โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ 46-60

 Ch.46 – เป็นมิตรหรือศัตรู

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.46 – เป็นมิตรหรือศัตรู


 


อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดเปิดโอกาสให้ฉินเฟิงได้อธิบาย เป้าปืนใหญ่พลังงานในมือถูกเบี่ยงทิศทาง ระเบิดยิงอานุภาพออกไปอีกครั้ง


 


ฉินเฟิงเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด พุ่งไปตรงมุมทางเดินแล้วหักเลี้ยวกระทันหัน


 


“เปรี้ยง!”


 


บังเกิดแรงระเบิดรุนแรงขึ้นเบื้องหลังเขา เศษฝุ่นเศษหินปลิวกระแทกกับร่างของฉินเฟิง


 


อาวุธที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ หากโดนเพียงครั้งเดียวแน่นอนว่าต้องจบเห่ไม่มีครั้งที่สอง แม้ว่าฉินเฟิงจะสวมใส่เกราะรูนอยู่ก็ตาม แต่ตราบใดที่ถูกฝ่ายตรงข้ามยิงเข้าจังๆ เขาก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย อย่าลืมนะเกราะรูนมิได้ป้องกันครอบคลุมมาถึงหัวของฉินเฟิง


 


“ถ้านายยิงมันอีกแค่ครั้งเดียว ฉันจะตอบโต้แล้วนะ!” ฉินเฟิงตะโกน


 


บรึ้ม!


 


และคำตอบที่เขาได้รับคือการระเบิดปืนใหญ่พลังงานเข้าใส่อีกครั้ง


 


ใบหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นเขียวคล้ำด้วยความโกรธ


 


“ฉันมาที่นี่เพราะต้องการเก็บกวาดห้องทดลอง พวกเราอยู่ในสถานะเดียวกัน ทำไมต้องสู้กันด้วย?” ฉินเฟิงถาม


 


หลังจากประโยคนี้ มือปืนก็หยุดโจมตีไปจริงๆ


 


“แล้วแกเป็นใคร?” อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง


 


ฉินเฟิงสตั้น ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงดี


 


เขาเป็นใครน่ะหรือ? ก็เป็นคนที่ในชีวิตนี้แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับห้องทดลองเลยน่ะสิ ตอบไปแบบนี้คงไม่ได้แน่ๆ


 


“ลืมมันเถอะ! ไม่ว่าแกจะเป็นใคร แต่แกรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่แล้ว ฉันไม่มีทางที่จะปล่อยแกไป!”


 


ชายคนนั้นแสยะยิ้มเย็น และยกปืนใหญ่พลังงานขึ้นมาอีกครั้ง


 


เมื่อถึงจุดนี้ ความโกรธของฉินเฟิงก็ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์


 


สมองของฉินเฟิงเริ่มหมุนเร็วจี๋


 


คนๆนี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจที่จะมาทำลายห้องทดลอง เพื่อไม่ให้เหลือหลักฐานทิ้งไว้เบื้องหลัง แม้เป้าหมายแรกของทั้งคู่จะเหมือนกัน แต่ประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายกล่าว กลับทำให้เจตนาฆ่าของฉินเฟิงต้องปะทุกลับขึ้นมาอีกครั้ง


 


ที่ชวนให้คิดนอกจากนี้ ยังมีเรื่องสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชายชุดสูท ในตอนที่มือปืนปรากฏตัวขึ้นอีกชัดเจนว่าคนในห้องทดลองมั่นใจเต็มเปี่ยมว่ามือปืนมาเพื่อช่วยเหลือ


 


แต่ผู้ที่คิดจะช่วย กลับกลายเป็นคนสังหารชายชุดสูทซะเอง


 


เมื่อรวบข้อมูลทุกอย่างเข้าด้วยกัน แทบจะในทันที ฉินเฟิงก็สามารถคาดเดาสถานะของบุคลคนนี้ได้


 


“ที่แท้นายก็เป็นคนของรองผู้ว่าการ!” ฉินเฟิงกัดฟันกล่าว


 


“ฮี่ฮี่ เดาได้ถูกต้อง แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเดี๋ยวแกก็จะกลายเป็นผีแล้ว!” ชายคนนั้นเหนี่ยวไกอีกครั้ง


 


ฉินเฟิงคาดเดาไม่ผิดพลาด อีกฝ่ายคือคนของรองผู้ว่าการจริงๆ


 


เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทรงพลังของศัตรู มือปืนเลเวล F ที่เรียกว่าเหอหลี!


 


ในสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ ผู้ใช้พลังพิเศษเลเวล G น่ะมีอยู่ทุกหนแห่ง หากแต่ถ้าเป็นเลเวล F ส่วนใหญ่แล้วจะได้รับตำแหน่งสำคัญหรือเป็นรองหัวหน้า เหมือนกับซูซิงฝู แต่ถึงจะเป็นแค่รองหัวหน้า ก็อย่าได้ประมาทคนระดับนี้ไป เพราะมันเป็นตำแหน่งที่สามารถได้รับความมั่งคั่งจากภายในมากมาย ครอบครองทรัพย์สินเกินกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้


 


กระทั่งบางคนที่ร่ำรวย และมีเงินนับสิบล้าน หากพบเจอกับซูซิงฝู ทั้งหมดก็ยังต้องก้มหัวทักทายเขา


 


เพราะต่อให้จ่ายเงินออกไปมากกว่า 10 ล้าน มันก็ยังไม่สามารถทะยานขึ้นไปอยู่ในขอบเขตเลเวล F ได้


 


“ในเมื่อนายไม่คิดที่จะรามือจากฉัน งั้นฉันเองก็จะไม่ปล่อยนายไปเหมือนกัน!” ฉินเฟินยิ้มหยัน เห็นว่าเป็นมือปืนเลเวล F เลยอาละวาดไปทั่ว มันไม่รู้ซะแล้ว ว่าความแข็งแกร่งของฉินเฟิงในตอนนี้ มิได้ด้อยไปกว่าตัวมันเองเลย


 


“เสี่ยวไป๋!”


 


ฉินเฟิงคำรามเสียงต่ำ เสี่ยวไป๋ไม่รอช้า ปลดปล่อยธาตุมิติทันที


 


แล้วร่างของเขาก็หายวับไปจากสถานที่เดิม


 


มือปืนผงะตกใจ


 


“เป็นแบบนี้อีกแล้ว!”


 


เหอหลีไม่อาจทราบได้โดยสิ้นเชิงว่าฉินเฟิงหายตัวไปได้อย่างไร แต่เจ้าตัวก็เตรียมใจ พร้อมรับมือกับสถานการณ์รอบตัวตลอดเวลา


 


ในวินาทีต่อมา ฉินเฟิงพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของคู่ต่อสู้


 


เหอหลีสามารถรับรู้ถึงฉินเฟิงได้ในทันที หากแต่เวลานี้ มันไม่เหมาะที่จะยิงปืนใหญ่พลังงานอีกต่อไป


 


เพราะปืนใหญ่พลังงานทั้งหนัก และเคลื่อนไหวได้อย่างเชื่องช้า ไหนจะระยะห่างที่ใกล้เกินไปอีก ถ้าเขายิงมันออกไป เกรงว่าแม้แต่ตัวเหอหลีเองก็ยังต้องได้รับผลกระทบ


 


ทว่าเหอหลีจะมีไพ่ในมือเพียงเท่านี้ได้อย่างไร?


 


ปืนใหญ่พลังงานในมือของเหอหลีหายวับทันใด และถูกแทนที่ด้วยปืนพกสองกระบอกในพริบตา


 


ปืนคู่เหวี่ยงวูบเป็นวง พร้อมสาดกระสุนออกไป


 


“ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง!”


 


“ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!”


 


มีดกษัตริย์ครามของฉินเฟิงโบกสะบัด ไร้ซึ่งกระสุนใดทะลุมาถึงตัวเขา


 


แววตาของเหอหลีสั่นไหวด้วยความประหลาดใจ


 


“นั่นมันอุปกรณ์รูนสีเงิน!”


แน่นอน ว่าสิ่งที่ทำให้เหอหลีตระหนักถึงความแข็งแกร่งของฝั่งตรงข้าม มิใช่อุปกรณ์รูน หากแต่เป็นความว่องไวในการป้องกัน และการตอบสนองอันรวดเร็วต่างหาก


 


กลับมาที่ทางฝั่งฉินเฟิง เมื่อพบกับฉากตรงหน้า หัวใจเขาก็ต้องกระตุกไหว


 


“นั่นมันอุปกรณ์รูนมิติ!”


 


ปืนใหญ่พลังงานในมือศัตรูหายไปอย่างกระทันหัน และถูกแทนที่ด้วยอาวุธอื่นทันที ชัดเจนว่ามันเกิดขึ้นเพราะฝีมือของอุปกรณ์รูนมิติ ซึ่งการที่อีกฝ่ายครอบครองมัน ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสำหรับฉินเฟิง


 


แน่นอน ว่าการครอบครองอุปกรณ์รูนมิติ สำหรับมือปืนที่แท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา หากมีเงินก้อนใหญ่ก้อนแรก พวกเขาจะไม่เลือกซื้ออาวุธที่ทรงพลัง แต่จะเลือกซื้ออุปกรณ์รูนมิติไว้ใช้พกพาอาวุธมากมายของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก


 


ดังนั้น ถึงได้บอกตั้งแต่ต้นไง ว่าคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับอาชีพมือปืน ส่วนใหญ่แล้วคือเศรษฐีร่ำรวยและและเรืองอำนาจเท่านั้น


 


เหอหลีมีอุปกรณ์รูนมิติ นั่นหมายความว่าในมิติของเขา จะต้องมีอาวุธอยู่มากมายแน่ๆ การต่อสู้จากนี้ไป ใครเล่าจะรู้ว่าเขาจะงัดเอาอะไรออกมาใช้อีก


 


สัญชาตญาณระวังภัยเริ่มร้องเตือนในหัวใจของฉินเฟิง


 


อย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณระวังภัยนี้หมายถึงการยอมรับในตัวคู่ต่อสู้ มันมิใช่หมายถึงความหวาดกลัว!


 


เวลานี้ ฉินเฟิงตื่นตัวสุดขีด


 


จะรอช้าไม่ได้ เหอหลีจะต้องตาย!


 


“โอบกอดทมิฬ!”


 


อบิลิตี้ของฉินเฟิงพลันกระชากไหว ความมืดมิดโถมเข้าปกคลุมร่างกายของเหอหลี


 


“นี่มันอะไรกัน?”


 


ดวงตาของเหอหลีกลายเป็นว่างเปล่า เขาตระหนักได้เพียงรอบตัวไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของแสงสว่าง


 


“วิซซซ!”


 


คมกล้าของมีดกษัตริย์ครามในมือฉินเฟิงโฉบไปข้างหน้า


 


“ปัง ปัง ปัง!”


 


เหอหลีมิใช่คนโง่ เขาตัดสินใจยิงปืนเข้าใส่ตำแหน่งเดิมของฉินเฟิง แม้ว่ากระสุนจะไม่ถูกเป้าหมายก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ช่วยสกัดฉินเฟิงไม่ให้เข้ามาใกล้ได้


 


“แต๊ง แต๊ง แต๊ง!”


 


มีดปาดกระสุน ฉินเฟิงก้าวตรงมาข้างหน้าอีกครั้ง


 


ในการต่อสู้กับมือปืน วิธีก็คือต้องพาตนเข้าไปใกล้ศัตรูให้ได้มากที่สุด!


 


ณ เวลานี้ ระยะห่างของทั้งสองประชิดกันแล้ว ฉินเฟิงพลันสับมีดลงในคราวเดียว


 


เป็นมีดซึ่งครอบครองใบอันแหลมคม และสามารถแยกร่างของคนทั้งคน ผ่าเป็นสองซีกใด้ในกระบวนท่าเดียว!


 


ทว่าในวินาทีต่อมา เหอหลีกลับดีดตัวถอยอย่างกระทันหัน พร้อมปรากฏขวดขนาดใหญ่ห้าใบในมือของเขา


 


“ระเบิดพลังแม่เหล็ก!”


 


ดวงตาของฉินเฟิงหดลีบ เขาย่อตัว และดีดผึง! ชักมีดถอยกลับทันที


 


สนามแม่เหล็กพุ่งตามฉินเฟิงมาก็จริง หากแต่มันไม่ทันกับความเร็วของเขา


 


“ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม!”


 


ระเบิดแล้วระเบิดเล่าดังขึ้น เนื่องจากระยะค่อนข้างใกล้ ฉินเฟิงเลยโดนผลกระทบจากแรงอัดอากาศ


 


ระหว่างนั้นเอง ชุดต่อสู้เหมือนจะทานทนไม่ไหว เริ่มฉีกขาด -ฉินเฟิงรู้สึกแค่ว่าแขนของเขาถูกทิ่มแทงด้วยของมีคมบางอย่างระหว่างแรงปะทะ


 


แน่นอน ว่าทางด้านเหอหลีเองก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากัน


 


แม้จะถูกอบิลิตี้ความมืดของฉินเฟิงปกคลุม แต่เหอหลีก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนองได้ทัน ยังไงก็ตาม ถึงฉินเฟิงจะถูกขัดขวางอย่างกระทันหัน แต่ปลายมีดกษัตริย์ครามก็จุ่มเฉือนเข้าถึงร่างของเหอหลีซะก่อนแล้ว


 


“โดนแทงงั้นหรอ!?”


 


ชุดต่อสู้ราคาแพงถูกตัดเปิดออกทันที กระบวนการช่างง่ายดายราวกับฉีกเศษผ้า เสียบเข้าถึงชุดเกราะรูนภายในสีม่วง บังเกิดเสียงดัง ‘แคว๊ก!’


 


เหอหลีที่ถอยออกมาตั้งหลักรับรู้ได้ถึงแรงเฉือน  ตั้งแต่หน้าอกของเขา ลากยาวลงมาถึงช่องท้องบังเกิดความรู้สึกเจ็บจี๊ด


 


-เป็นมีดของศัตรู มีดสามารถทะลุเกราะชั้นในเข้ามาทำร้ายเขาได้!


 


เหอหลีตัดสินใจทันที ในมือปรากฏปืนกล เขาลั่นไกสาดกระสุนอย่างรวดเร็ว


 


ฉินเฟิงกลิ้งตัวหลบ ก่อนจะเลือกใช้พลังพิเศษซ่อนเงา


 


ฉินเฟิงหลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ขณะเดียวกัน เหอหลีก็ยังถูกความมืดปกคลุม การรับรู้ของเขาลดต่ำลงเป็นอย่างมาก เลยไม่สามารถตรวจหาร่องรอยของฉินเฟิงได้ชั่วคราว


 


ฉินเฟิงค่อยๆย่องซุ่มอย่างเงียบๆ และเริ่มโจมตีอีกครั้ง


 


ทันทีที่เขาโจมตี ทางเหอหลีก็สัมผัสได้ ตอบโต้สวนกลับไป


 


ทั้งสองสู้กันไม่มีใครยอมใคร จนยากจะคาดเดาถึงผลลัพธ์ของชัยชนะ


 


แต่ในช่วงเวลานั้นเอง ห้องทดลองใต้ดินก็เริ่มสั่นสะเทือน


 


ครืนนนนนน!


 


ผนังอีกฝั่งถล่มลง คล้ายอาคารจะพังทลายลงมา


 


ทว่าทั้งสองกลับไม่มีใครยอมถอยเลย ดูเหมือนว่าไม่มีใครคิดจะหยุด จนกว่าจะสังหารศัตรูลงได้


 


“ก็เอาสิ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนว่า ว่า ‘พลังสมาธิ’ ของแกมันจะยังใช้ได้อีกนานแค่ไหน!”


 


เหอหลีคำราม สาดกระสุนออกไป


Ch.47 – ผู้ใช้อบิลิตี้ VS มือปืน

Translator : Muntra / Author


วันนี้ลง 4 ตอน


 


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.47 – ผู้ใช้อบิลิตี้ VS มือปืน


 


ร่างของฉินเฟิงสั่นสะท้าน บังเกิดประกายแสงวูบไหวในดวงตา


 


“จริงสินะ พลังสมาธิมันไม่ได้มีไว้ใช้แค่อย่างเดียวนี่นา …”


 


ก่อนที่จะเกิดใหม่ ฉินเฟิงเคยมีสถานะเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณมาก่อน ดังนั้น ความคิดแวบแรกของเขายามเมื่อต้องต่อกรกับมือปืน ก็คือวิ่งเข้าประชิดตัวและตัดหัวเสีย


 


แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายย้ำเตือนให้นึกถึงเรื่องนี้เข้า ฉินเฟิงเลยรู้สึกตัว ว่าในตอนนี้ ในชีวิตใหม่ เขายังมีอีกสถานะหนึ่ง


 


-ผู้ใช้อบิลิตี้!!


 


ปัจจุบันเขาคือผู้ใช้อบิลิตี้ไม่ใช่หรือ งั้นทำไมต้องไปสู้กับอีกฝ่ายในแบบฉบับของผู้ใช้วรยุทธโบราณด้วยเล่า?


 


นี่เองสินะ ที่เรียกกันว่า ‘บางครั้งประสบการณ์ก็ฆ่าผู้คนโดยไม่รู้ตัว’


 


“ตูม!” เสียงระเบิดดังขึ้น การโจมตีระลอกใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว


 


เหอหลีสาดกระสุนนัดแล้วนัดเล่า อันที่จริง สีหน้าของเขาตอนนี้ดูน่าเกลียดยิ่ง เหงื่อเม็ดเท่าลูกปัดเริ่มผุดขึ้นตามหน้าผาก


 


แม้จะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดอยู่ตลอดเวลา แต่เหอหลีก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งทางกายของฉินเฟิงอยู่ในเลเวล G7 เท่านั้น


 


แต่อาวุธในมือของฉินเฟิงต่างหากที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก ตรงจุดนี้เอง เหอหลีเลยไม่กล้าที่จะให้อีกฝ่ายเข้าใกล้


 


อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับมือปืนก็คือ อาวุธของพวกเขานั้นไม่ง่ายต่อการพกพา ไม่เพียงเท่านั้น แต่กระสุนก็ยังคงมีจำกัด


 


และกระสุนของเหอหลีก็กำลังจะหมดลง


 


แต่ในช่วงเวลานี้เอง จู่ๆเหอหลีก็รับรู้ได้ว่าฉินเฟิงหยุดการเคลื่อนไหวไปซะดื้อๆ


 


ไม่เพียงเท่านั้น ความมืดมิดที่ปกคลุมเขาจู่ๆก็หายไปอย่างกระทันหัน ในที่สุด แสงสว่างก็ปรากฏสู่สายตาอีกครั้ง


 


ภายในห้องทดลอง บัดนี้มีสภาพราวกับซากปรักหักพัง แสงจากหลอดไฟบ้างกระพริบ บ้างหรี่ลงจนแทบจะดับ สายไฟก็ขาด ระโยงระยางลงมา ไฟฟ้ารั่วสาดประกายสีเงินขาวไปทั่วบริเวณ


 


“พลังสมาธิของศัตรูหมดลง? หรือว่าฉันสามารถจัดการเขาได้แล้วกันแน่?” เหอหลีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


 


“แต่พลังพิเศษของเจ้าหนูนั่นไม่อ่อนแอเลย ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน”


 


“ในเมื่อเป็นแบบนั้น งั้นทำไมเราไม่พาตัวเขากลับไปหารองผู้ว่าการ แล้วจับเป็นหนูทดลองซะเลยล่ะ!”


 


มุมปากของเหอหลีเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม


 


ในเวลาเดียวกัน ฉินเฟิงที่กำลังหลบอยู่ในซ่อนเงาก็คอยเฝ้ามองเหอหลีเดินถือปืนก้าวเข้ามาข้างหน้า -ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังมองหาตำแหน่งของตัวเขา


 


ไม่รอช้า พลังสมาธิของฉินเฟิงระเบิดออกมาอย่างกระทันหัน


 


“เพลิงโลกันต์!”


 


เปลวไฟสีดำลุกพรึบ! ร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบน!


 


ส่วนเหอหลี เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แถมนี่ยังมิใช่สิ่งที่เขาเคยเจอมาก่อน กว่าจะรู้สึกตัวอีกที มันเลยสายเกินไปแล้วที่จะหลบเลี่ยง


 


“อ๊ากกกก!!”


 


เหอหลีกรีดร้อง เปลวไฟโถมเข้าใส่ ลุกลามไปทั้งร่างของเขา เจ้าตัวม้วนกลิ้งลงกับพื้นอย่างรุนแรง หวังจะให้มันมอดดับลง ทว่าเปลวไฟราวกับหนอนไชกระดูก เมื่อได้มุดเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ไม่ยินยอมจะผละตัวหลุดออกมา


 


เหอหลีแทบจะกลายเป็นมนุษย์เพลิงในพริบตา


 


หลังจากนั้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ทั้งร่างของเหอหลีก็หยุดดิ้นรนขัดขืน แน่นิ่งลงกับพื้น


 


“จงดับ!”


 


ฉินเฟิงวาดมือออกไป เปลวไฟสีดำส่งเสียงวูบบบ! มอดดับลง แต่ศพของเหอหลีหลังจากที่ถูกไฟครอก ตอนนี้มีสภาพดำเมี่ยมราวกับโค๊กไปแล้ว


 


มือปืนเลเวล F ที่คิดทำลายห้องทดลอง สิ้นใจลงโดยสมบูรณ์


 


เลือดที่เดือดพล่านเริ่มสงบลง ฉินเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าทั้งกายใจ


 


“แอ๊!” เสี่ยวไป๋วิ่งออกมาจากมุมห้อง ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงไม่อนุญาตให้มันมีส่วนร่วมในการต่อสู้ ดังนั้น เมื่อทุกอย่างจบลง มันก็พุ่งปราดเข้ามา แต่เมื่อเห็นสภาพร่างกายของฉินเฟิงที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย มันก็กระโดดสองสามก้าวขึ้นเกาะบนไหล่เขา แล้วยื่นใบหน้าไปถูๆที่แก้ม


 


“เสี่ยวไป๋ อย่าทำแบบนั้น!”


 


ฉินเฟิงลูบหัวเสี่ยวไป๋ ก่อนจะเริ่มปัดๆขนของมัน เนื่องจากการต่อสู้ดุเดือดเมื่อครู่นี้ มันไปมุดหลบอยู่ในรูแคบๆ ตอนนี้ขนของมันเลยมีแต่ฝุ่น กลายเป็นสีเทาเล็กน้อย


 


ฉินเฟิงฝืนยิ้ม ก่อนจะเดินไปทางศพของเหอหลี


 


ในตอนนี้ ชุดต่อสู้ของเหอหลีถูกเผาไปแล้ว แต่บนศพ ยังมีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดความสนใจของฉินเฟิง


 


เกราะชั้นในสาดแสงสีม่วงกระทบตาของฉินเฟิง เขาเอื้อมมือไป และกระชากมันออกมา ศพดำเมี่ยมของเหอหลีพลันกลายเป็นเถ้าถ่าน ร่วงโรยเป็นกองฝุ่นหนากับพื้น เหลือเพียงชุดเกราะที่ยังอยู่ดี


“ดูเหมือนว่าตรงจุดที่เสียหายจะเกิดจากมีดในตอนนั้น!” ฉินเฟิงมองไปตามรอยลากยาวที่เสียหายบนเกราะสีม่วง ก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


 


อำนาจของมีดกษัตริย์คราม ไม่อาจดูแคลนได้


 


“ถึงจะเสียหาย แต่เกราะม่วงนี้น่าจะยังพอซ่อมแซม หรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้!” ว่าจบ ฉินเฟิงก็เก็บเกราะม่วงไป


 


บนศพของเหอหลี แน่นอนว่ายังมีอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆหลงเหลืออยู่ อย่างเช่น ปลอกแขน และสนับแข้ง ซึ่งทั้งสองล้วนเป็นอุปกรณ์ชิ้นใหญ่ มีพื้นที่ป้องกันการบาดเจ็บค่อนข้างกว้าง แต่ทุกชิ้นเป็นอุปกรณ์รูนสีฟ้า ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงก็ยังเก็บมันอยู่ดี


 


“เจอแล้วอุปกรณ์รูนมิติ!”


 


ท่ามกลางซากขี้เถ้า ฉินเฟิงมองเห็นแหวนที่สาดรังสีแสงสีเงินนอนอยู่ใจกลางกองฝุ่น


 


พลังสมาธิของฉินเฟิงซึมซาบลงไปในมัน และค้นพบว่านี่คืออุปกรณ์มิติที่มีพื้นที่ยาวสองเมตร และกว้างหนึ่งเมตร


 


แม้ว่าจะไม่มากนัก แต่ก็มีอาวุธหลายสิบชิ้นถูกจัดวางไว้ภายในอย่างเป็นระเบียบ


 


และมูลค่าของอาวุธเหล่านี้ย่อมสูงค่า อย่างน้อยๆก็น่าจะมากกว่า 8 ล้าน


 


แน่นอน ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดก็คืออุปกรณ์รูนมิติ ซึ่งมีราคาอย่างน้อยก็ 10 ล้าน!


 


ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงไม่ต้องการอุปกรณ์เสริมอะไรพวกนี้ ดังนั้นเขาตัดสินใจทันทีว่าจะขายแหวน


 


แต่คำถามก็คือจะขายให้กับใครนี่แหละ


 


ฉินเฟิงทำการถ่ายเทปืนจักรกลเข้าไปในพื้นที่มิติของเสี่ยวไป๋ แต่ในส่วนของระเบิดจากพื้นที่มิติ เขายังทำการติดตั้งระเบิดเวลาลงไปตามจุดต่างๆอีกหลายลูก


 


ระเบิดเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่เหอหลีเตรียมเอาไว้สำหรับห้องทดลอง แต่ตอนนี้เหอหลีตายแล้ว ดังนั้นฉินเฟิงเลยต้องรับช่วงต่อไปโดยปริยาย


 


เพราะเขาไม่ต้องการ ที่จะให้ทุกสิ่งในห้องทดลองนี้ หลุดรอดออกไป เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองเช่นกัน


 


“ไปกันเถอะ”


 


ฉินเฟิงเอ่ยคำหนึ่ง


 


แล้วเสี่ยวไป๋ก็พาฉินเฟิงเทเลพอร์ตทันที พริบตาเดียวก็กลับมายังทุ่งล่าอีกครั้ง


 


ฉินเฟิงกดรีโมทในมือของเขา พลันเกิดเสียงคำรามดังสนั่นขนาดใหญ่จากระยะไกล พื้นดินยุบตัว แต่สักพักก็สงบลง ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว บริเวณนี้มันเป็นถิ่นทุรกันดาร ที่ไม่มีคนอยู่อาศัย


 


ก่อนที่จะเกิดใหม่ ฉินเฟิงเองก็เคยค้นพบเบาะแสบางอย่างของห้องทดลองนี้เหมือนกัน แต่ในชีวิตนี้ ชัดเจนว่าเขาได้พบเจอกับปริศนาที่ใหญ่กว่า


 


อย่างไรก็ตาม เบาะแสที่ว่านั่นอยู่ในหัวของรองผู้ว่าการ แต่ตอนนี้ตัวเขาไม่มีพลังมากพอที่จะสามารถเผชิญหน้ากับรองผู้ว่าการได้!


 


“ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร และพอดีว่าฉันก็มีมิตรที่ทรงพลังคนหนึ่งอยู่พอดี!”


 


เมื่อขบคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟิงก็บังเกิดไอเดียบางอย่างขึ้น


 


เขาถอดชุดต่อสู้ T3 ที่ซื้อมาในราคา 30,000 ออก สภาพของมันได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการต่อสู้ในครั้งนี้ และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงซ่อมไม่ได้


 


เขาหยิบกระเป๋าเดินทางที่นำมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจากในมิติของเสี่ยวไป๋ แต่เมื่อเปิดดู ฉินเฟิงกลับพบว่ามันเหลือเสื้อแค่ 2 ตัวเท่านั้น


 


“เอาเถอะ เงินก็มีตั้งเยอะ คงถึงเวลาที่จะต้องซื้อเพิ่มบ้างแล้ว!”


 


ฉินเฟิงกล่าวอย่างไร้หนทาง หากต้องต่อสู้ต่อไป เรื่องเสื้อผ้าเสียหายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และถ้าให้ย้อนนึกกันจริงๆ วันนี้วันเดียวฉินเฟิงเสียเสื้อที่มีทั้งหมดไปตั้งครึ่งนึงแล้ว(2ตัว)


 


รถศึกเริ่มลอยตัวขึ้น มุ่งหน้ากลับไปยังฐาน ในเวลานี้ ท้องฟ้าเริ่มทอแสง บ่งบอกถึงเช้าของวันใหม่


 


ฉินเฟิงเปิดอุปกรณ์สื่อสาร เพื่อโทรหาคนที่เขาไม่ติดต่อมานานเกือบเดือน


 


“รองหัวหน้าซู ผมเพิ่งได้ของบางอย่างมา ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะดูมันไหม!”


 



 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูซิงฝูที่ดวงตางัวเงียและแทบจะสัปหงก ก็เริ่มด่าทอฉินเฟิงในหัวใจ


 


“ไอ้เด็กนี่ ทำไมถึงต้องโทรมาตอนเช้าทุกครั้งเลยนะ วัยรุ่นมักจะชอบตื่นสายกันไม่ใช่รึไง!”


 


แต่บอกตามตรง ว่าคราวนี้ซูซิงฝูก็ตื่นเต้นหน่อยๆเหมือนกัน เพราะฉินเฟิงไม่ได้บอกว่าจะเอาอะไรมาขายให้กับเขา


 


ในตอนนั้นเอง รถศึกล่องเวหาคันหนึ่งก็ร่อนลงมาจอดด้านหน้าของซูซิงฝู สำหรับผู้ใช้พลังพิเศษเลเวล F แล้ว รถแพงๆไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ตอนแรกเขามองผ่านๆ แต่สักพักก็ต้องเบิกตาค้าง


 


เพราะในสายตา เห็นแค่เพียงฉินเฟิงกำลังลงมาจากที่นั่งคนขับพร้อมกระเป๋าเป้สะพายหลัง เดินตรงมาด้านข้างรถของซูซิงฝู


 


ซูซิงฝูตะลึงงัน ไม่ตอบสนองไปครู่หนึ่ง


 


ฉินเฟิงเคาะหน้าต่างรถ ซูซิงฝูได้สติรีบเปิดประตูออกมาทักทายเขา


 


“ฉินเฟิง ไอ้เจ้าหนูมหัศจรรย์ ช่วงนี้เธอไปทำอะไรมาถึงได้มีเงินมากขนาดนี้!”


 


รถศึกล่องเวหามีราคาที่สูงไม่เลว แต่ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงไม่ได้ขายอะไรให้กับเขา ดังนั้นในหัวใจ ซูซิงฝูเลยรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย


Ch.48 – แลกเปลี่ยนเป็นบ้าน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.48 – แลกเปลี่ยนเป็นบ้าน


 


“พวกวัตถุดิบก่อนหน้านี้ที่ได้รับมา มันไม่เหมาะกับคุณ!”


 


คลื่นกองทัพหนูที่บุกเข้ามาในพื้นที่เพาะปลูกได้ถูกบันทึกเอาไว้อย่างเป็นทางการ ดังนั้นซูซิงฝูจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ หากเขารับเอาสินสงครามจากที่นั่นไป


 


ส่วนแก่นพลังงานจำนวนมาก มันไม่เหมาะสมที่จะใช้แลกเปลี่ยนกับเขา


 


“งั้นสินค้าคราวนี้เหมาะกับฉันอย่างงั้นสินะ?” ซูซิงฝูฉีกยิ้มจนหน้าบาน ตั้งตารอที่จะได้เห็นมัน


 


“ไม่เพียงแต่เหมาะสม แต่ผมยังไปค้นพบความลับเข้าอีกด้วย!”


 


“ความลับอะไรงั้นหรอ?”


 


ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ร่างของซูซิงฝูเริ่มตื่นตัวมากขึ้น


 


“คุณพอจะรู้เกี่ยวกับเรื่องการบุกโจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อวานบ้างรึเปล่า?” ฉินเฟิงถาม


 


คิ้วของซูซิงฝูย่นเข้าหากันทันที


 


“ก็พอจะรู้บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด เพราะเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของทางเรา” ซูซิงฝูตอบ


 


เมื่อวานนี้ บริเวณใกล้เคียงกับโรงแรมเจิ้งหยวน มันอยู่ภายใต้เขตอำนาจของรองผู้ว่าการ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ทำอะไรให้มันชัดเจน ไหนจะเรื่องมีนักเรียนเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไปอีก มันเลยยากที่จะลงมือ


 


ไม่อย่างนั้น ฉินเฟิงจะถูกปล่อยตัวมาในตอนแรกได้อย่างไร ทั้งๆที่อีกฝ่ายรู้ว่าฉินเฟิงเป็นคนทำลายแผนของพวกเขา


 


แน่นอน อันที่จริงพวกเขาก็วางแผนจะออกตามล่าฉินเฟิงในช่วงเวลากลางคืนและคิดจับตัวเขาด้วยเหตุผลบางอย่างเหมือนกัน แต่น่าเสียดาย ที่ทั้งคืนฉินเฟิงไม่ได้กลับมา


 


และเมื่อฉินเฟิงได้ยินคำกล่าวของซูซิงฝู ในสมองก็เริ่มขบคิด และรับรู้ได้ถึงอันตราย


 


“นี่คือความลับที่ผมได้มา!”


 


ว่าแล้วฉินเฟิงก็เปิดอุปกรณ์สื่อสาร


 


เนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะพลาดรายละเอียดใดๆ ระหว่างเค้นสอบ ฉินเฟิงจึงบันทึกเสียงเอาไว้


 


หลังจากกดเปิดอุปกรณ์สื่อสาร เสียงที่อัดไว้ก็ดังขึ้น


 


【อย่า! ได้โปรดอย่าฆ่าฉัน ถึงจะไม่ใช่เรื่องขององค์กร แต่ฉันยังมีอีกความลับหนึ่งที่สามารถบอกได้!】


 


【ถ้าความลับนี้มันไร้ประโยชน์ ฉันจะไม่ปล่อยให้แกมีลมหายใจอยู่อีกต่อไป!】

 


【ไม่ ไม่ไร้ประโยชน์แน่นอน! …. การบุกโจมตีเพื่อนร่วมชั้นของเธอเดิมทีไม่ได้เป็นเป้าหมายของทางเรา แต่เป็นอีกฝ่ายที่ผลักดันให้เกิดขึ้น】


 


【อีกฝ่ายที่แกกำลังพูดถึงคือใคร?】


 


【เป็นรองผู้ว่าการเขตเฉิงเป่ย!】


 


ดวงตาของซูซิงฝูเบิกกว้าง


 


“บันทึกเสียงนี้ของเธอมันน่าเชื่อได้จริงๆหรือ? แล้วใครกันที่เธอกำลังเค้นถามอยู่ ทำไมเขาถึงบอกว่ามันเป็นคำสั่งของรองผู้ว่าการ? แต่ถ้าบันทึกเสียงนี้เป็นเรื่องจริง ไม่เพียงแต่เธอจะไม่ได้รับประโยชน์อะไร แต่ยังถูกดึงเข้าไปในวังวนที่แสนอันตราย นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ!”


 


ซูซิงฝูพ่นคำถามออกมาอย่างต่อเนื่อง ปฏิกิริยาไม่พอใจผุดขึ้นเต็มใบหน้าอวบอ้วนใจดีของเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขากำลังแสดงมันออกมาอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นเขาคงจะไม่ได้รับสมญานักขูดรีดในชีวิตก่อนหน้า


 


จะเล่าเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ควรกล่าวถึงให้ได้รู้ ว่าการที่เขาได้กลายเป็นพ่อค้านักขูดรีดที่มีอำนาจ ทั้งๆที่ความแข็งแกร่งของตนไม่มากไปกว่าเลเวล F การที่ปีนป่ายขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ ชัดเจนว่าต้องมีผู้ช่วยเหลือที่ทรงพลังอยู่เบื้องหลังเป็นธรรมดา


และคนที่ว่า ในชีวิตก่อนหน้า ก็คือผู้ว่าการที่แท้จริงของสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ : เจิ้งหยาง ตัวตนทรงพลังในเลเวล E !


 


ซูซิงฝูสูดหายใจลึก พยายามเรียกคืนสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ขณะเดียวกันก็มองฉินเฟิงด้วยความเห็นอกเห็นใจในสายตา


 


“อย่าพูดอะไรมากไปกว่านี้เลย ตอนนี้เธอยังอ่อนแอเกินไป!”


 


คนที่อ่อนแอ แต่รู้ความลับมากเกินไป มักจะไม่ตายดี


 


“ผมน่ะหรืออ่อนแอ?” ฉินเฟิงยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม


 


เขายกมือขึ้นแล้วกางออก เผยให้เห็นถึงแหวนมิติที่สวมอยู่บนนิ้ว ต่อมา สองอุปกรณ์รูนก็ปรากฏขึ้น มันคือเกราะม่วง และปลอกแขนของเหอหลี


 


“นี่คือสิ่งที่ผมจะขายให้คุณ และแน่นอน ถ้าคุณต้องการ อุปกรณ์รูนมิตินี่ก็ขายให้ได้เช่นกัน!”


 


ฉินเฟิงส่ายนิ้วที่สวมแหวนไปมา


 


เห็นถึงฉากตรงหน้า ดวงตาของซูซิงฝูแทบจะถลนออกมา


 


“เจ้าสิ่งนี้ … เธอไปได้มันมาจากที่ไหน?”


 


ฉินเฟิงยังคงเผยรอยยิ้มแย้ม และอธิบายคำถามของซูซิงฝู


 


“ผมออกไปล่าเมื่อวานนี้ และค้นพบห้องทดลองซ่อนอยู่ในทุ่งล่าโดยบังเอิญ ในห้องทดลองกำลังดำเนินการวิจัยที่ละเมิดสนธิสัญญามนุษย์ ดังนั้นผมเลยอยากจะรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมัน แต่ไม่คาดหวังเลย ว่าจะดันไปล่วงรู้ความลับใหญ่เข้า : เรื่องที่เพื่อนของผมถูกบุกโจมตี จริงๆแล้วมันคือส่วนนึงของการทดลอง นอกจากนี้ พวกมันกำลังพูดถึงเรื่องของหลินไค ลูกชายของรองผู้ว่าการที่เพิ่งได้รับการฉีดยากระตุ้นในปีนี้ ซึ่งระยะเวลาปลุกพลังกำลังจะหมดลงแล้ว แต่ปัจจุบัน กระทั่งพลังวรยุทธโบราณ มันก็ยังไม่สามารถปลุกขึ้นมาได้สำเร็จ!”


 


ซึ่งปัจจุบัน เหลือเวลาอีกเพียงสามวันเท่านั้นก่อนที่จะครบหนึ่งเดือน แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้จนวินาทีสุดท้าย ทว่าขยะดังเช่นหลินไคจะสามารถปลุกพลังให้ตื่นขึ้นมาได้อย่างไร?


 


ก็ในเมื่อตัวมันเอาแต่กิน , ดื่ม และเล่นพนัน ทั้งๆที่มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ร่างกายของมันกลวงโบ๋ การปลุกพลังพิเศษให้ตื่นกล่าวได้ว่ายากเย็นยิ่งกว่าการปีนป่ายขึ้นสู่สวรรค์


 


“การทดลองของพวกเขา คือการถ่ายโอนอบิลิตี้ใช่ไหม?” ซูซิงฝูเพียงฟัง ก็เหมือนจะจับจุดได้ทันที


 


ฉินเฟิงหรี่ตาแคบลง ปรากฏกลิ่นอายสังหารขึ้นในคู่ดวงตา

 


“รองหัวหน้าซู คุณเองก็สนใจเรื่องนี้ด้วยงั้นหรอ?”


 


ซูซิงฝูสัมผัสได้ถึงท่าทีเย็นชา เขาหยุดหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “นั่นมันขัดต่อสนธิสัญญามนุษยชาติ และวิธีการเองก็ไม่เหมาะสม ฉันไม่สนับสนุนมันอย่างแน่นอน!”


 


หลังจากที่รอยแยกมิติปรากฏ โลกก็ตกอยู่ในความอลหม่าน สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมดามากมายผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด พวกมันมาพร้อมกับพลังทำลายล้างอันมหาศาล เป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวง เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างก็ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องการรักษาอำนาจของตน การทดลองต่างๆมากมายจึงเริ่มต้นขึ้น


ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นธรรมดาที่ผู้ใช้อบิลิตี้กลายมาเป็นเป้าหมายในการทดลอง แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะดำเนินการในที่ลับ แต่หากพวกมันถูกเปิดเผย นั่นจะก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมาได้


 


และนี่เอง คือเหตุผลที่ทำให้แต่ละสถานที่ชุมชน กลายเป็นหมากตัวสำคัญสำหรับเหตุการณ์นี้


ในเวลาเดียวกันสถานที่ชุมชนแต่ละแห่งก็ต้องคอยแก้ปัญหา เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการทดลองเช่นนี้เกิดขึ้น ชนิดที่ว่าหากมีผู้ใช้อบิลิตี้ตายลง พวกเขาก็จะต้องถูกเผาในที่เกิดเหตุทันที


 


ไม่เช่นนั้น ทุกคนคงจะถูกลอบสังหาร แล้วกลายเป็นเป้าหมายในการทดลอง -แบบนั้นใครเล่าจะกล้าเผยตัวออกมาว่าตนเป็นผู้ใช้พลัง และทำประโยชน์เพื่อสังคม?


 


น้ำเสียงของฉินเฟิงเย็นชากว่าเดิม “ถูกต้องแล้ว ไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับมันจะเป็นการดีที่สุด!”


 


ซูซิงฝูรีบเปลี่ยนเรื่อง “เอ่อ … เธอเหมือนจะอยากแลกเปลี่ยนอะไรนะ แล้วมันยังไงต่อ”


 


“พอถูกคุณขัดจังหวะผมก็เผลอลืมมันไปเลย” ฉินเฟิงเริ่มอารมณ์ไม่ดี “สิ่งเหล่านี้เป็นของมือปืนที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล F”


 


ฉินเฟิงกล่าวพลางคาดเดาผลกำไรที่เขาจะได้รับ


 


“เธอบอกว่าเขาคือคนของรองผู้ว่าการ … มือปืนเลเวล F เอ๊ะ? นั่นไม่ใช่เหอหลี หรอกเหรอ!” ใบหน้าของซูซิงฝูกลายเป็นซีดขาว


 


สำหรับความแข็งแกร่งของเหอหลี กระทั่งซูซิงฝูเอง หากเผชิญหน้าตรงๆก็ยังต้องหลีกเลี่ยง แต่ฉินเฟิงกลับสามารถต่อกรกับอีกฝ่าย และสังหารลงได้จริงๆน่ะหรือ?


 


ในเรื่องนี้ แม้แต่ซูซิงฝูเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ


 


แต่ทันใดนั้น คำพูดหนึ่งที่ฉินเฟิงเคยย้อนถามตนก็ผุดขึ้นมา : ผมน่ะหรืออ่อนแอ?


 


ถ้าถึงขั้นสามารถฆ่าเหอหลีได้ มันจะไปอ่อนแอได้ยังไง!


 


เจ้าเด็กคนนี้ มันเป็นสัตว์ประหลาดขนานแท้


 


เขาคือคนที่เพิ่งได้รับการปลุกพลังในเวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งเดือนจริงๆน่ะหรือ?


 


“ผมไม่รู้จักมันหรอก แต่คุณสามารถตรวจสอบเรื่องนี้เองอย่างลับๆได้ หมดเรื่องที่ผมจะพูดแล้ว จะซื้อรึเปล่า!”


 


ซูซิงฝูมองไปยังสามสิ่งนี้ อันได้แก่แหวนมิติ , เกราะม่วง และปลอกแขนฟ้า


 


ซูซิงฝูกัดเขาและกล่าว “ซื้อก็ซื้อ! ทั้งสามชิ้นเลย ฉันยอมจ่ายให้ 20 ล้านตกลงไหม?”


 


อุปกรณ์รูนมิติมีราคาเกือบ 10 ล้าน แต่มูลค่านี้จะไม่มีวันเสื่อมราคา , เกราะม่วงต้องซ่อมแซมดังนั้นราคาคงไม่สูงนัก แต่อย่างไรมันก็เป็นของเลเวล F ต่อให้เสื่อมราคา แต่ก็น่าจะยังขายได้ถึง 8 ล้าน ส่วนปลอกแขน ราวๆ 2 ล้าน


 


“ผมตกลง!”


 


“งั้นเธอรอก่อน ฉันไม่ได้พกเงินในมือมากมายขนาดนั้น แต่ฉันมีทรัพย์สินที่สามารถขายทิ้งได้อย่างรวดเร็ว ราคาประมาณ 20 ล้านพอดี!”


 


“โห?” ฉินเฟิงเลิกคิ้ว คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “งั้นคุณลองพาผมไปดูสิ ถ้าถูกใจ ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ผมขอแลกเปลี่ยนกับมันเลย!”


 


มุมปากของซูซิงฝูกระตุก เพราะทรัพสินย์ที่เขาว่า มันเป็นบ้านซึ่งมีมูลค่ากว่า 30 ล้าน!


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในย่านระดับสูงของชุมชนทางตอนเหนือ -สวนชิงหู


 


ใช่แล้วล่ะ สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในชุมชนทางตอนเหนือ มันคือที่เดียวที่อยู่ใกล้กับธรรมชาติอย่างทะเลสาบเพียงแห่งเดียวของชุมชน


 


และที่นี่ยังเป็นต้นน้ำของอ่าวฉิงเฮ ที่ฉินเฟิงเคยไปเยี่ยมเยือนอีกด้วย


 


สวนชิงหูคือสถานที่พักอาศัยเล็กๆรอบทะเลสาบ แน่นอน ว่ามันคือสถานที่รวมตัวกันของผู้มั่งคั่งและทรงอำนาจนับไม่ถ้วน กระทั่งตึกพักอาศัยที่กว้างใหญ่ก็ยังปรากฏให้เห็น


Ch.49 – เครือข่ายนักล่าเงินรางวัล

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.49 – เครือข่ายนักล่าเงินรางวัล


 


การสร้างวิลล่าในสถานที่ชุมชน ช่างเป็นอะไรที่ฟุ่มเฟือย


 


แต่ก็ลองคิดดูสิ ว่าในวิลล่าเหล่านี้ มีใครบ้างที่อาศัยอยู่


 


ใช่แล้วล่ะ บางส่วนก็เป็นตัวตนทรงพลังในเลเวล E อย่างผู้ว่าการ , นายพล , ผู้อำนวยการของสถาบันระดับสูง ฯลฯ


 


สภาพของสถานที่พักอาศัย คือหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ช่วยให้ผู้คนยอมรับนับถือ


 


และสวนชิงหู ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็ได้ในชุมชนสามารถอาศัยอยู่ได้


 


ซูซิงฝูคิดว่าการที่ฉินเฟิงสามารถฆ่าเหอหลีได้ อีกฝ่ายจึงน่าจะมี ‘ความแข็งแกร่ง’ มากพอที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ แต่หากมีใครบางคนเห็นฉิงเฟิง ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะอารมณ์เสีย แล้วพาลหาเรื่อง สร้างปัญหาขึ้นเหมือนกัน แต่นั่นมันหลังจากที่เขาออกไปแล้ว ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ


 


“บ้านของฉันตั้งอยู่บนชั้น 9 ส่วนลิฟต์ทั้งตึกจะมีแค่ชั้นคี่ คือ 1 , 3 , 5 , 7 , 9 เท่านั้น บ้านหลังนึงจะมีพื้นที่พักอาศัย 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 350 ตารางเมตร!”


 


ซูซิงฝูอธิบายให้ฉินเฟิงฟัง


 


“และเนื่องจากบ้านฉันอยู่บนสุด มันเลยมีห้องใต้หลังคา และถ้าเธอขึ้นไปบนหลังคา เธอจะสามารถชมทิวทัศน์ของสถานที่ชุมชนทั้งหมดได้”


 


การดำเนินชีวิตของซูซิงฝูนั้นเรียบง่ายเสมอมา เขาเป็นคนที่ไม่ทำตัวเองให้โดดเด่น แม้ว่าจะมีบ้านที่ดีในสถานที่ชุมชน แต่เขาก็ไม่เคยอวดโอ้ และยังยินดีทำสิ่งเล็กๆน้อยๆเพื่อคนอื่น ไม่อย่างงั้นมีหรือที่คนอย่างเขาจะยอมแลกเปลี่ยนยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด G กับฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงตามซูซิงฝูเข้าไปในลิฟต์ โดยไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงใดๆบนใบหน้า แต่เวลานี้ไม่มีใครอยู่เลย ดังนั้นลิฟต์จึงมีแค่เขาสองคนที่ใช้งาน


 


ซึ่งนี่คือเหตุการณ์ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในย่านแออัด เพราะท้ายที่สุดแล้ว ย่านแออัดมิได้กว้างขวางใหญ่โต ฉะนั้นทุกพื้นที่จึงถูกเบียดเสียด และใช้งานอย่างคุ้มค่าที่สุด


 


ติ๊ง!


 


ซูซิงฝูเปิดประตูด้วยคีย์การ์ด เพียงแค่ก้าวเข้ามา ไฟก็สว่างเปิดตามทันที สัมผัสได้ถึงความหรูหรามีสไตล์


 


ภายในเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและให้ความบันเทิงแก่ผู้พักอาศัย


 


บ้านในย่านระดับสูง จะมีราคาอยู่ที่ราวๆ 40,000 – 50,000 เหรียญต่อตารางเมตร กล่าวได้ว่าคนธรรมดาทำงานทั้งปี ก็ยังไม่เพียงพอที่จะซื้อพื้นที่หนึ่งพื้นกระเบื้องของมัน


 


“ชั้นแรกเป็นห้องนั่งเล่น , ห้องรับประทานอาหาร , ห้องครัว , ห้องน้ำ แล้วก็ห้องฝึกฝน”


 


“ชั้นสองมีห้องนอนใหญ่ ,ห้องน้ำ ,ห้องแต่งตัว และห้องลับ แต่แน่นอน ว่าในบ้านหลังนี้ แต่ละห้องระบบป้องกันการโจรกรรมติดตั้งเอาไว้”


 


“ชั้นสามเป็นห้องใต้หลังคาเล็กๆ , ห้องชมวิว แถมข้างนอกยังมีอ่างอาบน้ำสุดหรูอยู่ด้วยนะรู้ไหม!”


 


ดวงตาของซูซิงฝูเป็นประกาย ดูเหมือนว่าเขาจะภูมิใจกับการติดตั้งอ่างอาบน้ำด้านนอกมาก


 


ภายในสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ คนส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่ยากจน แต่ตราบใดที่พวกเขามีเงิน พวกเขาก็จะสามารถใช้ชีวิต อาศัยอยู่อย่างหรูหราฟู่ฟ่าได้


 


“ฟังดูดีนี่นา!”


 


ในชีวิตก่อนหน้าของฉินเฟิง เขาเป็นถึงเลเวล A เจ้าตัวเคยใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยชนิดที่ว่าไม่เคยมีใครเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ฉะนั้นบ้านหลังนี้ของซูซิงฝู นับว่าเด็กน้อยมาก


 


ซูซิงฝูรู้สึกว่าการแสดงออกของวัยรุ่นคนนี้ช่างดูลึกล้ำ ยากจะหยั่งถึงอยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่คิดบังคับให้ฉินเฟิงแสดงออกถึงท่าทีพึงพอใจใดๆ


 


สำหรับคนที่ออกไปต่อสู้ในทุ่งล่า สถานที่พักอาศัยในชุมชน แท้จริงแล้วมีไว้เพื่อสมาชิกในครอบครัว ส่วนตัวเองจะได้ใช้หรือไม่ นั่นไม่สำคัญ


 


แต่ฉินเฟิงดูเหมือนจะไม่มีครอบครัว ดังนั้นเลยเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้สึกตื่นเต้นใดๆ


 


“นับจากนี้ไป บ้านหลังนี้จะกลายเป็นของเธอ!”


 


ซูซิงฝูดำเนินเรื่องผ่านอุปกรณ์สื่อสาร ขั้นตอนต่างๆเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว และบ้านหมายเลขห้อง 339 ในสวนชิงหู ก็กลายมาเป็นของฉินเฟิง


 


“งั้นฉันไม่รบกวนเธอแล้ว เพราะหลังจากที่ต่อสู้มาทั้งคืน เธอสมควรที่จะได้พักผ่อนให้เต็มอิ่ม!”


 


ซูซิงฝูตบไหล่ฉินเฟิง ก่อนจากไป เขาก็อดทอดถอนใจไม่ได้ที่จะต้องสูญเสียบ้านไป


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงเกราะม่วง และไหนจะอุปกรณ์รูนมิติ ซูซิงฝูก็เริ่มกลับมามีความสุขอีกครั้ง


 


ฉินเฟิงมองซูซิงฝูเดินจากไป จากนั้นก็เริ่มตรวจสอบทั้งสองชั้น รวมชั้นหลังคาอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าไม่มีอุปกรณ์สอดแนมอยู่ เมื่อวางใจก็เปิดกระเป๋าสะพายหลัง


 


เสี่ยวไป๋แทบทนรอไม่ไหว มันกระโดดออกมาอย่างกระตือรือร้น


 


“แอ๊!” มันพูดประมาณว่ามนุษย์คนนั้นน่ารำคาญจริงๆ แถมอยู่ข้างในนานๆยังปวดก้นอีก!


 


เสี่ยวไป๋ไม่พอใจมาก


 


“ช่างเถอะน่า แกมาสนใจสิ่งตรงหน้าดีกว่า ฟังนะ หลังจากนี้ไปพวกเราจะอยู่ที่นี่ แกไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในที่คับแคบอีกต่อไปแล้ว!”


 


เสี่ยวไป๋พอได้ยินก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข มันทำเช่นเดียวกับฉินเฟิงในตอนแรก หันไปมองรอบๆ เริ่มเดินลาดตระเวนสำรวจดินแดนของตัวเอง


 


“เอาล่ะๆ เสี่ยวไป๋ อันดับแรกพวกเราก็ไปอาบน้ำกันก่อน!”


 


หลังจากการต่อสู้เมื่อวาน กลิ่นตัวของฉินเฟิงก็เริ่มเหม็นเหงื่ออีกครั้ง หากมีใครมาเห็นและไม่ทราบว่าฉินเฟิงมีสถานะเป็นผู้ใช้พลังพิเศษ เกือบทั้งหมดคงคิดว่าฉินเฟิงทำงานขนปูนในสถานที่ก่อสร้าง


 


กระทั่งขนของเสี่ยวไป๋เองก็ยังเป็นสีเทา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ของฉินเฟิง


 


เสี่ยวไป๋กระโดดไปรอบๆ ฉินเฟิงอุ้มมันไปอาบน้ำ สองตาของมันจ้องมองเขาที่กำลังแช่ตัวขมอยู่ในอ่าง


 


ฉินเฟิงเทน้ำร้อนลงบนตัวเสี่ยวไป๋ เริ่มขัดๆถูๆมันจนสะอาด


 


ในขณะที่กำลังชำระร่างกาย ฉินเฟิงก็เริ่มคิดถึงสิ่งที่ตนเก็บเกี่ยวมาได้เมื่อคืนนี้


 


การต่อสู้เมื่อวาน เพลิงโลกันต์แผดเผาเหอหลี แต่ในขณะที่คู่ต่อสู้เสียชีวิต ฉินเฟิงสามารถกูดกลืนพลังงานของเขาเอาไว้ได้


 


ทว่ามันก็เป็นแค่พลังงานที่อ่อนแอ


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากดูดกลืนพลังงาน ฉินเฟิงกลับพบว่าพลังสมาธิของเขาดีขึ้นเป็นอย่างมาก


 


“พวกมือปืน แม้ร่างกายจะอ่อนแอกว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณ แต่ก็เป็นเหมือนกับเหอหลี ที่ครอบครองพลังสมาธิอันแข็งแกร่ง”


 


ฉินเฟิงยิ่งนาน ก็ยิ่งเข้าใจเกี่ยวกับพลังพิเศษดูดกลืนของเขามากขึ้น ว่ามันเป็นอำนาจที่ท้าทายสวรรค์เพียงใด


 


แน่นอน ว่านอกจากพลังสมาธิแล้ว ร่างกายของฉินเฟิงก็ยังได้รับความแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน


 


เพราะก่อนที่จะระเบิดห้องทดลอง ฉินเฟิงได้กลับมายังห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบทดลองอีกครั้ง และสังหารสัตว์ร้ายที่กำลังจะตายทั้งหมดลง


 


ความตายในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าเป็นการปลดปล่อยพวกมันจากความทุกข์


 


นี่มิใช่ว่าฉินเฟิงไม่มีความเห็นอกเห็นใจ แต่ในโลกนี้ มีมนุษย์จำนวนมากถูกสังหารลงโดยสัตว์ร้าย ดังนั้นการเกิดความเมตตาต่อสัตว์ร้ายต่างหาก ที่ฉินเฟิงคิดว่าเป็นเรื่องที่โง่เขลา


 


นอกจากนี้ เขาต้องทำแบบนั้นเพราะเกรงว่าหากอีกฝ่ายหลุดออกไปได้ และฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับมา นั่นมิใช่หมายถึงอันตรายจะเกิดขึ้นกับสถานที่ชุมชนหรอกหรือ?


 


ต้องไม่ลืมนะว่ามีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังมากมายอยู่ที่นั่น


 


“แต่การทดลองพวกนั้น ล้วนสร้างความเสียหายให้แก่แก่นพลังงาน ดังนั้นพลังงานที่ดูดกลืนมาได้เลยมีแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงเล็กน้อย มันก็ช่วยให้ฉันยกระดับไปอีกขั้น!”


 


ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฉินเฟิง ได้ก้าวมาถึงเลเวล G8 แล้ว!


 


ตราบใดที่ยกระดับอีกสองครั้ง ฉินเฟิงก็จะสามารถขึ้นไปยังเลเวล F !


 


ฉินเฟิงปิดก๊อกน้ำร้อน ปาดกระจก และสำรวจร่างกายของเขาที่แข็งแกร่งขึ้น


 


กล้ามเนื้อหนักแน่น ปกคลุมเหนือกระดูก เนื่องจากครั้งล่าสุดที่ฉินเฟิงได้ดูดกลืนมือรูปปั้น เลยส่งผลให้เขาเหมือนจะสูงขึ้นเล็กน้อย สูงไปถึงราวๆ 178 ซม. แล้ว และร่างกายของเขาก็ไม่ผ่ายผอมอีกต่อไป!


 


ตอนนี้ มันเปี่ยมไปด้วยพลังงานที่พร้อมระเบิดได้ตลอดเวลา!


 


“เสื้อผ้าเองก็เริ่มคับเกินไปแล้ว!”


 


แต่ช่างมันเถอะ นอนก่อนแล้วกัน เอาไว้ค่อยหาวิธีจัดการทีหลัง


 


เมื่อคืนที่ผ่านมา ฉินเฟิงแทบไม่ได้นอนเลย รวมๆเขาถ่างตามากกว่า 30 ชั่วโมงแล้ว แต่เนื่องจากตนมีร่างกายของผู้ใช้วรุยทธโบราณ และพลังสมาธิของผู้ใช้อบิลิตี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ข่มตาหลับเลยเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน ก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ ไหนจะเรื่องเพิ่งยกระดับ ต้องปรับสมดุลร่างกาย ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะฝืนข่มตา ทำร้ายตัวเองทางอ้อม ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย


 


ทางด้านเสี่ยวไป๋เอง หลังจากถูกขัดถูจนสะอาดแล้ว มันก็ขดตัวลงข้างๆฉินเฟิง


 


หนึ่งคนหนึ่งสัตว์จมลงสู่ห้วงนิทรา


 



 


พอตื่นขึ้นมา พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ฉินเฟิงยกข้อมือของเขา มองไปยังอุปกรณ์สื่อสาร


 


เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นโดยข้อความหนึ่งที่ส่งมา


 


เป็นข้อความของซูซิงฝู


 


“น้องชาย! ข้อมูลที่เธอให้ฉันมาก่อนหน้านี้มีประโยชน์มากทีเดียว และฉันได้รับเรื่องที่เธอทำเมื่อวานแล้วนะ จากการตรวจสอบ เธอได้สังหารอาชญากรในเครือข่ายนักล่าเงินรางวัลไปถึง 2 คน ดังนั้นเธอเลยได้รับเงินนำจับ 400,000 และมันจะถูกโอนไปยังบัญชีของเธอ!”


 


ซูซิงฝูได้เข้ามาแทรกแซงในคดีนี้ เพราะเขารู้ว่ารองผู้ว่าการมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี แม้แต่คนที่คิดปองร้ายฉินเฟิงก็ยังถูกจัดการไปแล้วโดยซูซิงฝู


ไม่เพียงเท่านั้น แต่รางวัลของฉินเฟิงยังถูกโอนให้มาให้อย่างถูกต้อง โดยไม่มีการฉ้อฉลใดๆ


 


“ ‘เครือข่ายนักล่าเงินรางวัล’ มันดีแบบนี้นี่เอง!”


 


ฉินเฟิงอ่านข้อความของซูซิงฝู เขาจดจำเฉพาะคำๆนี้ไว้ในหัวใจ


Ch.50 – เสี่ยวไป๋อยากดูดี

Translator : Muntra / Author


 


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.50 – เสี่ยวไป๋อยากดูดี


เครือข่ายนักล่าเงินรางวัล เป็นสมาคมที่ออกแบบมาเพื่อตามล่ากลุ่มองค์กรมืด ในขณะเดียวกัน ทางเครือข่ายจะมีการลงทะเบียนอาชญากรไว้หลายหมื่นคน เก็บรวมรวบภาพ , ส่วนสูง , มวลกาย ฯลฯ


อุปกรณ์สื่อสารของพวกเขาเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก มันสามารถสแกนพื้นที่โดยรอบได้ และหากมีอาชญากรปรากฏตัวขึ้นภายในระยะ 100 เมตร ตัวเครื่องก็จะทำการแจ้งเตือนทันที


อันที่จริง ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นนักล่าเงินรางวัล แต่คุณก็สามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์พิเศษตัวนี้ลงในอุปกรณ์สื่อสารของตัวเองได้เช่นกัน อย่างน้อยหากพบอาชญากร คุณก็จะสามารถซ่อนตัวหรือหลบเลี่ยงให้ห่างจากพวกเขา


มันคือซอฟต์แวร์ที่แทบทุกคนต่างก็มี


อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์สื่อสารในปัจจุบันของฉินเฟิงไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่เขายังมีระบบแจ้งเตือนระดับท็อปของรถศึกล่องเวหา ดังนั้นหากดาวน์โหลดมันมา ก็จะสามารถสแกนหาอาชญากรได้เลยในระยะหนึ่งกิโลเมตร


“ช่างเถอะ ยังไม่ต้องโหลดหรอก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็แค่ออกไปซื้อเสือผ้าซักตัวสองตัวเท่านั้นเอง!”


ฉินเฟิงลุกจากเตียง บิดขี้เกียจเล็กน้อย สวมเสื้อตัวเดิมที่เขาใส่ก่อนหน้านี้ แต่กลับรู้สึกว่ามันแน่นขึ้นถนัดตา เพราะร่างกายของฉินเฟิงมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้นยิ่งกว่าในครั้งก่อน


แต่ฉินเฟิงก็ไม่ใส่ใจอะไรกับมันอยู่แล้ว


“เสี่ยวไป๋ ฉันจะออกไปข้างนอก แกจะนอนรออยู่ที่บ้านรึเปล่า?” ฉินเฟิงถาม


เสี่ยวไป๋เดิมทีกำลังเล่นอยู่ในห้องใต้หลังคาอย่างมีความสุข แต่พริบตาที่ได้ยินคำพูดของฉินเฟิง มันก็ตอบสนองทันที ขนปุยตัวน้อยสับเท้าวิ่งลงมาอย่างบ้าคลั่ง สะบัดตัวส่ายหัวปฏิเสธอย่างรุนแรง ก่อนจะกระโดดเข้ามาในอ้อมอกของฉินเฟิง สื่อสารชัดเจนว่า


‘ไม่เอา จะไปด้วย!’


“ก็ได้ๆ”


ฉินเฟิงหยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังขึ้นมาอีกครั้ง และหย่อนเสี่ยวไป๋ลงไป


รถล่องเวหาถูกจอดทิ้งไว้ที่ชั้นล่าง แม้จะอยู่ท่ามกลางกลุ่มรถยนต์หรูหรา แต่มันก็ยังโดดเด่นสะดุดตา อีกอย่างก็มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เล็กๆแห่งนี้ พวกเขาเลยอดไม่ได้ที่จะยืนมองมัน


“ดูเหมือนว่าจะมีสมาชิกใหม่มาอยู่ที่นี่อีกแล้ว!”


“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาเป็นใคร เอาไว้ค่อยมาตรวจสอบดูทีหลังก็แล้วกัน!”


ฉินเฟิงไม่สนใจความคิดที่แตกต่างกันออกไปของคนเหล่านั้น เขาขึ้นไปในรถ และขับมุ่งหน้าสู่ย่านการค้าอย่างรวดเร็ว


นี่คือสถานที่ที่คนธรรมดาไม่สามารถเหยียบย่างเข้ามาได้ แม้ว่าจะไม่มีใครคอยห้ามปรามก็ตาม แต่ราคาของสินค้าทุกอย่างมันสูงลิ่วจนน่าหวาดกลัว หากพวกเขาไปสัมผัสโดนแล้วเกิดสกปรกขึ้นมา มันจะเป็นปัญหาใหญ่


ฉินเฟิงขับรถลงในพื้นที่จอด และทันใดนั้นสายตาของเขาก็ราวกับหยุดนิ่ง


“แอ๊!”


กระทั่งเสี่ยวไป๋ที่เห็นภาพตรงหน้าก็ยังต้องร้องอุทานออกมา


มองไปยังผู้หญิงร่ำรวยคนหนึ่งที่กำลังเดินถือเชือก คล้องคอสุนัขตัวใหญ่ที่ดูทรงพลังและสง่างาม


สายพันธ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์!


มันคือสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาที่โลกยังสงบสุข มันมีบุคลิกที่อ่อนโยนและใกล้ชิดกับมนุษย์ แต่หลังจากโลกถูกโจมตีโดยรอยแยกมิติ สัตว์เลี้ยงสามารถวิวัฒนาการได้ก่อนมนุษย์ ดังนั้น สัตว์เลี้ยงบางตัวเลยกลายเป็นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาและมีความสามารถในการต่อสู้


อย่างสายพันธ์นี้ มันได้กลายเป็นสุนัขล่าเนื้อที่คอยรับหน้าที่ปกป้องเจ้านายตน คอยเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายหากเกิดรอยแยกมิติใหม่ปรากฏขึ้น


จนถึงทุกวันนี้ การฝึกฝนสัตว์ร้ายหรือสัตว์กลายพันธ์เอง ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในอาชีพที่นิยม และยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งหันมาประกอบอาชีพ : ผู้ฝึกสัตว์


แน่นอน การจะวัดว่าพวกผู้ฝึกสัตว์แข็งแกร่งหรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหน


สัญญาระหว่างฉินเฟิงกับเสี่ยวไป๋เองก็มีรากฐานมาจากอาชีพผู้ฝึกสัตว์นี่แหละ


“เห? ฉันมีความคิดดีๆแล้ว!”


ก่อนหน้านี้ ในหมู่คนธรรมดาทั่วไป การนำสัตว์เลี้ยงเดินเข้าไปในตลาดชุมชน เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจได้ หากแต่ตอนนี้ มันต่างออกไป


นี่คือย่านคนรวย ดังนั้นการมีสัตว์เลี้ยงจึงเป็นเรื่องปกติ!


สิบนาทีต่อมา บนหลังของเสี่ยวไป๋ก็ถูกคล้องไว้ด้วยโซ่ ไม่เพียงเท่านั้น ตรงคอของมันยังผูกโบว์สีชมพู เวลานี้ไม่ว่าใคร ก็คงไม่คิดว่ามันจะเป็นสัตว์ร้ายระดับนายพล


นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เสี่ยวไป๋ได้เดินบนถนนแบบโต้งๆ มันรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ เพียงแต่โซ่ที่คล้องทำให้มันรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย แต่ข้อดีของการได้ออกมาเดินเล่นมีมากเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่ใส่ใจในข้อเสียเล็กๆน้อยๆแบบนี้


ฉินเฟิงเข้าไปซื้ออุปกรณ์สื่อสารใหม่เป็นอันดับแรก เขาเลือกอันที่แพงที่สุดในชุมชนทางตอนเหนือ ซึ่งคิดเป็นเงิน 100,000 เหรียญ ปัจจุบันฉินเฟิงมีเงินในกระเป๋ามากเกินกว่า 1 ล้าน ฉะนั้นต่อให้ต้องจ่ายเงินจำนวนนี้ไป เขาก็ไม่เก็บมาคิดใส่ใจกับมัน


อุปกรณ์สื่อสารสีเงินนั้นยอดเยี่ยมมาก เพียงแค่เหลือบมอง คุณก็จะสามารถบอกความแตกต่างระหว่างมันกับอุปกรณ์สื่อสารระดับต่ำได้ทันที


ฉินเฟิงทำการดาวน์โหลดซอฟค์แวร์เครือข่ายนักล่าเงินรางวัล


“ฉันสงสัยจริงๆว่าในสถานที่ชุมชนตอนเหนือจะมีอาชญากรอยู่ซักกี่คนกัน!”


กลิ่นอายสังหารผุดขึ้นมาในแววตาของฉินเฟิง


แน่นอน ว่าเขาไม่ได้ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ตัวนี้เพื่อระวังภัย หรือป้องกันมิให้อาชญากรโจมตีเขา ตรงกันข้าม ฉินเฟิงโหลดมันมาเพราะต้องการข้อมูลอาชญากรเพื่อทำการล่าสังหารโดยเฉพาะต่างหาก! บอกเลยว่าถ้ามีซอฟต์แวร์ตัวนี้ ต่อให้อาชญากรอยู่ในเมืองเฉิงหยาง เขาก็จะไปตามล่าพวกมันด้วยตัวเอง!!


นี่ไม่เพียงจะสามารถสร้างเงิน แต่ยังเป็นวิธีการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเองได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแบบนี้ใครเล่าจะไม่ทำ?


ฉินเฟิงพาเสี่ยวไป๋เดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์ดัง


“แอ๊!”


จู่ๆเสี่ยวไป๋ก็หยุดฝีเท้า ยืนกรานไม่ยอมเดินอีกต่อไป


“มีอะไรงั้นหรอ?”


ฉินเฟิงมองมาทางเสี่ยวไป๋อย่างสงสัย และเขาก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองหุ่นตัวโชว์หน้าทางเข้าอยู่


ทั้งสองหุ่นเป็นชายและหญิง ชายสวมใส่ชุดสูทสีดำเข้ม , หญิงสวมชุดที่ดูหรูหรา พร้อมติดป้ายราคา 300,000 เหรียญ ภายใต้แสงสว่าง ชุดของทั้งสองทอประกายไสวดั่งดวงดาว


อย่างไรก็ตาม ประกายดวงดาวที่มองเห็นเหล่านี้ มิได้เกิดจากอัญมณี แต่เป็นวัสดุเรืองแสงที่ทำมาจากแมลงซึ่งเป็นสัตว์กลายพันธุ์ชนิดหนึ่ง เรียกว่าแมลงแสงกระหายเลือด -เลือดในกายของพวกมันมีสารเรืองแสง เลยถูกนำมาใช้ประดับตกแต่ง แน่นอน ว่ามันไม่ได้มีผลข้างเคียงใดๆ


แต่ภายในทุ่งล่า หากคุณประดับเลือดเรืองแสงของพวกมันบนเสื้อผ้า นั่นอาจหมายถึงการปรารถนาหาที่ตาย


อย่างไรก็ตาม หากเป็นในสถานที่ชุมชน มันคือการช่วยเพิ่มสีสันให้เสื้อผ้าสวยงาม ดูน่าดึงดูดจนเศรษฐีร่ำรวยบางคนถึงขั้นยอมซื้อหรือผลิตขึ้นมาใช้ในงานแต่งงาน


เสี่ยวไป๋แน่นอนว่าไม่ได้กำลังมองหุ่นจำลองมนุษย์ แต่มันกำลังมองหุ่นจำลองลูกสุนัขสองตัวที่นั่งยองๆอยู่ตรงหน้าหุ่นมนุษย์ทั้งสองต่างหาก  ลูกหมาหนึ่งขาวหนึ่งดำ ตัวสีขาวมองไปดูราวกับของเล่นน่ากอด เพราะมันกำลังสวมชุดแต่งงานขนาดเล็กอยู่


ฉินเฟิงพูดไม่ออกทันที


“แอ๊! แอ๊!” เสี่ยวไป๋ยื่นมือไปทางมัน กระโดดขึ้นๆลงๆ


ฉินเฟิง “ … ฉันไม่นึกเลยว่าแกจะชอบชุดแบบนี้!”


เสี่ยวไป๋หันหัวของมันมา คู่ดวงตาดำขลับจ้องมองฉินเฟิงคล้ายกำลังอ้อนวอน


“เออซื้อ! จะซื้อให้!” ฉินเฟิงรู้สึกหมดหนทาง เขาพบว่าตนเองไม่ทีทางเลือกอื่น นอกจากยอมตามใจเสี่ยวไป๋ พากันเดินเข้าไปในร้าน


เพราะสำหรับฉินเฟิงแล้ว การที่มีเสี่ยวไป๋อยู่เคียงข้าง มันก็เปรียบดั่งติดปีกโผบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์


พนักงานร้านได้สังเกตเห็นถึงฉินเฟิงแล้ว แต่ตอนแรกเธอไม่สนใจ เนื่องจากฉินเฟิงแต่งตัวไม่ดี แต่พอได้ลองมองอุปกรณ์สื่อสารในมือของฉินเฟิงดูอีกครั้ง ดวงตาของเธอก็เปล่งประกาย


ที่แท้ก็เป็นคนร่ำรวยที่ทำตัวติดดิน!


ไม่ต้องรอให้ฉินเฟิงเรียกขาน เธอก็พุ่งเข้าทักทายฉินเฟิงด้วยรอยยิ้มทันที


“ขอโทษที คุณพอจะขายชุดแต่งงานสัตว์เลี้ยงนี้ให้ผมได้รึเปล่า” ฉินเฟิงชี้มือลงไป


มุมปากของพนักงานร้านกระตุก มีลูกค้าหลายคนมาที่นี่เพื่อซื้อชุดแต่งงาน บ้างก็มีสั่งทำใช้เอง แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนเอ่ยถามถึงชุดแต่งงานสัตว์เลี้ยง


“มิสเตอร์ ชุดแต่งงานนี้มีไว้แค่โชว์เท่านั้น”


“สรุปว่าจะไม่ยอมขาย?”


“นี่ … ” พนักงานดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปาก “โปรดรอสักครู่ ฉันจะไปถามให้”


พนักงานเปิดอุปกรณ์สื่อสาร เดินแยกไปโทรหาใครบางคน ในเวลาเดียวกัน ประตูร้านก็เปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับชายและหญิงเดินเข้ามา


“ที่รัก คุณซื้อของให้ฉันตั้งหลายอย่างแล้ว คราวนี้ฉันจะเลือกเสื้อผ้าให้คุณบ้าง คุณไม่ควรจะใส่เสื้อผ้าสบายๆตลอดเวลานะรู้ไหม เพราะคุณน่ะหล่อมาก ต้องนี่! ลองใส่แบรนด์นี้ดู มันมีชื่อเสียงมากเลยนะในกลุ่มวัยรุ่น!”


เสียงเจื้อยแจ้วน่ารักดังขึ้น เพียงได้ยินก็ทำให้ผู้คนรู้สึกด้านชา


ขณะเดียวกัน อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงก็สั่นไหว


พร้อมกับปรากฏข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาอย่างเงียบๆ


【แจ้งเตือนนักล่าเงินรางวัล , ล็อคเป้าหมาย : อาชญากรหลีไห่!】


ฉินเฟิงผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดอุปกรณ์สื่อสารลงอย่างสงบ แล้วค่อยๆหันไปมองสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านอย่างช้าๆ …


Ch.51 – สามหมัด

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.51 – สามหมัด


 


ชายและหญิงดูสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง ผู้ชายอายุเกือบ 40 ปี กล้ามเนื้อปูดบวม สูงประมาณ 185 ใบหน้าดูดุร้ายน่ากลัว


 


แต่ฝ่ายหญิงกลับอายุราวๆ 17- 18 ปีเท่านั้น เธอย้อมผมยาวสีทอง แต่งหน้าจัด สวมชุดค่อนข้างเปิดเผยเนื้อหนัง สองมือเต็มไปด้วยถุงแบรนด์เนมต่างๆทั้งเล็กใหญ่ เห็นได้ชัดว่าช็อปมาหนักมาก


 


หากเดินสวนกัน โดยฝ่ายหญิงมิได้ปริปากใดๆ ฉินเฟิงคงคิดว่าสถานะของพวกเขาคือพ่อกับลูกสาว!


 


“ผายลมเถอะ! เสี่ยวหลาง แค่พูดในสิ่งที่เธอต้องการออกมาตรงๆ ไม่ว่าอะไรฉันก็จะซื้อให้ ไม่ต้องมาทำเป็นเอาใจไร้สาระแบบนี้!” ฝ่ายชายเอ่ยปากอย่างหยาบคาย ท่าทีเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง


 


“ที่รักยอดที่สุดเลย!”


 


วัยรุ่นสาวโผเข้ากอดฝ่ายชาย ใช้หน้าอกอวบอิ่มถูแขนอีกฝ่ายไปๆมาๆ ทว่าหากสังเกตดีๆ จะพบถึงประกายของความรังเกียจวาบผ่านในดวงตาของเธอ


 


ระหว่างทั้งสองคนกำลังเลือกดูสินค้าในร้าน ฉินเฟิงก็กำลังตรวจสอบข้อมูลจากอุปกรณ์สื่อสาร


 


สิ่งที่เขาเพิ่งดาวน์โหลดมา ไม่เพียงแจ้งเตือนเมื่อพบอาชญากร แต่ยังมีข้อมูลโดยละเอียดของเป้าหมายอีกด้วย


 


เพื่อความแน่ใจ ฉินเฟิงทำการยืนยันสถานะของหลี่ไห่จากรูปถ่ายก่อนเป็นอันดับแรก และพบว่าคนในรูปถ่าย กับชายที่ควงเด็กสาวมา คือคนๆเดียวกันจริงๆ


 


หลีไห่ไม่ใช่คนในเมืองเฉิงหยาง แต่เป็นคนจากเมืองไห่หนิง


 


【กระทำทารุณกรรม 1 คน , สังหารเด็กสาว 13 คน , สังหารผู้บริสุทธิ์อีกกว่า 91 คน】


 


【เคยต่อต้านการจับกุมของหน่วยลาดตระเวน ส่งผลให้มีผู้ใช้พลังจากหน่วยตายลงกว่า : 31 คน】


 


【เคยทำการติดตั้งระเบิดทำมือในที่สาธารณะ มีผู้เสียชีวิตกว่า 132 คน】


 


ฉินเฟิงมองไปยังเงินรางวัลนำจับของหลีไห่ แม้จะไม่ถูกตั้งไว้สูงจนเกินไป แต่มันก็เป็นเงินกว่า 2 ล้านเหรียญ และหากจับกุมสำเร็จ ยังได้รับแต้มนักล่าเงินรางวัลอีก 500 แต้ม


 


นี่มันเหยื่อชั้นดี!


 


รังสีสังหารกระพริบไหวในดวงตาของฉินเฟิง


 


หลีไห่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนตกกำลังเป็นเป้าหมาย อันที่จริงคนอย่างเขามีหรือจะไม่รู้เกี่ยวกับเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล อย่างไรก็ตาม ที่ตนยังสบายใจอยู่แบบนี้ ก็เพราะแต่ละสถานที่ก่อนจะมา มันถูกพิจารณาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะปลอดภัยสำหรับเขา


 


ต้องไม่ลืมนะว่าที่นี่คือเขตเฉิงเป่ย มันเป็นเพียงเขตพื้นที่รองของเมืองเฉิงหยาง ถึงคนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขอบเขตเลเวล E ก็จริง แต่มีหรือที่คนเหล่านั้นจะออกมาทนลำบากไล่ล่าเขา?


 


แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้


 


ดังนั้น ท่าทีของเขาจึงเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง ไม่หวาดเกรงใดๆ


 


ในเวลานั้นเอง พนักงานที่คอยต้อนรับฉินเฟิงในตอนแรกก็กลับมา


 


“มิสเตอร์ ฉันได้โทรไปสอบถามให้แล้ว ชุดแต่งงานสัตว์เลี้ยงทางเราสามารถขายให้คุณได้ในราคา 36,000 เหรียญ ไม่เพียงเท่านั้น ทางเรายังสามารถตัดเย็บเสื้อผ้าให้เหมาะกับขนาดตัวสัตว์เลี้ยงของคุณอีกด้วย ตราบใดที่ได้รับข้อมูลสัดส่วนของสัตว์เลี้ยงคุณ”


 


ฉินเฟิงไม่ตั้งใจที่จะเลือกดูสินค้าอะไรในร้านนี้ เขาเพียงพยักหน้าและกล่าว “ตกลง ไปถอดชุดจากหุ่นตัวโชว์ออกมาได้เลย”


 


หลังจากจ่ายเงิน ฉินเฟิงก็สวมชุดแต่งงานสัตว์เลี้ยงให้กับเสี่ยวไป๋


 


“ว้าว! ให้ตายเถอะนี่มันสวยมากจริงๆ … ” ฉินเฟิงอุทาน


 


เสี่ยวไป๋ดูจะภูมิใจมาก มันยืดอกเชิดหัว เผยตัวตนให้คนอื่นมองด้วยสายตาชื่นชม


 


“อ๊า! ลูกหมาตัวนั้นน่ารักจังเลย ที่รักขา ฉันต้องการมัน!” วัยรุ่นสาวที่นัวเนียกับหลีไห่ จู่ๆก็เอ่ยเสียงหวาน


 


เสี่ยวไป๋ที่แต่เดิมมีท่าทีภูมิใจ พอโดนดูถูกก็พลันชะงักไป ดวงตาสีดำของมันหรี่แคบลง หันขวับไปมองวัยรุ่นสาว


 


‘หมาที่ไหนกัน? หาเรื่องตายหรอ?’


 


นี่คือคำกล่าวในจิตใจของมัน ต้องไม่ลืมนะว่าในความทรงจำที่ได้รับสืบทอดมาของเสี่ยวไป๋ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ นอกเหนือไปจากผู้ที่ทำสัญญากับตัวมันเอง ไม่ว่ามนุษย์คนไหนมันก็ไม่ไว้หน้า หากเมื่อยามเติบใหญ่ สำหรับเสี่ยวไป๋ สิ่งมีชีวิตอย่างไม่มนุษย์ไม่เหมาะสมที่จะเป็นอาหารแก่มันด้วยซ้ำ


 


หลีไห่ที่จริงเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F แต่เสี่ยวไป๋ไม่ได้เปิดเผยกลิ่นอายของตัวเองออกมา อีกฝ่ายเลยไม่อาจตระหนักได้ว่าจริงๆแล้วมันคือสัตว์ร้าย เอ่ยปากกล่าวตรงๆ “ไอ้หนู ฉันจะซื้อหมาตัวนั้นของแก มันราคาเท่าไหร่ บอกราคามา!”


 


ฉินเฟิงยิ้มหยัน หันมองหลีไห่ด้วยความเย็นชา


 


“ไม่ได้มีไว้ขาย!”


 


หลีไห่ขมวดคิ้วทันที ความไม่พอใจปรากฏขึ้นในแววตาของเขา


 


“ที่รักขา~~” วัยรุ่นสาวเริ่มออดอ้อนเหมือนเด็กใจแตก


 


หัวใจของหลีไห่เริ่มจะโกรธแค้น ไอ้เด็กเปรตนี่มันกล้าทำให้เขาอับอายต่อหน้าผู้หญิง!


 


“เจ้าหนู ต่อให้แกไม่คิดจะขายมัน แต่ยังไงวันนี้แกก็ต้องยอมขาย!”


 


หลีไห่ยื่นมือออกไป และตบลงบนไหล่ของฉินเฟิงอย่างกระทันหัน


 


กระบวนท่านี้ของเขา ตราบใดที่ลงน้ำหนักมากพอ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้กระดูกหัก  ในความคิดของหลีไห่ หลังจากทำร้ายฉินเฟิงจนหวาดกลัวแล้ว ยังไงอีกฝ่ายก็ต้องยอมขายเสี่ยวไป๋เป็นธรรมดา


 


แต่ต่อให้จะขายมันตอนนี้หรือยังไม่ยอมขาย หลีไห่ก็ตั้งใจจะปล้นมาตรงๆอยู่แล้ว


 


อย่างไรก็ตาม เขาคงไม่ทันคิด ว่าฉินเฟิงได้เตรียมรับมือไว้นานแล้ว วินาทีเดียวกันกับที่ฝ่ามือยื่นมา ฉินเฟิงก็สวนหมัดออกไป


 


เปรี้ยง!


 


หมัดของฉินเฟิงดูจะไวกว่า มันกระแทกเข้าใส่ฝ่ามือของหลีไห่โดยตรง


 


หลีไห่สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาล


 


กร๊อบ!


 


ข้อมือของหลีไห่บิดม้วนกลับหลังอย่างรุนแรง มันถูกหักกระดูกภายใต้การชกในหมัดเดียว


 


“อ๊า!” หลีไห่โหยหวน ชักฝีเท้าถอยหลังไปหลายก้าว จนชนเข้ากับราวจัดแสดงสินค้า


 


โครม เพล้ง!


 


เสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวสินค้าหล่นลงกับพื้น แจกันที่วางตกแต่งร่วงตกแตก วัยรุ่นสาวที่นัวเนียหลีไห่เองก็โดยลูกหลง ถูกเหวี่ยงกระเด็นก้นกระแทกกับพื้นอย่างแรง แต่เวลานี้หลีไห่ไม่สนใจเธออีกต่อไป


 


“ไอ้เด็กบ้า แกมันหาที่ตาย!”


 


หลีไห่คำรามด้วยความโกรธ


 


ฉินเฟิงได้ปลดปล่อยพลังของตัวเองออกมา ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาก็ย่อมถูกเปิดเผยเช่นกัน หลีไห่รับรู้ได้ทันทีว่าฉินเฟงคือผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล G ในสมองบังเกิดความคิดว่าที่ตนได้รับบาดเจ็บแบบนี้เพราะเผลอประมาทไป


 


ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้ สำหรับหลีไห่แล้วหากเขาเอาจริง ใช้นิ้วเดียวก็บดขยี้อีกฝ่ายไปสู่ความตายได้แล้ว


 


แต่ตอนนี้ เขากลับถูกฉินเฟิงทำร้ายจนข้อมือหัก คงไม่ต้องอธิบายว่าหลีไห่โกรธมากแค่ไหน


 


มั่นใจได้เลย ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ไอ้เด็กเหลือขอนี่ตายดี!


 


หลีไห่เหวี่ยงกำปั้นของเขา พรวดเข้าใส่ฉินเฟิง


 


“กรี๊ด!!”


 


ผู้คนในร้าน และวัยรุ่นสาวที่ชอบเอานมถูหลีไห่กรีดร้อง พากันไปซ่อนตัวให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


“เด็กสารเลว ตายให้ฉันซะเถอะ!”


 


หลีไห่ยิ้มน่าหวาดกลัว


 


อย่างไรก็ตาม สีหน้าของฉินเฟิงกลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย เขาเพียงฉกสองมือออกไป ข้างหนึ่งคว้าแขนของหลีไห่ และจับเหวี่ยงทันที


 


“แก!!!” หลีไห่เบิกตากว้าง จู่ๆก็รู้สึกว่าตนเองกำลังจมอยู่ในโคลมตม


 


ปรากฏแรงดึงดูดมหาศาลในเวลาเดียวกัน


 


มืออีกข้างหนึ่งของฉินเฟิง กระทุ้งเข้าใส่ตันเถียนของหลีไห่โดยตรง


 


“ทักษะลับ กลืนดารา!”


 


กำลังภายในอันแข็งกร้าวของหลีไห่ ถูกดูดเข้าหาฉินเฟิงอย่างต่อเนื่อง กำลังภายในเหล่านี้ หากเทียบกับกลุ่มคนก่อนหน้าที่เขาสังหาร มันทรงพลังมากกว่าอย่างเทียบไม่ติด


 


ดวงตาของหลีไห่เบิกกว้าง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ


 


ต้องไม่ลืมนะว่า ตอนที่ฉินเฟิงสังหารเหอหลี เด็กชายอยู่ในเลเวล G7 เท่านั้น แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาได้มาถึงเลเวล G8 แล้ว ไหนจะใช้ออกด้วยกลืนดารา นี่ยังไม่นับรวมที่ศัตรูถูกเขาจับล็อคจนตกอยู่ในกำมืออีกนะ


 


“วู้มมมม!”


 


หมัดนี้พุ่งเข้าเล่นงาน บดขยี้ตันเถียนของหลีไห่ตรงๆ


 


หลีไห่รู้สึกได้แค่ว่าทั้งร่างสั่นสะท้าน จู่ๆก็ไม่อาจบุกโจมตีต่อได้อีกต่อไป


 


ส่วนฉินเฟิง เขาไม่ลังเลเลยที่จะซัดหมัดเข้าใส่อีกครั้ง!


 


ปงงงง!


 


คราวนี้หมัดเล็งไปทางหัวใจ แม้ว่ามันจะปะทะเข้ากับซี่โครง แต่ก็สามารถส่งคลื่นกระแทกทำลายหัวใจด้านในได้อย่างไม่ยากเย็น


 


หลีไห่จบชีวิตลงทันที!


 


พรวดดด!


 


หลีไห่เลือดกระอักออกจากปาก ร่างใหญ่ที่ปูดบวมไปด้วยกล้ามเนื้อร่วงกระแทกลงกับพื้น หยุดดิ้นรนขัดขืน


 


ฉินเฟิงเปิดอุปกรณ์สื่อสาร ยื่นคำร้องพร้อมกับส่งภาพถ่ายในปัจจุบันของหลีไห่ไป


 


“อ๊า! แก! แกฆ่าคนตาย!” ผู้หญิงของหลีไห่กรีดร้อง ชี้ไม้ชี้มือไปทางฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงหัวเราะหยัน “ที่ฉันฆ่าไปเป็นอาชญากร ว่าแต่เธอรู้เรื่องที่เขาเป็นอาชญากรรึเปล่า? หืม … อย่าบอกนะว่าระหว่างเธอกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์แค่ผิวเผิน? ใช่สมรู้ร่วมคิดกันรึเปล่า?”


 


“อ๊ะ!” วัยรุ่นสาวจ้องมองหลีไห่ที่นาบกับพื้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ก่อนจะสลับมองฉินเฟิงและกล่าว “ไม่ ไม่ ไม่! ฉันไม่รู้เลย ฉันนึกว่าเขาเป็นแค่ไก่อ่อน ที่คิดพยายามจะเคลมฉัน!”


 


ฉินเฟิงเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความเหยียดหยาม “รีบออกไปจากที่นี่ซะ ก่อนที่คนจากทางการจะมาถึง อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องไปนอนในคุก!”


 


“เจ้าค่ะ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”


 


แม้ต้องรีบหลบหนี แต่วัยรุ่นสาวก็ไม่วายฉกมือไปคว้าถุงแบรนด์เนมที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ก่อนจะวิ่งจากไป


Ch.52 – กำลังภายในสามเท่า

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.52 – กำลังภายในสามเท่า


 


ภายในที่เกิดเหตุ นอกจากฉินเฟิง ก็เหลือพนักงานร้านอีกสองสามคนเท่านั้น


 


“มิสเตอร์ … กะ .. ก่อนอื่นพวกเราต้องติดต่อหน่วยลาดตระเวนดีหรือเปล่า?” พนักงานร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว


 


“ไม่ต้อง ฉันติดต่อไปแล้ว แต่ตอนนี้ไหนๆก็ว่างกันหมด ระหว่างรอ พวกคุณก็มาช่วยฉันเลือกเสื้อผ้าซักสามสี่ตัวให้หน่อยสิ!”


 


พนักงาน “ … ”


 



 


เครือข่ายนักล่าเงินรางวัลมีระบบเป็นของตัวเอง มีการสร้างสำนักงานในสถานที่ชุมชนทั้งเล็กใหญ่ เป็นองค์กรกึ่งทางการ และยังเป็นอิสระจากหน่วยลาดตระเวนหรือกองทัพรักษาการณ์


 


พวกเขามาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ แน่นอน ว่าสำนักงานใหญ่ของพวกเขาตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ใจกลางสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือนี่เอง


 


เมื่อพวกเขามาถึง ก็พบกับฉินเฟิงที่เปลี่ยนไปใส่ชุดแบรนด์เนมตัวใหม่แล้ว ถัดออกไป เป็นสองพนักงานที่กำลังอธิบายอะไรบางอย่างให้ฉินเฟิงฟังอย่างกระตือรือร้น และหากสังเกตดีๆ คุณจะพบว่าหน้าจอที่ทั้งสามมุงดูอยู่ กำลังแสดงรายการสินค้าเครื่องแต่งกายสัตว์เลี้ยง


 


ถ้าอาศัยแค่การสังเกตจากเสื้อผ้า ภาพลักษณ์ของฉินเฟิงในตอนนี้ดูเปลี่ยนไป ปัจจุบัน หากบอกว่าเขาเป็นลูกชายจากตระกูลที่ร่ำรวย เป็นลูกหลานแข็งแกร่งที่สามารถโค่นผู้ร้ายลงได้ ก็คงจะมีคนเชื่อ


 


หากไม่ใช่เพราะใบหน้าในตอนนี้ของฉินเฟิงยังเด็กเกินไป มันคงจะเป็นความเหมือนที่สมบูรณ์แบบกว่านี้


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงในชีวิตก่อนหน้าก็ทรงพลังเช่นกัน ดังนั้นร่างกายของเขาเลยพลอยปลดปล่อยกลิ่นอายแรงกดดันออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


“สวัสดี ฉันชื่อจางฮั่วหยาง เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานของกลุ่มนักล่าเงินรางวัลประจำเขตเฉิงเป่ย!” ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า ยื่นมือออกมาทักทายฉินเฟิง


 


“สวัสดี ผมฉินเฟิง!” ฉินเฟิงยื่นไปจับมือตอบเขา


 


พอทักทายกันเล็กๆน้อยๆ จางฮั่วหยางก็ไม่พิธีรีตองอีกต่อไป เพราะสถานการณ์ตรงหน้า ไหนจะอากาศที่ร้อนอบอ้าว และยังมีศพอยู่ในร้านอีก


 


“ทำการยืนยันตัวตนแล้ว เป็นเขาจริงๆ!” จางฮั่วหยางสแกนสถานะของหลีไห่ เขาพยักหน้าให้ฉินเฟิง ขณะเดียวกันก็กวักมือส่งสัญญาณให้สองผู้ใต้บังคับบัญชายกตัวศพออกไป


 


แน่นอน พวกเขาไม่ได้ทำงานนี้ฟรีๆ หลังจากได้ตัวอาชญากรแล้ว พวกเขาก็จะถอดรหัสอุปกรณ์สื่อสารของอาชญากร เพื่อยึดเงินส่วนหนึ่งมาใช้จ่าย จากนั้นก็นำเงินที่เหลือ มาเป็นรางวัลนำจับอาชญากรคนอื่นต่อไป


 


และด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มนักล่าเงินรางวัลเลยกลายมาเป็นองค์กรที่ร่ำรวยที่สุด จากในบรรดาองค์กรทั้งหมด


 


พวกเขาล่า สังหารอย่างซื่อตรง และรับทรัพย์จากอาชญากรที่ถูกสังหาร


 


และแน่นอน ว่าพวกเขาจะไม่ถามถึงสถานะของฉินเฟิง และไม่สนใจความสามารถของอีกฝ่ายด้วย เพราะบางคนเข้าร่วมเครือข่ายนักล่าเงินรางวัล เข้าร่วมเพราะต้องการขายข้อมูลเท่านั้น และความแข็งแกร่งยังอ่อนแอมาก


 


“ส่งภารกิจเสร็จสมบูรณ์ ทางเราจะทำการตรวจสอบทันที!” จางฮั่วหยางกล่าว


 


ฉินเฟิงส่งภารกิจ เฝ้ารอให้การตรวจสอบเสร็จสมบูรณ์ ไม่นาน บัญชีของเขาก็ถูกโอนเข้ามาเป็นเงิน 2 ล้านเหรียญ!


 


“ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้เลื่อนยศขึ้นเป็นนักล่าเงินรางวัลระดับ Fแล้ว ในอนาคต หากเกิดอาชญากรรมในสถานที่ชุมชนเขตเฉิงเป่ย ทางเราจะแจ้งให้คุณทราบ และหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับเรา!” จางฮั่วหยางกล่าว


 


“ไม่มีปัญหา!” ฉินเฟิงแสดงทัศนคติที่เป็นมิตรออกไปเช่นกัน


ทั้งสองเพิ่มรายชื่อติดต่อกันและกันในอุปกรณ์สื่อสาร การกระทำนี้จะช่วยให้ฉินเฟิงสามารถรับข่าวสารได้มากขึ้น


 


มันเป็นเรื่องยากที่จะตามล่าอาชญากรในเขตเฉิงเป่ย เพราะผู้คนที่นี่อ่อนแอ ขณะที่อาชญากรนั้นแข็งแกร่ง บางครั้งในระหว่างการไล่ล่า อาชญากรถึงขั้นสามารถสังหารหัวหน้าสาขาของหน่วยลาดตระเวนในสถานที่ชุมชนลงได้เลย


 


ดังนั้นการที่ฉินเฟิงยินดีให้ความร่วมมือ จางฮั่วหยางจึงรู้สึกมีความสุขมาก แต่ขณะเดียวกัน ในจิตใจก็บังเกิดความคิดว่าฉินเฟิงช่างเป็นตัวตนที่ลึกล้ำ


 


‘อายุยังน้อย แต่สามารถสังหารเลเวล F ลงได้ ความแข็งแกร่งเช่นนี้สมควรจัดเป็นบุคคลระดับอัจฉริยะ ศักยภาพในอนาคตของเขาต้องไร้ขีดจำกัด!’


 


หลังจากจัดการเรื่องอาชญากรแล้ว ฉินเฟิงก็จากไปทันที พร้อมกับอุ้มเสี่ยวไป๋ไว้ในอ้อมแขน


 


รถล่องเวหาขับเคลื่อนจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อคนบนท้องถนนเจอรถหรู ต่างก็หลีกทางให้ ฉินเฟิงจึงขับผ่านไปได้อย่างไม่มีอะไรกีดขวาง


 


หลังจากกลับไปที่สวนชิงหู ฉินเฟิง ก็แทบจะอดใจรอไม่ไหว พุ่งตัวเข้าไปในห้องฝึกฝนชั้นแรกทันที


 


ฉินเฟิงทิ้งตัวลงนั่งขาขวาทับซ้าย ในเวลานี้ ตันเถียนของเขาปั่นป่วนเป็นอย่างยิ่ง กำลังภายในที่มีรูปลักษณ์เป็นหมอกขนาดมหึมา ปกคลุมไปทั่วตันเถียน ส่งแรงกดดันเส้นไหมกำลังภายในเดิม


 


หมอกเหล่านี้ คือกำลังภายในของหลีไห่


 


หลีไห่เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F ดังนั้นรูปลักษณ์กำลังภายในของเขาจึงอยู่ในสถานะหมอก แต่ปัจจุบัน ทั้งหมดเข้ามาอยู่ในตันเถียนของฉินเฟิง ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกอึดอัดมาก


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ร่างกายของเขายังไม่ได้ปรับสมดุล ให้ตอบรับกับกำลังภายในรูปลักษณ์หมอก


 


“จงดูดกลืน!”


 


ฉินเฟิงกระตุ้นพลังพิเศษดูดกลืน ทำการซึมซับเอากำลังภายในหมอกทั้งหมด


 


เส้นลมปราณถูกขยายอีกครั้ง กลุ่มหมอกนี้ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็น 8 เส้นไหมกำลังภายใน และส่งคืนกลับเข้าสู่ตันเถียนของฉินเฟิง


 


ส่งผลให้ในเวลานี้ ในตันเถียนของฉินเฟิง มีเส้นไหมอยู่ทั้งสิ้น 27 เส้น!


 


ซึ่งโดยรวมแล้วมีความแข็งแกร่งเป็น ‘สามเท่า’ ของผู้ใช้วรยุทธโบราณระดับสูงสุดในเลเวล G!


 


ฉินเฟิงย้ำเตือนตัวเอง ข่มสติอารมณ์อีกครั้ง


 


เมื่อรู้สึกว่าสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็วโดยทักษะลับกลืนดารา ผู้คนก็มักไม่อาจควบคุมจิตใจตน ให้ออกไปล่าสังหารผู้คนเพื่อฉกชิงความแข็งแกร่งมาเป็นธรรมดา


 


แต่โชคยังดี ที่ฉินเฟิงมีประสบการณ์ในชีวิตก่อนหน้า ดังนั้นเขาจึงสามารถข่มอารมณ์ละโมภได้ และไม่คิดเร่งรีบใดๆ


 


วันต่อมา ฉินเฟิงตื่นแต่เช้าตรู่


 


ปัจจุบัน กล่าวได้ว่าช่วงเวลาแห่งการปลุกพลังได้ผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์แล้ว นั่นหมายความว่ามันแทบไม่มีความหวังสำหรับผู้ที่พลังยังไม่ตื่นขึ้นมา


 


แต่สำหรับหลายๆคน นี่หมายถึงการเริ่มต้นใหม่


 


ฉินเฟิงพาเสี่ยวไป๋ขับรถไปยังย่านแออัด ที่พักอาศัยของโจวฮ่าว


 


“เจ้าบ้าเอ๊ย นายสายนะรู้ตัวไหม ฉันตื่นเต้นจนรอไม่ไหวแล้ว!” โจวฮ่าวเปิดประตูรถ ก่อนสายตาจะประสานกับเสี่ยวไป๋ “นี่ตัวอะไร? สัตว์เลี้ยง? นายเลี้ยงสัตว์กับเขาด้วยงั้นหรอ?”


 


เสี่ยวไป๋ในวันนี้ สวมหมวกใบน้อยๆน่ารักบนหัวของมัน แน่นอน ว่าภายใต้หมวกคือเส้นขนสีขาวที่สวมใส่ชุดสีแดงตัวน้อย รวมๆแล้วเหมือนหมาโดดเด่นดูสะดุดตามาก


 


เพราะเมื่อวานนี้ ตัวตนของเสี่ยวไป๋ถูกเปิดเผยแล้ว และเป็นธรรมดาที่มันเองไม่ต้องการจะกลับเข้าไปนอนขดอยู่ในกระเป๋าสะพาย ดังนั้นเลยต้องแปลงโฉมมันเพื่อให้สามารถออกมาข้างนอกได้


 


ฉินเฟิงเองก็ไร้หนทางแล้วจริงๆ แต่คิดว่าในโรงเรียนคงไม่มีใครทำร้ายเสี่ยวไป๋ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจพามันไปด้วย


 


“อ่า มันชื่อว่าเสี่ยวไป๋ แต่อย่าไปเรียกมันหมาเชียวนะ ไม่งั้นในอนาคตจากนี้ไป นายอาจต้องใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข!” ฉินเฟิงเตือนโจวฮ่าว


 


โจวฮ่าวพอได้ฟังก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาดังๆ


 


“เออๆ ก็เกือบจะเรียกแล้วล่ะ หวัดดีเสี่ยวไป๋ ไหนขอมือหน่อย!”


 


โจวฮ่าวยื่นมือไปทักทาย แม้จะไม่พูด แต่ท่าทีที่เขาแสดงออก ไม่ว่ายังไงก็บ่งบอกชัดเจนว่ามองมันเป็นหมา


 


เสี่ยวไป๋ขยุ้มมือ กรงเล็บแหลมผุดจากขนปุกปุยทันที ในหัวมันคิดว่าโจวฮ่าวสมควรหลั่งเลือดสักเล็กๆน้อยๆ


 


“อะแฮ่ม! พอแค่นั้นแหละ มานั่งลงเลย พวกเราจะไปกันแล้ว” ฉินเฟิงเปลี่ยนเรื่องทันที เสี่ยวไป๋แม้ตอนนี้จะตัวเล็ก แต่มันเป็นถึงนายพลสัตว์ร้าย ดังนั้นหากมันทำร้ายโจวฮ่าว ต่อให้อีกฝ่ายไม่ตาย แต่คงเจ็บหนัก


 


ไม่นาน รถก็มาถึงทางเข้าสถาบันระดับสูงของสถานชุมชนทางตอนเหนือ


 


มีผู้คนมากมายยืนอยู่หน้าประตู ในหมู่ฝูงชน ที่โดดเด่นที่สุดคงไม่พ้นรุ่นพี่ที่สวมเครื่องแบบนักเรียนสีแดงเข้มของสถาบัน


“อู้วหูว! รุ่นพี่คนนั้นสวยจัง สถาบันระดับสูงนี่มันต่างจากระดับกลางจริงๆ!” โจวฮ่าวกล่าวด้วยความสุข ลากตัวฉินเฟิงชี้ไปกลางฝูงชน


 


ฉินเฟิงเดิมไม่สนใจ แต่เมื่อกวาดตามองดู เขาก็พบว่าคนๆนั้น ตนเองรู้จักดี


 


เป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุน้ำ -หลี่เหยาเหยา


 


ฉินเฟิงจำได้ว่าเธอเหมือนจะเป็นนักเรียนของสถาบันระดับสูง และพอเบนตามองดูข้างๆ ก็มั่นใจว่าคงไม่ผิดแล้ว เพราะมีลู่เหมิงยืนอยู่ด้วยเช่นกัน


 


“มาเหอะ ไปลงทะเบียนกันก่อน!”


 


จุดลงทะเบียนจะมีอยู่สามจุดในเวลานี้ สองจุดมีชีวิตชีวามาก แต่มีเพียงจุดเดียวที่ถูกทิ้งร้าง ว่างเปล่า แทบไม่มีคนเดินเข้าไป


 


สถานที่นั้น ก็คือจุดลงทะเบียนผู้ใช้อบิลิตี้นั่นเอง


 


“นายไปลงก่อนเลย ฉันจะไปทางนั้น เดี๋ยวกลับมาเจอกันใหม่” ฉินเฟิงชี้ไปในจุดที่แทบว่างเปล่า โจวฮ่าวมองตามก็ต้องตะลึงงัน


 


“เพ้ย! ไอ้บ้านี่ นายปลุกอบิลิตี้ได้แล้วงั้นหรอ? ทำไมถึงไม่บอกฉันเลย?”


 


ฉินเฟิงโบกมือไปมา ไม่สนใจเรียกโวยวายของโจวฮ่าว


 


เพราะการเลือกหนทางนี้ คือสิ่งที่เขาได้พิจารณามาแล้วอย่างรอบคอบ


Ch.53 – พลังของเสี่ยวไป๋

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.53 – พลังของเสี่ยวไป๋


 


ก่อนที่ฉินเฟิงจะเกิดใหม่ เขามีสถานะเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ หากไม่ใช่เพราะต้องตายลงอย่างไม่คาดฝัน ความแข็งแกร่งของเขาคงเพิ่มพูนยิ่งกว่าที่เคยได้อธิบายไป เพราะอย่างไรตัวเขายังคงครอบครองพลังพิเศษดูดกลืน กล่าวได้ว่าเขามีความรอบรู้มากมายสำหรับสาขานั้น


 


ยังไงก็ตาม สำหรับความรู้ในสาขาผู้ใช้อบิลิตี้ ฉินเฟิงยังมิใช่ผู้เชี่ยวชาญ


 


ปัจจุบันห้องทดลองได้ถูกทำลายลงแล้วโดยเขา แต่อบิลิตี้ธาตุมืดไม่สมควรที่จะเปิดเผยจะเป็นการดีที่สุด อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะศิลานรกที่ดูดกลืนมา เลยทำให้เขาสามารถใช้ได้อีกอบิลิตี้หนึ่ง


 


ในเวลานั้นเอง เมื่อฉินเฟิงเดินเข้าไป นักเรียนที่คอยต้อนรับก็ทักทายฉินเฟิงด้วยรอยยิ้มทันที


 


“นายต้องการลงทะเบียนชั้นพลังพิเศษงั้นหรอ? นายแน่ใจนะว่าอบิลิตี้ของนายตื่นขึ้นมาแล้ว? มันเป็นธาตุอะไร?”


 


ฉินเฟิงดีดนิ้วดังเป๊าะ ทันใดนั้น บนนิ้วเขา ก็ปรากฏเปลวไฟเล็กๆปะทุขึ้นทันที


 


“เป็นอบิลิตี้ธาตุไฟ!”


 


“สุดยอด!” นักเรียนรุ่นพี่มองการเรียกใช้อบิลิตี้อย่างไม่ยี่หระของฉินเฟิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชม “พลังของนายเพิ่งจะตื่นขึ้นเอง แต่กลับสามารถดูดซับรูนไฟได้แล้ว ไหนจะปลดปล่อยมันออกมาได้ตามต้องการอีก ในอนาคต นายจะต้องกลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน!”


 


ฉินเฟิงมองไปทางรุ่นพี่ ที่ดูเหมือนว่าจะไม่โกหก เขาไร้คำจะกล่าวไปพักหนึ่ง


 


ต้องรู้นะว่าแม้เขาต้องการจะปกปิดอบิลิตี้ธาตุมืดในตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการดึงดูดความสนใจใดๆ ยังไงก็ตาม ไม่คาดคิดเลย ว่าเพียงใช้เรียกไฟแบบง่อยๆ มันจะเป็นกลายเป็นอะไรที่ฮือฮาขึ้นมาอย่างกระทันหันแบบนี้?


 


ฉินเฟิงดับเปลวไฟบนนิ้วของเขาทันที แต่ผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็เห็นมันซะแล้ว


 


“โห! นั่นผู้ใช้อบิลิตี้ล่ะ!”


 


“โคตรจะโชคดีเลย สวรรค์ต้องประทานพรให้เขาแน่ๆ ถึงสามารถปลุกพลังพิเศษให้ตื่นขึ้นมาได้!”


 


“เท่สุดๆ!”


 


นักเรียนที่มาลงทะเบียนในสาขาวรยุทธโบราณ และอาวุธปืน ต่างมองไปทางฉินเฟิง หลี่เหยาเหยาเองซึ่งกำลังช่วยลงทะเบียนอยู่ก็หันไปเช่นกัน เมื่อพบกับฉากตรงหน้า เธอก็ทั้งประหลาดใจระคนยินดี


 


“ฉินเฟิง!”


 


หลี่เหยาเหยาส่งใบลงทะเบียนให้อีกคน เดิมทีเธอมาช่วยต้อนรับอีกสาขาเพราะต้องการรอฉินเฟิง แต่ไม่คิดเลยว่าฉินเฟิงจะมาช้า แถมยังไปลงทะเบียนในสาขาผู้ใช้อบิลิตี้ของเธอซะอีก … ที่เธออุตส่าห์เสียเวลาวุ่นในสาขาวรยุทธโบราณตั้งนานมันเพื่ออะไรกัน?


 


เมื่อคิดได้แบบนี้ ความประหลาดใจก็เริ่มกลายเป็นขุ่นเคือง


 


ฉินเฟิงพอเห็นหลี่เหยาเหยา ก็ทักทายในฐานะคนรู้จัก


 


“สวัสดี!”


 


ฉินเฟิงกรอกข้อมูลลงทะเบียนอย่างรวดเร็วหลังจากพูดจบ


 


หลี่เหยาเหยาเผยรอยยิ้มหวานบนใบหน้าของเธอ “มาเถอะฉินเฟิง ฉันจะพานายไปที่สถานที่ทดสอบเอง”


 


“ไม่เป็นไร ผมจะรอเพื่อนอยู่ที่นี่”


 


มุมปากของนักเรียนรุ่นพี่ที่คอยต้อนรับกระตุกวูบ แต่ขณะเดียวกันในหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขา


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าความงดงามสุดแสน แต่ฉินเฟิงกลับปฏิเสธทันที โดยไม่เสียเวลาคิด


 


“ก็ได้! งั้นฉันจะรอด้วย!” หลี่เหยาเหยากัดริมฝีปาก ดึงดันยืนอยู่ข้างฉินเฟิง


 


พอมาถึงจุดนี้ หลายคนเริ่มมองฉินเฟิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร


 


ฉินเฟิงขมวดคิ้วทันที เขาไม่ชอบที่จะเป็นเป้าสายตา  เดิมตนต้องการไม่ให้เป็นจุดสนใจ ดังนั้นจึงคิดเดินกลับไปที่รถ แล้วรอจนกว่าโจวฮ่าวจะกลับมา


 


แต่หลี่เหยาเหยามีหรือจะปล่อยให้เขาจากไปง่ายๆ?


 


“เอ๊ะ? ฉินเฟิง นั่นสัตว์เลี้ยงของนายหรอ? มันน่ารักจัง!” หลี่เหยาเหยายื่นมือออกไป คิดจะสัมผัสเสี่ยวไป๋


 


ฉินเฟิงดีดตัวถอยห่างทันที ขณะเดียวกันเสี่ยวไป๋ก็ง้างกรงเล็บและฟันจิ้งจอกของมันออกมาแล้ว


 


นี่คือวันแรกที่เสี่ยวไป๋ไม่ได้อยู่ในกระเป๋าสะพายหลัง มันย่อมดึงดูดความสนใจเป็นธรรมดา และวันนี้มีสองคนแล้วที่มายั่วยุมัน


 


“อย่าแตะนะ!” ฉินเฟิงเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


เพราะเสี่ยวไป๋ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่มันเป็นสัตว์ร้าย!


 


หลี่เหยาเหยาถอนมือกลับ ในหัวใจอดเศร้าไม่ได้ เธอไม่คิดเลยว่ากระทั่งสัตว์เลี้ยง ฉินเฟิงก็ยังไม่ยอมให้เธอสัมผัสมัน


 


ในเวลานั้นเอง ชายคนหนึ่งก็ตบผัวะ! กระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างแรง และผุดลุกขึ้น


 


“สัตว์เลี้ยงแกมันวิเศษนักรึไง? ทำไมเหยาเหยาถึงจะจับมันไม่ได้? จะทำอะไรก็รู้จักไว้หน้าคนอื่นบ้าง!”


 


คนๆนี้สวมเครื่องแบบนักเรียนเหมือนกับหลี่เหยาเหยา เดิมทีเขายืนต้อนรับอยู่ในสาขาวรยุทธโบราณกับหลี่เหยาเหยา ช่วงแรกเขามีความสุขมากจริงๆที่ได้ทำงานร่วมกับเธอ แต่ใครจะคิดว่าตอนนี้เธอดันแยกตัวออกไปแล้ว


 


แบบนี้จะไม่ให้อารมณ์เสียได้ยังไง? ไหนจะเหตุการณ์ตรงหน้าอีก


 


“หลิวรุ่ย อย่าพูดแบบนั้นเลย!” หลี่เหยาเหยาอธิบายอย่างร้อนรน เธออดไม่ได้ที่จะมองฉินเฟิงด้วยความกระวนกระวาย “ฉันไม่ดีเอง นายอย่าโกรธฉินเฟิงเลยนะ”


 


คิ้วของฉินเฟิงเริ่มขมวดมุ่น


 


หลิวรุ่ยสาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้ามา


 


“มันก็แค่หมาไม่ใช่หรอ? เหยาเหยา ถ้าเธอต้องการมัน ฉันจะไปจับมาให้เธอเอง!”


 


หลิวรุ่ยยิ้มน่าหวาดหวั่น ยื่นมือใหญ่ของเขาออกไป หมายจะคว้าเสี่ยวไป๋


 


แต่ที่เอื้อมมือออกไป ทำทีเหมือนจะคว้าเสี่ยวไป๋นั่นคือการแสดง ที่จริงแล้วเขาจะปัดเสี่ยวไป๋ จากนั้นก็ตบเข้าใส่แขนของฉินเฟิงด้วยฝ่ามือ ทำร้ายอีกฝ่ายให้ล้มลงจูบกับพื้นต่างหาก


 


ต้องไม่ลืมนะว่า ผู้ใช้อบิลิตี้ หากยังไม่ได้รับการฝึกฝนเรียนรู้ระบบของพลังพิเศษ มันก็แค่ขยะเท่านั้น ไหนเลยจะสามารถต่อกรกับผู้ใช้วรยุทธโบราณได้


 


ด้วยเหตุนี้เอง หลิวรุ่ยจึงไม่หวาดกลัวใดๆ แถมยังต้องการที่จะข่มฉินเฟิงต่อหน้าหลี่เหยาเหยา โชว์ความแข็งแกร่งของตนให้หลี่เหยาเหยาได้เห็น


 


สีหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นมืดหม่น


 


“กัดเขาซะ!” ฉินเฟิงสั่งการในจิตใจ เพราะทำสัญญากันแล้ว เสี่ยวไป๋เลยสามารถรับรู้ได้โดยตรง


 


ก็ในเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาหาเรื่อง แล้วทำไมเขาจะหาเรื่องกลับไม่ได้?


 


มันเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน ที่จะให้ทุกคนได้รู้ว่าเสี่ยวไป๋ทรงพลังเพียงใด ขอแค่เสี่ยวไป๋ไม่เปิดเผยพลังมิติของมัน อย่างอื่นก็ไม่สำคัญอะไร


 


เสี่ยวไป๋นายพลสัตว์ร้าย ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ใช้พลังระดับสูง มันก็ยังสามารถตอบโต้ได้


 


เสี่ยวไป๋พอได้ยินคำสั่ง มันก็มิได้ขยับปากเลย เพราะสำหรับคนแบบนี้ กินไปก็ไม่รู้สึกอร่อย!


 


ฉัวะ!


 


เสี่ยวไป๋ยกอุ้งเท้าน้อยๆของมันขึ้น และตวัดวูบ! ฟาดด้วยความเร็วจนเห็นแค่เพียงภาพติดตาสีขาว


 


อ๊าาาาาา!!!!


 


หลิวรุ่ยกรีดร้องน่าเวทนา ดีดตัวถอยหลังทันใด เมื่อก้มลงมองมือของตัวเอง ก็พบว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยเลือด และปรากฏรอยเล็บที่ฝังลึกลงไปถึงกระดูก


 


คนอื่นๆก็สะดุ้งถอยห่างโดยไม่รู้ตัว ไม่แตกต่างกัน


 


ต้องรู้นะว่า หลังจากปลุกพลังวรยุทธโบราณให้ตื่นขึ้นมาได้แล้ว ร่างกายมนุษย์จะมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก หมาใหญ่หรือสัตว์เลี้ยงธรรรมดาย่อมไม่สามารถทำอันตรายได้ ยิ่งเป็นเสี่ยวไป๋ที่มีขนาดเพียงฝ่ามือ คงไม่ต้องกล่าวถึง


 


แต่เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ฉากนี้สัตว์เลี้ยงสามารถข่วนนักเรียนรุ่นพี่แห่งสถาบันระดับสูงจนเป็นแผลลึกได้ พวกเขาก็บังเกิดความคิดไม่อยากจะเชื่อขึ้นมา


 


“ไอ้ตัวนั่นมันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงธรรมดา!” หลิวรุ่ยตะโกนด้วยความโกรธ


 


ฉินเฟิงยิ้มเย็นชา “ตอนนี้รู้แล้วสินะ แต่น่าเสียดาย มันสายเกินไปแล้ว เสี่ยวไป๋น่ะคิดแค้นพยาบาทมาก นายระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ หลังจากนี้ไป ระหว่างเดินกลางค่ำกลางคืนคนเดียว จะโดนกรงเล็บของมันตะปบเข้าใส่เอาง่ายๆ แล้วครั้งต่อไปจะไม่ใช่มือ แต่เป็นดวงตาของนาย!”


 


เมื่อฝูงชนได้ยินคำขู่ของฉินเฟิง และมองไปยังมือชุ่มเลือดของหลิวรุ่ย พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดแปล๊บขึ้นมาในดวงตา


 


“มันคือสัตว์ร้าย!”


 


“แค่การโจมตีเล็กๆเท่านั้น แต่ทรงพลังมากเลย!”


 


“บ้าชะมัด ไอ้หมอนี่มันจะโชคดีเกินไปแล้ว ไม่ใช่แค่ปลุกอบิลิตี้ขึ้นมาได้ แต่เขายังสามารถทำสัญญาของสัตว์ร้ายแรกเกิดได้อีก แบบนี้พอมันโตขึ้น มันคงต้องช่วยเขาได้มากแน่นอน !”


 


ฝูงชนฮือฮาด้วยความอิจฉา


 


ใบหน้าของหลิวรุ่ยแดงก่ำด้วยความอับอาย เขาต้องการที่จะฉีกฉินเฟิงทิ้งเป็นชิ้นๆ


 


หลี่เหยาเหยาเมื่อเห็นว่าท่าไม่ดี เธอเลยพุ่งเข้าไปปลอบใจหลิวรุ่ย “หลิวรุ่ย อย่าโกรธไปเลย ฉันจะรักษาให้เอง บาดแผลนี่มันแค่เล็กๆน้อยๆเท่านั้น”


 


หลี่เหยาเหยาปลดปล่อยรูนน้ำ รอบตัวเธอปรากฏแสงสีฟ้าอ่อน ไหลรวมเข้าไปในมือของหลิวรุ่ย อาการบาดเจ็บได้รับการรักษา ฟื้นฟูสภาพจนเห็นได้ชัดถนัดตา ห้านาทีต่อมา ร่องรอยของมันก็ไม่มีให้เห็นอีกเลย


 


“ฟู่ว! ” หลี่เหยาเหยาถอนหายใจโล่งอก การรักษานี้ทำเอาพลังสมาธิของเธอสูญไปเล็กน้อย


 


“นั่นมันรูนน้ำล่ะ!”


 


“ที่แท้พี่สาวคนสวยก็มาจากสาขาผู้ใช้อบิลิตี้”


 


“พี่ชายอีกคนโชคดีจัง ที่ได้ใกล้ชิดกับเธอ”


 


“เธอคือเทพธิดา! เทพธิดาแห่งการรักษา!”


Ch.54 – ความเข้ากันได้กับรูน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.54 – ความเข้ากันได้กับรูน


 


เมื่อได้ยินคำชมจากผู้คนรอบตัว หลิวรุ่ยก็เริ่มกลับมาฮึกเหิม เขาสาดสายตาไปทางฉินเฟิงด้วยความผยอง -แพ้ให้กับสัตว์เลี้ยงของมันแล้วยังไง? ต่อให้มันจะได้หน้าในครั้งนี้ แต่ก็ต้องสูญเสียโอกาสอยู่กับสาวงามไป หลิวรุ่ยเมื่อคิดถึงจุดนี้ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองพลาดพลั้งใดๆ


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปยังจุดเดิมที่ฉินเฟิงเคยยืนอยู่ เขากลับพบว่ามันไร้ซึ่งเงาของอีกฝ่าย


 


ในระหว่างที่ทั้งสองต่างมุ่งสมาธิอยู่กับการรักษา รู้สึกตัวอีกที พวกเขาก็เห็นว่าฉินเฟิงได้พาโจวฮ่าวเดินออกมาจากโซนลงทะเบียนแล้ว


 


“ฉินเฟิง นายปลุกพลังพิเศษได้จริงๆน่ะหรอ?”


 


“แล้วเรื่องของเสี่ยวไป๋นี่ยังไงกัน มันเป็นสัตว์ร้ายงั้นหรอ? ระดับอะไร? มันแข็งแกร่งมากเลย!”


 


“โดยเฉพาะพี่สาวคนสวย เธอเหมือนจะรู้จักนายอยู่ก่อนแล้วนะ!”


 


โจวฮ่าวยิงคำถามไม่หยุด


 


“นายพูดให้มันน้อยลงหน่อยเถอะ” ฉินกล่าวตอบด้วยอาการปวดหัว


 


โจวฮ่าวกลอกตามองบน “ถ้าไม่ให้พูด นายก็ตอบคำถามฉันมา”


 


“ไม่ตอบโว้ย!”


 


“บ๊ะ! ไอ้นี่หนิ เดี๋ยวนี้มีความลับเล็กๆน้อยๆไม่ยอมบอกเพื่อนซะแล้ว!”


 


“นี่มันใช่เรื่องปกติไหม? แล้วมันก็ไม่ใช่ความลับเล็กๆน้อยๆด้วย บางอย่างถึงเป็นเพื่อนมันก็บอกไม่ได้!”


 


โจวฮ่าวพอถูกดักคอแบบนั้น เขาก็ไม่รู้จะสวนอะไรกลับไปดี


 


“ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะปกปิดเรื่องพวกนี้กับนาย แต่ฉันไม่อยากจะอธิบายมัน นายแค่รู้ว่าพวกมันคือความจริงก็พอ!” ฉินเฟิงตบไหล่โจวฮ่าว


 


“แต่พวกเราเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆกันไม่ใช่รึไง .. ” โจวฮ่าวบ่น แต่เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องผลศักยภาพและเนื้อสัตว์นายพลแล้ว เขาก็รู้สึกว่า ตอนนั้นฉินเฟิงก็ไม่น่าจะบอกความจริงกับเขาเช่นกัน


 


แต่ฉินเฟิงก็พูดถูก ระหว่างพวกเขามันไม่สามารถบอกทุกอย่างได้ ตราบใดที่จดจำว่าเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน มันก็พอแล้ว


 


“เอาล่ะ งั้นฉันจะถามคำถามสุดท้าย นายคิดยังไงกับรุ่นพี่สาวสวยคนนั้น” โจวฮ่าวซุบซิบ


 


“หมายความว่ายังไงที่ว่าคิดยังไง?” ฉินเฟิงขมวดคิ้ว


 


“เอ้า! ไม่เอาน่า รุ่นพี่สาวสวยคนนั้นดูเหมือนจะชอบนายนะ นายไม่ชอบเธอหรอ?”


 


“อ่า ไม่ได้ชอบ” ฉินเฟิงตอบตามตรง


 


“ทำไม?” โจวฮ่าวมองฉินเฟิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เธอสวยมากเลยนะ แถมยังเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุน้ำอีก อนาคตแน่นอนว่ายังไงก็ต้องเป็นหมอ นายไม่ชอบเธอเลยหรอ?”


 


ฉินเฟิงไร้คำจะกล่าว


 


หากเขายังเป็นแค่วัยรุ่นเหลาะแหละ แล้วจู่ๆได้รับความสนใจจากคนสวยอย่างหลี่เหยาเหยา เขาอาจจะตื่นเต้น


 


แต่น่าเสียดาย ที่ปัจจุบันฉินเฟิงคือวัยรุ่นที่เพิ่งออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาไร้ซึ่งอำนาจและกำลังใดๆ


 


ในช่วงสิบปีก่อนเกิดใหม่ ฉินเฟิงไม่ได้ก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดก็จริง แต่เขาก็ไม่ขาดเหลือสิ่งใดในโลก ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือผู้หญิง


 


ดังนั้นหลี่เหยาเหยาในความคิดของเขา ก็เป็นแค่คนทั่วๆไป


 


เขาเลยไม่คิดให้ความสนใจแก่เธอมากเกินจำเป็น


 


เมื่อได้เกิดใหม่อีกครั้ง หนทางเดินของเขา มีเป้าหมายคือปีนป้ายขึ้นไปยังจุดสูงสุดและแก้แค้นเท่านั้น!


 


“ก็ไม่ทำไม เธอแค่ไม่คู่ควรกับฉัน”


 


ฉินเฟิงไม่เก่งเรื่องการประเมิน เขาไม่รู้ว่าหลี่เหยาเหยามีข้อดีอะไร


 


โชคยังดี ที่หัวข้อนี้สนทนากันไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงสถานที่ทดสอบ


 


อีกด้านหนึ่ง ในแววตาของหลี่เหยาเหยาเต็มไปด้วยความขมขื่น เธอรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง


 


‘นี่ฉินเฟิงทิ้งเธอไปอีกแล้วนะ!’ เจ้าหมอนี่ทำไมมันถึงไม่สนใจตัวเธอเลย?


 



 


ณ สถานที่ทดสอบพลังพิเศษ


 


“ไอหย๋า! ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดก็มีเพื่อนตัวน้อยที่สามารถปลุกพลังพิเศษปรากฏตัวขึ้นซักที ฉันขื่อว่าเฉิงเฉา รับหน้าที่เป็นครูฝึกเธอในชั้นปีแรก เธอเรียกฉันว่าอาจารย์เฉิงก็ได้” เฉิงเฉาคือชายอายุ 40 ปี รูปร่างค่อนข้างผอม แต่ดูเป็นคนใจดี


 


“สวัสดีครับอาจารย์เฉิง! นี่คือตารางการทดสอบของผม!” ฉินเฟิงวางแบบฟอร์มลงบนโต๊ะ


 


เฉิงเฉาหยิบมันขึ้นมา และวางลงบนมิเตอร์ทดสอบที่อยู่ใกล้ๆ


 


“ได้รับการยืนยันว่าเป็นอบิลิตี้ไฟที่ตื่นขึ้นมา งั้นก็ไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไรมากมายแล้ว ฉันจะให้เธอทดสอบพลังสมาธิและ ‘การเข้ากันได้กับรูน’ เลยก็แล้วกัน”


 


ระหว่างกล่าว เฉิงเฉาก็นำเอาแก่นผลึกสีแดง ซึ่งเป็นแก่นผลึกที่มีคุณสมบัติหาได้ยากยิ่งของไฟออกมา


 


แก่นผลึกถูกวางไว้บนมิเตอร์เครื่องมือ


 


“มิเตอร์เครื่องมือชนิดนี้ คืออุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ของเธอในอนาคต มันสามารถสลายรูนออกจากแก่นผลึกได้ ซึ่งสำหรับผู้ใช้อบิลิตี้ ยิ่งมีความสามารถในการดูดซับรูนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแข็งแกร่งโดดเด่นมากเท่านั้น”


 


“แน่นอน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้แข็งแกร่ง แต่แค่นี้เธอก็โชคดีมากแล้ว ไม่ต้องรู้สึกกดดันจนเกินไป”


 


“เอาล่ะ จะเริ่มแล้วนะ!”


 


ฉินเฟิงพยักหน้า เขานั่งลงเบื้องหน้ามิเตอร์เครื่องมือ ที่ดูคล้ายกับเปลือกไข่ และค่อยๆหลับตาลง


 


“จงปลดปล่อยพลังสมาธิของเธอออกมา สัมผัสกับรูนไฟเหล่านี้ มากเท่าไหร่ยิ่งดี!” เสียงของเฉิงเฉาดังมาจากข้างๆ


 


ฉินเฟิงปลดปล่อยพลังสมาธิของเขา ‘มองเห็น’ รูนไฟนับไม่ถ้วนที่กำลังร่ายระบำอยู่


 


เป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะรู้ว่ารูนไฟเหล่านี้คือเงื่อนไขในการทดสอบ พลังสมาธิของเขาจับพวกมันอย่างรวดเร็ว และเริ่มซึมซับพลังด้วยอำนาจที่แข็งแกร่ง


 


อย่างไรก็ตาม แม้อัตราการดูดซึมของฉินเฟิงจะรุนแรงแข็งแกร่ง หากแต่ความเร็วของมันอยู่ที่แค่ 1 ใน 100 ของอัตราการดูดซึมรูนมืดเท่านั้น


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่รูนไฟเหล่านี้ เมื่อมาถึงทะเลจิตสำนึก มันก็กระจัดกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว ยังไงฉินเฟิงก็เป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืด แต่ปัจจุบันเขากำลังแสร้งวางตัวเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ไฟ ผลลัพธ์ก็เลยเป็นแบบนี้


 


รูนไฟร่ายระบำ แม้พวกมันจะถูกดูดซึมโดยฉินเฟิง แต่ก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ในดาวเคราะห์เพชรของเขาได้


 


“ฉันสงสัยจริงๆ ว่าถ้าเป็นศิลานรกจะสามารถดูดซับรูนพวกนี้ได้รึเปล่า”


 


ถึงแม้ว่าศิลานรกจะเป็นไอเท็มระดับ S แต่มันก็มีรูนอยู่นับไม่ถ้วน พลังรูนไฟเอง ฉินเฟิงก็ดูดซับมาจากมัน


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟิงก็ใช้พลังสมาธิ เบี่ยงทิศทางรูนไฟให้เข้าไปผสมกับศิลานรก เมื่อรูนไฟกลายเป็นสีแดงผสานดำ เขาจึงค่อยกระตุ้นพลังสมาธิ ชักนำพวกมันเข้าสู่ดาวเคราะห์เพชร


 


 


จากนั้น รูนทั้งสองก็สามารถเข้าไปในดาวเคราะห์เพชรได้ทันที


 


“มันได้ผล!”


 


ยังไงก็ตาม ไม่รอให้ฉินเฟิงดำเนินการต่อ หูของเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้น และรูนไฟทั้งหมดในการรับรู้ของพลังสมาธิก็หายไป


 


“หมดเวลาแล้ว!” เสียงของอาจารย์ดังขึ้น มิเตอร์เครื่องมือส่งรายงานออกมา


 


อาจารย์มองรายงานด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ก่อนจะตบต้นขาด้วยความเสียดาย


 


“จิ๊ส์!”


 


ฉินเฟิงขมวดคิ้ว “อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอครับ? หรือว่าผลการทดสอบของผมไม่มากพอที่จะเข้าร่วมกับสถาบันได้?”


 


“ไม่หรอก แน่นอนว่าเข้าได้ เพียงแต่มันน่าเสียดายก็เท่านั้นเอง”


 


อาจารย์ยื่นใบประเมินให้กับฉินเฟิง ฉินเฟิงดูผลการทดสอบของเขา


 


จำนวนธาตุที่รวบรวมได้ : 2


 


ความเข้มข้นของพลังสมาธิ : S


 


ความเข้ากันได้กับรูน : G


 


ฉินเฟิงประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าความเข้มข้นพลังสมาธิของตัวเองจะเป็น S


 


“แต่น่าเสียดายจริงๆ เธอน่าจะมีความเข้ากันได้ที่สูงกว่านี้ มันยากมากเลยนะสำหรับพวกเรา ที่จะเห็นความเข้มข้นพลังสมาธิเป็น S! ” เฉิงเฉาเศร้า


 


ฉินเฟิงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีความเข้ากันได้กับรูนอยู่ในระดับ G


 


นี่เป็นเพราะที่ดูดซับเข้ามา มันไม่ใช่รูนมืด


 


“อาจารย์ ไอ้ความเข้ากันได้กับรูนนี่มีวิธีการประเมินยังไงหรอครับ?” ฉินเฟิงถาม


 


เกี่ยวกับเรื่องของผู้ใช้อบิลิตี้ ความรู้ของฉินเฟิงเรียกได้ว่าแทบจะพื้นฐาน และยิ่งเป็นรายละเอียดยิบย่อย เขายิ่งไม่รู้


 


“พลังในการดูดซับรูนของผู้ใช้พลังพิเศษ จะเริ่มต้นที่ระดับ G คือ 2 , ต่อมาระดับ F คือ 4 , ระดับ E คือ 6 , D คือ 8 , C คือ 10 , B 12 , A 15 และสุดท้ายระดับ S แข็งแกร่งที่สุด สามารถดูดซับได้ถึง 20!”


 


“ถึงจะแตกต่างกันแค่เล็กน้อย แต่อย่าประมาทมันเชียว เพราะภายใต้สถานการณ์ที่พลังสมาธิเท่าเทียมกัน เรื่องของการดูดซับรูนจะมีผลต่อความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก”


 


รู้หรือไม่ ว่าพลังพิเศษในเลเวล G มันจำเป็นต้องใช้งานรูนไฟจำนวน 1000 รูน ซึ่งสำหรับผู้ที่มีความเข้ากันได้ในระดับ G แล้ว เขาจะต้องใช้เวลามากกว่า 10 วันถึงจะรวบรวมรูนได้ถึงเป้าหมาย


 


อย่างไรก็ตาม หากความเข้ากันได้เป็นระดับ S การจะสะสมรูนให้ถึง 1000 อาจใช้เวลาแค่ 2 – 3 วันเท่านั้น


 


นี่คือในระดับต่ำสุดนะ ยิ่งพลังพิเศษระดับสูงขึ้นไป รูนที่ต้องมีไว้เพื่อใช้งานมันอาจจะถึงหลัก 10,000 เลยก็ได้!


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงจดจำได้ว่าในตอนที่พลังของเขาเพิ่งจะตื่นขึ้น ตนก็สามารถดูดซับรูนมืดได้มากกว่า 20 ตัวต่อชั่วโมงแล้ว ยิ่งเป็นช่วงเวลาฟ้ามืด มันกลับมากถึง 100 ตัว! -นับเป็นจำนวนที่มากจนน่าหวาดกลัว


 


แล้วแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า พรสวรรค์ของเขา มันไกลทิ้งห่างเกินกว่าระดับ S ไปแล้วหรอกหรอ?


Ch.55 – ช่วยเหลือในการไล่ล่า

Translator : Muntra / Author


 โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.55 – ช่วยเหลือในการไล่ล่า


 


“แต่จงอย่าท้อแท้ เพราะพลังสมาธิของเธอแข็งแกร่งมาก ที่ต้องทำก็แค่ฝึกฝนให้หนักกว่าคนอื่นๆ ในเมื่อความเข้ากันได้กับรูนไม่ใช่สิ่งที่เธอมี ดังนั้นขอจงมุ่งมั่นทุ่มเทเข้าไว้!” เฉิงเฉาให้กำลังใจฉินเฟิง


 


 


“ครับ! ขอบคุณอาจารย์”


 


ฉินเฟิงรับใบทดสอบของเขามา กวาดตามองสองคำสุดท้าย แล้วพบว่าตนผ่านการรับรองแล้ว ตอนนี้ ตราบใดที่เขาจ่ายค่าธรรมเนียม เขาก็จะได้รับคุณสมบัติเข้าเป็นนักเรียนของสถาบันระดับสูงทันที


 


แต่แทนที่ฉินเฟิงจะตรงไปจ่ายค่าธรรมเนียมเลย เขากลับมุ่งหน้าไปยังอีกที่หนึ่งก่อน


 


ที่ๆฉินเฟิงไป แน่นอนว่าคือจุดทดสอบของผู้ใช้วรยุทธโบราณ


 


เครื่องจักรปรากฏขึ้นเบื้องหน้าฉินเฟิง นักเรียนหลายคนกำลังยืนต่อแถว โจวฮ่าวก็เป็นหนึ่งในนั้น เหลืออีกไม่กี่คนก็จะถึงคิวเขา


 


“เริ่มการทดสอบได้!”


 


“ว๊ากกกก!!” ชายเบื้องหน้าเครื่องทดสอบแหกปากคำราม เหวี่ยงกำปั้นออกไป


 


ก็องงงงง!


 


“พลังโจมตี 279 เธอยังมีโอกาสอีกครั้ง”


 


“ขอบคุณครับอาจารย์!”


 


วัยรุ่นชายพยักหน้าอย่างรวดเร็ว สะบัดๆข้อมือ และตู้ม! ซัดกำปั้นเข้าใส่เครื่องจักรอีกที แต่คราวนี้ตัวเลขกลับเด้งขึ้นมาแค่ 256 เท่านั้น -กล่าวได้ว่าเขาได้ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปอย่างสิ้นเชิง


 


หากมีใครบางคนกล่าวว่าการทดสอบสาขาผู้ใช้อบิลิตี้ของสถาบันหละหลวม ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทดสอบสาขาผู้ใช้วรยุทธโบราณนั้นเข้มงวดมากขนาดไหน


 


พลังโจมตีจะต้องถึง 300 และยังต้องมีความเร็วและการตอบสนองตามข้อกำหนดอีกด้วย


 


แน่นอน ว่าผู้ที่มีพลังโจมตีต่ำกว่า 300 ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณได้ เพียงแต่ว่าโอกาสในอนาคตจะพวกเขาเหล่านี้จะน้อยกว่าคนอื่นๆก็เท่านั้นเอง


 


ไม่นาน มันก็มาถึงตาของโจวฮ่าว


 


“ทุกคนจงดูฉันให้ดี!”


 


โจวฮ่าวเหวี่ยงหมัด บังเกิดเสียงสายลมกรีดผ่านช่วงแขน ให้ความรู้สึกราวกับเสือที่ตะปบเข้าหาเหยื่อ


 


เขาคือคนที่เคยได้คะแนนสูงสุดในตอนเรียนสถาบันระดับกลาง ดังนั้นย่อมมีความกระตือรือร้นในการทดสอบเป็นธรรมดา


 


ก็องงงงง!


 


“516!”


 


เสียงฮือฮาดังออกมาจากในฝูงชน


 


“พลังโจมตีมากกว่า 500 ! อย่าบอกนะว่าความแข็งแกร่งของเขาเกินกว่าระดับเลเวล G1 ไปแล้ว!”


 


“แข็งแกร่งเกินไป!”


 


“ฉันได้รับการฝึกฝนเป็นมาเป็นเวลานาน แต่เต็มที่ก็ยังแค่เกือบถึง 300 เท่านั้นเอง แต่เขาทำได้มากกว่า 500 จะร้ายกาจเกินไปแล้ว!!”


 


ณ จุดนี้ กระทั่งอาจารย์คุมการทดสอบก็ยังให้ความสนใจกับโจวฮ่าว ดูเหมือนว่าเขาจะประทับใจในตัวนักเรียนหน้าใหม่คนนี้ไม่น้อย


 


“เอาล่ะ คนต่อไปเข้ามาทดสอบได้!”


 


โจวฮ่าวก้มลงมองกำปั้นของตัวเอง เกร็งมันจนแน่น รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง


 


“อ้าว นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันฉินเฟิง ทางนายเรียบร้อยแล้วสินะ งั้นมาด้วยกันกับฉันก่อน ฉันยังเหลือการทดสอบอย่างอื่นอยู่อีก!” โจวฮ่าวลากฉินเฟิงไปอีกที่หนึ่ง


 


และแน่นอนว่าฉินเฟิงก็ยินดีไปกับเขา เพราะอย่างไรเสียตนก็ยังมีเวลาว่างอยู่


 


หลังจากผ่านอีกหลายการทดสอบ ผลลัพธ์ของโจวฮ่าวล้วนยอดเยี่ยม โจวฮ่าวมีความสุข ฉินเฟิงเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย


 


‘ในชีวิตก่อน โจวฮ่าวตายเพราะฉัน แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนชะตากรรมของเขาแล้ว เมื่อเขาไม่ตาย พรสวรรค์ของเขาในอนาคตก็ย่อมไร้ขีดจำกัด ฉันหวังว่าในอนาคตพวกเราจะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน!’


 


ฉินเฟิงอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก


 


หลังจากจ่ายเงินค่าเล่าเรียน 50,000 เหรียญ ทั้งสองก็ได้รับเครื่องแบบสถาบันระดับสูง


 


เครื่องแบบนักเรียนชั้นปีแรกเป็นสีม่วงเข้ม อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่แค่ชุดธรรมดา แต่ยังเป็นชุดที่สามารถใช้ต่อสู้ได้เช่นกัน สำหรับสถานที่ชุมชนแล้ว การสวมใส่เสื้อผ้าดังกล่าวนี้แทบจะเทียบเท่าได้กับประดับตราสัญลักษณ์โลโก้ของผู้ใช้พลังเลย -ผู้ที่สวมใส่มันจะมีอนาคตไร้ขีดจำกัด


 


“ชั้นเรียนจะเริ่มวันพรุ่งนี้ และฉันจะได้เรียนรู้ทักษะกำลังภายในแล้ว!” โจวฮ่าวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


 


ฉินเฟิงพอได้ฟังก็ชะงักไป เขาหันไปมองโจวฮ่าว


 


“ทักษะที่ใช้ควบรวมกำลังภายในของสถาบันระดับสูงคืออะไร?” ฉินเฟิงถาม


 


โจวฮ่าว “มันเรียกว่า ‘จุดเริ่มต้นของจักรวาล’ เป็นทักษะกำลังภายในเลเวล F !”


 


“งั้นเอาไว้หลังจากฉันกลับไป ฉันจะส่งทักษะกำลังภายในอีกอย่างที่ดีกว่าให้นายเอง ส่วนทักษะจุดเริ่มต้นของจักรวาล นายก็ยังสามารถฝึกฝนมันต่อไปได้ แต่ก็อย่าขี้เกียจไป! ถ้าสงสัยอะไรสามารถถามฉันได้เลย!” ฉินเฟิงกล่าว


 


โจวฮ่าวมองฉินเฟิงด้วยสายตาแปลกๆ


 


“ทำไมนายครอบครองอะไรดีๆอยู่เยอะจัง? อย่าบอกนะว่านายได้ไปเจอสมบัติลับอะไรจำพวกนั้นมา?”


 


“ก็ถ้าบังเอิญไปพบศพคนตายเข้า นายจะเลือกปล่อยผ่านไปเฉยๆ หรือหยิบฉวยสิ่งของบนตัวเขามาล่ะ? ” ฉินเฟิงตอบด้วยคำโกหกที่กรั่นกรองมาจนดูสวยงาม


 


ดวงตาของโจวฮ่าวเปล่งประกาย


 


“โอ้โห! นายกำลังจะบอกว่าตัวเองบังเอิญไปเจอศพของคนที่แข็งแกร่งในทุ่งล่ามาใช่ไหม? นอกจากนี้บนตัวเขายังมีอาวุธรูนที่แข็งแกร่ง ทักษะฝึกกำลังภายในชั้นสูง หรือพวกเครื่องประดับที่เปลี่ยนเป็นเงินทองได้มากมาย?!” โจวฮ่าวยิ่งคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็ยิ่งตาลุกวาว


 


ฉินเฟิงไม่ได้ขัดจังหวะ หรือตอบปฏิเสธใดๆ เขาเพียงยิ้มจางๆ


 


ในเวลานั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงก็ดังขึ้น


 


ฉินเฟิงกดตอบรับ ปรากฏภาพวิดีโอลอยขึ้นเหนืออุปกรณ์สื่อสาร อีกฝ่ายไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่เขาเพิ่งได้ทำความรู้จักกันเมื่อวาน หัวหน้าที่รับผิดชอบเครือข่ายนักล่าเงินรางวัลประจำสาขาชุนชนทางตอนเหนือ -จางฮั่วหยาง


 


“ฉินเฟิง เธอว่างรึเปล่า พวกเรากำลังไล่จับกุมผู้ร้ายหลบหนี ฉันเห็นว่าเธออยู่ในละแวกใกล้เคียงพอดี ก็เลยลองโทรมาขอความช่วยเหลือ ถ้าเสร็จงานแล้วทางเราจะมอบส่วนแบ่งให้ 1 ใน 4 !”


 


จางฮั่วหยางอธิบายอย่างรวดเร็ว ไหนจะเสียงเบรกจากปลายสาย และเสียงโหวกเหวกโดยรอบ บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังตามล่าอีกฝ่ายอย่างเร่งร้อน


 


“ตกลง รบกวนคุณช่วยแชร์ตำแหน่งของเป้าหมายมาให้ผมที” ฉินเฟิงกล่าว


 


“ไม่มีปัญหา ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ!” จางฮั่วหยางหันไปวุ่นอยู่กับการส่งประวัติและตำแหน่งของอาชญากร เมื่อข้อมูลถูกส่งมา ฉินเฟิงก็พบว่ามันอยู่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่เป็นระยะทางสามถนนเท่านั้นเอง


 


“สหายฮ่าว ดูเหมือนว่าพวกเราคงต้องแยกกันก่อน”


 


นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้วสำหรับโจวฮ่าว เขาไม่สมควรที่จะเข้าร่วมกับงานอันตรายแบบนี้ อีกอย่าง อาชญากรที่จางฮั่วหยางกำลังไล่ล่าอยู่ อย่างน้อยสมควรมีความแข็งแกร่งในเลเวล F


 


“นี่นายเป็นนักล่าเงินรางวัลงั้นหรอ? งั้นนายก็กำลังไล่ล่าอาชญากรที่ถูกออกหมายจับอยู่น่ะสิ? ฉันขอติดไปกับนายด้วย! ไม่งั้นฉันจะไม่ยอมลงจากรถ!!” พอได้ยินเรื่องน่าสนุก เลือดในกายโจวฮ่าวก็เริ่มเดือดพล่าน


 


“เออก็ได้ นั่งลงดีๆ ทำตัวเงียบๆแล้วกัน!” ฉินเฟิงเปิดโหมดล่องเวหา รถศึกลอยตัวขึ้น รูนลมปะทุ และระเบิดอัตราเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว


 


วู้มมม-


 


รถศึกแทบจะถูกห่อหุ้มด้วยพายุเฮอริเคนในพริบตา กวาดข้ามผ่านเส้นทางไป


 


ไม่นานนัก ก็พ้นถนนสามสาย ฉินเฟิงสามารถสังเกตเห็นได้ถึงรถของเป้าหมาย


 


มันคือรถบรรทุกสีน้ำเงินขนาดใหญ่ และดูเหมือนว่าจะขับอาละวาดไปทั่ว การจราจรกลายเป็นอัมพาต มีรถยนต์หลายคันถูกชนจนพลิกคว่ำ


 


ฉินเฟิงสังเกตเห็นรถของจางฮั่วหยาง เป็นรถสปอร์ตสีขาว แต่มันเป็นรถสำหรับใช้ในเมืองเท่านั้น ไม่ได้มีโหมดล่องเวหา เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากต้องการติดตั้งอุปกรณ์รูนบนตัวรถ มันจำเป็นต้องเสียเงินกว่าหลายล้านเป็นอย่างต่ำ


 


เพียงแค่มอง ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายไล่ล่ากำลังเสียเปรียบเป็นอย่างมาก


 


ฉินเฟิงคำราม เอ่ยสั่งการรถศึก


 


“เปลี่ยนเป็นโหมดขับขี่อัตโนมัติ ตั้งเป้าหมายให้เคลื่อนที่ตามรถบรรทุกสีน้ำเงิน!”


 


ฉินเฟิงเปลี่ยนโหมดการทำงาน พร้อมกับเปิดหลังคารถออก … นี่อย่าบอกนะว่าเขาคิดจะต่อสู้จากที่นั่งคนขับ?


 


หนึ่งมือสัมผัสลงตรงเอวตน ปืนพลังงานที่เคยแลกเปลี่ยนมาจากซูซิงฝูถูกกุมในมือของเขา


 


วู้มมมมม!


 


ปืนพลังงานสาดรังสีแสง วินาทีต่อมา ยางล้อหน้าของรถบรรทุกขนาดใหญ่ก็เกิดเสียงเหล็กเสียดสีดังลั่น


 


ยางแบนลงอย่างรวดเร็ว


 


วู้มมม!


 


ฉินเฟิงยิงออกไปอีกครั้ง


 


คราวนี้รถบรรทุกทรุดตัวลงจากด้านหลัง ล้อเสียดสีเป็นประกายไฟกับพื้น ความเร็วลดลงกว่าในตอนแรกมากนัก


 


ทันใดนั้นเอง ร่างๆหนึ่งก็กระโจนออกจากห้องโดยสารของรถบรรทุกอย่างรวดเร็ว


 


【แจ้งเตือนนักล่าเงินรางวัล ล็อคเป้าหมาย : อาชญากร ‘ไวเปอร์’ 】


 


ชื่อนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นฉายา!


 


การตั้งฉายานั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นชื่อจริงอยู่เหมือนกัน แต่อะไรแบบนั้นมันไม่เคยถูกนำมาใช้กับพันธมิตรมนุษยชาติ


 


ฉินเฟิงกวาดสายตาผ่านอุปกรณ์สื่อสาร ข้อมูลแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาว่า ‘ไวเปอร์’ เป็นสมาชิกขององค์กรมืด และเคยวางแผนสังหารหมู่มาแล้วหลายครั้ง


 


“ไอ้สารเลวน้อย! กล้ามายั่วยุบิดา จงตายซะ!”


 


ใบหน้าของไวเปอร์ดุร้ายอย่างถึงที่สุด มันฉกมือไปคว้ารถคันเล็กที่จอดอยู่ข้างทาง ยกชูขึ้นเหนือหัวและวูบบบบ! ซัดรถทั้งคันตรงมาทางฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงดีดตัวออกจากรถศึกทันที ถีบขาคู่เข้าใส่รถเล็กที่ลอยเข้ามา


Ch.56 – สังหารไวเปอร์

Translator : Muntra / Author


 


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.56 – สังหารไวเปอร์


“ปลดปล่อยแรงผลัก!”


ทักษะลับกลืนดาราปะทุออก แรงดึงดูดเปลี่ยนผัน ระเบิดพลังผลักโถมเข้าปะทะตัวรถ ฉากนี้เปรียบดั่งไม้เบสบอลที่หวดเต็มรักเข้าใส่ลูกเบสบอล ส่งรถยนต์พุ่งกลับไปยังทิศทางเดิมทันที


เห็นได้ชัดว่าไวเปอร์ไม่คาดคิดว่าฉินเฟิงจะไม่เพียงต่อต้านการโจมตีของเขา แต่ยังถึงขั้นส่งมันกลับคืน


ไวเปอร์ตระหนักว่าตนไม่อาจตั้งรับพาหนะคันนี้ได้ หากยืนเฉยเขาคงถูกรถบดขยี้ ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง


ไวเปอร์โน้มตัวลง โฉบหลบเลี่ยงทันที


ตูม!


รถเล็กร่วงกระแทกกับพื้นถนน บังเกิดประกายไฟ ตามต่อด้วยการระเบิดรุนแรงอย่างกระทันหัน


กำลังภายในห่อหุ้มทั้งตัวของฉินเฟิง โดยเฉพาะสองเท้า มันหยั่งลงกับพื้นอย่างสงบ


สายตามืดมนของไวเปอร์หันขวับ! เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฉินเฟิงยังดูอ่อนเยาว์ สีหน้าของเขาก็กลายเป็นน่าเกลียดยิ่ง


“ไอ้เด็กขนยังไม่ขึ้น ในเมื่อแส่หาเรื่องดีนัก งั้นฉันก็จะฆ่าแกก่อน!”


เด็กน้อยที่ยังไม่มีกระทั่งโลโก้ผู้ใช้พลัง ดันกล้ามายั่วยุตนเองอย่างกระทันหัน นี่มันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วหรือไร?


ไวเปอร์ปรี่เข้าใส่อย่างคลุ้มคลั่ง


ตูม!


ตามด้วยหนึ่งหมัดซัดใส่ฉินเฟิง


ฉินเฟิงไม่อยู่เฉย และแน่นอนว่าไม่หลบเลี่ยง เขาวาดกำปั้นสวนกลับไป!


เส้นไหมกำลังภายในทั้ง 27 ถูกควบรวมอย่างรวดเร็ว ถ่ายเทเข้าสู่เส้นลมปราณ พลังโจมตีพุ่งทะยานสูงขึ้นไม่มีหยุดยั้ง!


กำลังภายในของฉินเฟิงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ มันไม่เลวร้ายไปกว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F เลย


เปรี้ยงงงง!


หมัดลุ่นๆบรรจบเข้าหากัน หากฟังเพียงเสียงปะทะอย่างรุนแรง คงแทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือกระแทกกันระหว่างเนื้อกับเนื้อ!


ไวเปอร์รู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่ส่งผ่านเข้ามาทางกำปั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง คลุ้มคลั่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ


“ไอ้หนู งั้นมาดูกันว่าแกจะทนต่อไปได้อีกนานแค่ไหน!”


ไวเปอร์คำรามอีกครั้ง


เปรี้ยง! เปรี้ยง!! เปรี้ยง!!!


สองหมัดปะทะเข้าหากัน พละกำลังปะทะพละกำลังเพียวๆ แต่ผ่านไปสักพักแล้ว ฉินเฟิงก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะเสียเปรียบเลย


ด้วยพลังดึงดูดที่เกิดจากทักษะลับกลืนดารา ส่งผลให้ไวเปอร์รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก แต่ทางฉินเฟิงเอง ก็ค้นพบว่าศัตรูแข็งแกร่งมากเช่นกัน เลยทำให้เขาไม่สามารถดูดกลืนกำลังภายในของอีกฝ่ายได้


“มารดามันเถอะ!” ไวเปอร์ยิ่งนานก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว


ไอ้เด็กเหลือขอนี่มันจัดการได้ยากจริงๆ


ช่วงเวลานั้นเอง ในที่สุดจางฮั่วหยางและคนอื่นๆก็ตามมาสมทบจากเบื้องหลัง


ฉินเฟิงกำลังพัวพันอยู่กับไวเปอร์ สามคนที่เหลือเขามาโอบล้อมอาชญากรทันที


“ไวเปอร์ แกหนีไม่พ้นแล้ว!”


“เจ้าหนู ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง!” หนึ่งในสหายของจางฮั่วหยางที่ตามมา ฟังจากน้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เห็นฉินเฟิงอยู่ในสายตา


ทั้งร่างของจางฮั่วหยางเขม็งเกร็ง เอ่ยปากสั่งโดยตรง “ลุยเลย!”


เมื่อทั้งสามประสานโจมตี ไวเปอร์ดูท่าว่าคงจะไม่รอดแน่ๆแล้ว


“บัดซบ! บัดซบ!! บัดซบ!!!”


ไวเปอร์สบถซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ความแข็งแกร่งของไวเปอร์อยู่ในช่วง F2 เท่านั้น แต่เขาว่องไวเป็นอย่างมาก และเก่งกาจในด้านการหลบหนีซ่อนตัว ตรงจุดนี้เองที่ทำให้อีกฝ่ายหลุดมือจากจางฮั่วหยางและคนอื่นๆไปได้ แต่ตอนนี้ทั้งสามสามารถล้อมตัวเขาเอาไว้แล้ว ดังนั้นสถานการณ์ปัจจุบันของไวเปอร์ ไม่ต่างอะไรกับถูกขึงติดกับความตาย


“พวกแกบังคับฉันให้ต้องทำแบบนี้เองนะ! ในเมื่อฉันจะตาย ถ้างั้นพวกแกก็ต้องตายไปพร้อมกัน!”


จู่ๆไวเปอร์ก็ฉีกยิ้มน่าหวาดกลัว ฉกมือไปคว้าหลอดยาสีเขียวออกมา ปักเข็มฉีดน้ำยาเข้าใส่ในร่างกายโดยตรง


“อ๊าาาาาาาา!!!”


ไวเปอร์ร้องโหยหวน


ต่อมา ร่างของเขาก็เริ่มปูดบวม เกิดการบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง เกล็ดสีเขียวผุดขึ้นตามผิวหนังของเขา พริบตาเดียว ไวเปอร์ก็กลายเป็นสัตว์ที่มีรูปลักษณ์คล้ายงูยักษ์ ขนาดตัวหนาราวกับถังใบใหญ่ ร่างกายยืดยาวไปถึง 4-5 เมตร


“นั่นมันร่างทดลองมนุษย์กลายพันธุ์!”


ฉินเฟิงดีดตัวถอยห่างทันที สัญชาตญาณร้องเตือนอย่างบ้าคลั่งถึงภัยอันตราย


การทดลองขององค์กรมืดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง พวกเขาสามารถพัฒนาอาวุธมนุษย์ที่น่าหวาดกลัวขึ้นมาได้ โดยการถ่ายยีนส์เข้าไปในร่างกายมนุษย์โดยตรง เปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์ร้ายที่ทรงพลัง เพิ่มพูนกำลังรบในสถานการณ์วิกฤติ


ส่วนไวเปอร์คนนี้ แต่เดิมมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล F2 เท่านั้น ทว่าหลังจากฉีดยีนกลายพันธุ์เข้าไป ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มพูนขึ้น จนเทียบเคียงได้กับนายพลสัตว์ร้ายเลเวล F !


หรือกล่าวได้ว่า ศัตรูในปัจจุบัน แข็งแกร่งเกินกว่าขอบเขตที่ฉินเฟิงจะสามารถรับมือได้ตรงๆไปแล้ว


“ฟ่อ!!” ไวเปอร์ส่งเสียงคำรามที่ไม่เหมือนมนุษย์ออกมา


จางฮั่วหยางและคนอื่นๆ เกิดความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ แม้พวกเขาต้องการจะหลบหนี ก็เกรงว่ามันจะสายเกินไป


ร่างของไวเปอร์ขดตัวเป็นเกลียว แล้วดีดผึง! เหวี่ยงทั้งตัวออกไปเป็นแนวขวาง ผู้ใช้วรยุทธโบราณที่อยู่เบื้องหน้าฉินเฟิงถูกฟาดปลิวกระเด็นออกไป


พรวดดดด!


ละอองเลือดทะลักจากปาก แต่ดูจากสภาพแล้ว น่ากลัวว่ากระทั่งกระดูกซี่โครงตรงหน้าอกคงเกือบแหลก


พลังอำนาจของมนุษย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์ร้าย กลับกลายเป็นว่าช่างแสนอ่อนแอ


จางฮั่วหยางถอยห่างไม่ยอมหยุด แต่ไวเปอร์ก็เลื้อยวูบไหวไล่ล่า อ้าปากที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสีแดงฉาน แสดงท่าทีราวกับว่ามันปรารถนาจะกลืนกินจางฮั่วหยางลงไปทั้งตัว


ฉากนองเลือดดังกล่าวนี้ เพียงมอง ก็ส่งผลให้ผู้คนสั่นสะท้านด้วยความสยองขวัญในจิตใจ


แต่ในช่วงเวลานั้นเอง ฉินเฟิงผู้ซึ่งเป็นคนแรกที่ถอยหนี ก็ยกฝ่ามือขึ้นอย่างเร็ว ระเบิดพลังสมาธิออกมาอย่างกระทันหัน


“เปลวไฟเอ๋ย จงปะทุ!”


เปลวไฟพลันลุกโหม ก่อตัวเป็นก้อนกลมขนาดใหญ่ในมือของฉินเฟิง


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ไฟที่เกิดจากการระเบิดของรถคันเล็กก่อนหน้านี้ ราวกับว่าถูกดึงดูดโดยธาตุเดียวกัน มันม้วนตัวมาทางฉินเฟิง ฉากนี้ราวกับมังกรเพลิงกำลังร่ายรำอยู่ในอากาศ


“จงมอบพลังให้แก่ฉัน!”


สิ้นเสียง ฉินเฟิงก็ผลักสองมือออกไป มังกรเพลิงขนาดใหญ่ม้วนผ่านสนามรบ กรีดฝ่าอากาศส่งเสียงหวีดหวิว ชนเปรี้ยง! เข้าเต็มหลังของไวเปอร์


ตูม!


อำนาจมหาศาลส่งไวเปอร์ปลิวกระเด็นออกไป


เปลวไฟโถมเข้าห่อหุ่มร่างศัตรูทันที มังกรเพลิงม้วนเป็นเกลียวขึ้นไปบนฟากฟ้า กลายเป็นเสาอัคคีขนาดย่อม


“อ๊ากกกกกกกกก!!”


ไวเปอร์กรีดร้องเสียงหลง


“เพลิงโลกันต์!”


ฉินเฟิงยังไม่ยอมหยุดโจมตีเพียงเท่านี้ มือของเขายกขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้บนฝ่ามือ กลับมีเพียงลูกบอลสีดำแดงเล็กๆ


นี่คือเพลิงโลกันต์ที่ผสานเข้ากับพลังธาตุมืด


บอลไฟสีดำถูกขว้างออกไปอย่างเงียบๆ ไม่มีผู้ใดพบเห็น ตกเข้าใส่ตรงกลางหัวงูยักษ์อย่างลับๆ


พรึบบบ!!


ยามเมื่อเพลิงโลกันต์ประทับลง ทุกอย่างเฉพาะตรงที่มันสัมผัสก็ถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่านทันที ปรากฏหลุมบ่อขนาดใหญ่ขึ้นบนหัวของไวเปอร์


ทั้งร่างของไวเปอร์ที่กำลังดิ้นเร่าๆอย่างรุนแรงพลันหยุดจะชักลงอย่างกระทันหัน


อาชญากรไวเปอร์ … ได้ตายลงแล้ว!


“ฮู่ว .. ฮุ่ว … ” จางฮั่วหยางผู้รอดชีวิตจากหายนะไม่ทันได้ตอบสนอง เขาทำได้เพียงสูดลมหายใจเท่านั้น เมื่อได้สติ เขาก็มองไปทางฉินเฟิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในสายตา


ช่างเป็นพลังพิเศษที่แข็งแกร่งจริงๆ!


“ที่แท้เขาก็เป็นผู้ใช้อบิลิตี้!” จางฮั่วหยางมิอาจทำใจเชื่อได้ เขาย้อนคิดไปถึงความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉินเฟิงก่อนหน้านี้


หรือว่าเขาจะเป็นทั้งผู้ใช้วรยุทธโบราณและผู้ใช้พลังพิเศษ?


อย่างไรก็ตาม เมื่อจางฮั่วหยางเบนสายตาไปมองล้อรถบรรทุกสีน้ำเงินอีกครั้ง มุมปากของเขาก็ต้องยกสูงขึ้นด้วยความขมขื่น


กระทั่งฝีมือการยิงปืนก็ยังแม่นยำ เจ้าเด็กฉินเฟิงเป็นใครกันแน่นะ? มีอะไรที่เจ้าหนูนี่มันทำไม่ได้บ้าง?


ในเวลานั้นเอง ฉินเฟิงก็ยกมือขึ้น และเรียกรูนไฟกลับคืน


“จงมอดดับ!”


เปลวไฟดับลงโดยอัตโนมัติ ศพของไวเปอร์ถูกเปิดเผยสู่สายตา


ร่างของงูยักษ์ในปัจจุบัน ได้กลายเป็นสีโค้กไปแล้ว ตรงส่วนหัวถูกเจาะเป็นรู แทบจะจดจำไม่ได้ถึงรูปลักษณ์ของมนุษย์


กลืนกิน!


ฉินเฟิงเร่งใช้พลังพิเศษกลืนกินด้วยท่าทีสงบ


พลังงานที่ไม่รู้จักถูกส่งผ่านออกมาจากศพของไวเปอร์ ป้อนเข้าสู่ร่างกายของฉินเฟิง


หลังจากไวเปอร์ใช้ยาเปลี่ยนแปลงยีนแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็เทียบเท่าได้กับนายพลสัตว์ร้ายเลเวล F ดังนั้นพลังงานที่มีย่อมมากเป็นธรรมดา ฉินเฟิงสัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคย ช่วงเวลาแห่งการยกระดับกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า


ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่ง ระบบพลัง , ความเร็ว พุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก


ยกระดับขึ้นสู่เลเวล G9 !


เพียงหนึ่งเดือนของการปลุกพลัง อีกเพียงแค่ก้าวเดียว ฉินเฟิงก็จะกลายเป็นผู้ใช้พลังเลเวล F แล้ว!


“แอ๊!”


เสี่ยวไป๋กระโดดออกจากรถ แต่อุ้งเท้าสีขาวราวหิมะของมันมิได้แนบกับพื้นดิน นี่ก็เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้เปื้อนฝุ่น


เนื้อและเลือดที่อยู่ใกล้กับผิวหนังชั้นนอกถูกย่างเป็นถ่านก็จริง แต่ภายในยังคงสดอยู่ นอกจากนี้ข้างในยังมีแก่นพลังงานปรากฏขึ้นอีกด้วย!


เห็นได้ชัดว่าที่เสี่ยวไป๋วิ่งออกมา ก็เพื่อจะเอาแก่นพลังงานนี้


ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า หยิบเอาแก่นพลังงานสีแดงขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมา


“ถือซะว่านี่เป็นสินสงคราม จากความพยายามของฉันก็แล้วกัน!” ฉินเฟิงกล่าว


Ch.57 – การประลองใต้ดิน

Translator : Muntra / Author


 


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.57 – การประลองใต้ดิน


จางฮั่วหยางมองการกระทำของฉินเฟิง เขาไม่ได้โต้แย้งใดๆเลย แต่กลับกล่าวอย่างจริงใจว่า “มันสมควรแล้วที่จะเป็นของเธอ!”


ถ้าวันนี้ไม่ใช่เพราะฉินเฟิงมาช่วย ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องจับตัวไวเปอร์ แต่พวกเขาคงจะกลายเป็นศพอยู่ที่นี่แทน


ฉินเฟิงเก็บแก่นพลังงาน แต่ไม่ได้แตะต้องตัวศพ


จางฮั่วหยางส่งภารกิจ ซึ่งรวมชื่อของฉินเฟิงเข้าไปด้วย ทำให้ฉินเฟิงได้แต้มนักล่าเงินรางวัลเพิ่มขึ้นอีก 100 แต้ม


ยิ่งไปกว่านั้น รางวัลนำจับของไวเปอร์ยังสูงค่ายิ่ง


เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นสมาชิกขององค์กรมืด ไวเปอร์มีชื่อเสียงค่อนข้างสูง ดังนั้นรางวัลนำจับของเขาจึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย มากถึง 8 ล้านเหรียญ!


ฉินเฟิงได้ส่วนแบ่ง 1 ใน 4 ดังนั้นเป็นเงิน 2 ล้านเหรียญ


“เอาล่ะ ที่เหลือคุณจัดการต่อก็แล้วกัน ผมขอตัวก่อน” ฉินเฟิงเอ่ยปาก


“ตกลง ขอบคุณสำหรับการร่วมมือในครั้งนี้ ในอนาคต ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไร จงอย่าลังเลที่จะบอกมันกับฉัน!” จางฮั่วหยางกล่าว


“แน่นอนครับ”


ฉินเฟิงไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจในครั้งนี้


ระหว่างที่กำลังเกิดการต่อสู้ โจวฮ่าวกระโดดลงจากเบาะข้างคนขับ แต่ก็คอยตามไปห่างๆในระยะ100 เมตร


เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังเกรงกลัวว่าจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้


เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง โจวฮ่าวก็กลับขึ้นมาบนรถอีกครั้ง


ฉินเฟิงอุ้มเสี่ยวไป๋ไว้ในอ้อมแขน เปิดประตูรถ โจวฮ่าวตื่นเต้นจนแทบจะคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่อยู่


เพราะยังไงซะ ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงก็ได้ถูกเปิดเผยสู่สายตาของโจวฮ่าวแล้วอย่างแท้จริง


“นายห้ามลืมเชียวนะ! ที่บอกว่าหลังจากกลับไป จะส่งทักษะฝึกกำลังภายในของนายให้กับฉัน พอได้เห็นนายสู้ บอกตรงๆเลยว่าฉันแทบจะทนรอไม่ไหวแล้ว!”


โจวฮ่าวประหลาดใจมากกับความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ในช่วงระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน เขารู้สึกเหมือนกับว่าได้พบกับฉินเฟิงคนใหม่!


“ได้อยู่แล้ว ฉันจะส่งให้นายเองหลังจากฉันกลับไป”


ฉินเฟิงนั่งลงบนเบาะคนขับ ส่วนเสี่ยวไป๋ก็อดใจไม่ไหวไม่แตกต่างจากโจวฮ่าว มันดิ้นไปมา และฉกแก่นพลังงานจากมือเขา


“ก็ได้ๆ แกเอาไปเลย”


ฉินเฟิงหมดหนทาง จริงอยู่ที่เขารู้ว่าหากตนดูดกลืนแก่นพลังงาน ความเร็วในการพัฒนาของตัวเองจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก


อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่มีเสี่ยวไป๋ แก่นพลังงานเกือบทั้งหมดที่ฉินเฟิงได้รับมา เขาก็ล้วนมอบให้กับมัน!


แต่เขาไม่ได้เสียใจเลย!


เสี่ยวไป๋เริ่มดูดซับพลังจากแก่นพลังงาน ไม่นานมันก็จมลงสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว เพราะยังไงซะ พลังงานจากแก่นสัตว์ร้ายเลเวล F ก็เป็นอะไรที่มหาศาลเกินกว่าจะรับไหวหากไม่ทำการปรับสมดุล


หลังจากกลับมาถึงบ้าน ฉินเฟิงก็เริ่มเขียนวิธีฝึกฝนกำลังภายใน ‘ทักษะน่องวายุ’ เลเวล B จากความทรงจำอย่างเงียบๆ


ในชีวิตก่อนหน้า เขาทุ่มเทอย่างหนักกว่าจะได้ทักษะนี้มา ต้องจ่ายไปด้วยเกือบทุกอย่างที่ตนเองมี และมันก็เป็นเพราะผลจากทักษะนี้เอง ที่ทำให้ฉินเฟิงสามารถก้าวขึ้นไปสู่เลเวล A ได้


แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบเท่าได้กับทักษะลับกลืนดารา แต่มันก็ยังถือว่าช่วยฉินเฟิงเอาไว้ได้มาก


ตอนนี้ เนื่องจากฉินเฟิงครอบครองทักษะลับกลืนดาราแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เขาไม่ต้องฝึกฝนทักษะน่องวายุอีก แต่มันเหมาะสมสำหรับโจวฮ่าว


และเป็นเพราะฉินเฟิงฝึกฝนมันมาเป็นระยะเวลาหลายปี เขาเลยมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับมันเป็นอย่างมาก จึงเขียนประสบการณ์เหล่านั้นลงไปให้โจวฮ่าวด้วย


ซึ่งปัจจุบัน โจวฮ่าวคงกำลังตื่นเต้นจนแทบจะคลั่งตายแล้ว


ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย พลังพิเศษดูดกลืนกำลังช่วยเสริมสร้างร่างกายของเขาอยู่เช่นกัน แต่น่าเสียดาย ที่ทักษะลับกลืนดารามิได้ถูกใช้ออกไป ฉินเฟิงเลยไม่ได้รับกำลังภายในของไวเปอร์มา แต่นั่นก็เพราะมีเวลาไม่เพียงพอ ไวเปอร์ดันฉวยโอกาสฉีดยายีนส์มนุษย์ดัดแปลงซะก่อน


“เสียดายจัง!”


ฉินเฟิงค่อนข้างเสียดาย แต่พอคิดถึงเรื่องที่พลังกายของตนยกระดับไปถึง G9 เขาก็ไม่เก็บมาใส่ใจ


“ช่างเถอะ เพราะยังเหลืออีกสถานที่หนึ่ง ที่สามารถเผชิญหน้ากับผู้ใช้วรยุทธโบราณ และขโมยเอากำลังภายในของพวกเขามาแบบไม่ต้องลำบากใจใดๆ!”


กล่าวถึงจุดนี้ ดวงตาของฉินเฟิงก็หรี่แคบลง


สำหรับสถานที่ดังกล่าว ฉินเฟิงเองก็ไม่รู้พิกัดที่แน่ชัดของมัน แต่เขาแน่ใจว่ามันคือสถานที่ที่ทุกชุมชนจะต้องมี


‘เวทีประลองใต้ดิน!’


เป็นสถานที่สำหรับระบายความรุนแรง และประกาศความดุร้าย


นอกจากนี้ มันยังเป็นเวทีต่อสู้ที่โหดเหี้ยมที่สุดในสถานที่ชุมชน!


ฉินเฟิงเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเวทีประลองใต้ดิน เนื่องจากมันเป็นสถานที่กึ่งสาธารณะ ฉินเฟิงเลยสามารถรู้ที่ตั้งของมันได้อย่างง่ายดาย



ช่วงกลางดึก ความมืดปกคลุมผืนฟ้าในสถานชุมชนทางตอนเหนือ


ทว่าสิ่งที่ความมืดปกคลุมไม่มิด คือความร้อนแรงและเสียงโห่ร้องจากภายในสถานที่แห่งหนึ่ง


สลัมคือส่วนวุ่นวายที่สุดในสถานชุมชนทางตอนเหนือ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอธิบายถึงสภาพแวดล้อมของที่นี่ บางครั้งถึงขั้นมีบางศพที่หนอนชอนไช ถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวในมุมมืดที่ไม่รู้จัก


ฉินเฟิงไม่ได้สวมชุดต่อสู้ เขาใส่เพียงเสื้อผ้าสบายๆ ดูเหมือนกับพวกนายน้อย แต่ก็พอเผยให้เห็นถึงคมเขี้ยวที่ตนมี


“บอส มีแกะอ้วนกำลังมาทางนี้!”


“โอ้? แกแน่ใจนะ? ดูดีๆรึยังว่าไม่มีพวกบอดี้การ์ดอยู่รอบๆตัวมันน่ะ!”


“ไม่มีหรอก ดูเหมือนว่าเขาจะมาหาความสนุกที่นี่คนเดียว แถมในข้อมือเขายังสวมอุปกรณ์สื่อสารราคาตั้ง 100,000 แน่ะ!”


“งั้นยังมัวรออะไรอยู่ ไปจับตัวมันกัน!”


ว่าจบ คนกลุ่มหนึ่งก็วิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังฉินเฟิง


“เจ้าหนู ถ้าฉลาดพอ ก็จงเอาเงินออกมา 1 ล้านเหรียญซะดีๆ ไม่อย่างงั้นหน้าของแกจะลงไปจูบกับพื้น!” ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มข่มขู่


เสียงฝีเท้าของฉินเฟิงหยุดลง กวาดตามองกลุ่มคนเหล่านั้น บนหน้าอกไม่มีซักคนที่มีโลโก้ผู้ใช้พลัง และเนื่องจากพลังสมาธิของฉินเฟิงแข็งแกร่งขึ้นถึงระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้เขาเลยสามารถรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ว่ามันอยู่ในระดับ G2 G3 เท่านั้น


ไม่เพียงแค่นั้น กำลังภายในของพวกมันยังอ่อนด้อย ในตันเถียนแต่ละคนมีคนละเส้นสองเส้น สั้นๆเท่านั้น


“ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ถึงจะเล็กน้อย แต่เอาไว้ควบรวมมันให้กลายเป็นเส้นเดียวที่แข็งแกร่งในภายหลังก็น่าจะพอได้!”


ฉินเฟิงยิ้มเย็นชา ในวินาทีต่อมา เขาก็ระเบิดกลืนดาราโดยตรง


แรงดึงดูดขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้น เหล่าอันธพาลถูกสนามพลังของฉินเฟิงควบคุมเอาไว้โดยสิ้นเชิง ร่างกายทั้งหมดซวนเซอย่างมิอาจสั่งการ


เพียงไม่กี่วินาที แรงดึงดูดก็หายไป ทว่ากลับปรากฏแรงผลักดันมหาศาลขึ้นแทนที่อย่างกระทันหัน


“ปัง ปัง ปัง!”


“โอ๊ย!”


“อ๊าาาาา”


ฝูงชนกระเด็นไปคนละทิศละทาง กรีดร้องโหยหวน


แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็พบว่านั่นไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้น


-กำลังภายในที่พวกเขามักเอามาใช้โอ้อวดเป็นประจำ ที่มาจากการฝึกอย่างเกียจคร้าน ปัจจุบันทั้งหมดได้หายไป นี่เปรียบดั่งการให้พวกเขาต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง กลับไปใช้เวลาอีกหลายปีอย่างเหนื่อยยาก ถึงจะสามารถมายืนอยู่ในจุดเดิม


“บิดาจะฆ่าแก!”


อันธพาลคนหนึ่งผุดลุกจากพื้น ชักมืดขึ้นมาในมือ เดินโซซัดโซเซ หมายจะเข้าไปแทงฉินเฟิง


ฉินเฟิงขยับเบี่ยงตัวเพียงก้าวเดียวก็หลบพ้น และในวินาทีต่อมา ก็สับฝ่ามือลงตรงข้อมือของอีกฝ่าย


เป๊าะ!


บังเกิดเสียงกระดูกแตกลั่นดังฟังชัด


เคร้ง


มีดร่วงลงกับพื้น อันธพาลส่งเสียงโหยหวนฟังดูน่าสังเวช


“ยังไงต่อ? ตอนนี้แกยังอยากจะฆ่าฉันอีกรึเปล่า?” ฉินเฟิงเยาะหยัน ผลักมือเบาๆใส่อันธพาล ให้หน้ามันฟาดลงไปจูบกับพื้นเหมือนที่เคยขู่เขา


“ไม่ ไม่กล้าแล้วพี่ชาย ฉันผิดเอง ฉันผิดเอง!”


ในที่สุดพวกอันธพาลก็หวาดกลัว ความโกรธภายในจิตใจถูกทำลายหายไปสิ้นภายใต้การโจมตีที่รุนแรงของฉินเฟิง


“พวกแกมักจะหาเหยื่ออยู่บริเวณนี้ใช่ไหม? งั้นคงรู้จักแถบนี้เป็นอย่างดีน่ะสิ ช่วยนำทางฉันไปเวทีประลองใต้ดินหน่อย … จะได้ไหม?”


แม้ฉินเฟิงจะอาศัยอยู่ในชุมชนทางตอนเหนือจนกระทั่งเขาอายุได้ 16 ปี แต่มันก็มีบางสถานที่เหมือนกันที่เขาไม่กล้าเข้ามา อย่างเช่นสลัมแห่งนี้


แม้จะค้นหาตำแหน่งคร่าวๆไว้ล่วงหน้า แต่พอมาถึง เจ้าตัวก็พบว่าถนนมันช่างซับซ้อน ตอนนี้เขาเลยเลือกที่จะหาคนนำทาง


“ขอรับ พี่ชาย ผมจะนำทางไปเอง”


ชายคนนั้นกล่าวอย่างรีบร้อน และเริ่มนำทางไป ส่วนอันธพาลคนอื่นๆก็กระจัดกระจาย ไม่กล้าเข้าใก้ลฉินเฟิงอีกเลย


ไม่นานนัก อันธพาลก็พาฉินเฟิงมาถึงเบื้องหน้าประตูสีทองงดงาม สีทองที่สลักสลับไปกับหยกเขียว


ตรงทางเข้าเจิดจ้า อลังการไปด้วยแสงสี และมีรถหรูมากมายจอดอยู่ในลานจอดรถ


ตรงหน้าทางเข้า มีอักษรสีทองไม่กี่ตัวขีดเขียนเอาไว้ว่า – คลับอินทรี


คลับอินทรี ไม่เพียงแต่เป็นผู้จัดเวทีประลองใต้ดิน แต่ยังรวมไปถึงการพนัน , อาบอบนวด , สิ่งบันเทิงต่างๆ หรืออาจจะเรียกได้เลยว่ามันเป็นถ้ำทองคำของสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ!


ยามหน้าประตูแปะโลโก้ G9 บนหน้าอก หนึ่งคนเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ อีกคนถืออาวุธจักรกล เห็นได้ชัดว่าเป็นมือปืน


Ch.58 – เดิมพันการประลอง

Translator : Muntra / Author


 


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.58 – เดิมพันการประลอง


กระทั่งที่คอยเฝ้าประตูยังแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ แล้วคนภายในเวทีประลองใต้ดินล่ะ? จะแข็งแกร่งมากถึงขนาดไหน


ไม่เพียงเท่านั้น แต่ฉินเฟิงยังรู้อีกด้วย ว่าคนที่เป็นเจ้าของคลับอินทรีกึ่งทางการนี้ คือรองผู้ว่าการหลินเซิง


“มิสเตอร์ ยินดีต้อนรับสู่คลับอินทรี!”


ยามสองคนที่คอยคุ้มกันประตูไม่ได้ขยับ แต่เป็นสองสาวต้อนรับที่หน้าตาหมดจดงดงามเอ่ยปาก เมื่อเห็นถึงฉิน ทั้งคู่ก็ก้าวออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่นทันที


ฉินเฟิงในเวลานี้สวมใส่เสื้อผ้าคุณภาพสูง หมดทั้งตัวเขาอย่างน้อยก็4000 – 5000 เหรียญ โดยเฉพาะอุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือ ที่มีมูลค่าสูงถึง 100,000 เหรียญ!


ไม่ว่าจะมองยังไง เขาก็เหมือนลูกของเศรษฐีท้องถิ่น!


ฉินเฟิงพยักหน้า โยนม้วนธนบัตรให้กับสาวต้อนรับคนหนึ่งโดยตรง


“ช่วยพาฉันไปยังเวทีประลองใต้ดินที”


สาวต้อนรับคนนั้นกรีดนิ้วคำนวณความหนาของม้วนธนบัตร เธออดไม่ได้ที่จะมองฉินเฟิงด้วยแววตาลุกวาว


“เจ้าค่ะ เสี่ยวเหลียนจะเป็นคนพานายน้อยไปเอง” สาวต้อนรับที่เรียกว่าเสี่ยวเหลียนเดินบิดเอวนำหน้าฉินเฟิง บนใบหน้าของเธอปรากฏความภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด สายตาเหลือบมองไปทางอีกคนหนึ่ง


สาวต้อนรับอีกคน เมื่อเห็นว่าตนไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ก็เบนความสนใจไปรอคอยหาเหยื่อทองคำคนอื่น แต่ก็ยังไม่วายโบกมือให้เสี่ยวเหลียนเล็กน้อย แสดงความยินดีว่าเธอโชคดีแล้วที่เจอนายน้อยยังหนุ่มแน่นแบบนี้ หากเทียบกับตาแก่คนอื่นๆที่มักจะมาเป็นประจำ


เสี่ยวเหลียนพาฉินเฟิงเข้าไปในลิฟต์ และกดปุ่มลงไปยังชั้นใต้ดิน


“ไม่ทราบว่าสกุลของนายน้อยคืออะไรหรือเจ้าคะ?”


“เรียกฉันว่าฉินก็พอ ไม่ต้องมากไปกว่านั้น”


ฉินเฟิงทำทีเคร่งขรึม วางตัวเหมือนพวกคนรวย


“ถ้าอย่างนั้นตระกูลของมิสเตอร์ฉินทำธุรกิจอะไร? หน้าตาของคุณยังดูเยาว์วัยอยู่เลย!”


เสี่ยวเหลียนพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะสนทนากับฉินเฟิง แต่ฉินเฟิงดูจะไม่สนใจเธอเลย


“เฮอะ หยุดถามเรื่องไร้สาระซักที บอกข้อมูลเกี่ยวกับเวทีประลองใต้ดินมาให้ฉันฟังดีกว่า” ฉินเฟิงเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา


เสี่ยวเหลียนสะดุ้งเล็กน้อย ในหัวใจเธอรู้สึกได้ว่าฉินเฟิงเหมือนจะไม่ต้องการให้เธอปรนนิบัติ


“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ มิสเตอร์ฉิน พวกเราจะได้เห็นกันว่าเวทีประลองใต้ดินเป็นอย่างไรในอีกไม่กี่นาทีจากนี้ ส่วนคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ในวันนี้ก็จะมี ไอ้หมีดำ , นักเชือด … ฯลฯ” พวกเขาทั้งหมดล้วนแข็งแกร่ง ทุกคนเป็นผู้ใช้พลังอันดับต้นๆในเลเวล G!” ขณะเสี่ยวเหลียนกำลังอธิบาย ลิฟต์ก็ได้หยุดลง เสียงโห่ร้องดังลอดประตูลิฟต์เข้ามา


“นายน้อยฉินเชิญทางนี้”


เสี่ยวเหลียนเดินนำหน้า ฉินเฟิงตามหลังเธอ ระหว่างทางเขาก็พยายามรับรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบไปพลางๆ


นี่คือพื้นที่ที่มีขนาดขนาดพอๆกับสนามกีฬาขนาดย่อม มันมีระดับความสูงอย่างน้อยสามชั้นตึก ใจกลางเป็นเวทีประลองมีความกว้างประมาณ 20 เมตร และถูกปกคลุมไปด้วยฝาครอบโปร่งใส


ฉินเฟิงอดไม่อดที่จะผงะตกใจ


แต่มันก็ชวนให้ต้องตกใจจริงๆ เพราะโดมโปร่งใสที่ครอบคลุมรอบเวทีอยู่นี้ เดิมมันมีเอาไว้ใช้ป้องกันสัตว์ร้ายไม่ให้เข้ามาโจมตีเมือง แต่ปัจจุบันพลังงานที่จำเป็นในการเปิดใช้งานมัน กลับสูญสิ้นไปเปล่าๆกับอะไรแบบนี้


รอบนอกของเวที มีบันไดทางลาดลงไป ตรงจุดนั้น เรียงรายไปด้วยที่นั่งมากมาย อย่างน้อยก็สามารถรองรับผู้ชมได้นับหมื่นคน


แต่ละส่วนของอาคารมีเสาขนาดใหญ่กว้างกว่าสามเมตร และเสาทั้งหมดติดตั้งจออิเล็กทรอนิกส์ห้อยลงมา เพื่อทำการถ่ายทอดสดเวทีประลอง


“มิสเตอร์ฉิน คุณโชคดีมากจริงๆ เพราะเวลานี้กำลังมีการต่อสู้ป้องกันตำแหน่งชนะติดต่อกันเป็นรอบที่ห้าของนักสู้ ‘เสือทรราช’ อยู่พอดี ซึ่งนี่นับว่าเป็นต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขา แต่ฝ่ายตรงข้ามของเขาคือ ‘จอมหักกระดูก’ เป็นคนที่แข็งแกร่งมาก เคยชนะติดต่อกันถึงแปดรอบมาแล้ว !” เสี่ยวเหลียนไม่เพียงอธิบาย แต่ยังบอกกล่าวฉินเฟิงถึงความพิเศษที่อยู่ตรงหน้า


“มิสเตอร์ฉิน คุณสามารถเปิดอุปกรณ์สื่อสารเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะของพวกเราได้ มันไม่เพียงถ่ายทอดสดการประลอง แต่ยังมีระบบเดิมพันสำหรับการประลองแต่ละรอบอีกด้วย! นอกจากนี้ ยังมีระบบให้รางวัล คุณสามารถมอบเงินรางวัลให้กับนักสู้บนเวทีที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าน่าประทับใจ!”


“เข้าใจแล้ว!”


ในชีวิตก่อน ฉินเฟิงไม่เคยรู้เกี่ยวกับกฏการประลองใต้ดินของเมืองเฉิงหยาง แต่เขาก็เคยได้ไปยังเวทีประลองใต้ดินของสถานที่อื่นๆมาบ้างเหมือนกัน


ทว่าเป็นในฐานะผู้ชม เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในเวลานั้น เขายังไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะลงสู่เวที


ฉินเฟิงเปิดอุปกรณ์สื่อสาร และเห็นอัตราส่วนของการเดิมพันระหว่างผู้ท้าชิงกับผู้ป้องกันตำแหน่ง อัตราส่วนเป็น 1 ต่อ 5 หรืออีกความหมายนึงก็คือ หากเสือทรราชชนะ วาง100 ก็จะได้ 500 , ส่วนทางจอมหักกระดูกอัตราเดิมพันเป็น 6 : 7 กล่าวคือหากคุณวาง 600 แล้วจอมหักกระดูกชนะ คุณก็จะได้ 700


ในแง่ของการเดิมพันครั้งนี้ มุมมองอย่างเป็นทางการ บ่งบอกชัดเจนว่าเสือทรราชกำลังเสียเปรียบ


แต่ยังไม่หมดเท่านี้ ยังมีโหมดสำหรับให้ผู้ชมมอบเงินรางวัลแก่นักสู้ในระหว่างประลองบนเวทีอีกด้วย ยิ่งการต่อสู้ดุเดือด ลุ้นระทึกมากเท่าไหร่ ผู้คนก็จะยิ่งตื่นเต้น และมีโอกาสที่จะได้รับเงินรางวัลระหว่างประลองผ่านเข้ามา


ในเวลานี้ นักสู้ทั้งสองคนได้ขึ้นเวทีแล้ว แต่ฉินเฟิงยังไม่ได้วางเดิมพัน เสี่ยวเหลียนเดิมต้องการจะเตือน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมันออกไป


“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี การต่อสู้อันน่าตื่นเต้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว โปรดส่งเสียงให้กำลังใจพวกเขากันหน่อยเร็ว~~~”


เสียงสเตอริโอรอบเวทีกังวานก้อง พิธีกรตะโกนแหกปากเสียงดัง และประกาศเริ่มต้นการประลอง


สายตาของฉินเฟิงจดจ้องไปบนเวที


ตอนนี้ มีสองคนที่ยืนอยู่บนเวทีประลอง เสือทรราชอยู่ในสภาพไม่ค่อยจะดีอย่างเห็นได้ชัด ตามร่างกายของเขาปรากฏรอยบาดแผลหลายแห่ง ใบหน้าฟกช้ำ ขณะที่อีกคนเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง และสภาพร่างกายที่สมบูรณ์พร้อม


การต่อสู้ในครั้งนี้ แทบจะไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทันทีที่เริ่มประลอง ไอ้คนที่เรียกกันว่าจอมหักกระดูก จะต้องระเบิดการโจมตีดุร้ายรุนแรงออกมา และไม่ช้าก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ เขี่ยไปให้พ้นทางได้


“จอมหักกระดูก! จอมหักกระดูก!”


“เสือทรราชอย่าเพิ่งถอดใจ! จงล้มจอมหักกระดูกให้บิดา!”


ในเวลานี้ ฉินเฟิงพบว่าบนอุปกรณ์สื่อสารของเขา เงินเดิมพันระหว่างสองนักสู้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


เสียงของพิธีกรดังขึ้นอีกครั้ง


【เจ้าของหมายเลข 721 ได้มอบเงินรางวัลให้แก่จอมหักกระดูกเป็นจำนวน 100,000 เหรียญ สำหรับการหักคอเสือทรราชโชว์ให้แก่เขา ฮะฮ่าฮ่าฮ่า! พวกเรามาตั้งตารอกันเถอะ! ว่าจอมหักกระดูกจะลงมือหักคออีกฝ่ายให้ออกมาอยู่ในสภาพไหนกัน!】


บนเวที จอมหักกระดูกพอได้ยินคำพูดของพิธีกร ย่อมเป็นธรรมดาที่จะปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม สาวเท้ายาวๆไปข้างหน้าทันใด


กร๊อบ!


หนึ่งแขนของเสือทรราชถูกหักอย่างแรงด้วยสองมือหนาเตอะของจอมหักกระดูก ท่อนแขนบิดงอเป็นรูปลักษณ์ที่ดูแปลกตา รอบเวทีเห็นกระทั่งกระดูกสีขาวเจาะทะลุกล้ามเนื้อหนังออกมาได้อย่างชัดเจน


“อ๊าาาาาา!”


เสือทรราชส่งเสียงกรีดร้องน่าเวทนา


อย่างไรก็ตาม ตรงกันข้าม ผู้ชมดันโห่ร้องตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม


“จอมหักกระดูก! จอมหักกระดูก!”


จอมหักกระดูกยิ้มโหดเหี้ยม โน้มตัวโฉบเข้าล็อคตัวศัตรู เริ่มการทารุณโหดร้ายอีกครั้ง!


กร๊อบ! เป๊าะ! แกร๊ก!!


หลังจากผ่านไปหลายกระบวนท่า พร้อมกับเสียงกระดูกลั่นเป็นทำนองที่แตกต่างกันออกไป แขนขาของเสือทรราชก็ถูกทำลายจนสิ้น


【เจ้าของหมายเลข 721 มอบเงินรางวัลให้แก่จอมหักกระดูกเป็นจำนวน 100,000 อีกครั้ง อ๊ะ เจ้าของหมายเลข 221 .. หมายเลข1032 ก็เหมือนกัน! โอ้สวรรค์ ดูเหมือนว่าหลายๆท่านจะชมชอบโชว์การแสดงในครั้งนี้ของจอมหักกระดูกกันมากเลยนะครับ!】


จอมหักกระดูกแทบจะครองเวทีไปแล้วโดยสิ้นเชิง เจ้าตัวยกสองมือขึ้นไปทางนอกเวที กวักมันไปมากระตุ้นความตื่นเต้นของฝูงชน


“ฉันยอมแพ้! ฉันยอมแพ้แล้ว!” เสือทรราชร้องด้วยความสิ้นหวัง ในแววตาฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว


“ขอยอมแพ้อย่างงั้นหรอ? ในเวทีประลองใต้ดินนี้ ไม่เคยอนุญาตให้ขอยอมแพ้!”


จอมหักกระดูกสาวเท้าตรงไปข้างหน้า เตรียมที่จะหักคอของปาหูในคราวเดียว


“โอ้—” เสียงเชียร์ในชั้นใต้ดินดังกระหึ่ม ร้องคำรามด้วยความตื่นเต้น ทั้งหูทั้งคอของพวกเขาแดงก่ำด้วยเลือดลมที่เดือดพล่าน


“กลับกลายเป็นว่ามันคือเวทีที่ใช้แสดงความโหดเหี้ยม ยิ่งกว่านั้นคู่ต่อสู้ที่พ่ายแพ้ก็ยังต้องถูกฆ่าอีก”


ฉินเฟิงยิ้มหยัน จ้องมองฉากเหล่านี้ด้วยความเย็นชา


แม้ว่าเขาจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความบ้าคลั่งของคนเหล่านี้ได้อยู่ดี


อาจเป็นเพราะคนเหล่านี้คือคนธรรมดา และพวกเขาไม่มีทางที่จะได้ออกจากสถานที่ชุมชน ดังนั้นพวกเขาเลยหาที่ระบายอารมณ์และความโหดร้ายในหัวใจของตัวเอง สุดท้ายก็มาจบลงที่นี่


ท่าทีของฉินเฟิง คล้ายกำลังแสดงออกถึงความมืดหม่น


เสียงพูดของฉินเฟิงมันเบาเกินไป ประกอบกับเสียงโห่ร้องของผู้ชมโดยรอบ เสี่ยวเหลียนเลยไม่ทันได้ยินคำพูดของเขา แต่เธอสัมผัสได้ ว่าในเวลานี้ฉินเฟิงมิได้ตื่นเต้นหรือแม้กระทั่งมีความสุข


“มิสเตอร์ฉิน ถ้าคุณไม่ชอบเสียงดัง ทางเราสามารถจัดหาห้องส่วนตัว เพื่อให้คุณเพลิดเพลินไปกับการประลองอย่างสงบได้”


ฉินเฟิงกล่าวเสียงเย็นชา “ไม่จำเป็นหรอก ฉันคิดว่าการประลองนี้น่าสนใจดี ฉันต้องการที่จะเข้าร่วมประลอง และขอสู้กับไอ้คนที่ชื่อว่าจอมหักกระดูกนั่น!!”


“ว่าไงนะ!?”


Ch.59 – เข้าสู่เวทีประลอง

Translator : Muntra / Author


 


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.59 – เข้าสู่เวทีประลอง


เสี่ยวเหลียนเบิกตากว้าง จ้องมองฉินเฟิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ


“มิสเตอร์ฉิน หยุดล้อเล่นอะไรแบบนี้เถอะ มันไม่ใช่เรื่องน่าตลกเลย บนเวทีน่ะ มันมีแต่พวกนอกกฏหมายทั้งนั้น!”


คนที่ปรารถนาจะเข้าร่วมประลอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาเป็นคนจน แต่ฉินเฟิงดูยังไงก็เป็นนายน้อยจากตระกูลร่ำรวย มีเงินทองมั่งคั่งสมบูรณ์ แล้วทำไมเขาถึงได้มีความคิดแบบนี้กัน?


“เธอไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้หรอก ขอแค่บอกวิธีพาฉันให้สามารถลงไปที่เวทีประลองได้ก็พอ!”


ฉินเฟิงหยิบม้วนธนบัตรออกมาอีกครั้ง และโยนมันให้แก่เสี่ยวเหลียน


เสี่ยวเหลียนก้มลงมองเงินจำนวนมาก เธอรู้สึกว่าไม่ควรที่จะขัดใจนายน้อยคนนี้ เจ้าตัวกัดฟันและกล่าว “ถ้าอย่างงั้นมิสเตอร์ฉิน โปรดมากับฉัน แต่ไม่รับประกันหรอกนะ ว่าคุณจะสามารถท้าทายกับจอมหักกระดูกได้!”


ฉินเฟิงตามหลังเสี่ยวเหลียน และถูกพามายังห้องลงทะเบียน


พนักงานที่นั่งอยู่หลังโต๊ะลงทะเบียนรู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อเขาเห็นฉินเฟิง เพราะยังไงซะ ฉินเฟิงก็ดูไม่เหมือนคนที่ขาดเงินแต่อย่างใด


“นายหนุ่มน้อย การขึ้นสู่เวทีประลองไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ทางเราเองก็มีกฏเกณฑ์ ตราบใดที่คุณเข้าร่วมแล้ว คุณจำเป็นต้องต่อสู้ให้ครบทั้งห้ารอบ หลังจากนั้นคุณถึงจะสามารถเลือกได้ว่าจะพักหรือไปต่อ และคุณสามารถเลือกต่อสู้ได้มากสุดถึง 35 รอบ! ส่วนในวันถัดไป ศัตรูแต่ละรอบที่ต้องเผชิญจะแข็งแกร่งขึ้น และมีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น คนอายุพอๆกับคุณที่มาลงเวทีประลอง ส่วนใหญ่แล้ว แทบจะไม่มีใครเลยที่ยืนอยู่ได้ถึงรอบที่ 3 !”


พนักงานลงทะเบียนกล่าว นี่ไม่ใช่แค่การอธิบาย หากแต่ยังเป็นการขู่ให้ฉินเฟิงทราบถึงความโหดร้ายที่ต้องเผชิญ เพื่อให้เขาตัดสินใจยอมถอดใจไป


ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างเฉยเมย ปากเอ่ยถาม “แล้วเรื่องเงินรางวัลล่ะ?”


ถึงแม้ว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งวรยุทธโบราณของตัวเอง แต่ถ้ามีเงินรางวัลเป็นของแถม มันก็ดีไม่ใช่หรอ?


เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงยังไม่ยอมถอย พนักงานก็ขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจชีวิตและความตายของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงรับเรื่องตรวจสอบข้อมูลของฉินเฟิง


‘เอาไว้ถ้าเจ้าหนุ่มนี่มาจากตระกูลผู้มีอำนาจ ก็ค่อยบอกคู่ต่อสู้ให้ยั้งมือ ไว้ชีวิตเขาก็ได้’


“ตราบใดที่คุณชนะรอบแรก จะได้รับเงินรางวัล 10,000 เหรียญ , ชนะรอบที่สองได้รับ 50,000 เหรียญ , รอบที่สาม 100,000 เหรียญ ,รอบที่สี่ 500,000 เหรียญ ส่วนรอบที่ห้า จะได้รับ 1,000,000 เหรียญ!”


อีกฝ่ายยอมคายตัวเลขออกมา หลังจากคำนวณแล้ว หากชนะติดต่อกันห้ารอบ ก็จะได้รับทั้งสิ้นเป็นเงิน 1.66 ล้าน


อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่กลับไม่สามารถรับเงินที่ว่านั่นได้


เนื่องจากเงินรางวัลเหล่านี้ จะมอบให้หลังจบรอบที่ห้าเท่านั้น ก็เหมือนกันกับนักสู้เสือทรราชนั่นแหละ ที่แม้เขาจะชนะสี่รอบแรกได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้รับเงิน 660,000 เหรียญ ในทางกลับกัน เขาตายซะก่อนที่จะได้รับเงินนั่น!


“นอกจากนี้ คุณยังสามารถได้รับเงิน 1 ใน 10 ส่วน จากรางวัลที่ผู้ชมมอบให้”


ฉินเฟิงพยักหน้าและเอ่ยถาม “งั้นเงินรางวัลหลังจากชนะติดต่อกัน 6 ครั้งล่ะ? เป็นจำนวนเท่าไหร่?”


ชายจากโต๊ะลงทะเบียนเกือบจะหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา


วันนี้จะรอดชีวิตไปได้รึเปล่ายังไม่รู้เลย แต่นี่เขาดันถามถึงการชนะติดต่อกัน 6 ครั้งซะแล้ว


“ทุกๆเกมหลังจากนั้น คุณจะได้รับเงินรางวัลเพิ่มขึ้นทีละ 1 ล้านเหรียญ นั่นคือชนะรอบที่ 6 ได้รับ 2,000,000 เหรียญ รอบที่ 7 ได้ 3,000,000 รอบที่ 8 ได้ 4,000,000 แล้วหากคุณสามารถชนะต่อเนื่องได้ครบ 35 รอบ ถึงเวลานั้น การจะมีเงิน 100 ล้าน ก็ไม่ใช่ปัญหา!”


แน่นอนว่านี่คือการพูดแดกดัน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการป้อนก้อนเค้กชิ้นใหญ่ล่อลวงฉินเฟิง เพราะหากเขาเป็นแค่คนหนุ่มสาวทั่วไป เขาจะต้องตื่นตาตื่นใจกับเรื่องนี้ และจมอยู่กับห้วงฝันที่ตนถักทอขึ้น


ต้องรู้นะว่า เงินเกือบ100 ล้าน มันเป็นจำนวนที่แทบจะไม่อาจจินตนาการได้!


“ไม่เลวนี่”


ฉินเฟิงพยักหน้า ด้วยรางวัลมากขนาดนี้ มันเพียงพอแล้วที่จะให้เขายอมรับความเสี่ยง!


ฉินเฟิงถอดอุปกรณ์สื่อสาร และดึงข้อมูลของเขาออกมา


“ช่วยลงทะเบียนให้ฉันด้วย!”


คนจากโต๊ะลงทะเบียน เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงยังดื้อดึงอยากจะตาย เขาก็ไม่คิดห้ามปรามใดๆอีก แต่หลังจากตรวจสอบข้อมูลของฉินเฟิง สีหน้าของคนจากโต๊ะลงทะเบียนก็แปรเปลี่ยนไป


“คุณเป็นเด็กกำพร้า? แถมยังเพิ่งฉีดยากระตุ้นพลังไปเมื่อเดือนที่แล้ว!?”


“ใช่”


เสี่ยวเหลียนสะดุ้งตกใจ เมื่อได้ยินคำตอบของฉินเฟิง เธอไม่คาดคิดเลย ว่าบุคคลๆนี้จะอายุน้อยกว่าตัวเองถึงสามปี


แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าและอุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิง เสี่ยวเหลียนก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง


บางที อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะออกไปหาเงินจากในทุ่งล่า พอกลับมาก็ถลุงอย่างฟุ่มเฟือย สุดท้ายถูกดึงดูดเข้ามายังเวทีประลองใต้ดิน


มีผู้คนมากมายที่เป็นเช่นนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว คลับอินทรีต้องการขยายธุรกิจของพวกเขา และมักโฆษณาเกินจริงประมาณว่า : ไม่ว่าใครก็สามารถร่ำรวยได้ในชั่วข้ามคืนจากสนามประลองใต้ดิน


มีหลายคนที่ถูกล่อลวงมา และนำพาไปสู่ความตาย


นี่คือสิ่งที่พนักงานโต๊ะลงทะเบียนคิด


“ดูเหมือนคุณจะมีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากทีเดียว โอเค! ฉันจะลงทะเบียนให้ คุณต้องการใช้ฉายาว่าอะไร?”


ฉายาที่ว่า ก็เหมือนกับพวกนักสู้ก่อนหน้านี้ : เสือทรราช , จอมหักกระดูก ฯลฯ


ฉินเฟิงพาลนึกไปถึงจิ้งจอกตัวน้อยที่ยังหลับปุ๋ยอยู่ที่บ้าน เอ่ยขึ้นทันใด “เรียกฉันว่าจิ้งจอกคลั่ง!”



【นักสู้คนต่อไปของเรา มีชื่อว่า ‘จิ้งจอกคลั่ง’ และเขาเพิ่งอายุ 16 ปีเท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ่า! ใช่แล้ว ทุกท่านได้ยินไม่ผิดจริงๆ เขาคือวัยรุ่นที่เพิ่งได้รับการฉีดยากระตุ้นเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วนี่เอง! สำหรับคู่ต่อสู้ของเขา ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่ก็เป็นพวกที่สามารถลงมือทรมานอย่างโหดร้ายให้ดูชมกันได้!】


ผู้ชมนอกเวทีพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


ก็ถ้าสนามประลองใต้ดินไม่โหดร้าย แล้วยังจะมีใครอีกที่สามารถเรียกได้ว่าโหดร้าย?


【คู่ต่อสู้ของเขาคือ ไอ้มืดคลั่ง!】


โปรไฟล์ของไอ้มืดคลั่งปรากฏสู่สายตาของผู้ชมทันที ความแข็งแกร่งของไอ้มืดคลั่งนั้นไม่เลวเลย แม้ว่าจะไม่มีการประเมินจัดอันดับแบบมืออาชีพ แต่ในวิดีโอที่แสดงต่อหน้าผู้ชม หมัดที่ไอ้มืดคลั่งซัดออกไป พลังโจมตีของมันรุนแรงพุ่งไปสูงถึง 1,000 !


หรือกล่าวอีกความหมายนึงก็คือ ความแข็งแกร่งของไอ้มืดคลั่งอยู่ในเลเวล G2


ไอ้มืดคลั่งคืออันธพาลที่ถูกชุบเลี้ยงโดยคลับอินทรี อันธพาลเหล่านี้มักจะมีโอกาสได้ขึ้นไปบนเวที หากชนะก็ได้รับ 10,000 โดยตรง แต่พวกเขามักจะมีลูกเล่นตุกติกมากมาย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งของไอ้มืดคลั่งไม่ได้สูงมากมายนัก


อย่างไรก็ตาม ประวัติของไอ้มืดคลั่งก็ไม่เลวเลย ในฐานะผู้ท้าชิง มันต่อสู้ไปแล้วมากกว่า 11 ครั้ง แต่พ่ายแพ้เพียง 3 เท่านั้น


“แบบนี้ยังต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับการต่อสู้ในครั้งนี้อีกหรอ ฉันมั่นใจเลย ว่ายังไงไอ้มืดคลั่งก็จะชนะ!”


“เอาเลยไอ้มืดคลั่ง แสดงให้บิดาได้เห็นวิธีการทรมานคู่ต่อสู้ของแกซะ!”


“ฉันเดิมพันว่าไอ้มืดคลั่งจะชนะ!”


อัตราต่อรองของฉินเฟิงคือ 1 : 1.3


อัตราต่อรองของไอ้มืดคลั่ง อยู่ที่ 3 : 4


เดิมพันฉินเฟิง100 ถ้าชนะได้ 130 ส่วนไอ้มืดคลั่ง เดิมพัน300 หากชนะได้รับเพิ่มไปอีก 100 สำหรับการต่อสู้รอบแรก อัตราต่อรองจะไม่สูงมากนัก ไม่ว่าใครจะชนะ ทางบ่อนก็สามารถทำเงินได้


ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่ค่อยมีนักพนันรุ่นเก๋าเลือกที่จะเดิมพัน


ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้รอบแรกก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเฝ้ารอ เพื่อรับชมรอบต่อไป!


【นักสู้ทั้งสองคนต่างก็มีคำว่า ‘คลั่ง’ อยู่ในชื่อของพวกเขา งั้นเรามาดูกันเถอะครับ ว่าไอ้คลั่งทั้งสอง จะแสดงโชว์อะไรให้พวกเราได้รับชม!】


แก๊ง แก๊ง แก๊ง!


เสียงระฆังดังขึ้น โล่พลังงานผุดคลุมรอบเวที ฉินเฟิงและไอ้มืดคลั่งยืนเผชิญหน้ากัน


ทั้งคู่สวมกางเกงขาสั้น และรองเท้าต่อสู้ เปิดเผยสัดส่วนร่างกายท่อนบนของพวกเขา


ไอ้มืดคลั่งสูงกว่า 1.9 เมตร มีผิวเข้มคล้ำ กล้ามเนื้อนูน เต็มไปด้วยพลัง


ตรงกันข้าม สีผิวของฉินเฟิงกลับขาวราวข้าวสาลี ดูมีสุขภาพที่ดี กล้ามเนื้อเป็นสัดส่วน สูงแค่178 ซม. ผอมเพรียวและยังหนุ่มแน่น


“ล้างคอรอไว้ได้เลยเจ้าหนู ฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!” ไอ้มืดคลั่งยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวๆที่ดูชัดเป็นพิเศษ “หลังจากฉีกแกแล้ว ฉันก็จะเอาเนื้อแกกลับบ้านไปย่างทำเป็นอาหาร! เพราะฉันอยากจะรู้มานานแล้ว ว่าไอ้ผิวที่ดูดีแบบนี้มันจะนุ่มและมีรสชาติยังไง!”


สีหน้าของฉินเฟิงหม่นทะมึนลง กลิ่นอายสังหารกระพริบไหวในดวงตา


ดูเหมือนว่า เขาจะไม่จำเป็นต้องมีความเมตตาใดๆในครั้งนี้


ไอ้มืดคลั่งเป็นฝ่ายชิงบุกโจมตีก่อน มันวาดกำปั้นที่เปี่ยมไปด้วยพลังราวกับเสือตะปบเหยื่อ


แน่นอน ว่าฉินเฟิงสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ในคราวเดียว แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยความแข็งแกร่งของตัวเองออกมาทั้งหมดในทันที ขณะเดียวกันก็ไม่คิดออมมือใดๆ


เปรี้ยง!


ฉินเฟิงฉวยโอกาสนี้ชกเข้าใส่เบ้าหน้าไอ้มืดคลั่ง ภายใต้แรงมหาศาล หัวของอีกฝ่ายสะบัดเอียงไปทางขวาอย่างแรง เลือดพุ่งกระฉุดออกจากปาก และหากสังเกตดีๆ จะพบว่ามีฟันขาวๆเมื่อครู่กระเด็นหลุดตามออกมาด้วย!


Ch.60 – ท้าทายจอมหักกระดูก

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.60 – ท้าทายจอมหักกระดูก


 


“เห? ไหนช่วยพูดอีกทีซิ อย่างแกน่ะหรอจะกินฉัน? ด้วยความสามารถแค่นี้เนี่ยนะ?”


 


ฉินเฟิงหวดไปอีกกำปั้น


 


เปรี้ยง!


 


ซัดเข้าไปอีกดอก!


 


เปรี้ยง! เปรี้ยง!!


 


ใบหน้าครึ่งซีกของไอ้มืดคลั่งถูกทุบตีจนบวมเป่ง


 


นอกเวที ผู้ชมชื่นชอบที่จะเห็นอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ต่างพากันโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น


 


【ว้าว! เจ้าของหมายเลข 182 ให้รางวัลจิ้งจอกคลั่งเป็นเงิน 100,000 เหรียญ! มาดูสิ่งที่สุภาพสตรีท่านนี้ต้องการจะสื่อผ่านทางผมกัน … ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าของหมายเลข 182 ฝากบอกมาว่า ให้จิ้งจองคลั่งหยุดสู้เถอะ เดี๋ยวเธอจะรับหนุ่มหล่ออย่างเขาไปเลี้ยงดูเอง!】


 


พอได้รับรางวัล ความนิยมและเสียงเชียร์ฝั่งฉินเฟิงก็เริ่มดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ไอ้มืดคลั่งกลับเงียบกริบ


 


ใบหน้าของไอ้มืดคลั่งถูกทุบตีจนฟกช้ำ มันโคตรจะอับอาย แหกปากคำรามใส่ฉินเฟิง


 


“ไอ้หนู ตายซะเถอะ!”


 


ไอ้มืดคลั่งยกเท้าขึ้น กวาดเตะเข้าใส่ฉินเฟิง


 


ทว่านี่มิใช่การกวาดเตะธรรมดาๆ ปรากฏปลายดาบขนาดเล็กผุดออกมารองเท้าของเขา หากฉินเฟิงไม่หลบเลี่ยงการเตะนี้ ปลายดาบจะเฉือนทะลุหน้าอกและหน้าท้องของตน นั่นหมายถึงความตายอย่างแน่นอน


 


รองเท้าประลองของฉินเฟิงเองก็ได้รับมาจากคลับอินทรี แต่อีกฝ่ายไม่ได้ใส่ลูกเล่นกลไกเช่นนี้ไว้ให้ ในขณะที่รองเท้าของไอ้มืดคลั่งเป็นรูปแบบเดียวกัน แต่มีการดัดแปลงเพิ่มฟังก์ชั่นเข้าไปอย่างเห็นได้ชัด


 


ชัดเจนว่านี่คือการเล่นตุกติก!


 


อย่างไรก็ตาม ในเวทีมวยใต้ดินมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความละอายใดๆ จะโกงหรือไม่ การคว้าชัยชนะเท่านั้นที่จะสามารถทำให้มีชีวิตรอด ในขณะที่ฝั่งผู้พ่ายแพ้มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะถึงแก่ความตาย!


 


ฉินเฟิงหัวเราะหยัน เกร็งฝ่ามือราวกับกรงเล็บอินทรี ฉกเข้าใส่น่องที่หวดเข้ามาของไอ้มืดคลั่ง และบีบมันอย่างแรง


 


เป๊าะ!


 


ฉินเฟิงหุบมือ หักทำลายกระดูกน่องของไอ้มืดคลั่งโดยตรง!


 


ก่อนที่ไอ้มืดคลั่งจะมีเวลาได้กรีดร้อง ฉินเฟิงที่กำลังกุมน่องอีกฝ่ายอยู่ก็ดันทั้งขาของไอ้มืดยกสูงขึ้น เนื่องจากกระดูกได้หักลงไปแล้ว ทำให้มันสามารถโค้งงอได้อย่างไม่น่าเชื่อ ปลายดาบแหลมที่ซ่อนไว้ในรองเท้าม้วนตลบ มุ่งตรงเข้าใส่หน้าผากของไอ้มืดคลั่งโดยตรง


 


ปุ!


 


คมแหลมเจาะเข้าไปในกะโหลก ดวงตาของไอ้มืดคลั่งกลอกขึ้นบน พลังในการต่อสู้ดิ้นรนสลายไป


 


โครม!


 


ด้วยการจิ้มเพียงนิ้วเดียวเบาๆของฉินเฟิง ไอ้มืดคลั่งก็ร่วงลงกับพื้น


 


เลือดพุ่งทะลักออกมา ย้อมทั้งหน้าและดวงตาของไอ้มืดคลั่งจนเป็นสีแดงฉาน


 


ช่วงเวลานี้ ทั่วบริเวณดูจะไร้ซึ่งสรรพเสียงไปครู่หนึ่ง พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งหน้าจอขนาดใหญ่เปลี่ยนไป เป็นใบหน้าที่ตายไปแล้วของไอ้มืดคลั่ง พวกเขาจึงค่อยตอบสนอง


 


วินาทีต่อมา


 


เฮ!!!!!


 


-เสียงโห่ร้องราวกับฟ้าผ่าดังก้องไปทั่วบริเวณ


 


หากเป็นในการประลองอื่น รอบที่มีคนตายจะมีผู้ชมบางกลุ่มรู้สึกหวาดกลัว แต่ตอนนี้ ในการประลองเบื้องหน้า ทุกคนกลับรู้สึกได้เพียงความตื่นเต้นเท่านั้น!


 


กลิ่นอายแห่งความตายยิ่งทำให้พวกเขาส่งเสียงโห่ร้อง ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงก็ยิ่งได้รับเงินรางวัลมากขึ้น


 


แก๊ง แก๊ง แก๊ง!


 


เสียงระฆังกังวาน ผู้ตัดสินประกาศชัยชนะของฉินเฟิง


 


เสียงของพิธีกรดังตามขึ้นมาติดๆ


 


【ขอแสดงความยินดีกับจิ้งจอกคลั่ง! ความแข็งแกร่งของเขาช่างน่าประทับใจ แต่เกรงว่าไอ้มืดคลั่งคงจะประมาทเกินไป เพราะในการต่อสู้ครั้งนี้ จิ้งจอกคลั่งเห็นได้ชัดว่าเก่งกาจในด้านความว่องไว เขาสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีอันดุดันของไอ้มืดคลั่ง และสวนกลับอย่างกระทันหัน จนสามารถคว้าชัยชนะเอาไว้ได้!】


 


คำพูดของพิธีกรหว่านล้อมให้เซลล์สมองของฝูงชนคิดไปอีกทางหนึ่ง ในความเป็นจริง ฉินเฟิงว่องไวมากนั่นก็ใช่ แต่พละกำลังเขาก็มิได้อ่อนแอเลย ไม่อย่างนั้นจะทำลายขาของไอ้มืดคลั่งได้ยังไง?


 


พิธีกรเสริมสั้นๆ จงใจกล่าวเน้นไปที่จุดอ่อน กลบจุดแข็งของฉินเฟิง เพื่อให้ผู้ชมตัดสินใจเดิมพันผิดพลาด ทางคลับอินทรีจะได้สามารถทำเงินได้มากกว่าเดิม


 


แล้วก็มีคนหลงกลจริงๆ หลายคนรู้สึกว่าพิธีกรพูดได้ถูกต้อง รูปร่างของฉินเฟิงเองก็ผอมเพรียว เลยมีความยืดหยุ่นปราดเปรียวเป็นธรรมดา ดังนั้นการที่เขาสามารถคว้าชัยชนะมาได้จึงไม่น่าแปลกใจ


 


“รู้อย่างงี้ฉันน่าจะพนันฝั่งจิ้งจอกคลั่ง”


 


“ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งอารมณ์เสียไป พวกเรามาดูกันอีกที ว่าคราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งรึเปล่า!”


 


“ไม่หรอกมั้ง คู่ประลองรอบสองไม่น่าจะแข็งแกร่งเกินไป”


 


แล้วก็เป็นอย่างที่ผู้ชมคาดกันไว้ ข้อมูลการต่อสู้ของผู้ท้าประลองคนที่สอง ไม่ได้อ่อนแอหรือแข็งแกร่งไปกว่าไอ้มืดคลั่ง ฉินเฟิงสามารถโค่นอีกฝ่ายลงได้ แม้จะไม่สังหาร แต่กำลังภายในก็ถูกดูดซับมาโดยฉินเฟิง ซึ่งนั่นไม่แตกต่างจากการทำให้ศัตรูกลายเป็นคนพิการทั้งเป็น


 


ในรอบที่สาม และสี่ ฉินเฟิงก็สามารถเอาชนะมาได้ การต่อสู้ดำเนินไปไม่นาน แต่ละครั้งไม่เกินสิบนาที


 


ความนิยมของฉินเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เงินเดิมพันของเขาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้ อะไรๆมันก็ดูเหมือนว่าจะง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ


 


ฝูงชนต่างอดไม่ได้ที่จะมั่นใจในตัวเขา ดูเหมือนว่าฉินเฟิงจะสามารถชนะห้าครั้งรวดติดต่อกันได้แน่นอนแล้วในวันนี้


 


ณ พื้นที่หลังเวที ในส่วนของห้องทำงานที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ชายหนุ่มอายุราวๆ 27 – 28 ปีกำลังชิมไวน์เลิศรส และมีหญิงสาวที่แต่งกายเปิดเผยเนื้อหนังอยู่ในอ้อมแขน อีกฝ่ายกำลังป้อนองุ่นแบบปากต่อปากให้แก่เขาอย่างตั้งใจ


 


ชายหนุ่มคนนี้ คือผู้จัดการทั่วไปคนปัจจุบัน และยังเป็นผู้รับผิดชอบดูแลคลับอินทรี : เจียงเส้าหยาง


 


ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในเลเวล F7 ซึ่งสำหรับชุมชนทางตอนเหนือ อาจกล่าวได้ว่าเขาคือหนึ่งในตัวตนที่ทรงพลังที่สุดเช่นกัน


 


“เจ้าเด็กนี่ไม่เลวเลย ช่วยทำเงินให้มากทีเดียว เก็บมันไว้สักวันก็แล้วกัน พวกแกส่งคนแข็งแกร่งออกไปสักคนสิ ให้มันโค่นเจ้าเด็กนั่นลง แต่ย้ำว่าออมมือไว้อย่าให้ถึงตาย”


 


พิธีกรและผู้ตัดสินได้ยินคำพูดของเจียงเส้าหยางผ่านทางหูฟัง ก็ย่อมเห็นด้วยเป็นธรรมดา


 


อันที่จริง นี่ก็เป็นเรื่องที่สมควรทำเหมือนกัน เพราะการชนะติดต่อกันห้าครั้งรวด จะทำให้ผู้คนเสียความตื่นเต้นไป


 


ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกที่ราวกับว่า ‘เกือบ’จะสามารถปีนป่ายขึ้นมาจากจุดต่ำสุดได้ ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนชอบที่จะรับชม


 


อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่จัดสรรนักสู้แข็งแกร่งลงไปประลอง นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการสูญเสียเงินรางวัลจำนวนมากให้แก่ฉินเฟิง


 


อีกอย่าง นักสู้ที่ทรงพลังจะทำให้ผู้คนจำนวนมากอยากเดิมพันกับผู้ท้าชิง ในขณะที่บางคนก็ชื่นชอบที่จะเสี่ยงฝ่าดงระเบิด เลือกเดิมพันฝ่ายผู้รักษาสถิติชนะต่อเนื่อง


 


ซึ่งเสือทรราชก่อนหน้านี้เป็นตัวอย่างที่ดี


 


แต่ในจังหวะนั้นเอง ฉินเฟิงกลับยกมือขึ้น ส่งสัญญาณไปทางผู้ตัดสินว่าเขามีอะไรบางอย่างจะพูด


 


“ว่าไง คุณต้องการอะไร?” ผู้ตัดสินมีหน้าที่รับผิดชอบในการสื่อสารกับนักสู้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถาม


 


“ฉันต้องการท้าประลอง! ขอเลือกท้าทายจอมหักกระดูกที่เพิ่งขึ้นมาบนเวทีก่อนหน้านี้!” ฉินเฟิงกล่าว


 


ผู้ตัดสินชะงักไป แต่ก็พยักหน้าในเวลาต่อมา “ฉันเข้าใจแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้จะอนุมัติหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเบื้องบน”


 


“ตกลง!”


 


ฉินเฟิงรับคำ เขาเดินกลับไปนั่งลงพักผ่อน แต่ที่จริงมันก็ไม่มีอะไรที่ต้องพัก


 


ชนะมาได้ 4 คน นักสู้ทั้งสี่ยังเป็นแค่เลเวลไม่เกิน G4 ขณะที่จอมหักกระดูก มีเลเวลอยู่เกือบ G6!


 


ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังภายในที่ดี ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจเลือกที่จะเป็นเป้าหมายในการดูดกลืน!


 



 


ในพื้นที่หลังเวที เจียงเส้าหยางที่แต่เดิมกำลังยิ้มกริ่ม สีหน้ากลายเป็นเย็นชาลง


 


เพราะเขาไม่ชอบอะไรที่มันอยู่นอกเหนือการควบคุม เขาไม่ชอบให้คนที่ต่ำกว่ามาตัดสินใจเองโดยพลการ!


 


เห็นได้ชัดว่าคำขอของฉินเฟิง ไปกระตุกเส้นประสาทของเจียงเส้าหยาง กระตุ้นคนที่เหนือยิ่งกว่า!


 


“ในเมื่อมันไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ก็จัดให้ตามที่มันต้องการ แต่อย่าลืมเพิ่มอัตราต่อรองของมัน เพื่อสร้างแรงดลใจให้ผู้ชมเดิมพัน!”


 


….


 


ห้านาทีต่อมา เสียงของพิธีกรก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


【ว้าวววว! ผมเพิ่งได้รับข้อความมา ว่าจิ้งจอกคลั่งได้ร้องขอให้นักสู้คนสุดท้ายที่ท้าทายเขาเป็นจอมหักกระดูก นี่มันเป็นข่าวที่คาดไม่ถึงจริงๆ ผมไม่รู้หรอกนะว่าอะไรทำให้จิ้งจอกคลั่งมั่นใจที่จะเลือกสู้กับดารานักฆ่าคนนี้ หรือว่าเขาไม่ทันได้เห็นกันว่านักสู้เสือทรราชในการประลองก่อนหน้า ก็เพิ่งถูกหักกระดูกทั้งตัวไปโดยจอมหักกระดูก?】


 


ผู้ชมรอบเวทีประลองระเบิดเสียงหัวเราะออกมา หลายคนเย้ยหยันและเริ่มสาปแช่งฉินเฟิง


 


“มันคลั่งสมชื่อจริงๆ ดันเลือกที่จะท้าทายจอมหักกระดูก!”


 


“ให้ตายเถอะ ไม่ต้องสงสัยเลย ฉันโคตรมั่นใจ แบบนี้จอมหักกระดูกต้องชนะอย่างแน่นอน!”


 


“ไอ้นี่คงสมองพิการไปแล้ว”


 


“คอยดูเถอะ ฉันอยากจะเห็นสภาพเจ้าเด็กนี่ถูกหักกระดูก และม้วนทั้งตัวเป็นลูกบอลกลมๆ”


 


ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้อง แต่ไม่มีใครเลยที่จะมองฉินเฟิงในแง่ดี


 


【เอาเถอะ นี่อาจเป็นเพราะจิ้งจอกคลั่งต้องการจะล้างแค้นให้กับเสือทรราชก็ได้? มันใช่การต่อสู้เพื่อแก้แค้นหรือไม่? เรามาดูอัตราเดิมพันระหว่างนักสู้ทั้งสองกันเถอะ!】


 


บนหน้าจอขนาดใหญ่ อัตราต่อรองระหว่างทั้งสองปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


อัตราต่อรองของฉินเฟิงนั้นสูงมาก มันคือ 1 : 8


 


ในขณะที่อีกฝ่าย กลับเป็นแค่ 5 : 6 เท่านั้น


 


คล้ายกับบ่งบอกชัดเจนถึงผลลัพธ์ของการต่อสู้


 


อย่างไรก็ตาม พิธีกรก็พยายามคุยโม้เรื่องของฉินเฟิง โดยคาดหวังว่าอาจจะมีผู้ชมจำนวนหนึ่งเลือกจะกระโจนลงมาเหยียบกับระเบิด


 


สำหรับพวกที่เลือกเดิมพันฝั่งข้างจอมหักกระดูก พวกเขาไม่มีทางได้กำไรกลับไปมากนัก นี่คือการกระตุ้นทางจิตวิทยา บีบบังคับทางอ้อมให้นักเดิมพันไม่เลือกหนทางนี้


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม