาวจวินหลันย่อมต้องตรวจสอบอย่างละเอียด


 


 


แต่ชุนฮุ่ยกลับส่ายหน้า “พระชายากินหมดก็ให้ชิงอวิ๋นเผากล่องไปแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินก็ขมวดคิ้ว กล่องยายังจำเป็นต้องเผา? เพียงแค่ดูจากเรื่องนี้ ก็รู้ได้ว่าในนี้จะต้องแอบแฝงอะไรเป็นแน่


 


 


“ชิงอวิ๋นก็ติดเชื้อโรคระบาดแล้วหรือ?” ถาวจวินหลันถามขึ้นอีก


 


 


ชุนฮุ่ยพยักหน้า “ติดโรคระบาดแล้วเจ้าค่ะ อาการรุนแรงมาก เห็นว่าใกล้จะทนไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย หากชิงอวิ๋นทนไม่ได้ เบาะแสก็จะขาดตอน ไม่สามารถสืบได้ว่าฮองเฮาทำอะไรเอาไว้บ้าง ไม่ได้การ จะต้องคิดหาวิธีรักษาชิงอวิ๋นเอาไว้ให้ได้


 


 


“เจ้าคิดให้ละเอียดอีกที ยังมีอะไรน่าสงสัยอีกหรือไม่” ถาวจวินหลันกำชับชุนฮุ่ย จากนั้นก็พูดอีกว่า “ข้าเองก็หิวแล้ว ทานข้าวเช้าเสร็จก็จะไปนอนเลย เจ้าไปบอกให้ห้องครัวจัดโต๊ะเถิด”


 


 


พอกินข้าวเช้าเสร็จ ถาวจวินหลันก็ไปนอน


 


 


นางตื่นอีกทีก็เป็นตอนบ่าย นางเพิ่งตื่น ก็ได้ยินหงหลัวและปี้เจียวคุยอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่ากำลังปรึกษาเรื่องอะไรกัน


 


 


เห็นว่านางตื่นขึ้นมา ทั้งสองคนก็รีบหยุดพูด ปรนนิบัตินางล้างหน้าล้างตาทานยา และทานอะไรอีกเล็กน้อยก็ถือว่าหมดหน้าที่


 


 


“เมื่อครู่นี้พวกเจ้าพูดอะไรกันอยู่หรือ?” ถาวจวินหลันเอียงพิงหมอน พลางมองไปทางปี้เจียวที่ใช้ไม้ทุบนวดขาให้ตนเองอยู่ แล้วเอ่ยถาม


 


 


หงหลัวส่ายหน้า “คุยเล่นเรื่องจิปาถะภายในจวนเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรสำคัญเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันเห็นว่าหงหลัวไม่ยอมพูด จึงไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้า “ทางด้านชายารองเจียงเป็นอย่างไรบ้าง?” อาการของเจียงอวี้เหลียนรุนแรงกว่านางมากนัก ในเมื่อมียา แต่ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะทนต่อไปได้หรือไม่ หากผ่านไปไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องงานศพ ต่อจากนี้ไปเซิ่นเอ๋อร์จะให้ใครดูแลก็ยังเป็นปัญหา


 


 


พูดจากใจแล้ว นางอยากให้เจียงอวี้เหลียนทนต่อไป อย่างไรหากไม่มีเจียงอวี้เหลียนแล้ว หลี่เย่ก็ยังจะต้องเพิ่มผู้หญิงในจวนอีก ต่อให้เขาไม่ยินยอม ไทเฮาและฮ่องเต้ก็ไม่มีทางเห็นด้วย ถ้าจะต้องเอาสตรีตระกูลดีแต่ไม่รู้นิสัยมา ไม่สู้ให้เจียงอวี้เหลียนหายดี อย่างน้อยเจียงอวี้เหลียนก็คงจะไม่ดิ้นรนอะไรอีกแล้ว หากมีคนใหม่เข้ามา คงต้องทรมานและวุ่นวายไปช่วงระยะเวลาหนึ่งแน่นอน


 


 


“อาการของชายารองเจียงไม่ดีมาก วันนี้เช้าก็ยังอาเจียนเป็นเลือด” หงหลัวถอนหายใจ เห็นชัดว่าอาการเจียงอวี้เหลียนไม่ได้ดีนัก “เกรงว่าจะทนไม่ไหวเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น ก็อดถอนหายใจไม่ได้ หากทนผ่านไปไม่ได้ก็ไม่มีหนทางแล้ว


 


 


“ให้คนส่งยาบำรุงชั้นดีไป ยาปี้เซียวตานก็มอบไปให้ด้วย” ถาวจวินหลันพูดต่อ “ทำเรื่องที่ควรทำอย่างสุดความสามารถ นอกจากนั้นก็ฟังลิขิตสวรรค์แล้วกัน” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจอีกครั้ง “หากตายไปเช่นนี้ เซิ่นเอ๋อร์คงจะไม่ได้เห็นหน้านางเป็นครั้งสุดท้าย”


 


 


หากเซิ่นเอ๋อร์โตกว่านี้หน่อย นางเองก็อาจจะกล้าตัดสินใจเสี่ยงให้เจียงอวี้เหลียนได้พบหน้าลูกชาย แต่เซิ่นเอ๋อร์ยังเด็กนัก แม้ว่านางจะคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่กล้าทำ


 


 


หงหลัวกลับคิดเรื่องหนึ่งได้ “วันนี้ตอนเช้ามีฎีกาส่งออกจากด้านพระชายา เป็นฎีกาสั่งเสียของพระชายา”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินก็ตะลึงไป “พระชายายังเก็บฎีกาสั่งเสียเอาไว้หรือ?” ตามหลักเกณฑ์แล้วสตรีที่มีชุดตำแหน่งสามารถส่งฎีกาสั่งเสียไปได้ เหมือนกับขุนนางชราเหล่านั้นที่ส่งฎีกาสั่งเสียให้ฮ่องเต้ได้ ปกติแล้วเป็นเรื่องที่ผู้ตายยังมีห่วง และส่วนใหญ่แล้วฮ่องเต้ก็จะบรรลุความปรารถนาของพวกเขา อย่างไรก็เป็นขุนนางชรา ทำงานให้ราชสำนักมาทั้งชีวิต ฉะนั้นคงไม่ดีหากละเลยความต้องการสุดท้ายของผู้ตาย


 


 


ส่วนฎีกาสั่งเสียของสตรีจะถูกส่งไปให้ฮองเฮา แน่นอนว่าเป็นไทเฮาก็ได้


 


 


แต่ไม่รู้ว่าในฎีกาสั่งเสียของหลิวซื่อทิ้งคำพูดอะไรเอาไว้? นางมีอะไรอยากร้องขอกันแน่? ถ้าจะบอกว่าไม่แปลกใจก็เป็นเรื่องโกหก ความเป็นจริงแล้วถาวจวินหลันแปลกใจมาก


 


 


แต่ในเมื่อส่งฎีกาออกไปแล้ว นางย่อมต้องไม่รู้เป็นแน่ ไม่ว่าจะสงสัยมากเพียงใด ก็ทำได้เพียงคาดเดาอยู่คนเดียวเท่านั้น


 


 


ตอนนี้นางยิ่งเป็นกังวลอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือกำหนดการแต่งตั้งชายาเอกคนใหม่ให้หลี่เย่จะเกิดขึ้นเมื่อไร

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม