บัลลังก์พญาหงส์ 456-462

บทที่ 456 แรงกล้า

 

ใจของถาวจวินหลันมืดมน ที่จริงแล้วนางก็ไม่อยากพูดเรื่องเหล่านี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วจึงหัวเราะเยาะตนเองออกมา “เพคะ ไม่พูดแล้ว”


 


 


แต่ไม่พูดเรื่องเหล่านี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ผ่านไปครู่ใหญ่หลี่เย่ถึงถามเสียงเบา ทำลายความสงบ “หลายวันมานี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


ถาวจวินหลันตอบตามสัญชาตญาณ “ดีเพคะ จะไม่ดีได้อย่างไร? นอกจากไม่สามารถออกไปพบหน้าท่านได้แล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไร ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังตัดสินใจเรื่องทุกอย่างในจวน ใครจะกล้ายั่วโมโหข้าเล่า?”


 


 


หลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ่งนึกสงสารมากขึ้น แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว


 


 


ถาวจวินหลันก็พูดอีกครั้ง “ท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้า ขอให้รักษาตัวให้ดี หวังว่าเมื่อผ่านไปพวกเรายังจะพบหน้ากันได้อีก วันนี้ก็ช่างเถิด แต่ต่อจากนี้ไปไม่อาจกระทำเช่นนี้ได้อีก ท่านตรงเข้ามาเช่นนี้ หากบังเอิญพบคนติดเชื้อโรคระบาดแล้วจะทำอย่างไร? ตอนนี้คนในจวนต้องตั้งความหวังไว้ที่ท่านแล้ว”


 


 


นางรู้ว่าพูดเช่นนี้ต้องสร้างความกดดันให้กับหลี่เย่ แต่ถ้านางไม่พูดเช่นนี้ คืนวันพรุ่งนี้หลี่เย่คงจะมาหานางอีก จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? และเพื่อไม่ให้หลี่เย่มาอีก นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดเรื่องของหลิวซื่อ “คราวนี้ชายาเอกติดเชื้อได้อย่างไรก็น่าสงสัย กลัวว่าจะมีคนตั้งใจ ข้าเดาว่าเป็นฮองเฮา ท่านเองก็ต้องเตรียมใจไว้บ้าง”


 


 


หลี่เย่คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะคาดเดาได้แล้ว นอกจากความตื่นตะลึงแล้ว ก็ยังมีอาการว้าวุ่นใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงถอนหายใจ “ข้าเดาได้แล้ว”


 


 


เขาโมโหหลิวซื่อเป็นอันมาก ดังนั้นจึงพูดคำรุนแรง “หลังจากหลิวซื่อตายไป ไม่ต้องทำพิธียิ่งใหญ่ ยิ่งไม่อนุญาตให้เอาศพเข้ามาในสุสานตระกูล นางไม่คู่ควร”


 


 


“ท่านรู้ว่าหลิวซื่อยินยอมติดเชื้อเองอย่างนั้นหรือ?” ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ตื่นตกใจเล็กน้อย


 


 


ริมฝีปากของหลี่เย่ยกขึ้นเป็นแววเยาะเย้ย “ที่จริงแล้วนางยินยอมเอง” เขาเพียงแต่คิดว่าหลิวซื่อไม่ยอมตาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้หลิวซื่อจะยินยอมเอง


 


 


หลิวซื่อช่างกล้านัก! ชายาเอกตวนชินอ๋องที่กินบนเรือนขี้บนหลังคา! ฮองเฮาที่ช่างมากความสามารถ!


 


 


หลี่เย่รู้สึกว่าไฟแค้นที่สุมอกก่อนหน้านี้ได้พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง แผดเผาจนเขาแทบสูญสิ้นสติปัญญา


 


 


“นี่ก็ดึกแล้ว” ได้ยินเสียงฆ้องที่ดังอยู่มาจากถนนข้างนอก ถาวจวินหลันก็อดเตือนเสียงเบาไม่ได้ “ท่านควรไปพักผ่อนได้แล้ว”


 


 


“เจ้าเปิดหน้าต่าง ข้าจะมองเจ้าจากที่ไกลๆ” หลี่เย่กลับไม่ยอมจากไป ทว่าพูดขอร้องนางออกมา แล้วไม่รอให้ถาวจวินหลันเอ่ยปากปฏิเสธ ก็พูดอีกว่า “เจ้าวางใจเถิด ตอนนี้หมอคิดค้นวิธีการยับยั้งการแพร่กระจายของโรคระบาดได้แล้ว พบหน้ากันสักครั้งก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมาก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้เข้าไป เพียงแค่มองผ่านหน้าต่างเท่านั้น”


 


 


ไม่เห็นถาวจวินหลัน เขาก็ไม่พอใจ และไม่วางใจ


 


 


ถาวจวินหลันแต่เดิมนั้นไม่ยินยอม แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขาก็เริ่มเกิดอาการคล้อยตาม “จริงหรือเพคะ?”


 


 


“จริงซี” น้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นของหลี่เย่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ


 


 


ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เห็นด้วย ไม่เพียงแค่หลี่เย่ที่อยากเห็นนาง นางเองก็อยากเห็นหลี่เย่เช่นเดียวกัน


 


 


“ท่านถอยออกไปหน่อย ข้าจะเปิดหน้าต่างแล้ว” หลังจากพูดออกมาเบาๆ ถาวจวินหลันก็ดันหน้าต่างออกไป


 


 


หลี่เย่ยืนอยู่ข้างนอกห่างออกไปสามก้าวตามที่คาดเอาไว้ แล้วมองตรงไปข้างในหน้าต่าง


 


 


แสงไฟที่อยู่ในห้องทอดออกไปจากในหน้าต่าง ไปตกอยู่ที่ร่างของหลี่เย่พอดี ทำให้ถาวจวินหลันมองเห็นหลี่เย่ได้ทันที ใต้แสงจันทร์ หลี่เย่ที่สวมเสื้อผ้าสีเขียว แม้จะพูดว่าไม่ได้เรียบร้อย มีบางจุดที่เป็นรอยยับย่น แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อพลังอำนาจที่อยู่บนตัวของหลี่เย่ เขายืนยิ้มบางๆ อยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกเหมือนโผบินขึ้นสูง


 


 


ที่สำคัญก็คือลมค่อนข้างแรง เมื่อลมพัดขึ้นมาเสื้อผ้าของเขาก็ปลิวขึ้นมาเช่นเดียวกัน ถึงได้ทำให้คนเกิดความรู้สึกเลือนรางขึ้นมา


 


 


“เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน ทำไมท่านถึงได้ผอมลงมากขนาดนี้” มองดูเสื้อผ้าที่หลวมโคร่ง ถาวจวินหลันก็อดขมวดคิ้วเอ่ยกล่าวโทษออกมาไม่ได้ “ท่านจะต้องไม่ได้ทานข้าวให้ดีเป็นแน่”


 


 


หลี่เย่เหมือนเด็กที่ทำความผิด ยืนอยู่ตรงนั้นพลางยอมรับออกมาด้วยท่าทีใจฝ่อ “อืม” หยุดไปครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นอีกว่า “เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าจะกินลงได้อย่างไร? ถ้าไม่ได้รับผลกระทบอะไรสักนิด นั่นไม่ใช่ว่าไม่เห็นแก่หัวอกไปหน่อยหรืออย่างไร?”


 


 


ได้ยินหลี่เย่พูดอธิบายอย่างมีเหตุมีผล ถาวจวินหลันก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถลึงตามองเขาอย่างกล่าวโทษ “ใครบอกว่าไม่เห็นแก่หัวอกเพคะ? ท่านเป็นเช่นนี้พอเห็นแล้วจะให้ข้ารู้สึกดีได้อย่างไร? กว่าจะขุนให้มีเนื้อหนังได้เล็กน้อย ท่านกลับไม่รักษาเลยแม้แต่น้อย เสียแรงข้าไปเปล่าๆ หากท่านทำเพื่อข้า ก็จะต้องทานข้าวให้ดี ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงร่างกายแข็งแรงทุกอย่างถึงจะดีไม่ใช่หรือเพคะ?”


 


 


เมื่อถูกถาวจวินหลันตำหนิ หลี่เย่กลับยกริมฝีปากขึ้นมาแทน แฝงไปด้วยความขบขัน


 


 


ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ เพียงแค่ถลึงตามองเขาเท่านั้น


 


 


หลี่เย่ยังคงเงียบ ทั้งสองคนมองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ฟังเพียงเสียงร้องของแมลง มองเพียงแค่แสงจันทร์ที่สาดส่อง บรรยากาศสงบนิ่งไม่มีอย่างอื่นมาสอดแทรก


 


 


สุดท้ายแล้วก็เป็นถาวจวินหลันที่ตัดใจเอ่ยขึ้นมาก่อน “ดึกแล้ว ท่านควรกลับไปได้แล้ว”


 


 


หลี่เย่สมหวังตามใจปรารถนา ก็ถือว่าพอใจมากแล้ว จึงไม่ได้มีท่าทีบิดพลิ้วอะไรต่อไป ตอบรับออกมาอย่างสบายใจ “ได้”


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ พลางพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไปเถิด ข้าจะคอยดูท่านอยู่”


 


 


ก่อนที่หลี่เย่จะจากไปนั้น กลับมองถาวจวินหลันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้และหลังจากนี้ที่ไม่อาจพบกันได้นั้นจะเอากลับคืนมาในคราวนี้ทั้งหมด สุดท้ายแล้วเขาก็พูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง “เจ้าวางใจ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไปแน่”


 


 


“อืม” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความจริงจังของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็ยิ้มบางๆ เป็นการตอบกลับ พูดออกมาอย่างจริงจังเช่นกัน “ข้าไม่มีทางเป็นอะไรไปแน่ ท่านวางใจ” ทั้งสองคนกลับทำให้อีกฝ่ายวางใจอย่างไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน


 


 


แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจวางใจได้จริง แต่ก็มีเพียงแค่ตัวพวกเขาเองเท่านั้นที่รู้


 


 


มองดูแผ่นหลังของหลี่เย่ที่หายไปในความมืด ถาวจวินหลันก็ยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่างอย่างเศร้าโศกอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ปิดหน้าต่างลง


 


 


ที่จริงเมื่อครู่นี้นางอยากจะเอ่ยพูดรั้งหลี่เย่เอาไว้ ต่อให้ไม่อาจจำอะไรได้ ต่อให้จะต้องพูดคุยกันโดยที่อยู่ห่างไกล มองแค่เพียงอย่างเดียวนางก็รู้สึกพอใจและปลอดภัยแล้ว


 


 


แต่นางรู้ดีว่า นางไม่สามารถเอ่ยปากพูดเช่นนี้ได้ ถ้าพูดออกไปหลี่เย่ก็จะต้องอยู่ต่อ แล้วหลังจากนั้นเล่า? อีกอย่างหลี่เย่ในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะอยู่ในจวนแม้แต่น้อย


 


 


แต่การที่ได้พบหน้าหลี่เย่ในตอนนี้ ได้พูดคุยกับเขาอีกครู่ใหญ่ นางก็รู้สึกพอใจและแปลกประหลาดใจมากพอแล้ว


 


 


เวลาก็ดึกแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องหนังสือต่อไป ดับไฟแล้วกลับไปล้มตัวลงนอนบนเตียง


 


 


ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่า ตอนที่นางเพิ่งจะดับไฟห้องหนังสือนั้น หลี่เย่ก็ออกมาจากหลังต้นไม้ที่ใช้ซ่อนตัว มองไปยังหน้าต่างที่มืดสนิทนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ค่อยๆ แอบจากไป


 


 


หลี่เย่ไม่ได้ปีนกำแพงออกไป แต่กลับเดินออกไปทางประตูหน้าอย่างองอาจ สุดท้ายแล้วก็เดินออกไปจากประตูข้างที่แอบซ่อนอยู่ภายในจวน แล้วโยนถุงเงินให้ทหารองครักษ์ “เอาไปซื้อเนื้อและเหล้าให้บรรดาพี่น้องเถิด ดูแลจวนอ๋องให้ดี”


 


 


ทหารองครักษ์คนนั้นรับเงินเอาไว้ แต่กลับไม่ได้คล้อยตาม ทว่าพูดขอร้องเสียงเบาว่า “ท่านอ๋องอย่าได้มาอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่ว่าข้าน้อยกลัวจะได้รับอันตราย แต่เพราะ…”


 


 


หลี่เย่เหลือบตามองคนผู้นั้นทีหนึ่ง ฉับพลันคำพูดที่เหลืออยู่ของคนผู้นั้นก็ชะงักค้างอยู่ที่คอ แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้ใครลำบากใจ เพียงแค่พยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้ดี”


 


 


เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ไม่เพียงทหารองครักษ์คนนั้น แม้แต่คนอื่นที่ติดตามหลี่เย่เองก็ผ่อนลมหายใจไปเฮือกหนึ่ง แม้จะบอกว่าหมอหลวงคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อได้แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลชะงัดมิใช่หรือ? แค่ครั้งเดียวก็ยังพอทน แต่ถ้ามีอีกหลายครั้ง พวกเขาแม้แต่ความประหวั่นพรั่นพรึงก็ไม่อาจรับไหว


 


 


แน่นอนว่าหลี่เย่ต้องรู้เรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่วางแผนว่าจะมาให้วุ่นวายอีกจริงๆ แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ ครั้งที่สองที่สามก็จะไม่สมเหตุสมผล ถึงเวลานั้นไม่ต้องพูดว่าถาวจวินหลันไม่ยอมพบเขา แม้แต่คนที่อยู่ข้างกายก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดกล่อมเขาอย่างไร


 


 


บนรถม้าที่มุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลถาวนั้นหลี่เย่นั่งถือแก้วไฟใบหนึ่งอยู่ ใบหน้านั้นนิ่งสงบ หลิวซื่อ…เขาพบว่าตนเองจำไม่ได้แล้วว่าแท้จริงแล้วหลิวซื่อมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่กลับจำเรื่องที่หลิวซื่อทำได้ชัดเจน


 


 


หลี่เย่หัวเราะเสียงเย็นออกมา หรี่ตาลงพลางคิดว่า เสด็จพ่อหาชายาเอกคนนี้ให้เขา ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจนัก ประหนึ่งเป็นคนที่มาเพื่อนำหายนะมาให้เขาโดยเฉพาะ


 


 


เมื่อคิดดูแล้ว ที่เขาเก็บหลิวซื่อเอาไว้ก่อนหน้านี้ ช่างเป็นเรื่องที่โง่เง่าที่สุด เขาคิดว่าหลิวซื่อจะไม่คิดเรื่องโง่เง่าอีก แต่กลับหนักกว่าเดิม


 


 


หากเขาจัดการหลิวซื่อไปให้เร็วกว่านี้ เรื่องวันนี้จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?


 


 


หลิวซื่อ…ดวงตาของหลี่เย่ดับแสงลง ริมฝีปากเม้มแน่นเข้าหากัน คนในตระกูลหลิวเสพสุขมานานขนาดนั้น ดูท่าทางว่าจะถึงคราวรับผลกรรมสิ่งที่เคยทำมาแล้ว อีกอย่างดูท่าทางพวกเขานั้นสั่งสอนลูกสาวได้ไม่ดี


 


 


“โจวอี้” หลี่เย่เอ่ยเสียงเรียก


 


 


โจวอี้บังคับรถอยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินก็รีบส่งเสียงรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“พรุ่งนี้เจ้าไปที่บ้านตระกูลหลิวสักครั้ง” หลี่เย่สั่งอีกว่า “ไปบอกอาการของหลิวซื่อให้คนตระกูลหลิวฟัง ถามพวกเขาว่าหลังจากหลิวซื่อตายแล้ว พวกเขาคิดจะทำเช่นไร”


 


 


“ความหมายของท่านอ๋องคือ” อย่างไรโจวอี้ก็ปรนนิบัติหลี่เย่มานาน พอรู้นิสัยของหลี่เย่อยู่บ้าง รู้ว่านี่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักเป็นแน่


 


 


“ข้าไม่อยากเห็นคนตระกูลหลิวอยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไป” หลี่เย่หรี่ตาลง “ถ้าหากพวกเขารู้ตัว ข้าก็ยังให้เงินติดตัวไปไว้ได้ ถ้าไม่รู้…ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ไว้หน้าเลย”


 


 


แม้จะบอกว่าตระกูลหลิวไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังเป็นบ้านพ่อตาในนามอยู่ดี คงไม่ดีหากละเลยไป อีกทั้งหากคนในตระกูลหลิวถูกคนหาเรื่องว่าทำเรื่องไม่ควร เขาเองก็เบื่อจะไปจัดการเรื่องเหล่านั้น ไม่ว่าอย่างไรจากไปก็ดีกว่า เมื่อตาไม่เห็นใจก็ไม่วุ่นวาย


 


 


โจวอี้พยักหน้า “บ่าวเข้าใจแล้ว”


 


 


พอกลับไปถึงบ้านตระกูลถาวแล้ว หลี่เย่กลับบังเอิญพบถาวจิ้งผิง มองดูท่าทางเหมือนว่ารออยู่นานแล้ว


 


 


“จิ้งผิง” หลี่เย่พยักหน้า “ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีกหรือ?”


 


 


ถาวจิ้งผิงมองหลี่เย่นิ่ง “ท่านอ๋องไปที่จวนตวนชินอ๋องมาใช่หรือไม่? ข้าเองก็อยากพบท่านพี่บ้าง” หลายวันมานี้ถาวจิ้งผิงก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจแขวนอยู่บนเส้นด้าย อีกทั้งเขาเองก็ร้อนใจอยากพบถาวจวินหลันสักครั้ง


 


 


สถานการณ์ของถาวจวินหลันในตอนนี้ ถาวจิ้งผิงก็หวั่นใจมาโดยตลอด เขากลัวว่าจะไม่ได้พบถาวจวินหลันอีก แต่เพราะว่าคนอื่นยังอยู่ เขาเองก็ไม่กล้าแสดงออกมานัก และยิ่งไม่กล้าที่จะแสดงความคิดที่แรงกล้านี้ออกไป 

 

 


บทที่ 457 จะตายแล้ว

 

หลี่เย่ย่อมไม่อาจยอมรับได้ และยิ่งไม่กล้าตอบถาวจิ้งผิง หากเขากล้าพาถาวจิ้งผิงไป ถาวจวินหลันจะมีท่าทีเช่นใด ไม่ต้องคิดเขาก็พอรู้


 


 


ดังนั้นในตอนนั้นจึงพูดปล่อยผ่านไป เพียงแค่พูดว่า “ตอนนี้สถานการณ์ยังดีอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวล ทางด้านหมอเองก็กำลังเร่งคิดค้นเรื่องนี้อยู่”


 


 


ถาวจิ้งผิงแม้จะรู้ว่าหลี่เย่ไม่ยอม แต่ก็ไม่มีวิธีอื่น เพียงแค่เดินออกไปอย่างโมโหเล็กน้อย หลี่เย่เองก็ไม่สนใจ เพียงแค่ส่ายหัวเดินกลับไปยังห้องของตัวเองเพื่อเตรียมพักผ่อน


 


 


เพราะว่าได้เห็นหน้าแล้ว คืนนี้ถาวจวินหลันและหลี่เย่จึงได้หลับสนิทอย่างหาได้ยาก


 


 


แต่วันรุ่งขึ้น ถาวจวินหลันก็ได้ยินข่าวร้ายที่ชวนให้อารมณ์เสีย ภายในจวนมีคนออกอาการโรคระบาดขึ้นอีกสองคน และหลิวซื่อก็ใกล้จะตายแล้ว ก่อนหน้านี้ยังทานยาหรือของจำพวกอาหารเหลวได้บ้าง แต่ตอนนี้แม้แต่ยาก็ป้อนเข้าไปไม่ได้แล้ว


 


 


ตอนที่กำลังกินข้าวเช้าอยู่ ด้านนอกก็ส่งยาเม็ดเข้ามาจำนวนหนึ่ง บอกว่าหลังจากที่กินเข้าไปแล้วจะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคระบาด


 


 


เมื่อวานนี้ถาวจวินหลันได้พูดคุยกับหลี่เย่มาก่อน ก็รู้ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แม้จะบอกว่าไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรนัก แต่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก “พูดอย่างนี้ก็หมายความว่า มีทางช่วยประชาชนที่อยู่นอกเมืองแล้ว” หากสามารถลดความน่าจะเป็นของคนที่ติดเชื้อโรคระบาดได้ ถ้าเช่นนั้นการแพร่กระจายของเชื้อก็ย่อมยากขึ้น นี่ถือเป็นเรื่องดี


 


 


หงหลัวหัวเราะขมขื่นตอบกลับมาจากนอกประตู “ยานี้ใช้วัตถุดิบราคาแพง และไม่อาจผลิตออกมาจำนวนมากได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถให้ประชาชนธรรมดาทานได้เจ้าค่ะ คนในจวนของพวกเรามีมากขนาดนี้ ก็ยังส่งมาได้เพียงสองกล่องเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ไม่พอทานอย่างแน่นอน”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็อดถอนหายใจไม่ได้ มองดูยาเม็ดที่อยู่ในกล่อง ก็รู้สึกลำบากใจอย่างไม่มีเหตุผล คิดแล้วนางก็ถามหงหลัวว่า “แบ่งออกไปอย่างไรบ้าง?”


 


 


“นอกจากเจ้านายแล้ว ที่เหลือบ่าวก็คิดจะแบ่งให้กับบ่าวรับใช้และหญิงชราที่พอมีหน้ามีตาเหล่านั้นเจ้าค่ะ” หงหลัวตอบมา พลางถอนหายใจอีกครั้ง “แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังดูแลไม่ทั่วถึงอยู่ดีเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ คนที่ไม่เคยไปมาหาสู่กับชายาเอกหรือว่าคนที่ไม่ได้ปรนนิบัติชายาเอกไม่จำเป็นต้องใช้ยานี้ คนที่เกิดอาการโรคระบาดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทานเช่นเดียวกัน ที่สำคัญก็คือทางด้านเรือนของชายาเอก เรือนของพวกเราเองและทางด้านเรือนชิวอี๋”


 


 


หงหลัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าหากไม่ให้เลย ทางด้านอี๋เหนียงสองคนนั้น”


 


 


“พวกเขาถูกแยกห่างออกไปแล้ว โอกาสติดเชื้อย่อมมีน้อย แต่คนของพวกเราสามเรือนนี้กลับมีความเป็นไปได้สูง ถ้าจะเอาไปสิ้นเปลืองที่ด้านนั้น ก็ไม่สู้ว่าเอามาใช้ในสิ่งที่จำเป็นจะดีกว่า” ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าคำก่นด่าย่อมต้องมีอย่างแน่นอน แต่นางก็ยังตัดสินใจเช่นนี้ ไม่มีทาง คงไม่อาจมองคนตายไปต่อหน้าต่อตา


 


 


ดังนั้น แม้ว่าจะคำว่ากล่าวแต่นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคต ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้นางก็ไม่ได้ยิน


 


 


จำต้องพูดเลยว่า ยานี้เห็นผลได้ชัดอย่างมาก ไม่ต้องพูดว่าจะเกิดผลหรือไม่ พูดแค่ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศก็ถือว่าได้ผลดีอย่างถึงที่สุด บรรยากาศอึมครึมหมดอาลัยตายยากก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ก็สามารถมองเห็นรอยยิ้มได้เล็กน้อย ความรู้สึกหวาดกลัวหวาดหวั่นนั้นก็ถือว่าลดน้อยลงไปเสียหน่อย


 


 


ถาวจวินหลันเองก็ลอบถอนหายใจเบาๆ ที่จริงแล้วสองวันมานี้นอกจากติดเชื้อโรคระบาดแล้ว ก็ยังมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งรอความตายเช่นนี้ไม่ไหว ได้ฆ่าตัวตายไปก่อนแล้ว อีกอย่าง ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่มีอารมณ์ทำงาน เกิดขี้เกียจขึ้นมา ในตอนนี้เมื่อมียาชนิดนี้ กลับดีขึ้นมาในทันใดเลยทีเดียว


 


 


แต่ทางด้านเจียงอวี้เหลียนนั้นก็ยังทำให้คนปวดหัวอยู่ดี นี่เป็นยาเม็ดที่ช่วยป้องกันการระบาดชัดๆ แต่เมื่อเจียงอวี้เหลียนได้ยินแล้วนั้นกลับต้องการเอาไปกินบ้าง เหตุผลนั้นก็มีพร้อม ในเมื่อสามารถป้องกันได้ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องมีผลในการยับยั้งอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่แน่ว่าสามารถยืดเวลาไปได้อีกช่วงหนึ่ง


 


 


เจียงอวี้เหลียนนั้นกลัวตายจริงๆ


 


 


ถาวจวินหลันเข้าใจความรู้สึกนี้ จึงไม่อยากถกเถียง และแบ่งเป็นขวดเล็กๆ ให้คนนำไปให้ เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงได้เบาใจลงไปบ้าง ไม่ได้ก่อให้เกิดเรื่องอะไรอีก


 


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามีเรื่องมากเกินไป หลังจากทานอาหารกลางวันแล้วถาวจวิหลันก็รู้สึกไม่สบาย ปวดหัวเป็นอย่างมาก จึงพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับพบว่าอาการยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ใจก็กระตุกวูบ หรือว่า…


 


 


ถาวจวินหลันรู้สึกเสียงตัวเองสั่นเครืออยู่หลายส่วน “ไป ไปเชิญหมอหลวงสวีมาตรวจชีพจรให้ข้า”


 


 


พอสวมใส่เสื้อผ้า และจัดการหน้าตาเรียบร้อย ถาวจวินหลันก็นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสง่าเพื่อรอหมอหลวงสวีมา ในใจกลับสับสนวุ่นวาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้ข้อสรุป และก็เหมือนว่ามีคนกำลังพูดคุยกับนางอยู่ในหัว อื้อๆ อึงๆ ทำให้นางรำคาญเป็นอย่างมาก


 


 


ปี้เจียวมองดูถาวจวินหลันที่มีท่าทีเช่นนี้ ทันใดนั้นก็อดกำมือแน่นไม่ได้ แผ่นหลังเหนียวเหนอะหนะไปด้วยหยาดเหงื่อ


 


 


แค่พริบตาเดียวบรรยากาศในเรือนเฉินเซียงก็กดดันจนคนรู้สึกไม่สบายใจ


 


 


ตอนที่หมอหลวงสวีมาถึง และได้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศนี้ ในใจนั้นก็ดิ่งต่ำลงเช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ และยังคงก้าวเท้ายาวและเร็วเข้าไปในห้อง


 


 


ด้วยครั้งนี้ต้องจับชีพจร ดังนั้นจึงไม่ได้ตั้งฉากกั้น อีกอย่างหมอหลวงสวีก็กินยาแล้ว ยิ่งไม่จำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยง


 


 


หมอหลวงสวีสอบถามอาการ และจับชีพจรอีกครั้ง สุดท้ายแล้วก็พยักหน้าอย่างขมขื่น “เป็นโรคระบาดจริงขอรับ”


 


 


แม้ว่าจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่ถาวจวินหลันก็ยังคงรู้สึกหน้ามืดตามัว หากไม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เกรงว่านางคงจะยืนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว


 


 


หมอหลวงสวีไม่ได้พูดอะไรมาก อย่างไรตอนนี้ยังจะพูดอะไรได้อีก ไม่มีวิธี แม้แต่วิธีที่ได้ผลเขาเองก็ไม่มีเลย ถาวจวินหลันทำได้แค่เพียงให้สวรรค์ลิขิตแล้ว ยังจะพูดอะไรได้อีก?


 


 


ปี้เจียวก็นิ่งไปสักพักกว่าจะตั้งสติขึ้นมาได้ เม้าริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไรออกมา


 


 


“ช่างเถิด” ถาวจวินหลันเรียกเสียงของตัวเองกลับมา พยายามบังคับตัวเองให้สงบลง แม้กระทั่งพยายามฝืนหัวเราะออกมา “หมอหลวงสวีท่านกลับไปทำงานต่อเถิด”


 


 


หมอหลวงสวีอ้าปากค้าง สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย แล้วจากไปด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยาก


 


 


ถาวจวินหลันมองหมอหลวงสวีเดินออกจากประตูไป พลางนั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีแรงขึ้นมา แล้วถึงมองไปยังปี้เจียวทีหนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “ปิดเรื่องนี้เอาไว้”


 


 


ปี้เจียวตะลึงไป “จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ!”


 


 


ถาวจวินหลันส่ายหัวน้อยๆ “เรื่องนี้ไม่อาจให้ท่านอ๋องรู้ได้ และไม่อาจให้คนอื่นรู้ได้เช่นกัน มิเช่นนั้นคนภายในจวนก็จะมีจิตใจวุ่นวาย ถึงเวลาแล้วจะยิ่งยากไปกันใหญ่”


 


 


ที่ไม่ให้หลี่เย่รู้เรื่องนี้ จุดประสงค์หลักก็เป็นเพราะว่ากลัวหลี่เย่จะบุกเข้ามาในจวนอีกครั้ง หากไม่มีเรื่องที่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้หลี่เย่ได้บุกแอบเข้ามาหานางตอนกลางคืน นางเองคงไม่ถึงขั้นที่ต้องปิดบังทุกคนด้วยความเป็นกังวลในทุกเรื่อง


 


 


เมื่อคิดถึงเรื่องที่หลี่เย่แอบเข้ามาในจวนไม่กี่วันมานี้ ในใจของถาวจวินหลันก็กระตุกวูบ หลี่เย่คงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? วันนั้นแม้จะบอกว่าไม่ได้ห่างกันไกลมากนัก แต่ยังดีที่ไม่ได้ใกล้เกินไป…


 


 


แต่เมื่อคิดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ และกังวลเป็นอย่างมาก นางไม่มีเวลามานั่งเป็นกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของตนเอง อย่างน้อยก็ยังถือว่ามีอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจได้


 


 


และตอนที่ถาวจวินหลันรู้สึกไม่สบายใจอยู่เต็มไปหมดนั้น ทางด้านหลิวซื่อก็ส่งคนมาแจ้งข่าว บอกว่าหลิวซื่อฟื้นแล้ว อยากพบหน้าถาวจวินหลัน มีเรื่องอยากพูดคุยด้วย


 


 


ปี้เจียวกล่าวปฏิเสธโดยไม่ยั้งคิด “ชายารองร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สะดวกที่จะไป?”


 


 


กลับเป็นถาวจวินหลันที่ได้ยินแล้วคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ไม่เป็นอะไร ข้าไปสักครั้งเถิด ให้คนหลบไป ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”


 


 


คราวนี้ปี้เจียวก็เริ่มร้อนใจ พูดเกลี้ยกล่อมว่า “ชายารองจะไปได้อย่างไรเจ้าคะ? ชายาเอกในตอนนี้นาง…” ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของปี้เจียว จึงแค่นหัวเราะเอ่ย “ถ้าข้าไม่ได้ติดเชื้อก็คงไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้ข้าก็…จะไปหรือไม่ไปก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ในเมื่อนางส่งคนมาถ่ายทอดความ ถ้าข้าไม่ไปก็จะดูละเลยนาง อีกอย่างนางเองก็ถือว่าเป็นไฟที่มอดดับเพราะน้ำมันหมดแล้ว จะทำเช่นนี้ไปทำไม? ไปฟังดูว่านางจะอยากพูดอะไรกันแน่ดีกว่า”


 


 


หลิวซื่อเร่งรนจนส่งคนมาเชิญนางไป แท้จริงแล้วอยากจะพูดอะไรกันแน่ เรื่องนี้นางแปลกใจยิ่งนัก


 


 


ตอนที่ย่างกรายเข้าไปในเรือนหลิวซื่ออีกครั้ง ถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจไม่ได้ เจ้านายคนนี้เหลือเวลาไม่เยอะแล้ว เจ้านายคนต่อไปจะเป็นใครกัน?


 


 


ถาวจวินหลันรู้ดีว่า ถ้าหากหลิวซื่อตายไปอย่างนี้ หลี่เย่จะต้องถูกแต่งตั้งชายาเอกตวนชินอ๋องอย่างรวดเร็วเป็นแน่ แต่เพียงแค่ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร? อีกอย่างก็ยิ่งไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นนางจะอยู่ไหน ไม่แน่ว่านางอาจจะไม่ได้เห็นภาพนั้นก็เป็นได้


 


 


ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็หวังแค่ให้หลี่เย่ปกป้องลูกหญิงชายไม่ให้รับความไม่ยุติธรรมได้ก็พอ


 


 


ละทิ้งความคิดวุ่นวายสับสนในหัวออกไป ถาวจวินหลันย่างเท้าเข้าไปในห้อง ภายในห้องนั้นยังคงมีกลิ่นเหมือนคราวที่แล้ว แต่เพราะว่าเปิดหน้าต่างและเคี่ยวยาจึงทำให้กลิ่นบางลงไปมาก ไม่ดมให้ดีก็จะไม่ได้กลิ่นอะไรออกมา


 


 


คนที่คอยอยู่ปรนนิบัติหลิวซื่อในตอนนี้นั้นคือชุนฮุ่ยและชิงอวิ๋น ทั้งสองคนเห็นถาวจวินหลันก็รีบเดินขึ้นไปทำความเคารพ ชุนฮุ่ยพูดเสียงเบาว่า “ชายาเอกตื่นขึ้นมาไม่บ่อยนักเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้ตอนที่รอชายารองก็หลับไปอีกรอบหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ความหมายของชุนฮุ่ยคือหลิวซื่อใกล้จะตายแล้ว


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็เข้าไปเลยเถิด”


 


 


อาการของหลิวซื่อแย่มากอย่างที่คาดเอาไว้ หาเทียบกับคราวที่แล้ว ครั้งนี้ก็ยิ่งซูบเซียวเ**่ยวแห้งมากขึ้น คราวที่แล้วอย่างน้อยก็ยังพูดได้โดยที่ไม่ได้ดูเหนื่อยเท่าไรนัก ครั้งนี้แค่เพียงการหายใจเข้าออกแต่ละครั้งก็ดูเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว


 


 


ถาวจวินหลันนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง มองดูชุนฮุ่ยเดินไปปลุกหลิวซื่อ


 


 


ความจริงแล้วหลิวซื่อไม่ได้ยิน เสียงฝีเท้าของพวกนางหลายคนที่เดินเข้ามา แม้แต่ปฏิกิริยาก็ยังไม่มี ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังหายใจอยู่ นางก็แทบจะสงสัยว่าหลิวซื่อคงตายไปแล้ว


 


 


หลิวซื่อลืมตาขึ้นมา ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้กลอกลูกตามองไปรอบด้านรอบหนึ่ง แล้วขยับนิ้วเล็กน้อย พูดว่า “ออกไปให้หมด”


 


 


ชุนฮุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไปยังถาวจวินหลันอีกครั้งแล้วพูดว่า “ชายาเอกอยากพูดคุยกับชายารองเพียงลำพังเจ้าค่ะ”


 


 


ตอนนี้หลิวซื่อมีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว จะพูดคุยโดยลำพังก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็ออกไปเถิด”


 


 


เพียงไม่นาน บรรดาบ่าวรับใช้ก็พากันเดินออกไป ในห้องเหลือเพียงแค่เสียงลมหายใจของนางและหลิวซื่อ ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ แล้วเขยิบเข้าไปใกล้ “มีอะไร ท่านพูดมาเถิด”


 


 


หลิวซื่อมองถาวจวินหลันนิ่ง ริมฝีปากขยับอย่างอ่อนแรง ปรากฏท่าทีคล้ายหัวเราะขมขื่นออกมา “ข้าจะตายแล้ว” 

 

 


บทที่ 458 เสียดายภายหลัง

 

ความจริงทุกคนรู้เรื่องที่หลิวซื่อพูดอยู่แก่ใจ แต่กลับไม่มีใครรู้ดีไปกว่าหลิวซื่อ อย่างไรร่างกายของตนเอง ตนเองย่อมสัมผัสได้ชัดเจนที่สุด


 


 


ถาวจวินหลันถอนหายใจ นางไม่รู้จะพูดอะไรกลับไปดี สุดท้ายก็เพียงแค่พูด “อืม” เป็นการตอบกลับ


 


 


“ข้าผิดไปแล้ว” ท่าทีของหลิวซื่อเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด แม้กระทั่งดวงตายังมีน้ำตาคลอเบ้า ส่งให้ดวงตาไร้แสงประกายของนางดูบริสุทธิ์มากขึ้นหลายส่วน


 


 


เมื่อได้ยินหลิวซื่อพูดเรื่องเหนือคาดหมาย ถาวจวินหลันก็ตะลึงไป รู้สึกทอดถอนใจและเยาะเย้ย หลิวซื่อเพิ่งรู้ว่าตัวเองผิดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรก็ไม่มีโอกาสให้กลับตัวแล้ว


 


 


ถาวจวินหลันเม้มริมฝีปาก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี จึงตัดสินใจรับมือด้วยความเงียบ นางไม่รู้ว่าหลิวซื่อคิดอยากให้นางพูดว่าอะไร แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ควรรอฟังสักหน่อย


 


 


“ฮองเฮา ฮองเฮา!” ท่าทีของหลิวซื่อดูเลอะเลือนไป ฉับพลันก็หัวเราะเสียงดัง ในขณะเดียวกันก็มีเสียงลมหายใจหอบถี่ออกมาด้วย


 


 


คิดว่าหลิวซื่อคงจะโกรธแค้นฮองเฮาเป็นอันมาก เรื่องนี้นางฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ไม่ยาก แต่พูดไปแล้ว ไม่ว่าเป็นใคร ก็คงโกรธแค้นฮองเฮาจนอยากฉีกเนื้อออกมากินเป็นชิ้นๆ


 


 


แต่สำหรับหลิวซื่อนั้น ถาวจวินหลันกลับไม่ได้รู้สึกสงสารมากนัก บางทีที่หลิวซื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็ด้วยมีฝีมือของฮองเฮารวมอยู่ด้วย แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็เพราะตัวของหลิวซื่อเอง ในเมื่อนางถูกผูกมัดกับหลี่เย่ไปทั้งชีวิต หากนางคิดทำตัวดีๆ และพอใจกับสิ่งที่ตนเองได้รับ และอยู่กับหลี่เย่อย่างสงบ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด


 


 


แต่เมื่อเห็นท่าทีหอบหายใจและโกรธแค้นของหลิวซื่อ ถาวจวินหลันก็อดเอ่ยเตือนเสียงเบาไม่ได้ “ท่านเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ฮองเฮาไม่ได้ยินและมองไม่เห็น และยิ่งไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องนี้” ในทางกลับกัน หลิวซื่อทรมานเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะทำให้ตัวนางเองทรมานจนตายไปเสียก่อน


 


 


หลิวซื่อถึงได้ค่อยๆ สงบใจ แต่ยังคงก่นด่าพลางหัวเราะเยาะ “ข้าเสียดาย”


 


 


ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว แต่ยังคงรักษาความเงียบ


 


 


“เจ้าอยากเป็นชายาเอกตวนชินอ๋องหรือไม่” ฉับพลันหลิวซื่อก็จ้องถาวจวินหลันเขม็ง สายตาร้อยแรงจนแทบจะแผดเผา คำถามก็ยิ่งชวนให้คนรู้สึกยากจะเข้าใจ


 


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวซื่อที่เป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องพูดจาตามมารยาท หรือโกหก จึงได้พยักหน้าไปอย่างจริงใจ “คิดแน่นอน ใครไม่อยากได้ตำแหน่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมบ้าง? ใครจะไม่ยินยอมเป็นภรรยาที่ถูกต้องเล่า? แต่ก็ต้องดูว่าตนเองมีบุญนั้นหรือไม่ หากไม่มี ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนเอามา”


 


 


หลิวซื่อถามคำถามนี้กะทันหัน นางสงสัยว่าหลังจากนั้นยังจะต้องมีคำพูดอะไรอีก ดังนั้นจึงรีบพูดขัดหัวข้อสนทนานี้เอาไว้ก่อน


 


 


หลิวซื่อกระพริบตา พลางหัวเราะเยาะ “บุญอย่างนั้นหรือ? ไม่เรียกร้อง? เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังหลอกข้าหรือว่าหลอกตัวเองอยู่? เจ้าเอาอกเอาใจหลี่เย่ในทุกด้าน ขอความโปรดปรานอยู่ตลอด หรือจะบอกว่าไม่ใช่เพราะต้องการครอบครองตำแหน่งนี้แทนข้าเล่า?”


 


 


ถาวจวินหลันเลิกคิ้วน้อยๆ “แล้วอย่างไร แต่ข้าก็ไม่ได้ทำร้ายท่านเพื่อตำแหน่งนี้มิใช่หรือ?” ต่อให้นางแก่งแย่ง แต่ก็ไม่ได้ใช้วิธีขายขี้หน้า หรือทำอะไรระอายใจ


 


 


“ถ้าข้าบอกว่า ข้าช่วยให้เจ้าได้ตำแหน่งนี้ เจ้าเชื่อหรือไม่?” หลิวซื่อแย้มยิ้ม ในดวงตาฉายแววคลุ้มคลั่ง


 


 


“ข้าไม่เชื่อ” ถาวจวินหลันส่ายหน้า หลิวซื่อไม่มีความอดทน เรื่องนี้นางพอจะรู้ ที่หลิวซื่อพูดเช่นนั้น ก็เพียงเพื่อโยนหินถามทางเท่านั้น อยากจะให้นางตกเข้าไปในกับดักนี้


 


 


หลิวซื่อหอบอยู่ครู่หนึ่ง รอจนสงบลงแล้ว ถึงได้หัวเราะและพูดว่า “แต่ข้ายังเป็นชายาเอกตวนอ๋องอยู่ หากยื่นฎีกา ขอให้แต่งตั้งเจ้าเป็นชายาเอกตวนชินอ๋อง เจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไร?”


 


 


ถาวจวินหลันใจกระตุกวูบ หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะเกิดผลเล็กน้อยไม่ใช่หรืออย่างไร แต่… “ตอนนี้ต่อให้ท่านเขียนฎีกาไป ก็ใช่ว่าจะเสนอขึ้นไปได้”


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว ของของหลิวซื่อจะต้องเผาทิ้งไปทุกชิ้น มีเพียงแค่เครื่องเบญจรงค์และของตกแต่งราคาแพงเท่านั้นที่ใช้น้ำส้มสายชูมาแช่ไว้ แล้วใช้ปูนขาวขัดเก็บเอาไว้ได้ พวกเสื้อผ้าและลายมือตัวหนังสือที่เขียนเอาไว้จะต้องเผาทิ้งทั้งหมด


 


 


“ส่งฎีกาส่งไม่ได้แล้วจะอย่างไร? ขอเพียงทำให้คนรู้เท่านั้นก็พอแล้ว” ตอนที่หลิวซื่อหัวเราะ ไม่สามารถพูดได้ว่าน่ามองอีกต่อไป ริมฝีปากที่ซีดเผือดช่างชวนให้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายที่หลิวซื่อต้องการจะสื่อ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่รีบร้อนตอบออกมา แต่กลับถามนางกลับว่า “ท่านอยากให้ข้าช่วยอะไร?”


 


 


หลิวซื่อยินยอมทำเช่นนี้ ย่อมไช่เพราะเกิดมีเมตตา นางก็รู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้หลิวซื่อรู้เรื่องที่ฮองเฮาบงการอยู่จริง แต่หลิวซื่อก็เกลียดนางเช่นเดียวกัน ดังนั้นหลิวซื่อย่อมมีเรื่องอยากร้องขออย่างแน่นอน


 


 


“ข้าอยากให้เจ้าแก้แค้นแทนข้า” หลิวซื่อยิ้มอย่างน่าเวทนา แฝงความรังเกียจอย่างรุนแรงเอาไว้ สุดท้ายแล้วก็แค่นหัวเราะ “ข้าอยากให้เจ้าทำให้นางตายไปไม่มีแม้แต่ผืนดินกลบหน้า”


 


 


ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างละเอียด สุดท้ายแล้วก็หัวเราะขมขื่น “ข้าเกรงว่าจะทำไม่ได้ อย่างแรงเพราะข้าไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น อย่างที่สองตัวของข้าเองในตอนนี้ก็ยากจะรักษา บางทีท่านอาจจะยังไม่รู้ ที่จริงแล้วที่ข้ากล้ามาพบหน้าท่าน ก็เพราะว่าข้าเองก็ติดเชื้อโรคระบาดเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นท่านคิดว่าทำไมข้าถึงกล้ามาเล่า?”


 


 


หลิวซื่อแสดงท่าทีตื่นตะลึง ทั้งเสียดายและไม่พอใจอย่างลึกซึ้ง ริมฝีปากของนางขยับ พูดพึมพำว่า “สวรรค์ยังไม่คิดจะช่วยข้า! สวรรค์ยังไม่ยอมช่วยข้า!”


 


 


ถาวจวินหลันมองหลิวซื่อวูบหนึ่ง “ท่านอยากเห็นข้าติดเชื้อตั้งแต่แรกไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? ทำไมตอนนี้ท่านถึงไม่ดีใจเล่า?”


 


 


นางพูดกับหลิวซื่อเช่นนี้ก็ด้วยนางแค้นเคืองหลิวซื่อเท่านั้น นางไม่ใช่นักบุญ ย่อมไม่ใจกว้างยอมให้อภัยโดยง่าย


 


 


เห็นได้ว่าหลิวซื่อลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ตอนนี้เมื่อถาวจวินหลันยกขึ้นมาพูด นางก็ตะลึงงันไปช่วงหนึ่งแล้วถึงได้สติกลับมา แต่หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในภวังค์ เห็นได้ชัดว่าปัญหานี้ตรงและแทงใจดำมากเกินไป แม้แต่หลิวซื่อเองก็ทนรับไม่ไหวเช่นเดียวกัน


 


 


คิดไปแล้วก็ถูก เพิ่งจะทำร้ายคนอื่นไป อยู่ๆ จะหันมาทำข้อแลกเปลี่ยน แม้จะบอกว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่สุดท้ายแล้วก็ดูไม่ละอายใจไปหน่อย


 


 


ถาวจวินหลันมองดูท่าทีลำบากใจของหลิวซื่อ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย “คิดว่าท่านคงไม่รู้ ตอนนี้ชายารองเจียงก็ติดเชื้อโรคระบาดแล้วเช่นกัน บางทีอาจไม่เหลือเจ้านายหญิงที่ฐานะสูงสุดในจวนตวนชินอ๋องเลยก็ได้ พอใจท่านหรือยัง? ดีใจหรือไม่?”


 


 


หลิวซื่อนิ่งเงียบ กุมผ้าห่มที่อยู่ในมือแน่น


 


 


ถาวจวินหลันเม้มริมฝีปาก สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดเยาะเย้ยต่อไป หากพูดต่อไป ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี


 


 


“เจ้าเองก็แค้นฮองเฮา” ผ่านไปครู่หนึ่งหลิวซื่อก็เอ่ยปากพูดว่า “แม้ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า เจ้าเองก็ไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ กลับเป็นข้าที่เลอะเลือนไปเสียแล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ความโกรธก็พุ่งทะลุขึ้นอีกครั้ง ก่อนอดแค่นหัวเราะไม่ได้ “น่าเสียดาย ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือไม่ อย่าลืมไป ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้หรือไม่ ทำให้ท่านผิดหวังเสียแล้ว”


 


 


หลิวซื่อไม่มองถาวจวินหลันอีก ทว่ามองเพียงแค่ยอดมุ้ง “เขาจะช่วยเจ้า”


 


 


พูดไปพูดมา ใบหน้าของหลิวซื่อก็แสดงสีหน้าเย้ยหยัน “เขาจะต้องช่วยเจ้าเป็นแน่ เขาจะยอมให้เจ้าตายที่ไหนกัน? ในสายตาของเขา นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครได้อีก? ต่อให้คนบนโลกนี้ตายทั้งหมด เขาก็ไม่ยอมให้เจ้าตายอย่างแน่นอน”


 


 


ถาวจวินหลันพลันรู้สึกว่าคำพูดของหลิวซื่อไม่มีทางเป็นจริง แม้ว่าหลี่เย่ไม่อยากให้นางตายมากเพียงใด แต่หลี่เย่ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น เขาสามารถควบคุมการเกิดแก่เจ็บตายได้อย่างนั้นหรือ?


 


 


นางจึงคิดว่าหลิวซื่อพูดเหลวไหลไปเท่านั้น แต่นางกลับไม่รู้ว่า คนที่พบเจออุปสรรคมักมองปัญหาไม่ออก แต่คนที่อยู่รอบกายกลับมองเห็นปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง คำพูดนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย


 


 


“เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” ความอดทนของถาวจวินหลันเริ่มลดน้อยลง จึงได้ส่งเสียงถาม


 


 


หลิวซื่อส่ายหน้า “ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”


 


 


“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะกลับ” ถาวจวินหลันไม่ได้สนิทกับหลิวซื่อ กระทั่งพูดได้ว่าเป็นเหมือนศัตรู แค่นางอดทนฟังหลิวซื่อพูดอยู่ตั้งนานก็ถือว่าอดทนจนถึงขั้นสุดแล้ว อีกอย่างกลิ่นในห้องนี้ก็ไม่ดีนัก


 


 


“หลังจากที่เผาข้าไปแล้ว ก็ส่งเถ้ากระดูกไปฝังที่เดียวกับลูกของข้าเถิด” ตอนที่ถาวจวินหลันกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก หลิวซื่อก็พูดอีกว่า “หลี่เย่ไม่มีทางอยากจะพบเจอหน้าหลังจากที่ตายไปแล้วเป็นแน่ ดังนั้นไม่สู้ว่าทำอย่างนี้ดีที่สุด”


 


 


เท้าของถาวจวินหลันชะงัก สุดท้ายแล้วก็ส่งเสียงตอบรับ “ได้ ข้ารับปากท่าน”


 


 


“ขอบคุณ” คิดไม่ถึงว่าหลิวซื่อจะยังพูดสองพยางค์นี้ออกมาได้


 


 


ถาวจวินหลันได้ยิน แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เดินออกจากห้องไป ในความเป็นจริงแล้ว นางยังคิดไม่ถึงว่าคนนิสัยอย่างหลิวซื่อจะพูดคำว่าขอบคุณกับนาง นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็คิดได้ว่า คนใกล้ตาย คำพูดก็จะดีไปด้วยเช่นกัน


 


 


ส่วนเรื่องที่นางรับปากหลิวซื่อ ก็เพียงเพราะว่าตัวนางเองก็เป็นแม่คนเช่นเดียวกัน ย่อมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของหลิวซื่อก็เท่านั้นเอง ไม่ว่าหลิวซื่อจะโหดร้ายน่ารังเกียจเพียงใด แต่ความรักที่หลิวซื่อมีให้ลูกก็ไม่ได้แตกต่างไปจากแม่คนอื่น


 


 


หากตอนแรกลูกของหลิวซื่อรอดมาได้ บางทีเรื่องอย่างในวันนี้คงจะไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่?


 


 


ตกดึกวันเดียวกัน ข่าวที่หลิวซื่อเสียชีวิตก็มาถึงหูของถาวจวินหลัน ตอนนั้นคนภายในจวนนอนไปหมดแล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่เป็นข้อยกเว้น ตอนที่ถูกปลุกมารับฟังข่าวนี้ นางก็นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้สติกลับมา “รู้แล้ว ไม่ใช่ว่าจัดเตรียมเอาไว้แล้วหรืออย่างไร? ควรจะจัดการอย่างไรก็จัดการไปเถิด พรุ่งนี้เช้าตรู่ก็ค่อยให้คนไปรายงาน”


 


 


อย่างไรหลิวซื่อก็เป็นชายาเอกตวนชินอ๋อง แม้ว่าจะไม่อาจจัดพิธีศพได้ แต่เกียรติยศที่ราชสำนักต้องมอบให้นั้นก็ไม่อาจขาดได้ หากเทียบกับชื่อเสียงตำแหน่ง เทียบกับของที่ใช้ฝังไว้ ของเหล่านี้ย่อมไม่อาจขาดไปได้ แม้ว่าตัวคนจะไม่มา แต่ก็ต้องส่งของมาด้วยเช่นกัน


 


 


อย่างไรชายาเอกตวนชินอ๋องจากไปแล้ว ย่อมไม่อาจนิ่งสงบ ไร้ความเคลื่อนไหวได้


 


 


พูดตามเหตุผลแล้ว ถาวจวินหลันควรต้องไปจัดการด้วยตนเอง แต่ตอนนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ อีกทั้งร่างกายของนางก็ไม่แข็งแรง ย่อมไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนเข้าไป แต่ในตอนนี้แม้แต่นอนก็ยังนอนไม่หลับ นางแทบจะนั่งพิงอยู่บนเตียงลืมตาตั้งแต่ตกดึกยันรุ่งสาง


 


 


นางยังเคยคิดว่า หลิวซื่อตายไปแล้วก็ยังพอได้หน้าได้ตาอยู่บ้าง แต่ถ้านางตายไปเล่า? จะเป็นเช่นใด?


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ จากนั้นก็ยิ่งรู้สึกว่าปวดหัวรุนแรงขึ้น และร่างกายอ่อนแรง แม้แต่แรงเพียงน้อยนิดก็ไม่มี 

 

 


บทที่ 459 อธรรม

 

นางเป็นเช่นนี้ ทำให้บรรดาบ่าวรับใช้ที่ดูแลข้างกายต่างตกใจ…รีบเร่งเชิญหมอหลวงสวีมา แต่หมอหลวงสวีนอกจากจะมั่นใจว่านี่เป็นอาการของโรคระบาดแล้ว ก็ไม่มีวิธีอะไรมารักษาได้อีก


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มขมขื่นพลางสะบัดมือ “ต่อจากนี้ไปไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยแล้ว แค่เพียงปวดหัวมากเท่านั้น ขอให้หมอหลวงสวีสั่งยาบรรเทาอาการมาก็พอแล้ว”


 


 


นางปวดหัวเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจัดงานพิธีศพของหลิวซื่อ แม้แต่ชีวิตประจำวันก็ยังยาก อีกทั้งการเดินทางครั้งสุดท้ายของหลิวซื่อ คงจะต้องมีคนไปจัดการดำเนินพิธี หากยังมีคนอื่นที่พึ่งพิงได้ก็แล้วไป แต่ในตอนนี้เมื่อกวาดตามองไปทั่วจวนอ๋อง กลับไม่มีใครออกหน้าแทนนางได้แม้แต่คนเดียว


 


 


เรื่องจิปาถะให้บ่าวรับใช้ของตนเองหรืออี๋เหนียงออกหน้าแทนได้ แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ หากนางยังทำเช่นนั้นต่อไป ก็จะดูไร้มารยาทไปหน่อยแล้ว ใช่ ตอนนี้นางเองก็ป่วยอยู่เช่นกัน ไม่ไปคิดเรื่องพวกนี้ก็ยังพูดผ่านไปได้ แต่เพราะในใจของนางยังวางแผนเรื่องอื่นอยู่ จึงไม่อาจไม่คิดเรื่องนี้


 


 


ไม่ว่าครั้งนี้นางจะทนต่อไปได้หรือไม่ แต่เหลือชื่อเสียงดีๆ เอาไว้ สุดท้ายแล้วก็จะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก หากนางตายไป ชื่อเสียงดีๆ ของนางก็ยังพอปกป้องคุ้มครองลูกหญิงชายของตนเองได้ ต่อให้หลี่เย่ตบแต่งชายาเอกคนใหม่หรือชายารองคนใหม่เข้ามาก็ไม่กล้าละเลยลูกหญิงชายของตน หากนางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก็จะยิ่งเกิดผลดีมากขึ้นอย่างคาดเดาได้


 


 


หมอหลวงสวีคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ได้ยินว่าในมือของชายารองถาวมียาปี้เซียวตาน ทานอันนั้นแล้วจะมีผลมากกว่ายาทั่วไปขอรับ”


 


 


จู่ๆ ถาวจวินหลันก็คิดได้ว่าสองวันมานี้นางไม่ได้กินยาปี้เซียวตาน…นางเป็นเช่นนี้ จึงไม่ได้ใส่ใจตัวเองมากนัก ทั้งยังไม่มีความทะเยอทะยาน เพราะอย่างไรนางก็ติดเชื้อโรคระบาดแล้ว ยังจำเป็นต้องกินยาเหล่านั้นอยู่อีกหรือ? กินไปก็สิ้นเปลืองมิใช่หรืออย่างไร? อีกทั้งชีวิตตกอยู่ในอันตราย นางเองไม่คิดจะไปบำรุงร่างกายอีก


 


 


ตอนนี้พอหมอหลวงสวีพูด ถาวจวินหลันก็พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่หมอหลวงสวีบอก ไปเอายามา”


 


 


พอนางกินยาปี้เซียวตานเข้าไป แล้วนอนพักอีกครู่หนึ่ง ตอนที่ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าทั้งร่างนั้นเบาขึ้นมาไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่ได้ปวดหัวขนาดนั้นแล้ว


 


 


นางพยุงตัวเองลุกขึ้น แล้วเอ่ยปากเรียกปี้เจียวเข้ามา ถามนางว่า “เรื่องพิธีศพของพระชายาจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว?”


 


 


“ด้วยเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ดังนั้นอย่างช้าที่สุดพรุ่งนี้ก็เผาได้แล้วเจ้าค่ะ” ปี้เจียวเห็นท่าทีของถาวจวินหลัน ก็อดถอนหายใจไม่ได้ ในใจทั้งสงสารและโมโห สุดท้ายแล้วก็อดพูดเตือนไม่ได้ “ชายารองอย่ามัวแต่สนใจคนอื่นซีเจ้าคะ ท่านควรจะคิดถึงตัวเองบ้าง”


 


 


ถาวจวินหลันสะบัดมืออย่างไม่สนใจ “อืม” แต่ดูจากท่าทีนั้นแล้ว เหมือนว่าไม่ได้เอาคำพูดไปใส่ใจเลยสักนิด


 


 


ปี้เจียวคิดอยากจะเกลี้ยกล่อมอีกเล็กน้อย แต่ถาวจวินหลันกลับไม่เปิดโอกาสให้นาง “เอาเถิด ข้าหิวแล้ว ตั้งโต๊ะสำรับเถิด”


 


 


เมื่อได้ยินว่าถาวจวินหลันหิว ปี้เจียวก็ไม่คิดสนใจเรื่องอื่นอีกต่อไป รีบออกไปยกข้าวมาตั้งโต๊ะ


 


 


ถาวจวินหลันแม้ว่าจะปิดบังทุกคนเรื่องตนเองติดเชื้อโรคระบาด แต่เรื่องที่หลิวซื่อเสียชีวิตก็ไม่อาจชักช้าได้ จึงรีบส่งข่าวออกไปทันที โดยเฉพาะทางด้านหลี่เย่ นางกำชับว่าต้องเตือนหลี่เย่ไม่ให้คิดโกรธแค้นเรื่องก่อนหน้านี้ จะต้องจำฐานะของหลิวซื่อไว้ให้แม่นมั่น


 


 


หลิวซื่อจากไปแล้ว ถ้าหลี่เย่ไม่สะทกสะท้าน คนอื่นจะคิดว่าเขาเป็นคนไร้ความรู้สึก ดังนั้นต่อให้เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ ก็ต้องแสดงท่าทีโศกเศร้าให้เห็นบ้าง


 


 


ตกดึกถาวจิวนหลันคิดจะไปเยี่ยมเจียงอวี้เหลียน นางไม่คิดอยากให้เจียงอวี้เหลียนเดินตามรอยเท้าของหลิวซื่อไป อีกทั้งเจียงอวี้เหลียนก็เป็นชายารองเหมือนกัน ที่จริงแล้วก็ควรต้องออกหน้าบ้าง


 


 


อาการของเจียงอวี้เหลียนไม่น่าดูนัก…เวลาเพิ่งจะผ่านไปกี่วัน ผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาสวยงามหุ่นสะโอดสะองคนนั้นก็แทบไม่เห็นแม้แต่เงา เจียงอวี้เหลียนผมเผ้ากระเซิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ มองดูแล้วไฉนเลยจะมีท่าทีชายารองแห่งจวนตวนชินอ๋องอีก?


 


 


ถาวจวินหลันลอบขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดกับเจียงอวี้เหลียนว่า “พระชายาเสียชีวิตแล้ว เจ้าเป็นชายารอง อย่างน้อยก็ควรต้องออกหน้าบ้าง อย่าได้เสียมารยาท” มิเช่นนั้น คนที่จะถูกเอามานินทานั้นจะไม่ใช่แค่เพียงแจียงอวี้เหลียน แล้วยังมีจวนตวนชินอ๋อง


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว คนที่นั่งหัวเราะเยาะจวนตวนชินอ๋องลับหลังนั้นก็มีไม่น้อย…ภรรยาเอกของท่านอ๋องและองค์ชายคนอื่นนั้นมีใครบ้างที่ไม่ใช่คนที่ชื่อเสียง ตำแหน่งโดดเด่น? หลิวซื่อแต่เดิมนั้นก็ไม่อาจสู้ชายาเอกคนอื่นได้แล้ว ตระกูลหลิวเองก็ใกล้จะล่มสลาย แม้แต่ชายารองทั้งสองคน คนหนึ่งก็ได้ชื่อนางกำนัลลูกสาวขุนนางนักโทษ อีกคนก็เป็นลูกกำพร้า


 


 


ถ้านับไปแล้ว ก็ไม่มีใครโดดเด่นเลย


 


 


เจียงอวี้เหลียนเอ่ยปฏิเสธทันควัน “จะไปทำไม? เจ้าจะไปก็ไปเอง อย่าได้ลากข้าเข้าไปด้วย ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ”


 


 


ในตอนนี้เจียงอวี้เหลียนเห็นหลิวซื่อเหมือนกับสัตว์ร้ายหรือน้ำหลากก็มิปาน


 


 


พอได้ยินคำพูดที่แฝงความหมดอาลัยตายอยากของเจียงอวี้เหลียน ถาวจวินหลันก็ขมวดคิ้วแน่นทันที “ยังไม่ทันจะเป็นอะไรเลย เจ้าปล่อยตนเองให้ตกต่ำเช่นนี้จะไปมีประโยชน์อะไร? เจ้าคิดว่าเจ้าจะตายแล้ว ทำไมเจ้าไม่คิดบ้างว่าถ้าหากอดทนผ่านไปได้เล่า? ควรจะต้องคิดถึงเรื่องในอนาคตเอาไว้บ้าง ควรเชิดหน้าชูตาท่านอ๋องบ้าง”


 


 


เจียงอวี้เหลียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็หัวเราะเสียงเย็นเอ่ย “ทนไปได้? เจ้าพูดง่ายเสียจริง”


 


 


ถาวจวินหลันมองดูท่าทีไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ก็รู็สึกปวดขมับปวดหัว สุดท้ายแล้วนางก็คร้านจะคุยต่อไป พูดแค่ว่า “เจ้าปล่อยตัวเองเช่นนี้ก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้เรียกสติกลับคืนมา ต่อให้มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่สองสามวันนี้จริง ก็อย่าใช้ชีวิตเละเทะเช่นนี้เลย”


 


 


พอพูดจบนางเองก็ไม่รั้งตัวอยู่ต่อ เพียงแค่เดินหมุนออกจากเรือนไป จากนั้นก็ไปที่โถงวิญญาณครู่หนึ่ง…แม้จะบอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นพิธีเผา แต่วันนี้ตอนกลางคืนก็ยังจะต้องเฝ้าวิญญาณ รอจนถึงพรุ่งนี้เถ้ากระดูกออกมา ก็ยังจะต้องทำพิธีสะกดวิญญาณไว้ทุกข์อีกต่อไปเช่นเดิม


 


 


ข่าวหลิวซื่อเสียชีวิตไปถึงในวังหลวง ฮ่องเต้ก็ไปยังวังของไทเฮา ความหมายของฮ่องเต้ยังคงเหมือนกับประชาชนทั่วไป ในเมื่อติดเชื้อโรคระบาดแล้วก็ควรเผาศพ ไม่สามารถเก็บร่างเอาไว้ได้ แต่นั่นก็เป็นถึงชายาเอกตวนชินอ๋อง ดังนั้นฮ่องเต้จึงยังลังเลอยู่บ้าง


 


 


ไทเฮามองฮ่องเต้วูบหนึ่ง พูดว่า “เรื่องนี้ตวนชินอ๋องพูดไว้นานแล้ว ว่าไม่เก็บร่างเอาไว้”


 


 


ฮ่องเต้ตะลึงไป ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย “ปกติแล้วเจ้ารองก็เป็นคนรู้ความ ไม่เคยทำให้เป็นกังวล”


 


 


ไทเฮาพยักหน้า “ไม่ใช่คนที่ทำให้สบายใจอะไรหรอก หลายวันมานี้เขาไม่ได้เข้ามาในวังหลวง แม้แต่ลูกชายก็ไม่กล้ามาพบ ก็ไม่ใช่เพราะว่ากลัวคนเอาเรื่องไปนินทา กลัวว่าจะส่งผลกระทบไปถึงคนอื่นอย่างนั้นหรือ? เขาเองก็น่าสงสาร ต้องลำบากตั้งแต่เด็กไม่เท่าไร โตขึ้นมาแล้วจะมีหน้ามีตาหน่อยก็ไม่ง่ายดาย ต้องมาเกิดเรื่องบ่อยนัก คราวนี้คงกลายเป็นพ่อม่ายเสียแล้ว! หลิวซื่อตายไปเพราะโรคนี้ ต่อจากนี้จะตบแต่งอีกก็คงไม่ง่าย!”


 


 


ไทเฮาพูดใส่อารมณ์ สุดท้ายแล้วก็มีน้ำตาไหลลงมาด้วย “กลับเป็นข้าที่ทำผิดต่อแม่ของเขา แม่ของเขาฝากฝังเขาเอาไว้ก่อนตาย แต่ข้ากลับไม่ได้ดูแลเขาให้ดีเลย”


 


 


“เสด็จแม่!” ฮ่องเต้ที่ปลายผมกลายเป็นสีขาว พอได้ยินคำพูดนี้ของไทเฮาแล้ว ก็เริ่มคล้อยตาม อดตะโกนออกมาไม่ได้ แต่เมื่อตะโกนออกไปแล้ว ฮ่องเต้กลับต้องสะอึกอยู่ในลำคอ พูดอะไรไม่ออก


 


 


ฮ่องเต้คิดถึงภาพของกุ้ยเฟย และคำพูดเหล่านั้นที่กุ้ยเฟยพูดก่อนตาย ฉับพลันก็รู้สึกละอายใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “เป็นข้าที่ทำผิดต่อกุ้ยเฟย”


 


 


“หลังจากข้าตายไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะถูกใครรังแกหรือไม่” ไทเฮาไม่มองฮ่องเต้แม้แต่น้อย เพียงแต่ทอดถอนหายใจ


 


 


ฮ่องเต้รีบพูดว่า “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาเป็นชินอ๋อง ใครจะกล้า?”


 


 


ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา


 


 


ฮ่องเต้เข้าใจความหมายของไทเฮา…องค์รัชทายาทไม่ได้เอ็นดูรักหลี่เย่ หากต่อจากนี้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ วันเวลาของหลี่เย่จะต้องไม่ได้ดีเหมือนตอนนี้อย่างแน่นอน


 


 


“ช่างเถิดๆ เรื่องมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรพูดได้แล้ว จะดีหรือไม่ก็ถือเป็นโชคชะตาทั้งนั้น” ไทเฮาลูบตา ถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่รู้ว่าซวนเอ๋อร์และหมิงจูเป็นอย่างไรบ้าง ยังดีที่ส่งออกไปก่อนจะเกิดเรื่อง ในตอนนั้นข้ายังคิดว่าถาวซื่อตีตนไปก่อนไข้ ตอนนี้ดูท่าว่าข้าจะเลอะเลือนไปเสียแล้ว”


 


 


ไทเฮาพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็คิดถึงซวนเอ๋อร์และหมิงจูขึ้นมา และพาลไปนึกถึงถาวจวินหลัน ก่อนเอ่ยถามว่า “ตอนนี้ถาวซื่อเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


ไทเฮามองฮ่องเต้ทีหนึ่งอย่างประหลาดใจ ส่ายหน้า “ไม่รู้เช่นกัน คิดดูแล้วก็คงจะปลอดภัย แต่นางเองก็ถือว่าคำนึงถึงภาพรวม ยังรู้จักดูแลตวนชินอ๋อง” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “หากนางตายไปจริง ก็ให้ชื่อตำแหน่งชายาเอกกับนางเถิด” เช่นนี้ถือว่าดีต่อซวนเอ๋อร์และหมิงจูทั้งนั้น อย่างน้อยก็เปลี่ยนจากลูกอนุเป็นลูกภรรยาเอกมิใช่อย่างนั้นหรือ? มีชื่อภรรยาเอกคุ้มครองอยู่ ต่อให้พวกเขาไม่มีแม่ แล้วใครยังจะกล้ารังแกพวกเขา?


 


 


ฮ่องเต้นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นก็ทำตามความตั้งใจของไทเฮาเถิด”


 


 


หยุดไปครู่หนึ่งฮ่องเต้ก็พูดอีกว่า “กลับไปข้าจะให้ขันทีเป่าฉวนเลือกของบางอย่าง ประทานให้หลิวซื่อถือเป็นของที่เอาไปฝังร่วม” ฮ่องเต้ประทานของล้ำค่าเป็นของฝังร่วม ก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว


 


 


แต่การให้ความสำคัญและเกียรติยศในครั้งนี้ถ้าจะบอกว่าให้หลิวซื่อ ไม่สู้บอกว่ามอบให้หลี่เย่


 


 


ตอนที่หลี่เย่ได้รับข่าวนี้ ก็อดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้ โจวอี้เหลือบตามองทีหนึ่ง ก็รีบก้มหน้าลงทำทีไม่เห็นอะไร แม้ว่าของที่วังหลวงประทานให้จะล้ำค่า แต่ที่ฮ่องเต้ไม่ให้หลี่เย่เข้ามาในวังหลวงอีก ก็ไร้เยื่อใยและทำร้ายจิตใจคนมากพอแล้ว


 


 


“นอกเมืองมีข่าวคราวอะไรบ้างหรือไม่?” หลี่เย่เป็นกังวลเรื่องนี้มากที่สุด หากในวันหนึ่งยังหาวิธีไม่ได้ ตัวเขาเองก็ไม่อาจวางใจได้อีกหนึ่งวัน


 


 


เมื่อถามถึงเรื่องนี้สีหน้าของโจวอี้ก็เปลี่ยนไป “ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวอะไรพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


สีหน้าของหลี่เย่มืดคล้ำลงไปในทันใด หรี่ตามอง “ช่างไร้ความสามารถเสียจริง ทางด้านกรมหมอหลวงเล่า?”


 


 


โจวอี้ส่ายหัว “ไม่มีเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


คราวนี้หลี่เย่รู้สึกหงุดหงิดจริงๆ แล้ว “เบี้ยหวัดของพวกเขาเอาไปก็ไร้ประโยชน์เสียจริง!”


 


 


โจวอี้เห็นหลี่เย่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงจะออกคำสั่งอะไรที่ทำให้คนลำบากใจอีก จึงช่วยพูดแทนบรรดาหมอหลวงเหล่านั้น “แต่เดิมนี่ก็เป็นเรื่องยาก พวกเราเร่งพวกเขาไปก็ไร้ประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หลี่เย่ย่อมรู้เหตุผลนี้ แต่ไฟโกรธเต็มอกของเขาก็ระบายออกได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้นมิใช่หรือ? แน่นอนว่า เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพอ รู้สึกว่าคิดค้นหาวิธีไม่ได้ก็ควรทำให้หมอหลวงเหล่านั้นไปตาย


 


 


“ทางด้านจวนเหิงกั๋วกงยังไม่มีข่าวอย่างนั้นหรือ?” หลี่เย่ที่หงุดหงิดอยู่พลันคิดถึงเรื่องแผนก่อนหน้านี้ได้ พอนับเวลาดูแล้ว ตอนนี้ควรต้องเกิดผลแล้วมิใช่หรืออย่างไร?


 


 


อีกอย่าง เป้าหมายสุดท้ายที่เขาทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพื่อระบายความโกรธเท่านั้น เขายิ่งตั้งความหวังว่าจะหยิบยืมพละกำลังของจวนเหิงกั๋วกง คิดค้นยากรักษาให้โดยเร็ว 

 

 


บทที่ 460 เห็นแก่ตัว

 

จวนเหิงกั๋วกงในตอนนี้ยุ่งวุ่นวาย ไม่ได้เป็นเพราะสิ่งอื่นใด เพราะว่าคุณชายสามแห่งจวนเหิงกั๋วกง หรือก็คือลูกชายจากภรรยาเอกคนที่สามของเหิงกั๋วกงกำลังป่วย เมื่อเชิญหมอหลวงมาตรวจชีพจร กลับบอกว่าเป็นโรคระบาด จึงทำให้ทุกคนต่างอยู่ในสภาพงงงัน


 


 


เหิงกั๋วกงกลับไม่สั่งปิดจวนอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นถาวจวินหลัน แต่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจปิดบังเรื่องนี้ ให้เหิงกั๋วกงฮูหยินแอบเข้าวังหลวงไปทำความเคารพฮองเฮา


 


 


เหิงกั๋วกงบังคับกักตัวหมอหลวงไว้ในจวน ไม่สามารถปล่อยออกไปได้ชั่วคราว อีกทั้งหมอหลวงคนนั้นแต่เดิมก็เป็นคนที่มักไปมาหาสู่ในจวนเหิงกั๋วกงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมากเท่าไรก็ทำให้หมอหลวงคนนั้นยอมรับปากปิดบังเรื่องนี้ได้แล้ว


 


 


เหิงกั๋วกงคิดว่าทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีใครพบเห็น แต่เขากลับไม่รู้ว่าหลี่เย่ได้จับตามองทุกการกระทำของเขามานานแล้ว


 


 


หลังจากหลิวเอินรายงานเสร็จแล้ว ก็ถามหลี่เย่ว่า “ท่านอ๋อง ต้องให้คนแอบสั่งปลดจวนเหิงกั๋วกงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


สั่งปลดจวนเหิงกั๋วกงตอนนี้ ใบหน้าของเหิงกั๋วกงก็จะไม่มีที่ให้อยู่ อีกอย่างหากจวนเหิงกั๋วกงก็ถูกสั่งห้ามเข้าออก นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี


 


 


แต่หลี่เย่กลับส่ายหน้า “ไม่รีบ รออีกสักหน่อยเถิด” จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่สิ่งนี้ หากปิดจวน ถ้าเช่นนั้นเหิงกั๋วกงจะคิดหาวิธีช่วยลูกชายของเขาได้อย่างไร?


 


 


อีกอย่างเขายังอยากจะดูว่าฮองเฮาคิดอย่างไร


 


 


และทางด้านเหิงกั๋วกงฮูหยินที่เร่งรีบเข้าวังมา คิดไปคิดมาแล้วกลับไม่ได้ไปหาฮองเฮาในทันใด แต่กลับไปพบพระชายาองค์รัชทายาทก่อน อย่างไรพระชายาองค์รัชทายาทก็เป็นหญิงสาวที่นางให้กำเนิดมา เวลาพูดคุยนั้นง่ายกว่ามาก


 


 


เมื่อเหิงกั๋วกงฮูหยินพบหน้าพระชายาองค์รัชทายาทก็ร่ำไห้ ทำให้พระชายาองค์รัชทายาทตกใจรีบสั่งให้นางกำนัลทั้งหลายถอยออกไป


 


 


พอเหลือเพียงแค่สองคนแม่ลูก พระชายาองค์รัชทายาทจึงเปิดปากถามออกมาอย่างจำใจ “ท่านแม่เป็นอะไรไปเจ้าคะ?”


 


 


ก่อนหน้านี้หลายครั้งที่เหิงกั๋วกงฮูหยินมาร่ำไห้ฟ้องร้องต่อหน้าพระชายาองค์รัชทายาท เพราะเหิงกั๋วกงแม้ว่าจะมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังชอบความสดใหม่ เลี้ยงดูอนุภรรยาไว้จำนวนมาก และมีลูกหญิงชายที่เกิดจากอนุภรรยาจำนวนมากเช่นกัน ทุกครั้งที่เหิงกั๋วกงฮูหยินรู้สึกไม่สบายใจ มีบางครั้งที่โมโหเป็นอย่างมาก ก็จะต้องมาหาลูกสาวของตนเองให้ช่วยหนุนหลัง โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว


 


 


แต่นั่นก็เป็นท่านพ่อของพระชายาองค์รัชทายาท แม้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทอยากจะช่วยมารดาของตนเองอย่างไร นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีทาง ขอเพียงแค่เหิงกั๋วกงไม่โปรดอนุฆ่าเอก แล้วนางจะพูดอะไรได้อีก? ดังนั้นเมื่อเกิดขึ้นหลายครั้ง ทุกครั้งที่เหิงกั๋วหงฮูหยินมาร่ำไห้กับพระชายาองค์รัชทายาทนั้น ก็ทำให้รู้สึกปวดหัวและเริ่มหมดความอดทน


 


 


แต่ครั้งนี้พระชายาองค์รัชทายาทเดาผิดไป ดังนั้นตอนที่เหิงกั๋วกงฮูหยินพูดประโยคนั้นออกมา “พี่สามของเจ้าติดเชื้อโรคระบาดแล้ว!” สีหน้าเอือมระอาบนใบหน้าของนางยังไม่ทันได้เก็บไปหมด ก็มีแววตื่นตะลึงปรากฏขึ้นมาซ้อนทับกัน


 


 


“อะไรนะ?!” พระชายาองค์รัชทายาทพูดเสียงแหลมอย่างไม่คิดเชื่อ จากนั้นก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะป่าวประกาศออกไป จึงรีบพูดเสียงเบาว่า “นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร? อยู่ดีๆ ทำไมถึงติดเชื้อโรคระบาดได้เล่าเจ้าคะ?”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทคิดแค่ว่าเป็นไปไม่ได้ นางเคยกำชับจวนเหิงกั๋วกงแล้วว่าจะต้องระมัดระวัง หลายวันนี้ไม่ต้องไปหามาหาสู่กับนอกเมือง แล้วอยู่ดีๆ จะติดเชื้อโรคระบาดมาได้อย่างไร? หรือจะบอกว่า…


 


 


ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา ทันใดนั้นใบหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทก็ปรากฏแววโกรธกรุ่น นางคิดอย่างหงุดหงิดว่าใครมีความกล้าถึงขนาดลงมือกับจวนเหิงกั๋วกง?


 


 


สีหน้าของเหิงกั๋วกงฮูหยินก็ไม่น่ามองเช่นเดียวกัน “ท่านพ่อของเจ้าก็สงสัยเช่นเดียวกัน ตอนนี้กำลังสืบสวนภายในจวนอยู่”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทกำมือแน่น โพล่งถามออกมาว่า “สองสามวันมานี้ท่านแม่ได้เจอพี่สามบ้างหรือไม่?”


 


 


เหิงกั๋วกงฮูหยินตะลึงไป จากนั้นก็พึมพำพูดว่า “ย่อมต้องได้พบ แต่ข้าเองได้กินยานั้นแล้ว คิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอกใช่หรือไม่?”


 


 


สิ้นเสียงเหิงกั๋วกงฮูหยิน นางก็เห็นพระชายาองค์รัชทายาทถอยลงไปสองสามก้าว ทันใดนั้นสีหน้าก็เริ่มไม่น่ามอง จึงทั้งเสียใจทั้งโมโห แต่เดิมก็คิดอยากจะลุกขึ้นจากไป แต่เมื่อคิดถึงลูกชายคนที่สามของตนสุดท้ายแล้วก็บังคับตัวเองไม่ให้ขยับ


 


 


“ตอนนี้ภายในจวนได้แยกส่วนแล้วหรือยังเจ้าคะ?” พระชายาองค์รัชทายามยังพยายามอยู่ให้ห่างจากเหิงกั๋วกงฮูหยิน จากนั้นก็ขมวดคิ้วถามขึ้นมา ที่จริงแล้วหลังจากถามเช่นนี้ออกไป พระชายาองค์รัชทายาทก็ลอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ นางเข้าใจท่านพ่อของตนเองดี เรื่องนี้ท่านพ่อไม่มีทางป่าวประกาศออกไปเป็นแน่ แต่นี่ก็ไม่เหมาะที่จะประกาศออกไปจริงๆ


 


 


“เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่สามของเจ้าถึงจะถูก พวกเราค่อยไปหาฮองเฮาเหนียงเหนียง” เหิงกั๋วกงฮูหยินไม่ตอบคำถามของพระชายาองค์รัชทายาท เพียงแค่พูดอย่างวิงวอน


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทแค่นหัวเราะ มองไปยังเหิงกั๋วกงฮูหยิน “ท่านแม่คิดว่าข้าเป็นใคร? ไฉนเลยข้าจะมีวิธีเล่า? หากเป็นเรื่องอื่น บางทีข้าอาจจะยังช่วยเหลือได้บ้าง แต่นี่เป็นโรคระบาด…ไม่ต้องพูดถึงข้า แม้แต่ฮองเฮาเองก็ไม่มีวิธีเช่นกัน”


 


 


เหิงกั๋วกงฮูหยินตะลึงไป “แต่…”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทคิดอยากจะตักเตือนอีกเล็กน้อย ว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินไม่รู้จักพอประมาณ แต่เมื่อคิดไปมาสุดท้ายก็ใจอ่อน “ตอนนี้หมอหลวงยังคงคิดหาวิธีไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงฮองเฮา แม้แต่ฮ่องเต้เองก็จนปัญญาเช่นกัน เมื่อวานนี้พระชายาตวนชินอ๋องเพิ่งจะเสียชีวิตไปเพราะโรคระบาด ชายารองทั้งสองคนของตวนชินอ๋องก็ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร หากมีวิธี ฮ่องเต้จะทนมองคนจวนตวนชินอ๋องเสียชีวิตหมดอย่างนั้นหรือ?”


 


 


เหิงกั๋วหงฮูหยินนิ่งไป น้ำตาไหลลงมา “ถ้าดูตามที่เจ้าพูด พี่สามของเจ้าเขา…”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทจึงได้ทำแค่ปลอบประโลมเท่านั้น “พี่สามเป็นคนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าเองก็จะคิดหาวิธี”


 


 


เหิงกั๋วกงฮูหยินได้ยินเช่นนี้ ทันใดนั้นก็เหมือนได้ที่พึ่งพิง รีบพยักหน้าในทันที “ดีๆ”


 


 


“แต่ท่านแม่ต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง” พระชายาองค์รัชทายาคิดถึงข่าวลือเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาได้ คิดไปคิดมาก็เอ่ยปากพูด แม้จะบอกว่าข่าวลือไม่ใช่ว่าจะไม่มีมูลเสียเลย แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี


 


 


เหิงกั๋วกงฮูหยินเงยหน้า “เรื่องอะไร?”


 


 


“ขอให้ท่านแม่รีบพูดเรื่องแต่งงานแทนให้น้องเล็กโดยเร็วเถิด” พระชายาองค์รัชทายาทพูดขึ้นช้าๆ น้ำเสียงเรียบสงบ “น้องเล็กอายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาต้องออกเรือนแล้ว”


 


 


แม้จะบอกว่าพระชายาองค์รัชทายาทพูดอย่างสง่าผ่าเผย แต่เหิงกั๋วกงฮูหยินก็ยังคงฟังความหมายแฝงของพระชายาองค์รัชทายาทออก พระชายาองค์รัชทายาทกลัวว่าลูกสาวคนเล็กจะเข้าวังหลวง!


 


 


ผ้าที่เอาไว้ซับน้ำตาในมือของเหิงกั๋วกงฮูหยินถูกขยำเป็นกำ แต่เมื่อคิดถึงลูกชายคนที่สาม สุดท้ายแล้วก็ต้องอดกลั้นความโกรธ “ข้ารู้แล้ว”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทพยักหน้า ลอบถอนหายใจน้อยๆ ยิ้มและพูดว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าต้องไปปรนนิบัติเสด็จแม่ ท่านแม่ก็กลับไปก่อนเถิด”


 


 


ความหมายของคำพูดนี้คือไม่ให้เหิงกั๋วกงฮูหยินไปพบฮองเฮา


 


 


เหิงกั๋วกงฮูหยินตะลึงไป “ท่านพ่อของเจ้าให้ข้ามาถามความเห็นของฮองเฮาเหนียงเหนียง…”


 


 


“เรื่องนี้ไม่อาจป่าวประกาศออกไป แยกพี่สามออกไปอย่างเงียบๆ เถิด” พระชายาองค์รัชทายาทครุ่นคิดก่อนพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่จำเป็นต้องไปบอกฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้ว” เพราะว่าพระชายาองค์รัชทายาทรู้ดีถึงความโหดเ**้ยมและเด็ดขาดของฮองเฮา หากฮองเฮารู้เรื่องนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแยกจวนเหิงกั๋วกง แม้แต่นางที่ได้พบเหิงกั๋วกงฮูหยินก็ต้องถูกแยกห่างด้วยเช่นกัน


 


 


เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านั้นที่หยวนฉงหวาเหลียงตี้เหน็ดเหนื่อยในช่วงนี้ พระชายาองค์รัชทายาทก็จิกฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บแสบแปลบๆ นางไม่มีทางให้โอกาสใครมากดหัวนางเป็นแน่!


 


 


หยวนฉงหวาที่จริงแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร นางเพียงแค่รวบรวมนางกำนัลที่หน้าตาสวยงามเท่านั้น แต่นางกำนัลที่หน้าตาสะสวยเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาททั้งนั้น ดังนั้นองค์รัชทายาทในช่วงนี้ถึงได้ไปมาหาสู่กับหยวนฉงหวาค่อนข้างบ่อย ไม่เพียงแค่บ่อย และยิ่งมีท่าทีโปรดปรานเอ็นดูต่อหยวนฉงหวาด้วย


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทเองก็หานางกำนัลที่หน้าตาสวยงามมาเบี่ยงเบนความโปรดปรานด้วยเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไม องค์รัชทายาทกลับไม่ชอบ ทำให้นางโมโหจนเขวี้ยงแก้วแตกไปหลายใบ แล้วอารมณ์ถึงได้กลับมาสงบนิ่งอีกครั้งหนึ่ง


 


 


ด้วยเหตุนี้ พระชายาองค์รัชทายาทถึงไม่กล้าปล่อยวางแม้แต่วินาทีเดียว หากเปิดโอกาสให้หยวนฉงหวา ไม่ใช่ว่าหยวนฉงหวาจะมากดอยู่บนหัวนางหรืออย่างไรกัน? หากนางโดนแยกห่างจริงๆ นั่นก็เป็นการเปิดโอกาสให้หยวนฉงหวามิใช่หรืออย่างไร?


 


 


ดังนั้นพระชายาองค์รัชทายาทถึงได้คิดว่า หากไม่ทำเช่นนี้ นางเองก็ยินยอมสวมบทบาทเห็นแก่ส่วนรวมเหมือนถาวซื่อ


 


 


แต่เมื่อคิดขึ้นมาเหิงกั๋วกงฮูหยินเคยสัมผัสพี่สามมาก่อน พระชายาองค์รัชทายาทก็เริ่มหวาดกลัว รีบเรียกนางกำนัล “เอายานั่นมาให้ข้ากินเม็ดหนึ่ง”


 


 


เมื่อกินยาเข้าไปแล้ว พระชายาองค์รัชทายาทก็คิดขึ้นได้ว่า “ข้าจะไปทำความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียง”


 


 


ตอนที่เผาศพหลิวซื่อนั้น ถาวจวินหลันไม่กล้าดู อย่างแรกเพราะนางหวาดกลัว อย่างที่สองก็เพราะร่างกายไม่เอื้ออำนวย อย่างไรตอนนี้นางก็ติดเชื้อโรคระบาด ไม่เหมาะสมที่จะออกไปในสถานการณ์ที่มีคนเยอะ


 


 


ด้วยไม่อาจย้ายหลิวซื่อไปไกลได้ ดังนั้นจึงจัดการเผาที่เรือนของหลิวซื่อโดยตรง แต่เมื่อทำเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ลอบคิดว่า ต่อให้ในอนาคตหลี่เย่ตบแต่งชายาเอกคนใหม่ เกรงว่าคงไม่ยอมอยู่ที่เรือนหลักอีกต่อไป อย่างไรก็ดูโชคร้ายไม่ใช่หรือ?


 


 


หลังจากจากจบงานเผาศพแล้ว ก็ให้คนเอาเถ้ากระดูกที่เหลือไปใส่ไว้ในโลงไม้ประดู่เหลืองใบเล็ก แล้วผ่านไปอีกหน่อยค่อยนำโลงใบเล็กนี้ไปใส่ไว้ในโลงปกติก็ถือเป็นอันเรียบร้อย


 


 


สำหรับเครื่องประดับ อัญมณีมีค่าที่ร่วมฝังทั้งหลายนั้น ก็แทบจะกินพื้นที่หมดทั้งโลงศพ ยิ่งทำให้โลงศพใบเล็กนั้นดูน่าสงสารมากขึ้นไปอีก


 


 


คิดถึงคำขอร้องของหลิวซื่อก่อนตาย ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่ถือว่าเหงาแล้ว บางทีหลิวซื่ออาจจะดีใจที่ได้ไปอยู่เป็นเพื่อนลูกชาย นี่อาจมีความสุขมากกว่าตอนมีชีวิตด้วยซ้ำไป


 


 


แต่ของที่ฝังร่วมจะเยอะมากเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ยังดูเย็นเยียบเล็กน้อย เซิ่นเอ๋อร์แม้ว่าจะไม่ได้ออกจากเมืองหลวง แต่ก็ไม่สามารถมาคำนับแม่ใหญ่ได้ อนุภรรยาอีกสองคน…ถาวจวินหลันก็ไม่ได้เรียกเช่นเดียวกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรโรคระบาดก็ยังติดต่อแพร่กระจายได้


 


 


ดังนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ร้องไห้หน้าศพก็มีเพียงแค่บรรดาบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งที่ปรนนิบัติดูแลหลิวซื่อยามปกติ นี่ยังไม่นับพวกที่มีอาการโรคระบาดเหล่านั้น


 


 


ก่อนที่หลิวซื่อจะเสียชีวิต บ่าวรับใช้ที่ดูแลข้างกายนางมีสองคน คนหนึ่งชื่อว่าชุนฮุ่ยส่วนอีกคนหนึ่งชื่อว่าชิงอวิ๋น ถาวจวินหลันรู้จักชุนฮุ่ย หลี่เย่เคยเอ่ยชื่อของบ่าวคนนี้มาก่อน คิดว่าคงเป็นคนที่หลี่เย่จัดการสอดแทรกเข้าไป ในตอนนี้เมื่อหลิวซื่อตายไปแล้ว ชุนฮุ่ยย่อมต้องถูกจัดสรรให้เป็นอย่างดี สำหรับชิงอวิ๋นนั้น ได้ติดเชื้อโรคระบาดไปแล้ว อาการก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก


 


 


ถาวจวินหลันครุ่นคิด แล้วจึงพูดว่า “รอจนผ่านพิธีเฝ้าวิญญาณไปแล้ว ก็ค่อยไปลอบถามความคิดของชุนฮุ่ย นางอยากจะทำงานอยู่ภายในจวนต่อไป หรือว่าอยากออกจากจวนไป ล้วนแล้วแต่นาง”


 


 


ปี้เจียวรับคำ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ไม่สู้ไปเรียกชุนฮุ่ยให้มารับผิดชอบไปก่อนช่วงหนึ่งเล่าเจ้าคะ ข้างกายชายารองมีบ่าวคอยปรนนิบัติอยู่คนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็น้อยเกินไป” อย่างไรชุนฮุ่ยก็เคยปรนนิบัติข้างกายหลิวซื่อมาก่อน ไม่กลัวที่จะต้องมารับใช้ถาวจวินหลันอีก 

 

 


บทที่ 461 ความหวัง

 

ถาวจวินหลันย่อมรู้ว่าปี้เจียวหวังดีต่อตนเอง แต่ “เจ้าหาเวลาไปถามความคิดของชุนฮุ่ยเถิด หากนางยินยอมก็แล้วแต่นาง แต่หากนางไม่ยินยอมเจ้าเองก็ไม่ต้องไปฝืนใจนาง เจ้าทนลำบากอีกสักหน่อยก็เท่านั้นเอง” ชุนฮุ่นยังไม่ได้ติดเชื้อโรคระบาด หากส่งมาปรนนิบัตินาง ก็จะหมายความว่าตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงอยู่ดี ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะยินยอมหรือไม่?


 


 


ปี้เจียวรีบส่ายหัวอธิบาย “ไม่ใช่ว่าบ่าวกลัวลำบาก แต่บ่าวกลัวว่าบ่าวคนเดียวจะดูแลชายารองได้ไม่ดีเจ้าค่ะ” นางเพียงคนเดียว ต้องแบ่งเวลาไปจัดการหลายเรื่อง คงไม่อาจปล่อยให้ข้างกายถาวจวินหลันไม่มีคนปรนนิบัติหรอกใช่หรือไม่?


 


 


แต่เมื่อถาวจวินหลันสั่งเช่นนี้ ปี้เจียวก็ทำได้แค่ตอบรับเท่านั้น “พรุ่งนี้บ่าวจะไปถามชุนฮุ่ยดูเจ้าค่ะ”


 


 


งานศพของหลิวซื่อใช้ระยะเวลากว่าเจ็ดวัน ถึงได้ถือว่าเสร็จเรียบร้อย อย่างไรวันนี้แต่เดิมควรส่งออกจากจวนไปฝัง แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไฉนเลยจะยังส่งออกไปได้? ดังนั้นจึงทำได้แค่หยุดวิญญาณเอาไว้ในเรือนที่หลิวซื่อพำนักอยู่เท่านั้นเอง


 


 


แต่ชุนฮุ่ยกลับเปลี่ยนไปปรนนิบัติข้างกายถาวจวินหลันตั้งแต่พิธีจบลง แม้จะบอกว่ามีคนคอยนินทาว่ากล่าวอยู่ลับหลัง แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ดีแก่ใจว่า บ่าวรับใช้ข้างกายของถาวจวินหลันไม่พอใช้แล้ว


 


 


สำหรับคำนินทาเหล่านั้น ก็เพียงเพราะรู้สึกว่าถาวจวินหลันตั้งใจแสดงสถานะของตนเองเท่านั้น หรือรู้สึกว่าชุนฮุ่ยเป็นคนที่ถาวจวินหลันจัดการให้เข้าไปสอดแนมอยู่ข้างกายหลิวซื่อมาตั้งแต่แรก


 


 


แต่ถาวจวินหลันกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตได้อีกถึงเมื่อไร ไฉนเลยยังจะต้องมาสนใจเรื่องเหล่านี้?


 


 


สำหรับชุนฮุ่ยเห็นได้ชัดว่าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ชุนฮุ่ยรู้สึกว่า หากอยู่ข้างกายถาวจวินหลันได้ตั้งแต่ตอนนี้ นั่นก็ถือว่าเป็นโชคดีของนาง แม้ว่านางจะต้องเสี่ยงอันตรายเพราะเรื่องนี้ แต่ใต้หล้านี้หากอยากได้ผลประโยชน์ มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องเสี่ยงอันตราย? และอีกอย่างชายารองถาวก็ยังเป็นยอดดวงใจของท่านอ๋อง อยู่ข้างกายชายารองถาวถึงจะต้องเสี่ยงอันตรายก็ถือว่าคุ้มค่า


 


 


ชุนฮุ่ยอย่างไรแล้วก็เคยเป็นบ่าวรับใช้ใหญ่ข้างกายหลิวซื่อมาก่อน ย่อมต้องรู้ว่าดูแลเจ้านายอย่างไร แม้จะบอกว่าไม่รู้กฎเกณฑ์ของเรือนเฉินเซียง แต่หลังจากปี้เจียวและหงหลัวกำชับมาก็ถือว่าพอตัวแล้ว


 


 


ร่างกายถาวจวินหลันเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือว่าความแข็งแรงก็ตาม แต่นางรู้สึกว่าตัวนางยังดีกว่าเจียงอวี้เหลียน ตอนที่หลิวซื่อตาย เจียงอวี้เหลียนยังไม่ได้เป็นอะไรมากนัก แต่วันนี้กลับมีไข้สูง นอนซมอยู่บนเตียงต้องคอยให้คนปรนนิบัติทุกอย่าง


 


 


หมอหลวงสวีเองก็เริ่มมีอาการโรคระบาดแล้วเช่นกัน


 


 


ถาวจวินหลันก็ยังให้คนปิดข่าวนี้เอาไว้ ภายในจวนตอนนี้มีหมอหลวงเพียงคนเดียวเท่านั้น ทุกคนต่างฝากความหวังเอาไว้ที่หมอหลวงสวี


 


 


แต่หมอหลวงสวีก็ยังคงไม่ยอมแพ้ แม้ว่าตนเองจะติดเชื้อโรคระบาดแล้ว แต่เขาก็ยังคงมาตรวจทุกวัน รวมถึงทดลองเทียบยาต่างๆ ไม่หยุดหย่อน


 


 


ถาวจวินหลันเห็นท่าทีกระตือรือร้นของหมอหลวงสวี ก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก มีบางครั้งที่รู้สึกโศกเศร้า หมอหลวงสวีทำเช่นนี้ก็ยังคิดค้นวิธีรักษาไม่ได้ บางทีตัวนางเองอาจจะรอไม่ไหวแล้ว


 


 


แต่สุดท้ายนางก็ไม่ยินยอมให้ตนเองตายไปเช่นนี้ ดังนั้นทุกครั้งที่ตรวจจับชีพจร ถาวจวินหลันก็จะเตือนหมอหลวงสวีเสียงเบา “ในเมื่อด้านนอกคิดค้นยาที่สามารถทำให้คนไม่ติดเชื้อโรคระบาดง่ายขนาดนั้นแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าวัตถุดิบบางตัวในยาตัวนั้นคงใช้ยับยั้งโรคระบาดได้มิใช่หรือ? หรือว่าจะลองลงมือจากตรงนี้ดู?”


 


 


คำตอบหมอหลวงสวีนั้นกลับเป็นเสียงหัวเราะขมขื่น “ไม่ปิดบังชายารองถาว ข้าเคยคิดค้นมาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีพัฒนาการอะไร”


 


 


ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจไม่ได้ นางหมดหวังแล้วจริงๆ


 


 


“แต่สถานการณ์ของชายารองถาวยังถือว่าค่อนข้างดี บางทีอดทนผ่านไปได้ด้วยตนเองก็มิอาจทราบได้” ฉับพลันหมอหลวงสวีก็พูดว่า “หากเทียบกับคนที่เป็นระยะเดียวกัน อาการของชายารองถาวถือว่าดีที่สุด”


 


 


ถาวจวินหลันรู้ว่าหมอหลวงสวีต้องการปลอบตนเอง ย่อมไม่ดีหากจะโศกเศร้าต่อไป นางจึงฝืนยิ้มน้อยๆ “คิดไม่ถึงว่าข้าจะโชคดีถึงเพียงนี้”


 


 


เพราะว่าหมอหลวงสวีก็ไม่ได้มีเทียบยาอื่น ดังนั้นปี้เจียวยังคงยกกล่องยานั้นมา “ชายารองถึงเวลาทานยาแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันกลับไม่มีอารมณ์ สะบัดมือ”วางไว้ก่อนเถิด อีกครู่ค่อยกิน”


 


 


กลับเป็นหมอหลวงสวีที่สายตาดี เลิกคิ้วถามว่า “ไม่ทราบว่านี่คือยาปี้เซียวตันหรือไม่?”


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ใช่ เป็นยาปี้เซียวตัน”


 


 


ใบหน้าของหมอหลวงสวีฉายแววลุแก่โทษ พูดขอร้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ไม่ทราบว่าชายารองถาวสามารถให้คนดูยาปี้เซียวตานนี้อย่างละเอียดได้หรือไม่? ตัวข้าแม้จะเป็นคนของกรมหมอหลวง แต่ก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนว่าแท้ที่จริงแล้วยาปี้เซียวตานมีหน้าตาเป็นอย่างไร”


 


 


แม้นถาวจวินหลันตกใจกับคำขอของหมอหลวงสวี แต่นางก็ไม่ได้เป็นคนขี้งกอะไร ยิ้มพลางดันกล่องยาออกไป “หากหมอหลวงสวีอยากเอาไปศึกษา หยิบไปสักสองเม็ดก็ย่อมได้ ที่นี่ยังมีอีกมาก ไม่รู้ว่าจะทานหมดหรือไม่”


 


 


หมอหลวงสวีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้านแรงยั่วยวนไม่ไหว เอื้อมมือไปหยิบยามาเม็ดหนึ่ง “เม็ดเดียวก็พอแล้วขอรับ ข้าเองก็ได้ยินมาว่ายานี้มีคุณสมบัติเลิศล้ำ ดังนั้นจึงอยากดูให้ละเอียดมาโดยตลอด”


 


 


นี่ถือเป็นเรื่องทั่วไปของคนเป็นหมอ ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจ เม้มปากหัวเราะพลางพยักหน้า “มิเป็นไร ไม่พอท่านก็ค่อยมาเอาจากข้าได้อีก”


 


 


หมอหลวงสวีก็ไม่ใช่คนละโมบ จึงไม่ได้เอาไปเยอะ พลางรีบขอตัวลา ในความเป็นจริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเขาเองก็ติดเชื้อโรคระบาดนี้ เขาคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากขอเช่นนี้ ก่อนหน้านี้มักคิดว่าตนเองยังพอมีโอกาส ดังนั้นต่อให้มีความปรารถนามาตลอด แต่เขาก็ไม่เคยเปิดปากหรือว่าทำอะไรที่ไม่สมควรออกไป


 


 


พอหมอหลวงสวีกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะพลางพูดทอดถอนใจกับชุนฮุ่ย “หมอหลวงสวีเองก็ถือเป็นคนอายุน้อยมีความสามารถ หากยังพอมีเวลา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลายเป็นเช่นไร”


 


 


ชุนฮุ่ยกลับพูดตรงๆ “หากเขาคิดค้นวิธีรักษาโรคระบาดได้ก็คงจะดี”


 


 


คำพูดนี้กลับทำให้ก้นบึ้งหัวใจของถาวจวินหลันมืดมิด จนไม่พูดอะไรออกมาอีก เห็นดังนั้นปี้เจียวก็ร้อนรนรีบถลึงตามองชุนฮุ่ย ความหมายตรงตัวเป็นอย่างมาก


 


 


ชุนฮุ่ยก็รู้ว่าตนเองพูดผิดไป จึงรีบก้มหัวลงทันที ตักเตือนตนเองอยู่ในใจว่าต่อไปไม่อาจทำตามใจเช่นนี้ได้อีกแล้ว ตอนที่อยู่ข้างกายหลิวซื่อ นางต้องระมัดระวังรอบคอบเพราะอารมณ์ร้ายของหลิวซื่อ จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก ไม่กล้าเดินผิดแม้แต่น้อย ตอนนี้ถาวจวินหลันเป็นคนอารมณ์ดี และยังมีเมตตาต่อบรรดาบ่าวรับใช้อย่างพวกนาง นางถึงหลงระเริงจนลืมตัว


 


 


อาการของถาวจวินหลันดีเหมือนกับที่หมอหลวงสวีพูดเอาไว้ แต่อย่างไรก็ยังรุนแรงขึ้นทุกวัน วันนี้หมอหลวงสวีมาถึง ท่าทีขมวดคิ้วจับชีพจของเขาทำให้ถาวจวินหลันใจไม่ดีไปหลายส่วน


 


 


ต่อให้หมอหลวงสวีไม่พูดจา นางก็รู้ดีแก่ใจ เวลาของนางเหลือไม่มากแล้ว แต่ว่านางไม่พอใจ ถ้าเป็นคนอื่น ใครจะไปพอใจได้เล่า? ไม่ว่าจะเป็นหลี่เย่ หรือว่าลูกหญิงชายทั้งสองคน ล้วนทำให้นางไม่สามารถวางใจได้


 


 


“ท่านไม่ต้องปิดบังข้าอีก” ถาวจวินหลันเห็นหมอหลวงสวีไม่ยอมพูด ก็คิดว่าเขากลัวว่าพูดออกมาแล้วจะเพิ่มความกดดันให้กับนาง จึงได้หัวเราะขมขื่นพูดว่า “ท่านพูดมาเถิด เป็นเช่นนี้ต่อไป ข้ายังมีเวลาให้ใช้ชีวิตได้กี่วัน?”


 


 


แม้ว่าจะไม่ยินยอม แต่นางก็จนปัญญา เรื่องนี้ไม่สามารถเทียบกับอย่างอื่นได้ นางเรียกกลับคืนมาไม่ได้ และไม่มีทางรักษา


 


 


หมอหลวงสวีตกใจได้สติกลับคืนมาเพราะคำพูดของถาวจวินหลัน เขาจึงรีบส่ายหน้าอย่างแรง “ตอนนี้ดูแล้วยังไม่มีอันตรายถึงชีวิตขอรับ กลับเป็นชายารองเจียงที่ไม่อาจทนได้นานแล้ว ที่ข้าเหม่อก็เพราะข้ารู้สึกแปลก พูดตามหลักแล้วเมื่อชายารองเกิดอาการก็ควรต้องแย่ลงอย่างคนอื่นๆ แต่คิดไม่ถึงว่าอาการของท่านยังดีกว่าข้าหลายส่วนนัก ข้ากำลังคิดถึงสาเหตุอยู่”


 


 


ถาวจวินหลันตะลึงไป ถลึงตาโตอย่างตกใจ จากนั้นก็ตื่นเต้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ท่านหมายความว่า…” หาต้นเหตุนี้ได้ หมอหลวงสวีก็อาจจะคิดหาวิธีรักษาได้ใช่หรือไม่?


 


 


ต่อให้หมอหลวงสวีคิดหาวิธีรักษาไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ยังมีหมอคนอื่นอีก ขอเพียงแค่ข่าวนี้กระจายออกไป ก็จะต้องส่งผลประโยชน์ต่อการคิดค้นยารักษาอย่างแน่นอน


 


 


ข่าวเช่นนี้ถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดเท่าที่ถาวจวินหลันได้ฟังมาในหลายวันนี้ เทียบได้กับคนเดินถนนคนหนึ่งที่สิ้นหวังแล้วแต่กลับเห็นแสงสว่างสาดส่องที่ปลายขอบฟ้า


 


 


ความตื่นเต้นนี้ แทบจะบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้


 


 


ถาวจวินหลันคิด หากครั้งนี้นางทนได้ ต่อให้ชีวิตที่เหลือของนางต้องกินมังสวิรัตินางก็ยินยอม ต่อให้นางต้องสวดภาวนานางเองก็ยินยอมเช่นเดียวกัน


 


 


หมอหลวงสวีเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง แม้ว่าจะรักษาไม่หายแต่ก็มีผลในการยับยั้ง แล้วผสมวัตถุดิบยาตัวอื่นเข้าไป อย่างน้อยก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากหมอหลวงสวีคิดค้นให้ดีแล้ว”


 


 


หมอหลวงสวีก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน จึงอยู่ถามถาวจวินหลันไม่หยุด “ไม่ทราบว่าปกติแล้วชายารองถาวทานอะไรบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นยาหรือว่าอาหารบำรุงอย่างอื่น ทางที่ดีช่วยจดออกมาอย่างละเอียด ข้าจะได้มีความคืบหน้าในการคิดค้น”


 


 


แต่เรื่องนี้ถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้รู้อย่างชัดเจน เมื่อหมอหลวงสวีถามเช่นนี้ก็นิ่งอึ้งไป พลางหันไปมองปี้เจียวตามสัญชาตญาณ เรื่องนี้เกรงว่าจะมีปี้เจียวที่รู้ดีที่สุด


 


 


ปี้เจียวเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงเชิญหมอหลวงสวีออกไปพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ ถาวจวินหลันไม่ควรอยู่กับหมอหลวงสวีนานเกินไป อย่างไรก็ต้องหลบหลีกข้อครหาถึงจะดี


 


 


แต่ถาวจวินหลันก็ยังกำชับอีกว่า “ข่าวนี้ขอให้หมอหลวงสวีจดเอาไว้ให้ละเอียด ข้าจะให้คนเอาไปส่งนอกจวน ให้กรมหมอหลวงได้คิดค้นด้วย อย่างไรความคิดเห็นของคนเดียวย่อมมีขาดตกบกพร่อง ข้อคิดเห็นของหลายคนมักใช้ได้”


 


 


หมอหลวงสวีก็เข้าใจเหตุผลนี้จึงรีบตอบรับ แม้เขาจะรู้ว่าหากเขาคิดค้นได้ด้วยตัวคนเดียว ก็คงจะมีอนาคตก้าวไกลนับตั้งแต่ตอนนี้ แต่ตัวเขาตอนนี้เองยากจะรับประกัน ไฉนเลยยังจะละโมบเรื่องความสำเร็จ? ขอเพียงแค่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ นั่นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว


 


 


แต่ไม่ว่าจะเป็นถาวจวินหลันหรือว่าหมอหลวงสวีก็ดี ตอนนี้ก็ไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน หากสิ่งที่หมอหลวงสวีจดบันทึกถูกส่งออกไป เรื่องที่ถาวจวินหลันติดเชื้อโรคระบาดก็จะปิดไม่ได้อีกต่อไป อย่างไรเสีย ต่อให้คนอื่นไม่พูดแต่ยาปี้เซียวตานมีใครทานอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นกรมหมอหลวงก็ดี หลี่เย่ก็ดี ล้วนรู้ดีที่สุด


 


 


แต่เมื่อพูดกลับมา ต่อให้คิดได้แล้ว ในตอนนี้ก็คงไม่มีใครมาสนใจเรื่องนี้แล้ว ต่อให้เป็นถาวจวินหลันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึง 

 

 


บทที่ 462 สักขีพยาน

 

ตอนที่หลี่เย่รู้ข่าวเรื่องถาวจวินหลันติดเชื้อโรคระบาดก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว หลี่เย่ตอนนั้นกำลังฝึกพู่กันอยู่ เวลาโมโหหงุดหงิดก็มีเพียงแค่ฝึกพู่กันที่ทำให้เขาสงบใจได้บ้าง


 


 


 


 


ตอนที่หลิวเอินเคาะประตู หลี่เย่ยังขมวดคิ้ว มีท่าทีไม่ค่อยพอใจนัก ถ้าไม่ใช่เพราะคิดว่าหลิวเอินมาตอนนี้ย่อมต้องมีเรื่องเร่งด่วน เขาก็คงจะฝึกบทนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน


 


 


 


 


พอได้ยินเรื่องที่หลิวเอินรายงาน เขาก็ไม่สนใจตัวหนังสืออีกต่อไป ทิ้งพู่กันไว้บนโต๊ะ แล้วพูดด้วยความโมโหเป็นอย่างยิ่ง “ว่าอะไรนะ?!”


 


 


 


 


นี่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครรายงานมาก่อน! และถาวจวินหลันเองก็ไม่พูด ปิดบังเรื่องนี้มาโดยตลอด!


 


 


 


 


หลิวเอินไม่กล้าพูดอะไรอีก ก่อนที่เขาจะมารายงานเรื่องนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าจะมีผลอย่างไร พูดตามจริงถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย


 


 


 


 


หลังจากหลี่เย่โมโหอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ใจเย็นลง เขารู้ดีแก่ใจว่าที่ปิดบังเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นความคิดของถาวจวินหลันอย่างแน่นอน และมีเพียงถาวจวินหลันเท่านั้นที่กล้าปิดบังเขา


 


 


 


 


เหตุผลที่ปิดบังเขา ก็เพราะกลัวว่าเขารู้เรื่องนี้แล้วจะทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง


 


 


 


 


หลี่เย่กำมือแน่นอย่างควบคุมไม่ได้ ยังคิดน้อยใจว่า นางไม่เชื่อใจเขามากขนาดนี้ แล้วนางยังพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเขาไม่ยอมให้นางช่วยแบ่งเบา แล้วนางเล่า? นางเองก็เป็นเหมือนกันมิใช่หรือ?


 


 


 


 


หลิวเอินเห็นหลี่เย่มีท่าทางแปลกไป ก็รีบพูดว่า “แต่ยังดีที่ตอนนี้เริ่มมีความหวังบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกสักสองวัน อาจจะคิดเทียบยาได้แล้ว ถึงเวลานั้นชายารองย่อมต้องไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน”


 


 


 


 


หลี่เย่ได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเริ่มเบาใจมากขึ้น “จริงหรือ? มีความคืบหน้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”


 


 


 


 


หลิวเอินยิ้ม “เมื่อไปแล้ว ชายารองก็มีส่วนช่วยเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงที่ถูกกักไว้ในจวนของพวกเราสังเกตเห็นว่าอาการของชายารองถาวดีเป็นพิเศษ จึงสอบถามของที่ชายารองใช้ ในนั้นอาจมีบางอย่างที่สามารถควบคุมโรคระบาดได้ หากคิดค้นตามวิธีนี้ จะต้องผสมยารักษาโรคระบาดได้แน่พ่ะย่ะค่ะ กรมหมอหลวงทราบเรื่องนี้ต่างพากันดีใจถ้วนหน้า”


 


 


 


 


ปฏิกิริยาของกรมหมอหลวงก็เป็นเค้าลางว่าวิธีนี้เกิดผลจริง


 


 


 


 


“ให้พวกเขาคิดค้นให้ดี ให้เร็วที่สุด” หลี่เย่พูดข้อแม้ของตนเองสั้นๆ ง่ายๆ แล้วก็ถามอีกว่า “อาการของชายารองเป็นอย่างไรบ้าง? นางทรมานหรือไม่?”


 


 


 


 


หลิวเอินย่อมไม่กล้าพูดราดน้ำมันลงบนกองเพลิง เพียงแค่บอกว่า “อาการของชายารองดีกว่าคนอื่นมากพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าไม่ได้ทรมานมากนัก อีกทั้งด้วยวิธีของหมอหลวงสวี อารมณ์ของชายารองจึงสงบนิ่งมากพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


 


 


หลี่เย่ได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก ตอนแรกจะหลุดพูดออกมาว่า “ข้าจะไปดูเสียหน่อย” ตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อคิดได้ก็ต้องกลืนคำพูดลงไป แล้วต้องหงุดหงิดอีกครั้ง ในเมื่อวันนั้นไปมาแล้ว ก็ไม่ควรมองจากที่ห่างไกลอย่างนั้นเพียงครู่เดียวเท่านั้น ท้ายสุดในเมื่อไปแล้วก็ควรต้องเข้าใกล้เสียหน่อย และควรอยู่นานอีกหน่อย


 


 


 


 


ไม่มีใครรู้ความหงุดหงิดของหลี่เย่ เขาโบกมือให้หลิวเอินถอยออกไป คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ให้คนเอาเหล้ามากาหนึ่ง”


 


 


 


 


ดื่มเหล้าให้ลืมความเศร้า กลับเศร้ามากกว่าเดิม แต่ตอนนี้เขาไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหลายวันนี้ดื่มเหล้ากาหนึ่งทุกวัน พอตกกลางคืนเขาก็จะนอนไม่หลับ อีกทั้งเขาก็ควบคุมความบุ่มบ่ามที่อยากจะไปหาถาวจวินหลันไม่ได้


 


 


 


 


รพอหลิวเอินจากไปแล้ว เขาถึงกล้าแสดงท่าทีหวาดกลัว พูดพึมพำว่า “นางจะปลอดภัยใช่หรือไม่?” หยุดไปครู่หนึ่งก็ตอบคำถามของตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว “จะต้องปลอดภัยแน่นอน นางจะต้องไม่เป็นอะไร!”


 


 


 


 


เขาไม่มีทางยอมให้นางเป็นอะไร!


 


 


 


 


วันรุ่งขึ้นหลี่เย่เรียกให้คนไปส่งฎีการ้องเรียนจวนเหิงกั๋วกง พูดตามจริง จวนเหิงกั๋วกงทำให้เขาผิดหวัง เพราะเหิงกั๋วกงพยายามแค่ในตอนแรก แต่พอหลังๆ มาก็ไม่มีข่าวดีอะไรส่งมาอีก ทำให้เขาคาดหวังอย่างเปล่าๆ ปรี้ๆ


 


 


 


 


แต่เดิมเขายังคิดจะรออีกสองสามวัน แต่เรื่องที่ถาวจวินหลันติดเชื้อโรคระบาดทำให้เขาโมโหมาก อีกทั้งหมอหลวงสวีก็มีวิธีแล้ว ดูท่าว่าจวนเหิงกั๋วกงคงเป็นตัวไร้ประโยชน์แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดไฟตั้งแต่ต้นลม


 


 


 


 


เขาจะทำให้จวนเหิงกั๋วกงไม่มีที่ยืน และจะต้องทำให้ฮ่องเต้รังเกียจจวนเหิงกั๋วกง คิดดูแล้วจวนเหิงกั๋วกงเกิดเรื่องขึ้น ฮองเฮาก็จะต้องขายหน้าเป็นแน่ แม้กระทั่งฮ่องเต้และไทเฮาก็อาจจะพาลโกรธฮองเฮาไปด้วย คิดว่าเรื่องนี้ฮองเฮามีส่วนช่วย จวนเหิงกั๋วกงถึงได้เหิมเกริมไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้นเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีฝีมือของฮองเฮา แต่ใครใช้ให้ฮองเฮาออกมาจากจวนเหิงกั๋วกงเล่า?


 


 


 


 


นี่เรียกว่า ได้ดีคนหนึ่งก็พลอยได้ดีกันทั้งหมด เสียหายก็พาลเสียหายไปทั้งหมด


 


 


 


 


แน่นอนว่าหากใช้เรื่องนี้ล้มล้างจวนเหิงกั๋วกงก็มีความเป็นไปได้ แต่ทำนบพันลี้ทลายลงมา เนื่องจากรังมดที่เจาะอยู่ภายใน มีความอดทนและมุมานะบากบั่นย่อมประสบผลสำเร็จ หลี่เย่กลับจำสุภาษิตนี้ได้ขึ้นใจ


 


 


 


 


แม้แต่ชื่อเสียงขององค์รัชทายาท ก็จะต้องเสียหายเพราะเรื่องนี้


 


 


 


 


ส่วนเขาก็ถือว่ายิงธนูนัดเดียวได้นกหลายตัว แต่ความโกรธในใจกลับไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ทว่ายังคนหนักใจ ตราบใดที่ถาวจวินหลันยังไม่ดีขึ้น เขาก็คงยังไม่สบายใจไปตลอดใช่หรือไม่? แต่ไม่รู้ว่าหลังจากถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้แล้วจะสบายใจหรือไม่?


 


 


 


 


เมื่อคิดดูแล้ว หลี่เย่ก็ตัดสินใจเขียนจดหมายถึงถาวจวินหลัน บอกเรื่องนี้กับนางด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้เขามีเรื่องอะไรก็จะพยายามพูดออกมาจากปากเอง น้อยครั้งที่จะใช้พู่กันเขียนจดหมาย อย่างไรจดหมายก็ไม่เป็นความลับ หากถูกคนเห็นก็เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเพื่อป้องกันจึงพยายามไม่เขียนดีที่สุด


 


 


 


 


แต่วันนี้เขากลับทนไม่ได้อีกต่อไป และไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น


 


 


 


 


ตอนที่ถาวจวินหลันได้รับจดหมายของหลี่เย่ ก็ทั้งแปลกใจและเป็นกังวล ไม่สนใจที่จะแกะดูก่อน กลับพิจารณาดูครั่งที่ผนึกปากจดหมายอยู่อย่างละเอียดก่อน เห็นว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมก็รู้สึกสบายใจเปราะหนึ่ง


 


 


 


 


พอได้อ่านจดหมายแล้ว ถาวจวินหลันก็ยิ่งรู้สึกสับสน นางคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะทำเรื่องเช่นนี้ด้วย อย่างแรกเพราะว่าเหิมเกริมมากเกินไป อย่างที่สองการกระทำลักลอบเช่นนี้ ทำให้คนสังเกตเห็นง่ายมากเกินไป


 


 


 


 


การกดดันจวนเหิงกั๋วกงถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากเรื่องราวบนปลายจนไม่อาจควบคุมได้แล้วจะทำอย่างไร? จวนเหิงกั๋วกงยังไม่ได้ปิดจวนในทันที หนึ่งในนั้นย่อมต้องมีความเป็นไปได้ที่ไร้จำกัด หากเรื่องนี้พัฒนาไปในทางที่ไม่ดี แม้ว่าจะเป็นหลี่เย่เองก็กอบกู้สถานการณ์เลวร้ายอันตรายให้คืนสู่สภาพปกติไม่ได้


 


 


 


 


ถึงเวลานั้น หลี่เย่ก็จะกลายเป็นคนบาป


 


 


 


 


นางไม่ได้รู้สึกว่าที่หลี่เย่ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเพราะว่าเป็นคนยุติธรรม แต่เป็นเพราะว่าคำนึงถึงประชาชนถึงได้รู้สึกไม่สบายใจ นางแค่เป็นห่วงหลี่เย่เท่านั้น กลัวว่าจะปิดเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้ กลัวคนจะรู้ว่าหลี่เย่เป็นคนทำเรื่องนี้


 


 


 


 


ถึงเวลานั้นหลี่เย่จะทำเช่นไร? ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่สั่งสมมาอย่างยากลำบากต้องพังทลาย ต่อจากนี้ไปก็จะไม่มีที่ให้ยืนแล้วเช่นกัน และย่อมต้องได้รับคำก่นด่าไปหลายร้อยชาติ คนเป็นหมื่นต้องว่ากล่าว


 


 


 


 


ถาวจวินหลันแค่คิดถึงภาพตอนนั้นก็รู้สึกสั่นสะท้าน


 


 


 


 


นางอดคิดไม่ได้ว่าที่ไทเฮาไม่ชอบนางก็คงเป็นเรื่องถูกต้อง แม้จะบอกว่านางไม่ได้ทำอะไร แต่สุดท้ายแล้วนางก็มีผลต่อหลี่เย่มาก คราวนี้หากไม่ใช่เพราะนางเป็นอะไรไป เกรงว่าหลี่เย่คงจะไม่ทำเรื่องแบบนี้ ต่อให้ทำก็คงจะไม่เสี่ยงอันตรายมากถึงเพียงนี้


 


 


 


 


หากนางระมัดระวังตัวมากกว่านี้ก็คงจะดี หากนางดูแลตนเองให้ดีกว่านี้เสียหน่อยก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ หลี่เย่ก็คงไม่ต้องบุ่มบ่ามทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพราะเกิดเรื่องขึ้นกับนาง


 


 


 


 


แต่โทษตนเองไปก็ไม่อาจคลายปมเรื่องนี้ได้ จะรังเกียจตัวเองไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วโยนเรื่องเหล่านี้ทิ้งไป


 


 


 


 


ประโยคสุดท้ายในจดหมายของหลี่เย่ยังเขียนไว้ว่า ‘เหิงล่มสลายราบคาบ ข้ารอสตรีชมพร้อมกัน’


 


 


 


 


เหิงนี้ ย่อมหมายถึงจวนเหิงกั๋วกง หลี่เย่กำลังให้กำลังใจนางเป็นนัยๆ บอกนางว่า เขารอนางอยู่ข้างนอก


 


 


 


 


ถาวจวินหลันคิดว่าหลี่เย่ทุ่มเทมากขนาดนี้ หากนางตายไปอย่างง่ายดาย ก็ถือว่าทำให้ผิดหวังอย่างมากที่สุด มีเพียงแค่อยู่เป็นเพื่อนเขาตลอด ให้เขามีความสุข ให้ความฝันในการแก้แค้นเป็นจริง แล้วถึงจะเรียกว่าตอบแทนความรู้สึกของเขา


 


 


 


 


ดังนั้นไม่ว่าจะลำบากจะขมขื่นมากอีกเพียงใด นางก็จะต้องยืนหยัดต่อไป พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป จะต้องอดทนจนกว่าจะคิดค้นวิธีรักษาได้ แล้วก็จะต้องหายดี!


 


 


 


 


จำต้องพูดเลยว่า จดหมายฉบับนี้ของหลี่เย่เหมือนกับน้ำฝนโฉลมจิตใจ ทำให้นางตั้งสติได้ใหม่ และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ


 


 


 


 


ที่จริงแล้ว แม้ว่าหมอหลวงสวีจะมีแผนมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองจะรอจนถึงช่วงเวลานั้นได้


 


 


 


 


โรคระบาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ยินว่าทนมากสุดก็ไม่เกินหนึ่งเดือน อย่างเช่นหลิวซื่อแม้แต่ครึ่งเดือนก็ยังไม่ถึงด้วยซ้ำ อีกทั้งตอนนี้เจียงอวี้เหลียนเป็นมาเพียงสิบกว่าวันก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วมิใช่หรืออย่างไร?


 


 


 


 


แม้ว่าอาการของนางจะดีกว่าเล็กน้อย แต่จะดีไปได้ถึงเมื่อไรกัน


 


 


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว ไข้ที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้นางรู้สึกสะลึมสะลือ ไม่ได้สติเต็มที่


 


 


 


 


ถาวจวินหลันตั้งใจจะเก็บจดหมายของหลี่เย่เอาไว้ ถ้าตอนที่ทนไม่ไหวก็เอาจดหมายนั้นมาดูสักครั้ง นางจะต้องมีความกล้ามากขึ้นเป็นแน่ใช่หรือไม่?


 


 


 


 


แต่หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เลือกที่จะเผาจดหมายทิ้ง นางไม่มีทางเลือก เพราะสิ่งที่หลี่เย่เขียนลงมาในจดหมายนี้ไม่อาจให้คนอื่นรู้ได้ นางไม่อาจเสี่ยงอันตราย แม้ว่าจะเชื่อใจบ่าวรับใช้ข้างกายเหล่านี้มากเพียงใด แม้ว่าเรือนเฉินเซียงจะแข็งแรงแน่นหนามากเพียงใด นางก็ยังคงไม่กล้าเสี่ยงอันตราย


 


 


 


 


เก็บจดหมายเอาไว้ นางก็ไม่อาจสบายใจได้ สุดท้ายแล้วนางก็ต้องเผาจดหมายนี้อย่างตัดไม่ขาดเท่านั้นเอง


 


 


 


 


ถาวจวินหลันยังรู้สึกเสียดาย หากนางเขียนจดหมายตอบกลับหลี่เย่ได้ก็คงจะดี


 


 


 


 


ข่าวที่ถาวจวินหลันติดเชื้อโรคระบาดนั้นกระจายไปทั่วทุกที่ในวังหลวง บ้านตระกูลถาว บ้านตระกูลเฉิน ล้วนไม่มีข้อยกเว้น


 


 


 


 


หลังจากถาวจิ้งผิงรู้เรื่องนี้แล้ว ก็ตาแดงขึ้นมาในทันที จากนั้นก็ไปหาหลี่เย่โดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว แม้ว่าในใจของเขาจะรู้ดีว่าไปหาหลี่เย่ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ตอนนี้นอกจากหลี่เย่แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้อีก


 


 


 


 


ตัวเลือกของถาวซินหลันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับถาวจิ้งผิง เรียกคนให้ไปเตรียมรถ ต้องการไปพบหลี่เย่


 


 


 


 


และหลังจากพระชายาองค์รัชทายาทรู้เรื่องนี้ ก็เข้าพบฮองเฮาทันที พอพบฮองเฮาแล้ว พระชายาองค์รัชทายาทก็เห็นว่าฮองเฮานั่งตัดกิ่งต้นไม่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าอารมณ์ดีไม่น้อย


 


 


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทก็แย้มยิ้มเช่นเดียวกัน ก้าวขึ้นไปทำความเคารพแล้วนั่งลง พูดว่า “ดูท่าทางเสด็จแม่จะรู้ข่าวดีนี้แล้วเช่นกันใช่หรือไม่เพคะ”


 


 


 


 


ฮองเฮามองไปทางพระชายาองค์รัชทายาท “เรื่องเช่นนี้ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? แต่เดิมคิดจะให้คนไปแจ้งเจ้า แต่คิดไปคิดมาเจ้าเองก็น่าจะรู้ข่าวอย่างรวดเร็ว จึงให้คนออกไป”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม