แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 451-467
451 แผนซ้อนแผน
ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังกอดศาสตราจารย์หลิวร้องไห้อยู่ อวี๋หมิงหลางก็กำลังพูดเตือนสติหัวหน้าใหญ่ด้วยวิธีของตัวเอง
พอออกจากโรงพยาบาลเขาก็ขับรถพาหลิวลี่ไปส่งที่บ้าน
พอถึงหน้าที่พักหลิวลี่ก็นั่งนิ่งบนรถไม่ยอมลง มองพ่อที่ไม่ได้เจอกันนาน
“พ่อ จะให้ผมกลับไปแบบนี้เหรอ?” อันที่จริงสิ่งที่เขาอยากถามก็คือ อยู่กับผมต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอ?
“แกกลับไปก่อน เดี๋ยวพ่อกลับไปหาแม่”
หลิวลี่ขานรับ จากนั้นก็ลงรถยืนมองอวี๋หมิงหลางขับรถออกไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง
อันที่จริงอวี๋หมิงหลางก็เข้าใจความรู้สึกหลิวลี่ในเวลานี้ เพราะพ่อของเขาก็เอาเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตมอบให้คนของประเทศนี้เหมือนกัน
“หัวหน้าใหญ่ไม่อยู่เป็นเพื่อนลูกหน่อยเหรอครับ?” อวี๋หมิงหลางถาม
“พรุ่งนี้แล้วกัน ไปหาที่นั่งพักหน่อย” จิตใจของหัวหน้าใหญ่กำลังสับสน เขาเป็นห่วงศาสตราจารย์หลิวแต่ก็ไปที่นั่นไม่ได้ พอเจอหน้ากันก็ทะเลาะ
กับลูกชายก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วเช่นกัน แต่ตอนนี้อารมณ์เขาไม่นิ่ง ไม่อยากเอาความหงุดหงิดไปลงกับลูก
ผู้ชายพอเกิดเรื่องก็อยากหาที่สงบๆนั่งพักก่อน หรือไม่ก็ดื่มเหล้ากับคนรู้ใจ และก็เห็นได้ชัดว่าอวี๋หมิงหลางเป็นตัวเลือกที่ดี
“ไปเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเหล้าเอง” อวี๋หมิงหลางขับรถผ่านหลิวลี่ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ปัญหาเรื่องหลิวลี่เขาเตรียมจะพูดกับหัวหน้าใหญ่ตอนที่ดื่มเหล้ากัน
อวี๋หมิงหลางมีวิธีที่น่าจะโอเคอยู่ในใจแล้ว
หลิวลี่เดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกเศร้าใจ
พ่อห่างเหินกับเขาเรื่อยๆ ถึงเขาจะเป็นลูกชาย แต่กลับรู้สึกว่าพี่หมิงหลางสนิทกับพ่อมากกว่าอีก
เขาจะต้องเข้าหน่วยรบพิเศษให้ได้ ทางที่ดีที่สุดต้องถูกเลือกเข้าหน่วยของพ่อ แบบนี้ก็จะได้เห็นเวลาพ่อทำงานเป็นอย่างไร บางทีพ่ออาจจะปฏิบัติกับเขาแบบเดียวกับที่ทำกับพี่หมิงหลาง
หลิวลี่นั่งลงบนโซฟาพลางครุ่นคิด ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ของสิ่งหนึ่งบนโต๊ะ
บนโต๊ะรับแขกมีซองเอกสารสีน้ำตาลวางอยู่
ดูเหมือนจะเป็นเอกสารของศาสตราจารย์หลิว หลิวลี่หยิบขึ้นมาคิดจะเอาไปวางไว้ในห้องแม่ แต่เอกสารที่อยู่ในซองกลับร่วงออกมา
เขาก้มลงไปเก็บ แต่แล้วลายมือที่เขียนอย่างหนักแน่นบนนั้นกลับดึงดูดสายตาเขา
อาการและสาเหตุของโรคอารมณ์แปรปรวนมีอะไรบ้าง
นี่คือวิทยานิพนธ์ที่เสี่ยวเชี่ยนเอามาให้ศาสตราจารย์หลิวดู
ตอนแรกสิ่งที่สะดุดตาเขาคือลายมือที่สวยงามนี้ พออ่านผ่านๆดูก็พบว่าเป็นของเฉินเสี่ยวเชี่ยนเขาจึงลองอ่านดู
วิทยานิพนธ์ของเสี่ยวเชี่ยนเขียนได้มีความเป็นมืออาชีพมาก แต่เข้าใจได้ไม่ยาก ไม่ใช่เอาปัญหาง่ายๆไปเขียนให้ซับซ้อน แต่เป็นการเสนอความคิดใหม่เพื่อดึงดูดคน อ่านแล้วสนุก หลิวลี่เหมือนถูกสะกด
เสี่ยวเชี่ยนเริ่มเขียนจากการแสดงออกของโรคอารมณ์แปรปรวน ร่ายยาวออกมาได้หลายพันอักษร หลิวลี่นั่งอ่านทีละบรรทัด ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนไป
หรือบางทีเขาเอาแบบนี้ก็ได้นะ…
หัวหน้าใหญ่กับอวี๋หมิงหลางต่างสวมชุดทหาร ไม่สะดวกไปดื่มเหล้าข้างนอก อวี๋หมิงหลางจึงซื้อเหล้าของเอ้อกัวโถวสองขวด ซื้อกับแกล้มสองอย่าง แล้วไปเปิดห้องพักของเรือนรับรองทหาร จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มดื่มเหล้า
หัวหน้าใหญ่ไม่มีทางเอาเรื่องชีวิตส่วนตัวพูดให้คนที่เด็กกว่าฟัง ตอนนี้เขาอึดอัดใจมาก อยากดื่มเหล้าเพื่อผ่อนคลาย
อวี๋หมิงหลางเห็นขอบตาของเขาดำคล้ำก็รู้ได้ว่าเขาคงรีบมามาก จึงยังไม่รีบเข้าประเด็น ชวนหัวหน้าใหญ่คุยเรื่องในหน่วยไปเรื่อยเปื่อย ถามหัวหน้าใหญ่ไปประชุมมาแล้วมีไอเดียอะไรบ้าง
คุยสักพักหัวหน้าใหญ่ก็วกเข้าเรื่องการทดสอบวันมะรืน
“หมิงหลาง ทหารสองคนนั่นที่นายมาดูนายว่าเป็นไงบ้าง?”
“ตอนนี้ยังโอเคอยู่ครับ แต่ต้องดูการทดสอบในวันมะรืนอีกที”
การทดสอบก็คือการจำลองสงครามจริงขนาดเล็กเพื่อทดสอบความสามารถทหารที่เข้าร่วมในเรื่องพื้นฐานรวมถึงการแก้ปัญหา คนที่ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุดจะได้เข้าหน่วยย่อยโลนวูล์ฟ
“ภารกิจที่เบื้องบนสั่งมาก็คือให้หน่วยของเราฝึกทหารรบพิเศษออกมาอีกสองกลุ่มแยกออกมาโดดๆ ถึงตอนนั้นหน้าที่ของนายอาจจะหนักขึ้นนะ”
หัวหน้าใหญ่พูดมาถึงตรงนี้อวี๋หมิงหลางก็เข้าใจ ว่านี่คือการพัฒนาบุคลากรเก่งๆเพิ่ม
ถึงแม้ช่วงสองปีมานี้เบื้องบนจะฝึกฝนทหารเก่งๆมาตลอด แต่สำหรับหน่วยรบที่เก่งๆแบบนี้บุคลากรยังมีไม่พอ ต้องคัดคนเก่งจากในบรรดาคนเก่งอีกทีแล้วพาไปฝึกต่อ
พอฟังแบบนี้อวี๋หมิงหลางก็คงจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้ากลาง หัวหน้ากลางหนึ่งคนดูแลหน่วยย่อยสามหน่วย
“หัวหน้าครับ ผมมีความคิดหนึ่งอยากจะเสนอครับ”
“อะไรเหรอ?”
“เกี่ยวกับการคัดเลือกในครั้งนี้ ผมอยากให้หลิวลี่เข้าร่วมด้วยครับ”
“…ใครนะ?”
หัวหน้าใหญ่คิดว่าตัวเองหูแว่ว
“หลิวลี่ครับ”
หัวหน้าใหญ่กระแทกขวดเหล้าเอ้อกัวโถวลงบนโต๊ะ แล้วถลึงตามอง
“อวี๋หมิงหลางนายคิดจะทำอะไร นี่คือการทดสอบไม่ใช่เกมเด็กๆนะ อย่าว่าแต่หลิวลี่จะไม่ใช่ทหารเลย ต่อให้เขาเป็นทหารที่เข้าหน่วยแล้ว อย่างน้อยก็ต้องผ่านการฝึกมาหนึ่งปีเต็มถึงจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบได้ นายคงไม่ได้จงใจจะให้เขาใช้เส้นสายเพราะเป็นลูกชายฉันหรอกนะ? ฉันจะลงโทษนาย แล้วจะไปฟ้องพ่อนายด้วย”
“…น้าเขย ผมอายุตั้งเท่าไรแล้วยังจะทำเหมือนรายงานผู้ปกครองอีกเหรอ? อีกอย่างนะ พ่อผมเป็นทหารอากาศ หัวหน้าเป็นทหารบกแล้วจะไปฟ้องเขาเนี่ยนะ? เขาจะจัดการผมได้?”
อวี๋หมิงหลางเปลี่ยนคำเรียก
หัวหน้าใหญ่อยากจะอัดเขา
“ฉันจะไปถามเหล่าอวี๋ว่าสอนลูกยังไง เห็นชอบโม้นักว่าที่บ้านเข้มงวดมาก แล้วทำไมถึงได้สอนลูกให้ใช้เส้นสาย? ลูกมันก็ได้พ่อมานั่นแหละ”
“น้าเขยพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ ผมเป็นทหารมาตั้งกี่ปีแล้ว หากจะว่ากันจริงๆ น้าได้สั่งสอนผมมากกว่าพ่ออีก ถ้าน้าอยากจะถามหาต้นตอล่ะก็คงต้องดูตัวเองนั่นแหละไม่ใช่ใครอื่น”
หัวหน้าใหญ่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเด็กปั่นหัวจึงตบโต๊ะด้วยความโมโห อวี๋หมิงหลางรีบปกป้องกล่องถั่วลิสงเอาไว้ อย่ามาสิ้นเปลืองอาหารนะ ถูกตบจนกระเด้งเลย
“ฉันเคยสอนนายให้เป็นคนใช้ทางลัดตั้งแต่เมื่อไร? จะบอกให้นะ หน่วยเรานับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งขึ้นมา ประตูเปิดรับแค่คนที่มีความสามารถเท่านั้น ขาดคุณสมบัติแค่ข้อเดียวก็ไม่ได้ เขาเป็นลูกชายฉันแล้วไงล่ะ? ความสามารถไม่พอก็ไม่ได้อยู่ดี ถ้ายอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วทหารคนอื่นๆที่เขาลำบากมาแทบตายจะมองยังไง? โลกภายนอกมีมุมมืดมากมาย แต่ความมืดเหล่านั้นปกคลุมมาไม่ถึงหน่วยเรา อีกอย่างหน่วยเราจะเหมือนสังคมข้างนอกได้ยังไง?”
อวี๋หมิงหลางพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ใช่ครับใช่ น้าเขยพูดถูก น้าหนวดยาว พูดอะไรก็ถูกหมด เป่าหนวดให้ผมดูหน่อย”
พูดจบก็อุ้มกล่องถั่วลิสงหนี ไม่หนีได้โดนอัดแน่
“ฉันพูดเรื่องจริงจังกับนาย ยังจะมาทำทะเล้น” หัวหน้าใหญ่โมโหจนจะเป็นบ้า
“ผมก็พูดเรื่องจริงจังนะ ที่น้าพูดก็เหมือนกับที่ผมคิดนั่นแหละ เพียงแต่น้าเข้าใจผิดในสิ่งที่ผมจะทำ ผมไม่ได้จะให้หลิวลี่เข้าหน่วยเรา กฎของหน่วยเราผมเป็นคนตั้ง ผมจะกล้าตบหน้าตัวเองอย่างนั้นเหรอครับ?”
452 ยื่นขอเป็นกรณีพิเศษ
หน่วยรบพิเศษไม่ใช่หน่วยที่จะอาศัยความสัมพันธ์ก็เข้าได้ สมาชิกทุกคนต่างยอดเยี่ยมที่สุด แต่ละคนหากเลือกออกมาเดี่ยวๆก็สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ทำภารกิจจะต้องอาศัยความร่วมมือเพื่อให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี หัวใจสำคัญก็คือการทำงานกันเป็นทีม
หากอยู่ๆก็ปรากฏคนที่ความสามารถไม่พอ ไม่รับผิดชอบต่อคนอื่น ดีไม่ดีอาจต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม
“แล้วนายยังจะมาบอกให้เขาเข้าร่วมการทดสอบ” หัวหน้าใหญ่โมโห
“ผมแค่อยากให้เขาได้มาสัมผัสว่าทหารที่แท้จริงเป็นยังไง ตอนนี้ภาพของพวกเราในสายตาของเขาหยุดอยู่ที่พี่ชายของเขา จุดประสงค์ที่เขาอยากเป็นทหารไม่เหมือนคนอื่น ผมเลยอยากให้เขาได้มาลองสัมผัสดู เขาจะได้เข้าใจพ่อกับพี่ชายให้มากขึ้น เป็นการช่วยเรื่องทางเดินชีวิตของเขาหลังจากนี้ด้วย”
รูปแบบการคัดเลือกคนของพวกเขาก็คือการจำลองสถานการณ์สงครามขนาดเล็ก อาวุธขนาดเล็ก ให้สัมผัสกับสงครามจริงในยุคสมัยที่บ้านเมืองสงบสุข การให้หลิวลี่เข้าร่วมเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่อวี๋หมิงหลางคิดได้
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด การคัดเลือกของพวกเราอย่าว่าแต่เด็กที่ไม่ได้ผ่านการฝึกมาอย่างถูกต้องแบบเขาเลย ต่อให้เป็นทหารทั่วไปก็ยังรู้สึกว่ายากมาก เขาไปแล้วจะทำอะไรได้ อีกอย่างไม่เคยมีกรณีแบบนี้มาก่อนที่ให้คนที่ยังไม่ได้เป็นทหารเข้าร่วมการทดสอบของพวกเรา”
“แค่ให้เขาไปสัมผัส ผ่านไม่ผ่านยังไงก็ไม่ให้เขาเข้าอยู่ดี”
“นายคิดว่าหน่วยของเราเป็นสนามเด็กเล่นให้คนมาทดลองไงก็ได้เหรอ? ใครมาก็ได้เหรอ? ฉันขอย้ำอีกรอบนะว่าไม่เคยมีกรณีแบบนี้มาก่อน”
หัวหน้าใหญ่โมโหสุดขีด อวี๋หมิงหลางกลับนิ่ง ทันใดนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“แกยิ้มอะไร?”
“ผมยิ้ม…หัวหน้าโมโหตอนนี้ก็สายไปแล้ว เรื่องนี้เดี๋ยวก็จะมีตัวอย่างแล้วล่ะครับ” อวี๋หมิงหลางจัดการไปเรียบร้อยแล้ว
“หมายความว่าไง?” หัวหน้าใหญ่อยู่ๆก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“ผมโทรบอกผู้นำไปแล้ว เรื่องนี้เขาให้เป็นกรณีพิเศษ ส่วนหนังสืออนุญาตอย่างเป็นทางการอีกไม่กี่วันก็ออกมา”
หัวหน้าใหญ่อึ้ง แล้วก็เปลี่ยนเป็นโมโหทันที
“ไอ้เด็กเลว แกกล้าข้ามหน้าข้ามตาเลยเรอะ”
“ผมรู้ว่าหัวหน้าไม่มีทางเห็นด้วย ดังนั้นเมื่อกี้ตอนที่ซื้อถั่วลิสงในร้านอาหาร ผมเลยฉวยโอกาสตอนที่หัวหน้าแย่งจ่ายไปแอบโทรหาผู้นำ ท่านชมผมด้วย แล้วบอกว่าเรื่องนี้ให้เป็นกรณีพิเศษ”
หัวหน้าใหญ่โมโหจนลุกขึ้นยืนแล้วไล่ตีอวี๋หมิงหลาง
พื้นที่มีอยู่แค่นั้น แต่อวี๋หมิงหลางกระโดดขึ้นกระโดดลง ไม่ปล่อยให้หัวหน้าใหญ่ตีได้ง่ายๆ
“ผู้นำทำไมถึงปล่อยให้แกก่อเรื่องได้? มันจะมากเกินไปแล้ว อย่าหลบนะ” หัวหน้าใหญ่ชี้อวี๋หมิงหลางด้วยความโกรธ
อวี๋หมิงหลางยิ้มกวน “ไม่หลบก็ถูกตีสิ วันมะรืนผมยังต้องไปคุมสอบอีกนะ น้าเขยอย่าทำให้ผมน่วมขึ้นมานะ เสียภาพลักษณ์หมด…
“ฉันจะเอาให้แกใช้ชีวิตไม่ได้เลย ไม่ได้ แกต้องโทรหาผู้นำ เรื่องนี้ห้ามอนุญาต”
หัวหน้าใหญ่ล้วงโทรศัพท์ออกมา อวี๋หมิงหลางก็ยังจะพูดแซว
“หัวหน้า เปลี่ยนโทรศัพท์ได้แล้วนะครับ พูดถึงเรื่องโทรศัพท์ผมก็เพิ่งนึกได้ ก่อนหน้านี้หัวหน้าคิดจะซื้อโทรศัพท์ให้น้าหลิว อยากจะคืนดีกับเขาใช่ไหมล่ะ? แต่ปรากฏว่าถูกเขาเขวี้ยงออกมา ผู้หญิงน่ะง้อแบบนั้นไม่ได้นะ ดูอย่างผมกับลูกเชี่ยนสิ รักกันจะตาย…เฮ้ย”
เขากระโดดหลบลูกถีบของหัวหน้าใหญ่ที่ลอยมาด้วยความน่ากลัว นี่ถ้าโดนเข้าได้ช้ำในแน่
“หุบปากไปเลย” เห็นหน้าแล้วก็โมโห
“ผมเตือนด้วยความหวังดีนะ หัวหน้าโทรไม่ติดหรอก ผู้นำไม่มีทางรับ เราสองคนตกลงกันไว้แล้ว อีกอย่างเขาออกเป็นหนังสือด่วน ตอนนี้คงไปถึงที่หน่วยแล้วมั้ง ทหารต้องทำตามคำสั่ง หัวหน้าคัดค้านก็ไม่มีประโยชน์…”
“ไอ้บ้านี่ แกไปล้างสมองเขายังไง?”
“ผมไม่ได้ล้างสมองนะ เขาเข้าใจ ผมก็เข้าใจ พวกเราทุกคนต่างเข้าใจ เรื่องนี้ต้องจัดการแบบนี้”
ก่อนที่อวี๋หมิงหลางจะโทรหาผู้นำเขาได้โทรหาเฉียวเจิ้นรองหัวหน้าคู่ใจก่อนแล้ว เฉียวเจิ้นเห็นด้วยกับวิธีของอวี๋หมิงหลาง แต่อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าเสียงของเฉียวเจิ้นตอนคุยโทรศัพท์ทำไมถึงฟังดูแปกลๆ…?
“เพราะเขาเป็นลูกชายฉัน?” หัวหน้าใหญ่ไม่มีอารมณ์จะพูดดีด้วย ชีวิตนี้เขาเกลียดที่สุดก็คือคนที่ใช้อำนาจโดยพลการ ทนเห็นอะไรแบบนี้ไม่ได้ ถ้ายอมเปิดไฟเขียวให้ลูกเขา แบบนั้นเขาคงได้หงุดหงิดไปทั้งปี
“ไม่ใช่ครับ เพราะเขาเป็นน้องชายของพวกเราทั้งหน่วย โลนวูล์ฟจากไปแล้ว น้องชายของเขาก็เหมือนน้องชายของทุกคน พวกเราไม่มีทางไม่แยแสน้องชายตัวเอง เขาเป็นลูกชายหัวหน้าก็จริง แต่เขาก็เป็นเหมือนญาติพี่น้องของพวกเราเหมือนกัน ผู้นำเข้าใจยิ่งกว่าหัวหน้าอีก”
หัวหน้าใหญ่อึ้งไปกับคำพูดของอวี๋หมิงหลาง อวี๋หมิงหลางเดินเข้าไปพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เรื่องจริงที่เขาเป็นลูกชายหัวหน้า แต่เขาก็เป็นน้องชายเพียงคนเดียวของวีรบุรุษของพวกเราด้วย พวกเราจะปล่อยให้วีรบุรุษของเราไปอย่างมีเรื่องค้างคาใจได้ยังไง พวกเราฝึกกันมาอย่างร่วมเป็นร่วมตาย ทุกคนต่างเป็นพี่น้อง โลนวูล์ฟไม่ใช่แค่ลูกชายของหัวหน้า เขาเป็นพี่น้องของพวกเรา วีรบุรุษของพวกเรามีน้องชายอยู่แค่คนเดียว ตอนนี้เด็กคนนี้เหมือนกำลังหลงทางในการใช้ชีวิต แล้วพวกเราในฐานะที่เป็นพี่จะไม่สนใจเขาเหรอครับ?”
“แต่ว่า…” หัวหน้าใหญ่หวั่นไหวกับคำพูดของอวี๋หมิงหลาง เขานึกไม่ถึงว่าอวี๋หมิงหลางจะทำไปเพราะเหตุผลนี้
“ไม่มีแต่ครับ ผมทำเรื่องนี้ไม่ได้เพราะเห็นแก่หน้าของหัวหน้า และที่ผู้นำอนุญาตก็ไม่ใช่เพราะหัวหน้า เรื่องในวันนี้ถ้าหลิวลี่ไม่ใช่ลูกชายของหัวหน้า โลนวูล์ฟไม่ใช่ลูกชายของหัวหน้า เป็นน้องชายของคนอื่นในทีม หัวหน้าจะไม่อนุญาตเหรอครับ?”
นั่นสิ จะไม่อนุญาตได้ยังไง
หัวหน้าใหญ่หวั่นไหวต่อคำพูดของอวี๋หมิงหลาง เรื่องนี้หากเป็นน้องชายของคนอื่นๆในทีม เขาต้องอนุญาตแน่นอน และก็คงเป็นเหมือนผู้นำที่ชื่นชมอวี๋หมิงหลาง
“ทหารทุกหน่วยต่างให้ความสำคัญกับญาติของทหาร ต่อให้ไม่ใช่วีรบุรุษ เป็นญาติของทหารทั่วไป พวกเราก็ยังต้องให้ข้าวกับน้ำมัน การดูแลครอบครัวของวีรบุรุษเป็นธรรมเนียมอันมีเกียรติ แล้วทำไมพอมาถึงหัวหน้ากลับกลายเป็นการใช้ทางลัดล่ะครับ?”
อวี๋หมิงหลางพูดเรื่องจริง
หัวหน้าใหญ่นิ่งเงียบไปนานถึงเอ่ยปากพูด
“เรื่องลูกฉันจะไปคุยกับแม่ของเขา พวกเราต้องคำนึงถึงเรื่องที่จะไม่ทำให้ทางหน่วยลำบาก อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะแม่เขาไม่ยอมเข้าใจ ฉันไม่อยากให้เบื้องบนหางานให้หลิวลี่เลยด้วยซ้ำ”
นโยบายของเบื้องบนที่มีต่อวีรบุรุษที่ต้องสละชีพเพื่อชาติดีมาก ถ้าโลนวูล์ฟมีลูก ทางการทหารจะอุปการะจนกว่าเด็กจะอายุ18 รวมถึงการส่งเสียเล่าเรียน แต่โลนวูล์ฟไม่มีลูก ทางการจึงหางานให้น้องชายเขา เรื่องแค่นี้ยังเทียบไม่ได้เลยจริงๆ เพราะโลนวูล์ฟใช้ชีวิตแลกมา ชีวิตวันข้างหน้าของหลิวลี่ทางการต้องดูแลเป็นอย่างดี
แต่ต่อให้เป็นแบบนี้หัวหน้าใหญ่ก็ยังไม่สบายใจ ไม่อยากให้ทางหน่วยต้องลำบาก เรื่องนี้ทำให้เขาต้องทะเลาะกับศาสตราจารย์หลิว ความขัดแย้งของสองสามีภรรยาจึงมีมาตลอด
453 สงสัยว่าจะเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน
ทำไมคราวก่อนหัวหน้าใหญ่ถึงอยากซื้อโทรศัพท์ให้ศาสตราจารย์หลิว? ก็เพราะเขากับศาสตราจารย์หลิวทะเลาะกันเรื่องลูกแบบไม่หยุดหย่อน ศาสตราจารย์หลิวดื้อดึงอยากให้ลูกมีงานที่มั่นคงทำ แต่หัวหน้าใหญ่ไม่อยากเอาเปรียบองค์กร
ทั้งสองคนจึงทะเลาะกัน เขาพูดจาแรงไปหน่อยเลยอยากจะไถ่โทษด้วยการซื้อโทรศัพท์ให้ แต่ก็ถูกอวี๋หมิงหลางแย่งเอาไปให้เสี่ยวเชี่ยนก่อน
“หัวหน้านี่ไม่แยกแยะเรื่องส่วนตัวเลยนะครับ ไม่ได้เอาใจหัวหน้าเป็นพิเศษเสียหน่อย วีรบุรุษทุกคนต่างได้แบบนี้เหมือนกัน เรื่องนี้หัวหน้าไม่ควรคิดมาก ต่อให้โลนวูล์ฟไม่ใช่ลูกชายของหัวหน้า เขาก็เป็นความภาคภูมิใจของหน่วยเราเหมือนกัน เป็นฮีโร่ของทุกคน การเข้าไปช่วยจัดการชีวิตของเขาให้เรียบร้อยเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรต้องทำเพียงเพราะเขาเป็นลูกหัวหน้า หัวหน้าน่ะจะไม่ให้เขาได้รับผลประโยชน์ตามปกติที่เขาควรได้เลยเหรอครับ”
หัวหน้าใหญ่คิดไม่ตกกับเรื่องนี้ หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนอื่นมันเป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่พอหลิวลี่เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ หัวหน้าใหญ่กลับไม่สบายใจ อันที่จริงอวี๋หมิงหลางก็เข้าใจได้ มุมนี้ของหัวหน้าใหญ่เหมือนกับพลตรีอวี๋
กองทัพในสายตาของพวกเขามันเป็นมากเกินกว่าทั้งหมด หากไม่ต้องทำให้กองทัพยุ่งยากได้ก็ไม่ทำ เรื่องอื่นอวี๋หมิงหลางไม่ขอเสนอความเห็น แต่เรื่องของหลิวลี่เขายืนหยัดในความคิดของตัวเอง
“น้าเขย เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่น้าคิดนะครับ จริงๆนะ มีผมอยู่ไม่มีทางปล่อยให้การเข้าร่วมของหลิวลี่กระทบกับคนอื่นแม้แต่นิดเดียว พวกเราแค่ให้เขาสัมผัสกับสนามรบ สัมผัสกับเกียรติของทหาร ถ้าหลังจากที่เขาเข้าร่วมแล้วยังยืนยันจะเป็นทหารงั้นก็ให้เขาไปทำตามขั้นตอน ถ้าเขารู้สึกไม่ได้ถึงความภาคภูมิใจของพี่เขา เข้าใจแล้วว่างานอื่นก็สร้างความภาคภูมิใจได้เหมือนกัน อีกหน่อยเขาก็จะตั้งใจทำงาน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนอยากเห็นหรอกเหรอครับ?”
อวี๋หมิงหลางไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะคำนึงถึงทุกด้าน โดยเฉพาะหลังจากที่เขาคบกับเสี่ยวเชี่ยนแล้ว มองปัญหาด้านจิตเวชอย่างทะลุปรุโปร่ง สั่งสอนเป็นหมื่นครั้งไม่สู้ให้เจ้าตัวได้เจอกับตัวเพียงครั้งเดียว เพื่อโลนวูล์ฟ เพื่อเกียรติของหน่วย อวี๋หมิงหลางจึงอยากลองดูกับเด็กคนนี้สักตั้ง
หัวหน้าใหญ่ก็ยังคงไม่เห็นด้วย อวี๋หมิงหลางยกเหตุผลชักแม่น้ำทั้งห้าก็ยังเอาชนะความดื้อดึงของทหารแก่คนนี้ไม่ได้ ขณะที่หัวหน้าใหญ่กำลังจะปฏิเสธอวี๋หมิงหลางก็มีสายเข้าที่ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“สวัสดีค่ะหัวหน้าใหญ่หนูเฉินเสี่ยวเชี่ยนนะคะ”
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน?” หัวหน้าใหญ่ยังไม่ได้สติ อวี๋หมิงหลางอยากรับสายแทนทันที
หรือลูกเชี่ยนอยากโทรหาเขาแต่โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณเลยโทรหาหัวหน้าใหญ่?
“อย่าเอาโทรศัพท์ให้อวี๋หมิงหลางนะคะ หนูไม่ได้จะโทรหาเขา หนูโทรหาหัวหน้าค่ะ”
คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้หัวหน้าใหญ่ดึงมือที่กำลังจะยื่นโทรศัพท์ให้อวี๋หมิงหลางกลับ อวี๋หมิงหลางถึงกับงง
เสียวเหม่ยโทรหาหัวหน้าใหญ่ทำไม?
“หนูรู้ว่าเสี่ยวเฉียงของหนูกำลังยื่นหน้ามาแอบฟังอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เขาต้องลำบากรบกวนหัวหน้าเปิดลำโพงด้วยค่ะ”
หัวหน้าใหญ่ทำตาม เสียงของเสี่ยวเชี่ยนดังชัดเจนออกมาจากลำโพง
“ต่อไปนี้หนูจะพูดในฐานะของจิตแพทย์นะคะ”
“…เสียวเหม่ย คุณไม่มีใบประกอบโรคศิลปะแล้วมาทำอวดเก่งต่อหน้าหัวหน้าผมเนี่ยนะ?”
“หุบปากซะเสี่ยวเฉียง ฟังฉันพูด!”
อยู่กันคนละที่ยังสัมผัสได้ถึงท่าทางการข่มของเฉินเสี่ยวเชี่ยน คนเก่งสองคนเจอกันย่อมมีคนที่อ่อนกว่า อวี๋หมิงหลางก็คือคนนั้น
“ว่ามาสิ”
“หนูปลีกตัวออกมาจากอาจารย์นานไม่ได้ เพื่อไม่ให้เขาร้อนใจ ดังนั้นคำพูดที่หนูจะพูดต่อไปนี้จึงต้องบอกหัวหน้าใหญ่ทางโทรศัพท์ ขอบอกข่าวร้ายนะคะ เมื่อกี้หลิวลี่โทรหาหนู เขาบอกว่าเขาสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน”
“แปร…อะไรนะ?” หัวหน้าใหญ่ไม่เข้าใจ
“โรคอารมณ์แปรปรวนค่ะ เป็นโรคจิตเวชที่ส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อาการคือ กระตือรือร้นเกินเหตุ อารมณ์สุดโต่ง พลังมีมากจนล้นเป็นต้นค่ะ ถ้าอาการเบาๆก็ยังโอเค แต่ถ้าหนักจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงก็จะส่งผลต่อคนรอบข้าง หรืออาจจะถึงขั้นข่มขู่ชีวิตตัวเอง”
หัวหน้าใหญ่อึ้งก่อน แต่ต่อมาก็ปฏิเสธ
“เป็นไปไม่ได้ เด็กคนนั้นเป็นคนร่าเริงตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ไม่มีทางเป็นโรคนี้”
“รายละเอียดจะเป็นไงหนูยังไม่ได้เจอเขาค่ะ แล้วก็ยังไม่ได้บอกอาจารย์ด้วย แต่ดูจากลักษณะของหลิวลี่ตอนที่เจอกันหนูก็ไม่ตัดความเป็นไปได้ทิ้งนะคะ”
ไม่ว่าจะพ่อแม่คนไหนพอได้ยินว่าลูกตัวเองเป็นโรคจิตเวช ปฏิกิริยาแรกต่างเหมือนกันก็คือไม่เชื่อ จากนั้นก็ลนลาน
โดยเฉพาะหัวหน้าใหญ่ที่ไม่ได้อยู่กับลูกมานาน พอได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
“เสียวเหม่ย คุณเอาอะไรมาวินิจฉัย?” อวี๋หมิงหลางได้สติก่อน
“ก่อนอื่น หลิวลี่บอกว่าเขานอนไม่หลับ วันนึงนอนได้แค่สามชั่วโมง แต่ยังคงมีพละกำลังที่ใช้ยังไงก็ไม่หมด เรื่องนี้ไปถามอาจารย์ได้ค่ะ เขาเป็นแบบนี้บ่อยๆ นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง วันต่อมาก็ชอบเต้น เขารู้สึกว่าสมองตัวเองสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามาก แต่กลับไม่รู้เลยว่ามันเกินกำลังของตัวเองแล้ว”
“แล้วอะไรอีก?”
“เขาบอกว่าตัวเองชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน เรื่องนี้ฉันเป็นพยานได้ ก่อนหน้านี้ฉันเคยเห้นเขาจับคนโรคจิตแต๊ะอั๋งสาวบนรถเมล์”
“แต๊ะอั๋งใคร?!” อวี๋หมิงหลางสะดุ้งตกใจ
“นายใจเย็นก่อน ไม่ใช่ฉัน”
“อ่อ…” เสี่ยวเฉียงสงบลงทันที
“สรุปคือ เด็กคนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนจริงๆค่ะ หนูเลยอยากบอกหัวหน้าใหญ่ไว้ก่อน”
“แล้วโรคนี้ควรรักษายังไงเหรอ?” หัวหน้าใหญ่ลนลาน เขานึกไม่ถึงว่าลูกชายจะเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคนี้
“การรักษาไม่ใช่เรื่องยากค่ะ แต่สิ่งที่ยากกว่าก็คือต้องมีผู้ปกครองคอยอยู่ด้วย อีกทั้งต้องแอบทำไม่ให้อาจารย์รู้”
“เสียวเหม่ย ทำไมคุณรักษาโรคจิตเวชถึงต้องให้ผู้ปกครองอยู่ด้วยตลอดเลยล่ะ?” อวี๋หมิงหลางจำได้เสี่ยวเชี่ยนเคยบอกว่า เธอรักษาโรคเบื่ออาหารก็ต้องการให้คนในครอบครัวอยู่เป็นเพื่อนคนป่วย รักษาพ่านพ่านก็ต้องให้พี่รองอยู่ด้วย ตอนนี้เอาอีกแล้วเหรอ?
เสี่ยวเชี่ยนอยากจะระเบิดอวี๋หมิงหลางทิ้ง เพราะนายมันพูดมาก นายมันปากมาก นายมันรู้ทันไปหมด!
นี่ถ้าอาจารย์อยู่ข้างๆ ฟังๆดูก็จะจับช่องโหว่ได้ เพราะการรักษาโรคอารมณ์แปรปรวนไม่จำเป็นต้องให้คนในครอบครัวคอยช่วย เสี่ยวเชี่ยนเพิ่มเข้าไปเอง
ผู้ชายสองคนที่อยู่ปลายสายไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ เสี่ยวเชี่ยนยึดหลักการ ‘ฉันเป็นหมอฉันมีเหตุผล’ เธอเริ่มเปิดโหมดจินตนการเสกสรรปั้นแต่งเรื่อง
“คือโรคอารมณ์แปรปรวนเนี่ยนะคะ มันไม่เหมือนกับการถูกทำร้ายร่างกาย ฉันวิเคราะห์ดูอาจเป็นเพราะหลังจากที่สูญเสียพี่ชาย ขาดความรักจากพ่อแม่ เลยทำให้เด็กคนนี้เป็นโรคอารมณ์แปรปรวน ตอนนี้มีแค่การใช้ความรักมาเยียวยาจิตใจของเขาถึงจะหายได้ค่ะ”
เธอพูดโกหกได้อย่างแนบเนียน คนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงย่อมถูกหลอกได้ง่าย
“แต่ว่างานของฉัน…ให้เสี่ยวหลิวอยู่เป็นเพื่อนเขาไม่ได้เหรอ?” หัวหน้าใหญ่สงสัย
“ตอนนี้อาจารย์หนูก็เป็นคนป่วยค่ะ หัวหน้าจะให้เขาสะเทือนใจอีกเหรอคะ? อีกอย่างในช่วงเติบโตของเด็กผู้ชายความรักจากพ่อเป็นสิ่งสำคัญมาก ต่อให้แม่จะเก่งแค่ไหนก็แทนที่พ่อในบางเรื่องไม่ได้ค่ะ”
“แต่งานฉันยุ่งมาก…” ใช่ว่าหัวหน้าใหญ่จะไม่อยากอยู่กับลูก แต่เพราะเขางานยุ่ง อีกทั้งยังแยกกันอยู่กับแม่ของลูก—เขายอมใช้คำว่าแยกกันอยู่มากกว่าคำว่าหย่า
454 ขุดหลุมแล้วเชิญโดดได้
“ตอนกลางวันหัวหน้างานยุ่ง กลางคืนก็ยุ่งเหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“แต่ฉันไม่ได้อยู่เมืองเดียวกับพวกเขา ไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอ?”
“วิธีอื่นก็มีค่ะคือหัวหน้าไม่ต้องสนใจลูกชายคนนี้แล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นแค่โรคอารมณ์แปรปรวน อาการเขายังไม่หนักถึงขั้นร้ายแรง งั้นก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ ถ้าโชคดีเขาก็เหมือนเด็กหนุ่มพลังเยอะทั่วไป แต่ถ้าโชคร้ายก็จะเป็นโรคซึมเศร้า เกิดภาพหลอน หรือหากอารมณ์ทางเพศมีมากเกินไป เห็นใครก็แค่อยากถอดกางเกงใส่—”
“พอได้แล้ว!” หัวหน้าใหญ่สีหน้าแย่มาก
อวี๋หมิงหลางกลับกำลังครุ่นคิด
จากนิสัยของเสียวเหม่ย เวลาวินิจฉัยโรคไม่มีทางพูดรุนแรงขนาดนี้ นี่ไม่ใช่นิสัยของเธอ
งั้นแล้วเหตุผลอะไรกันถึงทำให้เสียวเหม่ยอยู่ๆก็ทำแบบนี้?”
ขณะที่อวี๋หมิงหลางกำลังนึกถึงวัตถุประสงค์ของเสี่ยวเชี่ยนเขาก็ถามเธอไปด้วย
“เสียวเหม่ย แล้วคุณว่าเรื่องนี้ควรทำไงดี?”
“มีลูกแล้วก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู ไม่ใช่แค่หาข้าวให้กินไม่ให้อดตายก็จบ เขาไม่ใช่ลูกของหนู หนูเป็นแค่หมอ หนูไม่สนหรอกค่ะว่าคุณจะใช้วิธีไหน แต่หนูขอบอกเลยว่า ถ้าไม่เอาใจใส่เด็กคนนี้ได้จบเห่แน่ คิดหาวิธีเอาเองนะคะ—งานของอาจารย์ไม่จำเป็นต้องมาเข้างานทุกวัน แล้วเมืองQอยู่ห่างจากที่นี่เท่าไรกัน?”
เสี่ยวเชี่ยนพูดในสิ่งที่ควรพูดจบแล้วก็วางสาย
หลังวางสายเธอถอนหายใจโล่งอก ฮู่ววว เธอในฐานะที่เป็นจิตแพทย์ นี่เป็นครั้งแรกที่ขู่คน ไม่รู้เสี่ยวเฉียงจับได้หรือเปล่า เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าเสี่ยวเฉียงเป็นผู้ชายที่ฉลาดมาก หลายๆเรื่องเขามองปราดเดียวก็รู้หมด
หัวหน้าใหญ่เป็นเจ้าของเรื่อง เสี่ยวเชี่ยนบอกว่านั่นไม่ใช่ลูกเธอเสียหน่อย หัวหน้าใหญ่ถูกขู่จนไม่น่ามีเวลาคิดเรื่องอื่น
พอเสี่ยวเชี่ยนวางสายแล้วก็แอบร้อนตัวนิดหน่อย
อาจารย์เกลียดที่สุดเรื่องจิตแพทย์ขู่คนไข้ วันนี้เธอทำไปเพื่อให้อาจารย์กับสามีได้กลับมาอยู่ด้วยกันนะ เธอเองก็เหนื่อยไปไม่น้อย
หลิวลี่โทรหาเธอพูดจาติดๆขัดๆบอกว่าตัวเองอาจเป็นโรค เสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจทันที
เด็กคนนี้คิดจะทำอะไรบางอย่าง
เสี่ยวเชี่ยนไม่ใช่เด็กใหม่ เธอมีประสบการณ์แพทย์คลินิกมาหลายปี ใครป่วยใครไม่ป่วย ต่อให้ช่วงแรกมองไม่ออก แต่ก็พอจะวินิจฉัยได้คร่าวๆ หลิวลี่ยังห่างไกลจากโรคอารมณ์แปรปรวนนัก งั้นสาหตุที่เด็กคนนี้พูดแบบนี้ก็คงมีแค่เหตุผลเดียว
และเหตุผลนี้ก็เป็นสิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนก็อยากเห็น ดังนั้นเธอจึงลงเรือไปด้วย
หลังจากที่หัวหน้าใหญ่คุยกับเสี่ยวเชี่ยนแล้วก็เอาแต่นั่งเงียบ
อวี๋หมิงหลางก้มหน้าคิดอยู่สักพัก แล้วก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว
เขาเห็นหัวหน้าใหญ่ทำสีหน้าคิดหนักจึงส่งเหล้าให้ หัวหน้าใหญ่ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกสองเม็ด แล้วกรอกเหล้าเข้าปาก แต่ก็ยากจะสลัดความกลุ้มใจทิ้ง
ลูกชายคนโตตายอย่างมีเกียรติไปแล้ว ลูกคนรองยังมาเป็นแบบนี้ ไมโทษเสี่ยวหลิวต้องโทษเขา ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เขาสู้หน้าประเทศชาติได้ แต่สู้หน้าครอบครัวไม่ได้
อวี๋หมิงหลางเอ่ยปากพูด
“อันที่จริงนะน้าเขย มีคำพูดหนึ่งไม่รู้ว่าควรพูดหรือเปล่า”
“แกนี่นะพูดจาอ้ำๆอึ้งๆเป็นตั้งแต่เมื่อไร? ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดหรอก แกก็คงไม่ได้พูดให้อะไรดีขึ้น” หัวหน้าใหญ่พูดเนือยๆ
เขารู้สึกว่าการโทรมาของเสี่ยวเชี่ยนได้ระเบิดวิญญาณเขาจนหลุดลอยไปแล้ว
“น้าเขยไม่ให้ผมพูดแต่ผมจะพูด เรื่องพี่ส่วงเป็นเหตุสุดวิสัยที่ควบคุมไม่ได้ แต่เรื่องน้องเสี่ยวลี่ยังพอมีทางให้แก้ไข หากมองปัญหานี้ในทางปรัชญา เรื่องร้ายถ้าจัดการให้ดีๆก็สามารถกลายเป็นเรื่องดีได้ แล้วทำไมน้าเขยไม่เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสล่ะ?”
“ลูกก็ป่วยฉันจะมีโอกาสอะไรอีก?”
“น้าเขยกับน้าหลิวเป็นสามีภรรยากันมาตั้งหลายปี ใช่ว่าจะไม่มีเยื่อใยต่อกัน แต่เพราะเรื่องของพี่ส่วงทำให้ทะเลาะกันจนต้องหย่า ตอนนี้น้องเสี่ยวลี่ ‘ป่วย’ ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้คืนดีกับน้าหลิว กลับไปอยู่ด้วยกันอีกล่ะครับ? เพื่อลูกน้าหลิวจะไม่ยอมเลยเหรอ?”
“คืนดีเหรอ?!” หัวหน้าใหญ่ตื่นทันที เพียงแต่พอนึกถึงหน้าตาเอาเรื่องของศาสตราจารย์หลิวแล้วในใจก็หวาดกลัว กลับไปนั่งหงอตามเดิม “เขาไม่มีทางยอมหรอก”
“เป็นสามีภรรยากันมาตั้งหลายปีแล้ว ไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องใหญ่เลย ถ้าไม่มีเรื่องพี่ส่วง พวกน้าก็ยังคงเป็นสามารถภรรยากันอยู่ดีๆ ตอนนี้น้องเสี่ยวลี่ป่วย ถ้าพวกน้าจัดการกันดีๆเรื่องร้ายก็กลับกลายเป็นดีได้ น้าหลิวไม่มีทางไม่ยอมเพื่อลูก”
ลูก ยังไงก็เป็นจุดอ่อนของพ่อแม่อยู่วันยังค่ำ อวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนดูออกว่าสองคนนี้อยู่กันมาครึ่งค่อนชีวิตไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรที่ร้ายแรง แค่เพราะเรื่องการจากไปของลูกชายทำให้พวกเขาทำใจไม่ได้ เสียใจหนักเข้าจึงเลือกจะหย่า กลัวว่าถ้าเห็นอีกฝ่ายแล้วจะนึกถึงลูกที่ตายไป
ตอนนั้นศาสตราจารย์หลิวเสียใจหนักมาก พูดจารุนแรง หัวหน้าใหญ่รู้สึกผิดแต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป ทำได้แค่รับปากว่าจะหย่าให้ ตอนนี้มีโอกาสดีๆแล้ว ถ้าหากทำลายกำแพงแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันได้ ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรค ทำให้หัวใจอันบอบช้ำของพ่อแม่ที่รู้สึกผิดนี้สามารถหยุดยั้งความเจ็บปวดได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหมือนอดีตที่ต่างคนต่างเสียใจแล้วตำหนิตัวเอง
คำพูดของอวี๋หมิงหลางคล้ายกับได้จุดไฟแห่งความหวังขึ้นในใจของหัวหน้าใหญ่ เขายืนขึ้นแล้วเดินวนอยู่ในห้องอย่างร้อนใจ
คนที่อายุขนาดนี้แล้ว อันที่จริงจะใช้แค่คำว่ารักก็คงไม่เพียงพอบรรยายความรู้สึก มันเป็นอารมณ์แบบที่มากกว่าความรัก เดินทางกันมาครึ่งชีวิต มีลูกแล้วสองคน ผ่านชีวิตด้วยกันมาตั้งหลายปีเป็นไปได้ยังไงที่จะปล่อยวางกันได้
แต่พอนึกถึงนิสัยของศาสตราจารย์หลิวแล้ว…หัวหน้าใหญ่เห็นด้วยกับความคิดของอวี๋หมิงหลาง แต่ก็กลัวจะไปทำให้โรคหัวใจของศาสตราจารย์หลิวกำเริบ
“เพื่อลูก ทุกอย่างทำเพื่อลูก! น้าเขยแค่พูดมา ขอแค่มีใจแน่วแน่ ทางน้าหลิวเดี๋ยวผมกับเสี่ยวเชี่ยนจัดการเองครับ ดีไหม?”
“อย่าทำให้เขาโมโหนะ เขาสุขภาพไม่ค่อยดี อันที่จริงฉัน…ยังไงก็ได้หมด”
อวี๋หมิงหลางคิดในใจ แหม่ทำเป็นวางมาด ยังไงก็ได้กับผีสิ!
แต่สีหน้ายังต้องทำเป็นเออออ “ใช่ครับ ทุกอย่างทำเพื่อลูก เพื่อลูกเท่านั้น!”
ยื่นบันไดไปให้ เรื่องนี้ก็ง่ายขึ้นแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนพอขู่หัวหน้าใหญ่เสร็จก็กลัวว่าอีกหน่อยถ้าอาจารย์รู้เรื่องเข้าจะคิดบัญชีกับเธอ ครั้นแล้วจึงแสร้งทำเป็นไม่มีเรื่องอะไรเดินเข้าห้องผู้ป่วยไป อาจารย์ยังไม่นอน เสี่ยวเชี่ยนจึงถาม
“อาจารย์คะ ในฐานะที่อาจารย์เป็นจิตแพทย์ชั่วโมงบินสูง อาจารย์ช่วยหนูไขข้อข้องใจหน่อยได้ไหมคะ?”
“เธอมีอะไรไม่เข้าใจเหรอ?” หลังจากผ่านการร้องไห้ร่วมกันเมื่อครู่มา ตอนนี้สายตาของศาตราจารย์หลิวที่มองเสี่ยวเชี่ยนไม่เหมือนเดิมแล้ว ให้ความรู้สึกที่ดูใกล้ชิดเหมือนเป็นลูกสาวตัวเอง
“คือแบบนี้นะคะ…หนูรู้ว่าอาชีพจิตแพทย์ต้องมีหลักการ ห้ามโกหกผู้ป่วยรวมถึงญาติผู้ป่วย แต่บางครั้งนะคะ เรื่องต่างๆบนโลกใบนี้มันก็ชอบมีความบังเอิญมากมาย อาจารย์ว่าถ้าหนูทำเพื่อผู้ป่วย หนูโกหกด้วยเจตนาดี มันถือเป็นการทำผิดจรรยาบรรณไหมคะ?”
ขุดหลุมแล้ว อาจารย์โดดลงมาสิคะ
ตอนที่ 455
ตระหนักได้แล้ว
“ก็ต้องดูว่าโกหกเรื่องอะไร เรื่องนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงการ บางคนคิดว่าโกหกโดยมีเจตนาดีได้ บางคนบอกไม่ได้ แต่ฉันคิดว่าขอแค่มันเป็นประโยชน์กับคนไข้ งั้นก็ทำได้ แน่นอนว่าจะต้องไม่ก่อให้เกิดผลร้ายแรงด้วยนะ เธอทำเรื่องแบบนี้จะต้องแน่ใจว่าเกิดผลลัพธ์ที่ดี”
“ดีไม่ดีก็ต้องดูว่าอาจารย์จะเลือกอะไร…” เสี่ยวเชี่ยนพึมพำ
“เธอว่าอะไรนะ?”
“เปล่าค่ะ! หนูหมายถึง เข้าใจแล้วค่ะ! อาจารย์คะ คำพูดของอาจารย์ทำให้หนูคิดได้ ต่อไปหนูจะยึดมันเป็นหลักในการรักษาคนไข้ แล้วก็…ถ้าวันหนึ่งอาจารย์เจอว่าหนูทำเพื่อคนไข้จริง แต่โกหกคนไข้ ตัวหนูไม่ได้ผลประโยชน์นะคะ อาจารย์จะตบหนูไหมคะ?”
ศาสตราจารย์หลิวขำ “ฉันสอนหนังสือมาทั้งชีวิต ไม่เคยตีนักเรียนคนไหนเลย ต่อให้ทำวิทยานิพนธ์เนื้อหาปลอมมาก็ตามฉันก็ไม่เคยลงไม้ลงมือ แล้วฉันจะตบเธอได้ยังไง?”
เด็กคนนี้เข้ากับนิสัยเธอได้ดีจริงๆ ศาสตราจารย์หลิวชอบเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนทำหน้าทะเล้นใส่ศาสตราจารย์หลิวในใจ อาจารย์ ดูท่าชาติก่อนนักเรียนคนเดียวที่ถูกอาจารย์ลงไม้ลงมือคงเป็นเธอคนเดียวสินะ ทำไมรู้สึกเหมือนถูกหวยรางวัลใหญ่?
แต่ใครจะอยากถูกรางวัลใหญ่กัน…แอบอึดอัดใจ
“แต่ยัยเสี่ยวปืนเหล็ก—”
“อาจารย์เรียกหนูว่าอะไรนะคะ!!!” เสี่ยวเชี่ยนอยากจะบ้า ปืนเหล็กคืออะไรวะ!
“ยัยเสี่ยวปืนเหล็กไง คู่กับอวี๋ไข่เหล็ก ฉันว่าเธอเหมาะกับชื่อนี้ เสี่ยวปืนเหล็ก หลายปีมานี้ฉันสั่งสอนเด็กมาตั้งหลายคน เธอทำให้ฉันเซอร์ไพร้ส์ที่สุดแล้วก็ทำให้ฉันเป็นห่วงมากที่สุด ฉันรู้สึกว่าเธอก้าวหน้าไวเกินไป ฉันกลัวว่าเธอจะได้ใจเพราะพรสวรรค์ที่ตัวเองมีจนสูญเสียจิตใจของการเป็นจิตแพทย์ และเพราะฉันคาดหวังกับเธอมาก ฉันถึงได้เข้มงวดกับเธอ ถ้าวันหนึ่งเธอทำเรื่องที่ทำให้ฉันผิดหวัง ไม่แน่ฉันอาจจะตบเธอก็ได้ แต่ฉันก็คงจะเกลียดตัวเองเหมือนกัน”
เกลียดตัวเองที่ทำไมไม่เพาะเลี้ยงเมล็ดพันธุ์เก่งๆแบบนี้ให้ดี
ดูแลเด็กคนหนึ่งให้ดีไม่ได้ คนเป็นอาจารย์ก็ย่อมรู้สึกผิด ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้สอนอะไรเสี่ยวเชี่ยน แต่ศาสตราจารย์หลิวกลับมองเสี่ยวเชี่ยนเป็นคนกันเอง อยากจะมอบความรู้ทั้งหมดที่ตัวเองมี ให้สมกับที่เสี่ยวเชี่ยนเรียกเธอว่าอาจารย์
พอเงยหน้าก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนตาแดงๆ ศาสตราจารย์หลิวใจอ่อนยวบ กวักเรียกเสี่ยวเชี่ยนเข้ามา “ฉันพูดไปแบบนั้นเธอไม่ต้องกลัวนะ ไม่—”
ศาสตราจารย์หลิวชะงักเพราะเสี่ยวเชี่ยนเอามือปิดปากวิ่งออกไปแล้ว
อวี๋หมิงหลางพอจัดการเรื่องหัวหน้าใหญ่เสร็จก็เลิกดื่มเหล้า แล้วคืนห้องมายังโรงพยาบาล
หัวหน้าใหญ่ยืนลังเลอยู่หน้าห้องผู้ป่วยสักพัก อวี๋หมิงหลางทำท่าสู้ๆเป็นกำลังใจให้เขา หัวหน้าใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึกๆประหนึ่งกำลังจะไปรบ แล้วผลักประตูเข้าไป
อวี๋หมิงหลางไม่เห็นเสี่ยวเชี่ยน มองไปรอบๆแล้วก็เห็นลูกเชี่ยนของเขานั่งเช็ดน้ำตาอยู่บนขอบกระถางต้นไม้
อวี๋หมิงหลางปวดใจ รีบเดินเข้าไป เขานั่งบนขอบกระถางต้นไม้แล้วให้เสี่ยวเชี่ยนนั่งบนตัก
“ร้องไห้ทำไม น้าหลิวว่าเหรอ? เขานิสัยแบบนั้นอยู่แล้วคุณไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก อีกอย่างตอนนี้อากาศก็ยังเย็นอยู่คุณมานั่งบนขอบกระถางทำไม? ไม่สบายขึ้นมาจะทำไง?”
เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้อยากร้องไห้เลยจริงๆ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกแย่มาก พอเห็นอวี๋หมิงหลางมาก็เอามือกอดแล้วซุกหน้าเข้ากับแผงอกเขา
“เสี่ยวเฉียง ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้วจริงๆ”
ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดที่อาจารย์เพิ่งพูดพวกนั้น เสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางรู้เลยว่าชาติที่แล้วอาจารย์ตบเธอด้วยความรู้สึกแบบไหน
ที่แท้ตอนอาจารย์ตบเธอในใจของท่านก็เสียใจ ท่านจะต้องนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจแน่ว่าไม่ได้สั่งสอนเธอให้ดี ถ้าอาจารย์ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลยมีเหรอจะลงไม้ลงมือ?
เพราะตบนั้นทำให้เสี่ยวเชี่ยนอึดอัดใจมาตลอด อยากพิสูจน์ตัวเองให้อาจารย์เห็น แต่พอได้ฟังคำพูดเมื่อครู่เสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว
ความรู้สึกนี้ทำให้เธอเสียใจมาก
อวี๋หมิงหลางไม่ค่อยเห็นเสี่ยวเชี่ยนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เธอร้องไห้เสียใจ เขาเอามือตบเบาๆปลอบเธอ รอจนสามนาทีเต็มๆอารมณ์ของเสี่ยวเชี่ยนถึงได้ผ่อนคลายลง อวี๋หมิงหลางเช็ดน้ำตาให้เธอด้วยความอ่อนโยนแบบบอกไม่ถูก
“ตอนนี้ยังมีลมอยู่ เลิกร้องได้แล้วเดี๋ยวหน้าแห้ง”
“ฉัน…เมื่อกี้ฉัน—” เธอเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่ได้ต่อหน้าเขา อยากผละออกจากอ้อมกอดเขา แล้ววางมาดนางพญาเหมือนเดิม แต่กลับถูกอวี๋หมิงหลางกอดไว้ ไม่ยอมปล่อย
“ตัวแสบ เมื่อกี้ใช้ผมเป็นที่ร้องได้ยกใหญ่ ตอนนี้เลิกร้องแล้วคิดหนีเหรอ?”
เขาก้มหน้าจูบเธอแล้วถึงปล่อยให้เธอนั่งบนตักอยู่แบบนั้นพลางเอามือลูบหลังเบาๆให้เธอ
“ร้องไห้ทำไม?”
“เมื่อกี้ฉันคุยอยู่กับอาจารย์ เดิมอยากจะปลอบอาจารย์ แต่ตัวเองกลับเสียใจเอง”
“เรื่องครอบครัวน้าหลิวเองเหรอ…” อวี๋หมิงหลางคิดแล้วหยิกจมูกเธอเล่น “คุณคิดหาวิธีได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ผมเพิ่งค้นพบว่าหลังจากที่คุณกลับมาจากหุบเขานั่นคุณดูจะชอบหลอกต้มคนเป็นพิเศษเลยนะ”
เขารู้แล้วจริงๆด้วย เสี่ยวเชี่ยนดันแว่นตา มีเสียงสะอื้นเล็กน้อย ดูท่าทางจริงจัง ฟังเขาพูดแบบนี้ก็ดูน่ารักดี
“เขาเรียกหลอกคนที่ไหนกัน? ฉันโกหกด้วยเจตนาดีต่างหาก!”
“ไม่กลัวอาจารย์คุณจับได้เหรอ?”
อุตส่าห์คิดหาวิธีได้ขนาดนี้แล้ว!
น้าหลิวเป็นถึงอาจารย์ที่ปรึกษานักศึกษาระดับปริญญาเอก เสี่ยวเชี่ยนกลับไปหลอกเขา นับว่ากล้ามาก
“ตอนนี้อาจารย์มีอารมณ์คิดเรื่องนี้ที่ไหนกัน? ฉันกะจะไปตกลงกับหมอให้อาจารย์พักผ่อนสักสามวัน สั่งไม่ให้ออกนอกโรงพยาบาล ช่วงนี้ฉันก็จะไปกล่อมหัวหน้าใหญ่ ฉันเพิ่งพบว่าหัวหน้าใหญ่นี่จัดการง่ายมาก”
สิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนจะทำเพื่ออาจารย์ได้ก็คงมีแค่นี้ แต่พูดตามตรง เธอไม่พอใจเท่าไร
“ฉันรู้สึกว่ามันควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ ถึงตอนนี้ฉันจะเออออไปตามหลิวลี่ บอกว่าเขาเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน หลอกอาจารย์ได้ชั่วคราว ให้เวลาหัวหน้าใหญ่ได้สามวัน ดูว่าอาจารย์จะเปลี่ยนใจได้ไหม แต่ถ้าสามวันแล้วหัวหน้าใหญ่ยังทำไม่สำเร็จ ถึงตอนนั้นอาจารย์คงจับได้แล้วว่าฉันกับหลิวลี่โกหก แบบนั้นจะทำไงดี?”
“กลัวน้าหลิวตีเหรอ?”
“ไม่ขนาดนั้น อย่างไรเสียลูกชายเขาต่างหากที่เริ่มก่อน มากสุดฉันก็แค่วินิจฉัยผิดพลาด ฉันยังเด็กอยู่เขาไม่กล้าตีฉันหรอก”
อวี๋หมิงหลางแอบแฉในใจ เด็กกับผีสิ! เวลาหลอกต้มคนนี่คล่องยิ่งกว่าน้าหลิวอีก นี่กลัวถูกตีเลยคิดทำเนียนทำตัวเด็ก?— อีกอย่างนะ เด็กที่ไหนซาลาเปานุ่มนิ่มขนาดนี้?
ไม่ทันระวังแอบเผลอคิดไปถึงช่วงสิบห้านาทีตอนอยู่ในโรงแรม อวี๋หมิงหลางลอบถอนหายใจ อีกนานเลยสินะกว่าจะได้กินเนื้อ
“นายคิดอะไรอยู่น่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนโบกมือใส่หน้าอวี๋หมิงหลาง
อวี๋หมิงหลางถึงได้สติ “ผมกำลังคิดถึงปัญหาร้ายแรงอยู่”
ชุดชั้นในสีชมพูดสวยจริงๆ ช่วยขับให้ผิวขาวเปล่งประกาย…แน่นอนว่า ปัญหาที่ ‘ร้ายแรง’ นี้เขาบอกเธอไม่ได้
“จริงเหรอ?” ปัญหาร้ายแรงอะไรกันถึงทำให้เขามีสีหน้าดูหิวโหยมาหลายปีแบบนี้? เสี่ยวเชี่ยนสงสัยมาก
ตอนที่ 456
จินตนาการสวยเกิน
อวี๋หมิงหลางทำสีหน้าจริงจัง “สีชมพู…ผมหมายความว่าผมคิดหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องหลิวลี่ได้แล้ว”
“นายน่ะเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนสงสัย ปัญหาที่สุดยอดจิตแพทย์อย่างเธอยังแก้ไม่ได้แต่อวี๋หมิงหลางคิดได้?
“อย่าสงสัยในตัวผู้ชายของคุณบ่อยๆ ได้ไหม” อวี๋หมิงหลางหยิกจมูกเสี่ยวเชี่ยนเล่นอีก แล้วถึงบอกความคิดตัวเองให้เสี่ยวเชี่ยนฟัง
“ถ้าหลิวลี่เด็กคนนี้เติบโตขึ้นไม่ได้ เรื่องระหว่างน้าหลิวกับน้าเขยก็ไม่มีทางดีขึ้น น้าหลิวยังเดินออกมาจากวังวนแห่งการสูญเสียพี่ส่วงไม่ได้ ถ้าหลิวลี่เดินตามเส้นทางพี่ชายอีก น้าหลิวเวลานึกถึงก็จะหงุดหงิด อีกอย่างคุณก็ดูออกว่าอันที่จริงหลิวลี่ไม่ได้ชอบการเป็นทหารเท่าไรหรอก เขาก็แค่อยู่ในวัยต่อต้าน”
เด็กอายุสิบกว่าจะมีสักกี่คนที่มีเป้าหมายชัดเจนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร บางครั้งก็เป็นแค่การนึกสนุก คิดว่าตัวเองชอบ ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่
“ฉันก็คิดอย่างนั้น แต่ถ้าหลิวลี่ยืนหยัดจะทำแบบนั้นพวกเราจะทำไงได้?”
ปัญหามันอยู่ตรงนี้นี่แหละ อาจารย์ลืมลูกชายคนโตที่ตายไปไม่ได้ ลูกชายคนเล็กที่อยู่ในวัยต่อต้านยังคิดจะดำเนินรอยตามแบบพี่ชายกับพ่อตัวเองอีก แต่พออาจารย์เห็นหลิวลี่เป็นแบบนี้ก็ยิ่งเกลียดหัวหน้าใหญ่มากกว่าเดิม สองคนนี้ไม่มีทางจะคืนดีกันได้แล้ว
ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ยากจะแก้ไข
“อยากจะมาเป็นทหารงั้นก็ให้เขาได้ลิ้มลอง วันมะรืนพวกเราจะมีการทดสอบ ผมจะให้เขามา”
“การทดสอบของพวกนายเหรอ? เขายังเด็กอยู่จะบาดเจ็บหรือเปล่า?” เสี่ยวเชี่ยนถามด้วยความตกใจ
อวี๋หมิงหลางหาคน เขาต้องทดสอบด้วยวิธีที่เอาให้เหนื่อยที่สุดแน่นอน ต่อให้เป็นทหารที่เคยผ่านการฝึกมาก็ยากจะรับได้ แล้วนับประสาอะไรกับเด็กอย่างหลิวลี่?
“บาดเจ็บแผลภายนอกมันก็ต้องมีบ้าง แต่อาการบาดเจ็บหนักๆคงไม่มี มีผมคอยดูอยู่ไม่มีปัญหาหรอก ผมจะใช้วิธีการรักษาเขาแบบเอาให้เข็ด ครั้งเดียวก็พอ ต่อไปพอเห็นทหารชุดเขียวจะได้เดินหนี อีกอย่างเรื่องนี้จะทำให้เขารู้ว่าพี่ชายของเขาทำงานยังไง คำว่าฮีโร่ใช่ว่าจะพูดลอยๆออกมาได้”
การรับมือกับเด็กวัยรุ่นแบบนี้ต้องโหดหน่อย เสี่ยวเชี่ยนคิดๆดู วิธีรักษาแบบเอาให้เข็ดแบบนี้มาใช้ตอนนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว เธอก็เคยใช้วิธีแบบนี้รักษาเฉินจื่อหลง จนถึงตอนนี้เฉินจื่อหลงพอเห็นเกมอินเตอร์เน็ตถึงกับขยาดเลยทีเดียว
“แต่ถ้าเขาสามารถทำการทดสอบของพวกนายได้สำเร็จอีกทั้งยังทำได้ดีด้วย กลายเป็นเขาชอบการเป็นทหารมาก แบบนั้นจะทำไง?”
ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้นี้จะน้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
“ถ้าเขาสามารถผ่านการทดสอบอันหนักหน่วงได้ถ้างั้น…ปล่อยไปตามธรรมชาติก็ดีนะ เป็นทหารหน่วยรบพิเศษได้ ไปอยู่หน่วยงานไหนก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”
อวี๋หมิงหลางเองก็ผ่านการคิดอย่างรอบคอบแล้วถึงได้คิดวิธีนี้ออกมา
เสี่ยวเชี่ยนเห็นด้วย ก็จริงนะ เรื่องนี้ก็มีวิธีจัดการแบบนี้ ทำไมเธอถึงคิดไม่ได้นะ
ปัญหายิ่งซับซ้อน วิธีแก้ไขก็มักจะง่ายๆ
“วิธีการทดลองโดยใช้สถานการณ์จริงแบบนี้พวกเราก็ใช้กันอยู่บ่อยๆ แต่ฉันกลับนึกไม่ถึง ต้นตอของปัญหาอยู่ที่กองทัพ ก็ต้องให้กองทัพจัดการ แล้วนายก็เป็นคนคุมสอบด้วยพูดนิดหน่อยก็ให้หลิวลี่เข้าไปร่วมทดสอบได้แล้ว”
“ก็ไม่ใช่ผมเป็นคนตัดสินใจหรอก เรื่องนี้ผู้นำเป็นคนเคาะคำสั่งลงมา ยังไงหลิวลี่ก็เป็นน้องชายคนเดียวของโลนวูล์ฟ เบื้องบนให้ความสำคัญกับครอบครัวของทหารมาตลอด”
เสี่ยวเชี่ยนตบบ่าอวี๋หมิงหลางอย่างอารมณ์ดี “น้องชาย เรื่องนี้ทำได้ดีเลยนะ”
“ทำเป็นพูด รอผมว่างก่อนเถอะจะมาจัดการคุณ ช่วงนี้เอาใหญ่แล้วนะ”
“กลัวเหรอ? ทำอย่างกับไม่เคยให้โอกาส ใครใช้ให้นายธุระเยอะล่ะ? ขอคิดก่อนนะ คนแถวนี้กว่าจะว่างครั้งหน้า ทำไมฉันรู้สึกว่าก็อีกตั้งเดือนสองเดือนล่ะ? คัดเลือกคนใหม่เสร็จก็ต้องพากลับไปฝึกแบบปิดหนึ่งเดือน เสี่ยวเฉียงน้อยที่น่าสงสาร”
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า อวี๋หมิงหลางมองตามสายตาเธอ เสี่ยวเฉียง…น้อย?
ก็ได้ เข้าใจแล้ว
ยัยตัวแสบ
“งั้นพรุ่งนี้ ผมจะบอกหลิวลี่ เรื่องนี้พวกเราร่วมมือกันได้ดี ตอนแรกน้าเขยไม่อนุญาตหรอก ไม่อยากให้หลิวลี่เข้าร่วมทดสอบอะไรแบบนี้ แต่คุณโทรเข้ามาพูดให้น้าเขยใจอ่อนได้พอดี”
“นายคงไม่คิด…ให้หัวหน้าใหญ่เป็นคนพาหลิวลี่ทำภารกิจทดสอบหรอกนะ?” เสี่ยวเชี่ยนเบิกตาโพลง อวี๋เสี่ยวเฉียงนายนี่ใช้ได้เลยนะ แม้แต่หัวหน้าตัวเองก็ไม่เว้น
“อืม ผมคิดว่าหัวหน้าใหญ่ไม่ได้อยู่กับเขามาตั้งหลายปี การไปอยู่ในภูเขาสามวันสองคืนสองพ่อลูกน่าจะเข้าใจกันมากขึ้น ถือเป็นการพาลูกก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ด้วย”
เพียงแค่เบื้องหลังอาจจะมีทหารติดอาวุธไล่ตามก็เท่านั้น เป็นการ ‘ก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่’ ที่พิเศษมาก
อวี๋หมิงหลางลองจินตนาการภาพแล้วก็หัวเราะออกมา “เสียวเหม่ย ต่อไปถ้าพวกเรามีลูกเดี๋ยวผมพาเขาก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่สักครั้งดีไหม? ให้เขานั่งบนไหล่ผม ผมเป็นคุณพ่อเขาไท่ซาน พาเขาบินไปในภูเขา~”
“…นายปล่อยลูกไปเถอะนะ”
พอเสี่ยวเชี่ยนนึกภาพเขาเอาเสี่ยวเหวยวางบนไหล่เหมือนลิง วิ่งวุ่นไปทั่ว ข้างหลังมีรถถังไล่ตาม เสี่ยวเหวยนั่งหัวเราะคิกคักอยู่บนไหล่ของเขา เป็นภาพที่ชวนหวาดเสียวมาก ต่อให้เป็นภาพที่สวยงามแค่ไหนเธอก็ไม่กล้าคิด…
“หัวหน้าใหญ่จะยอมไปโดยดีเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนดูยังไงหัวหน้าใหญ่ก็ไม่เหมือนคนแบบอวี๋หมิงหลางที่เอาเรื่องการฝึกโหดๆมองเป็นเรื่องกิจกรรมสันทนาการของพ่อลูก
“ผมเลียนแบบคุณ ปั่นหัวน้าเขย ผมเอาเรื่องสุขภาพของหลิวลี่ขู่เขา เขาก็เลยยอม เสียวเหม่ย ผมได้ข้อสรุปแล้วนะว่า คุณเป็นจิตแพทย์รักษาคนคุณต้องจับจุดสำคัญให้ได้นั่นก็คือร่ำรวย รวมถึงแม่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของผมเวลารักษาคนไข้ด้วย หลักการเดียวกัน”
“หืม?”
“ข่มขู่คนไข้ คุณก็ข่มขู่ให้เต็มที่เลย รวมถึงญาติคนไข้ด้วย ถ้าเห็นว่าแต่งตัวเหมือนพวกเศรษฐีใหม่นะคุณก็บอกไปเลยว่ารักษาไม่ได้ ยกเว้นแต่บลาๆๆ ยังไงเขาก็ฟังคุณ จะเอาเท่าไรก็ให้…แน่นอนว่าพวกเราเป็นคนทำงานสุจริต ทำแบบนั้นไม่ได้”
เขาก็แค่พูดให้ฟัง
เสี่ยวเชี่ยนมองบน “ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณน้า แล้วคุณน้าก็จะเอาสว่านเจาะกระดูกมาฆ่านาย”
ดูถูกอาชีพหมอขนาดนี้หาเรื่องเจ็บตัวชัดๆ ในบ้านมีหมอตั้งสามคน ยังกล้าเสนอความคิดแบบนี้…ถ้านับต้าอีรวมด้วยก็จะเป็นมีหมอสี่คน หมอเยอะแยะแบบนี้ยังคิดจะหาเรื่อง?
“ฮี่ๆ ผมเห็นเสียวเหม่ยของผมหน้าโหดดูแล้วเหมือนคนหน้าเลือด เสียวเหม่ย พวกเรากำหนดราคาได้โดยไม่ต้องสนกรมการค้าเลยเหรอ กำหนดตามใจได้เลย?”
“ไม่เกี่ยวกับกรมการค้าแต่ก็ใช่ว่าจะกำหนดยังไงก็ได้ แต่มาให้ฉันรักษามันก็ราคาประมาณนึง…แต่เดี๋ยวนะเสี่ยวเฉียง ฉันค้นพบว่านับตั้งแต่ฉันเจอนายฉันก็ไม่ได้เก็บเงินใครเลย”
ชาติที่แล้วเสี่ยวเชี่ยนฆ่าแกะตัวอ้วนๆไปเยอะ พอเห็นก็จะรีดเอาเต็มที่ แต่คนที่เธอเก็บเงินแบบขูดรีดล้วนเป็นคนระดับเจิ้งซวี่ บางครั้งมีบ้างที่คิดค่ารักษาถูกๆให้กับมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ถือว่าทำการกุศล
ไม่พูดถึงก็ไม่ได้สนใจเลย นับตั้งแต่เธอกลับชาติมาเกิดก็รักษาคนไปมากแล้วทั้งโรคเล็กโรคใหญ่ ทำไมถึงไม่ได้กำไรเลยล่ะ? เจ็บใจนัก
ตอนที่ 457
เรื่องในอดีตกลับมาหวานใหม่อีกรอบ
เสี่ยวเชี่ยนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ
เธอรักษาต้าอี เพราะคิดว่าจะรับต้าอีมาเป็นศิษย์ได้ แต่ปรากฏว่าตอนนี้ต้าอีกลายมาเป็นว่าที่พี่สะใภ้รองเสียแล้ว รักษาสืออวี้ ตามไปเที่ยวในหุบเขามาด้วยกันสองวัน อีกทั้งยังต้องชดใช้เครื่องปั่นน้ำผลไม้ให้…ก็ได้ เรื่องเครื่องปั่นน้ำผลไม้เธอทำตัวเอง จากนั้นเธอรักษาจิงจิงก็ไม่เอาเงิน ไหนจะเจิ้งซวี่เธอก็ไม่เอาเงิน รักษาทังสุ่ยเซียนก็ไม่เอาเงิน อีกทั้งยังหาพ่อบุญธรรมให้ตัวเอง…ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันทังต้าเย่ส่งข่าวมาว่าการผ่าตัดสำเร็จดี ต้องการรับเสี่ยวเชี่ยนเป็นลูกบุญธรรมให้ได้
นี่ถ้าเคสพวกนี้อยู่ในชาติที่แล้วล่ะก็คงได้บ้านมาแล้วสองหลัง ตอนนี้ไม่มีสักหลัง เจ็บใจนัก
“ผมเป็นของคุณแล้วคุณยังต้องการเงินเยอะแยะไปทำไมกัน? หืม?”เข้าก้มหน้าไปถูกับจมูกเล็กๆของเธอ ทั้งสองคนเอาหน้าผากชนกัน
“เงินมีเยอะเท่าไรก็ไม่พอ เอานายไปขายจะได้เท่าไรกัน?”
คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนไม่เพียงแต่จะไม่ได้ทำให้อวี๋หมิงหลางโกรธ เขากลับหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ผมหาเงินไม่ได้เยอะ แต่เมียผมหาเงินเก่งก็พอแล้ว คุณเอาหุ้นไปขายทิ้งเถอะแล้วซื้อการ์ตูนแสลมดั๊งให้ผมดีไหม?”
ความรู้สึกที่อ้อนขอเงินค่าขนมจากแฟนอวี๋หมิงหลางอยากลองทำสักครั้งมานานแล้ว
“นายมีการ์ตูนตั้งเท่าไรแล้วทำไมยังจะซื้ออีก?” อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าผู้หญิงที่เป็นฝ่ายคุมผู้ชายรู้สึกแบบไหน ทั้งสองคนกำลังอินในบทบาท
สำหรับเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางพวกเขามีประสบการณ์รักไม่เยอะ เสี่ยวเชี่ยนเป็นโรคหวาดกลัว อวี๋หมิงหลางเป็นโรคเสพติดความสะอาดทางด้านจิตใจ ทั้งสองคนไม่ค่อยรู้ว่าคู่รักอื่นเวลาอยู่ด้วยกันควรทำอะไร อย่างไรเสียเคยเห็นคู่รักอื่นก็คุยเล่นกับแฟนแบบนี้ ก็เลยอยากจะลองดูสักครั้ง
“ก่อนหน้านั้นที่ซื้อมาไม่ดี ไปซื้อของก๊อบปี้มา คุณภาพแย่เลยอยากซื้อใหม่”
“ตัวล้างผลาญ” เสี่ยวเชี่ยนกวาดตามองเขา จากนั้นทั้งสองคนก็ทนไม่ไหว
ท่าทางแบบนี้ไม่เหมาะกับทั้งสองคนเลยสักนิด เสี่ยวเชี่ยนพูดจบอวี๋หมิงหลางก็หัวเราะ เสียวเหม่ยแสดงได้แย่มาก ไม่จ่ายค่าตัวให้สักบาทแน่
“ช่างเถอะ ฉันเป็นตัวของตัวเองดีกว่า เลียนแบบคนอื่นไม่เห็นสนุกเลย … ชอบอะไรก็บอกฉันมาตรงๆ เดี๋ยวฉันสั่งซื้อทั้งเซตพร้อมลายเซ็นมาให้นายจากต่างประเทศแล้วกัน บอกสไตล์ที่ชอบอ่านมาเดี๋ยวฉันซื้อเซตอื่นให้ด้วย จะซื้อก็ซื้อพร้อมกันไปเลย จะได้ไม่ยุ่งยาก”
เรื่องประหยัดมัธยัสถ์ไม่ใช่นิสัยของเสี่ยวเชี่ยน ใช้ชีวิตให้เต็มที่อยากซื้อก็ซื้อถึงจะเป็นเธอ คนที่ทำงานกับเธอต่างเชื่อมั่นกันว่าอยู่กับประธานเชี่ยนอยู่ดีกินดีแน่นอน ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมางกกับผู้ชายของตัวเอง
“ฮี่ๆ เมียผมดีที่สุด” อวี๋หมิงหลางพอใจแล้ว ก้มหน้าลงไปหอมแก้มเธอ
ศาสตราจารย์หลิวกับหัวหน้าใหญ่กำลังพูดคุยกัน พวกเขาสองคนเข้าไปเวลานี้ดูจะไม่เหมาะ เลยอยู่ข้างนอกดีกว่า คุยสวีทกันตามประสาไม่มีเบื่อ
ส่วนทางด้านหัวหน้าใหญ่กลับไม่ได้เห็นค่าในโอกาสพูดคุยที่อวี๋หมิงหลางสร้างให้ นับตั้งแต่เข้าห้องผู้ป่วยไปก็สิบกว่านาทีแล้ว ในสิบกว่านาทีนี้เขาเอาแต่ยืนริมหน้าต่าง หันหลังให้ศาสตราจารย์หลิวที่นอนอยู่บนเตียง พลางมองอวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนกอดกันอยู่แถวกระถางต้นไม้ แล้วก็แอบคิดในใจ หนุ่มสาวนี่ดีจังนะ
“เหล่าหลิว ตกลงคุณอยากจะมาคุยอะไรกันแน่?” ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางนิ่งเงียบของหัวหน้าใหญ่ จึงทำลายความเงียบก่อน
“ยังจำตอนที่เราดูหนังด้วยกันครั้งแรกได้ไหม?” หัวหน้าใหญ่มองอวี๋หมิงหลางที่นั่งกอดเสี่ยวเชี่ยนอยู่ด้านล่างพลางพูด
ศาสตราจารย์หลิวอึ้ง ทั้งสองคนพอเจอหน้ากันก็ทะเลาะ นานแล้วที่ไม่ได้คุยปกติกับเขาแบบนี้
“ที่ดูในโรงหนังที่เพิ่งสร้างในตัวเมืองน่ะเหรอ?” เธอไม่ค่อยแน่ใจ
หัวหน้าใหญ่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ เป็นตอนที่คุณเพิ่งเรียนจบ ผมขี่จักรยานพาคุณไปยังที่ไกลๆเพื่อดูหนังกลางแปลงต่างหาก”
ในยุคสมัยนั้นการมีจักรยานสักคันถือเป็นเรื่องที่สุดยอดมากแล้ว พอหัวหน้าใหญ่พูดขึ้นมาศาสตราจารย์หลิวก็นึกออก
“ฉันนึกออกแล้ว คุณทำจักรยานล้มจนแขนฉันถลอก”
เรื่องนี้เธอไม่มีทางลืมลง ตาแก่นี่ร้ายกาจตั้งแต่หนุ่มๆ
“ผมเพิ่งได้จักรยานมาก็ไปรับคุณเลย ยังขี่ไม่คล่องเท่าไร”
แต่การล้มครั้งนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความรัก เขาแบกเธอกลับไป จากนั้นเธอก็แต่งงานกับเขา
“แต่ตอนหลังคุณก็ยังขี่ไม่คล่องเหมือนเดิม”
“ทำไมจะไม่คล่อง? เพราะคุณนั่นแหละซน”
พอหัวหน้าใหญ่พูดจบทั้งสองคนก็ต่างเขิน นึกถึงเรื่องราวในอดีต
ตอนนั้นศาสตราจารย์หลิวเพิ่งถูกจัดให้สอนในมหาวิทยาลัย บางครั้งเลิกสอนดึก ถ้าเขามีเวลาก็จะปั่นจักรยานมารับเธอ
อยู่ๆศาสตราจารย์หลิวก็นึกถึงเนื้อน้อยๆตรงพุงของเขา สมัยหนุ่มๆหัวหน้าใหญ่ไม่ต่างจากอวี๋หมิงหลาง เป็นทหารร่างกายกำยำ แต่ไม่รู้ทำไมฝึกยังไงก็ไม่มีกล้ามหน้าท้อง ถึงเขาจะไม่อ้วน แต่เวลาขี่จักรยานก็สามารถจับถูกพุงน้อยๆนั่นได้
สมัยสาวๆถึงแม้ศาสตราจารย์หลิวจะไม่ได้เป็นอาจารย์ที่ร้ายกาจแบบตอนนี้ แต่เวลาอยู่กันตามลำพังก็ช่างซุกซน เธอชอบเอามือจับพุงเขา เวลาไม่มีคนเห็นก็จะแอบจับนิดหน่อย จากนั้นเขาก็จะขี่อย่างเสียหลักเลี้ยวไปเลี้ยวมา
ความทรงจำนี้ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไร แต่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย พอหวนกลับไปนึกถึงอีกก็เริ่มรู้สึกว่ามันช่างหอมหวาน พอผ่านความหวานไปก็คือความขื่นขมที่สลัดไม่ออก
ตอนนั้นออกจะดี นึกไม่ถึงจริงๆว่าต่อมาจะกลายเป็นแบบนี้
ทั้งสองคนกำลังหวนนึกถึงอดีต ภายในห้องเงียบสงบ หัวหน้าใหญ่มองลงไปด้านล่าง คู่รักคู่นั้นย้ายไปที่อื่นกันแล้ว คิดๆดูอวี๋หมิงหลางคงลากเสี่ยวเชี่ยนไปหลบหลังต้นไม้ทำเรื่องไม่ดีแน่ๆ
“คุณมาหาฉันเพื่อพูดเรื่องพวกนี้น่ะเหรอ? ไหนว่าอยากจะคุยเรื่องเลี้ยงดูเสี่ยวลี่ไง?” หลังจากศาสตราจารย์หลิวนั่งร้องไห้กับเสี่ยวเชี่ยนไปยกใหญ่ อารมณ์ก็ไม่ได้ฉุนเฉียวมากมายแล้ว แต่พออยู่ตามลำพังกับอดีตสามีก็ยังคงทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ดี
“คือแบบนี้นะ เรื่องเสี่ยวหลิวน่ะ ผมคิดๆดูแล้ว…”
หัวหน้าใหญ่เริ่มเครียด แต่อยู่ๆก็เห็นพุ่มไม้หน้าตึกขยับแบบผิดปกติ อวี๋หมิงหลางจับเสี่ยวเชี่ยนกดลงไปจูบตรงนั้นแล้ว
ไม่ได้ นี่เขาจะแย่กว่าหนุ่มสาวพวกนั้นได้ยังไง?
หัวหน้าใหญ่ถูกอวี๋หมิงหลางกระตุ้นจึงเริ่มฮึกเหิม
“เรื่องเสี่ยวหลิว ผมสูญเสียเสียวส่วงไปแล้ว ตอนนี้เสี่ยวลี่ยังจะมาอยากเป็นทหารอีก คุณไม่เข้าใจย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่ลูกโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเราเป็นพ่อแม่ถ้าไปบีบบังคับก้าวก่ายชีวิตเขามากๆลูกก็จะต่อต้าน เด็กวัยนี้ถ้าไม่ระวังก็จะทำตัวเลวได้ง่าย”
“ดังนั้น คุณเลยจะมาสอนฉัน?” ศาสตราจารย์หลิวได้ยินดังนั้นก็ได้สติกลับมาจากความทรงจำ เธอพูดด้วยน้ำเสียงสูงเล็กน้อย
“ไม่ใช่ ผมคิดว่าจะให้เสี่ยวลี่ไปร่วมการทดสอบคัดเลือกทหารของหมิงหลางสักครั้ง ให้เขาได้ไปทดลองดู เผื่อเขาจะได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการจริงๆกันแน่ ผมจะคอยอยู่กับลูกตลอด ผมเป็นพ่อของเขา เวลาที่ควรจะอบรมสั่งสอนเขาผมกลับละเลย ตอนนี้วัวหายล้อมคอก หวังว่าจะยังไม่สาย ผมเลยมาขออนุญาตคุณ”
“คุณเป็นคนคิดเหรอ?”
ศาสตราจารย์หลิวเหมือนกับเสี่ยวเชี่ยน คนที่ใช้การสร้างสถานการณ์จริงมาช่วยในการรักษาปัญหาทางจิตบ่อยๆแบบเธอย่อมรู้ว่าวิธีนี้ดีต่อลูกเธอแค่ไหน
แต่ตาแก่นี่ชอบยึดหลักการไม่ใช่เหรอ ก่อนหน้านี้เรื่องหางานให้ลูกเขาก็ไม่พอใจมาแล้ว ครั้งนี้ยอมง่ายๆเลย?
“ไม่ใช่ นี่เป็นความคิดของหมิงหลาง เขายังให้ผม…”
ตอนที่ 458
กัดฟันพูด
จริงๆแล้วอวี๋หมิงหลางต้องการให้หัวหน้าใหญ่เปิดประเด็นเรื่องขอคืนดีในเวลาที่เหมาะสม พูดคุยไปเรื่อยๆแล้วถ้าบรรยากาศไปได้สวยก็ลองๆหยั่งเชิงดูท่าทีของศาสตราจารย์หลิว บอกว่าการกลับมาอยู่ด้วยกันดีต่อลูกนะ
แต่พอเห็นศาสตราจารย์หลิวนอนบนเตียงหน้าตาซีดเซียว เข็มให้น้ำเกลือยังคาอยู่ที่มือ หัวหน้าใหญ่ก็พูดไม่ออก ผลจากครอบครัวแตกแยกทำให้เธอต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ คำพูดบางคำเขาก็พูดไม่ออก รู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์
“ไข่เหล็กให้คุณทำอะไร?”
“เปล่า…คุณพักรักษาตัวนะ ไม่ต้องเป็นห่วง ปล่อยลูกชายให้อยู่กับผมสามวัน ผมจะไม่ทำให้เขาเกิดอันตราย” หัวหน้าใหญ่พูดจบก็ทำตัวเหมือนมีคนวิ่งไล่ รีบเดินออกไปทันที พอปิดประตูต่างก็รู้สึกผิดหวัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ขณะที่อวี๋หมิงหลางคร่อมตัวเสี่ยวเชี่ยนอยู่นั้น มือของเขาก็เคลื่อนไปวุ่นอยู่กับชุดชั้นในสีชมพูของเธอแล้ว สวยสะกดตา ตราตรึงในหัวใจ ยากที่จะปล่อยไป พอมีโอกาสก็อยากจะพาไปล่องลอยด้วยกัน
แต่ในขณะที่ล่องลอยอยู่นั้น หัวใจก็เริ่มจะควบคุมไม่อยู่แล้ว
“เซ็งโว้ย”
เขาเอาหน้าซุกกับไหล่เธอ งับหูเธออย่างหมั่นเขี้ยว รู้สึกว่าจมูกร้อนมาก ‘ลอย’ ต่อไปไม่ได้แล้ว แล้วนี่ถ้าตอนดึกเลือดกำเดาไหลจะทำไง
“อยากจับคุณมัดแล้วอุ้มไปด้วยเลยจริงๆ” อุ้มไปที่โรงแรม ฉีกชุดชั้นในสีชมพูทิ้ง แล้วทำสงครามอันดุเดือด
เสี่ยวเชี่ยนก็อยาก เสี่ยวเฉียงของเธอน่าสงสารเหลือเกิน อยากจะทำภารกิจรักอุปสรรคก็มาแล้วมาอีก
แต่จะไปกับเขาก็ไม่ได้ อาจารย์นอนป่วยอยู่ข้างบน คืนนี้เธอต้องอยู่เฝ้าอาจารย์
“พรุ่งนี้เช้า…นายไปเข้าหน่วยกี่โมง?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“หกโมง ผมต้องขึ้นเขาแล้วไปตั้งสนามสอบ”
สนามสอบอยู่ในภูเขา มีกับดักนานาชนิด ต้องตรวจสอบอีกรอบ จะทดสอบคนให้ถึงที่สุดก็ต้องทำบนพื้นฐานด้านความปลอดภัยสูงสุดเช่นกัน
เช้าเกินไป ไม่มีเวลาทำ เสี่ยวเชี่ยนคิดแล้วถามอีก
“ทดสอบเสร็จยังมีเวลาไหม?” มีเวลาสักสองสามชั่วโมงก็พอแล้ว เสี่ยวเฉียงของเธอต้องข่มอารมณ์ขนาดนี้ เธอเองก็ทนดูไม่ไหว
“ไม่มีเลย ทดสอบเสร็จก็ต้องพาคนที่ผ่านกลับหน่วย ทุกอย่างทำต่อเนื่องกันหมด” อวี๋หมิงหลางกัดฟันตอบ
ทำไมเวลาช่างเล่นตลกอะไรแบบนี้ พอเขาพาคนใหม่กลับหน่วยก็ต้องฝึกซ้อมแบบปิดอีกหนึ่งเดือน
จะกินเนื้อทั้งทีทำไมมันลำบากแบบนี้ นี่เขาไปทำบาปกับใครไว้เนี่ย
พอเห็นหัวหน้าใหญ่เดินออกมาจากตึกอวี๋หมิงหลางก็รู้ว่าต้องแยกจากเสี่ยวเชี่ยนแล้ว ถึงไม่อยากก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ใช้เวลาตอนที่หัวหน้าใหญ่ยังเดินมาไม่ถึง อาศัยต้นไม้บัง แล้วขย้ำลงไปบนเนินนางที่อยู่ภายใต้ชุดชั้นในสีชมพู ยังไม่ลืมที่จะประทับรอยจูบแดงลงไปบนนั้น
เสี่ยวเชี่ยนเจ็บจนร้องออกมา ตาบ้า จะขยำอะไรขนาดนั้น นุ่มนวลหน่อยไม่ได้หรือไง
“เสี่ยวเชี่ยนเป็นอะไรไป?” หัวหน้าใหญ่เดินมาถึง เห็นสีหน้าของเสี่ยวเชี่ยนดูไม่ค่อยโอเคเท่าไร
ดูเหมือนจะไม่สบาย?
อวี๋หมิงหลางหันไปมองเธอ แล้วพูดด้วยท่าทีจริงจัง “อยู่ข้างนอกไม่ค่อยสบายเท่าไร คุณผู้หญิงมีเรื่องยุ่งยากให้เจอตลอด”
เสี่ยวเชี่ยนอยากถุยใส่หน้าเขาจริงๆ ไอ้ที่ไม่ค่อยสบายน่ะเพราะถูกเขาขย้ำอย่างไม่ใยดี ถุย
แยกกันครั้งนี้คงอีกนานกว่าจะได้เจอกันอีก เสี่ยวเชี่ยนมองส่งอวี๋หมิงหลาง อวี๋หมิงหลางเองก็เดินไปพลางหันกลับมามองบ่อยๆ
แต่ทว่าทั้งสองคนคงนึกไม่ถึงว่า จริงๆแล้วอีกไม่นานก็จะได้เจอกันอีก เซอร์ไพร้ส์แบบเหนือความคาดหมายมักมีอยู่เสมอ รอทั้งสองคนอยู่ไม่ไกล ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยเรื่องปาฏิหาริย์ แต่นั่นก็เป็นเรื่องในภายหลัง
ปกติประธานเชี่ยนไม่ทำงานปรนนิบัติใคร แต่ถ้าเป็นการเฝ้าอาจารย์ผู้มีพระคุณยามป่วย นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ช่วงดึก หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนส่งข้อความสุดท้ายหาอวี๋หมิงหลางแล้วเธอก็ตั้งนาฬิกาปลุกแล้วปิดโทรศัพท์ ศาสตราจารย์หลิวที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยหลับไปแล้ว
เธอกับเสี่ยวเฉียงส่งข้อความไร้สาระคุยกันสามชั่วโมงกว่า มีแต่เนื้อหาอะไรก็ไม่รู้ ก็เหมือนกับชายหญิงที่กำลังคบกันทั่วไป คุยไร้สาระกันแต่ก็มีความสุข
เสี่ยวเชี่ยนลงจากเตียงไปห่มผ้าห่มให้อาจารย์แล้วถึงกลับเตียงตัวเองไปนอน
วันต่อมา พอศาสตราจารย์หลิวตื่นขึ้น เสี่ยวเชี่ยนก็ซื้ออาหารเช้ากลับมาแล้ว
“เดี๋ยวฉันจะไปจัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาล ตอนบ่ายมีธุระ” ศาสตราจารย์หลิวกับเสี่ยวเชี่ยนนั่งหันหน้าเข้าหากัน กินข้าวไปคุยไป
“หนูโทรหาอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วค่ะ โปรเจ็คต์ของอาจารย์ให้หยุดไปก่อนสองวัน ช่วงสองวันนี้ให้พักผ่อนนอนที่โรงพยาบาลไป หนูถามหมอแล้ว ตอนนี้อาจารย์ห้ามทำงานหนักนะคะ”
“ไม่จำเป็น ร่างกายของฉันๆรู้ดี”
“ถ้ารู้แล้วจะเป็นลมไปเหรอคะ? โรคหัวใจไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นอนดูอาการสักสองวันแล้วก็ถือโอกาสตรวจสุขภาพทั้งหมดไปด้วยเลย อาจารย์กลับไปตอนนี้ที่บ้านก็ไม่มีใคร หลิวลี่ถูกพ่อพาไปขึ้นเขาแล้วนะคะ”
“พาไปแล้วจริงๆเหรอ?” ศาสตราจารย์หลิวไม่คิดว่าเขาจะเอาจริง
ตาแก่นี่เปลี่ยนไปไม่น้อย นี่ไม่เหมือนเรื่องที่คนอย่างเขาทำเลยสักนิด ยังคิดว่าเขาก็แค่พูดไปงั้น
“ค่ะ เมื่อเช้าหมิงหลางโทรหาหนู เขาจะคอยดูหลิวลี่กับพ่อตลอดการทดสอบ จะไม่ปล่อยให้หลิวลี่เกิดอันตราย อาจารย์คะ อันที่จริงคนเราเปลี่ยนกันได้จริงๆ สามีอาจารย์เปลี่ยนไปแล้ว อาจารย์จะให้โอกาสเขาอีกครั้งไหมคะ?”
“ถ้าเธอไม่อยากเรียนจบก่อนสองปีก็ช่วยเขาพูดไปเรื่อยๆเลยนะ เธอเป็นนักเรียนของฉัน เอาแต่เข้าข้างเขาทำไม?” ศาสตราจารย์หลิวถลึงตาใส่เสี่ยวเชี่ยน
“ดูสิ นิสัยแย่แบบนี้ มิน่าหลายปีมานี้ถึงไม่มีเพื่อนเลย ล้มป่วยยังต้องให้หนูมาดูแล…”
มาถึงจุดที่ไม่มีคนมาเฝ้าไข้เลย ศาสตราจารย์หลิวนี่สุดยอดจริงๆ
“ไม่อยากอยู่ก็รีบกลับมหาลัยไป ไม่ต้องมายุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่น”
ศาสตราจารย์หลิวขี้โมโหจริงๆ ทุกคนต่างกลัว แต่เสี่ยวเชี่ยนไม่กลัว แบบนี้เขาเรียกว่าใจกล้าหน้าด้าน
“ทำไมจะเป็นแค่เรื่องในครอบครัวอาจารย์ล่ะคะ? งั้นหนูก็ทำเพื่อความปลอดภัยของคู่หมั้นเหมือนกัน”
“เกี่ยวอะไรกับอวี๋ไข่เหล็ก?”
“ไข่เหล็กของหนูอยู่ในกำมือของสามีอาจารย์นะคะ ถ้าสามีอาจารย์ไม่อยู่ในสภาพพร้อมทำงาน ไข่เหล็กของหนูก็จะกลายเป็นไข่เหลว ครอบครัวปรองดองทหารที่อยู่แนวหน้าก็อุ่นใจ อาจารย์ไม่เห็นสามีอาจารย์เหรอคะว่าทำตัวดีขึ้นแค่ไหน รู้จักดูแลลูกแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนดันชามโจ๊กให้ศาสตราจารย์หลิว โจ๊กที่เคี่ยวจนเหนียวหนืด กับสายตาที่เต็มไปด้วยแผน
“ลูกของเขาถ้าเขาไม่ดูแลใครจะดูแล? ต่อไปห้ามพูดถึงเขาต่อหน้าฉันอีก เดี๋ยวฉันจะออกจากโรงพยาบาล ตอนบ่ายนัดคนไข้ไว้” ศาสตราจารย์หลิวกินโจ๊กภายใต้การจับจ้องของเสี่ยวเชี่ยน
กินข้าวเสร็จศาสตราจารย์หลิวก็เก็บของ ขณะที่กำลังจะไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนเอาแต่จ้องโทรศัพท์มือถือ
“เสี่ยวปืนเหล็กมองอะไรน่ะ รอคนโทรมาเหรอ?”
“เปล่าค่ะ หนูมองเวลา จะหนึ่งชั่วโมงแล้ว”
“อะไรหนึ่งชั่วโมง?”
“ยาใกล้ออกฤทธิ์แล้ว…อาจารย์ ง่วงไหมคะ?”
พอเสี่ยวเชี่ยนพูดศาสตราจารย์หลิวก็รู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ เปลือกตาบนล่างพยายามพุ่งเข้าหากัน
“นิดหน่อย…” แปลกจัง ทำไมเธอง่วงขนาดนี้?
“งั้นก็ไปนอนพักสักหน่อยนะคะ หนูจะไปทำเรื่องให้ เสร็จแล้วเดี๋ยวมาเรียกค่ะ”
“ก็ได้” ศาสตราจารย์หลิวง่วงจริงๆ เธอคิดว่าเมื่อคืนสงสัยนอนไม่พอ
พอเห็นอาจารย์หลิวกลับไปนอนที่เตียงแล้ว เสี่ยวเชี่ยนก็เก็บโทรศัพท์ แล้วห่มผ้าให้ศาสตราจารย์หลิว
“อาจารย์คะ คำโกหกที่เจตนาดีสมควรได้รับการอภัย ดังนั้นอาจารย์ก็จะอภัยที่หนูวางยาใช่ไหมคะ? ไม่ให้อภัยก็ทำอะไรไม่ได้ หมอบอกแล้วว่าอาจารย์ต้องนอนพักสักสองวัน”
ตอนที่ 459
คนเลี้ยงนก
เสี่ยวเชี่ยนวางยานอนหลับใส่ในชามโจ๊กของอาจารย์ หมอเป็นคนสั่งให้
เรื่องพวกนี้หัวหน้าใหญ่เป็นคนเสนอ เสี่ยวเชี่ยนมีตราอาญาสิทธิ์รอดชีวิต พออาจารย์ตื่นขึ้นมาก็คงหาตัวเธอไม่เจอแล้ว
ถ้าไม่ทำแบบนี้ ต่อให้ต้องคลานอาจารย์ก็จะไปรักษาคนไข้ให้ได้ ความรับผิดชอบสูงเกิน
เสี่ยวเชี่ยนมองศาสตราจารย์หลิวที่หลับไปแล้ว จากนั้นก็เอามือล้วงเข้าไปในเสื้อนอกของอาจารย์
อาจารย์มีสมุดโน้ตเล็กๆพกติดตัวเสมอ ในนั้นจะเขียนรายชื่อคนไข้พร้อมเบอร์ติดต่อไว้ เสี่ยวเชี่ยนรู้ความเคยชินเรื่องนี้ของอาจารย์ดีจากเมื่อชาติก่อน จึงหาเจอได้อย่างง่ายดาย
“วันนี้สิบเอ็ดโมงที่ห้องทำงาน ชื่อคนไข้ หวางย่าเฟย…”
เสี่ยวเชี่ยนอ่านข้อมูลอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกปากกาเขียนข้อความใส่กระดาษ พออาจารย์ตื่นแล้วให้ไปคิดบัญชีกับหัวหน้าใหญ่ แล้วก็บอกอาจารย์ด้วยว่า คนไข้คนนี้เธอไปรักษาแทนให้แล้ว
อย่างไรเสียในเมื่อเธอวางยาอาจารย์แล้ว ตื่นขึ้นมาก็ต้องถูกเฉ่งอยู่ดี เรื่องไม่ดีทำแล้วต้องเอาให้สุด แล้วก็จะชินไปเอง~
เสี่ยวเชี่ยนพอจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพก็ไปอธิบายเหตุการณ์กับหมอจากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาล
ฤทธิ์ยาเพียงพอที่จะทำให้อาจารย์หลับไปหลายชั่วโมง พอตื่นขึ้นมาเสี่ยวเชี่ยนก็คงรักษาคนไข้เสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นอาจารย์อยากจะโกรธก็ไม่มีประโยชน์ เสี่ยวเชี่ยนทำให้อาจารย์นอนดูอาการได้อีกหนึ่งวันแล้ว
อันที่จริงไม่นอนโรงพยาบาลก็ได้ แต่ทุกคนต่างรู้ว่าหญิงแก่คนนี้ดื้อแค่ไหน ปล่อยกลับไปไม่มีทางนอนอยู่เฉยๆแน่ คงหางานมาทำได้ไม่หยุดหย่อน โรคนี้ต้องอาศัยการพักผ่อน ไม่สู้ให้นอนโรงพยาบาลสองวัน
เสี่ยวเชี่ยนล้วงกุญแจห้องทำงานอาจารย์ออกมาแล้วไขเข้าไปข้างใน อีกสักพักคนไข้ที่นัดไว้ก็จะมาแล้ว
เป็นผู้ชายผอมสูง ดูยังหนุ่มอยู่ อายุราวๆ20 ผมทรงสกินเฮด ยืดตัวตรง ถึงจะแต่งตัวในชุดลำลอง แต่เสี่ยวเชี่ยนแค่เห็นก็ดูออก
นี่คือทหารคนหนึ่ง ต่อให้ไม่ได้ใส่ชุดทหาร ท่ายืน บุคลิก ล้วนดูแตกต่าง
“ไม่ทราบว่าคุณคือศาสตราจารย์หลิวหรือเปล่าครับ?” หวางย่าเฟยนึกไม่ถึงว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานนั้นจะเป็นผู้หญิงวัยรุ่น
“เรียกฉันว่าหมอเฉินก็ได้ค่ะ ฉันเป็นนักเรียนของศาสตราจารย์หลิว ศาสตราจารย์ป่วยเข้าโรงพยาบาล วันนี้ฉันจะรักษาคุณเองค่ะ”
“อ่อ…งั้นก็ไม่เป็นไรครับ”
หวางย่าเฟยลุกขึ้น บอกลาแล้วเดินออก เดิมเขาก็ไม่ได้อยากมาปรึกษากับจิตแพทย์หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะคาดหวังกับการทดสอบพรุ่งนี้มาก กลัวจะฉุดคะแนน ถึงได้ฟังคำแนะนำของฉู่เซวียนเพื่อนสนิทมาหาศาสตราจารย์หลิวที่โด่งดังเพื่อปรึกษา
ปรากฏว่าคนที่เจอกลับเป็นผู้หญิงวัยรุ่น เขาไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวของตัวเองบอกกับผู้หญิงที่ดูท่าทางเด็กๆแบบนี้
“หวางย่าเฟย เพศชาย อายุ 20 ปี อยากปรึกษาปัญหาเรื่องภาวะความเครียด สิ่งนี้จะต้องรบกวนจิตใจคุณมาเป็นเวลานานแล้วแน่นอน แต่คุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน เพียงแต่ช่วงนี้คุณวางแผนงานใหญ่เอาไว้ จึงจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับมัน และแผนงานนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องทหาร”
หวางย่าเฟยหยุดเดิน แล้วหันไปด้วยความตกใจ สีหน้าของเขาได้บอกเสี่ยวเชี่ยนว่า เธอเดาถูกแล้ว
“ทำไมคุณถึงได้รู้เยอะแบบนั้น?”
เขาบอกศาสตราจารย์หลิวแค่ชื่อ อายุ กับเรื่องที่ต้องการปรึกษาเท่านั้น แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงพูดข้อมูลออกมาได้ตั้งมากมาย?
เสี่ยวเชี่ยนดันแว่นตาพลางพูดในใจ คนๆนี้ขาดแค่อักษรเขียนโชว์บนหน้าว่าทหาร นี่ถ้าเรื่องแค่นี้เธอยังเอาเขาไม่อยู่ แล้วจะกล้าให้คนอื่นเรียกว่าประธานเชี่ยนเหรอ?
“นั่งลงสิคะ มาคุยกันหน่อย”
จิตแพทย์ที่ดีจะปลอบคนไข้เก่ง เสี่ยวเชี่ยนแค่พูดไม่กี่คำก็ทำให้หวางย่าเฟยอึ้งได้แล้ว
“หมอเฉิน อาการของผมหนักไหมครับ? พรุ่งนี้ผมมีทดสอบที่สำคัญมาก”
“ทดสอบ…เข้าหน่วยย่อยโลนวูล์ฟของหน่วยรบพิเศษ011น่ะเหรอคะ?” ไม่บังเอิญขนาดนั้นมั้ง?
นี่คือทหารของเสี่ยวเฉียง?
“ทำไมเรื่องนี้คุณก็รู้ด้วย?”
งั้นก็แสดงว่าทายถูก
เดิมเสี่ยวเชี่ยนมองว่านี่เป็นเคสคนไข้ทั่วไป แต่พอได้ยินเขาบอกจะเข้าร่วมการทดสอบเข้าหน่วยของอวี๋หมิงหลาง เธอก็รีบรวบรวมสมาธิ แล้วเริ่มเข้าสู่การรักษา
หน่วยที่อวี๋หมิงหลางอยู่เป็นหน่วยแบบไหน?
สุดยอดของทหารบก ผู้ปกป้องที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสันติ…นี่คือภาพที่คนภายนอกมอง ส่วนภาพที่คนในมอง เสี่ยวเชี่ยนมีอยู่อย่างเดียว
นั่นคือ สถานที่ที่ผู้ชายของเธออยู่นั้น ห้ามปล่อยให้คนที่มีปัญหาเข้าไปสร้างความยุ่งยากให้เสี่ยวเฉียงเด็ดขาด
การคัดเลือกของทหารหน่วยรบพิเศษมีเงื่อนไขด้านสุขภาพสูง ความรู้ทางการทหารก็ต้องไม่น้อยหน้า แต่ในสายตาของเสี่ยวเชี่ยน เรื่องสภาพจิตใจก็ต้องแข็งแกร่งไม่แพ้กัน นี่คืออาชีพที่มีความพิเศษมาก หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจเกิดปัญหาใหญ่ได้
หวางย่าเฟยเล่าปัญหาของตัวเองให้เสี่ยวเชี่ยนฟัง เสี่ยวเชี่ยนก้มหน้าจดบันทึกอย่างรวดเร็ว พอหวางย่าเฟยพูดจบเสี่ยวเชี่ยนก็พอจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว
“คุณจะบอกว่าเวลาคุณยิงปืน บางครั้งหัวใจก็จะเต้นเร็ว หน้ามืด ตกใจ แต่แค่ระยะเวลาไม่นาน ไปตรวจสุขภาพแล้วก็ไม่มีปัญหาเหรอคะ?”
เสี่ยวเชี่ยนเห็นอาจารย์เขียนไว้แค่บรรทัดเดียว สงสัยว่าอาจเป็นภาวะผิดปกติทางใจอย่างรุนแรง แต่จะวินิจฉัยได้ก็ต่อเมื่อพูดคุยกันต่อหน้า
อาการแบบนี้เป็นภาวะผิดปกติทางใจแฝง
“ครับ ผลตรวจสุขภาพแต่ละด้านไม่มีปัญหา”
เสี่ยวเชี่ยนครุ่นคิดสักพัก มั่นใจได้ว่านี่เป็นอาการที่เกี่ยวเนื่องมาจากโรคทางจิตใจ แต่ยังฟันธงไม่ได้ว่าใช่โรคภาวะผิดปกติทางใจอย่างรุนแรงหรือเปล่า เพราะโรคนี้จะต้องมีเหตุการณ์ที่สะเทือนใจอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นเงามืดในจิตใจ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
อาการแบบนี้ปกติจะแสดงออกช้า บางคนผ่านไปเป็นเดือน บางคนหลายปี บางคนไม่กี่วันก็แสดงอาการแล้ว
เมื่อคนปกติอยู่ๆก็เจอเหตุการณ์สะเทือนใจเช่น การใช้ความรุนแรง ภัยพิบัติต่างๆ อุบัติเหตุ หรืออยู่ๆก็มีคนตายไม่ปกติตรงหน้า ล้วนเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดอาการแบบนี้
อาการที่แสดงออกก็จะแตกต่างกัน บางคนนอนไม่หลับ โกรธง่าย ไม่มีสมาธิ ระแวงเกินเหตุ ขี้ตกใจ กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว ปวดเนื้อปวดตัว ดังนั้นปกติหากมีการเกิดแผ่นดินไหวหรือภัยธรรมชาติอื่นๆมักจะมีจิตแพทย์คอยให้คำปรึกษาแก่ผู้ประสบภัย
“ช่วงนี้คุณมีเรื่องอะไรใหญ่ๆเกิดขึ้นกับตัวไหมคะ? คุณรู้ว่าตัวเองมีอาการแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“ไม่มีเรื่องอะไรนะครับ ผมเรียนจบมอปลายก็ไปเป็นทหาร ตอนนี้ก็เกือบสองปีแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เห็นว่าตัวเองมีความผิดปกติอะไร จนกระทั่งเมื่อสามเดือนก่อน…ผมเข้าร่วมฝึกซ้อมรบ ผมพบว่าพอผมเอาปืนเล็งคนอื่นก็จะหน้ามืด”
“เป็นทหารมาตั้งเกือบสองปีเพิ่งเคยเข้าร่วมซ้อมรบแค่ครั้งเดียวเหรอคะ?”
“ผมเป็นทหารปีแรกทำงานเป็นกองหนุนทั่วไปครับ ต่อมามีผลงานหน่อยก็เลยถูกย้ายไปหน่วยรบ”
“…เลี้ยงหมูเหรอ?”
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้ถึงสายตาที่หวางย่าเฟยมองมาจึงรีบพูดขอโทษ
“เลี้ยงหมูปลูกผักเป็นธรรมเนียมที่ดีของทหาร อีกอย่างผมไม่ได้เลี้ยงหมู ผมปลูกผัก”
ก็ได้ นายปลูกผักนายชนะ เสี่ยวเชี่ยนอธิบาย “ฉันไม่ได้ดูถูก ฉันแค่สงสัย ทหารที่เป็นฝ่ายกองหนุนในสงครามสามารถมีคุณสมบัติที่เข้าคัดเลือกทหารหน่วยรบพิเศษได้ คุณจะต้องเก่งเหนือใครแน่นอน”
“คุณก็รู้จักทหารหน่วยรบพิเศษเหรอครับ?” หวางย่าเฟยอึ้งเล็กน้อย
“คู่หมั้นฉันก็เป็นทหาร เพียงแต่เขาเป็นคน…เลี้ยงนก?” เสี่ยวเชี่ยนจำได้ว่า อวี๋หมิงหลางพูดอยู่บ่อยๆว่าเขาเป็นเหมือนเครื่องฟักไข่นก ทหารที่เขาฝึกล้วนเป็นนกหน้าใหม่ พอฝึกเสร็จก็จะกางปีกโผบินได้อย่างเก่งกาจ เก่งเหนือคนที่เก่งอีกที
“ทหารมีเลี้ยงนกด้วยเหรอครับ?”
“……” ก็พวกนายที่เป็นนกหน้าใหม่นี่ไงล่ะ
ตอนที่ 460
พี่หลางเกรี้ยวกราด
“เอาล่ะ พวกเรามากลับเข้าประเด็น คุณช่วยเล่าเหตุการณ์ตอนที่รู้ตัวว่ามีอาการผิดปกติเป็นครั้งแรกให้ฟังหน่อยค่ะ ยิ่งละเอียดยิ่งดี พอเล่าเสร็จฉันจะลองสะกดจิตคุณดูว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน…”
ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังรักษาคนไข้อยู่นั้น อวี๋หมิงหลางหลังจากตรวจสนามทดสอบเสร็จก็นั่งพักที่ศูนย์บัญชาการชั่วคราว ทำงานยุ่งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางจนถึงตอนนี้
“One รายชื่อคนที่เข้าร่วมการคัดเลือกอยู่นี่นะ นายลองดู…นายอารมณ์ไม่ดีเหรอ?” เฉียวเจิ้นยื่นเอกสารให้พลางถาม
สีหน้าของหัวหน้าเขาดูอึมครึมมาก
อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ฝึกด้วยกัน คนอื่นอาจมองไม่ออก แต่เฉียวเจิ้นเห็นปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าเวลานี้อวี๋หมิงหลางอารมณ์ไม่ดี
ปกติถ้ามีการคัดเลือกคนใหม่ อวี๋หมิงหลางจะดูตื่นเต้นมาก เขาจะศึกษาผู้เข้าร่วมทุกคนเป็นอย่างดี แต่วันนี้หลังจากทำสนามทดสอบเสร็จ เขากลับมานั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงนี้
“ตาเหยี่ยว นายอารมณ์ดีเหรอ?” อวี๋หมิงหลางถามเฉียวเจิ้นกลับ เฉียวเจิ้นดูออกว่าเขาไม่สบอารมณ์ อวี๋หมิงหลางเองก็ดูออกว่าเฉียวเจิ้นดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ดวงตางี้เป็นประกาย ออกอาการสุดๆ หน้าตาอิ่มเอิบมีความสุข เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้มาก
“ก็ประมาณนึง ฮี่ๆ One เดี๋ยวปิดเทอมหน้าร้อนนี้ฉันอาจจะแต่งงานนะ” เฉียวเจิ้นเกาหัว อวี๋หมิงหลางกำลังยกแก้วน้ำดื่ม พอได้ยินเฉียวเจิ้นพูดแบบนี้ก็พ่นน้ำพรวด
“แต่งงาน?”
“อืม แต่งงาน” เข้าหอไปล่วงหน้าก่อนแล้ว ไม่แต่งงานก็คงไม่ได้ พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนเฉียวเจิ้นก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ามีความสุขสุดๆ เสียดแทงเข้าไปในจิตใจอวี๋หมิงหลางเต็มๆ
“กับใคร?” อวี๋หมิงหลางเหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง
แต่งกับผีสิ เขาเพิ่งจะหมั้นกับลูกเชี่ยน แม้แต่จะกินตับกันยังไม่สำเร็จ เฉียวเจิ้นเป็นชายโสดที่อวี๋หมิงหลางชอบอวดความรักใส่มาตลอด อยู่ๆจะมาสละโสด อีกทั้งยังข้ามขั้นตอนเป็นแฟน ขั้นตอนหมั้น ไปแต่งงานเลยเหรอ?
อ๊าก…นี่มันเหมือนปาระเบิดใส่ชัดๆ
“กับเสี่ยวยวี่ ฮี่ๆ…อ้อมกันมาตั้งไกล เพิ่งจะรู้ว่าคนที่เหมาะสมที่สุดอยู่ข้างตัว ปิดเทอมหน้าร้อนนี้เขาอายุยี่สิบพอดี ฉันจะไปยื่นคำร้องขอแต่งงาน พวกเราจะแต่งงานกัน”
เจ็บ ใจ โว้ย
อวี๋หมิงหลางนวดขมับ นี่เขาไม่ได้ฟังผิดจริงๆเหรอ?
“ก่อนหน้านี้พวกนายสองคนเล่นเกมพี่ชายน้องสาวกันอยู่ดีๆไม่ใช่เหรอ? ทำไมอยู่ๆจะมาแต่งงานล่ะ?”
ข้ามขั้นไปขนาดนี้ ไม่มากไปหน่อยเหรอ?
“อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็มีความรู้สึกดีๆ แต่มันติดตรงที่พวกเราโตกันมาแบบพี่ชายน้องสาวเลยค่อนข้างลังเล แต่เมื่อคืนในเมื่อทำเรื่องแบบนั้นแล้วก็ต้องรับผิดชอบ แต่ทำไมฉันถึงได้ทำแบบนั้นนะ ฮี่ๆ…ก็ชอบอยู่หรอก…”
ความลับของลูกผู้ชาย เล่าให้หัวหน้าฟังเท่านั้น
หัวหน้าสะเทือนใจ
“เมื่อคืน? นายทำอะไร”
“ฉันไปจัดการเรื่องโรงแรมให้เสี่ยวยวี่ใช่ไหมล่ะ จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์นิดหน่อย เสี่ยวยวี่ดื่มจนเมา จากนั้นฉันก็ช่วยเขาจับหนูแฮมเตอร์ ปรากฏว่าจับไปจับมา…”
“จับไปจับมาก็เลยจับขึ้นเตียง เมาแล้วเลยลงมือได้? เมาแล้วไม่ต้องเห็นเป็นน้องก็ได้?” อวี๋หมิงหลางทนไม่ไหว เขาหักนิ้ววอร์มมือ ไม่ได้ วันนี้คนๆนี้มันต้องโดน
ถ้าจะบอกว่ากินตับได้ไม่ถึงสิบห้านาทีก็คืนห้องสร้างความเจ็บแค้นให้อวี๋หมิงหลางหนึ่งตัน ถ้าอย่างนั้นการที่เฉียวเจิ้นไปกินตับกันสำเร็จแบบเหนือความคาดหมายแบบนี้ก็คงสร้างความเจ็บแค้นอย่างน้อยห้าตัน
หากไม่มีคนให้เปรียบเทียบก็จะไม่มีใครต้องเจ็บ เวลานี้ในใจของอวี๋หมิงหลางมีอักษรตัวใหญ่ๆปรากฏว่า ทำไมวะ
เขากับเสี่ยวเชี่ยนรักกันมาเรื่อยๆ ค่อยๆพัฒนาไปทีละขั้น หมั้นกันแล้วแต่ยังกินตับกันไม่สำเร็จ ปรากฏว่าเฉียวเจิ้นข้ามขั้นตอนที่อวี๋หมิงหลางพยายามแทบตายไปได้อย่างง่ายดายจนสำเร็จ แล้วจะไม่ให้อวี๋หมิงหลางโกรธ เกลียด อาฆาตได้ยังไง
ถ้าเป็นเฉียวเจิ้นตอนปกติจะต้องรู้สึกได้ว่าหัวหน้ากำลังจะลงมืออัดคนแล้ว แต่เฉียวเจิ้นในเวลานี้กำลังอยู่ในห้วงแห่งความสุขที่กำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็น ‘เจ้าบ่าว’ เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าท่าทางของอวี๋หมิงหลางเปลี่ยนไป ยังคงดื่มด่ำกับความสุขจากเมื่อคืน
“ก็เขาเมา แล้วก็เอาหนูมาเล่น ปรากฏว่าหนูมันตกเข้าไปในเสื้อเขา ฉันก็เลยช่วยจับ แล้วก็ไปจับโดน…”
จับถูก จากนั้นก็จับจนพอ เธออยู่บนตัวเขาเอาแต่ร้องไห้ เหล้าเข้าปากก็เริ่มมีอารมณ์อยู่แล้ว นี่ทั้งลูบทั้งคลำกัน นัวเนียไปมาจนเกิดเรื่อง
“หน้าไม่อาย…” อวี๋หมิงหลางทนฟังต่อไปไม่ไหว
นี่มันทุเรศมากจริงๆ
เขามองออกแล้วว่า โลกนี้โหดร้ายกับเขาแค่คนเดียว เขาทำตามลำดับขั้นตอน อยากจะจอดรถชมเมเปิ้ลยามค่ำคืนกับคู่หมั้น แต่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ อดกลั้นจนแทบจะระเบิดแล้ว แล้วไอ้นี่ยังจะมาทำให้เจ็บแค้น แบบนี้ไม่ทุเรศเหรอ?
“One ผู้ชายกับผู้หญิงมันไม่เหมือนกันนะ จริงสิ พอเสร็จธุระอย่างว่าแล้ว นายรู้สึกว่าอะไรมันเปลี่ยนไปไหม?”
ผู้ชายน่ะ เวลาอยู่ด้วยกันก็ชอบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องใต้สะดือ แต่ทว่าครั้งนี้เฉียวเจิ้นทำผิดแล้ว
เขาคิดว่าอวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนหมั้นกันมาก็นานแล้ว ดูรักกันดีขนาดนั้น เรื่องแบบนี้คงสำเร็จกันนานแล้ว เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าอวี๋หมิงหลางขับรถแต่ละครั้ง ‘ถูกเบรคกะทันหัน’ ตลอด เล่นเอาโมโหสุดๆ
เฉียวเจิ้นไม่รู้ว่าอวี๋หมิงหลางมีประสบการณ์ที่น่าเศร้าแบบนั้น แล้วนี่ยังจะมา ‘แลกเปลี่ยนประสบการณ์’ มาแหย่รังแตนชัดๆ
เขามองไม่เห็นสีหน้าที่พร้อมระเบิดของอวี๋หมิงหลาง ยังคงพูดอยู่คนเดียว
“อันที่จริงฉันบุ่มบ่ามไปหน่อย ควรจะคิดให้มากกว่านี้ แต่เป็นแบบนี้ก็ดี ทำให้ฉันรู้ใจตัวเอง ตอนที่เขาเข้ามากระซิบข้างหูฉันว่าเป็นของฉัน ความรู้สึกนั้นมันดูยิ่งใหญ่คล้ายกับตอนที่ฉันยืนสาบานภายใต้ธงทหาร พอเสร็จธุระฉันก็อยากโทรหาพ่อคุยเรื่องแต่งงาน เขาคงจะโกรธ แต่ฉันก็เตรียมทำสงครามสู้ระยะยาวไว้แล้ว”
“อ่อ…เตรียมการไว้แล้ว?” อวี๋หมิงหลางวอร์มมือเสร็จก็เริ่มวอร์มขา
“อืม เสี่ยวยวี่พูดถูก เรื่องของเราสองคนพ่อกับแม่คงรับไม่ได้แน่นอน ถึงจะเรียกว่าพ่อแม่มาหลายปี แต่อยู่ๆจากลูกชายจะให้มาเป็นลูกเขย ผู้ใหญ่ทั้งสองคนจะขัดใจก็ใช่เรื่องแปลก ฉันต้องกำจัดอุปสรรคให้หมด ในเมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ ผู้ชายต้องมีความรับผิดชอบ กลัวแค่จะดูแลเขาได้ไม่ดีจนเขาหนีไปนี่แหละ”
แอลกอฮอล์กับหนูอันที่จริงเป็นแค่ข้ออ้าง
ถ้าในใจไม่ได้คิดอะไรแล้วจะทนรับบททดสอบแบบนี้ไม่ไหวได้ยังไง?
ก่อนหน้านี้สับสนเรื่องบทบาทสถานะ พอผ่านค่ำคืนไปด้วยกันทุกอย่างก็กระจ่าง ตอนนี้เฉียวเจิ้นมีความเชื่อมั่นอยู่อย่าง เขาเป็นคนทำ ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด สู้ไปให้สุด
อวี๋หมิงหลางยืนขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงที่อันตราย “แล้วนายได้เตรียมใจที่จะถูกฉันอัดไว้ไหม?”
“หืม? นายจะอัดฉันทำไม?” ในที่สุดเฉียวเจิ้นก็เดินออกมาจากจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดได้ เขามองอวี๋หมิงหลางด้วยความไม่เข้าใจ
อวี๋หมิงหลางเหวี่ยงขาเข้าไป เฉียวเจิ้นหลบขาของเขาได้แต่กลับถูกหมัดที่เหวี่ยงเข้ามาที่หน้าแทน อยู่ดีๆมาลงไม้ลงมือทำไมเนี่ย?
“One ต่อยฉันทำไมเนี่ย?”
“เห็นแล้วหงุดหงิด ต้องจัดการ”
“ฉันใช้ถุงยางนะ ไม่ปล่อยให้ท้องหรอก” เฉียวเจิ้นคิดไปเป็นอื่น หัวเตียงตามห้องโรงแรมมีของแบบนี้ทั้งนั้น
ไม่พูดยังดีเสียกว่า พอพูดขึ้นมายิ่งโมโห อวี๋หมิงหลางยิ่งเพิ่มแรง “ฉันมันไม่ได้เรื่อง”
ตอนที่ 461
จะไม่มีเพื่อนเอา
เฉียวเจิ้นไม่อธิบายอะไรยังพอว่า พออธิบายขึ้นมา อวี๋หมิงหลางฟังแล้วก็ยิ่งโมโห
ถุงยางกลิ่นวนิลาที่เขาซื้อมายังคงนอนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในกล่องเก็บของท้ายรถ
เฉียวเจิ้นมีสิทธิ์อะไรบทจะทำก็ทำได้ ทำ ไม
อัดแค่นี้ยังน้อยไป
หลังจากที่เฉียวเจิ้นถูกอวี๋หมิงหลางอัดอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็เริ่มตั้งรับ ทั้งสองคนซัดกันนัวเนีย ผลัดกันคนละที ดูแล้วสนุกไม่เบา
ห่างจากตรงนั้นไปไม่ไกล ทหารท้องที่หลายนายที่มาช่วยทำสนามทดสอบกำลังยืนมองอยู่ การปะทะกันอย่างดุเดือดของอวี๋หมิงหลางกับเฉียวเจิ้นได้เป็นประเด็นให้พวกเขาพูดคุยกัน
“011สองคนนี้สุดยอดเลยว่ะ”
“น่าเสียดายที่พวกเราคุณสมบัติไม่พอเข้าร่วมคัดเลือก มีแค่ทหารเก่งๆเท่านั้นถึงจะเข้าร่วมทดสอบได้ หวางย่าเฟยที่ได้เลื่อนหกขั้นติดก็เข้าร่วมด้วยพวกนายเคยได้ยินเปล่า?”
“บุคคลในตำนานที่อาศัยปลูกผักจนได้เลื่อนสามขั้นไปเป็นนักสอดแนม จากนั้นก็กลายเป็นนักแม่นปืนน่ะเหรอ?”
“ใช่ๆ เลื่อนหกขั้น ทั้งหมดมีแปดคนที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบได้ แต่ชื่อเสียงของเขาดังสุด ยังคิดอยู่ว่าหวางย่าเฟยก็เก่งมากแล้วนะ แต่พอเห็นฝีมือของ011ถึงได้รู้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า สมกับเป็นพี่ใหญ่ของหน่วยรบพิเศษ”
ทหารพวกนี้ไม่ได้รู้เลยว่า อวี๋หมิงหลางกับเฉียวเจิ้นที่ได้รับการชื่นชมอยู่นั้น สาเหตุที่พวกเขาลงไม้ลงมือเป็นเพราะคนหนึ่งได้กินเนื้อแล้ว อีกคนยังเป็นพระอยู่ ดังนั้นหลวงพี่เลยโมโห อยากอัดเฉียวเจิ้น
ผ่านไปห้านาทีเครื่องมือสื่อสารของอวี๋หมิงหลางก็ดังขึ้น เขาถึงปล่อยมือ ปล่อยเฉียวเจิ้นที่ถูกเขาต่อยจนหน้าบวมจมูกเขียว
เฉียวเจิ้นลูบปาก จนถึงตอนนี้เขายังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถูกอัด “ถ้าไม่ติดว่าเมื่อคืนใช้พลังไปเยอะนะ ฉันเอาคืนแน่”
“แรงนายน่ะสู้ฉันไม่ได้อยู่แล้ว” หลังจากอวี๋หมิงหลางพูดท้าทายเสร็จก็กดปุ่มรับ
“ผมOneครับ เชิญพูด”
“One มีสายด่วนของคุณ ช่วยมาที่รถสื่อสารด้วย”
“รับทราบ”
อยู่ข้างนอกจะต้องเก็บโทรศัพท์ไว้ แต่ถ้ามีเรื่องด่วนก็โทรเข้าเบอร์ฉุกเฉินเพื่อหาเขาได้
อวี๋หมิงหลางยกนิ้วกลางให้เฉียวเจิ้นด้วยความ โกรธ อาฆาต ริษยาแล้วรีบวิ่งไปที่รถสื่อสาร
“ใครโทรมาครับ?” อวี๋หมิงหลางถาม
ทหารสื่อสารตอบด้วยท่าทียำเกรง “คู่หมั้นของคุณครับ บอกว่ามีเรื่องด่วน”
เสี่ยวเชี่ยน? อวี๋หมิงหลางไม่กล้ารอช้า ปกติเสียวเหม่ยไม่มีทางโทรถึงที่นี่ได้แน่ คงมีเรื่องด่วนมาก
การโทรจะต้องผ่านหลายคน คิดดูก็รู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนคงโทรหาพ่อของเขาก่อน จากนั้นก็ใช้เส้นสายโอนสายกันจนมาถึงที่นี่ สถานการณ์ที่นี่ในตอนนี้แตกต่างจากปกติ โทรศัพท์ทั่วไปไม่มีทางติดต่อได้โดยตรง
“เสียวเหม่ยเกิดอะไรขึ้น?” อวี๋หมิงหลางพอคว้าโทรศัพท์ได้ก็รีบถามด้วยความร้อนใจ
“เรียกฉันว่าหมอเฉินด้วยค่ะ ตอนนี้ฉันคุยกับคุณในฐานะคนเป็นหมอ”
“……” เมื่อกี้ยังตึงเครียดอยู่ พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็โล่งใจ ดูท่าจะไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นกับเธอ
“ว่ามาครับหมอเฉิน เกิดอะไรขึ้น?”
“หวางย่าเฟยนายรู้จักไหม?”
“รู้จัก” นี่คือคนที่มาแรงที่สุดในบรรดาคนที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ อวี๋หมิงหลางกับเฉียวเจิ้นมาที่นี่ก็เพราะถูกใจในพรสวรรค์การยิงปืนของหวางย่าเฟย เขาเองก็คาดหวังกับผลงานในวันพรุ่งนี้ของหวางย่าเฟย
“ตามจรรยาบรรณของพวกเรา เราไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลรวมถึงชื่อแซ่ของคนไข้ได้ แต่นี่เป็นกรณีพิเศษ ฉันจำเป็นต้องบอกนาย ถ้าพรุ่งนี้หวางย่าเฟยผ่านการทดสอบของนาย ขอความกรุณาอย่าพาเขากลับไปด้วย”
“ขอเหตุผล” อวี๋หมิงหลางขมวดคิ้ว
“เพราะเขาเป็นโรคภาวะผิดปกติทางใจอย่างรุนแรงแอบแฝง หากเข้าหน่วยรบพิเศษไปอาจเกิดผลร้ายที่ค่อนข้างหนัก”
อวี๋หมิงหลางอึ้งไปกับคำพูดของเสี่ยวเชี่ยน
“โรคอะไรนะ?”
“โรคภาวะผิดปกติทางใจอย่างรุนแรง ถ้าฉันวินิจฉัยไม่ผิดล่ะก็ อาการของเขามีมาหลายปีแล้ว แต่ฉันสะกดจิตเขาล้มเหลว เลยไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ปีไหน ฉันได้อาศัยเส้นสายให้ลองสืบดูแล้ว ดังนั้นก่อนที่ฉันจะรักษาเขาหาย อย่าเพิ่งให้เขาเข้าหน่วยนาย นี่ถือเป็นการรับผิดชอบต่อพวกนาย และเป็นการรับผิดชอบต่อตัวเขา”
เสี่ยวเชี่ยนเองก็ตัดสินใจหลังจากที่ความคิดตีกันไปยกใหญ่
เธอรักษาหวางย่าเฟยครั้งแรกล้มเหลว หลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจทำผิดจรรยาบรรณ เอาข้อมูลของคนไข้เปิดเผยกับอวี๋หมิงหลาง
การกระทำแบบนี้ถือเป็นการทำผิดกฎ
เสี่ยวเชี่ยนชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว เธอคิดว่าการปล่อยให้หวางย่าเฟยเข้าหน่วยโลนวูล์ฟของ011ไป ไม่เพียงแต่ตัวเขาเองจะมีอันตราย ทั้งทีมก็จะมีอันตรายไปด้วย ถึงตอนนั้นอวี๋หมิงหลางก็จะได้รับผลกระทบ
“รายละเอียดเป็นไง?”
คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนได้เรียกความสนใจของอวี๋หมิงหลางได้มากทีเดียว
“อีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะไปถึงสนามทดสอบของนาย เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
เสี่ยวเชี่ยนติดต่อไปหาหัวหน้าใหญ่ก่อน จากนั้นหัวหน้าใหญ่ก็อนุญาตให้เข้าไปยังสนามทดสอบได้เป็นกรณีพิเศษ เรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่ เกี่ยวข้องกับอวี๋หมิงหลาง เธอไม่มีทางปล่อยไปโดยไม่สนใจ
เสียวเหม่ยจะมา?
อวี๋หมิงหลางนิ่งไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้มีอารมณ์ดีใจที่จะได้เจอคนรักอีก เขาขมวดคิ้วแล้วตอบไปว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นก็วางสาย
การที่เสียวเหม่ยต้องมาด้วยตัวเองก็แสดงว่าเรื่องนี้หนักหนามาก ทหารที่เขาเล็งไว้กลับเกิดเรื่องแบบนี้ ในใจรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ถึงทหารจะมีเยอะ แต่ทหารเก่งๆที่ทำให้อวี๋หมิงหลางถูกใจได้กลับมีน้อยเหลือเกิน จึงค่อนข้างมีค่า
เสี่ยวเชี่ยนวางสายแล้วยกมือไหว้อาจารย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยอารมณ์ที่ยังมีความโกรธเหลืออยู่
“อาจารย์ หนูจัดการแบบนี้อาจารย์ไม่พอใจเหรอคะ?”
ตอนที่เธอคุยกับหวางย่าเฟยไปได้ครึ่งทางศาสตราจารย์หลิวก็โผล่พรวดเข้ามาด้วยความโกรธ เดิมจะมาคิดบัญชีกับเสี่ยวเชี่ยน แต่พอเห็นเธอรักษาอย่างมืออาชีพจึงไม่ได้ขัด แค่ยืนมองอยู่ข้าง
ที่แค้นกว่าก็คือ ตอนหวางย่าเฟยถามว่าศาสตราจารย์หลิวเป็นใคร เสี่ยวเชี่ยนตอบไปหน้านิ่งๆว่าเป็นป้าเช็ดกระจก เล่นเอาศาสตราจารย์หลิวโกรธจนหน้าเกือบเบี้ยว
แต่วิธีการจัดการของเสี่ยวเชี่ยนไร้ซึ่งปัญหา ศาสตราจารย์หลิวไม่ได้ขัดจังหวะเธอ ปล่อยให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาจนเสร็จ
เดิมจะมาคิดบัญชีกับเสี่ยวเชี่ยน แต่เพื่อประโยชน์ของคนไข้ อาจารย์กับลูกศิษย์คู่นี้จึงปรึกษาเรื่องอาการของหวางย่าเฟยก่อน หลังจากที่ได้บทสรุปร่วมกัน อาจารย์ก็ติดต่อไปที่หัวหน้าใหญ่ หัวหน้าใหญ่จึงให้วิธีติดต่ออวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยน
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน ใครใช้ให้เธอกล้าถึงขนาดวางยาฉัน อีกทั้งยังรักษาคนไข้โดยไร้ใบประกอบโรคศิลปะ? เธอไม่กลัวฉันไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาเธอจนทำให้เธอเรียนไม่จบเหรอ?”
เด็กคนนี้กล้ามากจริงๆ ศาสตราจารย์หลิวนอนไปพักใหญ่ พอตื่นขึ้นมาเห็นกระดาษโน้ตของเสี่ยวเชี่ยนก็โกรธแทบบ้า
รีบออกมาที่ห้องทำงาน เสี่ยวปืนเหล็กรักษาคนไข้ไปแล้ว
“สามีอาจารย์นั่นแหละค่ะที่อนุญาต เขาให้ป้ายอาญาสิทธิ์ละเว้นโทษตายกับหนู อาจารย์มีความโกรธความแค้นความไม่พอใจเชิญไปลงกับสามีได้เลยค่ะ ถ้าเปรียบหนูเป็นมีด งั้นสามีอาจารย์ก็เป็นคนถือมีด อาวุธไม่ผิด คนถือสิผิด อย่ามาคิดบัญชีกับหนูเลยนะคะ สามีอาจารย์ผิดเต็มๆเลย”
เสี่ยวเชี่ยนขายเพื่อนร่วมทีม เอาหัวหน้าใหญ่มาขายจนไม่เหลือชิ้นดี
ศาสตราจารย์หลิวชี้หน้าเสี่ยวเชี่ยนด้วยความโกรธ “เขาให้เธอทำอะไรเธอก็ทำเหรอ? เธอสนิทกับเขาหรือกับฉัน?”
“ก็ต้องอาจารย์สิคะ ถ้าหนูสนิทกับเขามากเกินไปเดี๋ยวอาจารย์ก็ไม่พอใจ…อาจารย์ อาจารย์เป็นคนมีการศึกษาใช้กำลังไม่ได้นะคะ”
เสี่ยวเชี่ยนถอยไปหนึ่งก้าวหลบสมุดที่ศาสตราจารย์หลิวเขวี้ยงมา
“เพ้อเจ้อ”
เสี่ยวเชี่ยนหลบสมุดที่ศาสตราจารย์หลิวจะเอามาตี ปากก็ยังไม่วายพูดเตือนสติอย่างจริงใจ
“อาจารย์ นิสัยที่พอชอบใครก็เอาของทุบตีนี่ต้องแก้ไขนะคะ เป็นแบบนี้จะไม่มีเพื่อนเอา…”
ตอนที่ 462
เจอกันอีกครั้ง
ถ้าไม่ใช่คนที่ศาสตราจารย์หลิวถูกใจ เธอไม่มีทางทำแบบนี้แน่
“ถ้าเธอกล้ารักษาคนโดยไม่มีใบประกอบโรคศิลปะอีก ฉันจะจัดการเธอ”
“ทราบแล้วค่ะ…อันที่จริงเคสนี้หนูมีความมั่นใจจริงๆนะคะ อีกทั้งยังได้บันทึกอาการอย่างละเอียดด้วย รออาจารย์ตื่นขึ้นมาจะได้เอาไปให้ดู อาจารย์เลิกโกรธเถอะนะคะ คิดเสียว่าเป็นการบ้านหนูไม่ได้เหรอคะ ถ้าอาจารย์ยังไม่หายโกรธก็เปลี่ยนเป็นเอาพจนานุกรมมาตีเลยดีกว่า อย่าเอาสมุดบันทึกเลยนะคะ นอกจากจะตีไม่เจ็บแล้วอาจารย์ยังเหนื่อยด้วย หนูปวดใจนะคะ…”
ศาสตราจารย์หลิวทั้งโกรธทั้งขำ
“กับคนอื่นเธอไม่เห็นทะเล้นแบบนี้ คนในคณะเรียกเธอว่ายังไงนะสาวจอมเย็นชา?”
“อาจารย์ก็ไม่เป็นแบบนี้กับคนอื่นเหมือนกัน คนข้างนอกเรียกอาจารย์ว่าอาจารย์แม่จอมโหด…”
“อะไรนะ?” ศาสตราจารย์หลิวโมโห
เสี่ยวเชี่ยนกระพริบตาปริบๆ ไม่ทันระวังปากเผลอพูดออกไปแล้ว
“นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือหนูต้องไปหาอวี๋ไข่เหล็กแล้ว เคสนี้ยกให้หนูนะคะ เดี๋ยวหนูจัดการเอง”
“เธอ…ช่างเถอะ ฉันเอง”
โรคภาวะผิดปกติทางใจอย่างรุนแรงไม่ถือเป็นโรคใหญ่อะไรมาก แต่เนื่องด้วยบุคคลคนนี้มีสถานะที่ค่อนข้างพิเศษ ถ้าเสี่ยวเชี่ยนจัดการได้ดีก็ดีไป แต่ถ้าผิดพลาดขึ้นมาก็จะเป็นเรื่องใหญ่ ศาสตราจารย์หลิวต้องการปกป้องเสี่ยวเชี่ยนที่ตอนนี้ยังเป็นแค่นักศึกษา ไม่มีใบประกอบโรคศิลปะหากคนนอกรู้จะยิ่งยุ่ง
เดิมเสี่ยวเชี่ยนอยากให้อาจารย์ได้พัก เรื่องแค่นี้เธอใช้วิธีของเธอนิดหน่อยก็จัดการได้แล้ว แต่พอมาคิดๆดู อาจารย์ทำไปเพราะอยากปกป้องเธอ ตอนนี้สถานะของเธอไม่เหมือนกับชาติที่แล้ว ก่อนที่จะได้เป็นดอกเตอร์ทำตัวสงบเสงี่ยมไว้จะดีกว่า
“งั้นเอาแบบนี้ อาจารย์ไปกับหนูได้ไหมคะ? แต่ก็ยังให้หนูเป็นคนจัดการ อาจารย์คอยดูอยู่ข้างๆ ถ้าคิดว่าตรงไหนไม่ถูกก็ช่วยหนูแก้ แบบนี้อาจารย์ก็ไม่เหนื่อย หนูก็ไม่พลาดด้วยต่างไม่เสียเวลากันและกัน”
ข้อเสนอของเสี่ยวเชี่ยนดีมาก ศาสตราจารย์หลิวคิดแล้วก็พยักหน้าอนุญาต
“งั้นก็ได้ ไปกันเถอะ” เสี่ยวเชี่ยนเตรียมจะไปแต่กลับถูกศาสตราจารย์หลิวเรียกไว้
“อย่าแต่งตัวแบบนี้ รอเดี๋ยวนะ เธอกลับไปเปลี่ยนชุดกับฉัน”
ทางนั้นกำลังฝึกซ้อมทหารกันอยู่ หากมีคนแต่งตัวธรรมดาเข้าไปย่อมตกเป็นเป้าสายตา
เสี่ยวเชี่ยนตามศาสตราจารย์หลิวกลับบ้าน แล้วก็เห็นเธอหยิบชุดลายพรางทหารที่ไม่มีเครื่องประดับบ่าออกมาจากในตู้สองชุด เอาชุดหนึ่งให้เสี่ยวเชี่ยน
“อาจารย์มีชุดนี่ได้ไงคะ?”
“ก่อนหน้านี้ฉันมีโปรเจ็คต์ที่ต้องเข้าไปทำในกองทัพ จำเป็นต้องตามสังเกตปฏิกิริยาของทหารอย่างใกล้ชิด ไม่อยากตกเป็นที่สังเกตก็เลยเปลี่ยนชุด เธอรูปร่างพอๆกับฉันใส่นี่แล้วกัน”
ตอนที่อวี๋หมิงหลางเห็นเสี่ยวเชี่ยนมาในชุดลายพรางทหารด้วยมาดสง่างามกระโดดลงจากรถ เขาก็มองตาค้าง
ชุดฝึกตามระเบียบกับชุดฝึกทหารมีความแตกต่างกัน อวี๋หมิงหลางเห็นแบบนี้จนชินแล้วทุกวัน แต่ก็ยังรู้สึกว่าพอเสี่ยวเชี่ยนใส่แล้วทำไมดูดีแบบนี้?
เธอใส่ชุดทหารออกมาแล้วให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม ย่างก้าวที่เธอเดินเข้ามา อวี๋หมิงหลางเหมือนได้ยินเสียงดอกไม้เบ่งบานอยู่ในใจ
บุคลิกที่ดูสง่างามกันหน้าตาอันสดสวยเมื่อมารวมกัน ทำให้สนามสอบที่มีแต่ผู้ชายให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมในทันตา
อวี๋หมิงหลางถึงกับสงสัยว่า เป็นเพราะลายพรางที่อยู่บนตัวของเสี่ยวเชี่ยนดูสวยขึ้นหรือเปล่า เส้นผมที่ถูกรวบซ่อนไว้ใต้หมวกทำให้หน้ายิ่งดูเล็ก ดวงตาเปล่งประกายมาก
เสี่ยวเชี่ยนพอใจมากที่ได้เห็นสายตาอวี๋หมิงหลางที่มองมาเหมือนถูกมนต์สะกด โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมแบบนี้ การปรากฏตัวของเธอทำให้ผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงสุดในที่นี้หลงใหล เธอรู้สึกภูมิใจมาก
สายตาที่มองแบบคนรักปรากฏได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีอวี๋หมิงหลางก็รีบปรับเข้าโหมดทำงานอย่างรวดเร็ว เข้มงวดจริงจัง ดูมีอำนาจ
แต่เสี่ยวเชี่ยนยังคงภาคภูมิใจอยู่
สามารถสะกดเขาได้หนึ่งนาทีก็เพียงพอแล้ว
อวี๋หมิงหลางดึงสายตากลับมาจากเสี่ยวเชี่ยน แล้วพูดด้วยท่าทางที่แตกต่างจากปกติกับศาสตราจารย์หลิว
“น้าหลิวครับ”
“พาอาจารย์ไปที่ศูนย์บัญชาการก่อน” เสี่ยวเชี่ยนกลัวอาจารย์จะเหนื่อย อวี๋หมิงหลางเดินนำศาสตราจารย์หลิวไปที่ศูนย์บัญชาการชั่วคราวของเขา
นี่คือศูนย์บัญชาการที่ใช้ตาข่ายลายพรางสีเขียวสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ภายในมีโต๊ะ แผนที่ ผังจำลองสนามรบ รวมถึงอุปกรณ์สื่อสาร
นอกจากอวี๋หมิงหลางแล้วยังมีเฉียวเจิ้น รวมถึงหัวหน้าของทหารท้องที่ ทหารที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้เป็นคนของเขาทั้งนั้น คนๆนี้ยศสูงกว่าอวี๋หมิงหลางหนึ่งขั้น ไม่รู้ว่าเป็นรองหัวหน้าหน่วยหรือหัวหน้าค่าย
อวี๋หมิงหลางเรียกให้เสี่ยวเชี่ยนกับศาสตราจารย์หลิวนั่งลง คนอื่นๆนั่งล้อมรอบ เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนดำเนินการหลัก เธอหยิบบันทึกประวัติคนไข้ที่เธอเขียนส่งให้อวี๋หมิงหลาง
อวี๋หมิงหลางอ่านอย่างรวดเร็ว เขาเป็นคนที่อ่านไวมาก อ่านเสร็จก็ส่งให้คนที่อยู่ข้างๆ “หัวหน้าหวางลองอ่านดูครับ”
เสี่ยวเชี่ยนเริ่มอธิบาย
“ในฐานะที่เป็นหมอพวกเราควรเก็บเรื่องของคนไข้ไว้เป็นความลับ แต่ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ ฉันกับอาจารย์หลังจากที่ปรึกษากันแล้วจึงตัดสินใจเอาเรื่องนี้มาบอกพวกคุณ ตอนนี้ฉันขอคุยเรื่องหวางย่าเฟยผู้ที่เข้าการทดสอบในครั้งนี้กับพวกคุณ ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ช่วยแพทย์ค่ะ”
“เชิญครับ” อวี๋หมิงหลางมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยสายตาจริงจัง
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องสำคัญกันโดยไม่ใช่ในฐานะคู่รัก รู้สึกได้ว่าเป็นทางการมาก ซึ่งก็ทำให้ทั้งสองคนได้เห็นกันและกันในโหมดทำงาน
หมอกับทหารเดิมก็เป็นอาชีพที่ไม่เหมือนกัน แต่กลับได้มาเจอกันเพราะหวางย่าเฟย
“จากการวินิจฉัยของฉันหวางย่าเฟยเป็นโรคภาวะผิดปกติทางใจอย่างรุนแรง แสดงอาการออกมาตอนที่มีการจำลองการรบเสมือนจริง เช่น เป็นลม หัวใจเต้นแรง กระวนกระวายเป็นต้น” เสี่ยวเชี่ยนอธิบายอาการคนไข้ บรรดาหัวหน้าที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอพากันหน้านิ่วคิ้วขมวด
“หากเขาอยู่กับเป้ายิงจะไม่เกิดอาการแบบนี้ ซึ่งก็หมายความว่า จะต้องเป็นการยิงกับคนเท่านั้นเขาถึงจะมีอาการนี้ค่ะ” ศาสตราจารย์หลิวพูดเสริม
หัวหน้าหวางรู้สึกเสียดาย “รักษาได้ไหมครับ? นี่คือทหารที่ดีที่สุดของผม เดิมก็ไม่ได้อยากให้พวกจอมฉก011 แต่นึกไม่ถึงว่าเขา…”
อวี๋หมิงหลางกับเฉียวเจิ้นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่หัวหน้าหวางเรียกพวกเขาว่าจอมฉก011 เพราะทุกครั้งที่หน่วยรบพิเศษมาคัดเลือกคนก็จะเอาทหารเก่งๆที่พวกเขาฝึกแทบตายไป จะมีอารมณ์ไม่พอใจอยู่บ้างก็เป็นเรื่องปกติ
“การรักษาไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จำเป็นต้องใช้เวลา พวกเราต้องการรับผิดชอบในหน้าที่ถึงได้เอาเรื่องนี้มาบอกพวกคุณ อีกทั้งหวังว่าฉันกับลูกศิษย์จะได้เป็นคนรักษาเขาจนหาย”
ศาสตราจารย์หลิวตอบ
“ช่วยรักษาเขาให้หายด้วยครับ เด็กคนนี้มีความพยายามมาก ตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาเป็นทหาร เนื่องจากสาเหตุเรื่องสุขภาพทำให้เขาต้องไปเป็นทหารกองหนุนอยู่หนึ่งปี แต่มีความก้าวหน้ามาก ทำผลงานได้ดีในตำแหน่งงานที่ธรรมดา จากนั้นถึงได้ถูกย้ายไปหน่วยรบ พรสวรรค์ด้านการยิงปืนของเขาสุดยอดมากๆ ถ้ายิงปืนไม่ได้ก็น่าเสียดายมากครับ”
หัวหน้าหวางก็เป็นคนที่รักลูกน้องคนหนึ่ง คำพูดของเขาล้วนมาจากใจจริง “เรื่องค่าใช้จ่ายผมจะทำเรื่องให้เบื้องบนพิจารณา ขอให้พวกคุณรักษาเขาอย่างเต็มที่เลยนะครับ”
“ค่าใช้จ่ายไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ ปัญหาในตอนนี้ก็คือ การสอบในครั้งนี้ของหวางย่าเฟยฉันหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากพวกคุณ”
“ผมจะให้เขาถอนตัวทันที แล้วให้เขาไปรับการรักษาจากพวกคุณเต็มตัว” หัวหน้าหวางพูด กว่าจะมีนักแม่นปืนเก่งๆแบบนี้ในหน่วยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องจบชีวิตการเป็นทหารลง
เสี่ยวเชี่ยนกับศาสตราจารย์หลิวมองหน้ากัน ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้าให้เสี่ยวเชี่ยน
“ไม่ค่ะ ไม่จำเป็นต้องถอนตัว” คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้ทุกคนหันมามอง
ตอนที่ 463
พูดคุยเป็นการส่วนตัว
อวี๋หมิงหลางมองเสี่ยวเชี่ยน เขาสัมผัสได้ว่าสายตาของคนอื่นก็มองไปที่เสี่ยวเชี่ยน ในขณะที่กำลังตั้งใจฟังเธอพูดอยู่นั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะแบ่งสมาธิออกมาเล็กน้อย
ท่าทางจริงจังของลูกเชี่ยนมีแรงดึงดูดมาก ถึงเธอจะมาในสถานะผู้ช่วยหมอ แต่บุคลิกท่าทางไม่แพ้ให้กับอาจารย์เลยสักนิด ท่าทางนิ่ง พูดอะไรออกมาแค่นิดหน่อยก็เป็นที่สนใจ ให้ความรู้สึกมีความเป็นมืออาชีพสูง
“จากการที่พวกเราได้ปรึกษากันแล้ว พวกเราคิดว่า ไม่มีความจำเป็นต้องให้หวางย่าเฟยถอนตัวจากการทดสอบครั้งนี้ เพราะจากการวินิจฉัยของฉัน มีความเป็นไปได้สูงว่าตอนเด็กๆเขาอาจจะไปเห็นเหตุการณ์ยิงปืนเข้า ทำให้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขา ถึงได้เป็นโรคภาวะผิดปกติทางใจอย่างรุนแรงแอบแฝงอยู่ แผนการรักษาที่พวกเราวางไว้อาศัยการทดสอบครั้งนี้เป็นสถานการณ์หลัก ปูพื้นฐานเรื่องราวแนวเดียวกับตอนนั้น เพื่อช่วยให้เขาตามหาช่วงที่เขาเป็นทุกข์ที่สุด แบบนั้นการรักษาที่เหลือก็จะง่ายแล้วล่ะค่ะ”
“รักษาจากสถานการณ์จริง?” หัวหน้าหวางไม่เคยได้ยินมาก่อน ศาสตราจารย์หลิวจึงอธิบายให้ฟังว่าอะไรคือการรักษาจากสถานการณ์จริง
ในขณะที่ศาสตราจารย์หลิวอธิบายอยู่นั้น อวี๋หมิงหลางก็เลิ่กคิ้วพลางมองเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนขยิบตาให้
ใช่ ถูกต้อง ก็copyวิธีนายนั่นแหละ~
อวี๋หมิงหลางก็ใช้วิธีนี้มาจัดการปมในใจของหลิวลี่ ส่วนเสี่ยวเชี่ยนจะมาแบบมืออาชีพหน่อย แต่ไอเดียนี้มาจากอวี๋หมิงหลาง วิธีของเธอได้รับการยอมรับจากศาสตราจารย์หลิว
ศาสตราจารย์หลิวพูดจบ หัวหน้าหวางก็พยักหน้า “พวกคุณเป็นมืออาชีพงั้นก็เอาตามคุณว่า ชื่อเสียงของศาสตราจารย์หลิวผมเคยได้ยินมานานแล้ว สมกับที่ร่ำลือจริงๆครับ”
ศาสตราจารย์หลิวมีชื่อเสียงมากในเมืองนี้ ปัญหาจิตเวชที่มีความซับซ้อนเธอมีวิธีจัดการที่เก่ง
“ครั้งนี้ฉันเป็นแค่ผู้ช่วย คนที่ทำการวินิจฉัยจริงๆคือเด็กคนนี้ที่อยู่ข้างๆฉันค่ะ” ศาสตราจารย์หลิวมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความพอใจ เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้าด้วยความมั่นใจให้ทุกคน
“เขาเหรอครับ?” หัวหน้าหวางมองเสี่ยวเชี่ยนอย่างอึ้งๆ เด็กคนนี้ดูยังเด็กอยู่เลยนะ
“ค่ะ นี่คือเฉินเสี่ยวเชี่ยน”
“อายุเท่าไรครับ?” หัวหน้าหวางพอจะเข้าใจเรื่องระบบการเรียนจิตแพทย์อยู่บ้าง ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องระดับชั้นการศึกษามากกว่าการเรียนแพทย์ทั่วไป ปกติต้องจบปริญญาโทขึ้นไป ดังนั้นการจะได้ตรวจคนไข้เดี่ยวๆต้องใช้เวลามาก เสี่ยวเชี่ยนดูแล้วยังเด็กมากจริงๆ
“สิบเก้าครับ อีกห้าเดือนแปดวันก็จะครบยี่สิบ” อวี๋หมิงหลางมองเสี่ยเวชี่ยนที่สายตาเต็มไปด้วยรัก พลางแนะนำเธออย่างภูมิใจ
เสี่ยวเชี่ยนยิ้มให้เขาเล็กน้อย เขาจำได้แม่นจริงๆ
หัวหน้าหวางตกใจ “เด็กขนาดนี้เลย เด็กรุ่นใหม่นี่เก่งขึ้นทุกวัน สามารถติดตามศาสตราจารย์หลิวออกมาได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่…เอ๊ะเดี๋ยวนะ ทำไมหัวหน้าอวี๋ถึงรู้ดีจังล่ะ?”
อวี๋หมิงหลางยิ้มแบบมีเลศนัยบวกกับภูมิใจ นี่คือผู้หญิงของเขา เขาจะไม่รู้ดีได้ยังไง?
“หมอเฉินคนนี้กับหัวหน้าของพวกเราเป็น…” เฉียวเจิ้นอยากจะแนะนำเสี่ยวเชี่ยน แต่เสี่ยวเชี่ยนพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมทางกัน นี่ก็เกือบได้นั่งรถคันเดียวกันมาแล้วค่ะ”
คนอื่นฟังไม่เข้าใจ แต่อวี๋หมิงหลางเข้าใจได้ทันที หน้าที่เดิมทีเคร่งขรึม พอเสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนี้ก็กลายเป็นสีแดงหูแดง
ลูกเชี่ยน แสบนักนะ
เสี่ยวเชี่ยนขยิบตา ถูกต้อง ก็แสบไงล่ะ
ได้แกล้งทหารหน้าเข้มต่อหน้าคนเยอะๆแบบนี้ น่าภูมิใจสุดๆ ปกติไม่มีโอกาสแบบนี้หรอก โอกาสหายากแบบนี้ไม่แกล้งเสี่ยวเฉียงมาดขรึมในใจคงเสียดายแย่
เสี่ยวเชี่ยนพูดออกมาแบบนี้อวี๋หมิงหลางรู้สึกเหนือความคาดหมาย เขาพูดไม่ออก ทำได้แค่มองเสี่ยวเชี่ยนอย่างจนปัญญา ยัยตัวแสบ รอ ‘ขับรถ’ ครั้งหน้าก่อนเถอะจะเอาให้เจ็บแสบเลย…คอยดู
ความโรแมนติคเล็กๆที่คนอื่นไม่เข้าใจมีแค่คู่รักคู่นี้ที่เข้าใจ ศาสตราจารย์หลิวกับเฉียวเจิ้นคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอวี๋หมิงหลาง ส่วนหัวหน้าหวางก็เข้าใจตามนั้น
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเพื่อนร่วมทาง พวกคุณเคยนั่งรถคันเดียวกันเหรอครับ?”
ยิ่งถามยิ่งไปกันใหญ่ แต่ประธานเชี่ยนเป็นคนที่ใจเย็น อวี๋หมิงหลางก็เป็นคนที่หน้าหนาในเลเวลเหนือมนุษย์ ดังนั้นทั้งสองคนจึงได้แต่ยิ้มๆ ทำให้คนอื่นคิดว่าคงเป็นแค่เพื่อนกัน
อวี๋หมิงหลางถูกเสี่ยวเชี่ยนแกล้งจนเสียการทรงตัวไปแค่ไม่กี่วินาที พอตั้งตัวได้เขาก็รีบว่าตามเสี่ยวเชี่ยน
“ใช่ครับ พวกเราเคยเกือบได้ขับรถไปดูใบเมเปิ้ลด้วยกัน”
“อ้อ จริงด้วย ค่ายของพวกเราที่นี่ป่าเมเปิ้ลสวยมาก รอฤดูใบไม้ร่วงหัวหน้าอวี๋กับหมอเฉินมาที่นี่ ผมจะรับหน้าที่เป็นคนพาเที่ยวให้เอง” หัวหน้าหวางพูดด้วยความกระตือรือร้น สายตาของเขาที่มองเสี่ยวเชี่ยนนอกจากความชื่นชมแล้ว ยังมีความรู้สึกเป็นมิตรมอบให้
“ไม่ต้องหรอกครับ อันนี้ไปสามคนไม่ได้” อวี๋หมิงหลางพูดจบก็รู้สึกได้ถึงแรงถีบของเสี่ยวเชี่ยนจากใต้โต๊ะ
หน้าด้าน
อวี๋หมิงหลางหรี่ตามองเธอ ตัวเองเริ่มก่อนชัดๆ เขาก็แค่ว่าไปตามน้ำ
เฉียวเจิ้นไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจแอบอ้วกเบาๆ อยู่ไม่ได้แล้วที่นี่ ถึงกับมาแสดงความรักกันถึงในค่ายทหาร โชคดีที่เขามีน้องเสี่ยวยวี่ ไม่อย่างนั้นได้ถูกOneกับผู้หญิงแกร่งของเขาทำเลี่ยนตายแน่ๆ
ลำดับต่อมาเสี่ยวเชี่ยนพูดรายละเอียดแผนการรักษาของเธอกับศาสตราจารย์หลิวให้ทุกคนฟัง มีจุดไหนบ้างที่ต้องให้พวกเขาร่วมมือ พออธิบายจบเสี่ยวเชี่ยนก็พูดกับอวี๋หมิงหลาง
“ในฐานะที่เป็นหมอ ฉันมีอะไรจะขอร้องเป็นการส่วนตัว อยากคุยกับหัวหน้าอวี๋กับรองหัวหน้าเฉียว ไม่ทราบว่าสะดวกให้เวลาฉันสักหน่อยไหมคะ?”
“ได้ครับ”
หัวหน้าหวางเห็นแบบนั้นจึงออกไป ศาสตราจารย์หลิวก็ตามออกไปด้วย
เฉียวเจิ้นยืนอยู่ที่เดิม เอามือกอดอกรอฟังเสี่ยวเชี่ยนพูด รู้สึกได้ถึงสายตาของอวี๋หมิงหลางที่ถลึงมองมา เฉียวเจิ้นยังไม่รู้สึกตัว ทำไมOneต้องจ้องเขาแบบนั้นด้วย?
กขคนี่…อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าความฉลาดของเฉียวเจิ้นอาจจะไหลไปกับของเหลวเมื่อคืนแล้ว แค่นี้ยังไม่เข้าใจ?
“ตาเหยี่ยว นายไปดูสถานการณ์ความพร้อมของสนามทดสอบถัดไปหน่อย”
“ไม่ต้องดูหรอก ดูไปสามรอบแล้ว” วันนี้ไม่รู้เฉียวเจิ้นเป็นอะไร จนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจอีก
“ไปดูอีก ดูไม่เสร็จไม่ต้องกลับมา” อวี๋หมิงหลางเกิดความรู้สึกอยากอัดเขาอีกรอบแล้ว
ในที่สุดเฉียวเจิ้นก็เข้าใจ เอามือตีหัวตัวเอง “สมงสมองฉันนี่ ฉันไปละ พวกนายจะแสดงความรักกันยังไงก็ตามสบายเลยนะ แต่ขอบอกนิดนึง ศูนย์บัญชาการนี่ค่อนข้างโปร่ง Oneนายจะจูบน่ะได้อยู่ แต่อย่าให้มันเกินไป เดี๋ยวเสี่ยวเชี่ยนจะเป็นหวัด แล้วก็อย่าให้คนอื่นเขามาเห็นสงครามอันดุเดือดเข้าล่ะ”
พูดต่อไม่ได้แล้ว อวี๋หมิงหลางกำลังเตรียมจะพุ่งเข้ามาอัดแล้ว
เฉียวเจิ้นเผ่นออกไปเรียบร้อย เสี่ยวเชี่ยนหมดคำจะพูด
“ฉันตั้งใจจะคุยกับนายจริงๆ นายไล่เขาไปทำไม?”
เดิมก็ไม่ได้มีอะไรอยู่แล้ว พอเขาทำแบบนี้สถานการณ์ยิ่งคลุมเครือ ทั้งๆที่เธอต้องการคุยเรื่องสำคัญกับอวี๋หมิงหลางด้วยสถานะหมอแค่นั้น
“มีเรื่องอะไรคุณคุยกับผมแล้วผมไปบอกเขาก็เหมือนกัน” ถึงแม้น้ำเสียงของอวี๋หมิงหลางจะฟังดูจริงจัง แต่สายตาไม่เหมือนเมื่อครู่
เมื่อครู่เขาอยู่ในสถานะหัวหน้า ตอนนี้คือผู้ชายที่กำลังมองผู้หญิง แถมยังเป็นสายตาของผู้ชายที่จอดรถแวะกินเนื้อตั้งหลายครั้งแต่ยังไม่สำเร็จ
เสี่ยวเชี่ยนหัวใจเต้นแรงเพราะสายตาของเขา รู้ว่าตาทึ่มนี่จงใจส่งสายตาหว่านเสน่ห์อยากจะแก้แค้นที่เมื่อครู่เธอ ‘ขับรถ’ โดยไม่มีการแจ้งเตือนก่อน
“ฉันอยากคุยกับนายเรื่องหลังจากที่หวางย่าเฟยทดสอบเสร็จ นี่เป็นคำขอของจิตแพทย์คนหนึ่งที่ต้องการขอร้องหัวหน้าหน่วยย่อยของทหารหน่วยรบพิเศษเป็นการส่วนตัว…”
ตอนที่ 464
ประธานเชี่ยนเล่นซน
เสี่ยวเชี่ยนพูดความต้องการของเธอในฐานะหมอ
อวี๋หมิงหลางหลังจากฟังเสี่ยวเชี่ยนจบก็ไม่ได้ตอบว่าโอเคหรือไม่โอเค แค่จ้องเสี่ยวเชี่ยนด้วยสายตาจริงจังอยู่อย่างนั้น
จ้องเสียจนเสี่ยวเชี่ยนแอบหวั่นใจ ภาพลักษณ์ของอวี๋หมิงหลางในความทรงจำของเธอส่วนใหญ่จะเป็นความทะเล้นหน้าด้านในแบบต่างๆ ลูกไม้แพรวพราว คล้ายกับเด็กที่ไม่รู้จักโต
แต่อวี๋หมิงหลางในเวลานี้ให้ความรู้สึกที่ยากจะคาดเดากับเธอ
บุคลิกการเป็นทหารของเขาดูน่ายำเกรงอย่างไม่ต้องสงสัย ฉลาด เด็ดเดี่ยว มีความคิดแบบคนเป็นผู้ใหญ่ มีเสน่ห์ดึงดูดมาก
การมาเยี่ยมในค่ายครั้งนี้เธอมาได้ถูกเวลามาก
ได้มาสัมผัสกับอีกด้านของอวี๋หมิงหลาง เสี่ยวเชี่ยนจดจำภาพของอวี๋หมิงหลางในตอนนี้ไว้ในใจ ชาติที่แล้วเธอชอบเขาก็เพราะเขาดูจริงจัง แสดงความโกรธได้โดยไม่เสียบุคลิก ที่แท้เขาก็ไม่เคยเปลี่ยน ได้มาลองสัมผัสบ้างแบบนี้ก็รู้สึกดีไม่เบา
“ผมรับปากคุณก็ได้” อวี๋หมิงหลางยอมตกลงในสิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนขอ
“ไม่ต้องขออนุญาตเบื้องบนก่อนเหรอ?”
“เรื่องในหน่วยคำพูดของผมเด็ดขาดสุด ผมยอมทำตามที่คุณขอได้ สิ่งสำคัญคือ อาการของเขาจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่องานของเขาในวันหน้า อีกทั้งสภาพจิตใจของเขาก็ต้องแข็งแกร่งด้วย”
เวลานี้อวี๋หมิงหลางไม่ได้พูดกับเสี่ยวเชี่ยนในฐานะคนเป็นแฟน เขาพูดในฐานะหัวหน้าทหารที่คำนึงถึงปัญหาทุกด้าน
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เข้าใจสิ่งที่อวี๋หมิงหลางต้องการ
“โรคภาวะผิดปกติทางใจอย่างรุนแรงไม่ใช่โรคใหญ่อะไร ฉันมีความมั่นใจที่จะพาเขาก้าวผ่านไปได้ ส่วนเรื่องที่ว่าคนที่ชื่อหวางย่าเฟยนี้จะสามารถรักษาสภาพจิตใจให้เป็นปกติในอนาคตหนึ่งปีข้างหน้าได้หรือเปล่านั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเขา ถ้ามีอะไรผิดพลาดนายก็ว่าไปตามระเบียบ สิ่งที่ฉันขอเมื่อกี้เป็นเพียงคำแนะนำเล็กๆในมุมของหมอที่ไม่อยากให้ประเทศเราสูญเสียคนเก่งๆ”
“ได้”
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงอวี๋หมิงหลางจะเสียดายในความเก่ง แต่ก็ไม่มีทางปล่อยปละละเลย
“คุณทำเพื่อเขามากขนาดนี้ อยากให้ผมบอกเขาเพื่อที่เขาจะได้มาขอบคุณคุณไหม? ยังไงช่วงเวลาหลังจากนี้เขาคงจะเกลียดคุณ เพราะการปรากฏตัวของคุณทำให้เขาเสียโอกาสเข้าร่วม011ไปชั่วคราว”
อวี๋หมิงหลางเป็นห่วงผู้หญิงของตัวเองมาก เรื่องนี้เธอจัดการได้ดีไม่มีช่องโหว่ แต่คนเดียวที่อาจต้องถูกเกลียดก็คงเป็นเธอ
หวางย่าเฟยจะต้องเกลียดเสี่ยวเชี่ยนมากแน่นอน
“ถ้าเขาควบคุมสัตว์ร้ายที่อยู่ในใจไม่ได้ ฉันทำแบบนั้นไปก็เท่ากับช่วยให้พวกนายได้เห็นธาตุแท้ของคน ถ้าเขาควบคุมอารมณ์ที่อยู่ในใจได้ วันหน้านายก็จะได้ผู้ช่วยเก่งๆเพิ่มเข้ามา ส่วนเขาจะคิดยังไงกับฉันก็ช่าง ฉันถูกคนอื่นเรียกว่าผู้หญิงเลวไม่ใช่แค่เรื่องวันสองวัน”
เสี่ยวเชี่ยนทำแบบนั้นก็เพราะหน่วยที่หวางย่าเฟยต้องการเข้าเป็นหน่วยของผู้ชายของเธอ เธอไม่มีทางปล่อยให้เกิดอะไรที่เป็นภัยต่อผู้ชายของเธอภายใต้ความสามารถที่เธอควบคุมได้
อวี๋หมิงหลางรู้สึกเลือดร้อนขึ้นมากับคำพูดของเธอ คนอื่นไม่เข้าใจเธอ แต่เขาเข้าใจ
“คุณเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในใจผม ไม่มีหนึ่งใน” คำพูดจากใจจริงของเขาทำให้ใบหน้าเสี่ยวเชี่ยนจากเดิมที่เรียบเฉยกลายเป็นแดงระเรื่อขึ้นมา
เสียวเหม่ยเปลี่ยนไปไม่น้อยจริงๆเพื่อเขา
เธอใช้วิธีในแบบของตัวเองแสดงความรู้สึกที่มีต่อเขาอีกแล้ว
อวี๋หมิงหลางอดทนต่อความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจไม่ไหว เขาเดินเข้าไปกอดเธอแล้วพูด “ขอบคุณนะ ขอโทษด้วย”
“หืม?” สองคำนี้ทำไมเอามาพูดด้วยกัน?
“ขอบคุณในสิ่งที่คุณทำให้ผมทุกอย่าง ขอโทษที่ก่อนหน้านี้ผมพูดว่าคุณไม่แคร์ผม เพราะตอนคุณเขียนจดหมายหาผม ไม่ได้ใช้คำพูดสวยๆอะไรมากมาย ผมผิดไปแล้ว ขอโทษนะเสียวเหม่ย ผมมีความสุขมากที่ตัวเองได้ครอบครองผู้หญิงที่เก่งแบบนี้”
เสียวเหม่ยของเขาเข้าใจทุกอย่างดีจนทำให้เขาเป็นห่วง
เธอไม่ค่อยใช้คำพูดบรรยายความรู้สึกตัวเองเท่าไร แต่สิ่งที่เธอทำล้วนทำเพื่อเขา
เสี่ยวเชี่ยนถูกเขากอดจนรู้สึกอบอุ่นใจ สิ่งที่เสียสละไปได้รับการตอบแทน นี่คือความสุขอย่างหนึ่ง เธอไม่ต้องการให้ใครมาเข้าใจ ทุกคนจะบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงเลวก็ไม่เป็นไร
ขอแค่เขาเข้าใจเป็นพอ
ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่กอดแน่นๆก็พอ
ถ้าไม่ติดว่าสถานที่ไม่เหมาะ อวี๋หมิงหลางอยากจะทำเรื่องที่ตอนอยู่โรงแรมทำไม่สำเร็จปิดจ๊อบมันเสียที่นี่ ตอนนี้บรรยากาศดีมาก ผู้หญิงของเขาอยู่ในอ้อมอกอย่างว่าง่าย ถ้ามีชุดเครื่องแบบยั่วยวนอะไรแนวๆนั้น ก็จะจัดการทำสงครามอันเร้าใจท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ข้างผังจำลองสนามรบนี่แหละ คงจะดีไม่น้อย
เสียงรถติดอาวุธของทหารดังมาอยู่ไม่ไกล ได้ฉุดให้หนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในภวังค์แห่งรักกลับมาสู่โลกความจริง
อวี๋หมิงหลางปล่อยเธออย่างอิดออดแล้วบ่นกับผังจำลองสนามรบ
“รอถึงตอนทำบ้านก่อนเถอะ จะสร้างโต๊ะกับผังจำลองสนามรบแบบนี้เป๊ะๆเลยคอยดู จะต้องสานฝัน ‘ท่องเที่ยวในแดนมหัศจรรย์’ ชดเชยวันนี้ให้ได้”
ทิวเขาที่อยู่บนผังจำลอง ทรวดทรงอันสวยงามของเธอ หากมาอยู่ด้วยกันได้ ขอโต๊ะพับที่ใช้ในสนามอีกตัว ไม่ต้องหรอกเตียง ใช้โต๊ะก็ได้ รับรองแจ่ม
อวี๋หมิงหลางขับรถอย่างเงียบๆอยู่ในสมองของตัวเอง
ถึงแม้เสี่ยวเชี่ยนจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาคิดอะไร แต่จากแววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ของเขานั้น ดูเหมือนเธอจะได้สัมผัสกับความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง
เธอรู้สึกว่าตัวเองน่าจะกำไรแล้ว ตอนนี้เขามีทั้งความสุขุมในแบบชาติที่แล้ว ทั้งความซุกซนของเด็กผู้ชาย สองนิสัยในตัวคนๆเดียวที่ขัดแย้งกันนี้กลับดึงดูดความสนใจของเธอ
อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนอยากอยู่ต่อ ฮอร์โมนเสน่ห์ของอวี๋หมิงหลางยามอยู่ในค่ายแทบจะทะลุปรอท ดึงดูดสายตามาก แต่เธอรู้ว่าอวี๋หมิงหลางยังมีงานอีกมากต้องทำ หลังจากที่ตกลงทุกอย่างเสร็จแล้วเธอกับศาสตราจารย์หลิวก็กลับ นัดกันไว้ว่าหลังจากการทดสอบเสร็จสิ้นจะมาจัดการเรื่องที่เหลือ
อวี๋หมิงหลางอยากไปส่งเสี่ยวเชี่ยน แต่เขายังมีงานอีกมาก จึงทำได้แค่ให้คนไปส่งแทน
คนๆนั้นก็คือหัวหน้าหวาง
ไปส่งเสี่ยวเชี่ยนกับศาสตราจารย์หลิวขึ้นรถ อยู่ๆหัวหน้าหวางก็เรียกเสี่ยวเชี่ยน
“เสี่ยวเฉิน หนูมีแฟนหรือยัง?”
“หา?”
เสี่ยวเชี่ยนอึ้ง
“คืออย่างนี้นะ ลูกชายลุงอายุพอๆกับหนูเลย เรียนอยู่ที่เดียวกันด้วย หนุ่มๆสาวๆเป็นเพื่อนกันไว้ก็ดี หนูคิดว่างั้นไหม?”
หัวหน้าหวางยิ่งมองเสี่ยวเชี่ยนก็ยิ่งพอใจ อายุยังน้อยแต่อนาคตไหล หน้าตาบุคลิกก็ดี เลยอยากถามให้ลูกชาย
ศาสตราจารย์หลิวขึ้นรถไปแล้ว จึงไม่ได้ยินบทสนทนานี้ เดิมเสี่ยวเชี่ยนอยากบอกว่าไม่มีแฟนแต่มีคู่หมั้น แต่หัวหน้าหวางก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ลุงถามศาสตราจารย์หลิวแล้วนะ ดูเหมือนครอบครัวหนูจะฐานะปานกลาง แต่ครอบครัวเราไม่ได้มองเรื่องฐานะ ถ้าหนูโอเคลุงจะไปบอกลูกลุง แล้วจะได้นัดเจอกัน”
“……” คำพูดที่ทำเหมือนเห็นใจแบบนี้น่าโมโหจริงๆ
เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าหัวหน้าหวางคนนี้เป็นทหารมานานถึงได้พูดจาตรงไปตรงมาไม่ต้องคิดหลายตลบ คงไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่เธอฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยโอเค
เสี่ยวเชี่ยนตัดสินใจลองแกล้งเล่นดู “เรื่องนี้ถามหนูไม่ได้ค่ะต้องไปถามหัวหน้าอวี๋ ถ้าเขาโอเคหนูก็สะดวกหมดค่ะ”
พูดจบก็ไม่สนท่าทีของหัวหน้าหวางเดินขึ้นรถทันที
ไปถามสิ แค่ผู้ชายวัยกลางคนตัวแค่นี้ส่งไปให้เสี่ยวเฉียงจัดการซะ ฉายาราชาจอมหึงของเสี่ยวเฉียงไม่ใช่เรียกกันเล่นๆนะ
เสี่ยวเชี่ยนคิดแบบร้ายๆ
ตอนที่ 465
คู่รักที่แสนรู้ใจ
พอเสี่ยวเชี่ยนออกไปแล้ว หัวหน้าหวางก็ยังไม่เข้าใจ
“ทำไมต้องไปถามจอมฉก011ด้วย?”
ที่นี่อวี๋หมิงหลางมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าไร ถ้าไม่ติดว่าเบื้องบนบังคับให้ต้องมาร่วมงานกัน หัวหน้าหวางแทบอยากจะถีบอวี๋หมิงหลางออกไป
คนพวกนี้เป็นพวกเลวที่ชอบแย่ง มาแต่ละครั้งไม่เคยมีเรื่องดี ทหารที่พวกเขาเพิ่งจะฝึกกันมาอย่างยากลำบาก พอหน่วยรบพิเศษมาก็เอาตัวไปง่ายๆอย่างกับมาตัดใบกุยช่าย แล้วจะไม่ให้เกลียดได้ยังไง
แต่ทำไมหมอเฉินต้องให้เขาไปถามอวี๋หมิงหลางด้วย?
“อ้อ เข้าใจแล้ว จะต้องเป็นเพราะเขินแน่ๆ หัวหน้าอวี๋เคยเป็นเพื่อนร่วมทางของเธอ น่าจะมีวิธีติดต่อแหละมั้ง?” หัวหน้าหวางดวงตาเป็นประกาย รีบไปหาอวี๋หมิงหลางอย่างอารมณ์ดี
อวี๋หมิงหลางรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ไปส่งเสี่ยวเชี่ยนด้วยตัวเอง แต่เขามีภารกิจ จะทำเสียงานไม่ได้ ดังนั้นสีหน้าจึงเคร่งขรึม ไม่สบอารมณ์เท่าไร
ตอนกินข้าวกลางวัน หัวหน้าอวี๋เดินถือกล่องข้าวเข้ามาหา
อยู่กันในป่าทุกอย่างเอาแบบง่ายๆ แค่ข้าวกล่องธรรมดาๆ อวี๋หมิงหลางกำลังนั่งถือกล่องกินข้าว ทันใดนั้นก็เห็นหัวหน้าหวางเดินหน้ายิ้มแป้นเข้ามา
ตาแก่นี่ไม่เคยพูดจาหน้ายิ้มแย้มกับเขาเลยสักครั้ง อยู่ๆอะไรเข้าสิง? อวี๋หมิงหลางหรี่ตา โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี มันต้องมีจุดประสงค์แน่ๆ
“หัวหน้าอวี๋ อาหารที่นี่พอกินได้หรือเปล่า มาตรฐานคงไม่สูงเท่าอาหารของหน่วย011ใช่ไหม?” หัวหน้าหวางอยากตีสนิท แต่พอเอ่ยปากก็ยังแอบจะแขวะนิดแขวะหน่อยไม่ได้
“ครับ พอกินได้ แค่มันจืดไปหน่อย” อวี๋หมิงหลางตอบแบบไม่ใส่ใจ แต่หยั่งเชิงดูท่าที
หัวหน้าหวางเดิมก็ไม่ชอบอวี๋หมิงหลางอยู่แล้ว ทุกครั้งที่มาทำตัววางมาดใหญ่โต แต่พอนึกได้ว่ามีเรื่องจะขอร้องก็ระงับความโกรธเอาไว้ แล้วฉีกยิ้มพลางถามต่อ
“หัวหน้าอวี๋มีวิธีติดต่อหมอเสี่ยวเฉินไหม?”
“ใครนะ?”
“เฉินเสี่ยวเชี่ยนไง เด็กคนนี้ใช้ได้เลยนะ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกผม เรียนมหาลัยเดียวกันด้วย วัยรุ่นให้เขาได้ทำความรู้จักกันก็ไม่เลวเลยนะ”
หัหวน้าหวางพูดจบ เฉียวเจิ้นที่กินไปฟังไปเกือบกัดตะเกียบหัก
นี่จะทำอะไร? คิดจะยุคู่หมั้นเขาให้แยกกันงั้นเหรอ?
นี่คือทหารที่อวี๋หมิงหลางไม่ชอบมาหลายปี มีความแค้นส่วนตัว อยากจะเล่นลูกไม้เอาแฟนเขาไปงั้นเหรอ?
เฉียวเจิ้นแอบมองอวี๋หมิงหลาง ไอ๊หยา Oneยิ้ม รอยยิ้มอมหิตนั่น ทุกครั้งที่Oneยิ้มแบบนั้นไม่เคยมีเรื่องดีเกิดขึ้น
โดยทั่วไป จะมีแค่ตอนวางแผนเล่นงานคนอื่นเท่านั้นอวี๋หมิงหลางถึงจะเป็นแบบนี้
เฉียวเจิ้นเริ่มสงสารหัวหน้าหวางแล้ว
“ให้วัยรุ่นได้ทำความรู้จักกันงั้นเหรอ?” อวี๋หมิงกัดฟันพูดคำว่าทำความรู้จัก แต่หัวหน้าหวางไม่ทันได้สังเกต
“ใช่ๆ อายุก็เหมาะสมกัน”
อายุ หึหึ แทงเข้าจุดเจ็บปวดของอวี๋หมิงหลางอีกแล้ว
ตอนนั้นเขาเกือบสูญเสียเสียวเหม่ยไปเพียงเพราะอายุที่ต่างกันหลายปี หัวหน้าหวางยังจะงัดเหตุผลนี้ขึ้นมา อวี๋หมิงหลางไม่โกรธก็แปลกแล้ว
“เหล่าหวาง อยู่ดีๆทำไมถึงจ้องอยากได้ผู้หญิงของคนอื่นล่ะ?”
“อะไรนะ?” เหล่าหวางไม่เข้าใจ
“ผมหมายความว่า อายุไม่ใช่ปัญหา อย่างเช่นพวกเรา ถึงอายุจะต่างกันขนาดนี้ แต่ก็คุยกันได้ ไม่เชื่อลองดูข้างนอกสิ…”
เหล่าหวางที่อยู่ข้างๆมองไปตามมืออวี๋หมิงหลางชี้ อวี๋หมิงหลางฉวยโอกาสหยิบกระปุกเกลือมาสาดลงในกล่องข้าว เทลงไปครึ่งขวด จากนั้นก็เอามือคลุกๆให้ทั่ว
น่าเสียดายจังที่ตัวเองเป็นคนรักสะอาด หลังเข้าห้องน้ำต้องล้างมือ
ตอนที่หัวหน้าหวางหันกลับมาอวี๋หมิงหลางได้ชักมือกลับแล้วจากนั้นก็เอามือที่เมื่อกี้ไปคลุกข้าวเช็ดไปที่ไหล่ของเหล่าหวางอย่างเนียนๆ
คราบน้ำมันอะไรทั้งหลายแหล่อยู่บนเสื้อเหล่าหวางหมดแล้ว
แต่เหล่าหวางที่นั่งอยู่ข้างๆยังไม่รู้ตัว เขามองอวี๋หมิงหลางอย่างสงสัย
“เมื่อกี้ผมดูผิด กินข้าวเถอะ…” อวี๋หมิงหลางพูดพลาง เอามือเช็ดจนสะอาด
เฉียวเจิ้นนั่งเอาข้าวยัดเข้าปากอย่างเงียบๆ เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปห้ามหาเรื่องอวี๋หมิงหลาง วิธีนี้นี่มันแสบมาก
หัวหน้าหวางวกกลับเข้ามาคุยเรื่องเดิม “วิธีติดต่อเสี่ยวเฉิน…”
“วิธีติดต่อเขาคือ…” อวี๋หมิงหลางพูดตัวเลขออกมา เฉียวเจิ้นฟังแล้วก็มองบน
นี่มันเบอร์Oneไม่ใช่เหรอ?
เหล่าหวางถูกต้มตั้งแต่ต้นจนจบ ยังตั้งใจจดเสียด้วย อวี๋หมิงหลางหลอกต้มคนเสร็จก็ออกไป เหล่าหวางจดเบอร์ใส่กระดาษ แล้วเอาวางบนโต๊ะด้วยความพอใจ ยกกล่องข้าวขึ้นมา กินไปก็สงสัยไป
“เบอร์นี่ทำไมมันแปลกๆ…ทำไมคล้ายเบอร์ของกองทัพ?” เบอร์มันไม่เหมือนเบอร์ทั่วไป
จะเหมือนได้ยังไง เฉียวเจิ้นล่ะยอมเลยจริงๆ มิน่าอายุเท่านี้ตำแหน่งยังไปไม่ถึงไหน สูงกว่าOneแค่ขั้นเดียว สมองแบบนี้จะไปทันใคร
เบอร์ที่Oneให้เป็นเบอร์ภายใน แค่นี้ยังมองไม่ออกอีก…
“นึกออกแล้ว นี่มันเบอร์ภายในของหน่วยย่อยโลนวูล์ฟหน่วย011ไม่ใช่เหรอ?” ในที่สุดเหล่าหวางก็มองออก จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ารสชาติในปากมันเค็มมาก
แหวะ
เฉียวเจิ้นรีบไปยกกระติกน้ำเพียงกระติกเดียวที่อยู่บนโต๊ะมาอย่างรวดเร็วแล้วเงยหน้ากระดกลงคอหมด ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยคู่ใจของอวี๋หมิงหลางจะไม่ให้ความร่วมมือได้ยังไง?
เรื่องซ้ำเติมน่ะ ขอให้บอก
หัวหน้าหวางเค็มจนแทบบ้า อีกทั้งยังหาน้ำกินไม่ได้ รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย
เฉียวเจิ้นดื่มด่ำกับสีหน้าของเหล่าหวางแทนอวี๋หมิงหลาง ฉวยโอกาสตอนที่เหล่าหวางกำลังเค็มจัดเอามือลงไปคลุกข้าวในกล่องเขา จากนั้นก็ยืนขึ้น ฝากรอยมือไว้บนไหล่อีกข้างของเหล่าหวางที่ไม่ได้ถูกอวี๋หมิงหลางเช็ด
“หัวหน้าหวาง เบอร์นี้เป็นเบอร์ของหน่วยเราจริงๆ ต่อไปถ้าอยากจะหาหมอเฉินก็โทรหาหัวหน้าเราได้นะครับ มีอะไรฝากบอกได้ หนึ่งวัน24ชั่วโมง อยากโทรตอนไหนก็โทรได้เลย”
หัวหน้าหวางกำลังรู้สึกแย่มาก ทำได้แค่มองเฉียวเจิ้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
เฉียวเจิ้นเช็ดมือพอแล้วถึงได้เฉลยให้ฟัง แสร้งทำสีหน้าตกใจ
“นี่หัวหน้าหวางไม่รู้เหรอว่าคู่หมั้นของหัวหน้าผมคือหมอเฉินน่ะ?”
“” ในที่สุดหัวหน้าหวางก็รู้แล้วว่าทำไมตัวเองถึงได้กินอาหารเค็มๆ เมื่อกี้เขาทำอะไรลงไป
เฉียวเจิ้นพอสนุกพอแล้วก็ลุกขึ้นออกไปอย่างสบายใจ ปีศาจน้อยที่อยู่ในใจยืนเท้าเอวหัวเราะอย่างสนุกสนาน
สมน้ำหน้า ปล่อยให้ตาแก่นี่เรียกจอมฉก011มาตั้งนาน อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ ครั้งนี้Oneล้างแค้นทั้งเรื่องส่วนตัวเรื่องานได้เด็ดมาก
อวี๋หมิงหลางจัดการจัดการคนที่คิดจะแย่งผู้หญิงของเขาอย่างเงียบๆ ข้าวก็กินไม่ลงแล้วจึงออกไปข้างนอก เฉียวเจิ้นวิ่งตามมา
“Oneจะไปไหน?”
“ไปเดินในเขาสักรอบ”
“จริงสิ มีอยู่เรื่องที่ยังไม่ได้ถามนาย ก่อนหน้านี้นายปรึกษาฉันเรื่องหลิวลี่ ฉันเห็นแล้วในรายชื่อมีชื่อเขาเพิ่มเข้ามา แต่ในแผนทดสอบที่ให้ฉันมาตอนท้ายสุดมีการเพิ่มเหตุการณ์ลักพาตัวมันเรื่องอะไรกัน ทำไมมีผู้ช่วยลึกลับโผล่มาแสดงด้วย?”
“เธอคือรัก คือความอบอุ่น คือความหวัง เธอคือท้องฟ้าอันสดใสในเดือนสี่แห่งโลกมนุษย์” อวี๋หมิงหลางเงยหน้ามองฟ้า แล้วพูดอย่างคนอินจัด
เฉียวเจิ้นทำหน้าแหย “ช่วยพูดอะไรที่ฉันเข้าใจหน่อยได้ไหม?”
“มันคือความคิดที่ตกผลึกแล้วของเสียวเหม่ยกับฉัน แผนที่เพิ่มเข้าไปนี้ เป็นการรักษาโรคจิตเวชในเวลาเดียวกันให้คนสองกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา”
“ไม่เข้าใจ…”
ตอนที่ 466
เข้าใจผิดกันไปใหญ่
อวี๋หมิงหลางมองเฉียวเจิ้นด้วยสายตาดูถูก “วัยรุ่น ชีวิตอย่าเอาแต่สนใจเรื่องใต้สะดือ คนเรารักกันไม่ใช่แค่การเอาเนื้อถูไถ ต้องใช้หัวใจแลกเปลี่ยน ใช้จิตวิญญาณสัมผัส แค่มองตาก็เข้าใจโดยไม่ต้องพูด เข้าใจ๊”
“ก็ยังไม่เข้าใจ…”
เฉียวเจิ้นงง ถึงจะฟังไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกว่าที่หัวหน้าพูดมีเหตุผล ไร้ข้อโต้แย้ง
อันที่จริงในใจของอวี๋หมิงหลางคิดแบบนี้ ‘ข้าแค่อยากจะกินเนื้อทำไมมันยากแบบนี้โว้ย’
สุดท้ายสรุปง่ายๆก็คือ อิจฉาริษยานั่นเอง
เสี่ยวเชี่ยนพอกลับไปก็ปรึกษากับศาสตราจารย์หลิวเรื่องการทดสอบจิตใจในอีกสามวันหลังเสร็จสิ้นการทดสอบ ศาสตราจารย์หลิวก็ได้ใช้โอกาสในสามวันนี้นอนพักรักษาตัวพอดี
เสี่ยวเชี่ยนทำเรื่องที่ควรทำไปแล้ว พอจะเดาได้ว่าอีกสามวันอาจารย์ต้องไปหาหวางย่าเฟยด้วยตัวเองแน่ ส่วนตัวเธอ ตอนนั้นก็คงจะกลายเป็นคนที่หวางย่าเฟยเกลียดเข้าไส้สุดๆ เธอจะไปทำสรุปผลเรื่องหัวหน้าใหญ่กับหลิวลี่แล้วถือโอกาส…
แอบดูเสี่ยวเฉียงมาดเท่ห์เวลาอยู่ในค่ายอีกครั้ง
เสี่ยวเชี่ยนหอบเอาความคิดนี้กลับหอพัก พอเปิดประตูเข้าไปกลิ่นสีก็โชยมา เธอนึกออกแล้ว ที่นี่อยู่ไม่ได้ชั่วคราวนี่นา
เสี่ยวเฉียงมีเรื่องเข้ามากะทันหันทำให้ลืมเรื่องต้องหาที่อยู่ให้เธอ เสี่ยวเชี่ยนอยากรู้ว่ารูมเมทเธออยู่ที่ไหนกัน จึงโทรหาต้าอีเป็นคนแรก
โทรติดเร็วมาก แต่ไม่ใช่ตาอีเป็นคนรับ
“อ๊า~~”
เสียงเด็กลอยมาจากในโทรศัพท์
“พ่านพ่าน? พ่านพ่านเด็กดี เอาโทรศัพท์ให้อีอีนะ”
เด็กฉลาดอย่างพ่านพ่านรู้จักรับโทรศัพท์เป็นแล้ว พอได้ยินเสียงเสี่ยวเชี่ยนเด็กน้อยก็สงสัย
“ปีศาจเชี่ยนเชี่ยน?”
“ฉันคือน้าเชี่ยนเชี่ยนของนาย” เสี่ยวเชี่ยนแก้คำพูดให้ถูกอย่างอดทน เด็กแสบที่สุดจะไม่น่ารักคนนี้นี่ ชอบเรียกผิดๆ
“ปีศาจเชี่ยนเชี่ยน” ชื่อนี้ไม่รู้เริ่มเรียกตั้งแต่เมื่อไร เสี่ยวเชี่ยนได้ยินแล้วก็อยากลากเด็กคนนี้เข้าห้องมืด จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนต้าอีไม่อยู่ฟาดก้นเสียให้เข็ด
“ก็ได้…ปีศาจเชี่ยนเชี่ยนก็ได้ เอาโทรศัพท์ให้อีอีหน่อยนะ อีอีอยู่ไหน?”
“อีอีกับปะป๊า…ออกกำลังกาย?”
พ่านพ่านพยายามนึกคลังศัพท์ที่มีอยู่ในสมอง เด็กคนนี้ระบบภาษาพัฒนาช้าไปหน่อย สามารถพูดได้ขนาดนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนแทบหยุดหายใจ ออกกำลังกายด้วยกัน?
มิน่าโทรศัพท์ถึงอยู่กับเด็ก
เดิมควรจะวางสาย แต่เสี่ยวเชี่ยนนึกสนุก อยากลองหลอกถามเด็กดูเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรดีๆ
“พ่านพ่านจ๊ะ อีอีกับป่ะป๊าออกกำลังกายอยู่ในผ้าห่มหรือเปล่า?”
ฮี่ๆ ใครใช้ให้ไม่ปิดประตู
ใครใช้ให้พวกอวี๋หมิงอี้กินตับกันก่อนเธอกับอวี๋หมิงหลาง
นี่มาจากความอิจฉาล้วนๆ
“ผ้าห่ม…ไม่ บนพื้น”
ดูไม่ออกเลยนะว่าอวี๋หมิงอี้จะเป็นคนดุเดือด เสี่ยวเชี่ยนวิจารณ์ พี่น้องตระกูลอวี๋ไม่ชอบเตียงกันหมดเลยเหรอ?
อวี๋เสี่ยวเฉียงก็ชอบกระจกเหลือเกิน พี่รองก็รักการทำที่พื้น รสนิยมไม่เบาเลยนะ
เสี่ยวเชี่ยนยังอยากหลอกถามเรื่องลามกจากปากเด็กต่อ แต่เสียงเข้มๆของอวี๋หมิงอี้ก็ดังลอดออกมา
“ผมอวี๋หมิงอี้ครับ”
“พี่รอง ต้าอีล่ะคะ?”
“นอนพักอยู่”
“อ่อ…” ดูท่าเมื่อคืนสงครามจะหนักหน่วง นี่บ่ายแล้วยังไม่ตื่นอีก
เสี่ยวเชี่ยนจินตนาการไปไกล
“มีธุระเหรอ?” นิสัยของอวี๋หมิงอี้แต่ไหนแต่ไรมาพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม
“หนูอยากถามว่าบ้านพี่ยังพอมีที่ไหมหนูอยาก…”
“ไม่มี” อวี๋หมิงอี้ไม่ใช่คนที่พูดจาวกไปวนมา ปฏิเสธห้วนๆแบบนี้ไม่ได้กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิด
“ก็ได้” เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าตานี่ความฉลาดทางอารมณ์มีแค่นี้ เลยไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย
“ถ้าเธอต้องการเดี๋ยวพี่จัดหาที่พักในเรือนรับรองให้” อวี๋หมิงอี้เองก็รู้เรื่องเสี่ยวเชี่ยนทาสีหอพัก ไม่มีที่ไป
“ไม่ต้องค่ะ พี่ทำงานไปเถอะ…จริงสิพี่รอง ต้าอีไม่มีประสบการณ์พี่จึ๊กเบาๆหน่อยนะ”
หลังจากที่ล้างแค้นอวี๋หมิงอี้คนอีคิวต่ำแล้วเสี่ยวเชี่ยนก็หัวเราะเงียบๆ แล้วรีบกดวางสาย
ใครใช้ให้กินตับก่อนเสี่ยวเฉียงล่ะ สมน้ำหน้า~
อวี๋หมิงอี้มองโทรศัพท์ด้วยความสงสัย เสี่ยวเชี่ยนพูดอะไรน่ะ จึ๊กเบาๆเหรอ?
หมายความว่าไง นี่เขาอายุเยอะจนไม่เข้าใจความคิดวัยรุ่นแล้วเหรอ?
เขาถือยาเข้าไปในห้องนอน ต้าอีนอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพสีหน้าซีดเซียว
“แปะนี่สิ แม่ผมบอกน่าจะช่วยได้”
“เพราะคุณนั่นแหละ…ฉันบอกแล้วว่าร่างกายฉันไม่ไหว คุณก็ยังจะให้ฉันทำ เป็นไงล่ะ…” เล่นเอาเธอเอวเคล็ด เจ็บมาก
“คุณขาดการออกกำลังกาย ต้องฝึกบ้างนะ ผมถามแม่แล้ว การฝึกออกกำลังตรงช่วงท้องมีประโยชน์กับคุณ ช่วงนี้ก็หยุดไปก่อนอีกไม่กี่วันกลับหอก็เอาไปด้วย ไปฝึกต่อ”
“ฉันไม่อยากทำ”
ต้าอีแค่บ่นๆกับเขาว่าดูเหมือนเธอจะอ้วนขึ้น อวี๋หมิงอี้คนจริงก็ไปจัดแจงหาซื้ออุปกรณ์ฝึกหน้าท้องมาให้ ซึ่งก็คือลูกกลิ้งฝึกกล้ามท้อง รับรองว่าได้ผลดี
ให้ของสิ่งนี้กับแฟน นอกจากอวี๋หมิงอี้แล้วคงไม่มีใครอีก ตอนแรกต้าอีเห็นเขาหอบของชิ้นเบ้อเร่อมาให้ก็คิดว่าเป็นตุ๊กตา พอเปิดออกดู ล้อใหญ่ๆ…
ในใจนั้นต่อต้าน เธอพูดไม่เก่ง แต่เธอเป็นผู้หญิงนะ ผู้หญิงบ้านไหนกันที่จะก้มลงออกกำลังกายด้วยท่าน่าอายแบบนั้น กระดกก้นขึ้นๆลงๆ?
แต่เธอก็เอาชนะอวี๋หมิงอี้จอมรั้นไม่ได้ เขายังเปิดคอร์สสอนต้าอีเรื่องความสำคัญของการออกกำลังกาย รวมถึงการมีไขมันสะสมอยู่ที่พุงจะส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย
อย่าเห็นอวี๋หมิงอี้เป็นคนเงียบๆ เรื่องแบบนี้เขาดื้อดึงมาก
ตอนแรกที่ต้าอีได้ยินเขาพูดเรื่องไขมันสะสมที่พุงเธอเกือบน้ำตาตก
เธอก็แค่ช่วงนี้กินมื้อดึกมากไปหน่อย เอวจาก21 เพิ่มมาเป็น24 แต่เธอไม่มีพุงนะ จะมาใช้คำว่าไขมันสะสมที่พุงกับเธอไม่ได้
ยังดีที่ต้าอีทำการวิเคราะห์คนอย่างอวี๋หมิงอี้ไว้แล้ว การกระทำแบบนี้ของเขาเป็นการแสดงออกด้วยความเป็นห่วง อาจเพราะอาการป่วยของอดีตภรรยาที่เป็นหนักขึ้นจนทำให้ต้องหย่ากัน เขาเลยมีเงามืดในจิตใจ ดังนั้นจึงระมัดระวังกับต้าอีเป็นพิเศษ
ต้าอีก้มหมอบออกกำลังกายที่พื้น พ่านพ่านเห็นแล้ว แต่เด็กน้อยแสดงออกทางคำพูดไม่เก่ง เสี่ยวเชี่ยนเลยเข้าใจผิดว่าอวี๋หมิงอี้กับต้าอีมีอะไรกัน
บอกได้แค่ว่า นี่คือการเข้าใจผิดที่สวยงาม
“จริงสิ เมื่อกี้เสี่ยวเชี่ยนพูดจาแปลกๆด้วย”
“เธอว่าอะไรเหรอคะ?”
“เขาให้ผมจึ๊กเบาๆกับคุณ? จึ๊กหมายถึงอะไรเหรอ?”
เสี่ยวเชี่ยนที่กลับชาติมาเกิดรู้จักเลือกใช้คำ อวี๋หมิงอี้คนเชยกลับไม่เข้าใจ ต้าอีนึกถึงเรื่องที่เสี่ยวเชี่ยนกับสืออวี้คุยกันตอนอยู่หอ แล้วใบหน้าเธอก็แดง
คุณพระช่วย เสี่ยวเชี่ยนยังจะคิดแบบนั้น
อวี๋หมิงอี้ไม่รู้ความคิดที่กำลังพรั่งพรูอยู่ในสมองของต้งอีในเวลานี้ และก็คงไม่รู้ด้วยว่าต้าอีนึกไปถึงบทสนทนาที่ไม่เหมาะมากขนาดไหน
เขาพูดอย่างจริงจัง “ถอดเสื้อสิ”
“ถอด…?”
ต้าอีหน้าแดงกล่ำ หรือว่า หรือว่า พี่รองอยากจะ…จึ๊ก?
ตอนที่ 467
ผู้ช่วยมาแล้ว
ภายในห้องพัก4444ตายยกรังเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
วันหนึ่งสืออวี้อ่านนิยายติดเรท จึงเกิดความอยากรู้เลยถามประธานเชี่ยนว่า การทำเรื่องอย่างว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนที่ในหนังสือเขียนหรือเปล่า?
ตอนนั้นประธานเชี่ยนดันแว่นตา แล้วพูดอย่างคนมีประสบการณ์ว่า ความแตกต่างทางความคิดของคนถูกจึ๊กกับคนที่ไม่เคยถูกจึ๊กก็คือ ความแตกต่างระหว่างคนที่บอกไม่เอาๆกับอย่านะ
ตอนนั้นสืออวี้กับต้าอีต่างรู้สึกเขินและก็รู้สึกเป็นเรื่องลึกลับมาก พอเห็นประธานเชี่ยนแสดงออกไม่เหมือนกัน ในใจของพวกเธอต่างคิดว่า ประธานเชี่ยนจะต้องเคยถูกจึ๊กอย่าง…อะไรแบบนั้น
ตอนนั้นหลังจากประธานเชี่ยนแสร้งทำเป็นคนประสบการณ์เยอะไปแล้วในใจก็แอบยกนิ้วกลาง จะให้เธอบอกกับเพื่อนเหรอว่าเธออยากขับรถแต่ถูกประจำเดือนมาขวางไว้? ทำได้แค่แสร้งทำเป็นมีประสบการณ์ แล้วให้ความรู้ไป
แต่ทว่าความรู้ในตอนนั้นกลับทำให้ในใจของต้าอีเต้นแทบไม่เป็นจังหวะในเวลานี้
อวี๋หมิงอี้บอกให้เธอถอด อันที่จริงคือต้องการให้เธอถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นก็เลิ่กเสื้อขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่เขาจะได้นวดให้ จากนั้นก็แปะแผ่นยา
แต่เห็นได้ชัดว่าต้าอีจินตนาการไปไกลแล้วเพราะคำว่า ‘จึ๊ก’
เธอหน้าแดงนอนอยู่บนเตียง ความคิดกำลังตีกันอย่างรุนแรง
“ปะป๊า”
เสียงใสๆของเด็กน้อยทำให้อวี๋หมิงอี้หันไปทันที ต้าอีเอาหน้าซุกหมอน
นี่เธอกำลังคิดอะไรเนี่ย มีเด็กอยู่ในบ้านแท้ๆ เธอจะทำอะไรได้?
“พ่านพ่านมีอะไรเหรอคับ? ปะป๊าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ปีนเก้าอี้มองลงไปข้างล่าง มันอันตรายมาก”
“ย่ามาแล้ว” พ่านพ่านยืนอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขกแล้วชี้ไปข้างล่าง อวี๋หมิงอี้จึงมองลงไป แม่เขามาจริงๆด้วย
ต้าอีนอนอยู่บนเตียงกำลังปวดหัวกับความคิดลามกของตัวเอง ไม่ได้ยินพ่านพ่านพูดว่าย่ามาแล้ว เธอนอนอยู่บนเตียงแล้วรีบกดส่งข้อความหาประธานเชี่ยนอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ดูจากวันเกิดประธานเชี่ยนอายุน้อยที่สุด แต่กลับเป็นพี่ใหญ่ในห้องตายยกรังนี้ มีเรื่องอะไรก็เลยอยากคุยกับเธอ
ต้าอีส่งไปแค่ไม่กี่คำ ฉันควรทำไงดี
เสี่ยวเชี่ยนแทบจะตอบในทันที ไม่กี่คำเช่นกัน ทฤษฎีหน้าต่างแตก
ต้าอีเป็นลูกศิษย์ที่เสี่ยวเชี่ยนปั้นมา ฝีมือใช่ว่านักศึกษาใหม่ทั่วไปจะเทียบได้ เธอนึกถึงข้อมูลที่เสี่ยวเชี่ยนเคยให้อ่านทันที
ทฤษฎีหน้าต่างแตกเป็นทฤษฎีของคนร้าย ตึกๆหนึ่งมีหน้าต่างแตกเป็นรูเล็กๆ หากไม่ซ่อมแซมให้ดี อาจจะมีคนที่ชอบทำลายมาทำลายหน้าต่างเพิ่มขึ้น จนสุดท้ายพวกเขาก็จะบุกรุกเข้าภายในตึก หากพบว่าไม่มีคนอยู่ก็อาจเข้าไปอาศัยในนั้นหรือวางเพลิง
กำแพงตึก หากมีการพ่นสีแล้วภาพไม่ถูกลบออกไป ไม่นานกำแพงก็จะเต็มไปด้วยภาพต่างๆ หรือสิ่งที่ไม่น่ามอง คนที่เดินผ่านไปมาก็จะคิดว่าเป็นที่ที่ไม่ได้รับการดูแล จากนั้นก็จะมีขยะมากอง จนสุดท้ายผู้คนก็จะมองว่านั่นคือที่ทิ้งขยะ
เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าต้าอีกับอวี๋หมิงอี้ทำไปแล้ว ถึงได้พิมพ์ไปแบบนั้นเพื่อเป็นการบอกอ้อมๆ ในเมื่อทำไปแล้วก็ทำไป จากที่ไม่เอาๆ ก็จะกลายเป็นอย่านะๆ(อย่าช้า)
แน่นอนว่าก็แฝงไปด้วยการแซวเล็กๆ แต่ประธานเชี่ยนที่สุดแสนฉลาดกลับคาดการณ์ผิด เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้าอียังไม่ได้ทำ พอเห็นประธานเชี่ยนส่งมาแบบนี้ ต้าอีก็คิดไปอีกทาง
นี่ประธานเชี่ยน…ยุเธอให้ทำแบบนั้น?
ต้าอีจับโทรศัพท์ ใบหน้าเธอแดงกล่ำ
เธอรีบกดส่งข้อความไปอีกรอบ แล้วต้องทำไงบ้าง?
เสี่ยวเชี่ยนกำลังเศร้าใจที่ตัวเองยังบริสุทธิ์อยู่ พอเห็นข้อความที่ต้าอีส่งมาเธอก็เข้าใจว่าต้งอีกำลังถามเธอว่าต้องทำไงอวี๋หมิงอี้ถึงจะพอใจ
จึ๊ๆ ดูพี่รองสิ ปกติเห็นเงียบๆแบบนั้น พออยู่ในคราบหมาป่า นึกไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่จะชอบแบบทำบนพื้น ตอนนี้ยังเล่นเอาถึงกับทำให้ลูกศิษย์เธอต้องมาถามเคล็ดลับในการยั่ว?
แน่นอนว่าเสี่ยวเชี่ยนบอกไปไม่ได้ว่าประสบการณ์ของเธอนั้นมาจากความทรงจำอันแสนไกลโพ้นในชาติที่แล้ว อีกอย่างอวี๋หมิงหลางตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงตอนนี้ไม่ต้องทำการยั่วอะไรทั้งนั้น ยกเว้นครั้งแรกที่ต้องมอมเหล้า หลังจากนั้นเสี่ยวเฉียงก็เป็นฝ่ายรุกก่อนตลอด ห้ามยังไงก็เอาไม่อยู่ ทั้งท่า ทั้งลีลา ทั้ง…เดี๋ยว หยุดก่อน นี่ไม่ใช่สาระสำคัญ
สิ่งสำคัญคือ ประธานเชี่ยนตัดสินใจแสร้งทำเป็นคนประสบการณ์เยอะไปแล้ว
เธอตอบต้าอีไปแค่คำเดียว เด็ดๆ
ถอด
ผู้หญิงยังจะต้องใช้วิธีไหนอีก? ถอดไปเลย ถ้าแบบนั้นแล้วผู้ชายยังไม่รู้สึกอะไรก็ถีบออกไปได้เลย
ผู้ชายที่ไม่รู้สึกรู้สาเมื่อผู้หญิงของตัวเองแก้ผ้าแล้วมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือไร้สมรรถภาพ สองคือไม่รัก แบบนั้นถีบทิ้งได้เลยไม่ผิด
ต้าอีหลังจากเห็นข้อความก็จ้องเครื่องหมายอัศเจรีย์สามตัวอยู่หลายวินาที จากนั้นหน้าก็แดงกล่ำ
ประธานเชี่ยนพูดเหมือนเขาเลย…
ไม่เหมือนเลยต่างหาก นายอวี๋หมิงอี้ถูกปรักปรำ เขาพูดโดยไม่คิดอะไรแท้ๆ แต่ประธานเชี่ยนผู้ช่วยคนนี้กลับไปช่วยเปิดประตูที่ไม่อาจบรรยายได้ในใจของต้าอี
ในขณะที่ต้าอีกำลังจ้องเครื่องหมายอัศเจรีย์สามตัวอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงจากด้านนอก เธอรีบลุกขึ้น แล้วอดทนต่ออาการเจ็บเอวเดินออกไป
“เขาล่ะ?” แม่อวี๋เข้าบ้านมาก็ถามทันที
“นอนอยู่ครับ”
“สวัสดีค่ะคุณน้า” ต้าอีผลักประตูออกมาทักทายแม่อวี๋
“อย่ายืนสิ รีบไปนอนเร็วเข้า เดี๋ยวน้าล้างมือแล้วจะไปฝังเข็มให้ จริงๆเลยตารอง เราก็เคยแต่งงานมาแล้วนะ ทำไมยังรุนแรงอะไรแบบนั้น…” เมื่อคืนแม่อวี๋ได้รับโทรศัพท์ที่โทรมาขอความช่วยเหลือจากลูกชายคนรอง วันนี้จึงแลกเวรแล้วตั้งใจมาดู
“เกี่ยวอะไรกับแต่งงานแล้วด้วยครับ?” อวี๋หมิงอี้งง
เขาจะรู้ได้ยังไง เมื่อคืนแม่อวี๋พอได้ยินลูกชายถามเรื่องต้งอีเอวเคล็ด ตอนนี้ขยับไม่ได้ควรทำไงดี ตอนนั้นมันตั้งดึกแล้ว แม่อวี๋ก็คิดไปในทางอย่างว่าสิ
พอวางสายแล้วมานั่งคิดดู ปลุกพลตรีอวี๋ที่หลับไปแล้วขึ้นมา เจ้าเล็กก็ถูกสงสัยเหมือนว่าเวลาที่ทำจะเร็วไป? ตารองก็เทคนิคแย่ คนเป็นแม่จะทนได้ยังไง
บังคับให้พลตรีอวี๋ไปสอนเทคนิคในเรื่องนี้กับลูกๆ แบ่งปันประสบการณ์ของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เล่นเอาพลตรีอวี๋โมโหสุดๆ
แล้วจะให้เริ่มยังไงเล่า
ปรากฏว่าแม่อวี๋โมโหกว่า คนเป็นพ่อไม่พูดแล้วจะให้คนเป็นแม่ไปพูดหรือไง? เจ้าเล็กคงไม่ต้องพูดอะไร อย่างไรเสียเธอก็ไปคุยกับแผนกครัวของหน่วยที่นั่นไว้แล้วว่าให้ทำซุปบำรุงอวี๋หมิงหลางบ้าง เดี๋ยวก็ดีขึ้น …อวี๋หมิงหลางเลือดกำเดาไหลบ่อยขนาดนั้น จะต้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แน่นอน แน่นอนว่าแม่อวี๋ยังไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองทำอะไรไปบ้าง
ตอนนี้คนที่เป็นห่วงที่สุดก็คือตารอง เดิมก็เป็นคนเงียบๆอยู่แล้ว ตอนนั้นที่ตัดสินใจจะคบกันก็เล่นเอาต้าอีเป็นลมแล้วเป็นลมอีก แม่อวี๋ได้ยินหมด
ตอนนี้ยังจะมีเรื่องเทคนิคลีลาแย่ ยังมีอีกไหม? อยากจะเป็นโสดไปตลอดชีวิตหรือไง?
แม่อวี๋จึงตัดสินใจเปลี่ยนเวรแล้วมาหาด้วยตัวเอง
“แม่ ตาเป็นอะไรเหรอครับ? นอนไม่พอเหรอ?” อวี๋หมิงอี้เห็นขอบตาแม่อวี๋คล้ำๆ ดูเหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอ
ได้รับสายตามองค้อนกลับไป “ก็เพราะเรานั่นแหละ หลบไป อย่ามาขวางทางไปล้างมือ”
พลตรีอวี๋ถูกตบตีให้ลุกขึ้นมากลางดึกด้วยความโมโห คิดดูสิ กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ดีๆ เมียก็ถีบตกเตียง ไม่ยอมให้พูดแทรกอะไรทั้งนั้นเอาแต่ชี้หน้าด่า อีกทั้งยังกล้าสงสัยในยีนของพลตรีอวี๋ด้วยว่ามีปัญหา
แบบนี้มันทนไม่ได้ ครั้นแล้วพลตรีอวี๋จึงพิสูจน์กำลังวังชาของตัวเอง พิสูจน์ว่าเรื่องที่ลูกๆเป็นแบบนั้นไม่เกี่ยวกับเขา อย่างน้อยเขาก็ยังฟิตปึ๋งปั๋งอยู่…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น