สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 45-51

 บทที่ 45 หางหมาป่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คุณวิคเตอร์ไม่ต้องการให้คนของเราไปส่งคุณจริงๆ หรือครับ?เดินจากที่นี่กลับไปเมืองยังอีกไกลมากนะครับ”


เอดการ์ถามพลางมองวิคเตอร์อยู่ตรงหน้าคฤหาสน์


“ไม่ต้องหรอกครับ ถ้าต้องอยู่กับพวกคุณเพิ่มแม้เพียงนาทีเดียว ผมคงหยุดหายใจ!” วิคเตอร์กัดฟันพูด


ตั้งแต่ที่เขาเดินออกจากห้องนั้นไป ก็รู้สึกไม่พอใจสุดขีด ถึงขนาดไม่คิดจะไว้หน้าคนทั้งคฤหาสน์นี้เลย


เพราะว่าเขาจำใจต้องยอมรับเงื่อนไขของเจ้าของคฤหาสน์นี้


เอดการ์เหมือนเห็นเหตุการณ์แบบนี้จนชินแล้ว ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ประดับรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนพูดว่า “คุณวิคเตอร์วางใจเถอะครับ ช่วงที่คุณไม่อยู่ พวกเราจะดูแลคุณเยียร์เกอร์เป็นอย่างดีครับ”


วิคเตอร์ไม่พูดอะไร เขาหันตัวแล้วเดินไปตามเส้นทางที่มุ่งเข้าตัวเมืองเงียบๆ…ราวกับว่ามีแค่เส้นทางสายนี้เท่านั้นถึงจะสามารถไปได้



“ท่านครับ จ่าวิคเตอร์กลับไปแล้ว”


ตอนที่เอดการ์กลับเข้าไปในคฤหาสน์ ยูริที่หลับตานั่งอยู่บนโซฟาในห้องหนังสือเพียงลำพัง ก็ตอบอืมเบาๆ แล้วถามทันทีว่า “ใช่แล้ว แขกของผมสองคนนั้นล่ะ?”


“แขกสองคนเหรอครับ?” เอดการ์อึ้งไปแล้วพูดอย่างประหลาดใจว่า “ท่านครับ แขกที่ท่านพูดถึงคือสองท่านไหนกันแน่ครับ?”


ยูริลืมตาช้าๆ มองสีหน้าสงสัยของเอดการ์


ลืมอีกแล้วเหรอ? เหมือนกับครั้งแรกที่เขาฟื้นขึ้นมาในคฤหาสน์แห่งนี้เลย


เหมือนชายหญิงคู่นั้นไม่มีตัวตน ในคฤหาสน์มีเพียงยูริที่รู้ เหมือนเขาอยู่ในกำมือของชายหญิงคู่นี้เลย


“ไม่มีอะไร…ผมอาจจะลืมเรื่องบางอย่างไป” ยูริส่ายหน้า ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมพูดว่า “ไปเชิญคุณแอนนาเข้ามาเถอะ”


“ครับคุณยูริ”



แอนนาถูกนำตัวมาหน้าประตูห้อง


เอดการ์ทำท่าผายมือเชิญ เขายืนอยู่แบบนั้น ไม่ได้เปิดประตูให้แอนนา


แอนนาขมวดคิ้ว เธอลังเลอยู่สักพักถึงได้ผลักประตูเข้าไปเงียบๆ


ยูรินั่งอยู่ตรงโซฟา เหมือนพอมีเวลาอยู่


หลับอยู่เหรอ?


แอนนาปิดประตู ตั้งแต่ยูริให้เธอมาอยู่เป็นเพื่อนเขาวาดรูปครั้งก่อน พวกเขาก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลย แม้ว่าเธอจะรู้ว่ายูริอยู่ที่นี่ก็ตาม


แอนนาหรี่ตา เดินเบาๆ เข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้าจนเกือบจะเหมือนแมว


ยูริลืมตาเงยหน้าขึ้นทันที ท่าทางเหมือนตื่นจากฝันกะทันหัน “มาแล้วเหรอ? ขอโทษที ผมงีบไปนิดหน่อย”


“ไม่เป็นไรค่ะ” เท้าแอนนาที่ก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงัก แล้วแววตาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยๆ พร้อมพูดว่า “ฉันว่าแขกพวกนั้นคงขับรถออกไปนอกคฤหาสน์แล้ว…ดูเหมือนงานประมูลของคุณประสบความสำเร็จแล้ว ยินดีด้วยค่ะ ไม่ใช่แค่ขายภาพนี้ได้เท่านั้น แถมยังได้ก่อกวนงานประมูลครั้งก่อนของเยฟิมด้วย ทำให้เขาไม่ได้อะไรติดมือไปเลย หลังจากนั้นคุณก็ตั้งใจกระจายข่าวการขายภาพนี้ออกไป ถ้างั้นภาพของจริงในมือเยฟิมก็ยิ่งไม่ถูกต้อง แล้วยิ่งขายยากขึ้น ฉันว่าเขาคงจะโกรธจนปาแก้วแตกไปแล้ว”


“แอนนา” จู่ๆ ยูริก็เรียกชื่อนี้


“มีเรื่องอะไรเหรอ?” แอนนาเดินมาตามแนวพื้นห้อง จนมาถึงตรงหน้าโซฟาแล้วนั่งตรงข้ามกับยูริ


“คุณรู้ไหมว่าราคาประมูลครั้งนี้เท่าไร?” ยูริพูดอย่างเฉยเมย


“คุณจะเล่าให้ฉันฟัง?” แอนนามองยูริด้วยสายตาชวนให้หวั่นไหว


ยูริกำลังพิจารณาอย่างชื่นชม เขาพูดเสียงเบาว่า “สองร้อยหกสิบล้านยูโร”


ลมหายใจของแอนนาแทบจะหยุดชะงักทันที แม้ว่าเธอจะพยายามจัดงานประมูลก่อนหน้าไปอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังประเมินความต้องการซื้อของแขกไว้สูงแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยนึกว่าราคาแพงเฉียดฟ้าแบบนี้!


ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เธอนึกถึงคำพูดที่ยูริเคยพูดกับเธอ เงินที่ได้รับจากการประมูลภาพในครั้งนี้จะเป็นของเธอทั้งหมด!


“ยูริ คุณเป็นอัจฉริยะ!” แต่เธอไม่คิดจะพูดเรื่องสองร้อยหกสิบล้านอีก


เธอต้องการหยั่งเชิงดูว่ายูริมีทัศนคติอย่างไร ด้วยเธอยังไม่แน่ชัดว่ายูริมีความคิดอย่างไรกันแน่!


“คุณทำสำเร็จแล้วจริงๆ!เลียนแบบภาพของอีวานได้เป๊ะๆ! คุณเป็นอีวานที่มีชีวิตอยู่จริงๆ? นิโคล่า เยวิช!” แอนนาพูดอย่างตื่นเต้น


ยูริกลับถอนหายใจ แล้วถามทันที “แอนนา ยังจำได้ไหมว่าเรารู้จักกันได้ยังไง?”


“แน่นอนค่ะ ฉันจะลืมไปได้ยังไงกัน?” แอนนาใช้เสียงเหมือนกำลังย้อนคิด…เสียงที่ทำให้คนหวั่นไหว “ตอนนั้นฉันเพิ่งเดินออกมาจากแกลเลอรี บางทีอาจเป็นลิขิตสวรรค์ ฉันไม่ได้เดินไปทางที่เดินประจำ แต่เลือกเดินไปอีกทางหนึ่ง ที่ทำให้ฉันได้พบคุณ”


เธอมองยูริด้วยสายตาเหม่อลอย “ตอนนั้นคุณกำลังกินขนมปังอยู่พอดี คุณยังนั่งกับพื้น แต่บนเก้าอี้กลับวางกระดานวาดรูปเอาไว้ จู่ๆ ก็มีลมพัดพากระดาษวาดภาพของคุณปลิวมาอยู่ตรงหน้าฉัน…บางทีอาจเป็นพระเจ้าที่อยากให้รูปของคุณและตัวคุณมาอยู่ข้างกายฉัน”


“แต่ตอนที่อยู่ในชานชาลา คุณก็ไล่ผมไปจากข้างกายคุณตลอดกาลอย่างไร้ความรู้สึกแล้ว” ยูริหรี่ตาพูด


แอนนาส่ายหน้าเล็กน้อย สีหน้ามีความเจ็บปวดแวบเข้ามา เหมือนเธอไม่ได้คิดโต้แย้งอะไร เพียงแค่มองยูริด้วยสายตาซับซ้อน


ความซับซ้อนในดวงตาทั้งสองของเธอเหมือนกับน้ำวน ราวกับมีคำพูดนับร้อยนับพันที่ไม่อาจพูดได้หมด


สุดท้ายเธอแค่พูดเบาๆ มาหนึ่งประโยค “ขอโทษค่ะ”



“นี่คือสิบล้าน”


แต่ในวินาทีถัดไป ยูริก็ล้วงเช็คใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เอาไปวางบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปตรงหน้าแอนนา เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “คุณลงมือกับผมที่ชานชาลา ครั้งนี้ผมหลอกคุณ ก็ถือว่าเจ๊ากันไปแล้วกัน สองร้อยหกสิบล้านยูโร ผมให้คุณไม่ได้หรอก”


ยูริเห็นสีหน้าของแอนนาเปลี่ยนไป เขาจึงส่ายหน้าแล้วก็ลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูพร้อมกับพูดว่า “อยากไปที่ไหนก็บอกพ่อบ้านผมแล้วกัน คนขับรถจะได้ส่งคุณออกไป อ้อ ใช่แล้ว…”


ตอนที่เปิดประตู ยูริก็หันกลับมามองอีกครั้ง “ความจริงคุณไม่เหมาะไปเรียนประเมินค่าภาพวาดสีน้ำมันเลย ผมว่าคุณมุ่งเรียนสาขาการแสดงจะเหมาะกับคุณมากกว่า”


แอนนานั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ เธอแค่เก็บสายตาโกรธแค้นของตัวเองช้าๆ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “จริงหรือคะ? ฉันจะลองคิดดูสักหน่อยแล้วกัน”


“งั้น ลาก่อน”


ยูริปิดประตู




เสียงร้องเจ็บปวดดังมาจากในห้อง เสียงทุบตี เสียงเหมือนมาจากของที่อยู่บนกำแพงหรือพื้นห้อง


แต่ด้านนอกห้อง วิคก้าที่กำลังถือแก้ววอดก้าไว้ใบหนึ่งกลับสั่นเทาไม่หยุด เหล้าในแก้วก็กระเพื่อมไปด้วย ถึงแม้ว่าสำหรับเขาแล้ว นี่ไม่ใช่ประสบการณ์ครั้งแรก แต่ทุกครั้งล้วนทำให้เขากลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ


“เว เวร่า..คุณ คุณกินยาอีกหน่อยไหม?”วิคก้ารีบเดินมาที่ด้านหน้าประตู พูดเสียงดังผ่านประตูกั้นเข้าไป


“ออกไป!!”


เสียงคำรามดังเสียดหูวิคก้า เขาแทบจะรีบถอยหลังกลับไปโดยอัตโนมัติ แต่เขาก็รู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกอันตรายตลอดเวลา เขาจึงเอามือหนึ่งกอดเบาะรองนั่งเอาไว้ อีกมือหนึ่งหยิบมีดปอกผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ชี้ไปที่ห้องนี้ด้วยความตกใจสุดขีด


เขากลืนน้ำลายเล็กน้อย


“เว…เวร่า! เห็นแก่หลายปีมานี้ ถ้าคุณทนไม่ไหวจะพังออกไป จำไว้ว่าก่อนพุ่งออกไปต้องบอกผมก่อนสักคำนะ!”


กรรรจ์!!!


เสียงคำรามที่เหมือนไม่ใช่เสียงของคนดังขึ้นมา วิคก้าตกใจจนล้มพับอยู่บนพื้นทันที…แต่หลังจากเสียงหายไป ภายในห้องก็เหมือนไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว


วิคก้ากลืนน้ำลาย เขาคิดว่าตัวเองรอต่ออีกหน่อยน่าจะดีกว่า


ในห้อง


เวร่าล้มพับไปอยู่บนพื้นแล้ว


ไม่ได้เปิดไฟ แม้แต่ผ้าม่านก็รูดชิดกันจนที่นี่มืดสนิท แต่ในตอนนี้จู่ๆ โคมไฟที่วางไว้ในห้องกลับสว่าง


แสงสีเหลืองส้มสาดส่อง ทำให้เห็นร่างที่นอนอยู่บนพื้น


เธอคือเวร่า


เธอนอนงอตัวด้วยร่างกายเปลือยเปล่าอยู่บนพื้นเหมือนสลบไป


หยาดเหงื่อเม็ดกลมๆ กำลังเกาะอยู่บนผมและขนที่หนาทึบ เปียกเหมือนลูกแมวที่พลาดตกน้ำ


แต่ขนที่เปียกชุ่มสีเงินพวกนี้เริ่มค่อยๆ หายไปจากบนแขน ขาอ่อน ส่วนท้องตลอดจนหน้าของเวร่า…หรืออาจจะบอกว่าหดกลับเข้าไป…


ส่วนเจ้าของสมาคมพร้อมทั้งสาวใช้ที่เปิดโคมไฟในห้องนี้ ก็กำลังสังเกตหางปุกปุยที่โผล่ออกมาและค่อยๆ หดกลับไป


โยวเย่พูดว่า “นี่หางหมาป่าค่ะ”


เจ้าของร้านลั่วคิดว่ามหัศจรรย์มากจริงๆ


บทที่ 46 ถ้างั้นก็ลาก่อน

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ในที่สุดหางปุกปุยนี้ก็หายไปจากตัวเวร่า ราวกับว่าเป็นสัญลักษณ์สุดท้าย


ทั่วทั้งตัวเธอเกลี้ยงเกลามาก นอกจากเส้นผมและขนคิ้วแล้ว ก็ไม่มีขนเหลืออยู่อีกเลย


เวร่านอนขดตัวอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ ซึ่งที่จริงแล้วบนพื้นนั้นเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ


ตอนนี้ลั่วชิวกำลังพิจารณารอบห้องนี้ ไม่ว่าจะบนผนังห้อง หรือบนพื้นก็หลงเหลือรอยแตกร้าวเยอะแยะไปหมด รอยแตกร้าวทั้งห้องเป็นเหมือนร่างแหเลยทีเดียว


“นี่ก็คือมนุษย์หมาป่าเหรอ”


ลั่วชิวเพิ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้กับตาเป็นครั้งแรกก็สนใจเป็นพิเศษ และมีท่าทางอยากรู้อยากเห็น เหมือนกับตอนที่เพิ่งเจอพวกปีศาจเป็นครั้งแรก


ตอนที่ยังอยู่ในคฤหาสน์ ลั่วชิวก็รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย ตอนที่เวร่ากระโจนออกหน้าต่างไปเจอกับฝูงหมาป่าที่เลี้ยงไว้ในคฤหาสน์พวกนั้น


ถึงแม้หมาป่าพวกนี้จะล้อมเวร่าไว้ก็จริง แต่พวกมันก็ไม่ส่งเสียงเห่าเลยสักครั้งเดียวแต่กลับแยกเขี้ยวใส่ โก่งตัวราวกับมีศัตรูร้ายกาจมาเยือน


ส่วนเวร่านั้นต่อมาก็ได้ประนีประนอมกับเขา ถ้าจะบอกว่ากลัว ก็ไม่สู้บอกว่าเป็นความรู้สึกที่ ‘ค่อนข้างดี’ แบบนี้จะดีกว่า


หลังงานประมูลจบลงแล้ว ถึงแม้เธอจะนิ่งสงบ…แต่ช่วงนี้เจ้าของร้านลั่วก็ดูเธอมาเยอะพอสมควรแล้ว และได้เห็นความร้อนใจในแววตาสาวนักมายากลสุดเท่คนนี้


รวมทั้งริมฝีปากที่ซีดขาวเช่นกัน



คุณสาวใช้กุมขมับคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เวร่า ท็อคทาโคนอฟ…แม้คนที่ใช้นามสกุลนี้ในรัสเซียมีไม่เยอะ แต่เห็นการเปลี่ยนร่างของเวร่าเมื่อกี้นี้แล้ว คิดว่ามีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นค่ะ”


โยวเย่มองลั่วชิวพลางพูดเสียงเบาๆ ว่า “นายท่านคะ ฉันคิดว่าคุณเวร่าคนนี้น่าจะเป็นมาเฟียที่มีอิทธิพลที่สุดในรัสเซีย เจ้าหญิงแห่งตระกูลท็อคทาโคนอฟค่ะ”


ลั่วชิวเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง…เดินวนรอบเวร่าที่นอนอยู่บนพื้นรอบหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมา“ตระกูลมนุษย์หมาป่า?”


“ถือว่าเป็นสายตระกูลเก่าแก่สายหนึ่งเลยสินะ แต่มนุษย์หมาป่าที่หลงเหลืออยู่มีน้อยมาก ส่วนใหญ่ระเหเร่ร่อนอยู่ทั่วโลก อย่างตระกูลของคุณเวร่านี้เป็นตระกูลที่พบได้ยากที่สุดแล้วค่ะ” โยวเย่พูดเบาๆ ว่า “ตระกูลท็อคทาโคนอฟจัดอยู่ในตระกูลที่สืบเชื้อสายจากชนชาติกลุ่มเติร์กอันเก่าแก่ ในสมัยโบราณเคยให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์ประจำตระกูลรูปหมาป่าค่ะ”


แม้ว่าทำหน้าที่เป็นสาวใช้มาแค่สามร้อยปี แต่ลั่วชิวก็คิดว่าโยวเย่เหมือนสารานุกรมที่มีชีวิตเล่มหนึ่งเลย


ลั่วชิวรู้สึกว่าในตัวคุณสาวใช้มีลักษณะพิเศษมากเลยทีเดียว นึกได้แบบนี้เขาก็อารมณ์ดีทีเดียว เขาจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อกี้นี้หมอนั่นพูดอยู่หน้าประตูว่า ‘เธอต้องกินยาสักหน่อย บางทีอาจจะดีขึ้น’ การกลายร่างของหมาป่าสามารถควบคุมได้ด้วยยาเหรอ?”


โยวเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่ค่ะ หมาป่าเลือดบริสุทธิ์วัยเจริญพันธุ์ ถึงแม้จะควบคุมการกลายร่างของตนเองได้ในคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่ตอนพระจันทร์เต็มดวง นิสัยใจคอของพวกเขาจะฉุนเฉียวง่ายขึ้น ถึงกับยากที่จะควบคุมตัวเองเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็พอฝืนควบคุมต่อไปได้”


โยวเย่มองเวร่าที่นอนอยู่บนพื้นเหมือนกัน แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “แต่ดูแล้วเธอคงลำบากมากเลยค่ะ ฉันเกรงว่าสายเลือดคงมีปัญหาบางอย่าง…ยานั้นน่าจะช่วยระงับการกลายร่างที่ผิดปกติของเธอในคืนพระจันทร์เต็มดวง เพียงแต่คาดว่าผลข้างเคียงของยาคงหนักไม่เบาเลยนะคะ เธอถึงได้ยอมทรมานนิดหน่อย แล้วฝืนตนเองต่อไป เพื่อที่จะไม่กินยาเพิ่มล่ะมั้งคะ เพียงแต่…”


โยวเย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยื่นมือไปแตะหน้าผากเวร่าเบาๆ แล้วค่อยๆ พูดว่า “เกรงว่าจะฝืนได้อีกไม่นานแล้วค่ะ ร่างกายนี้ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ร่างน่าจะใกล้พังแล้ว”


ลั่วชิวพยักหน้าเข้าใจ หลังจากกนั้นก็โบกมือเล็กน้อย ให้ร่างของเวร่าที่นอนหดอยู่บนพื้นลอยขึ้นไปนอนบนเตียงช้าๆ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุม


แล้วร่างกายที่กลับคืนสู่สภาพเดิมก็ถูกคลุมไว้แบบนี้ ลั่วชิวยื่นมือไปอีกครั้ง แล้วหยิบรีโมตแอร์ตรงมุมผนังห้องที่เวร่าทุบจนแตกตอนอาละวาด


หลังจากเปิดแอร์ปรับเป็นโหมดอัตโนมัติแล้ว ลั่วชิวถึงได้มองโยวเย่ ยิ้มแล้วพูดว่า “เย็นนี้ มีที่ไหนน่าไปเดินเล่นบ้างไหม?”


“ริมแม่น้ำดีไหมคะ?”


ลั่วชิวยิ้มเห็นด้วย


ก่อนไป เจ้าของร้านลั่ววางการ์ดดำใบหนึ่งไว้ข้างหมอนเวร่าแบบเบามือ




อย่างที่แอนนาเคยพูดกับยูริ เยฟิมกำลังเขวี้ยงแก้วน้ำอยู่ใน ‘ป้อมปราการ’ ตนเอง


แก้วเยอะแยะมากมาย เศษแก้วกระจายทั่วพื้น


ทันใดนั้นประตูลิฟต์หน้าห้องก็เปิดออก ลูกน้องมองเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น แล้วเดินไปข้างๆ ปีศาจร้ายด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่สุด “นายท่านครับ คุณแอนนากลับมาแล้ว”


“แอนนา? เยฟิมหันกลับมา เขาผู้ที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ในตอนนี้ ดูท่าทางไม่น่าเข้าหานัก“งั้นเหรอ…ให้เธอเข้ามาสิ”


ตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก แอนนามองซ้ายขวาตรงประตูลิฟต์ตามปกติก่อน เธอพบว่าที่นี่ไม่มีสองคนอยู่ซ้ายขวาคอยค้นตัวเธอเหมือนอย่างที่เคยเป็นแล้ว


แต่เธอก็ยังเดินเข้าไป…โดยเศษแก้วที่กระจายเต็มพื้นทำเอาเธอตกใจ


แอนนาขมวดคิ้ว มองเยฟิมที่ยืนเงียบถือแก้วเหล้าตรงหน้าผนังกระจก “เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ”


“คุณยังกลับมาอีกเหรอ?” เยฟิมพูดอย่างเฉยชา “กล้าไม่เบาเลยจริงๆ นะ”


แอนนาพูดด้วยความไม่พอใจ “เพราะฉันถูกคนของตระกูลดีคาปี้จับตัวไป กว่าจะหาโอกาสหนีออกมาได้ก็ไม่ง่ายเลยนะ คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ? งานประมูลของคุณเกิดเรื่องแล้วจะโทษฉันงั้นเหรอ?”


“หนีออกมา?” เยฟิมยิ้มเยาะ “งั้นคุณบอกผมสิ คุณหนีออกมาได้ยังไง?”


แอนนาพูดอย่างเฉยเมยว่า “เยฟิม เรื่องพวกนี้มันไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญก็คือ ฉันรู้บางเรื่องมา! วันนั้นที่สถานีรถไฟใต้ดินฉันไม่ได้ฆ่ายูริตายไปจริงๆ แล้วอยู่ๆ เขาก็กลายเป็นคนตระกูลดีคาปี้! วันนั้นที่โรงแรมเขาทำลายภาพทิ้งไปแล้ว แล้วเขาก็มาขายภาพใหม่อีกภาพหนึ่ง…คุณรู้ไหมว่าขายไปได้เท่าไร?”


“ขายไปเท่าไร?” เยฟิมตวัดสายตาถามราวกับอยากรู้


แอนนาถอนหายใจยาวๆ พร้อมกับถูคิ้ว “สองร้อยหกสิบล้านยูโร! มีไอ้โง่แบบนี้อยู่จริงๆ เหรอเนี่ย ซื้อภาพปลอมด้วยเงินสองร้อยหกสิบล้านยูโร ฉันต้องยอมรับจริงๆ ว่ายูริเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการปลอมแปลงจริงๆ ตอนนี้เราควรจะมาคิดดูว่าจะกอบกู้ความเสียหายกันยังไง ฉันรู้ว่าคุณโกรธมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโมโหนะ”


เยฟิมพยักหน้าเล็กน้อย “เรื่องนี้ผมยอมรับ…จริงสิ ผมจะให้คุณดูอะไรหน่อย คุณตามผมมา”


แอนนาอึ้งไป และก็เดินตามเยฟิมไปด้านหลังฉากกันลม จนมาถึงตรงหน้าขาตั้งภาพวาดอันหนึ่ง ครั้งนี้เยฟิมเปิดผ้าสีขาวบนชั้นออกด้วยตัวเอง


“ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’?” แอนนาขมวดคิ้ว “ทำไมคุณเอาภาพจริงออกมาล่ะ คุณคิดจะทำอะไร?”


“ไม่ใช่ นี่ก็ภาพปลอม” เยฟิมมองแอนนาพลางพูดอย่างช้าๆ


“เป็นไปได้ยังไงกัน! ภาพปลอมนั่น ไม่ใช่ว่าถูกทำลายตั้งแต่อยู่ที่โรงแรม…” แต่แอนนาก็หยุดพูดในทันที ราวกับว่านึกอะไรได้


แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว


เพราะตอนนี้เยฟิมเริ่มอาละวาดแล้ว มือหนึ่งคว้าผมแอนนาไว้แล้วออกแรงกระชากตัวเธอ ลากไปข้างกำแพง พร้อมยื่นมืออีกข้างไปบีบคอเธอ


เขามองสีหน้าหวาดกลัวของแอนนา ยื่นใบหน้ามาใกล้ๆ แสยะยิ้มพลางพูดว่า “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? เพราะอะไรถึงเป็นไปไม่ได้ล่ะ? เพราะว่า คนที่คุณพูดถึงว่าซื้อภาพปลอมด้วยเงินสองร้อยหกสิบล้านยูโรก็คือผมไง!!!”


แอนนาบีบแขนเยฟิมอย่างเจ็บปวด แต่ชายคนนี้ถึงแม้จะอ้วนท้วม แต่กลับมีพละกำลังที่น่ากลัว


ร่างสูงใหญ่นี้กดตัวเธอชิดไปกับผนังห้อง ทำให้เธอกระดุกกระดิกแทบไม่ได้ ส่วนคอก็ถูกกดทับเธอแค่รู้สึกหายใจลำบาก พูดอะไรไม่ได้!


เยฟิมมองแอนนาด้วยสีหน้าเกรี้ยวโกรธ อ้าปากราวกับจะกลืนกินเธอ “ผมไม่รู้ว่าทำไมยูริถึงกลายเป็นคนตระกูลดีคาปี้ไปได้ และตอนนี้ผมก็ไม่อยากรู้ด้วย! ผมยิ่งไม่อยากรู้ว่านังหญิงแพศยาอย่างคุณนี่มีแผนอะไรอีกกันแน่ ถึงได้กล้ากลับมาหาผมที่นี่ แต่ว่า ผมบอกคุณได้แบบไม่โกหกเลยว่า คุณตายแน่! คาดไม่ถึงว่าคุณจะกล้าทรยศผม!!แถมยังร่วมมือกับยูริแย่งเงินไปจากผมสองร้อยหกสิบล้านยูโร!! แล้วยังให้ผมเปิดเผยตัวต่อหน้าผู้คนทั้งหมดอีก!!”


แอนนาตบผนังอย่างทรมาน เธอต้องการออกซิเจนเพิ่มเนื่องจากออกซิเจนในตัวเธอเริ่มน้อยลงทุกที เธอรู้สึกว่าสายตาค่อยๆ มืดมัว…แต่กระดูกต้นคอเหมือนพร้อมจะถูกบิดหักได้ตลอดเวลา


เธอหวนคิดภาพเหตุการณ์ตอนพูดคุยกับยูริก่อนหนีออกมาจากคฤหาสน์


เขาไม่ได้บอกเธอว่าคนที่ซื้อภาพไปก็คือเยฟิม


จนกระทั่งเขาพูดกับเธอประโยคหนึ่งว่า ‘ถ้างั้นก็ ลาก่อน’


ที่แท้ก็คือ…ลาก่อนแบบนี้นี่เอง



“ท่านครับ? มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”


เยฟิมนั่งอย่างสงบ เขาดื่มเหล้าไปอึกหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร แค่ชี้นิ้วไปที่ผนังห้องมุมหนึ่ง ตรงนั้น แอนนาล้มอยู่บนพื้น ตัวเย็บเชียบ นิ่งไม่ขยับตัว


“รับทราบแล้วครับท่าน ผมจะจัดการเธอให้เรียบร้อย” ลูกน้องพยักหน้าเล็กน้อย


ทันใดนั้น โทรศัพท์สายหนึ่งก็โทรเข้ามา


“ท่านครับ ข้างล่างมีรถตำรวจคันหนึ่งมา บอกว่าต้องการพบท่านครับ…”


บทที่ 47 หยุดหายใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


เรื่องที่เยฟิมกังวลที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว แถมยังเกิดขึ้นในวันเดียวกันอีก ฉับพลันเขาก็รู้สึกเหมือนติดกับเข้าเสียแล้ว


นับตั้งแต่เขาถูกเปิดเผยตัวตนที่คฤหาสน์ เขาก็รู้สึกไม่สงบมาโดยตลอด


และตอนนี้ เมื่อรถตำรวจคันหนึ่งมาถึงด้านล่างตึก ความรู้สึกแบบนี้ก็เพิ่มถึงขีดสุดในชั่วพริบตา


“ได้บอกไหมว่าเรื่องอะไร?”


“ไม่ได้บอกครับ” ลูกน้องรีบพูดอย่างรวดเร็ว “เขาแค่แสดงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นก็บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากพบท่านครับ แต่ผมเห็นท่าทางดูเขารีบร้อนมากนะครับ”


เยฟิมบ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ให้เขารอฉันอยู่ข้างล่าง ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะลงไป”


“เข้าใจแล้วครับ”


ลูกน้องพยักหน้าเล็กน้อย เรื่องที่เขาต้องทำมีเยอะ ไม่ใช่แค่ทักทายเล็กๆ น้อยๆ กับตำรวจที่อยู่ข้างล่าง แต่ยังต้องจัดการเก็บกวาดสิ่งของที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ให้เรียบร้อย



“ฮ่าๆๆ ขอโทษด้วยครับ ผมกำลังอาบน้ำอยู่ เพราะผมชินกับการเข้านอนตรงเวลาหลังสี่ทุ่ม ทำให้คุณต้องรอนานเลย”


เยฟิมซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งชุดเรียบร้อยแล้วเดินลงมาจากชั้นบน เขามองพิจารณาตำรวจตรงหน้าครู่หนึ่ง ลูกน้องบอกว่าได้ตรวจสอบบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่แล้ว นั่นก็แสดงว่าเป็นตำรวจจริง


“สวัสดีครับคุณเยฟิม ผมวิคเตอร์ มารบกวนคุณซะดึกเลย” วิคเตอร์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเข้ามาประชิดตัวเยฟิม


แต่บอดี้การ์ดข้างกายเยฟิมกลับยื่นมือมาขวางไว้ แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “คุณวิคเตอร์ครับ มีอะไรค่อยๆ พูดดีกว่านะครับ”


วิคเตอร์ที่ถูกขวางไว้พูดอย่างใจเย็นว่า “คุณเยฟิม ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหมครับ…ผมคิดว่าคุณคงไม่ปฏิเสธผม”


“งั้นเหรอ?” เยฟิมพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าผมไปบอกเจ้านายของพวกคุณ ว่ามีลูกน้องของเขาคนหนึ่งมารบกวนผมถึงบ้านดึกๆ ดื่นๆ ผมคิดว่าเขาจะไม่ปฏิเสธคำร้องเรียนของผมเช่นกัน”


วิคเตอร์กลับยิ้มแล้วลดเสียงบอกว่า “ได้ยินว่าวันนี้คุณเยฟิมซื้อของที่เหมือนกับอันนั้นมา ใช่หรือเปล่าครับ?”


เยฟิมหรี่ตาลงทันที เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนโบกมือพลางพูดว่า “พวกแกออกไปก่อน ฉันกับคุณวิคเตอร์มีเรื่องต้องคุยกัน”


เยฟิมเห็นลูกน้องเดินออกไป จนในห้องเหลือแค่เขากับวิคเตอร์สองคน ถึงค่อยๆ นั่งลง แล้วพูดอย่างใจเย็น “เมื่อกี้จ่าวิคเตอร์พูดว่าอะไรนะครับ? เหมือนผมจะได้ยินไม่ค่อยถนัด”


วิคเตอร์เผยรอยยิ้มน้อยๆ แล้วเดินมาตรงหน้าเยฟิมอีกครั้ง ก่อนล้วงโทรศัพท์ออกมาวางลงบนโต๊ะ ตรงหน้าเยฟิม


“ผมคิดว่า คุณเยฟิมต้องสนใจเนื้อหาในคลิปนี้แน่ๆ ครับ”


“อ้อ งั้นเหรอ?” เยฟิมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วกดเล่นคลิป


สีหน้าของเขาดูแย่ลงเรื่อยๆ ตามคลิปที่เปิด ยังไม่ทันดูคลิปวิดีโอนี้จบก็หยุดเล่นคลิป


เขาวางโทรศัพท์มือถือลง เงยหน้าขึ้นมองวิคเตอร์ที่ยืนอยู่ พร้อมกับใช้นิ้วมือเคาะที่ราวบันไดช้าๆ


เนิ่นนาน


เยฟิมถึงได้เปิดปากพูดทันที “คุณคิดจะทำอะไร?”


วิคเตอร์ตอบช้าๆ ว่า “นี่ลูกน้องที่เป็นเพื่อนร่วมงานผมคนหนึ่งส่งมาให้ ผมคิดว่าเขาหวังจะสร้างความดีความชอบ…ถึงยังไงคลิปวิดีโอนี้ก็ชี้ชัด ว่าคุณเยฟิมซื้อภาพของพิพิธภัณฑ์ที่ถูกขโมยไปกลับมา…พวกเรามีเหตุผลที่จะเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตอนนี้ภาพอยู่ในมือของคุณเยฟิม แต่ผมยังเก็บคลิปนี้ไว้ที่ผม ตอนนี้นอกจากผมแล้ว ยังไม่มีใครรู้”


เยฟิมพูดอย่างเฉยเมยว่า “คุณส่งมันให้ผู้บังคับบัญชาของคุณไม่ดีกว่าเหรอ? นี่เป็นผลงานชิ้นใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ?”


วิคเตอร์ยักไหล่แล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าคุณเยฟิมเคยรู้หรือเปล่าว่านักสืบที่กำลังรวบรวมข้อมูลอย่างผมนี่ เงินเดือนปีหนึ่งได้เท่าไร? และด้วยตำแหน่งผมในตอนนี้ ถ้าเลื่อนตำแหน่งไปอีกขั้น รายได้ปีหนึ่งจะได้อีกเท่าไร? แล้วระดับหัวหน้าล่ะ? จะได้อีกเท่าไร?”


เยฟิมพูดเนิบๆ ว่า “คุณรู้หรือเปล่า ว่าผมกับหัวหน้าของพวกคุณรู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว”


วิคเตอร์ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่านักธุรกิจใหญ่อย่างคุณนี่รู้จักคนมากมาย เพียงแต่เพราะเมื่อก่อนคลิปอันธพาลที่อัพขึ้นเว็บโซเชียลVK พัวพันถึงหลายฝ่าย ผมคิดว่าช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต คนมอสโกส่วนใหญ่จะแยกแยะได้ชัดเจน…คุณเยฟิมรู้ไหมว่าผมทำงานมากี่ปีแล้ว? ยี่สิบสามปี ผมยังเคยได้รับเหรียญอเล็กซานเดอร์กษัตริย์แห่งเนวาจากมือท่านประธานาธิบดีเลยนะ”


วิคเตอร์พูดอย่างมั่นใจมาก “ผมเชื่อว่าคำพูดของผมยังพอมีน้ำหนักอยู่บ้าง และผมก็ไม่คิดว่าหัวหน้าของผมจะทำให้ผมหลุดจากตำแหน่งในตอนนี้ได้เหมือนกัน”


เยฟิมพูดอย่างเฉยเมยว่า “มั่นใจก็เป็นเรื่องดี อีกอย่างคุณมาหาผมคนเดียว ความกล้าหาญแบบนี้คู่ควรให้ผมนับถือเสียจริง…ไม่เลวๆ ผมชอบร่วมงานกับคนกล้าหาญ คลิปนี้ผมซื้อไว้ก็แล้วกัน บอกราคาที่คุณพอใจมา”


วิคเตอร์กลับพูดว่า “คุณเยฟิมคิดว่า เพียงแค่ซื้อคลิปวิดีโอนี้ก็จะจบเรื่องแล้วเหรอครับ?”


“คุณคิดจะพูดอะไร?”


วิคเตอร์ตอบ “ผมไม่เชื่อหรอกว่า ลูกน้องของผมที่เพิ่งเรียนจบมาไม่นานจะหาคลิปวิดีโอนี้มาได้ คุณเยฟิม ช่วงนี้คุณไปทำให้ใครไม่พอใจหรือเปล่าครับ?”


เยฟิมลุกขึ้นยืน “คุณวิคเตอร์ ขอบคุณคุณมากที่นำข่าวนี้มาบอกผม แต่ว่าผมเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง ผมชอบวิธีพูดคุยแบบตรงไปตรงมา”


วิคเตอร์พูดอย่างเฉยเมยว่า “หัวหน้าของพวกเราไม่ได้ใสสะอาดอะไร เขาอาจจะหลุดจากตำแหน่งได้ตลอดเวลา ผมคิดว่าคุณเยฟิมน่าจะยิ่งต้องการความมั่นคง และยิ่งต้องการพรรคพวกรุ่นใหม่สักหน่อยนะครับ”


“นี่ก็คือจุดประสงค์ที่คุณต้องการ?” เยฟิมหรี่ตา


“ผมเป็นคนที่เคยได้รับเหรียญอเล็กซานเดอร์กษัตริย์แห่งเนวา กลับได้แต่ติดแหง็กอยู่ในสำนักงานเล็กๆ เท่านั้น คุณเยฟิมไม่คิดว่ามันน่าเสียดายไปหน่อยเหรอครับ?” วิคเตอร์เขยิบเข้าไปใกล้ๆ เยฟิม พร้อมกัยลดเสียงต่ำลงบอกว่า “มีคนคิดอยากจัดการคุณเยฟิม ผมคิดว่าคุณเยฟิมก็ต้องการผู้ช่วยอีกเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอครับ?”


“ทำไมผมต้องเชื่อคุณด้วยล่ะ?” เยฟิมยิ้มเฝื่อน


วิคเตอร์ยักไหล่ “เวลาจะพิสูจน์ผมเอง สถานการณ์ของหัวหน้าพวกเราในช่วงนี้ไม่ดีเลย บางทีคงรักษาตำแหน่งนี้ได้อีกไม่นานแล้ว…สรุปก็คือ รู้ไว้ว่าคลิปนี้จะอยู่ในมือผมเท่านั้น แต่ผมคิดว่าถ้าคนที่ส่งคลิปเผยแพร่ออกมาไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากพวกเรา เขาอาจจะทำอะไรบางอย่าง นี่นามบัตรของผมครับ ถ้าคุณเยฟิมต้องการอะไร ติดต่อผมได้นะครับ”


เยฟิมเห็นวิคเตอร์เก็บโทรศัพท์คืน แล้วเดินไปทางประตู ก่อนที่เขาจะเปิดประตู เยฟิมก็รีบเรียกไว้ทันที “เดี๋ยวก่อน”


“ยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอครับ?”


เยฟิมล้วงเช็คออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เซ็นชื่อตัวเองแล้วฉีกเช็คที่ไม่ได้เขียนจำนวนเงินออกมา “เขียนจำนวนที่คุณคิดว่าดูดีที่สุด ผมก็ไม่อยากให้คุณมาเสียเที่ยวเหมือนกัน”


วิคเตอร์ยื่นมือออกมารับเช็คใบนี้ แล้วชูขึ้นพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมจะรอโทรศัพท์จากคุณก็แล้วกันนะครับ”



“ท่านครับ เมื่อกี้นี้ไอ้ตำรวจเน่านั่นพูดอะไรเหรอครับ?”


ลูกน้องคนสนิทกลับมาแล้ว เขาเห็นเยฟิมอยู่ในห้วงความคิดจึงเอ่ยปากถาม


เยฟิมเล่าให้ฟังง่ายๆ รอบหนึ่ง ลูกน้องคนสนิทจึงขมวดคิ้วพลางพูดว่า “ท่านครับ ดูแล้วตระกูลดีคาปี้จงใจตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่านนครับ เพียงแต่พวกเขานึกไม่ถึงว่าจะมาติดคาอยู่ในมือวิคเตอร์…เจ้าหมอนี่ก็เป็นคนทะเยอทะยานเหมือนกัน ดูท่าเขาคงต้องการทั้งเงินและอำนาจเลยนะครับ”


แต่เยฟิมกลับถามทันที “แกคิดว่าวิคเตอร์คนนี้จะมีปัญหาไหม?”


ลูกน้องคนสนิทคิดแล้วจึงพูดว่า “แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอาหลักฐานสำคัญขนาดนี้มาพบนายท่านโดยตรง นี่เป็นเรื่องที่ฝ่าฝืนบันทึกหน่วยงาน ถ้าเขาคิดว่านี่เป็นโอกาสให้ตัวเองมีหน้าที่การงานดี ผมคิดว่าเขาอาจจะเป็นอันตรายได้ครับ ในความคิดเห็นของผม คนที่คว้าเหรียญอเล็กซานเดอร์กษัตริย์แห่งเจเนวามาได้ แต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วให้ติดอยู่ในกองบังคับการสืบสวนสอบสวนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ก็ออกจะน่าเสียดายอยู่จริงๆ ครับ”


เยฟิมเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “จัดการของเรียบร้อยแล้ว?”


“ห่อขยะใส่ถุงแล้วก็ใช้รถขยะขนไปแล้วครับ” ลูกน้องคนสนิทมองเวลาตรงนาฬิกาข้อมือ เขาพูดเสียงเรียบเฉยว่า “คงใกล้จะเผาทิ้งแล้วครับ”


เยฟิมพยักหน้าแล้วค่อยๆ พูดว่า “จองตั๋วเครื่องบินไปอิตาลีสัปดาห์หน้าให้ฉันใบหนึ่ง เอาเวลาไหนก็ได้”




“เก้าโมงห้านาที คุณแอนนาเข้าไปในคอนโด”


“เก้าโมงสิบเก้านาที คุณวิคเตอร์ก็มาถึงคอนโดของเยฟิม”


“เก้าโมงสามสิบเอ็ดนาที มีคนทิ้งถุงสีดำใบใหญ่บนรถถังขยะ”


“เก้าโมงห้าสิบนาที วิคเตอร์ออกมาจากคอนโด”


“สิบเอ็ดโมงสี่สิบนาที คุณแอนนายังไม่ออกมา…ท่านครับ ผมคิดว่าถุงใหญ่ใบนั้นบนรถขยะนี่ น่าจะเป็น…”


ยูริโบกมือให้ชายที่นั่งอยู่ข้างคนขับรถหยุดพูด แล้วเปิดกระจกหน้าต่างรถมองดูรถขยะคันหนึ่งที่จอดชิดริมข้างทางอยู่ไกลๆ


ชายในชุดพนักงานเก็บขยะสองคนขนถุงใบใหญ่สีดำลงมา อาศัยช่วงกลางคืนที่ไม่มีผู้คน ราดน้ำมันเบนซินเผาจนไม่เหลือซาก


เขามองเปลวไฟที่ลุกท่วมถุงทั้งใบ…มองเถ้าธุลี ในที่สุดถึงได้ค่อยๆ หลับตาลง


สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ออกรถ”


รถลีมูซีนสีดำคันนี้แล่นออกจากถนนใหญ่ รถขนขยะซึ่งจอดเทียบริมทางก็ค่อยๆ ขับแล่นออกไป หลังจากนั้น ลมแรงก็พัดเถ้าธุลีปลิวกระจาย


บางทีกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ก็คงไม่เหลือร่องรอยแล้ว




เสียง


“…ต่อมาดำเนินการขุดคลองสายหนึ่ง เพื่อรวมแม่น้ำมอสโกและแม่น้ำวอลกาเข้าด้วยกัน ทำให้ที่นี่เชื่อมต่ออ่าวต่างๆ รวมทั้งหมดห้าแห่ง ด้วยเหตุนี้การขนส่งทางแม่น้ำจะยิ่งพัฒนาไปมากยิ่งขึ้น”


“ห้าแห่งเหรอ?”


“ใช่ครับ นายท่าน แยกเป็นทะเลดำ ทะเลขาว ทะเลแคสเปียน ทะเลบอลติกรวมทั้งทะเลอะซอฟ”


“เฮ้อ” ถอนหายใจราวกับปลง พูดอย่างอ่อนโยนราวกับยิ้มอยู่ “ดูท่าฉันคงไม่ต้องใช้พวกเว็บค้นหาอะไรแบบนั้นแล้ว…”


เธอได้ยินเสียง


เสียงชายหนุ่ม และเสียงผู้หญิง เหมือนกำลังพูดคุยกันอยู่


เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นมีเพียงความมืดมิดและอากาศร้อนอบอ้าว เหมือนว่าเธอถูกกักขังอยู่ในห้องแคบๆ ห้องหนึ่ง


เธอพยายามดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็หาทางออกมาจากสถานที่คับแคบแห่งนี้ได้ ด้วยการรูดซิปเส้นหนึ่งออก


พอเธอรูดซิปเปิดสุดแล้ว ก็ดิ้นหลุดออกมาจากในถุงดำใบใหญ่ พร้อมกับสูดอากาศสดชื่น


ริมแม่น้ำ แสงไฟยามค่ำคืนกะพริบระยิบระยับในมอสโก สะท้อนอยู่บนผิวแม่น้ำราวกับลำธารดวงดาว ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังชี้ที่ฝั่งแม่น้ำ พูดคุยกระซิบกระซาบกัน


เธอจำได้ว่า เธอน่าจะเคยเห็นลักษณะของคนสองคนนี้มาก่อน


ช่วงเวลาที่หยุดหายใจ


เหมือนเธอได้ยินเสียงชายคนนี้เหมือนกัน


คุณลูกค้า คุณต้องการอะไรไหมครับ?


เธอคือ แอนนา


บทที่ 48 แอนนา

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


แอนนาค่อยๆ เดินเข้าไปหาชายหญิงคู่นี้ตรงริมแม่น้ำ หลังจากเดินเข้าไปหาแล้ว เธอถึงได้มองเห็นลักษณะของชายหญิงคู่นี้ชัดเจน


ทั้งคู่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย


ตอนที่พวกเขาหันมามองแอนนา เธอจึงถามทันทีว่า “พวกคุณ…ช่วยชีวิตฉันไว้เหรอ?”


แต่เธอเพิ่งจะพูดจบ ก็หยุดชะงักทันที พร้อมกับทำสีหน้าตกใจ เพราะเธอพบว่าเสียงของตนเองเหมือนเสียงลมที่ลอดออกมาจากกระจกแตก


เสียงแต่ละพยางค์แตกแหบแห้งถึงขนาดผิดเพี้ยนไปจนความหมายไม่ชัดเจน เธอจึงยื่นมือไปคลำที่ลำคอตนเองทันที


“ฉัน ฉัน ฉัน…” แอนนาพยายามให้ตนเองพูดจบ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย


ในที่สุด เธอก็ได้ยินคำตอบที่คาดคิดไม่ถึง


“ผมคิดว่าคุณแอนนาอย่าเพิ่งลองเลยจะดีกว่าครับ” ชายหนุ่มชาวตะวันออกตรงหน้าพูดขึ้นช้าๆ “ถึงแม้พวกเรามาถึงทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกหาของคุณ แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นสภาพของคุณค่อนข้างแย่แล้ว”


ลั่วชิวพยายามอธิบายด้วยคำพูดที่เข้าใจง่ายว่า “เอาแบบนี้แล้วกันครับ ตอนนั้นกระดูกลำคอของคุณแอนนาแตกไปแล้ว แถมยังอยู่ในอาการโคม่าอีก…อืม พวกเราเลยให้คุณอยู่ในสภาพแบบนี้ไปก่อนชั่วคราวครับ”


แอนนาอ้าปากราวกับยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน


ลั่วชิวได้แต่พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า “หรือจะบอกว่า หลังจากคุณพ้นสภาพนี้ไป คุณก็จะตายทันทีครับ”


แอนนาไม่รู้ว่าที่เรียกว่าสภาพนี้คืออะไรกันแน่ แต่ตอนที่เธอลูบคลำไปจนถึงตรงลำคอของตัวเองก็รู้ทันที


กระดูกส่วนนี้แตกหัก คิดดูแล้วถ้าคนข้างๆ เห็น ตรงส่วนนี้คงจะดูแปลกมากๆ เลยสินะ


เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เค้นเสียงพูดอย่างยากลำบาก “นาน…นาน…แค่ไหน”


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “แน่นอนว่าไม่นานเกินไปครับ คุณลูกค้าได้กลไกการแลกเปลี่ยนคุ้มครองเอาไว้ ถึงรักษาสภาพแบบนี้ไว้ได้ แต่ถ้ายืดเวลานานเกินไป มันก็จะหายไปโดยอัตโนมัติ โปรดอย่าเข้าใจผิดนะครับ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ให้คุณคิดไตร่ตรอง แต่เพราะการรักษาสภาพตอนนี้ของคุณไว้ พวกเราก็ต้องใช้พลังไปทีละนิดๆ เหมือนกัน ผมคิดว่าในเมื่อคุณแอนนาได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว อย่างนั้น…ครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเพียงพอให้คุณได้คิดไตร่ตรองแล้วมั้งครับ? ถือโอกาสเตือนสักหน่อยนะครับ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง คุณแอนนาจะอยู่ในสภาพเสียชีวิตร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นที่พวกเราคาดการณ์ไว้คือ…เกรงว่านอกจากดวงวิญญาณของคุณแล้ว ก็ไม่มีค่าธรรมเนียมอย่างอื่นที่มีค่ามากกว่านี้แล้วครับ”


แอนนาได้ยินแล้วก็นิ่งเงียบ เธอเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ผ่านลั่วชิวกับโยวเย่จนมาใกล้ริมแม่น้ำ


เธอเหม่อมองวิวในยามค่ำคืนทางฝั่งตรงข้าม


ตอนนี้เหลืออีกห้านาที เธอค่อยๆ หันกลับมา มองชายหนุ่มคนนี้เงียบๆ


เธอยังคงไม่ได้พูดอะไร…แต่เธอเจอเหตุการณ์ปาฏิหาริย์แบบนี้ ก็รู้สึกว่าบางทีคนคนนี้คงพอจะอ่านความคิดเธอได้บ้าง


เจ้าของสมาคมยังคงแนะนำลูกค้าตามหน้าที่ ลั่วชิวพูดขึ้นช้าๆ ว่า “แบบนี้จะดีจริงๆ เหรอครับ? คุณแอนนา ทุกคำถามของคุณต้องเสียค่าธรรมเนียม นั่นหมายความว่าค่าธรรมเนียมที่คุณมีอยู่ก็จะลดลงเรื่อยๆ หรือก็คือค่าธรรมเนียมที่คุณใช้แลกเปลี่ยนได้ก็จะน้อยลงเรื่อยๆ คุณยังอยากจะแลกเปลี่ยนอยู่เหรอครับ?”


แอนนาพยักหน้าน้อยๆ


“ผมเข้าใจแล้วครับ” เจ้าของร้านลั่วก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน “ที่จริงแล้วคุณยูริได้พวกเราช่วยชีวิตไว้ครับ ตอนนี้เขาใช้พลังของตระกูลดีคาปี้ได้ และแน่นอนว่าได้รับมาจากพวกเรานี่เองครับ”


ฉับพลันในดวงตาแอนนาก็ฉายแววเศร้าสลด ราวกับว่าเธอพอจะเดาคำตอบสุดท้ายได้…แต่แววตาเธอกลับยังมีความปรารถนาอยู่


เธอยังคงเลือกที่จะฟังต่อไป


“สิ่งที่คุณยูริทำข้อตกลงกับพวกเราคือ…”


“เขาหวังว่าจะได้รับพลังในการแก้แค้น เพราะฉะนั้น เขาจึงเหลือชีวิตแค่เดือนเดียว ถ้าตอนนี้ก็น่าจะเหลือประมาณยี่สิบเจ็ดวัน” ลั่วชิวพูดเบาๆ


ในที่สุดแอนนาก็หลับตาทั้งสองข้างลง สูดลมหายใจลึกๆ…ตามสัญชาตญาณของเธอ ถึงแม้เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า อากาศเข้ามาจุกอยู่ที่ลำคอของตนเอง


นี่ดูเหมือนว่าจะทำให้เธอยิ่งทรมาน


แต่ต่อมน้ำตาเธอกลับยังทำงานได้ดี…ในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ด้วยน้ำตาคลอเต็มเบ้า


ในที่สุด เธอก็เผยรอยยิ้มที่น่าเกลียดกว่าการร้องไห้ออกมา เธอใช้เสียงแตกแหบแห้ง และน่ากลัวราวกับแม่มดแก่ๆ พูดด้วยน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเกลียดชังอย่างที่สุดว่า “พวก…คุณ…ไม่…น่า…มีตัวตน…อยู่…”


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้บันทึกไว้แล้วครับ คุณแอนนายังต้องการแลกเปลี่ยนอะไรอีกไหมครับ?”


ก่อนที่ห้านาทีสุดท้ายจะหมดลง แอนนาถึงได้เปล่งเสียงพูดอย่างยากลำบากว่า “ให้…ฉัน…ได้…เห็น…ช่วง…สุด…ท้าย…ก่อน”


“ตามที่คุณลูกค้าต้องการครับ” ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ “คุณลูกค้าของผม”




เลยเที่ยงคืนมาแล้ว


นี่เกรงว่าจะเป็นคืนที่เยฟิมนอนหลับยากที่สุดในช่วงไม่กี่ปีมานี้เลย เขาสวมชุดนอนนั่งอยู่ในห้องโถงเย็นยะเยือกคนเดียว กำลังเล่นมีดเล่มเล็กในมือ


มีดเล็กๆ เล่มนี้ก็เหมือนของนำโชคของเขา มันอยู่ติดตัวเขาจนมีชีวิตร่ำรวยขึ้น ถึงขนาดพูดได้ว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้


ปีนั้นเขาอายุสิบสี่ปี เขาก็ได้ฆ่าคนครั้งแรก


เขายังรู้สึกว้าวุ่นใจ


เขายินดีคิดว่าใจว้าวุ่นเพราะเหตุการณ์เมื่อตอนอายุสิบสี่ปี ดีกว่าคิดว่าเป็นเพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้


นี่ทำให้เขารู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขา…เป็นการปฏิเสธความสามารถของเขา


เยฟิมยกโทรศัพท์ที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา รออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงอ่อนล้าจากปลายสาย


“เพื่อนยาก เหมือนเมื่อวานซืนนายก็เพิ่งมาหาฉัน ทำไมเร็วนักล่ะ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”


เยฟิมค่อยๆ พูดว่า “คนที่ชื่อวิคเตอร์ เป็นลูกน้องนายหรือเปล่า?”


“วิคเตอร์?” เสียงปลายสายดูประหลาดใจ พลางซักไซ้ถามว่า “ที่จริงแล้วเขา…ทำไม เขาล่วงเกินนายเหรอ?”


เยฟิมพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่มีอะไร แค่คนของฉันมารายงานว่า สองวันมานี้มีคนชื่อวิคเตอร์สร้างปัญหายุ่งยากกระทบธุรกิจบางอย่างไปไม่น้อยเลย”


“งั้นเหรอ…” เสียงปลายสายถอนหายใจแล้วบอกว่า “น่าจะเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้น่ะ เพื่อนยาก หมอนี่บ้างาน เชื่อฉัน ไม่ใช่เพราะเขาพุ่งเป้าไปที่นายหรอก คงแค่บ้าอยากหาเบาะแสเท่านั้นเอง นายรู้ก็รู้นี่ ภาพนั้นถูกขโมยไป ส่งผลกระทบมากมาย ฉันก็โดนกดดันมาไม่น้อยเหมือนกันนะ แต่นายสบายใจได้ พอเรื่องจบแล้ว ฉันจะคิดหาวิธีจัดการวิคเตอร์ให้หนักเลย หมอนี่ก็เหมือนเสี้ยนหนาม แทบจะไม่เห็นใครอยู่ในสายตา”


เยฟิมพูดขึ้นทันที “หืม? ความหมายของนายคือ นายตำรวจยศใหญ่อย่างนายก็ยังจัดการตำรวจสายสืบยศเล็กๆ คนหนึ่งไม่ได้งั้นเหรอ?”


“ช่วยไม่ได้นี่ วิคเตอร์มีประสบการณ์โชกโชน ทั้งเคยได้เหรียญรางวัลระดับประเทศอีก ไม่ใช่คนที่คิดจะโค่นก็โค่นล้มได้ตามอำเภอใจ จะว่าไป ช่วงนี้ฉันก็ออกจะ…เอ่อ วุ่นวายนิดหน่อย ไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่ม…คือว่านะเพื่อนยาก จากช่องทางแหล่งข่าวและเส้นสายของนายแล้ว นายไม่ได้ยินข่าวเรื่องภาพวาดนี้เลยเหรอ? ฉันคิดว่านายควรจะช่วยฉันมากกว่านะ”


เยฟิมหรี่ตา ยิ้มพลางพูดว่า “เพื่อนยาก สบายใจได้ ฉันก็จะไม่ยอมดูนายซวยเหมือนกัน สองวันนี้ฉันให้คนจับตาดูเรื่องนี้ไว้อยู่ ถ้ามีข่าวอะไร ฉันจะรีบแจ้งให้นายรู้ทันที”


“ขอบคุณมากๆ เลยนะ เพื่อนยาก”


“ใครให้พวกเราเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ดีต่อกันล่ะ?”


หลังจากนั้นเยฟิมก็ตัดสายโทรศัพท์ ตอนที่วางสายโทรศัพท์ เขาก็ออกแรงปักมีดในมือลงบนโต๊ะ หัวเราะอย่างเลือดเย็นแล้วพูดว่า “ดูท่าเพื่อนยากคนนี้จะหมดประโยชน์ซะแล้ว…”


เขาจึงยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง



ภรรยาของเขายังอยู่ที่บ้านพักตากอากาศ


พอกลับมาถึงตอนเที่ยงคืน วิคเตอร์ก็โทรศัพท์ไปคุยกับภรรยามาแล้ว…นี่แทบจะเป็นช่วงเวลาที่วิคเตอร์ผ่อนคลายที่สุดในหลายวันมานี้เลย


เขานอนดูเพดานเงียบๆ อยู่บนเตียงในอะพาร์ตเมนต์ของตนเองในเมือง…ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น


นี่เป็นเบอร์แปลก


แต่แน่นอนว่า เสียงที่ดังมาจากปลายสายไม่ใช่คนแปลกหน้าเลย


“คุณวิคเตอร์ ผมเองนะครับ”


นี่เป็นเสียงของเยฟิม “ผมคิดว่า เราจำเป็นต้องคุยกันอย่างจริงจังอีกครั้ง พรุ่งนี้คุณสะดวกไหมครับ?”


บทที่ 49 กับดัก

โดย

Ink Stone_Fantasy

แสงตะวันส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา เป็นแสงสว่างสาดแสงไปทั่วห้อง เปลือกตาของเวร่าขยับเล็กน้อย แล้วก็ลืมตาขึ้น


เธอสูดอากาศบริสุทธิ์ของวันใหม่…ถึงแม้ว่าสุขภาพยังแย่อยู่บ้าง แต่อารมณ์ของเธอดูดีทีเดียว


หลังจากเธอลุกขึ้นนั่ง ออกแรงบิดขี้เกียจไปรอบหนี่งแล้ว เธอก็เห็นการ์ดดำเล็กๆ ใบหนึ่งวางอยู่ข้างหมอน


การ์ดดำนี่มีขนาดเท่าไพ่โป๊กเกอร์ที่เธอใช้เล่นมายากลไพ่โป๊กเกอร์


เวร่าขมวดคิ้ว เธอจำไม่ได้เลยว่าเธอมีของแบบนี้ด้วย…แต่เธอก็ไม่ได้สนใจมากนัก


สำหรับเธอแล้วการยืนหยัดให้ผ่านคืนพระจันทร์เต็มดวงไปได้อีกคืน ถือเป็นเรื่องที่มีความสุขได้ตลอดทั้งเดือนเลย จนกว่าพระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อไปจะมาถึง


เธอใช้นิ้วหนีบการ์ดดำใบนี้ขึ้นมา ทำเหมือนไพ่โป๊กเกอร์ที่เล่นตามปกติ เธอเขวี้ยงมันออกไปตรงๆ การ์ดดำร่อนออกไป ในที่สุดก็ชนกับผนังห้อง หลังจากนั้นก็ร่วงลงไปตามผนัง กลายเป็นหนึ่งในของจิปาถะมากมายภายในห้องนี้


เวร่ากำลังมองดูลักษณะห้องนี้ แล้วส่ายหน้าพร้อมยิ้มเฝื่อนๆ…เธอไม่อยากหาเรื่องยุ่งยาก ดูท่าก่อนย้ายออกจากห้องเช่านี้ไป ต้องหาคนมาซ่อมแซมจุดที่เสียหายในห้องนี้ให้ดีๆ แล้ว


เวร่าลงจากเตียง แล้วเดินออกมานอกห้องโดยมีผ้าคลุมเตียงห่อร่างกายเอาไว้


สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกก็คือวิคก้า


เวร่าส่ายหน้า เธอมองดูวิคก้าที่หันเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้าห่างจากหน้าประตูห้องไปสองเมตร


ในมือของเขายังถือมีดปอกผลไม้เล่มหนึ่ง ส่วนตอนนี้…เขากำลังสัปหงกอยู่


เวร่าเดินเข้าไปใช้เท้าเตะไปที่ขาเก้าอี้ สะเทือนจนวิคก้าตื่นขึ้นมาทันที มีดปอกผลไม้ในมือร่วงลงไปบนพื้น เสียงดังแกร๊ง “เว เวร่า! คุณฟื้นแล้ว! เป็นอะไรหรือเปล่า?”


วิคก้ารีบลุกขึ้นยืน


เวร่าพูดเสียงเบาๆ ว่า “ถ้ามีมื้อเช้ารสเลิศสักมื้อ ฉันคิดว่าฉันคงดีขึ้นกว่านี้อีก”


“อ้อ! รอผมแป๊บเดียว ขอแค่คุณกินได้ ผมก็อยากยกของกินในตู้เย็นทั้งหมดให้คุณจนใจจะขาดอยู่แล้ว!” วิคก้าพูดด้วยสีหน้าโอเวอร์ว่า “ขอแค่คุณไม่กินผมก็พอ!”


เวร่ามองตาค้อน จากนั้นก็กางนิ้วตนเองออก ชูนิ้วกลางยื่นไปทางวิคก้า


“จริงสิ นายอุ้มฉันไปนอนบนเตียงเหรอ?” เวร่าเปิดทีวีแล้วหันไปถามวิคก้าที่กำลังทำอาหารเช้า


“ผมกล้าเข้าไปที่ไหนกันล่ะ!” วิคก้าส่ายหน้าบอกว่า “ครั้งนี้คุณรู้จักปีนขึ้นเตียงแล้วเหรอ?”


เวร่าส่ายหน้า “ฉันลืมแล้วล่ะ…สงสัยคงใช่ล่ะมั้ง”


เวร่าใจลอยไปชั่วขณะหนึ่ง…เธอจำได้ว่าตัวเองล้มลงบนพื้น และจำได้รางๆ ว่า…ได้ยินเสียงแปลกๆ อะไรด้วย


หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เวร่าก็มองวิคก้าตรงๆ พลางพูดว่า “เตรียมเครื่องมือของนายให้พร้อม คืนนี้ฉันจะลองไปดู ‘ป้อมปราการ’ ของเยฟิมสักหน่อย!”


“วันนี้?” วิคก้าพูดอย่างงงงัน “คุณแน่ใจเหรอ? ตอนนี้คุณน่าจะต้องพักผ่อนนะ”


“ฉันดีขึ้นมากแล้ว กลางวันก็น่าจะเต็มร้อยแล้ว” เวร่าพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถึงร่างกายฉันจะไม่ถือว่าดีขึ้นเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าคนทั่วไป…ถือว่าไปยืดเส้นยืดสายหน่อยแล้วกัน!”




“ท่านครับ คุณวิคเตอร์มาถึงแล้วครับ”


ลูกน้องคนสนิทพาเขามาส่งถึงชั้นบน วินาทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ท่าทางของเยฟิมก็ปรากฏอยู่ในสายตาของวิคเตอร์


“ฮ่าๆๆ! วิคเตอร์ที่รัก ผมรอคุณมานานแล้ว”


เสียงหัวเราะเบิกบานราวกับเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันนานหลายปี รอยยิ้มจริงใจบนใบหน้าเยฟิม ถึงกับทำให้วิคเตอร์เข้าใจผิดว่า…คนคนนี้คือเพื่อนเก่าที่คบมาหลายสิบปีของเขา


วิคเตอร์ยิ้มแล้วพูดว่า“เรื่องที่สถานีตำรวจเยอะเหลือเกิน ให้อภัยผมด้วยนะครับ ผมพอมาได้แค่ช่วงค่ำๆ เท่านั้น”


เยฟิมเดินเข้ามากอดเขายกใหญ่ หลังจากนั้นก็โอบบ่าเขา พาเข้าไปข้างใน แล้วยังพูดแบบอัธยาศัยดีว่า “เมื่อกี้ผมเปิดเหล้าเด็ดๆ ไว้ขวดหนึ่ง นี่เป็นของดีที่ผมประมูลกลับมาได้จากซัทเทบีส์*ที่อิตาลีเมื่อปีที่แล้ว คุณต้องลองชิมสักหน่อยแล้ว!”


“งั้นหรือครับ?” วิคเตอร์พูดอมยิ้ม “งั้นคงต้องลองชิมดูจริงๆ แล้วนะครับ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าชาตินี้ผมคงไม่มีโอกาสแล้ว”


“ฮ่าๆๆๆ!” เยฟิมหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “ไม่หรอก หลังจากนี้คุณจะมีโอกาสมากขึ้นต่างหาก! ขอเพียงคุณชอบ คุณจะไม่ได้ชิมเหล้ารสดีพวกนี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคุณจะกลายเป็นคนที่มีกำลังซื้อเหล้าดีๆ พวกนี้ด้วย!”


วิคเตอร์ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร


เยฟิมเปิดขวดเหล้า พลางพูดว่า “ปีนี้ผมอายุห้าสิบสี่ปีแล้ว ผมออกมาดิ้นรนข้างนอกตัวคนเดียวตั้งแต่อายุสิบสามปี คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมตอนแรกผมถึงออกมาดิ้นรนเอง?”


“อยากรู้เหมือนกันครับ”


“รองเท้าหนังหนึ่งคู่” เยฟิมหวนนึกถึงอดีตพลางเล่าว่า “เศรษฐกิจตอนนั้นไม่เหมือนตอนนี้ ประเทศลงแรงไปกับการพัฒนาด้านทหาร…พอด้านทหารพัฒนาไปแล้ว วงการอื่นๆ กลับพัง ตอนนั้นผมยังเรียนหนังสืออยู่ คุณรู้อะไรไหม? ในฤดูหนาวผมสวมได้แค่รองเท้าเก่าๆ ขาดๆ คู่หนึ่ง เป็นเป้าให้คนทั้งชั้นเรียนหัวเราะเยาะ นับตั้งแต่นั้นมาผมก็สาบานว่า ขอเพียงเป็นสิ่งที่ผมต้องการ ผมจะต้องหาวิธีเอามาให้ได้”


วิคเตอร์พูดอย่างเฉยเมยว่า “ตอนนี้คุณเยฟิมก็มีทรัพย์สินมหาศาลแล้วนี่ครับ”


เยฟิมหัวเราะฮาลั่นแล้วพูดว่า “มา ดื่มกัน อย่าไปพูดเรื่องน่าอึดอัดกันเลยครับ! ดื่มเสร็จเรามาคุยเรื่องอื่นกัน!”


วิคเตอร์หรี่ตาลงพลางพูดว่า “วันนี้คุณเยฟิมดูดีใจเกินไปหน่อยหรือเปล่าครับ? โปรดอย่าลืมนะครับ ว่าสถานการณ์ของคุณไม่ค่อยสู้ดีนัก”


“ไม่หรอก…สถานการณ์ยิ่งแย่เท่าไร ก็แสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์จำนวนมากที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเท่านั้น” เยฟิมตบบ่าวิคเตอร์เบาๆ พลางพูดว่า “คุณตามผมมาสิ!”


เขาพาวิคเตอร์มาถึงบริเวณกลางห้องรับแขก ตอนนี้ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ตั้งเงียบๆ อยู่บนโต๊ะกลางห้อง


มันวางราบไปกับโต๊ะ


เยฟิมยิ้มพลางพูดว่า “ในฐานะที่เป็นคนมอสโก ผมคิดว่าคุณต้องรู้แน่นอน ว่าภาพนี้คือภาพอะไรสินะครับ?”


วิคเตอร์สังเกตดูแวบหนึ่ง เขาพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พูดปลงว่า “ภาพราคาสองร้อยหกสิบล้านยูโร โลกนี้มันบ้าไปแล้ว ว่าแต่คุณเยฟิม คุณให้ผมดูภาพนี้ แค่เพื่อโอ้อวดผมเท่านั้นเหรอครับ?”


“ไม่ครับ!ผมคิดจะมอบภาพนี้ให้คุณ” เยฟิมพูดขึ้นทันทีว่า “และผมบอกคุณได้เลยว่า นี่เป็นภาพของแท้แน่นอน!”


วิคเตอร์ขมวดคิ้ว


เขาไม่เข้าใจว่าที่เยฟิมบอกว่าเป็นของแท้แน่นอนหมายความว่าอย่างไรกันแน่…เหมือนยังมีของปลอมอยู่อย่างไรอย่างนั้น


ที่เขารู้ ในคลิปวิดีโอที่ยูริส่งให้เขานั้นไม่ได้พูดถึงตัวภาพไว้ละเอียด สิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้จากวิดีโอนี้ก็แค่ยืนยันว่าภาพถูกเยฟิมซื้อไปเป็นการส่วนตัวเท่านั้น


ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ เป็นเหมือนสมบัติของโลกที่ตกทอดกันมา ถือได้ว่าเป็นสมบัติของชาติ


พฤติกรรมของเยฟิมก็เป็นการซื้อขายสมบัติของชาติเอาเอง โทษแบบนี้ใช่ว่าจะหลุดพ้นไปได้ง่ายๆ


“คุณอยากให้ผมทำอะไร?” แต่ขณะเดียวกันเขาก็ฉลาดพอที่จะรู้สึกได้ว่า เยฟิมยังมีแผนการอีก


เยฟิมพูดว่า “ลูกน้องของคุณไปสืบพบคลิปวิดีโอนั้นมาได้ยังไงเหรอครับ?”


วิคเตอร์ส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “พวกเรายังไม่ได้ตกลงร่วมมือกัน แน่นอนว่า…ผมจะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้หรอกครับ”


เยฟิมถูฝ่ามือแล้วพยักหน้าเล็กน้อย พลางพูดว่า “คุณทำถูกแล้ว ควรต้องระมัดระวังทุกฝีก้าวจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้คุณไม่ต้องเริ่มสืบจากลูกน้องของคุณก็ได้ เพราะผมรู้ว่าคลิปวิดีโอนี้หลุดออกมาได้ยังไงกันแน่”


“ครับ?”


“ต่อไปคุณก็แค่พิสูจน์ให้ผมเห็น ว่าคุณมีความสามารถเพียงพอที่จะเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจ” เยฟิมหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ภาพนี้ถูกพบอยู่ในบ้านคนคนหนึ่ง ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับผิด แต่อย่างน้อยก็ไม่อาจหนีพ้นความผิดที่ครอบครองสมบัติของชาติแบบนี้ได้ ใช่ไหมครับ?”


วิคเตอร์นิ่งถามอย่างใจเย็นว่า “อีกฝ่ายหนึ่งเป็นใครกันครับ?”


เยฟิมพูดช้าๆ ว่า “ก็เป็นคนที่เมื่อก่อนหนีไป แล้วกล่าวอ้างตนว่าเป็นคนตระกูลดัง ส่วนตอนนี้สิ่งที่เขาทำก็ใช่ว่าจะเป็นธุรกิจถูกกฎหมาย…สิบกว่าปีมานี้ คนในตระกูลนี้อาศัยการค้าอาวุธเถื่อนเริ่มต้นชีวิตใหม่อันรุ่งโรจน์ เดิมทีพวกเขาน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่โมร็อกโก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ช่วงนี้คนของพวกเขาถึงมามอสโก…อย่างที่คุณรู้ การขนส่งทางแม่น้ำของเมืองนี้เจริญรุ่งเรืองมากขนาดไหนกัน!”


ดูเหมือนว่าวิคเตอร์จะเดาแผนการของเยฟิมได้แล้ว


เป็นอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้


เยฟิมยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูดว่า “หาสมบัติของชาติกลับคืนมาได้ และยังจับทายาทตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่ค้าอาวุธเถื่อนคนนี้ได้…โอ้ว วิคเตอร์สหายรักของผม ของขวัญชิ้นนี้ คุณชอบหรือเปล่า?”


*ซัทเทบีส์ คือสถาบันการประมูลระดับโลก


บทที่ 50 ของแท้ของปลอม

โดย

Ink Stone_Fantasy

วิคเตอร์ไม่ได้รีบร้อนตอบรับ เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “แต่แบบนี้ เกรงว่าคุณคงไม่มีทางเอาค่าเสียหายของตัวเองกลับมาได้”


สิ่งที่เขาพูดย่อมหมายถึงเรื่องที่เยฟิมไปตกลงซื้อขายในราคาสูงเสียดฟ้า


เยฟิมหัวเราะเยาะพลางพูดว่า “นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ผมมีแผนต่อไปรออยู่แล้ว”


วิคเตอร์พูดช้าๆ ว่า “เจตนาที่แท้จริงของคุณเยฟิม คงไม่ใช่แค่แก้แค้นทายาทตระกูลดีคาปี้เพียงอย่างเดียวสินะครับ”


เยฟิมโอบบ่าวิคเตอร์อย่างสนิทสนม แล้วพาเขาเดินมาตรงหน้าผนังกระจกใสที่อยู่ในชั้นนี้ เขากำลังมองดูวิวข้างนอกด้วยท่าทางโอหัง


เขาใช้น้ำเสียงอย่างผู้ประสบความสำเร็จ ยิ้มอย่างมั่นใจพลางพูดว่า “บนโลกใบนี้ ไม่มีเรื่องที่ทำไม่ได้ จะมีก็แต่เรื่องที่คุณคิดไม่ถึงเท่านั้นเอง ทำไมคนเก่งส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ถึงไม่ประสบความสำเร็จไปชั่วชีวิต? นั่นก็เพราะพวกเขาคิดไม่ถึง หรือไม่กล้าคิด และไม่กล้าทำอย่างคุณ…”


เขามองวิคเตอร์ “หลายปีผ่านมานี้ ทำไมคุณถึงยังเป็นได้แค่หัวหน้าตำรวจสืบสวนตำแหน่งเล็กๆ อยู่ล่ะ? คุณมีความสามารถมากพอ และแน่นอนว่าคุณมีสิทธิ์จะโลภมาก และทำได้ด้วย! อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากผมอีก ชีวิตของคุณหลังจากนี้จะต้องสดใสแน่นอน”


วิคเตอร์ยิ้มขอบคุณ


เขายื่นมือออกไปทางเยฟิม พลางพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น หลังจากนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”


“ฮ่าๆ!ผมชอบคนตรงไปตรงมาแบบนี้แหละ!” เยฟิมจับมือวิคเตอร์


เขาดีใจที่สองคนมีความเห็นตรงกันแบบนี้ ส่วนวิคเตอร์จะทำในสิ่งที่เขารอคอยได้มากน้อยแค่ไหนกันแน่นั้น…จะได้มากน้อยแค่ไหนก็ไม่เป็นไร หากเกิดความขัดแย้ง งั้นก็แค่เปลี่ยนเป็นอีกอย่าง


ก็เหมือนอย่างหัวหน้าสถานีตำรวจสหายเก่าแก่ของเขา ที่กำลังลำบากในงานราชการช่วงนี้


เพียงแต่เขากลับต้องแข็งทื่อกับการกระทำของวิคเตอร์ตอนนี้…เพราะกุญแจมืออันหนึ่งได้ใส่อยู่บนข้อมือของเขาแล้ว


วินาทีที่จับมือนั้น วิคเตอร์ก็ล้วงกุญแจมือมาจากทางด้านหลังทันที ก่อนใส่กุญแจมือเขาเบาๆ


และล็อกกุญแจมือช้าๆ



“คุณ…คุณทำอะไร?” เยฟิมขมวดคิ้ว


วิคเตอร์พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “คุณเยฟิม ตอนนี้ผมกำลังจับกุมคุณอย่างเป็นทางการ เพราะคุณต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสมบัติของชาติกันเองและครอบครองสมบัติของชาติอย่างผิดกฎหมาย รวมทั้งต้องสงสัยว่าติดสินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วผมก็ยังสงสัยว่าคุณอาจทำธุรกิจผิดกฎหมายอีกด้วย อ้อ ใช่แล้ว คุณก็เพิ่งให้ผมดูหลักฐานไปเมื่อกี้นี้เอง ใช่ไหมครับ”


รอยยิ้มที่ค้างคลายหายไปทันที


เยฟิมเบิกตาโพลง…แต่เขาก็รีบกลั้นความโกรธเอาไว้ แล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “คิดไม่ถึงว่าผมจะถูกการแสดงลวงโลกหลอกเอาได้แบบนี้ แต่ว่า คุณคิดจริงๆ เหรอว่าจัดการผมได้แล้ว?”


“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องตัดสินใจ” วิคเตอร์พูดด้วยแววตาไร้ความรู้สึก “นี่เป็นเรื่องของศาล สิ่งที่ผมทำก็แค่จับกุมผู้กระทำความผิดเมื่อมีหลักฐานเท่านั้นเอง”


“ผู้กระทำความผิด” เยฟิมพูดอย่างเหยียดหยาม เขาส่ายหน้าพูดเชิงหยอกล้อว่า “แต่คุณอย่าลืมไปล่ะว่า ที่ที่คุณกำลังยืนอยู่ตอนนี้เป็นของใคร…คุณจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่เลย”


วิคเตอร์ใส่กุญแจมืออีกข้างมาที่ข้อมือตนเองด้วยเหมือนกัน เขายักไหล่แล้วพูดว่า “ผมคิดว่าลูกน้องของคุณน่าจะไม่กล้าทำอะไรผมหรอก”


เขาล้วงโทรศัพท์ออกมา “ฉันเอง รีบพาทีมมา ที่อยู่คือ…อืม ก็บอกว่าฉันหาภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ เจอแล้วไง แล้วยังจับผู้ต้องหามาได้ด้วย”


วิคเตอร์มองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ “น่าจะประมาณสิบกว่านาที…คุณเยฟิมครับ พวกเราควรดื่มเหล้าที่คุณประมูลได้เมื่อปีที่แล้วให้หมดดีหรือเปล่าครับ? เพื่อฉลองที่คุณติดกับดัก?”


เยฟิมกลับส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำ แล้วออกแรงดึงแขนตัวเอง


รูปร่างของเขาถือว่าสูงใหญ่ พละกำลังยิ่งมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ ระหว่างที่ดึงแขนขึ้นนี้ก็ทำเอาวิคเตอร์ลุกขึ้นยืนโงนเงนไปทั้งตัวเลยทีเดียว


วิคเตอร์ตกใจมาก เขาไม่เคยคิดว่าคนพุงโย้คนนี้จะมีแรงมากขนาดนี้ นี่เป็นวินาทีที่ตัวเขาถูกมือสองข้างของเยฟิมรัดไว้แน่น


“ตำรวจสืบสวนเล็กๆ คนหนึ่งอย่างคุณ ผมไม่ถือสาที่คุณขู่ผม แต่ยังให้โอกาสคุณร่วมมือกับผม คาดไม่ถึงว่าคุณจะทิ้งมันไป!!”


วิคเตอร์รู้สึกว่าสองแขนของตนเองถูกเยฟิมบีบแน่นจนแทบจะหัก…ตัวของเจ้าหมอนี่ไม่ใช่ไขมันเละๆ นิ่มๆ แต่เป็นกล้ามเนื้อที่ถือว่าแข็งแรงเลยทีเดียว


“ผมยังจะเพิ่มความผิดคุณอีกหนึ่งกระทง นั่นก็คือทำร้ายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่! วิคเตอร์ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่อาจดิ้นหลุดออกมาได้


เขาโดนรัดอย่างรุนแรง จนเริ่มหายใจลำบากขึ้น!


เพล้ง!


ผนังกระจกแตกกระจายในชั่วพริบตา แล้วร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในห้องนี้จากท้องฟ้ายามราตรี


กระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายอยู่บนพื้น ตอนนี้เยฟิมรัดตัววิคเตอร์ไว้ด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด และที่เห็นตรงหน้าก็คือผู้หญิง…สวมหน้ากากตัวตลกและชุดหนังสีดำ!


เสียงพูดที่ดังผ่านเครื่องแปลงเสียงออกมาพูดว่า “อ้อ คุณเชิญต่อเลย ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันแค่มาเอาของนิดหน่อย”


พูดจบสาวที่สวมหน้ากากตัวตลกคนนี้ก็พุ่งพรวดไปตรงหน้าภาพวาดบนโต๊ะ แล้วใช้มือหนึ่งโฉบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว!


“แกกล้าเหรอ!”


เยฟิมถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ แล้วตัดสินใจปล่อยตัววิคเตอร์ ก่อนพุ่งเข้ามาทางหญิงสาวคนนี้ แต่ถึงแม้เขาจะมีพละกำลังมหาศาล แต่ด้วยร่างกายที่ใหญ่โต จึงทำให้เขาดูงุ่มง่ามไปมาก


“เป็นครั้งแรกที่แทบไม่ได้ใช้ฝีมือเลยแฮะ” เธอส่ายหน้า “ก็แค่ขโมยไปเอง”


เธอส่ายหน้าอย่างไม่แยแส ก่อนล้วงท่อโลหะหนาเท่านิ้วแท่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ที่ห้อยอยู่ตรงช่วงเอว ก่อนจะโยนทิ้งไปบนพื้น


ปลายท่อโลหะทั้งสองด้านยื่นออกมา แล้วปล่อยหมอกสีขาวจำนวนมากออกมาอย่างรวดเร็ว!


“อ๊า!!!”


เยฟิมยังคงแผดเสียงคำราม ทำได้แค่พุ่งออกมาจากวงล้อมของหมอกควันพวกนี้ แต่ก็ไม่ทัน เขาได้แต่มองหญิงสาวลึกลับคนนี้เอาภาพนั่นหนีไปทางหน้าต่างที่แตกเท่านั้น โดยไม่สามารถหยุดเธอไว้ได้!


เขารีบวิ่งไปที่ขอบหน้าต่าง ก็เห็นหญิงสาวคนนี้โหนตัวลงไปตามสลิงเชือก จนลงมาถึงพื้นดินในที่สุด หลังจากมองดูยัยคนนี้ลงถึงพื้นแล้วยังโบกมือยั่วโมโหเขา เขาก็คว้าเชือกเส้นนั้นขึ้นมาด้วยความโกรธแค้น ดึงแรงๆ อยู่หลายครั้ง


“อ๊าก!! อ๊าก!!! อ๊าก!!!!!!”


มีเพียงแผดเสียงร้องแบบนี้เท่านั้น ถึงจะระบายความโกรธแค้นภายในใจของเขาได้


“ท่านครับ!”


ในที่สุดลูกน้องของเขาก็พุ่งเข้ามา แล้วยื่นมือไปปัดควันหนาๆ พวกนั้นออก จนเดินมาถึงตรงหน้าเขา ลูกน้องคนสนิทกำลังมองวิคเตอร์ที่ล้มกองอยู่บนพื้น


ดูเหมือนว่าเขาจะสลบไปแล้ว


เพียงแต่ข้อมือเขากับเยฟิมยังคงถูกล็อกกุญแจไว้ด้วยกัน


ลูกน้องคนสนิทจึงได้แต่ถามอย่างร้อนใจว่า “นี่…เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ?”


“F&C” เยฟิมกำหมัดชกไปบนกระจกบานหนึ่งข้างๆ ตัวอย่างแรง “F&C ตัวจริงมาแล้ว!ไอ้ตัวตลกน่าตายนี่มันขโมยรูปของฉันไปแล้ว!!”


“ท่านครับ นี่…” ลูกน้องคนสนิทขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นี่มันภาพปลอมที่ท่านจะใช้ใส่ร้ายตระกูลดีคาปี้ไม่ใช่เหรอครับ? ขโมยไปก็ช่างเถอะครับ ขอแค่ท่านปลอดภัยก็พอ”


“ไอ้โง่!”


เยฟิมกัดฟันพูด “แกคิดว่าภาพปลอมภาพเดียวจะกำจัดพวกมันได้เหรอ? พวกมันไม่ตายแค่เพราะของปลอมนั่นหรอก ซื้อมาใช้ตกแต่งบ้านไม่ได้หรือไง? กฎหมายบัญญัติว่าไม่อนุญาตให้ครอบครองของเลียนแบบภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ งั้นเหรอ? ถ้าฉันไม่เอาภาพของจริงที่ซ่อนไว้ออกมาโชว์ แล้วจะจัดการมันให้อยู่หมัดได้ยังไง! สุดท้ายแล้วภาพนี้ก็จะถูกส่งคืนให้แกลเลอรีอยู่ดี แต่ฉันก็มีวิธีเอามันออกมา!”


“นี่…” ลูกน้องเครียดเหงื่อท่วมทันที


“ไปตามจับตัวตลกคนนี้มาให้ฉัน!” เยฟิมพูดอย่างโกรธแค้น “ต่อให้พลิกทั้งเมืองหาก็ต้องหาผู้หญิงคนนี้ให้พบ! ฉันจะให้มันตายทั้งเป็นนี่แหละ!!”


“พวกแก รีบไปตามจับตัวตลกนั่นซะ!” ลูกน้องคนสนิทรีบสั่งลูกน้องเสียงดังทันที


ลูกน้องกลุ่มหนึ่งรีบพุ่งลงลิฟต์ไปทันที


“ท่านครับ แล้วจะจัดการกับวิคเตอร์คนนี้ยังไงดีครับ?” เยฟิมขมวดคิ้ว มองวิคเตอร์ที่สลบไป ทำเสียงเหอะแล้วพูดว่า “กำจัดทิ้งซะ…แล้วก็เตรียมรถด้วย ฉันจะไปสนามบิน!”


“ตอนนี้เหรอครับ?”


เยฟิมพยักหน้าเล็กน้อย “ฉันไม่มั่นใจว่าเจ้าวิคเตอร์ยังมีแผนอื่นอีกหรือเปล่า แต่คนปล่อยคลิปต้องเป็นตระกูลดีคาปี้แน่ๆ สองวันมานี้พวกมันยังไม่ยอมเคลื่อนไหว ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า งานประมูลวันนั้นมีคนเห็นฉันเยอะเกินไป ฉันต้องไปหลบที่ต่างประเทศชั่วคราว แบบนั้นฉันก็มีพื้นที่ว่างให้ระวังตัวมากยิ่งขึ้น เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตัวฉันอยู่ต่างประเทศก็ทำอะไรฉันไม่ได้!”


ลูกน้องพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “แต่ท่านครับ ผมเกรงว่าคืนนี้ท่านคงจะไปไม่ได้แล้วครับ”


“ทำไม?” เยฟิมอึ้งไปแล้วพูดว่า “ฉันบอกแกให้จองตั๋วเครื่องบินทั้งสัปดาห์นี้ให้หมดไม่ใช่เหรอ?”


“ขอโทษครับท่าน ผมยังไม่ได้จอง” ลูกน้องพูดช้าๆ


เยฟิมหันมามอง ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างทำให้ใจของเขาเต้นรัว


และในตอนนี้เอง โทรศัพท์ของลูกน้องก็ดังขึ้น “อืม รู้แล้ว…พาพวกเขาขึ้นมาเถอะ…อืม เป็นคำสั่งของท่าน”


“แกปล่อยให้ใครขึ้นมา?” เยฟิมพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ


ลูกน้องพูดอย่างเฉยเมยว่า “ตำรวจครับ”


เขามองวิคเตอร์ที่อยู่บนพื้นแวบหนึ่ง “ผมคิดว่า น่าจะเป็นคนที่จ่าวิคเตอร์คนนี้เรียกมานะครับ”


“แกหักหลังฉัน?!”


ลูกน้องโบกมือพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น “ขอโทษครับท่าน ผมแค่หวังว่าเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นบ้าง อีกอย่างผมก็เบื่อมากเลยครับ…เบื่อที่จะต้องมาคอยเฝ้าหน้าประตูลิฟต์ และทำงานเหมือนพนักงานตรวจรักษาความปลอดภัยในสนามบินตลอด”




หลังจากลงถึงพื้นแล้ว ก็ไม่ได้วิ่งไปไหนไกล เธอซึ่งสวมหน้ากากตัวตลกอยู่วิ่งออกมาจากบริเวณตึกสูงนี้ได้อย่างรวดเร็ว


ในตรอกของถนนสายนี้ เธอกำลังพิจารณาภาพดังที่ในที่สุดก็ตกมาถึงมือของ ‘F&C’ อย่างสง่าผ่าเผย


แต่ว่าเธอก็ไม่ได้มองดูอย่างละเอียด รีบถอดกรอบภาพทิ้งไป แล้วหยิบภาพวาดข้างในมาม้วน ก่อนยัดลงไปในกระบอกใส่ภาพวาดอันหนึ่ง


ตอนนี้เธอเอียงหัวฟังเสียงที่ดังออกมาจากหูฟัง “เวร่า คนของเยฟิมใกล้จะหาตัวคุณเจอแล้วนะ!”


“หืม? ที่จริงก็พอมีความสามารถอยู่นี่ ฝีมือไม่เลวเลย ตามมาทันแล้วงั้นเหรอ” เวร่าถอดหน้ากากออกแล้วยิ้มเล็กน้อย


เธอเดินลึกเข้าไปในซอยเล็กๆ นี้ พลางยิ้มแล้วพูดว่า “นายเตรียมกลับมาเก็บของ ฉันจะไปแกล้งพวกนี้เล่นสักหน่อย”


เธอเดินมาถึงส่วนลึกของซอยนี้แล้ว หลังจากนั้นก็โยนกระบอกใส่ภาพวาดไปข้างๆ ถังขยะ ซึ่งอีกข้างของถังขยะก็มีวัตถุขนาดใหญ่ที่คลุมด้วยผ้าสีดำผืนหนึ่ง!


เวร่าผิวปาก ก่อนดึงผ้าสีดำออก หลังจากนั้นก็พลิกตัวขึ้นไปนั่งคร่อมบนมอเตอร์ไซค์คันใหญ่มหึมาคันนี้!


บรื๊น เสียงคำรามดังขึ้นทันที


เธอขี่มันพุ่งทะยานออกไปจากตรอกนี้!


มันเป็น ดอจ โทมาฮอก* สีดำ!



ดอจ โทมาฮอกสีดำห้อตะบึงไปบนถนนด้วยความเร็วสูง


เครื่องยนต์ความจุกระบอกสูบแปดจุดสาม เพียงพอให้มันแผดเสียงคำรามราวกับมังกรตัวใหญ่ขณะแล่นอยู่บนถนน


เวร่ากำลังเสพสุขกับความเร็วสุดขีด นี่ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น สำหรับเธอแล้ว นี่แหละคือคุณค่าของการมีชีวิต


เธอหันกลับมามองแวบหนึ่ง…ด้านหลังมีรถเก๋งสีดำหลายคันไล่ตามหลังเธอไม่ยอมปล่อย


แต่เธอคิดว่า ถนนในมอสโกที่รถแน่นเบียดเสียดแบบนี้ คิดอยากจะตามดอจ โทมาฮอกให้ทันก็ยากหน่อยนะ!


ในวินาทีที่รถเก๋งคันหนึ่งใกล้จะตามมาทัน เวร่าก็เบี่ยงตัวไปทันที ทำให้ดอจ โทมาฮอกแทรกผ่านระหว่างรถเก๋งสองคันข้างหน้าไปได้อย่างง่ายดาย แล้วก็สลัดรถเก๋งคันที่เกือบจะไล่ตามเธอทันไปได้อย่างสวยงามในชั่วพริบตา


มีรถเก๋งสองคันตรงทางแยกข้างหน้าคิดจะขับย้อนศรพุ่งมา นี่คิดให้เธอตายคาถนนเลยใช่ไหมเนี่ย


เวร่าไม่ได้ตกใจอะไร แต่ออกแรงจับเบรก แล้วขับเคลื่อนรถมอเตอร์ไซค์ดอจโทมาฮอกเลี้ยวไป ตัวแทบจะเอียงจนติดถนน


สุดท้าย ขาของเธอก็ยันลงพื้น ขับมอเตอร์ไซค์ให้ตั้งตรง หักโค้งอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วก็เร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง!


บรื๊น!


มอเตอร์ไซค์ดอจ โทมาฮอกซึ่งมีระดับความเร็วเหนือกว่ารถแข่งส่วนใหญ่ ขณะนี้กำลังพุ่งทะยานด้วยความเร็วดุจวิลอซิซอรัส** และกำลังจะพุ่งประจัญบานกับรถเก๋งคันต่อมา!


“ไม่ต้องกลัว! มันไม่กล้าชนเราหรอก! ก็แค่ขู่ให้เรากลัวเท่านั้น!


“ไม่…อ๊า!!”


แค่คนขับรถเห็นว่าดอจ โทมาฮอกคันนั้นใกล้จะพุ่งชนแล้ว จึงหักพวงมาลัยรถตัวเองหลบตามสัญชาตญาณ…รถเก๋งเฉออกนอกถนน แล้วชนเข้ากับรถเก๋งพวกเดียวกันอีกคันทันที!


บนถนน เสียงเบรกและเสียงรถชนดังขึ้นพร้อมกัน!


ปัง! ปัง! โครมๆๆ!!!


เพียงไม่นาน รถเก๋งก็ชนต่อกันเป็นทอดๆ จนบนถนนดูน่าอนาถไปถนัดตา! เวร่าไม่ได้หยุดจอดรถดอจ โทมาฮอกคันนี้ แต่กลับลุกยืนขึ้นบนรถมอเตอร์ไซค์


เธอถอดหมวกกันน็อก แล้วโยนออกไปนอกถนน ก่อนกางแขนสองข้างของตนเองออก!


รถพยัคฆ์ดอจ โทมาฮอกซึ่งรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วได้มาถึงจุดที่แรงลมปะทะแรงสุด! ลมพัดผ่านอยู่ด้านหลังเวร่า ราวกับกลายเป็นปีกสายลมล่องหน ทำให้ตัวเธอเบาขึ้นสุดๆ ราวกับว่าจะบินขึ้นมาเมื่อไรก็ได้


เธอเปล่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจสุดขีด


เธอรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่



เจ้าของร้านลั่วเดินเข้าไปในส่วนลึกของซอย มองดูกระบอกใส่ภาพวาดที่วางอยู่ข้างๆ ถังขยะนั่น ก่อนแย้มยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเก็บกระบอกใส่ภาพวาดนั้นมาโดยไม่คิดมาก


เขาเปิดเอากระดาษภาพวาดออกมา แล้วกางมันออก


แอนนาที่อยู่ข้างกายเขาหัวเราะเยาะแล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “เกรงว่า F&C คงคิดไม่ถึงแน่ ว่าของที่ตัวเองขโมยมาเสียแรงเปล่า ต้องมาตกอยู่ในมือของคนที่ไม่ได้ลงแรงทำอะไรเลยแบบนี้”


ลั่วชิวพูดไปตามใจคิดว่า “ผมผ่านมาก็เลยเก็บมาเท่านั้นเอง…ตามปกติแล้ว ของที่วางไว้ตรงนี้ก็น่าจะเป็นของที่ไม่มีเจ้าของแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”


แอนนาหัวเราะเยาะไม่หยุด “คุณก็เลยอย่างสบายใจแล้วงั้นเหรอ?”


เธอกำลังคิดว่า ใช้มูลค่าของดวงวิญญาณเธอนิดหน่อย แลกกับให้ตนเองพอกลับมาพูดได้บ้างเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง…อย่างน้อยที่สุด เธอก็ยังพูดเสียดสีประชดประชันอีกฝ่ายได้


อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย


นิดเดียวก็ถือว่าเป็นการปลอบใจนะ


ตอนนี้ลั่วชิวกลับม้วนกระดาษภาพนี้อีกครั้ง แล้วใส่กลับลงไปในกระบอกใส่ภาพวาด ก่อนโยนไปบนพื้น “คุณแอนนาต้องการเห็นจุดจบไม่ใช่เหรอครับ? ไปกันเถอะ ไปดูกัน…สิ่งที่คุณต้องการเห็น”


แอนนากลับพูดอย่างสงสัยว่า “คุณไม่ต้องการภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’นี้แล้ว?”


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “นี่ก็เป็นของปลอมครับ”


ของ…ปลอม?


*ดอจ โทมาฮอก* เป็นมอเตอร์ไซค์แบบ Custom ที่สั่งทำโดยเฉพาะไม่มีวางขายที่ใด ใช้เครื่องยนต์ V10 ของรถสปอร์ต Dodge Viper พลังเครื่องยนต์ 500 แรงม้า และสามารถทำความเร็วสูงสุด 680 กม./ชม. เป็นรถที่มีความเร็วมหาศาล


**วิลอซิซอรัส ไดโนเสาร์พันธู์หนึ่งที่วิ่งได้เร็วดุจกิ้งก่า


บทที่ 51 สามนัด

โดย

Ink Stone_Fantasy

รู้สึกเหมือนมีอะไรตบที่หน้าเขาเบาๆ วิคเตอร์จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ


สิ่งแรกที่เขาเห็นไม่ใช่เยฟิม แต่กลับเป็นลูกน้องของเยฟิมคนหนึ่ง วิคเตอร์รู้สึกคุ้นๆ หน้าลูกน้องของเยฟิมคนนี้มาก


พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันแต่อย่างใด


แต่เขายังไม่ทันได้ตกใจ ก็มีเรื่องน่าตกใจกว่ารออยู่ข้างหน้า


นั่นก็คือท่าทางของเยฟิมตอนนี้! เขาถูกมัดเอาไว้ ท่าทางของเขาดูโกรธแค้นมาก และไม่พอใจกับสถานการณ์แบบนี้อย่างเห็นได้ชัด


แต่เขาก็หมดหนทาง เพราะลูกน้องคนนี้ถือปืนพกกระบอกหนึ่งที่คร่าชีวิตเขาได้เลย


เห็นได้ชัดว่าระหว่างที่วิคเตอร์สลบไปชั่วขณะหนึ่งนั้นได้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น วิคเตอร์ยังพบว่าตัวเขากับเยฟิมไม่ได้ใส่กุญแจมือไว้ด้วยกันแล้ว


เขาอดระแวดระวังไม่ได้ มองดูลูกน้องที่ถืออาวุธไว้ในมือคนนี้…ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายตัวเอง?


วิคเตอร์จึงอดสงสัยไม่ได้


แล้วตอนนี้เอง วิคเตอร์ก็ลุกขึ้นยืน ลูกน้องคนนี้ได้แต่มองดูเขา และยิ้มน้อยๆ


“คุณ…” วิคเตอร์ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า


ตอนนี้ลูกน้องคนนี้ทำมือส่งสัญญาณ วิคเตอร์พยักหน้าเล็กน้อยอย่างลังเล แล้วสองคนก็เดินมาตรงมุมหนึ่ง หันมองเยฟิมที่ถูกมัดไว้อย่างตกใจไปพร้อมๆ กับพูดคุยกัน


ลูกน้องคนนี้เอ่ยปากพูดตรงๆ ก่อนว่า “ผมคิดว่ายังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งนาที เพื่อนร่วมงานของคุณก็จะขึ้นมาถึงที่นี่ เรื่องต่อไปก็มอบให้คุณจัดการแล้วกันครับ”


ขณะที่พูดอยู่นั้น ลูกน้องคนนี้ก็เก็บปืนแล้วยื่นมือทั้งสองข้างไปทางวิคเตอร์


นี่เป็นท่าทางที่คิดจะยอมให้อีกฝ่ายใส่กุญแจมือ


วิคเตอร์ขมวดคิ้ว “ผมไม่เข้าใจความหมายของคุณ”


“ง่ายมากเลยครับ” ลูกน้องพูดอย่างรวดเร็ว “จ่าวิคเตอร์จับผมไปด้วย หลังจากนั้นผมจะยื่นเรื่องขอเป็นพยานบุคคล ยืนยันความผิดของเยฟิม และผมก็จะได้รับการลดหย่อนโทษครับ”


“คุณคือคนของตระกูลดีคาปี้?” วิคเตอร์อดถามอย่างตกใจไม่ได้ มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดแบบนี้! ลองคิดดู เพราะเขาก็ถูกยูริข่มขู่ถึงจำเป็นต้องมาจัดการเยฟิม


ถ้าอย่างนั้น คำพูดของลูกน้องคนนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้ว!


“ผมกับตระกูลดีคาปี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันครับ”


คาดไม่ถึงว่าลูกน้องคนนี้กลับส่ายหน้า ให้คำตอบที่ชวนให้วิคเตอร์งงยิ่งกว่าเดิม “ส่วนที่ว่าเป็นใครนั้น…ผมคิดว่าอีกไม่นานคุณวิคเตอร์ก็จะรู้เองครับ”


ติ๊ง!


นั่นเป็นเสียงดังก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก


ลูกน้องคนนี้รีบพูดกระตุ้นว่า “เอาเลยครับ ใส่กุญแจมือผมด้วยเถอะ!”


“เดี๋ยวก่อน คุณพูดให้เคลียร์ก่อน” วิคเตอร์กลับขมวดคิ้ว


แต่เวลาไม่คอยท่า เขาเห็นแต่ลูกน้องคนนี้ส่ายหน้า แล้วพุ่งกระโจนเข้ามาล้วงเอากุญแจมือของวิคเตอร์มาล็อกมือตัวเอง แถมยังคุกเข่าลงบนพื้นช้าๆ


พอประตูลิฟต์เปิดออก นายตำรวจสามคนในชุดเครื่องแบบก็พุ่งเข้ามา เห็นท่าทีลูกน้องเยฟิมคนนี้คุกเข่าลงบนพื้นพอดี พวกเขาจึงเดินมาตรงหน้าวิคเตอร์ แล้วรีบสอบถามทันที


ลูกน้องคนนี้สบตากับวิคเตอร์ ก่อนพูดขึ้นทันทีว่า “จ่าครับ เยฟิมซ่อนหลักฐานความผิดไว้มากมาย ทั้งหมดอยู่ในห้องนิรภัยด้านหลังตู้หนังสือชั้นบนนั่นแหละครับ…ผม ผมยินดีเป็นพยานบุคคลชี้ความผิด จริงๆ นะครับ! ผมขอแค่ได้รับโทษสถานเบาก็พอ!”


“โอ้ พระเจ้า!จ่าวิคเตอร์ ตอนนี้พวกเราควรจะทำยังไงดีครับ?” นายตำรวจคนหนึ่งได้ยินดังนั้นก็รีบหันมามองวิคเตอร์


ขี่หลังเสือยากที่จะลงได้


วิคเตอร์สูดลมหายใจไปเฮือกหนึ่ง แล้วค่อยๆ พูดขึ้นว่า “คุณลองขึ้นไปดูชั้นบนว่ามีห้องนิรภัยหรือเปล่า แล้วก็ให้คนที่อยู่ข้างล่างคอยดูทางเข้าออกของตึกนี้ไว้ อย่าเพิ่งให้ใครออกไปจากตึกนี้”


“รับทราบครับ!” นายตำรวจทำความเคารพ แล้วรีบไปจัดการ



ตึกสูงใหญ่นี้สะดุดตามากและมีชื่อเสียงมากพอในละแวกนี้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ถนนจะไร้ผู้คนจริงๆ ข้างล่างตึกกลับมีรถตำรวจหลายคันล้อมไว้


อีกทั้งคนที่มุงดูเห็นเหตุการณ์ก็เห็นตำรวจหลายนายจับกุมคุณเยฟิมผู้มีชื่อเสียงออกมาได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ไม่มีนักข่าวอยู่ในเหตุการณ์ แต่แสงแฟลชจากมือถือของคนที่มุงดูก็ไม่ได้ต่างจากนักข่าวในเหตุการณ์สักเท่าไร


วิคเตอร์เดินออกมา เขาจุดบุหรี่มวนหนึ่ง ค่อยๆ สูบอย่างช้าๆ มองดูภาพตรงหน้าที่เยฟิมถูกนำตัวขึ้นรถไป แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสบายใจเลย


ตอนนี้จู่ๆ เขาก็มองเห็นรถตู้อาร์วีสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ข้างๆ ถนน วินาทีที่กระจกประตูหลังคนขับรถตู้อาร์วีลดลง วิคเตอร์ก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของคนคนหนึ่ง


นั่นคือโบโลดอฟ คนที่บอกเขาตอนแรกว่ามีการจัดประมูลภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ครั้งแรกที่โรงแรม


ความตกใจของวิคเตอร์ก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก


เขาสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็ว แล้วเดินลงบันไดมาสั่งการนายตำรวจ ก่อนแหวกผ่านฝูงชน แล้วเดินไปอ้อมข้างๆ รถตู้อาร์วีคันนี้เงียบๆ ไปนั่งอีกฝั่งตรงที่นั่งด้านเบาะหลังในรถตู้อาร์วี


“ดีใจที่เห็นคุณปลอดภัยออกมา วิคเตอร์” โบโลดอฟยิ้ม “ผมคิดไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ คุณทำให้ผมตกใจมากจริงๆ”


“โบโลดอฟ คุณบอกผมมาตามตรง…คุณทำเรื่องอะไรเอาไว้?” วิคเตอร์ถามด้วยสีหน้าจริงจัง


โบโลดอฟหลับตา พลางพูดขึ้นช้าๆ ว่า “วิคเตอร์ คุณยังจำตอนหนุ่มๆ ได้ไหม ว่าความฝันของผมคืออะไร?”


วิคเตอร์อึ้ง ไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงเรื่องนี้ทำไม แต่เขายังพยักหน้าเล็กน้อย “คุณเคยบอกว่า คุณอยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ คุณก็เลยต่อสู้เพื่อสิ่งนี้มาโดยตลอด ในที่สุดตอนนี้คุณก็ถือว่าเข้ามาถึงสังคมชั้นสูงได้แล้ว โบโลดอฟ ด้วยอำนาจของคุณในตอนนี้ คุณสามารถทำเรื่องบางอย่างเพื่อประเทศนี้ได้แล้ว”


“แต่มันยังไม่พอน่ะสิ” โบโลดอฟส่ายหน้า “ถึงแม้ผมจะเป็นนักธุรกิจมีเงินมากมายคนหนึ่ง ถึงแม้ผมจะรู้จักข้าราชการมากมาย แต่ยังไงผมก็เป็นได้แค่นักธุรกิจคนหนึ่ง ผมต้องการโอกาสมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้นกว่าเดิม”


พอนึกถึงตำแหน่งของเยฟิมในสภา วิคเตอร์ก็เข้าใจบางอย่างได้ทันที “คุณ…คุณคิดจะนั่งเก้าอี้ของเยฟิม?”


“ครั้งนี้เยฟิมหนีไม่รอดแล้ว” โบโลดอฟแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “พอเขาได้รับโทษก็จะมีคนเสนอชื่อผมมาอยู่นั่งเก้าอี้ของเขาในสภา”


วิคเตอร์กลับต้องเงียบลง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็จ้องมองเพื่อนสนิทหลายปีอย่างโบโลดอฟคนนี้ แล้วค่อยๆ พูดขึ้นว่า “คนสนิทของเยฟิมถูกซื้อตัวไปแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณก็ดึงเขาลงจากเวทีสภาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว…ทำไมต้องรอถึงวันนี้ที่ผมลงมือจับตัวเขาได้สำเร็จด้วยล่ะ?”


“วิคเตอร์ คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? หรือว่าคุณไม่เคยคิดว่าทำไมคุณถึงถูกคนตระกูลดีคาปี้จับตัวไว้ สิ่งที่ผมจะบอกคือ ตระกูลที่กำเริบเสิบสานนี้จับตัวคุณไว้แต่กลับไม่ฆ่าคุณ แถมยังให้คุณช่วยจัดการเยฟิมอีก?” โบโลดอฟพูดกระซิบว่า “วิคเตอร์ อาศัยอำนาจของผมคนเดียวคงไม่พอ ผมต้องการเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่แท้จริงคนหนึ่ง! ผมต้องการคุณ! ตอนนี้หัวหน้าตำรวจของพวกคุณไปไม่รอดแล้ว หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป วิคเตอร์ คุณเตรียมตัวให้ดีๆ งานราชการของคุณจะก้าวหน้าไปอีกขึ้น และเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ด้วย!”


“คุณ…คุณกับตระกูลดีคาปี้ เกี่ยวข้องกันยังไงกันแน่?” วิคเตอร์สูดลมเย็นๆ เข้าไปเฮือกหนึ่งทันที แล้วถามโดยไม่ทันคิด


โบโลดอฟมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็ยิ้มน้อยๆ เท่านั้น “ตอนนี้จะบอกว่าตระกูลดีคาปี้เป็นเพื่อนร่วมทีมกับผมก็ได้”



“นึกไม่ถึงเลย…นึกไม่ถึงเลยว่าเบื้องหลังยังมีจระเข้ตัวใหญ่อีกตัวคิดจัดการเยฟิมอยู่”


แอนนาพูดพึมพำกับตนเองอยู่ที่ด้านหลังรถตู้อาร์วีสีดำคันนี้…เธอเงยหน้าขึ้นมองลั่วชิวในทันที “เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกันแน่ นึกไม่ถึงเลยว่ายูริจะสนิทสนมกับโบโลดอฟด้วย?”


“สนิทสนม?” ลั่วชิวส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกันหรอกครับ…ที่สนิทสนมกันจริงๆ ก็คือทายาทตระกูลดีคาปี้ตัวจริงต่างหาก คุณรู้ไหมว่าตระกูลดีคาปี้ทำธุรกิจอะไร? พวกเขาหวังว่าจะได้เส้นทางการขนส่งทางน้ำเพิ่มมากขึ้น พวกเขาก็เลยมาที่มอสโกเพื่อแสวงหาความร่วมมือเท่านั้นเอง แน่นอนว่าอย่างที่คุณแอนนาเห็นทั้งหมด คนที่ตระกูลดีคาปี้มาหาก็คือคุณโบโลดอฟคนนี้”


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “แล้วคุณยูริก็บังเอิญอยากแก้แค้นเหมือนกัน เขาอยากได้พลังอำนาจไปใช้แก้แค้น…ผมเลยคิดว่า คุณโบโลดอฟน่าจะเป็นขุมอำนาจไว้ใช้แก้แค้นได้ พวกเราจึงเสนอให้เขา”


“ตั้งแต่เมื่อไร…” แอนนาอดยิ้มเจื่อนไม่ได้


ลั่วชิวพูดเสียงเบา “ผมคิดว่า น่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่พวกคุณไปเอาภาพออกมาจากแกลเลอรี โบโลดอฟมีเจตนาจะให้วิคเตอร์มารับตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจคนใหม่ ถึงได้บอกสถานที่ประมูลครั้งแรกกับเขา เขาหวังจะได้รับประโยชน์มากพอให้ดึงวิคเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย…คุณยูริคิดจะแก้แค้นเยฟิม ยิ่งเยฟิมมีจุดจบน่าอนาถเท่าไร เขาก็จะยิ่งดีใจเท่านั้น โบโลดอฟซื้อตัวลูกน้องเยฟิม ซึ่งมีหลักฐานจำนวนมากที่แสดงว่าเยฟิมกระทำความผิดอยู่ในมือ ดังนั้นคุณยูริจึงออกหน้าแสดงน้ำใจกับโบโลดอฟ ให้วิคเตอร์เป็นคนจับกุมเยฟิมในตอนท้าย”


แอนนาขบกรามแน่น


เธอมองดูคนที่ทำให้เธอฟื้นจากความตายชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งเลยสักนิด เธอแค่พูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “โบโลดอฟจะจัดการเยฟิม!ที่จริงเยฟิมไม่มีทางรอดอยู่แล้ว…แต่เรื่องนี้พวกคุณรู้ทั้งรู้กลับยังแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของยูริไป…พวกปีศาจ! พวกคุณนี่ชั่วร้ายยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก!”


ลั่วชิวกลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “พวกเราไม่ได้บังคับใครเลยนะครับ คุณยูริเลือกเส้นทางการแก้แค้นที่ไม่มีวันหันหลังกลับได้นี้ ไม่ใช่เพราะถูกคุณแอนนายิงใส่สามนัดที่ชานชาลาหรอกเหรอครับ?”


ริมฝีปากแอนนาสั่นระริก แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา เธอได้แต่เบือนสายตาตนเองมองดวงจันทร์หลังคืนพระจันทร์เต็มดวง


“ถึงแม้ว่าสามนัดนี้จะยิงใส่คุณยูริจริงๆ ทำให้เขาเสียเลือดไปมาก” ลั่วชิวพูดอย่างช้าๆ ว่า “แต่ผมคิดว่า ก็ไม่ได้มากพอให้คุณยูริเสียชีวิตไป คุณแอนนาคงคิดจุดที่จะยิงไว้ก่อนแล้วสินะครับ? เพราะยิงได้แม่นยำจริงๆ ผมก็เลยอดสงสัยไม่ได้ และแน่นอนว่า…”


เขาส่ายหน้า “ผมคิดว่าคุณยูริไม่ได้สงสัยเรื่องนี้เลย”


“หุบปาก!!!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม