เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 45.1-53.1

 ตอนที่ 45 - 1 ค่าตอบแทนของการยั่วยวน

 

มือของจิ่งเหิงปัวที่กำลังถือผ้าเช็ดหน้าค้างอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาเบิกกว้างในชั่วพริบตาเดียว 


 


 


การโต้ตอบแบบนี้ของกงอิ้นเกินความคาดหมายของนางอย่างยิ่ง! 


 


 


เอาเถอะ ที่จริงแล้วนางรู้ว่ามหาเทพมีความรู้สึกดีเพียงเศษเสี้ยวกับนาง สำหรับเรื่องนี้ผู้หญิงคงไม่อาจไม่รู้สึกอะไรบ้างเลย แต่นางไม่คิดว่าความรู้สึกดีที่มีเพียงเศษเสี้ยวหรือบางทีตัวมหาเทพเองไม่อาจแน่ใจนั้นจะทำให้บุคคลประเภทดวงใจอยู่กับโลกหล้า ความทะเยอทะยานมากล้นอย่างมหาเทพผู้นี้สูญเสียการควบคุม 


 


 


คนที่มองแวบเดียวยังรู้ว่ามีพลังการควบคุมตนเหลือล้นประเภทนี้ หรือปกติแล้วไม่ควรจะแอบกลืนน้ำลายแสร้งทำตนเช่นเดิม เวลาดึกดื่นค่อนคืนค่อยมอบตนเองให้เจ้าน้องชายกับมือขวาเหรอ? 


 


 


ไม่ว่าจะคาดคะเนจากนิสัยของเขาหรือการแสดงออกของเขา ตอนนี้เขาควรจะทะนงตนไม่แลเหลียว สะบัดแขนเสื้อจากไปหรือกล่าววาจาเราะร้าย เช่น “อย่าแทะมาทำข้าสกปรก” อย่างนั้นสักประโยคไปเลยสิ! 


 


 


ทว่าร่างกายหนักอึ้งบนเรือนร่างในขณะนี้เตือนสตินางถึงความเปลี่ยนแปลงบางสิ่ง ลมปราณแผ่วเบาดั่งต้นสนเขียวขจีบนภูเขาหิมะของเขาเจือความเหน็บหนาวโดดเดี่ยวไกลห่าง แต่ลมหายใจร้อนผ่าวพัดผ่านข้างลำคอของนาง นางรู้สึกว่าตั้งแต่ผิวกายจนถึงหัวใจคล้ายเกร็งแน่นเพียงน้อยด้วยเหตุนี้ รู้สึกว่าความร้อนชื้นปานนั้นดุจพ้นพิรุณกลางคิมหันต์ ไออากาศผนึกแน่น สรรพสิ่งเขียวขจีสลับซ้อนวุ่นวาย นำพาสิ่งรองรับอารมณ์ทั้งมวลเฝ้ารอการมาถึงของลมฟ้าลมฝนครั้งต่อไปในทุกเวลา 


 


 


นางหวั่นไหวในที่สุด 


 


 


ไม่ทันได้เตรียมตัวว่าควรจะโต้ตอบอย่างไรทั้งนั้น นางอาลัยอาวรณ์ลมหายใจหอมกรุ่นสูงส่งของเขาแต่หวาดกลัวความเหน็บหนาวแห่งหิมะบนผิวกายของเขา นางลุ่มหลงในอุปนิสัยปานหิมะโปรยไผ่ครามของเขาแต่ไม่ยอมก้าวสู่โลกแห่งน้ำแข็งผนึกเคลือบในดวงเนตรของเขาเช่นกัน 


 


 


สำหรับนาง ฟ้าดินของเขาคือความประหลาดใจ คือความยั่วยวน คือความลึกลับ คือสระหยกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่บนเขาสูงไกลห่าง นางยอมชื่นชมอยู่ห่างไกลทั้งยอมเหินลมเฉียดผ่าน ใช้ปลายนิ้วหยั่งเชิงระลอกคลื่นเบาบางที่เกิดขึ้นเพราะตนเองนั้น นางอยากมองเห็นรสชาติแสงสีทางโลกของเขาแต่ยังกลัวว่าพอสืบเท้าเข้าใกล้จริงจังจะถูกแช่แข็งด้วยความหนาวเหน็บในอ้อมแขน 


 


 


ค่ำคืนนี้…เขาคงจะโกรธเคือง ระบำหน้าท้องแบบนี้เคยเป็นระบำไร้ควบคุมที่ทำให้พวกอเมริกันยังทนไม่ได้ จะให้คนโบราณตามขนบธรรมเนียมผู้หนึ่งแบบกงอิ้นทนไหวได้อย่างไร? 


 


 


ลมหายใจของนางค่อยๆ ถี่กระชั้น จากนั้นค่อยๆ ผ่อนช้า มือที่ถือผ้าเช็ดหน้าร่วงลงมาดึงผ้าเช็ดหน้ามาไว้ในมืออย่างแม่นยำ 


 


 


นอนสักหน่อยเถอะ ดีต่อทั้งสองฝ่าย 


 


 


เขากลับก้มลงมาอย่างดุร้ายโดยพลัน 


 


 


มือของเขาร่วงลงมาทับมือที่ถือผ้าเช็ดหน้าของนาง อีกข้างหนึ่งงอข้อศอกเพียงครั้งขวางช่วงเอวของนางไว้ ร่างกายท่อนบนของนางขยับเขยื้อนไม่ได้ในทันที 


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจ ขณะนี้ในสมองเพิ่งรับรู้ถึงวาจาประโยคเมื่อครู่นั้นของมหาเทพ 


 


 


ค่าตอบแทน? เอ๋? ค่าตอบแทนอะไร? 


 


 


คงไม่ใช่อะไรอย่างนั้นหรอกมั้ง? 


 


 


ไม่เอานะพรหมจารีของพี่! 


 


 


“กงอิ้นเจ้าเป็นอะไรไป” ถึงอย่างไรยังรู้สึกว่าผิดปกติ นางหงายมือยื่นไปกุมมือของกงอิ้นคิดจะผลักเขาออก กล่าวว่า “ถูกพิษหรือ? ถูกยาหรือ? เกิดใหม่โดยพลันหรือ?” 


 


 


เขาไม่ตอบพลางทับลงมาอย่างหนักหน่วง นางชะงักไปในทันที ลำคอกึ่งหงายขึ้นแข็งทื่อ…ริมฝีปากอ่อนนุ่มหนาวเหน็บเพียงน้อยคู่หนึ่งพลันทอดลงบนติ่งหูของนาง 


 


 


ความเหน็บหนาวเพียงน้อยแลร้อนผ่าว อ่อนนุ่มแลอุ่นนวล…ดุจดังแสงอสนีหลั่งไหลทะลุผ่านเรือนร่างที่โอบกอดซึ่งกันและกัน เขาและนางล้วนสั่นสะท้าน 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงใจเต้นระรัวจนหัวใจทั้งดวงแทบจะลอยขึ้นมาแช่มช้า ความรู้สึกตอนนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย ร่างสะลึมสะลือดุจอยู่ในความฝันรู้สึกได้เพียงระหว่างริมฝีปากของเขาแปรเปลี่ยนจากเยือกเย็นไปสู่ร้อนรุ่มคล้ายหยกพันปีก้อนหนึ่งซึ่งอบอุ่นขึ้นมาในที่สุด ส่วนติ่งหูของตนเองคล้ายเพลิงผลาญโดยพลัน รัศมีเพลิงแผดเผาลุกลามตลอดทางจนถึงในจิตใจ 


 


 


สติสัมปชัญญะบอกตนเองว่าไม่เหมาะสมไม่เหมาะสม แต่ร่างกายอ่อนวัยกลับปรารถนาในสิ่งนั้น นางสิ้นไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา การต่อต้านขัดขืนในนัยน์ตากลายเป็นสายตาแวววาวสายหนึ่ง 


 


 


ทว่าเขาคล้ายผู้อ่อนวัยโง่เขลา พอริมฝีปากประชิดติ่งหูก็ถดถอยปานถูกลวก ยามทอดดวงพักตร์ลงไปอีกคราก็เลียบไปถึงข้างจอนผมดำขลับของนาง 


 


 


เส้นผมของนางอ่อนนุ่มลื่นละเอียด ดำขลับชุ่มชื้น กำจายกลิ่นหอมอัศจรรย์เจือจาง ริมฝีปากสัมผัสไปคล้ายจะลื่นไถล เขาถูกกลิ่นหอมนั้นทำให้ตื่นตะลึงซ้ำยังคล้ายถูกกลิ่นหอมนั้นซึมแทรกสู่จิตใจ กลายเป็นอารมณ์ซับซ้อนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกช่วงหนึ่งขวางกั้นตรงหน้าอก 


 


 


จิ่งเหิงปัวคันยิบเล็กน้อยอยากหัวเราะ ทั้งเกิดความสงสารแผ่วบางในทันที…เขาในตอนนี้ไกลห่างจากความเด็ดเดี่ยวเยือกเย็นในเวลาปกติ กิริยาท่าทางวางแผนตั้งแต่ในกระโจม โง่ไปนิดเขลาไปหน่อยคล้ายผู้อ่อนวัยยังไม่เป็นผู้ใหญ่ที่โง่เขลาแต่แรกเริ่ม 


 


 


กาลเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของเขาย่อมต้องสงบเงียบไร้เทียบเทียมดุจน้ำแข็งผนึกธารสวรรค์ มิเคยถูกเรื่องราวแสงสีทางโลกยับย่นรอยจีบสักรอยเดียว 


 


 


นางคล้ายจะไม่ต้องกังวลว่าความบริสุทธิ์จะถูกรุกรานหรือไม่ แต่ต้องกังวลว่าเขาจะทับนางจนหายใจลำบากตั้งแต่ต้นจนจบเพราะไม่รู้ว่าควรจะจูบสตรีอย่างไร 


 


 


ริมฝีปากของเขาดุจกำลังไล่ล่าทั้งดั่งกำลังตามหา ลังเลไปครู่ใหญ่ พริบตาต่อมาจึงทอดลงบนหน้าผากของนาง นางอดจะอยากหัวเราะอีกครั้งไม่ได้…คนเย็นชาพอน่ารักขึ้นมาพาให้คนไร้เรี่ยวแรงต่อต้านเสียจริง ดูสิเขาหาที่ซึ่งควรจรดริมฝีปากลงไปไม่พบ 


 


 


ผิวกายของเขาอ่อนนุ่มเย็นสบายปานหยกเย็น เป็นความเย็นสดชื่นที่พาให้คนอยากเข้าใกล้ ริมฝีปากกลับคล้ายกำลังสั่นสะท้านแผ่วเบา หยุดลงตรงหน้าผากอ่อนนุ่มเงาวาวหนาวเหน็บเพียงน้อยเช่นกันของนาง ขนตาหนาแน่นของนางสะบัดต้องใบหน้าของเขาอย่างไร้เดียงสา กวาดทีละครั้งละครั้งคล้ายจะกวาดจิตใจซับซ้อนยากจะควบคุมทุกสิ่งในชีวิตนี้เข้าไปในทุกซอกมุมของจิตใจ ซ้ำยังคล้ายจะยั่วเย้าอารมณ์ที่ฝุ่นขึ้นจับจนทะลักล้นลายคลื่นแจ่มแจ้งออกมาเป็นระลอก 


 


 


นางคล้ายสั่นสะท้านน้อยๆ เช่นกัน ถูกลมหายใจสะกดผู้คนของเขาแผ่คลุมคล้ายถูกกักขังในแดนฝันอันอ่อนโยน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงหวังเพียงเคลิบเคลิ้ม อดไม่ได้ที่จะอยากเหนี่ยวรั้งลมหายใจแบบนี้ไว้นานขึ้นสักหน่อย ให้นานขึ้นอีกสักหน่อย แขนสองข้างยกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวหวังจะโอบกอดเขา รู้สึกได้ทันทีว่าแขนทั้งสองข้างของเขายังคงทอดวางแข็งทื่ออยู่ข้างกาย อดจะหัวเราะในก้นบึ้งของหัวใจอีกครั้งหนึ่งไม่ได้ นิ้วยกขึ้นมาสัมผัสหลังมือเขาอย่างแผ่วเบา 


 


 


สัมผัสความเย็นยะเยือก! 


 


 


ซ้ำยังคล้ายมีวัตถุอะไรสักอย่างแหลกละเอียดที่ปลายนิ้วรำไร! 


 


 


นางเบิกตากว้างทันที! 


 


 


ชั่วพริบตานี้เขาหยุดลงโดยพลันเช่นกัน นางรู้สึกถึงร่างกายยากจะควบคุมของเขาสั่นสะท้านแผ่วเบาเพียงน้อย จากนั้นริมฝีปากของเขาขยับลงไปทางด้านล่างอย่างรวดเร็วคล้ายว่าในที่สุดเข้าใจว่าต้องตามหาริมฝีปากของนางให้พบ ทว่าไม่ได้รอให้เขามาถึงจุดหมายและไม่ได้รอให้นางคิดว่าจะโต้ตอบอย่างไร ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปโดยพลัน กายท่อนบนแหงนขึ้น 


 


 


“พรวด” 


 


 


ของเหลวร้อนผ่าวอึกหนึ่งพุ่งมาข้างลำคอของนาง จิ่งเหิงปัวมองเห็นสีแดงสดเข้มข้นผืนหนึ่งนั้นใต้แสงโคมมืดสลัวทันที! 


 


 


กระเซ็นว่อนดุจดอกอิงฮวาโลหิตทิ่มแทงสายตาของนาง 


 


 


พอเลือดอึกหนึ่งพุ่งออกมา เรือนร่างของกงอิ้นอ่อนยวบล้มลงไปอีกด้านหนึ่งโดยพลัน จิ่งเหิงปัวลุกพรวดพราดขึ้นมานั่ง แวบหนึ่งมองเห็นผลึกน้ำแข็งละเอียดเกลื่อนพื้น 


 


 


คือสิ่งที่นางสัมผัสโดนบนมือของเขาเมื่อครู่นี้เอง จากสิ่งที่นางสัมผัสโดนปรากฏจากปลายนิ้วของเขา ลุกลามรวดเร็วกระจายเต็มแขนครึ่งท่อน ตอนนี้แหลกละเอียดเกลื่อนพื้น! 


 


 


ในอากาศอบอุ่นผลึกน้ำแข็งละลายรวดเร็วซึมแทรกสู่โลหิตทั่วพื้น สีสันของพรมดอกโบตั๋นบนพื้นยิ่งสดสว่าง 


 


 


สมองของจิ่งเหิงปัวว่างเปล่าไปหมด ถึงอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะพานพบสถานการณ์แบบนี้ นี่กงอิ้นเป็นอะไรไป? 


 


 


หลังชะงักไปเนิ่นนานนางกระโดดพรวดขึ้นมารีบเร่งไปประคองกงอิ้น ผ้าเช็ดหน้าร่วงพื้นถูกโลหิตเปรอะเปื้อนสูญเสียประสิทธิผล นางลืมไปเสียแล้ว 


 


 


กงอิ้นไม่ได้หมดสติไปเพียงสีหน้าขาวซีดขาวโพลนดุจหิมะบนยอดเขา แม้แต่สีริมฝีปากยังมองไม่เห็นสีเลือดสักสาย เขาหลบหลีกมือที่ยื่นมาประคองของจิ่งเหิงปัว ตนเองลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ ยื่นมือชี้ไปด้านนอกก่อนจะหลับตาลง 


 


 


นี่คือการบอกใบ้ให้นางรีบเร่งไปให้พ้นด้วยตนเอง 


 


 


ขณะนี้จิ่งเหิงปัวถึงจะเชิญให้นางไปนางก็ไม่ไปแล้ว ไม่มองสัญญาณมือของมหาเทพแม้แต่น้อย วิ่งไปยังข้างประตูเสียก่อน แน่ใจว่าสี่ด้านไร้ผู้คนจึงรีบปิดประตูแน่นหนักลง 


 


 


จากนั้นนางมองดูสีหน้าของกงอิ้นแทบจะไม่ดีขึ้น คิดอยู่ว่าต้องไปหายาหรือไม่ ด้านในหอของกษัตริย์เทียนหนานมีห้องรับรอง แต่ว่าตอนนี้ไปได้เหรอ? นางกับเหยียลี่ว์ฉีกำลังวุ่นวายกับการทำเรื่องดีอยู่นะ อีกอย่างนางและเหยียลี่ว์ฉีก็ไม่ได้มีเจตนาดีต่อกงอิ้น รู้ว่าเขามีปัญหายังจะไม่ลงมือเหรอ? 


 


 


ยังไม่ทันได้คิดให้ชัดเจน พอหันหน้ากลับไป นาง “อ๊ะ” สั้นๆ เสียงหนึ่ง พบอย่างตกตะลึงว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ผิวกายทั้งหมดที่ปรากฏออกมาให้เห็นบนร่างกายของกงอิ้นล้วนแผ่คลุมด้วยผลึกน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่ง เขากลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งตนหนึ่งระหว่างชั่วประเดี๋ยวเดียว 


 


 


น้ำแข็งและหิมะแผ่เคลือบจนสิ้น ขณะนี้เขางดงามจนหนาวเหน็บ 


 


 


นี่มันท่าทางอะไรเนี่ย อาการกำเริบหรือว่ารักษาอาการบาดเจ็บกันแน่ 


 


 


จิ่งเหิงปัวนั่งยองเบื้องหน้ามนุษย์น้ำแข็งอิ้นหวังศึกษาโดยละเอียดสักหน่อย น้ำแข็งในดวงตาค่อยๆ แผ่ขยายผ่านผิวกายทั้งหมดของเขา ตอนกำลังหนามากยิ่งขึ้นจนจะแช่แข็งเขาทั้งร่างก็หยุดลงโดยพลัน จากนั้นมีหมอกเจือจางลอยขึ้นมา น้ำแข็งนั้นเริ่มละลายด้วยความเร็วเชื่องช้าที่สุด 


 


 


จิ่งเหิงปัวคล้ายเข้าใจขึ้นมา ดูท่าทางกงอิ้นกำลังรักษาอาการบาดเจ็บ เมื่อน้ำแข็งละลายคือตอนที่ฟื้นฟูพละกำลังการเคลื่อนไหวเสร็จสิ้น 


 


 


ปัญญาหิมะเป็นวรยุทธ์อย่างไรกันแน่? ทำไมถึงแปลกประหลาดขนาดนี้? 


 


 


จิ่งเหิงปัวคำนวณความเร็วที่น้ำแข็งละลายแล้ว อย่างน้อยที่สุดยังต้องการชั่วยามหนึ่งกงอิ้นจึงจะฟื้นฟูสมบูรณ์ 


 


 


หนึ่งชั่วยามนี้จะผ่านไปอย่างไร 


 


 


จิ่งเหิงปัวทุบอก…ทำกรรมไว้ย่อมหนีไม่พ้น! 


 


 


… 


 


 


ภายในห้องด้านใน แขนสองข้างของกษัตริย์เทียนหนานเกี่ยวพันเหยียลี่ว์ฉีไว้อย่างแนบแน่นดุจอสรพิษ 


 


 


เสื้อของทั้งสองคนปลดลงมาครึ่งหนึ่งแล้วมิรู้ตั้งแต่ยามใด สาบเสื้อที่โปรยลงมาห้อยลงบนเตียงนุ่ม 


 


 


“เหยียลี่ว์…คนดีของข้า…”กษัตริย์เทียนหนานหวนรำลึกถึงมุมที่ยามจิ่งเหิงปัวใช้มองผู้อื่น ซบอยู่ที่ไหล่ของเขาอย่างน่ารักใคร่ ลมหายใจหอมกรุ่นดุจกล้วยไม้พัดผ่านใบหูของเขาเอ่ยว่า “…ค่ำคืนนี้…ค่ำคืนนี้พวกเราอยู่ด้วยกันดีหรือไม่…” 


 


 


“ดี…” เหยียลี่ว์ฉีอมยิ้มก้มลงมองนาง โอบเอวของนางไว้ผลักนางล้มลงไป เอ่ยว่า “…เช่นนั้นข้าไปอาบน้ำเสียก่อน…” 


 


 


“ไม่ต้องแล้ว…”กษัตริย์เทียนหนานยื่นแขนจับเขาที่กำลังจะขยับกายลุกขึ้นไว้อย่างรวดเร็ว ลากเขาไปที่เตียงทีละน้อย เอ่ยว่า “อย่าทำให้หมดสนุกสิ ข้าไม่รังเกียจเจ้าหรอก…ยามนี้…ยามนี้พวกเราก็…” 


 


 


นิ้วหมุนวนแผ่วเบาหลายครั้งคล้ายมิได้ตั้งใจ กระดุมบนสาบหน้าของเหยียลี่ว์ฉีปลดออกอย่างเงียบเชียบ 


 


 


ลมหายใจของกษัตริย์เทียนหนานยิ่งถี่กระชั้น หลังเท้าโค้งขึ้นมาถูไถเอ็นร้อยหวายของเขา แขนรัดเขาไว้แผ่วเบาแนบแน่นประดุจเถาวัลย์ 


 


 


มือของนางยื่นไปใต้ผ้าห่ม ‘ผ้าปิดปาก’ กลางฝ่ามือตั้งท่ารอคอย เพียงแต่ประจันหน้าเหยียลี่ว์ฉีตลอดเวลาไม่มีหนทางแปะให้เขา นางเองไม่ยอมแปะไว้บนหมอน กลัวกระทบกับประสิทธิผล 


 


 


“ย่อมได้…” เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะแผ่วเบา โอบนางไว้อย่างอ่อนโยน เรือนร่างโน้มลงมาอย่างแช่มช้า 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานจิตใจเบิกบาน 


 


 


วันนี้เขาให้ความร่วมมือเช่นนี้ ดูท่าคงหวั่นไหวจริงแล้ว อาจไม่ต้องการสรรพคุณของผ้าปิดปาก ยังกลายเป็นน้ำมาคลองเกิด[1]ได้ 


 


 


นางกระหวัดริมฝีปากแดงฉ่ำดุจบุหงาลาวัณย์เงยรับขึ้นมาอย่างเร่าร้อน 


 


 


ริมฝีปากกำลังจะสัมผัสกัน 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีชะงักไปโดยพลัน จากนั้นเงยหน้าเอ่ยว่า “เหตุใดจึงหนาวขึ้นมาโดยพลัน?” 


 


 


ยามนี้ทั่วร่างของกษัตริย์เทียนหนานกำลังร้อนผ่าวดุจเพลิงลามลุก ฟังแล้วย่อมรู้สึกว่าเขาแก้ตัว สายตาเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยว่า “ที่แห่งนี้ทั้งสี่ฤฤดูดุจวสันต์ หนาวตรงไหนหรือ?” 


 


 


สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีกลับจริงจังหนักแน่นยิ่งนัก เงยหน้าจ้องมองม่านกระโจมหลายชั้นที่ขวางกั้นด้านนอก พลันเอ่ยว่า ‘มีหมอก’ 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานเอ่ยอย่างรำคาญว่า “หมอกยามค่ำคืนเท่านั้น! พวกเรารีบนอนกันเถิด!” ยื่นขาเพียงครั้งเกี่ยวเหยียลี่ว์ฉีมาเบื้องหน้าตนเอง 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีดันแขนสองข้างไว้ก้มหน้ามองนาง ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ข้านี้มิใช่ห่วงใยท่านหรอกหรือ? ท่านถอนองครักษ์แลบริวารไปจนสิ้นแล้ว ความปลอดภัยของท่านย่อมต้องควรให้ข้าเป็นกังวล ท่านดูหมอกยามค่ำคืนนี้สิ มีไอน้ำค้างแข็ง แลชัดเจนว่าผิดปกติ” 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานได้ยินเขาเอ่ยอย่างระแวดระวัง หันกายท่อนบนอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ มองอยู่เนิ่นนานถึงมองเห็นว่าระหว่างม่านกระโจมสีแดงเข้มมีหมอกสีขาวเจือจางกลุ่มหนึ่งซึมแทรกเข้ามาพร้อมมีไอหนาวจู่โจมมารำไร 


 


 


“ข้างนอกอาจจะมีลมพัดกระมัง…” นางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน ยื่นแขนไปโอบลำคอของเขา 


 


 


“มิคล้าย…ข้าต้องไปดูสักหน่อย ประเดี๋ยวจะมา” เหยียลี่ว์ฉีก้มหน้าสัมผัสลำคอของนางอย่างแผ่วเบา หัวเราะเสียงเบาเอ่ยว่า “อย่าใจร้อนสิโฉมงามของข้า รอข้านะ…” 


 


 


เขาดึงมือของกษัตริย์เทียนหนานออกอย่างอ่อนโยนทว่าเด็ดเดี่ยว ลุกขึ้นลงจากเตียง กษัตริย์เทียนหนานลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ หันหน้าจับจ้องเงาด้านหลังที่เด็ดเดี่ยวของเขา กำหมัดขยี้เตียงนุ่มเพียงครั้งอย่างรุนแรง 


 


 


จิตใจของเหยียลี่ว์ฉีกลับอยู่ที่ไอน้ำค้างแข็งกลุ่มหนึ่งนั้น เลิกม่านกระโจมออกมองไปข้างนอกปราดหนึ่ง ในแววตาปรากฏรอยยิ้มโดยพลัน 


 


 


นึกไม่ถึงเลย…จริงๆ … 


 


 


“ฉี…” กษัตริย์เทียนหนานข้างหลังกำลังพร่ำเพรียกเรียกหาเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรกระมัง รีบกลับมา…” 


 


 


“อ้อ คล้ายจะไม่ปกติเท่าไร” เขาหันหลังยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนเพียงครั้ง เอ่ยว่า “ข้าไปดูสักหน่อย คงมิอาจให้มือสังหารรบกวนท่าน” 


 


 


สายตาของกษัตริย์เทียนหนานทอดลงบนคอเสื้อของเขา กระดุมหลายเม็ดของเขาที่ถูกนางแกะออกล้วนกลัดไว้อีกครั้งมิรู้ตั้งแต่ยามใด! 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานอยากจะขยี้หมัดหนึ่งนี้บนศีรษะของเขาอีกครั้งยิ่งนัก หรือดึงกระดุมพวกนั้นลงมาจนสิ้นในคราเดียว 


 


 


ให้เขากลัดกระดุม! ให้เขาเสแสร้ง! ให้เขาหลอกลวง! 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีสืบเท้าแผ่วเบาหวังออกไปข้างนอก 


 


 


… 


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวฟังความเคลื่อนไหวด้านในอยู่ ไม่รู้ว่าทำไม นางรู้สึกเพียงว่าไม่วางใจ 


 


 


ตามความเข้าใจที่นางมีต่อเหยียลี่ว์ฉี ต่อให้มีผ้าเช็ดหน้าฉี่เฟยเฟย ระดับสติปัญญาอย่างกษัตริย์เทียนหนานนั้นก็ไม่แน่ว่าจะสามารถจัดการเขาได้อยู่หมัด 


 


 


แต่นางก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนกงอิ้น กลัวจะทำให้องครักษ์ข้างนอกตื่นตกใจ และไม่กล้าคิดติดต่อองครักษ์ของกงอิ้น อีกทั้งนางไม่รู้วิธีที่กงอิ้นติดต่อองครักษ์ 


 


 


ในหูได้ยินความเคลื่อนไหวละเอียดเลือนราง คล้ายว่าด้านในมีเสียงคนแผ่วเบา 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองไปรอบด้าน ฉวยมือคว้าแจกันเคลือบใบหนึ่งขึ้นมาไว้ในมือ เดินไปยังปากประตูด้านในอย่างเงียบเชียบ 


 


 


ทั้งด้านในด้านนอกของหอจุ้ยหนีไม่มีฉากกั้นห้อง มีเพียงม่านกระโจมหนาหนักหลายชั้น คนเดินเข้าไปไร้เสียงโดยสิ้นเชิง 


 


 


จิ่งเหิงปัวถือแจกันตั้งท่ารอคอย ในขณะเดียวกันจ้องเล็งบอนไซกระถางหนึ่งบนชั้นวางข้างม่านกระโจม 


 


 


ในห้องมืดสลัว บรรยากาศผนึกแน่นแลสงบเงียบ วัตถุแผ่คลุมอยู่ในแสงเงามืดครึ้ม สรรพเสียงอู้อี้ในม่านกระโจมหนาดั่งเสียงสะท้อนมาจากที่ห่างไกล มีเพียงลมหายใจดุจน้ำค้างแข็งเบาบางกลุ่มหนึ่งซึ่งลอยล่องออกมาจากร่างกายของกงอิ้น พัดผ่านเข้ามาภายในอย่างไร้รูปร่าง 


 


 


ม่านกระโจมสั่นไหวโดยพลัน 


 


 


นิ้วมือนิ้วหนึ่งยื่นออกมา  


 


 


จิ่งเหิงปัวกลั้นลมหายใจ ยกแจกันขึ้นสูง… 


 


 


 


 


 


[1] น้ำมาคลองเกิด หมายถึง เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ความสำเร็จย่อมตามมา 

 

 

 


ตอนที่ 45 - 2 ค่าตอบแทนของการยั่วยวน

 

กษัตริย์เทียนหนานจ้องมองเงาด้านหลังของเหยียลี่ว์ฉี 


 


 


ความโกรธแค้นที่ถูกปฏิเสธถูกลวงหลอก ชั่วยามนี้ลุกโชนโชติช่วงประดุจเพลิง จุดฟึ่บสักหน่อยก็เผาผลาญสติสัมปชัญญะจนสิ้น 


 


 


นางพลิกกายลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เดินเท้าเปล่าไปยังด้านหลังของเหยียลี่ว์ฉี ในมือแปะ ‘ผ้าปิดปาก!’ เพิ่มส่วนผสมพิเศษนั้นไว้แนบแน่น 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเลิกม่านกระโจมขึ้นมา 


 


 


“กรี๊ด เจ้าคือผู้ใด!” กษัตริย์เทียนหนานกรีดร้องเสียงหนึ่งโดยพลัน เสียงร้องน่าเวทนา 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีหันหลังโดยจิตสำนึก มองข้างหลังจนชัดเจนว่ามิได้มีสถานการณ์ใดในปราดเดียว รู้สึกโดยพลันว่าแย่แน่ หางตากวาดไปเห็นกษัตริย์เทียนหนานพุ่งมาอย่างบ้าคลั่ง ฝ่ามือมีวัตถุสีขาวผืนหนึ่ง! 


 


 


เขารีบเร่งถอยหลัง! 


 


 


ม่านกระโจมสะบัดเลิกขึ้นมาดังพึ่บพั่บเสียงหนึ่งดุจไร้สิ่งกีดขวาง เรือนร่างของเขาถอยไปด้านนอกปานสายฟ้า 


 


 


“เพล้ง” 


 


 


ยามที่เรือนร่างของเขาทะลุม่านกระโจมออกไปนั้น เสียงหนึ่งดังก้อง แจกันหนักอึ้งใบหนึ่งกระแทกลงบนศีรษะของเขาอย่างรุนแรงรวดเร็วแม่นยำ 


 


 


จิ่งเหิงปัวลงมือ! 


 


 


ด้านหลังเหยียลี่ว์ฉีมีกษัตริย์เทียนหนานถือผ้าอนามัยไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง ด้านข้างมีจิ่งเหิงปัวถือแจกันสูงดักซุ่มอยู่ ในความวุ่นวายเขาทันได้เพียงหันข้างเล็กน้อย 


 


 


แจกันแตกเพล้งแหลกละเอียดบนไหล่ซ้ายของเขา 


 


 


แม้เอ็นโลหะกระดูกเหล็ก ชั่วขณะนี้ยังยากจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด ท่วงท่าของเขาชะงักไปเล็กน้อย กษัตริย์เทียนหนานพุ่งเข้ามาแล้ว กระโจนเพียงครั้งผลักเขาล้มลงไป ผ้าอนามัยในมือตั้งท่าตบลงไปบนปากของเขาอย่างรุนแรง! 


 


 


… 


 


 


เรือนร่างของเหยียลี่ว์ฉีชะงักงันหยุดการเคลื่อนไหวถอยไปทั้งอย่างนั้น ล้มลงบนพื้นโดยพลัน 


 


 


เสียงพลั่กอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น กษัตริย์เทียนหนานทรงตัวไม่อยู่ ล้มทิ่มลงไปบนร่างของเขา 


 


 


ตามมาด้วยเสียง “พลั่ก” อีกเสียงหนึ่ง บอนไซบนชั้นวางล้มลงมากระแทกบนหลังของกษัตริย์เทียนหนานเสียจนดวงตาของนางกลอกเป็นสีขาว ร้องเฮือกเสียงหนึ่งแล้วสลบไป 


 


 


ข้างเศษกระเบื้องเกลื่อนพื้น จิ่งเหิงปัวปรบมือหมุนกายออกมาร้อง “เย่!” อย่างไร้เสียง 


 


 


… 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็ว 


 


 


แม้ว่าร่างกายบาดเจ็บซ้ำยังถูกลอบกัดครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าพื้นฐานดีทุกสิ่งย่อมดีตาม ทั้งฉี่เฟยเฟยก็ดีแจกันก็ดี ล้วนมิอาจทำให้เขาสลบไสลได้ยาวนาน 


 


 


หากมิใช่เพราะร่างกายยังบาดเจ็บ ทั้งผ้าปิดปากฉี่เฟยเฟยก็ดีแจกันก็ดี ล้วนเป็นเพียงหมอกควันผืนหนึ่งตรงปลายนิ้วของเขาเท่านั้น 


 


 


ยามเขาลืมตาขึ้นมา มองเห็นกษัตริย์เทียนหนานที่ถูกมัดอยู่ด้านหนึ่ง ก่อนจะมองเห็นจิ่งเหิงปัวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้าม 


 


 


นางยังคงแต่งกายในชุดนางระบำก่อนหน้านี้ เกษายาวสยายดอกไม้งดงาม กรองศอทอประกายเจ็ดรัศมีห้อยย้อยบนช่วงท้องสีขาวหิมะและช่วงเอวบอบบาง ชายกระโปรงสีแดงเพลิงล่องลอยแผ่คลุมอยู่รอบกายผุดเผยความกลมกลึงอิ่มเอิบ แสงทองจากกระดิ่งทองคำบนเท้าสีขาวหิมะเช่นกันกะพริบวิบวับ งดงามยั่วยวนทว่าท่วงท่าจริงจัง พาให้คนนึกถึงท่วงท่าอ่อนช้อยสวยสดงดงามของเทพอัปสรโบยบินบนจิตรกรรมฝาผนังโบราณสีสันสดใส 


 


 


สายตาของเหยียลี่ว์ฉีเจือด้วยความลุ่มหลงสายหนึ่ง ทว่ายามเขารับรู้สถานการณ์ของตนเอง ความคิดงดงามที่เพิ่งตลบอบอวลสูญสลายในทันที 


 


 


ปากของเขาถูกวัตถุขาวโพลนแผ่นหนึ่งปิดไว้ ในความทรงจำนี่คล้ายจะเป็นสิ่งที่กษัตริย์เทียนหนานพุ่งเข้ามาแปะบนปากของเขาในยามสุดท้าย มือถูกมัดไว้ข้างหลังด้วยเชือกผสมเส้นเอ็นที่ยิ่งดิ้นรนยิ่งจะบาดเข้าเนื้อ เรื่องนี้ช่างมันเถิด ที่สำคัญยิ่งกว่าคือมีมีดเล่มน้อยเปล่งประกายเล่มหนึ่งปักอยู่ตรงหัวไหล่ของเขา 


 


 


เขามองหัวไหล่ด้วยหางตา สุดท้ายแล้วจึงเผยรอยยิ้มผืนหนึ่งออกมาอย่างช่วยไม่ได้ 


 


 


การปักเช่นนี้ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก นางปักลงตรงศูนย์กลางการโคจรปราณแท้ของเขาพอดี เท่ากับว่าเพิ่มการสกัดแข็งแรงอีกชั้นหนึ่ง ปราณแท้ของเขาจะถูกสะบั้นขัดขวางตรงจุดนี้ทำให้สิ้นไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน 


 


 


นางไม่อาจรู้เรื่องนี้ได้เอง กงอิ้นคงสอนนางสินะ? 


 


 


สตรีฝั่งตรงข้ามนั่งเท้าคางยิ้มแย้มอย่างแล้งน้ำใจ ลอนผมยาวสยายและขนตายาวงอนงามกำลังสั่นไหวเล็กน้อย หางตากระหวัดขึ้นมาเพียงน้อย แววตาดำขลับเป็นประกายระยิบระยับ เพริศแพร้วเจือคลุ้มคลั่งดั่งดอกอิงซู่ดอกหนึ่งซึ่งสั่นไหวอยู่บนยอดวิมาน 


 


 


สายตาของเหยียลี่ว์ฉีวูบวาบด้วยความลุ่มหลงที่เขาเองยังมิทันรู้สึกตัว 


 


 


สตรีเช่นนี้… 


 


 


เอ่ยว่าไม่ได้ตั้งใจทว่าจงใจ เอ่ยว่าโง่เขลาทว่าเฉลียวฉลาด จิตใจดีงามทว่าเ**้ยมโหด เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ทว่าแลดูหลอกลวงได้ง่ายดายยิ่ง 


 


 


ยามนางคัดเลือกเฟ้นหาตำแหน่งลงมีดบนร่างเขาคงจะมิได้ลังเลแม้แต่น้อย มองนางยามนี้ยิ้มอย่างดีใจคงจะมิได้มีความเมตตาแม้แต่น้อยเช่นกัน 


 


 


รูปโฉมงดงามแท้จริงแล้วมิได้มอมเมานางได้อย่างจริงแท้ นางไร้ความปรานีต่อศัตรูแต่แรกเริ่ม 


 


 


เขาอยากจะถอนหายใจทอดยาวเสียงหนึ่งให้ตนเองและให้กงอิ้นโดยพลัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มจ้องมองจากสีหน้าของเขา แน่ใจว่าตนเองทายถูกแล้ว 


 


 


ในสมองนางมีกระต่าย กวางโรและตัวฮวนที่ถูกชำแหละนับไม่ถ้วน มีวาจาที่กงอิ้นเคยเอ่ยในป่ารกชัฏวันนั้นปรากฏขึ้นในทันที 


 


 


“แทงตรงตำแหน่งด้านล่างกระดูกหัวไหล่สามส่วน…ถูกต้อง ไม่เพียงแต่สัตว์ที่สามารถจัดการเช่นนี้ได้ สำหรับคนบางคนย่อมจัดการได้เช่นกัน” 


 


 


แต่ไหนแต่ไรมามหาเทพไม่เอ่ยวาจาไร้สาระ วาจานี้เขาเคยเอ่ยสองรอบ ฉะนั้นเมื่อนางมองเห็นเหยียลี่ว์ฉีจึงคิดว่า ข้างล่างกระดูกหัวไหล่สามส่วนเป็นภัยคงหมายถึงเขาสินะ? 


 


 


ทักษะการใช้มีดระดับสุดยอดที่ฝึกฝนกับซากกระต่าย กวางโรและตัวฮวนนับไม่ถ้วนครั้งจนสำเร็จในป่าเขา มีดเดียวแม่นยำราวจับวาง 


 


 


ในสมองของนางปรากฏภาพมือของกงอิ้นยามสาธิตให้นางดู มือนั้นเรียวยาวมั่นคง เปล่งประกายด้วยแสงอาทิตย์ละเมียดระหว่างพรรณไม้ 


 


 


ทำไมถึงปรากฏผลึกน้ำแข็ง? 


 


 


ทำไมถึงเกิดสถานการณ์แบบนี้? 


 


 


… 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมองดูนัยน์ตาสองข้างที่ว่างเปล่าเล็กน้อยของนางจึงรู้ว่านางเหม่อลอยอีกครั้งแล้ว อดจะถอนหายใจไม่ได้ 


 


 


“พระองค์ทรงคิดจะทำอย่างไร มองกันไปมองกันมาจนเบื่อหน่ายเช่นนี้หรือ” 


 


 


เสียงแว่วออกมาจากผ้าอนามัยฟังไม่ชัดเจนนัก ประสิทธิภาพในยึดเกาะของสิ่งนั้นไม่เพียงพอ ใช้แรงเอ่ยวาจาเพียงสองประโยคมันก็หลุดลงมาเกือบครึ่ง เหยียลี่ว์ฉีรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยจึงสะบัดศีรษะมันก็ร่วงลงมาอีกนิดหน่อย 


 


 


จิ่งเหิงปัวเบนสายตากลับมาจ้องมองผ้าอนามัยบนปากของเขา แผ่นใหญ่ขาวโพลนแปะอยู่บนปากของเหยียลี่ว์ฉีแลดูงดงามสบายตาเสียจริง นางคิดไม่ถึงเลยว่าพอผ้าอนามัยเปลี่ยนตำแหน่งผลลัพธ์จะยั่วอกยั่วใจขนาดนี้ 


 


 


รอยยิ้มของนางคลุมเครือเหลือเกิน จนทำให้เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองแผ่นใหญ่ผืนหนึ่งนั้นอย่างสงสัย เอ่ยถามว่า “สิ่งนี้คือสิ่งใด” 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่หวังให้เขาสงบสุขเลยแม้แต่น้อย 


 


 


“อ้อ” นางกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “นี่คือของใช้อนามัยของสตรีที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ใช้ในยามไม่สะดวก ถูกต้อง คือสิ่งที่เจ้าคิดนั่นล่ะ ข้าได้ยินว่าของเล่นนี้ขจัดสิ่งชั่วร้ายแลทำให้บุรุษโชคร้ายได้ด้วย ข้ารู้สึกว่าธรรมชาติสรรค์สร้างมันมาเพื่อเจ้าโดยแท้ ดูสิ แนบสนิทปลอดภัยสามร้อยหกสิบองศาไม่รั่วซึมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง กดไลค์เลย” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉี “…” 


 


 


พริบตาต่อมาเขาพ่นลมหายใจพุ่งออกมาจนของเล่นชิ้นนั้นลอยละลิ่วร่วงพื้น สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีเขียวคล้ำและขาวซีดสลับไปมา สิ่งเดียวที่พอจะคลายความกังวลของตนเองคือวัตถุสีขาวหิมะนี้สะอาดสะอ้าน ดูท่าทางคงยังไม่ผ่านการใช้งาน 


 


 


พริบตาต่อมาจิ่งเหิงปัวทำลายการปลอบโยนตนเองของเขาอย่างโหดร้าย 


 


 


“จริงสิ ลืมบอกเจ้าไป” นางยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ของเล่นนี้แม้ว่าไม่เคยใช้งาน แต่ทว่าข้าให้สัตว์เลี้ยงของข้าฉี่ใส่บนนั้นเสียแล้วล่ะ” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีตัดสินใจว่าภายภาคหน้าหากมีโอกาสจะต้องให้นางสวมกางเกงในของตนเองร่ายรำ! 


 


 


จิ่งเหิงปัวชื่นชมสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างว่องไวและสงบลงอย่างไวว่องของเขาเสร็จแล้วจึงแอบชมว่าพลังควบคุมตนระดับราชครูไม่เลวเลย เดิมทีนางยังอยากเห็นใบหน้าสีม่วงของเหยียลี่ว์ฉีว่าหล่อหรือไม่อยู่เลย 


 


 


“ของเล่นนี้ข้ายังมีอีกมากนัก หากเจ้าไม่อยากถูกแปะลงไปทีละแผ่น ละแผ่น จนภายภาคหน้าโชคร้ายเสียจนออกจากบ้านถูกรถชน เดินถนนถูกก้อนหินเขวี้ยงใส่ไปตลอดชาติละก็…” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มจิ้มร่างเขา เอ่ยว่า “พวกเรามาทำข้อตกลงกัน” 


 


 


“อื้ม?” เหยียลี่ว์ฉีพ่นลมหายใจ พยายามลืมแผ่นขาวโพลนบนพื้นผืนหนึ่งนั้น 


 


 


“ข้าไม่ต้องการชีวิตเจ้า เจ้าส่งข้ากับกงอิ้นออกจากวัง” นางกล่าว 


 


 


“หลังจากออกจากวังเล่า? องครักษ์ของกงอิ้นจะไล่ล่าสังหารกระหม่อมหรือ” 


 


 


“นั่นมันเรื่องของเจ้า หรือว่าข้ายังต้องปกป้องเจ้าอีก? อย่าบอกนะว่าความสามารถในการเอาตัวรอดของเจ้ายังสูญสลายไปด้วย” นางไม่คล้อยตาม เอ่ยว่า “ข้ายังไม่สังหารเจ้าตอนนี้ เพียงแค่ให้โอกาสเจ้า” 


 


 


“ไหล่ของกระหม่อมเจ็บยิ่งนัก เกรงว่าจะเดินไม่ไหว ” เหยียลี่ว์ฉีผุดเผยรอยยิ้มเปล่งประกายในค่ำคืนมืดสลัวให้นาง เอ่ยว่า “พระองค์ประคองกระหม่อม กระหม่อมน้อมส่งพวกท่านออกไป” 


 


 


“หรือว่าข้าจะปลุกกษัตริย์เทียนหนานดีล่ะ” จิ่งเหิงปัวกล่าวขึ้นมาคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง กล่าวต่อไปว่า “แม้ว่าตัดหัวนางออก ทว่าน่าจะยังคงมีเรี่ยวแรงจัดการเจ้ากระมัง?” 


 


 


“พระองค์มิทรงเสียดายหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม เอ่ยว่า “เรือนร่างของกระหม่อม เดิมทีหวังเพียงรักษาไว้ให้พระองค์นะ ฝ่าบาทของกระหม่อม” 


 


 


“ไม่รับของมือสอง” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มกระชากวิญญาณเสียยิ่งกว่าเขา 


 


 


“ยี่สิบกว่าปีนี้รักษาตนบริสุทธิ์ดุจหยก ไม่เชื่อพิสูจน์ได้” เหยียลี่ว์ฉีกะพริบตา 


 


 


จิ่งเหิงปัวชี้แผ่นอกของเขา กล่าวว่า “เคยถูกผู้อื่นซุกซบ” 


 


 


ชี้ใบหน้าของเขา กล่าวว่า “เคยถูกผู้อื่นลูบคลำ” 


 


 


นิ้ววาดขึ้นลงครั้งหนึ่งคล้ายจะวาดทั่วทั้งร่างของเขา กล่าวว่า “เคยถูกผู้อื่นแตะต้องตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า” 


 


 


ปลายนิ้วดีดเพียงครั้ง เสียงดีดนิ้วดังขึ้นครั้งหนึ่ง 


 


 


“มหาสมุทรลึกสามหมื่นลี้ยังล้างกลิ่นแป้งชาดบนกายเจ้าให้สะอาดมิได้” นางสรุป 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเลิกคิ้วมิได้โกรธเคือง หางตาชำเลืองวูบไหวไปทางกงอิ้นที่อยู่ในสภาพกึ่งเยือกแข็ง 


 


 


“แปดเปื้อนกลิ่นหอมของผู้อื่น ย่อมสะอาดเสียกว่าแปดเปื้อนร่างกายผู้อื่นมากระมัง?” 


 


 


“ผู้ใด” จิ่งเหิงปัวยากจะรู้สึกไวแบบนี้ 


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มทว่ามิเอ่ยวาจา สายตาเป็นระลอกที่เหลือบไปยังกงอิ้นย่อมเป็นคำตอบที่ไร้ซึ่งสรรพเสียง 


 


 


“กับผู้ใด” จิ่งเหิงปัวเกิดจิตใจแห่งการซุบซิบนินทา 


 


 


“พระองค์ว่าผู้ใดล่ะ?” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม เอ่ยว่า “หากมิได้เกิดเหตุสุดวิสัย ราชครูล้วนสมรสกับราชินีนะ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจึงชะงักไปเล็กน้อย อดจะเหลือบมองกงอิ้นแวบหนึ่งไม่ได้ 


 


 


“สำหรับเรื่องเก่าครานั้น ในแคว้นต้าฮวงล้วนมิได้แพร่งพรายออกมาแม้แต่คำเดียว บางครั้ง คำตอบนี้อาจจะมีเพียงกงอิ้นที่สามารถตอบพระองค์ได้ แน่นอนว่าเขาจะทูลคำตอบเช่นไรแด่พระองค์นั้นย่อมขึ้นอยู่กับความยินยอมพร้อมใจของเขาเอง ขอจิตวิญญาณของพระองค์จงสว่างไสว อย่าได้ถูกผู้อื่นมอมเมาไปตลอดกาล” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเบนสายตาขึ้นมาจับจ้องมองเขา เหยียลี่ว์ฉีถูกสายตาทะลุทะลวงและลึกลับของนางจ้องเสียจนไร้อิสระไปเล็กน้อย แค่นเสียงแผ่วเบาเสียงหนึ่ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “อะไรหรือ” 


 


 


“ยามนี้ข้ากำลังถูกมอมเมา ดีที่จิตวิญญาณของข้าสว่างไสว” นิ้วเรียวยาวของจิ่งเหิงปัวจิ้มไปที่เขา กล่าวว่า “เหยียลี่ว์ฉี มิต้องเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ หวังเสี้ยมสอนยังต้องดูเวล่ำเวลา” 


 


 


“อ้อ เชื่อมั่นในตัวเขาขนาดนี้เขียวหรือ?” 


 


 


“ข้าเชื่อมั่นในลางสังหรณ์ของตนเอง ข้าคาดคะเนได้จากปฏิกิริยาเพียงน้อยของบุรุษ” จิ่งเหิงปัวยิ้มเพียงครั้งอย่างเจ้าเล่ห์ กล่าวว่า “สิ่งใดเรียกว่าเสียงร่ำลือ? สิ่งนั้นคือสิ่งที่มีเพียงคนในเหตุการณ์รับรู้ จากนั้นคนอีกกลุ่มหนึ่งเดาไปเดามาบอกต่อกันไปบอกต่อกันมาเสียจนนอกเรื่องหมื่นลี้มิหลงเหลือเค้าเดิม วาจาซุบซิบนินทาฟังเสียหน่อยก็พอแล้ว คิดหรือว่านั่นมิใช่ถูกใส่ความ? อีกอย่าง…เรื่องนั้นเกี่ยวกับข้าเสียที่ไหน?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหลังให้กงอิ้น ไม่ได้พบว่าหลังเสียงวาจาประโยคสุดท้ายนั้นเพิ่งสิ้น กงอิ้นที่ผลึกน้ำแข็งบนใบหน้าละลายจนสิ้นแล้วลืมตาขึ้นมามองนางปราดหนึ่งโดยพลัน 


 


 


ปราดเดียวนี้เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง จากนั้นเขาหลับตาลงแช่มช้า 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ได้มองเห็นแวบหนึ่งนี้ แต่พบทันทีว่าเหยียลี่ว์ฉีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตนเองยิ้มชั่วร้ายยิ่งยวดยิ้มดีใจยวดยิ่ง 


 


 


ปกติแล้วรอยยิ้มเช่นนี้ของพวกจิ้งจอกไม่เคยมีเรื่องดี นางไม่อยากถกเถียงกับจิ้งจอกต่อไปอีกแล้ว ลุกขึ้นฉวยมือดึงผ้าคลุมที่ตระเตรียมไว้ก่อนหน้านี้พาดไว้บนไหล่ ดึงมีดน้อยเล่มนั้นออกมา ใช้สันมีดเคาะหลังของเหยียลี่ว์ฉี กล่าวว่า “ไปเถิด” 


 


 


ขอเพียงบาดแผลที่มีดแทงเข้าไปยังไม่สมานตัว ล้วนสามารถสะบั้นขัดขวางเหยียลี่ว์ฉีได้ทั้งนั้น นางเหลือมีดเล่มนี้ไว้เพื่อป้องกันตนเอง 


 


 


เหยียลี่ว์ฉียืนขึ้นมาอย่างสุขุม จิ่งเหิงปัวขยับกงอิ้นไปบนหลังของเขา ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “แบกคนรักเก่าของเจ้าให้ดีนะ อย่าได้หกล้มเชียวล่ะ” 


 


 


จากนั้นนางเตะกษัตริย์เทียนหนานจนฟื้นคืนสติในครั้งเดียว 

 

 

 


ตอนที่ 45 - 3 ค่าตอบแทนของการยั่วยวน

 

“ต้าหวัง” นางเพิ่งฟื้นคืนสติจากการสลบไสลมิทันได้รับรู้สถานการณ์ให้ชัดเจน จิ่งเหิงปัวพูดเจื้อยแจ้วข้างหูกษัตริย์เทียนหนานผู้มีสายตาว่างเปล่าว่า “เมื่อครู่ท่านเกือบสิ้นชีพแล้ว! โชคดีที่ข้าเสี่ยงอันตรายช่วยท่านไว้! ยามนี้เจ้าชุดขาวผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ เหยียลี่ว์ฉีจะส่งเขาออกไปรักษาอาการบาดเจ็บ ข้าแนะนำให้ท่านรีบอัญเชิญเทพแห่งกาฬโรคกลับไปเถิด อย่าได้พาปัญหามาให้ตนเองเลย คนพวกนี้ท่านจัดการไม่ไหวหรอก น่านะ?”


 


 


“ข้า…” กษัตริย์เทียนหนานยังสะลึมสะลือ


 


 


“ท่านทำเช่นนี้ละกัน” จิ่งเหิงปัวใช้มือข้างหนึ่งประคองนางขึ้นมา มีดเล่มน้อยในมือจ่อทื่อตรงเอวของกษัตริย์เทียนหนาน


 


 


ทั่วร่างของกษัตริย์เทียนหนานสั่นสะท้านเป็นระลอก ได้สติเพียงน้อย จ้องมองนางอย่างตื่นตระหนก


 


 


จิ่งเหิงปัวผุดเผยรอยยิ้มที่เพียงพอสยบสิ้นสรรพสิ่งให้นาง


 


 


รอยยิ้มเช่นนี้ทั้งแพรวพราวทั้งเข้มแข็ง กษัตริย์เทียนหนานกลืนน้ำลาย จำใจเรียนรู้ว่าจิ่งเหิงปัวผู้ที่ดูคล้ายเจรจาได้โดยง่าย แท้จริงแล้วไม่มีช่องว่างสำหรับการเจรจา


 


 


นางทำได้เพียงค่อยๆ ขยับออกไป ปราณแท้ของเหยียลี่ว์ฉีถูกสะบั้นขัดขวางทว่าการเคลื่อนไหวไม่ได้ติดขัดอะไร ใบหน้าคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้มแบกกงอิ้นก้าวเท้าตามมา ผู้ที่จิ่งเหิงปัวระแวดระวังที่สุดคือเขา มือหนึ่งบีบบังคับกษัตริย์เทียนหนาน อีกด้านหนึ่งยังใช้หางตากวาดมองเขา


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเดินไปหลายก้าวแลมิได้หันหลัง เอ่ยโดยพลันว่า “ข้างหลังกระหม่อมมีสิ่งใด?”


 


 


“เรื่องนี้ยังถูกเจ้าพบเข้าแล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มพราวราวมวลผกา กล่าวว่า “ปิ่นปักผมอันหนึ่งเท่านั้น แหลมคมเพียงน้อย อาจจะทิ่มคนจนสิ้นชีพหรืออาจจะทิ่มแทงทว่าไม่สิ้นชีพ หรือเจ้าจะลองเสียหน่อย?”


 


 


กษัตริย์เทียนหนานมองดูปิ่นทองอันหนึ่งซึ่งล่องลอยอยู่ข้างหลังเหยียลี่ว์ฉีอย่างเงียบเชียบมิรู้ตั้งแต่ยามใดอย่างหวาดผวา ส่วนปลายแหลมคมที่ทอประกายวิบวับจ่อตรงกลางหลังของเหยียลี่ว์ฉี


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับรู้สึกว่าเหนื่อยล้า การใช้ความคิดบังคับวัตถุของนางแท้จริงแล้วคงอยู่ได้ไม่นานนัก เช่นเดียวกับการพาคนหายตัวก็ไปได้ไม่ไกล อีกเดี๋ยวพอออกไป นางต้องบีบบังคับกษัตริย์เทียนหนาน ต้องเฝ้าดูเหยียลี่ว์ฉี ซ้ำยังต้องระวังความเคลื่อนไหวขององครักษ์กษัตริย์เทียนหนาน จิตใจเดียวใช้สามทาง จะทันระแวดระวังได้อย่างไร?


 


 


ดังคาดการณ์ไว้พอคนหลายคนปรากฏกายที่นอกหอ เงาดำมากมายปรากฏกายที่สองฝั่งของสะพานปิดกั้นสะพานไว้โดยพลัน


 


 


“ทูลฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ต้องจับกระหม่อมไปด้วยเล่า?” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “หากถอยออกไปโดยใช้เส้นทางนี้ องครักษ์ของต้าหวังอาจจะลงมือได้ทุกเวลา พระองค์ระแวดระวังได้ทันหรือ?”


 


 


“ไม่จับเจ้าไปด้วย เจ้าสิจะกลายเป็นตัวแปรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ปิ่นปักผมจิ่งเหิงปัวทิ่มเหยียลี่ว์ฉีอย่างแผ่วเบาพร้อมกล่าวว่า “เดินไปข้างล่าง”


 


 


ข้างล่างคือบันไดริมน้ำ มีเรือน้อยที่เหล่าข้ารับใช้ในวังใช้สำหรับรับส่งอาหารผูกไว้


 


 


ในแววตาของเหยียลี่ว์ฉีมีความประหลาดใจสายหนึ่งแลความชื่นชมเป็นอย่างยิ่งสายหนึ่งเฉียดผ่าน


 


 


นึกไม่ถึงว่านางจะเฉลียวฉลาดเช่นนี้


 


 


ขบวนคนลงจากสะพานขึ้นสู่เรือ จิ่งเหิงปัวให้เหยียลี่ว์ฉีนั่งที่หัวเรือ ปล่อยกษัตริย์เทียนหนานที่ถูกมัดทั้งสองมือไว้ท้ายเรือ ส่วนนางกับกงอิ้นนั่งอยู่ตรงกลาง ปิ่นทองล่องลอยอยู่ข้างหลังเหยียลี่ว์ฉี


 


 


นี่คือแม่น้ำไหลวนในพระราชวัง ล่องเรือตามน้ำไปสามารถแล่นไปสู่นอกวังได้ น้ำในแม่น้ำกว้างพอสมควรทำให้ความเป็นไปได้ในการยิงธนูจากทั้งสองฝั่งมีไม่มาก กษัตริย์เทียนหนานคุมท้ายเรือย่อมเป็นโล่กำบังธนูที่มีชีวิตอันหนึ่ง ป้องกันมีคนยิงธนูจากบนสะพานลอบฆ่านางกับกงอิ้น


 


 


เหยียลี่ว์ฉีอยู่ที่หัวเรือย่อมเป็นโล่กำบังธนูเนื้อมนุษย์อันหนึ่งเช่นกัน รอเดี๋ยวใกล้ถึงหน้าประตูวังต้องมีทหารเฝ้าประตูเฝ้าดูอยู่แน่นอน ใครกล้าลงมือขัดขวางให้ใต้เท้าเหยียลี่ว์บังไว้พอแล้ว


 


 


“รบกวนใต้เท้าเหยียลี่ว์พายเรือแล้ว” นางส่งพายให้เขา ยิ้มแย้มอย่างงดงามเพียงครั้งพลางเอ่ยว่า “ยามพวกเราเพิ่งรู้จะกัน เจ้าเองเคยพายเรือให้ข้า ยามนี้ได้ลองฝีมือว่ายังไหวหรือไม่พอดิบพอดี?”


 


 


“หากพระองค์พระราชทานอนุญาต กระหม่อมยินยอมพร้อมใจพายเรือให้พระองค์ชั่วชีวิต” เขาไร้ซึ่งความเห็นต่าง น้ำเสียงลึกซึ้งจริงใจ


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะเหอะเพียงครั้ง สะบัดมือไปมาขับไล่วาจาของเขาปานขับไล่หมอกที่มอมเมาผู้คน


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมองนางปราดเดียว นั่งหัวเราะเสียงหนึ่งอยู่ตรงหัวเรือ ชุดคลุมยาวโปรยลงมาแกว่งไกวสั่นไหวแช่มช้าท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน


 


 


เสียงน้ำจ๋อมแจ๋มขับให้เรือมั่นคงกลางค่ำคืนสงบเงียบโดดเด่น เหล่าองครักษ์ของกษัตริย์เทียนหนานที่อยู่บนฝั่งขยับเขยื้อนตามมาอย่างตึงเครียด เงาดำหนาแน่นเฉียดผ่านปานสายลม


 


 


เหยียลี่ว์ฉีฟังเสียงลมหายใจมั่นคงของสตรีข้างหลัง ดวงใจกระเพื่อมขึ้นมาเพียงน้อย เอ่อล้นด้วยอารมณ์หลากหลายดุจดั่งคลื่นธารนี้


 


 


ที่ผ่านมา…หรือว่าดูถูกนางเสียแล้ว


 


 


ความกล้าหาญเฉลียวฉลาด ความเยือกเย็นไร้หวาดหวั่น อีกทั้งความรอบคอบสันทัดในการแสวงหาโอกาสในทุกสภาพแวดล้อม รวมถึงสัญชาตญาณการสยบสถานการณ์โดยกำเนิดไม่ว่าภายใต้สภาพแวดล้อมใดก็ตาม


 


 


สิ่งเหล่าล้วนนี้เป็นคุณสมบัติพิเศษของอัจฉริยะผู้โดดเด่นที่สุด ที่ผ่านมาถูกบดบังด้วยความเฉื่อยชาและความงามเพริศแพร้วของนาง นางเกียจคร้านเช่นนี้ ขอเพียงมีผู้เป็นที่พึ่งพาย่อมไม่ยินยอมใช้สมองด้วยตนเองเด็ดขาด


 


 


ทว่าพอข้างกายไร้ที่พึ่งพา นางแข็งแกร่งเสียจนสามารถจัดการทุกผู้คนให้หัวหมุนด้วยมือข้างเดียวได้


 


 


สตรีบางนางมองเพียงครั้งคือแจกัน ไร้ผู้คนล่วงรู้ดวงใจเคลือบเงาซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน


 


 


ที่ผ่านมามิเคยใส่ใจนางอย่างจริงจัง ยามนี้เขากลับฟังเสียงลมหายใจของนาง นึกถึงใบหน้าแพรวพราววาวแววของนาง ดวงใจดั่งสายน้ำหลั่งไหลแช่มช้านี้ ภายนอกสงบเงียบทว่าคลื่นขวางสลับซ้อนในตนเอง


 


 


ขณะนี้จิ่งเหิงปัวกลับกำลังยุ่งวุ่นวายจนไม่ทันได้ใส่ใจอารมณ์เล็กน้อยของเขา นางขยับปิ่นทองอันนั้นออกไปอย่างเงียบเชียบ แอบซับเหงื่อครั้งหนึ่ง ขูดผลึกน้ำแข็งก้อนหนึ่งออกมาจากร่างของกงอิ้น วางไว้ข้างหลังของเหยียลี่ว์ฉี


 


 


การทำให้ปิ่นทองล่องลอยคงอยู่โดยตลอด ขณะนี้นางทำไม่ได้ ในเมื่อความรู้สึกของเหยียลี่ว์ฉีเฉียบไวขนาดนั้น คิดว่าไอหนาวจากก้อนน้ำแข็งคงจะทำให้เขารู้สึกถึงไอสังหารได้?


 


 


เหยียลี่ว์ฉีคล้ายไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เงาด้านหลังสงบเงียบ จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มองกงอิ้นที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ผลึกน้ำแข็งบนร่างกายของเขาละลายลงมาถึงหัวเข่าแล้ว สีหน้าเย็นชาขาวซีดใต้แสงจันทร์มิคล้ายมีลมหายใจแห่งมนุษย์


 


 


นางอยากใช้ฝ่ามือให้ความอบอุ่นแก่เขาขึ้นมา


 


 


มือยังไม่ได้ยกขึ้น ได้ยินเหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยขึ้นมาว่า “พายเรือจ๋อมแจ๋ม จันทราผ่องอำไพ ข้างกายมีสาวงามร่วมทาง ข้างฝั่งมีชายชาตรีร่วมส่ง ราวกับฤกษ์งามยามดีของการเปิดใจเอ่ยเรื่องราวสักเรื่อง”


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกคิกเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ดีเลย เช่นนั้นเล่าเรื่องราวที่จำเป็นต้องเอ่ยถึงระหว่างเจ้ากับกงอิ้นสักหน่อยสิ?”


 


 


“หรือว่าเรื่องราวที่จำเป็นต้องเอ่ยถึงระหว่างกงอิ้นกับราชินีองค์ก่อน?” เหยียลี่ว์ฉีเสียงอมยิ้มลึกล้ำดุจมีความยั่วยวนไร้ที่สิ้นสุด เอ่ยว่า “ประสงค์จะทรงฟังหรือไม่?”


 


 


“ไม่ฟัง” จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงอาฆาตเสียงหนึ่ง ไม่คิดว่าคำนินทาที่ออกมาจากปากของเหยียลี่ว์ฉีจะมีอะไรน่าเชื่อถือ แต่หูกลับตั้งขึ้นมาอย่างควบคุมมิได้


 


 


เหยียลี่ว์ฉีดั่งคล้ายมิได้ยินวาจาของนาง นิ้วมือเฉียดผ่านสายน้ำไหลแผ่วเบา เริ่มต้นเล่าเรื่อง


 


 


“สถานภาพทางการเมืองของต้าฮวงแปลกประหลาดยิ่งนักตลอดมา บังเอิญตรงที่ว่าราชครูฝ่ายซ้ายแลฝ่ายขวาทุกรัชสมัยผู้หนึ่งจำต้องมาจากตระกูลใหญ่โต อีกผู้หนึ่งจำต้องมาจากตระกูลสามัญชน ตามตำนาน หากรัชสมัยใดปรากฏการเปลี่ยนแปลง จะเป็นลางบอกเหตุถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของสถานภาพทางการเมืองของต้าฮวง”


 


 


จิ่งเหิงปัวกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “อย่างไรเสียรัชสมัยนี้ยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง เจ้ามาจากตระกูลใหญ่โต กงอิ้นมาจากตระกูลสามัญชน”


 


 


“เหอะๆ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง…” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มคล้ายเจือด้วยความแปลกประหลาดหลายส่วน เอ่ยสืบต่อว่า “ช่างเถิด นับว่าเขามาจากตระกูลสามัญชนย่อมได้ ว่ากันว่ามีปีหนึ่งหรือยามราชินีองค์ก่อนขององค์ก่อนยังทรงครองราชย์ แว่นแคว้นต้าฮวงมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งโผล่ขึ้นปานดาวตก เด็กหนุ่มผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากราชครูฝ่ายขวาท่านก่อน ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามปีได้ขุดรากถอนโคนผู้มีความเห็นต่างเพื่อราชครูท่านก่อน กำราบชนเผ่า อำนาจแข็งแกร่ง สั่งสมกำลัง สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่”


 


 


จิ่งเหิงปัวนั่งฟังอย่างเงียบเชียบ ช้อนดอกไม้ร่วงกลีบหนึ่งที่ลอยอยู่บนผิวน้ำขึ้นมาอย่างแผ่วเบา บนดอกไม้มีผลึกน้ำแข็งละเอียดแลดูพร่างพราวราวดอกไม้ปลอม


 


 


“ราชครูท่านก่อนชอบเด็กหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก เอ่ยหลายครั้งว่าจะยกบุตรีให้สมรสกับเขา ยามนั้นบุตรีของราชครูท่านก่อนยังเด็กเกินไป เอ่ยว่ารออีกไม่กี่ปีเรื่องดีงามคงจะสำเร็จลุล่วง”


 


 


“ทว่าที่สุดแล้ววันเวลางดงามมิได้มาถึง หนึ่งปีหลังจากนั้น ยามราชครูท่านก่อนออกตรวจราชการ เขาถูกลอบทำร้ายจนสิ้นชีพ ทั้งจวนถูกสังหารจนสิ้น แม้แต่เด็กหญิงตัวน้อยยังยากจะหลีกลี้มือมัจจุราช”


 


 


น้ำเสียงของเหยียลี่ว์ฉีลึกล้ำ จิ่งเหิงปัวจ้องมองท้องน้ำมืดสลัวและโคมไฟดวงน้อยแสงทะมึนจากพระราชวังห่างไกลครุ่นคิดถึงค่ำคืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มือสังหารเหาะเหินในค่ำคืนมืดมิด ปลายกระบี่เรียวยาวหยดย้อยด้วยโลหิตเข้มข้น นางอดจะสั่นสะท้านไม่ได้


 


 


“เด็กหนุ่มผู้ได้รับมหากรุณาจากราชครูท่านก่อนย่อมสาบานว่าจะแก้แค้นให้ผู้มีพระคุณ ทว่ามือสังหารลงมือสะอาดแคล่วคล่องไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย ส่วนยามนี้กลุ่มอำนาจที่ราชครูท่านก่อนหลงเหลือไว้ต้องการผู้นำคนใหม่อย่างเร่งด่วน ตำแหน่งผู้นำนี้ย่อมตกเป็นของว่าที่บุตรเขยคนเดิมผู้นี้อย่างช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรหลายปีก่อนหน้านี้ เรื่องเหล่านี้เขาออกหน้าจัดการทั้งสิ้นจึงได้รับความเชื่อมั่นจากทุกผู้คนเนิ่นนานแล้ว เขารับอำนาจพื้นฐานของราชครูท่านก่อนจนสำเร็จเสร็จสิ้น”


 


 


“ฉะนั้น สี่ปี เขาใช้เวลาเพียงสี่ปีกลายเป็นราชครูที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าฮวง หลังจากได้รับตำแหน่งเขาใช้วิธีปกครองอย่างเข้มแข็ง ตัดสินเรื่องราวได้เด็ดขาด ใช้วิธีรุนแรงสยบแว่นแคว้นต้าฮวงอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ กุมอำนาจทางการเมือง”


 


 


“หลังจากเขากุมอำนาจได้ไม่นาน มีข่าวแว่วออกมาเอ่ยว่าครานั้นบุตรีของราชครูท่านก่อนยังไม่สิ้นชีพ นางกำลังร่อนเร่พเนจร เขาได้ยินข่าวจึงส่งคนสืบถามหลายแห่ง เรื่องสืบถามได้หรือไม่นั้น นอกจากเขาไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สรุปคือทั้งนอกทั้งในล้วนเอ่ยว่าสืบถามไม่ได้ความ”


 


 


“ผ่านไปอีกหนึ่งปี ราชินีองค์ก่อนสวรรคต ราชครูกำหนดราชินีกลับชาติมาเกิด ในปีนั้นกระหม่อมเพิ่งดำรงตำแหน่งราชครู อำนาจในวังยังไม่เทียบเทียมเขา คืนนั้นราชครูฝ่ายซ้ายแลฝ่ายขวาทำพิธีเสี่ยงทายบนหอทำนายดาว กว้า[1]ของกระหม่อมพลันถูกลมสวรรค์ทำลายในเค่อหนึ่งก่อนทำนายสำเร็จ แผนภูมิกว้าจึงต้องยึดตามราชครูฝ่ายขวา ส่วนค่ำคืนนั้นยามกระหม่อมลงจากหอทำนายดาวก้าวพลาดได้รับบาดเจ็บ เรื่องรับเสด็จราชินีกลับชาติมาเกิดจึงต้องให้เขาไปด้วยตนเอง”


 


 


เขาคล้ายหัวเราะแผ่วเบาครั้งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวหลุบตาต่ำไม่ส่งเสียง


 


 


“เขารับเสด็จราชินีกลับมา ราชินีองค์นั้นคือราชินีหมิงเฉิงองค์ก่อน วันแรกที่เสด็จกลับมาก็มีขุนนางแลอาณาประชาราษฎร์บางส่วนรู้สึกว่าไม่ปกติ”


 


 


“ไม่ปกติตรงไหนหรือ?” จิ่งเหิงปัวอดถามไม่ได้


 


 


“ราชินีแลดูคุ้นหน้าเล็กน้อย”


 


 


“เจ้าคงไม่เอ่ยว่านางคือบุตรีของราชครูท่านก่อนกระมัง?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเย็นชา กล่าวว่า “ปัญหาคือหากนางคือบุตรีของราชครูท่านก่อนจริงย่อมมีคนจำนวนมากเคยพบเห็น เวลาห่างกันไม่นานนักน่าจะมองออกในปราดเดียว เหตุใดจึงรู้สึกเพียงว่าคุ้นหน้า?”


 


 


“นั่นสิ…” เหยียลี่ว์ฉีพยักหน้า มือสะบัดแผ่วเบาเป็นระลอกบนกาบเรือ เอ่ยว่า “นี่คือปัญหาหนึ่งเดียวอีกทั้งมีเพียงไม่กี่คนที่รู้สึกเช่นนี้ ฉะนั้นทุกคนต่างวางข้อสงสัยไว้ในใจ ต่อจากนั้นไม่นานทุกคนพบข้อสงสัยข้อที่สองอีกข้อหนึ่ง”


 


 


คราวนี้จิ่งเหิงปัวไม่ถามแล้ว ถึงไม่ถามเขาก็พูดออกมาเอง


 


 


ดังคาดการณ์ไว้ เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า “ทุกคนพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างราชครูกับราชินีไม่สู้ดี ทั้งสองคนหลีกเลี่ยงการพบหน้าโดยตลอด ไม่บ่อยที่จะพบหน้าสักครั้ง เล่ากันว่าชนวนเหตุมาจากประชุมขุนนาง ทว่าราชครูมิได้ปฏิบัติไม่ดีต่อราชินีเนื่องด้วยเหตุนี้ ตรงกันข้าม เขาควบคุมนางค่อนข้างหละหลวม ราชินีหมิงเฉิงคือราชินีผู้มีอิสระเสรีค่อนข้างมากและค่อนข้างมีพระราชอำนาจองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ราชินี”


 


 


“สภาพการณ์น่าอัศจรรย์ระหว่างสองคนพาให้ระแวงสงสัย ทว่าไม่มีผู้ใดหาคำตอบได้ ทุกคนยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไม่ว่าราชครูจะมีท่าทีเย็นชาอย่างไรต่อราชินี แท้จริงแล้วเขาให้ทรัพย์สินอำนาจมากมายแด่ราชินี มีผู้เคารพขนบธรรมเนียมโบราณบางคนเริ่มเสนอเรื่องราชินีลดพระองค์สมรสราชครู”


 


 


จิ่งเหิงปัวเท้าคางอยู่ เหลือบมองกงอิ้นแวบหนึ่ง…เหมือนจะแต่งไม่สำเร็จ?


 


 


“พระองค์ว่า…” เหยียลี่ว์ฉีถามนางโดยพลันว่า “เขาเห็นด้วยหรือไม่?”


 


 


จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้าหรือ?”


 


 


“เขาเห็นด้วยหรือไม่ยังไม่ต้องเอ่ย ทว่านอกจากนี้มีเรื่องหนึ่งซึ่งจำต้องเอ่ย” เหยียลี่ว์ฉียิ้มจนคล้ายมีเจตนาร้ายบางส่วน เอ่ยว่า “เรื่องนี้ มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เจ้าผู้นี้มีน้ำแข็งทั่วร่างนั่งอยู่ท้ายเรือในยามนี้”


 


 


จิ่งเหิงปัวหรี่ตาขึ้นมา เรื่องนี้นางยังคงเป็นกังวลอยู่เพราะต้องรู้สาเหตุจึงจะหายามารักษาได้ ไม่อย่างนั้นเจ้านี่ไม่ระวังร่างแช่แข็งขึ้นมานางจะกะเทาะได้ทันเสียที่ไหน?


 


 


พอฟังเรื่องราวนี้ นางดูคล้ายไม่ห่วงใยแต่แท้จริงแล้วใคร่ครวญครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่ได้สังเกตทิศทางที่ล่องเรือไปอีก


 


 


“หลังจากได้ข่าวเรื่องลดพระองค์สมรสไม่นาน วันหนึ่งราชินีจัดงานเลี้ยงมวลผกาแย้มบานเชิญราชครูมางานเลี้ยง ราชครูเดิมทีไม่อยากไปงานเลี้ยง ยามราชินีทรงรับสั่งให้คนส่งจดหมายให้เขาหนึ่งฉบับ หลังจากนั้นเขาจึงไปงานนี้ ไม่นึกเลยว่าพอเขาไปงานนี้ ราชินีจะทรงกระทำเรื่องโหดร้ายอย่างยิ่งเรื่องหนึ่งกับเขา…”


 


 


“เรื่องใด” ในใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกเกร็ง เรือนร่างอดจะโน้มลงไปด้านหน้าไม่ได้


 


 


“เรื่องที่จะทำให้พระองค์ยากจะมีความสุขตลอดชั่วชีวิตนี้!” เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะฮ่าๆ ครั้งหนึ่งโดยพลัน กระโดดลุกขึ้นกระโจนลงไปในน้ำดังตู้มเสียงหนึ่ง!


 


 


“แม่งเอ๊ย ไอ้โคตรชั่ว!” จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนักยังจะกล้ากระโดดน้ำ ด้วยอารามตกใจเป็นการใหญ่จึงลุกขึ้นมาหวังจะไปคว้าเขาไว้ พอเงยหน้ามองเห็นประตูกั้นน้ำเหล็กเบื้องหน้าทันที!


 


 


ประตูกั้นน้ำของวังแห่งสุดท้ายที่ใช้สำหรับรักษาการณ์! ถูกลดลงมาแล้ว!


 


 


 


 


 


 


 


[1] กว้า เป็นเครื่องหมายสำหรับเสี่ยงทายในสมัยโบราณ

 

 

 


ตอนที่ 45 – 4 ค่าตอบแทนของการยั่วยวน

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นประตูเหล็กสีดำทะมึน ทั้งบนล่างซ้ายขวาเปล่งประกายด้วยไอเหน็บหนาวของอาวุธ องครักษ์แห่งวังกษัตริย์เทียนหนานมารอคอยอย่างพร้อมเพรียงแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัววาดมือไปคว้ากษัตริย์เทียนหนาน สถานการณ์แบบนี้นางเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว มีปัญญาก็ยิงมาสิ! 


 


 


ทว่าท้องเรือสั่นสะเทือนขึ้นมากะทันหัน ทั้งที่ไม่มีผู้พายเรือแน่นอนแต่ความเร็วเพิ่มขึ้น เรือพุ่งออกไปเบื้องหน้าราวลูกธนู จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้ผลักกษัตริย์เทียนหนานออกมาเป็นเป้ายิงธนู องครักษ์ข้างบนยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจนว่าบนเรือคือผู้ใด เรือพุ่งตรงดิ่งสู่ประตูเหล็กปานโผบิน! 


 


 


ประกายไฟดั่งแสงอสนี จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้ด่าเหยียลี่ว์ฉี ความคิดกะพริบวูบผ่านในใจ รู้ว่าเขาเล่นเล่ห์เหลี่ยมแน่นอน! 


 


 


หัวเรือแหลมยาวกำลังพุ่งชนประตูเหล็กหนักอึ้ง! 


 


 


สามจั้ง สองจั้ง หนึ่งจั้ง… 


 


 


สายลมพัดเส้นผมยาวของจิ่งเหิงปัวจนสยายออกมาปรกยุ่งเหยิงทั่วหน้านาง 


 


 


ทหารบนประตูเหล็กวางอาวุธลงแล้ว ผู้ใดก็รู้ว่ามิจำเป็นต้องลงมืออีกแล้ว มองดูทิศทางการแล่นของเรือประเดี๋ยวก็จะชนประตูเหล็กจนแหลกละเอียด 


 


 


จิ่งเหิงปัวเคลื่อนย้ายหายตัวได้ทัน 


 


 


แต่ตอนนี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นโดยสิ้นเชิง 


 


 


ขณะที่ท้องเรือกำลังจะชนเข้ากับประตูเหล็กนั้น นางกลับตัวพุ่งไปท้ายเรือทันที พุ่งไปบนร่างของกงอิ้น โอบกอดเขาเอาไว้ในครั้งเดียว 


 


 


ชั่วยามนี้เอง กงอิ้นลืมตาเงยหน้าขึ้นโดยพลัน! 


 


 


“เพียะ” 


 


 


คล้ายมีเสียงและคล้ายไม่มีเสียง 


 


 


ริมฝีปากทั้งสองประกบประสานกันแนบแน่น 


 


 


ในชั่วพริบตาเดียวจิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง มองเห็นดวงตาตื่นตะลึงของตนเองทอแววตาตื่นตะลึงในดวงตาของกงอิ้นที่เบิกกว้างโดยพลันเช่นกัน 


 


 


สายตาสองคู่จ้องมองสะท้อนซึ่งกันและกัน 


 


 


ส่วนกลิ่นหอมตรงริมฝีปากสัมผัสกันคือการประสานของความอ่อนโยนแลความหนาวเหน็บเพียงน้อย คือการซึมแทรกของความหอมจรุงใจแลความเย็นใสบริสุทธิ์ 


 


 


ชั่วครู่หนึ่งเนิ่นนานดุจพันปี 


 


 


“พลั่ก” เสียงหนึ่งดังสะท้าน จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงคล้ายมีพลังมหาศาลกระแทกบนหลังตน อวัยวะภายในร่างกายคล้ายกำลังไหลทวนออกมา 


 


 


เรือชนเข้ากับประตูเหล็กแล้ว! 


 


 


แรงกระแทกมหาศาลทำให้เรือนร่างของนางสั่นสะเทือนไปข้างบนครั้งหนึ่ง ทว่าถูกแขนสองข้างของกงอิ้นที่อยู่ใต้ล่างยกขึ้นมาโอบกอดเอาไว้แนบแน่น จากนั้นหันกายเพียงครั้งกระโจนขึ้นมากลางอากาศได้ทันก่อนจะร่วงลงน้ำ 


 


 


แขนเสื้อสีขาวที่ปลิวว่อนของเขาเริงระบำเป็นกลุ่มกลางอากาศดุจกลีบดอกไม้ร่วง ร่างยังไม่ทันร่วงลงไป แสงเหน็บหนาวในมือกะพริบวูบ กระบี่เล่มหนึ่งแทงลงไปกลางแม่น้ำ! 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเบื้องล่างแม่น้ำมีรอยขวางสายหนึ่งกะพริบผ่านไปเพียงครั้ง ชั่วประเดี๋ยวเดียว ของเหลวสีแดงเป็นกลุ่มเป็นก้อนลอยสูงขึ้นมาย้อมผิวน้ำผืนหนึ่งจนเป็นสีแดง 


 


 


นางตกตะลึงเล็กน้อย 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีต้องกระบี่แล้วเหรอ? 


 


 


ตายแล้วเหรอ? 


 


 


ผู้มีความสามารถแห่งต้าฮวงที่เจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาด เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกเวลาผู้นี้ ตายไปแบบนี้แล้วจริงๆ เหรอ? 


 


 


ทว่ากระบี่หนึ่งนี้ของกงอิ้นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เลือกเวลาที่ร่างอยู่ใต้น้ำการเคลื่อนไหวเชื่องช้าที่สุด คิดคูแล้วเขาคล้ายจะไม่สามารถหลบได้พ้น 


 


 


แขนเสื้อปลิวว่อนของกงอิ้นดุจดอกสาลี่หิมะกำจายกลางอากาศ ผลึกน้ำแข็งละเอียดร่วงกราวลงมากลายเป็นแท่งน้ำแข็งแหลมคม พุ่งตรงสู่แม่น้ำ 


 


 


เศษน้ำแข็งเต็มท้องนภาดุจจันทร์ยะเยือก เขาดั่งชาวสวรรค์ผู้เดินออกมาจากยุคน้ำแข็งสมัยดึกดำบรรพ์ 


 


 


เหล่าองครักษ์บนประตูเหล็กบนกำแพงวังเงยหน้าอย่างงงงวย ลืมลงมือไปช่วยขณะ 


 


 


การโต้ตอบของกงอิ้นไม่เคยเชื่องช้าเช่นเคย ยกมือครั้งหนึ่งหิ้วกษัตริย์เทียนหนานที่ถูกชนจนสลบไสลขึ้นมา ฉวยมือสะบัดไปเพียงครั้ง 


 


 


เสียงดังสวบเสียงหนึ่ง ร่างร้อยสิบชั่งถูกเขาสะบัดจนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ละอองน้ำชุ่มโชกสาดกระเซ็นทั่วทิศ ร่างสะบัดไปบนสันกำแพง 


 


 


“ต้าหวัง!” ในที่สุดเหล่าองครักษ์จึงมองออกว่าเจ้าผู้โชคร้ายคนนี้คือผู้ใด รีบเร่งวางอาวุธลงไปรับ 


 


 


ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายผืนหนึ่งนี้ เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นจูงจิ่งเหิงปัวข้ามผ่านกำแพงวังไปอย่างแช่มช้า เงาร่างคล้ายจันทร์ยะเยือกดวงหนึ่งล่องลอยสลายไปที่อีกมุมหนึ่งของท้องนภาทอดยาว 


 


 


เหลือเพียงกำแพงวังสับสนอลหม่าน ต้าหวังสลบไสล ชิ้นส่วนแตกละเอียดเกลื่อนพื้น กับแม่น้ำที่ยังมีสีแดงลอยล่องอย่างเงียบเชียบสายหนึ่ง 


 


 


… 


 


 


ทิวทัศน์นอกรถม้าค่อยๆ เปลี่ยนจากที่ราบสูงอวิ๋นเหลยสีเหลืองซีดกลายเป็นต้นไม้ผืนใหญ่ทอดยาวเหยียด ใบไม้เขียวขจีกว้างใหญ่สาดแสงสว่างมันเงา 


 


 


จิ่งเหิงปัวเลิกผ้าม่านออก ชะโงกหน้ามองดูทิวทัศน์ข้างนอก บนใบหน้ามีสีหน้าเฝ้ารอคอยหลายส่วน 


 


 


ออกจากเขตซีเอ้อมาสักระยะหนึ่งแล้ว หลังพ้นอันตรายในคืนนั้น กงอิ้นจัดการเดินทางโดยพลัน คล้ายมิได้สนใจจะไปสืบเสาะความเป็นความตายของเหยียลี่ว์ฉีอีก เส้นทางหลังจากนั้นสงบเงียบอย่างยิ่ง ข้ามผ่านทุ่งหญ้าเจี๋ยหูและที่ราบสูงอวิ๋นเหลยโดยปลอดภัย ยามนี้นับได้ว่ากำลังจะเข้าสู่เขตแดนแคว้นต้าฮวงแล้ว 


 


 


เส้นทางตระหง่านอยู่กลางหญ้าสูง เส้นทางไม่กว้างนักพอให้แล่นรถม้าได้ ลึกไปในป่าไม้คล้ายมีผืนดินสีดำผืนใหญ่หลายแห่งเปล่งประกายแสงมันวาวจากไกลโพ้น องครักษ์เอ่ยว่านั่นคือบึงโคลนที่ครองพื้นที่มากกว่าสามสิบส่วนของลุ่มน้ำต้าฮวงทั้งหมด ท่ามกลางบึงโคลนสามสิบส่วนของทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่อันตรายไร้ประโยชน์ เพียงครอบครองพื้นที่ มีเพียงบึงโคลนหกส่วนของทั้งหมดมีผลผลิตพิเศษหรือมีประโยชน์ บึงโคลนพิเศษทุกหนแห่งจะก่อตั้งแคว้นใต้อาณัฐหรือชนเผ่าที่เข้มแข็งเกรียงไกรแห่งหนึ่ง 


 


 


และด้วยเพราะบึงโคลนครอบครองพื้นที่มากเกินไป พื้นที่เพาะปลูกน้อยเกินไป การเกษตรของลุ่มน้ำต้าฮวงจึงพัฒนาไปได้ไม่เท่าไร หลายปีมานี้ล้วนอาศัยผลผลิตเพชรพลอยทองคำที่อุดมสมบูรณ์ซื้อธัญญาหารจากโลกภายนอกอย่างลับๆ ล่อๆ เสียเปรียบไปไม่น้อย 


 


 


ได้ยินวิธีการพูดแบบนี้เป็นครั้งแรก จิ่งเหิงปัวอดจะโพล่งออกมาไม่ได้ว่า “ชิบ หากนำบึงโคลนยี่สิบสี่ส่วนจากทั้งหมดที่เหลือมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ พวกเจ้าจะมีแผ่นดินเพิ่มขึ้นอีกผืนหนึ่ง จะมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น? ราษฎรยากไร้มากมายจะได้กินอิ่มนอนอุ่น กำลังของทั้งประเทศจะเพิ่มขึ้นมามากเลยไม่ใช่หรือ?” 


 


 


“นั่นน่ะสิ” เหล่าองครักษ์ตอบ เอ่ยสืบต่อมา “ต้าฮวงปิดแคว้นก็เพราะว่ามีบึงโคลนมากเกินไป ธัญญาหารแพงเหลือเกิน ชีวิตประชาราษฎร์ไร้ทางเลือก ไร้หนทางโจมตีผู้อื่นและไร้หนทางโต้ตอบการโจมตีของผู้อื่น บึงโคลนปกป้องพวกกระหม่อมแลจำกัดพวกกระหม่อม” 


 


 


มีองครักษ์ชี้ไปยังราษฎรที่หาอาหารอยู่ข้างบึงโคลนห่างออกไป ชี้ไปยังอาภรณ์ขาดกะรุ่งกะริ่งของพวกเขา เอ่ยว่า “มองเห็นพวกเขาแล้วนึกถึงยามกระหม่อมยังมิได้เข้าวัง มารดาและน้องสาวของกระหม่อมก็เป็นเช่นนี้ ในหนึ่งปีมีครึ่งปีต้องหาอาหาร ต้องอดอยากยากจน หากพบพานปีที่ข้าวยากหมากแพงและปีที่เกิดภัยพิบัติ สองชนเผ่าถึงกับสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย เจ้าของที่ดินสังหารราษฎรในหมู่บ้านหนึ่งได้เพื่อจะแย่งผืนดินน้อยผืนเดียว” 


 


 


“ขนาดนั้นเชียวหรือ?” จิ่งเหิงปัวตกตะลึงอย่างยิ่ง กล่าวต่อไปว่า “บึงโคลนก็ปลูกพืชพันธุ์ได้ มีผลผลิตได้เช่นกันนะ” 


 


 


“บึงโคลนจะปลูกพืชพันธุ์ได้อย่างไร?” เหล่าองครักษ์ไม่คิดเช่นนั้น เอ่ยสืบต่อว่า “ฝ่าบาท ความคิดของพระองค์นี้ฟังแล้วคือแนวคิดตามเหตุย่อมจะเป็นเช่นนั้นของพวกคนรวย เหล่าราษฎรเคยทดลองปลูกพืชพันธุ์หลายชนิดในบึงโคลนล้วนไม่สำเร็จ ซ้ำยังทำลายธัญญาหารล้ำค่ามากมาย ภายหลังทุกคนรู้ว่าบึงโคลนไร้ประโยชน์จึงไม่ทดลองมั่วซั่วอีกแล้ว” 


 


 


“หากผู้ใดหาวิธีเพิ่มพูนผลผลิตจากบึงโคลนได้ คงมิกลายเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของพวกเจ้าเลยหรือ?” จิ่งเหิงปัวล้อเล่น 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว!” เหล่าองครักษ์ตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยวเปี่ยมจินตนาการ เอ่ยสืบต่อว่า “คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตทุกผู้คนในต้าฮวง! เทพยดาของทุกผู้คนในต้าฮวง! เขาจะกลายเป็นผู้ที่ชาวต้าฮวงซาบซึ้งจนน้ำตานองชั่วกาล เสพสุขการเซ่นไหว้บูชาจากราษฎรของต้าฮวงชั่วนิรันดร์! ด้วยเพราะเขาทำให้เหล่าราษฎรไม่อดอยากท้องหิวอีก! บุญบารมีไร้ที่สิ้นสุด!” 


 


 


ในสายตาของราษฎร แว่นแคว้นกว้างใหญ่ก็ดี กำลังของประเทศเข้มแข็งเกรียงไกรก็ดี ล้วนไม่สำคัญและเป็นรูปธรรมที่สุดเท่าสิ่งที่ทำให้อิ่มท้อง 


 


 


จิ่งเหิงปัวถูกน้ำเสียงของเขาเอ่ยเสียจนเลือดเดือดพลุ่งพล่าน ทว่าจากนั้นองครักษ์นั้นก็ก้มหน้าลงอย่างห่อเ**่ยว เอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? เรื่องที่ผู้มีความสามารถมากมายเช่นนั้นลองแล้วยังไม่สำเร็จ…อย่าได้คิดหวังอีกเลย…” 


 


 


แต่จิ่งเหิงปัวกุมศีรษะครุ่นคิดเอาเป็นเอาตาย…นางจำได้ว่าคล้ายเคยมองเห็นวิธีการใช้บึงโคลนปลูกพืชพันธุ์ที่ไหนนะ? ที่ไหนนะ? ที่ไหนนะ? 


 


 


ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานยังไม่ได้คำตอบ จิ่งเหิงปัวได้แต่ยอมถอดใจทอดทิ้งโอกาสในการเป็นเทพยดาแห่งต้าฮวงไปชั่วคราวอย่างเสียดาย 


 


 


เดินทางบนเส้นทางแบบนั้นไปสองวัน จิ่งเหิงปัวจึงนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาคล้ายเพิ่งเข้าใจในภายหลัง…บึงโคลนทั่วทุกหนแห่งในต้าฮวงตามตำนานล่ะ? ประตูลึกลับแห่งต้าฮวงตามตำนานล่ะ? รูปปั้นทหารทุกแคว้นที่ถูกแช่แข็งนับมิถ้วนนั้นตามตำนานล่ะ? ผ่านมาตลอดเส้นทางนี้ทำไมมองไม่เห็นเลย? 


 


 


นางหันหลังมองภูเขาสองฝั่งที่คล้ายจะทับถมลงมาแล้วเข้าใจในทันที 


 


 


มิน่าล่ะชาวต้าฮวงพวกนี้คุ้นเคยกับแต่ละแคว้นบนแผ่นดินใหญ่ แต่ในสายตาของแต่ละแคว้นต้าฮวงกลับลึกลับอย่างยิ่ง เดิมทีภายในอาณาเขตต้าฮวงมีเส้นทางลับไปสู่แต่ละแคว้น เพียงแต่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างภูเขาใหญ่และบึงโคลน หลายปีที่ผ่านมาแต่ละแคว้นไม่ได้ค้นพบเท่านั้น 


 


 


นิ้วมือนิ้วหนึ่งเคาะอยู่ข้างหน้าต่างรถที่เปิดออก นิ้วสีขาวหิมะดุจหยกสลัก 


 


 


นางคิดอย่างเจ้าชู้ว่า นิ้วนี้สวยเสียจริง 


 


 


นิ้วสั่นไหวครั้งหนึ่งเบื้องหน้านาง ในมือมีกล่องขนาดใหญ่งดงามล้ำค่าเพิ่มมาดุจเล่นกล เสียงของกงอิ้นแว่วมาอย่างเย็นชาจากข้างบน “เจ้าควรสนใจกล่องใบนี้ มิใช่สนใจมือของข้า” 


 


 


จิ่งเหิงปัว “อะไร?” 


 


 


กล่องโยนมาบนขาของนาง หนักเสียจนนางร้องกรี๊ดกร๊าดโวยวาย 


 


 


“เปลี่ยนอาภรณ์นี้เสีย นับแต่บัดนี้ เจ้าอาจจะต้องต้อนรับตัวแทนจากหกแคว้นแปดชนเผ่าอย่างไม่หยุดหย่อน ระวังอากัปกิริยา อย่าได้ทำข้าขายหน้าเด็ดขาด” มหาเทพตอบกลับมาอย่างเย็นชา 


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ…หลังจากค่ำคืนเฮงซวยคืนหนึ่งนั้น สถานการณ์ระหว่างนางกับกงอิ้นก็กลับไปเป็นเหมือนก่อนได้รับอิสระภายในค่ำคืนเดียว กงอิ้นคล้ายจะเป็นโรคความจำเสื่อมโดยพลัน ลืมสายตาซ่อนเร้นและท่าทางน่ารักคลุมเครือก่อนหน้าเหล่านั้น กลับกลายเป็นตัวเขาเองใหม่อีกครั้ง…สูงส่งเย็นชา รักษาระยะห่าง และปากร้าย 


 


 


สายลมที่เขาเดินผ่านล้วนเจือด้วยการปฏิเสธโดยไร้วาจา ไม่รู้ว่าสิ่งที่ปฏิเสธคือจิ่งเหิงปัวหรือว่าความจำใจที่ก้นบึ้งหัวใจของเขาเองไร้หนทางเอ่ยออกมา 


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งสังเกตอาภรณ์วันนี้ของกงอิ้นคล้ายมีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แม้ว่ายังคงเป็นชุดสีขาวแต่เนื้อผ้ายิ่งงดงามประณีต ชายแขนเสื้อกลัดด้วยกระดุมไข่มุกสีเงินแถวหนึ่ง รอบไข่มุกแต่ละเม็ดยังปักลายเถาดอกไม้ลายสัตว์เทวะซึ่งงดงามที่สุด กลิ่นอายบารมีพวยพุ่งยามต้องแสงอาทิตย์ 


 


 


ผ้าคลุมสีขาวหิมะกุ๊นขอบเงินสยายลงมาจากหัวไหล่ของเขา จากไหล่ไปถึงข้อมือมีด้ายเงินปักเป็นรูปสัตว์คล้ายมังกรทว่ามิใช่มังกรโผบินเช่นกัน ปรากฏผลุบโผล่ตามแสงอาทิตย์โผล่พ้นและลับฟ้า ดุจมังกรซ่อนในเหวลึกรอเวลาเหาะเหิน 


 


 


เส้นผมสีดำทั้งศีรษะของเขาใช้ปิ่นหยกขาวอ่อนละมุนลายเมฆาอันหนึ่งปักไว้ สีหยกดุจหิมะขาวโพลนบนภูเขาสูงที่ไร้ผู้คนย่ำเท้าถึง ส่วนเส้นผมทอประกายสีดำขลับดุจธารหลาก 


 


 


จากซอกมุมมืดสลัวบนรถม้ามองเขาที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์นอกรถม้า คล้ายมองเห็นรูปสลักผลึกแก้วตั้งตระหง่านใต้ท้องนภาสีคราม สงบเงียบควบคุมตน มิอาจล่วงเกินได้โดยง่าย 


 


 


จิ่งเหิงปัวน้ำลายหยดย้อย อยากลวนลามเขาเหลือเกิน 


 


 


… 


 


 


นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดจึงลากเสื้อผ้าออกมาจากกล่องได้ เป็นชุดพิธีการหรูหราที่ประดับเต็มด้วยอัญมณีดังคาดไว้ เฉพาะด้ายทองก็ใช้ไปหลายชั่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวชอบอัญมณีอย่างมากแต่ไม่ชอบแบกอัญมณีวิ่งไปทั่วแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นชุดพิธีการนี้ไร้รูปทรงโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่หัวจรดเท้ารวมเป็นเส้นตรงเส้นเดียว ไม่ผุดเผยทรวดทรงของร่างกายเลยแม้แต่น้อย นางเกลียดเสื้อผ้าที่ไม่สามารถผุดเผยรูปร่างงดงามของนางที่สุดเลย! 


 


 


สวมใส่ชุดพิธีการที่หนาจนลมพัดผ่านไม่ได้ นั่งเรียบร้อยอยู่บนรถ รอคอยคนป่าบ้าบออะไรก็ไม่รู้มารับเสด็จ จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองโง่เง่าเหลือเกิน 


 


 


ความสนุกเพียงอย่างเดียวคือการมองดูเงาด้านหลังที่งดงามหรูหราของมหาเทพกงผ่านหน้าต่าง 


 


 


หล่อจริงๆ เลย 


 


 


จิ่งเหิงปัวเช็ดน้ำลายข้างริมฝีปากเป็นครั้งที่สิบแปด 


 


 


เสียดายว่ากงอิ้นไม่ยอมหันหลังสักที สันหลังตรงดิ่ง สายตามองเพียงเบื้องหน้า 


 


 


จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดบ่นไปมา…เจ้าคนนี้ทำตัวน่าอึดอัดชะมัด ก็แค่ล่วงเกินนางนิดหน่อยเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมทำตัวเหมือนเขาถูกลวนลามเลยล่ะ? หรือว่าต้องการให้นางจ่ายค่าสูญเสียกำลังวังชา? 


 


 


จิ่งเหิงปัวหดตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างหดหู่ คว้าพู่ระย้าของม่านหน้าต่างไว้เชื่องช้า 


 


 


เฟยเฟยแทะขนมปังประกบเนื้ออยู่อีกฝั่งหนึ่ง เงยหน้ามองดูนางตลอดเวลา ในสายตาเปี่ยมไปด้วยคำว่า “เพิ่งจะสำนึก!” 


 


 


แว่วเสียงแตรสัญญาณจากที่ห่างไกลโดยพลัน เสียงแตรทรงพลังเชื่องช้า จังหวะเร็วหนึ่งครั้งจังหวะช้าสามครั้ง เจือเสียงเสือและสิงโตคำรามรำไร 


 


 


ม้าของกงอิ้นหยุดฝีเท้า คล้ายกำลังฟังเสียงแตรสัญญาณโดยละเอียด 


 


 


องครักษ์ที่ส่งไปสืบดูเบื้องหน้าผู้หนึ่งควบม้าตะบึงห้อมา ร้องตะโกนอยู่ห่างไกล 


 


 


“เรียนราชครู ทูตจากหกแคว้นแปดชนเผ่าน้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้!” 

 

 

 


ตอนที่ 46 - 1 น้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้

 

สีหน้าของกงอิ้นตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน


 


 


เหมิงหู่ที่อยู่ข้างรถม้ามีสีหน้าแปลกประหลาด พึมพำกับตนเองว่า “น้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้! ยามนี้ยังมีประเพณีนี้อีกหรือ อยู่ดีๆ เหตุใดจึงมาไม้นี้เล่า อีกทั้งผู้ที่มาเหตุใดจึงไม่ใช่แคว้นเซียง?”


 


 


“หมายความว่าอะไร” จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้าออกไป มองเห็นว่าไกลออกไปมีขบวนแถวสีดำสายหนึ่งทะยานมาดุจมังกรพิโรธ


 


 


“โลกมนุษย์จุติหงส์สีรุ้ง พยัคฆ์พุ่งมังกรเหินเมฆลม สิบสี่ทูตหลากสีร่วมเกลียวกลม ร่วมประสมพันลี้รับขบวน” เหมิงหู่เอ่ยเสียงทุ้มว่า “นี่คือหนึ่งในประเพณีเก่าแก่ในการต้อนรับกษัตริย์ของต้าฮวง กาลก่อน ยามราชินีกลับชาติมาเกิดเข้าสู่นครหลวงสืบราชสันตติวงศ์เป็นครั้งแรก หกแคว้นแปดชนเผ่าที่อยู่ใต้อาณัฐของต้าฮวงจะส่งทูตชุดหลากสีร่วมรับเสด็จ แม้ว่าการน้อมรับเสด็จไกลพันลี้แลดูเกินจริงไปบ้าง ทว่าน้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้ย่อมได้ หกแคว้นแปดชนเผ่าร่วมควบอาชาต่อเนื่องกันไปตลอดเส้นทางจวบจนขบวนเสด็จเข้าสู่เมืองหลวง รวมทูตถวายกำลังทั้งสิ้นสิบสี่คนพอดี”


 


 


ท่ามกลางเสียงนั้น ทหารม้าชุดดำขบวนหนึ่งนั้นหยุดลงห่างจากขบวนรถสิบจั้ง ทหารม้าที่นำหน้าแกว่งแขนเพียงครั้ง ธงสีดำกุ๊นขอบทองเสาหนึ่งปักเข้าไปในดินอย่างมั่นคง ธงสีดำปักลวดลายผืนใหญ่โบกสะบัดออกมาดังพึ่บพั่บ อินทรีสีทองสยายปีกบนผืนธง ปีกทั้งสองของอินทรีดุจหลังคา กรงเล็บแหลมคมดุจโลหะ


 


 


เหล่าทหารม้าต่อแถวเรียงหนึ่งแยกออกมาสู่สองฝั่งเส้นทางแล้วโค้งคำนับเล็กน้อยบนหลังม้า เมื่อมองจากที่ห่างไกลเห็นคางเรียงตรงดิ่งกลายเป็นเส้นเดียว แสงอาทิตย์ทะลุผ่านแผ่นสีเงินบนหมวกแล้วเปล่งแสงสีเงินขาวสว่างสายหนึ่งออกมา


 


 


“หกแคว้นใช้แซ่ของกษัตริย์เป็นนามราชวงศ์ กองทัพนี้คือกองทัพองครักษ์ที่แคว้นอี้ส่งมา แคว้นอี้มีอาณาเขตติดต่อกับบึงโคลนเสินหนง ในบึงโคลนผลิตหญ้าลุ่มหลงและโคลนลิขิตสวรรค์มากมายซึ่งมีสรรพคุณในการแปลงรูปแปลงโฉม ฉะนั้นชาวแคว้นอี้เลื่องชื่อในด้านแปลงโฉมและการมอมเมา” เหมิงหู่แนะนำ พลางชี้ผู้เคราเฟิ้มท่าทางกล้าหาญคนหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหน้าที่สุดของกองทัพ เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ท่านว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษหรือสตรี”


 


 


“เป็นบุรุษแน่นอน”


 


 


“ทูตชุดดำ อินทรีสยายปีกแห่งแคว้นอี้ถวายบังคมฝ่าบาท” ผู้เคราเฟิ้มปริปาก เสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน ยังชม้ายชายตาให้จิ่งเหิงปัวอย่างอ่อนโยนงดงาม


 


 


ศีรษะของจิ่งเหิงปัวชนเข้ากับผนังรถดังพลั่ก


 


 


เหมิงหู่ชี้ไปยังองครักษ์รูปงามที่มีรูปร่างงามสง่า ดวงตาดอกซิ่งแก้มลูกท้อ ผิวกายบอบบางจนแตะมิได้ผู้หนึ่งอีกครั้งแล้วถามจิ่งเหิงปัวว่า “ผู้นี้เล่าฝ่าบาท?”


 


 


“บุรุษ!” จิ่งเหิงปัวตอบคำตอบที่ไม่เข้าท่าที่สุดอย่างเด็ดเดี่ยว


 


 


“สตรี” คำตอบของเหมิงหู่ทำให้จิ่งเหิงปัวโกรธจนตาถลน นางกำลังจะด่าเขาว่าหลอกลวง เหมิงหู่เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ทว่าคงจะอายุห้าสิบแล้ว ท่านดูลำคอของนาง…”


 


 


จิ่งเหิงปัวถลกกระโปรงขึ้นมาเตรียมจะกระโดดลงจากรถม้า กล่าวว่า “เร็วเข้า! ข้าจะถามเคล็ดลับการดูแลตนเองจากนาง…”


 


 


เหมิงหู่ลากนางกลับไปอย่างมือไวตาไวแล้วบอกนางว่า “การแปลงโฉมของเผ่าอี้มิได้ดีงามเช่นที่ท่านคิด ใบหน้าอ่อนเยาว์ลงหนึ่งปี ร่างกายจะสูงวัยขึ้นหนึ่งปี ท่านยอมหรือ?”


 


 


จิ่งเหิงปัวนึกถึงผิวหนังที่ห้อยย้อยลงมาเป็นชั้นบนร่างกายขององครักษ์หญิงอ่อนวัยรูปงามคนนั้น สั่นสะท้านหนึ่งครั้งนั่งลงอย่างมั่นคง


 


 


“ผู้นี้เล่า?” เหมิงหู่ชี้ไปยังผู้อ่อนเยาว์รูปร่างสูงหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งแล้วถามนาง


 


 


จิ่งเหิงปัวมองอยู่ครู่หนึ่ง ตอบอย่างมั่นใจว่ากะเทย!


 


 


“…นั่นคือเด็กผู้หนึ่ง อายุไม่เกินสิบปี”


 


 


“ชนเผ่าปีศาจ!” จิ่งเหิงปัวพิงหน้าต่างรถถอนใจด้วยความเศร้า รู้สึกว่าที่ซึ่งกำลังจะไปมีความผิดปกติหลากหลายสิ่ง


 


 


เหมิงหู่หัวเราะอย่างไม่คิดเช่นนั้น นี่ไม่เท่าไรหรอก แคว้นอี้เป็นเพียงแคว้นที่ค่อนข้างอ่อนแอในหกแคว้นแปดชนเผ่าแคว้นหนึ่งเท่านั้น


 


 


ขบวนรถม้าแล่นผ่านเหล่าองครักษ์ องครักษ์หญิงเคราเฟิ้มผู้นั้นโบกมือเพียงครั้ง องครักษ์ที่อยู่ตามรายทางปะปนเข้าสู่ฝูงองครักษ์อย่างเงียบเชียบ ติดตามแถวท้ายที่สุดของกองทัพ


 


 


“พวกเขาจะน้อมส่งขบวนเสด็จตลอดทางจวบจนถึงนครหลวง” เหมิงหู่อธิบาย


 


 


ทางนี้เพิ่งปะปนเข้าสู่กองทัพ พายุหมุนสีเขียวที่อยู่เบื้องหน้าเคลื่อนเข้ามาแล้ว จิ่งเหิงปัวมองเห็นยักษ์เขียวฝูงหนึ่งกำลังเข้าใกล้อย่างรวดเร็วมาแต่ไกล พอถึงใกล้เบื้องหน้าจึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่ากองทัพนับร้อยคนนี้ทุกผู้คนล้วนสวมหมวกทรงสูงสีเขียว หมวกที่เตี้ยที่สุดสูงเพียงครึ่งนิ้ว หมวกที่สูงที่สุดสูงถึงสามนิ้ว ยอดหมวกยังฝังอัญมณีสีเขียวขนาดแตกต่างกัน มองจากที่ไกลๆ คล้ายมีผักกาดหอมพุ่งมากองหนึ่ง


 


 


“แคว้นเหมิง” สีหน้าของเหมิงหู่ไม่ค่อยดีเท่าไร เอ่ยอย่างแข็งทื่อเล็กน้อยว่า “ติดต่อกับบึงโคลนลี่ว์ มีสัตว์กระดองเหล็กที่มีเฉพาะในบึงโคลนลี่ว์เป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่า เลื่อมใสพลังธรรมชาติทุกสิ่ง บูชาสีเขียว”


 


 


“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ หมวกเขียว[1]!” จิ่งเหิงปัวกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมาในรถ กล่าวว่า “มีชนเผ่าที่ชอบหมวกเขียวด้วย ฮ่าๆๆ โลกนี้แฟนตาซีชะมัด…”


 


 


หลังจากกองทัพองครักษ์หมวกเขียวแห่งแคว้นเหมิงเข้ามาใกล้ จิ่งเหิงปัวจึงพบว่าคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ตัวเตี้ยมาก มิน่าเล่าถึงชอบใส่หมวกทรงสูง อีกทั้งตำแหน่งของพวกเขายิ่งสูงหมวกก็ยิ่งสูง เมื่อหัวหน้าองครักษ์สองที่ยืนแยกกันอยู่แถวหน้าสุดทั้งสองฝั่งโค้งกายมาทางรถม้าของจิ่งเหิงปัว หมวกทรงสูงสีเขียวที่ยอดหมวกสูงถึงสามนิ้วบนศีรษะของพวกเขาชนเข้าด้วยกันดังพลั่ก


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะจนเกือบจะร่วงจากรถม้า หัวเราะจนเหมิงหู่มีสีหน้าเขียวคล้ำ หลังจากนั้นจึงไม่ได้สนใจนางอีก จนกระทั่งพายุหมุนสีเหลืองเคลื่อนเข้ามาจึงจำใจเอ่ยว่า “แคว้นอวี่ ติดต่อกับบึงโคลนโฮ่วถู่ สถานที่ที่ผลิตอัญมณีได้มากมายที่สุดในต้าฮวง ร่ำรวยและอุปนิสัยเกียจคร้าน เงินทองมากมายและชอบก่อเรื่องเป็นที่สุด”


 


 


จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งมาแต่ไกล แสงทองแผ่นใหญ่ผืนหนึ่งขยับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทุกผู้คนคือป้อมปราการทองคำที่เคลื่อนไหวได้แห่งหนึ่ง บนชุดเกราะสีทอง ชุดคลุมยาวสีทองและปลอกแขนสีทองฝังอัญมณีหลากสีเต็มไปหมด บนฝักมีดใช้อัญมณีฝังออกมาเป็นลวดลายแปลกประหลาดหลากหลายแบบ ชุดคลุมของพวกเขายาวอย่างยิ่ง ลากยาวไปถึงพื้นดินชุ่มโคลนชุ่มน้ำ เห็นได้ชัดว่าด้วยเพราะชายชุดคลุมยาวเหยียดสามารถประดับอัญมณีเพิ่มขึ้นได้อีกหน่อย ม้าทุกตัวเดินช้าอืดอาดด้วยรับน้ำหนักไม่ไหว พวกมันถูกสิ่งหรูหราหนักอึ้งทับจนหายใจฮืดฮาด


 


 


“เช่นนี้จะสู้รบได้อย่างไร?” จิ่งเหิงปัวสังเกตว่ามีดขององครักษ์ล้วนทำจากทองคำ ตกตะลึงอ้าปากค้างกล่าวว่า “หรือว่าแกะอัญมณีออกมาเป็นค่าไถ่ทุกครั้ง?”


 


 


“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”


 


 


“…”


 


 


เมื่อกองทัพต่อมาเข้ามาใกล้ ทั้งขบวนรถปิดจมูกเอาไว้กันหมด ยกเว้นจิ่งเหิงปัวและผู้ที่มาจากนอกแคว้นไม่กี่คน


 


 


“หือ? เหตุใดพวกเจ้าจึงปิดจมูกกัน มีอะไรผิดปกติหรือ” จิ่งเหิงปัวด้านหนึ่งยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้เช่นกัน อีกด้านหนึ่งเหลียวซ้ายแลขวามองเห็นกองทัพองครักษ์สีแดงที่เข้ามารวดเร็วข้างหน้า ไม่มีหมวกทรงสูง ไม่มีชุดคลุมทองคำ ไม่ได้หญิงชายแยกไม่ออก ดูท่าทางปกติอย่างยิ่ง


 


 


“แคว้นซัง” เหมิงหู่ปิดจมูกเอาไว้ตอบด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ติดต่อกับบึงโคลนเลี่ยหั่ว บึงโคลนเลี่ยหั่วผลิตยาที่มีชื่อเสียงสำหรับเสริมเส้นเอ็นเสริมกระดูกและรักษาบาดแผลภายนอกมากมายหลายชนิด คือเมืองแห่งยาและการรักษามีชื่อเสียงมากที่สุดในต้าฮวง”


 


 


“แคว้นนี้ต้องรักษาสัมพันธ์ไว้ให้ดี หมอน่ะยอดเยี่ยมที่สุดเลยนะ ผู้ใดจะรู้ว่าตนจะต้องการคนมารักษาในยามใด” จิ่งเหิงปัวบัญชาให้เลิกม่านออก ไม่ได้สังเกตถึงสายตาสงสารจากทุกคน


 


 


ทูตชุดแดงแห่งแคว้นซังกระตือรือร้นดังเช่นเสื้อผ้าของพวกเขา พอเห็นราชินีเลิกม่านกั้นออกจึงรีบเร่งทะยานเข้า ทูตชุดแดงที่อยู่แถวหน้าโค้งคำนับอย่างเคารพนบนอบไม่กล้าเงยหน้า


 


 


“กระหม่อม…ปิ้ว…ทูตชุดแดงแห่งแคว้นซังนามเจิ้งเซียง…ปิ้ว…ถวายบังคมองค์ราชินี…ปิ้ว…ฝ่าบาททรงพระเจริญยิ่งยืนนาน…ปิ้ว…พระบารมีแผ่ไพศาล…ปิ้ว…พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เสียงปิ้วๆ แปลกประหลาดดังต่อเนื่อง กลิ่นอายยากจะพรรณนาสายหนึ่งกำจายมาอย่างอืดอาดเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวมีสีหน้าเขียวคล้ำอดกลั้นกลิ่นอายที่พอจะทำให้คนหยุดหายใจสายนั้น ถามเหมิงหู่ด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าบอกข้า…เจ้าอย่าได้บอกข้าเชียวนะว่า…เขาคงมิได้เอ่ยวาจาไปพลางผายลมไปพลางใช่หรือไม่…”


 


 


“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”


 


 


ศีรษะของจิ่งเหิงปัวกระแทกเข้ากับผนังรถเสียงดังตึ้ง


 


 


“ช่วยด้วยโว้ย เอาม่านลงเร็ว!”


 


 


จิ้งอวิ๋นก้มหน้าอาเจียนอยู่ด้านหนึ่งแล้ว ชุ่ยเจี่ยคลานเข้าไปรีบเร่งดึงม่านลงมาด้วยลมหายใจแผ่วโผย


 


 


สายตาของทูตชุดแดงแห่งแคว้นซังโศกเศร้าเสียใจยิ่งนัก แต่จิ่งเหิงปัวโศกเศร้าเสียใจยิ่งกว่า


 


 


นางพบว่าแม้ว่าเอาม่านลงแล้ว ยังไม่สามารถขัดขวางการซึมแทรกของอากาศแปลกประหลาดระลอกนั้นด้วยเพราะองครักษ์ทั้งกองทัพกำลังผายลม เสียงปิ้วๆ ฟังแล้วคล้ายเกมยิงลูกบอลหลากสีในโลกยุคปัจจุบัน ซ้ำยังเป็นแบบเสียงคมชัดอีกต่างหาก


 


 


“แม้ว่าบึงโคลนเลี่ยหั่วผลิตยาวิเศษมากมาย ทว่าย่อมมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่บ้างเล็กน้อย” ยามนี้เหมิงหู่เพิ่งอธิบายให้นางฟังว่า “บึงโคลนกำจายไอแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง แม้ว่าทำให้ผู้คนร่างกายแข็งแรง ทว่าประชิดใกล้เป็นเวลานานจะท้องอืดท้องเฟ้อ ปล่อยปราณ…ได้โดยง่าย”


 


 


จิ่งเหิงปัวถลึงตามองเขาด้วยความโกรธเกลียดที่เขาไม่เตือน ที่แท้เจ้าคนที่ดูท่าทางซื่อสัตย์ถึงจะเป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุด


 


 


นางชำเลืองมองกงอิ้นแวบหนึ่ง เพิ่งพบว่าเจ้าผู้นั้นสวมหน้ากากแปลกประหลาดอันหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร คิดว่าคงจะใช้เพื่อปิดกั้นการบุกจู่โจมด้วยกลิ่นเหม็นจากทูตชุดหลากสีสันแห่งแคว้นซัง


 


 


ลูกน้องเป็นอย่างไร เจ้านายก็เป็นอย่างนั้นจริงด้วย!


 


 


ทูตชุดแดงแห่งแคว้นซังถูกจัดให้อยู่ที่ซึ่งท้ายที่สุดของกองทัพซ้ำยังห่างออกไปร้อยเมตร ยามพวกเขาปะปนเข้าสู่กองทัพ จิ่งเหิงปัวพบว่าลายปักบนธงสีแดงนั้นคือเพียงพอนไซบีเรีย


 


 



 


 


กองทัพเคลื่อนมาเป็นระลอก เส้นทางสองฝากฝั่งของผืนดินใหญ่ร้อยลี้ค่อยๆ ปักเต็มไปด้วยธงหลากสี คดเคี้ยวใต้แสงไฟไปตลอดทางดุจมังกรสีรุ้ง แลดูยิ่งใหญ่อลังการ


 


 


ตลอดทั้งวันดวงตาของจิ่งเหิงปัวกวาดลงบนพื้นไม่เคยได้เงยขึ้นมา แม้ว่านางยังไม่ได้สืบราชสันตติวงศ์อย่างเป็นทางการ ทว่าตามกฎเกณฑ์เข้มงวดแห่งต้าฮวง ขณะนี้ยังไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับทูตชุดหลากสีเหล่านี้ได้ แต่หกแคว้นแปดชนเผ่าของต้าฮวงที่มีบุคลิกแตกต่างกันไปก็เพียงพอจะทำให้นาง “มิเข้าใจทว่าเก่งกล้า เหนื่อยล้ามิอาจทานทน” แล้ว


 


 


ในหกแคว้น แคว้นจีเป็นสตรีทั้งแคว้น อาศัยอยู่บริเวณบึงโคลนเจียเทียนที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูงสุด สัตว์ที่พวกนางขี่มิใช่ม้าแต่คือม้าเฉ่าหนี[2]!


 


 


แน่นอนว่าพวกนางเรียกสัตว์นั้นว่าลามะ[3] ว่ากันว่าคือสัตว์ที่บรรพบุรุษท่านหนึ่งของพวกนางนำข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาขยายพันธุ์ที่บริเวณบึงโคลนเจียเทียนที่มีสภาพอากาศเฉพาะได้สำเร็จ ขณะนี้กลายเป็นสัตว์ในตระกูลอูฐที่สำคัญแห่งแคว้นจี กระทั่งปรากฏลามะกลายพันธุ์ ไม่เพียงมีลักษณะเฉลียวฉลาดว่องไวของลามะดั้งเดิม ยังดุร้ายกล้าหาญ ตัวที่มีขนาดใหญ่สามารถจับได้กระทั่งเสือและสิงโต


 


 


หลังจากจิ่งเหิงปัวได้พบม้าเฉ่าหนี นางร้องกระจองอแงอยู่ในห้องโดยสารว่า “ให้ข้าตัวหนึ่ง! ให้ข้าตัวหนึ่ง!” สุดท้ายแล้วได้ม้าเฉ่าหนีขนาดเล็กตัวหนึ่งมาสมปรารถนา ตั้งชื่อว่าเสี่ยวอิ้นอิ้น ตระเตรียมฝึกฝนให้กลายเป็นสัตว์สำหรับพาหนะโดยเฉพาะของตนเอง


 


 


“เสี่ยว…อิ้นอิ้น?” สายตาของเหมิงหู่ที่จูงม้าเฉ่าหนีเข้ามาเปล่งประกายด้วยความสงสัย


 


 


“เสี่ยวอิ๋งอิ๋ง” จิ่งเหิงปัวชม้ายชายตาให้เขา โอบกอดม้าเฉ่าหนีน้อยอย่างรักใคร่พลางกล่าวว่า “ไฮ เสี่ยวอิ้นอิ้น สวัสดีตอนเย็น!”


 


 


ภายหลังยังมีแปดชนเผ่ามารับเสด็จตามลำดับ ได้แก่ ฝููสุ่ย เฉินเถี่ย ลั่วอวิ๋น และจั๋นอวี่คือสี่ชนเผ่าแรก ส่วนไต้เม่า หลิวหลี หวงจิน และเฝ่ยชุ่ยคือสี่ชนเผ่าหลัง จิ่งเหิงปัวค้นพบกฎเกณฑ์หนึ่งคือ การแบ่งแยกชนเผ่าและราชอาณาจักรในต้าฮวงกว่าครึ่งมีความสัมพันธ์กับบึงโคลนที่มีลักษณะพิเศษที่สุดในอาณาเขต เช่น ฝููสุ่ย เฉินเถี่ย ลั่วอวิ๋น และจั๋นอวี่สี่ชนเผ่าแรก นามหมายถึงคุณสมบัติของบึงโคลนในอาณาเขต บนบึงโคลนฝููสุ่ยหรือธารลอยล่อง น้ำที่ล่องลอยอยู่ตลอดเวลาจะลอยวัตถุทุกสิ่งขึ้นมา ส่วนบึงโคลนเฉินเถี่ยหรือล่มโลหะ บึงโคลนลั่วอวิ๋นหรือเมฆาโปรย บึงโคลนจั๋นอวี่หรือสะบั้นขนนกมีนามตามความหมาย คือสามารถจัดการวัตถุทุกสิ่งที่ลอยผ่าน ขนเส้นเดียวยังถูกบึงโคลนสังหาร ส่วนบึงโคลนหวงจินหรือทองคำ บึงโคลนเฝ่ยชุ่ยหรือมรกต บึงโคลนไต้เม่าหรือกระดองเต่า บึงโคลนหลิวหลีหรือกระจกสี แน่นอนว่าคือที่ซึ่งผลิตอัญมณีมากมายพวกนี้ไง พอจิ่งเหิงปัวได้ยินนามสี่นามนี้จึงจัดอันดับชนเผ่าทั้งสี่เป็นที่หนึ่งในรายนาม “คู่มือสถานที่ที่ต้องไปในต้าฮวง”ของตนเอง


 


 


ระยะเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ห้าแคว้นแปดชนเผ่าน้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้ ธงสิบสามสีสะบัดเต็มเส้นทางคดเคี้ยว กองทัพองครักษ์จิ่งเหิงปัวเริ่มกลายเป็นแถวยาวยิ่งใหญ่สมบารมี สมลักษณะของราชินียิ่งนัก


 


 


แต่ว่าสิ่งที่ทำให้นางไม่พอใจคือ แม้ว่าพิธีการรับเสด็จราชินีของอีกฝ่ายสมบูรณ์พร้อม ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง แต่แลดูไม่แยแสนางที่เป็นเจ้านายที่แท้จริง ผู้มีท่าทางดีหน่อยโค้งคำนับครั้งหนึ่งหน้ารถม้า ผู้มีท่าทางไม่ค่อยดีวนรอบรถสักรอบหนึ่งแล้วจากไป แต่ทุกผู้คนประจบสอพลอกงอิ้นอย่างยิ่ง หัวหน้าองครักษ์สิบสามคนล้อมรอบอยู่ข้างกายกงอิ้น เสียงหัวเราะราวกระพรวนเงินของสตรีเคราเฟิ้มนางนั้นดังไม่หยุดหย่อน ฟังแล้วจิ่งเหิงปัวกัดฟันกรอดอยากจะถอนเคราของนางออกมาทีละเส้นละเส้น


 


 


ทุกครั้้งที่ราชอาณาจักรและชนเผ่ามาถึงครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายจะปักธงหลากสีผืนน้อยผืนหนึ่งบนราชรถและแอกรถของราชินี จิ่งเหิงปัวลองนับดูตอนใกล้ค่ำ ร้อง “เอ๋” เสียงหนึ่งเอ่ยว่า “ยังขาดไปผืนหนึ่ง”


 


 


“ยังขาดแคว้นเซียงที่เกรียงไกรที่สุด ใกล้กับนครหลวงมากที่สุด” เหมิงหู่ขานรับ ในสายตาที่จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนมีความกลุ้มใจอยู่บ้าง


 


 


“เหตุใดจึงยังไม่มา”


 


 


“หกแคว้นแปดชนเผ่า เปลือกนอกส่วนใหญ่มีไมตรีต่อราชครูทว่ามีผู้ที่ก่อการขลาดเขลาด้วยไม่พอใจเช่นกัน เฉกเช่น แคว้นเซียงที่มีอำนาจแข็งแกร่งเกรียงไกร หวังจะล้มล้างแทนที่ราชครูกลายเป็นผู้กุมอำนาจหนึ่งเดียวในลุ่มน้ำต้าฮวงตลอดมา” เหมิงหู่เอ่ยสืบต่อว่า “ประเพณีเก่าแก่เช่นน้อมรับเสด็จราชินีร้อยลี้ แท้จริงแล้วยกเลิกไปนานนับสิบปี ราชินีห้าพระองค์ที่ผ่านมานี้ล้วนมิได้เสพสุขจากการปรนนิบัติเช่นนี้ อีกทั้งต่อให้เป็นการน้อมรับเสด็จราชินีร้อยลี้ ย่อมควรจะเรียงลำดับตามตำแหน่งของราชอาณาจักรและชนเผ่า หรือจากอ่อนแอถึงแข็งแกร่ง หรือจากแข็งแกร่งถึงอ่อนแอ มิได้มั่วซั่วเช่นครั้งนี้ ยิ่งมิได้เอ่ยว่าแคว้นเซียงไม่ปรากฏตัวออกมาเสียที ดูท่า เบื้องหลังพิธีการน้อมรับเสด็จราชินีร้อยลี้คงมิได้ง่ายดายเช่นนั้น”


 


 


จิ่งเหิงปัวเหม่อลอย อารมณ์ปีติยินดีร่วงหล่นลงหุบเหว…หรือว่ายังไม่ทันได้เข้าสู่อาณาเขตต้าฮวงก็จะโดนวางอำนาจสักครั้งก่อนซะแล้ว?


 


 


นางนึกถึงเผ่าจั๋นอวี่ที่ร่วมมือกับเหยียลี่ว์ฉีลอบสังหารตนเองและกงอิ้น เอ่ยอย่างหดหู่ว่า “ที่ซึ่งมีมนุษย์ย่อมมียุทธจักรโดยแท้”


 


 


“ที่ซึ่งมีมนุษย์ย่อมมียุทธจักร…” เหมิงหู่ทวนซ้ำรอบหนึ่ง ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นเพียงครั้ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาทวาจาคมคาย!”


 


 


“มิเพียงแต่วาจาคมคาย ข้ายังแต่งกลอนงดงามได้อีกด้วย ให้เจ้าได้รู้จะกลอนผังดอกสาลี่[4]แบบดั้งเดิมสักหน่อย” จิ่งเหิงปัวกล่าวด้วยท่าทีสนุกสนานยิ่งนักว่า “ฟังนะ กลอนนี้นามว่า ผู้หนึ่งในลุ่มน้ำต้าฮวง ฮะแฮ่ม”


 


 


กงอิ้นที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งติดสอยห้อยตามผ่านมาทำภารกิจหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน คนที่เหลือยืนนิ่งอย่างประหลาดใจ ต่อมาทุกคนจึงได้ยินเสียงราชินีบนรถม้ากำลังท่องกลอนด้วยเสียงสูงว่า


 


 


“ผู้หนึ่งในลุ่มน้ำต้าฮวง”


 


 


“ไร้ข้อครหา”


 


 


“ราชินีเช่นข้า”


 


 


“หนึ่งในทั่วหล้า”


 


 


“ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด”


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] หมวกเขียว หรือสวมหมวกเขียว ในภาษาจีนแฝงความหมายอีกความหมายหนึ่งได้ว่า เป็นการคบชู้ หรือถูกสวมเขา


 


 


[2] ม้าเฉ่าหนี สัตว์สี่เท้า รูปร่างคล้ายอัลปากา ชื่อวิทยาศาสตร์ Grass Mud Horse และแผลงความหมายเป็นคำหยาบได้เช่นกัน


 


 


[3] ลามะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในตระกูลอูฐ ชื่อวิทยาศาสตร์ Lama glama


 


 


[4] กลอนผังดอกสาลี่ รูปแบบการแต่งกลอนของจ้าวลี่หวา มีรูปแบบเป็นกลอนภาษาพูด

 

 

 


ตอนที่ 46 - 2 น้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้

 

ข้างทางมีความเงียบสงบผืนหนึ่ง


 


 


“กลอนนี้…” มีผู้เผยสีหน้าฉงนสนเท่ห์


 


 


“กลอนนี้…” มีผู้ตอบอย่างอ้ำอึ้ง


 


 


“กลอนนี้ดีนัก!” มีผู้ชำเลืองมองสีหน้าของกงอิ้นแล้วรีบเร่งประจบสอพลอว่า “กระชับเรียบง่าย ตรงไปตรงมาน่าซาบซึ้ง ผู้หนึ่งในลุ่มน้ำต้าฮวงแสดงความโดดเดี่ยวเศร้าโศกของผู้เดินทางไกลกายโดดเดี่ยวในต่างแคว้นออกมาอย่างลึกซึ้งถึงอารมณ์ ส่วนความกล้าหาญความปรารถนาอันงดงามที่ซ่อนแฝงอยู่ในบทกลอนซึมออกมาจากกระดาษ แทรกเข้ากระดูกสามส่วน…”


 


 


ทุกคนผุดเผยสีหน้าหวังอาเจียน ค่อยๆ หลีกลี้จากเจ้าผู้น่าขยะแขยงไกลออกมาอีกหน่อย กงอิ้นขมวดคิ้วมองทูตชุดหลากสีแห่งแคว้นซังผู้นี้ ครุ่นคิดว่าความสามารถผายลมแปรผันตามความสามารถสอพลอหรือไม่?


 


 


เสียงทางนี้ยังมิทันสิ้น กวีหญิงผู้บุกเบิกบทกลอนคนล่าสุดที่เข้าถึงอารมณ์แล้วทางนั้นตบโต๊ะหนึ่งครั้งทันที กล่าวเสียงดังว่า “ยังมีอีกบทที่ดีกว่านี้!”


 


 


“ราชครูผู้หนึ่งในลุ่มน้ำต้าฮวง”


 


 


กงอิ้นที่เตรียมเดินออกไปหยุดฝีก้าว หรี่ตาขึ้นมา สายตาทะมึนอึมครึมเปล่งประกายปานแสงสีดำกระโจนไปมาสายหนึ่ง


 


 


เสียงของจิ่งเหิงปัวแว่วออกไปไกลยิ่งนักในค่ำคืนมืดมิดเงียบสงัด


 


 


“ไร้ข้อครหา”


 


 


“ราชครูฝ่ายขวา”


 


 


“หนึ่งในทั่วหล้า”


 


 


“คล้ายผีดิบที่สุด!”


 


 



 


 


เงียบงัน


 


 


ครู่หนึ่งกงอิ้นยกเท้าขึ้นเดินออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


 


 


เขาพลาดเอง เขาไม่ควรจะหยุดฟัง


 


 


มีความคาดหวังกับจิ่งเหิงปัว เปรียบได้กับเชื่อว่าชาวแคว้นซังจะไม่ผายลม


 


 


ทูตชุดหลากสีกลุ่มใหญ่ก้มหน้าลงติดสอยห้อยตาม คล้ายว่ามิเคยได้ยินสิ่งใดทั้งนั้น


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่รู้ว่าข้างนอกมีผู้ฟังมากมายขนาดนั้น ท่องเสร็จแล้วหัวเราะก๊ากๆ อยู่ในรถม้า…ช่วงนี้นางหมั่นไส้กงอิ้นเป็นพิเศษ หมั่นไส้เอามากเสียด้วย แม้ได้ด่าเขาเพียงสักหน่อยยังคล้ายได้ดื่มโคล่าแช่แข็งในเดือนมิถุนายน เย็นชื่นใจ


 


 


สักพักนางก็ชื่นใจไม่ออกแล้ว


 


 


ด้วยเพราะกงอิ้นบัญชาว่าด้วยเลยผ่านที่พำนัก ตั้งค่ายพำนักไม่สะดวก จึงตั้งใจเดินทางตลอดคืน ขอองค์ราชินีทรงประทับในราชรถมิต้องเสด็จลงมา


 


 


จิ่งเหิงปัวสติแตกในทันที


 


 


สองวันมานี้นางได้แต่สวมชุดโบราณหนักอึ้งทำตนเป็นหุ่นเชิดอยู่ในราชรถ ตกเย็นมาเหงื่อท่วมกายทั้งนอกทั้งใน หวังเพียงตอนพลบค่ำก่อนนอนได้หาบ่อน้ำบริเวณนี้สักบ่ออาบน้ำให้ชื่นอกชื่นใจ แม้ว่าตลอดเส้นทางนี้คือป่าเขาลำเนาไพรแต่ยังมีบ่อน้ำหลายแห่ง น้ำในบ่อที่สะอาดอบอุ่นคือความสุขอันงดงามที่สุดของนางตั้งแต่เช้าจรดเย็น


 


 


แต่ตอนนี้ ด้วยเพราะกลอนไพเราะเหมาะสมบทเดียว ความสุขเพียงสิ่งเดียวของนางยังถูกแย่งชิงไป


 


 


“ไม่…ได้…” ทั่วร่างเหงื่อท่วมหยดติ๋งติ๋ง จิ่งเหิงปัวผู้อดทนรอคอยการพักผ่อนอาบน้ำได้ยินประโยคนี้ ทั่วร่างคันคะเยอขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงทันที ทนต่อไม่ไหวแม้แต่นาทีเดียว เลิกผ้าม่านรถม้าดังสวบแล้วเริ่มปลดกระดุมเสื้อ กล่าวว่า “ข้า…จะ…อาบ…น้ำ…”


 


 


สายตาที่กวาดผ่านมาด้วยความบริสุทธิ์แวววาวของกงอิ้นที่อยู่ข้างราชรถคือดวงดาราที่หนาวเหน็บที่สุดในท้องฟ้ายามค่ำคืน จิ่งเหิงปัวไม่ล่าถอยแม้แต่น้อย ถลึงตามองด้วยความโกรธ


 


 


“เจ้าขังข้าไว้ในห้องมืดแล้ว ยังจะไม่ให้ข้าอาบน้ำอีก!” นางฟ้องร้อง ความโกรธแค้นลึกล้ำ


 


 


กงอิ้นคล้ายจะชะงักไป สายตาอ่อนลงมา จากนั้นโบกมือ


 


 


รถม้าหยุดลง จิ่งเหิงปัวดีอกดีใจ กางแขนสองข้างพุ่งไปหาเขาพลางกล่าวว่า “เสี่ยวอิ้นอิ้นเจ้าดีที่สุดเลย…”


 


 


“หลีกไป” กงอิ้นหลีกถอยโดยพลัน


 


 


“ไสหัวไป!” อีกเสียงหนึ่งไม่ใช่เสียงของกงอิ้น มาจากในความมืดมิด ขณะเดียวกันแสงทะมึนสายหนึ่งคำรามผ่านมาพุ่งตรงใส่กลางอกของจิ่งเหิงปัว


 


 


แสงทะมึนยังไม่ทันมาถึง กลิ่นอายเข้มข้นสายหนึ่งทะลักเข้าปากเข้าจมูกรำไร กลิ่นอายนั้นคล้ายกลิ่นไข่ไก่เน่าเล็กน้อย กลิ่นฉุนรุนแรงเหลือเกิน จิ่งเหิงปัวสูดดมเสียจนวิงเวียนตาพร่าไปชั่วขณะ ร่างกายนางอ่อนยวบไปทันที ล้มหัวทิ่มลงไปบนพื้นดังพลั่ก


 


 


นางนอนถ่างแข้งถ่างขาคลานอยู่บนพื้น เหนือศีรษะคล้ายมีวัตถุอะไรร่วงมาดังพึ่บพั่บกระแทกลงบนหลังของนาง กลิ่นไข่ไก่เน่ายิ่งเข้มข้น นางเกือบจะอาเจียนออกมาเสียที่นั่น


 


 


“ใครแม่งลอบทำร้ายพี่วะ!”


 


 


“แปะๆๆ” มีผู้ปรบมือด้วยจังหวะสม่ำเสมอในความมืดมิด คนผู้หนึ่งเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “มิเสียแรงที่เป็นองค์ราชินี ล้มลงมายังงดงามกว่าผู้อื่น”


 


 


ได้ยินเสียงนี้ กงอิ้นที่กำลังรอคอยจะประคองนางขึ้นมาหยุดการกระทำ เชิดคางขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมา ท่ามกลางความมืดมิดฝั่งตรงข้ามค่อยๆ ปรากฏเงาคนผู้หนึ่ง สิ่งที่เข้าสู่สายตาคือรูปร่างโค้งเว้าวิจิตร การแต่งกายแปลกประหลาด ท่อนบนสวมเกราะเบาท่อนล่างสวมกระโปรงยาว ทั้งๆ ที่อาภรณ์เป็นเช่นนี้ทว่ากลับวาดเค้าโครงรูปร่างโดดเด่นของนางออกมาอย่างเต็มที่ จุดอวบอิ่มยิ่งแลดูอวบอิ่ม จุดเรียวยาวยิ่งแลดูเรียวยาว ส่วนกระโปรงยาวสะบัดพัดพลิ้วยิ่งผุดเผยขาเรียวยาวเอวบอบบาง ทรวดทรงงามสง่า ผสมผสานความหยาบคายและความประณีต ความกล้าหาญและความงดงาม ความแข็งแกร่งและความอ่อนโยนไว้ด้วยกันอย่างมหัศจรรย์ พาให้ผู้พบเห็นยากจะอธิบายได้ทันที ทันได้เพียงดวงตาสว่างวูบ


 


 


เสียงของนางแหบแห้งเล็กน้อย ฟังในครั้งแรกไม่ไพเราะเลยสักนิด พอฟังโดยละเอียดกลับได้ยินเสียงเกียจคร้านบางส่วนเจือด้วยการผ่านโลกมามากบางส่วน คือความพิเศษที่ทำให้ผู้คนประทับไว้ในความทรงจำเช่นเดียวกัน


 


 


“อัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเซียง!” จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงผู้ร้องอย่างตกใจในฝูงชน


 


 


เคียงคู่กับเสียงร้องอย่างตกใจนี้คือเสียงกึกก้องฉับพลันเสียงหนึ่ง แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งสว่างวาบที่เบื้องหน้า ในแสงสว่างนั้น ทหารม้าชุดม่วงกลุ่มหนึ่งตะบึงเข้ามาอย่างบ้าคลั่งปานเทพสวรรค์ ท่ามกลางการห้อตะบึงรวดเร็ว พวกเขายื่นเสาธงออกมาทั้งสองฝั่งเส้นทางอย่างต่อเนื่อง เสียงระเบิดดังเพียะๆ เพียะๆ ไม่หยุดหย่อน เสาธงทุกต้นคงจะหักสะบั้นธงแคว้นอื่นชนเผ่าอื่นที่ปักอยู่ดั้งเดิม


 


 


ยามเหล่าทหารม้าควบอาชาเข้ามาใกล้ราชรถมิได้หยุดลง ทหารม้าผู้นำหน้าเป่าปากเสียงหนึ่ง ฝูงม้าหยุดลงโดยพร้อมเพรียง จากนั้นแยกจากกันปานธารหลากเวียนวนสู่สองฝั่งของราชรถ เหล่าทหารม้านำเสาธงด้ามหนึ่งออกมาจากข้างม้าอีกครั้ง ตะบึงเลียบไปตามเส้นทาง จากนั้นเป็นเสียงเพียะเพียะดังถี่กระชั้น ธงแคว้นเซียงสะบั้นธงแคว้นอื่นที่เดินทางมาโดยพร้อมเพรียง


 


 


เส้นทางข้างหน้าข้างหลังสามสิบจั้งเหลือเพียงธงสีม่วงสว่างของแคว้นเซียงอย่างรวดเร็วยิ่ง ในเบื้องหน้าความมืดมิดมีเสียงกลองดังขึ้นหนึ่งเสียง ทั้งเส้นทางกระทั่งรถม้ายังสะเทือนครั้งหนึ่ง ธงที่ปักเรียบร้อยแล้วเหล่านั้นสะบัดออกมาดังสวบ อักษร “เซียง” สีเหลืองสว่างนับไม่ถ้วนลอยอออกมาภายใต้แสงไฟในท้องฟ้ายามค่ำคืน


 


 


พอแคว้นเซียงปรากฏกาย ชื่อเสียงแลอำนาจพาคนตื่นตะลึง พฤติกรรมเย่อหยิ่งยโสโอหัง ทำให้หลายแคว้นหลายชนเผ่าที่เหลือต่างผุดเผยสีหน้าโกรธเคือง ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก


 


 


สายตาที่องครักษ์ทั้งหมดมองไปยังเฟยหลัวเปี่ยมด้วยความหวาดหวั่นลึกล้ำ สตรีเบื้องหน้า นางนี้เอ่ยได้ว่าคือสตรีที่มีอิทธิพลที่สุดอย่างแท้จริงในลุ่มน้ำต้าฮวง เล่าลือว่านางคือบุตรีนอกสมรสของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งแคว้นเซียง และเอ่ยว่าเป็นคนรักลับๆ ของกษัตริย์แห่งแคว้นเซียงองค์ก่อน ทว่าฐานะตามตำนานทั้งสองนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องตำแหน่งสูงส่งที่นางครอบครองอยู่ในยามนี้ อำนาจของนางมาจากการสมรส สตรีนางนี้เคยสมรสกับสามีสามคนตามลำดับตั้งแต่อายุยี่สิบปี ทั้งสามคนเป็นผู้ปกครองจากต้าฮวง เหล่าสามีที่ตำแหน่งสูงส่งอำนาจยิ่งใหญ่กลายเป็นผีอายุสั้นหลังจากแต่งงานกับนาง ทิ้งไว้เพียงอำนาจแข็งแกร่งและทรัพย์สินมากมายในตระกูลประคองนางก้าวสู่บัลลังก์การเมืองแห่งแคว้นเซียงในบัดนี้ทีละก้าวละก้าว ฉะนั้น นางจึงมีสมญานามหนึ่งว่า “แมงป่องสีรุ้ง” ด้วยสังหารคู่สมรสดุจแมงป่องแลมีพิษร้ายกาจดั่งแมงป่อง อารมณ์ผิดปกติ เจ้าชู้หลายใจ ว่ากันว่าหลายปีมานี้ เป้าหมายที่นางไล่ตามคือราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาแห่งต้าฮวงผู้มีสมญานามว่ามุกงามหยกคู่


 


 


ดอกไม้ไฟสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาระเบิดออกกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ดอกไม้ไฟหลากสีมหึมาปกคลุมท้องนภาครึ่งหนึ่ง อักษร ‘เซียง’ ตรงกลางมีขนาดรอบนอกหลายสิบจั้ง


 


 


ด้านล่างอักษร ‘เซียง’ มหึมาอักษรนั้น อัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเซียงผู้ทั้งแลดูป่าเถื่อนทั้งแลดูคล้ายเทพธิดานางนั้นเดินมาทางกงอิ้น ด้านหนึ่งยื่นมือมา อีกด้านหนึ่งยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ได้ยินว่ามีผู้อาจหาญประณามราชครูว่าเป็นผีดิบลับหลัง เฟยหลัวไม่พอใจ กำลังหวังจะลงมือแทนราชครู มินึกว่าราชครูลงมือตำหนิด้วยตนเองไปเสียแล้ว เพียงแต่หกล้มเพียงครั้งคงดูถูกนางเกินไปบ้าง พวกเราลงโทษให้หนักยิ่งขึ้นดีหรือไม่?”


 


 


พอนางเดินเข้ามา เหมิงหู่ก็เริ่มตึงเครียด ขยับมาปกป้องเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัวโดยไม่แสดงสีหน้า ได้ยินประโยคนี้ของนาง เหมิงหู่สืบเท้าก้าวหนึ่งกำลังจะเอ่ยวาจา มือของเฟยหลัวที่ใบหน้ายิ้มแย้มงดงามตลอดมาอ้อมผ่านเขามาโดยพลันแล้ว ทอดลงบนใบหน้าของจิ่งเหิงปัว


 


 


“งดงามเสียจริง…” นางลูบคลำผิวกายขาวเนียนละเอียดของจิ่งเหิงปัวอย่างแผ่วเบา สายตาลุ่มหลง


 


 


ถูกสตรีนางหนึ่งใช้สายตาท่าทางแบบนี้ลูบคลำ ขนบนร่างกายของจิ่งเหิงปัวแทบจะลุกชันขึ้นมา โดยเฉพาะแววตาของอีกฝ่าย แม้ว่ามีความอิจฉาบางส่วน ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความปรารถนาจะครอบครองโดยไม่แยแสแบบหนึ่ง คล้ายมองดูหน้ากากที่ตนเองสามารถฉวยมือซื้อได้ในตลาด


 


 


ความรู้สึกนี้ทำให้นางขนลุกขนพอง ยกมือปัดมือของเฟยหลัว


 


 


“ข้ารู้ว่าข้างดงามยิ่งนัก ” นางยิ้มตอบตาหยี กล่าวว่า “ฉะนั้นเจ้าอย่าลูบคลำทำข้าสกปรก”


 


 


มือของเฟยหลัวชะงักไปเล็กน้อยกลางอากาศ ใบหน้าของกงอิ้นหันมาหา


 


 


ทุกคนกลั้นลมหายใจ


 


 


ผู้ใดก็ไม่คิดว่า พอนายหญิงเพียงในนามแห่งต้าฮวงพบกับสตรีผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงที่สุดแห่งต้าฮวงจะโชยกลิ่นดินปืนฉุนรุนแรงพร้อมสรรพเช่นนี้


 


 


ครุ่นคิดโดยละเอียดย่อมไม่แปลกประหลาด เฟยหลัวเอาแต่ใจตนเองโดยตลอด อีกทั้งจากตำแหน่งและอุปนิสัยของนาง ไม่ว่าราชินีกล้าหาญหรือขี้ขลาดล้วนมิได้ทำให้นางสนใจ


 


 


เทียบกับราชินีหุ่นเชิดนางหนึ่ง อัครเสนาบดีหญิงเฟยหลัวผู้กุมอำนาจทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของต้าฮวงจึงเป็นผู้หนึ่งที่มีข้อได้เปรียบและมีตำแหน่งมากกว่าโดยแท้จริง


 


 


ราชินีองค์ก่อนเคยหลีกทางให้นาง ราชินีองค์ก่อนขององค์ก่อนเคยด้วยเพราะสวมกระโปรงที่มีรูปแบบและสีสันเหมือนกับนางในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง ถูกสายตาปราดเดียวของนางบีบเคล้นจนเอ่ยว่าป่วยไข้ถอยออกจากงานเลี้ยง


 


 


ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงราชินีองค์ใหม่ที่เพิ่งโผล่มานางหนึ่ง


 


 


มือของเฟยหลัวชะงักเพียงน้อยครั้งหนึ่ง จากนั้นนางยิ้มแย้ม


 


 


รอยยิ้มของสตรีนางนี้พิเศษยิ่งนัก เขยื้อนขึ้นมาจากหางตาทอดยาวถึงแก้มทีละนิ้วละนิ้ว ทว่ามุมปากคล้ายไม่ขยับเขยื้อน นี่ทำให้นัยน์ตาของนางยิ่งแวววาวดุจสายธาร คล้ายความสบายใจและสนุกสนานเปล่งออกมาจากในใจ


 


 


ทว่าผู้คนรอบด้านเกร็งแน่นไปถึงกล้ามเนื้อ


 


 


“นั่นสิ เจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว” นิ้วมือของเฟยหลัวไถลลงไป ยิ้มแย้มประคองไหล่ของจิ่งเหิงปัวพลางเอ่ยว่า “ผู้มีรูปโฉมงดงามเช่นนี้ ถูกข้าลูบคลำจนสกปรกคงแย่แน่ ข้าจะมิเข้าใจทนุถนอมนวลนางเฉกเช่นใต้เท้าราชครูได้อย่างไรเล่า? สมควรแล้ว สมควรแล้ว มาสิ ข้าประคองเจ้าขึ้นมาเอง”


 


 


ผู้คนรอบด้านผ่อนลมหายใจ


 


 


จิ่งเหิงปัวสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้เรียกขานตนเองว่าฝ่าบาท จากนั้นนางจึงรู้สึกได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดจากสิ่งแหลมคม…เล็บของเฟยหลัวคล้ายแหลมเกินไปจนแทบจิกเข้ามาถึงผิวกายของนางแล้ว


 


 


เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวถอยไปด้านหลังแต่ดิ้นรนออกมาไม่ได้ นิ้วมือของเฟยหลัวดุจคีมเหล็กหนีบจุดเจียนจิ่ง[1]ของนางไว้แน่นหนา พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มแพรวพราวของเฟยหลัว ทว่าดวงตาคู่นั้นบนใบหน้าเย็นยะเยือกลึกล้ำดุจแม่น้ำทะมึนที่แช่แข็งมาเนิ่นนาน


 


 


นางสะท้านในใจ เหลียวมองรอบด้าน เหล่าองครักษ์ทำตนเป็นปกติ


 


 


แท้จริงแล้ว เฟยหลัวมีน้ำใจโอบอ้อมอารี บรรยากาศของทั้งสองคนรักใคร่กลมเกลียว ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเล็บของเฟยหลัวแทบจะทะลุผ่านเสื้อนอกหนาหนักของตนเองแล้ว


 


 


“ฝ่าบาท เฟยหลัวเป็นขุนนางสำคัญแห่งแคว้น ถ้อยวาจาของพระองค์เสียมารยาทยิ่งแล้ว” กงอิ้นที่มิได้เอ่ยวาจามาโดยตลอดปริปากอย่างเย็นชาโดยพลัน แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้งคลุมบนหัวไหล่ของนาง นางเรือนร่างสะเทือนครั้งหนึ่ง หลุดพ้นจากการควบคุมของเฟยหลัว โซเซไปด้านหลังล้มลงใต้ท้องรถ


 


 


องครักษ์รอบด้านไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย มีบางคนผุดเผยแววตาสงสาร…ยังเป็นเช่นนี้ดังคาดการณ์


 


 


เฉกเช่นกาลก่อน ราชินีคือหุ่นเชิดที่แลดูมีเกียรติศักดิ์ตลอดมา ราชครูเลือกรักษาหน้าตาของอัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเซียงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


 


จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นไม่ไหวไปชั่วขณะ เสื้อผ้าหนักเกินไป ผ้าต่วนหนาและเครื่องประดับเกือบหลายสิบชั่งโถมลงมาดั่งขุนเขาพานางล้มลงไป


 


 


จำใจสวมชุดนี้เพราะไม่อยากทำให้กงอิ้นลำบากใจต่อหน้าหกแคว้นแปดชนเผ่า อย่างไรเสียเขาต้อนรับขบวนเสด็จกลับมา หากนางทำตนโดดเด่น สิ่งที่จะกวาดไปเป็นสิ่งแรกคือเกียรติยศของเขา จิ่งเหิงปัวไม่อยากให้เขาถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ จะท้าทายกฎเกณฑ์ รอให้เข้าสู่ต้าฮวงเผชิญหน้ากับวัตถุโบราณพวกนั้นค่อยว่ากันอีกที


 


 


ขณะนี้นางเริ่มเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


มือสองข้างของเฟยหลัวประสานไว้ตรงท้องอย่างสง่างาม เพียงยิ้มแย้มพินิจกงอิ้นมิมองผู้อื่น สายตาคล้ายมีความรู้สึกลึกล้ำ เหมิงหู่จะสืบเท้าเข้ามาทว่าถูกองครักษ์ด้านหลังเฟยหลัวบังเอาไว้คล้ายมิได้ตั้งใจ


 


 


เหมิงหู่มองไปทางกงอิ้น ใช้สายตาแสวงหาคำชี้แนะ นิ้วมือของกงอิ้นขยับเล็กน้อย จากนั้นหยุดนิ่ง สีหน้าของเขาไร้อารมณ์กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน นัยน์ตาคล้ายเปล่งประกายเพียงน้อย


 


 


จิ่งเหิงปัวหมอบอยู่บนพื้น มองเห็นเท้าสองข้างเบื้องหน้าเคียงคู่กัน รองเท้าข้อยาวสีขาวราวหิมะของกงอิ้นกับรองเท้าปักประณีตอย่างยิ่งใต้กระโปรงของเฟยหลัว ดอกไม้ดอกใหญ่งดงามบนหน้ารองเท้ามีสีแดงสดดั่งโลหิต


 


 


ภายใต้สายตาของนาง เท้าสองคู่นั้นไม่ถอยและไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน มีความเฉยเมยเปี่ยมอำนาจเพียบพร้อม


 


 


นี่คือมหาอำนาจและชนชั้นทางสังคมของต่างโลกเหรอ…


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ นางอยากเรียนวรยุทธขึ้นมาบ้างแล้ว จะมีวรยุทธสักชนิดที่ไม่ค่อยลำบาก ไม่ค่อยเหนื่อย ไม่มีช่วงที่ต้องฝึกฝนจนหน้าบวมปูด หรือชอบบาดผิวกายบ้างหรือเปล่านะ?


 


 


วัตถุบนร่างกายหนักเกินไป งั้นก็ต้องโยนทิ้ง


 


 


เพลิงโทสะในใจลุกโชนขึ้นมา เดี๋ยวค่อยว่ากัน


 


 


นางยกมือปลดผ้าคลุมหนักอึ้งดึงปิ่นระย้าทองคำน่ารำคาญออกแล้วฉวยมือโยนลงบนพื้น


 


 


“ถอดอาภรณ์ปลดปิ่นต่อหน้าธารกำนัล ท่านนี่จะขอรับโทษทัณฑ์หรือ?” ชายกระโปรงสีแดงเลือดหมูขยับเขยื้อนแผ่วเบา เฟยหลัวยิ้มแย้มสืบเท้ามาทางนาง


 


 


รองเท้าข้อยาวสีขาวหิมะขยับเพียงครั้งขัดขวางเส้นทางของเฟยหลัว เสียงของกงอิ้นเยือกเย็นสุขุมเอ่ยว่า “เสนาหญิง ข้ามีเรื่องจะปรึกษาหารือกับเจ้าพอดี มิสู้ขยับฝีก้าวไปเบื้องหน้าสนทนาสักครู่ดีหรือไม่?”


 


 


เฟยหลัวชะงักไปเล็กน้อย ปริปากด้วยเสียงสนุกสนานอีกครา “ได้สิ”


 


 


รองเท้าข้อยาวสีขาวราวหิมะกับรองเท้าปักประณีตขยับเขยื้อนออกไปอย่างแผ่วเบา ยามนี้เองชุ่ยเจี่ยกับจิ้งอวิ๋นจึงกล้าชะโงกหน้าออกมาประคองจิ่งเหิงปัวขึ้นไป จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้นั่งให้มั่นคง ยามเฟยหลัวเดินผ่านข้างแอกรถก็เอ่ยขึ้นมาโดยพลันว่า “อาชาตัวนี้งามสง่ายิ่งนัก!”


 


 


นางคล้ายชื่นชอบม้าเทียมรถยิ่งนัก ยื่นมือตบไปบนหัวม้าเพียงครั้ง หัวเราะคิกคิกเดินออกไป


 


 


อาชานั้นสะท้านไปทั่วร่าง คำรามเสียงยาวเสียงหนึ่งโดยพลัน ยกกีบเท้าพุ่งทะยานไปด้านนอก!


 


 


รถม้าถูกลากไปด้วยโดยพลัน เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวที่อยู่ตรงประตูรถยังไม่ทันได้นั่งลงโซเซไปด้านหน้ากำลังจะร่วงลงมาใต้ท้องรถ!


 


 


แสงเย็นเยือกสายหนึ่งกะพริบวูบตัดเชือกบังเ**ยนที่ผูกไว้กับตัวม้าดังผึงเสียงหนึ่ง ม้านั้นพุ่งทะยานออกไปอย่างบ้าคลั่งโดยพลัน สะท้อนเสียงกีบเท้ารุนแรงออกมาในค่ำคืนเงียบสงบ


 


 


เสียงคำรามของม้าที่ห่างออกไปดุเดือด ม้าคล้ายกลายเป็นบ้าขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว


 


 


จิ่งเหิงปัวที่โซเซร่วงหล่นลงมาจากประตูรถถูกเหมิงหู่ประคองไว้ได้ทันเวลา รอดพ้นจากการล้มลงใต้ล้อรถ


 


 


เสียงของกงอิ้นแว่วมา เจือด้วยความโกรธเล็กน้อย “เสนาหญิง! เจ้ากำเริบเสิบสานนัก! นี่คือขบวนเสด็จ!”


 


 


เสียงของเฟยหลัวฟังดูไร้เดียงสาและแผ่วเบา พาให้คนจินตนาการได้ว่ายามนี้นางคงต้องเบิกดวงตาสองข้างจนกลมโต มือปิดริมฝีปากคู่นั้นอย่างแผ่วเบา ใบหน้าเปี่ยมด้วยความงงงวยด้วยไม่ระวังก่อเรื่องวุ่นวาย


 


 


“ว้าย ขออภัยด้วย ข้าลืมไปเสียแล้ว!”


 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ตำแหน่งร่องกลางหัวไหล่

 

 

 


ตอนที่ 46 - 3 น้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้

 

จิ่งเหิงปัวนอนแผ่อยู่บนรถ ดวงตาสองข้างว่างเปล่ามองตรงไปยังเพดานรถ


 


 


จิ้งอวิ๋นชุ่ยเจี่ยและยงเสวี่ยที่อยู่อีกฝั่งล้วนมิกล้าเอ่ยวาจา จ้องมองนางด้วยความกังวลตลอดเวลา กลัวว่านางจะกระทำการคิดสั้นขึ้นมาด้วยเพราะเรื่องราวเมื่อครู่


 


 


ความจริงเลวร้ายยิ่งกว่าจินตนาการเสมอ เปรียบเทียบกันแล้ว วันเวลาที่ถูกกงอิ้นควบคุมคล้ายจะกลายเป็นสวรรค์ขึ้นมา


 


 


สายตาของจิ่งเหิงปัวว่างเปล่า สมองกลับไม่ว่างเปล่า สายตาทะลุผ่านเพดานรถไปเนิ่นนานแล้ว ทะลุผ่านท้องฟ้าดาราพราวกว้างใหญ่กลับไปสู่วันเวลายุคปัจจุบันช่วงนั้น


 


 


คล้ายดั่งยังคงเป็นห้องชุดสี่คนห้องนั้น เหวินเจินมักจะทำอาหารเลิศรสหลากหลายรูปแบบอยู่ในห้องครัว ไท่สื่อหลันมักจะโยนเยาจีที่วางแผนจะปีนขึ้นบนเตียงของนางออกไป จวินเคอมักจะมุงดูทุกสิ่งบนอินเตอร์เน็ต ตนเองมักจะแอบกินขนมของเหวินเจิน ทาน้ำยาทาเล็บไปพลางดูซีรี่ย์เกาหลีไปพลาง


 


 


วันเวลาหยุมหยิมไร้สาระเหล่านั้นเมื่อสมัยนั้น พอนึกถึงในขณะนี้ ทำไมรู้สึกทันทีว่าดวงใจเจ็บปวดเล็กน้อย อ่อนไหวเล็กน้อย?


 


 


นางยกมือขึ้นอย่างเบื่อหน่ายแตะไปที่เบ้าตา นิ้วมือเปียกชื้นอยู่บ้าง นางแบะปากยกแขนเสื้อเช็ดความเปียกชื้นผืนน้อยออกไป จากนั้นสีหน้าอัปลักษณ์ขึ้นมาเล็กน้อย…ความรู้สึกนึกคิดของนางผันกลับไปเป็นฉากหนึ่งเมื่อครู่อีกครั้งทันที รองเท้าข้อสูงสีขาวหิมะของกงอิ้นและชายกระโปรงสีแดงเลือดหมูของเฟยหลัวขนานกัน ต่างคนต่างมีความเงียบสงบสุขุม ท่าทางยึดกุมทุกสรรพสิ่ง มองอย่างไรไม่พอใจอย่างนั้น พอนึกถึงยิ่งไม่พอใจมากขึ้น


 


 


นางหันหน้าฟังเสียงความเคลื่อนไหวภายนอก ท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ มืดลง รอบด้านมีเสียงคนโหวกเหวกโวยวาย วันนี้ผู้ติดตามมากมาย เหล่าองครักษ์ตั้งกระโจมขึ้นมาบนที่ราบตระเตรียมตั้งค่ายพักแรม กระโจมตรงกลางที่หรูหราที่สุดใหญ่ที่สุดคือกระโจมของจิ่งเหิงปัวยังตั้งไม่เสร็จ กระโจมของกงอิ้นและเฟยหลัวสองฝั่งตั้ังเสร็จแล้ว รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด


 


 


รถม้าไร้ผู้คนใส่ใจไปชั่วขณะ เมื่อชุ่ยเจี่ยและสองคนที่เหลือคิดว่าจิ่งเหิงปัวหลับไปแล้ว นางยกมือขึ้นมาอย่างเกียจคร้านทันที


 


 


“ข้าจะกินอะไรสักหน่อย”


 


 


อาหารปริมาณมากถูกส่งขึ้นมา จิ่งเหิงปัวมีความอยากอาหารดียิ่งนัก นำพาสัตว์เลี้ยงใหม่เฟยเฟยของนางกินอย่างเอร็ดอร่อยเต็มที่ กินไปพลางดูดน้ำซุปที่เปรอะเปื้อนบนเล็บไปพลาง หันหน้ามองดูกระโจมของเฟยหลัวด้วยสายตาแวววาวเป็นประกาย


 


 


ชุ่ยเจี่ยมองเห็นสายตาเช่นนั้นของนาง รู้สึกประหลาดใจจนสั่นสะท้าน


 


 


“เอาปลาเค็มมาหน่อย ยิ่งเหม็นยิ่งดี” จิ่งเหิงปัวสั่งอาหาร


 


 


คำขอนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง ดีว่ายามนี้มีองครักษ์ทุกชนเผ่า ปลาเค็มเป็นของรักของชนเผ่าหนึ่งพอดี ปลาเค็มเหม็นหึ่งถูกส่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆๆ ขึ้นมา เสียงฟังแล้วพาให้คนหวาดกลัวยิ่งนัก


 


 


นางกินเกลี้ยงจานชามกองใหญ่ พวกชุ่ยเจี่ยจิ้งอวิ๋นถือลงไปล้าง ภายในรถม้าว่างเปล่า


 


 


จิ่งเหิงปัวเริ่มแผนการโดยละเอียด


 


 


นางผ่าปลาเค็มออก จมูกดมไปดมมา เลือกส่วนท้องที่เหม็นที่สุด ใช้ผ้าไหมผืนหนึ่งห่อไว้อย่างระมัดระวัง


 


 


จากนั้นนางลอกก้างแข็งท้องนอกในของปลาเค็มออกมา เฟยเฟยพุ่งเข้ามาฉี่ใส่ก้างปลาครั้งหนึ่ง


 


 


ก้างปลาที่ถูกเฟยเฟยฉี่รดสะท้อนสีแดงเจือจางออกมา แลดูแปลกประหลาดเล็กน้อย


 


 


เฟยเฟยส่งเสียงหัวเราะฮิฮิ คว้าก้างอันหนึ่งขึ้นมาจ่อที่ก้นแทงเข้าไปอย่างแผ่วเบา ศีรษะใหญ่เอียงไปเอนมา โซซัดโซเซปานดื่มสุราเมามาย ล้มลงบนหางของตนเอง


 


 


จิ่งเหิงปัวตลกการแสดงที่สมจริงมีชีวิตชีวาของเจ้าตัวนี้จนหัวเราะฮ่าออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าน้องรัก ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องช่วยข้า!”


 


 


หลังจากนั้นชั่วครู่ พวกชุ่ยเจี่ยเช็ดไม้เช็ดมือกลับมาบนรถม้ามองรอบรถม้าที่ว่างเปล่า งงงันไม่เข้าใจ


 


 


“ต้าปัวไปไหนเสียแล้ว?”


 


 



 


 


จิ่งเหิงปัวพินิจกระโจมของเฟยหลัวรอบด้านแล้วแบะปาก


 


 


กระโจมของอัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเซียงแม้ว่าดูแล้วไม่ใหญ่เท่ากระโจมของนาง แต่วัสดุที่ใช้ทำกระโจมและของตกแต่งภายในหรูหราล้ำค่าอย่างยิ่ง เป็นการปรนนิบัติที่แตกต่างกันโดยแท้


 


 


จิ่งเหิงปัวนำก้างปลาห่อนั้นออกมา เลิกพรมหน้าประตูกระโจมออก คำนวณระยะก้าวแล้วค่อยๆ ฝังก้างปลาลงบนพื้น


 


 


ก้างปลานี้เดิมทีนางอยากฝังลงบนเตียง ในเมื่อเฟยเฟยเพิ่มส่วนผสมแล้ว งั้นให้ใต้เท้าเสนาหญิงเหยียบสักหน่อยก็พอแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวถนอมรักรูปโฉม ฉะนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ยอมทำลายรูปโฉมผู้อื่น


 


 


ในกระโจมเงียบเชียบ ม่านกั้นข้างหลังจิ่งเหิงปัวคล้ายถูกสายลมพัดตรงเป็นเส้นหนึ่ง คล้ายมีแสงสลัวดำขลับกะพริบวูบรำไร ทว่าเพียงกะพริบตาก็หายไป


 


 


ก้นของจิ่งเหิงปัวหันให้ม่านกั้น นางย่อมไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ตั้งใจฝังก้างปลาจนเสร็จเงยหน้ามองครั้งหนึ่ง กระโจมใช้โครงไม้ประกอบขึ้นมา เหนือศีรษะมีท่อนไม้กลมท่อนหนึ่งค้ำยัน นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เปล่งเสียงเป่าปากแผ่วเบาเสียงหนึ่ง


 


 


เงาขาวกะพริบวูบ เฟยเฟยมุดเข้ามาอย่างเงียบเชียบ


 


 


จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังท่อนไม้กลมท่อนนั้น ทำสัญญาณมือเชือดลำคอครั้งหนึ่ง เฟยเฟยเข้าใจโดยพลัน พุ่งขึ้นไปกรงเล็บฝนมั่วซั่วดังสวบสวบระลอกหนึ่ง แกรกแกรกหลายเสียง ท่อนไม้กลมปรากฏรอยแตกลึก


 


 


จิ่งเหิงปัวดีดนิ้ว ยิ้มแย้มเบิกบาน หันหน้าเหลียวมองรอบด้าน ตามหาวัตถุอะไรสักอย่างที่ค่อนข้างเหมาะมือสามารถใช้ทุบคนได้


 


 


ต้าปัวแก้แค้นไม่ต้องรอให้ข้ามคืน ใครชนนางล้มทิ่มลงพื้น นางจะเชิญคนนั้นกลิ้งไปมาบนโคลนหลายๆ รอบ กลิ้งไปมาหลายรอบยังไม่พอ จะให้ดีต้องพุ่งเข้าไปผัวะเผียะผัวะเผียะสักรอบ แน่นอนว่าวรยุทธ์ของเฟยหลัวดูน่าทางสูงไม่เบา นางต้องหาทางหนีทีไล่ให้ดี ถ้าเกิดหนีไม่ทันขึ้นมาก็ใช้ของแข็งเขวี้ยงใส่ให้ไม้หัก ทุบให้นางหมอบราบไปบนพื้น


 


 


บนโต๊ะมีแจกันสองหูลายครามใบหนึ่ง นางพยักหน้าอย่างพอใจ พิจารณาห่อปลาเค็มในมือ กลิ่นอายหอบนั้นยิ่งรุนแรง


 


 


นางลังเลเล็กน้อย ห่อปลาเค็มนี้เดิมทีคิดจะโยนเข้าไปในผ้าห่มของกงอิ้น แต่ขณะนี้ออกจากกระโจมของเฟยหลัวคล้ายไม่ค่อยสะดวกต่อการพัฒนาแผนการแก้แค้น นางกำลังครุ่นคิด ได้ยินภายนอกเสียงฝีเท้าเสียงสนทนาแว่วมารำไร


 


 


“…ยามค่ำคืนท้องฟ้ามืดมิด เหตุใดเราสองจะต้องยืนปรึกษาหารืออยู่เบื้องนอก มิสู้เข้าไปในกระโจมของข้า พวกเราร่ำสุรากลางแสงเทียน สนทนาตลอดคืน ย่อมมิได้เสียหายอะไร?”


 


 


คือเสียงของเฟยหลัว กงอิ้นคล้ายร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่งแผ่วเบา


 


 


จิ่งเหิงปัวเกือบจะขยี้ห่อปลาเค็มในมือจนแหลกละเอียดดังแกร๊บเสียงหนึ่ง…สนทนาตลอดคืน? สนทนากับน้องสาวแกสิ?


 


 


เงาคนนอกกระโจมสั่นไหวกำลังจะก้าวเข้ามา จะหนีต้องฉวยโอกาสนี้ แต่จิ่งเหิงปัวไม่อยากไปแล้ว


 


 


นางอยากดูว่าชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้คิดจะสนทนาตลอดคืนเรื่องอะไร!


 


 


หันหลังครั้งหนึ่งดังสวบ สายตากวาดรอบสี่ด้าน นางพบว่าด้านในกระโจมมีม่านกั้นห้อยอยู่ รีบเร่งเลิกออกมุดเข้าไป พอเข้าไปก็สะดุดล้มวัตถุพุ่งไปข้างหน้า ใต้ร่างนุ่มนิ่ม ที่แท้คือเตียง


 


 


เฟยหลัวพิถีพิถันไม่เบา กระโจมที่อาศัยยังแบ่งเป็นห้องภายในภายนอก


 


 


จิ่งเหิงปัวก้มหน้ามองดูผ้าปูเตียงพรมขนสัตว์สีขาวหิมะประณีต มองออกว่าคนนี้มีโรครักสะอาดเช่นกัน บนเตียงแม้แต่รอยยับสักเส้นยังไม่มี นางหัวเราะคิกคิกโดยไร้เสียงครั้งหนึ่ง สวมรองเท้าขึ้นบนเตียง เท้าเหยียบย่ำบนหมอนสีขาวบริสุทธิ์ ไขว่ห้างขึ้นมา ชั้นเหยียบ ชั้นย่ำ ชั้นย่ำย่ำย่ำ…


 


 


ดินใต้รองเท้าร่วงกราวลงมาดังซู่ซู่ในร่องบนพรมขนสัตว์ บ้างร่วงไปในร่องข้างเตียง ท่ามกลางความมืดมิดใต้เตียงคล้ายมีเสียงแผ่วเบาเล็กน้อยดังอยู่รำไร แต่จิ่งเหิงปัวไม่ได้สนใจ


 


 


ใต้เตียง เงาคนผู้หนึ่งป้องศีรษะไว้มองไปด้านบนอย่างโกรธเคือง ไม่เข้าใจว่าเตียงดีๆ เหตุใดจึงมีฝุ่นดินร่วงลงมาได้?


 


 


จิ่งเหิงปัวยุ่งจนมือเป็นระวิง ยัดปลาเค็มเข้าไปใต้ที่นอนสามชั้น ถอนหายใจเสียงหนึ่งด้วยเสียดายเล็กน้อย ของสิ่งนี้เดิมทีนางคิดจะยัดเข้าใต้ที่นอนของกงอิ้น แบบนี้ พอเขาขึ้นเตียงจะได้กลิ่นเหม็น แต่หาที่มาของกลิ่นเหม็นไม่เจอ เนื้อปลาเค็มชุ่มน้ำโดนกดทับจะค่อยๆ ซึมแทรกเข้าไปในที่นอน กลิ่นอายหอบนั้นจะได้เหม็นหึ่งลอยล่องเนิ่นนานไม่สูญสลาย ราชครูสูงศักดิ์ผู้รักสะอาดคงต้องทนทุกข์เปลี่ยนเครื่องนอนนอนหลบไม่สนิททั้งคืนเป็นแน่


 


 


ตอนนี้ของขวัญดีงามชิ้นนี้ ได้เพียงให้เฟยหลัวได้เสพสุข


 


 


ปลาเค็มวางเรียบร้อยแล้ว นางคุกเข่าบนเตียงตบอย่างพึงพอใจ กลิ่นเหม็นจางลงไปมากเมื่อกั้นด้วยที่นอน ผลลัพธ์เช่นนี้ดีที่สุด รับรองว่าสามารถจัดการจนเฟยหลัวนอนหลับไม่สนิททั้งคืน


 


 


กลิ่นเหม็นของปลาเค็มมิอาจทะลุผ่านที่นอนสามชั้นมาถึงจมูกของจิ่งเหิงปัว ทว่ากับใต้เตียงกั้นเพียงไม้กระดานแผ่นหนึ่ง กลิ่นฉุนแสบจมูกระลอกนั้นมีพลังทะลุผ่านยวดยิ่ง


 


 


เงาดำใต้เตียงที่ไม่ขยับเขยื้อนผู้นั้นปิดจมูกเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยเพราะกลิ่นนั้นรุนแรงเหลือเกิน ทนแล้วทนอีก ทนแล้วทนไม่ไหว…


 


 


“ชิ้ว” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบา


 


 


“ใครจามน่ะ?” จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงหนึ่งนี้แล้ว เรือนร่างตรงดิ่งเหลียวมองรอบด้านอย่างหวาดระแวง หัวเตียงมีหางขนาดใหญ่ของเฟยเฟยห้อยลงมาโดยพลัน ดวงตากลมโตสีม่วงคล้ำมองลงมากะพริบตาให้นางเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวโล่งอกไป กล่าวว่า “ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง”


 


 


ในความมืดมิดใต้เตียง มีผู้ปิดจมูกเอาไว้ด้วยเจ็บปวดเสียจนไม่อยากมีชีวิต…


 


 


จิ่งเหิงปัวเอนกายลงไปอย่างสบายอกสบายใจอีกครั้ง ม่านด้านนอกเลิกขึ้นมาเพียงครั้ง มีคนเข้ามาแล้ว จิ่งเหิงปัวนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที แอบร้องว่า แย่แล้ว!


 


 


นางฝังก้างปลาที่เพิ่มส่วนผสมพิเศษไว้หน้าประตู นี่ถ้าถูกกงอิ้นเหยียบขึ้นมา…


 


 


จิ่งเหิงปัวกอดผ้าห่มกลิ้งไปมา ในใจครุ่นคิดเล็กน้อยไปชั่วครู่…จะแอบบอกเขาดีไหมนะ…พอชะโงกหน้ามองเห็นเงาสองของคู่รักคู่นั้นสะท้อนบนม่านกั้น รู้สึกทันทีว่าโกรธแค้นจนควันพวยพุ่ง


 


 


เหยียบโดนก็โดนไป เหยียบตายสมน้ำหน้า!


 


 


หน้าประตูแว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบาระลอกหนึ่ง เสียงยามนี้ของเฟยหลัวนุ่มนวลกว่าเมื่อกลางวันหลายเท่าตัวยิ่งนักเอ่่ยว่า “เหตุใดจึงยืนอยู่หน้าประตูมิเข้ามา? ที่แห่งนี้ของข้ามิได้มีเสือคอยเขมือบเจ้า”


 


 


แม่เสือแซ่จิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หนีบหมอนสีขาวหิมะของเฟยหลัว จ้องมองปากกระโจมอย่างลับๆ ล่อๆ


 


 


กงอิ้นยังคงยืนอยู่ไม่ขยับเขยื้อน เสียงเย็นชาราวไข่มุกหยกแก้วเอ่ยว่า “เสนาหญิง เมื่อครู่เจ้าเอ่ยว่ามีสถานการณ์ทหารลับๆ จะเอ่ยกับข้าเป็นการส่วนตัว ยามนี้คงเอ่ยได้แล้วกระมัง?”


 


 


เฟยหลัวหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “ราชครูใจร้อนเสียจริง”


 


 


กงอิ้นมิเอ่ยวาจา


 


 


ทั้งสองคนยืนอยู่ปากกระโจมไม่ก้าวเข้ามาไม่ถอยออกไป จิ่งเหิงปัวมองจนใจเต้นยากจะทานทน


 


 


“ที่จริงข้ามิเอ่ยวาจา ราชครูย่อมรู้อยู่แล้ว” เสียงหัวเราะของเฟยหลัวอ่อนหวาน สนทนาขึ้นมาตรงปากกระโจมว่า “ก่อนหน้านี้ไม่นาน เผ่าจั๋นอวี่แตกคอกับใต้เท้าเหยียลี่ว์โดยพลัน ว่ากันว่าสองฝ่ายเคยมีสงครามรุนแรงครั้งหนึ่งที่แม่น้ำเทียนวั่ง ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บ หลังจากนั้นเผ่าจั๋นอวี่ลอบสังหารใต้เท้าเหยียลี่ว์ ใต้เท้าเหยียลี่ว์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นโต้ตอบกลับด้วยการลงโทษข้าราชบริพารเผ่าจั๋นอวี่ในราชสำนัก ภายในระยะเวลาหนึ่งวันเนรเทศข้าราชบริพารสิบหกคน ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายรุนแรงขึ้น จากนั้น นอกจากแคว้นเซียงของข้าและแคว้นซังที่อ่อนแอที่สุด สี่แคว้นเจ็ดชนเผ่าที่เหลือ ไม่มากก็น้อยล้วนเข้าผสมโรงศึกระหว่างจั๋นอวี่และเหยียลี่ว์ เหยียลี่ว์ควบคุมพระบรมมหาราชวังฝ่ายซ้าย ทว่าเผ่าจั๋นอวี่และผู้เฝ้ารอคอยควบคุมดินแดนรอบนครหลวงสิบสามแห่ง ทหารอวี้จ้าวในบัญชาของท่านกลับอยู่ระหว่างสองผู้นี้ยืนหยัดเป็นกลางดูแลพระราชวัง ทว่าทหารคั่งหลงที่ล้อมพิทักษ์นครหลวงตระเตรียมพลทั้งสิ้น ปิดตายนครหลวง รอการกลับมาของท่าน…คลื่นใต้น้ำรุนแรงในพระบรมมหาราชวัง ไม่ระวังแม้เพียงน้อยย่อมมีภยันตรายใหญ่หลวง ยามนี้คือสงครามหรือความสงบ คือแรงถาโถมแข็งแกร่งหรือแรงนำทางเบาบาง ราชครูของข้า ทั้งพระบรมมหาราชวังจวบจนต้าฮวง กำลังรอคอยโองการของท่าน”


 


 


ในที่สุดตอนนี้จิ่งเหิงปัวจึงได้ยินข่าวคราวของเหยียลี่ว์ฉี ดูท่าทางคืนนั้นเขาไม่เป็นไรดังคาด ไม่เพียงแต่ไม่เป็นไร ซ้ำยังกลับไปต้าฮวงนานแล้วกระทำก่อกวนต่อไป คือแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตาย ไอ้โง่เง่าเต่าตุ่นพันปีอายุยืนยาวจริงๆ


 


 


“ฉะนั้นพวกเจ้าจัดพิธีน้อมรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้มั่วซั่วครั้งนี้ แท้จริงแล้วก็เพื่อสืบทราบความปรารถนาของข้าให้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจลงมือขั้นต่อไปหรือ?” กงอิ้นคล้ายรู้ความเคลื่อนไหวของเหยียลี่ว์ฉีอยู่ก่อนแล้ว น้ำเสียงฟังคล้ายไม่มีความแปลกใจแม้แต่น้อย


 


 


“เกรงว่าจะยังไม่เพียงนั้น” เฟยหลัวหัวเราะแผ่วเบา หันกายเพียงครั้งคว้าแขนเสื้อของกงอิ้นไว้อย่างแผ่วเบา เอ่ยว่า “เจ้าเข้ามาสิ เจ้าเข้ามาสิ เจ้าเข้ามาสิ ข้าจะกระซิบกระซาบบอกเจ้า…”


 


 


หลายประโยคหลังเอ่ยอย่างแผ่วเบางดงามเปี่ยมด้วยการเชื้อเชิญ ทว่ามิได้ผุดเผยความสนิทชิดเชื้อ เพียงทำให้คนรู้สึกว่าน่ารักใคร่เอ็นดู อดจะสั่นสะท้านในแววตาทั้งงดงามทั้งอ่อนหวานของนางไม่ได้


 


 


จิ่งเหิงปัวขยี้พรมขนแพะจนอัปลักษณ์ผิดรูปผิดร่างดั่งใบหน้าของนาง แต่อดจะมองดูสีหน้าท่าทางของเฟยหลัวโดยละเอียดมิได้ นางรู้สึกว่าท่าทางนี้ดีอย่างยิ่ง ยั่วยวนแบบไร้ร่องรอย ต้องเรียนรู้สักหน่อย


 


 


“อัครเสนาบดีหญิงอยากเอ่ยย่อมเอ่ย มิอยากเอ่ยย่อมเอ่ยไม่ต้องเอ่ย” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “กระโจมนี้คล้ายมีกลิ่นประหลาด ไม่เข้าไปจะดีกว่า”


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง…จมูกสุนัขหรือไง? ไกลขนาดนี้ยังได้กลิ่น?


 


 


เฟยหลัวกลับไม่ได้กลิ่น นางได้กลิ่นเพียงกลิ่นหอมอำพันทะเลเข้มข้นหน้าปากกระโจม ยังนึกว่าราชครูผู้สูงส่งเย็นชามาตลอดจงใจจุกจิก จึงไม่โกรธเคือง ยิ้มเพียงครั้งเลิกคิ้วขึ้น นิ้วมือแฉลบผ่านจอนผมแผ่วเบา เอ่ยว่า “กลิ่นประหลาด? กลิ่นอายบนเรือนร่างของข้าหรือ? เจ้าดมอีกครั้งสิ หอมหรือไม่?”


 


 


นางยกสาบเสื้อแขนเสื้อขึ้นมาเพียงครั้ง ระหว่างแขนเสื้อโชยกลิ่นหอมสะระแหน่และพิมเสนซึ่งหอมหวนชื่นเย็นออกมา เฟยหลัวยิ้มอย่างมั่นใจยิ่งนัก นางรู้ว่ากงอิ้นชอบกลิ่นอายเช่นนี้


 


 


นิ้วมือวาดรัศมีโค้งอรชรสายหนึ่งกลางอากาศคล้ายตั้งใจ ทอดลงบนแขนเสื้อของกงอิ้นคล้ายมิได้ตั้งใจ


 


 


ดวงตาคู่หนึ่งของเงาดำใต้เตียงเปล่งประกายอึมครึมคล้ายมีความหนาวเหน็บ


 


 


จิ่งเหิงปัวบนเตียงยกแขนขึ้นมาดมกลิ่นใต้รักแร้ เงยหน้าขึ้นมาอย่างโกรธเคืองอยู่บ้าง ใช้ริมฝีปากด่าว่า ปีศาจจิ้งจอก!


 


 


“ดึกดื่นแล้ว ” น้ำเสียงของกงอิ้นสงบราบเรียบและเด็ดเดี่ยวยิ่งนักเอ่ยสืบต่อว่า “เสนาหญิงท่านเองควรพักผ่อนเช่นกัน เปิ่นจั้ว[1]ขอลา”


 


 


เขาไม่รอคอยคำตอบของเฟยหลัว หันกายเดินจากไป


 


 


เฟยหลัวยังคงมีท่าทางสบายใจเช่นนั้น มองกงอิ้นหันกายอย่างไม่รีบร้อนแล้วยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “พิธีการน้อมรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้มิเคยปรากฏนับสิบปี จนทำให้ราชครูยังหลงลืมกฎเกณฑ์เสียแล้ว”


 


 


กงอิ้นหยุดฝีก้าวเพียงครั้ง คล้ายครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา


 


 


“น้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ องค์ราชินียังจะต้องเผยความปรีชาสามารถที่สยบสรรพสิ่งให้หกแคว้นแปดชนเผ่าเห็นในพิธีเฉลิมฉลองต้อนรับก่อนเข้าสู่นครหลวง!” เฟยหลัวหุบรอยยิ้ม เอ่ยทีละคำละคำว่า “มิฉะนั้น จุดจบของนางคือ ขับไล่ เนรเทศ สิ้นชีพ ไร้ตระกูล!”


 


 


 


 


 


 


[1] เปิ่นจั้ว คำแทนตนของขุนนาง


ตอนที่ 47 - 1 หนีตามกัน?

 

กงอิ้นหันกายโดยพลัน


 


 


จิ่งเหิงปัวตกใจจนตาโตเท่าไข่ห่าน…อาไร้? ความสามารถ? นางเคยมีของสิ่งนี้เหรอ?


 


 


ข่าวคราวที่ทำให้ตกตะลึงนี้โจมตีจนนางลืมว่าตนเองอยู่ที่ไหน กุมศีรษะเริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก กฎทองของสตรีทะลุมิติปรากฏขึ้นในสมอง…ตามปกติแล้ว สิ่งไหนสะเทือนเวทีได้บ้าง?


 


 


กลอนสมัยถังสมัยซ่งหลายร้อยบท ผู้คนไม่ตะลึงแม้ตายไม่ยอมเลิกรามีบ้างไหม?


 


 


ไม่มี้!


 


 


รุมบ้าแทงโก้มาสักเพลง ระบำอาภรณ์ขนนกรอบเดียวสะท้านทั่วหล้ามีบ้างไหม?


 


 


ไม่มี้!


 


 


ล่วงรู้ประวัติศาสตร์หลายสิบปี ทรงเสน่ห์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เหนือผู้อื่นมีบ้างไหม?


 


 


ไม่มี้!


 


 


นำระบอบการปกครองล้ำหน้ามาปฏิรูป ครองมหาอำนาจแห่งราชสำนักไว้ในมือมีบ้างไหม?


 


 


ไม่มี้!


 


 


เผยแพร่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่มากมาย เปลี่ยนแปลงยุคสมัยข้าเป็นผู้นำมีบ้างไหม?


 


 


ไม่มี้!


 


 


ประดิษฐ์สร้างสรรค์ทำการค้า ได้กำไรก้อนใหญ่สบายๆ มีบ้างไหม?


 


 


ไม่มี้!


 


 



 


 


หลังจากจิ่งเหิงปัวทะลุมิติมาต่างโลกหลายเดือน ในที่สุดก่อนหน้าวิกฤตการณ์หนึ่งจึงถูกอสนีบาตแห่งความเข้าใจสายหนึ่งฟาดสู่สมอง


 


 


ที่ แท้ นาง คือ ขยะ ชิ้น หนึ่ง!


 


 


เสียงของเฟยหลัวแว่วเข้าสู่สมองรำไร


 


 


“…ท่านย่อมทราบว่า หากฝ่าบาททำให้หกแคว้นแปดชนเผ่าผิดหวังกลางพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ โทษสถานเบาคือลดฐานันดรศักดิ์ โทษสถานหนักคือเนรเทศ ไม่ว่าจะสิ่งไหน สุดท้ายแล้วล้วนยากจะปลอดภัยไปชั่วชีวิต รัชศกเทียนหยวนปีที่สาม ราชินีโหรวเจ๋อถูกเนรเทศด้วยเพราะเสียมารยาทกลางพิธีเฉลิมฉลอง นางสิ้นชีพกลางลุ่มน้ำเยียนจั้งอย่างรวดเร็ว นี่ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่หกแคว้นแปดชนเผ่าไม่รับเสด็จราชินีอีกในภายหลัง…ได้รับเกียรติยศมากเพียงใดย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนมากเพียงนั้น นี่คือสัจธรรมแห่งความยุติธรรมบนโลกมนุษย์ตลอดมา…”


 


 


สัจธรรมน้องเจ้าสิ! จิ่งเหิงปัวคำรามอยู่ในใจ นี่มันหลักการบ้าบออะไรกัน? รับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้นางไม่ได้อยากให้พวกเขามารับเสด็จซะหน่อย อาศัยอะไรจะบังคับให้นาง “แสดงความสามารถที่ทำให้คนยอมสยบได้”? หกแคว้นแปดชนเผ่าคนเยอะขนาดนั้น ต่างคนต่างมีความคิดและความสามารถพิเศษ ต่อให้เป็นเทพยดาจุติคงไม่อาจทำให้ทุกผู้คนยอมสยบหรอก?


 


 


ณ ตอนนี้สิ่งที่นางเชี่ยวชาญที่สุดคือการร่ายรำ แต่ระบำของนางหากร่อนร่ายออกมากลางต้าฮวงที่กฎเกณฑ์น่ากลัวแทบตายตั้งแต่แรกเริ่ม เกรงว่าคงไม่ต้องแสดงแล้ว ควบคุมตัวเนรเทศไปเลยเถอะ


 


 


จิ่งเหิงปัวเกาคางอย่างร้อนใจจนทนไม่ได้ จ้องกงอิ้นเขม็ง…เขารู้ถึงศักยภาพของนางคงจะช่วยนางล่ะมั้ง?


 


 


เจ้าคนนี้ก็แค่ทำหน้าเย็นชาไปหน่อย พูดจาไม่เพราะไปหน่อย อารมณ์แปรปรวนไปหน่อย พูดยากไปหน่อยและทำตัวเหินห่างไปหน่อย…ที่จริงแล้วก็ดีกับนางมากทีเดียว! คงจะ…ช่วยนางล่ะมั้ง?


 


 


“ราชครูแลดูคล้ายไม่ชอบใจเท่าไร?” เสียงหัวเราะแผ่วเบาของเฟยหลัวแฝงความนัยลึกล้ำ เอ่ยว่า “หากข้าจำไม่ผิด ราชครูเจ้าเป็นถึงหนึ่งในผู้ที่ต่อต้านระบอบราชินีกลับชาติมาเกิดเป็นที่สุด อีกทั้งการต้อนรับสตรีที่ภูมิหลังธรรมดานางหนึ่งมาโดยไร้เหตุไร้ผล หนุนนำนางขึ้นราชบัลลังก์ ยอมให้นางยกไม้ยกมือสั่งการเสาหลักของบ้านเมืองเช่นเจ้าและข้านี้ไม่ยุติธรรมโดยแท้จริง ราชครูเจ้ากุมราชสำนักและกองทัพแห่งต้าฮวงของข้า หกแคว้นแปดชนเผ่าล้วนอาศัยเจ้าเป็นผู้นำพา หากไร้สิ่งที่เรียกว่าราชินีกลับชาติมาเกิด เจ้าคงจะกลายเป็นจักรพรรดิบุรุษเพศองค์แรกแห่งต้าฮวงของข้า กุมอำนาจทั่วหล้าและโอบโฉมสะคราญแนบอกจึงเป็นอนาคตที่ราชครูสมควรจะได้รับ เหตุใดจึงต้องอดกลั้นให้สตรีต่างถิ่นนางหนึ่งขี่คอเจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่เล่า?”


 


 


กงอิ้นยังคงนิ่งเงียบ แสงตะเกียงเหลืองอ่อนในกระโจมสะท้อนจนผิวกายเขาขาวดุจหิมะ เค้าร่างงดงามหล่อเหลาปานหินอ่อน


 


 


ลมหายใจของจิ่งเหิงปัวสงบเชื่องช้าลง ค่อยๆ เท้าคางขึ้นมา


 


 


รอยยิ้มของเฟยหลัวยิ่งลึกลับ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าได้ยินว่า ก่อนราชินีหมิงเฉิงจะสวรรคต นางกำลังตระเวนโน้มนาวเพื่อราชครูว่าจะแก้ไขกฎแห่งแคว้นหลายร้อยหลายพันปีมานี้แห่งต้าฮวง แก้ไขระบอบราชินีกลับชาติมาเกิดชั่วชีวิตแลยินยอมให้จะรพรรดิบุรุษเพศขึ้นครองราชย์ ผู้ใดจะรู้ว่าพระราชกฤษฎีกายังมิทันได้แก้ไขสำเร็จ ราชินีหมิงเฉิงสวรรคตฉับพลัน ราชินีองค์ใหม่ถือกำเนิด อีกทั้งราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉีพบตัวราชินีก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เขาใช้วิธีการสกปรกตรงขั้นตอนการรับเสด็จราชินีทำลายแผนการขึ้นครองราชย์ของเจ้า เจ้าจึงรีบเร่งตามมารับเสด็จราชินีด้วยตนเอง…ราชครู เจ้าลำบากเดินทางยาวไกลหมื่นลี้มารับนางด้วยตนเองด้วยเพราะกังวลความปลอดภัยของราชินีจริงหรือ?”


 


 


กงอิ้นมิได้มองนาง เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “กฎแห่งแคว้นต้าฮวงเป็นกฎเกณฑ์ที่ปฐมจะรพรรดิตั้งขึ้นมาครั้งก่อตั้งแคว้นในยามแรก บัดนี้กาลเวลาผันแปรโลกผันเปลี่ยนย่อมจะต้องแก้ไข ส่วนจะแก้ไขข้อใดนั้น ดูท่าเสนาหญิงเจ้าคงได้ยินมาผิดแล้ว”


 


 


เฟยหลัวคล้ายมิได้ยินวาจาของเขา เอ่ยต่อไปเสียเองว่า “ที่จริงแล้วด้วยอำนาจที่แท้จริงของเจ้า ขึ้นครองราชย์เสียเลยมิสนใจกฎแห่งแคว้นย่อมได้ เพียงแต่โครงสร้างของต้าฮวงพิเศษนัก คล้ายแคว้นหนึ่งและยิ่งคล้ายพันธมิตรหนึ่ง ถอนเกศาเส้นเดียวสะเทือนทั่วสรรพางค์กาย หากเจ้าลงมือคงต้องมีผู้คนอีกมากมายลงมือ สิ่งที่เจ้าต้องการมิใช่พระบรมมหาราชวังที่เกิดความวุ่นวาย ยิ่งมิหวังให้หกแคว้นแปดชนเผ่าฉวยโอกาสแบ่งแยกแคว้น ต้าฮวงตกอยู่ท่ามกลางการสู้รบอย่างต่อเนื่องด้วยเพราะชิงราชบัลลังก์ เจ้าหวังหลอกใช้ราชินีก้าวผ่านเหตุการณ์ไปอย่างสงบสุขใช่หรือไม่?”


 


 


“เสนาหญิงสมกับเป็นผู้คุมหางเสือแห่งแคว้นเซียง ยามใคร่ครวญคิดวางแผนละเอียดรอบคอบเสียยิ่งกว่าเปิ่นจั้ว พาให้ผู้คนเลื่อมใส มิน่าเล่าในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีจึงก้าวหน้ารวดเร็ว ทำลายคู่แข่งจนสิ้น ได้ครอบครองแคว้นเซียง” กงอิ้นยิ้มออกมา


 


 


เฟยหลัวคล้ายมิได้เข้าใจการเสียดสีในวาจาของเขา จับจ้องมองใบหน้าของเขา ลมหายใจถี่กระชั้น


 


 


บุรุษเบื้องหน้ายามไม่ยิ้มแย้มขาวผ่องดุจหิมะบนยอดผา กว้างใหญ่ดั่งท้องนภาเคลือบรุ้ง เพียงยิ้มคราเดียวนี้นั้น ไอเหน็บหนาวสูญสลาย ฟ้าดินดั่งคล้ายกำเนิดแสงสว่างไร้ขอบเขต แม้แต่สายลมพัดผ่านยังคล้ายนุ่มนวล ปทุมาหยกขาวค่อยๆ ผลิบานกลางน้ำพุสีเขียวมรกตโดยพลัน


 


 


จิ่งเหิงปัวกัดฟันกรอดๆ …เจ้าคนนี้ยิ้มออกมาจนได้ ยิ้มให้สตรีนางอื่นจนได้! ยิ้มอาไร้! ไร้ยางอาย! ทุเรศ!


 


 


เฟยหลัวใช้เวลาสักครู่จึงหลุดพ้นจากมนตร์เสน่ห์ เงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ความคิดของข้าผิวเผินยิ่งนักยามเทียบกับราชครู ในเมื่อราชครูมีแผนการเช่นนี้ หลังจากราชินีเสด็จนิวัติพระนคร ตำหนักอวี้จ้าวของเจ้าคงจะตระเตรียมวิธีรับมือราชินีไว้เนิ่นนานแล้วเป็นแน่ นางย่อมเชื่อฟังกระทำการตามโองการของท่านแน่แท้ เรื่องนี้มิต้องให้ข้าเป็นกังวล”


 


 


จิ่งเหิงปัวฟังจนรำคาญ นางกำลังดึงเส้นผม พอได้ยินประโยคนี้ มือชะงักค้าง


 


 


“เสนาหญิงครุ่นคิดละเอียดรอบคอบสมปรารถนาเสียจริง เช่นนั้น” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “เสนาหญิงเอ่ยมากมายเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่เป็นกังวล เรื่องนั้นไม่เป็นกังวล เรื่องที่เป็นกังวลจริงๆ คือเรื่องใดกันแน่?”


 


 


“แน่นอนว่าย่อมเป็นอนาคตอันงดงามของการร่วมมือระหว่างแคว้นเซียงแห่งข้ากับมหาจะรพรรดิในภายภาคหน้า” เฟยหลัวตอบอย่างรวดเร็วว่า “พิธีรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้มีผู้หนุนนำอยู่เบื้องหลัง พอราชินีผ่านการทดสอบมิได้ถูกเนรเทศ ผู้รับเสด็จย่อมชื่อเสียงเสียหายได้รับผลกระทบไปด้วย ท่านสูญอำนาจย่อมมีผู้ได้อำนาจ คนผู้นี้คือผู้ใด ท่านเดามิได้หรอกหรือ?”


 


 


“เหยียลี่ว์ฉีคงจะหายดีแล้ว” กงอิ้นตอบวาจาด้วยประโยคที่ฟังดูน่าประหลาดใจประโยคหนึ่ง


 


 


เฟยหลัวมองเขาอย่างงงงวย ได้ยินเขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “อาจจะบาดเจ็บยังไม่พอเจ็บปวด ฉะนั้นจึงอยากสิ้นชีพสักหน่อย”


 


 


จิ่งเหิงปัวตบฟูกนอนอย่างเงียบเชียบ อุทานว่า โคตรโหด!


 


 


เงาดำใต้เตียงขยับเขยื้อนเงยหน้าขึ้น แววตาน่าครั่นคร้ามสายหนึ่ง


 


 


เฟยหลัวหัวเราะพรวดออกมา สายตาวูบไหว เอ่ยว่า “ว่ากันว่าราชครูฝ่ายขวาอุปนิสัยเย็นชา ทว่ามิรู้ว่าหลักเดชานุราชถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของท่าน!”


 


 


“เช่นนั้น” กงอิ้นยังคงมีท่าทางยืนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อนเช่นนั้น เอ่ยว่า “คืนนี้เสนาหญิงเตือนข้าเกี่ยวกับแผนการของเหยียลี่ว์ฉี ทั้งตั้งใจช่วยเหลือเป็นกำลังส่วนหนึ่งนับเป็นน้ำใจไมตรีโดยแท้ กงอิ้นซาบซึ้งยิ่งนัก ขอบใจ ขออำลา”


 


 


เขาหันกายจากไปดังสวบ เฟยหลัวโซเซเล็กน้อยรีบเร่งคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ในครั้งเดียว ไม่ทันได้สำรวมอีกรีบเร่งเอ่ยเสียงสูงว่า “ชาวโลกาเอ่ยว่าไร้ผลงานไร้ลาภยศ แคว้นเซียงปรารถนาดีต่อท่าน หรือว่าราชครูไม่คิดจะตอบแทนเลยหรือ!”


 


 


กงอิ้นไม่หันหน้าด้วยซ้ำ แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง เฟยหลัวล้มไปด้านหลัง นางรีบเร่งถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง


 


 


หลังม่านกั้นจิ่งเหิงปัวหัวเราะเยาะเย้ยโดยไร้เสียงครั้งหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อ


 


 


ช่างเถอะ ราชินีบ้าบอนี้เป็นไม่ไหว ไปล่ะ


 


 


ชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้พูดมากพูดมาย นางไม่อยากจะสนใจอีกแล้ว


 


 


นางต่อต้านไม่อยากเป็นราชินีตลอดมา หลังจากวังกษัตริย์เทียนหนาน แม้ว่าเขาคล้ายจะกลับไปสู่จุดเดิมแต่นางกลับเสียดายอยู่บ้าง และไม่รู้ว่าทำไม นางรู้สึกว่าหากกล่าวว่ามหาเทพเย็นชาก็ใช่ แต่ความเย็นชานั้นไม่เหมือนกับความเย็นชาในตอนแรก ในการปฏิเสธของเขาแฝงด้วยความเป็นห่วง ในคำพูดเราะร้ายของเขาซ่อนแฝงด้วยความใส่ใจ การสืบเสาะที่เริ่มแตกหน่อเพียงน้อยแบบนี้ ทำให้นางที่ดูคล้ายเจ้าชู้แต่แท้จริงแล้วมือใหม่ในสนามรักค่อยๆ รู้สึกถึงรสชาติพิเศษบางสิ่ง ในชีวิตดั่งคล้ายมีความหวังและความเสียดายขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อจากไปไม่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ดังแต่ก่อนอีกแล้ว


 


 


ตลอดทางจากทุ่งหญ้าเจี๋ยหูข้ามผ่านที่ราบสูงอวิ๋นเหลย ความคิดหลบหนีค่อยๆ จางหายไป ทุกครั้งที่อยากจากไป นางมักต้องนับนิ้วรอเวลาผันผ่านบ่นกระปอดกระแปดว่า “โอ๊ยจิ้งอวิ๋นพวกนางสามคนไปด้วยไม่ได้ จะโชคร้ายเอา” “โอ๊ยมหาเทพกงเก่งกาจเกินไป ถ้าถูกเขาจับกลับมาก้นต้องหายนะแน่” “โอ๊ยวันนี้เหมือนจะไม่ใช่ฤกษ์งามยามดีในการหลบหนี”…เหตุผลขนออกมาเป็นกองใหญ่ มีแนวคิดใหม่ทุกวี่วัน


 


 


แน่นอนล่ะ นางคงไม่ยอมรับแน่นอนว่า ที่จริงแล้วตนเองยิ่งอยู่ยิ่งไม่อยากจากไป


 


 


แต่ตอนนี้ ไม่อยากไปก็คงต้องไปแล้วล่ะ


 


 


มีคนไม่อยากให้นางขึ้นครองราชย์ มีคนรอคอยหลอกใช้นาง สิ่งที่นางต้องเผชิญไม่เพียงแค่การประลองฝีมือของราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ซ้ำยังพัวพันกับความวุ่นวายจากทั้งหกแคว้นแปดชนเผ่าของต้าฮวง


 


 


พอนึกว่าต้องสู้รบปรบมือกับผักกาดหอม กะเทย ไข่เน่าและม้าเฉ่าหนีกลุ่มนั้น นางก็รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ยังไงก็ช่างมันเถอะ


 


 


แต่ว่าก่อนจะจากไป นางยังอยากสั่งสอนเฟยหลัวสักครั้ง…


 


 


ก้นของจิ่งเหิงปัวเพิ่งกระดกขึ้นมาก็ได้ยินเฟยหลัวร้องตกใจเสียงหนึ่ง เรือนร่างเซไปด้านหลัง กงอิ้นทางนั้นหันกลับมา เฟยหลัวทั้งกรีดร้องว่า “เท้าข้า!” ทั้งสะบัดมือสองข้างมั่วซั่วคล้ายอยากจะคว้าแขนเสื้อของกงอิ้นไว้ กงอิ้นรีบเร่งเก็บแขนเสื้อกลับมาเพียงครั้ง เฟยหลัวคว้าที่พึ่งพาไว้ไม่ได้โซเซถอยไปอีกก้าวหนึ่ง เหยียบโดนก้างปลาอีกครั้ง ร้องโหยหวนเสียงหนึ่งอีกรอบ รีบเร่งยื่นมือขอความช่วยเหลือจากกงอิ้น เอ่ยว่า “ใต้นี้มีอะไรไม่รู้…” ถอยหลังอีกก้าวหนึ่งท่ามกลางความวุ่นวายแล้วเหยียบโดนอีกรอบหนึ่ง เจ็บปวดจนทั้งร่างกระเด้งขึ้นมา กรีดร้องว้ายเสียงหนึ่ง ดวงตาแดงก่ำ กระโจนไปบนร่างกงอิ้นดังพลั่ก


 


 


“หลีกไป” ในยามนี้เสียงของกงอิ้นยังคงสงบราบเรียบเช่นเดิม กำแขนเสื้อไว้แน่น รูดเฟยหลัวไปด้านล่างด้วยมือเดียวดั่งปอกเปลือกข้าวโพด


 


 


ที่แปลกประหลาดคือเฟยหลัวที่ยังนับว่ารักษาความสำรวมมาโดยตลอด ยามนี้ไม่รู้สึกว่าอับอายขายหน้าเลยแม้แต่น้อย สองมือคว้ามั่วซั่วบนร่างกงอิ้น ปากกระซิกกระซิกเปล่งเสียงประหลาดคล้ายร่ำไห้คล้ายควรญคราง ทั่วร่างสั่นสะท้านประหลาดเป็นระลอก กรีดร้องเสียงหนึ่งโดยพลันว่า “ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”


 


 


ยามเดียวกันนั้นเองกงอิ้นตะคอกอย่างโกรธเคืองว่า “หลีกไป!” ครานี้น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเดือดดาล เสียงเพียะเสียงหนึ่งดังแผ่วเบา เรือนร่างของเฟยหลัวถูกดีดออกมาปานลูกบอล วาดเส้นโค้งที่ไม่นับว่าอ่อนช้อยงดงามสายหนึ่งกลางอากาศ สาดโปรยของเหลวไร้ที่มาหลายหยดแล้วชนเข้ากับขอบเตียงอย่างรุนแรงดังพลั่กเสียงหนึ่ง


 


 


กงอิ้นยามเจือความโกรธาลงมือไม่อ่อนข้อเลยสักนิด ไม้พื้นเตียงทรุดลงไปครึ่งหนึ่งโดยพลัน จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้ป้องกัน ร้องว้ายเสียงหนึ่งกลิ้งลงไปด้านหลัง ยามนี้นี่เองใต้ไม้พื้นเตียงที่ทรุดลงไปมีผู้หนึ่งมุดออกมาด้วยหน้าตามอมแมม ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมา แผ่นหลังของจิ่งเหิงปัวกระแทกบนแผ่นหลังของเขาดังพลั่กเสียงหนึ่ง สองคนร้อง “เฮ้ย” เสียงหนึ่ง กลิ้งไปยังไม้พื้นเตียงที่หักไปครึ่งหนึ่งและเครื่องนอนที่ร่วงลงไปกองหนึ่ง


 


 


ครั้งหนึ่งนี้การเคลื่อนไหวไม่น้อย ทว่าการเคลื่อนไหวภายนอกยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า กงอิ้นยืนอยู่ปากกระโจม สีหน้าเขียวคล้ำ ก้มหน้ามองดูสาบเสื้อหน้าของตนเอง บนนั้นมีของเหลวสีเหลืองที่ส่งกลิ่นเหม็นหึ่งออกมาหลายหยด…


 


 


ไม่ต้องดมกงอิ้นยังรู้ว่า นี่คือน้ำปัสสาวะ ซ้ำยังเป็นน้ำปัสสาวะที่เฟยหลัวสาดโปรยบนร่างเขาโดยพลันเมื่อครู่…


 


 


สีหน้ากงอิ้นยากจะหลากหลายสีสันเช่นนี้…สถานการณ์นี้ท้าทายการรับมือสถานการณ์และสติปัญญาของมนุษย์โดยแท้จริง


 


 


เดิมทีกงอิ้นเตรียมจะร้องเรียกผู้อื่น สถานการณ์ในยามนี้กลับทำให้เขาลังเลไปเล็กน้อย ไม่ทันได้ครุ่นคิด กระชากสาบเสื้อที่เปรอะเปื้อนสิ่งสกปรกออกดังสวบ


 


 


ยามไม่กระชากยังปกติ พอกระชาก เสียงแคว่กเสียงหนึ่งนี้ดังขึ้นไม่รู้ว่ากระตุ้นเส้นประสาทไวต่อความรู้สึกเส้นไหนของเฟยหลัว นางเด้งผึงขึ้นมาดั่งปลาหลีฮื้อตัวหนึ่งโดยพลัน พอกระโจนขึ้นมาก็กระโจนไปถึงบนร่างของกงอิ้นที่กำลังตั้งใจจัดระเบียบอาภรณ์ คว้าสาบเสื้อที่ขาดวิ่นของกงอิ้นไว้แล้วสะบัดออกไปดังสวบ…


 


 


พอจิ่งเหิงปัวที่ยังทับบนหลังของคนใต้เตียงเงยหน้ามองเห็น เบิกตากว้างเกือบจะกระโจนขึ้นมา ยืนมือออกไปกลางอากาศ ตะโกนก้องโดยไร้เสียงว่า


 


 


ห้าม…กระ…ชาก!


 


 


ข้า…ทำ…เอง!



 

 

 


ตอนที่ 47 - 2 หนีตามกัน?

 

นางหยุดอยู่ในท่าทางที่เอ่อร์คัง[1]เพรียกหาจื่อเวย[2]หนึ่งวินาที ถูกเจ้าคนนั้นด้านล่างดันร่วงลงไปบนพื้นในครั้งเดียว เท้าของคนนั้นเหยียบลงบนสาบเสื้อของนาง เตะนางและผ้าห่มออกไปไปข้างนอกด้วยกันอย่างเอาเป็นเอาตาย คล้ายต้องการรีบออกไป


 


 


จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นจ้องมองแผ่นหลังของเจ้าคนนั้นด้วยสายตาโหดเ**้ยม โผล่ออกไปตอนนี้มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกอย่างเจ้าคนหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ใต้เตียงคงไม่ได้มาดีแน่ กงอิ้นกำลังถูกเฟยหลัวนัวเนีย ท่าไม่ดีคงจะถูกโจมตี พอคิดถึงจุดนี้ขนทั่วร่างของนางลุกชันขึ้นมา ไม่ทันได้มองให้ชัดเจนว่าแขกใต้เตียงนี้คือใคร คว้าน่องของเขาไว้ในครั้งเดียวแล้วกัดเต็มแรง


 


 


ฟันแหลมคมทิ่มแทงสู่ผิวกาย มุมปากของจิ่งเหิงปัวรับรสของเหลวรสชาติคาวเฝื่อน ผู้ที่กำลังถูกกัดร่างกายชะงักค้าง จากนั้นจิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าใบหน้าสั่นสะท้านแล้วถูกดีดออกมา


 


 


มุมปากแสบร้อน นางลูบไปมา ปลายนิ้วเปรอะสีแดงผืนหนึ่ง มุมปากสะท้านจนเลือดออก


 


 


พอคนผู้นั้นหันกลับมาโดยจิตสำนึกจึงมองเห็นสตรีสวมอาภรณ์หรูหรางดงามนั่งเอนกายบนเครื่องนอนสีขาวราวหิมะเละเทะ ด้ายทองบนสาบเสื้อสีแดงเหลือบทองเปล่งประกายสลัวในความมืดมิด มุมปากแดงฉ่ำของนางคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม ตาใสแป๋วกลับสงบราบเรียบเจือด้วยความลำพองใจสามส่วนความเจ้าชู้สามส่วนและความโหดเ**้ยมสามส่วน ซ้ำยังวนเวียนด้วยแสงสลัวอึมครึมสีน้ำเงิน ผิวกายและปลายนิ้วกลับเป็นสีขาวราวหิมะ แจ่มชัดมิอาจละเลยคล้ายจิตรกรรมลึกลับสีสันสดใสผืนหนึ่งในความมืดสลัว


 


 


ปราดเดียวชิงวิญญาณ


 


 


เพียงปราดเดียวนี้ เขาสะท้านในใจ จากนั้นนึกถึงหน้าที่สำคัญในยามนี้ หันหน้าฉับพลัน


 


 


ทว่าสายไปเสียแล้ว


 


 


กงอิ้นจ่ายค่าตอบแทนที่กระชากสาบเสื้อผืนหนึ่งอีกครั้ง สุดท้ายจึงผลักเฟยหลัวที่บ้าคลั่งออกไปดังตุ้บเสียงหนึ่ง ทว่าครั้งนี้เฟยหลัวมีประสบการณ์ ชั่วขณะที่ถูกผลักออกไปนั้นนางคว้าหัวไหล่ของกงอิ้นไว้ในครั้งเดียว นางกลับกลายเป็นป่าเถื่อนเปี่ยมกำลังโดยพลัน กงอิ้นยังอยากจะปกป้องอาภรณ์ที่เหลือไม่มากไว้ ถูกนางลากจนโซเซไปด้านหน้าหลายก้าว รู้สึกเพียงฝ่าเท้าเจ็บปวดเพียงน้อย วิงเวียนศีรษะ จากนั้นสองคนชนกับราวแขวนม่านกั้นพังม่านกั้นพุ่งเข้ามาตลอดทางดังตุ้บเสียงหนึ่ง แล้วร่วมชนเข้ากับร่างแขกใต้เตียงนั้นดังพลั่กอีกเสียงหนึ่ง


 


 


แขกใต้เตียงผู้โชคร้ายที่เพิ่งคลานออกมาถูกสองคนกระแทกใส่ แล้วล้มลงไปด้านหลังดังพลั่กเสียงหนึ่ง กระแทกกับร่างของจิ่งเหิงปัวผู้โชคร้ายยิ่งกว่า เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวล้มไปด้านหลัง น้ำหนักของทั้งสี่คนเพิ่มทวี กร๊อบเสียงหนึ่ง สุดท้ายไม้พื้นเตียงครึ่งท่อนหักตามไปด้วย


 


 


ก่อนกงอิ้นผู้อาภรณ์ไม่เรียบร้อยจะถูกชนจนล้มลงทันได้เพียงตะโกนเสียงหนึ่งว่า “ห้ามเข้ามา!”


 


 


องครักษ์ข้างนอกที่ได้ยินความเคลื่อนไหว หยุดฝีเท้าอยู่นอกกระโจม


 


 


ทั้งสี่คนล้มเข้าไปในเครื่องนอนเละเทะระเกะระกะอย่างมั่วซั่ว


 


 


ข้างบนมีเงาขาวกะพริบวูบ เฟยเฟยปรากฏกาย เบิกตากว้างมองเห็นทั้งที่คนที่ล้มลงอย่างจนตรอก อ้าปากกว้างอย่างตื่นตระหนกคล้ายคิดไม่ถึงเช่นกันว่าน้ำปัสสาวะของตนเองครั้งนี้จะบรรลุผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ดวงตามองเห็นกองหนึ่งนั้นบนพื้นขยับเขยื้อน รีบเร่งหนีไปบนหลังคากระโจมดุจหมอกควัน


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเอวของตนเองถูกกระแทกแทบหัก น้ำหนักของสามคนคล้ายจะโถมลงบนร่างของนาง ที่ยิ่งเฮงซวยไปกว่านั้นคือ ม่านกั้นถูกกระชากขาดวิ่น แผ่คลุมบนศีรษะของทุกคน เบื้องหน้าความมืดมิดผืนหนึ่งมองไม่ชัดเจน ได้กลิ่นเพียงกลิ่นปัสสาวะเจือจางหอบหนึ่ง ซ้ำยังได้ยินลมหายใจถี่กระชั้นฮืดฮาดฮืดฮาดของเฟยหลัว


 


 


ไม่รู้ว่าคนที่ทับอยู่บนร่างคือใคร รู้สึกได้ถึงผิวกายอ่อนเยาว์เปี่ยมกำลังของอีกฝ่ายร้อนผะผ่าว ลมหายใจของอีกฝ่ายพ่นรดบนใบหน้าของนาง คือความหอมลึกลับอัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ขาดความเหน็บหนาวบางส่วนไป นางแน่ใจในทันทีว่าไม่ใช่กงอิ้น


 


 


งั้นก็คงเป็นเจ้าแขกใต้เตียงคนนั้นแล้ว


 


 


ความคิดตลกร้ายทะลักเข้ามา มือของนางควานออกไปอย่างเงียบเชียบ คลำขาอ่อนด้านในของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ หยิกไว้ใช้เล็บจิกเข้าไป หมุนอย่างโหดเ**้ยมครั้งหนึ่ง ขยี้ครั้งหนึ่ง…


 


 


“อ้าก!” เสียงคำรามทุ้มต่ำเสียงหนึ่ง บุรุษพลิกลงไปจากร่างนางอย่างรวดเร็ว จิ่งเหิงปัวหัวเราะก๊ากๆ รู้ว่าหยิกคนตรงตำแหน่งนี้น่ะเจ็บที่สุดแล้ว!


 


 


“กงอิ้น! กงอิ้น!” นางพยายามจะปัดเครื่องนอนและม่านกั้นยุ่งเหยิงบนศีรษะออกไป รู้สึกแปลกใจมากว่าทำไมกงอิ้นถึงไม่ลุกขึ้นมาในทันที? ทำไมถึงไม่จับมือสังหารนั่นไว้ในทันที?


 


 


วินาทีต่อมานางจึงรู้สึกว่าผิดปกติ เสียงลมหายใจถี่กระชั้นนอกจากเฟยหลัว คล้ายยังมีอีกคนหนึ่ง เพียงแต่เสียงแผ่วเบาและอดกลั้น นางไม่ได้ค้นพบแต่แรกเริ่ม


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักงัน นึกขึ้นได้ทันทีได้ว่าก้างปลานั้นฝังแยกไว้ใต้กระโจม การโจมตีที่ไร้ความแตกต่าง…


 


 


ตอนกงอิ้นถูกเฟยหลัวลากเข้ามา คงจะเหยียบโดนแล้วหรือเปล่า? แต่เฟยหลัวเหยียบไปสามครั้งอย่างต่อเนื่อง กงอิ้นเหยียบไปครั้งหนึ่ง สภาพจะแตกต่างกันหรือเปล่า?


 


 


อีกอย่างที่แปลกประหลาดคือ แต่ก่อนฉี่ของสัตว์ประหลาดน้อยไม่ใช่แค่ทำให้คนวิงเวียนเหรอ? ครั้งนี้ทำให้คนบ้าคลั่งทันทีได้อย่างไร? ทั้งยังทำให้เฟยหลัวกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือว่าความสามารถในการมอมเมาของสัตว์ประหลาดน้อยจะเพิ่มระดับตามการเติบโตเหมือนกัน?


 


 


ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ สิ่งเดียวที่แน่ใจได้คือ สภาพของกงอิ้นในตอนนี้ผิดปกติแน่นอน มิฉะนั้นพรมหลายชั้นเล็กน้อยคงถูกพลิกออกตั้งนานแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวรีบเร่งไปพลิกเครื่องนอนออก ทั่วร่างสั่นสะท้านครั้งหนึ่งโดยพลัน รู้สึกเพียงขนด้านหลังลุกชันขึ้นมาทีละเส้น


 


 


มือสังหารอยู่ข้างหลัง!


 


 


นางพบว่ากงอิ้นผิดปกติ อีกฝ่ายย่อมพบได้เช่นกัน!


 


 


ความคิดนี้ยังไม่ทันได้จางหาย นางก็รู้สึกถึงสายลมเย็นเยือกทะลุผ่านด้านหลังครั้งหนึ่ง นัยยะเยือกน่าสยดสยองกลางสายลมจากอาวุธคมนั้น กระตุ้นให้แผ่นหลังของนางขนลุกขนชัน


 


 


จิ่งเหิงปัวล้มไปด้านหลังฉับพลัน ศีรษะกระแทกไปด้านหลังอย่างเอาเป็นเอาตาย


 


 


คล้ายมีเสียงตอบกลับดังพลั่กเสียงหนึ่ง นางกระแทกเข้ากับส่วนทั้งอ่อนนุ่มทั้งแข็งแรง รู้สึกถึงความยืดหยุ่นเล็กน้อย คล้ายเป็นท้องน้อยของมือสังหาร


 


 


มือสังหารลงมีดแล้ว ถูกการชนด้วยเรือนร่างครั้งหนึ่งนี้ของนางทำให้โซเซ มีดกรีดบนพรมผืนหนึ่งดังฉึบ


 


 


แล้วดังฉึบอีกเสียงหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคิกของเฟยหลัว ไม่รู้ว่าอาภรณ์ของพวกเขาสองคนคนไหนฉีกขาด


 


 


จิ่งเหิงปัวพุ่งไปข้างหน้าในทันใด หลีกลี้หมัดศอกที่มือสังหารโจมตีศีรษะของตนเอง โพล่งปากต่อว่า “ชายโฉดหญิงชั่ว หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! หยุดเลย!”


 


 


“ช่วยด้วยโว้ย! มีมือสังหารโว้ย!” นางตะโกนบ้าคลั่งสุดชีวิตอีกครั้ง แต่ม่านกั้นเครื่องนอนหนาหนักอย่างยิ่ง กลบกลืนเสียงของนางเอาไว้


 


 


เรือนร่างของมือสังหารกะพริบวูบ สองมือคว้าอย่างต่อเนื่อง สะบัดเครื่องนอนหลายชิ้นออกไปแล้ว กะพริบปานภูตพรายไปเบื้องหน้ากงอิ้นกับเฟยหลัวที่กำลังนัวเนียไม่เลิกรา เครื่องนอนทางนั้นยังไม่ทันร่วงลงมา มือของเขาบีบไปยังคอหอยของกงอิ้นปานสายฟ้าฟาดแล้ว


 


 


“กรี๊ด!” จิ่งเหิงปัวที่เพิ่งคลานขึ้นมากรีดร้อง


 


 


“พลั่ก” เสียงหนึ่งดังทึบ ไม่รู้ว่าใครโจมตีโดนใคร กงอิ้นกับเฟยหลัวแยกออกจากกันตอนนี้พอดิบพอดี เรือนร่างของเฟยหลัวล้มไปด้านหลัง ในดวงตาที่ห้อยกลับหัวมองเห็นมือสังหาร หัวเราะคิกๆ ครั้งหนึ่งโดยพลัน กอดแขนของเขาไว้


 


 


“ท่านพี่!” นางร้องด้วยเสียงใสไพเราะ ใช้แก้มถูไถบนแขนของมือสังหาร


 


 


จิ่งเหิงปัวพุ่งเข้ามา กำลังจะลากกงอิ้นออกไป ยังกังวลว่าเฟยหลัวจะบ้าคลั่งหรือมือสังหารจะโยนเฟยหลัวออกไปแล้วลงมือทันที ในความวุ่นวายหางตาชำเลืองมอง มองเห็นแววตาที่มือสังหารมองเฟยหลัวพอดี


 


 


นางชะงักงัน


 


 


มือสังหารไม่ได้ขยับเขยื้อน และไม่ได้ใช้กำลังเหวี่ยงเฟยหลัวออกไป ชั่วขณะหนึ่งนี้แววตาของเขาทอดลงบนแก้มของเฟยหลัว ในแสงรัศมีมัวสลัว แววตานั้น…กลับเป็นความอ่อนโยน


 


 


คล้ายต้นธารหลั่งไหล ออกมาจากเบื้องลึกในความทรงจำดังซ่าซ่า ถึงที่แห่งนี้ ฉวัดเฉวียนเวียนวน หยาดน้ำทุกหยดกำลังขับขานบทเพลงงดงามแต่กาลก่อนนั้น


 


 


เสียงทอดยาวเชื่องช้า ความฝันหลั่งไหลยาวนาน


 


 


เงาแสงผันพลิกเพียงชั่วครู่หนึ่ง ชั่วครู่หนึ่งดุจในความฝัน แววตาของมือสังหารสงบราบเรียบดังเดิมอย่างรวดเร็ว บิดข้อมือเพียงครั้ง ปัดเฟยหลัวไปอีกทาง จากนั้นก้าวมาด้านหน้าก้าวหนึ่ง ตามฝีก้าวของเขา พรมผืนหนึ่งบนพื้นลอยขึ้นมาโดยพลัน กลบกลืนโครงร่างของเขา


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวเกร็งแน่น


 


 


เสียงฉึกเสียงหนึ่งดังแผ่วเบา ดุจแสงจันทราสาดลงมาในทันใด คมมีดสว่างดุจหิมะด้ามหนึ่งทะลุผ่านผืนพรม แทงตรงไปยังกงอิ้นที่ใช้มือกุมหน้าผาก โซเซเล็กน้อย กำลังจะลุกขึ้นมา


 


 


เสียงของมือสังหารแหบเล็กน้อย ยามสังหารผู้อื่นยังเจือด้วยรอยยิ้มที่ไม่สูญสลาย เอ่ยว่า “กงอิ้น เจ้าจะสิ้นชีพก่อนสักหน่อยดีหรือไม่?”


 


 


“เหยียลี่ว์ฉี! เจ้าอีกแล้ว! ตายยากตายเย็นนะเจ้า!” จิ่งเหิงปัวมองเห็นใบหน้าของเขาชัดเจนในที่สุด ออกปากต่อว่า แสงไฟในกระโจมถูกดับไปแล้ว อาศัยแสงสว่างจากกริช นางมองเห็นคิ้วของเหยียลี่ว์ฉีเลิกขึ้นรำไร


 


 


ระหว่างแสงอสนีแสงเพลิงยังมองเห็นกงอิ้นเงยศีรษะไปทางด้านหลังรำไร ดวงตาสองข้างหลับน้อยๆ ระหว่างจมูกมีลมหายใจสีเหลืองอ่อนกำจายออกมา คล้ายอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการขับพิษ


 


 


แสงมีดรุดไปข้างหน้าดุจแสงอสนี


 


 


จิ่งเหิงปัวยกขาฉับพลัน ปลายเท้าเกร็งแน่น ดีดออกไปเก้าสิบองศา


 


 


“เจอลูกเตะของชั้น!”


 


 


ปลายเท้าเกร็งแน่น พื้นรองเท้าแหลมปานหนามพุ่งตรงไปยัง “สัดส่วนทองคำ” ของเหยียลี่ว์ฉี พื้นรองเท้าเหล็กกล้าสาดแสงเงินวูบวาบเทียบได้กับอาวุธคม


 


 


แสงเยือกเย็นนั้นแฉลบผ่านสายตาของเหยียลี่ว์ฉี เขาทำได้เพียงเบี่ยงกายกะพริบวูบ ไม่กล้านำความแข็งแกร่งแห่งเพศผู้ชั่วชีวิตของตนเองไปท้าทายส้นรองเท้าของราชินี


 


 


จิ่งเหิงปัวทั้งกลิ้งทั้งคลานพุ่งไปทางเฟยหลัวในทันที กระชากเส้นผมของนางอย่างรุนแรง เหวี่ยงนางไปบนร่างของกงอิ้น!


 


 


“มาฆ่าสิ! มาสิ!” นางหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “มีดสั้นของเจ้าอาจจะทะลุผ่านหน้าอกของเฟยหลัวได้ ทิ่มแทงหน้าอกของกงอิ้นน่ะ!”


 


 


เฟยหลัวเจ็บจนกรีดร้องเสียงหนึ่ง เส้นผมสีดำที่ถูกกระชากออกขยุ้มใหญ่ปลิวสยายทั่วสี่ทิศ


 


 


เหยียลี่ว์ฉีชะงักงันอีกครั้ง


 


 


เขาลูบหน้าปะจมูกของจริง จิ่งเหิงปัวจิตใจเบิกบาน


 


 


รู้เลยว่าเขากับเฟยหลัวมีอะไรซ่อนอยู่!


 


 


“เฟยเฟย!” ฉวยช่องว่างชั่วครู่หนึ่งนี้ นางเงยหน้าตะโกนว่า “ฉี่ของเจ้าครานี้แรงเกินไปแล้ว! รีบแก้พิษเร็ว ใช้วิธีอะไรก็ได้ ต้องทำเดี๋ยวนี้!”


 


 


บนเพดานกระโจมหางใหญ่สีขาวสั่นไหวไปมา เฟยเฟยกระโดดกระเด้งพุ่งเข้ามา กรงเล็บสองข้างประคองผลไม้สีแดงกลมเกลี้ยงลูกเล็กลูกหนึ่ง เขวี้ยงลงมาด้านล่าง


 


 


จิ่งเหิงปัวพุ่งเข้าไปรับ แต่เหยียลี่ว์ฉีเร็วยิ่งกว่านาง เงาร่างกะพริบเพียงครั้งข้ามผ่านจิ่งเหิงปัว ยื่นมือไปรับ จิ่งเหิงปัวมองเห็นว่าแย่งไม่ทันเขาแน่ ยกเท้าถีบเฟยหลัวที่โซซัดโซเซพุ่งเข้ามาจนกลิ้งออกไปในทันที เฟยหลัวโซเซไปข้างหน้าครั้งหนึ่ง แค่นเสียงเจ็บปวดเสียงหนึ่ง เหยียลี่ว์ฉีหันหน้ามาฉับพลัน ทอดกายเป็นสะพานเหล็กไปด้านหลังรับนางไว้ รีบเอ่ยว่า “เฟย…”


 


 


ขณะที่เขาอ้าปากนั่นเอง ผลไม้กลมเกลี้ยงลูกน้อยร่วงละลิ่วลงมา ร่วงลงปากเขาพอดี


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักงัน ตะโกนก้องเสียงหนึ่งพุ่งเข้ามาทับเหยียลี่ว์ฉีไว้ ยื่นมือไปหยิกแก้มของเขา กล่าวว่า “คายออกมา! คายออกมา!”


 


 


เหยียลี่ว์ฉีคิดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้จะกล้าแกร่งเช่นนี้ ถูกทับลงไปไม่ทันได้ป้องกัน รู้สึกเพียงปลายจมูกหอมหวานหอมกรุ่นคล้ายจะทะลุกระดูก ส่วนร่างกายของนางอ่อนนุ่มดุจแพรไหม ทะลักล้นด้วยความโค้งเว้าน่าตื่นตะลึง เส้นส่วนเอวกลับผอมบางจนน่าหวาดหวั่น ยามสัมผัสอาจจินตนาการได้ถึงทรวดทรงปานนั้น ขึ้นลงเหมาะมือ ทุกเฟินทุกชุ่นล้วนเปี่ยมด้วยความยั่วยวนและความผสมผสาน


 


 


ความผสมผสานเช่นนั้น ทำให้ตนอยากโอบกอดนางมาทางตนเองให้แน่นขึ้น


 


 


เขาใจลอยไปชั่วครู่ ในความเคลิบเคลิ้มยกมือขึ้น คล้ายถูกพร่ำเพรียก ประคองบนเอวของนางอย่างแผ่วเบา


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อย นางกลัวเหยียลี่ว์ฉีลงมือรุนแรง ใช้สองเท้าเกี่ยวเขาไว้เสียเลย มือข้างหนึ่งโอบลำคอของเขาไว้แน่น มืออีกข้างหนึ่งจบใบหน้าของเขา กล่าวว่า “คายออกมาๆ !”


 


 


ผู้หนึ่งใจลอย อีกผู้หนึ่งควบคุมตนไม่อยู่ ล้วนไม่ได้รู้ตัวว่าบนเพดานกระโจมเฟยเฟยพองแก้มขึ้นมา มองจิ่งเหิงปัวที่ท่าทางทุเรศทุรังอย่างไม่เข้าใจ กรงเล็บน้อยสะบัดเพียงครั้ง ผลไม้หลายผลร่วงลงมาอีกครั้ง กลิ้งกุกกักสู่ฝ่ามือของกงอิ้น


 


 


“คายออกมาคายออกมา!” จิ่งเหิงปัวหยิกแล้วหยิกอีก เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่งโดยพลัน เอ่ยว่า “กระหม่อมกินไปแล้ว ทำอย่างไรดี?”


 


 


“หา?” จิ่งเหิงปัวชะงักงัน เหยียลี่ว์ฉียกแขนเพียงครั้งกอดนางไว้แน่น “อื้ม” อย่างเกียจคร้านเสียงหนึ่ง “หอมยิ่งนัก”


 


 


มิรู้ว่าเขาเอ่ยว่าผลไม้หอมหรือว่าสตรีหอม


 


 


“ไม่ใช่หุ่ยเหรินเซิ่นเป่า[3]สักหน่อยเจ้ากินไปทำอะไร!” จิ่งเหิงปัวมีสีหน้าโกรธเคือง กำลังจะคลานขึ้นมา รู้สึกทันทีว่าเรือนร่างของเหยียลี่ว์ฉีใต้ร่างตนแข็งทื่อ ในขณะเดียวกันนี้ขนด้านหลังของนางลุกชันขึ้นมา


 


 


พอนางหันกลับมา ก็มองเห็นกงอิ้นยืนขึ้นมาแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ก้มหน้ามองดูนางและเหยียลี่ว์ฉีอย่างเงียบเชียบ


 


 


ในแสงรัศมีมัวสลัว เขามีสีหน้าไร้อารมณ์ทว่าแววตาเย็นยะเยือกเพียงน้อย นัยน์ตามีความเหน็บหนาวปานหิมะหนา


 


 


เขามองดูหญิงชายที่นัวเนียกันอยู่บนพื้นอย่างเงียบเชียบ…พอกินผลไม้ที่เฟยเฟยโยนลงมาโดยไม่ตั้งใจ เขาฟื้นคื้นจิตสำนึกโดยพลัน เรื่องราวก่อนหน้านี้กลับมีหลายเรื่องจำไม่ค่อยได้ จำได้เพียงเงาคนกะพริบวูบ คมมีดกรีดเป็นแนวนอน คล้ายมีการลอบสังหารคราหนึ่งรำไร พอนึกถึงเรื่องนี้ในใจของเขาเกร็งแน่น กำลังจะตามหาจิ่งเหิงปัว ก็มองเห็นฉากหนึ่งเบื้องหน้านี้


 


 


หญิงชายโอบกอดกันแนบแน่น ท่วงท่าไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย จิ่งเหิงปัวลูบคลำใบหน้าของบุรุษอย่างไร้ความพะว้าพะวังโดยสิ้นเชิง…


 


 


เขานิ่งเงียบ สีหน้าสงบนิ่ง คล้ายน้ำแข็งผนึกคลื่นใต้น้ำดังซ่าซ่าไว้จนสิ้น


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับไม่ได้มองสีหน้าของเขาให้ชัดเจน แวบหนึ่งมองเห็นผลไม้หลายผลที่หลงเหลืออยู่บนพื้น ร้อง “ฮ่า” เสียงหนึ่งเริงร่าเบิกบานจะคลานขึ้นมา กล่าวว่า “เฟยเฟยเจ้าชั่วร้ายเสียจริง มียาถอนพิษเยอะขนาดนี้เหตุใดจึงไม่เอ่ยให้ชัด? ทำร้ายข้าให้ข้าต้องลำบากแย่งชิง…เฮ้ยเหยียลี่ว์ฉีเจ้าปล่อยข้า เฮ้ยกงอิ้นเจ้ารีบมาช่วยข้าสิ…”


 


 


“ข้าว่าเจ้าคงไม่ต้องการให้ช่วย” กงอิ้นขัดวาจาของนาง หันกายอย่างเย็นชา


 


 


จิ่งเหิงปัวเงยหน้าอย่างงงงวย แม้แต่เหยียลี่ว์ฉีที่ไม่ได้เอ่ยวาจาอะไรทั่วร่างเตรียมป้องกันก็ชะงักไป


 


 


กงอิ้นที่หันกายเชื่องช้าสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งโดยพลัน แสงยะเยือกสายหนึ่งโจมตีบนเสาค้ำยันที่ถูกเฟยเฟยเลื่อยจนแตกร้าว เสาสะบั้นดังกร๊อบเสียงหนึ่ง กระโจมหนาหนักล้มลงมา ฝังทุกผู้คนเอาไว้ในทันใด


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงเบื้องหน้ามืดลง ไม่ทันได้รู้ตัวก็รู้สึกว่าข้อมือถูกคนคว้าไว้แน่นหนา นางตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าเป็นกงอิ้นหรือเหยียลี่ว์ฉี อีกฝ่ายใช้แรงดึง นางโซเซพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเขา กลิ่นหอมที่คุ้นเคยทำให้นางจิตใจสงบโดยไม่รู้สาเหตุ กำลังจะโน้มไปหา อีกฝ่ายใช้แรงที่มือสะบัดนางไปด้านหลังภายในครั้งเดียว ในขณะเดียวกันคนหนึ่งแฉลบผ่านข้างกายนาง จนนางรู้สึกได้ถึงผิวกายร้อนผ่าวใต้กล้ามเนื้อเกร็งแน่นของอีกฝ่าย


 


 


เสียง “พลั่ก” ดังทึบเสียงหนึ่ง ในความมืดบุรุษสองคนคล้ายประมือกันครั้งหนึ่ง ลมจากฝ่ามือที่เฉียดผ่านสะเทือนจนนางโซซัดโซเซ จิ่งเหิงปัวไตร่ตรองท่วงท่า รู้สึกว่าในเมื่อกงอิ้นไม่เป็นไรแล้ว เหยียลี่ว์ฉีย่อมมิอาจลงมือได้ พยัคฆ์สองตัวรบรามัจฉาพลอยไร้วารี ยังไงนางรีบเร่งหลบหนีเป็นการดี กำลังตระเตรียมเรียกหาเฟยเฟยหายตัวไปด้วยกัน ข้อมือถูกยึดแน่นฉับพลัน เสียงของกงอิ้นดังอยู่ข้างหูนางว่า “ทำอะไร จะหนีไปกับผู้ใด”


 


 


อาไร้? จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ฉันเองหนีไป ไม่อยากเป็นภาระนาย แบบนี้ก็ไม่ได้เหรอ?


 


 


นางโกรธขึ้นมา สะบัดมือของกงอิ้นออก กล่าวว่า “เรื่องของเจ้า!”


 


 


“นางจะไปกับข้างเป็นแน่” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มพลางเอ่ยอยู่ในความมืดอีกฝั่งว่า “คืนนี้ข้ามาเพื่อรับนาง”


 


 


“เหยียลี่ว์ฉีเจ้าหุบปาก” จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา กล่าวว่า “ผู้ที่เจ้านัดคือเฟยหลัวกระมัง?”


 


 


เสียงของนางอ่อนหวานน่ารักใคร่โดยกำเนิด ยามหัวเราะเย็นชายังคล้ายเสียงไพเราะ จะโกรธเคืองอย่างไรก็แสดงอำนาจออกมาอย่างเต็มที่ไม่ได้ คล้ายออดอ้อนมากกว่าต่อว่าต่อขาน


 


 


ท่ามกลางสายลมพัดผ่านจากการประมือ เสียงของเหยียลี่ว์ฉียิ่งเริงร่ามากขึ้น เอ่ยว่า “เดิมทีอยากจะนัดเฟยหลัว มองเห็นพระองค์แล้วทนไม่ไหวล่ะ”


 


 


“ทนน้องเจ้าสิ” จิ่งเหิงปัวเสียงขึ้นจมูก กล่าวว่า “ไปไกลๆ เลย”


 


 


ตอบไปตอบมายังคล้ายยั่วเย้า รอยยิ้มในเสียงของเหยียลี่ว์ฉียิ่งมากขึ้น


 


 


“พวกเจ้าเอ่ยจบหรือยัง” เสียงของกงอิ้นที่แทรกเข้ามายิ่งเหน็บหนาวจนจิ่งเหิงปัวอดจะสั่นสะท้านไม่ได้ จากนั้นเสียงพลั่กเสียงหนึ่งดังกึกก้อง ม่านกระโจมหนาหนักรอบด้านถูกสะเทือนจนปลิวว่อนกลางอากาศ ในแสงรัศมีมัวสลัวเงาคนสายหนึ่งหัวเราะฮ่าๆ เหินถอยหลังหลายก้าวปานว่าวสายหนึ่ง ฉีกกระโจมจนขาดด้วยมือข้างเดียว พุ่งขึ้นไปบนฟ้า


 


 


เรือนร่างของกงอิ้นโน้มไปข้างหน้า จะไล่ล่าติดตามไป จิ่งเหิงปัวตะโกนทันทีว่า “รอก่อน!”


 


 


“รอสิ่งใด!” กงอิ้นเอ่ยด้วยความโกรธว่า “จับมือสังหาร!”


 


 


“จะจับเจ้าก็จับเอง!” จิ่งเหิงปัวเสียงสูงกว่าเขา สะบัดมือสุดชีวิต เอ่ยว่า “พี่มีเรื่องสำคัญ!”


 


 


กงอิ้นดูท่าทางร้อนรนดุจเพลิงดารากลับหยุดฝีเท้าเสียอย่างนั้น ทว่าไม่ยอมปล่อยมือ จิ่งเหิงปัวก็ไม่สนใจเขา ดิ้นรนยกเท้าขึ้นมาเตะไปบนใบหน้าของเฟยหลัวบนพื้นที่คลานโซซัดโซเซขึ้นมา


 


 


“พลั่ก”


 


 


เฟยหลัวที่เพิ่งยืนได้มั่นคงล้มถ่างแข้งถ่างขาลงไป ร่างเปรอะเปื้อนฝุ่นดินทั่วพื้น


 


 


“สมกับเป็นเสนาหญิง คลานยังคลานได้งดงามเยี่ยงนี้!” เสียงของจิ่งเหิงปัวสดใสยิ่งนัก


 


 


กงอิ้น “…”


 


 


จิ่งเหิงปัวยังคงไม่เลิกรา กระชากกระโปรงครึ่งตัวของเฟยหลัวที่เปียกด้วยเพราะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ดังพึ่บพั่บเสียงหนึ่ง ใช้แรงโยนไปด้านนอก กล่าวเสียงดังว่า “รีบตามหมอเร็ว! ท่านเสนาหญิงกลั้นไม่อยู่แล้ว!”


 


 


เศษอาภรณ์ที่กำจายกลิ่นเหม็นหึ่งแปะลงบนใบหน้าขององครักษ์ที่กำลังพุ่งเข้ามาผู้หนึ่งพอดี เขาคว้าไว้ในทันใดแล้วพุ่งไปอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นมุมกำแพงมีเสียงอาเจียนชัดเจนดังขึ้น


 


 


เดิมทีเฟยหลัวดีขึ้นมาบ้างแล้ว กำลังดิ้นรนอยากลุกขึ้น มองเห็นฉากหนึ่งนี้จึงล้มลงไปดังพลั่กเสียงหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มอ่อนหวานครั้งหนึ่ง


 


 


“ว้าย ข้ามิควรจะเอ่ยเสียงดัง เช่นนี้คงได้ยินกันหมดแล้วสินะ? ขออภัยด้วย ข้าลืมไป!”


 


 


 


 


 


[1] เอ่อร์คัง พระรองจากเรื่ององค์หญิงกำมะลอ คนรักของจื่อเวย


 


 


[2] จื่อเวย นางรองจากเรื่ององค์หญิงกำมะลอ คนรักของเอ่อร์คัง


 


 


[3] หุ่ยเหรินเซิ่นเป่า ยาจีนบำรุงกำลังยี่ห้อหนึ่งในประเทศจีน



 

 

 


ตอนที่ 47 - 3 หนีตามกัน?

 

หลังจากองค์ราชินีผู้ผูกพยาบาทโดยง่ายได้ล้างแค้น กงอิ้นจึงลากจิ่งเหิงปัวถลาออกมาจากรอยแยกของกระโจมที่พังทลาย จิ่งเหิงปัวกำลังจะตะโกนว่าจับมือสังหารพลันพบว่าข้างนอกมีเสียงผู้คนโกลาหล คบเพลิงเริงระบำ ผู้คนนับมิถ้วนตะโกนว่า “มือสังหาร! จับมือสังหาร!” พลางวิ่งวุ่นไปมาในที่ตั้งค่าย เหตุการณ์เละเทะอินุงตุงนัง


 


 


“โอ้โห เจ้าพวกนี้โต้ตอบฉับไวเสียจริง พบว่ามีมือสังหารกันหมดแล้ว…” พอจิ่งเหิงปัวกล่าวได้ครึ่งหนึ่งจึงรู้สึกตัวว่าผิดปกติ นางหันกลับมามองดูกงอิ้น สีหน้าของเขาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งแลหิมะ


 


 


จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดชั่วครู่จึงเข้าใจ สูดลมหายใจเข้าจมูกแล้วถอนหายใจกล่าวว่า “คนเยอะเสียเรื่องสินะ…”


 


 


เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่งว่าในกองทัพองครักษ์แห่งหกแคว้นแปดชนเผ่ามีไส้ศึกของเหยียลี่ว์ฉี ฉะนั้นพอทางเขาโผล่ร่องรอยออกมา ไส้ศึกพวกนั้นจะเริ่มแสร้งจับกุมมือสังหารเพื่อกวนน้ำให้ขุ่น พอคนเยอะลานตา เหยียลี่ว์ฉีจะหลบหนีออกไปจากที่ตั้งค่ายได้ง่ายยิ่งนัก


 


 


หากมีเพียงเหยียลี่ว์ฉีผู้เดียว ต่อให้ถูกหน่วงเหนี่ยวไว้เพียงชั่วครู่ องครักษ์ที่กงอิ้นจัดวางไว้พร้อมสรรพแล้วยังคงขัดขวางเขาเอาไว้ได้ ตอนนี้เละเทะปานนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว


 


 


กงอิ้นมองนางปราดเดียว…รู้ว่านางเฉลียวฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่การถอนหายใจด้วยความเฉลียวฉลาดยามนี้ฟังดูคล้ายเจือด้วยกลิ่นอายแห่งความตื่นเต้นดีใจอย่างไรไม่รู้


 


 


“ยินดีนักหรือ?” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย


 


 


“ฮะ?” จิ่งเหิงปัวฟังแล้วไม่เข้าใจ


 


 


กงอิ้นไม่เอ่ยวาจาแล้ว แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้งผลักนางให้จิ้งอวิ๋นและชุ่ยเจี่ยที่ตามมา เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “จับตานางไว้ให้ดี!”


 


 


จิ่งเหิงปัวถูกผลักจนล้มเข้าไปในอ้อมแขนของชุ่ยเจี่ยในครั้งเดียว พอเงยหน้ามองเห็นหัวหน้าองครักษ์ของกงอิ้นที่เดินเข้ามารักษาการณ์


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าจากไปได้ทุกชั่วยาม ผู้ใดก็เหนี่ยวรั้งเจ้าไว้ไม่ได้ ข้ารู้ว่าหัวใจของเจ้ามิได้อยู่… ณ ที่แห่งนี้ ผู้ใดก็รักษาเจ้าไว้ไม่ได้” เขาเดินไปหลายก้าวแล้วหันกลับมาโดยพลัน ดวงตาประสานแววตาของนาง เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าจะไม่เพิ่มโซ่ตรวนกับเจ้าหรือจำกัดอิสระของเจ้า เจ้าอยากอยู่ก็อยู่ อยากไปก็ไป อยากไปกับผู้ใดก็ไปกับผู้นั้น เพียงแต่วันนี้หากเจ้าก้าวเท้าออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว ภายภาคหน้าเจ้ากับข้าคือศัตรู”


 


 


จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองเข้าไปในนัยน์ตาของเขา เบื้องลึกของดวงตาเขามืดมนกว่าคนปกติ คือความเย็นเยือกปานผลึกน้ำแข็งพันปีและสีฟ้าทะมึนคมกริบผืนหนึ่ง


 


 


นางคิดด้วยเพิ่งเข้าใจว่า เขากำลังโกรธเหรอ?


 


 


คบเพลิงเริงระบำในค่ำคืนมืดมิด ไอร้อนผ่าวลอยกำจายในทิวทัศน์ เงาด้านหลังของเขายังคงโดดเดี่ยวเหน็บหนาว ความโดดเดี่ยวเหน็บหนาวที่เขาเดียวดายแม้มีผู้คนนับพันนับหมื่น ความโดดเดี่ยวเหน็บหนาวที่มองเห็นเพียงเขาแม้มีผู้คนนับพันนับหมื่น


 


 


จิ่งเหิงปัวงงงันเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมานางรู้สึกว่าเขาเย่อหยิ่ง ปากร้าย สูงส่งเย็นชา น่าอึดอัด ซ้ำยังเป็นคนเก็บความรู้สึกลึกล้ำ เพียงแต่ตอนนี้รู้สึกทันทีว่าที่จริงแล้วอุปนิสัยแท้จริงของเขาคืออ้างว้าง


 


 


ด้วยเพราะความอ้างว้างเนิ่นนานจึงหลงลืมเสียงโหวกเหวกแห่งสรรพชีวิต มิได้ปรับตัวเข้ากับแสงสีทางโลกอีกจึงยากจะผสานตนสู่โลกมนุษย์ตามปรารถนา ประสบการณ์เหนือธรรมดาพาเขาห่างเหินจากโลกใบนี้ ปกป้องตนเองจนกลายเป็นสัญชาตญาณ เจตนาร้ายและการปฏิเสธยังมิทันได้กล้ำกราย เขายื่นมือออกมาปิดประตูดวงหทัยเสียก่อนแล้ว


 


 


ในใจเหน็บหนาวเสียยิ่งกว่าคล้ายมีน้ำแข็งก้อนหนึ่งซึมแทรกเข้ามาโดยพลัน นางเป่าสองมือครุ่นคิดว่าประสบการณ์เช่นไรหล่อหลอมให้เขามีนิสัยเช่นนี้ คิดไปคิดมาก็ว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที


 


 


เกี่ยวอะไรกับนางเหรอ?


 


 


นางตั้งมั่นในความคิดจะยิ้มเย้ยต่างโลก อิสรเสรีชั่วชีวิต!


 


 


ความงดงามและการปล่อยตนคือต้นทุนของนาง ทำไมจะอยู่ต่างโลกอย่างสง่างามไม่ได้ ทำไมต้องฝืนจะแบกภาระกับไอ้น่าอึดอัดคนหนึ่ง?


 


 


นางสะบัดมืออย่างรุนแรงคล้ายดั่งเช่นนี้จะสะบัดอารมณ์แปลกประหลาดเหล่านั้นออกไปได้


 


 


“ไปเถิดเพคะ” นางรับใช้แปลกหน้าสองนางเดินเข้ามารับนางไปจากมือของชุ่ยเจี่ย ลากนางไปถึงหน้ากระโจมของตนเองอย่างกึ่งประคองกึ่งบังคับแล้วผลักนางเข้าไป


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ได้ขัดขืน ก่อนหน้านี้สู้รบกับเหยียลี่ว์ฉีในกระโจมไปครั้งหนึ่ง แม้ว่าเป็นเพียงการโต้ตอบไปมาสั้นๆ ไม่กี่ครั้งแต่ใช้พลังกายและพลังใจจนหมดสิ้น ตอนนี้ทั่วร่างผ่อนคลายลงมา รู้สึกเพียงว่าเซลล์ทุกเซลล์กำลังร้องตะโกนจะเอนกายนอนหลับ นางรีบเร่งคลานขึ้นไปเอนกายบนเบาะรอง ตบใบหน้าของตนเอง ปากบ่นอุบอิบว่า “นอนหลับ”


 


 


นางนอนหลับตัวตรงดิ่งด้วยท่วงท่านอนหงายของนางตลอดมา นางคิดว่าการนอนตะแคงจะก่อเกิดริ้วรอยบนใบหน้า นับเป็นโทษทัณฑ์ที่ไม่อาจให้อภัย


 


 


ความมืดมิดมัวสลัว เสียงโหวกเหวกภายนอกคล้ายจะห่างไกลออกไป แต่เสียงหึ่งๆๆ ปานแมลงวันผุบๆ โผล่ๆ ในสมองนางอย่างต่อเนื่อง


 


 


“กุมอำนาจทั่วหล้าและโอบโฉมสะคราญแนบอกจึงเป็นอนาคตที่ราชครูสมควรจะได้รับ เหตุใดจึงต้องอดกลั้นให้สตรีต่างถิ่นนางหนึ่งขี่คอเจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่เล่า?”


 


 


“…ราชครู เจ้าลำบากเดินทางยาวไกลหมื่นลี้มารับนางด้วยตนเองด้วยเพราะกังวลความปลอดภัยของราชินีจริงหรือ?”


 


 


นางพลิกกายครั้งหนึ่งอย่างวุ่นวายใจ แขนกระทบพื้นอย่างรุนแรง


 


 


“นอนหลับ!” นางตะคอกสั่งการตนเอง พลิกกายให้ราบเรียบ เผชิญหน้าเพดานกระโจมราวซากศพนอนหงาย


 


 


เสียงหึ่งๆๆ มาอีกแล้ว


 


 


“เจ้าหวังหลอกใช้ราชินีก้าวผ่านเหตุการณ์ไปอย่างสงบสุขใช่หรือไม่?”


 


 


“หลังจากราชินีเสด็จนิวัตพระนคร ตำหนักอวี้จ้าวของเจ้าคงจะตระเตรียมวิธีรับมือราชินีไว้เนิ่นนานแล้วเป็นแน่…”


 


 


นางลุกขึ้นนั่งฉับพลัน เผชิญหน้ากับความมืดมิด กัดฟันกัดปาก


 


 


“วิธี…รับมือ…” นางแค่นเสียงหลายเสียง คว้าเส้นผมเอาไว้ ถีบผ้าห่มออกไป เอนกายนอนถ่างแข้งถ่างขา


 


 


“พอราชินีผ่านการทดสอบมิได้ถูกเนรเทศ ผู้รับเสด็จย่อมชื่อเสียงเสียหายได้รับผลกระทบไปด้วย…”


 


 


“ข้าว่าเจ้าคงไม่ต้องการให้ช่วย”


 


 


“ยินดีนักหรือ?”


 


 


เสียงสองเสียงวิวาทกันในสมองนาง นางคลานขึ้นมาร้องโอ๊ยเสียงหนึ่ง คว้าผ้านวมไว้เตะต่อยชกตีพลางกล่าวว่า “อารมณ์แปรปรวน! ชีวิตแบบนี้อยู่ไม่ได้แล้ว!”


 


 


“เจ้าอยากอยู่ก็อยู่ อยากไปก็ไป อยากไปกับผู้ใดก็ไปกับผู้นั้น เพียงแต่วันนี้หากเจ้าก้าวเท้าออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว ภายภาคหน้าเจ้ากับข้าคือศัตรู”


 


 


หวนคิดถึงเสียงเหน็บหนาวเสียงนั้นของกงอิ้นขึ้นมาแล้วน่ารำคาญอย่างยิ่ง จิ่งเหิงปัวมองดูกระโจมกว้างโล่งเงียบสงัด เสียงโหวกเหวกข้างนอกค่อยๆ กลับกลายเป็นความสงบเงียบแล้ว กระโจมของกงอิ้นคล้ายจุดแสงตะเกียงขึ้นมา เขาเสร็จสิ้นกิจธุระแล้ว ทว่ามิได้เดินมาหานางและไม่มีใครบอกกล่าวนางว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว นางเหมือนจะถูกโยนเอาไว้ที่นี่ ถูกลืมเลือนไปแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้ว่าตนเป็นคนประมาทเลินเล่อ นอกจากห่วงใยความงามแล้วเรื่องอื่นไม่มีอะไรดี แต่ทว่าวันนี้ทรมานไปค่อนคืนแล้ว ความประหลาดใจ ความหดหู่และการต่อสู้เพื่อความเป็นความตายโถมเข้ามา ทดสอบความตั้งใจของนางดุจระลอกคลื่น ส่วนวาจาน่าเกลียดชังของกงอิ้นผู้น่ารำคาญกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายซึ่งทำให้หลังอูฐหัก


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนอยู่บนผ้าห่ม สองมือเท้าเอว ชะเง้อมองกระโจมสงบเงียบของกงอิ้น เพลิงโทสะในนัยน์ตาลุกโชน


 


 


นี่นับประสาอะไร?


 


 


กลั่นแกล้งตนเองแล้ว ยังใช้วาจาประโยคเดียวขังตนเองไว้แน่นหนา?


 


 


ต้าปัวเธอไร้ปณิธานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?


 


 


หรือว่าถูกประโยคนั้นทำให้หวาดกลัวจริงๆ …


 


 


ความคิดสุดท้ายความคิดหนึ่งแฉลบผ่าน จิ่งเหิงปัวส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่งทันที สะบัดความคิดนั้นปลิวว่อนออกไป


 


 


“ไม่! ใช่! แน่! นอน!” นางถีบม้านั่งตัวหนึ่งจนล้มตะแคงในเท้าเดียว กล่าวว่า “ตอนนี้พี่จะพิสูจน์ให้เธอดู!”


 


 



 


 


กระโจมของกงอิ้นสงบเงียบเชียบโดยตลอด หลังจากมีมือสังหารมารบกวน เหล่าองครักษ์รักษาการณ์กระโจมของเขาอย่างเข้มงวดอีกครั้ง


 


 


หาตัวเหยียลี่ว์ฉีไม่เจอ กงอิ้นก็ไม่ประหลาดใจ คำสั่งหลายข้อถ่ายทอดลงมาปานธารหลาก


 


 


“กลุ่มจย่าสามสืบเสาะเหยียลี่ว์ฉีและพวกพ้องต่อไป”


 


 


“สืบสวนองครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าที่เข้ายามรักษาการณ์คืนนี้ทั้งหมดอย่างเข้มงวด ต้องสืบให้ชัดเจนว่ามีพฤติกรรมเปลี่ยนเวรยามหรือแทนเวรยามหรือไม่”


 


 


“เริ่มตั้งแต่คืนพรุ่งนี้ ยามหยุดพักตั้งค่าย จงดำเนินการจัดสรรที่พักตั้งค่ายของหกแคว้นแปดชนเผ่าองครักษ์เสียใหม่ นี่คือแผนภูมิการจัดสรร”


 


 


“ให้กองเทียนเฉียนแอบสืบเฟยหลัว และสืบให้แน่ว่าชนชั้นสูงแห่งแคว้นเซียงได้ติดต่อกับเหยียลี่ว์ฉีเป็นการส่วนตัวหรือไม่”


 


 


“ออกคำสั่งราชองครักษ์คั่งหลง ส่งทหารกล้าสามพันนาย รับขบวนเสด็จหน้าด่านชิงหัน”


 


 


“ออกคำสั่งตำหนักอวี้จ้าว เฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ศิลป์อัศจรรย์จากหน่วยปาอี้แห่งวังหลวง ส่งตัวมาที่นี่”


 


 



 


 


กงอิ้นหยุดชะงักชั่วครู่โดยพลัน เหมิงหู่ที่ก้มหน้าตั้งใจฟังโดยละเอียดเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ จึงมองเห็นนายท่านขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย นิ้วมือลากเส้นบนแผ่นสาร ลากเส้นหนาขีดหนึ่ง แล้วลากเส้นหนาอีกขีดหนึ่งโดยจิตสำนึก


 


 


นี่คือนิสัยเคยชินน้อยๆ ยามราชครูมีเรื่องให้ครุ่นคิดวางแผนในใจ เพียงแต่หลายปีมานี้ เรื่องที่สามารถทำให้ราชครูลังเลลำบากใจไปชั่วครู่น้อยลงยิ่งนักแล้ว


 


 


เขามีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง อดจะอยากคาดเดามิได้ว่าผู้ใดทำให้นายท่านเผยสีหน้าเช่นนี้ออกมา คงจะมิใช่…กระมัง?


 


 


“จัดกลุ่มจย่าหนึ่ง รักษาการณ์กระโจมและรถม้าของราชินีทั้งทิวาราตรี” กงอิ้นเอ่ยในที่สุด


 


 


เป็นเรื่องเกี่ยวกับนางดังคาดการณ์ เหมิงหู่ขมวดหัวคิ้วชนกันน้อยๆ กลุ่มจย่าหนึ่งคือหนึ่งในทหารซึ่งเกรียงไกรที่สุดหน่วยหนึ่งในค่ายชุยเหวยที่เขาบัญชาการ หน่วยนี้คือกำลังที่ไม่ได้ปรากฏตัวตลอดมา ใช้ปกป้องอย่างลับๆ โดยเฉพาะ ราชครูจะใช้สอยกลุ่มจย่าหนึ่งเขาไม่ประหลาดใจ เพียงแต่…


 


 


“ท่านหวังจะคุมตัวราชินีไว้หรือขอรับ?” เขาเอ่ยว่า “ทว่าขอเพียงกลุ่มจย่าหนึ่งมิอาจเข้าไปในกระโจมหรือรถม้า ราชินีจะรอดพ้นจากการควบคุมได้ตลอดเวลา…”


 


 


วาจาของเขาหยุดลง ด้วยเพราะกงอิ้นเงยหน้ามองเขาปราดเดียว


 


 


ก่อน้ำแข็งแทรกหิมะ คล้ายภายนอกภายในภูเขาหิมะสิบล้านลี้สะเทือนเลือนลั่นโดยพลัน


 


 


เหงื่อเย็นเยียบซึมออกมาท่วมร่างเขา เข้าใจจิตใจที่แท้จริงของนายท่านในพริบตาเดียว แอบสำนึกว่าตนเองปากมาก รีบเร่งเงียบเสียงถอยออกไป หางตากล้าเพียงมองดูมือของกงอิ้น ปลายแขนเสื้อไหมทอลายสีขาวราวหิมะที่ปักดิ้นทองซ่อนด้ายลายขุย[1]ไม่ขยับเขยื้อน ผุดเผยเล็บหลายนิ้วเกลี้ยงเกลาดั่งเปลืองหอย ขาวบริสุทธิ์ดุจหยก


 


 


ผ้าม่านปิดลง กงอิ้นจึงค่อยๆ หลุบขนตาลงต่ำ ปลายนิ้วดีดเพียงครั้ง ของเหลวสีเหลืองอ่อนเม็ดหนึ่งในซอกเล็บถูกดีดออกมา


 


 


เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง…ในที่สุดสารพิษถูกขับออกมาจนสิ้นแล้ว


 


 


ผลไม้สีแดงที่เฟยเฟยโยนลงมามิได้รักษาได้ตรงจุดทั้งหมด เฉกเช่นเฟยหลัวยามนี้นอนพลิกไปมาอยู่ในกระโจมของตนเอง แม้ว่ามิได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีกต่อไป ยังคงสำแดงกิริยาน่าเกลียดร้อยพัน จนทำให้เขาจำเป็นต้องออกคำสั่งให้เฝ้ากระโจมของเฟยหลัวอย่างเข้มงวดมิให้ผู้ใดเข้าไป


 


 


เขาขับสารพิษออกมา ยืนขึ้นเลิกผ้าม่านออก สิ่งเผชิญหน้าคือกระโจมมืดสนิทของจิ่งเหิงปัว


 


 


เขามองกระโจมนั้นอย่างเงียบงันชั่วครู่ แววตาซับซ้อน


 


 


นาง…คงจะนอนแล้วกระมัง


 


 


ยามนิทรานางคงจะโกรธยิ่งนักเป็นแน่


 


 


กงอิ้นเองยังไม่รู้ว่า ชั่วขณะนี้เขาผุดเผยรอยยิ้มเจือจางอีกครา จากนั้นถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึมผืนหนึ่ง


 


 


ยิ่งใกล้ต้าฮวง สายฝนสายลมยิ่งรุนแรง วันเวลายามสายลมดุจคมมีดน้ำค้างดุจคมกระบี่เช่นนี้เขาเคยชินแล้ว ส่วนสตรีอิสระตามใจตนนางนั้น นางจะใช้ใบหน้าเช่นไรไปเผชิญหน้า?


 


 


เขาเม้มริมฝีปากแผ่วเบา ฝีเท้าขยับไปเบื้องหน้าก้าวหนึ่งอย่างแผ่วเบาเงียบเชียบ จากนั้นหยุดชะงัก


 


 


มีเพียงฟ้ารู้ว่าเมื่อครู่โดนลูกไม้ใดเข้าไป จนบัดนี้ยังสติเลอะเลือนใจเต้นดุเดือดเพียงน้อย ยามคิดว่าต้องพบนาง ก็จะนึกถึงยามโอบกอดกันในตาข่ายคืนฝนโปรยกลางหุบเขาครั้งหนึ่งนั้นอย่างแปลกประหลาด ผิวกายชุ่มชื่นและลมหายใจหอมหวานของนาง นัยน์ตาที่ทอประกายระยิบระยับในความมืดมิด รวมทั้งริมฝีปากแดงฉ่ำงามล้ำโดยกำเนิดนั้น หรือ ณ วังกษัตริย์เทียนหนานยามนางโถมกายมา ผิวกายเจือความเย็นเพียงน้อยโถมทับเขาอย่างรุนแรงโดยพลัน…


 


 


ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด


 


 


เขารีบเร่งสืบเท้ากลับมา มิกล้าย่ำไปเบื้องหน้าอีกก้าว ความคิดล่องลอยปานนี้ จะพบนางได้อย่างไร?


 


 


มือคลายออกปล่อยผ้าม่านลง เขาหันกายจะนั่งสมาธิ ในใจสะท้านโดยพลัน แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง กายทะลุผ่านม่านออกไปเสียแล้ว


 


 


ผ้าม่านกระโจมของกงอิ้นเพิ่งสยายลงมา พริบตาต่อมาเขาเลิกผ้าม่านกระโจมของจิ่งเหิงปัวออกแล้ว


 


 


จากนั้นเรือนร่างของเขาแข็งทื่อ


 


 


กระโจมว่างเปล่า เครื่องนอนกองระเกะระกะเกลื่อนพื้น มีคนเสียที่ไหน


 


 


ผ้าม่านสั่นไหวเล็กน้อยขึ้นมา กงอิ้นคว้าม่านไว้แน่นจนรอยยับย่นผสานกัน


 


 


เสียงของกงอิ้นลอดออกมาจากไรฟันทีละคำละคำ ฟังแล้วมีความเร่งร้อนของการมาถึงแห่งสายฝนในภูผา


 


 


“หนีไปอีกแล้ว…ดังคาด!”


 


 



 


 


จิ่งเหิงปัวเดินลอยล่องบนทุ่งนามืดมิด


 


 


พอหายตัวออกมาด้วยเพราะความโกรธ นางวิงเวียนตาพร่ายังไม่รู้ว่าหายตัวไปถึงที่ไหน รู้เพียงว่าห่างจากที่พักตั้งค่ายไปไม่ไกล ด้วยเพราะหันกายก็มองเห็นแสงไฟเป็นจุดๆ ปานดวงดาวข้างหลังได้แล้ว


 


 


การหายตัวของนาง ภายใต้สถานการณ์ต่างกันผลลัพธ์ต่างกัน ตอนสมาธิรวมศูนย์สามารถหายตัวไปยังที่ซึ่งตนเองอยากไป ตอนจิตใจจดจ่อสามารถหายตัวได้ไกลสุดถึงหลายลี้ ตอนความคิดเละเทะอาจจะหายตัวจากตำแหน่งนั่งยองทางซ้ายของห้องน้ำไปถึงตำแหน่งนั่งยองทางขวาของห้องน้ำ


 


 


ตอนนี้ก็ไม่ได้หายตัวมาไกลเท่าไร แต่นางไม่ได้คิดจะหนีให้ไกล มองเบื้องหน้ามีแม่น้ำสายหนึ่ง เดินเข้าไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก คว้ากิ่งไม้กิ่งหนึ่งซึ่งหล่นอยู่ริมน้ำขึ้นมาตีน้ำเล่น


 


 


ริมน้ำมีวัชพืชเกิดเป็นพุ่ม ดูท่าไม่ค่อยมีใครมาจึงกำเนิดกิ่งก้านอ่อนเขียวขจีมากมาย จิ่งเหิงปัวเด็ดมามองดูกำหนึ่ง ร้อง “เอ๋” เสียงหนึ่ง กระซิบกระซาบว่า “นี่เหมือนจะเป็นโหลวเฮา[2]? ของดีนะเนี่ย ต้าฮวงมีของสิ่งนี้ด้วย…”


 


 


นางเด็ดโหลวเฮามาหลายก้าน ดมกลิ่นนั้น แววตาคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง


 


 


เสียงน้ำซ่าซ่าแว่วไปห่างไกลในค่ำคืนเงียบสงัด นางคล้ายไม่ได้สนใจ หันกลับมามองดูที่พักตั้งค่ายตลอดเวลา


 


 


มองอยู่เนิ่นนานที่พักตั้งค่ายยังไร้การเคลื่อนไหว นางร้อนรนขึ้นมา เปลี่ยนสถานที่เสียเลย นั่งยองหันหลังให้ที่พักตั้งค่าย ส่องใบหน้าของตนเองกับน้ำในแม่น้ำทั้งเสียอย่างนั้น


 


 


“พี่สวยขนาดนี้ ดีขนาดนี้” นางบ่นอุบอิบด้วยครุ่นคิดไม่ตกว่า “ตามกฎการทะลุมิติ น่าจะทองคำเกลื่อนกลิ้งหนุ่มหล่อเกลื่อนกลาดดอกท้อเต็มถนนใครเห็นใครรักดอกไม้เห็นดอกไม้ผลิบานแมลงวันเห็นแล้วล้มขาชี้ฟ้าตลอดทางถึงจะถูก ทำไมพอถึงตาฉันถึงคุณยายไม่ชอบหน้าน้าชายไม่รักใคร่สตรีโรคจิตบุรุษผิดเพศ?”


 


 


ข้างกายนางมีเฟยเฟยอยู่ซ้ายเจ้าหมาโง่อยู่ขวา เมื่อครู่ตอนนางออกมา ฉวยนำเจ้าสองตัวนี้มาแก้กลุ้ม


 


 


แต่ว่านี่เหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่ดี การแก้กลุ้มยิ่งอาจจะกลายเป็นยิ่งกลุ้ม…เจ้าหมาโง่แอบถีบเฟยเฟยอย่างต่อเนื่อง ถูกหางใหญ่ของเฟยเฟยตบจนขนนกปลิวว่อน ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ไม่ว่ามันจะถูกตบไปมากสักกี่ครั้งก็ยังไม่รู้จะเปลี่ยนทิศทางการถีบ พิสูจน์ได้เต็มเปี่ยมว่าสัตว์ประหลาดน้อยดูถูกสติปัญญาของนกอัปลักษณ์


 


 


“เจ้าหมาโง่ อย่าก่อเรื่อง” จิ่งเหิงปัวคว้าเจ้าหมาโง่ขึ้นมา กล่าวอย่างโศกเศร้ากับจะงอยปากนกตรงจมูกของมันว่า “เจ้าดูพี่สิ งามหรือไม่? มีเสน่ห์หรือไม่?”


 


 


“งามหรือไม่ มองดูปากนั้นของเฟิ่งเจี่ย[3] มีเสน่ห์หรือไม่ ฟูหรงเอส[4]ล้ำค่าที่สุด” เจ้าหมาโง่ตอบ


 


 


“ไปตายซะ” จิ่งเหิงปัวโยนมันไปไกลโพ้นนอกสายตา


 


 


“เฟยเฟย” จิ่งเหิงปัวโอบสัตว์ประหลาดน้อยแสร้งน่ารักซ่อนอันตรายไว้บนเข่า จ้องดวงตากลมโตสีม่วงเข้มที่กะพริบเชื่องช้าของมัน กล่าวว่า “เจ้าดูพี่สิ งามหรือไม่…”


 


 


มือของนางสั่นสะท้านโดยพลัน จ้องมองนัยย์ตากลมโตของเฟยเฟย ขนทั่วร่างค่อยๆ ลุกชันขึ้นมา


 


 


นับน์ตากลมโตทอประกายเข้มนั้นสะท้อนภาพข้างหลังกายนางอย่างแจ่มชัด เจ้าหมาโง่กลางอากาศ ไม่ใช่ ยังมีมือข้างนั้นที่คว้าเจ้าหมาโง่ไว้


 


 


แขนเสื้อสีเงินเหลือบดำล่องลอยในค่ำคืนมืดมิด นิ้วมือเรียวยาวยิ่งนักอุดปากของเจ้าหมาโง่เอาไว้…


 


 


 


 


 


 


 


[1] ขุย สัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง มีลักษณะตัวเป็นวัว มีเขา มีขาเพียงข้างเดียว


 


 


[2] โหลวเฮา หญ้าชนิดหนึ่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Artemisia selengensis Turcz. ex Bess มีสรรพคุณในการห้ามเลือด บรรเทาอาการอักเสบ


 


 


[3] เฟิ่งเจี่ย หรือหลัวอวี้เฟิ่ง ชื่อเล่น เฟิ่งเจี่ย คือเน็ตไอดอลคนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่


 


 


[4] ฟูหรงเอส ท่าทางบิดเอวบิดร่างกายเป็นรูปตัวอักษร s



 

 

 


ตอนที่ 48 - 1 เสียดาย

 

แขนเสื้อสีเงินเหลือบดำล่องลอยในค่ำคืนมืดมิด นิ้วมือเรียวยาวยิ่งนักอุดปากของเจ้าหมาโง่เอาไว้… 


 


 


เข่าทั้งสองข้างของจิ่งเหิงปัวสั่นสะท้าน ด้านหนึ่งกล่าวต่อไปว่า “…มีเสน่ห์หรือไม่? เฮ้ออากาศหนาวจัง พวกเราลุกขึ้นอบอุ่นร่างกายกันหน่อยเป็นไง?” อีกด้านหนึ่งวางแผนที่จะลุกขึ้น 


 


 


นางไร้หนทางหายตัวในท่านั่ง 


 


 


เสียดายว่าสายไปแล้ว คนนั้นปรากฏกายข้างหลังนางปานภูตพราย หัวเข่าชนกับหลังของนาง นำกรงเล็บนกของเจ้าหมาโง่เกาไปเกามาบนศีรษะนาง เสียงเจือหัวเราะเอ่ยว่า “อะไร? จะเสด็จไปแล้วหรือ? พระองค์จะเสด็จไปกระหม่อมคงขวางไว้ไม่ได้ ทว่านกตัวนี้ทิ้งไว้ให้กระหม่อมย่างเถิด?” 


 


 


“อย่ากินข้า! อย่ากินข้า!” เจ้าหมาโง่ร้องเสียงดังว่า “จะกินก็กินเจ้าสัตว์ประหลาดน้อย! หนังบางเนื้อแน่นมันท่วมปาก!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือก หันข้างมาตบทุ่งหญ้าข้างกายแล้วกล่าวว่า “มา นั่งลงมาหารือกันว่าย่างนกอย่างไรให้หอมยิ่งขึ้น” 


 


 


“ต้าปัวเจ้ามันยัยลามก กินนกทั้งบ้านเป็นเชิงตะกอนเผาศพ!” เจ้าหมาโง่ที่โพล่งปากด่าทอถูกเหยียลี่ว์ฉีที่ถีบหัวส่งผู้มีพระคุณกดลงไปในโคลนเลนซ้ำไปซ้ำมา 


 


 


“ขยะเช่นนี้ทรงเลี้ยงไว้ทำสิ่งใด” เหยียลี่ว์ฉีชี้ไปยังเฟยเฟยอย่างสนิทสนมกลมกลืนยิ่งนัก เอ่ยว่า “เช่นนี้น่าจะทรงลองเลี้ยงตัวนั้นเพิ่ม…โอ้เจ้าอย่ามองข้า ข้าทนทานดวงเนตรงดงามของเจ้าไม่ไหว” 


 


 


เขายิ้มพลางยื่นมือกดศีรษะใหญ่โตของเฟยเฟยบดบังดวงตาของเฟยเฟยไว้ เฟยเฟยวางแผนใช้สายตามอมเมาเขาอย่างบ้าคลั่ง ทว่าแผนการช่วยเหลือเจ้านายล้มเหลวในชั่วพริบตา มันสะบัดหางอย่างหดหู่ กระโดดลงจากหัวเข่าของจิ่งเหิงปัว 


 


 


จิ่งเหิงปัวยื่นมือทัดจอนผม หันข้างยิ้มให้เหยียลี่ว์ฉีครั้งหนึ่งอย่างตามใจยิ่งนัก กล่าวว่า “เฮ้อ ข้านึกว่าเจ้าหนีไปนานแล้ว เหตุใดจึงยังรออยู่ที่แห่งนี้” 


 


 


น้ำในแม่น้ำใสแจ๋วเปล่งประกายเพียงน้อยในความมืดมิด รอยยิ้มครั้งหนึ่งนี้ของนางคล้ายสุกสกาวพราวแพรวแลงดงามอ่อนช้อยเช่นกัน 


 


 


นัยน์ตาของเหยียลี่ว์ฉีหรี่ลงเพียงครั้งคล้ายตื่นตะลึงชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นรู้สึกตัวขึ้นมา เบี่ยงกายโดยพลัน หลบหลีกเฟยเฟยที่กำลังฉี่ใส่ข้างหลังเขา 


 


 


เฟยเฟยส่ายหัวถอนหายใจเฮือก เดินเตร่ลากหางออกไป 


 


 


จิ่งเหิงปัวแบะปากอย่างช่วยไม่ได้…กลยุทธ์สาวงามล้มเหลวเช่นกัน 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีนั่งลงที่ด้านหนึ่ง มือยังคงคว้าเจ้าหมาโง่ไว้แน่น ยิ้มพลางถอนหายใจเฮือกเอ่ยว่า “ล้วนเอ่ยว่าราชินีองค์ใหม่ทรงไร้การศึกษาไร้วิชาเจ้าชู้เกียจคร้านตะกละตะกลามมิเคารพกฎเกณฑ์ไร้ประโยชน์สิ้นดี ทว่าเหตุใดไม่รู้กระหม่อมจึงรู้สึกว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เฉลียวฉลาดโดยแท้จริง?” 


 


 


“ประโยคแรกที่เจ้าเอ่ยใช่ข้าหรือ?” จิ่งเหิงปัวกะพริบตา กล่าวต่อไปว่า “แน่นอนว่าประโยคหลังที่เจ้าเอ่ยข้ารู้สึกว่าถูกต้องยิ่งนัก” 


 


 


ขนตายาวงอนงามของนางกะพริบต่อเนื่อง เหยียลี่ว์ฉีรู้สึกว่าดวงใจถูกสายลมหอมกรุ่นระลอกหนึ่งพัดผ่านโดยพลัน อ่อนโยนคันยุบยิบ ยั่วเย้าจนใจคนว้าวุ่น 


 


 


ยามนางสงบลงมา สีหน้าไร้เดียงสาซ้ำยังเจือความงามอ่อนช้อยเพียงน้อย คล้ายมีดบัวแดงงามล้ำด้ามหนึ่งซึ่งเฉือนผิวเถือเนื้อเถือกระดูกของผู้คนอย่างแผ่วเบา 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเขยิบไปนั่งด้านนอกอีกครั้งอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ทว่าประเดี๋ยวผู้เฉลียวฉลาดเยี่ยงนี้จะถูกเนรเทศ นับว่าน่าเสียดายยิ่งนัก มิรู้ว่าความเฉลียวฉลาดของพระองค์จะสามารถปกป้องพระองค์ให้ปลอดภัยไร้โรคา ณ ลุ่มน้ำเยียนจั้งถิ่นเลวร้ายนั้นได้หรือไม่?” 


 


 


“นี่คือเหตุผลที่เจ้าเสี่ยงอันตรายอยู่รอข้ากระมัง” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิครั้งหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “เจ้ารอเจรจากับข้าโดยเฉพาะหรือ เจ้าอยากจะคุยเรื่องใดกับข้า เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าข้าจะออกมา” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มมิเอ่ยวาจา ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “นับว่ากระหม่อมเข้าใจกงอิ้น” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยักไหล่ ไม่เข้าใจว่าการที่เขาเข้าใจกงอิ้นเกี่ยวอะไรกันกับการรู้ว่าตนเองจะออกมา ตอนนี้ได้ยินชื่อกงอิ้นนี้นางก็หงุดหงิดขึ้นมา รีบเร่งเปลี่ยนหัวข้อสนทนากล่าวว่า “เจ้ารอข้าคิดจะทำสิ่งใด คิดเรื่องชั่วร้ายใดออกมาได้อีกหรือ เจ้าไปไกลๆ ข้าหน่อย ข้ายังถูกเจ้าทำร้ายไม่พออีกหรือ? ครั้งก่อนเจ้ายังเสียเปรียบไม่พออีกหรือ?” นางเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ทันที เรือนร่างถอยมาด้านหลัง ดวงตาจ้องเขาอย่างระแวดระวัง กล่าวต่อไปว่า “คงมิใช่รวมเรื่องที่ข้าถีบจุดยุทธศาสตร์ของเจ้าเมื่อครู่กระมัง? นี่ๆ ‘ลูกเตะทลายฟ้า’ ท่านั้นของข้าคงมิได้ถีบสิ่งนั้นจน…” 


 


 


“หยุดเลย!” เหยียลี่ว์ฉีรีบเร่งโบกมือขัดขวางปากกำเริบเสิบสานน่าหวาดกลัวของสตรีนางหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หากกระหม่อมวางแผนจะคิดบัญชีกับพระองค์จริงๆ ยามนี้พระองค์จะยังทรงประทับโดยปลอดภัยอยู่ที่นี่ได้หรือ?” 


 


 


“อย่ามาโม้” จิ่งเหิงปัวแบะปาก กล่าวต่อไปว่า “หากข้าคิดจะจากไปจริงๆ เจ้าย่อมรั้งข้าไว้มิได้…” 


 


 


“อืมๆ นับว่ากระหม่อมรั้งพระองค์ไว้ไม่ได้” เหยียลี่ว์ฉีนางพลางยิ้มแย้ม เอ่ยสืบต่อว่า “พระพักตร์หงิกงอพระศอหักเช่นนี้ อะไร ทรงพ่ายแพ้กงอิ้นหรือ? เมื่อครู่พระองค์ทรงเสี่ยงชีวิตช่วยเขาหลายครั้งหลายครา เขากลับยังไม่ซาบซึ้งบุญคุณ นับเป็นเจ้าคนผู้ไม่เข้าใจเสน่ห์โดยแท้ จะสลัดเขาออกมาพึ่งพากระหม่อมดีหรือไม่ อืม ฝ่าบาทที่เคารพรัก ขอทรงเชื่อว่ากระหม่อมจะต้องปกป้องพระองค์นะ” 


 


 


มือทั้งสองข้างของเขากางไปด้านหลังเพียงครั้ง คางเชิดขึ้นมาเพียงน้อย ยิ้มแย้มให้จิ่งเหิงปัว ท่วงท่านี้คือท่วงท่าที่มิได้ป้องกันเลยแม้แต่น้อย 


 


 


สายตาของจิ่งเหิงปัวทอดลงใต้ลำคอของเขาอย่างแม่นยำยิ่ง…คอเสื้อของเหยียลี่ว์ฉีหลุดลุ่ยเสียแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ผุดเผยแผ่นอกกำยำและกระดูกไหปลาร้าครึ่งผืนออกมา ผิวกายสีน้ำนมอ่อนแวววาวของเขาคล้ายทำให้ผู้คนวิงเวียนได้ภายใต้แสงดารามัวสลัว ส่วนกระดูกไหปลาร้าตรงดิ่งประณีตเช่นนั้นพาให้ผู้คนนึกถึงนิ้วมือเรียวยาวยิ่งนักของเขา ทุกเฟิ่นทุกชุ่นคือความงามประณีต คือรูปสลักที่ปรมาจารย์ใช้หยกน้ำงามสลักไว้ 


 


 


รูปงาม…รูปงามสดใหม่…พ่อรูปงามสดใสฉบับผู้ชายอบอุ่นลึกลับ…จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อกของตนเองดังกังวานอย่างยิ่ง 


 


 


ก่อนนางเองจะทันได้รู้สึกตัวขึ้นมา กรงเล็บของนางลูบคลำข้างลำคอหลังใบหูของเหยียลี่ว์ฉีอย่างไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อยเสียแล้ว กล่าวว่า “โห…เจ้าบำรุงอย่างไร ผิวพรรณบริเวณนี้หยาบกระด้างได้โดยง่ายยิ่งนัก จิ๊จ๊ะ เนียนละเอียดจัง น่าลูบจังเลย ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวไหน…” 


 


 


“เจ้า…” เหยียลี่ว์ฉีถลึงตามองนาง สีหน้าท่าทางสลับซับซ้อนยิ่งนัก 


 


 


คล้ายจะถูกเจ้าชู้ใส่เสียแล้ว และโฉมสะคราญคล้ายจะติดกับดักเสียแล้ว ทว่าเบื้องหลังกิริยาท่าทางเจ้าชู้ตามใจตนปานนั้น เขากลับรู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์และความไม่สนใจไยดีของนาง คล้ายว่าสำหรับนางความงามแห่งบุรุษคือสิ่งที่นางชื่นชอบ ทว่าเป็นเพียงความชื่นชอบ ประหนึ่งชื่นชอบดอกไม้ดอกหนึ่ง ชื่นชอบนกตัวหนึ่ง ชื่นชอบเมฆขาวก่อนหนึ่ง เพียงความชื่นชอบธรรมดาสามัญ 


 


 


ความรู้สึกนี้พาให้เขาไม่สบายกายสบายใจ เขาแกะมือของจิ่งเหิงปัวอย่างโกรธเคืองแล้วฉวยมือดึงคอเสื้อขึ้นมา 


 


 


จากนั้นเขาชำเลืองมองทิศทางหนึ่ง ยิ้มแย้มอย่างเกียจคร้านอีกครั้งโดยพลัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวหดมือกลับมา ครุ่นคิดไปชั่วครู่ก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดเล็กน้อย เมื่อครู่นางหวั่นไหวแล้ว ใจสะท้านแล้ว ชื่นชอบแล้ว แต่การหวั่นไหวใจสะท้านชื่นชอบนี้เป็นเพียงด้วยเพราะความชื่นชอบที่สิ่งงดงามปรากฏกาย เหมือนกับแต่ก่อนตอนดูรูปผู้ชายกล้ามแน่นในกระทู้นับไม่ถ้วนครั้ง นางเลียจอลูบคลำกราบไหว้เคลิบเคลิ้มน้ำลายย้อย ทว่าเลียจอเสร็จเคลิบเคลิ้มเสร็จ ในใจไร้ซึ่งระลอกคลื่นแล้วก็หลงลืมไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“เหตุใดข้าต้องพึ่งพาเจ้า เจ้าจิตใจดีงามนักหรือ?” จิ่งเหิงปัวแบะปาก มือสะบัดกิ่งหลิวปัดน้ำในแม่น้ำพลางกล่าวว่า “พอแล้ว พวกเราไม่ต้องอุบอิบเอาไว้แล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไร เอ่ยมาให้ฟังหน่อย” 


 


 


“ก่อนหน้านี้ที่กระโจมของเฟยหลัว พระองค์ย่อมทรงได้ยินกฎเกณฑ์การรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้แล้ว” ในที่สุดเหยียลี่ว์ฉีจึงนั่งตัวตรง ทว่าเรือนร่างกลับโน้มเอนมาหาจิ่งเหิงปัวเล็กน้อย มองดูจากมุมสายตาบางมุม ทั้งสองคนคล้ายคลอเคลียอยู่ด้วยกัน 


 


 


“ในพิธีเฉลิมฉลองรับเสด็จ ราชินีจะต้องทรงแสดงพระปรีชาสามารถที่ทำให้ทุกผู้คนยอมสยบ” เขายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “พระองค์ทรงมีหรือ?” 


 


 


“แล้วเจ้ามีหรือ? ราชินีองค์ก่อนๆ มีหรือ?” จิ่งเหิงปัวคัดค้านอย่างโกรธเคือง กล่าวสืบต่อว่า “ข้าน่ะไม่เชื่อหรอกว่ามีความสามารถใดที่ทำให้ทุกผู้คนยอมสยบได้ นี่เป็นการกลั่นแกล้งกันชัดๆ” 


 


 


“พระองค์ตรัสถูกแล้ว” เหยียลี่ว์ฉีกุมปากหัวเราะ เอ่ยสืบต่อว่า “ในประวัติศาสตร์ต้าฮวง การรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้แท้จริงแล้วมีเพียงสามครั้ง ทุกครั้งล้วนมีลับลมคมใน ตามประวัติศาสตร์ พิธีเฉลิมฉลองรับเสด็จสามครั้งมีสองครั้งที่ราชินีทรงผ่านไปอย่างราบรื่น มีครั้งหนึ่งล้มเหลวถูกเนรเทศ” 


 


 


“อัตราการผ่านการทดสอบสูงอยู่นะ สองในสามส่วนแน่ะ” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบ แลบลิ้นเลียริมฝีปาก 


 


 


ลิ้นสีชมพูของนางไถลบนริมฝีปากเพียงครั้ง ปราดเปรียวดั่งมัจฉาน้อยตัวหนึ่ง เหยียลี่ว์ฉีมองชะงักในปราดเดียว รู้สึกเพียงว่าดวงใจเต้นเร่าเพียงครั้งอีกครา รีบเร่งสำรวมจิตใจ ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ถูกต้อง สูงทีเดียว ผ่านได้โดยง่ายยิ่งนัก” 


 


 


“เจ้าเอ่ยสิ เจ้าเอ่ยเร็ว” จิ่งเหิงปัวรีบเร่งคว้ามือของเขาเอาไว้ สีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจ 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีก้มหน้ามองดูมือนุ่มนวลประณีตของนาง ฝ่ามืออบอุ่นยิ่งนักประหนึ่งเส้นไหมที่ถูกเพลิงโลมเลียกลุ่มหนึ่งแนบอยู่บนหลังมือ กระทั่งดวงทหัยยังคล้ายอ่อนนุ่มอบอุ่นในชั่วพริบตา มือของเขาคลายออกแช่มช้า สายตาชำเลืองมองไปในความมืดมิดห่างไกลปราดหนึ่งอีกครั้งคล้ายมิได้ใส่ใจ ยิ้มอย่างดีอกดีใจยิ่งนัก 


 


 


ดวงหน้าเจือด้วยรอยยิ้มลึกลับ เขาตบมือของจิ่งเหิงปัวแผ่วเบาแล้วจึงเอ่ยว่า “ราชินีองค์หนึ่งทรงมาจากแคว้นเซียง แคว้นเซียงรวบรวมกำลังทั้งแคว้นจัดสรรกลุ่มผู้เฉลียวฉลาดมากถึงสามร้อยกว่าคนเพื่อราชินี ทดสอบทั้งสิ้นสามวันสามคืนจึงช่วยนางผ่านพิธีเฉลิมฉลองไปได้ ราชินีอีกองค์หนึ่งทรงมาจากเผ่าไต้เม่า เผ่าไต้เม่าที่ร่ำรวยส่งทูตมากกว่าร้อยคนและรถม้าบรรทุกเงินทองเกือบร้อยคัน ใช้เงินทองเคาะประตูเหล่าขุนนางใหญ่จนเปิดออกในค่ำคืนเดียว ใช้ทองมหาศาลซื้อความนิ่งเงียบของพวกเขาจึงมีการขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่นของราชินี…อืม พระองค์ทรงรู้สึกอะไรบ้าง?” 


 


 


“ดีเหลือเกิน…” จิ่งเหิงปัวกล่าวด้วยงงเป็นไก่ตาแตกว่า “คนหนึ่งทุ่มอัจฉริยะ คนหนึ่งทุ่มทองคำ ทั้งเผ่าทั้งแคว้นเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังเพื่อคนผู้เดียว…พี่จะทุ่มสิ่งใดได้บ้าง เฟยเฟยหรือ? ใครจะเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังให้พี่ เจ้าหมาโง่หรือ?” 


 


 


“ยามอยู่เป็นจอมปราชญ์ ยามถึงฆาตยังอาจหาญ” ปากเต็มไปด้วยตะกอนดินทรายของเจ้าหมาโง่กรีดร้องว่า “ไม่ให้สามสิบล้าน ไม่ข้ามผ่านธารเจียงตง!” 


 


 


“ให้เฟยเฟยตบหน้าเจ้าสามครั้ง!” จิ่งเหิงปัวตบมันครั้งหนึ่งจนมันลอยออกไปอย่างหงุดหงิด กุมศีรษะครุ่นคิดอย่างยากลำบาก 


 


 


“ทำให้สตรีเช่นพระองค์ทรงระทมทุกข์เช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่ทำให้ข้าราชบริพารทั้งหลายไม่สบายใจเหลือเกินเสียจริง” เหยียลี่ว์ฉีอมยิ้มมองนางพลางเอ่ยสืบต่อว่า “ฉะนั้นกระหม่อมเสี่ยงอันตรายอยู่รอ เพื่อผ่อนทุกข์คลายโศกให้พระองค์…” 


 


 


วาจายังเอ่ยมิทันสิ้น จิ่งเหิงปัวยืนขึ้นอย่างฉับพลัน จัดทรงผมแล้วสูดหายใจเฮือกหนึ่งกล่าวว่า “ดีแล้ว เช่นนี้แล อืม เหยียลี่ว์ฉี ขอบใจที่เจ้านั่งคุยเป็นเพื่อนข้า ช่วยข้าตัดสินใจ บุญคุณและความแค้นแต่ครั้งก่อนของพวกเราก็ลบหายในฝ่ามือเดียวแล้วกัน จุ๊บๆ ลาก่อน!” 


 


 


นางกล่าวจบปานปืนกล ฉวยมือคว้าเจ้าหมาโง่จากในมือของเหยียลี่ว์ฉีที่กำลังงงงวย อีกมือหนึ่งกวักร้องเรียกเฟยเฟย หันกายได้ก็จากไป 


 


 


“เจ้า…” ถึงอย่างไรเหยียลี่ว์ฉีก็ไม่คิดว่าเจ้าคนนี้จะมีการตอบสนองเช่นนี้ เอ่ยอย่างงงงวยว่า “พระ…พระองค์ได้ทรงฟังกระหม่อมเอ่ยหรือไม่?” 


 


 


“เหมือนจะไม่นะ…” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเริ่มกระแอมไอ 


 


 


“ทว่าข้าเดาได้ว่าเจ้าอยากจะเอ่ยเรื่องใด” จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งพลางเอ่ยว่า “โชคลาภคงไม่ลอยลงมาจากฟ้า เจ้าเสี่ยงอันตรายอยู่รอข้ามาเสนอเรื่องนี้ให้ข้า ต้องมีความจำเป็นที่คุ้มค่าให้เจ้าเสี่ยงอันตรายเป็นแน่ ข้าให้สิ่งใดแก่เจ้าได้หรือ? แลกเปลี่ยนสิ่งใดกับเจ้าได้หรือ? หากเจ้าช่วยข้าผ่านด่านทดสอบของราชินีด่านหนึ่งนั้น ข้าต้องช่วยเจ้าทำสิ่งใด? ราชินีขึ้นครองราชย์ เข้าประทับตำหนักอวี้จ้าว ส่วนสถานที่ว่าราชการของกงอิ้นอยู่ที่ตำหนักอวี้จ้าวเช่นกัน เช่นนั้นสิ่งเดียวที่ข้าราชินีหุ่นเชิดองค์นี้ทำได้คือช่วยเหลือราชครูฝ่ายซ้ายท่านเหยียลี่ว์ผู้ความทะเยอทะยานมากล้นของพวกเรา ร่วมมือทั้งนอกทั้งในกำจัดราชครูฝ่ายขวาท่านกงอิ้นผู้มีความทะเยอทะยานมากล้นเช่นกัน ถูกต้องหรือไม่?” 


 


 


ความเงียบสงัดชั่วขณะหนึ่ง 


 


 


น้ำในแม่น้ำเปล่งเสียงซู่ซู่แผ่วเบา วัชพืชโอนเอนอยู่ริมแม่น้ำ นกกลางคืนกระพือปีกแผ่วเบา ค่ำคืนในชั่วขณะหนึ่งนี้เงียบสงัดจนทำให้คนเคร่งขรึม 


 


 


สักครู่ใหญ่ เหยียลี่ว์ฉีจึงเชิดหน้าขึ้นเพียงน้อย ผุดเผยรอยยิ้มขมขื่นเป็นครั้งแรกเอ่ยว่า “กระหม่อมรู้สึกว่าตนมิเคยได้หมิ่นแคลนพระองค์ จวบจนยามสุดท้ายกระหม่อมจึงรู้สึกตัวว่ากระหม่อมยังคงประเมินพระองค์ต่ำเกินไป” 


 


 


จิ่งเหิงปัวสะบัดผมครั้งหนึ่งอย่างได้ใจ เท้าเอวกล่าวเสียงดังว่า “พี่คือผู้ใด! พี่คือ จิ่ง เหิง ปัว ผู้ขึ้นบนรู้นภาลงล่างรู้พสุธาตรงกลางรู้น้ำใจไมตรีศัตรูคู่แค้นรู้ภูมิศาสตร์ประเพณีรู้แผนการในใจมนุษย์ไม่มีเรื่องใดที่ไม่รู้ด้วยฝึกฝนนับร้อยนับพันครั้งในศึกชิงบัลลังก์ทะลุมิติยาโอยยูริแฟนตาซีความรักปวดตับซาดิสม์ในช่วงฟีเว่อร์!” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีนั่งนิ่งเหลือบมองเจ้าผู้ชั่วพริบตาหนึ่งจริงจังชั่วพริบตาหนึ่งเป็นลมบ้าหมูผู้นี้ครู่ใหญ่ เกือบจะโค่นล้มการตัดสินของตนเองอีกครั้ง 


 


 


พอจับจ้องมองดวงพักตร์ยิ้มแย้มเบิกบานของจิ่งเหิงปัว เขาเกิดความสงสัยต่อพลังการวินิจฉัยของตนเองเป็นครั้งแรก เบื้องหน้านางนี้เป็นสตรีเช่นไรกันแน่? 


 


 


เอ่ยว่านางเฉลียวฉลาด หลายครั้งหลายครานางใช้ชีวิตเลอะเทอะ มิยอมจัดการให้รู้ดำรู้แดงโดยสิ้นเชิง ใบหน้าเปี่ยมด้วยคำว่า “เช่นนี้ก็ดีนะอยู่ได้ก็อยู่ไป” เอ่ยว่านางเลอะเทอะ ยามช่วงเวลาสำคัญนางมีสติอยู่เสมอ มีการวินิจฉัยและความเห็นของตนเองอยู่เสมอ 


 


 


นางเจ้าชู้ทว่าไม่หลายใจ นางชอบกินทว่าไม่ตะกละตะกลาม นางเกียจคร้านทว่าไม่พึ่งพาอาศัยผู้อื่น นางสะเพร่าทว่าไร้พิษสงต่อผู้อื่น 


 


 


นางนั้นคล้ายภาพวาดสดใสงดงามผืนหนึ่ง มองปราดแรกงดงามจนสะกดผู้คน ลายเส้นมั่วซั่ว ยามรวบรวมสมาธิพินิจโดยละเอียดถึงรู้สึกตัวว่าภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ซ่อนเร้นความสว่างพร่างพรายทำให้คนเคลิบเคลิ้ม แบ่งแยกเรื่องราวชัดเจน ฟ้าดินร่วมขนาน 


 


 


“พระองค์ทรงไตร่ตรอง” ในที่สุดเขาเก็บรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจังเอ่ยว่า “พระองค์เข้าสู่อาณาเขตต้าฮวงแล้ว ยามนี้รอบด้านดูท่าทางไร้ความผิดปกติเพียงด้วยเพราะเส้นทางนี้คือเส้นทางลับเส้นทางหนึ่งซึ่งผ่านการบุกเบิกเกือบร้อยปีของชาวแคว้น หากพระองค์หวังจะเสด็จหนีแลหลบเลี่ยงจากไล่ล่าจับตัวของกงอิ้นย่อมมิอาจเสด็จเส้นทางนี้ เช่นนั้น รอบด้านเส้นทางสายนี้ล้วนเป็นบึงโคลนไร้ขอบเขต บึงโคลนที่ล้อมรอบอาณาเขตเทียบมิได้กับบึงโคลนในแคว้น เป็นเพียงบึงโคลนธรรมดา เต็มเปี่ยมด้วยอันตราย หลายปีมานี้ลุ่มน้ำต้าฮวงอาศัยบึงโคลนเหล่านี้ขัดขวางฝีเท้าล่วงล้ำของแต่ละแคว้น พระองค์ทรงมั่นใจว่าจะเสด็จออกไปได้หรือ?” 


 


 


“น่ากลัวขนาดนั้นเชียว?” จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้าน กล่าวต่อไปว่า “แต่ว่า ไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรเล่า” 


 


 


“พระองค์ทรงยอมจะลองบึงโคลนทว่าไม่ยอมไปเป็นราชินีหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีมองนางอย่างเหลือเชื่อพลางเอ่ยว่า “ราชินีแห่งต้าฮวงมิได้น่ากลัวเช่นพระองค์ทรงจินตนาการ นอกจากไม่ค่อยมีอิสระแล้ว ราชินีจะเสพสุขการปรนนิบัติด้วยเคารพศรัทธาและทรงเกียรติภูมิที่สุดจนไร้เทียบเทียม ใช่แล้ว ราชินีถูกถอดถอนได้โดยราชครู เช่นนั้นพระองค์ยิ่งควรทรงร่วมมือกับกระหม่อม กงอิ้นกุมมหาอำนาจเช่นนี้ คงจะไม่ยอมให้พระองค์ทรงอยู่เหนือศีรษะเขาไปตลอดเป็นแน่ เขามีเหตุผลจำเป็นต้องขึ้นครองตำแหน่งจะรพรรดิ ทว่าหากพระองค์ทรงช่วยกระหม่อมแย่งชิงมหาอำนาจแห่งตำหนักอวี้จ้าว กระหม่อมสัญญาว่าภายภาคหน้าจะช่วยพระองค์แก้ไขประมวลกฎหมายถวายอิสระแด่พระองค์ เทิดทูนพระองค์เป็นจักรพรรดินีตลอดกาล” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเท้าคาง กะพริบตาปริบๆ มองเขา คล้ายกำลังพิจารณาความจริงในวาจาของเขา 


 


 


“เทียบกับการร่อนเร่พเนจรที่บึงโคลนน่ากลัวหลากหลายชนิดตลอดกาลแล้ว” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเปี่ยมด้วยความยั่วยวน เอ่ยว่า “เป็นราชินีที่สุขสบายอิสระ เสพสุขความมั่งคั่งร่ำรวยเปี่ยมยศศักดิ์ไร้ขีดจำกัดชั่วชีวิตองค์หนึ่ง ไม่ใช่ดีกว่าหรอกหรือ?” 



 

 

 


ตอนที่ 48 - 2 เสียดาย

 

จิ่งเหิงปัวไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ พยักหน้าด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า “อ้อ สิ่งที่เจ้าเอ่ยมีพลังยั่วยวนยิ่งนัก เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ เจ้ามีตำแหน่งเป็นราชครูฝ่ายซ้าย ข้าได้ยินว่าแม้เจ้าดูคล้ายมีกำลังไม่เทียบเท่ากงอิ้น แท้จริงแล้วสั่งสมกำลังไว้มากมายมหาศาลเป็นการส่วนตัวเช่นกัน ในเมื่อเจ้าไม่ขาดคนไว้ใช้สอย เหตุใดจะต้องเสี่ยงอันตรายมาเจรจาร่วมมือกับราชินีหุ่นเชิดเช่นข้านี้ด้วยตนเองเล่า?”


 


 


“ค่ำคืนนี้ การลอบสังหารกงอิ้นเป็นเพียงเรื่องฉวยโอกาส แท้จริงแล้วกระหม่อมมาเพื่อพระองค์โดยเฉพาะ” เหยียลี่ว์ฉีพิงต้นไม้อย่างเกียจคร้าน ริมฝีปากแดงฉ่ำปานกุหลาบเฉียงเวยผลิรอยยิ้มเจือความชั่วร้ายเอ่ยว่า “องค์ราชินี อย่าทรงดูถูกพระองค์เองมากเกินไป หากพระองค์ทรงเป็นราชินีขึ้นมาจริงๆ หลังจากเข้าประทับตำหนักอวี้จ้าว จะมีความสำคัญและมิอาจแทนที่ได้เป็นที่สุด ผู้ที่กงอิ้นสังหารได้ ย่อมเป็นพระองค์แน่แท้…”


 


 


เขามองเห็นจิ่งเหิงปัวเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน หยุดนิ่งชะงักงันขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลันเช่นกัน


 


 


จิ่งเหิงปัวฟื้นคืนรอยยิ้มในชั่วพริบตา รวดเร็วเสียจนคล้ายว่าชั่วขณะหนึ่งมิได้เปลี่ยนแปลงสีหน้า ยิ้มแย้มกรีดกรายนิ้วมือไปทางเขา กล่าวว่า “เอ่ยสิ เอ่ยต่อ ข้าสนใจยิ่งนัก”


 


 


เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองดวงตาของนางอย่างลึกซึ้ง รอยยิ้มของจิ่งเหิงปัวไม่เปลี่ยนแปลง ในใจแอบด่าว่าตัวนี้ราศีจิ้งจอก


 


 


ในที่สุดเหยียลี่ว์ฉีจึงเบนสายตาออก ยามปริปากอีกครั้งเปลี่ยนน้ำเสียงเสียแล้ว เอ่ยว่า “แน่นอน หากมิหวังให้พระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์เปื้อนโลหิตหรือมิหวังเผชิญหน้ากับกงอิ้นพาให้เขาแก้แค้นโดยตรง กระหม่อมไม่สังหารเขาย่อมได้ ขอเพียงพระองค์ทรงช่วยกิจธุระเล็กน้อยของกระหม่อม ไล่เขาลงจากบัลลังก์ย่อมเพียงพอแล้ว กระหม่อมยังสัญญากับพระองค์ได้ว่าจะให้ตำแหน่งร่ำรวยมีเกียรติมีศักดิ์ศรีจนแก่ชราตำแหน่งหนึ่งแด่เขา เช่นนี้ ในเมื่อพระองค์ทรงเป็นราชินีผู้สูงศักดิ์ตามใจพระองค์เองและมิได้ทำร้ายกงอิ้น มิใช่ดีงามทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ?”


 


 


จิ่งเหิงปัว “อ้อ” อีกหนึ่งเสียง นัยน์ตาเคลื่อนไหวเชื่องช้า คล้ายกำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง


 


 


“ฝ่าบาททรงเป็นผู้ฉลาดเฉลียว ย่อมรู้ว่าควรจะเลือกสรรอย่างไร” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม


 


 


“อืม ข้าว่า…” จิ่งเหิงปัวค่อยๆ กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “เจ้าเอ่ยวาจากับข้ามากมายเช่นนี้ หากข้าไม่รับปากเจ้า เจ้าย่อมต้องคิดหาวิธีสังหารข้าเป็นแน่กระมัง?”


 


 


“เหตุใดจึงต้องตรัสเสียจนชุ่มโชกโลหิตเช่นนี้เล่า กระหม่อมรู้ว่าฝ่าบาททรงเป็นผู้ฉลาดเฉลียว คงมิทำให้กระหม่อมผิดหวัง แน่นอน หากฝ่าบาททรงไม่รับปาก ซ้ำยังทรงล่วงรู้มากมายเช่นนี้ นับแต่บัดนี้ย่อมทรงเป็นศัตรูของกระหม่อมเป็นธรรมดา แม้ว่ากระหม่อมกำลังอ่อนแอ ฝีมือมีจำกัด ทว่าคิดดูแล้ว ฝ่าบาทคงมิทรงยินยอมสร้างศัตรูผู้หนึ่งเช่นกระหม่อมนี้เช่นกัน ภายหลังทุกฝีก้าวคือการสังหารกระมัง?” สายตาของเหยียลี่ว์ฉีแฉลบผ่านในความมืดมิดแห่งหนึ่ง มองดูดวงตาของนางอย่างอ่อนโยน เอ่ยว่า “หากฝ่าบาททรงโง่เขลาไม่รับปาก…กระหม่อมคงประหลาดใจยิ่งนัก…ฝ่าบาท พระองค์คงมิได้ทรงเสียดายกงอิ้นกระมัง?”


 


 


เสียงวาจาสุดท้ายขึ้นสูงเล็กน้อย แว่วออกไปไกลห่างในความมืดมิด


 


 


จิ่งเหิงปัวกระโจนขึ้นมาประหนึ่งถูกแมงป่องต่อยเข้า


 


 


“เสียดายเขาหรือ?” นางคล้ายถูกหยียดหยาม กรีดร้องกล่าวอย่างบันดาลโทสะว่า “เหตุใดข้าต้องเสียดายเขา? เขาจับข้า มัดข้า รังแกข้า เย็นชาใส่ข้า ใช้ความแค้นตอบแทนบุญคุณกระทำผิดต่อข้า ยังหวังจะช่วงชิงตำแหน่งราชินีของข้า ข้าตาบอดเป็นบ้าถึงจะเสียดายเขา”


 


 


“ทว่า…” ใบหน้าโกรธเคืองของนางเปลี่ยนไปทันที ยิ้มอย่างชั่วร้ายครั้งหนึ่ง ยื่นนิ้วเชิดคางของเหยียลี่ว์ฉีเอาไว้ กล่าวว่า “เจ้าเอ่ยถูกต้องสิ่งหนึ่ง ข้าน่ะไม่ชื่นชอบสังหารคน โฉมสะคราญผู้หนึ่งเช่นข้านี้ มือเปื้อนโลหิตจะเป็นทิวทัศน์โหดร้ายเพียงใด อีกทั้งข้ารู้สึกว่าสังหารกงอิ้นเสียดายยิ่งนักนะ เขารูปงามขนาดนั้น ไม่ว่าสังหารพ่อรูปงามผู้ใดล้วนเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง! เจ้าปลดเขาแล้ว แย่งชิงอำนาจของเขาแล้ว ส่งเขามาให้ข้าดีหรือไม่? เขารังแกข้ามาเนิ่นนานเช่นนี้ ย่อมควรสับเปลี่ยนเวียนวน ให้พี่รังแกเขาสักหน่อยสิ”


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ่งยิ้มอ่อนโยนมากขึ้น ยื่นมือกุมนิ้วมือของนางอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากสัมผัสบนปลายนิ้วนางเพียงครั้ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้น ฝ่าบาททรงเห็นด้วยที่จะร่วมมือกับกระหม่อมแล้วหรือ”


 


 


“แน่นอน ข้าคิดได้แล้ว” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เดิมทีข้านึกว่าแถวนี้คงเดินทางง่ายดังเช่นต้าเยียน ทว่าที่แท้ล้วนเป็นบึงโคลน เช่นนั้นข้าคงหนีออกไปมิได้ ระหว่างสิ้นชีพที่บึงโคลนกับเป็นราชินีผู้มีอิสระองค์หนึ่ง ผู้โง่เขลาสิถึงจะไม่เลือกสิ่งหลังสิ่งนั้น”


 


 


“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เหยียลี่ว์ฉีเชยชมยกใหญ่


 


 


สองคนประสานสายตายิ้มแย้มให้กัน ท่าทีอ่อนโยนทะลักล้น จิ่งเหิงปัวยิ้มหยาดเยิ้มคิดจะหดนิ้วมือกลับไป ทว่าเหยียลี่ว์ฉีคว้าไว้ไม่ยอมปล่อย ยังเจืออารมณ์รักใคร่แตะไว้ที่ริมฝีปาก


 


 


สีหน้าของจิ่งเหิงปัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นรอยยิ้มยิ่งหยาดเยิ้ม นิ้วมือประชิดขึ้นไปเสียเลย แตะอยู่บนใบหน้าของเขา ยิ้มแย้มอย่างเคลิบเคลิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าเองก็รูปงามยิ่งนักนะ…พอข้าได้พบเจ้า ก็ถูกความงามของเจ้าทำให้ตะลึงพรึงเพริดแล้ว…”


 


 


เสียงหัวเราะของเหยียลี่ว์ฉีทุ้มต่ำลึกลับ เอ่ยว่า “จริงหรือ? บังเอิญโดยแท้ พอกระหม่อมได้พบฝ่าบาท ก็ตกตะลึงพรึงเพริ้ดเช่นกัน…”


 


 


แม่น้ำสายน้อย จันทราแผ่วบาง สายลมแผ่วโผย ต้นหญ้าตื้นเขิน บุรุษรูปหล่อสตรีรูปงามจ้องมองกันและกันใต้ต้นไม้ ท่วงท่าอมยิ้มจุมพิตนิ้วมือแผ่วเบาประกอบเป็นเค้าโครงเงาร่างบรรยากาศพร่าเลือนยั่วเย้าภาพหนึ่ง


 


 


ไม่ว่าให้ใครมองเห็น ย่อมเห็นเป็นบุรุษสตรีที่มีใจให้กันคู่หนึ่งซึ่งลักลอบพบกันกลางค่ำคืน บอกเล่าความรู้สึกในใจให้กันและกัน


 


 


เจ้าหมาโง่ถูกเหยียลี่ว์ฉีทับไว้ตลอดเวลา กะพริบดวงตาปริบๆ คล้ายอยากท่องกลอนไพเราะเจือสีสันบทหนึ่งคล้อยตามบรรยากาศไปด้วยยิ่งนัก เสียดายว่าในปากเต็มไปด้วยดินโคลน


 


 


เฟยเฟยนั่งอยู่อย่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก ผายลมครั้งหนึ่งโดยพลัน เจ้าหมาโง่ร้องอู้อี้ว่า “เหม็นจะตายแล้วเหม็นจะตายแล้ว!” เฟยเฟยกลอกตาขาวให้มันหนึ่งครั้งอย่างเหยียดหยาม


 


 


ไม่มีใครรู้ว่า ในเสียงผายลมใสไพเราะนี้ กิ่งไม้แหลมคมกิ่งหนึ่งหลุดพ้นลำต้นโดยพลัน


 


 


กิ่งไม้ค่อยๆ ขยับเขยื้อนลงมาด้านล่าง


 


 


จิ่งเหิงปัวหลบหลีกสายตาจ้องมองซึ่งกันและกันกับเหยียลี่ว์ฉี ยกมือทัดจอนผม เหลียวซ้ายแลขวาอย่างไร้ซึ่งเป้าหมาย กระซิบกระซาบว่า “ออกมาเนิ่นนานเช่นนี้ จะถูกพบเข้าหรือไม่นะ?”


 


 


“ที่แห่งนี้แลดูห่างจากที่ตั้งค่ายไม่ไกล แท้จริงแล้วที่ตั้งค่ายยังบังเอิญถูกกั้นด้วยบึงโคลนน้อยบึงหนึ่ง บึงโคลนนี้ไอพิษรุนแรง ชั่วขณะหนึ่งคงไม่มีผู้ใดผ่านมา” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มมองดูจิ่งเหิงปัว เอ่ยสืบต่อว่า “อะไร ฝ่าบาทดูท่าทางคล้ายทรงผิดหวังอยู่บ้าง?”


 


 


“ใช่สิ ข้าผิดหวังว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจบรรยากาศเช่นนี้…” จิ่งเหิงปัวคล้ายยิ้มทว่าไม่ได้ยิ้ม สายตามองดูเขา นิ้วมือวาดผ่านคางทรวดทรงประณีตของเขาอย่างแผ่วเบา กล่าวว่า “ในเมื่อไร้ผู้คน เส้นทางห่างไกล เจ้าว่า…”


 


 


“อืม…ฝ่าบาททรงโปรดปราน…กระหม่อมโชคดีเหลือเกิน…” เสียงของเหยียลี่ว์ฉีแผ่วเบาลงไปเช่นกัน แต่ละคำละคำร้อนแรงดุจสุราเข้มข้น สดใสเสียจนนัยน์ตาที่น่าตื่นตะลึงค่อยๆ เจือจางกำจายด้วยความลุ่มหลงหลายส่วน


 


 


กิ่งไม้ห้อยลงมา ปลายแหลมพุ่งลงด้านล่าง จ่อหวังทำร้ายท้ายทอยของเหยียลี่ว์ฉี


 


 


“เช่นนั้นเจ้าควรจะ…” จิ่งเหิงปัวหัวเราะหึหึ นิ้วมือวาดวนบนลำคอของเหยียลี่ว์ฉี เรือนร่างค่อยๆ เอนเอียงจนเป็นรัศมีโค้งอ่อนช้อยเส้นหนึ่ง


 


 


กิ่งไม้ห่างจากด้านหลังเหยียลี่ว์ฉีเพียงหนึ่งฉื่อ


 


 


ในความมืดมิดห่างไกลคล้ายมีเสียงแขนเสื้อเจือเสียงลม


 


 


“ตรงกับจิตใจของกระหม่อมพอดี…” เหยียลี่ว์ฉีกุมมือของนางไว้ เรือนร่างค่อยๆ พิงไปด้านหลังเช่นกัน เอ่ยว่า “มิสู้อยู่ที่แห่งนี้ มอบใจให้กันและกัน แลให้ฝ่าบาทได้เห็นจิตใจของกระหม่อม…”


 


 


สายตาของจิ่งเหิงปัวเงยขึ้นมาครั้งหนึ่ง หัวเราะคิกๆ แขนโอบลำคอของเขาไว้ ดึงเขากลับมาอย่างแผ่วเบา พลางกล่าวว่า “นี่…เจ้าล้มลงไปทำอะไร หรือว่าเจ้ายังชื่นชอบให้สตรีอยู่บน? คนดี…ข้าชื่นชอบท่าทีบุรุษเช่นเจ้า…”


 


 


“กระหม่อมเองชื่นชอบเสน่ห์โดยกำเนิดของพระองค์เช่นกัน…” เหยียลี่ว์ฉียินดีทำตามน้ำ โอบเอวของนางเอาไว้


 


 


กิ่งไม้อยู่ตำแหน่งท้ายทอยของเขาพอดี หยุดชะงักเพียงครั้งแล้วปักลงมาดุจอสนีบาต!


 


 


“…ทว่ากระหม่อมไม่ชื่นชอบกลเกมลวงหลอกของพระองค์!”


 


 


เสียงของเหยียลี่ว์ฉีเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกโดยพลัน!


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่ เสียดายว่าตอนนี้แขนทั้งสองข้างถูกเหยียลี่ว์ฉีโอบไว้แนบแน่นแล้ว นางเพิ่งคิดจะตะโกนเรียกเฟยเฟยให้ลงมือ เหยียลี่ว์ฉีก้มหน้าเพียงครั้ง ริมฝีปากโถมทับลงมาแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้าทันที ริมฝีปากร้อนผ่าวของเหยียลี่ว์ฉีแฉลบผ่านแก้มของนาง พอจิ่งเหิงปัวเอียงสายตาก็มองเห็นกิ่งไม้บ้าบอกิ่งนั้นกำลังร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ขณะนี้นี่เองหัวไหล่ของเหยียลี่ว์ฉีเอียงไปเพียงครั้งคล้ายมิได้ตั้งใจ


 


 


เสียงดัง ‘ฉึก’ เสียงหนึ่ง กิ่งไม้ปักเข้าไปในจุดเจียนจิ่งของจิ่งเหิงปัวพอดี ร่างกายท่อนบนของนางขยับไม่ได้ไปชั่วขณะ


 


 


สายตาของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อ เปล่งเสียงโหยไห้โอดโอยจากในเบื้องลึกของจิตใจว่า…ทำไมทุกครั้งที่ใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุทำร้ายคนไม่เคยสำเร็จเลย? หรือว่าความสามารถพิเศษนี้ขัดแย้งสิ่งมีชีวิตแบบราชครูชนิดนี้เหรอ?


 


 


“ฝ่าบาทเจ้าเล่ห์เสียจริง…” เหยียลี่ว์ฉียังคงมีใบหน้าอ่อนโยน ซบอยู่บนไหล่ของนางอย่างสนิทสนม หัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง ฉวยมือทำลายกิ่งไม้นั้นจนไร้ซึ่งร่องรอย


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวยังโหยไห้ไม่หยุดหย่อน ขณะกำลังจะด่าเขาได้ยินประโยคต่อมาของเขา ทั่วร่างแข็งทื่อทันที


 


 


“…ราชครูฝ่ายขวานิสัยดีเสียจริง” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “แอบดูมาเนิ่นนานเช่นนี้ ยังมิกล้าปรากฏกายหรือ”


 


 


อาไร้?


 


 


ระ…ระ…ราชครูฝ่ายขวา?


 


 


กงอิ้น?


 


 


หนังศีรษะของจิ่งเหิงปัวด้านชาขึ้นมา เงยหน้าอย่างหวาดผวา…กงอิ้นอยู่ด้วยมาโดยตลอด? เขาอยู่ด้วยมาโดยตลอดเลยเหรอ? งั้นเมื่อครู่เขาได้ยินมากน้อยเท่าไร? แล้วได้เห็นชัดเจนแค่ไหน?


 


 


หลังจากนั้นนางจึงมองเห็นกงอิ้น



 

 

 


ตอนที่ 48 - 3 เสียดาย

 

ความมืดมิดแห่งป่าเขาลำเนาไพรหนาบางสลับซ้อนตลอดมา สิ่งที่หนาแน่นคือพรรณไม้ สิ่งที่เบาบางคือท้องนภา สิ่งที่โค้งเว้าคือเทือกเขาทอดยาวแสนไกล


 


 


ยามความมืดมิดตื้นลึกสลับซ้อนนั้นได้หลุดลอกโดยพลัน เศษใบไม้ผืนแผ่นใหญ่เกลื่อนกลาดปลิวว่อนขึ้นมา จิ่งเหิงปัวมองเห็นเค้าร่างที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาของกงอิ้น


 


 


ตำแหน่งไม่ได้ไกลนัก อยู่เพียงฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำสายน้อยนวลเนียน พอจะได้ยินวาจาส่วนใหญ่ที่เอ่ยเสียงดัง


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างมองดูกงอิ้นเดินมาแช่มช้า ใบไม้เขียวกลุ่มใหญ่เบื้องหน้ากายสลายเป็นจุณต่อเนื่องกระจัดกระจายทั่วทิศ ผุดเผยเค้าร่างดั่งหิมะของเขา คล้ายเสื้อคลุมต้าฉั่ง[1]แห่งค่ำคืนมืดมิดหลุดร่วงลงอย่างเงียบเชียบ และคล้ายเขากำลังก้าวออกมาจากหลุมดำมัวสลัวกลางจักรวาล


 


 


อาจด้วยกำลังใช้กําลังภายในสั่นสลายใบไม้เขียวที่ใช้บดบังเบื้องหน้ากาย เส้นผมของเขาสยายขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน เส้นผมสีดำพลิ้วไหวตามสายลม ยิ่งเผยให้นัยน์ตาคู่หนึ่งนั้นนิ่งสงบลึกซึ้งยาวไกล ประหนึ่งเหวลึกเงียบสงบนับสิบล้านปี


 


 


การอำพรางกายที่น่าชื่นชมต่อเนื่อง ฉากการปรากฏกายปานเทพยดา แต่จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้อุทานอย่างตื่นตะลึง สายตาของกงอิ้นเย็นชาเหลือเกิน ความรู้สึกห่างเหินรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับแต่ก่อน นางรู้สึกได้ถึงอันตราย


 


 


แต่ขณะนี้ก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะไปพิจารณาเรื่องนี้แล้ว กงอิ้นเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า


 


 


“ไป” เอ่ยข้ามแม่น้ำสายน้อย


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูเขาค่อยๆ เหยียบย่ำผืนน้ำข้ามมา ใบไม้เขียวสลายกลายเป็นผุยผงทั่วท้องฟ้า คล้ายไหมเขียวลอยวนเวียนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบข้างกายเขาเพียงครั้ง แล้วจมลงสู่ผิวน้ำใสสว่างอย่างเชื่องช้า


 


 


น้ำในแม่น้ำดั่งกระจกใส ใบไม้เขียวดุจหยกเขียว เขาเหยียบย่ำใบไม้เขียวบนผิวน้ำสืบเท้าก้าวมา ชุดคลุมดุจหิมะและผมสีดำขลับลอยล่องพร้อมเพรียง เศษดอกไม้โรยราปลิดปลิวเริงระบำข้างกาย


 


 


ภาพเหตุการณ์งดงามยิ่งนัก ทว่าทำให้ผู้คนกระวนกระวายใจ


 


 


แม้แต่สายตาที่เหยียลี่ว์ฉีมองเขายังยิ่งเพิ่มความจริงจัง ถอนหายใจแผ่วเบาเฮือกหนึ่งโดยพลัน เอ่ยว่า “จิตน้ำแข็งผลึกดวงใจ เขาใกล้จะฝึกสำเร็จแล้วสินะ…”


 


 


“อื้อ?” จิ่งเหิงปัวมองดูกงอิ้นดวงตาไม่กะพริบ ใช้เสียงนาสิกสอบถาม


 


 


เหยียลี่ว์ฉีคล้ายใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อยเช่นกัน เอ่ยคล้ายพึมพำกับตนเองว่า “แปลกประหลาด กิจธุระของเจ้าผู้นี้ซับซ้อนยุ่งยากเสียยิ่งกว่าข้า เรื่องสกปรกชิงไหวชิงพริบมากมายกว่าข้าเสียอีก เหตุใดจึงฝึกฝนพลังภายในที่มีจิตใจสะอาดผ่องใสเช่นนี้สำเร็จได้เล่า…” จากนั้นเขาหัวเราะแผ่วเบาเพียงครั้ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาท อย่าทรงขยับมั่วซั่ว พระองค์ทรงยั่วยวนกระหม่อม กระหม่อมจึงจำต้องทำไปเช่นนี้”


 


 


เข่าทั้งสองข้างยกขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ จิ่งเหิงปัวที่อยากจะฉวยโอกาสจัดการเขาสักรอบ หัวเข่าแข็งทื่อทันที หัวเราะเขินอายครั้งหนึ่ง แอบด่าเสียงหนึ่งว่าไอ้นี่มันเจ้าเล่ห์


 


 


นางมองดูตนเอง แล้วมองดูท่ายืนแข็งทื่อเล็กน้อยของมหาเทพ แท้จริงแล้วในใจขลาดกลัว…ก่อนหน้านี้เสแสร้งแกล้งพูดเหลวไหลไปมากมายขนาดนั้น อีกทั้งตอนนี้ทำท่วงท่าแบบนี้กับเหยียลี่ว์ฉี มหาเทพจะคิดไปไกลถึงไหนแล้วเนี่ย…


 


 


“กงอิ้น” เหยียลี่ว์ฉีโอบกอดจิ่งเหิงปัวที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ให้ลุกขึ้นนั่ง ยิ้มแย้มทักทายว่า “ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ลำบากเจ้าตากลมมาช่วยเฝ้าพิทักษ์พวกเรา เกรงใจเจ้าโดยแท้ฮ่าๆ” จากนั้นเขาเอ่ยต่ออีกประโยคด้วยใบหน้าขวยอายว่า “ฝ่าบาททรงมีไมตรีเกินไปเสียแล้ว…เมื่อครู่ลักลอบพบกันที่กระโจมยังไม่พอ ยังต้องเจอหน้าข้าอีกครั้งให้ได้…ฝ่าบาททรงเอ็นดู พวกเราเป็นขุนนางย่อมยากจะปฏิเสธถูกต้องหรือไม่?”


 


 


“มีไมตรีกับน้องสาวแกสิ…” จิ่งเหิงปัวกำลังอยากด่า สายตาประสานเข้ากับสายตาสุกสกาวของเหยียลี่ว์ฉีทันที


 


 


หรือว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สายตาสุกสกาว ทว่าเป็นหมอกหนาผืนหนึ่งสายธารมัวสลัวคลื่นหนึ่ง ความโหรงเหรงและความว่างเปล่าผืนหนึ่ง ในใจของจิ่งเหิงปัวสะท้านเพียงครั้ง รู้สึกทันทีว่าเคลิบเคลิ้มและงัวเงีย หนังตาหนักจนลืมไม่ขึ้น สะลึมสะลือร้อง “อื้อ” ไปเสียงหนึ่ง


 


 


พอเสียงหนึ่งนี้โพล่งออกจากปาก นางฟื้นคืนสติลืมตาฉับพลันทันที สายตาใสสว่างของเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่เบื้องหน้า มีความว่างเปล่าและความโหรงเหรงเมื่อครู่เสียที่ไหน?


 


 


อะไรกันเนี่ย? วิชามารเหรอ? สะกดจิตเหรอ? ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เคยใช้?…


 


 


“องค์ราชินีทรงขวยเขินแล้วน่ะ…” เหยียลี่ว์ฉีหันหน้าไปยิ้มให้กงอิ้น


 


 


กงอิ้นหยุดนิ่งอยู่บนผิวน้ำแล้ว แขนเสื้อพลัดพลิ้ว ไม่เอ่ยวาจาแลไม่ขยับเขยื้อน


 


 


ในความมืดมิดมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเจน จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าในใจเย็นเยียบขึ้นมา


 


 


“เจ้าคงดักซุ่มกำลังพลไว้บริเวณนี้แล้วกระมัง?” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ข้าไม่มั่นใจว่าจะฝ่าวงล้อมของเจ้าออกไปได้ ทำอย่างไรดีเล่า?”


 


 


“เช่นนั้นจงอยู่รอความตาย” กงอิ้นปริปากในที่สุด น้ำเสียงสงบราบเรียบ ไม่แม้แต่จะมองจิ่งเหิงปัวสักปราดเดียว


 


 


“ทว่าข้าไม่อยากตาย” เหยียลี่ว์ฉียักไหล่ มองดูจิ่งเหิงปัวที่ยังโอบกอดตนเองอย่างสนิทสนม สายตาสุกสกาวเปลี่ยนแปลงไป เอ่ยว่า “หรือมิฉะนั้น พวกเรามาทำข้อแลกเปลี่ยนกันดีหรือไม่?”


 


 


“จับตัวราชินีไว้ จะให้ข้าปล่อยเจ้าหรือ?” กงอิ้นขัดจังหวะเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “เทียบกับราชินีที่ทดแทนได้ทุกชั่วยามองค์หนึ่งแล้ว ข้าสนใจชีวิตของเจ้ามากยิ่งกว่า”


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตาปริบๆ …เอาเถอะนางกล่าวเสริมเติมแต่งเองได้ว่า นี่เพราะกงอิ้นจงใจเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่สนใจ จะได้ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพื่อช่วยตัวนางเอง เพียงแต่วาจาแบบนี้วนเวียนอยู่ในหู ไม่ค่อย…สบายหูเท่าไรเลยแฮะ…


 


 


“โอ้ ไม่ ไม่ใช่” เหยียลี่ว์ฉีโอบกอดจิ่งเหิงปัว นิ้วมือแกว่งไปมา เอ่ยว่า “ดวงตาข้างใดของเจ้ามองเห็นว่าข้าจับตัวราชินีไว้หรือ? เจ้ามองเห็นนางลักลอบออกมาอิงแอบแนบชิดกับข้าด้วยตาตนเองชัดๆ มิใช่หรือ? ข้าเพียงอยากจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้า ข้าช่วยเจ้าสังหารนาง ดีหรือไม่?”


 


 


จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เบิกตามองเหยียลี่ว์ฉีอย่างไม่อยากเชื่อสายตา…ความคิดพิสดารอะไรเนี่ย? ฆ่าพี่แล้วนายจะหนีรอดเหรอ?


 


 


“หากอยากสังหารนางข้าเองทำได้ทุกชั่วยาม ไม่ลำบากรบกวนเจ้า” กงอิ้นไร้ซึ่งสีหน้าตระหนกตกใจ ยังคงมีท่าทางไม่หวั่นไหวแม้มีสิ่งใดกระทบเช่นนั้น


 


 


“ข้าเชื่อวาจานี้ของเจ้า” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ทั้งต้าฮวงล้วนรู้ว่า แท้จริงแล้วเจ้าไม่ยินดีให้มีราชินีมาอีกองค์หนึ่ง หากไม่มีนาง เจ้าคงจะตั้งตนเป็นจักรพรรดิได้แล้ว ภายหลังด้วยสถานการณ์บีบบังคับ เจ้าจำต้องคุ้มกันนางตลอดทางจนมาถึงที่นี่ ยามนี้มีพิธีรับเสด็จราชินีไกลร้อยลี้ เจ้าขี่หลังเสือยากจะลง จำต้องประคองนางขึ้นครองราชบัลลังก์เสียก่อน ทว่าเจ้าย่อมรู้ว่าหากนางขึ้นครองราชบัลลังก์ ยากจะหลีกเลี่ยงความเปลี่ยนผันที่จะเกิดขึ้น ในหกแคว้นแปดชนเผ่ามิรู้ว่าผู้คนมากเพียงใดจ้องรอตะครุบตำหนักอวี้จ้าวดั่งพยัคฆา หากนางถูกผู้ใดล่อลวงไป ย่อมจะกลายเป็นมือสังหารที่หมอบซ่อนอยู่ข้างกายเจ้า จิ๊จ๊ะ หลายวันมานี้ข้าครุ่นคิดแทนเจ้ายังรู้สึกว่าเป็นทุกข์ ข้าประหลาดใจยิ่งนักว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่สังหารนาง คิดแล้วคงเสียดาย? เช่นนั้นข้าสังหารนางแทนเจ้าย่อมได้ สตรีนางนี้เมื่อครู่เพิ่งรับปากข้าว่าจะลอบสังหารเจ้าเพื่อข้านะ มีสตรีเช่นนี้อยู่ข้างกาย อันตรายยิ่งนักนะ ใช่หรือไม่?”


 


 


“เจ้าโกหก ข้าไม่…” เสียงคำรามของจิ่งเหิงปัวยังไม่ทันกล่าวสิ้น ก็ถูกสายตาสุกสกาวสะกดจิตที่กว้างไกลมัวสลัวสายหนึ่งของเหยียลี่ว์ฉีทำให้ล้มพับไป


 


 


มองในสายตาของกงอิ้น คงจะเป็นความหวาดผวายากจะเอ่ยครั้งหนึ่ง


 


 


“สังหารเจ้าแล้วค่อยสังหารนาง ข้ารู้สึกว่าดียิ่งกว่า” นัยน์ตาของกงอิ้นแฉลบผ่านจิ่งเหิงปัว หยุดลงตรงคอเสื้อหลุดลุ่ยของนาง ยามปริปากอีกครายังคงสั้นกระชับสูงส่งเย็นชาเช่นนั้น หนึ่งเข็มเห็นโลหิต


 


 


“สังหารข้าเจ้าคงต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่มากก็น้อย ค่อยสังหารนางเจ้าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ” เหยียลี่ว์ฉีแกว่งนิ้วมือพลางเอ่ยว่า “เจ้าเป็นผู้เฉลียวฉลาด เหตุใดวันนี้จะเลือกกระทำเรื่องยุ่งยากให้ได้?”


 


 


กงอิ้นมองดูเขาอย่างไม่ใส่ใจด้วยสายตาเสียดสี เอ่ยว่า “บนโลกนี้ไม่มีเรื่องเลวเรื่องใดที่มิใช่เรื่องยุ่งยาก”


 


 


“ข้าช่วยเจ้ากระทำเรื่องยุ่งยากได้นะ” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม เอ่ยสืบต่อว่า “เจ้าไปเรียกหัวหน้าองครักษ์แห่งหกแคว้นแปดชนเผ่ารวมถึงเฟยหลัวมา จากนั้นข้าจะประกาศต่อหน้าทุกผู้คนว่าราชินีองค์ใหม่ไม่เคารพกฎวังหลวง ขืนใจยั่วยวนราชครูฝ่ายซ้าย ล่วงละเมิดกฎแห่งวังอันศักดิ์สิทธิ์ ให้นางปลิดชีพตนเอง แน่นอนว่า แม้นางมิกล้าปลิดชีพตนเองข้าก็จะทำให้นางปลิดชีพตนเองอย่างว่าง่าย เช่นนี้ จัดการราชินีได้สบายๆ เจ้ามิจำต้องแบกรับภาระใด ส่วนข้าเองจะปลีกตัวออกไปได้อย่างราบรื่น อย่างไรเสีย เจ้าคงมิอาจสังหารข้าต่อหน้าหกแคว้นแปดชนเผ่าได้ เจ้าว่าเช่นนี้ ข้าปลอดภัยแล้ว เจ้าเองสมปรารถนา นี่มิใช่ดีต่อทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ?”


 


 


“ฉีเหยี่ยหลีว์ข้าสังหารล้างตระกูลเจ้าข่มขืนน้องเขยเจ้าหรือ เจ้าถึงจำต้องทำร้ายพี่อย่างเ**้ยมโหดเช่นนี้?” จิ่งเหิงปัวกรีดร้องตาขวาง ถ้าไม่ใช่เพราะทั่วร่างขยับเขยื้อนไม่ได้ นางจะต้องพุ่งเข้าไปจู่โจมท่อนล่างสามส่วนก่อนแล้วค่อยทักทายใบหน้าต้องอัดเขาจนดอกท้อผลิบานทีละดอกละดอกทั่วร่างแน่นอน


 


 


เหยียลี่ว์ฉีหลบหลีกการถุยน้ำลายของนางคล้ายหลบแมลงวัน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เฮ้อ สมญานี้ที่พระองค์ทรงตั้งให้กระหม่อมไม่ชื่นชอบ”


 


 


“ไปตาย ไปตายซะ…”


 


 


“ดี”


 


 


คำตอบเย็นยะเยือกและแน่วแน่เสียงหนึ่งขัดจังหวะเสียงคำรามโกรธแค้นของจิ่งเหิงปัวทั้งอย่างนั้น นางชะงักงันแทบไม่เชื่อหูของตนเอง ค่อยๆ หันหน้ามา


 


 


บนผิวน้ำกงอิ้นถอยหลังแช่มช้าเสียแล้ว


 


 


เขาสูงส่งเย็นชาเด็ดเดี่ยวเช่นนั้นตลอดมา พอตัดสินใจแล้วทั้งไม่อธิบายและไม่ลังเล ในขณะถอยหลังนิ้วมือยกขึ้นเพียงครั้ง ดอกไม้ไฟสายหนึ่งสว่างขึ้นมา เสียงผู้คนโกลาหลทั่วทุกสารทิศมาชุมนุมโดยพลัน


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย หัวใจเกร็งแน่นเสียจนคล้ายกำลังเป็นตะคริว ลมหายใจคล้ายแผ่วบางลงเช่นกัน ประดุจมีดเล่มหนึ่งแทงลงตรงหน้าอกอย่างสุดกลั้น


 


 


ผิดแล้ว


 


 


อะไรก็ผิดไปหมดแล้ว


 


 


เมื่อครู่นางยังคิดว่ากงอิ้นต้องเล่นละครตบตาเหยียลี่ว์ฉีแน่นอน เสแสร้งรับปากเขา คงไม่ได้เชื่อวาจาเหลวไหลของเหยียลี่ว์ฉีแน่นอน กำลังใช้แผนช่วยเหลือนางแน่นอน


 


 


เสียดายว่ากงอิ้นเ**้ยมโหดเช่นนี้ ไม่ให้โอกาสนางได้ปลอบโยนตนเองแม้แต่น้อย ใช้การกระทำทำลายความหวังของนางอย่างรวดเร็วเช่นนี้


 


 


เดิมทีต่อให้เขายอมรับเงื่อนไขของเหยียลี่ว์ฉี ขอเพียงยังมีเขาคนเดียว จิ่งเหิงปัวจะยืนหยัดเชื่อต่อไปว่าเขากำลังหลอกเหยียลี่ว์ฉี ทว่าเขากลับป่าวประกาศออกมา


 


 


นี่ทำให้นางหมดหวัง


 


 


ข้อบังคับราชินีแห่งต้าฮวงเข้มงวดรุนแรงเพียงไหน ท่วงท่ายามนี้ของนางกับเหยียลี่ว์ฉีจะมองอย่างไรล้วนมองได้ว่านางอิงแอบแนบชิดเขา ให้คนเหล่านั้นมองเห็น นางไม่ถูกบังคับให้ปลิดชีพตนเองก็คงต้องถูกเขวี้ยงหินใส่จนสิ้นชีพ


 


 


นางไม่แน่ใจขึ้นมาทันทีว่า…กงอิ้น…เขาโกรธจริงๆ เหรอ?


 


 


เดิมทีคงสงสัยเรื่องที่นางกับเหยียลี่ว์ฉีอยู่ในกระโจมด้วยกัน ซ้ำยังมองเห็นนางหนีไปจริงๆ มองเห็นนางกับเหยียลี่ว์ฉี “มีไมตรี” ต่อกัน ได้ยินถ้อยคำทรยศหวังปลิดชีพเหล่านั้น ไม่ว่าใครก็คงโกรธแค้นผิดหวังมั้ง?


 


 


ในความมืดมิดริมฝีปากของเขาขาวซีดเช่นนี้ เม้มแน่นเป็นเส้นเดียว และคล้ายมีดเล่มหนึ่งสะบั้นกลางระหว่างนางกับเขาอย่างรุนแรง


 


 


ขวางกั้นเพียงชลธาร ทว่าไกลห่างปานมหาสมุทรและขุนแขา


 


 


“หากวันนี้เจ้าหนีไป วันหน้าเจ้าคือศัตรูของข้า”


 


 


เหอะๆ


 


 


มหาเทพย่อมเป็นมหาเทพ ตัดสินใจเด็ดขาดพอ มีเพียงนางล่ะมั้งที่คิดว่าล้อเล่น?


 


 


การมาถึงของฝูงชนเร็วยิ่งกว่าที่นางคาดไว้ ทุกเฟินหนึ่งซึ่งแสงคบเพลิงสั่นไหวประชิดใกล้มา นางก็เข้าใกล้ความตายมาอีกก้าวหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวหายใจลำบาก เบื้องหน้าเริ่มมืดมน ดวงใจคล้ายม้าแกร่งหลุดบังเ**ยนพุ่งชนสี่ทิศกระวนกระวายไม่หยุดหย่อน รสชาติการรอคอยความตายทุกข์ทรมานเช่นนี้จนทำให้นางหลงลืมจะเกลียดบุรุษไร้ความปรานีทั้งสองคนไปชั่วขณะ


 


 


ตอนนี้นางเปลี่ยนความคิดแล้ว!


 


 


นางไม่หนีอีกแล้ว! นางจะเป็นราชินี!


 


 


แต่จะไม่เป็นราชินีหุ่นเชิดที่ถูกผู้คนตรึงเอาไว้ ถูกกฎเกณฑ์นับมิถ้วนผูกมัด ถูกใครหน้าไหนก็ได้มาตัดสินชะตาชีวิตความเป็นความตายตามใจชอบอีกแล้วเด็ดขาด!


 


 


นางจะเป็นราชินีที่แท้จริง สองมือกุมมหาอำนาจ ตัดสินความเป็นความตายของตนเองรวมทั้งผู้อื่น ไม่ยอมถูกควบคุมไว้เพื่อใครไปตลอดกาล!


 


 


นางจะครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคง มีพลังที่แท้จริง จากนั้นโค่นล้ม ล้มล้าง เหยียบย่ำกฎเกณฑ์ข้อบังคับบ้าบอเหล่านั้นใต้ฝ่าเท้าจนสิ้นแล้วตบลงไปบนใบหน้าของผู้พิทักษ์นักพรตจอมเผด็จการที่มีเจตนาแอบแฝงเหล่านั้นแรงๆ สักแปดเก้าสิบที!


 


 


ตอนนี้ นางต้องมีชีวิตรอดก่อน!


 


 


 


 


 


 


[1] หนึ่งในชุดแต่งกายเพศชายประจำชนชาติฮั่น มีลักษณะเป็นเสื้อผ่าหน้าทรงหลวม แขนกว้าง มีสายคาดเอว



 

 

 


ตอนที่ 48 – 4 เสียดาย

 

ห่างไปไม่ไกลความมืดมิดถูกสาดส่องด้วยแสงสว่าง เกือบจะมองเห็นศีรษะของคนแรกแล้ว


 


 


เพียงแค่คนผู้เดียวมองเห็น เรื่องราวย่อมไม่อาจกอบกู้คืนมา…


 


 


สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีถูกแสงสลัวของคบเพลิงสาดสะท้อนจนแปลกประหลาดดุจผิดหวังดั่งตื่นตะลึง กระซิบกระซาบแผ่วเบาโดยพลันว่า “คำนวณพลาด เขาตัดใจได้จริงแท้ ดูท่าข้าคงต้อง…” เรือนร่างขยับเขยื้อนเพียงครั้งเตรียมจะลุกขึ้น


 


 


วาจาของเขาไม่มีผู้ใดสังเกตถึง ด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวกำลังสูดหายใจ ทว่ายามนี้นี่เอง กงอิ้นยกมือขึ้นโดยพลัน


 


 


ก่อนที่ผู้ที่เร็วที่สุดคนหนึ่งกำลังจะเข้าสู่ทัศนวิสัย สองนิ้วของเขาชิดกันยิงเปลวไฟสีครามกลุ่มหนึ่งออกไปโดยพลัน


 


 


พอเปลวไฟพุ่งออกไป เสียงดังยิ่งใหญ่เกรียงไกรทั่วป่าสี่ทิศและฝูงชนที่มาต่อเนื่องไม่ขาดสายหยุดชะงัก


 


 


สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีเปลี่ยนไปอย่างมาก จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง สายตาสุกสกาวดุจดวงดารา


 


 


“คำสั่งห้ามปรามจำกัด! ฮ่าๆๆ ข้ายังมิได้ทายผิด ที่แท้เจ้า…”


 


 


วาจาของเขายังมิทันสิ้น จิ่งเหิงปัวกรีดร้องเสียงหนึ่งกะทันหัน กลบกลืนเสียงของเขา


 


 


“ฟ่อ…”


 


 


ยากจะจินตนาการได้อย่างยิ่งว่าคนผู้หนึ่งเปล่งเสียงฟ่อจะดังกังวานเช่นนี้ ในเสียงฟ่อหมาโง่ที่ทั่วร่างสั่นสะท้านอยู่ด้านหนึ่งตลอดเวลาบินเข้ามาตรงแน่วโดยพลันดุจถูกด้ายจูงไว้ ซ้ำดั่งถูกมนุษย์ล่องหนกระชาก ปีกสองข้างกางแข็งทื่อกลางอากาศ ตาสองข้างเบิกกลมโต ทั่วร่างสั่นสะท้านปานไข้จับสั่นระลอกหนึ่ง


 


 


“เร็วเข้า!” จิ่งเหิงปัวตะโกนร้องอย่างร้อนรน “ฟ่อ!”


 


 


“พรวด” ขี้นกสีเหลืองอมเขียวกองหนึ่งพรวดออกมาตามเสียงฟ่อ ร่วงใส่ปากของเหยียลี่ว์ฉีที่เงยหน้าอ้าปากหัวเราะฮ่าๆ พอดิบพอดี!


 


 



 


 


เงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวกำลังสูดหายใจ เคลื่อนย้ายเจ้าหมาโง่สิ้นเปลืองกำลังวังชาของนางมากยิ่งกว่าแต่ก่อน


 


 


หมาโง่ทิ่มลงพื้นดังเพียะ


 


 


กงอิ้นที่เฉียดผ่านมาปานอสนีบาตเกือบจะล้มลงไปในแม่น้ำ


 


 


มีเพียงคบเพลิงที่สั่นไหวด้วยสายลมห่างออกไป ยิ่งขับความแข็งทื่อของชั่วขณะนี้ให้เด่นชัด


 


 


อ้อ ยังมีตัวหนึ่งที่ยังมีสติ เฟยเฟยฉวยโอกาสความวุ่นวายชั่วขณะนี้คลานขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ปรากฏกายที่ข้างซ้ายของเหยียลี่ว์ฉี ปากน้อยแอ่งโลหิตอ้าเพียงครั้งผุดเผยฟันขาวเงาวับสองแถวออกมา กัดดัง “กร๊อบ!”


 


 


“อ๊าก!” เหยียลี่ว์ฉีเปล่งเสียงตะโกนในที่สุด กระโจนขึ้นมาหนึ่งครั้งดังสวบ เรือนร่างสะบัดเพียงครั้งสะบัดเฟยเฟยออกไป มืออีกข้างหนึ่งยังไม่ลืมที่จะคว้าจิ่งเหิงปัวที่คิดจะฉวยโอกาสหลบหนีไว้


 


 


เงาคนกะพริบวูบ กงอิ้นปรากฏกายตรงฝั่งตรงข้ามเขาเสียแล้ว สกัดกั้นเส้นทางหนีของเขาไว้


 


 


เฟยเฟยร่วงพื้นกลิ้งเกลือกลุกขึ้นมาทันที ปีนป่ายขึ้นไปบนเส้นผมของเหยียลี่ว์ฉี คว้าจอนผมของเขาไว้ เรือนร่างห้อยลงมาดังสวบเพียงครั้ง ตระเตรียมส่งสายตาจ้องมองกันอย่างสนิทสนมให้เขา


 


 


ทว่ามันจ้องมองกันไม่สำเร็จ


 


 


ร่างของเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่กลางอากาศหิ้วจิ่งเหิงปัวขึ้นมาโดยพลัน ก้มหน้าเพียงครั้งอุดริมฝีปากของนางไว้แนบแน่น!


 


 



 


 


เฟยเฟยถูกหน้าผากเหยียลี่ว์ฉีชนกระเด็นลอยไป


 


 


สีหน้าของกงอิ้นที่รอคอยลงมือเปลี่ยนไป


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง


 


 


แทบจะคิดไม่ถึงเลยว่าในช่วงวิกฤตกาลขณะนี้เหยียลี่ว์ฉีจะทำเช่นนี้


 


 


แต่นางได้รู้ทันทีเลยว่าทำไมเหยียลี่ว์ฉีถึงทำแบบนี้!


 


 


ริมฝีปากและลิ้นของอีกฝ่ายขยับเพียงครั้ง จากนั้นสิ่งอ่อนนุ่มเละเทะเหม็นหึ่งไร้เทียบเทียมกองหนึ่ง ป้อนเข้ามาในปากของนางกะทันหัน!


 


 


คำสองคำแฉลบผ่านสมองของนางดุจแสงอสนีแสงเพลิง


 


 


ขี้! นก!


 


 


“แหวะ!” จิ่งเหิงปัวอาเจียนออกมาอย่างบ้าคลั่งกลางอากาศ แต่ด้านหนึ่งกำลังอาเจียน อีกด้านหนึ่งล้วงกริชเล่มหนึ่งออกมาจากข้างขาอ่อน นิ้วมือหมุนวนครั้งหนึ่งแล้วพุ่งออกไปอย่างปราดเปรียวยิ่งนัก!


 


 


โลหิตและสิ่งสกปรกร่วมกระเซ็น! สีแดงสีเหลืองสลับผ่านกัน


 


 


แทบจะในทันที เหยียลี่ว์ฉีปล่อยมือเพียงครั้ง สะบัดจิ่งเหิงปัวที่อาเจียนไม่หยุดหย่อนย้อนศรไปในครั้งเดียว


 


 


เงาคนกะพริบวูบ กงอิ้นไปรับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


 


“พลั่ก” จิ่งเหิงปัวที่ร่วงลงสู่อ้อมแขนของเขาพ่นสิ่งอาเจียนทั่วร่างเขาในพริบตา สีเหลืองอมเขียว กลิ่นเหม็นคาวเตะจมูก ทว่ากงอิ้นมิได้แม้แต่ขมวดหัวคิ้ว เพียงแต่กอดนางไว้อย่างแนบแน่นไม่ยอมปล่อยแล้วค่อยๆ วางนางลงบนพื้น ประคองไว้ในอ้อมศอก ร่างกายท่อนบนโน้มลงมาให้นางอาเจียนได้สะดวกขึ้น จะได้ไม่ถูกสิ่งอาเจียนที่พ่นพุ่งออกมาติดขัดในลำคอ


 


 


เขาตบสันหลังของนางอย่างแผ่วเบา โอบร่างกายที่ลื่นไปข้างล่างอย่างต่อเนื่องของนางไว้


 


 


จิ่งเหิงปัวอาเจียนจนน้ำตาพร่ามัว ในท้องดั่งพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ทั่วร่างเป็นตะคริว ยังไม่ทันได้มองว่าผู้ที่ประคองตนเองอยู่คือใคร รู้สึกเพียงว่าแขนที่พิงอยู่แข็งแรงอบอุ่น ตรึงตนเองที่อ่อนแอไร้กำลังไถลไปด้านล่างไว้อย่างมั่นคง แสงหรี่ในหางตามองเห็นชายผ้าสีขาวราวหิมะที่ถูกของเหลวสีเหลืองปนเขียวเปรอะเปื้อนชุ่มโชก สิ่งอาเจียนปกคลุมเป็นชั้นๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ทว่าชายผ้านั้นห้อยสยายเงียบเชียบแต่ต้นจนจบ ไม่เคยได้หลีกถอยเลยแม้สักน้อยนิด


 


 


นี่ใช่กงอิ้นเหรอ…ไม่ใช่มั้ง…เขาเอ่ยอย่างเย็นชาขนาดนั้น…คงทะลุมิติอีกแล้วแน่นอน…


 


 


ความรู้สึกนึกคิดในสมองรางเลือนพร่ามัวกะพริบวูบผ่านไป แล้วถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกขยะแขยงระลอกใหม่อีกครั้ง นางไม่รู้ว่าขี้นกก้อนหนึ่งซึ่งเป็นเวรกรรมตามสนองนี้จะนำพาการตอบสนองรุนแรงขนาดนี้ได้อย่างไร หรือในร่างกายนางเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้วตั้งแต่นางเคลื่อนย้ายหมาโง่เมื่อครู่


 


 


“ปวดหัวจัง…” จิ่งเหิงปัวอาเจียนพวยพุ่งอย่างรุนแรงไประลอกหนึ่ง เปล่งเสียงแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงเสียงหนึ่งออกมากะทันหัน จากนั้นเรือนร่างโน้มไปครั้งหนึ่ง สลบไปเสียแล้ว


 


 


กงอิ้นรับนางไว้ได้ทันเวลา


 


 


ท่าทางของเขาในยามนี้ก็มิได้ดีไปกว่าจิ่งเหิงปัวที่ทั่วร่างเละเทะเพียงใด สีเหลืองอมเขียวทั่วร่าง ชุดสีขาวกลายเป็นชุดลายพร้อย


 


 


คบเพลิงห่างออกไปยังคงสั่นไหว ฝูงชนยังคงไม่ขยับเขยื้อน…คำสั่งทุกข้อของราชครูฝ่ายขวาคือคำสั่งเหล็ก โดยเฉพาะคำสั่งห้ามปรามคำสั่งหนึ่งที่ประกาศออกมาในคราหลังนั้น ยามคำสั่งห้ามปรามประกาศออกมา ห้ามทุกผู้คนขยับเขยื้อน!


 


 


ทว่าคำสั่งห้ามปรามคือคำสั่งสำคัญ หากมิใช่เรื่องใหญ่มิอาจใช้คำสั่งนี้ ปกติแล้วคำสั่งนี้คือคำสั่งที่ราชครูผู้กุมมหาอำนาจทั้งมวลใช้ยามโยกย้ายหรือควบคุมกองทัพ คืนนี้ได้พบคำสั่งห้ามปรามโดยพลัน ซ้ำยังมิเข้าใจว่าเบื้องหน้าเกิดเรื่องใดกันแน่ ผู้คนทั้งมวลที่ยืนแข็งทื่ออยู่ตำแหน่งเดิม มิหาญข้ามบ่อน้ำเหลยเพียงก้าวเดียว[1] ล้วนจ้องมองอย่างงงงวย รู้สึกร้อนอกร้อนใจ


 


 


แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวางฝีเท้าหลบหนีของเหยียลี่ว์ฉีไว้ได้ ทว่ากงอิ้นคล้ายหลงลืมศัตรูตัวฉกาจผู้นี้ไปเสียแล้ว


 


 


เงาคนกะพริบวูบ คนผู้หนึ่งปรากฏกายที่ข้างกายกงอิ้น เหมิงหู่นั่นเอง นับเป็นผู้ไว้ใจใกล้ชิดของกงอิ้นที่ยังขยับเขยื้อนได้เพียงผู้เดียวภายใต้คำสั่งห้ามปราม


 


 


“ส่งราชินีกลับที่ตั้งค่าย” กงอิ้นนำจิ่งเหิงปัวมอบให้เขา แล้วกำชับว่า “ส่งหมอหลวงดูแลนางให้ดี ข้าจะตามรอยเหยียลี่ว์ฉีไปอีกสักระยะ ดูว่าเขาจะมีแผนการใด”


 


 


“ขอรับ” เหมิงหู่รับจิ่งเหิงปัวมา ทว่ามิได้จากไปในฉับพลัน สีหน้าลังเล


 


 


กงอิ้นหันหน้าจ้องมองเขาอย่างเงียบเชียบ


 


 


“นายท่าน” เหมิงหู่ถูกนัยน์ตาสุกสว่างห่างไกลของเขาจ้องมองเสียจนในใจเหน็บหนาว แม้กัดฟันกรอดๆ ยังคงเอ่ยว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่า วันนี้ท่านใจร้อนไปอีกแล้วขอรับ…”


 


 


กงอิ้นเงียบงัน หันหน้ามองเทือกเขาสีดำโค้งเว้าที่ไกลออกไป


 


 


“เอ่ยจนสุดท้ายแล้ว วันนี้คือการหยั่งเชิงกันและกันของท่านกับเหยียลี่ว์ เขาอยากรู้ว่าราชินีอยู่ตำแหน่งใดในใจของท่านกันแน่ ยามนี้ เขารู้แล้วขอรับ” เหมิงหู่ถอนใจเสียงหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “หากข้าน้อยมิได้คาดการณ์ผิด เหยียลี่ว์ฉีคงมิได้จะทำให้ราชินีตกอยู่ในอันตรายโดยแท้จริง หากท่านยืนหยัดไว้ไม่ประกาศคำสั่งห้ามปราม เขาคงต้องจับกุมราชินีจากไปเป็นแน่แท้ขอรับ”


 


 


กงอิ้นยังคงมิได้หันหน้ากลับมา เงาแผ่นหลังตรงแน่วของเขาคือภูผาสูงตระหง่านที่รับน้ำหนักสายลมยาวนานเรือนพันปีหมื่นปี


 


 


เหมิงหู่มิเอ่ยวาจาแล้ว


 


 


เขารู้ กงอิ้นย่อมต้องรู้เช่นกัน รู้แล้วยังคงทำเช่นนี้ ด้วยเพราะเหตุใด? เขามิกล้าคิด แลมิลองคิด


 


 


เขาเพียงแต่กุมมือถอนใจ ถอนใจแด่เจ้านายผู้ไร้จุดอ่อนให้โจมตีของตนเอง ในที่สุดถูกฝ่ายศัตรูจับจุดอ่อนหนึ่งจุดเอาไว้ได้นับแต่บัดนี้


 


 


สงครามผู้ครองบัลลังก์โหดเ**้ยมดุเดือดเช่นนี้ หากไม่ระวังแม้เพียงน้อยย่อมถูกผู้อื่นที่รู้ตื้นลึกหนาบางเสียบมีดโจมตีโดยพลัน ตลอดกาลที่ผ่านมา เจ้านายของตนเองสามารถสยบทั่วหล้ากุมมหาอำนาจเพียงผู้เดียว ด้วยเพราะความแข็งแกร่งดุจศิลาหยกและจิตใจใสบริสุทธิ์ดั่งผลึกธารของเขาสอดประสานแข็งแกร่ง ทำให้ตัวเขาไร้จุดอ่อนให้โจมตี


 


 


จิตใจเช่นนี้กำเนิดจากประสบการณ์ของเขา และกำเนิดจากวรยุทธ์พิเศษที่เขาเลือกใช้ และด้วยเพราะเหตุนี้ เส้นทางนิสัยของมนุษย์และความรักสำหรับเขายิ่งถูกจำกัดมากเสียยิ่งกว่าคนธรรมดา


 


 


แต่ก่อนไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใด บุรุษช่วงชิงอำนาจการปกครองแคว้น ดวงหทัยอยู่ที่แว่นแคว้น เรื่องอื่นล้วนมิได้สลักสำคัญ


 


 


ทว่าหากมีสิ่งเหนี่ยวรั้งแล้วจริง มีความใส่ใจแล้วจริง เช่นนั้นย่อมประหนึ่งศิลาหยกเกิดรอยร้าว ผลึกธารเปรอะธุลี ทั่วร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าทุกแห่งหนล้วนปกคลุมด้วยความพ่ายแพ้แลความตาย ด้วยเพราะมีช่องโหว่และจุดอ่อนนับมิถ้วนเพิ่มขึ้นมา


 


 


เหมิงหู่มองดูจิ่งเหิงปัวผู้หายใจแผ่วเบา แล้วมองดูกงอิ้นผู้ยืนตั้งตระหง่านดุจหยกสลักอยู่ในความมืดมิด เหน็บหนาวสั่นสะท้านโดยพลัน


 


 


ต้าฮวงมิวุ่นวาย บึงโคลนเจิ่งนอง การพบพานเพียงครั้ง เป็นเคราะห์กรรมหรือบุญวาสนา?


 


 


เขารู้สึกเพียงว่าดวงใจหนักหน่วงโดยพลัน ทุกชุ่นทุกเฟินล้วนแน่นหนักเปี่ยมด้วยความกังวล ทว่ามิกล้าเอ่ยสิ่งใดอีก ประคองจิ่งเหิงปัวค่อยๆ ถอยออกไป


 


 


กงอิ้นมิได้หันหน้ากลับมาตั้งแต่ต้นจนจบ


 


 


เบื้องหน้าคือป่าเขาลำเนาไพรไร้ขอบเขตค่อยๆ ผุดเผยความสูงตระหง่านในแสงสลัวยามรุ่งอรุณ ข้ามผ่านเส้นทางโบราณผืนนี้คือต้าฮวงกว้างใหญ่ไพศาลที่ลึกลับซับซ้อน เส้นทางของเขาและนางยังมิได้ไปถึงโดยสมบูรณ์ เส้นทางสายหนึ่งนี้ได้สูญเสียและยุ่งเหยิงมากเกินไปแล้ว


 


 


ชุดคลุมที่สกปรกแล้วยังซักให้สะอาดได้ สิ่งที่ไร้ประโยชน์ยังสูญหายไปได้ อารมณ์อัศจรรย์ยากหยั่งถึงบางส่วนจะจัดการใหม่อีกคราได้เยี่ยงใด?


 


 


สายลมภูผาคำราม พืชพรรณโค้งเว้า เสียงใบไม้ขยับเขยื้อนดังสวบสาบ คล้ายเสียงของนางแฉลบผ่านดวงใจหลายรอบ


 


 


“…เขาจับข้า มัดข้า รังแกข้า เย็นชาใส่ข้า ใช้ความแค้นตอบแทนบุญคุณกระทำผิดต่อข้า ยังหวังจะช่วงชิงตำแหน่งราชินีของข้า ข้าตาบอดเป็นบ้าถึงจะเสียดายเขา!”


 


 


“เหยียลี่ว์ฉี พอข้าได้พบเจ้า…ก็ถูกความงามของเจ้าทำให้ตะลึงพรึงเพริดแล้ว…”


 


 


“กงอิ้น ข้าประหลาดใจยิ่งนักว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่สังหารนาง เสียดายหรือ?”


 


 



 


 


เขายิ้มขมขื่นเจือจางขึ้นมา คนผู้หนึ่งเผชิญสายลมโปร่งใสในแสงอรุณรุ่งฟ้าสาง


 


 


ไร้ผู้ใดมองเห็นความอ่อนเพลียเล็กน้อยและความเย็นชาเจือจางในรอยยิ้มของเขา


 


 


เหยียลี่ว์ฉี เจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว


 


 


แท้จริงแล้วข้า…


 


 


เสียดายนาง


 


 


 


 


[1] เปรียบเทียบว่าไม่กล้าข้ามขอบเขตใดขอบเขตหนึ่ง


ตอนที่ 49 - 1 ความในใจ

 

เมื่อจิ่งเหิงปัวฟื้นขึ้นมารู้สึกว่าปวดศีรษะปวดท้องปวดกระดูกปวดทั่วร่าง เจ็บปวดทุกหนแห่งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า


 


 


เหมือนจะเป็นไข้อีกแล้ว


 


 


ใต้ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อยคล้ายขึ้นรถม้ามาอีกครั้ง นางก็คร้านจะลืมตา เอนกายอยู่ตรงนั้นถอยหลังตั้งหลักอารมณ์ในศีรษะที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ยิ่งครุ่นคิดใจยิ่งเหน็บหนาว ยิ่งครุ่นคิดยิ่งคร้านจะลืมตา


 


 


คบเพลิงในความมืดมิด…ฝูงชนที่ประชิดเข้ามาต่อเนื่อง…เหยียลี่ว์ฉีที่ไม่ได้มีเจตนาดี…กงอิ้นผู้เย็นชาดุจน้ำแข็ง…วิกฤตกาลความเป็นความตายที่ถูกบังคับผลักดันให้เข้าไป…


 


 


อ้อ โลกใบนี้แข็งแกร่งเช่นนี้เอง กระแทกเสียจนหน้าผากของนางเจ็บปวดเหลือเกิน


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจเฮือกยาวในใจ รู้สึกเพียงว่าเจ็บปวดจนหมดอาลัยตายอยากขึ้นมา แม้แต่ปณิธานที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะตบปากของกงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีสักฉาด ยังคร้านจะครุ่นคิดดำเนินแผนการไปชั่วขณะหนึ่ง


 


 


ข้างกายมีเสียงกระทบคลื่นน้ำและเสียงบิดพับผ้าเช็ดหน้าแผ่วเบา ในใจนางสั่นสะท้าน อยากลืมตามองดูว่าใครกำลังดูแลนาง ครุ่นคิดไปชั่วครู่ มุมปากบิดไปมาอดกลั้นเอาไว้


 


 


ไม่มองหรอก! ไม่มองหรอก!


 


 


พับผ้าเช็ดหน้าเย็นเฉียบวางลงบนหน้าผากร้อนผ่าวของนาง เสียงลมหายใจของคนข้างกายแผ่วเบา นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายหันกายไปจึงหรี่ตาแอบมองครั้งหนึ่ง กลับเห็นเงาด้านหลังที่ซูบผอมอ่อนแอของจิ้งอวิ๋น


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่รู้ว่าตนเองผิดหวังหรือว่าไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก้นบึ้งของหัวใจหัวเราะเหอะๆ ครั้งหนึ่ง


 


 


คิดอะไรน่ะ เป็นโรคประสาทเหรอ


 


 


ยังหอบความหวังอะไรอีก


 


 


บนโลกนี้มีใครเป็นห่วงใครจริงๆ ที่ไหนกัน


 


 


ถ้าตนเองไม่กินขี้นกช่วยเหลือตนเอง ตอนนี้แปดในสิบคงจะลงไปยมบาลพบพานปรีดากับราชินีองค์ก่อนแล้ว ผ่านเรื่องใหญ่ความเป็นความตายเห็นธาตุแท้ยังมาคิดว่าอะไรมีอะไรไม่มี จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองยังจะดูถูกตนเอง


 


 


ก็แบบเน้แหละ ผู้ชายน่ะ โดยเฉพาะผู้ชายที่อยู่บนบัลลังก์การเมืองน่ะเป็นอย่างนั้นแหละ รักโฉมสะคราญละทิ้งแผ่นดินนั่นมันนิยายน้ำเน่า คนที่ฉลาดหน่อยก็ควรจะคิดว่าจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร อย่างน้อยที่สุดไม่ให้ถูกผู้อื่นอยากจะขัดขวางก็ขัดขวาง อยากจะข่มขู่ก็ข่มขู่ อยากจะกล่าวว่าเจ้าไม่รักษาคุณธรรมของสตรี เจ้าก็ต้องผูกคอตายในทันทีได้


 


 


จิ่งเหิงปัวจมดิ่งไปสักพักหนึ่งจึงปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิม เริ่มครุ่นคิดเส้นทางชีวิตในภายภาคหน้า


 


 


ภายนอกนางปล่อยตัวตามใจไม่สนใจเรื่องไหนทั้งนั้น แต่ถ้าถูกกระตุ้นถึงระดับหนึ่งขึ้นมาจริงๆ ก็จะแสดงนิสัยดีงามชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า “เป็นตายไม่ยอมเลิกรา” ออกมา ราชินีเป็นยาก งั้นก็ไม่เป็น แต่ถ้าผู้อื่นบังคับไม่ให้เป็นหรือนำตำแหน่งราชินีมาควบคุมนาง นางก็จะทำอะไรโง่ๆ …ไม่ว่าอย่างไรต้องเป็นให้ได้


 


 


นางเอนกายอยู่ตรงนั้น ครุ่นคิดว่าจะใช้ทักษะเดียวตะลึงโลกหล้าในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จได้อย่างไร ร่ายรำเหรอ ระบำรูดเสายังไม่ทันได้ร่ายรำจบนางก็คงถูกเสาเหล็กตีจนตายมั้ง ร้องเพลงเหรอ ถ้าเพลงตกอกตกใจ[1]ทำให้ชาวต้าฮวงชื่นชอบได้นางยอมแซ่ฮวงเสียดีกว่า ฮวงที่แปลว่าเหลวไหลน่ะ ความสามารถพิเศษเหรอ สามารถกินอาหารไปด้วยทำโยคะไปด้วยนับเป็นความสามารถพิเศษหรือเปล่า บทกลอนละครร้องเหรอ ตอนเด็กถูกบังคับให้เรียนจนเต็มท้อง ลืมไปแล้วครึ่งท้อง ตอนนี้ที่เหลือล้วนเป็น “ฉบับคลาสสิก” ที่ใช้สอนเจ้าหมาโง่ จะทำให้ผู้คนไม่ตะลึงในวาจาแม้ตายไม่ยอมเลิกราได้ไหมนางไม่รู้ แต่ว่าเปล่งวาจาตะลึงผู้คนจนสิ้นชีพต้องมีแน่นอน


 


 


สำหรับความสามารถยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเทียบพสุธา สง่าราศีจัดการสรรพสัตว์อะไรอย่างอื่น นางมองดูตนเองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหัวเราะเหอะๆ


 


 


มีสองขากางหุบได้เต็มที่ มีหน้าอกโตยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเทียบพสุธาได้ไหมนะ


 


 


จิ่งเหิงปัวเริ่มถอนใจอย่างไม่บ่อยนัก นางกลัดกลุ้มจนต้องเริ่มปลอบใจตนเองอีกครั้ง สถานการณ์แบบนี้ ต่อให้จวินเคอไท่สื่อหลันหรือเหวินเจินมาก็ไม่มีวิธีดีๆ เหมือนกันแหละ หรือว่าจวินเคอสามารถบอกคนอื่นว่าในกระเพาะอาหารมีเนื้องอกกี่ก้อนเหรอ ไท่สื่อหลันสามารถใช้ใบหน้าโลงศพตนเองทำให้ผู้อื่นตกใจจนตัวสั่นเทิ้มเหรอ ฝีมือการปรุงอาหารของเหวินเจินค่อนข้างใช้ประโยชน์ได้จริงหรืออาจจะสามารถสยบได้หลายคน แต่ครั้งนี้ทดสอบราชินีไม่ใช่แม่ครัว


 


 


สายลมพัดพาผ้าม่านสะบัดออกเป็นเส้นตรง อากาศที่พัดเข้ามาคล้ายแตกต่างจากปกติอยู่บ้าง เจือด้วยกลิ่นฝาดและกลิ่นเปรี้ยว ว่ากันว่านี่คือกลิ่นอายของบึงโคลนที่ห่างออกไป บึงโคลนที่ครอบคลุมอาณาเขตสามสิบเปอร์เซ็นต์ของต้าฮวงคือผืนดินสีดำดูท่าทางอุดมสมบูรณ์แต่แท้จริงแล้วไร้ประโยชน์ผืนหนึ่ง ทับถมด้วยสายตาเฝ้ารอคอยของผู้คนนับมิถ้วน เปล่าเปลี่ยวขึ้นทุกวี่วัน


 


 


นางคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของต้าฮวงที่ได้ยินองครักษ์เอ่ยขึ้นมาระหว่างทางก่อนหน้านี้ในทันที ผืนดินน้อย บึงโคลนมาก สินค้าไม่อุดมสมบูรณ์เพียงพอ ส่วนมากต้องพึ่งทางเข้าลับ อัญมณีทองคำด้อยค่า อาหารแพงลิ่ว ประชาราษฎร์ยากจนข้นแค้น ชนเผ่าสามารถหลั่งเลือดเจิ่งนองเพื่อผืนดินผืนน้อยผืนหนึ่ง…


 


 


บึงโคลน…บึงโคลนที่เกี่ยวพันกับเลือดเนื้อและชีวิตของราษฎรต้าฮวง…สำเร็จก็เพราะบึงโคลนล้มเหลวก็เพราะบึงโคลน…


 


 


ทั่วร่างนางสะท้านขึ้นมากะทันหัน ในสมองคล้ายมีแสงสว่างสายหนึ่งพาดผ่าน!


 


 


ที่จริงแล้ว นางยังมีสิ่งของสำคัญเหมือนกัน!


 


 


“กระเป๋า…กระเป๋า…” นางตะโกนอย่างมีแรงทว่าไร้กำลังขึ้นมาทันที


 


 


จิ้งอวิ๋นได้ยินเสียง หันกายมาด้วยท่าทางทั้งตื่นตกใจและดีใจ เอ่ยว่า “เจ้าตื่นแล้ว อยากดื่มน้ำหรือไม่ ยามนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง”


 


 


“กระเป๋า…” จิ่งเหิงปัวส่ายศีรษะอย่างไม่ย่อท้อ


 


 


“ข้าจะไปเรียนท่านราชครู!” จิ้งอวิ๋นคล้ายตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก หันกายเตรียมจะลงจากรถม้า


 


 


“กระเป๋า!”


 


 


เสียงระเบิดของจักรวาลน้อยหยุดยั้งฝีก้าวของจิ้งอวิ๋นทั้งอย่างนั้น นางตื่นตกใจหันกายกลับมา มองเห็นจิ่งเหิงปัวที่มีสีหน้าซีดเผือดชี้ไปยังกระเป๋าที่มุมหนึ่งของรถม้าอย่างแน่วแน่


 


 


จิ้งอวิ๋นชะงักงันไปบ้าง นางไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ของจิ่งเหิงปัว รู้สึกคล้ายดั่งเบื้องหน้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


 


 


นางหันกายกลับมาอย่างมึนชาอยู่บ้าง ลากกระเป๋ามา จิ่งเหิงปัวเท้าศีรษะ นางดึงกุญแจรหัสล็อกกระเป๋าที่มีขนาดใหญ่ไม่ออก ทำได้เพียงบอกรหัสออกมาสั่งให้จิ้งอวิ๋นไขกุญแจ จิ้งอวิ๋นขยับเขยื้อนกุญแจรหัสเหล็กอย่างระมัดระวังอย่างยิ่งด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย ภายในสายตาเปี่ยมด้วยแสงแห่งความตื่นตะลึง


 


 


“ของสิ่งนี้คือสิ่งใด ละเอียดรัดกุมยิ่งนัก ช่างกุญแจผู้ยอดเยี่ยมที่สุดยังมิอาจประดิษฐ์แม่กุญแจเช่นนี้ได้กระมัง…”


 


 


“ข้าทำเอง” จิ่งเหิงปัวเอ่ยโพล่งออกไปว่า “เจ้าช่วยข้ารื้อกระเป๋าหน่อย ด้านล่างสุดคล้ายมีหนังสือเล่มหนึ่ง สารานุกรมอะไรนี่ล่ะ”


 


 


ตามสถานการณ์ปกติแล้วกระเป๋าของนางจะไม่ปรากฏสิ่งของส่วนเกินเช่นหนังสือแน่นอน…ใส่บรายังกลัวว่าพื้นที่ไม่พอเลย! แต่ด้วยเพราะพื้นกระเป๋าไม่เรียบ นางกลัวว่าจะทับกระโปรงและชุดชั้นในบอบบางของนางจนเสียหายจึงฉีกหนังสือเล่มหนึ่งมารองกระเป๋าให้เสมอกันโดยเฉพาะ ตอนฉีกหนังสือนางเคยเหลือบมองหน้าปกแวบหนึ่ง เหมือนจะเป็นหนังสือชื่อท่องทั่วโลกหล้าไม่กลัวเกรง…สารานุกรมทักษะการดำรงชีวิตที่ตอนนั้นจวินเคอซื้อมาทางอินเทอร์เน็ต จวินเคอซื้อมาเพื่อใช้เรียนรู้ทักษะดำรงชีวิตหาเลี้ยงชีพเผื่อหลบหนีออกจากสถาบันวิจัยในอนาคต คำโปรยของหนังสือคุยโม้ว่าขึ้นนภาดิ่งพสุธาไร้สิ่งที่ทำไม่ได้ มีหนังสือเล่มเดียวในมือเสมือนมีโลกหล้า พอซื้อมาแล้วจวินเคอพบว่าถูกหลอก ทักษะที่เขียนไว้หนังสือสามารถค้นหาได้ในอินเทอร์เน็ต ล้วนเป็นพวกความรู้ทั่วไปหลากหลายอาชีพเช่น การเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ เป็นต้น คงจะเป็นหนังสือที่นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายพิมพ์ออกมาหารายได้พิเศษ เลยโยนทิ้งไปไว้ทางหนึ่ง สุดท้ายจึงได้แบกรับภารกิจยิ่งใหญ่ในการรองกระเป๋าให้จิ่งเหิงปัว


 


 


พอหนังสือแบบนี้ทะลุมิติขึ้นมา การกำเนิดเทคโนโลยีล้ำสมัยที่บันทึกไว้ในนั้นย่อมมีราคาล้ำค่าเป็นธรรมดา แต่ว่าจิ่งเหิงปัวไม่กล้าเพ้อฝันไปมากมาย…นางจำได้ว่าตนเองฉีกหนังสือเสียจนย่อยยับ…


 


 


จิ้งอวิ๋นก้มหน้าก้มตารื้อกระเป๋าของนาง เปล่งเสียงร้องตะลึงสั่นสะท้านเป็นระยะ จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้สนใจ นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าในกระเป๋ามีอะไรบ้าง ตอนที่เก็บข้าวของนางแค่ฉวยมือยัดมั่วซั่ว จำได้เพียงว่าเสื้อผ้าชุดชั้นในเยอะที่สุด ชุดชั้นในชุดนอนงามประณีตพวกนั้น ผู้หญิงคนไหนได้เห็นล้วนต้องอุทานอย่างตื่นตะลึง


 


 


“ว้าย” มือของจิ้งอวิ๋นหยุดลงโดยพลัน เปล่งเสียงร้องตกใจหวาดผวาแผ่วเบาเสียงหนึ่ง


 


 


“อะไร” จิ่งเหิงปัวรอคอยจนร้อนรนแล้ว ชะโงกหน้าไปมอง กล่าวว่า “ยังหาไม่เจอหรือ”


 


 


“โอ้ไม่ ไม่ หาเจอแล้ว!” จิ้งอวิ๋นปิดฝากระเป๋าดังเพียะด้วยท่วงท่ารุนแรงเกินความคาดหมาย จากนั้นนางคว้าหนังสือน้อยครึ่งเล่มบางๆ หันกายมา เอ่ยว่า “ใช่เล่มนี้หรือไม่”


 


 


ในแสงรัศมีของรถม้ามืดสลัว ใบหน้าซีดเผือดตามปกติของนางแดงซ่านขึ้นมาโดยพลัน แม้แต่ใบหูยังแดงจนกลายเป็นหูหลัวปัว[2]โปร่งแสง จิ่งเหิงปัวมองเห็นรู้สึกประหลาดใจ หาหนังสือสักเล่มต้องขนาดนี้เลยเหรอ


 


 


“ข้านั่งยองนานเกินไป เลือดลมสูบฉีด…” ยามเผชิญกับสายตาของนาง จิ้งอวิ๋นอธิบายกระอ้อมกระแอ้ม


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่มีกะจิตกะใจจะไปคิดมากเช่นกัน คว้าหนังสือมาอย่างร้อนใจจนทนไม่ได้ นิ้วมือของนางสัมผัสโดนนิ้วมือของจิ้งอวิ๋นโดยไม่ตั้งใจ จิ้งอวิ๋นกลับรีบเร่งหดมือกลับไปปานถูกเพลิงลวก


 


 


จิ่งเหิงปัวมองนางแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าตั้งใจเปิดหนังสืออย่างรวดเร็ว ยิ่งเปิดสีหน้ายิ่งอัปลักษณ์ ยิ่งเปิดยิ่งรู้สึกร้อนอกร้อนใจ นิ้วมือหยุดลงกะทันหันแล้วเปิดกลับไปหลายหน้าอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดชั่วครู่ เปล่งเสียงร้องดีใจเสียงหนึ่งออกมา


 


 


“หาเจอแล้ว!”


 


 


“หาสิ่งใดเจอแล้ว” จิ้งอวิ๋นที่ถูกท่าทางเดี๋ยวตื่นเต้นเดี๋ยวตกใจของนางทำให้ตกอกตกใจไปรอบหนึ่งรีบเร่งเอ่ยถาม


 


 


“ฮิๆ ฮิๆ” จิ่งเหิงปัวอ่านอักษรหลายบรรทัดสั้นๆ นั้นหลายรอบอย่างตั้งใจแล้วปิดหนังสือลงทันที กอดจิ้งอวิ๋นไว้ในครั้งเดียวอย่างตื่นเต้นดีใจ พลางกล่าวว่า “หาวิธีครองบัลลังก์ราชินีให้มั่นคงเจอแล้วล่ะวะฮ่าๆ ฮ่าๆ วะฮ่าๆๆ ข้าจะไม่ต้องถูกกลั่นแกล้งอีกแล้วล่ะวะฮ่าๆ ฮ่าๆ ข้าจะปฏิรูปลุ่มน้ำต้าฮวงบ้าบอนี้ในไม่ช้าวะ…”


 


 


นางกำลังตื่นเต้นดีใจ ทว่าจิ้งอวิ๋นในอ้อมแขนกลับแข็งทื่อขึ้นมาโดยพลัน จากนั้นใช้แรงดิ้นรนอย่างไม่หือไม่อือ จิ่งเหิงปัวปล่อยนางไปในทันทีแล้วอ่านหนังสือน้อยผุพังเล่มนั้นโดยละเอียดหลายรอบอย่างตื่นเต้นดีใจ ในปากพึมพำอักษรอย่างต่อเนื่องว่า “สิ่งนี้อาจจะใช้ได้ ไอ้หยาสิ่งนี้ไม่ไหว เทคโนโลยีที่ไม่มีแน่นวล…อ๊ะๆๆ ยุคที่เครื่องจักรไอน้ำยังไม่มีพูดอะไรเรื่องปฏิวัติอุตสาหกรรม…”


 


 


ท้ายสุดแล้วก็แค่ผู้ป่วยไข้ ความตื่นเต้นดีใจระลอกหนึ่งไม่อาจหักล้างความอ่อนล้าของร่างกายได้ นางเปิดหนังสือไปมาสักพัก ถดถอยล้มลงไปด้านหลังพลางกล่าวว่า “ปวดหัวจัง เก็บไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยมาอ่านดีกว่า” ไม่ทันรอให้จิ้งอวิ๋นมาประคอง โยนหนังสือเข้าไปในกระเป๋าแล้วปิดฝากระเป๋ารูดซิป ครั้งนี้ไม่ได้ตั้งรหัสไว้อีก…แต่ก่อนตั้งรหัสไว้ด้วยเพราะนางขโมยขนมของน้องเค้กไปเยอะมาก ตอนนี้เจ้าทุกข์หายไปแล้ว ล็อกไม่ล็อกจำเป็นด้วยเหรอ


 


 


จิ้งอวิ๋นยืนอยู่ด้านหนึ่ง สายตาแฉลบผ่านกระเป๋า มองเห็นนางเหนื่อยล้าอ่อนแรงจะนอนหลับแล้ว ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วหันกายลงจากรถม้า


 


 


จิ่งเหิงปัวนอนหลับไม่ค่อยสงบเท่าไร ในฝันมักมีเพลิงสีแดงสดร้อนผ่าวกลุ่มหนึ่งแผ่ซ่านสั่นไหวบริเวณกาย แผดเผาจนนางร้อนรนเจ็บปวดกระดูก ในฝันห่างออกไปไม่ไกลมีภูผาหิมะลูกหนึ่งแลดูสูงตระหง่านเยือกเย็นอย่างยิ่ง ซ้ำยังเป็นภูผารูปร่างมนุษย์ นางวิ่งแล้ววิ่งอีก ภูผาหิมะถอยไปด้านหลังครั้งแล้วครั้งเล่า น่ารำคาญจัง…


 


 


ในความมืดมัวสลัวคล้ายมีคนนั่งอยู่ข้างกายนาง ตามด้วยเสียงน้ำดังเปาะแปะเปาะแปะ แล้วตามมาด้วยความรู้สึกว่าหน้าผากเย็นเฉียบ นางคิดอย่างสะลึมสะลือว่า อ้อ จิ้งอวิ๋นคงมาแล้ว นี่มันใกล้จะเที่ยงคืนแล้วมั้ง นางดูแลเต็มที่จังเลย…


 


 


“จิ้งอวิ๋น…จิ้งอวิ๋น…” นางพึมพำแผ่วเบาว่า “ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะปกป้องเจ้าเอง…”


 


 


มือที่เช็ดแทนนางคล้ายชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นคล้ายมีเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง หัวเราะความมั่นใจและความกล้าหาญที่แปลกประหลาดของนาง แลคล้ายกำลังหัวเราะความโง่เขลาของนาง


 


 


เสียงหัวเราะดุจสายลมพัดผ่านมิได้รั้งรออยู่ข้างหูของจิ่งเหิงปัว ความฝันของนางเปลี่ยนฉากแล้ว ตอนนี้คือคบเพลิงสั่นไหวและราชครูผู้เย็นชา คนกลุ่มหนึ่งแต่งแต้มใบหน้าลายพร้อย กระโดดโลดเต้นจะเผานางให้สิ้นชีพ


 


 


“ยัยผู้ชาย…น้องเค้ก…ตาทิพย์น้อย…พวกเธออยู่ที่ไหนกันนะ…” นางเริ่มตะโกนอีกครั้งว่า “ที่นี่เงินเยอะแยะ ผู้คนโง่เขลา พวกเธอรีบมาเร็วเข้า…”


 


 


มือที่เช็ดชะงักไปอีกครา เสียง “ฮึ” แผ่วเบาเสียงหนึ่งดังออกมาจากนาสิก


 


 


“…ถ้าพวกเธอยังไม่มา พี่คงจะถูกฆ่าถูกแทะหมดแล้วฮือๆๆ …” ในความฝัน จิ่งเหิงปัวเปล่งเสียงร้องห่มร้องไห้ขอความช่วยเหลือที่เวลาปกติแม้ตายก็ไม่ปริปากออกมาในที่สุดว่า “พวกเขาไม่ช่วยฉันเลย…ทำร้ายฉัน…ทำตัวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่ฉัน…ชีวิตของพี่ก็เหมือนกับลูกบอลที่เล่นอยู่ในมือของพวกเขา โยนไปโยนมา…โยนไปโยนมาแบบนี้…”


 


 


มือที่เช็ดแข็งทื่อขึ้นมา หยุดชะงักกลางอากาศ


 


 


“โยนไปโยนมา…” คนบางคนยังทำท่าทางประกอบไปด้วยความในฝัน มือข้างหนึ่งสะบัดขึ้นมาจริงจัง สะบัดไปโดนใบหน้าของคนข้างกายดังเพียะ


 


 


เสียงดังชัดเจนเสียงหนึ่ง


 


 


บรรยากาศในรถม้านิ่งสงัด


 


 


ผู้นั้นคล้ายนึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิง ลูบใบหน้าไปครู่หนึ่ง ชะงักงันไปเสียแล้ว


 


 


คล้ายมิได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาหลายปีแล้วกระมัง…


 


 


สูงศักดิ์ล้ำค่า มือกุมมหาอำนาจ ที่ซึ่งเยื้องกรายผ่านมีผู้คนหมอบคลาน หมอบกราบมิต้อยต่ำพอยังเป็นโทษทัณฑ์ จะเคยถูกตบหน้าครั้งหนึ่งเช่นนี้ได้อย่างไร


 


 


เรือนร่างแข็งทื่อเพียงน้อย เยือกแข็งปานรูปสลักท่ามกลางความมืดมิด


 


 


“…ไร้เมตตา! ไร้คุณธรรม! ไร้ยางอาย! ไร้หัวใจ!” จิ่งเหิงปัวไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังฟ้องร้องต่อไป มือข้างหนึ่งเริงระบำดุเดือด


 


 


เรือนร่างเกร็งแน่นของผู้นั้นกลับค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา ถอนใจแผ่วเบาเสียงหนึ่งโดยพลัน คว้ามือไม่สำรวมของนางเช็ดฝ่ามือให้นางทุกซอกทุกมุม


 


 


จิ่งเหิงปัวกระซิบกระซาบว่าสบายยิ่งนักแต่รู้สึกว่ายังไม่พอใจ พลิกกายครั้งหนึ่งโอบกอดมือคู่นั้นไว้ทันที พึมพำว่า “จิ้งอวิ๋น…จิ้งอวิ๋น…เหตุใดจึงเช็ดแต่หน้าผากล่ะ…เช็ดคอให้หน่อยสิ…”


 


 


มือคู่นั้นหยุดชะงัก ครั้งนี้แม้แต่แขนยังแข็งทื่อเสียแล้ว


 


 


แสงจันทร์แสงสลัวสายหนึ่งสาดส่องเงาร่างที่นั่งตัวตรงแน่วในความมืดมิด แขนทั้งข้างโน้มเอียงเป็นรัศมีสามสิบองศา บนแขนมีสตรีผู้นอนหลับสะลึมสะลือปานแมวเกียจคร้าน น้ำลายนางแทบจะชุ่มโชกแขนเสื้อของผู้นั้น เรื่องนี้ช่างมันเถิด ทว่าท่วงท่าโน้มกายกอดอกนี้ผุดเผยความอันตรายที่สั่นสะท้าน ซ้ำกำลังคลอเคลียถูไถโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย คล้ายแมวป่าตัวน้อยที่ไม่รู้จักพอตัวหนึ่งใช้กำลังยึดครองของรักของตน จะต้องหลงเหลือกลิ่นอายของตนเองให้ได้เพื่อแสดงด้วยการครอบครองโดยไร้วาจา


 


 


เรือนร่างท่ามกลางความมืดมิดคล้ายไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ยามมองโดยละเอียดอีกครั้ง ชายผ้าสีขาวหิมะกลับคล้ายกำลังสั่นสะท้านเล็กน้อยคล้ายสั่งสมหิมะหนาที่ไร้ผู้คนเหยียบย่ำเนิ่นนานพันปี ทว่าถูกเสียงพร่ำเพรียกแผ่วโผยระหว่างภูผาสะท้อนสะท้านการขานรับไร้สรรพเสียงออกมา


 


 


การสัมผัสรับรู้มิเคยไวต่อความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เส้นโลหิตทุกสายคล้ายพาดผ่านด้วยกระแสอสนีจากฟากฟ้า ระหว่างการสั่นเทิ้มคือความว่างเปล่าสีหิมะหลากหลายผืน ตรงกลางผสานด้วยความงดงามแลริมฝีปากแดงฉ่ำของนาง


 


 


ประหนึ่งเพลิงลามลุกทุ่งหิมะไร้ขอบเขต เขารู้สึกได้ถึงการพังทลายที่อันตราย


 


 


 


 


 


 


 


[1] ขับร้องโดยหลินน่า กง และประพันธ์โดยโรเบิร์ต โซลลิตซ์ เป็นเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องแต่มีการใช้คำอุทานแทนเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกในจิตใจที่ไม่สงบ


 


 


[2] แครอท ชื่อวิทยาศาสตร์ Daucus carota L. var. sativa Hoffm 

 

 


ตอนที่ 49 - 2 ความในใจ

 

แม้เป็นเช่นนี้ยังมิสิ้นสุด นางบิดไปบิดมาอย่างรำคาญสองสามครั้งก็ถูไถกระดุมชุดนอนทรงหลวมจนปลดออกมา


 


 


“จิ้งอวิ๋น…เช็ดหน่อยสิ…ตัวร้อนจังเลย…”


 


 


ร้อนจริงยิ่งนัก


 


 


ความมืดมิดคล้ายหายไปโดยพลัน ค่ำคืนคล้ายหายไปโดยพลันเช่นกัน เบื้องหน้าคือสายลมวสันต์แลสายธารวสันต์ทะลักล้นด้วยระลอกคลื่นแผ่วบางที่เต็มไปด้วยเรือดอกท้อ ระหว่างผืนนภาแลพสุธากลับมิใช่สีเขียวอ่อนเชื่อมประสานกัน หลงเหลือเพียงสีขาวผืนหนึ่งนั้น สีขาวดั่งหิมะ สีขาวละลานตา สีขาวบริสุทธิ์ สีขาวพราวแพรวโปร่งใส…ในขอบเขตสายตาที่หลีกลี้กลับแจ่มชัดด้วยความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น…ยิ่งกว้างขึ้น…ในผืนฟ้าคลุมปฐพี…กลบกลืนเขาไว้…


 


 


เงาร่างยังสั่นเทิ้มรุนแรง สีแดงเข้มสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นข้างริมฝีปากฉับพลันเช่นนี้ เขายกมือเช็ดออกไปอย่างแผ่วเบา เบี่ยงกายเล็กน้อยประคองนางให้ตัวตรงอย่างแผ่วเบา นางผละขึ้นมาอีกครั้ง จิตใต้สำนึกอาลัยอาวรณ์ลมหายใจและอุณหภูมิร่างกายที่เย็นสบายของเขา ข้างริมฝีปากของเขาค่อยๆ ผลิแย้มรอยยิ้มผืนหนึ่งออกมา


 


 


แสงจันทราคล้ายหม่นหมองโดยพลันด้วยเพราะความงดงามของรอยยิ้มนี้


 


 


จิ่งเหิงปัวคว้ามือมั่วซั่วกลางอากาศ ยังอยากสัมผัสถึงมือนุ่มลื่นได้รูปนั้น แต่ความฝันยังยุ่งเหยิง ครั้งนี้กลายเป็นพ่อรูปงามชุดดำโยนซากศพมาตรงเท้านางดังพลั่ก น้ำเลือดน้ำหนองเหม็นขี้นกกระเซ็นเปรอะเปื้อนทั่วร่างนาง นางอยากอาเจียน อดจะกระซิบกระซาบด่าทอว่า “เหยียลี่ว์ฉี…” ไม่ได้


 


 


รอยยิ้มของเขาผนึกแน่นข้างริมฝีปากโดยพลัน


 


 


อากาศคล้ายถูกบีบรัดอึมครึมเสียจนแม้แต่สายลมยังโศกเศร้า เขาจดจ้องริมฝีปากของนาง ทว่านางกำลังหายใจฮืดฮาด วาจาหนึ่งดิ้นรนอยู่ข้างริมฝีปาก อยากอาเจียนทว่าไม่อาเจียน คล้ายความในใจยากจะเอ่ยเรื่องหนึ่ง


 


 


การรอคอยคล้ายยาวนานยิ่งนักทว่าแท้จริงแล้วแสนสั้น แววตาของเขาหม่นหมองลงไปทีละชุ่นเฉกเช่นเดียวกับรอยยิ้ม


 


 


จากนั้นเขาผลักนางออกแล้วลุกขึ้นโดยพลัน เสียงผ้าม่านสะบัดดังสวบ เงาคนสีหิมะหายไปเสียแล้ว


 


 


ในขณะเดียวกับที่เขาจากไป จิ่งเหิงปัวไอโขลกรุนแรงเสียงหนึ่ง ในที่สุดจึงสำลักเสมหะที่ติดคอหอยเฮือกหนึ่งนั้นออกมา เปล่งเสียงตะโกนก้องอีกครึ่งประโยคว่า “…ไอ้เลวนี่!”


 


 



 


 


วันต่อมาอุณหภูมิร่างกายของจิ่งเหิงปัวลดลงไปแล้ว รู้สึกว่าดีขึ้นมาก นางกล่าวขอบคุณจิ้งอวิ๋นด้วยท่าทางสดชื่นว่า “ขอบคุณมากนะที่เจ้าดูแลข้าเมื่อคืนน่ะ”


 


 


จิ้งอวิ๋นที่กำลังปักดอกไม้อยู่ด้านหนึ่งยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ ร้องโอ๊ยเสียงหนึ่งโดยพลันแล้วดูดนิ้วมือ


 


 


“อะไรหรือ” จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้ามอง


 


 


“ไม่เป็นอะไร” จิ้งอวิ๋นหันกลับมาอีกครั้งยิ้มแย้มดุจมวลผกา เอ่ยว่า “มิต้องขอบคุณ ดูแลเจ้าเป็นเรื่องที่ควรกระทำ”


 


 


ชุ่ยเจี่ยที่ป้อนอาหารเฟยเฟยอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน เงยหน้ามองจิ้งอวิ๋นปราดหนึ่งอย่างเงียบเชียบ


 


 


จิ่งเหิงปัวพบว่าขอบตาสองข้างบนใบหน้าของนางคล้ำเป็นดวง เห็นได้ชัดเจนว่าเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท หัวเราะฮิฮิตีนางแผ่วเบา กล่าวว่า “คราหน้าเจ้าป่วยไข้ ข้าจะดูแลเจ้าไม่ยอมหลับยอมนอนทั้งคืน!”


 


 


“มีผู้ใดเขาแช่งให้คนป่วยไข้กัน” จิ้งอวิ๋นตีหลังมือของนางอย่างแผ่วเบา ยิ้มให้นางหนึ่งครั้ง ยามหยิบเข็มขึ้นมาอีกครั้ง จามออกมาครั้งหนึ่ง


 


 


“อะไร เป็นหวัดหรือ ในรถม้าอบอุ่นยิ่งนักนะ หรือเจ้าติดหวัดจากข้า” จิ่งเหิงปัวรู้สึกเกรงใจขึ้นมาบ้าง


 


 


“มิใช่เยี่ยงนั้นหรอก เมื่อคืนข้าลุกตื่นออกไปกลางดึกจึงถูกลมพัดเข้า ดื่มแกงน้ำขิงแล้วคงดีขึ้น” จิ้งอวิ๋นวางสะดึงปักดอกไม้ลง ลงจากรถม้าไปหาแกงน้ำขิง ผ่านไปสักพักจึงกลับเข้ามา ข้างหลังนางยังมีผู้อ่อนวัยใบหน้ากลมผู้หนึ่งประคองยาต้มชามหนึ่งตามมา


 


 


“นี่คือองครักษ์เผ่าหลิวหลี” จิ้งอวิ๋นแนะนำว่า “เขาช่วยข้าต้มยา ซ้ำยังเอ่ยว่าร้อน อาสาช่วยมาส่งให้ถึงที่แห่งนี้”


 


 


แล้วโค้งกายกระซิบกระซาบข้างหูนางแผ่วเบาว่า “ยามมาส่งยาให้เราเขาถูกตรวจค้นไปถึงสามรอบ ทำให้เขาลำบากเสียแล้ว”


 


 


จิ่งเหิงปัวฟังแล้วรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง ผู้อ่อนวัยกลับมีท่าทางมิได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ส่งรอยยิ้มใสซื่อให้นาง สายตาไร้เดียงสา


 


 


จิ่งเหิงปัวมองแล้วรู้สึกดีอย่างยิ่ง…แบบโชตะนี่นา


 


 


ผู้อ่อนวัยวางถ้วยยาลงแล้วถวายคำนับให้นาง ไม่ได้รอให้นางกล่าวอะไรอีก ถอยกลับไปอย่างสำรวมยิ่งนัก ก่อนลงจากรถม้าหันกลับมามองนางแวบหนึ่งด้วยสายตาอบอุ่น


 


 


จิ่งเหิงปัวถูกสายตาปราดเดียวนี้มองจนในใจเจ็บปวดรวดร้าว นับแต่ทะลุมิติต้องลำบากยากแค้นร่อนเร่พเนจรผ่านร้อนผ่านหนาว แมลงสาบกระโดดโลดเต้นเริงร่าตัวหนึ่งเช่นนางนี้ได้ถูกทรมานจนกำลังกายกำลังใจเหนื่อยล้า ขณะนี้ความห่วงใยที่ซ่อนแฝงในสายตาปราดเดียวนี้ คล้ายต้นกล้าอ่อนสีเขียวต้นหนึ่งที่พลันปรากฏในความเวิ้งว้างว่างเปล่า สาดส่องห้องหัวใจทั้งห้องให้สว่างไสว


 


 


นางยกมือขึ้นบดบังตรงมุมหน้าผาก หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้า ยังคงยิ้มแย้มอวดตนอย่างไม่สนใจเช่นนั้น กล่าวว่า “ฮ่า! มีผู้มาพบข้าด้วยล่ะ”


 


 


ชุ่ยเจี่ยเงยหน้ามองนางปราดเดียวอย่างเงียบเชียบ ถอนใจโดยไร้เสียง


 


 


จิ้งอวิ๋นยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ที่จริงแล้วมีผู้คนไม่น้อยในหกแคว้นแปดชนเผ่าอยากจะใกล้ชิดเจ้า อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นเจ้านายใหม่ของพวกเขา เพียงแต่ราชครูสั่งเด็ดขาดว่าห้ามผู้ใดเข้าใกล้เจ้า พวกเขาถึงได้ไม่กล้า ข้าคิดว่าหากเจ้ามีความกระตือรือร้น ย่อมควรให้โอกาสพวกเขาสักหน่อย ใกล้ชิดกับขุนนางบ้าง ภายภาคหน้าจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า”


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง ราชินีที่ยินยอมเป็นหุ่นเชิดไม่ใช่ราชินีที่ดี ประการแรกหากอยากจะชิงอำนาจย่อมต้องเข้าใจขุนนาง เข้าใกล้ขุนนางเสียก่อน สร้างความแตกแยกอัลไลแบบนี้ ในละครน้ำเน่ามีถมไป


 


 


“อืม ควรใกล้ชิดเสียหน่อย” นางกล่าว


 


 


“เช่นนั้น ข้าพาพวกเขามาพบเจ้าดีหรือไม่” จิ้งอวิ๋นถามอย่างหยั่งเชิง


 


 


จิ่งเหิงปัวชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง รู้สึกว่าทำไมวันนี้ต้นกล้าขี้โรคนางนี้ถึงได้กระตือรือร้นขนาดนี้ อีกอย่างเรื่องนี้เดิมทีจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้ มอบเจตนาดีตอบกลับสักหน่อยก็พอแล้ว หากจะแอบสานสัมพันธ์ลับๆ ล่อๆ ขึ้นมาจริง กลับจะไม่เหมาะสมเสียด้วยซ้ำ


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่เคยคิดจะให้จิ้งอวิ๋นเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ นางได้รักษาตนเงียบสงบอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว การเมืองเรื่องพรรค์นี้ อย่างไรก็เชื่อแค่ตนเองก่อนจะดีกว่า ยิ่งกว่านั้นจิ้งอวิ๋นเป็นพวกคิดมาก การข้องเกี่ยวเรื่องเหล่านี้อาจจะไม่ใช่เรื่องดี


 


 


“ไม่ต้องหรอก” นางเอ่ยว่า “ตามอารมณ์สักหน่อยก็พอ”


 


 


นับแต่วันนั้น นางมักจะพานพบองครักษ์ของชนเผ่าและแคว้นใต้อาณัฐแต่ละแคว้นที่ยิ้มแย้มถวายคำนับแด่นางบริเวณรอบด้านของรถม้า นางเองตอบรับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ฉะนั้นจึงมักทำให้มีผู้ร่วงจากหลังม้า บางครั้งลงไปเดินเล่นอะไรเช่นนั้นก็จะพบผู้โค้งคำนับจากที่ห่างไกล นางก็พยักหน้าเล็กน้อย ผู้ที่พบบ่อยที่สุดคือผู้อ่อนวัยเผ่าหลิวหลีคนนั้น ผู้อ่อนวัยใบหน้ากลมใสซื่อคนนั้นมักจะใช้สายตาจดจ้องถวายคำนับแด่นางจากซอกมุม ทว่ามิได้เดินเข้ามาใกล้และไม่ตั้งใจอยากให้นางพบเจอ บางครั้งนางสังเกตเห็นแล้ว เขาก็จะโค้งคำนับจากที่ห่างไกล ยิ้มยิงฟันครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่จิ่งเหิงปัวพบพานเหตุการณ์นี้ ในใจก็หดหู่ขึ้นมา รู้สึกว่าทั้งเหมาะสมทั้งอบอุ่นมีไมตรี พอจำนวนครั้งเช่นนี้มากขึ้น เมื่อสองคนพบเจอกันและกัน ต่างมีความรู้ใจอบอุ่นอารมณ์หนึ่ง วูบไหวด้วยสายตา


 


 


ตอนตั้งค่ายยามวิกาล นางจะได้รับกระถางผิงไฟที่ประดิษฐ์เองหรือเครื่องประดับน้อยที่มีเสน่ห์เป็นพิเศษชิ้นหนึ่ง ไม่ต้องกล่าวถามย่อมรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อ่อนวัยนั้นส่งมาให้ นางยิ้มแย้มครั้งหนึ่ง หยิบขึ้นมาชมสักพักแล้วเก็บไว้อย่างเงียบเชียบ


 


 


มีครั้งหนึ่งเดินไม่ระวัง ส้นรองเท้าปักอยู่ในผืนโคลน นางดึงอยู่เนิ่นนานถึงดึงออกมาได้ ตอนนั้นคล้ายว่าไม่มีใครอยู่ด้วยเลย แต่ว่าไม่นานเท่าไร ชุ่ยเจี่ยก็ส่งสิ่งของแปลกประหลาดที่ทำจากไม้คู่หนึ่งมาให้ ดูภายนอกคล้ายปลอกรองเท้า มุมหนึ่งสูงขึ้นไป นางถอดรองเท้าออกเทียบดู พบว่าสามารถประกอบเข้าด้วยกันกับรองเท้าส้นสูงของนางได้ด้วย ประกอบเข้าไปพื้นก็เรียบแล้ว แม้ว่ารองเท้าทั้งคู่แลดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง แต่ว่าประดิษฐ์อย่างประณีตงดงาม ไม่นึกเลยว่าจะประกอบได้อย่างเหมาะเจาะนัก


 


 


นางหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง…ประกอบของสิ่งนี้เข้าไป รองเท้าส้นสูงยังจะเรียกว่ารองเท้าส้นสูงเหรอ!


 


 


ชุ่ยเจี่ยหัวเราะเช่นกัน แล้วอดจะอธิบายแทนเด็กผู้นั้นไม่ได้ว่า “เขาเอ่ยว่าประกอบเข้าไปเช่นนี้ยามเดินเหินก็มั่นคงแล้ว”


 


 


จิ่งเหิงปัวหยุดหัวเราะทันที หยิบปลอกพื้นรองเท้าสอนจระเข้ว่ายน้ำนั้นขึ้นมา เนื้อสัมผัสลื่นเกลี้ยงเกลาเค้าโครงเรียบรื่น วัสดุที่ใช้คือวัสดุอย่างดี มองออกว่าเป็นงานแกะสลักชั้นดี สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือความพิถีพิถันและความอดทนนั้น ปลอกพื้นรองเท้าทั้งชิ้นไม่มีแม้แต่เสี้ยนและรอยตำหนิ ที่จริงแล้วสิ่งที่รองใต้พื้นรองเท้าจะต้องมาเป็นห่วงเสี้ยนอะไรอีก แต่ก็ไม่มีให้เห็นเลย


 


 


นางอดจะหัวเราะอีกครั้งไม่ได้ หัวเราะไปเช็ดดวงตาไป มือปิดบนดวงตาคล้ายนอนหลับแล้ว หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ชุ่ยเจี่ยได้ยินนางกระซิบกระซาบว่า “อยากมีน้องชายสักคนจังเลย อาศัยเขาให้เขาเลี้ยงข้าไปตลอดชีวิต…”


 


 


ชุ่ยเจี่ยถอนใจ ห่มผ้าห่มให้นางอย่างแผ่วเบา


 


 


กงอิ้นคล้ายไม่ได้รู้สึกตัวกับเรื่องนี้ เพียงแต่ยิ่งมายังบริเวณรถม้าของนางน้อยลง มีบางครั้งนางเลิกผ้าม่านหาเขาในกองทัพอยู่เนิ่นนานแต่ไม่พบเงาร่างของเขา ผ้าม่านจึงถูกนางปัดไปนับมิถ้วนครั้งจนด้ายทองเส้นบางยังเปลี่ยนรูปร่าง


 


 


นางกลับไม่รู้ว่าทุกครั้งหลังจากผู้คนมาแสดงไมตรีเหล่านั้นจากไป ในรถม้าของกงอิ้นก็จะได้รับรายงานอย่างละเอียดหนึ่งฉบับ คนเหล่านั้นทำสิ่งใด เอ่ยเรื่องใด มีท่าทีอย่างไรต่อนาง มีปฏิสัมพันธ์อย่างไรหรือไม่ รวมถึงการวิเคราะห์สิ่งเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนเข้าใจได้ จัดทำเป็นรายงานออกมา


 


 


กงอิ้นมักจะอ่านโดยละเอียดยิ่งนัก บางครั้งยังใส่หมายเหตุด้วย หลายครั้งหลายคราเหมิงหู่เองอยู่ข้างกายเขา ให้ข้อเสนอแนะบางส่วนในยามนั้น


 


 


บทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ บางส่วนสูญสลายไปในพื้นที่ไม่กว้างนักของรถม้า


 


 


“…สังเกตการณ์คัดกรองหลายวัน ผู้ต้องสงสัยมีประมาณสิบเอ็ดคน หนึ่งในนั้น ผู้นี้มีแผนการมากที่สุดขอรับ…”


 


 


“ความคิดลึกซึ้งยิ่งนักโดยแท้”


 


 


“ราชินียังคงใจดีเกินไปหน่อยขอรับ…”


 


 


“…หลังจากนี้นางเคยชินก็ดีแล้ว…ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ระดมพลหลงฉีและหย่งเลี่ยทั้งสองค่าย เฝ้ารอคอยที่ปากทางภูเขาตี้เกอ”


 


 


“…นายท่าน สองค่ายสะดุดตาเกินไป โยกย้ายยามนี้ไม่เหมาะสม ยิ่งกว่านั้นวิธีการรุนแรงเกินไปย่อมจะทำให้หกแคว้นแปดชนเผ่าเกิดความไม่พอใจขอรับ…”


 


 


“เจ้าเอ่ยแล้วว่า ที่จริงแล้วนางยังคงใจดีเกินไป มักยินยอมเชื่อใจผู้อื่น…ไม่ใช้หลงฉีและหย่งเลี่ยทั้งสองค่ายสยบคนเหล่านั้นไว้ให้หนัก ไม่เค้นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนเหล่านั้นออกมา ผู้ใดจะรู้ว่าภายภาคหน้าจะเกิดเรื่องใดขึ้นอีก”


 


 


“นายท่านตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง…เพียงแต่คนเหล่านั้นมีอุบายลึกซึ้งเช่นกัน กลัวแต่ยามถึงเวลาราชินีจะเข้าใจผิดขอรับ…”


 


 


“นางเข้าใจผิดก็เรื่องของนาง ข้ากระทำเรื่องของข้า ไฉนจึงต้องใส่ใจมากมายเช่นนั้น…เหมิงหู่”


 


 


“ขอรับ”


 


 


“การแสดงฝีมือในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จนั้น ดูท่าทางไม่เรียนรู้ไร้วิชานั้นของนางย่อมผ่านด่านไปไม่ได้อย่างแน่นอน ให้คนที่เจ้าตระเตรียมไว้รอคอยอยู่ที่ตี้เกอเสียแต่เนิ่น หากไร้หนทางจริงๆ จงลงมือ…”


 


 


“ขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้” 

 

 


ตอนที่ 49 - 3 ความในใจ

 

วันนี้จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงหัวเราะเบิกบานจากข้างนอกกะทันหัน ยงเสวี่ยลงจากรถม้าไปสำรวจดู ชะโงกศีรษะเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางทั้งตื่นตกใจและดีใจ เอ่ยว่า “ใกล้ถึงแล้วล่ะ!”


 


 


พอจิ่งเหิงปัวได้ยินรีบเร่งเปิดหน้าต่างมองภายนอก จึงพบว่าเส้นทางโบราณหายไปแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ป่ารกชัฏหายไปแล้ว บึงโคลนสีดำทอดยาวอยู่ห่างไกลหายไปแล้วเช่นกัน สิ่งที่ปรากฏตรงเบื้องหน้าคือภูเขาลูกหนึ่ง ภูผาคล้ายถูกขวานสวรรค์สะบั้นออก ตรงกลางคับแคบมีเส้นทางเหลือเพียงรถม้าสองคันแล่นสวนกันเส้นทางหนึ่ง ผาสองด้านแทบจะตรงเก้าสิบองศาเป็นหน้าผาตะปุ่มตะป่ำ แม้แต่หญ้าสักต้นเดียวยังไม่งอกเงย


 


 


ภูเขานี้แม้อันตราย ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาของนางกลับเป็นคน


 


 


เบื้องหน้าเส้นทางภูเขาคลาคล่ำไปด้วยผู้คน


 


 


เป็นทหารทั้งหมด


 


 


ฝั่งซ้ายชุดขาวเกราะขาวล้วน นอกจากหมวกผูกพู่สีแดงและเข็มขัดประดับทับทิมแล้ว เกราะที่เหลือล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เสื้อเกราะครึ่งตัวงดงามล้ำค่ายากพบเห็นและบริสุทธิ์สุกใสยากพบเจอ รูปแบบงามประณีตเบาสบายคล่องแคล่ว เกราะบ่าทรงหัวมังกร เกราะหัวไหล่และเกราะหัวเข่าทำจากหนังสัตว์สีขาว มองจากที่ห่างไกลมันวาวสว่างไสวยิ่งนักคล้ายลงน้ำมันหนึ่งชั้น แม้แต่เกราะหัวใจที่หน้าอกยังใช้อัญมณีเปล่งประกายแวววาวสะกดผู้คน


 


 


เหล่าทหารส่วนมากอ่อนเยาว์ รูปร่างสูงโปร่ง แม้มองไปจากที่ห่างไกลยังรู้สึกว่าองอาจฮึกเหิม มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นทหารม้า ข้างหลังสะพายธนูยาวสีขาว ขนนกสีแดงในกระบอกธนูพลิ้วไหวเพียงน้อยกลางสายลม


 


 


งดงาม!


 


 


งดงามเกินไปแล้ว!


 


 


นอกจากเคยได้ยินคำกล่าวเช่นว่าสามเหล่าทัพไว้ทุกข์ จิ่งเหิงปัวไม่เคยได้ยินเรื่องกองทัพสีขาวล้วนจากในโทรทัศน์หรือในตำนาน กองทัพฝึกฝนหนักหน่วง นอนกลางดินกินกลางทราย สู้รบโจมตี สิ่งที่ทำคืองานที่สกปรกที่สุดลำบากที่สุดเหน็ดเหนื่อยที่สุด จะสวมชุดสีขาวหิมะสะอาดสะอ้านคล้ายออกจากบ้านไปเป็นแขกได้อย่างไร นอกจากจะเป็นกองทหารเกียรติยศ เพียงกองทัพเดียวนี้จำนวนคนมีถึงเรือนหมื่น แม้ว่าสงบนิ่งเงียบแต่ไอสังหารอบอวล พอมองเห็นก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ที่รองกระถางต้นไม้[1]ที่งดงามแต่ไร้ประโยชน์


 


 


จิ่งเหิงปัวแผ่รัศมี เกาะหน้าต่างน้ำลายไหลย้อยหยดติ๋งติ๋ง ตื่นเต้นดีใจเสียจนสั่นเทิ้ม…เครื่องแบบยั่วยวนอาเครื่องแบบยั่วยวน! หนุ่มหล่อพวกนี้ล้วนเป็นกองกำลังในบังคับบัญชาของนางอาๆ อาๆ ต่อไปจะให้นางทำอย่างไรดีล่ะอาๆ อาๆ จะต้องไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอะไรกับเหล่าทหารบ่อยๆ ไหมนะอาๆ อาๆ


 


 


ห่างไปไม่ไกลเบื้องหน้ารถม้า กงอิ้นหันหน้ากลับมามองนางปราดเดียวคล้ายมิได้ใส่ใจ ปราดเดียวมองเห็นเจ้าผู้นี้กำลังสั่นเทิ้มอยู่หลังหน้าต่าง


 


 


เขาหยุดชะงักงัน เบนสายตาออกมา หลุบม่านตาลง


 


 


สายตาเย็นชาเพียงน้อย


 


 


…นิสัยแย่แก้ไม่หาย!


 


 


จิ่งเหิงปัวสั่นเทิ้มไประลอกหนึ่ง จึงถอนสายตาออกมาจากกองทัพสีขาวอ่อนเยาว์งดงามสะดุดตากองทัพนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ทอดลงบนกองทัพอีกครึ่งหนึ่ง


 


 


กองทัพอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีดำล้วน


 


 


ชุดดำเกราะดำ สีสันแน่นหนัก แต่กองทัพกองนี้ไม่ได้ประณีตงามล้ำเฉกเช่นกองทัพสีขาวข้างกาย แม้ว่าชุดเกราะครบครัน แต่ชุดเกราะของทหารส่วนใหญ่ลายพร้อยเป็นรอยฟันแทงของมีดและดาบ คล้ายทั้งหมดเป็นของที่ระลึกจากการผ่านศึกนับร้อยครั้ง นายพลที่ยิ่งยืนอยู่ด้านหน้า ชุดเกราะบนร่างยิ่งเก่า รอยมีดยิ่งเยอะ ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าที่สุดนั้นเปลือยไหล่พาดเกราะครึ่งตัวเสียเลย ชุดเกราะไม่มีร่องรอยอะไรแต่ใบหูแหว่งไปครึ่งหู


 


 


รอยมีดทั้งเก่าทั้งใหม่ถมทับสลับซ้อนเหล่านั้นกำจายกลิ่นคาวเลือดและไอสังหารเข้มข้นหอบหนึ่งออกมา ความนิ่งเงียบของทั้งกองทัพแตกต่างจากความนิ่งเงียบของกองทัพสีขาว ความรู้สึกที่กองทัพสีขาวมอบให้ผู้คนคือความเงียบสงบและระเบียบวินัย ความรู้สึกที่กองทัพกองนี้มอบให้ผู้คนกลับเป็นความบ้าระห่ำที่ซ่อนแฝงไว้ จิตสังหารที่สะกดกลั้น ความกระหายโลหิตพร้อมแกว่งมีดคำรามออกมาในครู่ถัดไป!


 


 


กองทัพหนึ่งสีขาวกองทัพหนึ่งสีดำ แบ่งแยกสีสันชัดเจน ประหนึ่งธงสองด้านผืนใหญ่ที่เคร่งขรึมน่าเคารพปักลงตรงเส้นทางสุดท้ายเส้นทางหนึ่งก่อนเข้าสู่นครตี้เกออย่างไร้สรรพเสียง


 


 


หรือว่าเป็นหิมะหลงฮวง[2]คดเคี้ยวจ่อมจม คลุมครอบถมเนินเขาให้ขาวโพลน


 


 


ในชั่วครู่หนึ่งนั้น อารมณ์ทั้งตกตะลึง อึดอัด ว้าวุ่นและหวาดกลัวทะลักล้นโดยพลัน กองทัพองครักษ์รับเสด็จราชินีทั้งกองทัพปรากฏความเงียบสงัดยากพบเห็น


 


 


จากนั้นประหนึ่งถูกหิมะหนักโปรยปรายจนตื่นฟื้นโดยพลัน ทุกผู้คนเปล่งเสียงร้องตะลึงที่สะกดกลั้นไว้ไม่ได้จนเป็นเสียงดังกึกก้องเสียงหนึ่ง


 


 


“ทหารอวี้จ้าว! อวี้จ้าวหลงฉี!”


 


 


“ทหารคั่งหลง! คั่งหลงค่ายหย่งเลี่ย!”


 


 


“โอ้สวรรค์ สองทหารจากกองกำลังในบังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของใต้เท้ากง!”


 


 


“ซ้ำยังเป็นสองทหารจากค่ายใหญ่สองค่ายที่แข็งแกร่งที่สุด!”


 


 


“ใต้เท้ากงจะทำสิ่งใด แม้แต่ครั้งนี้ที่ตี้เกอเกิดความวุ่นวายหลงฉียังมิได้เคลื่อนพล ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงค่ายหย่งเลี่ยแทบจะเป็นไพ่ตายแห่งต้าฮวง นับแต่กบฏวังตี้เกอเมื่อสามปีก่อน ค่ายหย่งเลี่ยเคลื่อนพลเพียงกองทหารเล็กกองหนึ่ง ตัดศีรษะของหวังหลิ่งแห่งไต้เม่าที่ก่อกบฎเสียในตำหนัก หลังจากสังหารล้างตระกูลหวังหลิ่งทั้งตระกูล พวกเขามิได้ปรากฏกายมานานเพียงใดแล้ว เพื่อรับเสด็จราชินีองค์นี้ ถึงกับต้องเคลื่อนพลเลยหรือ”


 


 


“หุบปาก! เจ้าลืมแล้วหรือว่ากบฏตี้เกอคือเรื่องต้องห้าม!”


 


 


“ไอ้หยา…ข้าตกใจจนลืมไปแล้ว! ผู้ใดจะนึกถึงว่าจะได้เห็นค่ายหย่งเลี่ยและหลงฉีเสียที่นี่…”


 


 



 


 


เสียงวาจาลอยล่องโปรยปรายแว่วเข้าหูของกงอิ้น เขาเพียงทำเมินเฉย ทว่านัยน์ตาเบนไปอีกครั้งครา ทอดลงบนร่างของจิ่งเหิงปัวอย่างเป็นกังวล


 


 


สตรีนางนี้บางคราหาญกล้าบางคราขี้ขลาด บัดนี้นางได้เห็นค่ายหย่งเลี่ยที่กิตติศัพท์ไอสังหารสยบเด็กน้อยร้องไห้ยามค่ำคืนได้ จะมีการตอบสนองอย่างไร จะตกใจจนปวดเบารดราดเฉกเช่นผู้คนจากหกแคว้นแปดชนเผ่าเหล่านั้นหรือไม่


 


 


เขามองเห็นดวงตาเบิกกว้างจนกลมดิกของจิ่งเหิงปัว ดวงเนตรงามหยาดเยิ้มโดยกำเนิดคู่หนึ่งเบิกโพลง นัยน์ตาดุจลูกปัดหินโมราคู่หนึ่ง


 


 


นี่คืออากัปกิริยาใด ตื่นตกใจเกินทานทนหรือ


 


 


กงอิ้นขมวดคิ้ว นึกขึ้นได้โดยพลันว่าสุขภาพของนางยังไม่ค่อยดี หากว่าตกใจเสียจน…


 


 


เขาขยับร่างกายเล็กน้อย จากนั้นหยุดชะงัก นิ้วมือรั้งเชือกบังเ**ยน สีหน้าหมองหม่นลงเพียงน้อย


 


 


ช่างเถิด


 


 


นางคงหวังจะมองเห็นความเป็นห่วงของเหยียลี่ว์ฉีมากยิ่งกว่ากระมัง!


 


 


ร่างกายหยุดลงไม่ขยับเขยื้อนทว่าสายตาแฉลบไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันในยามนี้ จิ่งเหิงปัวเช็ดจมูกครั้งหนึ่งแล้วตบขอบหน้าต่างดังเพียะทันที


 


 


“ชิบ! หนุ่มล่ำ! หนุ่มล่ำเยอะแยะ! เท่! ระเบิด! เลย!”


 


 


“…”


 


 


เหมิงหู่มองดูกงอิ้นที่แข็งทื่อดุจรูปสลักโดยพลันอย่างกระวนกระวายใจ เขยิบก้าวหนึ่งไปยังอีกทางอย่างเงียบเชียบ


 


 



 


 


จิ่งเหิงปัวสูดหายใจไปหนึ่งระลอก ผลุบลงไปจากริมหน้าต่างดังโครมครามเสียงหนึ่ง มือกุมจมูกไว้แนบแน่นพลางกล่าวว่า “มองไม่ได้มองไม่ได้แล้ว มองอีกต้องเลือดกำเดาไหลแน่เลย ไม่ไหวแล้วแม่งเอ้ย หากรู้แต่แรกว่ากองกำลังในบังคับบัญชาของราชินีองค์นี้มีกองทัพหนุ่มหล่อมากมายขนาดนี้ ข้ายังจะหนีไปที่ใดได้เล่า…”


 


 


“นั่นมิใช่กองทัพของเจ้า” ชุ่ยเจี่ยเอ่ยดับฝันว่า “เจ้ามิได้ยินหรือ นี่คือสองกองทหารแข็งแกร่งแห่งกองกำลังในบังคับบัญชาของราชครูกง แลมิรู้ว่าวันนี้โยกย้ายกำลังพลมารักษาการณ์ที่ปากทางภูเขานี้ คิดวางแผนทำสิ่งใดกันแน่”


 


 


“คิดวางแผนทำสิ่งใด” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างไม่คิดเช่นนั้นว่า “ที่นี่คือปากทางภูเขาแห่งสุดท้ายก่อนเข้าสู่ตี้เกอ จากนั้นก็คือที่ราบทางราบ ที่นี่คือฉากกำบังทางธรรมชาติที่นครตี้เกอใช้ต้านทานศัตรูภายนอก กงอิ้นคงกลัวว่าจะมีผู้ใดซุ่มโจมตีเขาที่นี่กระมัง เคลื่อนย้ายกองทัพมาล่วงหน้า รักษาการณ์ที่นี่จนเกลื่อนกลาดไปหมดเสียเลย”


 


 


ชุ่ยเจี่ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย


 


 


“ทว่าข้ารู้สึกว่ากงอิ้นอาจจะยังมีแผนการอื่น” จิ่งเหิงปัวพิงอยู่ข้างรถม้า กล่าวว่า “ข้าจำต้องลงรถม้าไปอยู่ข้างเขาหรือไม่”


 


 


“ข้างนอกลมแรง อีกทั้งราชครูเองไม่ชื่นชอบให้เจ้าลงจากรถม้าตามอำเภอใจ เช่นนั้นข้าลองไปถามดูสักหน่อย” จิ้งอวิ๋นวางสะดึงปักดอกไม้ลงจากรถ จิ่งเหิงปัวแบะปากด่าว่าเผด็จการเสียงหนึ่งแล้วเอนกายลงอย่างเบื่อหน่าย


 


 


จิ้งอวิ๋นเดินไปถึงข้างกายของกงอิ้นอย่างแผ่วเบา


 


 


กงอิ้นมองเห็นนางเดินมา ไม่ค่อยอยากไถ่ถาม ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยถามตามอารมณ์ยิ่งนักว่า “ฝ่าบาทอยู่ในรถม้าหรือ”


 


 


“เจ้าค่ะ” จิ้งอวิ๋นยิ้มแย้มพยักหน้า เอ่ยว่า “ฝ่าบาทมีชีวิตชีวายิ่งนัก”


 


 


สีหน้าของกงอิ้นหม่นหมองเล็กน้อย…อารมณ์ดียิ่งนักเป็นแน่ มองเห็นหนุ่มล่ำแล้วสิ


 


 


“ราชครูกระทำเรื่องใดรอบคอบเสียจริง” จิ้งอวิ๋นยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ที่นี่คือปากทางภูเขาแห่งสุดท้ายก่อนเข้าสู่ตี้เกอกระมัง จากนั้นย่อมเป็นที่ราบทางราบ ภูเขาลูกนี้คงเป็นฉากกำบังทางธรรมชาติที่นครตี้เกอใช้ต้านทานศัตรูภายนอกแน่แท้ ท่านเคลื่อนย้ายกองทัพมารักษาการณ์ที่นี่ไว้ล่วงหน้า ฉะนั้นตำแหน่งที่สามารถซุ่มโจมตีได้ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเล่นลูกไม้ใดที่นี่ได้อีกแล้วเป็นแน่”


 


 


กงอิ้นมองนางปราดเดียวอย่างเหนือความคาดหมาย


 


 


“แม้เอ่ยว่าผู้เข้าใจการทหารเล็กน้อยล้วนมองออกแลทำได้ถึงจุดหนึ่งนี้ ทว่าเจ้าเป็นสตรีนางหนึ่ง คิดถึงขั้นหนึ่งนี้ได้ นับว่าไม่เลวยิ่งนัก” เขาเอ่ยชมเชยประโยคหนึ่งตามอารมณ์ แลเอ่ยตามอารมณ์ยิ่งกว่าว่า “ฝ่าบาทคิดเห็นเช่นไร อีกประเดี๋ยวพวกเรามียังเรื่องต้องจัดการ เจ้าลองถามนางว่าต้องการลงจากรถม้ามาอยู่ข้างกายข้าหรือไม่”


 


 


“ฝ่าบาทมองกองทัพเสร็จก็เอนกายไปเสียแล้ว” จิ้งอวิ๋นหัวเราะแผ่วเบา เอ่ยสืบต่อว่า “นางเอ่ยว่าเหนื่อยล้ายิ่งนัก ซ้ำยังมิให้พวกเราไปรบกวนนางด้วย”


 


 


กงอิ้นเม้มปากเพียงน้อย มองนางปราดหนึ่ง เอ่ยโดยพลันว่า “วันเวลาก่อนหน้านี้ หลอกใช้เจ้า ขออภัย”


 


 


เขาเอ่ยอย่างแข็งกระด้าง ทว่าบนใบหน้าจิ้งอวิ๋นผลิประกายแสงโดยพลัน ใบหน้างามเอ่ยว่า “สตรีน้อยจะกล้ารับคำขออภัยของราชครูได้อย่างไร เดิมทีเหิงปัวคือผู้มีพระคุณและสหายของข้า อีกทั้งยอมผจญภัยพิบัติเพื่อนาง ต่อให้สิ้นชีพเพื่อนาง สตรีน้อยย่อมยินยอมพร้อมใจ”


 


 


สี่คำสุดท้ายเปล่งเสียงแจ่มชัดแน่วแน่ กงอิ้นอดจะมองนางอีกปราดหนึ่งไม่ได้


 


 


ท่ามกลางสายลมปลายคิมหันต์ สตรีอ่อนวัยกำลังเงยหน้าแย้มยิ้ม ดวงพักตร์น้อยขาวนวลคางมนอิ่มเอิบ ประดุจปทุมบอบบางดอกหนึ่งซึ่งนิทรากลางสระมรกต สีผิวที่แลดูซีดเผือดเพียงน้อยด้วยเพราะป่วยไข้เนิ่นนานเจือด้วยสีแดงซ่านเล็กน้อยราวร่ำสุรา เพิ่มพูนงามเพริศแพร้วหลายส่วน แน่นอนว่าความงามเช่นนี้ย่อมไม่สะดุดตา มิเทียมเทียบไกลห่างจากความงามสะกดผู้คนของจิ่งเหิงปัว ทว่าเหนือกว่าตรงความอ่อนแอแลอ่อนโยนที่สตรี ณ หมู่บ้านริมน้ำมีเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าความบอบบางเช่นนั้นเป็นความงามเช่นกัน งดงามตรงอดทนอดกลั้น ด้วยเพราะรอคอยผู้มาปกป้องทว่าไร้ผู้ปกป้อง ฉะนั้นจึงผลิบานอย่างขลาดกลัวในแดนมนุษย์


 


 


ทว่าในใจของจิ้งอวิ๋นกลับโกรธเคืองขึ้นมา


 


 


นางทั้งแต้มแต่งแป้งชาด วางจัดมุมมองที่ดีที่สุด เอ่ยวาจาไพเราะที่สุดออกมา แลเลือกเฟ้นโอกาสที่ดีที่สุด ทว่ายามนี้เอง นางพบว่าทุกการกระทำล้วนเปล่าประโยชน์


 


 


นางคือปทุมกลางน้ำที่แพ้พ่ายลมหนาว เขาคือลมหนาวจริงแท้นั้นหรือคือธารหลากสายนั้น แววตาหลั่งไหลผ่านใบหน้านางปานธารา ไร้แววความหวั่นไหวแม้เพียงน้อย มิได้หยุดยั้งแม้เพียงครู่เดียว


 


 


นางยิ่งยิ้มแย้มอย่างบริสุุทธิ์จริงใจ แตกต่างจากความอวดตนของจิ่งเหิงปัวแน่แท้


 


 


“ดียิ่งนัก” ความคิดของกงอิ้นยังอยู่ที่วาจาของนาง พยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จักซาบซึ้งบุญคุณ หวังว่าภายภาคหน้าไม่ว่าเป็นเช่นไร เจ้าจะติดตามข้างกายนางอย่างจงรักภักดีได้ตลอดไป” เขามองนางอีกปราดหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “ขอเพียงเจ้าทำได้ เจ้าจะได้รับการตอบแทนอย่างเป็นธรรม”


 


 


นางกัดริมฝีปากพยักหน้า สีหน้าทั้งเหนียมอายทั้งปีติ กิริยายิ่งเรียบร้อยกว่าเมื่อครู่


 


 


ทว่าเขาเบนหน้าไปเสียแล้ว เอ่ยว่า “เจ้าไปเถิด”


 


 


จิ้งอวิ๋นสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ถวายคำนับอย่างสง่างาม มิได้เอ่ยวาจาให้มากอีกสักประโยค จากไปโดยพลัน


 


 


“รอประเดี๋ยว”


 


 


นางหันหน้ากลับมามองอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง


 


 


ทว่าเขาลังเลเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “อีกประเดี๋ยวหากนางตื่นตกใจเข้าใจผิด เจ้าบอกนางว่า…อย่ากลัว”


 


 


จิ้งอวิ๋นหลับตาลงเล็กน้อย ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ”


 


 



 


 


“กงอิ้นเอ่ยว่าอะไร” พอจิ้งอวิ๋นขึ้นรถม้า จิ่งเหิงปัวที่ดูท่าทางคล้ายนอนหลับแล้วก็ไถ่ถาม


 


 


“ราชครูมิได้เอ่ยอะไร” จิ้งอวิ๋นเอ่ยว่า “เอ่ยเพียงว่าขอให้ราชินีอย่าได้เดินไปมาตามใจชอบ ไม่ต้องไปรบกวนเขา ไม่ต้องก้าวก่ายเรื่องของเขา”


 


 


“ผู้ใดก้าวก่ายเรื่องของเขากัน!” จิ่งเหิงปัวเขวี้ยงหมอนออกไปทันที หันหลังให้หน้าต่างรถม้าอย่างรุนแรง กล่าวว่า “อยากทำสิ่งใดก็ทำไปสิ!”


 


 


ชุ่ยเจี่ยเข้ามาสอดชายผ้าห่มให้นาง ถูกนางผลักออกอย่างวุ่นวายใจ


 


 


ดวงตาเพิ่งหลับลง นางก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกกึกก้องจากข้างนอกกะทันหัน ฟังแล้วคล้ายผู้คนจำนวนมากกำลังวิ่งวุ่น ฝีก้าวรวดเร็วเฉียดผ่านรถม้าของนาง จากนั้นยังมีเสียงกีบเท้าม้าห้อตะบึงดังขึ้น จู่โจมเข้ามาจากที่ห่างไกลปานอสนีบาต มาถึงบริเวณใกล้ในชั่วพริบตานั้น เสียงผู้คนกึกก้องดุจเสียงระเบิดทำลายล้างความสงบสุขของชั่วครู่ก่อนในพริบตา


 


 


“เกิดเรื่องใดขึ้น” นางลุกขึ้นนั่งโดยพลัน มองเห็นทั้งชุ่ยเจี่ยและอีกสองคนที่กำลังพิงหน้าต่างมีสีหน้าซีดเผือด รีบเร่งชะโงกหน้าไปยังเบื้องหน้าบานหน้าต่าง ยังไม่ทันได้มองข้างนอกหน้าต่างให้ชัดเจน มีเสียง “ฉึก” เสียงหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน โลหิตกลุ่มหนึ่งระเบิดออกตรงเบื้องหน้าปานดอกไม้เพลิง เปรอะเปื้อนลงบนม่านหน้าต่างก้านไผ่เขียวขจีดังซู่ซู่ โลหิตเหนียวข้นเกาะติดบนร่องไผ่ เบื้องหน้าของนางเหลือเพียงสีแดงสดผืนหนึ่ง


 


 


ชุ่ยเจี่ยและจิ้งอวิ๋นกำลังกรีดร้อง ยงเสวี่ยเม้มปากสนิทแน่น คว้าคอกรถไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่าสีหน้ายังไม่สะทกสะท้าน สีหน้าของจิ่งเหิงปัวซีดเผือดดุจหิมะ


 


 


“กรีดอะไร!” แต่นางชะงักงันเพียงชั่วครู่ จากนั้นตะคอกเสียงดังว่า “รีบนำผ้ามาเช็ดม่านหน้าต่างให้สะอาดสะอ้าน ปิดประตูรถม้าให้แน่นด้วย!”


 


 


สตรีสามนางฟังคำสั่งของนางด้วยตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จิ่งเหิงปัวรำคาญว่าเช็ดช้าเกินไปจึงกระชากม่านหน้าต่างโยนออกไปเสียเลย ตอนนี้จึงมองเห็นภาพความวุ่นวายภายนอก ฝูงองครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าวิ่งหนีวุ่นวาย กองทัพขาวดำออกมาจากหุบเขาโอบล้อมศัตรูไว้ทั้งซ้ายขวาดุจมังกรคู่ เบื้องหน้าห่างไปไม่ไกลมีผู้สังหารผู้คนอย่างแคล่วคล่อง มีดสีขาวแทงเข้าไปกลายเป็นมีดสีแดงออกมา


 


 


“ทหารก่อกบฏหรือ” จิ่งเหิงปัวกระซิบกระซาบ จากนั้นชะงักงัน รีบเร่งร้องว่า “กงอิ้น! กงอิ้นล่ะ!”


 


 


 


 


 


 


 


[1] อุปมาว่าข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง


 


 


[2] แถบทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มจากทางตอนเหนือของทะเลทรายโกบีถึงดินแดนในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน 

 

 


ตอนที่ 50 - 1 เปลื้องผ้าเจ้า!

 

“ทหารก่อกบฏหรือ” จิ่งเหิงปัวกระซิบกระซาบ จากนั้นตะลึงลานรีบเร่งร้องว่า “กงอิ้น! กงอิ้นล่ะ!” 


 


 


“ทางนั้นมีกองทัพ!” ชุ่ยเจี่ยเอ่ยเสียงดัง 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นอวี้จ้าวหลงฉีที่งดงามนั้นกำลังควบอาชาห้อตะบึงกวาดต้อนผู้คนที่กระจัดกระจายทั้งสี่ทิศไว้ด้วยกัน พลทหารคั่งหลงค่ายหย่งเลี่ยนิ่งเงียบโอบล้อมรอบนอกไว้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อย สองทหารขาวดำคือกองทัพเกรียงไกรในบังคับบัญชาของกงอิ้น ดูแล้วไม่ได้มีท่าทีจะก่อกบฏ ขอเพียงสองทหารขาวดำจงรักภักดีต่อกงอิ้น องครักษ์หนึ่งพันสองพันกระจ้อยร่อยของหกแคว้นแปดชนเผ่านี้จะไปทำอะไรกงอิ้นได้ 


 


 


งั้นทำไมถึงวุ่นวายกลายเป็นแบบนี้ 


 


 


เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้นอีกเสียง ผู้หนึ่งเลือดกระเซ็นล้มลงบนพื้น จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง จำได้ว่าผู้ฟาดฟันคือเหมิงหู่ ผู้ล้มลงคือหัวหน้าองครักษ์ชนเผ่าหนึ่งซึ่งเดินทางมาต้อนรับนาง คล้ายจะเป็นคนของเผ่าหวงจิน เขาเป็นมิตรกับนางอย่างมากมาตลอดทาง ซ้ำยังเคยส่งยามาให้นางด้วย 


 


 


การค้นพบครั้งนี้ทำให้นางเหน็บหนาวสั่นสะท้าน…เกิดอะไรขึ้น หรือว่า… 


 


 


นางมองเห็นใบหน้าตกตะลึงของเฟยหลัวกะพริบวูบผ่านไป หลังจากความขายหน้าครั้งก่อน อัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเซียงเก็บเนื้อเก็บตัวมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่นางมองเห็นเฟยหลัวหลังจากคราวนั้น สีหน้าบนใบหน้าของเฟยหลัวทำให้ในใจของนางจมดิ่งเช่นกัน…แคว้นเซียงคือพละกำลังที่เกรียงไกรที่สุดในกองทัพรับเสด็จ ถ้าเฟยหลัวไม่ใช่ผู้บงการ งั้นคงเป็นกงอิ้นแล้วล่ะ… 


 


 


“พวกเจ้าทำอะไร!” เฟยหลัวกำลังกรีดร้อง ผลักองครักษ์ผู้หนึ่งซึ่งคิดที่จะลากนางหลบหนีออกแล้วควบอาชาตะบึงสู่กลางฝูงชนวุ่นวายเพียงผู้เดียว แขนสองข้างกางกั้นขวางฝูงชนวุ่นวายไว้เสียอย่างนั้น ตะโกนว่า “อย่าหุนหันพลันแล่น! อย่าให้ผู้อื่นฉวยโอกาส! มาหลังกายข้าให้หมด! ท่านราชครูฝ่ายขวา! เหตุใดจึงเคลื่อนพลค่ายหลงฉีและค่ายหย่งเลี่ยโอบล้อมทัพองครักษ์ฉับพลัน ซ้ำยังบัญชาให้สังหารฝ่ายข้า! ขอคำอธิบายให้พวกเราด้วย!” 


 


 


เสียงนางก้องกังวาน สัญญาณมือเด็ดเดี่ยว ยับยั้งความวุ่นวายบนลานกว้างทั้งอย่างนั้น ฝูงชนค่อยๆ สงบเรียบร้อยลงจากความหวาดผวาที่ถูกโอบล้อมสังหารโดยพลัน เริ่มร่นถอยไปหลังกายนางอย่างเป็นระเบียบ คุมเชิงห่างจากทัพองครักษ์ของกงอิ้นที่มีเหมิงหู่เป็นผู้นำหนึ่งจั้ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวอดจะแอบนับถือไม่ได้ ไม่ว่าเฟยหลัวจะน่าเกลียดน่าชังแค่ไหน ความเยือกเย็นและความกล้าหาญเบื้องหน้าความโกลาหลครั้งใหญ่ รวมทั้งการคาดการณ์อย่างแม่นยำและการรับมือของนางมีค่าพอให้นางเรียนรู้ทั้งนั้น 


 


 


ฝูงองครักษ์ของกงอิ้นแยกแถวโดยพลัน กงอิ้นผู้อยู่ตรงกลางสวมชุดขาวดุจหิมะ ไร้ฝุ่นธุลีแปดเปื้อน สีหน้ายังคงเย็นชา ดวงตามองทิวเขาห่างไกลอย่างเฉื่อยเนือย ไม่ได้เอ่ยตอบการซักถามของเฟยหลัว 


 


 


เหมิงหู่เอ่ยตอบแทนเขาด้วยเสียงหนักแน่นว่า “จับกุมจารชนผู้สมคบกับมือสังหารตามบัญชาของราชครูฝ่ายขวา! ไม่ว่าสถานะสูงต่ำหรือมาจากเผ่าใด ต้องสังหารให้สิ้นซาก!” 


 


 


“มือสังหารหรือ ผู้ใดกัน” เฟยหลัวชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในกระโจมครั้งหลายวันก่อน สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีลอบเข้ากระโจมรอคอยดักซุ่มสังหาร หลังเกิดเรื่องราวได้หลบหนีไปอย่างลอยนวล เอ่ยกันว่ายังเกือบจะจับตัวราชินีไปด้วย เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนว่ามีผู้คนไม่น้อยในทัพองครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าสมคบร่วมมือกับเขา เพียงแต่กงอิ้นไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวตลอดมา ทุกคนต่างนึกว่าเขากริ่งเกรงอิทธิพลของเหยียลี่ว์ฉีและไม่อยากเปิดเผยการต่อสู้สู่ภายนอก จึงยุติเพียงนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะลอบโยกย้ายทหารทัพใหญ่ ลงมือ ณ สถานที่สำคัญแห่งนี้ที่หนึ่งทหารเฝ้าด่าน หมื่นทหารมิอาจกล้ำกรายโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ควบคุมทัพองครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าในพริบตาโดยไม่มีแม้แต่คำทักทายสักคำ สังหารผู้คนมากมายเช่นนั้นฉับพลันโดยไม่ฟังคำอธิบายแม้แต่ประโยคเดียว! 


 


 


ในใจของทุกคนเคร่งเครียด ร่างกายเหน็บหนาว ต่างคิดว่าราชครูฝ่ายขวาอำนาจล้นฟ้า กระทำการเ**้ยมโหดโดยแท้ และมีบางคนสงสัยอยู่บ้างด้วยรู้สึกว่าการกระทำครั้งนี้ของกงอิ้นคล้ายแตกต่างจากนิสัยแต่ก่อนของเขา แต่ก่อนเขาไม่ได้เจ้าอารมณ์เพียงนี้ 


 


 


ในรถม้า ชุ่ยเจี่ยมีสีหน้าซีดเผือด จิ้งอวิ๋นแทบอยากจะย่อส่วนตนเองเข้าไปในรถม้า ยงเสวี่ยกลับค่อยๆ ผ่อนคลาย ตีมือของจิ่งเหิงปัวอย่างแผ่วเบาโดยพลัน เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มออกมานึกว่านางปลอบโยน ตีมือคู่น้อยของนางอย่างแผ่วเบา นางขมวดหัวคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยด้วยรู้สึกว่าแปลกประหลาด นางไม่เข้าใจการเมืองแต่เข้าใจหลักอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ ต่อให้ในหมู่คนพวกนี้มีผู้สมคบคิดกับเหยียลี่ว์ฉีร่วมมือกันจะฆ่ากงอิ้นก็เถอะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหยียลี่ว์ฉีไม่ใช่โจรกบฏแต่เป็นราชครูผู้มีศักดิ์แห่งราชสำนักที่มีสถานะเทียบเท่ากับกงอิ้น ซ้ำยังเป็นขุนนางร่วมท้องพระโรงเดียวกัน กงอิ้นไม่ได้มีเหตุผลเพียงพอขนาดสังหารผู้ที่ติดต่อกับเหยียลี่ว์ฉีได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกนั้นไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแต่เป็นคนของหกแคว้นแปดชนเผ่า กงอิ้นไม่ไว้หน้าหกแคว้นแปดชนเผ่าขนาดนี้ หรือไม่กลัวหกแคว้นแปดชนเผ่าจะไม่พอใจด้วยเหตุนี้เหรอ กระทำการตัดขาดไร้เยื่อใยไมตรีแบบนี้ไม่เหมือนทางเลือกของบุคคลผู้เจนจัดในการเมืองคนหนึ่งมั้ง 


 


 


หรือว่าเพื่อแสดงแสนยานุภาพเหรอ 


 


 


ไม่ว่าจะคาดเดาอย่างไร ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเฟยหลัวอบอุ่นขึ้นเชื่องช้า เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยอยู่บ้างว่า “กวาดล้างจารชนเป็นเรื่องสมควร เพียงแต่ใช้วิธีร้ายแรงเช่นนี้ ซ้ำยังกระทำการรุนแรงเช่นนี้ ท่านราชครูฝ่ายขวาคงจะไม่เห็นพวกเราหกแคว้นแปดชนเผ่าอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว!” 


 


 


“อืม” กงอิ้นขานรับเสียงหนึ่ง จากนั้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ทว่าข้าเพียงแต่ไม่ได้เห็นศักดิ์ศรีของพวกเจ้าอยู่ในสายตา หากว่ามีผู้ไม่ได้เห็นชีวิตของพวกเจ้าอยู่ในสายตาเล่า” 


 


 


“อะไรนะ” เฟยหลัวชะงักงัน 


 


 


เพียงการชะงักงันครั้งหนึ่งนี้ เสียงตะคอกเสียงหนึ่งดังขึ้นโดยพลัน ข้างหลังเฟยหลัวมีเงาคนหลายสายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เงาคนสายหนึ่งในนั้นพุ่งตรงสู่ข้างหลังเฟยหลัว ร่างร่วงลงบนม้าของนางแล้วบีบคอหอยของนางไว้ในครั้งเดียว 


 


 


เรื่องราวคราวนี้เกิดโดยฉับพลัน อีกทั้งเฟยหลัวมีท่วงท่าเชื่อมั่นปกป้องคนข้างหลังโดยสนิทใจ จะคิดไปได้อย่างไรว่าข้างหลังมีภัยร้าย นางร่วงสู่กำมือศัตรูโดยไม่ทันได้ประมือสักกระบวนท่าเดียว 


 


 


ทุกคนตะลึงลาน จากนั้นทยอยตวาดว่า 


 


 


“ปล่อยเสนาหญิง!” 


 


 


“โอหัง! บังอาจ!” 


 


 


ท่ามกลางเสียงตวาดนั้น กงอิ้นมีสีหน้าเย็นชา เหมิงหู่และผู้อื่นไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย สีหน้าเปี่ยมด้วยคำว่า “ดูสิ แท้จริงแล้วพวกเราปกป้องเจ้า แต่ตัวเจ้าเองไม่รู้ชั่วดี ยามนี้ซวยแล้วสิ สมน้ำหน้า!”  


 


 


“ปล่อยพวกเราไป!” ผู้ที่พุ่งออกมาทั้งสิ้นมีมากกว่าสิบกว่าคน ไม่เพียงแต่จับตัวเฟยหลัวไว้ ยังจับตัวเหล่าผู้นำชนเผ่าที่เหลือด้วย เปล่งเสียงดุดันยื่นข้อเสนอ 


 


 


บนรถม้า จิ่งเหิงปัวร้องเอ๊ะเสียงหนึ่ง 


 


 


นางรู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อย 


 


 


ลองนับจำนวนซากศพบนพื้น ทั้งหมดสิบกว่าศพ แล้วลองนับจำนวนผู้ที่พุ่งออกมาครั้งนี้ ทั้งหมดสิบกว่าคน บวกกันทั้งหมดแล้วได้จารชนสามสิบสี่สิบคน 


 


 


ต่อให้หกแคว้นแปดชนเผ่าค่อนข้างวุ่นวาย กองทัพค่อนข้างยุ่งเหยิง แต่ว่าจารชนสามสิบสี่สิบคน 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมีความสามารถยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียว อีกอย่างจารชนคนสมคบคิดยิ่งมากยิ่งเสียเรื่องไม่ใช่เหรอ 


 


 


เหล่าจารชนจำนวนมาก จับตัวเหล่าผู้นำไว้ถอยร่นไปด้านหลัง ผู้นำหน้าคนหนึ่งตะโกนก้องว่า “เตรียมรถม้าให้พวกเรา! เตรียมรถม้า!” 


 


 


กงอิ้นคล้ายไม่ทุกข์ร้อนเลยแม้แต่น้อย โบกมืออย่างเฉื่อยเนือยสงบเงียบ เหมิงหู่และผู้อื่นไปเตรียมรถม้าจริงแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ่งรู้สึกว่าแปลกประหลาดมากขึ้น 


 


 


การตอบสนองของกงอิ้นผิดปกติ 


 


 


ไปมาหาสู่กันนานขนาดนี้ นางเข้าใจธาตุแท้ที่ภายนอกเย็นชาภายในแข็งแกร่งถึงกระดูกทั้งร้ายลึกเก็บความรู้สึกซ้ำยังเผด็จการของเขาอย่างมาก ถูกยั่วยุขนาดนี้ เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกต่างหาก ทำไมถึงอ่อนแอขนาดนี้ได้ 


 


 


ม้าถูกจูงมาแล้ว รถม้าถูกส่งมาแล้ว รถม้าคันใหญ่โตกว้างขวาง เพียงพอจะบรรทุกผู้นำทั้งหมดที่ถูกจับตัวไว้ได้ คล้ายตระเตรียมพร้อมสรรพเนิ่นนานแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนั้นในใจยิ่งรุนแรงขึ้น 


 


 


ทุกสิ่งเกิดขึ้นจริงเบื้องหน้า ทว่าดั่งคลุมด้วยเมฆหมอกปริศนาเบาบางชั้นหนึ่งซึ่งเลือนรางพร่ามัวซุกซ่อนความจริง นางพยายามใช้สายตาสอดส่องเข้าไป แต่ไร้หนทางมองเห็นมือที่ควบเมฆคลุมฝนอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงได้ชัดเจน 


 


 


เหล่าจารชนจับตัวเหล่าผู้นำเข้าใกล้รถ ตะโกนก้องว่า “ห้ามตามมา! อวี้จ้าวหลงฉีสองค่ายห้ามขยับ!” 


 


 


กงอิ้นโบกมือจริงจัง ส่งสัญญาณให้สองทหารไม่ขยับเขยื้อน 


 


 


เหล่าจารชนเริ่มขึ้นรถม้า มีผู้เอ่ยโดยพลันว่า “รถม้านี้จะซ่อนแฝงเล่ห์กลอันใดไว้หรือไม่” 


 


 


ผู้คนขยับศีรษะเบียดกัน ทุกคนคุมเชิงกันขยับเขยื้อนเชื่องช้า วาจานี้มาจากฝูงชนจึงจำแนกไม่ออกว่าผู้ใดเอื้อนเอ่ย ทว่าเหล่าจารชนที่จับตัวผู้นำไว้ ฟังแล้วย่อมรู้สึกว่ามีเหตุผลโดยแท้ แววตาสำรวจทั่วสี่ทิศโดยสำนึก 


 


 


จิ่งเหิงปัวตื่นตะลึงในใจ แอบร้องว่าแย่แน่ 


 


 


แขนเสื้อของกงอิ้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสยายเพียงน้อย ท่าทางเย็นชาสงบนิ่ง 


 


 


ดังเช่นนางคาดการณ์ มีผู้กวาดสายตาไปมารอบหนึ่งแล้วชี้ไปยังราชรถของราชินี เอ่ยว่า “ราชรถของราชินี ต้องไร้ปัญหาแน่นอน! ให้นางถอยให้พวกเรา!” 


 


 


เสียงวาจายังไม่ทันสิ้น มีผู้พุ่งเข้ามาโดยพลัน คนขับรถตกใจจนร้องเสียงดังเสียงหนึ่ง ทั้งกลิ้งทั้งคลานกระโดดหลบหนีจากแอกรถ 


 


 


“เฮ้ยๆ ไอ้สารเลวนี่!” จิ่งเหิงปัวตะโกนด่าเสียงหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้คนของกงอิ้นยังถูกกั้นขวางอยู่ฝั่งตรงข้าม อวี้จ้าวหย่งเลี่ยสองค่ายอยู่รอบนอกห่างไกล พวกหกแคว้นแปดชนเผ่าที่เหลือหลบไปรวมเป็นกลุ่มก้อนเพื่อหลีกเลี่ยงภัยอันตราย ขวางกั้นเส้นทางที่องครักษ์ของกงอิ้นจะเข้ามาช่วยเหลือ เบื้องหน้าราชรถของราชินีมีแต่ศัตรูทั้งนั้น! 


 


 


“รีบทิ้งรถ! หนีไปทางหลงฉี!” จิ่งเหิงปัวทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ทางหลงฉีแม้ว่าไกลไปหน่อย แต่ว่าทหารเหล่านั้นคือทหารม้า ขอเพียงตนเองไม่กี่คนรีบพุ่งไปไม่กี่ก้าว เป็นไปได้ว่าทหารม้าจะช่วยไว้ได้ทันก่อนหน้าศัตรู 


 


 


ผู้หญิงสามคนตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง มีเพียงชุ่ยเจี่ยเร่งเร้าประคองยงเสวี่ยขึ้นมา กระโปรงของเด็กคนนั้นถูกคานหน้ารถดึงไว้ จิ่งเหิงปัวพุ่งเข้าไปผลักนางลงจากรถม้าในครั้งเดียว 


 


 


ตอนผลักยงเสวี่ยลงจากรถคล้ายว่าผีสางเทวดาดลใจ ช่วงเวลาตึงเครียดขนาดนี้ นางยังเหลียวมองกงอิ้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบริเวณใกล้แวบหนึ่ง 


 


 


เพริศพรายแม้ปราดเดียวคือดวงหน้าเย็นชาเช่นเดิมของเขา เขายังมิได้ขยับเขยื้อน 


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวเย็นวาบขึ้นมา ความรู้สึกเปรี้ยวฝาดหอบหนึ่งจุกตรงคอหอยในพริบตา นางสะบัดศีรษะหนึ่งครั้งอย่างรุนแรงหวังสะบัดอารมณ์ส่วนเกินนี้ทิ้งไป มือหนึ่งลากจิ้งอวิ๋นอีกมือหนึ่งลากชุ่ยเจี่ยจะกระโดดลงจากรถ 


 


 


“ฝ่าบาทอย่าทรงกลัว! กระหม่อมมาช่วยพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้นโดยพลัน เงาร่างอ่อนวัยสายหนึ่งพุ่งออกมาจากฝูงองครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าที่หลบอยู่ทางหนึ่ง 


 


 


ประหนึ่งถูกความกล้าหาญของเขาบันดาลใจ ข้างหลังเขามีผู้ทยอยพุ่งออกมาอีกสองสามคน 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองจนละเอียดครั้งหนึ่ง เขาคือองครักษ์น้อยหน้ากลมเผ่าหลิวหลีคนนั้น คนนั้นที่นางถือว่าเป็นน้องชาย ในหมู่คนของหกแคว้นแปดชนเผ่าที่มาแสดงความเป็นห่วงเหล่านั้น ผู้อ่อนวัยคนนี้บังเอิญพบนางมากที่สุด รอยยิ้มอบอุ่นใสซื่อทุกครั้งของเขาตราตรึงลึกซึ้งในความทรงจำของนาง 


 


 


ความอบอุ่นหวนคืนท่ามกลางวิกฤตกาล ดวงใจของนางสั่นสะท้าน น้ำตาแทบระรื้นคลอเบ้า 


 


 


แต่วคล้ายดั่งผีสางเทวดาดลใจอีกครั้ง ในช่วงเวลาทั้งอบอุ่นทั้งซึ้งใจนี้ นางชำเลืองมองกงอิ้นอีกแวบหนึ่ง 


 


 


ครั้งนี้กงอิ้นมีสีหน้าท่าทางแล้ว 


 


 


สีหน้าแปลกประหลาด 


 


 


เขากลับ…กำลังยิ้ม  

 

 


ตอนที่ 50 - 2 เปลื้องผ้าเจ้า!

 

มุมปากกระหวัดขึ้นเล็กน้อยสยายยิ้มเชื่องช้า ยังคงสูงส่งเย็นชาเช่นเดิม ในความเหน็บหนาวประดุจหิมะเยือกแข็งบนภูผาสูงชัน สุดท้ายแล้วจึงมีความเสียดสีเช่นนั้นเลือนรางท่ามกลางความมั่นใจหลายส่วน การปล่อยวางหลายส่วนและการคาดการณ์หลายส่วน รอยยิ้มนี้หยุดตรึงเชื่องช้าตรงมุมปาก งดงามทว่าพาให้ผู้เชยชมหนาวสะท้าน


 


 


ดวงใจของจิ่งเหิงปัวพลันร่วงหล่นสู่หุบเหว เยือกเย็นเป็นน้ำแข็ง


 


 


ไม่แม้แต่จะคิด นางหมอบอยู่บนแอกรถตะโกนเสียงดังว่า “ถอยกลับไป!”


 


 


เสียงยังมิทันสิ้น แสงสว่างสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาโดยพลัน!


 


 


แสงโค้งสว่างดุจหิมะ พัดพลิ้วปราดเปรียว งามคดเคี้ยวดั่งมังกร!


 


 


มังกรนั้นพุ่งขึ้นมาจากด้านหลังผู้อ่อนวัยหน้ากลมในพริบตา นัยน์ตาที่เพิ่งสาดส่องผู้คนปรากฏตรงด้านหลังผู้อ่อนวัยหน้ากลมเสียแล้ว ส่วนยอดสะบัดเพียงน้อยดั่งมังกรยักษ์เชิดศีรษะหยิ่งผยองขึ้นแล้วมองลงมาน่าเกรงขาม ในพริบตาต่อมาจึงพุ่งลงมาปานสายฟ้าแลบ


 


 


“ฉึก”


 


 


เส้นโค้งฉวัดเฉวียนตรงลำคอ หนามแหลมโผล่ออกมาดุจน้ำแข็ง แสงสีขาวแลแสงโลหิตร่วมกระเซ็น ศีรษะหนึ่งพร้อมด้วยโลหิตสูงประมาณจั้งเหินกลางอากาศ


 


 


อาวุธรูปร่างยาวนั้นคำรามเวียนวนกลางอากาศ ยามนี้ทุกคนจึงมองเห็นว่าสิ่งนั้นคืออาวุธรูปร่างยาวปานสายโซ่สายหนึ่ง ส่วนยอดมีลูกตุ้มแหลม สองข้างประดับด้วยหนามย้อนปานเหลี่ยมน้ำแข็งนับถ้วน ทั้งอาวุธขาวดุจหิมะ ยิ่งกลางพิรุณโลหิตยิ่งมิแปดเปื้อนสีแดงแม้เพียงน้อย


 


 


แสงเหน็บหนาวกะพริบวูบ สูญสลายสู่มือกงอิ้น


 


 


ทุกคนอุทานอย่างตื่นตะลึงนึกไม่ถึงว่าเขาจะลงมือด้วยตนเอง ทว่าอาวุธคดเคี้ยวงดงามเช่นนี้ เหมาะสมกับเขาอย่างยิ่งจริงแท้


 


 


สายตาของจิ่งเหิงปัวกลับเบนขึ้นไปด้านบนตามศีรษะนั้น เบนขึ้นไป เบนขึ้นไป…


 


 


ศีรษะนั้นสองตาเบิกกว้าง กล้ามเนื้อบนใบหน้าตึงเครียดเกร็งแน่น ยังคงไว้ซึ่งสีหน้าห่วงใยอย่างสุดซึ้งชั่วขณะก่อนสิ้นชีพนั้น


 


 


ร่างกายไร้ศีรษะของเขายังคงสืบเท้ามาเบื้องหน้าสองก้าวตามแรงเฉื่อย มือสองข้างที่ชุ่มโชกด้วยโลหิตกางออกมาหานาง


 


 


คงไว้ซึ่งท่วงท่าที่อยากจะช่วยเหลือนาง


 


 


ผู้อ่อนวัยที่ให้ความอบอุ่นแด่นางอย่างรวดเร็วที่สุดและเด่นชัดที่สุดในระหว่างการเดินทางลำบากยากเข็ญตลอดเส้นทางผู้นี้…


 


 


นอกจากนางแล้วไม่มีใครเข้าใจการปลอบโยนและการปลอบใจที่เขานำมา…


 


 


ผิวพรรณทั่วร่างของจิ่งเหิงปัวเย็นเยียบไปหมด


 


 


โลหิตกลับร้อนผ่าวในพริบตาเดียว


 


 


ประหนึ่งเพลิงแผดเผาความสงสัยที่เก็บซ่อนไว้ในเบื้องลึกของจิตใจ


 


 


นางเงยหน้าจดจ้องกงอิ้นฉับพลัน


 


 


กำจัดจารชน กำจัดผู้เห็นต่าง กำจัดผู้ที่เป็นมิตรต่อนางหรืออาจจะกลายเป็นพละกำลังให้นางทั้งหมด ใช่ไหม


 


 


กำจัดพลังที่นางอาจจะพึ่งพาทั้งหมดทิ้ง ทำให้นางสิ้นไร้ทุกสิ่ง ตั้งตนไม่ได้ กลายเป็นหุ่นเชิดของเขาเพียงคนเดียวไปตลอดกาล ใช่ไหม!


 


 


ความโกรธแค้นพังทลายดังครืนดุจภูผาจุดปะทุดอกไม้เพลิงออกมานับไม่ถ้วน ในดวงตาของนางเหลือเพียงกงอิ้น เขาผู้สูงส่งเย็นชา สงบนิ่ง เฉยเมย เชยชมการสังหารนองเลือดทั้งมวลบนแดนมนุษย์อย่างชินชา


 


 


รถม้าที่บรรทุกจารชนและตัวประกันจนเต็มคันเคลื่อนผ่านข้างกายนางแล้ว นางไม่รับรู้


 


 


องครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าถูกกวาดต้อนกระจัดกระจายแล้ว นางไม่รับรู้


 


 


ค่ายหลงฉีและค่ายหย่งเลี่ยไล่ตามมาแล้ว นางไม่รับรู้


 


 


ชุ่ยเจี่ยพุ่งเข้ามาคิดที่จะดึงกระโปรงของนางไว้ นางไม่รับรู้


 


 


กงอิ้นควบอาชาพุ่งเข้ามาแล้ว นางมองเห็นแล้ว


 


 


นางมองเห็นเพียงเจ้าคนนั้นสืบเข้ามาใกล้ดุจกองหิมะล้อมหยก ความสะอาดสะอ้านบ้าบอ ความงามบริสุทธิ์บ้าบอ ทรราชบ้าบอที่สังหารผู้ที่นางถือว่าเป็นน้องชายแต่ยังไม่แปดเปื้อนเลือดแม้แต่หยดเดียว!


 


 


นางจะฆ่าเขา อัดเขาให้น่วม โยนเขาเข้าไปในบึงโคลนที่เหม็นที่สุดแล้วใช้โคลนหยาบแปดหมื่นชั่งฝังกลบเขา!


 


 


“ย้ากๆๆ ย้ากๆ!” นางร้องตะโกนกระโดดลงจากรถม้า ชุดพิธีการหนักอึ้งเกี่ยวไว้จนนางเกือบจะล้มลง นางฉวยมือชิงมีดในมือขององครักษ์ผู้หนึ่ง ยกมือขึ้นลดดาบลง แสงขาวกะพริบวูบ…


 


 


ชายกระโปรงสีแดงเข้มปักทองงดงามท่อนหนึ่งถูกฟันหลุดร่วง นางเหยียบย่ำชายกระโปรงท่อนหนึ่งซึ่งร่วงลงมาแล้วพุ่งไปข้างหน้า


 


 


ชั่วขณะนี้


 


 


ผู้เดินเท้าลืมเดินเท้า


 


 


ผู้ควบม้าลืมควบม้า


 


 


ผู้ที่ดึงนางลืมดึง


 


 


ผู้ห้อตะบึงเข้ามาเกือบจะร่วงจากม้า


 


 


ทุกผู้คนปากอ้าตาค้างมองดูจิ่งเหิงปัว กระโปรงฉีกขาดเป็นท่อนใหญ่ท่อนหนึ่ง แม้แต่กางเกงด้านในยังฉีกขาดไปด้วย ผลุบโผล่ผุดเผยขาอ่อนขาวดุจหิมะระหว่างการทั้งกระโดดทั้งวิ่ง นางใช้ท่วงท่าแปลกแยกแตกต่างที่ทำให้ดวงใจของราษฎรต้าฮวงตื่นตะลึงท่าหนึ่งนี้วิ่งอย่างบ้าคลั่งไปทางกงอิ้น…


 


 


กงอิ้นหยุดชะงัก สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน แววตาวูบไหว ยามมองโดยละเอียดกลับพบการเฝ้ารอคอยเบาบาง


 


 


“ย้ากๆ ย้ากๆ…” ต้าปัวผู้บ้าคลั่งด้านหนึ่งวิ่งอีกด้านหนึ่งกวัดแกว่งสองมืออย่างรุนแรง กงอิ้นรู้สึกว่าท่วงท่านี้มีความคุ้นเคยเลือนรางบางส่วน ในใจพวยพุ่งด้วยความรู้สึกถึงลางร้าย อดจะตะโกนโพล่งออกมาอย่างเย็นชามิได้ว่า “เจ้าห้าม…”


 


 


“ลงมา!”


 


 


เสียงหนึ่งตะโกนก้อง รวดเร็วเสียยิ่งกว่าเขา


 


 


“พลั่ก”


 


 


ทุกคนมองดูกงอิ้นที่นั่งสง่าบนหลังม้า เรือนร่างหงายเพียงครั้งโดยพลันคล้ายถูกคนหิ้วขึ้นมาอย่างรุนแรง จากนั้นร่วงจากหลังม้าดังพลั่ก ร่างทิ่มลงไปในดินโคลนต่อหน้าต่อตา


 


 



 


 


“พลั่ก”


 


 


จิ่งเหิงปัวที่วิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งแข้งขาอ่อนแรงกะทันหัน ทั้งสูญเสียการทรงตัว ร่างทิ่มลงไปบนท้องของกงอิ้นทันที


 


 



 


 


ชะงักงันกันทั้งลานกว้าง


 


 


ผู้หลบหนีเกือบจะลืมหลบหนี ผู้ไล่ล่าลืมไล่ตามไปเนิ่นนานแล้ว ผู้หวังปกป้องเสด็จมิรู้ว่าควรปกป้องผู้ใด ผู้หวังห้ามการวิวาทหาผู้ถูกทำร้ายนั้นไม่พบ


 


 


สถานการณ์หนึ่งเบื้องหน้ามีแรงโจมตีมากยิ่ง แม้แต่ค่ายหย่งเลี่ยที่รอดผ่านศึกนับร้อยยังทำได้เพียงยืนงงงวยอยู่ตำแหน่งเดิม มองราชครูผู้สูงส่งดุจเทพดั่งหิมะในดวงใจของราษฎรต้าฮวงถูกทุ่มสู่ฝุ่นธุลี มองราชินีผู้ทรงบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ในดวงใจของราษฎรต้าฮวงซบพระพักตร์ลงบนท้องน้อยของราชครูที่พวกเขายกย่องให้บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน…


 


 


อา…


 


 


ล้มล้างเกินไปแล้ว…


 


 


มิใช่ ยังล้มล้างไม่จบสิ้น


 


 


การทุ่มเขาใช้พลังมหาศาล จนถึงวันนี้จิ่งเหิงปัวเคยใช้เพียงสองครั้ง ครั้งหนึ่งกับเหยียลี่ว์ฉีอีกครั้งหนึ่งกับกงอิ้น ทุกครั้งที่ใช้จะเหนื่อยล้าอ่อนแรงทั่วร่างอ่อนยวบ ต่อให้เป็นแบบนี้นางยังไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป พุ่งชนกงอิ้นคลานขึ้นไปข้างบนทันทีแล้วขี่บนร่างกงอิ้น กำปั้นแกว่งขึ้นมาเล็งตรงใบหน้าซีกขวาของกงอิ้นแล้วปล่อยหมัดอย่างรุนแรงเพียงครั้ง…


 


 


“เพียะ”


 


 


เสียงดังกังวาน


 


 


ฝูงชนล้อมรอบที่อดทนมองฉากหนึ่งนี้มิได้ ได้ยินเสียงผิดปกติจึงหาญกล้าลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทางสั่นสะท้าน


 


 


ข้อมือของจิ่งเหิงปัวถูกกงอิ้นคว้าไว้ กำลังลอยสูงกลางอากาศ จิ่งเหิงปัวดิ้นรนหลายครั้ง รอยมือของกงอิ้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย


 


 


“เจ้าทำอะไร! หลีกไป!” เขาเอ่ยด้วยความโกรธ แลมิรู้ว่าเพราะโกรธเคืองหรือเขินอาย ใบหน้าดุจน้ำแข็งดั่งหิมะในยามปกติกลับพวยพุ่งด้วยสีแดงจางชั้นหนึ่ง


 


 


แดงซ่านดั่งสีกระจกเคลือบ ขับให้นัยน์ตาสุกสว่างของเขาโดดเด่นเช่นผลึกธารสีนิล


 


 


หากเป็นเวลาปกติจิ่งเหิงปัวคงต้องน้ำลายไหลหยดย้อยเพราะได้พบเห็นทิวทัศน์งดงามยากพบพานนี้ ขณะนี้เพลิงโทสะลุกโชนจึงทำเป็นมองไม่เห็น กวัดแกว่งมืออีกข้างหนึ่งซึ่งเป็นอิสระเพียงมือเดียวโจมตีลงมาอีกครั้งอย่างรุนแรง


 


 


“หยุดนะ!” กงอิ้นยื่นมือไปขวางอีกครั้ง มือของจิ่งเหิงปัวกวัดแกว่งถึงครึ่งทางกลับร่นถอยไปข้างหลังทันที วนโค้งครั้งหนึ่งหยิกใบหน้าของกงอิ้นไว้ในครั้งเดียว


 


 


สองนิ้วหนีบไว้ ร่องนิ้วใช้แรงหยิก ฉันหยิก ฉันหยิก ฉันหยิกๆๆ !


 


 


“ไอ้หน้านิ่ง! ไอ้ภูเขาน้ำแข็ง! ไอ้น่ารำคาญ!” นางร้องเสียงดังว่า “เกลียดคนเยี่ยงเจ้าที่สุดเลย! เหตุใดถึงต้องสังหารเขา! อธิบายให้ข้าฟังเลยนะ! มิเช่นนั้นข้าจะ…มิเช่นนั้นข้าจะ…”


 


 


ทุกคนที่ล้อมรอบหายใจมิได้เสียแล้ว…


 


 


กงอิ้นแข็งทื่อเช่นกัน


 


 


มีชีวิตอยู่จนถึงบัดนี้ ตนอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง เขาถูกผู้อื่นทำร้ายแลเคยทำร้ายผู้อื่น เคยรับสายลมดุจคมมีดน้ำค้างดุจคมกระบี่มามากมาย ทว่าการชำระแค้นที่ “โหดร้าย” เช่นนี้ เขาเคยพานพบเป็นครั้งแรกในชั่วชีวิต


 


 


ตกตะลึงเหลือเกิน แม้แต่วาจาของจิ่งเหิงปัวยังได้ยินมิชัดเจน มองเห็นเพียงนัยน์ตาแผดเผาวาวแววของนาง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยเพราะโกรธแค้นโหมซัดจนคล้ายจะประชิดมาเบื้องหน้า


 


 


นางโกรธแค้นแทนความเป็นความตายของผู้อื่น…


 


 


แววตาเขาเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


“มิเช่นนั้นเจ้าจะทำอะไร” ดวงใจคล้ายมีสิ่งเยือกเย็นสิ่งใดสักอย่างขวางกั้นไว้ เขาเองหลงลืมสถานการณ์บัดนี้เช่นกัน สะบัดมือของนางออกไปดังเพียะพลางซักถามอย่างเย็นชา


 


 


“มิเช่นนั้นข้าจะ…” จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าทั้งการฆ่าแกงทั้งการตอนทิ้งหรือสิ่งอื่นล้วนเป็นเพียงการขู่ขวัญตบตา เรื่องที่ทำไม่ได้กล่าวแล้วน่าลำพองใจตรงไหน ต้องเลือกเรื่องที่สามารถทำได้มากระตุ้นเขาถึงจะถูก


 


 


มองเห็นคอเสื้อของเขาแวบหนึ่ง คอเสื้อนั้นใช้ไข่มุกสีทองอ่อนขนาดมหึมาเม็ดหนึ่งพันผูกไว้อย่างแน่นหนาด้วยไหมทองเส้นหนึ่ง


 


 


นางนึกถึงคอเสื้อที่ผูกไว้ด้วยก้านอ่อนในตอนนั้นขึ้นมาทันที จักรวาลน้อยลุกโชนด้วยเพลิงโทสะโหมกระหน่ำอีกครั้ง


 


 


ไอ้น่ารำคาญ! ไอ้เสแสร้งทำดี! ไอ้โจรพิทักษ์คุณธรรม! ไอ้บ้าความบริสุทธิ์!


 


 


วิธีที่ดีที่สุดในการโจมตีพวกบ้าความบริสุทธิ์คือให้เขาวิ่งแก้ผ้า!


 


 


นางดึงไหมทองทิ้งดังสวบอย่างคล่องแคล่ว ฉวยมือดึงไข่มุกเขวี้ยงทิ้งเพียงครั้ง จับคอเสื้อของเขาเอาไว้ในครั้งเดียวใช้สองมือกระชากออกอย่างรุนแรง


 


 


“มิเช่นนั้นข้าจะเปลื้องผ้าเจ้ากลางวันแสกๆ!”


 


 


“…”


 


 


เสียงสูดหายใจดังกังวาน


 


 


ผู้คนส่วนใหญ่คล้ายอยากพุ่งไปด้านหน้าแลคล้ายอยากถอยไปด้านหลัง ฝ่าเท้าขยับเขยื้อนไร้ท่วงท่า ท่าทางไม่ขึ้นหน้าไม่ถอยหลัง ไม่รู้ว่าควรช่วยเหลือหรือว่าควรหลีกลี้กันแน่


 


 


สีหน้าบนใบหน้ายากจะเปลี่ยนปรับอย่างยิ่งเช่นกัน ควรจะหัวเราะหรือว่าควรจะแสดงความโกรธแค้นกันแน่ ตามหลักแล้วควรจะเป็นสิ่งหลัง ทว่าตามอารมณ์แล้วต้องปฏิบัติตามสิ่งแรกด้วยไร้หนทาง เฮ้อ หวังจัดระเบียบสีหน้าชั่วขณะนี้ให้ดี ยากเย็นยิ่งนัก


 


 



 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นมุมปากของกงอิ้นกำลังกระตุกอย่างชัดเจน


 


 


สีหน้าแบบนี้เกิดขึ้นบนใบหน้าเขา แลดูแปลกประหลาดมากจริงๆ


 


 


อีกทั้ง…สายตาของนางอดจะทอดลงไปข้างล่างไม่ได้…แม้ว่าขณะนี้มีเรื่องอื่นแอบแฝงโกรธแค้นแน่นอก ยังต้องยอมรับว่าทิวทัศน์ตรงนี้ดีจริงๆ แฮะ…


 


 


แผ่นอกกระดูกไหปลาร้าดุจหยก ผิวพรรณครึ่งผืนดั่งหิมะ…


 


 


“ปล่อย ข้า นะ!” เสียงของผู้หนึ่งเปี่ยมด้วยไอเหน็บหนาว ผู้ฟังรู้สึกว่าเบื้องหน้าคล้ายอบอวลด้วยหมอกขาวขึ้นมา


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักไปชั่วครู่


 


 


“ไม่ไหวแล้วแม่งเอ้ย!” นางกล่าวเสียงดังว่า “ข้าต่อยเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ จะทับเจ้าไว้ได้หรือ ตัวเจ้าเองติดใจไม่ยอมลุกขึ้นมาเกี่ยวอะไรกับข้า!”


 


 


“…”


 


 


ในชั่วพริบตาใบหน้าของท่านราชครูออกสีเขียวแล้ว


 


 


ยิ่งกว่านั้นมีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง


 


 


ในที่สุดทุกคนจึงตัดสินใจว่า…มองผู้อาวุโสเป็นเรื่องต้องห้าม หันกายไปทำเป็นมองไม่เห็นดีกว่า!


 


 


เสียง “ฟิ้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้น ท่านราชครูผู้ถูกหยิกอย่างไร้ความปราณีจนฟื้นคืนสติดีดองค์ราชินีผู้ลวนลามเขาต่อหน้าธารกำนัลจนเพียงพอแล้วออกไปในที่สุด


 


 


จิ่งเหิงปัวลอยสูงขึ้นไปแต่ไม่ได้ร่วงลงมาอย่างรุนแรง ตอนร่วงพื้นเรือนร่างเด้งครั้งหนึ่ง ร่วงลงบนชายกระโปรงกองหนึ่งนั้นที่ตนเองฟันออกมาพอดี


 


 


ผ้าคลุมสีหิมะผืนใหญ่ผืนหนึ่งสะบัดตามมาคลุมขาของนางไว้


 


 


เสียงของกงอิ้นฟังแล้วยิ่งเย็นยะเยือก


 


 


“ขอฝ่าบาทเสด็จกลับรถม้า! ห้ามเสด็จออกไปโดยพลการแม้แต่ก้าวเดียว!” 

 

 


ตอนที่ 50 - 3 เปลื้องผ้าเจ้า!

 

“ห้ามเสด็จโดยพลการ! เหอะๆ ห้ามเสด็จโดยพลการ!” จิ่งเหิงปัวกลิ้งไปมาในรถม้าอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง กล่าวว่า “พี่อยากไปไหนก็ไป อยากอยู่ไหนก็อยู่ เสแสร้งกับพี่ให้น้อยหน่อย!”


 


 


สตรีสามนางนั้นต่างเงียบกริบไม่ปริปาก…กับจิ่งเหิงปัวผู้ทำสิ่งใดไร้เหตุผลปรกติ หุบปากเสียดีกว่า


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับไม่ยอมปล่อยพวกนางไป เอนกายถ่างแข้งถ่างขาในคันรถ ดวงตามองเพดานรถ กล่าวขึ้นมาเชื่องช้าว่า “พวกเจ้าว่า เหตุใดเขาต้องสังหารเด็กเผ่าหลิวหลีผู้นั้น”


 


 


เมื่อครู่เพลิงโทสะพุ่งขึ้นศีรษะ ลางสังหรณ์ของนางตัดสินว่ากงอิ้นจะสังหารกำจัดผู้อาจจะกลายเป็นกำลังช่วยเหลือนางทั้งหมด ขณะนี้ใจเย็นขึ้นมาสักหน่อยแล้ว นางเริ่มครุ่นคิดอีกครั้งว่ามีความเป็นไปได้อย่างอื่นหรือไม่ อย่างไรเสียแต่ไหนแต่ไรมากงอิ้นไม่ใช่คนป่าเถื่อนตามอำเภอใจ นางไม่เคยเห็นเขาสังหารผู้อื่นมั่วซั่ว


 


 


ข้อดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจิ่งเหิงปัวคือไม่สมองทึบทึมทื่อ แน่นอนว่า แท้จริงแล้วด้วยเพราะนางไม่ชอบใช้ความคิดไม่ชอบทรมานตนเอง แต่ว่าสิ่งที่นางเองยังไม่รู้สึกตัวคือ ทุกครั้งพบเจอเรื่องราวเกี่ยวกับกงอิ้น สมองของนางจะใช้ความคิดอย่างขยันขันแข็งขึ้นมา


 


 


บนใบหน้าของจิ้งอวิ๋นปรากฏสีหน้าหวาดกลัว นางส่ายศีรษะสะอึกสะอื้นเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้…เด็กผู้นั้น…น่าสงสารยิ่งนัก…” เอ่ยไปเบ้าตาแดงเสียแล้ว


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวสับสนวุ่นวาย ไม่อยากสนทนากับนาง เพียงเท้าศีรษะไว้


 


 


“ใส่ใจมากมายเช่นนั้นทำอะไรเล่า” ชุ่ยเจี่ยคล่องแคล่วปากไวเอ่ยว่า “บุรุษมีความคิดของบุรุษ ความคิดของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งซับซ้อน ทว่าต้าปัว นิสัยนี้ของเจ้าควรสำรวมเสียหน่อยหรือไม่ แม้เอ่ยว่าข้ารู้สึกว่านิสัยนี้ของเจ้าดียิ่งนัก ทว่าอย่างไรเสียต้าฮวงมิเฉกเช่นหอเฟิ่งไหลชี”


 


 


วาจานี้จิ่งเหิงปัวไม่ชอบฟัง กลอกตาขาวหันกายไปครั้งหนึ่ง


 


 


“ราชครูมิใช่ผู้เข่นฆ่าบ้าโลหิต” เด็กหญิงน้อยยงเสวี่ยผู้ไม่ชอบเอ่ยวาจาเอ่ยวาจาอย่างเหนือความคาดหมาย เสียงแผ่วเบาเอ่ยว่า “พี่ต้าปัวถามพวกเรา ยังมิสู้ไปถามราชครูด้วยตนเอง”


 


 


วาจานี้คล้ายเอ่ยไปถึงเบื้องลึกของหัวใจ ซ้ำยังคล้ายยากจะยอมรับแบบนั้นอยู่บ้าง จิ่งเหิงปัวร้องเฮอะเสียงหนึ่งลุกขึ้นนั่งมองดูข้างนอก แสงสายัณห์จมดิ่ง กองทัพกลับสู่ความปกติแล้ว พวกเขากำลังแสวงหาสถานที่เหมาะสมสำหรับตั้งค่ายและตระเตรียมค่อยเข้านครในวันพรุ่ง ราชินีมิอาจเข้าสู่นครตี้เกอยามค่ำคืน


 


 


สองทหารขาวดำครึ่งหนึ่งลาดตระเวนพิทักษ์อยู่ห่างไกล ทหารอีกครึ่งหนึ่งเอ่ยกันว่าไปไล่จับจารชนที่จับตัวตัวประกันพวกนั้นแล้ว องครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าที่เหลือถูกรวมพลไว้ด้วยกัน แลคล้ายถูกปกป้องโดยองครักษ์ของกงอิ้นแต่แท้จริงแล้วถูกจับตามองเสียกึ่งหนึ่ง


 


 


ทุกสิ่งปกติอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อนหน้าแบบนั้นของจิ่งเหิงปัวกลับมาอีกแล้ว


 


 


ตัวประกันไปไหนแล้ว


 


 


ทำไมจารชนถึงรอดพ้นการไล่จับของทหารทัพใหญ่


 


 


ตอนตัวประกันถูกลักพาตัวจากไปเป็นตอนที่นางพุ่งไปทางกงอิ้นอย่างโกรธแค้นด้วยเพราะผู้อ่อนวัยเผ่าหลิวหลีนั้นถูกสังหารพอดี นางไม่ได้สังเกตสถานการณ์ของจารชนและตัวประกันด้วยเพราะเพลิงโทสะพุ่งขึ้นศีรษะ คนแบบกงอิ้นนั้น จะสะเพร่าด้วยเหตุนี้ได้อย่างไร


 


 


จิ่งเหิงปัวคลานขึ้นมาตบประตูรถ ตะโกนว่า “เอาข้าวมาเร็ว! ข้าหิวแล้ว! จะกินข้าว!”


 


 


อาหารเย็นส่งมาอย่างรวดเร็วยิ่ง องครักษ์ผู้ส่งอาหารมองราชินีอย่างแปลกใจและไม่พอใจยิ่งนักปราดหนึ่ง…ทางราชครูนั้นเพิ่งเอ่ยว่าไม่ทานอาหารเย็นแล้ว ท่านนี้กลับเจริญอาหารดีแท้


 


 


จิ่งเหิงปัวกินอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว ตอนกินทำกระโปรงสกปรกทำน้ำหกเลอะเปียกพรม เช่นนี้ชุ่ยเจี่ย จิ้งอวิ๋นและยงเสวี่ยจึงมีงานทำทั้งสามคน คนหนึ่งไปล้างจาน คนหนึ่งนำพรมออกไปผึ่ง อีกคนหนึ่งไปซักเสื้อผ้า


 


 


รอให้ทั้งสามคนจากไป จิ่งเหิงปัวเรียกหาเฟยเฟยเสียงหนึ่ง เรือนร่างกะพริบวูบหายไปแล้ว


 


 


หลังจากกะพริบครั้งหนึ่ง นางออกมาจากสถานที่ตั้งค่าย มองดูรอยเท้าและรอยกีบเท้าม้าบนพื้น


 


 


หลังจากกะพริบวูบอีกครั้ง นางมองเห็นก้นม้าสีขาวหิมะของหลงฉีที่อยู่เบื้องหน้า


 


 


เรื่องที่แปลกประหลาดคือ นี่ควรเป็นหลงฉีที่ไปไล่จับจารชนชิงตัวประกันกลับมา แม้รับผิดชอบภารกิจสำคัญเช่นนี้ ทหารเหล่านี้ไม่ได้มีท่าทีเครียดเคร่งเร่งรีบแม้แต่น้อย เชิดแส้ชี้ทิวทัศน์ เตร็ดเตร่เร่เยื้องกราย เอ่ยวาจาเริงสราญตลอดเส้นทางประหนึ่งไปย่ำวสันต์


 


 


เรื่องนี้เพิ่มเติมหลักฐานให้การคาดเดาของจิ่งเหิงปัวอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


ทหารม้าเหล่านี้มิได้ส่งพลสอดแนมออกไปตามหารอบทิศทาง พวกเขามุ่งตรงไปเบื้องหน้าตามเส้นทางสายหนึ่งคล้ายมีจุดมุ่งหมายแต่เนิ่นนานแล้ว จิ่งเหิงปัวมองเห็นเส้นทางนั้นมีเพียงสายเดียว กะพริบกายต่อเนื่องหลายครั้ง ขยับไปจนถึงด้านหน้าที่สุดของกองทัพพวกเขา


 


 


นางถึงจุดหมายปลายทางแล้วจึงหันมองรอบด้าน อืม ด้านหน้าห่างไปไม่ไกลเป็นที่ลุ่มแห่งหนึ่งจริงด้วย มีบ้านผุพังหลายหลังคล้ายเป็นหมู่บ้านเขตภูเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งถูกทิ้งร้าง ในหมู่บ้านเขตภูเขามีเงาคนมากมายกำลังเคลื่อนไหว


 


 


นางมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ระยะทางไกลไปหน่อย อีกทั้งด้านหน้าเป็นที่ราบกว้างใหญ่ไร้สิ่งกำบังผืนหนึ่ง ถ้าหายตัวไปไม่ไกลยืนอยู่ใจกลางที่ราบพอดี คนในหมู่บ้านคงมองเห็นในแวบเดียว รอให้มืดสนิทดีกว่ามั้ง


 


 


รอฟ้ามืดสนิทแล้ว นางจะลอบเข้าหมู่บ้าน ดูว่ากงอิ้นกำลังเล่นกลอะไรกันแน่!


 


 


ข้างกายมีต้นไม้ต้นหนึ่ง ลำต้นเตี้ยผอมบาง ใต้ต้นไม้มีพงหญ้าอ่อนนุ่ม นางเอนกายลงในพงหญ้าใต้ต้นไม้ เตรียมนอนหลับก่อนสักงีบอย่างสบายอกสบายใจ


 


 


เพิ่งหลับตาลง สิ่งของอะไรสักอย่างปลิวอยู่บนหน้าจนรู้สึกคันยุบยิบ นางลืมตาขึ้นยื่นมือไปไขว่คว้า มันคือใบไม้ใหญ่สีเขียวใบหนึ่ง


 


 


ดวงตาสองข้างของนางมองมันอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งแล้วฉวยมือโยนทิ้ง หลังหลับตาลงสามวินาทีถึงกลิ้งเกลือกผุดลุกขึ้นมาทันที เงยหน้ามองดูต้นไม้นั้นโดยละเอียด


 


 


นางเก็บใบไม้ที่ร่วงหล่นขึ้นมาอีกครั้ง มองดูใบไม้ที่รอบขอบมีฟันเลื่อยใบนั้นโดยละเอียด


 


 


“อาฮ่าๆๆ ฮ่าๆ หาเจอแล้ว!” ดวงตาสองข้างของจิ่งเหิงปัวเปล่งประกายฉับพลัน หัวเราะใหญ่เสียงแผ่วเบา กอดใบไม้เกลือกกลิ้งไปมาบนพื้น กล่าวว่า “ข้ายังนึกว่าแผ่นดินที่นี่ไม่มีต้นไม้ชนิดนี้ อาฮ่าๆ ฮ่าๆ ที่แท้ยังมีนี่นา ฮ่าๆๆ ต่อไปคงไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว!”


 


 


เฟยเฟยนั่งยองอยู่ด้านหนึ่ง มองดูสตรีที่เป็นบ้าโดยพลันนางนี้อย่างประหลาดใจ


 


 


จิ่งเหิงปัวระบายความยินดีไประลอกหนึ่งแล้วใช้ผ้าห่อใบไม้เอาไว้เก็บเข้าไปในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง หันหน้ากลับมามองดู


 


 


หลงฉีที่ไล่ตามมาหาที่นี่เจอแล้วแต่ว่าไม่ได้เข้ามาจนใกล้ จิ่งเหิงปัวสามารถมองเห็นร่างม้าสีขาวหิมะของพวกเขาเคลื่อนไหวเลือนรางอยู่ห่างไกล ดูแล้วไม่คล้ายมาไล่จับจารชนชิงตัวประกันกลับไปแต่คล้ายมาป้องกันอย่างลับๆ 


 


 


ความสงสัยในใจของจิ่งเหิงปัว ยิ่งได้รับการพิสูจน์ยืนยัน


 


 


กงอิ้นเล่นละครไปฉากหนึ่ง


 


 


เพียงแต่จุดมุ่งหมายแท้จริงของการที่เขายุ่งยากเล่นละครฉากนี้คืออะไร นางยังเดาไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ว่าขอเพียงกงอิ้นเล่นละครย่อมอธิบายว่าสภาพการณ์ทุกสิ่งในวันนี้ล้วนอยู่ในแผนการของเขาก่อนแล้ว ฉะนั้นความเป็นไปได้ที่องครักษ์น้อยนั้นถูกสังหารทั้งที่บริสุทธิ์จะน้อยมาก


 


 


เรื่องนี้ทำให้ในใจของนางหดหู่เล็กน้อยและผ่อนคลายเล็กน้อย ถอนหายใจยืดยาว


 


 


ว่างอยู่ไม่มีอะไรทำ ซ้ำยังอารมณ์ดีขึ้น นางล้วงยาทาเล็บออกมาเริ่มทาเล็บมือ วางขวดใบน้อยเจ็ดแปดขวดแถวหนึ่งในอ้อมแขนออกมา ต้องเลือกสีสันก่อน


 


 


เฟยเฟยมองเห็นขวดใบน้อยหลากหลายสีสันเปล่งประกายแสงเรืองนั้น ดวงตาสว่างวูบ โอบขวดสีทองขวดหนึ่งไว้ดังสวบแล้ววิ่งหนี


 


 


“เฮ้ยๆ เจ้าเด็กเลวนี่ เอาคืนมานะ!” จิ่งเหิงปัวจะคว้ากลับมา เฟยเฟยตีลังกาครั้งหนึ่งกลิ้งออกไปเกินสามจั้งแล้ว หางขนาดใหญ่สะบัดวูบหายไปแล้ว


 


 


“เด็กโง่ นี่ไม่ใช่อัญมณีสักหน่อย” จิ่งเหิงปัวอุบอิบเสียงหนึ่งแล้วช่างมัน เบนสมาธิไปทางเรื่องใหญ่จำเป็นเช่นเรื่องเลือกสีสันนี้แทน


 


 


“เฮ้อ สีไหนดีล่ะ วันนี้ข้าสวมชุดสีเหลืองผลซิ่ง จะทายาทาเล็บสีน้ำตาลดีหรือไม่ ไอ้หยาคล้ายดูแก่ไปหน่อย หรือว่าวันนี้ข้าขาวมากเป็นพิเศษ ทาสีม่วงซะเลย สีตัดกัน สว่างสดใส…” จิ่งเหิงปัวรวบขวดใบน้อยกองหนึ่งไว้บนกระโปรง เทียบไปเทียบมาอย่างต่อเนื่อง


 


 


“ข้ารู้สึกว่าทาสีแดงเหลือบทองขวดนี้น่าจะดี งามงดสดใสแลอบอุ่น เหมาะสมกับอุปนิสัยและริมฝีปากแดงฉ่ำของเจ้ายิ่งนัก” เสียงหนึ่งแนะนำข้างหูนางอย่างเชื่องช้าโดยพลัน มือเรียวยาวสะอาดสะอ้านข้างหนึ่งยื่นเข้ามา ฉวยมือยื่นยาทาเล็บสีแดงเหลือบทองขวดหนึ่งให้นาง


 


 


“เจ้าเอ่ยมามีเหตุผล สีนี้ดูแล้วไม่เลว…” จิ่งเหิงปัวรับยาทาเล็บมา พยักหน้าอย่างพอใจ ยื่นยาทาเล็บสีเขียวอีกขวดหนึ่งไปอย่างเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง พลางกล่าวว่า “ทว่าข้ารู้สึกว่าสีนี้ก็ไม่เลว เหลืองคู่เขียวให้ความรู้สึกสว่างสดใสเย็นสบายสดชื่นยิ่งนัก อ่อนช้อยประหนึ่งดอกโหยวไฉ่[1]ในท้องนายามวสันต์”


 


 


“ดอกโหยวไฉ่คือดอกไม้ใด ข้าไม่เคยรู้จักมาก่อน คิดดูแล้วคงงดงามยวดยิ่ง” เสียงสุภาพเรียบร้อยเปี่ยมมารยาทนั้นคล้ายมิอาจโต้แย้งผู้อื่นตลอดกาล ได้เพียงเสนอแนะอย่างอ่อนโยน เอ่ยว่า “ทว่าข้านึกว่า มีเพียงจินฝูหรง[2]ที่สวยสดงดงามที่สุดในต้าฮวง จึงอาจหาญเทียบเคียงความงามของเจ้า”


 


 


“อืม เจ้านี่ช่างเจรจาเสียจริง แน่นอนว่าทุกวาจาของเจ้าต่างเอ่ยได้ถูกต้อง” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเบิกบาน กล่าวว่า “เฮ้อ มิเช่นนั้นสีนี้เถิด สีขาว! เจือประกายทอง! เทียบกระโปรงของข้าจะนุ่มนวลเพียงใดสูงส่งเพียงใด”


 


 


“สีนี้ก็ไม่เลว” อีกฝ่ายเพ่งพินิจอย่างจริงจัง ใต้หน้าผากเกลี้ยงเกลาสามารถมองเห็นปลายจมูกสูงโด่ง เขาเอ่ยว่า “จินตนาการได้ว่า หลังจากทาลงไปแล้วอิ่มเอิบเป็นธรรมชาติ ผสานเป็นหนึ่งเดียวยิ่งนักเป็นแน่”


 


 


เขาชื่นชมสีสันงดงามของยาทาเล็บเจื้อยแจ้ว พลางมองดูเล็บมืองดงามเช่นกันของจิ่งเหิงปัวอย่างชื่นชม แม้ว่าท่าทีสนใจไม่เบา ทว่าแววตากลับไม่เจือด้วยความสนิทชิดเชื้อ ทำให้ผู้คนรู้สึกเพียงว่านั่นคือการชื่นชมอย่างแท้จริง


 


 


“นั่นสิๆ” สถานที่ซึ่งอัตวิสัยเชิงบุรุษนิยมระบาดแบบนี้ยังได้พบกับผู้มหัศจรรย์ที่คุยเรื่องแต่งหน้าแต่งกายกับสตรีอย่างสนอกสนใจแบบนี้ จิ่งเหิงปัวคล้ายดีใจอย่างมาก ยิ้มจนดวงตาหยีกลายเป็นเส้นเดียว กล่าวว่า “หรือยังมีอีกความคิดหนึ่ง ทาทุกสี หลากหลายสีสันดั่งรุ้งกินน้ำ จะสวยงามเพียงใด!”


 


 


“อา…” ผู้มาเยือนหยีตาขึ้นมาดวงตาเช่นกัน ชื่นชมความคิดบรรเจิดเลิศล้ำของจิ่งเหิงปัวจนไม่หวาดไม่ไหว เอ่ยว่า “แม่นางเฉลียวฉลาดเหลือเกินโดยแท้! นี่เป็นความคิดดีงามยิ่งนักจริงแท้”


 


 


“จริงหรือ” จิ่งเหิงปัวชม้ายชายตา ยิ้มแย้มรวบยาทาเล็บไว้ด้วยกันวางไว้อีกทางหนึ่งในครั้งเดียว ลุกขึ้นตามอำเภอใจอย่างมาก พลางกล่าวว่า “เฮ้อ นั่งนานขนาดนี้ เมื่อยขาไปหมดแล้ว…”


 


 


“เช่นนั้น ให้ข้าประคองเจ้าเถิด” มือสะอาดสะอ้านข้างนั้นยื่นมาอย่างเอาใจโดยพลัน ประคองแขนของนางเอาไว้


 


 


เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นยิ้มแย้มเริงร่าอีกครั้ง กล่าวว่า “ขอบใจนะ”


 


 


“มิต้องเกรงใจ” อีกฝ่ายนุ่มนวลจนคล้ายหยาดหยดน้ำออกมาได้ เอ่ยว่า “ได้กระทำเรื่องที่พอจะกระทำได้เพื่อนายหญิงน้อย เป็นบุญวาสนาของผู้ต่ำต้อย”


 


 


“นึกไม่ถึงว่าต้าฮวงยังมีสุภาพบุรุษเช่นเจ้านี้ด้วย…” จิ่งเหิงปัวอุทานชื่นชม ยืนมั่นคงแล้ว สองมือสีขาวหิมะยื่นออกมาเชื่องช้าตลอดทางจนถึงเบื้องหน้าเขา กะพริบดวงตา กล่าวว่า “เช่นนั้น เจ้าช่วยข้าทายาทาเล็บได้หรือไม่”


 


 


“ยินดีรับใช้” สุภาพบุรุษตอบอย่างสุภาพบุรุษยวดยิ่ง


 


 


ปากของจิ่งเหิงปัวบุ้ยไปทางยาทาเล็บบนพื้น กล่าวว่า “ทว่าข้าเมื่อยขาแล้ว ก้มหลังเก็บไม่ไหวทำอย่างไรดี…”


 


 


ริมฝีปากแดงฉ่ำเบ้ขึ้นมา เนตรแพรวแวววาว ความยั่วเย้าหลายส่วนความออดอ้อนเล็กน้อยหลายส่วน เสน่ห์ของสตรีสั่นไหวจนคล้ายจะทะลักล้นออกมาท่วมท้นผู้ให้ความช่วยเหลือเบื้องหน้าจนสิ้นชีพ


 


 


หากเป็นบุรุษย่อมมิอาจต้านทาน


 


 


สุภาพบุรุษโดยแท้ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าช่วยเจ้าเก็บขึ้นมาย่อมได้”


 


 


เขาโค้งเอว


 


 


จิ่งเหิงปัวยกขาจะวิ่งหนี!


 


 


เรือนร่างเพิ่งขยับเขยื้อน ข้อเท้าเกร็งแน่นทันที นางก้มหน้าเชื่องช้ามองเห็นบุรุษที่โค้งกายคว้ายาทาเล็บขวดน้อยไว้เต็มมือ ทว่ามีนิ้วก้อยนิ้วหนึ่งจิ้มตรงข้อเท้าของนาง


 


 


เพียงจิ้มอย่างอ่อนโยนครั้งหนึ่งนี้ การหายตัวของนางไร้ผลเสียแล้ว


 


 


“ข้าหวังดีช่วยเจ้าเก็บ เจ้าอย่าได้หายตัวล่ะ” บุรุษเอ่ยอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน


 


 


จิ่งเหิงปัวผู้แย้มยิ้มพริ้มพรายเสน่ห์ล้นเหลือหน้าเขียวเขี้ยวงอกในพริบตา


 


 


ไอ้เวรเอ้ย!


 


 


ไอ้ประหลาดตัวนี้โผล่ออกมาจากไหน


 


 


ตอนเพิ่งปรากฏตัวตกใจจนขวัญของนางหายไปครึ่งหนึ่ง…หนึ่งวินาทีก่อนหน้าเหลียวมองป่ารอบด้านยังไร้ผู้คน!


 


 


กว่าจะทำใจเต้นตึกตักให้สงบลงอย่างยากเย็น ต้อนรับขับสู้เขานานขนาดนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยเพราะนางนั่งอยู่ไร้หนทางหายตัว จำต้องยืดร่างกายขึ้นมาจึงจะหายตัวได้ ผลคือหาข้ออ้างยืนขึ้นมาจะวิ่งหนีแล้ว เขาดันเข้ามาประคอง พอหลอกเขาโค้งกายก้มเก็บจะวิ่งหนีแล้ว เขาดันจิ้มนางไว้


 


 


ไม่ต้องกล่าวยังรู้ว่า เตรียมตัวมา มีเจตนาแอบแฝง


 


 


“ไอ้เวรเอ้ย!” หน้ากากอ่อนหวานเปี่ยมเสน่ห์ถูกฉีกขาดในครั้งเดียว นางหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร ผู้ใดส่งเจ้ามา เหยียลี่ว์ฉีใช่หรือไม่ เจ้าคิดจะทำอะไร”


 


 


บุรุษคงไว้ซึ่งท่วงท่ากึ่งนั่งยอง เก็บยาทาเล็บที่กลิ้งไปอีกด้านให้นางด้วยท่าทางอารมณ์ดี ด้านหนึ่งอมยิ้มเงยหน้าขึ้นมา


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งมองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน


 


 


ใบหน้าที่นับว่างดงามใบหน้าหนึ่ง แตกต่างจากความลึกลับของเหยียลี่ว์ฉีและความเย็นชาของกงอิ้น ใบหน้านี้เค้าโครงนุ่มนวลไม่ผุดเผยมุมแหลม เส้นริมฝีปากอ่อนนุ่มเชิดขึ้นเล็กน้อย เจือด้วยความอ่อนโยนชื่นมื่นสามส่วนแม้ไม่แย้มยิ้ม ดวงตาโตยวดยิ่งและกลมดิกคล้ายนัยน์ตาของพระเอกการ์ตูนในโลกแห่งความจริงเล็กน้อย แต่ไม่ใช่คางแหลมที่ทิ่มผู้อื่นได้แบบนั้น ขากรรไกรล่างของเขาเกลี้ยงเกลาอิ่มเอิบ ผิวพรรณชุ่มชื้นเปล่งสีแดงอ่อน


 


 


หากกล่าวอย่างจริงจัง คนผู้นี้ไม่งามตะลึงพรึงเพริ้ดผู้คนเท่ามหาราชครูทั้งสองแน่นอน นับได้เพียงเป็นผู้ที่ค่อนข้างงดงามในหมู่คนธรรมดาแบบนั้น แต่เหนือกว่าตรงที่สนิทสนมน่ามอง ทำให้เกิดความรู้สึกดีตั้งแต่แรกพบ ถ้าสองมหาราชครูจะแข่งขันกับเขาจริง กลัวเพียงสตรีธรรมดาจะโถมสู่อ้อมกอดของเขาได้ง่ายยิ่งกว่า เหตุผลไม่ใช่สิ่งอื่น…สองราชครูงามเกินควร ไม่ติดดิน มองแล้วยากจะเก็บไว้ข้างกาย ตั้งเป็นตัวสำรองเสียดีกว่า


 


 


แน่นอนว่าตอนนี้จิ่งเหิงปัวไม่ได้รู้สึกดีแม้แต่น้อย ข้อเท้ายังถูกจิ้มไว้แน่ะ!


 


 


“ไม่มีผู้ใดส่งข้ามา” เขากะพริบตาเช่นกัน เอ่ยว่า “ข้าเพียงแต่อยากรู้จักราชินีภายภาคหน้าของพวกเราล่วงหน้าสักหน่อยเท่านั้น”


 


 


“บัดนี้เจ้าได้รู้จักแล้ว ไปได้แล้ว” จิ่งเหิงปัวย่อมไม่อยากให้ใครหน้าไหนโผล่เข้ามาสอดแทรกปัญหาใหม่ แต่เห็นแก่ใบหน้าหนึ่งซึ่งยังนับว่าเจริญตา น้ำเสียงนุ่มนวลเล็กน้อย


 


 


“โอ้ได้” เขากลับรับปากจริงๆ ขยับยาทาเล็บอย่างเสียดายเล็กน้อย เอ่ยว่า “ของสิ่งนี้ให้ข้าสักขวดได้หรือไม่”


 


 


เพื่อจะน้อมส่งเทพแห่งกาฬโรค จิ่งเหิงปัวจ้องมองยาทาเล็บกองหนึ่งไปมาอย่างเจ็บปวดใจ จึงฝืนใจกล่าวว่า “เช่นนั้นให้ขวดนั้นสีเขียวใบหญ้าแก่เจ้าย่อมได้”


 


 


ขวดนั้นคือขวดที่นางไม่ชอบที่สุด ปกติแล้วเรียกว่า “เขียวขี้เป็ด”


 


 


“ขอบใจนะ” เจ้าคนติดดินไม่ช่างเลือก นำขวดสอดเข้าไปในอ้อมแขนอย่างยินดีปรีดา


 


 


“ไปสิๆ” จิ่งเหิงปัวไล่เขาอีกครั้ง นางยังต้องไปสำรวจในหมู่บ้านนะ


 


 


“ข้ายังมีคำขอร้องน้อยๆ เรื่องหนึ่ง” เจ้าคนนั้นยิ้มแย้มอย่างสนิทสนม สนิทสนมจนเกือบจะกระดากอาย ยังชูหัวนิ้วก้อยนิ้วหนึ่งขึ้นมา เพื่อแสดงว่าคำขอร้องเล็กน้อยจริงๆ


 


 


“เอ่ยสิๆ” จิ่งเหิงปัวหวังเพียงให้เขารีบไสหัวไป


 


 


“เจ้าไปกับข้าได้หรือไม่” ใบหน้าของเจ้าคนนั้นแดงซ่านขึ้นมาโดยพลัน เอ่ยอย่างขวยอายเล็กน้อยว่า “เป็นภรรยาของข้าได้หรือไม่”


 


 


“…”


 


 


หลังจากสองวินาทีเสียงคำรามแหลมทะลุแก้วหูคนของจิ่งเหิงปัวตวาดว่า “เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว!”


 


 


“มิได้แกล้งเจ้า” บุรุษเอ่ยอย่างลำบากใจเล็กน้อย “เดิมทีข้าอยากมาเจอเจ้า มาดูว่าสิ่งที่อาจารย์เอ่ยไว้ถูกต้องหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าเจ้าน่าสนุกเสียยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้ ข้าไม่สมรสกับเจ้าแล้วจะสมรสกับผู้ใด”


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่คำรามแล้ว เท้าคางมองดูเจ้าคนนี้…ประสาทมั้ง บ้ากาม หน้าตาไม่เลวแฮะ เขาคงจับคนมาขอแต่งงานไปทั่วมั้ง ต้องให้เขาเต้นระบำงดงามดูเรือนร่างเขาไหมนะ


 


 


“เจ้าว่า” เจ้าคนนั้นเห็นนางไม่เอ่ยวาจา ยิ่งกระตือรือร้น “พวกเราสองคนเข้ากันได้ดีเพียงใด เจ้าอยู่ที่ต้าฮวงนี้ ยังหาบุรุษที่สนทนาภาษาเดียวกันเสียยิ่งกว่าข้าได้หรือ ภายภาคหน้ายังมีผู้ใดคุยเรื่องยาทาเล็บเรื่องแต่งกายเรื่องอาภรณ์เป็นเพื่อนเจ้าได้ ข้าเชี่ยวชาญสิ่งเหล่านี้ยวดยิ่งนัก เจ้าคิดดูสิ หลังจากพวกเราสมรสกัน บุรุษทำนา นารีทอผ้า สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว เจ้าแต่งหน้าข้าวาดคิ้ว เจ้าทาแป้งข้าลงน้ำมัน นี่จะเป็นทิวทัศน์งดงามอัศจรรย์มากเพียงใด”


 


 


“ผู้ใดจะเป็นบุรุษทำนา นารีทอผ้ากับเจ้า พี่เป็นราชินี จะต้องใช้ชีวิตลำบากยากแค้นเช่นนั้นหรือ” จิ่งเหิงปัวดูถูก กล่าวว่า “พอพี่ยื่นมือ ผู้คนฝูงใหญ่ต้องรอทายาทาเล็บให้พี่!”


 


 


นางสูดลมหายใจ นึกได้ทันทีว่ากงอิ้นจะอยู่ในหมู่ชนฝูงใหญ่นี้ไหมนะ อยู่มั้ง ไม่อยู่มั้ง อยู่มั้ง ไม่อยู่มั้ง…


 


 


“ที่แท้เจ้าสิ่งนี้เรียกว่ายาทาเล็บ” เจ้าคนนั้นเอ่ยอย่างยินดีปรีดา ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ กัดฟัน ล้วงยาทาเล็บขวดนั้นออกมาจากอ้อมแขนยื่นมาให้ปานตัดใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เอ่ยว่า “ในเมื่อเอ่ยสู่ขอย่อมควรจะแสดงความจริงใจ เช่นนั้นสิ่งนี้ นับว่าเป็นของหมั้นที่ข้าให้เจ้าแล้วกัน!”


 


 


 


 


[1] หรือ ดอกน้ำมันคาโนลา ชื่อวิทยาศาสตร์ Brassica campestris L. ออกดอกสีเหลืองสดใส


 


 


[2] ชื่อวิทยาศาสตร์ Trollius chinensis Bunge ออกดอกสีเหลืองส้ม 

 

 


ตอนที่ 51 - 1 อัดมือที่สามให้น่วม

 

“ในเมื่อเอ่ยสู่ขอย่อมควรจะแสดงความจริงใจ เช่นนั้นสิ่งนี้ นับว่าเป็นของหมั้นที่ข้าให้เจ้าแล้วกัน!”


 


 


จิ่งเหิงปัวเกือบจะกระอักเลือดท่วมปากตาย


 


 


“ข้ายังนึกว่าคนโบราณต่างซื่อสัตย์ซื่อตรงโง่เขลาเบาปัญญา…” นางเพ่งสายตาพึมพำกับตนเองว่า “แต่แท้จริงแล้วจิตใจปลิ้นปล้อนเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายไร้ยางอายทั้งนั้น…”


 


 


“มันกับเจ้าต่างเป็นของรักของข้า” ไอ้ติ๊งต๊องที่ขอแต่งงานเอ่ยด้วยความรู้สึกลึกซึ้งว่า “สิ่งที่รักที่สุด แน่นอนว่าต้องมอบให้ผู้ที่รักที่สุด”


 


 


จิ่งเหิงปัวได้ยินเขาพึมพำอย่างชัดเจนว่า “เหล่าศิษย์น้องชายคงต้องพ่ายแพ้แก่ข้าแน่ ข้านับว่าได้ตบแต่งภรรยาแล้ว ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์จะได้ทำลายคำสาปหนุ่มโสดเสียที…”


 


 


“เจ้าสิสิ่งของ โอ้ไม่สิเจ้าไม่ใช่สิ่งของ เจ้ามันไม่ได้เรื่องตั้งแต่หัวจรดเท้า” จิ่งเหิงปัวอยากจะถอดรองเท้าส้นสูงมาอุดสมองฝันเฟื่องของเขาเหลือเกิน


 


 


ขอให้เขาและเหล่าศิษย์น้องของเขารวมถึงอาจารย์ชราตัณหากลับเป็นโสดด้วยกันไปแปดชาติ!


 


 


“ข้าชอบนิสัยของเจ้า” ผู้ขอสมรสคล้ายมองนางอย่างไรชอบนางเยี่ยงนั้น


 


 


ในสมองของจิ่งเหิงปัวพลันปรากฏหัวข้อข่าวสีดำตัวหนาขนาดใหญ่เต็มไปหมด


 


 


สาวน้อยวัยแรกแย้มเจอหนุ่มต้มตุ๋น หลอกขายจากเมืองส่งต่อไปไกลพันลี้


 


 


สาวน้อยโง่เขลาถูกขายให้เป็นภรรยาหนุ่มโสดกลุ่มหนึ่งเพื่อยาทาเล็บขวดเดียว


 


 


เรื่องราวของชายแก่ผู้หนึ่งและหนุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งซึ่งจำต้องเอ่ยด้วยเพราะผู้หญิงคนเดียว


 


 


บันทึกเลือดเคล้าน้ำตาครั้งถูกลักพาตัว ตอน ช่วงเวลาที่ฉันถูกบังคับให้ปรนนิบัติศิษย์อาจารย์ที่ขึ้นคานทั้งสองรุ่น


 


 



 


 


โอ้โนว


 


 


จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเฮือกหนึ่งพยายามปรับสีหน้าบนใบหน้า ใช้น้ำเสียงหวานเลี่ยนที่สุดของตนเองกล่าวว่า “เจ้าขอข้าสมรสแล้ว ยังควบคุมข้าไว้อีกหรือ คล้ายจะไม่มีความจริงใจใดกระมัง”


 


 


“โอ้จริงด้วย ข้าลืมไปเลย” เจ้าผู้ขอแต่งงานรีบเร่งยืนขึ้นมา จิ้มนิ้วมือเพียงครั้ง หัวเราะอย่างเก้อเขินพลางเอ่ยว่า “ข้าเองมิได้ตั้งใจ เพียงแต่ชอบพอเจ้าแต่แรกพบ ไม่อยากให้เจ้าจากไป จึงควบคุมเจ้าไว้เล็กน้อย…” เขายังบีบนิ้วมือขึ้นมาเปรียบเทียบความหมายเล็กน้อย เอ่ยสืบต่อว่า “สักหน่อย”


 


 


จิ่งเหิงปัวอยากจะตบ “ข้าเอง” คนนี้จนจมดิน “เล็กน้อย” ให้เขาไปใช้ชั่วชีวิต “สั้นๆ” กับแมลงสาบที่วิ่งเข้าวิ่งออกเหลือเกิน


 


 


โชคดีที่ “ข้าเอง” ยังมีท่าทางให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง นิ้วมือขยับขึ้นมาเพียงครั้ง นางจึงขยับได้แล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวหายตัวไปแล้วดังสวบ


 


 


แม้แต่ยาทาเล็บสุดรักก็ไม่เอาแล้ว


 


 


ล้อเล่นหรือไง ใช้เล็บมือคิดยังรู้เลยว่าถ้าหัวนิ้วมือนิ้วเดียวล็อกนางไว้ได้ คงฆ่านางจนตายได้เช่นกัน


 


 


ส่วนเรื่องเขาคือใคร จิ่งเหิงปัวไม่ได้สนใจใคร่รู้ อย่างไรเสียตำแหน่งที่นางจะเป็นคือราชินีแห่งต้าฮวง ในอนาคตต้องเจอคนพิลึกพิลั่นทุกรูปแบบแน่นอน หากอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกับนางจริง คงต้องได้พบกันอีกครั้งแน่


 


 


สำหรับรักแรกพบอะไรนั่น…ช่างมันเถอะ ถ้าเชื่อจะเขา เชื่อว่ากงอิ้นร่ายระบำงดงามได้ยังดีเสียกว่า


 


 


หลังหายตัวติดกันสองครั้ง จิ่งเหิงปัวเข้ามาถึงในหมู่บ้าน สถานที่กักขังตัวประกันหาเจอได้ง่ายมาก ห้องร้างห้องหนึ่งที่เปิดไฟสว่างเพียงห้องเดียวในหมู่บ้านนั่นไง


 


 


จิ่งเหิงปัวคลำมาถึงด้านหลังห้องนั้น เป็นห้องดินไม่เก็บเสียง เสียงจากด้านในแว่วออกมาอย่างชัดเจนยิ่งนัก


 


 


“เหตุใดค่ายหลงฉีและค่ายหย่งเลี่ยยังไม่มาตามหา” เสียงของเฟยหลัวฟังแล้ววุ่นวายใจเล็กน้อยเอ่ยว่า “ข้าทิ้งเครื่องหมายไว้แล้วมิใช่หรือ!”


 


 


“ผู้ใดจะรู้ได้เล่า” มีผู้เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ได้ตามหาหรือไม่ยังไม่รู้เลย กงอิ้นแทบอยากจะให้พวกเราซวยจนตัวสั่น”


 


 


“เรื่องนี้ยังมิแน่นอน” มีผู้โต้แย้งว่า “พวกเราถูกลักพาตัวต่อหน้าเขาเชียวนะ หากเกิดเรื่องขึ้นมา เขาย่อมไร้หนทางอธิบายให้หกแคว้นแปดชนเผ่าฟัง!”


 


 


“จารชนเหล่านี้ใช้วิธีใดกัน” เฟยหลัวคล้ายกำลังสืบเสาะหวังคลายการสะกดพลางเอ่ยว่า “ทั่วร่างของข้าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อยนิด”


 


 


“เสนาหญิงอย่าหุนหันพลันแล่น” มีผู้เอ่ยอย่างกำกวมว่า “มิต้องเอ่ยถึงผู้อื่น ท่านคงได้รับความช่วยเหลือเป็นแน่ ต่อให้กงอิ้นไม่ลงมือ ใต้เท้าเหยียลี่ว์คงมิอาจทอดทิ้งท่านหรอก”


 


 


“ข้าไม่เข้าใจความหมายในวาจาเจ้า ใต้เท้าเฉา” เฟยหลัวหยุดไปชั่วครู่ ยามปริปากอีกครั้งน้ำเสียงเย็นเยือกเอ่ยว่า “เบื้องหน้าศัตรู อนาคตมิอาจคาดเดา ยามนี้มิใช่ยามที่พวกเราจะมาคว้านแผลเป็นคิดบัญชีเก่า ทุกคนควรร่วมแรงร่วมใจจนได้รับอิสรภาพก่อนถึงจะถูกต้อง”


 


 


ผู้นั้นแค่นเสียงครั้งหนึ่ง มิเอ่ยวาจาอีก


 


 


จิ่งเหิงปัวฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ คิดอยู่ว่าเหยียลี่ว์ฉีกับเฟยหลัวมีอะไรซ่อนอยู่จริงด้วยแฮะ มิน่าล่ะวันนั้นเห็นในกระโจมยังรู้สึกว่าผิดปกติ


 


 


วันนั้นได้ยินนางตะโกนเรียกท่านพี่ แต่ท่านพี่เสียงนั้นตะโกนอย่างคลุมเครือแบบนั้น ถึงบอกว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ ตีให้ตายก็ไม่เชื่อ อีกอย่างหน้าตาของทั้งสองคนก็ไม่เหมือนกัน


 


 


งั้นท่านพี่เสียงนี้คงทำให้คนยากจะคาดเดาแล้วล่ะ


 


 


เสียงสับสนอลหม่านจากที่ห่างไกลดังขึ้นกะทันหัน เสียงกีบเท้าม้าดังถี่กระชั้น จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมามองเห็นหลงฉีสีขาวราวหิมะปรากฏกายไกลห่างตรงเส้นขอบฟ้า


 


 


ในที่สุดก็มาถึงแล้ว


 


 


คนเหล่านี้ประชิดเข้าใกล้ด้วยพลังเปี่ยมล้นยิ่งนัก เสียงกีบเท้าดังสะเทือนนภา ในหมู่บ้านมีเสียงเคลื่อนไหวแทบจะโดยพลัน เหล่าจารชนพวกนั้นวิ่งออกมามุ่งไปทางห้อง ส่วนตัวประกันที่ถูกกักขังกลับตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก ในห้องมีเสียงสรวลสำราญดังขึ้นฉับพลัน


 


 


จิ่งเหิงปัวหมอบอยู่บนพื้น มองเห็นจารชนเหล่านั้น “พุ่งเข้าไป” ทำการ “เข่นฆ่าโรมรัน” กับหลงฉี


 


 


จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง


 


 


ฉาก “เข่นฆ่า!” อันงดงามน่าชมทยอยมาสะท้านจิตสะเทือนขวัญในสงครามชี้เป็นชี้ตายอย่างเต็มที่


 


 


หลงฉีผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างอ่อนปวกเปียก ลงมีด “ฟัน” จารชนผู้หนึ่งซึ่งพุ่งเข้ามาอย่างเชื่องช้าหนึ่งครั้ง จารชนหมุนกายหลบหลีกด้วยท่วงท่าเชื่องช้าสง่างามเพียงครั้ง คว้ามือของหลงฉีไว้อย่างนุ่มนวลแล้วลากเขาลงจากหลังม้าอย่างแผ่วเบา หลงฉีร้องเสียงดังน่าเวทนาเสียงหนึ่ง ปล่อยกำปั้นสั่นสะท้านใส่หว่างเอวของจารชนด้วยรอยยิ้มปรีดา


 


 


จารชนผู้หนึ่งพุ่งเข้าไปยืนหยัดต่อสู้เพียงผู้เดียวในวงล้อมของหลงฉี เตะซ้ายต่อยขวาแขนเสื้อลอยพลิ้ว สืบเท้าเจ็ดก้าวร่นถอยเจ็ดก้าวไร้ใบไม้เฉียดกาย ห้อตะบึงกลางวงล้อมของศัตรูประหนึ่งผู้มีฝีมืออันดับหนึ่งในโลกหล้า หลงฉีทั้งมวลยิ้มแย้มปรีดากอดอกมองเขาแสดง บางครายังมีคนถีบก้นเขาครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ออกแรงหน่อย! เจ้ากำลังปักดอกไม้อยู่หรือไร!”


 


 


ประกายไฟกองใหญ่กองหนึ่งระเบิดออกดังปุ้งกึกก้องสว่างไสว ดอกไม้เพลิงพวยพุ่งอบอวลมองเห็นได้แม้ห่างไปหลายลี้ แสงเพลิงลุกโชนโชติช่วงขึ้นมาเป็นกลุ่มเป็นก้อน เงาคนวิ่งไปวิ่งมาในแสงเพลิง เสียงร้องน่าเวทนาพุ่งสูงสู่ท้องนภา ดั่งฉากการสู้สุดชีวิตอันดุเดือดฉากหนึ่ง


 


 


เพียงแต่เป็นท่วงท่าเชื่องช้าระดับสูงสุดทั้งนั้น


 


 


จิ่งเหิงปัวเหม่อมองปากอ้าตาค้าง


 


 


แบบนี้ก็ได้เหรอ


 


 


ได้แน่นอน ด้วยเพราะห้องที่กักขังตัวประกันไม่มีประตูหน้าต่าง เหล่าตัวประกันมองไม่เห็นอะไรเลย รู้สึกได้เพียงว่าการเข่นฆ่าดุเดือด สถานการณ์การรบพัวพัน เหล่าตัวประกันด้านหนึ่งตื่นตะลึงว่าด้วยข้อได้เปรียบของหลงฉีที่ถือไพ่เหนือกว่าเหตุใดจึงปรากฏการเข่นฆ่าดุเดือดเช่นนี้ คิดอยู่ว่าเหล่าจารชนได้ทหารกองหนุนใช่หรือไม่ อีกด้านหนึ่งกังวลว่าเรื่องราวเกิดเปลี่ยนแปลง ตนเองจะกลับไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับหัวเราะจนท้องแทบแตกเสียแล้ว


 


 


แสงเพลิงพวยพุ่งรอบด้าน เสียงผู้คนโกลาหล สตรีนางหนึ่งหัวเราะกลิ้งเกลือกทั่วพื้นในเงามืดของห้อง ห่างไปไม่ไกลในความมืดมิด มีผู้ยืนมือไพล่หลังนิ่งเงียบเชียบ


 


 


ใบหน้าเขาไร้ซึ่งสีหน้าอารมณ์ ยืนอยู่ห่างไกลนักคล้ายมีความรังเกียจ แลไม่ยินยอมประชิดใกล้


 


 


ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามองนางด้วยสีหน้าอ่อนโยนเพียงนั้น


 


 



 


 


“การสู้รบ” ฟังแล้วยิ่งดุเดือดขึ้น เสียงตะโกนสะเทือนนภา การต่อต้านของเหล่าจารชนเด็ดเดี่ยวหาญกล้าเช่นนี้คล้ายไม่ยอมถอดใจตั้งแต่ต้นจนจบ เหล่าตัวประกันที่เดิมทีรู้สึกว่าได้รับความช่วยเหลือค่อยๆ สิ้นหวัง ตื่นตระหนกตกใจยิ่งขึ้น


 


 


ยามสำคัญที่กังวลและตึงเครียดที่สุด ประตูถูกผลักออกดัง “พลั่ก” เสียงหนึ่งโดยพลัน จารชนนายหนึ่งพุ่งเข้ามานำสิ่งใดสักสิ่งตบพื้นบนโต๊ะดังพลั่ก ร้องตะโกนเสียงดังว่า “พวกเจ้าลำพองใจอะไรกัน พลไล่ล่ามาแล้วอย่างไรต่อเล่า อย่างมากวันนี้ทุกผู้คนต่างไม่รอด!”


 


 


เหล่าตัวประกันฟังแล้วทั้งตกใจทั้งโกรธแค้น ไม่เข้าใจว่าพลันเกิดความเปลี่ยนแปลงใดอีก ทยอยซักถาม เฟยหลัวเอ่ยเสียงดังว่า “ใจเย็นไว้! ใจเย็นไว้!”


 


 


จารชนนั้นกลับผลักประตูพุ่งออกไปอีกครั้งโดยพลัน จากนั้นเสียงล็อกประตูดังแกร๊กเสียงหนึ่ง มีผู้ร้องเรียกเสียงดังว่า “ฟืนล่ะ! รีบลากฟืนออกมา! กั้นไว้ใต้ประตูนี้ล่ะ ใช่แล้ว ตรงนี้!”


 


 


พอเสียงนี้เปล่งออกมา ในห้องก็สับสนอลหม่าน


 


 


จารชนเห็นว่าสถานการณ์เป็นภัย ก่อนสิ้นชีพจึงหวนมาเผาพวกเขาทั้งเป็นหรือ


 


 


ห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง ประตูเพียงหนึ่งเดียวถูกปิดตายแล้ว ดินในกำแพงผสมหญ้าแห้งจุดติดไฟได้โดยง่ายยิ่งนัก หากจุดไฟ ผู้ใดก็หนีไม่พ้น!


 


 


“หยุดนะ! หยุดนะ!” ผู้ชราคนหนึ่งร้องเสียงดังว่า “ข้าคือเจ้ากองสามกอง[1]แห่งเผ่าหวงจิน! ข้าจะให้พวกเจ้าได้รับสิ่งตอบแทนที่คู่ควรกับสถานะของข้า! ข้ายอมจ่ายค่าไถ่จำนวนมหาศาล! ข้ายอมรับเงื่อนไขทุกอย่างของพวกเจ้า!”


 


 


พอเสียงเขาดังขึ้น ผู้อื่นถูกปลุกให้ฟื้นสติโดยพลัน ต่างทยอยร้องเรียกเสียงดัง


 


 


“ข้าคือสมุหราชเลขาธิการแห่งแคว้นซัง! แคว้นข้ามีอำนาจมีเงินทองมากล้น ต้องยอมจ่ายค่าไถ่เพื่อข้าเป็นแน่ หรือพวกเจ้ามีเงื่อนไขอื่นจงเสนอมาได้เลย!”


 


 


“ข้าคือรองราชเลขาธิการฝ่ายซ้ายแห่งแคว้นอวี่! ต้าหวังของข้าต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนทุกสิ่งเพื่อข้าเป็นแน่!”


 


 


“ข้าคือแม่ทัพฝ่ายซ้ายแห่งแคว้นเหมิง ข้าเข้าใจความลำบากพวกเจ้า ข้าขอไถ่ตนเองกลับไปและสาบานว่าหลังจากเรื่องนี้ข้าจะไม่แก้แค้นแน่นอน!”


 


 


“ข้าคือ…”


 


 


นอกจากเฟยหลัวแล้ว บุคคลสำคัญแห่งหกแคว้นแปดชนเผ่าที่ถูกจับกุมต่างทยอยแสดงความคิดเห็น แสดงความเข้าใจพฤติกรรมของจารชนยิ่งนัก แสดงวิสัยทัศน์ที่เปี่ยมด้วยความหวังต่อความร่วมมือในภายภาคหน้า แสดงระดับการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่มหาศาลต่อการจัดการในภายหลัง ขอเพียงเหล่าจารชนนอกประตูขจัดฟืนออกไปอย่าได้ราดน้ำมันอีก ทุกคนมาตกลงกันโดยดี


 


 


เหล่าจารชนเริ่มแรกได้ยินเสียงแต่ไม่สนใจ หลังจากค่าไถ่ยิ่งเพิ่งสูงขึ้นตามคำสัญญา เงื่อนไขเพิ่มเติมเริ่มแปรเปลี่ยนจากไม่สืบสาวราวเรื่องกลายเป็นคำสัญญาเลื่อนขั้นกระทั่งเงินรางวัลจำนวนมหาศาลจึงมีผู้หยุดการกระทำ


 


 


“ยอมรับทุกเงื่อนไขของพวกเราได้จริงหรือ”


 


 


“ใช่แล้วๆ” ผู้คนที่คว้าเส้นฟางช่วยชีวิตเส้นเดียวไว้ได้รีบเร่งตอบรับ


 


 


จิ่งเหิงปัวที่แอบฟังอยู่หลังห้องโดยตลอด เท้าคางส่ายศีรษะไปมา พึมพำกับตนเองว่า “ฉากสำคัญมาแล้ว เจ้าพวกแอบอ้างจารชนจับกุมตัวประกันกลุ่มนี้ แท้จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่นะ”


 


 


“นั่นสิ ข้าก็ประหลาดใจยิ่งนัก” เสียงผู้หนึ่งเอ่ยข้างหูนางอย่างอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความประหลาดใจว่า “ต้องการสิ่งใดกันแน่นะ”


 


 


จิ่งเหิงปัวตกใจจนทั่วร่างสั่นสะท้าน ด่าอย่างโกรธแค้นจากก้นบึ้งของหัวใจ


 


 


ฮึ่มๆ ตายยากตายเย็น! สุภาพบุรุษยาทาเล็บปรากฏตัวอีกแล้ว!


 


 


นางหันหน้ากลับมาถลึงตาใส่เจ้าผู้เอ่ยสอดว่า “เหตุใดเจ้าถึงโผล่มาอีกแล้ว!”


 


 


“ดูละครไง” เขาแบะปากอย่างไร้เดียงสา


 


 


“อัฒจันทร์กว้างปานนั้น เหตุใดเจ้าจะต้องมาเบียดอยู่ด้วยกันกับข้าเล่า” จิ่งเหิงปัวเตะเขาอย่างรำคาญ กล่าวว่า “ไปดูทางนั้นเลย”


 


 


“อื้ม” เจ้าผู้นั้นลุกขึ้นมาจริงๆ เปลี่ยนตำแหน่งอย่างเชื่อฟัง


 


 


เปลี่ยนจากข้างซ้ายของจิ่งเหิงปัวย้ายไปข้างขวาของจิ่งเหิงปัว


 


 


จิ่งเหิงปัวนิ่งเงียบ “…”


 


 


“พวกเรามีวาสนาต่อกันเพียงนี้ ในวันเดียวกันได้พบกันถึงสองครั้ง!” เจ้าผู้นั้นอุทานอย่างตื่นตะลึง ดวงตาสองข้างเปล่งประกาย เอ่ยว่า “เพื่อรำลึกถึงพรหมลิขิตของพวกเรา พวกเรามาแลกนามดีหรือไม่” เขาใช้แขนค้ำผนังไว้ ยิ้มตาหยีก้มหน้ามองนาง เอ่ยว่า “ภรรยา ข้ามีนามว่าอีชี เจ้ามีนามว่าอะไร”


 


 


พรหมลิขิต พรหมลิขิตกับน้องสาวแกสิ!


 


 


“อี้ฉี่ อี้ชี อี๋ชี่ อี้ชี่ ฮ่าๆ ฮ่าๆ บนโลกนี้ยังมีชื่อที่ตลกขนาดนี้ด้วย!” จิ่งเหิงปัวกุมท้องหัวเราะปานกิ่งผกาไหวสะท้าน พลางกล่าวว่า “ฉายากระมัง”


 


 


“นามจริง” อีชีเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องมีกันเจ็ดคน ต่างใช้ตัวเลขเป็นชื่อเรียก แซ่เรียงตามลำดับ นามเรียงตามลำดับเช่นกัน เรียงแซ่ตามเวลาเข้าสำนัก เรียงชื่อตามลำดับอายุ สิ่งแรกจากมากไปน้อย สิ่งหลังจากน้อยไปมากพอดี ตามอาวุโสแล้วข้าเป็นพี่ใหญ่ ทว่าอายุน้อยที่สุด ฉะนั้นข้าคือ ‘หนึ่งเจ็ด’ ”


 


 


จิ่งเหิงปัวนึกสนุกขึ้นมา กล่าวถามว่า “น้องรองมีนามว่าอะไร”


 


 


“เอ่อร์ลู่[2]”


 


 


“น้องสาม”


 


 


“ซานอู่[3]”


 


 


“น้องสี่”


 


 


“ซือซือ[4]”


 


 


“น้องห้า”


 


 


“อู่ซาน[5]”


 


 


“น้องหก”


 


 


“ลู่เอ่อร์[6]”


 


 


“น้องเจ็ด”


 


 


“ชีอี้[7]”


 


 


“ฟังแล้วพวกเขาปกติกว่าเจ้าทั้งนั้น” จิ่งเหิงปัววิจารณ์ ในใจคิดว่านี่มันชื่ออะไรวะเนี่ย อาจารย์กับสำนักต้องตลกขนาดไหน ถึงได้ตั้งชื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาแบบนี้วะ อาจารย์ต้องตลกขนาดไหน ถึงได้จงใจเรียงอายุและลำดับการเข้าสำนักสลับกันทั้งหมดวะ คนกลุ่มหนึ่งต้องตลกขนาดไหน ถึงผสานตัวเลขพวกนี้สอดคล้องกันได้วะ!


 


 


“ข้ามีนามว่าจิ่งเหิงปัว นามภาษาอังกฤษว่าเจนนิเฟอร์ มีความหมายว่างามเพริศแพร้วน่าหลงใหล เจ้าเรียกข้าว่าเจนนี่ก็ได้” จิ่งเหิงปัวยื่นมือไปอย่างเป็นกันเอง จับมือของเขาไว้แล้วเขย่าพลางกล่าวว่า “พวกเรารู้นามกันแล้วย่อมนับว่าเป็นสหายแล้ว เจ้าอย่ามาก่อกวนข้าได้หรือไม่”


 


 


“เช่นนั้นแน่แท้” อีชียิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี เอ่ยว่า “ภรรยามีบัญชา ข้าหรือจะกล้าไม่ทำตาม”


 


 


แน่นอนว่าจิ่งเหิงปัวไม่คิดจริงจัง รู้สึกว่าเพียงว่าสนุกสนาน นางมองใบหน้าเย็นชาของมหาเทพกงจนเคยชิน ยากที่จะมีใครมีไมตรีต่อนาง ซ้ำยังเป็นบุรุษผู้หนึ่งซึ่งงดงามจนเกือบจะน่ารักขนาดนี้ อดจะหัวเราะคิกๆ ออกมาไม่ได้ จูงมือของเขาไว้ให้นั่งลงดูละครด้วยกัน


 


 


เงาขาววูบไหว ณ ที่ห่างไกล ยืนชมเหตุการณ์อย่างเย็นชา


 


 


ชมนางยิ้มแย้ม ชมนางหยอกเย้า ชมนางใกล้ชิดสนิทสนมเบื้องหน้าผู้อื่น และชมรอยยิ้มผลิแย้มงามงดสดใสในดวงเนตรของผู้อื่น


 


 


รอยยิ้มงามอำไพประหนึ่งสายรุ้งนั้นแทบสะเทือนทะเลสาบดวงหทัยสงบเงียบได้ทั่วแผ่นผืน แต่เดิมเขานึกว่าแสงวสันต์งดงามของนางอาบไล้ผืนทะเลสาบของเขาเพียงผู้เดียว มิเคยคิดว่าทิวทัศน์ทั้งมวลที่นางเยื้องกรายผ่าน ผู้ผ่านทิวทัศน์ทุกคนต่างได้ครอบครองรอยยิ้มหอมหวนของนาง


 


 


เขาอยากจะเนรเทศคนเหล่านั้นที่เคยสัมผัสฝ่ามือของนาง เคยจดจ้องรอยยิ้มของนาง เคยได้ติดต่อกับนางทุกผู้คนไปยังบึงโคลนเฮยสุ่ยที่น่ากลัวเป็นที่สุดในลุ่มน้ำต้าฮวงจนสิ้นโดยพลัน


 


 


เฉกเช่นเจ้าผู้มีนามว่าอีชีผู้นี้


 


 


นึกว่าตนเองฐานะเลอเลิศ แล้วจะควบตะบึงทั่วหล้าบนแผ่นดินตระกูลกงได้หรือ!


 


 


 


 


 


 


 


[1] หรือ 三司 คือคำเรียกสามตำแหน่งข้าราชการที่เคารพสูงสุดในสมัยนั้น


 


 


[2] เอ่อร์ลู่ เสียงใกล้เคียงกับคำว่า 二六 หมายถึง สองหก


 


 


[3] ซานอู่ เสียงใกล้เคียงกับคำว่า 三五 หมายถึง สามห้า


 


 


[4] ซือซือ เสียงใกล้เคียงกับคำว่า 四四 หมายถึง สี่สี่


 


 


[5] อู่ซาน เสียงใกล้เคียงกับคำว่า 五三 หมายถึง ห้าสาม


 


 


[6] ลู่เอ่อร์ เสียงใกล้เคียงกับคำว่า 六二 หมายถึง หกสอง


 


 


[7] ชีอี้ เสียงใกล้เคียงกับคำว่า 七一 หมายถึง เจ็ดหนึ่ง 

 

 


ตอนที่ 51 - 2 อัดมือที่สามให้น่วม

 

 “ยามนี้พวกเราถูกบีบเข้าสู่ทางตัน หากต้องตายทุกคนต้องตายด้วยกัน” ยามเหล่าจารชนทำการเจรจากับเหล่าตัวประกันครั้งสุดท้าย เอ่ยว่า “นอกเสียจากว่ายอมรับเงื่อนไขหนึ่งข้อของพวกเรา” 


 


 


“ยอมรับๆ พวกเรายอมรับทุกอย่าง!” เหล่าตัวประกันทยอยใช้ท่าทางที่จริงใจที่สุดแสดงออก ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อความจริงใจของตนเอง 


 


 


“พวกเจ้าคงจะรู้ว่าพวกเราคือไส้ศึกของใต้เท้าเหยียลี่ว์” บุรุษผู้หนึ่งในหมู่จารชนเอ่ยว่า “เงื่อนไขของพวกเรา แท้จริงแล้วคือเงื่อนไขของใต้เท้าเหยียลี่ว์ หากใต้เท้าทุกท่านเห็นชอบดั่งเอ่ย จงลงนามบนสัญญาก็พอ” 


 


 


กระดาษถูกส่งเข้าไปทีละใบทีละใบ ในห้องมีเสียงพลิกไปมาตึงเครียด จากนั้นเสียงเจือด้วยความโกรธเคืองและตื่นตะลึงของเฟยหลัวดังขึ้น 


 


 


“สัญญานี้ประหลาดยิ่งนัก พวกเราอย่าได้ลงนาม” 


 


 


“ใต้เท้าเฟยหลัว” มีผู้เอ่ยอย่างเย็นชาโดยพลันว่า “เจ้าเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ ฝ่ายข้าเป็นเพียงคนธรรมดา แม้ว่าสัญญานี้แปลกประหลาด ทว่าไร้พิษภัยต่อฝ่ายข้า ลงนามแล้วอย่างไรเล่า” 


 


 


“นั่นสิๆ สัญญานี้ดูแล้ว คงไม่มีปัญหาใดแน่แท้” ทุกคนส่วนมากคล้อยตามกัน 


 


 


ความเป็นความตายเรื่องใหญ่ยิ่งทดสอบความกล้าหาญเป็นที่สุด เบื้องหน้าความขี้ขลาดตาขาวของเหล่าบุรุษ สตรีเพียงหนึ่งเดียวเช่นเฟยหลัวจมดิ่งสู่ความเงียบงัน 


 


 


ทุกคนลงนามในสัญญาอย่างรวดเร็ว แม้แต่เฟยหลัวที่ปฏิเสธจะลงนามในสัญญา ยังถูกทุกคนที่กลัวปัญหาใหม่แทรกเข้ามาบังคับให้ลงนามด้วยท่าทีกึ่งคุกคามกึ่งขอร้อง ยามหนังสือสัญญาปึกหนึ่งส่งถึงมือของเหล่าจารชนที่รอคอยอยู่นอกห้อง จิ่งเหิงปัวมองเห็นสีหน้ายินดีบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน 


 


 


จิ่งเหิงปัวคันยุบยิบในใจคล้ายถูกแมวฝนเล็บ 


 


 


สัญญาเขียนอะไรไว้กันแน่ 


 


 


นี่คือจุดสำคัญของละครฉากใหญ่ครั้งนี้ 


 


 


ที่เรียกว่า “เหตุการณ์ไส้ศึกของเหยียลี่ว์ฉีถูกบังคับให้เปิดเผยตัวตนจนต้องจับกุมตัวประกัน” ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงละครที่กงอิ้นเล่นเองกำกับเอง 


 


 


ไส้ศึกของเหยียลี่ว์ฉีย่อมมีเป็นธรรมดา นี่เป็นสาเหตุที่กงอิ้นโยกย้ายค่ายหลงฉีและค่ายหย่งเลี่ย ฉะนั้นเริ่มแรกสองค่ายโอบล้อมฝูงองครักษ์ ตอนผู้ใต้บัญชาของกงอิ้นบ้าคลั่งสังหารคนกะทันหัน ไส้ศึกที่ถูกสืบค้นตัวตนเนิ่นนานแล้วพวกนั้นถูกฆ่าไปแล้ว 


 


 


ซากศพสิบกว่าร่างบนพื้นตอนแรกที่สุดก็คือจารชนตัวจริง 


 


 


ภายหลังคือการแสดงละครแล้ว นอกจากนี้กงอิ้นส่งคนไปแสดงเป็นไส้ศึกของเหยียลี่ว์ฉี ลงมือจับกุมคนใหญ่คนโตของหกแคว้นแปดชนเผ่าเกือบส่วนหนึ่งไว้โดยพลัน หลังจากนั้นจับกุมพวกเขามาไว้ที่นี่ ขังไว้ในห้องมืด ด้านหนึ่งแสร้งจับกุมพวกเขาหลบหนี อีกด้านหนึ่งส่งหลงฉีแสร้งตามมาช่วยเหลือไล่ล่าสังหาร เล่นเองกำกับเองฟินเอง ตีกันปึ้งปั้งปึ้งปั้งเบื้องหน้าตัวประกัน สุดท้าย “จารชน” แสร้งพ่ายแพ้ยับเยิน ใช้อุบายตายตกไปตามกันมาข่มขู่หลอกลวงให้เหล่าผู้นำชนเผ่าพวกนี้ลงนามในสัญญา 


 


 


แน่นอนว่า เรื่องราวทุกอย่างต่างผลักไสไปให้เหยียลี่ว์ฉี หลังจากเหล่าตัวประกันได้รับอิสระคืนมา ย่อมตามติดคิดบัญชีกับเหยียลี่ว์ฉีเป็นลำดับแรก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของกงอิ้น ไม่แน่ว่ายังต้องขอบคุณเขาที่ “กระตือรือร้นช่วยเหลือ ไล่ล่าศัตรูอย่างยากลำบาก” 


 


 


แน่นอนว่า เรื่องผู้อ่อนวัยหน้ากลมเผ่าหลิวหลีที่ถูกฆ่าต่อมานั้น นางยังไม่ได้คิดให้เข้าใจว่ามีสาเหตุอะไรในนั้นกันแน่ คิดแล้วคงมีเพียงราชครูกงผู้วางแผนทำร้ายผู้อื่นตั้งแต่ในกระโจมที่รู้เรื่องราว 


 


 


หรือว่านั่นคือจารชนตัวจริง ส่วนกงอิ้นวางหมากตัวนั้นเพียงเพื่อล่อจารชนที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดพวกนั้นออกมา อย่างไรเสียเวลานั้นจิ่งเหิงปัวไม่มีองครักษ์ข้างกาย นับเป็นโอกาสทองที่จารชนจะแสดงความสามารถพอดิบพอดี 


 


 


จิ่งเหิงปัวหมอบราบกราบกรานความสามารถในการจัดการผู้อื่นของมหาเทพกงผู้แลดูสูงส่งยิ่งใหญ่มาเนิ่นนานแล้ว โดยเฉพาะความสามารถในการจัดการเหยียลี่ว์ฉี ตอนนี้จึงเข้าใจความฉลาดหลักแหลมในระหว่างนั้นแล้ว ยังไม่ทันได้ถอนหายใจ ได้แต่คาดเดาปัญหาสำคัญที่สุดข้อนั้น 


 


 


เนื้อหาในสัญญาคืออะไรกันแน่ 


 


 


กงอิ้นเปลืองแรงลำบากยากเย็นวางหมากตัวนี้ เพื่อที่จะจับกุมผู้นำชนเผ่าเหล่านี้มาลงนามบนสัญญา เรื่องราวในสัญญาย่อมสำคัญอย่างยิ่งในใจเขาแน่นอน 


 


 


โรคประหลาดใจของจิ่งเหิงปัวกำเริบขึ้นมา 


 


 


“เฮ้ เฮ้ เจ้าว่าสัญญาเขียนสิ่งใดไว้” นางทุบอีชีที่อยู่ข้างกาย 


 


 


“หากอยากรู้ อ่านดูย่อมได้” อีชีเอ่ยตอบตามอำเภอใจยิ่งนัก 


 


 


“เจ้ามีวิธีหรือ” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบ จูงมือของเขาไว้ในครั้งเดียวอย่างลืมตัว 


 


 


อีชีลูบไล้มือของนางอย่างไม่ยอมปล่อยโอกาสแม้แต่น้อย เอ่ยด้วยความรู้สึกลึกซึ้งว่า “แม้ว่าการนำสัญญามาจะยุ่งยากยวดยิ่งลำบากยิ่งยวด ไม่แน่ว่ายังต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต ทว่าเพื่อโฉมสะคราญเช่นเจ้านี้ เพื่อภรรยาในภายภาคหน้าของข้า ข้ายอมลำบากลำบนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายบุกน้ำลุยไฟไม่ท้อไม่ถอย…” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าไปสิไปเลยรีบไปบุกน้ำลุยไฟไม่ท้อไม่ถอยแม้สิ้นชีพเถิด” จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้ฟังจบก็สะบัดมือไล่เขาไป อีชีจึงได้แต่เก็บวาจาพลอดรักครึ่งห้องหัวใจที่ยังมิได้เอ่ยจบเดินไปอย่างเศร้าสร้อย 


 


 


เขาลอยไปถึงข้างหลัง “จารชนโจรเรียกค่าไถ่” ผู้หนึ่งอย่างตามอำเภอใจยิ่งนัก พุ่งหมัดหนึ่งอัดเขาจนสลบไสลอย่าง “ลำบากลำบน” ควานค้นอ้อมแขนของเขาอย่าง “เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย” คว้ากระดาษใบหนึ่งออกมาอย่าง “บุกน้ำลุยไฟ” ยัดเข้าไปในอ้อมแขนของตนเองอย่าง “ไม่ท้อไม่ถอย” จากนั้นถอนหายใจเอ่ยว่า “เหนื่อยยิ่งนัก” 


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้นเทียบเท่ากับการกะพริบตาไม่กี่ครั้ง 


 


 


ไม่มี “จารชนโจรเรียกค่าไถ่” สักคนรับรู้ รวมทั้งหลงฉีที่เข้าหมู่บ้านมาแล้ว 


 


 


เขาลูบท้องฮัมเพลง สืบฝีก้าวแผ่วเบา ตระเตรียมไปแสดงผลงานให้จิ่งเหิงปัวเห็น 


 


 


เดินไปไม่กี่ก้าวเขาหยุดเดิน พึมพำว่า “ไม่ได้ เร็วเกินไป มองไม่ออกว่าลำบาก ภรรยาคงไม่สงสาร” 


 


 


หลังจากนั้นเขานั่งยองลงไปข้างเล้าไก่ที่ถูกทิ้งร้างของเกษตรกรครอบครัวหนึ่ง รวบรวมขนไก่หลายอันไปแหย่มดบนพื้น 


 


 


เล่นไปสักพักรู้สึกว่าได้เวลาพอประมาณแล้ว เขาลุกขึ้นมา เดินไปไม่กี่ก้าว หยุดฝีเท้าอีกครั้งโดยพลัน พึมพำว่า “ไม่ได้ ไม่สะบักสะบอม มองไม่ออกว่าลำบาก ภรรยาคงไม่สงสาร” 


 


 


เขาฉวยมือใช้ขนไก่แหย่ผมจนยุ่งกระเซิง กำเศษดินหลายกองโปรยลงบนอาภรณ์ ซ้ำยังนำขนไก่น้อยที่สวยที่สุดอันหนึ่งสอดบนอาภรณ์อย่างระมัดระวัง ยังเหลียวซ้ายแลขวาปรับมุมของขนไก่โดยละเอียด พยายามทำให้ขนไก่อันนี้ แสดงทั้งความยุ่งเหยิงและความดุเดือดเลือดพล่านออกมา ทั้งมีความสะบักสะบอมและมีความงดงามเป็นรรมชาติ 


 


 


จัดการเสร็จสิ้นเขารู้สึกว่าพอประมาณแล้ว เดินต่อไปอีกหลายก้าว 


 


 


แม้ว่าเขาเดินอยู่ในหมู่บ้านโดยตลอด ทว่าน่าแปลกประหลาดคือ “จารชน” และหลงฉีที่รบไปรบมาต่างไม่มีใครพบเห็นเขาเลย เค้าร่างของเขายามปฏิบัติการดั่งคล้ายหมอกนิลผืนหนึ่ง ข้ามผ่านสายตาของผู้คนอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง 


 


 


อีชีเดินไปไม่กี่ก้าว หยุดลงอีกครั้ง 


 


 


“ไม่รู้ว่าขนไก่ทำผลงานไว้อย่างไรบ้าง” เขาพึมพำกับตนเองว่า “จะให้ดีที่สุดต้องแลดูทั้งสะบักสะบอมทั้งอ่อนแอ ทั้งดิ้นรนทั้งกล้าหาญ เปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความยุ่งเหยิงและงดงาม ให้องค์ราชินีสงสารข้าแต่แรกเห็นถึงจะดี…” 


 


 


เขาเงยหน้าขึ้นมา เบื้องหน้าสว่างวูบโดยพลัน ฝั่งตรงข้ามมีอ่างน้ำใบหนึ่ง 


 


 


อีชีพุ่งไปหาอย่างยินดี ในอ่างน้ำยังมีน้ำอยู่ครึ่งอ่าง เขาชะโงกหน้ามองเงาตนเอง เรือนร่างของเขาชะโงกไปลึกยิ่งนักด้วยเพราะขนไก่อยู่ตรงหว่างเอว 


 


 


ยามร่างกายครึ่งท่อนจะเข้าไปในอ่าง หางตาของเขามองเห็นเวิ้งนภาด้านหลังขาวโพลนโดยพลัน 


 


 


ไม่ ไม่ใช่ขาวโพลน แต่ปรากฏชายผ้าสีขาวผืนหนึ่ง! 


 


 


อีชีจะหันกายมาปานอสนีบาต! 


 


 


เสียดายว่าสายไปเสียแล้ว 


 


 


ฝ่าเท้าของเขาลอยขึ้นโดยพลัน ข้างหลังถูกผลักด้วยแรงมหาศาลเพียงครั้ง 


 


 


“ตู้ม” 


 


 


อีชีทิ่มลงไปในอ่างน้ำอย่างดิ้นรนแลกล้าหาญ… 


 


 


พริบตาต่อมาอ่างน้ำระเบิดออกอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ละอองน้ำกระเซ็นทั่วทิศ เงาร่างสีน้ำเงินของอีชีพุ่งสู่ผืนนภาท่ามกลางละอองน้ำ ร่างหันขวับเพียงครั้งกลางอากาศ กระแสหมัดโหดเ**้ยมสายหนึ่งย้อนทวนกลับไปแล้ว 


 


 


เสียดายว่าสายไปอีกครา 


 


 


เจ้าผู้ผลักเขาลงอ่างน้ำจากข้างหลังพุ่งหมัดหนึ่งเข้ามาอย่างโหดเ**้ยมแน่วแน่เสียยิ่งกว่าในเสี้ยวพริบตาเดียวก่อนเขาระเบิดอ่างปล่อยหมัด! 


 


 


“พลั่ก” 


 


 


สองหมัดปะทะกัน อากาศคล้ายสะเทือนจนเกิดระลอกคลื่นออกมา อ่างน้ำที่แตกร้าวแล้วกลายเป็นฝุ่นผงในพริบตา 


 


 


คลื่นน้ำถูกกระแสหมัดทะลุทะลวงรุนแรงระเบิดจนล่องลอย ปลดปล่อยระลอกคลื่นเวียนวนขนาดเท่าเรือนครึ่งหลังออกมา ฝนตกโปรยปรายดังซู่ซ่ารอบบริเวณสามจั้ง 


 


 


ห่างไปไม่ไกล จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าปลายจมูกเย็นขึ้นมา นางเช็ดหน้าอย่างประหลาดใจแล้วแหงนหน้ามองดูท้องนภาจันทร์กระจ่างดาวพร่างพราว 


 


 


“เอ๊ะ ฝนไม่ได้ตกนี่นา” 


 


 


… 


 


 


สองหมัดปะทะกัน กำปั้นที่ปล่อยออกมาก่อนพลันเลื่อนไถลผลักย้อนทวนขึ้นไปตามแขนของอีชีอย่างโหดเ**้ยม ที่ซึ่งกำปั้นพาดผ่านอาภรณ์แหลกสลาย เศษผ้าขาดวิ่นลอยล่องถึงกลางอากาศแล้วเยือกเย็นเป็นผลึกแข็งโดยพลัน กลายเป็นน้ำค้างแข็งผืนหนึ่งร่วงพื้นเสียงดังปังปึง 


 


 


เดิมทีอีชีเพียงตื่นตะลึง สีหน้าก็มิได้ใส่ใจมากนัก พอมองเห็นพลังอำนาจของหมัดหนึ่งนี้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เอ่ยอย่างตื่นตะลึงว่า “ปัญญาหิมะ! เหตุใดเจ้า…” 


 


 


“พลั่ก” หมัดหนึ่งกระแทกตรงจมูกของเขาอย่างอำมหิต 


 


 


สีแดงสดจากจมูกสองข้างซ่านกระเซ็น ย้อมขนไก่เกลื่อนพื้นให้แดงฉาน 


 


 


“ไอ้เด็กนี่โหดเ**้ยมนัก!” อีชีร้องอย่างประหลาดเสียงหนึ่ง มืออุดจมูกที่มีโลหิตไหลไม่หยุดไว้ หันกายเตรียมจากไปพลางเอ่ยว่า “ปัญญาหิมะเป็นตัวประหลาดทั้งนั้น ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว!” 


 


 


เงาร่างสีขาวไม่แค่นแม้เสียงหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ เรือนร่างกะพริบวูบ นิ้วมือคลำไปเบื้องหน้าคว้าไปทางหน้าอกของอีชี 


 


 


“เฮ้ยๆๆ เจ้าทั้งฉีกแขนเสื้อทั้งกระชากหน้าอกข้า เจ้าจะทำอะไร” อีชีหนีไม่พ้นร้องโวยวายเสียงดัง หันกายยืดหน้าอกให้เสียเลย ปากเอ่ยว่า “เจ้าอยากจะเปลื้องผ้าข้าลูบคลำข้ามิใช่หรือ เจ้าลูบสิ ลูบสิคลำสิเอาเลย!” 


 


 


นิ้วเรียวยาวหยุดชะงักก่อนสัมผัสอาภรณ์บริเวณหน้าอกของอีชีศูนย์จุดศูนย์ห้ากงเฟิน[1] 


 


 


“ฮ่าๆ ฮ่าๆ นึกแล้วเชียวว่าพวกฝึกปัญญาหิมะเป็นโรครักสะอาดต่างๆ นานา…ไม่เล่นกับเจ้าแล้ว ข้าจะไปหาภรรยาข้า” อีชีหัวเราะเสียงดัง เลือดกำเดาหลั่งไหล หันกายครั้งหนึ่งรีบเร่งหลบหนี 


 


 


ตำแหน่งเดิมหลงเหลือเพียงเงาคนชุดขาวและหลงฉีที่รีบเร่งตามมาเพราะได้ยินเสียงต่อสู้ 


 


 


“นายท่าน…” หลงฉีมองดูเงาด้านหลังที่คุ้นเคยผืนนั้น ยามรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายดุร้ายคล้ายกำจายออกมาเบื้องนอกนั้น เสียงแผ่วลงไปแปดระดับ 


 


 


กงอิ้นยืนนิ่งอยู่ตำแหน่งเดิม หว่างเกศาชื้นเพียงน้อย ยิ่งผุดเผยคิ้วคมตาดำขลับนัยน์ตาดุจน้ำแข็ง 


 


 


เขาคลายแขนเสื้อที่ม้วนขึ้นลงอย่างเชื่องช้า คลายฝ่ามือในแขนเสื้อออกอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง 


 


 


ข้อนิ้วทั้งห้าออกสีแดงอ่อน ผิวถลอกเพียงน้อย 


 


 


 


 


 


[1] กงเฟิน หมายถึง เซนติเมตร 

 

 

 


ตอนที่ 51 - 3 อัดมือที่สามให้น่วม

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงเล็กน้อย แต่นางไม่มีความสามารถในการมองเห็นในเวลากลางคืนจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แค่รู้สึกเลือนรางว่าอีชีกำลังต่อสู้กับผู้อื่นและนางไม่อยากผสมโรงไปด้วย 


 


 


ข้างกายมีเงาร่างกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวเงยหน้า กล่าวอย่างตื่นตะลึงว่า “ชิบ สู้กันดุเดือดขนาดนี้เลยหรือ ดูท่าทางเจ้าคล้ายเพิ่งถูกกลิ้งทับมา” 


 


 


“ใช่สิ” อีชีที่เจ็บจมูกจนหน้าบูดหน้าเบี้ยวอุดจมูกไว้ งึมงำอย่างเศร้าโศกว่า “พลาดแล้ว หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้คงไม่ต้องแต่งกายแล้ว…” 


 


 


“หา” จิ่งเหิงปัวได้ยินไม่ชัดเจน 


 


 


“ข้าเอ่ยว่า ข้าลำบากลำบนไม่สนใจความเป็นความตายบุกน้ำลุยไฟร่วมมหาสงครามสะท้านฟ้าสะเทือนดินคราหนึ่งถึงได้ของล้ำค่าสิ่งนี้มาให้เจ้า เจ้าต้องครุ่นคิดให้ดีว่าจะขอบคุณข้าอย่างไรมิใช่หรือ” 


 


 


เดิมทีจิ่งเหิงปัวนึกว่าความลำบากที่อีชีเอ่ยถึงคือการเสแสร้ง เจ้าคนนี้แม้ไม่เข้าท่าแต่มีลักษณะท่าทางแตกต่างจากคนธรรมดา น่าจะเป็นผู้เก่งกล้าคนหนึ่ง ใครจะรู้ว่าผู้เก่งกล้าออกไปรอบเดียวกลับมาสะบักสะบอมยิ่งกว่าที่นางจินตนาการไว้ ดูท่าจะแย่งชิงสัญญานี้มาอย่างยากลำบากจริงๆ 


 


 


“นั่นสิๆ ข้าซาบซึ้งเหลือเกิน” นางยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดจมูกให้เขา อีชีจูงนางให้เปลี่ยนทิศทางในครั้งเดียว เอ่ยพลางยิ้มแย้มปรีดาว่า “ทางฝั่งนี้ ฝั่งนี้ ฝั่งนี้มองเห็นชัดเจน” 


 


 


“ประสาท” จิ่งเหิงปัวพึมพำ ในใจคิดว่าไม่ใช่แค่เช็ดให้เจ้าอย่างสะเปะสะปะ ถึงกับต้องหันไปหันมาขนาดนี้เลยเหรอ 


 


 


อีชีมองดูนางด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา…ถึงขนาดนั้นแล 


 


 


ด้วยเพราะมุมนี้ ยามมองมาจากบางทิศทาง คล้ายภรรยาโผมาอิงแอบแนบชิดเขายิ่งนักน่ะสิ! 


 


 


“เป็นสัญญาเช่นใดกันแน่ เอามา” จิ่งเหิงปัวจัดการเช็ดให้เขาอย่างลวกๆ สองครั้ง แวบหนึ่งมองเห็นกระดาษแผ่นนั้นตรงหน้าอกอีชี 


 


 


อาภรณ์บริเวณหน้าอกของอีชีหลุดลุ่ย กระดาษแผ่นนั้นโผล่ออกมากว่าครึ่งแผ่น จิ่งเหิงปัวยื่นมือไปคว้าออกมาได้แล้ว อีชีกลับหัวเราะขึ้นมาโดยพลัน ด้านหนึ่งหัวเราะอีกด้านหนึ่งยักย้ายเรือนร่าง ด้านหนึ่งยักย้ายเรือนร่างอีกด้านหนึ่งกระซิบกระซาบว่า “อย่าสิ อย่านะ อย่าทำเช่นนี้สิ…ไอ้หยาเจ้าน่ารำคาญเสียจริง เอาเถิดๆ เจ้าทำเถิด…” ด้านหนึ่งหัวเราะฮิๆ ฮ่าๆ อีกด้านหนึ่งกางแขนสองข้างออกหลับตาพริ้ม บนใบหน้าเปี่ยมด้วยการเชื้อเชิญว่า “ข้าคือบุษบารีบมาย่ำยีข้าสิ!”  


 


 


“โรคจิต” จิ่งเหิงปัวคว้าสัญญามาไว้ในมือเนิ่นนานแล้ว ชำเลืองตามองเขาอย่างแปลกประหลาดแวบหนึ่งแล้วหันกายไปพลิกดูสัญญา 


 


 


อีชียิ้มตาหยีปล่อยมือลง ชำเลืองตามองบางทิศทางพลางลูบคลำจมูก 


 


 


เจ็บปวดนัก ทว่าพอนึกว่ามีบางคนไม่สบายใจเช่นกัน พลันรู้สึกว่าไม่เจ็บปวดแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวพลิกสัญญาไปมา กระดาษเบาบางแผ่นหนึ่งถูกเลือดกำเดาของอีชีย้อมเป็นสีแดง หลายข้อความข้างหน้านางอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ชื่อของผู้ลงนามในสัญญาก็ถูกบดบังไว้ เนื้อความส่วนใหญ่คือขอให้บรรดาผู้นำเผ่าใดเผ่าหนึ่งท่านนี้ก่อตั้งพันธมิตรลับซึ่งกันและกันหลังจากกลับไปได้และนัดแนะประชุมลับอีกครั้งในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งปีหนึ่ง ต่อไปในสัญญาเรียกฝ่ายหนึ่งนี้ที่ออกสัญญาว่าผู้รับสัญญา เรียกเผ่านั้นว่าผู้ให้สัญญา หากสนธิสัญญาสำเร็จเสร็จสิ้น ผู้รับสัญญาจะมอบความช่วยเหลือสนับสนุนในราชสำนักตามสมควรแก่เผ่านั้น เลื่อนตำแหน่งข้าราชบริพาร เติมเต็มคำขอร้องทางการเมือง มอบตำแหน่งทางการเมือง ขยับขยายอิทธิพลให้กว้างขึ้น รวมถึงช่วยเหลือผู้ให้สัญญาดำเนินการเจรจาหารือกับแคว้นและชนเผ่าอื่น ด้วยเหตุนี้ผู้ให้สัญญาต้องมอบสิ่งตอบแทนบางส่วนแด่ผู้รับสัญญา สิ่งตอบแทนพุ่งเป้าหมายไปยังศักยภาพและผลผลิตของทุกแคว้นสถาปนาและทุกชนเผ่าซึ่งแตกต่างกันไป 


 


 


มองโดยง่ายแล้วคือสัญญาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมืองฉบับหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ คนทุกเผ่าต่างน่าจะมีสัญญาที่มีเงื่อนไขแตกต่างกันของตนเอง สิ่งสำคัญที่สุดของสัญญานี้คือไม่ได้ลงนามของผู้รับสัญญา หรือกล่าวอีกแบบคือสัญญานี้ตกอยู่ในมือใคร คนนั้นก็คือผู้รับสัญญา 


 


 


จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดคร่าวๆ อยู่ชั่วครู่ นางยังไม่ได้สืบราชสันตติวงศ์อย่างเป็นทางการจึงยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองของต้าฮวงอย่างถ่องแท้ แต่รู้สึกว่าสัญญาฉบับนี้ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ง่ายดายขนาดนั้นดังฉากหน้าอย่างแน่นอน กงอิ้นแอบอ้างเหยียลี่ว์ฉีลงนามในสัญญาฉบับนี้กับบรรดาผู้นำแห่งหกแคว้นแปดชนเผ่า หรือว่ามีสาเหตุที่อยากล่อเหยื่อด้วย หรือว่ายังมีสาเหตุที่ซับซ้อนกว่านั้นที่นางยังนึกไม่ออกในชั่วครู่ชั่วคราว 


 


 


นึกไม่ออกก็ไม่ต้องนึก จิ่งเหิงปัวไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับเซลล์สมองของตนเอง เปรียบเทียบเล่ห์เพทุบายกับกงอิ้นบุคคลทางการเมืองที่มีภูมิหลังรากหญ้า ปีนป่ายสู่ตำแหน่งสูงส่ง กุมอำนาจนานหลายปี มีอำนาจล้นฟ้า นางทำเรื่องเกินตัวไปแล้วมั้ง 


 


 


นางร้อง “เอ๊ะ” เสียงหนึ่งทันที สมาธิทอดลงบนอักษรบรรทัดสุดท้ายบรรทัดหนึ่ง 


 


 


อักษรบรรทัดนั้นค่อนข้างเล็กไม่สะดุดตา วางเป็นลำดับสุดท้ายคล้ายเงื่อนไขเพิ่มเติมข้อหนึ่งซึ่งแลดูไม่สะดุดตา จนทำให้ตอนผู้นำท่านนี้ลงนามยังลงทับอักษรบรรทัดนั้น 


 


 


อักษรบรรทัดนั้นเกี่ยวกับนาง 


 


 


“…ราชินีพระองค์ใหม่ทรงไร้ประโยชน์เกินทน มิจำต้องถวายการต้อนรับให้สมพระเกียรติ ละทิ้งพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ยามหน้าลบบันทึกการรับเสด็จร้อยลี้ในพระราชพงศาวดาร” 


 


 


…หมายความว่าอะไร 


 


 


บอกว่านางไร้ประโยชน์ไม่คู่ควรกับพิธีการสูงศักดิ์ ให้คนเหล่านี้ทอดทิ้งพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จด้วยตนเอง ภายหลังบันทึกเกี่ยวกับการรับเสด็จนางร้อยลี้ในพระราชพงศาวดารซึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ก็จะถูกลบออกไปในครั้งเดียวด้วย 


 


 


กล่าวอีกแบบคือนางจะกลายเป็นราชินีที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์ผู้ซึ่งสืบราชสันตติวงศ์ไกลพันลี้แต่ไม่ได้รับการต้อนรับอย่างยินดีและยอมรับการดำรงอยู่เหรอ 


 


 


แม้ว่าในประวัติศาสตร์ต้าฮวง ตัวอย่างการรับเสด็จราชินีร้อยลี้มีน้อยมากจนแลดูไม่ต้อนรับหรือไม่จัดพิธีเฉลิมฉลองเป็นปกติ ทว่าคนส่วนมากละเลยไปเรื่องหนึ่งนั่นคือราชินีองค์ที่เหลือในประวัติศาสตร์ส่วนมากมาจากบริเวณรอบนครตี้เกอ ระยะห่างจากนครตี้เกอไม่ถึงร้อยลี้เสียด้วย บางพระองค์มาจากตระกูลสูงศักดิ์ในนครด้วยซ้ำ เฉกเช่นราชินีพระองค์ก่อน แบบนี้ยังมีความจำเป็นต้องรับเสด็จร้อยลี้อะไรอีก หรือว่าวิ่งออกจากนครไปรับเสด็จร้อยลี้อีกครั้งเหรอ 


 


 


ส่วนจิ่งเหิงปัวนั้นแตกต่าง นางคือราชินีองค์แรกที่ตามหากลับมาจากดินแดนแคว้นอื่นในประวัติศาสตร์ต้าฮวง นางคือราชินีผู้สืบราชสันตติวงศ์พันลี้ของจริง แท้จริงแล้วการออกมารับเสด็จร้อยลี้คือพิธีการพื้นฐานสำหรับนาง หากในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นของนางขาดพิธีการหนึ่งนี้ไป นางจะไม่ได้ยืดอกอย่างภาคภูมิตลอดชั่วชีวิตการดำรงตำแหน่งราชินีของนาง 


 


 


เดิมทีจิ่งเหิงปัวไม่รู้เรื่องพวกนี้ หลังจากนางสาบานว่าจะเป็นราชินีที่ดีจึงสั่งให้คนหาหนังสือตำราของต้าฮวงจำนวนมากมาให้นางอ่านระหว่างป่วย หลังจากอ่านแล้วจึงเข้าใจเช่นนี้ 


 


 


บรรทัดหนึ่งนี้ในสัญญาไร้ความใส่ใจ ซุกซ่อนตรงซอกมุม เห็นได้ชัดเจนว่าผู้ออกสัญญาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากเพียงไหน 


 


 


แต่นางใส่ใจ! 


 


 


ราชบัลลังก์ของนาง เกียรติศักดิ์ศรีของนาง อนาคตของนางและครึ่งชีวิตที่เหลือของนางต้องถูกสัญญาน่าเหยียดหยามฉบับนี้ลบออกไปในครั้งเดียว! 


 


 


จิ่งเหิงปัวเงยหน้าฉับพลัน จักรวาลน้อยในแววตาลุกโชนโชติช่วง 


 


 


กง! อิ้น! 


 


 


ใคร่ครวญนามนั้นอยู่กลางใจ แต่ละรอบที่บดขยี้มีไอสังหาร! 


 


 


“เป็นอะไรไปเสียแล้ว” อีชีชะโงกหน้าเข้ามาพลางยิ้มตาหยี ใช้ศีรษะพิงไว้บนบ่าของนาง ท่าทางอยากอ่านสัญญาเช่นกัน เอ่ยว่า “เหตุใดสีหน้าจึงย่ำแย่เยี่ยงนี้โดยพลัน ใครแหย่เจ้าหรือ บอกข้าสิข้าจะไปต่อยเขา” 


 


 


นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวงอครั้งหนึ่งพับสัญญาขึ้น ผลักคางของเขาออกด้วยมือข้างเดียว หันกายครั้งหนึ่งจดจ้องดวงตาของเขา 


 


 


“ย่อมได้” นางกล่าวว่า “คนนั้นที่ต่อยเจ้านั่นไง” 


 


 


“เอ่อ…” ใบหน้าขาวมนของอีชีเปลี่ยนไปในที่สุด ขยี้ผมอย่างเก้อเขินเล็กน้อย เอ่ยว่า “ที่แท้เจ้ารู้แล้วสินะ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงเสียงหนึ่ง 


 


 


ตอนก่อนหน้านางยังนึกไม่ถึง ตอนนี้ได้อ่านสัญญาแล้วยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก กงอิ้นจัดเตรียมคนแอบอ้างเป็นคนของเหยียลี่ว์ฉี ลักพาตัวคนเหล่านี้มาที่นี่ เล่นเองกำกับเองบังคับเขาลงนามในสัญญานี้ เรื่องแบบนี้เขาจะไม่มาคุมเองได้อย่างไร 


 


 


เดิมทีแปลกประหลาดด้วยมองแวบเดียวก็รู้ว่าอีชีมีฝีมือระดับสูงสุด ทำไมถึงถูกคนโจมตีเสียจนย่อยยับขนาดนี้ ถ้าเป็นกงอิ้นลงมือด้วยตนเอง งั้นคงไม่แปลกประหลาดแม้แต่นิดเดียว 


 


 


เขาโจมตีอีชีทำไม เพราะเขาขโมยหนังสือสัญญามาได้เหรอ ทำเขาเสียเรื่องเหรอ 


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนอยู่หลังห้องหันหน้ามองดูในห้อง ตัวประกันยังอยู่ในห้อง ถ้าอยากจะทำลายแผนการของกงอิ้น นางแค่ต้องโก่งคอตะโกนครั้งหนึ่ง 


 


 


ขอแค่ตะโกนบอกความจริง แผนการของกงอิ้นจะถูกเปิดโปง หลังจากนั้นต่อให้เป็นเขาก็คงจะทนรับเพลิงโทสะของหกแคว้นแปดชนเผ่าไม่ไหว 


 


 


นี่ถึงจะเป็นการแก้แค้นที่มีพลังมากที่สุดสำหรับเขา! 


 


 


จิ่งเหิงปัวแหงนหน้าขึ้น กลั้วคอให้ปลอดโปร่ง…นางจะตะโกนแล้ว! 


 


 


นางจะตะโกนแล้วนะ! 


 


 


“แค่กๆๆ แค่กๆ…” นางจะตะโกนแล้วนะ! 


 


 


“แค่กๆๆ!” 


 


 


… 


 


 


หลังจากผ่านไปเกือบสิบนาที 


 


 


อีชีใช้มือเท้าคางอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน เอ่ยว่า “เจ้าจะตะโกนหรือไม่ตะโกนกันแน่” 


 


 


จิ่งเหิงปัวถลึงตาโกรธเคืองใส่ความมืดมิด…กงอิ้นนายอยู่แแถวนี้ไม่ใช่เหรอ นายเชี่ยวชาญเรื่องจัดการผู้อื่นไม่ใช่เหรอ ทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของนายไม่ใช่เหรอ นายเฉลียวฉลาดมากไม่ใช่เหรอ นายเดาได้ว่าฉันจะทำอะไรและรู้ผลลัพธ์หลังถูกตะโกนเปิดโปงแน่นอน แต่พี่ไอมาตั้งนานแล้ว ทำไมนายยังไม่ออกมาขัดขวาง พี่ไอจนคอหอยแทบจะพังแล้วชิบ! 


 


 


… 


 


 


บนเนินสูงในความมืดมิด กงอิ้นยืนมือไพล่หลังอยู่เงียบเชียบ จดจ้องไปยังทิศทางของจิ่งเหิงปัว 


 


 


เหมิงหู่ยืนอยู่ข้างกายเขา สีหน้ากลับมิได้สงบสุขเท่าสีหน้าของกงอิ้น แลดูร้อนรนกระวนกระวายอยู่บ้าง อดทนแล้วอดทนอีก ในที่สุดจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “นายท่าน ดูท่าทางฝ่าบาทอยากจะตะโกนเปิด…” 


 


 


กงอิ้นกลับพยักหน้า ขานรับว่า “อืม” 


 


 


“นี่…” เหมิงหู่กระแอมเสียงหนึ่ง ไม่รูู้ว่าควรเอ่ยว่าอะไรดี เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก หากถูกเปิดโปง ราชครูจะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยพลัน ทั้งหกแคว้นแปดชนเผ่าจะไม่เชื่อถือเขาอีกต่อไปด้วยเพราะเหตุนี้ เหยียลี่ว์ฉีที่จ้องรอตะครุบดั่งพยัคฆ์มาโดยตลอดจะต้องฉวยโอกาสเป็นใหญ่ ถึงยามนั้นสถานการณ์กลับตาลปัตร ย่อมมีอันตรายถึงความเป็นความตาย 


 


 


หรือว่าราชครูอยากพนันสักหน่อยว่าฝ่าบาทจะใจอ่อนหรือไม่ ทว่าฝ่าบาทแลดูไม่คล้ายผู้ที่ลังเลไม่เด็ดขาดน่ะสิ นำความหวังเรื่องความเป็นความตายฝากฝังไว้กับอุปนิสัยแลจิตใจของฝ่าบาท จะประมาทเกินไปหน่อยหรือไม่ 


 


 


หรือราชครูโกรธาฝ่าบาทจนหน้ามืดตามัว เมื่อครู่ยามไอ้หน้ามนผู้นั้นหยอกล้อสนิทสนมกับฝ่าบาท แม้ว่าสีหน้าของราชครูไร้ซึ่งอารมณ์ ทว่าเขาผู้ที่รับใช้ราชครูมาหลายปีคนนี้ยังคงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายดุร้ายลึกล้ำ… 


 


 


เฮ้อ ฝ่าบาทแท้จริงแล้วงดงามยวดยิ่งอัธยาศัยดียิ่งยวด ทว่าด้วยเพราะงดงามเกินไปอัธยาศัยดีเกินไปเสียแล้ว… 


 


 


“นายท่าน ฝ่าบาทคล้ายลังเลเล็กน้อย ท่านว่าเป็นเพราะ…” 


 


 


กงอิ้นหันหน้ามา เอ่ยว่า “เจ้ารู้สึกด้วยหรือว่านางกำลังลังเล” 


 


 


ในชั่วพริบตาเหมิงหู่รู้สึกว่าตนเองมองเห็นแสงสว่างเพียงน้อยในนัยน์ตาของเขาแพรวพราวดั่งแสงเทียนกลางหุบเหว สว่างไสวจนผู้คนตะลึงพรึงเพริด 


 


 


เขาพยักหน้า…ทำท่าทางอยู่ครึ่งเค่อ สูดหายใจลึกอยู่ครึ่งเค่อ สุกรยังมองออกว่าราชินีกำลังกลัดกลุ้ม เพียงไม่รู้ว่านางกำลังกลัดกลุ้มเรื่องใด 


 


 


“ฉะนั้น” แขนเสื้อของกงอิ้นสยายออกไปอย่างเชื่องช้ากลางสายลม เสียงของเขาเมื่อครู่ยังฟังดูเย็นชาเหลือเกิน ยามนี้จึงผุดเผยความอ่อนโยนสายหนึ่งออกมาในที่สุด 


 


 


“…ข้าอยากรู้ผลลัพธ์การเลือกของนาง” 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่ไอจนคอหอยแทบจะพังยังคงรอคอยใครบางคนโผล่หน้ามาขัดขวาง 


 


 


นางหันหน้าอย่างท้อแท้ มองเห็นอีชีเท้าคางอยู่ มองดูนางด้วยท่าทางคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม 


 


 


จิ่งเหิงปัวถูกสายตานี้มองจนขาดความมั่นใจ หันข้างครั้งหนึ่งเดินเชิดหน้ายืดอกผ่านข้างกายเขา 


 


 


“เจ้าจะไปที่ใด” อีชีถามนางจากข้างหลัง 


 


 


“หากไม่อยากถูกผู้อื่นต่อยอีกสักครั้ง ข้าแนะนำให้เจ้าไปได้แล้ว” จิ่งเหิงปัวไม่แม้แต่จะหันหน้ามา ย่ำรองเท้าส้นสูงเดินเข้าสู่เบื้องลึกของความมืดมิดอย่างองอาจห้าวหาญ 


 


 


“เหตุใดเจ้าจึงไม่ตะโกน ตะโกนเสียงหนึ่งเขาย่อมจบเห่แล้ว คอหอยเจ้าไม่ค่อยดีใช่หรือไม่ เจ้าตะโกนไม่ออกหรือจะให้ข้าช่วยเจ้าหรือไม่” ใครบางคนที่ไม่รู้จักดูสถานการณ์ยังคงเอ่ยถามเจื้อยแจ้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่พาลโมโหโกรธา คำตอบคือเตะก้อนดินก้อนหนึ่งขึ้นมาให้เขา 


 


 


“สตรีมักปากกับใจไม่ตรงกัน” อีชีปัดฝุ่นบนอาภรณ์พลางส่ายหน้า 


 


 


ในความมืดมิดไกลออกไป ผู้ที่เอามือไพล่หลังชะเง้อมอง ดวงพักตร์ยังคงมิได้ขยับเขยื้อน เพียงผุดเผยความอ่อนโยนเล็กน้อย 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวเดินไปสองก้าวแล้วหยุดเดิน 


 


 


ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องพูดกับกงอิ้นให้ชัดเจน นางต้องพูดกับเขาให้เข้าใจเพื่อแย่งชิงเกียรติศักดิ์ศรีและสิทธิประโยชน์ของตนเองกลับมา 


 


 


นางรู้จักนิสัยของกงอิ้นดี เมื่อเขาตัดสินใจทำเรื่องอะไรแล้วจะไม่ให้คำอธิบายทั้งนั้น ถ้านางไม่ไปคุยกับเขา เรื่องนั้นคงต้องเป็นแบบนี้แล้ว 


 


 


ให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ นางยังหวังจะทลายทั้งต้าฮวงอย่างโดดเด่นเป็นสง่าในพิธีเฉลิมฉลองนะ จะให้ราษฎรต้าฮวงพลาดท่วงท่าสง่างามของนางเหรอ นี่มันไม่ยุติธรรมเลย 


 


 


ตามหากงอิ้นง่ายดายมาก ไม่ต้องแยกแยะทิศทางและไม่ต้องโก่งคอตะโกน นางยืนอยู่ตรงที่กว้างโล่ง นิ้วมือกระหวัดงอให้ความมืดมิด 


 


 


“นับถึงสาม เจ้าออกมา” นางเอ่ยว่า “มิเช่นนั้นข้าจะหนีตามผู้อื่นไปแล้ว” 


 


 


ความมืดมิดลึกล้ำไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว แม้แต่คบเพลิงยังดับสูญ หลงฉีต่างถอยไปไกลห่างแล้ว 


 


 


“หนึ่ง สอง สาม” 


 


 


ลมราตรีคำราม รอบด้านสงบเงียบ บึงโคลนห่างไกลเปล่งเสียงพวยพุ่งเชื่องช้าออกมา กิ่งไม้กิ่งหนึ่งหักลงดังแกร๊บเสียงหนึ่งโดยพลัน เฟยเฟยกระโดดลงมาจากยอดกิ่งอย่างอ่อนช้อย นัยน์ตาทอประกาย 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันกาย คล้องแขนของอีชีไว้ในครั้งเดียว กล่าวว่า “ไปกันเถิด ข้าเป็นภรรยาเจ้า!”  

 

 


ตอนที่ 52 - 1 เดิมพันชั่วชีวิต

 

“แม้ว่าจะถูกหลอกใช้ซ้ำยังมีอันตรายจากการถูกต่อย…” อีชีที่ถูกคล้องแขนไว้เดินตามนางอย่างคล้อยตาม พึมพำว่า “ได้ยินเสียงหนึ่งนี้คงเพียงพอจะทำให้ไอ้เด็กนั่นโกรธจนสิ้นชีพ คุ้มแแล้ว คุ้มแล้ว…” 


 


 


“พลั่ก” พริบตาต่อมาเขาลอยออกไปจากข้างกายของจิ่งเหิงปัว เส้นทางที่ลอยไปตรงดิ่งยิ่งนัก 


 


 


โชคดีที่เจ้าคนนี้เตรียมตัวล่วงหน้า แม้เพิ่งลอยออกไปยังเปลี่ยนทิศทางอย่างสวยงามหนึ่งครั้งกลางอากาศ ศีรษะห้อยลงเท้าชี้ขึ้น ม้วนกายไปบนต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วห้อยตนเองลงมาประหนึ่งค้างคาว 


 


 


จิ่งเหิงปัววิ่งไปทางผู้ลงมือเนิ่นนานแล้ว 


 


 


“เจ้ายังรู้จักมาอีกหรือ ในที่สุดเจ้าก็กล้าให้เกียรติมาแล้วสินะ” พริบตาหนึ่งที่อีชีลอยออกไปนั้น นางกะพริบออกไปสามจั้งดังสวบ มือถอดรองเท้าส้นสูงบนเท้าแล้วเขวี้ยงออกไปอย่างรุนแรง พลางตะโกนว่า “กงอิ้น! ไอ้สารเลวนี่!” 


 


 


นางเลือกจังหวะได้เหมาะเจาะยิ่งนัก กงอิ้นเพิ่งส่งอีชีไปไกลเกินพันลี้ มือยังไม่ทันได้หดกลับมา รองเท้าส้นสูงเปิดหน้าสีแดงข้างนี้จึงกระทบกับหน้าอกของเขาดังพลั่กเสียงหนึ่งพอดิบพอดี 


 


 


แท้จริงแล้วเขาสามารถใช้ปราณแท้โจมตีรองเท้าเหินทะลุฟ้าข้างนี้จนลอยล่องไปไกลเกินพันลี้ได้เลย ทว่ายามมองเห็นชัดเจนว่าของสิ่งนั้นคือสิ่งใด เขาลังเลโดยพลัน 


 


 


พอเขาลงมือ คาดว่ารองเท้านั้นคงสูญสลายจนไม่เหลือแม้แต่เศษธุลี คล้ายว่าของสิ่งนี้คือของสุดรักของนาง… 


 


 


พอลังเลขึ้นมาเพียงเท่านี้ เสียงพลั่กดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง รองเท้าข้างที่สองของจิ่งเหิงปัวจุมพิตลงตรงหน้าอกของเขาเช่นกัน 


 


 


มือของกงอิ้นคว้าเพียงครั้ง หิ้วรองเท้าสองข้างไว้ในมือแล้วกวัดแกว่งไปทางนาง 


 


 


“อาละวาดพอหรือยัง” เขาเอ่ย 


 


 


“ยัง!” พริบตาต่อมาจิ่งเหิงปัวปรากฏกายตรงเบื้องหน้าเขา ตบกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนหน้าผืนอกของเขาดังเพียะ กล่าวว่า “กงอิ้น เจ้าจะทำอะไรกันแน่!” 


 


 


หนังสือสัญญาแผ่นนั้นเปรอะคราบเลือดกำเดาของอีชี ประทับลงบนหน้าผืนอกของกงอิ้นทั้งๆ ที่เปียกชุ่มโชก พาให้อาภรณ์ขาวดุจหิมะของเขาเปรอะเปื้อนสีแดง 


 


 


กงอิ้นพลันก้มหน้า รู้สึกขยะแขยงจนสีหน้าซีดเผือดฉับพลัน แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง อาภรณ์บริเวณหนังสือสัญญารวมถึงบริเวณหน้าอกต่างสลายกลายเป็นจุณ 


 


 


แม้เป็นเช่นนี้ความขยะแขยงยังคงไม่จางหาย ลมหายใจของเขาไม่สงบนิ่งหน้าอกอึดอัดกลัดกลุ้ม คราบสกปรกแทบจะเป็นสิ่งที่เขามิอาจอดทนได้ที่สุดในโลก มันอยู่เหนือขอบเขตของโรครักสะอาดเสียแล้ว โดยเฉพาะคราบเลือดเช่นนี้ ทำให้แม้แต่ลมหายใจของเขายังมิอาจสงบนิ่งอยู่บ้าง 


 


 


ภายใต้การระเบิดโทสะ เขาพลันยื่นมือเหนี่ยวรั้งจิ่งเหิงปัวที่มองเห็นสีหน้าเขาผิดปกติจึงคิดหลบหนีเอาไว้ 


 


 


หากฉวยมือยกขึ้นเพียงครั้ง จิ่งเหิงปัวคงจะลอยกลับไปไกลเกินพันลี้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวดิ้นรนจ้องมองเขากลางอากาศ แววตาไม่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย 


 


 


กงอิ้นชะงักเล็กน้อยโดยพลัน 


 


 


เขาเคยเห็นนางเอาอกเอาใจ เคยเห็นนางประจบประแจง เคยเห็นนางทำตนน่ารักใคร่ เคยเห็นนางยั่วเย้า สตรีนางนี้แลคล้ายใจร้อนปล่อยตนตามใจ แท้จริงแล้วรู้สถานการณ์รู้ก้าวรู้ถอยยิ่งนัก ยอมที่จะจัดการผู้อื่นในภายหลังและรู้จักประมาณตนเอง ทว่ายามนี้เพลิงโทสะแจ่มชัดเช่นนี้ของนางได้บดบังสีหน้าท่าทางงามเพริศแพร้วแต่กาลก่อน 


 


 


นางคล้ายโกรธเคืองยิ่งนัก… 


 


 


พอหยุดชะงักเพียงครั้งหนึ่งนี้ สายตาของเขาทอดลงบนรองเท้าส้นสูงในมืออีกครั้ง ใจลอยนึกถึงรองเท้าส้นสูงลายเสือดาวที่ห้อยอยู่ในนิ้วมือของตนเอง ณ ริมฝั่งแม่น้ำใต้หน้าผาครานั้นอีกครั้ง 


 


 


แผ่นหลังงดงามอ่อนช้อยผืนนั้น 


 


 


ท้ายทอยนุ่มลื่นกระจ่างใสดั่งหิมะช่วงหนึ่งนั้น 


 


 


ผมยาวอัศจรรย์หยักเพียงน้อยปอยหนึ่งนั้น 


 


 


ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่รวยรินกลิ่นหอมหวานหอมหวนนั้น 


 


 


วันเวลาที่พึ่งพาแนบชิดสนิทสนมในตาข่ายเหล่านั้น 


 


 


… 


 


 


นิ้วมือที่เหวี่ยงออกไปเบื้องนอกของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกระหวัดคว้าจิ่งเหิงปัวที่เกือบลอยออกจากแผ่นดินใหญ่กลับมาได้ทันเวลา 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ฉวยโอกาสใช้นิ้วมือจิ้มลงบนหน้าอกของเขา เงยหน้ามองเข้าไปในนัยน์ตาของเขา 


 


 


นัยน์ตาเปล่งประกายแสงน้ำเงินมืดมิดอ่อนจางคู่หนึ่งปานผลึกน้ำแข็ง นิ่งสงบดุจทะเลสาบใต้ภูผาไกลห่าง 


 


 


“กงอิ้นเจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่” นางถามว่า “เจ้าลงนามสัญญาใดนี่ไม่เกี่ยวกับข้า ทว่าเหตุใดจึงต้องล้มเลิกพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ” 


 


 


“เหตุใดจึงล้มเลิกมิได้” เขาย้อนถามว่า “เจ้าไหวหรือ” 


 


 


“ข้าไม่ไหวหรือ” การย้อนถามของนางว่องไวยิ่งกว่า กล่าวว่า “เจ้ามีสิทธิอะไรมาเข้าใจเช่นนี้” 


 


 


“อาศัยการแสดงออกของเจ้า!” เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อย่าได้นึกว่าราชินีเป็นเช่นเด็กเล่นขายของ แลอย่าได้นึกว่าขุนนางใหญ่กับราษฎรเป็นเช่นข้าและเหยียลี่ว์ฉี ยิ่งอย่าได้นึกว่าความงามหรือความเจ้าชู้ของเจ้าจะทำให้ทุกผู้คนหมอบคลานแทบธุลีเทิดทูนเจ้าเป็นนายได้ แต่ไหนแต่ไรมาราชบัลลังก์มิใช่เรื่องง่ายดายเยี่ยงนั้น” 


 


 


“ความงามความเจ้าชู้กับน้องสาวเจ้าสิ!” ความโกรธแค้นของจิ่งเหิงปัวพวยพุ่งขึ้นมา ตบหน้าอกของเขาดังเพียะๆ พลางกล่าวว่า “กงอิ้น เจ้าดูถูกผู้อื่น!” 


 


 


กงอิ้นเปี่ยมด้วยสีหน้ายอมรับโดยดุษณี ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน อย่างไรเสียการทุบตีของนางมิได้แตกต่างจากแมวน้อยสะกิดเกามากนัก 


 


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าหวังดีต่อข้าเลยหรือ เจ้าถือว่าการลงนามครั้งหนึ่งนี้เป็นการแก้ไขปัญหาเพื่อข้า ข้าควรจะขอบใจเจ้าเลยใช่หรือไม่” จิ่งเหิงปัวเท้าหน้าผากไว้นิ่งเงียบไปสามวินาที จากนั้นเงยหน้าฉับพลัน สูดหายใจเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “หยุด เจ้าไม่ต้องแสร้งทำเท่เอ่ยว่านี่ไม่ใช่เพื่อข้า ข้าไม่อยากฟัง บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้แท้จริงแล้วนับว่าเป็นความหวังดีของเจ้า ทว่า…ข้าไม่อยากรับไว้ ได้หรือไม่” 


 


 


“ไม่ได้” กงอิ้นเชี่ยวชาญการใช้วาจาประโยคหนึ่งทำให้ผู้อื่นโกรธจนสิ้นชีพมาโดยตลอด 


 


 


จิ่งเหิงปัวสูดหายใจลึกอีกครั้ง 


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่วางใจข้า…โอเคๆ เจ้ามิใช่ไม่วางใจข้าโดยสิ้นเชิงเจ้าเพียงถือโอกาสแก้ไขเรื่องนี้ข้าเข้าใจ…บัดนี้ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้า ข้าเพียงอยากเอ่ยกับเจ้าว่า ข้าผ่านการทดสอบได้ ข้าชนะได้ ข้าทำให้ดีได้ เจ้าไม่ต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้โอกาสข้าได้พิสูจน์ตนเองสักครั้งได้หรือไม่” 


 


 


“ไม่ได้” 


 


 


จิ่งเหิงปัวถลึงตาใส่เจ้าคนดื้อรั้นถือทิฐิคนนี้ หน้าอกหอบกระเพื่อม…ใครว่านางไม่มีเหตุผล เจ้าคนที่ไม่มีเหตุผลที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือคนเบื้องหน้าคนนี้ชัดๆ! 


 


 


“เหตุใดจึงไม่ได้! อธิบายเหตุผลให้ข้าฟังสักข้อสิ!” 


 


 


“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเจ้าทำได้ คิดว่าเจ้าทำให้ผู้คนนับสิบล้านยอมรับนับถือด้วยใจจริงได้หรือ คิดว่าเจ้าจะทำเรื่องที่ราชินีผู้ครองตำแหน่งในอดีตยังทำมิได้ได้หรือ” 


 


 


“ผู้อื่นทำไม่ได้ ข้าก็ต้องทำไม่ได้หรือ ตรรกะบ้าบออะไรของเจ้าเนี่ย” 


 


 


“สิ่งใดทำให้เจ้าพลันคิดว่าเจ้าทำได้ ไม่กี่วันก่อนเจ้ายังกลัดกลุ้มด้วยเพราะเรื่องนี้” กงอิ้นแบะมุมปากเพียงครั้ง ชี้ไปยังอีชีที่ชมเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้ เอ่ยว่า “ด้วยเพราะรู้จักกับเขาหรือ นับว่าเจ้ามีความสามารถ พบเจอครั้งแรกก็สามารถควบคุมพี่น้องเจ็ดสังหารได้ ทว่าข้าบอกเจ้าเลยว่า แม้ว่าเจ็ดสังหารกำราบต้าฮวงได้ แต่สยบดวงใจของอาณาประชาราษฎร์ไม่ได้!” 


 


 


“เจ็ดสังหารแปดสังหารสิบสามสังหารอะไร!” จิ่งเหิงปัวเหลืออดเหลือทน ไอ้บ้านี่หมายถึงอะไร บอกเป็นนัยว่านางใช้รูปโฉมลวงหลอกคนอื่นเหรอ 


 


 


“กงอิ้น! เจ้าเอ่ยวาจาสะเปะสะปะกับข้าให้มันน้อยหน่อย! เจ้าไม่รับปากเพราะกลัวว่าข้าผ่านด่านขึ้นมา สืบราชสันตติวงศ์อย่างราบรื่นได้จริง จะขัดขวางแผนการแย่งชิงบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ของเจ้าใช่หรือไม่” นางแย่งรองเท้าส้นสูงมาในครั้งเดียว ยัดส้นรองเท้าดุจหนามใส่มือเขาพลางกล่าวว่า “หากเอ่ยว่าขัดขวาง แท้จริงแล้วข้าขัดขวางเจ้ามาโดยตลอด เหตุใดเจ้าต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงกระทำเรื่องราวมากมายเยี่ยงนี้ ยามนี้สังหารข้าเสียเลยสิ เอาสิ เอาเลย” นางเอียงคอขึ้นมารวบผมขึ้นไป เสนอหลอดเลือดใหญ่ที่คอสู่ส้นรองเท้าในมือของเขา พลางกล่าวว่า “มา แทงสิ! แค่ทิ่มเบาๆ เพียงครั้งก็พอแล้ว! มา! เร็วเข้า!” 


 


 


กงอิ้นก้มหน้าเผชิญหน้ากับลำคอของนางพอดี ลำคอหนึ่งเรียวบางขาวราวหิมะ ผุดเผยสีโลหิตจากผิวกายเพียงน้อย ข้อต่อประณีตเกลี้ยงเกลานูนขึ้นมาเล็กน้อย เส้นผมดำขลับสยายลงไปจากหว่างนิ้วนาง กลิ่นหอมกรุ่นกำจายตลบอบอวลขึ้นมา 


 


 


เขาอยากใช้นิ้วมือลูบคลำผ่านข้อต่อประณีตเหล่านั้นทีละนิ้วละนิ้วอย่างละเอียดอ่อนโดยพลัน ซ้ำยังอยากรู้ว่าความประณีตของผิวกายเบื้องล่างส่วนหนึ่งนี้จะทรวดทรงวิจิตร แผ่นหลังงามดั่งหยกหรือไม่… 


 


 


กงอิ้นกระแอมไอเสียงหนึ่งโดยพลัน รู้สึกเพียงใบหน้าร้อนผ่าว เรือนร่างร่นถอยไปข้างหลังเล็กน้อย เจ้าคนบางคนที่แลคล้ายเจ้าชู้ทว่าแท้จริงแล้วมึนชา รอคอยอยู่เนิ่นนานเห็นว่าไม่มีความเคลื่อนไหวก็เริ่มรำคาญ รู้สึกว่าท่าทางยังดุดันไม่พอ เมื่อเห็นเขาร่อนถอย จึงกุมชัยชนะไล่โจมตีพุ่งชนไปข้างหลังแล้วพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเขา กล่าวว่า “แทงสิ! แทงเลย!” 


 


 


เรือนร่างของนางแนบเข้ามาในอ้อมแขนของเขาดังพลั่กเสียงหนึ่ง สะท้านเสียจนผืนอกของเขาคล้ายสั่นไหว พริบตาหนึ่งคล้ายรู้สึกถึงความนวลนุ่มโค้งเว้า กลิ่นหอมสะกดผู้คน เขารีบเร่งใช้มือกดหัวไหล่ของนางไว้เพียงครั้ง ผลักออกครึ่งฉื่อแล้วหันนางออกไปทั้งอย่างนั้น 


 


 


“เหตุใดจึงไม่แทง” จิ่งเหิงปัวมองรองเท้าส้นสูงในมือเขาด้วยหางตา นางกำลังยั่วยุ 


 


 


“สกปรก” ชั่วพริบตาที่นางหันกายมานั้น สีแดงซ่านบนใบหน้ากงอิ้นสูญสลาย เขาฉวยมือเหวี่ยงรองเท้าส้นสูงของนางเพียงครั้งแล้วดึงแขนเสื้อของนางมาเช็ดมือ 


 


 


ความโกรธของจิ่งเหิงปัวแผ่ซ่านทั่วทุกอณู นางดึงแขนเสื้อกลับมาอย่างรุนแรง กล่าวว่า “พวกเล่นเล่ห์เพทุบายลับหลังสิสกปรก!” 


 


 


มือของกงอิ้นหยุดชะงัก ยามเงยหน้ามองนางอีกครั้ง แววตาฟื้นคืนความสงบนิ่งและเย็นชาแล้ว 


 


 


“อืม” เขาเอ่ยว่า “เจ้างดงามบริสุทธิ์ จิตใจสูงส่ง มิจำต้องเล่นเล่ห์เพทุบายลับหลังย่อมสามารถขึ้นครองราชย์ได้โดยสวัสดิภาพ กำราบโลกหล้า ที่ซึ่งเกียรติยศขจรขจายผ่านพาให้ราษฎรต้าฮวงโห่ร้องร่ายรำ กราบกรานแทบธุลี” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเกลียดการที่เขาใช้น้ำเสียงเย็นชืดเย็นชาเอ่ยวาจาประชดประชันรุนแรงเป็นที่สุด! 


 


 


“เจ้านั่นแหละไม่เชื่อว่าข้าผ่านการทดสอบได้ เจ้านั่นแหละคิดว่าข้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นราชินี” นางเชิดหน้าขึ้น กล่าวว่า “หากข้าทำได้เล่า” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าเป็นราชินีสิ” กงอิ้นเอ่ยตอบตามตามอำเภอใจว่า “ข้าจะปกป้องเจ้าหลีกทางให้เจ้าตลอดชั่วชีวิตของข้า” 


 


 


“ได้!” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบ กล่าวว่า “เดิมพัน!” 


 


 


กงอิ้นกลับเอ่ยว่า “หากเจ้าทำไม่ได้” 


 


 


“ข้าจะทำไม่ได้ได้อย่างไร” จิ่งเหิงปัวแบะปากครั้งหนึ่ง ทุบของบางสิ่งตรงหน้าอก 


 


 


“หากเจ้าทำไม่ได้” คนบางคนมักไม่ยอมเลิกราเช่นนี้ 


 


 


“หากข้าทำไม่ได้!” จิ่งเหิงปัวแบะปากครั้งหนึ่ง นิ้วมือจิ้มแก้มของเขาหนึ่งครั้งพลางกล่าวว่า “ข้าขายตัวให้เจ้า เป็นทาสเป็นอนุภรรยาย่อมได้ ปรนนิบัติเจ้าเป็นนายท่านไปตลอดชีวิต!”  

 

 


ตอนที่ 52 - 2 เดิมพันชั่วชีวิต

 

นางเน้นเสียงคำว่า “ปรนนิบัติ” สามอักษรนั้นแน่นหนักอย่างยิ่ง เน้นจนเสียงหลังนาสิกผนึกแน่นเล็กน้อย ฟังแล้วทั้งคลุมเครือทั้งเลินเล่อ ทำให้ผู้คนคันยุบยิบในใจ 


 


 


กงอิ้นหยุดชะงักไปเพียงน้อย ลางสังหรณ์จะคัดค้าน…นี่นับว่าเป็นบทลงโทษอะไร ณ ตำหนักอวี้จ้าวของเขาทุกวันต่างมีคุณหนูสูงศักดิ์นับมิถ้วนมาขอเป็นหญิงรับใช้ให้เขาเชียวนะ เป็นราชินีไม่สำเร็จต้องถูกเนรเทศ ไปเป็นหญิงรับใช้หรืออนุภรรยาของเขาทว่าได้รับการคุ้มครองจากเขา ทุกผู้คนอิจฉา นางคงดีดลูกคิดวางแผนมาดีแล้ว 


 


 


ไม่ได้! 


 


 


จากนั้นเขาได้ยินตนเองเอ่ยตอบว่า “ฮึ” 


 


 


“เจ้ารับปากแล้ว” จิ่งเหิงปัวกลอกตาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ สัญญาเดิมพันต้องยุติธรรม เช่นนั้นหากข้าทำได้เล่า” 


 


 


“เจ้าเสนอข้อเรียกร้อง” 


 


 


“ทำอย่างไรดีเล่า ให้เจ้าวิ่งแก้ผ้ารอบพระราชวัง ให้เจ้าร่ายระบำงดงามกลางจัตุรัส” จิ่งเหิงปัวยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้นดีใจ เท้าคางครุ่นคิด กล่าวต่อไปว่า “ไอ้หยาวิ่งแก้ผ้าแม้ว่าน่าดูชม ทว่าข้าไม่อยากให้เจ้าวิ่งให้ผู้อื่นเห็น…ร่ายระบำงดงามก็ไม่เลว ทว่าเจ้าแข็งทื่อเป็นผีดิบเช่นนี้คงร่ายรำไม่งดงามขายหน้าข้าเป็นแน่…หรือไม่เจ้านอนลงให้ข้าลวนลามห้ามต่อต้าน แส้หนังเทียนไขกุญแจมือ จิ๊จ๊ะสะใจจัง…” 


 


 


นางยิ่งกล่าวยิ่งตื่นเต้นดีใจ คล้ายความพ่ายแพ้ของกงอิ้นคือเรื่องจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง นางนั้นกลัดกลุ้มแค่ใช้บทลงโทษแบบไหนถึงจะทั้งได้ระบายความโกรธทั้งพึงพอใจกันแน่ 


 


 


ยิ่งฟังสีหน้าของกงอิ้นยิ่งเขียวคล้ำ สุดท้ายแล้วเหลืออดเหลือทนจึงเตือนสติอย่างเย็นชาว่า “เงื่อนไขข้อแรกคือเจ้าต้องทำได้!” 


 


 


“อ้อ เช่นนั้นข้าขอคิดดูก่อน รอให้เจ้าแพ้แล้วค่อยเสนอเงื่อนไขยังไม่สาย” จิ่งเหิงปัวยกฝ่ามือขึ้นมา กล่าวว่า “ห้ามเบี้ยวสัญญา พนันล่ะ!” 


 


 


กงอิ้นมองฝ่ามือขาวราวหิมะของนาง ชะงักไปชั่วครู่แล้วยกฝ่ามือขึ้น 


 


 


“เพียะ!” 


 


 


สัญญาเดิมพันครั้งแรกของราชินีต้าฮวงกับราชครูผู้แรกสำเร็จเสร็จสิ้น 


 


 


ฝ่ามือต่างวางลงแล้ว ไม่รอให้จิ่งเหิงปัวลำพองใจ กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาโดยพลันว่า “อ้อ ลืมบอกเจ้าไป หากราชินีมิอาจขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น จะถูกลงโทษประหารชีวิตได้โดยง่ายดายยิ่งนัก หากกลายเป็นภรรยาทาสของข้าจะหลีกเลี่ยงชะตากรรมถูกเนรเทศได้ นี่นับเป็นการลงเอยที่ดีที่สุดแล้ว ตามกฎเกณฑ์ของต้าฮวง ภรรยาทาสไร้อิสระตลอดกาล รักษาพรหมจรรย์ชั่วชีวิตเพื่อเจ้านาย มิอาจให้กำเนิดลูกชายแลสั่งสอนลูกสาวได้ตลอดกาล มิอาจกลายเป็นภรรยาหลวงของเจ้านายได้ตลอดกาล แลต้องปรนนิบัติภรรยาทุกคนของเจ้านายไปตลอดกาล แท้จริงแล้วจุดจบของภรรยาทาสน่าเวทนาเสียยิ่งกว่าการเนรเทศ” 


 


 


“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า” จิ่งเหิงปัวยืดอก กล่าวว่า “ข้าคงไม่กลายเป็นภรรยาทาสของเจ้า ข้าจะให้เจ้ากลายเป็นฝ่ายรับน้อยของข้า!” 


 


 


กงอิ้นคร้านจะสนใจวาจาองอาจโอ้อวดของนาง 


 


 


ฝ่ายรับน้อยคือสิ่งใด มักจะได้ยินนางพึมพำเจื้อยแจ้ว ทว่าอย่าถามเป็นการดีที่สุด คำตอบจากปากของนางมีเพียงสิ่งที่มิอาจฟังได้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมามองเห็นอีชีนั่งตัวตรงอยู่บนต้นไม้ เขามองนางด้วยสีหน้าแปลกประหลาด นางประทับใจเจ้าคนนี้ไม่น้อย ไม่ว่าจะอย่างไรเขาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายชิงหนังสือสัญญาครั้งหนึ่งเพื่อนาง ก่อนไปไม่ร่ำลาสักหน่อยคล้ายไม่สมเหตุสมผล 


 


 


“เฮ้อ เสี่ยวชีชี” นางคิดว่าชื่อของอีชีไม่คล่องปาก เจ้ากี้เจ้าการตั้งชื่อเล่นให้เสียเลย กล่าวต่อไปว่า “ข้าจะไปแล้ว เจ้าจะเข้านครตี้เกอด้วยกันกับข้าหรือไม่” 


 


 


“เขาไม่ไป” กงอิ้นเอ่ยตอบแทนอย่างเย็นชาจากข้างหลังนาง 


 


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไร” 


 


 


กงอิ้นมิเอ่ยวาจาแล้ว…หากเจ้าผู้นี้ไม่กลัวสิ้นชีพ มาลองได้เลย 


 


 


“ไม่เอาหรอก” อีชียิ้มตาหยีโบกมือบนต้นไม้ เอ่ยสืบต่อว่า “ข้ายังมีธุระ คราวหน้าค่อยไปเยี่ยมเจ้าล่ะกัน ข้าจะคิดถึงเจ้า ข้าจะเก็บรักษายาทาเล็บที่เป็นของขวัญแทนใจที่เจ้าให้ข้าไว้เป็นอย่างดี” 


 


 


“ได้สิๆ” จิ่งเหิงปัวโบกมือ กล่าวต่อไปว่า “อย่าลืมไปเยี่ยมข้าล่ะ ที่อยู่ของข้าคือ…เอ๊ะกงอิ้นที่อยู่ของข้าควรจะเป็นที่ใด เอ๊ะกงอิ้นเหตุใดสีหน้าของเจ้าจึงคล้ำเยี่ยงนี้…เอ๊ะอีชีเหตุใดเจ้ายังเอ่ยวาจาไม่จบก็วิ่งไปแล้วล่ะข้ายังไม่ได้บอกที่อยู่ให้เจ้ารู้เลย…เอ๊ะกงอิ้นเหตุใดเจ้าต้องต่อยเสี่ยวชีชี…เอ๊ะ…อ๊ะ!” 


 


 


เบื้องหน้านางมืดมิดโดยพลัน ล้มลงสู่อ้อมแขนรวดเร็วฉับไวของกงอิ้นด้วยท่าทางอ่อนปวกเปียก 


 


 


“วาจาเจ้ามากเกินไปแล้ว” 


 


 


กงอิ้นที่ไล่ล่าสังหารอีชีกลับมารับนางไว้ในครั้งเดียว เย็นชาเช่นดังเอ่ย 


 


 


… 


 


 


รอให้จิ่งเหิงปัวนอนหลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ขบวนรถได้เข้าสู่นครตี้เกอแล้ว 


 


 


เหล่า “ตัวประกัน” ย่อมได้รับการ “ช่วยเหลือ” โดยหลงฉีเป็นธรรมดาและกลับเข้าร่วมกองทัพแล้ว เพียงแต่ทุกผู้คนต่างไร้ชีวิตชีวาอยู่บ้างอย่างยากจะหลีกเลี่ยง หลังจากกองทัพของหกแคว้นแปดชนเผ่าผ่านพ้นอุปสรรคครั้งหนึ่งนี้ก็สงบเงียบลงไปมาก แม้แต่เฟยหลัวก็ไม่ได้มายังเบื้องหน้าราชรถของราชินีอีก เอาแต่อยู่ในรถม้าของตนเองทั้งวัน 


 


 


หลังจากจิ่งเหิงปัวตื่นขึ้นมานึกถึงเรื่องหนึ่ง คือเรื่องเกี่ยวกับสาเหตุการตายผู้อ่อนวัยหน้ากลมเผ่าหลิวหลีคนนั้น แต่นางไม่อยากถามขึ้นมาอีก 


 


 


คำตอบคงจะโหดร้ายมาก นางไม่อยากเผชิญหน้ากับความโหดร้ายแบบนั้น ความอบอุ่นที่ทั้งดวงใจอาลัยอาวรณ์สุดท้ายแล้วเป็นเพียงภาพลวงตาที่จงใจเข้าใกล้นาง นางกลัวว่าหลังจากตนเองรู้ความจริงจะสูญเสียความเชื่อถือที่มีต่อนิสัยของมนุษย์ 


 


 


ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดว่ากงอิ้นจะฆ่าผิดคนหรือเปล่า อย่างไรเสียเด็กนั่นดูท่าทางใสซื่ออบอุ่นขนาดนั้น ไม่เหมือนจารชนที่ใจคดคิดไม่ซื่อกับนางจริงๆ 


 


 


แต่ว่าด้วยเพราะอย่างนี้เอง นางยิ่งไม่กล้าถาม 


 


 


ถ้าการคาดเดานี้กลายเป็นเรื่องจริง นางกลัวว่าตนเองจะสูญเสียความเชื่อถือที่มีต่อกงอิ้นไปนับแต่นี้ ค่อยๆ ห่างเหินกันนับแต่นี้ นั่นคล้ายน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าสูญเสียความเชื่อถือที่มีต่อนิสัยของมนุษย์ 


 


 


นางปลอบใจตนเอง…มองจากความเฉลียวฉลาดและประสบการณ์ มหาเทพไม่ผิดพลาดแน่นอน 


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ รู้สึกทันทีว่าตนเองเป็นเพียงคนอ่อนแอหนีปัญหาที่เห็นแก่ตัว 


 


 


จากนั้นนางนึกถึงหนังสือสัญญาฉบับนั้น ในหนังสือสัญญาบอกให้ผู้นำแต่ละคนละทิ้งพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ แต่นางปฏิเสธข้อเสนอนี้แล้ว ต่อไปกงอิ้นจะเอ่ยกับอีกฝ่ายว่าอย่างไร ข้อหนึ่งนี้ในหนังสือสัญญาเป็นโมฆะเหรอ ตอนแรกเขาถึงกับสวมรอยเป็นคนของเหยียลี่ว์ฉีลงนามในสัญญากับอีกฝ่าย หรือว่าสวมรอยอีกครั้งหนึ่งเหรอ 


 


 


นางสืบถามจากเหมิงหู่ได้เล็กน้อย ผลคือเหมิงหู่บอกนางว่าง่ายมาก หากดำเนินการตามหนังสือสัญญา กงอิ้นจะถ่วงความเร็วในการเคลื่อนขบวนรถราชินี ให้ผู้นำทุกชนเผ่าที่ลงนามในสัญญารีบเร่งกลับตี้เกอล่วงหน้าก้าวหนึ่ง จากนั้นให้พวกเขาเองออกหน้าหรือไหว้วานผู้นำอาวุโสออกหน้าเรียกร้องให้ล้มเลิกการจัดพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ตอนนี้ในเมื่อจิ่งเหิงปัวยืนหยัดต้องการพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ กองทัพแค่ต้องเคลื่อนขบวนตามความเร็วที่กำหนดไว้แต่แรกและใช้ข้ออ้างว่าปกป้องเพื่อไม่ให้ผู้นำทุกชนเผ่ากลับตี้เกอไปก่อน พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จที่อยู่ในระหว่างการตระเตรียมไม่ได้รับข่าวสารให้เปลี่ยนแปลงย่อมจะดำเนินการตามปกติเป็นธรรมดา 


 


 


สำหรับผู้นำทุกชนเผ่าแล้ว สนธิสัญญาล้มเลิกพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จที่ซุกซ่อนอยู่บรรทัดล่างสุดของหนังสือสัญญานั้นดูท่าทางไม่น่าสนใจใยดีย่อมทำให้พวกเขาไม่ได้นำมาใส่ใจ กงอิ้นไม่ให้พวกเขากลับไปก่อน กระทำสัญญาข้อหนึ่งนี้ไม่สำเร็จจะโทษพวกเขาไม่ได้ ย่อมไม่มีใครกระตือรือร้นคัดค้าน 


 


 


จิ่งเหิงปัวตบหน้าผากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ต้องยอมรับว่าเซลล์สมองของกงอิ้นใช้งานได้ดีมาก เรื่องราวยุ่งยากซับซ้อนพอถึงมือเขาจัดการแก้ไขได้ง่ายดายมาก เป็นศัตรูกับคนประเภทนี้คงเป็นทุกข์มากแน่นอน 


 


 


เหมิงหู่มองเห็นสีหน้าสบายใจของนาง อยากเอ่ยวาจาทว่าไม่เอื้อนเอ่ย เขาอยากบอกจิ่งเหิงปัวเหลือเกินว่าราชครูใช้ความคิดเพียงใดเสี่ยงอันตรายเพียงใดเพื่อหนังสือสัญญาฉบับนี้ ทว่าล้มเลิกอย่างง่ายดายด้วยเพราะวาจาประโยคเดียวของนาง หลังจากล้มเลิกแล้วราชครูจะแบกรับอันตรายมากเพียงใดเพื่อนางอีกครา…หากราชินีมิอาจได้รับการยอมรับ เขาซึ่งเป็นราชครูที่ทำนายเอกลักษณ์ของราชินีกลับชาติมาเกิดออกมาอีกทั้งร่วมรับเสด็จพันลี้ผู้นี้จะถูกโจมตีเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นจะก่อเกิดผลกระทบเลวร้ายต่อบารมีและตำแหน่งของเขาอย่างยากหลีกเลี่ยง 


 


 


ทว่าเขามิกล้าเอื้อนเอ่ย 


 


 


เรื่องที่กงอิ้นเอ่ยห้าม ผู้ใดก็มิกล้ากระทำ 


 


 


บางครั้งเขาไม่เข้าใจว่าราชครูคิดอย่างไร เดิมทีราชินีมิควรอยู่ในแผนการ ตามอุปนิสัยและพฤติกรรมการกระทำแต่ก่อนของราชครู พอนางปรากฏกายขึ้นมาย่อมควรคิดวิธีเข่นฆ่า ทว่า… 


 


 


เหมิงหู่ถอนหายใจเฮือก ไม่อยากคิดสืบสาวราวเรื่องต่อไป ในฐานะผู้ใต้บัญชาคนหนึ่ง เพียงต้องเชื่อฟังเจ้านาย ติดตามเจ้านายก็พอแล้ว 


 


 


เพียงแต่ความเป็นกังวลที่แต่ก่อนในใจมิเคยมีนี้ เหตุใดนับวันจึงยิ่งมากขึ้นเล่า… 


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องมองเงาด้านหลังที่มีท่าทางหนักอกหนักใจของเหมิงหู่ เท้าแก้มครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วลูบคลำท้ายทอยที่ยังเจ็บปวดอยู่บ้างอีกครั้ง ถอนหายใจอ่อนโยนอย่างยากพบเห็นเช่นกัน 


 


 


… 


 


 


“ทหารคั่งหลงเข้าสู่ตี้เกอ เข้าควบคุมการป้องกันเมืองแล้วขอรับ” 


 


 


“สัญญาไกล่เกลี่ยหลังจากเผ่าจั๋นอวี่เห็นด้วย บัญชาทหารลับประจำตระกูลถอยกลับคฤหาสน์ขอรับ” 


 


 


“หลงฉีเข้านคร เฝ้าจวนขุนนางใหญ่ที่มีทหารลับทุกจวนไว้แล้ว ห้ามเกิดเรื่องประมาทเลินเล่อใดๆ ขอรับ” 


 


 


“ทหารลับประจำตระกูลเหยียลี่ว์ใต้นามราชครูเหยียลี่ว์รวมทั้งทหารเยียนซา ถอนทัพแล้วขอรับ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงรายงานสถานการณ์ทางทหารดังต่อกันเป็นระลอกกำลังประชิดใกล้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ก็รู้ว่ามหาเทพกงมาแล้ว 


 


 


นางชะโงกหน้าออกไป มองเห็นกงอิ้นรีบเร่งเดินเข้ามาดังคาด ข้างหลังติดตามด้วยนายทหารผู้ช่วยกลุ่มใหญ่ ทุกผู้คนทั้งเดินทั้งวิ่งเหยาะติดตามเขาอย่างกระชั้นชิด หอบเอกสารกองใหญ่รายงานต่อเขา 


 


 


ข้างหลังเขายังมีหญิงรับใช้สองนางหอบกล่องขนาดมหึมาไว้ 


 


 


กงอิ้นฝีก้าวรวดเร็วยิ่งนัก ลักษณะท่าทางกลับสงบนิ่งยวดยิ่ง เดินไปพลางเอ่ยวาจาไปพลางว่า “ทหารคั่งหลงเข้าควบคุมการป้องกันเมือง เคลื่อนพลไปป้อมปราการกลางนคร ระวังอากัปกริยา ห้ามเกิดการปะทะใดๆ ทว่าหากมีผู้ใดก็ตามต่อต้าน จงสังหารให้สิ้นซาก” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


“อนุญาตให้เผ่าจั๋นอวี่และทหารลับประจำตระกูลเหยียลี่ว์ตั้งทัพป้องกันคฤหาสน์กลางนคร ทว่าจำนวนทหารต่างห้ามเกินสามพันนาย” 


 


 


“ราชครูขอรับ จั๋นอวี่และตระกูลเหยียลี่ว์ต่างพำนักอยู่ในนคร ด้วยเพราะพื้นที่ในนครมีจำกัด องครักษ์คั่งหลงเองจัดตั้งขึ้นมาแล้วหนึ่งหมื่นนาย บัดนี้จั๋นอวี่และเหยียลี่ว์ต่างฝ่ายต่างมีทหารสามพันนายเท่ากับหกพันนาย จำนวนทหารมากเกินไปเช่นนี้ หากควบคุมมิได้ล่ะขอรับ” 


 


 


“เช่นนั้นห้ามควบคุมมิได้ ยามนี้จั๋นอวี่และเหยียลี่ว์ต่างมีจิตใจตึงเครียด ระมัดระวังซึ่งกันและกัน การแข็งขืนฝืนถอนทหารลับของฝ่ายใดย่อมก่อให้เกิดการโต้กลับ หากพวกเขาอาละวาดในนครขึ้นมาถึงจะเป็นความเสียหายที่ประเมินค่ามิได้ สิ่งที่พวกเราต้องการก็คือตรึงพวกเขาสยบไว้ในนคร หลีกเลี่ยงยามเวลาผ่านไปนานทหารลับทุกตระกูลที่ตรึงไว้ภายในจะก่อเกิดความวุ่นวาย นอกจากนี้ เคลื่อนพลสายสืบคั่งหลงทัพหนึ่งมาในนครด้วย” 


 


 


“ขอรับ”  

 

 


ตอนที่ 52 - 3 เดิมพันชั่วชีวิต

 

จิ่งเหิงปัวชะเง้อมองตาปริบๆ…เท่ระเบิดเจิดจ้าบ้าอำนาจหยิ่งทระนงจริงๆ! รอให้นางเป็นราชินีแล้ว นางจะให้ผู้คนกลุ่มใหญ่ติดตามข้างหลังด้วย นางจะเดินอย่างรวดเร็วมากด้วย เดินไปพลางวางแผนไปพลางให้คนอื่นวิ่งเหยาะตามนาง นางยังจะให้กงอิ้นตามอยู่ข้างหน้าสุด วิ่งไปพลางเอ่ยกับนางอย่างเคารพนบนอบไปพลางว่า “ไฮ้[1]! โยะชิ[2]! ซึมนีดา[3]!”


 


 


ผ้าม่านรถสะบัดเพียงครั้ง ใบหน้าของกงอิ้นที่ปรากฏขึ้นสะบั้นความฝันงดงามของนาง เขากำลังเลิกม่านไปพลางเอ่ยกับคนข้างหลังไปพลางว่า “ราชรถของราชินีจะเข้านครยามอู่[4] แจ้งทหารกองเกียรติยศกับเหยียลี่ว์เตรียมการให้พร้อม”


 


 


ความฝันงดงามของจิ่งเหิงปัวแหลกสลายดัง “เพียะ”…ความปรารถนางดงามซ้ำยังไกลห่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้แม้แต่เข้านครเมื่อไรนางยังต้องเชื่อฟังเขา นางเกลียดการออกจากบ้านตอนดวงอาทิตย์เที่ยงวันดวงใหญ่ที่สุดเลย!


 


 


พอกงอิ้นเงยหน้าก็มองเห็นหน้าตาบูดเบี้ยวของนาง แน่นอนว่าสีหน้าของเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเพียงใด


 


 


เมื่อวานหลังจากเขาทำให้นางสลบไสลแล้วแบกกลับมา ทั้งสองคนได้พบเจอกันครั้งหนึ่ง แต่ยังคงไม่สนใจซึ่งกันและกัน


 


 


จิ่งเหิงปัวยังโกรธเรื่องไร้ประโยชน์เกินทนบนหนังสือสัญญานั่นและโกรธเรื่องเขาเผด็จการกุมอำนาจ ไม่เคยให้สิทธิที่จะพูดแก่นาง


 


 


ส่วนทำไมกงอิ้นมีสีหน้าย่ำแย่…มีเพียงเขาเองรู้ดีที่สุด


 


 


จิ่งเหิงปัวทำหน้าเบ้ กล่าวว่า “เจ้ามาทำอะไร”


 


 


กงอิ้นไม่สนใจนาง เขาเดินขึ้นมาบนรถด้วยตนเอง มือรับกล่องสองใบจากหญิงรับใช้ด้านล่างแล้วเอ่ยกับชุ่ยเจี่ย จิ้งอวิ๋นและยงเสวี่ยทั้งสามนางในราชรถว่า “พวกเจ้าสามคนลงไป”


 


 


ชุ่ยเจี่ยกับยงเสวี่ยกลัวเขามาโดยตลอดจึงลงจากรถโดยไม่ได้เอ่ยวาจาใดทั้งนั้น อย่างไรเสียวันเวลาเหล่านี้พวกนางมองเห็นได้ชัดเจนว่าแม้ราชครูกับต้าปัวทะเลาะทุกเรื่องบรรยากาศผิดปกติทุกรูปแบบ ทว่าหากเอ่ยว่ามีอันตรายใดนั่นคงไม่มีอะไรแน่นอน


 


 


จิ้งอวิ๋นกลับหยุดอยู่ชั่วครู่ สายตาทอดลงบนกล่องใบนั้น เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “นี่คล้ายเป็นชุดพิธีการของราชินี ประเดี๋ยวจะต้องเปลี่ยนชุดมิใช่หรือ ชุดพิธีการซับซ้อน ข้าน้อยอยู่ช่วยเหลือได้หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


“นั่นสิๆ” จิ่งเหิงปัวพอได้ยินว่าชุดพิธีการก็มึนศีรษะขึ้นมา รีบเร่งกล่าวว่า “ชุดพิธีการของสตรีจะเอาเจ้ามาทำอะไร ให้พวกนางช่วยข้าเปลี่ยนสิ”


 


 


กงอิ้นไม่แม้แต่จะมองจิ้งอวิ๋นสักปราดเดียว เพียงเอ่ยกับจิ่งเหิงปัวว่า “มีของบางสิ่งเจ้าต้องสวมใส่เอง ข้าไม่อยากกระทำซ้ำเป็นครั้งที่สอง”


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ไม่เข้าใจนิดหน่อยว่าอะไรคือไม่อยากกระทำซ้ำสองครั้ง


 


 


ใบหน้าของจิ้งอวิ๋นแผ่ซ่านด้วยสีแดงเจือจางผืนหนึ่ง ลำบากใจทว่ายังคงยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ข้าน้อยกระทำเกินหน้าที่เสียแล้ว ชุดพิธีการล้ำค่าเป็นสิ่งที่ราชครูควรชี้แนะฝ่าบาทด้วยตนเอง ข้าน้อยจะคู่ควรได้ยินได้อย่างไร ข้าน้อยขอตัวเจ้าค่ะ” เอ่ยจบแล้วถวายคำนับตามมารยาท ถอยไปอย่างเชื่องช้า ก่อนจากไปยังปิดประตูรถอย่างเอาใจใส่


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องมองกิริยามารยาทไร้ที่ติของนาง อดจะชมไม่ขาดปากไม่ได้ว่า “จิ้งอวิ๋นสมแล้วที่มาจากตระกูลร่ำรวยใหญ่โต ดูกิริยาท่าทางนั่นสิ ส่วนเจ้า…” นางชำเลืองตามองกงอิ้นพลางกล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดสอนเจ้าว่าต้องทำตนเป็นสุภาพบุรุษกับสุภาพสตรีหรือ”


 


 


“นางคู่ควรหรือ” คำตอบของเขาน่าโมโหยิ่งนัก


 


 


“เปลี่ยนฉลองพระองค์ให้เจิ้น[5]” ท่าทางเชิดคางขึ้นของนางน่าโมโหยิ่งกว่า


 


 


คำตอบของกงอิ้นคือวางกล่องขนาดมหึมากล่องหนึ่งไว้บนขาของนาง หนักจนเข่าของจิ่งเหิงปัวจมดิ่งลงไป


 


 


“หนักจัง!” จิ่งเหิงปัวถูกกล่องงดงามหรูหราดึงดูดในทันที นางเปิดฝากล่องออก ดวงตาเบิกกว้างในพริบตา อุทานว่า “ว้าว!”


 


 


ที่อุทานอย่างตื่นตะลึงไม่ใช่เพราะความสวยหรูของชุดพิธีการ ณ ต้าฮวงที่ซึ่งอัญมณีกลิ้งเกลื่อนกลาดนี้ ความสวยหรูเป็นสัจธรรมที่พึงมีแล้ว


 


 


ที่อุทานอย่างตื่นตะลึงเพราะสีสันของชุดพิธีการกลับไม่ใช่สีจักรพรรดิเช่น สีทองสีแดงสีม่วงเหลืองสว่างประเภทนั้นที่นางจินตนาการ แต่เป็นสีดำ!


 


 


ที่อุทานอย่างตื่นตะลึงยิ่งกว่าเพราะบนโลกนี้ยังมีสีดำบริสุทธิ์ขนาดนี้ด้วย


 


 


แพรต่วนสีดำเข้มประหนึ่งค่ำคืนดุจม้าดำสายพันธุ์แท้จากตระกูลดีที่สุด ไร้ซึ่งสีอื่นเจือปน หนาหนักและเปล่งประกายแสงสลัว


 


 


ชุดพิธีการชุดนี้ไม่ได้ประดับด้วยอัญมณีมากมายแตกต่างจากปกติ เครื่องประดับทั้งหมดล้วนเป็นแร่เงินโบราณที่เปล่งประกายแสงรุ่งโรจน์สีดำสลัว สีสันแวววาวหนาแน่นหนักแน่น สอดประสานกลมเกลียวกับสีดำเคร่งขรึมล้ำค่า


 


 


จุดอับของแร่เงินโบราณดั่งสีเถ้าบุหรี่ที่ผันผ่านกาลเวลาเชื่องช้าสอดประสานกับจุดสว่างของสีเงินรุ่งโรจน์ ต่างขานรับสีดำทั้งมวล เข็มขัด คอเสื้อและแขนเสื้อแกะสลักลายฉลุนูนเป็นสัตว์ที่มองไม่ออกว่าเป็นรูปร่างอะไร ท่าทางดุร้าย ฉากหลังเป็นหินเฮยเย่าหลายแผ่นผืน ทำให้ผู้คนนึกถึงบึงโคลนที่ปกคลุมทั่วแว่นแคว้นต้าฮวง


 


 


จิ่งเหิงปัวชมไม่ขาดปาก รู้สึกว่าผู้ออกแบบมีสายตาเฉียบแหลมอย่างมาก ชุดพิธีการที่ตัดเย็บล้ำค่าทว่าเรียบง่ายแบบนี้ หากใช้อัญมณีหลากหลายสีสันเหล่านั้นคงสยบไว้ไม่ได้ ตรงกันข้ามจะแลดูโดดลอยไม่เข้าพวก หากไม่ใช้เครื่องประดับทั้งหมดยิ่งแลดูซ้ำซากอึดอัด มีเพียงแร่เงินโบราณที่มีคุณสมบัติล้ำค่าเช่นเดียวกันและแบกรับสว่างไสวของกาลเวลานับหมื่นพันปีนี้จึงสามารถขับสีดำอึมครึมนั้นให้แลดูทั้งถ่อมตนทั้งฟุ่มเฟือย


 


 


นางชื่นชอบสีสันสดใสตลอดมา สีสันสวยสดงดงามเหลืองแดงม่วงเขียวส้มแดงฟ้าอย่างไรเข้ามาได้เลย นางไม่เคยเห็นสีดำที่หนักแน่นอึมครึมมาก่อน แต่ว่าตอนนี้กลับเกิดความสนใจขึ้นมาทันที ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว มือดึงคอเสื้อออก เริ่มถอด…


 


 


“เจ้าทำอะไร” กงอิ้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนึกไม่ถึงว่านางเอ่ยแล้วถอดเลย ชะงักงันไปชั่วครู่ รีบเร่งเบนสายตาออกไป


 


 


“เปลี่ยนอาภรณ์ไง” จิ่งเหิงปัวไม่คิดเช่นนั้น ชุดพิธีการนี้เป็นเพียงชุดคลุมตัวนอก ที่ถอดออกก็เป็นเพียงชุดคลุมตัวนอก ด้านในนางยังมีเสื้อกันหนาวแนบเนื้อของตนเองนะ จะมองเห็นอะไรได้ล่ะ


 


 


“เจ้าเปลี่ยนอาภรณ์ตามใจชอบเช่นนี้ตลอดเลยหรือ” กงอิ้นหันข้าง น้ำเสียงแข็งกระด้าง


 


 


มือของจิ่งเหิงปัวหยุดชะงัก สายตาเหลือบมองเขา แหม หันหน้าไปอย่างแน่วแน่ขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่มอง ไม่อยากมอง ไม่อยากมองทำไมใบหูแดงอีกแล้ว!


 


 


“ใบหูเจ้าแดงจังเลย ร้อนหรือ” นางชะโงกหน้าเข้ามาอย่างยิ้มแย้มปรีดา เป่าติ่งหูของเขาพลางกล่าวว่า “ข้าก็เปลี่ยนอาภรณ์เช่นนี้แล อะไรหรือ เจ้าไม่ชอบหรือ”


 


 


ฝ่ามือเย็นเพียงน้อยข้างหนึ่งคลุมครอบบนใบหน้านาง ผลักใบหน้าของนางออกไป


 


 


“เจ้าชอบทำอย่างไรก็ทำเยี่ยงนั้น เหตุใดข้าต้องมองเจ้าอีกสักปราดหนึ่งด้วย” เขาเอ่ยสืบต่อว่า “เปลี่ยนอาภรณ์ให้เรียบร้อย ชุดพิธีการนี้มิใช่สวมใส่ตามใจชอบ ข้ามีเรื่องต้องเอ่ยกับเจ้า”


 


 


“อ้อ” จิ่งเหิงปัวขยับเรือนร่าง นั่งตัวตรง


 


 



 


 


“เอ่ยสิ!” หลังจากนางขยับเขยื้อนเรือนร่างอย่างรำคาญอยู่ครู่ใหญ่จึงกล่าวเร่งเร้าว่า “เหตุใดจึงไม่เอ่ยเล่า”


 


 


“เจ้าสวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้วหรือยัง” เขายังคงหันข้าง ไม่กล้าหันหน้ากลับมา


 


 


“แน่นอนว่าต้องสวมเรียบร้อยแล้วสิ”


 


 


“มิใช่ ยังไม่มีเสียงดึงอาภรณ์ขึ้นมา!” เขาคัดค้าน


 


 


“ข้าไม่จำเป็นต้องดึง…เดี๋ยวก่อนเจ้ารู้ได้อย่างไร” จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างพลางกล่าวว่า “เวรเอ้ย เจ้าไม่มอง เจ้าแอบฟัง! เจ้าหูตั้งแอบฟังความเคลื่อนไหวในการสวมอาภรณ์ของข้า! เจ้ามันสุภาพบุรุษจอมปลอม! ไอ้โรคจิต! ไอ้ลามก! จอมแอบฟัง…”


 


 


“หุบปาก” กงอิ้นหันหน้ากลับมา มือปิดปากที่เอ่ยวาจาจุกจิกของนางไว้อย่างเหลืออดเหลือทน


 


 


“ฮือๆๆ ฮือๆ” จิ่งเหิงปัวยังดิ้นรนหาสิทธิที่จะพูด นัยน์ตาดำขลับขยับเขยื้อนไปมาเหนือฝ่ามือของเขา ใช้ขนตาปัดริมฝ่ามือของเขาอย่างสุดชีวิต


 


 


ริมฝ่ามือไวต่อความรู้สึกอย่างยิ่งขึ้นมาโดยพลัน ความรู้สึกคันยุบยิบจากริมฝ่ามือกระจายจนไปสู่แขน ทะลุผ่านเส้นเอ็นเส้นโลหิตนับมิถ้วนไปถึงภายในใจปานสายฟ้าผันผ่าน ดวงใจเขาคล้ายสั่นสะท้าน จากนั้นความเหน็บหนาวสายหนึ่งอบอวลโลดแล่นผ่านอวัยวะภายในร่างกาย สีหน้าของเขาซีดเผือดเพียงน้อย ฝ่ามือหดกลับมา


 


 


“ขนตาของข้ายาวใช่หรือไม่” จิ่งเหิงปัวไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเขา กล่าวอย่างลำพองใจ


 


 


สีหน้าของกงอิ้นกลับฟื้นคืนสงบเงียบแล้ว กลางหน้าผากยิ่งเหน็บหนาวดุจน้ำค้างแข็ง เรือนร่างร่นถอยไปข้างหลัง ฉวยมือสะบัดชุดคลุมชุดนั้นออก


 


 


“ชุดพิธีการชุดนี้คือชุดพิธีการที่สืบทอดจากปฐมจักรพรรดิแห่งต้าฮวง ใช้สำหรับพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จโดยเฉพาะ ว่ากันว่าชุดพิธีการชุดนี้มีสิ่งอัศจรรย์ในตนเอง เรียกรวมกันกับชุดพิธีการทางการของราชินีแห่งต้าฮวงว่าทวิสมบัติแห่งราชวงศ์”


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตา กล่าวว่า “อาไร้ อาภรณ์นี้กี่ร้อยปีแล้ว ยายแก่เคยใส่หรือ ข้าไม่เอา”


 


 


“ภายภาคหน้าขออย่าได้เอ่ยถึงยายแก่สองอักษรนี้อีก” กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หากเจ้าไม่อยากถูกราษฎรต้าฮวงที่โกรธแค้นฉีกเป็นชิ้นๆ”


 


 


“อื้อๆ” จิ่งเหิงปัวขานรับ


 


 


กงอิ้นขมวดคิ้ว…สตรีนิสัยเสียอะไรเช่นนี้ ทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งใจร้อน ควบคุุมยากเสียจริง


 


 


“ชุดพิธีการมีกระดุมลับ กระดุมลับจนถึงส่วนเอวซ่อนคมมีดไว้ใช้ปกป้องตนเอง” กงอิ้นย่อเข่าให้นาง สาธิตวิธีเปิดปิดกระดุมลับให้นาง


 


 


จิ่งเหิงปัวเท้าคาง มองชมอย่างตั้งใจ…ขนตาหนาจัง…นิ้วมือสวยจริงๆ…ท่าทางคล่องแคล่วจัง…ลมหายใจหอมจังเลย…


 


 


“มองเข้าใจหรือยัง” เขาสาธิตรอบหนึ่ง ก้มหน้าถามนาง


 


 


“สวย…” นางกล่าวอย่างเคลิบเคลิ้ม


 


 


“สิ่งใดสวย” เขาพลันเงยหน้า มองเห็นสายตาหื่นกามของบางคนจึงชะงักงันไป หัวคิ้วขมวดเพียงครั้ง มือโยนอาภรณ์ไปบนเข่านาง


 


 


“ทำเองรอบหนึ่ง!”


 


 


สาวหื่นถูกสายฟ้าฟาดจนตื่นฟื้น รับอาภรณ์มาด้วยหน้าหงิกงอ ตบเพียะๆ เพียะๆ กระดุมลับเปิดออกอย่างรวดเร็วฉับไว ตบเพียะๆ เพียะๆ อีกครั้ง กระดุมลับปิดสนิท นิ้วมือนางลูบเพียงครั้ง ดึงครั้งหนึ่งหมุนครั้งหนึ่ง มีดเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากหว่างเอวอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ข้อนิ้วงอขึ้นมากดด้านหลังเข็มขัด ฝ่ามือกุมเข้าไป มีดลับเก็บซ่อนแล้ว


 


 


“เสร็จแล้ว!”


 


 


ท่วงท่าชุดหนึ่งเรียบร้อยราบรื่นดุจเมฆเหินน้ำไหล


 


 


กงอิ้นเงียบงัน ปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาโดยพลัน


 


 


หากโง่เขลาก็ดีสิ หากโง่เขลาย่อมต้องเชื่อฟังแล้ว ดันเฉลียวฉลาดเสียได้!


 


 


 


 


 


 


 


[1] ไฮ้ ถอดเสียงจากคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นว่า はい แปลว่า ใช่


 


 


[2] โยชิ ถอดเสียงจากคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นว่า 良し แปลว่า ดีมาก


 


 


[3] ซึมนีดา ถอดเสียงจากคำศัพท์ภาษาเกาหลีว่า 습니다 เป็นคำลงท้ายประโยคเสริมความสุภาพ คล้ายคำว่าครับหรือค่ะ


 


 


[4] ยามอู่ ระยะเวลาตั้งแต่ 11.00-13.00 นาฬิกา


 


 


[5] เจิ้น คำเรียกแทนตนเองของจักรพรรดิ 

 

 


ตอนที่ 52 – 4 เดิมพันชั่วชีวิต

 

“เหตุใดอาภรณ์ต้องซ่อนมีดลับ” จิ่งเหิงปัวที่เมื่อครู่เอาแต่แอบมอง ตอนนี้จึงนึกถึงเรื่องจริงจัง


 


 


“เดิมทีไม่มี ด้วยเพราะราชินีลำดับที่สิบเจ็ดตั้งใจให้คนซ่อนไว้โดยไม่ให้ผู้อื่นรู้ก่อนเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ นางมิได้ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลย ในพิธีเฉลิมฉลองครั้งนั้นเอง เผ่าไต้เม่าก่อกบฏลอบสังหารราชินี แม้ว่าสุดท้ายแล้วนางจะถูกเนรเทศ ทว่าอาศัยมีดลับในอ้อมแขนนี้ช่วยชีวิตตนเองไว้ครั้งหนึ่ง”


 


 


“พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จมีอันตรายมากมายขนาดนี้ด้วยหรือ” จิ่งเหิงปัวกลับสูดหายใจเหน็บหนาวเฮือกหนึ่ง


 


 


“พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จแตกต่างจากพิธีเฉลิมฉลองสืบทอดราชบัลลังก์ การรับขบวนเสด็จหมายถึงการตระเตรียมราชบัลลังก์ ทว่ายังมิได้สืบราชสันตติวงศ์อย่างเป็นทางการ ยามนี้ราชินีไร้กำลังไร้อำนาจ อีกทั้งเป็นเวลาที่อ่อนแอที่สุดก่อนเปิดเผยต่อผู้คน หากก่อนยามนี้ความสัมพันธ์ของทุกฝ่ายมิได้สมดุล พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จมีโอกาสเกิดเรื่องยิ่งนัก” กงอิ้นพลิกด้านในอาภรณ์ให้นางดูพลางเอ่ยว่า “จุดอันตรายต่างมีเหล็กแผ่นบางป้องกันรักษา”


 


 


“ถึงได้หนักขนาดนี้” จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าเสื้อผ้านี้คล้ายมีกลิ่นคาวเลือด ไม่อยากสวมใส่ขึ้นมากะทันหัน


 


 


“ส่วนรองเท้าคู่นี้” กงอิ้นคว้ากล่องอีกใบหนึ่งมา คุกเข่าลงหยิบรองเท้าข้อสั้นสีดำคู่หนึ่งออกมา รูปทรงประณีตงดงาม พื้นรองเท้าหนาหนัก แพรดำริมขอบฉลุลายกลุ่มเมฆ หัวรองเท้าประดับฝังแร่เงินโบราณเช่นเดียวกัน


 


 


“ลองสวม” กงอิ้นเอ่ย


 


 


จิ่งเหิงปัวนึกถึงว่าเสื้อผ้านี้เคยมีคนสวมใส่ซ้ำยังเคยหลั่งเลือดด้วย ทั่วร่างคล้ายมีโลหิตเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ยังจะกล้าสวมใส่ได้อย่างไร ส่ายศีรษะถอยกรูดไปด้านหลัง ร้องว่า “ไม่เอา”


 


 


“ความปลอดภัยสำคัญกว่าหรือโรครักสะอาดสำคัญกว่า” กงอิ้นคล้ายเดาความคิดนางออก กุมข้อเท้านางไว้ในครั้งเดียวเพื่อไม่ให้นางร่นถอย เอ่ยว่า “ลองสวม!”


 


 


“ไม่เอา!” จิ่งเหิงปัวตะโกน เท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงหดถอยสุดชีวิต


 


 


ข้อเท้าลื่นไถลจากในมือกงอิ้น ถุงน่องแวววาวลื่นไถล กงอิ้นพลันรู้สึกว่านิ้วมือลื่นไถลไปด้วย ผิวกายใต้นิ้วนุ่มจนคล้ายผ้าไหมนวลจนคล้ายผ้าแพร เนียนลื่นดั่งมัจฉาตัวหนึ่ง พอเขาก้มหน้าก็มองเห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงกุหลาบของจิ่งเหิงปัวหลุดลงไปครึ่งหนึ่งห้อยอยู่ตรงปลายเท้าท่ามกลางการดิ้นรน ผุดเผยหลังเท้างามวิจิตรขาวราวหิมะตรงปลายจมูกของเขาพอดี…


 


 


เขาคลายมือฉับพลัน เรือนร่างถอยไปด้านหลัง รองเท้าหลุดร่วง จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวทันทีว่า “ข้าจำได้ว่าข้าอยากใช้หน้าอกเจ้ามาเช็ดนิ้วเท้านี่ล่ะ…” กล่าวจบปลายเท้ายื่นไปเบื้องหน้า สะกิดเกาสาบเสื้อหน้าผืนอกของเขา


 


 


พอกงอิ้นหลุบตาลงก็มองเห็นผิวกายขาวราวหิมะในถุงน่องโปร่งแสง นิ้วเท้าแวววาวสีชมพูดั่งกลีบผกาปลิดโปรย มองไปปราดเดียวงดงามจนสะท้านใจสะเทือนวิญญาณ เขาร่นถอยไปด้านหลังโดยจิตสำนึก ด้านหลังคือผนังรถ ไร้ที่ให้หลบหลีก สายตามองเห็นรองเท้าหุ้มข้อข้างกายจึงรีบเร่งคว้าขึ้นมาสวมใส่บนเท้าของนาง


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวกลับหัวเราะคิกๆ หดเท้ากลับไปอีกครั้ง นี่น่ะไม่ใช่ยุคปัจจุบัน ผู้ชายทนการแทะโลมทุกชนิดไหว แทะโลมกงอิ้นมั่วซั่ว ถ้าเขาโกรธแค้นอับอายฆ่าตัวตายขึ้นมาจะทำยังไง


 


 


นางถอยเท้าไปก่อน กงอิ้นสวมรองเท้าตามมา เขาลุกลี้ลุกลนอยู่บ้างเล็กน้อย ใช้แรงมากเกินไป ส่วนจิ่งเหิงปัวยืนเท้าเดียวไม่มั่นคง พอสวมไปแบบนี้ เรือนร่างล้มลงพิงตัวรถ พื้นรองเท้ากระแทกกับตัวรถ ดังเพียะเสียงหนึ่งแผ่วเบา ขอบรองเท้าโผล่ฟันเลื่อยแถวหนึ่งออกมา!


 


 


ข้างฟันเลื่อย นั่นคือคอหอยของกงอิ้น!


 


 


จิ่งเหิงปัวตกใจจนหน้าถอดสี กรีดร้อง “หลีกไป!” เรือนร่างโถมไปข้างหน้าสุดชีวิตอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น


 


 


“ฉึก” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบา รองเท้าติดตรงเพดานรถ! ฟันเลื่อยแทงลึกเข้าไปในผนังไม้กระดาน!


 


 


บรรยากาศและผู้คนในรถม้าต่างแข็งทื่อขึ้นมาโดยพลัน


 


 


จิ่งเหิงปัวยืดกายฉีกขา ขาซ้ายขวายืดตรงเป็นเส้นเดียว ค้ำยันตั้งมุมสามสิบองศากับผนังรถ


 


 


กงอิ้นอยู่ในขอบเขตปลอดภัยของมุมสามเหลี่ยมสามสิบองศานั้นพอดี


 


 


ปลายจมูกแนบชิดขาขวาท่อนล่างของนาง


 


 


กงอิ้นคล้ายชะงักไปเช่นกัน แหงนหน้าเพียงน้อย ยากจะจินตนาการอย่างยิ่งว่าร่างกายมนุษย์สามารถยืดขยายออกไปได้ถึงระดับนี้ ท่ามกลางวิกฤตอันตรายฉีกขายังฟาดลงไปเหนือศีรษะได้


 


 


เบื้องหน้าคือร่างกายหดเกร็งแนบแน่นของนาง กางเกงแนบเนื้อที่สวมใส่ถลกขึ้นไปด้านบนด้วยเพราะฉีกขา ผุดเผยขาท่อนล่างที่ขาวราวหิมะสดใสนุ่มลื่นครึ่งท่อน ส่วนตามทรวดทรงขาท่อนล่างที่งดงาม คือเข่าตรงดิ่งและขาอ่อนทรวดทรงประณีตเช่นเดียวกัน…


 


 


กงอิ้นรีบเร่งก้าวข้ามขอบเขตที่ร่างกายของนางแผ่คลุมออกมาก้าวหนึ่ง หันหลังให้นาง เอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว เจ้าวางลงมาได้แล้ว”


 


 


ยามนี้เขาน้ำเสียงอ่อนโยน สายตาทอดลงบนรองเท้าส้นสูงสีแดงกุหลาบที่ประณีตงดงามคู่นั้น


 


 


ข้างหลังไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว


 


 


กงอิ้นเอ่ยซ้ำอีกครั้งหนึ่ง


 


 


ยังคงสงบเงียบ เพียงแต่มีเสียงดังซี้ดๆ แบบหนึ่งเพิ่มเข้ามา คล้ายเป็นเสียงคนอดทนความเจ็บปวดไม่ไหวกำลังสูดหายใจ


 


 


กงอิ้นหันหน้ากลับมา พอมองไปเห็นมหาราชินีแซ่จิ่งยังฉีกขาอย่างผิดแผกประเพณีอยู่เลย


 


 


“เจ้าทำเช่นนี้ไม่เหนื่อยหรือ วางลง…” เขาหยุดชะงักโดยพลันคล้ายเข้าใจขึ้นมา


 


 


“อ๊ากๆ อ๊ากๆ!” จิ่งเหิงปัวเปล่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาขึ้นมาว่า “ช่วยด้วยโว้ย! รีบลากข้าลงมาสิ ข้าฉีกขาเร็วเกินไปเป็นตะคริวแล้ว!”


 


 


“…”


 


 


พริบตาต่อมากงอิ้นปิดประตูรถให้แน่นดังเพียะ ขัดขวางเหล่าองครักษ์ที่รีบเร่งมาช่วยเหลือด้วยเพราะได้ยินเสียง


 


 


“หุบปาก”


 


 


เขาไม่อยากให้ผู้อื่นมองเห็นนางในสภาพเช่นนี้


 


 


“รีบลากข้าลงมา…โอ๊ยๆ…” จิ่งเหิงปัวพึมพำกระซิกกระซิก กงอิ้นสืบเท้าเข้าไปจะลงมือ หยุดชะงักขึ้นมาอีกครั้งโดยพลัน หยุดฝีเท้าลง


 


 


ท่าทางเช่นนี้ของนาง จะลากลงมาได้อย่างไร


 


 


ฉีกขาเช่นนี้ฉับพลันโดยไม่ได้ทำการอบอุ่นร่างกาย กล้ามเนื้ออาจจะฉีกขาดได้โดยง่าย มิอาจขยับเขยื้อนตรงทื่อเช่นนั้น ต้องค่อยๆ วางลงมา จะให้ดีที่สุดต้องนวดไปพลางวางไปพลาง ทว่าจะวางอย่างไรก็ตาม ต่างไม่อาจหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายของนาง…


 


 


เขาลังเลอยู่ตรงนั้น จิ่งเหิงปัวกลับไม่ได้สนใจขนาดนั้น กล้ามเนื้อด้านในขาอ่อนคล้ายกำลังกระตุกหดเกร็ง ใบหน้าของนางกำลังชักเกร็งหลากสีสันเช่นกัน พลางกล่าวว่า “โอ๊ยกงอิ้นเจ้าจะสองจิตสองใจหาอะไร รีบมาช่วยพี่เร็วเข้า โอ๊ยถึงอย่างไรข้าก็ช่วยเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง…”


 


 


กงอิ้นแบะปาก…ใช่หรือ แม้แต่มีดแค่นั้นข้ายังหลบไม่พ้นเลยหรือ


 


 


ทว่านึกถึงเมื่อครู่ฉากหนึ่งนั้น แววตาเขาอ่อนโยนเล็กน้อย


 


 


เอาเถิด นับว่าใช่ละกัน


 


 


เห็นใบหน้านางแดงซ่านจนสิ้น แม้คิ้วยังสั่นสะท้าน ย่อมรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเจ็บปวดมากนัก กงอิ้นสูดหายใจเฮือกหนึ่งสืบเท้าเข้ามา นิ้วมือกดขาอ่อนของนางไว้อย่างแผ่วเบา


 


 


ที่ซึ่งปลายนิ้วไปถึงนุ่มนวลอบอุ่น อุณหภูมิร่างกายของนางคล้ายสูงขึ้นมาเป็นพิเศษ ไอร้อนผ่าวโหมสาดกลุ่มนั้นกำจายจากปลายนิ้วสู่เบื้องลึกในจิตใจ นิ้วมือของเขาสั่นสะท้าน


 


 


พริบตาเดียวมองเห็นศีรษะนางหันมาเพียงน้อย สายตาเปี่ยมด้วยร้อนใจขอร้อง เขารีบเร่งรวบรวมสมาธิ ห้านิ้วลื่นไถลไปข้างหน้าครั้งหนึ่งยกขึ้นครั้งหนึ่ง ยกขาของนางขึ้นมาเพียงน้อยแล้ววางลงเชื่องช้า


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนไม่มั่นคง มือรีบเร่งโอบลำคอของเขาเอาไว้ รู้สึกได้ว่าเขากำลังนวดขาอ่อนตนเองขยับลงไปด้านล่างอย่างนุ่มนวล ห้านิ้วที่ซึ่งพาดผ่านร้อนผ่าวขึ้นมา ค่อยๆ ฟื้นฟูเส้นเอ็นที่บาดเจ็บ


 


 


อย่างไรเสียตำแหน่งนั้นค่อนข้างไวต่อความรู้สึก หลังจากความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อเกร็งแน่นหายไป ความรู้สึกเหน็บชาสั่นไหวม้วนเข้ามาประหนึ่งกระแสธาร นางหน้าแดงโดยพลัน ซบหน้าลงบนไหล่ของกงอิ้น


 


 


ปลายจมูกเปี่ยมด้วยลมหายใจของเขา สดชื่นเย็นชื้นเพียงน้อยดุจบัวหิมะบนผาสูง จิตใจว้าวุ่นของนางค่อยๆ สงบนิ่ง อยากจากไปทว่าเสียดายขึ้นมา…กงอิ้นไม่ได้ผลักนางออกไปอย่างหาได้ยาก ไม่ฉวยโอกาสนี้ลวนลามแล้วจะรอเวลาไหน นางอดจะขยี้ใบหน้าลงบนไหล่เขาอย่างรุนแรงหลายครั้งไม่ได้ หลังจากสูดกลิ่นอายของเขาจนท่วมจมูกของตนเองจึงเคลิบเคลิ้มนึกได้ว่าครั้งนี้เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขารุกเข้ามาสัมผัสนางอย่างสนิทสนมนะ


 


 


กงอิ้นรู้ว่านางกำลังฉวยโอกาสลวนลามตนเอง ทว่ายามนี้ไม่ทันได้ใส่ใจ เขากลัวว่ากล้ามเนื้อของจิ่งเหิงปัวจะฉีกขาด ในขณะที่วางขาอ่อนของนางลงยังนวดให้นางโดยตลอด นางชอบสวมกางเกงแนบเนื้อ ซ้ำยังเป็นแบบที่เบาบางคล้ายผิวหนังนั้น นิ้วมือพยายามกดลงใกล้บริเวณใต้หัวเข่าอยู่ทว่าลื่นลงไปลื่นลงไปตามธรรมชาติยิ่ง…เขาจำต้องลูบขึ้นไปลูบขึ้นไปหลายๆ รอบ รู้สึกว่าผิวกายของนางยิ่งร้อนผ่าวโดยพลัน ได้ยินนางสูดหายใจลึกล้ำขึ้นมารำไร กลิ่นหอมกรุ่นและไอร้อนล้นทะลักกำจายออกมาจากเส้นผมหลังใบหูอย่างเชื่องช้า เขาถูกความร้อนนี้ลมหายใจนี้กลิ่นหอมนี้โจมตีเสียจนกระจัดกระจาย ทั่วร่างเกร็งแน่น แผ่นหลังมีเหงื่อซึมออกมาเพียงน้อย สมาธิทั้งมวลทอดลงบนปลายนิ้วอย่างตึงเครียด เรื่องที่บางคนใช้ใบหน้าเหยียบย่ำบนไหล่เขา เขาไม่ได้รู้สึกถึงโดยสิ้นเชิง


 


 


รถม้าโลดแล่นอย่างมั่นคง แสงจากนอกรถทะลุผ่านเข้ามาในรถพลันถูกตัดทีละผืนแผ่นหนึ่ง โต๊ะเก้าอี้เครื่องนอนซุกซ่อนในเงามืดเป็นฉากหลังสวยหรูสงบเงียบ คู่ชายหญิงที่โอบกอดซึ่งกันและกันกลับสว่างไสวในลำแสงเหลืองอ่อน ท่าทางที่เขาจับขาของนางงอไว้แล้วขยับลงมาข้างล่างเชื่องช้าคล้ายกำลังร่ายระบำท่วงท่าเชื่องช้าอ่อนช้อย ท่วงท่าที่นางหมอบลงบนไหล่ของเขากลับเปี่ยมด้วยความทุ่มเทและหวั่นไหว พวกเขาคล้ายนักแสดงคู่หนึ่งซึ่งมีฝีมือยอดเยี่ยมลึกซึ้ง ใช้วิธีการแสดงออกที่แตกต่างมาถ่ายทอดอารมณ์ภายในใจ แก่นแท้ของความรู้สึกภายในกลับบรรลุเป้าหมายเดียวกัน


 


 


ลมหายใจในห้องโดยสารกระชั้นก่อนแล้วเชื่องช้าแล้วกระชั้นอีกครั้ง ครู่หนึ่งที่ขาวางลงจนสิ้นแล้วนั้น ทั้งสองคนต่างสั่นสะท้าน จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นอย่างงงงวยอยู่บ้าง กงอิ้นปริปากด้วยเสียงแหบกระด้างเล็กน้อย


 


 


“เจ้า…”


 


 


“ข้า…”


 


 


รถม้าสะเทือนฉับพลัน เดิมทีสองคนยืนเอนเอียงโอบกอดซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ซ้ำยังต่างจิตใจเหม่อลอย ร่างยืนไม่อยู่ฉับพลันล้มลงบนที่นั่งดังพลั่ก กงอิ้นทับจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวโอบหลังของเขาไว้


 


 


แว่วเสียงรายงานยาวนานจากเบื้องนอก


 


 


“ราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉี นำเหล่าข้าราชบริพารในนคร ต้อนรับขบวนเสด็จราชินี!”


 


 


กงอิ้นฟังเสียงหนึ่งนั้นแล้วรู้ว่าแย่แน่ ยืดเอวกำลังจะลุกขึ้น จิ่งเหิงปัวรีบเร่งจะลุกขึ้นเช่นกัน สองคนชนกันเพียงครั้ง ริมฝีปากของจิ่งเหิงปัวพลันกระทบกับติ่งหูของเขา


 


 


ซึ่งเย็นชื้น ซึ่งนุ่มเนียน…


 


 


เรือนร่างของกงอิ้นแข็งทื่อ


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าติ่งหูข้างริมฝีปากร้อนผ่าวขึ้นมา นางแทบจะจินตนาการได้ว่า ติ่งหูของมหาเทพกงในตอนนี้ต้องน่ารักมากแน่นอน ประหนึ่งอิงเถา[1]แดงที่ห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง ความอยากอาหารของนางพวยพุ่ง คิดถึงสภาพเก้อเขินไร้ควบคุมของเขาทันที อดจะกลั่นแกล้งเลียสักหน่อยไม่ได้…


 


 


ยามนี้เองสายลมแรงระลอกหนึ่งพัดเข้ามาสะบัดผ้าม่านรถออกดังเพียะ


 


 


“ว้าว…”


 


 


 


 


[1] อิงเถา เชอร์รี่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cerasus pseudocerasus 

 

 


ตอนที่ 53 - 1 ราชินีน่ารักตะมุตะมิ

 

“อา…”


 


 


เสียงอุทานตกตะลึงอย่างควบคุมมิได้แว่วมาจากทั่วทุกสารทิศ


 


 


เหยียลี่ว์ฉี เหล่าขุนนางขั้นที่สามขึ้นไปในราชสำนัก ผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าและองครักษ์ผู้ติดตามนับมิถ้วนต่างเหลือเพียงสีหน้า “ปากอ้าตาค้าง” สี่อักษรนี้ในชั่วพริบตา


 


 


คนในรถ…กำลังทำอะไร


 


 


ทำเรื่องบัดสีกลางวันแสกๆ หรือ


 


 


เรื่องนี้ช่างมันเถิด ราชินีทำเรื่องบัดสีกลางวันแสกๆ หรือ


 


 


เรื่องนี้ช่างมันเถิด


 


 


ราชินีกับราชครูทำเรื่องบัดสีกลางวันแสกๆ หรือ


 


 


เรื่องนี้ช่างมันเถิด


 


 


ราชินีทำเรื่องบัดสีกลางวันแสกๆ กับผู้ที่เย็นเยือกเหน็บหนาวท่าทางผิดมนุษย์มนารักสะอาดเป็นที่สุดไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี เช่น ราชครู! ฝ่าย! ขวา!


 


 


ตาบอดแล้วตาบอดแล้ว!


 


 


ทว่าชั่วครู่แสงอสนีแสงเพลิงนั้น จากนั้นแขนเสื้อของกงอิ้นล่องลอยสยาย ผ้าม่านร่วงลงบดบังทัศนวิสัย


 


 


ทว่าเท่านี้ย่อมเพียงพอแล้ว


 


 


สิ่งที่ควรได้เห็น สิ่งที่ไม่ควรได้เห็นต่างมองเห็นแล้ว


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าแปลกประหลาด รอยยิ้มมุมปากยังคงท่าทางคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้มอยู่เช่นเคย เพียงแต่แลดูคล้ายเจือด้วยความอึมครึมหลายส่วน


 


 


ผู้คนนับมิถ้วนมีสีหน้าตึงเครียด ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มขยิบตาทำสัญญาณมือบอกใบ้องครักษ์แจ้งให้ผู้คนในตระกูลทราบอย่างรวดเร็วโดยพลัน


 


 


ทุกการเคลื่อนไหวของราชครูฝ่ายขวาสัมพันธ์กับชะตากรรมของแคว้นต้าฮวงมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ของเขากับราชินีแห่งต้าฮวงจะชี้ชะตาความสงบสุขห้าสิบปีของต้าฮวงในอนาคตด้วย บัดนี้มองเห็นฉากหนึ่งนี้ ผู้คนนับมิถ้วนเริ่มสงสัย คาดเดาและคาดการณ์ว่า…ราชครูและราชินีมีความสัมพันธ์คลุมเครือเช่นนี้ สื่อนัยว่าราชินีลำดับนี้อาจจะไปมาหาสู่กับราชครูอย่างสงบสุขได้มิใช่หรือ สื่อนัยว่าราชครูจะล้มเลิกแผนการใหญ่แต่เดิมมิใช่หรือ หรือว่าเรื่องนี้เดิมทีเป็นเพียงการเล่นลูกไม้ถ่ายทอดข่าวสารบางเรื่องที่มิอาจบอกผู้อื่น อย่างไรเสียด้วยตำแหน่งของราชินีและนิสัยของราชครูฝ่ายขวา กระทำเรื่องเช่นนี้ผิดแผกจากปกตินักผิดแผกจากปกติเสียจริง…


 


 


ณ ต้าฮวง ราชินีใกล้ชิดสนิทสนมกับราชครูได้เพียงเล็กน้อย เรื่องนี้ยังต้องอาศัยการยอมรับของราชครูเป็นเงื่อนไขข้อแรก หากราชครูไม่คิดจะยอมรับราชินี ราชินีย่อมมิอาจข้ามบ่อน้ำเหลยเพียงก้าวเดียว หากราชินีจงใจยั่วยวนราชครู ทว่าราชครูจัดการปัญหานี้โดยประณามกล่าวหาราชินีไม่เคารพข้อบัญญัติ ราชินีย่อมละเมิดกฎเกณฑ์เช่นเดียวกัน


 


 


ทว่าแลดูท่าทางของราชครูฝ่ายขวา คล้ายมิได้มีความคิดจะประณามกล่าวหา…


 


 


ผู้เป็นกลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ผู้คัดค้านแอบปีติยินดีในใจ พันธมิตรของกงอิ้นกลับเริ่มกระวนกระวายว้าวุ่น ครุ่นคิดถึงเงื่อนไขบางอย่างและการปรับเปลี่ยนแผนการ…


 


 


คลื่นใต้น้ำโหมซัดสาดนอกผ้าม่าน แผนการหลากหลายที่สัมพันธ์ถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในแว่นแคว้นกำลังก่อตัวอย่างรวดเร็ว จิ่งเหิงปัวในผ้าม่านไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นางจะนึกไปถึงได้อย่างไรว่าเพียงแค่ฉวยโอกาสลวนลาม สถานการณ์แคว้นต้าฮวงอาจจะถูกปีกผีเสื้อสะบัดพัดพา


 


 


นางยังเลียริมฝีปากมองดูกงอิ้นด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา


 


 


โห แดงแล้วแดงแล้วจริงด้วยแฮะ…


 


 


ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน จะมองเห็นผู้ชายหูแดงได้ที่ไหนเนี่ย คุณยังไม่ทันเชื้อเชิญ ฝ่ายนั้นก็กระโจนออกไปเหมือนสุนัขป่าแล้ว


 


 


นางขบคิดถึงรสชาติงดงาม ทว่าไม่รู้ว่าท่วงท่าเลียริมฝีปากเป็นการยั่วยวนและเชื้อเชิญในตนเองเช่นกัน ปลายลิ้นสีชมพูลื่นไถลบนริมฝีปากแดงดุจเปลวเพลิงอย่างงดงามปราดเปรียว ดั่งเชือกนวลนุ่มเส้นหนึ่งเหนี่ยวรั้งความคิดจิตใจของมนุษย์ไว้อย่างหอมหวาน…


 


 


กงอิ้นแทบจะเบนสายตาออกไปโดยพลัน ชั่วเวลาเพียงลมหายใจเขายืนตรงแน่วแล้ว เอ่ยแล้วแปลกประหลาด ติ่งหูเขายังคงแดงซ่านเล็กน้อย ทว่าสีหน้าซีดขาวราวหิมะไร้ซึ่งสีโลหิตแม้เพียงน้อย แลดูยังเจือด้วยความเปราะบางหลายส่วน แม้ยามปริปากอีกคราเสียงเย็นชา ทว่าลมหายใจคล้ายไม่สงบนิ่งอยู่หลายส่วน


 


 


“มาต้อนรับแล้ว รีบเร่งสวมชุดพิธีการ”


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูเงาด้านหลังที่หันกายลงจากรถอย่างรวดเร็วของเขา แบะปาก…เมื่อครู่จิตใจฟุ้งซ่านชัดๆ ตอนนี้กลับเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน ผู้ชายคนนี้เอาใจยากจริงๆ เลย!


 


 


เบื้องล่างราชรถมีเสียงหวึ่งๆ เฉกเช่นฝูงผึ้ง หลังจากมองเห็นเงาร่างของกงอิ้นที่ก้าวออกมาอย่างสุขุม เสียงนั้นจึงหยุดลงฉับพลัน


 


 


เหยียลี่ว์ฉีโค้งกายเล็กน้อย ผู้คนที่เหลือหมอบคำนับสูงสุดแทบจะโดยพลัน


 


 


“คำนับราชครูฝ่ายขวา!”


 


 


กงอิ้นเพียงยกมือเล็กน้อยบอกใบ้ให้ลุกขึ้น เขายืนอยู่ตรงนั้นดุจภูผาหยกเสาหิมะตั้งตระหง่านสูงส่งไกลห่าง สายลมพัดพาแขนเสื้อสีขาวของเขาสะบัดพลิ้วปลิดปลิวดุจหงส์ขาว สูงศักดิ์เคร่งขรึมจนผู้ที่ก้มกรานใกล้ที่สุดยังมิกล้าสัมผัสชายผ้าของเขา


 


 


เพียงพริบตาหนึ่งนี้ เพียงเขายืนอยู่ตรงนั้น เรื่องเหลวไหลคลุมเครือฉากหนึ่งนั้นเมื่อครู่ดั่งถูกหิมะหนาทับถม ทุกผู้คนไม่กล้าแม้แต่จะย้อนระลึกถึงเรื่องล่วงละเมิดในจิตใจ ในจิตสำนึกหลงเหลือเพียงความหวาดกลัวและเคารพบูชาที่มีต่อบุรุษผู้กุมมหาอำนาจในฝ่ามือผู้นี้


 


 


จิ่งเหิงปัวสะบัดม่านรถออกเป็นเส้นตรง มองเห็นความเปลี่ยนแปลงก่อนหลังแตกต่างกันของสีหน้าทุกคนอย่างชัดเจน ทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างอิจฉา…นี่ถึงเรียกว่าสยบได้อยู่หมัดแท้จริง! ไปก่อกวนหน้าเว็บไป่ตู้รับรองว่าป้าตู้[1]ยังไม่กล้าทำกระทู้ปลิว! เมื่อไรที่นางมีอำนาจแม้ตอนไม่โกรธเคืองแบบนี้บ้างก็ดีสิ


 


 


ตอนปล่อยม่านรถลง นางมองเห็นใบหน้าของเหยียลี่ว์ฉีกะทันหัน เจ้าคนนี้กำลังเหลือบมองนางด้วยสายตาคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม สีหน้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวส่งสีหน้านิ้วกลางห้อยลงครั้งหนึ่งให้เขาแล้วรีบเร่งเปลี่ยนเสื้อผ้า


 


 


ยามอู่จะต้องลงจากรถ ตนเองเดินผ่านพรมแดงสิบลี้ที่ปูเรียบร้อยแล้วเข้านคร ยอมรับเสียงโห่ร้องยินดี (หรือการมุงดู) ของราษฎร หลังจากนั้นเข้าสู่จัตุรัสอู่หมิงไถแห่งตี้เกอ ที่นั่นตระเตรียมปะรำพิธีไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ปะรำพิธีล้อมด้วยฉากกั้นหลากสี ตนเองจะอยู่ตรงนั้นยอมรับการทดสอบจากเหล่าขุนนางต้าฮวง ส่วนราษฎรกลับทำได้เพียงรอคอยรับฟังผลลัพธ์นอกฉากกั้นหลากสี แสดงถึงเกียรติภูมิของราชวงศ์


 


 


การจัดการแบบนี้ทำให้นางขมวดคิ้ว ด้วยแตกต่างจากแผนการในอุดมคติเล็กน้อย


 


 


เหลือเวลาอีกเค่อหนึ่งก่อนถึงยามอู่


 


 


จิ่งเหิงปัวเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยท่าทางร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ชุดพิธีการนี้รวมถึงส่วนลับป้องกันตัว กงอิ้นห้ามไม่ให้ใครช่วยเหลือนาง ชุดพิธีการก็หนัก เมื่อครู่นางยืดเหยียดร่างกายไปพอสมควรทำให้ดูมือไม้พันกัน ส่วนเอวมีขนาดใหญ่เกินไปหน่อย นางคิดเพ้อฝันอยากใช้กระดุมลับที่ซ่อนมีดลับกลัดไว้ ผลคือกระดุมลับค้าง มีดพุ่งออกมาใส่เข้าไปไม่ได้อีกแล้ว นางไม่อาจมีมีดเล่มหนึ่งโผล่ออกมาจากเอวตลอดเวลาได้จึงต้องเอามีดลับออกมา


 


 


ส่วนเอวที่เอามีดลับออกยิ่งหลวมมากขึ้น ตอนนี้นางเพิ่งเข้าใจว่าแท้จริงแล้วมีดบางนั้นมีประโยชน์ในฐานะเข็มขัดเช่นกัน สายตามองเห็นชายกระโปรงหนาหนักกว้างใหญ่ ส่วนเอวยังแน่นไม่มากพอ นี่ถ้าตนเองสะดุดกระโปรง เกรงว่าคงต้องเดินเปลือย…


 


 


ตอนที่คิดแบบนี้นางลังเลเล็กน้อย อยากจะสวมใส่กางเกงแนบเนื้อของตนเองที่ถอดออกไปแล้ว เมื่อครู่นางถอดเปลี่ยนเป็นถุงน่องแล้วด้วยเพราะกระโปรงหนาเกินไป แต่ตอนนี้เสียงเคาะประตูรถดังขึ้น เสียงเหมิงหู่เจือความเร่งเร้าเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เสร็จหรือยัง”


 


 


จิ่งเหิงปัวรีบเร่งตอบว่า “เสร็จแล้วๆ!” สวมรองเท้าที่มีกลไกเช่นกันคู่นั้นอย่างรีบเร่งไปพลาง กล่าวไปพลางว่า “ช่วยเรียกจิ้งอวิ๋นมาหาข้าหน่อย”


 


 


นางสวมรองเท้าไปพลาง เปิดกระเป๋าควานมั่วซั่วไปพลางระลอกหนึ่ง ควานของหลายสิ่งออกมาแล้วใช้ถุงผ้าใบหนึ่งซึ่งตระเตรียมไว้ใส่ให้เรียบร้อย ถือไว้ในมือมองดูรอบทิศ สุดท้ายตัดสินใจผูกไว้ที่เอว ชายชุดคลุมแผ่กว้างจนยัดเด็กหนึ่งคนเข้าไปยังมองไม่ออก


 


 


จิ้งอวิ๋นขึ้นรถมา จิ่งเหิงปัวกำลังคุกเข่าอยู่บนกระเป๋าหนังทับเสื้อผ้าของใช้ที่เละเทะสะเปะสะปะลงไป ปิดฝากระเป๋ารูดซิปกระเป๋าลวกๆ ครั้งหนึ่งแล้วส่งให้นาง กล่าวว่า “จิ้งอวิ๋น เดี๋ยวช่วยข้าถือหน่อย”


 


 


นางกลัวว่าสวมกระโปรงนี้อย่างสะเพร่าแล้วจะเกิดปัญหา ในกระเป๋ามีเข็มขัดหลายแบบและยังมีของหลายสิ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาเสื้อผ้าของใช้ได้ทันทีเตรียมไว้ใช้ทุกเวลา


 


 


เดิมทีเรื่องนี้ควรให้ชุ่ยเจี่ยทำ แต่หลังจากเรื่องราวครั้งก่อนที่ชุ่ยเจี่ยหลอกใช้นางแก้แค้น การไปมาหาสู่กันระหว่างทั้งสองคนมักจะอึดอัดอยู่บ้าง จิ่งเหิงปัวจนปัญญา บางครั้งจึงจำต้องขอร้องให้จิ้งอวิ๋นที่ป่วยไข้โซเซช่วยเหลือ


 


 


จิ้งอวิ๋นก้มหน้ามองดูกระเป๋า ลองยกขึ้น เอ่ยเสียงแผ่วเบาอ่อนแอว่า “ข้ากลัวว่าข้าจะถือไม่ไหว…”


 


 


“เช่นนั้นให้ชุ่ยเจี่ยช่วยเจ้าก็ได้” จิ่งเหิงปัวโบกมือด้วยท่าทีร้อนใจดั่งไฟแผดเผา


 


 


จิ้งอวิ๋นถือกระเป๋าลงไปให้ชุ่ยเจี่ย ราชรถเอนเอียงเล็กน้อยด้วยเพราะกำลังจะต้อนรับนางออกมาแล้ว จิ่งเหิงปัวรีบเร่งนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย


 


 


ภายนอกสงบเงียบอย่างยิ่งขึ้นมากะทันหัน แต่จิ่งเหิงปัวยังคงรู้สึกได้ถึงลมหายใจเกร็งแน่นของผู้คนนับไม่ถ้วนรอบด้านพาให้บรรยากาศผนึกแน่นทอดยาว…จนจินตนาการได้ว่า ตอนนี้ภายนอกคงจะมีผู้คนล้นหลามมืดฟ้ามัวดิน…


 


 


จิ่งเหิงปัวผู้ไม่อินังขังขอบรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที


 


 


นางไม่อาจไม่ตื่นเต้น เด็กผู้หญิงทุกคนต่างมีความฝันที่จะเป็นเจ้าหญิง จิ่งเหิงปัวผู้ชอบความงามชอบความครึกครื้นชอบของสวยหรูทุกสิ่งให้ความสนใจกับความฝันแบบนี้เป็นพิเศษ ตอนยังอยู่ที่สถาบันวิจัย นางเคยเพ้อฝันว่าได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี เสพสุขจากความอิจฉาของผู้คนนับไม่ถ้วน ตอนทะลุมิตินางเคยเพ้อฝันว่าสร้างปาฏิหาริย์ ได้รับคำชมเชยจากผู้คนนับมิถ้วน แต่จินตนาการตามไม่ทันความประหลาดของความเป็นจริง คิดไปคิดมา คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าพอเท้าถึงพื้นจะได้เป็นราชินีจริงๆ พอถึงตอนนี้ ผู้คนเรือนหมื่นออกจากตรอก เหล่าขุนนางต้อนรับแต่ไกล นางคือแสงรุ่งโรจน์ใจกลางสายตาทุกคู่


 


 


ขณะนี้ภายนอกยิ่งสงบเงียบ จิตใจของนางยิ่งตื่นเต้น ใจเต้นตึกตักขึ้นมา ความตื่นเต้นดีใจสอดประสานเข้ากับความอัดอั้นว้าวุ่นใจต่ออนาคต ปลายนิ้วสีขาวราวหิมะของนางสั่นไหวระริก


 


 


ข้างกายมีหนังสือพิธีการเล่มหนา สั่งสมกฎระเบียบที่นางต้องปฏิบัติตามหลังจากพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ นางไร้กะจิตกะใจเรียนรู้หนังสือที่หนาถึงหนึ่งนิ้วโดยสิ้นเชิง รู้เพียงว่าอีกเดี๋ยว เหมิงหู่จะสะบัดม่านรถออกรับนางลงจากรถ ประคองนางก้าวบนพรมแดงยาวเหยียด เยื้องย่างก้าวสำคัญก้าวหนึ่งของตนเองท่ามกลางสายตาของผู้คนนับมิถ้วน…


 


 


ทำไมเหมือนแต่งงานเลยล่ะ…


 


 


นางอยากมองเห็นกงอิ้นขึ้นมาทันที


 


 


ปรารถนาอย่างยิ่งขึ้นมาฉับพลันว่าให้เขาจูงนางไว้ เดินผ่านเส้นทางสลักสำคัญช่วงหนึ่งนี้ เดินบนแสงรุ่งโรจน์ครู่หนึ่งนั้นซึ่งเป็นของนาง


 


 


จากนั้นนางจึงถอนหายใจ


 


 


เป็นไปไม่ได้


 


 


กงอิ้นเป็นใครหรือ กษัตริย์ที่แท้จริงของต้าฮวงและผู้แรกที่กุมมหาอำนาจในฝ่ามือ วันนี้ไม่ใช่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของราชินี ถ้าเขาละเลยเพียงน้อย ต่อให้ไม่เข้าร่วมยังไม่มีใครกล้าปฏิเสธสักคำ


 


 


อีกทั้งนางเองได้ยินมาว่าวันที่ราชินีองค์ก่อนขึ้นครองราชย์นั้น ว่ากันว่าเขาไม่ได้เข้าร่วม ขณะนี้พิธีเข้านครของราชินีที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นนาง หากเขาอยากลดตัวถ่อมตนกระทำเรื่องนี้ที่ข้ารับใช้ควรทำ เกรงว่าผู้ใต้บัญชาของเขาย่อมไม่ยินยอม มิอาจนำการไม่ให้เกียรติราชินีหุ่นเชิดเช่นนางนี้ไปหักล้างเหตุผลของท่านราชครูโดยเด็ดขาด


 


 


ผ้าม่านพลันขยับขึ้นมาเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา


 


 


สีขาวราวหิมะ เรียวยาว เล็บดุจเปลือกหอย ทว่าไร้ซึ่งสีโลหิต


 


 


นอกผ้าม่านคล้ายมีเสียงสูดลมหายใจ


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับกลั้นลมหายใจเสียแล้ว


 


 


นางจำมือข้างนี้ได้ มือนี้ไม่ใช่มือใหญ่โตที่เจือด้วยผิวหนังด้านหนาเล็กน้อยของเหมิงหู่!


 


 


นางเงยหน้าทันที ชะงักงันไปชั่วขณะ


 


 


เป็นไปได้เหรอ…


 


 


มือนั้นคลับคล้ายรำคาญขึ้นมาบ้าง หลังมือพลิกขึ้นมา นิ้วมือจิ้มลงไปด้านล่าง


 


 


ท่วงท่าหยิ่งทระนงคล้ายเอ่ยว่า “มนุษย์ผู้โง่เขลาเหตุใดเจ้าถึงอืดอาดเยี่ยงนี้ยังไม่ไสหัวออกมาอีก”


 


 


จิ่งเหิงปัวกัดริมฝีปากยิ้มแย้ม นัยน์ตาเปล่งประกายวาวแววแพรวพราวขึ้นมาทันที จากนั้นนางยื่นมือออกไปวางบนฝ่ามือของเขาอย่างแผ่วเบา


 


 


ฝ่ามือของเขาคล้ายชะงักไปเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นโอบกุมฝ่ามือของนางไว้ในฝ่ามือของตนอย่างอ่อนโยน


 


 


จิ่งเหิงปัวหายจากอาการตื่นเต้นทันที


 


 


 


 


 


[1] ป้าตู้ จากคำว่า 度娘 เป็นภาพลักษณ์ของเว็บไป่ตู้ คล้ายคำว่า อากู๋ ในเว็บกูเกิล

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม