บัลลังก์พญาหงส์ 449-455

บทที่ 449 ไม่ใช่เวลา

 

​บรรยากาศภายในห้องนั้นยิ่งหนักหน่วงกว่าด้านนอกหลายเท่านัก


ถาวจวินหลันสังเกตเห็นสีหน้ากล้ำกลืนของเจียงอวี้เหลียน ดูท่าทางเจียงอวี้เหลียนเองก็รับกลิ่นเช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน


ถาวจวินหลันเดินเข้าไปดูสถานการณ์ของหลิวซื่อ เห็นว่าหลิวซื่ออยู่ในสภาพหนังหุ้มกระดูกแล้ว ใบหน้าซีดขาวไม่น่ามอง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท หายใจรวยริน หากมองผ่านๆ กลับเหมือนคนตายมากกว่าคนเป็น


ถาวจวินหลันมองแล้วใจไม่ดี จึงรีบหันหน้าไปถามบ่าวรับใช้ “ชายาเอกเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว? ป่วยมาแล้วกี่วัน? ทำไมรอให้เป็นหนักแล้วถึงเพิ่งมารายงาน?”


นางรู้ดีว่าอาการป่วยขนาดได้ไม่ได้เพิ่งเกิดแค่วันสองวัน หลิวซื่อน่าจะป่วยมานานหลายวันแล้ว


บ่าวรับใช้ใจฝ่อเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็นั่งคุกเข่าลงไปอย่างแรง “ชายาเอกเป็นอย่างนี้มาสี่ห้าวันแล้วเจ้าค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รุนแรงขนาดนี้เจ้าค่ะ อีกทั้งชายาเอกก็ตั้งใจปิดบังเอาไว้ ไม่ยอมดื่มยาถึงได้อาการหนักเช่นนี้เจ้าค่ะ เป็นบ่าวเองที่ไม่ปรนนิบัติให้รอบคอบ ขอชายารองโปรดลงโทษด้วยเถิดเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันมองบ่าวรับใช้ที่นั่งลงไปคุกเข่ากับพื้นนิ่ง นางเข้าใจเป็นอย่างดี เกรงว่าบ่าวรับใช้คงคิดจะใช้โอกาสนี้หนีไปจากเบื้องหน้าหลิวซื่อ ก็ถูก อารมณ์ของหลิวซื่อไม่มั่นคง แล้วยังถูกกักบริเวณ ปรนนิบัตินางแล้วจะมีอนาคตอะไร? ไม่อยากอยู่ต่อก็ถือว่าสมเหตุสมผล


แต่บ่าวรับใช้ก็พูดถูกเป็นอย่างมาก เพราะพวกนางปรนนิบัติไม่รอบคอบ อาการป่วยของหลิวซื่อถึงหนักเช่นนี้  ถาวจวินหลันจึงแค่นหัวเราะ พลางสั่งเนิบๆ ว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าผิด ก็จะทำโทษสถานเบา โบยตีและหักเงินเบี้ยเลี้ยงช่างเถิด ตั้งแต่วันนี้ไปก็ไปทำความสะอาดห้องน้ำเสีย”


เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป บ่าวรับใช้คนนั้นก็เงยหน้ามองถาวจวินหลันอย่างตื่นตะลึง


ถาวจวินหลันเห็นอย่างชัดเจน ในใจยิ่งรู้สึกเย็นเยียบ แม้ว่าการปรนนิบัติหลิวซื่อจะไม่มีอนาคต และก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ดีมาก แต่ก็ไม่สามารถประมาทเลินเล่อหรือชะล่าใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ หากทุกคนเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็คงพากันไปทำงานสบายๆ มีอนาคตเหล่านั้นกันหมดแล้ว? แล้วงานอย่างอื่นจะทำอย่างไร?


โดยเฉพาะจิตใจที่คิดวางแผนเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่มีทางละเลยไปได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์กันพอดี แล้วอย่างนี้จะดูแลความเรียบร้อยในจวนได้อย่างไร? แค่บ่าวรับใช้ไม่กี่คนก็ทำให้เรื่องในจวนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้!


ดังนั้นพอเห็นบ่าวรับใช้ขอร้อง ถาวจวินหลันจึงเบือนหน้าหนีไม่สนใจ


เมื่อเห็นว่าขอร้องถาวจวินหลันไปก็ไม่เกิดผล บ่าวคนนั้นจึงมองไปยังเจียงอวี้เหลียน ร้องไห้พลางพูดว่า “ชายารองเจียงได้โปรดให้อภัยบ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ! บ่าวผิดไปแล้ว!”


เจียงอวี้เหลียนเบนหน้ามองถาวจวินหลัน หรี่ตามอง ยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าไม่กล้าขอร้องแทนเจ้าหรอก เจ้าทำผิด ชายารองถาวทำโทษเจ้าก็ถือว่าสมควรแล้ว”


บ่าวคนนั้นหน้าซีดเหมือนคนตาย แม้แต่นั่งคุกเข่าก็ยังนั่งไม่ไหว หมอบลงไปนอนร้องไห้กับพื้น


เจียงอวี้เหลียนเห็นว่าถาวจวินหลันไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย ท่าทีเพิกเฉยดูดาย จึงรู้สึกว่าใจกระตุกวูบ ยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าไม่มีผลงานดีแต่ก็ทำงานเหน็ดเหนื่อย อย่างไรก็ปรนนิบัติชายาเอกมานาน แม้ว่าจะเป็นชายาเอกก็คงไม่ยินยอมลงโทษเจ้าเช่นนี้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ลงโทษเจ้าให้ไปทำความสะอาดห้องน้ำก็แล้วกัน ลงโทษให้เจ้าไปเป็นบ่าวชั้นต่ำในสวนแทน”


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็มองไปทางเจียงอวี้เหลียนวูบหนึ่ง กลับสบเข้ากับสายตาของเจียงอวี้เหลียนที่ทอดมองมาพอดี ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน รอยยิ้มของเจียงอวี้เหลียนยิ่งกว้างขึ้นสองส่วน แววตานั้นแฝงไว้ด้วยท่าทีหาเรื่อง แล้วเจียงอวี้เหลียนยังพูดเสียงอ่อนโยนด้วยว่า “ชายารองถาว ท่านว่าจริงหรือไม่?”


ถาวจวินหลันไม่หลบหลีก เพียงแค่ยิ้มและส่ายหน้าพูดอย่างหนักแน่นว่า “การปรนนิบัติเจ้านายเป็นเรื่องสมเหตุสมผล มิเช่นนั้นข้าจะเลี้ยงพวกนางเอาไว้ทำไมกัน? หากทุกคนทำผิดแล้วพูดแก้ตัวเช่นนี้เหมือนกัน แล้วจะเชือดไก่ให้ลิงดูได้อย่างไร? กฎเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้คงไร้ประโยชน์มิใช่หรืออย่างไร? หากเป็นเรื่องอื่นก็แล้วไป ข้าเองจะไว้หน้าเจ้าบ้าง แต่เรื่องนี้กลับปล่อยไปไม่ได้ ชายาเอกป่วยถึงเพียงนี้ จะโบยตีพวกนางจนตายก็ยังไม่เกินไป!”


คำพูดของถาวจวินหลันดูโหดเ**้ยม แต่กลับผิดจากสิ่งที่เจียงอวี้เหลียนคิดเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริงแล้ว นางคิดว่าถาวจวินหลันจะยินยอมลงโทษสถานเบา เพื่อรักษาสถานะภาพลักษณ์ของตนเองเอาไว้ เพราะอย่างไรแล้วจะมีใครไม่รู้บ้างว่าถาวจวินหลันโด่งดังในแง่จิตใจงดงาม? แต่คิดไม่ถึงว่า…


แต่เดิมนางคิดอยากจะฉวยโอกาสนี้ทำให้ถาวจวินหลันไม่พอใจและดูเป็นคนพูดจากลับกลอก แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วคนที่ไม่พอใจและเสียหน้ากลับเป็นตัวนางเอง


เมื่อคิดว่าหน้าตาของตัวเองนั้นถูกกวาดไปเสียหมดสิ้น ใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนก็แดงก่ำด้วยความโมโห เมื่อคิดไปแล้วนางก็ต้องหัวเราะออกมา แต่เพราะไม่ทันได้ควบคุมอารมณ์ให้ดี เสียงจึงฟังดูแหลมสูง “โอ้ ชายารองถาวนี่เป็นอะไรไป? ปกติแล้วออกจะมีจิตใจเมตตามิใช่หรือ? ทำไมวันนี้ถึง…”


จุดประสงค์ที่พูดเช่นนี้ เพื่อเป็นการเยาะเย้ยถาวจวินหลัน  แล้วยังต้องการทำลายภาพลักษณ์ของนางอีกด้วย


ถาวจวินหลันย่อมรู้ว่าเจียงอวี้เหลียนกำลังโจมตีนาง หาว่า่าเจียงอวี้เหลียนกำลังโจมตีว่าปนางเสแสร้งแกล้งทำเป็นมีเมตตา แต่ความจริงแล้วเป็นคนโหดเ**้ยมไร้เยื่อใย นางหัวเราะออกมา สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “มีเมตตาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่กฎเกณฑ์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คงไม่ใช่เพราะข้าใจดีแล้วจะปล่อยความผิดของพวกนางทุกครั้งได้! เจ้าเองก็ดูสภาพของชายาเอกซีว่าเป็นอย่างไร? ข้าจะทนใจดีต่อไปได้อย่างไร? กลับเป็นชายารองเจียงต่างหาก ตอนที่ดูแลจวนก็พูดง่าย มีเมตตามิใช่หรืออย่างไร?”


คำพูดนี้เหมือนตอกหน้ากลับ ทำให้เจียงอวี้เหลียนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย


ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็เม้มปาก แล้วสั่งให้คนลากบ่าวคนนั้นออกไป สุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนก็ยังไม่ได้เผชิญโลกมามาก ฝีมือยังอ่อนหัดนัก ดูไร้ฝีมือและไม่อาจะทนมองได้แม้แต่น้อย


พูดตามตรงแล้ว นางยังคำนึงถึงภาพลักษณ์ที่ไหนกัน? ขอแค่เพียงจัดการดูแลจวนตวนชินอ๋องให้ดี ขอเพียงแค่ทุกคนเชื่อฟังไม่ก่อความวุ่นวาย นั่นก็ดีกว่าอะไรอื่นแล้วมิใช่หรือ? อีกอย่างหนึ่ง นางทำเช่นนี้ถือว่าโหดร้ายที่ไหน? ช่วงปีใหม่หรืองานเทศกาล นางก็ให้สิ่งของและตบรางวัลให้มากกว่าจวนอื่นเล็กน้อย ถ้าเรื่องเหล่านี้ทำให้นางลงโทษบ่าวไม่ได้เลย อย่างนั้นไม่สู้ให้อาหารสุนัขดีกว่าหรือ?


เจียงอวี้เหลียนยืนอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งเงียบขลาดกลัว พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้หลิวซื่อยังสลบไม่ได้สติ หลี่เย่เองก็ไม่ได้มา ภายในห้องนอกจากบ่าวรับใช้สองสามคนก็เป็นถาวจวินหลัน ไม่สู้เงียบไว้จะดีกว่า


ถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้สนใจเจียงอวี้เหลียน ยังคงให้คนไปเปิดหน้าต่างระบายอากาศ จากนั้นก็นั่งรอหมอหลวงอยู่ข้างหน้าต่าง ไม่มีทางอื่นแล้ว หลิวซื่อเป็นถึงขนาดนี้ นางคงไปไหนไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรอให้หมอหลวงมาตรวจก่อนถึงจะทำอะไรต่อได้ หากสถานการณ์รุนแรง ก็คงต้องยอมเหน็ดเหนื่อยมาที่นี่หลายวันหน่อย


ส่วนเหตุผลที่นั่งข้างหน้าต่าง ก็เพราะมีเพียงบริเวณนี้เท่านั้นที่กลิ่นจางอยู่บ้าง


พูดตามความจริงแล้ว กลิ่นนี้ไม่รู้ว่ามีที่มาจากตรงไหน ตามหลักการแล้วหากห้องไม่ได้ระบายอากาศแต่ก็ได้รับแสงแดดทุกวัน ไฉนเลยจะเป็นเช่นนี้ได้?


“อาการป่วยของชายาเอกนอกจากวันนี้แล้ว ปกติยังมีอาการอะไรอีกหรือไม่?” ถาวจวินหลันกวักมือเรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่งมาถาม กดเสียงลงต่ำ “หรือจะบอกว่าปกติแล้วพวกเจ้าก็ไม่ทำความสะอาดห้อง?”


“พวกบ่าวทำความสะอาดทุกวันเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้คนนั้นตอบกลับมา น้ำเสียงยิ่งกดต่ำลง “ไม่รู้ว่ากลิ่นนี้มาจากที่ไหนเจ้าค่ะ รมกลิ่นหอมก็แล้วก็ยังกลบไม่ได้ มีคนแอบพูดว่าเป็นกลิ่นจากตัวชายาเอกเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว “กลิ่นนี้เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?”


“ช่วงสองสามวันนี้จู่ๆ ก็มีกลิ่นแรงเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้คนนั้นตอบ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ตั้งแต่อาการป่วยของชายาเอกเริ่มแย่ลง กลิ่นนี้ก็เริ่มแรงขึ้นเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันมองไปทางเตียง เห็นหลิวซื่อนอนอยู่ในผ้าห่มที่สูงพะเนินจนแทบมองไม่เห็นว่ามีคนนอนอยู่ นางก็สะอึกไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ส่ายหัวไม่ได้ถามอะไรต่อไป “เจ้าถอยไปเถิด หมอหลวงมาถึงก็รีบเชิญเข้ามาเสีย”


ไม่ใช่ว่านางไม่อยากรู้ว่ากลิ่นนี้มาจากที่ไหน แต่ตอนนี้หลิวซื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นางเองก็ไม่อยากทรมานต่อไป ไม่ว่าอย่างไรรอจนหมอหลวงมา ทุกอย่างก็จะกระจ่างชัดเอง


ในที่สุดหมอหลวงก็มาถึง ถาวจวินหลันแทบจะผุดลุกผุดยืนออกไปต้อนรับ ในขณะเดียวกันก็เห็นท่าทีของหมอหลวงที่ขมวดคิ้วอย่างกะทันหันอย่างชัดเจน


เห็นได้ชัดว่าหมอหลวงก็ได้กลิ่นนี้เช่นเดียวกัน


ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ และรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ยังแสดงท่าทีสงบนิ่งออกไปต้อนรับและพูดว่า “ขอเชิญหมอหลวงรีบตรวจอาการชายาเอกด้วยเถิด ชายาเอกสลบไปครู่หนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่ารุนแรงเพียงใด”


ที่จริงแล้วหลิวซื่อมีหมอหลวงมาตรวจอาการจับชีพจรเป็นประจำ แต่เพราะช่วงนี้มีโรคระบาด ถึงได้หยุดพักไป ใครจะรู้ว่าฉับพลันอาการป่วยก็จะทรุดลงจนเป็นเช่นนี้


พูดไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ยังรู้สึกอึดอัดใจ ก่อนหน้านี้แม้จะบอกว่าสุขภาพของหลิวซื่อไม่ดีมาโดยตลอด มีอาการเจ็บออดๆ แอดๆ แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบถึงชีวิต ครั้งนี้ทำไมดูแล้วถึงได้น่ากลัวเพียงนี้?


เมื่อหมอหลวงได้ยินว่าสลบไประยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็ตกใจทันที แม้แต่ประโยคตามมารยาทก็ยังไม่กล้าพูดให้มากความ รีบก้าวเข้าไปตรวจชีพจรให้หลิวซื่อ


มือของหมอหลวงเพิ่งวางลงไป ฉับพลันนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ชีพจรของหลิวซื่ออ่อนแรงไปมาก จนกระทั่งเหมือนจะตายได้ตลอดเวลา


นี่อันตรายเป็นอย่างมาก


แต่อาศัยเพียงการจับชีพจรนั้นไม่สามารถตรวจพบอาการป่วยที่แน่นอนได้ หมอหลวงจึงมองสีหน้าของหลิวซื่อ


ถาวจวินหลันจึงให้บ่าวรับใช้ม้วนม่านขึ้นไป


หมอหลวงมองอยู่ครู่หนึ่ง และก็จับชีพจรอย่างละเอียดอีกทีหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ซักถามอาการป่วย ไม่รู้ว่าอยู่ๆ คิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าถึงดูไม่ดีไปทันที


ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกใจกระตุกวูบ หรือว่าหลิวซื่อจะไม่ดีแล้ว?


พูดตามความจริง นางไม่ยินยอมให้หลิวซื่อเป็นอะไรไป อย่างแรกเพราะไม่ยอมให้หลี่เย่แต่งชายาเอกคนใหม่เข้ามา อย่างที่สองเพราะตอนนี้จวนตวนชินอ๋องไม่ควรเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก


จวนตวนชินอ๋องโดดเด่นมากพอแล้ว หากหลิวซื่อเป็นอะไรไปอีก หลังจากนางเสียชีวิตแล้ว สถานการณ์ของจวนตวนชินอ๋องจะต้องถูกคนขุดขึ้นมาพูดเป็นแน่ แม้ว่านั่นไม่ใช่ความผิดของหลี่เย่ แต่เพราะคนได้ตายไปแล้ว ก็ไม่มีใครไปหาเรื่องหลิวซื่ออีกแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?


อีกอย่างนางยิ่งรู้อย่างแน่ชัดว่า ฮองเฮาคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไป หากหลิวซื่อเสียชีวิตไปในเวลานี้จริง ตนเองก็คงหนีจากการถูกหาเรื่องหาราวไม่พ้น อย่างไรหลิวซื่อก็เป็นถึงชายาเอก แม้ว่านางจะสูงส่งเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถเทียบหลิวซื่อได้ ถึงตอนนั้นถูกโทษว่าไม่เคารพชายาเอก ความพยายามทั้งหมดที่นางทำไป ไม่ว่าจะชื่อเสียงดีเพียงใดก็ถือว่าสิ้นเปลืองทั้งนั้น


เมื่อคิดเช่นนี้ และบวกกับอาการที่ร้อนอบอ้าว ฝ่ามือของถาวจวินหลันก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นทันที 

 

 


บทที่ 450 ทรมาน

 

“สรุปแล้วชายาเอกเป็นอะไร?” หมอหลวงเงียบไปครู่หนึ่งไม่พูดจา ถาวจวินหลันก็ร้อนใจถามอาการ


หมอหลวงมองถาวจวินหลัน ก้มหัวพลางหัวเราะขมขื่น สีหน้าซีดขาว นิ้วมือก็กำเข้าหากันแน่น คำสองคำแทบจะดังออกมาจากช่องฟันที่กัดกระทบเข้าหากันแน่น “โรคระบาด”


ถาวจวินหลันตกใจเป็นอันมาก “อะไรนะ?” นางคิดว่าตัวเองฟังผิดไป


เจียงอวี้เหลียนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ


“โรคระบาดขอรับ” หมอหลวงถอนหายใจ พูดด้วยเสียงแหบพร่า “แม้จะบอกว่าอาการไม่ได้เหมือนมากนัก แต่จากอาการที่เล่ามาแล้วก็ตัดสินได้ว่าเป็นโรคระบาดแน่นอน ตอนนี้ร่างกายรับไม่ไหวอีกแล้ว จึงแสดงอาการเช่นนี้”


ถาวจวินหลันเซไปทันที ก่อนจับราวที่อยู่ข้างๆ แน่นหนา ถึงบังคับตัวเองให้ยืนได้มั่นคงใหม่อีกครั้ง


มองเจียงอวี้เหลียนที่เร่งรีบเดินออกไปข้างนอก ถาวจวินหลันก็ตะคอกเสียงดัง “ยืนอยู่กับที่ให้หมด! ไม่ให้ใครออกจากเรือนทั้งนั้น!”


เจียงอวี้เหลียนกลับไม่สนใจ มุ่งเดินออกไปข้างนอก เดินไปพลางกรีดร้องเสียงแหลมไปพลาง “ไม่ออกไปแล้วจะอยู่ทำไมกัน? รอความตายหรืออย่างไร?”


ถาวจวินหลันกำมือแน่น เล็บจิกเข้าเนื้อเต็มแรง นางถามเจียงอวี้เหลียนทีละคำ “แล้วเจ้าจะออกไปทำร้ายคนอื่นหรืออย่างไร? พวกเราอยู่ที่นี่มานานขนาดไหนแล้ว? ตอนนี้ทั้งตัวของเจ้าคงเต็มไปด้วยเชื้อโรคแล้ว! เซิ่นเอ๋อร์ยังเด็ก เจ้าเป็นแม่ไม่คิดถึงเขาบ้างหรืออย่างไร!”


ฝีเท้าของเจียงอวี้เหลียนชะงักกึก จากนั้นก็เงียบสนิทเสมือนไม่มีชีวิต


ถาวจวินหลันกวาดตามองไปรอบห้อง “ไป จัดการปิดทั้งบริเวณในและนอกเรือนให้ข้าเดี๋ยวนี้! ไปประกาศด้านนอกเรือนที่อยู่ติดกัน ให้ท่านอ๋องและเซิ่นเอ๋อร์ออกจากจวนให้เร็วที่สุด! และกักตัวคนที่เคยสัมผัสชายาเอกหรือคนในเรือนชายาเอกให้หมด! ถ้ามีใครขัดขืน ให้โบยจนตายสถานเดียว!”


ด้วยประสบเรื่องนี้กับตนเองมาแล้ว นางจึงคิดวิธีรับมือได้อย่างคล่องแคล่วง่ายดาย อย่างน้อยครั้งนี้ก็สงบนิ่งกว่าครั้งที่แล้วมากนัก


พอถ่ายทอดคำสั่งไป บางคนในห้องก็มีห้ามน้ำตาไม่ได้ ทุกคนต่างหวาดกลัว ดังนั้นหลังจากมีเสียงร่ำไห้เสียงแรกดังออกมาแล้ว ก็มีเสียงที่สอง เสียงที่สามตามมาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ดังไปทั่วทั้งบริเวณ


เจียงอวี้เหลียนก็ร้องไห้เช่นเดียวกัน ไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองแม้แต่น้อย ใบหน้าที่ประณีตวิจิตรก็เต็มไปด้วยน้ำตาผสมไปกับเครื่องประทินโฉมจนเป็นก้อน มองดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่งนัก


แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนเจียงอวี้เหลียนอีกแล้ว แม้แต่ตัวถาวจวินหลันเองก็แค่เหลือบมองทีเดียวแล้วก็เบือนหน้าหนี ในห้องนี้มีเพียงเจียงอวี้เหลียนที่ร้องไห้หนักที่สุด และมีผลกระทบกับผู้อื่นมากที่สุด นางฟังแล้วก็ยังอยากร้องไห้ตามด้วยเช่นกัน


ใครบ้างไม่กลัวตาย? ทุกคนล้วนกลัว โดยเฉพาะถาวจวินหลันที่อยากจะร้องไห้ออกมา เพิ่งจะหลุดพ้นความหวาดกลัว และดีใจได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ใครจะรู้ว่าฉับพลันก็ต้องมาจมปลักกับเรื่องนี้อีก แถมครั้งนี้ยังสิ้นความหวังอย่างถึงที่สุด


ถ้าจะพูดถึงตอนหลี่ว์หลิ่ว นางยังรู้สึกโชคดีอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้นางกลับคิดผลดีไม่ได้เลย นางอยู่ในห้องมานานเท่าไร? อย่างน้อยก็คงจะครึ่งชั่วยาม อยู่มานานขนาดนี้ ทั้งยังมีระยะห่างไม่เยอะ ถ้าไม่ติดก็ถือว่าปาฏิหาริย์แล้ว


ถาวจวินหลันจิกฝ่ามือแน่น ตั้งสติเตือนตัวเอง และมองหมอหลวงอีกครั้ง “ตอนนี้นอกจากกักบริเวณออกห่างแล้ว พวกเรายังทำอะไรได้อีกหรือไม่? ชายาเอกต้องมีเทียบยาอะไรหรือไม่?”


ประโยคสุดท้ายนั้นถามตามมารยาทเท่านั้น  ตอนนี้ยังไม่พบยาที่ยับยั้งโรคระบาดได้ นางรู้เรื่องนี้ดี อีกทั้งหมอหลวงคนนี้ก็ยังดูอายุไม่เยอะ ประสบการณ์ยังน้อย ก็คงเพราะกรมหมอหลวงไม่สามารถส่งคนฝีมือดีมาได้ นางยิ่งไม่หวังว่าหมอหลวงหนุ่มผู้นี้จะมีวิธีอื่น


แต่ก็คงไม่อาจนั่งดูหลิวซื่อตายไปได้


มีคำกล่าวว่า ทำให้สุดความสามารถ ที่เหลือก็ฟังลิขิตสวรรค์ สถานการณ์นี้ก็เช่นกัน


ถาวจวินหลันถามแล้วก็ต้องแค่นหัวเราะ


หมอหลวงเองก็เรียกท่าทีสงบนิ่งกลับคืนมาได้ พูดว่า “ตอนนี้พวกเราอาจยังไม่ได้รับเชื้อเสมอไป ข้าตรวจครบแล้วรอบหนึ่ง คนที่มีอาการปรากฏแล้วก็ให้กักเอาไว้ที่เดียวกัน ส่วนคนที่ยังไม่มีอาการก็ให้แยกกักอีกที่ แล้วก็ให้คนไปเตรียมปูนขาว โกฐจุฬาลัมพา สะระแหน่และกระเทียมจำนวนมากเอาไว้ ข้าสามารถเปิดเทียบยาให้ได้ชั่วคราวเทียบหนึ่งเท่านั้น”


แม้จะบอกว่าเปิดเทียบยา แต่ถาวจวินหลันก็เห็นท่าทีไม่ค่อยดีของหมอหลวงอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าหมอหลวงคนนี้คิดว่าสถานการณ์ของหลิวซื่อไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เปิดเทียบยาไปก็เหนื่อยเปล่าเท่านั้น


ถาวจวินหลันไม่ได้พูดขัด เพียงแค่พยักหน้าและพูดว่า “แต่ตอนนี้ต้องลำบากท่านหมอหลวงให้รั้งตัวอยู่ในจวนตวนชินอ๋องแล้ว ท่านหมอหลวงก็ลองเขียนเทียบยาควบคุมอาการโรคระบาดดูก่อน ต้องการวัตถุดิบอะไรก็ขอให้บอก หากจวนตวนชินอ๋องหามาให้ได้ ก็ไม่มีทางขี้เหนียวอย่างแน่นอน”


เมื่อตอนนี้เริ่มมีความหวังส่วนหนึ่ง ก็ไม่อาจละทิ้งไปได้ บางทีหมอหลวงอายุน้อยประสบการณ์ไม่มากคนนี้ อาจลองเดาสุ่มจนได้เทียบยาดีก็ได้ นางไม่ยินยอมพลาดเรื่องนี้เป็นอันขาด


พอข่าวนี้ถูกถ่ายทอดไปถึงเรือนเฉินเซียง หลี่เย่ที่กำลังเขียนพู่กันได้ยินก็มือสั่นทันที เส้นตวัดเอียงข้างจนเป็นลายเส้นรูปตะขอเอียงๆ งอๆ ทำให้ทั้งภาพนั้นพัง


แต่ตอนนี้ย่อมไม่ใช่เวลาที่หลี่เย่จะมาสนใจเรื่องนี้ เขากำพู่กันแน่น พลางตะโกนเสียงดัง “พูดอีกรอบ!”


หงหลัวน้ำตาอาบหน้า น้ำเสียงสะอื้นไห้ “ชายาเอกติดเชื้อโรคระบาดเพคะ ตอนนี้ชายารองออกคำสั่งปิดเรือนแล้ว และยังให้บ่าวรับใช้มาถ่ายทอดสารกับท่านอ๋อง ขอให้ท่านอ๋องพาคุณชายเซิ่นเอ๋อร์ออกจากจวนโดยด่วนเพคะ”


“ข้าไม่เชื่อ!” หลี่เย่ขนกรามแน่น เสียงรอดไรฟันออกมา ก่อนเขวี้ยงพู่กันออกไปบนโต๊ะอย่างไม่สนใจ เขาก้าวเท้ายาวและเร็วออกไปด้านนอก “ข้าจะไปดู! หมอหลวงคนไหนตรวจพบโรคนี้ ท่านหมอหลวงชราทั้งสามในกรมหมอหลวง หรือว่าหมอหลวงหม่า?” หมอหลวงทั้งสองคมนี้เป็นหมอหลวงชราของกรมหมอหลวง ฝีมือการแพทย์สูงเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเกิดโรคระบาดในคราวนี้ ฮ่องเต้จึงสั่งให้สามคนนี้คิดค้นยารักษา


หงหลัวไม่กล้าดึงหลี่เย่ เพียงแค่หมุนตัวไปบังประตูเอาไว้ นั่งคุกเข่าลงไปบนพื้นเสียงดัง โขกหัวลงกับพื้น “ท่านอ๋องได้โปรดออกจากจวนโดยเร็วเถิดเพคะ! ชายารองบอกแล้วว่าจวนตวนชินอ๋องจะผ่านพ้นภัยอันตรายครั้งนี้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านอ๋องแล้วเพคะ! หากท่านอ๋องเอาแต่ใช้อารมณ์ไม่คิดถึงผลที่ตามมา ก็ยิ่งเป็นดั่งเทพแห่งความตาย ได้แต่คร่าชีวิตผู้คนเร็วขึ้นเท่านั้นเพคะ!”


คำพูดนี้ทั้งโหดร้ายและไร้เยื่อใย พูดแทงใจดำเต็มๆ แม้ว่าหลี่เย่จะร้อนรนดั่งไฟแผดเผา แต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าตามสันชาตญาณ


เมื่อพบเจอเรื่องแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่เผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้อีกครั้งหนึ่งก็ย่อมสงบนิ่งมากขึ้น


แต่เมื่อคิดว่าครั้งนี้ถาวจวินหลันใกล้ชิดกับคนติดเชื้อ หลี่เย่ก็รู้สึกเจ็บปวดใจเหมือนถูกคนบีบอย่างแรง ทั้งอึดอัดและเจ็บปวด จนแทบจะหายใจไม่ออก


หงหลัวโขกหัวซ้ำๆ ติดกัน จนหน้าผากเริ่มบวมแดง แต่นางกลับไม่สนใจ นางเข้าใจมากกว่าใครๆ ว่าถาวจวินหลันมีความสำคัญต่อหลี่เย่มากเพียงใด และยิ่งเข้าใจความคิดของถาวจวินหลันมากกว่าคนอื่น และด้วยเข้าใจดี นางถึงไม่สามารถควบคุมอาการสะอึกสะอื้นและน้ำตาที่ไหลได้


ยามนี้หงหลัวเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้ถึงไม่จบสักที! แท้จริงแล้วถาวจวินหลันไปหาเรื่องใครกันแน่! และไปทำเรื่องโหดร้ายไร้ซึ่งมนุษยธรรมมากเพียงใด ถึงต้องมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้?


ครั้งแรกไม่พอ ยังต้องมาทรมานอีกเป็นครั้งที่สอง!


หงหลัวโกรธแค้นจนถึงคิดอยากจะฆ่าคน นางรู้ดีว่าเรื่องโรคระบาดครั้งนี้มีคนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน และด้วยเหตุนี้ นางถึงคิดอยากจะฆ่าคน


เมื่อเห็นหงหลัวขอร้องติดต่อกัน และเสียงที่ดังออกมาก็ยิ่งเร่งรีบร้อนรนเรื่อยๆ สุดท้ายหลี่เย่ก็ตัดสินใจ “ให้คนไปพาเซิ่นเอ๋อร์และแม่นมของเขาไปด้วย บอกคนเฝ้าประตูให้เตรียมรถ”


คิดอยู่ครู่หนึ่งก็กลับมาหน้าโต๊ะหนังสืออีกครั้ง ม้วนกระดาษใบเมื่อครู่นี้ หยิบพู่กันด้ามใหม่และกระดาษจดหมายมาอีกใบหนึ่ง ตั้งสติครุ่นคิด แล้วถึงจรดปลายพู่กันเขียนลงไปสองสามตัวอักษร ก่อนพับใส่ไปในซองจดหมายอย่างระมัดระวัง และมอบให้หงหลัวพลางพูดว่า “เอาสิ่งนี้ให้ชายารอง”


หงหลัวรีบมารับไว้ทันที แต่ก็ต้องหยุดตะลึงไป คราวนี้ไม่รู้ว่านางจะยังไปปรนนิบัติเบื้องหน้าถาวจวินหลันได้หรือไม่? เกรงว่าคงทำไม่ได้แล้ว? คราวที่แล้วนางมีโอกาสติดเชื้อจึงอยู่รับใช้ข้างกายได้ แต่ดูจากนิสัยของถาวจวินหลันแล้ว ครั้งนี้คงไม่ยอมให้นางอยู่ข้างกายเป็นแน่


พอออกมาจากจวนตวนชินอ๋องแล้ว หลี่เย่ก็มองดูประตูใหญ่ของจวนตวนชินอ๋องค่อยๆ ปิด เขารู้สึกสับสนวุ่นวายปนเปกันไปหมด หลี่เย่กำมือแน่น ดวงตามืดดำพูดเสียงแหบแห้ง “เข้าวัง” ตอนนี้ทำได้แค่ฝากเซิ่นเอ๋อร์ไว้กับไทเฮา เขาถึงจะวางใจได้ อีกทั้งเขาเองก็มีเรื่องอยากจะขอให้ไทเฮาช่วยเหลือพอดี


เขาเองก็ต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้สักครั้งเช่นเดียวกัน


เวลานี้หลิวซื่อเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาด้วยการฝังเข็มของหมอหลวง อย่างไรก็เป็นชีวิตมนุษย์ ก็คงจะต้องใช้วิธีที่เกิดผลมาใช้ทั้งหมด


ถาวจวินหลันย่อมไม่สนใจข้อห้ามอะไรอีกแล้ว อย่างไรก็อยู่ในห้องเดียวกันเป็นเวลานาน แล้วอยู่นานขึ้นอีกครู่หนึ่งจะเป็นอะไรไป


แต่นางก็คิดได้ว่าจะต้องอยู่ให้ไกลเสียหน่อย และใช้ผ้าชุบน้ำขิงมาอุดจมูกเอาไว้ นี่ก็เป็นวิธีของหมอหลวงเช่นเดียวกัน แม้จะบอกว่าไม่ได้ผลชะงัดนัก แต่ก็ป้องกันได้บ้างเล็กน้อย


ยามนี้เจียงอวี้เหลียนนั้นหวาดกลัวจนร้องไห้เพียงอย่างเดียว ถาวจวินหลันจึงให้เจียงอวี้เหลียนไปพักที่เรือนรับรอง และไม่ได้เรียกนางมา ที่จริงแล้วนางรู้ดีว่าต่อให้เรียก เจียงอวี้เหลียนก็คงไม่มา


หลิวซื่อได้สติแล้วก็งุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพักถึงได้สติกลับมาเต็มที่


หมอหลวงเห็นว่าเริ่มมีสติแล้วก็ขอตัวกลับไปก่อน เหลือเพียงถาวจวินหลันที่พูดคุยกับหลิวซื่อ สำหรับเรื่องที่หลิวซื่อติดเชื้อโรคระบาดนี้ ถาวจวินหลันคิดไปคิดมาแล้ว สุดท้ายก็มีเพียงแค่ตนเองเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสม


ดังนั้นนางจึงกดอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นลงไปในใจ มาอยู่ดูแลหลิวซื่อ พูดตามจริงแล้วนางเองก็ไม่รู้ควรจะเอ่ยปากอย่างไรถึงดีที่สุด อีกทั้งไม่รู้ว่าหลิวซื่อรู้สถานการณ์ของตนเองแล้วจะมีปฏิกิริยาเช่นไร?


แต่ต่อให้ไม่รู้ว่าจะต้องเอ่ยปากพูดอย่างไร ก็ยังต้องจำใจก้าวขึ้นไปข้างหน้า


แต่คิดไม่ถึงว่าหลิวซื่อกลับเอ่ยปากพูดก่อน แม้แต่น้ำเสียงก็ยังฟังแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “เป็นเจ้า” 

 

 


บทที่ 451 รนหาที่ตาย

 

น้ำเสียงของหลิวซื่อแฝงไว้ด้วยเสียงหัวเราะพูดว่า “เป็นเจ้า” ถาวจวินหลันจึงคิดว่าหลิวซื่อรู้อยู่แล้วว่าตนเองจะต้องมา นางจึงขมวดคิ้วมุ่น พลางถามตามสันชาตญาณ “นี่หมายความว่าอย่างไร?”


รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวซื่อยิ่งกว้างขึ้น ริมฝีปากแทบจะฉีกไปถึงหลังหู นาง ‘แสยะ’ ยิ้มออกมา “ถาวซื่อ เจ้าฉลาดกว่าผู้อื่นมิใช่หรืออย่างไร? แล้วยังสง่างามอยู่เสมอมิใช่หรือ? เจ้าจะไม่เข้าใจความหมายของข้าเลยอย่างนั้นหรือ?”


ด้วยตอนนี้หลิวซื่อมีร่างกายอ่อนแอ พูดมากเช่นนี้จึงหอบเป็นธรรมดา บนหน้าผากก็มีเม็ดเหงื่อผุดออกมา เหมือนว่าเพียงไม่กี่คำนี้ก็กินแรงนางไปหมดแล้ว


แต่ต่อให้จะต้องใช้แรงถึงเพียงนี้ อารมณ์ของหลิวซื่อก็ยังคงดีอยู่ มีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูน่าเวทนามากเป็นพิเศษ


จะไม่น่าเวทนาได้อย่างไร? หลิวซื่อในตอนนี้ใบหน้าซูบผอม ดวงตาทั้งสองข้างไร้แวว ผิวหนังก็หย่อนคล้อยเพราะซูบผอมมากเกินไป ยิ่งยิ้มกว้างแป้นแล้นขนาดนี้กลับเหมือนเนื้อหุ้มกระดูกมากกว่า


ถาวจวินหลันขมวดคิ้วเบือนหน้าหนี จ้องมองกุหลาบที่ถูกปักอยู่บนผ้าม่าน สีที่สดใสสวยงามถึงเพียงนั้น แต่ในตอนนี้กลับยิ่งส่งให้บรรยากาศในห้องนี้ดูอึดอัด ไม่มีชีวิตชีวามากขึ้น


“เมื่อพูดเช่นนี้ก็แปลว่าท่านเองรู้อาการป่วยของตัวเองอยู่แล้ว” ถาวจวินหลันพูดเนิบๆ น้ำเสียงเรียบนิ่งกว่าที่ตัวนางเองคิดเอาไว้ ท้ายสุดแล้วนางก็ยังหัวเราะออกมา “เมื่อครู่นี้ข้ายังคิดอยู่ว่าจะพูดเรื่องนี้กับท่านอย่างไรดี ตอนนี้เห็นทีคงไม่ต้องเปลืองน้ำลายแล้ว“


พอพูดจบนางก็เตรียมเดินออกไปข้างนอก ในเมื่อหลิวซื่อรู้แล้ว แล้วนางต้องอยู่ต่อทำไม? ต่อให้ไม่กลัวติดต่อเชื้อโรคระบาด แต่อยู่ไปก็เหนื่อยใจเปล่าๆ


พูดตามจริงแล้ว นางกลัวว่าถ้าตนเองอยู่ต่อไป อาจจะเผลอทำร้ายหลิวซื่อขึ้นมา อย่าเห็นว่าปกติแล้วนางเป็นคนใจเย็นสงบนิ่ง แต่ตอนนี้ภายในใจมีกองไฟสุมอยู่เช่นเดียวกัน


นางเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของหลิวซื่อแล้ว จึงได้โกรธแค้นมากกว่าเดิม


หลิวซื่อหัวเราะออกมา ฟังแล้วอารมณ์ดียิ่งนัก “ถาวซื่อ เคราะห์นี้เจ้ายากจะหนีพ้นแล้ว!”


ถาวจวินหลันหยุดฝีเท้า หันหลังกลับไป พลางพูดเนิบๆ ว่า “แท้จริงแล้วหลี่เย่ติดค้างอะไรเจ้ากันแน่? ทำไมเจ้าต้องทำร้ายเขาขนาดนี้?” ตัวนางเองไม่เคยถามตัวเอง ในใจนางนั้นเข้าใจเป็นอย่างดี ตั้งแต่หลิวซื่อสูญเสียลูกชายไป หลิวซื่อจึงคิดจะชำระหนี้แค้นกับนางในครั้งนี้


หลิวซื่อหัวเราะเย็นทันที “สิ่งที่เขาติดค้างข้ามีน้อยอย่างนั้นหรือ? เขาทำลายชีวิตแต่งงานของข้าไม่พอ แล้วยังดูถูกข้าอยู่ร่ำไป ไม่มองข้าเป็นภรรยา แล้วยังทำร้ายลูกชายของข้าจนตาย! เขาสมควรตาย!”


ถาวจวินหลันได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ “เขาทำลายชีวิตแต่งงานของท่านอย่างนั้นหรือ? ฮ่องเต้ตัดสินการแต่งงานระหว่างพวกท่าน เขายังมีทางเลือกอีกหรืออย่างไร? เขาไม่เห็นค่าท่าน? แล้วทำไมถึงไม่เห็นค่าท่านเล่า? คนมีเมตตาอย่างเขายังปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้ ทำไมท่านไม่คิดเสียหน่อยว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่? ท่านเคยเห็นเขาเป็นสามีด้วยหรืออย่างไร? ท่านดูถูกเขาเพียงเพราะเขาพูดไม่ได้ ไม่อาจนำเกียรติยศศักดิ์ศรีมาให้ท่านได้ แล้วทำไมตอนนี้กลับขุดเรื่องนี้มากล่าวโทษกัน?! อีกทั้งลูกชายของท่านไม่ใช่ลูกชายของเขาหรืออย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะท่านใช้ยา เด็กคนนั้นจะต้องตายก่อนวัยอันควรหรือ?”


หลิวซื่อฉับพลันก็พูดตะคอกว่า “ไม่จริง! ถ้าหากเขาเห็นข้าเป็นภรรยา แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกข้าว่าเขาไม่ได้เป็นใบ้ตั้งแต่แรก? ทำไมยังต้องเสแสร้งแกล้งทำ? หากเขาเห็นข้าเป็นภรรยา แล้วจะลำเอียงโปรดปรานเจ้าเพียงคนเดียวทำไม? ทำไมเขาจะต้องพาเจ้าเข้าจวนด้วยพิธียิ่งใหญ่?! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ ว่าพวกเจ้าต้องตากันตั้งแต่ยังอยู่ในวังหลวงแล้ว! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ว่าเขายังเก็บข้าเอาไว้ก็เพื่อให้เจ้ามีที่อยู่! ข้าใช้ยา แต่ถ้าเขาใส่ใจข้าสักเล็กน้อย ไปหาหมอมีชื่อเสียงมาบำรุงรักษา  และให้คนดูแลลูกชายให้ดี เขาจะตายก่อนวัยอันควรได้อย่างไร! เขาเพียงแค่สนใจตัวมารที่อยู่ในท้องของเจ้าเท่านั้น!”


หลิวซื่อพูดออกมาโดยไม่คิด


ถาวจวินหลันก็เริ่มโมโหเช่นกัน จึงพูดไปตรงๆ “ท่านคิดว่าตัวเองเป็นนางพญาหรืออย่างไร ถ้าหากเขาสามารถพูดได้ จากฐานะของท่านแล้ว จะเป็นชายาเอกได้อย่างไร! อีกทั้งสองปีนั้นที่พวกท่านแต่งงานกัน ข้ายังไม่เคยแม้แต่พบหน้าเขา! เป็นท่านที่ผลักเขาออกมาเอง! แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ละเลยท่าน เขายังคงให้ท่านเป็นชายาเอกตวนอ๋อง ยังคงให้ท่านได้เสพสุขในสิ่งที่ท่านควรได้รับ! เคยทำให้ท่านขาดทุนแม้แต่น้อยหรืออย่างไร! ต่อให้มีหมอชื่อดังมารักษาเด็กคนนั้น แต่ตอนที่ออกมาจากครรภ์ก็ยังไม่พร้อม หรือว่าอาการจะดีขึ้นได้หรืออย่างไร? ท่านอย่าหลอกตัวเองอีกเลย! หลิวซื่อ ถ้าพูดไม่น่าฟัง ในฐานะที่ท่านมากจากตระกูลล่มสลาย ท่านยังคิดว่าจะได้แต่งงานดีอีกหรือออย่างไร?”


อะไรเรียกว่าใจคนไม่รู้จักพอไม่รู้จักเจียมตัว เมามั่วดั่งงูร้ายหมายกลืนช้าง ก็คือสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ หากหลิวซื่อรู้จักพอเสียงหน่อย ฉลาดเฉลียวอีกสักเล็กน้อย แล้วจะมีจุดจบอย่างวันนี้ได้อย่างไร!


“ต่อให้เขาลำเอียงโปรดปรานข้าไปสักหน่อย แต่ลองถามใจตัวท่านเองเถิด เขาไม่เคยละเลยท่าน และไม่เคยทำเรื่องไม่ดีต่อท่าน หรือแม้แต่โปรดอนุฆ่าเอก!” ถาวจวินหลันแทบจะตะโกนคำรามประโยคนี้ออกมา พูดจริงๆ แล้ว นางรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนหลี่เย่จากใจจริง นางไม่เข้าใจว่าทำไมหลิวซื่อถึงพูดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างหน้าชื่นตาบาน


หลิวซื่อหัวเราะเย็น “เจ้าคิดว่าทุกคนจะแต่งงานออกเรือนไม่ได้เหมือนเจ้า จนต้องยอมมาเป็นนุภรรยาอย่างนั้นหรือ? หากไม่ใช่เพราะเขาเข้ามาขัด ตอนนี้ข้าก็คงเป็นพระชายารัชทายาทไปแล้ว! อีกอย่าง เกรงว่าใต้หล้านี้คงมีเพียงเจ้าที่คิดว่าเขาเป็นคนดี! คนเย็นชาไร้หัวใจอย่างเขา คนที่แม้แต่ลูกชายของตัวเองก็ยังไม่สนใจ สมควรต้องลงนรก! ซ้ำยังคิดจะแก่งแย่งกับองค์รัชทายาท! ไม่มีทาง!”


ฉับพลันนั้นหลิวซื่อก็ไอรุนแรงรุนแรง จนถึงขั้นทำให้คนสงสัยว่าจะหายใจทันหรือไม่


ถาวจวินหลันตะลึงไป นางไม่คิดว่าหลิวซื่อจะพูดคำนั้นออกมา ที่ว่าเกือบจะได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท


“ไม่มีทางเป็นไปได้” ถาวจวินหลันเอ่ยปฏิเสธทันที “ดูจากนิสัยของฮองเฮาแล้ว จะหาพระชายาองค์รัชทายาทจากตระกูลตกอับให้องค์รัชทายาทได้อย่างไร? อีกทั้งจวนเหิงกั๋วกงเป็นครอบครัวของนาง ต่อให้เพื่อยกระดับครอบครัวของตัวเอง พระชายาองค์รัชทายาทก็ต้องมาจากครอบครัวของนาง มาจากจวนเหิงกั๋วกง”


ดังนั้นไม่ว่าคิดมากเพียงใดก็ไม่มีทางมาถึงหลิวซื่อ ไม่มีทางเป็นไปได้


ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนั้นไทเฮาต่อต้านหลิวซื่อเป็นชายาเอกด้วยซ้ำไป เป็นฮ่องเต้ที่จัดการเรื่องนี้ ที่สำคัญคือฮองเฮาไม่ได้ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย หากฮองเฮาถูกใจหลิวซื่อจริง แล้วฮองเฮาจะยอมปล่อยไปอย่างนั้นหรือ? ต่อให้ไม่ได้ให้องค์รัชทายาทแล้ว ก็ไม่มีทางให้หลี่เย่ได้เป็นอันขาด


เรื่องนี้ถาวจวินหลันมั่นใจมาก ดังนั้นนางจึงคิดว่าหลิวซื่อคงต้องเข้าใจผิดแน่นอน นางคิดไม่ถึงว่าภาพลักษณ์ของหลี่เย่ในใจของหลิวซื่อนั้นจะเป็นเช่นนี้ เย็นชาไร้หัวใจ? หึ หากหลี่เย่เป็นเช่นนั้น หรือว่าเป็นนางเองที่มองผิดไป? แม้นบอกว่าภาพลักษณ์อบอุ่นเงียบสงบจะถือว่าหลอกหลวง แต่เขาก็ไม่ใช่คนเย็นชาไร้หัวใจแน่นอน


เพียงแค่คิดถึงเรื่องที่หลี่เย่ทำแทนนาง นางเองก็ไม่มีทางคิดว่าหลี่เย่เย็นชาไร้หัวใจเป็นแน่


“ใครบอกท่านว่าจะได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท?” ถาวจวินหลันใจเย็นลง เลิกคิ้วถาม “อีกอย่าง หรือว่าท่านชอบองค์รัชทายาท? แล้วเจ้าติดเชื้อโรคระบาดมาได้อย่างไร? เพราะว่าฉ่ายยวนอย่างนั้นหรือ? เป็นความคิดของฮองเฮาหรือความคิดของเจ้าเอง?”


หลิวซื่อควบคุมลมหายใจได้ เพียงแต่ยังมีอาการหอบอยู่เท่านั้น แต่เมื่อมองท่าทีของนางก็สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นและความร้อนรน


แต่หลิวซื่อเพียงแค่จ้องถาวจวินหลันพลางหัวเราะเยาะ แต่ไม่ยอมพูดอะไรอีกแล้ว ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าหลิวซื่อตั้งใจจะบิดพลิ้วหลอกล่อ จึงไม่เก็บมาใส่ใจ เพียงแค่พูดพึมพำกับตัวเอง “ใช่แล้ว ท่านเป็นพระชายาองค์รัชทายาทได้ ก็คงเป็นความคิดที่ฮองเฮาบอก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะแค้นหลี่เย่ได้อย่างไร? มิเช่นนั้น หากอาศัยแค่เพียงฝีมือและความสามารถของท่าน และยังสนิทชิดเชื้อกับหลี่เย่จริง นั่นก็คงไม่ดีต่อองค์รัชทายาทแล้ว นั่นเป็นเพียงการข่มขู่ นางจะยินยอมให้จวนตวนอ๋องเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร?”


เมื่อพูดถึงตรงนี้ ถาวจวินหลันก็มองหลิวซื่อทีหนึ่ง เห็นหลิวซื่อมีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย และยิ่งมีท่าทีคล้ายกำลังคิดบางอย่าง ก็รู้ว่าตนเองควรพูดต่อไป “ถ้าไม่ใช่ฉ่ายยวนนำโรคระบาดมาก็ไม่มีทางอื่นแล้ว ท่านอยู่ที่นี่มานาน แม้แต่เงาคนแปลกหน้าก็ยังไม่เคยเห็น คนตระกูลหลิวเองก็ยังไม่มา แล้วท่านจะติดเชื้อโรคระบาดได้อย่างไร? คนวางแฝนคงไม่ใช่ท่านเป็นแน่ ฮองเฮาไม่มีทางเสียดายหมากที่ถูกทอดทิ้งไปแล้ว นางส่งคนมาถ่ายทอดคำพูดให้ท่านฟังใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรท่านก็มีชีวิตอยู่ต่ออย่างทรมาน ไม่สู้ลากข้าลงไปเป็นเบาะรองด้วย? เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็ถือว่าได้ล้างแค้นแล้วใช่หรือไม่? ท่านเกลียดข้า และก็เกลียดหลี่เย่ หากข้าตาย หลี่เย่ก็จะต้องเสียใจเป็นแน่ แม้จะบอกว่าวิธีนี้อ้อมค้อมไปหน่อย แต่ท่านก็รู้สึกพอใจ ใช่หรือไม่เล่า?”


ยิ่งถาวจวินหลันพูดมาเท่าไร รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวซื่อก็ลดหายไปเท่านั้น


สิ่งมาแทนรอยยิ้มก็คือท่าที่ครุ่นคิดบางอย่าง


ริมฝีปากของหลิวซื่อเม้มหากันแน่น นิ้วมือก็กำผ้าห่มปักลายดอกไม้แน่น ข้อนิ้วนั้นซีดขาวอย่างผิดปกติ


ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย แทงดาบเล่มสุดท้ายเข้าไป “ตอนนั่นใครที่ยุยงให้ท่านใช้ยานั่น? เป็นฮองเฮาใช่หรือไม่? ฮองเฮาเตือนท่าน บอกว่าให้ท่านตั้งครรภ์ก่อนข้า ถึงจะรักษาตำแหน่งต่อไปได้ และเป็นฮองเฮาที่ช่วยท่านหาหมอหลวงมาบำรุงรักษาครรภ์ไม่ใช่หรือ? แต่หลังจากนั้นมาหมอหลวงคนนั้นก็ไม่ได้บอกท่านว่า ลูกของท่านไม่มีทางอยู่รอดได้ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? ในทางกลับกัน เป็นใครกันที่เตือนท่าน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหลี่เย่ไม่ใส่ใจท่าน และลูกของท่านไม่ตายเล่า? ท่านคิดให้ดี เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนมีเงาของฮองเฮาแฝงอยู่ทั้งนั้น?”


หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็หัวเราะเยาะตัวเองอีก “ใช่แล้ว ข้าตายไปแล้วหลี่เย่จะเสียใจก็ไม่ใช่เรื่องโกหก น่าเสียดาย ตอนท่านตายไป คงไม่มีแม้เพียงสักคนที่เสียใจ องค์รัชทายาทยิ่งไม่มีทางเสียใจเป็นแน่ แม้แต่พ่อแม่ของท่าน เกรงว่าคงลืมลูกสาวคนนี้ไปนานแล้ว พวกเขายิ่งรู้สึกกล่าวโทษเจ้า เป็นชายาเอกดีๆ ไม่ชอบ ชอบรนหาที่ตาย!”


ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่คนตระกูลหลิวไม่ได้เงินจากหลิวซื่อ ก็ไม่ชอบใจมาตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงหลังจากหลิวซื่อโดนกักบริเวณแล้ว คนในตระกูลหลิวก็เหมือนหลิวซื่อไม่มีตัวตน บางทีเป็นเพราะตัวเองยังเอาตัวไม่รอด หรืออาจเป็นเพราะว่าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย อย่างไรคนในตระกูลหลิวก็ไม่เคยมาหาหลิวซื่ออีกเลย แต่ทุกครั้งที่ถึงหน้าเทศกาลก็ต้องรีบส่งคนมาส่งของขวัญ เพื่อฉวยโอกาสเตือนจวนตวนชินอ๋องว่าควรส่งของให้พวกเขาได้แล้ว 

 

 


บทที่ 452 โกรธแค้น

 

​คำพูดของถาวจวินหลันไม่ได้ต่างอะไรจากการราดเกลือลงบนบาดแผลของหลิวซื่อ แม้ว่านางคิดว่าตนเองไม่ควรไปตะขิดตะขวงใจกับคนใกล้ตายแล้ว แต่หากไม่ทำเช่นนี้นางจะระบายออกไปได้อย่างไร?


หลิวซื่อไม่พอใจและรนหาที่ตายเอง แล้วทำไมนางจะต้องลากทั้งจวนตวนชินอ๋องไปลงหลุมเป็นเพื่อนด้วย? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางจึงคิดว่าให้หลิวซื่อตายอย่างสงบดูง่ายเกินไป


คนอย่างหลิวซื่อไม่ควรได้รับความเมตตาแม้แต่น้อย เพราะว่านางจะทำร้ายมากขึ้นทุกครั้งๆ ไป ผลักเข้าไปในหลุมที่ลึกและใหญ่กว่าเดิม!


ถาวจวินหลันรู้สึกว่าตนเองไม่เข้าใจความคิดของหลิวซื่อเลย


หลิวซื่อจมลงไปในความคิดของตัวเองแล้ว สีหน้าดูบิดเบี้ยว ไม่รู้ว่าหลิวซื่อคิดอะไรอยู่ในใจ


ถาวจวินหลันคาดเดาได้บางส่วน จึงหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ท่านไม่ต้องคิดแล้ว ท่านมาผิดหวังโกรธแค้นตอนนี้ก็สายไปแล้ว ท่านไม่มีทางแก้แค้นได้ด้วยตนเองอีก ช่างน่าเสียดายเสียจริง แค้นที่ท่านฝังรากลึกในใจคงไม่ได้ชำระแล้ว กลายเป็นว่าคนที่ท่านคิดแค้นได้รับประโยชน์และโอกาสด้วยซ้ำไป” ในที่สุดหลิวซื่อก็ตะคอกออกมา “หุบปาก!”


ถาวจวินหลันถอนหายใจ รู้สึกใจเย็นไปเยอะแล้ว จึงหัวเราะเสียงเย็นกล่าว “หมอหลวงเขียนเทียบยาให้แล้ว ไม่รู้ว่าจะเห็นผลหรือไม่ ท่านอยากจะดื่มก็ดื่ม ถ้าจะให้ข้าพูด ในเมื่อท่านคิดจะตายอยู่แล้ว ก็ไม่สู้ตายให้สบายใจไปดีกว่า ไม่ต้องฟุ่มเฟือยยาดีๆ เหล่านั้น!”


คำพูดนี้ทั้งเ**้ยมโหดและเฉียบคม เป็นคำพูดที่ไม่ควรหลุดออกจากปากคนมีการศึกษา แต่ถาวจวินหลันกลับไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ มีแต่ต้องระบายอารมณ์พลุ่งพล่านและไฟแค้นที่สุมรวมกันในใจของนางผ่านทางคำพูด หลิวซื่อเป็นตัวการสำคัญที่ก่อเรื่องทำผิดกฎ ไม่ให้ลงที่นาง แล้วจะให้ไปลงที่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเหล่านั้นหรืออย่างไรกัน?


เปลี่ยนคำพูดก็คือ หลิวซื่อหาเหาใส่หัว มีโทษทัณฑ์ที่สมควรแก่การได้รับโทษ


หลังจากถาวจวินหลันพ่นคำพูดออกมาแล้ว ก็รีบก้าวออกไปก้าวใหญ่ นางสงสัยจริงๆ ว่าหากทนอยู่ต่อไป นางจะเข้าไปบีบคอหลิวซื่อหรือไม่ คนแบบนี้จะเก็บเอาไว้ทำไม? อยู่ไปก็เปลืองอาหาร!


พอออกไปนอกห้องแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ กวาดตามองบ่าวรับใช้ที่อยู่เวรมีท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวด นางก็อดขมวดคิ้วตามไม่ได้ และพูดสั่งสอน “ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไรแล้วจะมานั่งคอตกอยู่อย่างนี้ทำไม? ทุกคนเรียกสติกลับมาเดี๋ยวนี้ ใครบอกว่าพวกเราต้องรอแค่ความตายอย่างเดียว!”


ไม่ใช่ว่านางจะหาเรื่องทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่อง แต่เมื่อเห็นบรรดาบ่าวรับใช้เป็นเช่นนี้ นางก็รำคาญเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้วนางก็กลัวและไม่สบายใจ แต่ไฉนเลยนางจะแสดงออกมาได้?


คราวที่แล้วนางขังตัวเองไว้ที่เรือนเฉินเซียง ข้างกายมีเพียงแค่หงหลัวเท่านั้น ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเอามาคิดเป็นเรื่องน่าขัน และยิ่งไม่ต้องกลัวว่าจะกระทบไปถึงใคร แต่ว่าตอนนี้เล่า? หากว่านางซึมเศร้า แสดงความหวาดกลัวของตัวเองออกมา เกรงว่าภายในเรือนคงจะเละเทะวุ่นวายเป็นแน่


“ท่านอ๋องออกจากจวนไปหรือยัง?” ถาวจวินหลันออกแรงนวดหว่างคิ้ว นั่งลงบนเก้าอี้หินพลางหันมาถามปี้เจียว


ปี้เจียวสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นกังวลหรือหวาดกลัว “พาคุณชายเซิ่นเอ๋อร์ออกจากจวนไปแล้วเจ้าค่ะ แล้วยังฝากจดหมายมาให้ชายารองอีกฉบับหนึ่ง”


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจไปเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ออกจากจวนไปก็ดีแล้ว” สำหรับจดหมายนั้น ตอนนี้นางยังไม่รีบดู “อีกครู่หนึ่งกลับไปที่เรือนเฉินเซียงแล้วค่อยว่ากัน”


แม้จะบอกว่าต้องกักบริเวณ แต่นางและเจียงอวี้เหลียนก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่กับหลิวซื่อ อย่างแรกเพราะที่รองรับไม่พอ อย่างที่สองก็เพราะจะได้ไม่ต้องกระทบกระทั่งกัน


ท่าทีเช่นนั้นของเจียงอวี้เหลียนไม่เหมาะสมจะอยู่กับใครทั้งนั้น


ดังนั้นถาวจวินหลันจึงสั่งลงไปแล้วว่า ให้คนของเรือนเฉินเซียงและเรือนชิวอี๋ย้ายออกไปก่อนชั่วคราว เหลือเพียงแค่คนที่มีร่างกายแข็งแรง อีกทั้งคนที่ดูแลข้างกายก็มีเพียงแค่บ่าวรับใช้ที่เข้ามาในเรือนหลักพร้อมกับนางและเจียงอวี้เหลียนเท่านั้น


แน่นอนว่าตอนนี้นางยังกลับไปเรือนเฉินเซียงไม่ได้ อย่างไรก็ต้องรอทางด้านเรือนเฉินเซียงจัดการอย่างเหมาะสมก่อน อีกทั้งยังต้องจัดการคนที่อยู่บนถนนนี้ออกไปก่อนถึงจะดี มิเช่นนั้นหากว่าบังเอิญเจออย่างไม่ทันตั้งตัว เรื่องจะไม่ยิ่งลุกลามไปมาขึ้นหรือ?


ที่จริงแล้วนางยังเป็นกังวลอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือหากหลิวซื่อตายไปแล้ว นางควรจะจัดงานศพเช่นไร? ตามหลักการแล้วหลิวซื่อมีฐานะเป็นชายาเอกชินอ๋อง ย่อมต้องจัดพิธีใหญ่สมตำแหน่งฐานะ เรื่องทำพิธีเจ็ดวันพักวิญญาณและงานใหญ่ทางน้ำก่อนฝังเหล่านี้ ล้วนต้องประณีตทั้งนั้น


แต่ตอนนี้เกรงว่าจวนตวนชินอ๋องคงจะต้องปิดประตูจวนไปอีกสักพักหนึ่ง เรื่องงานศพไม่อาจจัดการได้ดีเป็นแน่


แม้กระทั่งพิธีพักวิญญาณก็คงทำไม่ได้ ตามกฎที่ราชสำนักร่างเอาไว้นั้น คนที่ตายด้วยโรคระบาดทุกคนจะต้องถูกเผามอด ห้ามนำไปฝังเด็ดขาด นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ติดต่อสู่คนอื่นมากขึ้น


ดังนั้นหากหลิวซื่อเสียชีวิต ศพนี้จะเผาหรือจะฝังก็ยังตอบยาก


ตัวนางเองยังไม่ทันคิดถึงตัวเอง ในความเป็นจริงหากนางพาลติดเชื้อไปด้วย ร่างของนางเองก็ต้องถูกเผาเหมือนกัน


โชคดีที่ไม่ได้คิดถึง มิเช่นนั้นแล้วนางคงไม่สบายใจเป็นแน่ เดี๋ยวคงได้ลำบากใจไปอีกครู่ใหญ่


คราวที่แล้วนางขังตัวอยู่ในเรือนเฉินเซียง อย่างน้อยก็ยังมีเจียงอวี้เหลียนคอยดูแลเรื่องข้างนอก แต่คราวนี้แม้แต่เจียงอวี้เหลียนก็ต้องเก็บตัวด้วยเช่นกัน ภายในจวนเหลืออนุภรรยาเพียงสองคน หากจิ้งหลิงยังอยู่ถาวจวินหลันคงวางใจได้บ้าง แต่สองคนที่อยู่ในจวนตอนนี้ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น


ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ถืออำนาจดูแลจวนเอาไว้เหมือนเดิม เรื่องการจัดการธุระต่างๆ ภายนอกจึงกลายเป็นสิ่งที่น่าปวดหัว เพราะอย่างไรแล้วนางก็ติดต่อกับคนภายนอกไม่ได้ไม่ใช่หรืออย่างไร?


ปี้เจียวเป็นคนสุขุม เห็นถาวจวินหลันเงียบไปไม่ได้พูดจา ก็ยืนรออยู่ข้างๆ อย่างอดทน ไม่ได้ต่างไปจากปกติเลย


ถาวจวินหลันมองดู กลับอดหัวเราะไม่ได้ “ปี้เจียว เจ้าไม่กลัวหรือ?”


“กลัวเจ้าค่ะ” ปี้เจียวตอบอย่างรวดเร็ว แต่ท่าทางดูไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย


ถาวจวินหลันหลุดหัวเราะออกมา แม้จะแฝงความขมขื่นเอาไว้ก็ตาม “เจ้าเป็นเช่นนี้เหมือนคนกลัวตรงไหนกัน? กลับสงบนิ่งสุขุมลึกกว่าข้ามากนัก”


ปี้เจียวก้มหน้าลงไป เม้มปากยิ้มบางๆ น้ำเสียงดูมีอารมณ์แฝงอยู่ “กลัวไปก็ไม่มีประโยชน์เจ้าค่ะ ไม่สู้ไปทำเรื่องที่สมควรทำดีกว่า ไม่จำเป็นต้องไปมัวคิดเรื่อยเปื่อย มิเช่นนั้นหากถึงเวลาจะตายจริงๆ เมื่อกลับมาคิดช่วงเวลาสุดท้ายนี้คงได้แต่หมกมุ่นมัวอยู่ในความกลัวเท่านั้นเอง แบบนั้นน่าเสียดายไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”


ถาวจวินหลันนิ่งตะลึงไปเพราะคำพูดของปี้เจียว นางคิดไม่ถึงว่าปี้เจียวจะใจกว้างและตรงไปตรงมาเช่นนี้ หากเทียบกับความอดทนอดกลั้นและท่าทีเสแสร้งเพื่อข่มคนอื่นของนางแล้ว ปี้เจียวกลับตรงไปตรงมามากกว่า จุดนี้นางละอายที่ไม่อาจเทียบด้วยได้


อีกทั้งคำพูดของปี้เจียวก็สร้างความตื่นตะลึงให้นางไม่น้อย ใช่แล้ว หากเทียบกับการเสแสร้งแกล้งทำ ไม่สู้ใช้ชีวิตในช่วงเวลานี้ให้ดี หากถึงช่วงวินาทีสุดท้ายจริงถึงจะไม่มีเรื่องติดค้างให้เสียใจภายหลังมิใช่หรืออย่างไร?


ถาวจวินหลันยิ้มสดใส เอ่ยชื่นชมปี้เจียวประโยคหนึ่ง “ดี สมแล้วที่เป็นบ่าวรับใช้ใหญ่ในเรือนเฉินเซียงของข้า”


พอพูดจบก็ลุกขึ้นมา พูดว่า “ถ่ายทอดคำสั่งไป ให้หงหลัวจัดการธุระต่างๆ ภายในจวนทุกวันตามคำสั่งข้า หากบรรดาหญิงชราเหล่านั้นมีเรื่องอะไรก็ให้มาบอกหงหลัว”


เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางไม่จำเป็นต้องกังวลคำนินทาแล้ว


ปี้เจียวรับคำ พลางหัวเราะออกมา “ชายารองอย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเลยดีกว่าเจ้าค่ะ ดูแลสุขภาพให้ดีถึงจะถูกต้อง ภายในเมืองหลวงมีหมอมากมาย การคิดค้นยารักษาเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว ขอเพียงพวกเรารอจนถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”


ถาวจวินหลันมองปี้เจียวทีหนึ่ง อมยิ้มพูดว่า “เจ้าพูดถูก” นางนั้นเข้าใจดี ปี้เจียวมองความอ่อนแอในใจของนางออก จึงตั้งใจปลอบประโลมนางเท่านั้นเอง


แต่ปี้เจียวก็พูดไม่ผิด ภายในเมืองหลวงเต็มไปด้วยคนมีความสามารถ และกรมหมอหลวงก็ออกแรงเต็มกำลังการคิดค้นวิธีรักษาโรคระบาด ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว ในประวัติศาสตร์นั้นมีโรคระบาดเกิดขึ้นหลายครั้ง มีครั้งไหนบ้างที่ไม่สามารถควบคุมโรคระบาดได้?


ดังนั้นจึงบอกว่า ขอแค่รอจนถึงตอนนั้น ทุกสิ่งอย่างย่อมคลี่คลายได้เป็นแน่ และไม่ว่าจะรอถึงหรือไม่ถึง อย่างไรก็ถือว่ามีความหวังไม่ใช่หรืออย่างไร? อย่างน้อย นางก็ไม่ได้ไร้ความหวังเสียทีเดียว


“ชายารองควรจะต้องฟังคำพูดนี้ของเจ้า” ถาวจวินหลันยิ้มพลางถอนหายใจ “นางยังสู้เจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำไป”


ปี้เจียวถูกชมก็หน้าแดง “ข้าจะเทียบกับชายารองเจียงได้อย่างไรกันเจ้าคะ”


ถาวจวินหลันไม่ได้พูดต่อ แต่กลับคิดว่า เจียงอวี้เหลียนจะเทียบกับปี้เจียวได้อย่างไร? เกรงว่าแม้แต่นิ้วมือเดียวของปี้เจียวก็ยังไม่อาจเทียบได้ อย่างน้อยในตอนนี้ เจียงอวี้เหลียนก็ทำได้แค่เพิ่มความวุ่นวายให้นางเท่านั้น แต่ปี้เจียวกลับเป็นแขนซ้ายขวาของนาง


ตกดึก ถาวจวินหลันและเจียงอวี้เหลียนก็แยกย้ายกลับเรือนของตัวเอง หมอหลวงก็ถูกจัดการให้อยู่ที่เรือนหน้าตลอดเวลา และก็ไม่ดีถ้าจะอยู่เรือนหลัง แม้ว่าจะวุ่นวายไปหน่อย แต่ก็ทำได้แค่ไปอยู่ที่เรือนหน้าเท่านั้น แต่ถาวจวินหลันก็ยังตั้งใจเลือกเรือนรับแขกที่อยู่ใกล้เรือนหลังมากที่สุดแห่งหนึ่งให้ จุดประสงค์ก็เพื่อให้หมอหลวงเข้ามาตรวจได้สะดวกทุกวัน


หลังจากกลับมายังเรือนเฉินเซียงแล้ว  มองดูการวางข้าวของที่คุ้นเคย สูดดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคย ถาวจวินหลันก็รู้สึกสบายตัวไปหลายส่วน พอได้กินข้าวต้มร้อนไปถ้วยหนึ่ง ก็ยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่น้อย


สิ่งที่ห้องครัวเคี่ยวล้วนเป็นข้าวต้มบำรุงที่บรรเทาความร้อนฆ่าพิษทั้งหมด ได้ยินมาว่ายังตุ๋นแกงอาหารบำรุงไว้เป็นของทานมื้อดึกด้วย


ถาวจวินหลันอดพูดหยอกล้อไม่ได้ “สุดท้ายแล้วก็ด้วยประสบมาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นตาบอคลำทางแล้ว” อาหารบำรุงนี้ก็ยังเป็นคำแนะนำของหมอหลวงครั้งที่แล้ว


หงหลัวที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยินเช่นเดียวกัน แม้ว่าในใจจะยังโศกเศร้า แต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ นางรู้สึกโล่งใจแล้ว คราวที่แล้วนางเห็นถาวจวินหลันหวาดหวั่นหวาดกลัวมากเพียงใด แล้วตอนนี้กลับต้องไปจมปลักในสถานการณ์เดิม นางกลัวว่าถาวจวินหลันจะคลุ้มคลั่ง แต่คราวนี้กลับไม่มีท่าทีอย่างครั้งก่อน แล้วยังกล้ามากขึ้นอีกต่างหาก


ทางด้านนี้เพิ่งจะทานอาหารเย็นเสร็จ บ่าวรับใช้ในเรือนของหลิวซื่อก็วิ่งร้องไห้เข้ามา “ไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ ชายาเอกไม่ยอมทานและไม่ยอมดื่มยาด้วยเจ้าค่ะ!”


ถาวจวินหลันเพิ่งจะดื่มชาเสร็จ ได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักกึก ค่อยๆ วางจอกชาลง แล้วความโมโหในใจก็ทะลักออกมา หลิวซื่อกำลังรนหาที่ตายจริงๆ 

 

 


บทที่ 453 สมบัติล้ำค่า

 

​ถาวจวินหลันวางจอกชาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ควบคุมความโมโหเอาไว้ พลางพูดช้าๆ ว่า “นางไม่กินข้าวไม่กินยา แล้วจะมาหาข้าทำไม? หรือข้าไปพูดแล้วนางจะยอมกิน?”


ถ้าไม่ได้คำนึงว่าจะส่งผลไม่ดี นางก็คิดอยากจะพูดไปว่า นางรนหาที่ตายเอง คนอื่นจะเข้าไปยุ่งได้หรืออย่างไร? อีกอย่าง นางทำตัวเองแท้ๆ แล้วเกี่ยวอะไรกับคนอื่น?


บ่าวรับใช้ที่มารายงานนั่งคุกเข่าตะลึงอยู่นอกห้อง พลางพูดออกมาตามสันชาตญาณ “แต่หลังจากช่วงบ่ายที่ชายาเอกพูดคุยกับชายารองแล้ว ชายาเอกถึงได้ไม่ยอมทานข้าวทานยา ไม่ยอมพูดจา…”


ถาวจวินหลันพลันเข้าใจความหมายที่แฝงไว้ในคำพูดนี้ จึงหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าไปบอกชายาเอกแทนข้า ว่าถ้าอยากหาที่ตายก็จงคิดให้ดี หากตายไปตอนนี้ แม้แต่ศพก็ยังเก็บเอาไว้ไม่ได้ ตามกฎแล้วคนตายที่ติดเชื้อโรคระบาดต้องถูกเผาจนมอดไหม้ไม่เหลือซาก”


หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็หัวเราะอีก “และถามนางแทนข้าด้วย ว่านางยินยอมตายไปทั้งอย่างนี้จริงหรือ? ไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรืออย่างไร?”


บ่าวรับใช้ที่มารายงานนิ่งตะลึงกับคำพูดเหล่านั้น สายตาที่ใช้มองถาวจวินหลันก็แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าหลังจากนางฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกว่าถาวจวินหลันเย็นชาไร้หัวใจเกินไป


แต่ไฉนเลยหลิวซื่อจะคู่ควรต่อความใจดีและเมตตา


อีกทั้งสำหรับหลิวซื่อในตอนนี้ ถ้าไม่ใช้คำพูดที่ตรงขนาดนี้แล้วจะเกิดผลได้อย่างไร? ถาวจวินหลันไม่ได้ใส่ใจความเป็นความตายของหลิวซื่อมากขนาดนั้น แต่นางก็ไม่หวังให้หลิวซื่อมาตายไปในเวลานี้


นางเข้าใจที่หลี่เย่พยายามยื้อชีวิตหลิวซื่อเอาไว้ นางเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยคาดหวังเช่นนั้น ดังนั้นหากเป็นไปได้ นางก็หวังให้หลิวซื่ออดทนไปอีกหน่อย หากหลิวซื่อตายไปตอนนี้ก็จะเป็นเรื่องวุ่นวาย อีกทั้งยังส่งผลกระทบและความหวาดกลัวมากมาย


นางไม่สนว่าบ่าวรับใช้จะถ่ายทอดคำพูดของนางหรือไม่ หากถูกถ่ายทอดออกไปจริงนางก็อธิบายได้ว่าเป็นกลวิธีกระตุ้น ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร


พอบ่าวรับใช้คนนั้นกลับไปถ่ายทอดคำพูดแล้วนั้น ถาวจวินหลันก็สั่งเนิบๆ “ นี่ก็ดึกแล้ว สมควรพักผ่อนได้เสียที”


เมื่ออาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาเสร็จจนปีนขึ้นเตียงไปแล้ว ก็ไม่ได้มีคำพูดอื่นอีก ทว่าตอนที่นั่งพิงหัวเตียง ถาวจวินหลันก็อดหยิบจดหมายที่หลี่เย่ทิ้งเอาไว้ขึ้นมาดูไม่ได้ นางทั้งโศกเศร้าและหวานซึ้ง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังหวาดกลัว


สิ่งที่หลี่เย่ทิ้งเอาไว้นั้นง่ายดาย และมีเพียงแค่ไม่กี่คำเท่านั้น อย่างแรกคือบอกให้นางไม่ต้องกลัว อย่างที่สองเขาจะต้องปกป้องนางให้ปลอดภัย


นอกจากนี้แล้วก็ไม่ได้พูดเกี้ยวพาราสีอะไรอีก แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ชวนให้ชอบใจและอ่อนหวานมากกว่าบทกลอนเป็นหมื่นเป็นพันคำเสียอีก


สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็นอนกอดจดหมายหลับไป แม้จะบอกว่ามีเรื่องมากมายเกิดขึ้น คนจำนวนมากอาจจะนอนไม่หลับ แต่วันนี้นางเหนื่อยมาทั้งวัน จึงเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อย่างรวดเร็ว ไม่ได้มีความคิดสับสนวุ่นวายอีก


สำหรับคนที่นอนไม่หลับนั้น กลับมีเยอะมากมาย เฉกเช่น หลิวซื่อ เจียงอวี้เหลียน แม้กระทั่งหลี่เย่


วันนี้หลี่เย่พาเซิ่นเอ๋อร์เข้าวังหลวงมาฝากไว้กับไทเฮา หลังจากไทเฮารับรู้เรื่องในจวนตวนชินอ๋อง นางก็ทั้งโมโหและโล่งใจทันที โล่งใจที่หลี่เย่ปลอดภัย โมโหที่จวนตวนชินอ๋องมีภัยพิบัติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง


ไทเฮาถามหลี่เย่ตรงๆ “เจ้าว่า แท้จริงแล้วบังเอิญหรือว่ามีคนจงใจทำเรื่องตบตา?”


คำตอบของหลี่เย่ก็ง่ายดาย “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือตบตาคน ก็จะต้องผ่านด่านเคราะห์ร้ายครั้งนี้ให้ได้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ที่จริงแล้วตอนนี้เขาหวาดกลัวมาก


คราวนี้เขาไม่ได้ขอให้ไทเฮาส่งหมอหลวงไปประจำการอีก ในใจของเขารู้ดี ถ้าคิดค้นวิธีรักษาโรคระบาดให้เร็วที่สุดไม่ได้ ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงวางแผนใช้วิธีเล็กๆ น้อยเพื่อบีบบังคับหมอหลวงเหล่านั้น


หลี่เย่พอจะเข้าใจหมอหลวงอยู่บ้าง หากไม่มั่นใจในวิธีรักษาหรือว่ามีอันตรายเพียงเล็กน้อย กรมหมอหลวงก็จะไม่กล้าเอาออกมา ก็ไม่ใช่เหตุผลอื่น แต่เป็นเพราะต้องแบกรับความรับผิดชอบทั้งหมด มิเช่นนั้นแล้วทำไมการรักษาลำไส้อักเสบในวังหลวงนั้นถึงได้วุ่นวายกว่านอกวังนัก? เพียงเพราะว่าหมอหลวงเหล่านั้นไม่ยินยอมใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงเท่านั้นเอง


ต่อให้หมอหลวงไร้ความสามารถ ภายในเมืองหลวงก็มีหมอชื่อดังมากมาย เขาไม่ติดใจที่จะจับหมอเหล่านั้นมารวมตัวกัน เพื่อให้พวกเขาคิดค้นยารักษาให้ดีที่สุด


หลี่เย่วางเซิ่นเอ๋อร์ลง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ก่อนทูลลาและตรงไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในทันใด


เขารู้อยู่แก่ใจว่าปิดสถานการณ์ของจวนตวนชินอ๋องนั้นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อพบฮ่องเต้ เขาจึงบอกความจริงไปตรงๆ และพูดอีกว่า “ขอให้เสด็จพ่อโยกย้ายทหารองครักษ์ ไปปิดแยกพื้นที่จวนตวนชินอ๋องด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้เองก็โมโหเช่นเดียวกัน “ก่อนหน้านี้ยังดีอยู่เลยไม่ใช่หรือ ทำไมถึง…”


หลี่เย่หน้าเคร่งขรึมพูดเสียงแหบแห้ง “ลูกเองก็กำลังอึดอัดใจเรื่องนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้ที่น่ากังวลมากกว่าก็คือ โรคระบาดได้แพร่กระจายไปแล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? หมอหลวงคนก่อนที่ตรวจอาการให้หลิวซื่อ หลังจากออกไปแล้วก็ไม่รู้ว่าไปสัมผัสคนอีกมากมายเท่าไร” เมื่อพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็คิดได้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นด้วย ฉับพลันก็มีสีหน้าท่าทีไม่น่ามอง


พอออกคำสั่งไปติดต่อกัน สีหน้าของฮ่องเต้ถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย มองไปยังหลี่เย่ “ตอนนี้คิดว่าเจ้าคงใจไม่ดีเป็นแน่ พักผ่อนให้ดีสักสองสามวันก็แล้วกัน”


นิ้วมือของหลี่เย่กำเข้าหากันแน่น แล้วก็คลายออก ใบหน้าจริงจังมองไปทางฮ่องเต้พลางเอ่ยขอบพระทัย “ลูกเองก็คิดเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ อย่างไรจิตใจของลูกก็ยังสับสนวุ่นวาย คงไม่อาจจัดการเรื่องราชการได้อีกพ่ะย่ะค่ะ”


เมื่อพูดจบ หลี่เย่ก็ขอทูลลาอย่างรู้งาน


เมื่อออกจากประตูมาแล้ว กลับเป็นขันทีเป่าฉวนที่เอ่ยปลอบหลี่เย่ “ท่านอ๋องโปรดวางใจ จวนอ๋องจะต้องไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างฮ่องเต้เองก็คำนึงจากภาพรวม…”


หลี่เย่พยักหน้า “ข้าเข้าใจ”


คราวนี้ขันทีเป่าฉวนถึงได้เงียบลง พลางถอนหายใจ “ตอนนี้ท่านอ๋องก็ต้องระวังด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”


หลี่เย่รับคำ มองขันทีเป่าฉวนทีหนึ่งแล้วก้าวเท้าออกจากวังหลวงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฮ่องเต้กล่าวเช่นนั้น เกรงว่าเขาคงเข้าวังหลวงไปไม่ได้ช่วงหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นอะไร นี่เป็นความตั้งใจของเขาพอดี


เรื่องคำเตือนด้วยความหวังดีของขันทีเป่าฉวนนั้น ในใจของเขาก็รู้ดี หากมีคนอยากลงมือกับจวนตวนชินอ๋อง เช่นนั้นคนต่อไปก็ต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน


เมื่อออกจากวังหลวงมาแล้ว หลี่เย่ก็ตรงไปที่บ้านของถาวจิ้งผิง แล้วเรียกพบหลิวเอิน


หลิวเอินกลับต้องตกใจกับคำสั่งของหลี่เย่ไปครู่ใหญ่ “ท่านอ๋อง เกรงว่าคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก” หลี่เย่อยากให้เขาพาหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงทั้งหมดมารวมตัวกัน โดยไม่ต้องสนใจวิธี หรือจะพูดว่า ไม่ว่าจะใช้ผลประโยชน์ล่อลวงหรือว่าบีบบังคับก็ย่อมได้ทั้งนั้น


หลิวเอินรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอะไร? หากหลี่เย่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ อย่างนั้นจะต้องสร้างความไม่พอใจให้คนมากมายเท่าไร?


หลี่เย่กลับสะบัดมือ พูดเสียงต่ำ “เจ้าแค่ไปทำ เกิดเรื่องข้ารับผิดชอบเอง”


หลิวเอินอ้าปาก ตั้งใจจะพูดเกลี้ยกล่อมอีกหน่อย แต่พอเห็นท่าทีของหลี่เย่แล้ว คำพูดที่อยู่ตรงริมฝีปากก็ต้องกลืนลงไป เขารู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้พูดไปหลี่เย่ก็คงไม่ฟัง


จากนั้นหลี่เย่ก็หัวเราะเบาๆ “หลายวันมานี้ หมอในกรมหมอหลวงไม่ได้คิดค้นสิ่งที่มีประโยชน์ออกมาเลย ควรหาวิธีเตือนพวกเขาได้แล้ว เอาอย่างนี้ ก่อนอื่นเลยไปเชิญสมาชิกครอบครัวของหัวหน้าหมอหลวงทั้งสามคนมาเป็นแขกก่อนเถิด”


หลิวเอินถลึงตาโต  ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ท่านอ๋องได้โปรดคิดให้ดีเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ก่อนหน้านี้ยังคงเป็นหมอของประชาชน ถ้าลักพาตัวมายังไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างไรก็มีฐานะของหลี่เย่อยู่ตรงนั้น และยังมีความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เพียงแค่ไม่กี่คำก็กลบเรื่องนี้ไปได้ พอจบเรื่องก็ค่อยปลอบประโลมให้ดี แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว


แต่หมอหลวง…


หมอหลวงเป็นคนของฮ่องเต้ หากลงมือ นั่นไม่ใช่ว่าเข้าไปล่วงเกินผู้มีอำนาจอย่างนั้นหรือ? ปากของฮ่องเต้ไม่พูด แต่ในใจนั้นย่อมต้องไม่พอใจเป็นแน่


“ไปทำ” หลี่เย่ไม่อธิบาย เพียงแค่พูดออกมาสองคำ น้ำเสียงทรงอำนาจไม่รับฟังคำปฏิเสธ


หลิวเอินทำได้แค่รับคำสั่ง “บ่าวจะพยายามอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”


“อีกอย่าง ใช้คนที่เชื่อถือได้ไปเอาเลือดสดของคนที่ติดเชื้อโรคระบาดมาหนึ่งกาเต็ม” ตอนที่หลี่เย่พูด ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย ภายในดวงตานั้นประกายแสงเย็นเยียบ ทำให้คนไม่กล้าสบตามอง


หลิวเอินเหงื่อไหลเต็มใบหน้า “ท่านอ๋อง นี่…จะเอาไปทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” เลือดสดของคนติดเชื้อโรคระบาดจะมีประโยชน์อะไร? จะเอามาศึกษาอย่างนั้นหรือ? แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครใช้วิธีเช่นนี้มาก่อน


หลี่เย่หัวเราะเสียงเย็น “เหิงกั๋วกงเอ็นดูลูกชายคนเล็กมากที่สุด หากลูกชายคนเล็กของเขาติดเชื้อโรคระบาดด้วยเหมือนกัน แล้วเขาจะเป็นอย่างไร? ตอนนี้ข้าจะยังไม่แตะต้ององค์รัชทายาท แต่ลงมือกับเกิงกั๋วกงได้”


หลิวเอินได้ยินก็เหงื่อไหล แม้จะบอกว่าหลี่เย่ไม่ได้อบอุ่นมีเมตตาเหมือนที่แสดงออกมา แต่ว่าน้อยครั้งที่เขาจะโหดเ**้ยมเช่นนี้ และยิ่งดูจากท่าทีตอนนี้ก็เหมือนว่าจะไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้น มีท่าทีเหมือนว่าอย่างมากก็แค่ตายไปพร้อมกันเท่านั้น


คราวนี้หลิวเอินเริ่มไม่กล้ารับปากหลี่เย่แล้ว คิดจะลองกล่อมดู


“เจ้าวางใจ ข้ารู้ตัวดี ไม่มีทางผิดเป็นแน่” เหมือนคาดเดาความคิดของหลิวเอินได้ หลี่เย่จึงกำชับเรียบๆ เล็กน้อย แล้วเก็บท่าทีเ**้ยมโหดที่มีก่อนหน้านี้ไปหมด ฟื้นคืนภาพลักษณ์เดิมของตนเองกลับมา


คำว่า ‘ไฉนเลยข้าจะกล้าวางใจ’ ติดอยู่ในลำคอของหลิวเอิน สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เพียงพยักหน้า


หลี่เย่หยิบจอกเหล้าขึ้นมา จิบหมดภายในอึกเดียว รู้สึกได้ถึงความร้อนที่ไหลผ่านลงคอ เขายิ้มเล็กน้อยพลางพูดว่า “เจ้าว่า ฮองเฮากล้าลงมือเช่นนี้ เพราะว่าในมือของนางมีวิธีรักษาอยู่หรือไม่? บีบนางสักครั้งก็จะรู้ความจริงแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?”


ต่อให้ในมือของฮองเฮาไม่มีวิธีรักษา คนของจวนเหิงกั๋วกงก็ต้องสละชีวิต เช่นนั้นก็ถือว่ากรรมตามสนอง! อย่าคิดว่าเขาไม่มีหลักฐาน แล้วจะไม่รู้ว่าใครบงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!


หากครั้งนี้ถาวจวินหลันเป็นอะไรไป เขาจะต้องลากทั้งจวนเหิงกั๋วกงไปตายเป็นเพื่อนอย่างแน่นอน! จะต้องให้ฮองเฮาลงไปตายด้วยกัน! ต่อให้สิ่งที่สั่งสมมาแต่ก่อนต้องเสียเปล่า ขอแค่เพียงลากฮองเฮาลงมาได้ ต่อให้ต้องเอาเปรียบจวงอ๋องและอู่อ๋อง เขาก็ไม่สนใจ! เขาหลี่เย่ พูดได้ก็ต้องทำได้ ไม่มีทางกลับคำพูดเป็นแน่!


ดวงตาของหลี่เย่นั้นมืดลงหลายส่วน ยกเหล้าขึ้นดื่มอย่างแค้นเคืองอีกครั้ง แล้วถึงได้กำนิ้ว เม้มริมฝีปากแน่น ตั้งแต่เล็กจนโตฮองเฮาเอาของที่เป็นของเขาไปกี่อย่างแล้ว? แต่จำต้องยอมรับว่าคราวนี้ฮองเฮาเล่นเข้าที่จุดตายของเขา สำหรับเขาแล้วถาวจวินหลันเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้าย 

 

 


บทที่ 454 โหดร้าย

 

​ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้เรื่องภายนอกจวน นางไม่รู้ว่าความเสี่ยงที่นางเจอครั้งนี้ มีผลให้หลี่เย่ทำทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่นวาย และนางยิ่งไม่รู้ว่าเพียงชั่วข้ามคืนหมอที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในเมืองหลวง ต่างถูกพามารวมตัวกันอยู่ในบ้านที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ถูกคนควบคุมจนขาดอิสรภาพ และนางยิ่งไม่รู้ว่าคนที่ติดเชื้อโรคระบาดนอกเมืองคนหนึ่งถูกแอบถ่ายเลือดออกมากาหนึ่ง แล้วแอบส่งเข้ามาในภายในเมือง


 


 


สุดท้ายเลือดกานั้นก็ถูกส่งเข้ายังจวนเหิงกั๋วกง ผ่านการสลับสับเปลี่ยนจนไปถึงหัวเตียงของบ่าวอุ่นเตียงของคุณชายสามแห่งจวนเหิงกั๋วกง


 


 


ถาวจวินหลันกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องคนติดโรคที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่ทันถึงเวลากลางวัน บรรดาบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายหลิวซื่อก็เริ่มออกอาการแล้วสองคน ไม่เพียงแค่บ่าวรับใช้ข้างกาย แต่หญิงชราคนหนึ่งก็ออกอาการเช่นกัน


 


 


เรื่องนี้ทำให้คนทั้งจวนหวาดกลัวมากอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


ยังดีที่หงหลัวมีความสามารถมากพอ มิเช่นนั้นนางคนต้องจัดการเรื่องนี้เองจนยุ่งไปหมด


 


 


ถาวจวินหลันเรียกหมอหลวงสวีอายุน้อยคนนั้นมา หมอหลวงสวีคนนี้ เพิ่งจะมีอายุครบยี่สิบปีเท่านั้น และเพิ่งแต่งงานเมื่อเดือนที่แล้ว เข้ามาในกรมหมอหลวงได้ไม่ถึงครึ่งปี


 


 


หมอหลวงสวีแม้จะบอกว่าอายุน้อย แต่ก็เป็นคนสุขุม แค่จุดนี้ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าในอนาคตเขาจะต้องเป็นคนหนุ่มที่มากความสามารถ นางยังจำปฏิกิริยาของหมอหลวงสวีเมื่อวานนี้ได้  แม้จะบอกว่าสู้หมอหลวงชราไม่ได้ แต่ก็ถือว่าตั้งสติได้ดีในยามเกิดเรื่อง


 


 


ถาวจวินหลันและหมอหลวงสวีนั่งโดยมีฉากกั้นกลาง อย่างแรกเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายโรคของแต่ละฝ่าย อย่างที่สองก็เพื่อเลี่ยงข้อสงสัย


 


 


“หมอหลวงสวี ท่านบอกข้ามาตามตรง แท้จริงแล้วชายาเอกเหลือเวลาอีกเท่าไรกันแน่” แม้จะบอกว่าหลิวซื่อยอมกินข้าวกินยาแล้ว แต่ถาวจวินหลันก็เข้าใจดีว่าเป็นแค่การยืดเวลาออกไปเท่านั้น ดังนั้นสิ่งของที่ควรจะต้องเตรียมก็ต้องจัดไว้ให้พร้อม ที่ถามเช่นนี้ก็เพื่อเตรียมใจเท่านั้น


 


 


หมอหลวงสวีเป็นคนซื่อตรง แม้ว่าจะยังระมัดระวัง เก้ๆ กังๆ ไปบ้าง แต่น้ำเสียงก็หนักแน่นเฉียบขาด “อย่างมากก็ไม่เกินสิบห้าวันขอรับ นอกจากจะคิดค้นวิธีรักษาได้ก่อนเวลานั้น แต่ต่อให้มีวิธี ดูจากอาการของชายาเอกตอนนี้แล้วเกรงว่าคงไม่เกิดผลนักขอรับ”


 


 


“หากไม่นับเรื่องติดเชื้อโรคระบาด อาการป่วยของชายาเอกเป็นอย่างไรบ้าง?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วน้อยๆ สิบห้าวัน ก็ไม่ได้ถือว่านาน ถือว่าใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว


 


 


ใบหน้าของหมอหลวงสวีเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ พูดอย่างยากลำบากว่า “อาการป่วยของชายาเอกเป็นโรคของหญิงตั้งครรภ์ อาการป่วยรุนแรงเป็นอันมาก คิดว่าชายารองถาวท่านคงได้กลิ่นในห้องนั้นแล้ว ต่อให้ไม่มีโรคระบาดหรือบำรุงร่างกายดีเพียงใด ชายาเอกก็อยู่ได้มากสุดสองสามปีเท่านั้น อวัยวะภายในล้มเหลวแล้ว ไม่ว่าจะบำรุงอย่างไรก็เป็นแค่การซื้อเวลาเท่านั้น”


 


 


ถาวจวินหลันตกใจเล็กน้อย แล้วไม่พูดถึงอาการป่วยของหลิวซื่ออีก เพียงแค่ถามว่า “ไม่ทราบว่าหมอหลวงสวีเข้าใจเรื่องโรคระบาดมากน้อยเพียงใด?”


 


 


หมอหลวงสวีตะลึงไป จากนั้นก็ส่ายหน้า “เข้าใจเพียงเล็กน้อยขอรับ โรคระบาดคราวนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ดังนั้นเพียงเวลาสั้นๆ ไม่มีใครทำความเข้าใจได้ถ่องแท้หรอกขอรับ”


 


 


“ท่านคงรู้สถานการณ์ในจวนตวนชินอ๋องแล้ว” ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากพูดช้าๆ ว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจวนตวนชินอ๋องคงเหลือคนรอดชีวิตไม่กี่คนเท่านั้น ตามความคิดของข้า ท่านควรรีบหาวิธีรักษาโดยเร็ว ทดลองหลายๆ แบบ ต่อให้ฤทธิ์ยาแรงไปหน่อยก็ไม่เป็นไร” ตอนนี้ในจวนมีคนออกอาการป่วยเพิ่มขึ้นแล้ว หากต้องใช้ทดลองยาด้วยก็ถือว่ามีเพียงพอ


 


 


ไม่ใช่ว่านางใจร้าย แต่ในเมื่อติดเชื้อโรคระบาดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย ไม่สู้หาทางสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง ต่อให้รักษาไม่หายหรือถูกพิษจนตาย นั่นก็เป็นเพียงเลื่อนเวลาตายให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง


 


 


พูดไปแล้ว หากหาวิธีรักษาได้เล่า? นั่นไม่ใช่เพียงแค่ช่วยคนในจวนตวนชินอ๋อง แต่ยังช่วยผู้ประสบภัยได้อีกมาก! ต่อให้ต้องแบกรับคำดุด่า นางก็ยินยอม!


 


 


หากพูดว่านางไม่เห็นแก่ตัวก็คงไม่ใช่ นางจะตัดใจจากหลี่เย่ได้อย่างไร จะละทิ้งลูกหญิงชายทั้งสองคนของตนเองได้อย่างไร? เพียงสิ่งเหล่านี้ต่อให้นางต้องทดลองยาเองนางก็ยินยอม!


 


 


หมอหลวงสวีได้ยินก็ตกตะลึงไป… ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้กระอึกกระอักเอ่ยว่า “นี่…”


 


 


“ท่านไม่กล้าหรืออย่างไร?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วขึ้น แฝงแววเยาะเย้ยอยู่หลายส่วน ด้วยตั้งใจใช้วิธีกระตุ้นเขา


 


 


หมอหลวงสวีส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่ความสามารถของข้ามีจำกัด แม้ว่าจะมีคนยอมใช้ยา แต่โอกาสก็ริบหรี่เหลือเกินขอรับ”


 


 


“ไม่ว่าจะริบหรี่เพียงใด ก็ต้องลองดูสักตั้ง” ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ในเมื่อหมอหลวงสวีไม่กลัว ถ้าเช่นนั้นก็ควรจะคิดถึงฮูหยินที่เพิ่งตั้งครรภ์เสียก่อน พูดไม่น่าฟังก็คือรังที่พลิกตกย่อมีไข่แตกมิใช่หรือ? หากโรคระบาดแพร่กระจายจริงๆ ใครจะไปหนีได้? ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่สู้ลองทำให้สุดแรงจะดีกว่า”


 


 


หมอหลวงสวีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็กัดฟันพูดว่า “ในเมื่อชายารองถาวเชื่อข้าถึงเพียงนี้ ข้าก็จะลองสักตั้งขอรับ!”


 


 


ถาวจวินหลันพลันแย้มยิ้ม พูดเสียงดังว่า “ดี หมอหลวงสวียินยอมก็พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น หากเกิดเรื่องอะไร จวนตวนชินอ๋องจะรับผิดชอบเอง! ท่านสนใจเพียงการทดลองก็พอแล้ว!”


 


 


และหากจะพูดถึงหน้าที่รับผิดชอบ ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรมาก อย่างไรคนในจวนตวนชินอ๋องต่างก็เป็นบ่าวที่ขายถูกพ่อแม่หรือขายตัวเองเข้ามา พูดไม่น่าฟังก็คือ ต่อให้ตายไป ก็ไม่มีใครไปขุดคุ้ยขึ้นมา แล้วหากยิ่งติดเชื้อโรคระบาดด้วยแล้วล่ะ?


 


 


เพื่อความหวังที่จะมีชีวิตรอด ถาวจวินหลันยินยอมเป็นคนเลวสักครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ยอมละเลยคนเหล่านั้น กำชับหงหลัวพูดว่า “มอบเงินสองชั่งให้ครอบครัวของทุกคนที่ยอมทดลองยา อีกทั้งหากเสียชีวิต จวนตวนชินอ๋องจะออกค่าโลงให้อีกยี่สิบชั่ง!”


 


 


หงหลัวได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มน้อยๆ พลางพูดว่า “ชายารองโปรดวางใจ ต่อให้ไม่ให้เงินพวกเขาก็ยินยอมเจ้าค่ะ” อย่างไรตอนนี้ดูแล้วก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้ว ใครจะไม่ยินยอมจับโอกาสครั้งนี้เอาไว้? ไม่ต้องพูดถึงการทดลองยา ต่อให้พวกเขาต้องแล่เนื้อ พวกเขาก็ยินยอมเป็นแน่! แม้แต่มดยังรักชีวิต แล้วมนุษย์เล่า?


 


 


ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้อยู่แล้ว จึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “พวกเขายินยอมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ” ทำเช่นนี้ไม่เพียงแค่นางรู้สึกสบายใจ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือไม่ให้คนอื่นมาหาเรื่องได้ และเพื่อกระตุ้นคนอื่น อย่างไรทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่า เพียงเวลาสั้นๆ ต้องมีคนออกอาการตามมาอีกไม่น้อย


 


 


หงหลัวจัดการเรื่องทดลองยา ส่วนถาวจวินหลันหลับตารักษาสมาธิ


 


 


ด้วยร่างกายของตนเองอ่อนแอ ดังนั้นนางจึงทานยาปี้เซียวตานทุกวัน นางเคยถามหมอหลวงสวี รู้ว่าไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับอาหารบำรุงที่นางกินในหลายวันนี้ ดังนั้นจึงทานต่ออย่างไร้กังวล


 


 


พอลืมตาขึ้นมา ถาวจวินหลันก็เห็นปี้เจียวนั่งทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ข้างๆ คำพูดที่ว่า ‘ปักไปเดี๋ยวก็ต้องเผาทิ้ง เจ้าจะทำให้เสียเวลาทำไม’ ก็ต้องกลืนลงคอไปทันที


 


 


แต่ยามนี้มีเรื่องให้ทำก็ดี อย่างน้อยก็ทำให้คนไม่คิดฟุ้งซ่านได้


 


 


ถาวจวินหลันคิดวิธีให้หมอทดลองยานี้ออกมา หลี่เย่เองก็คิดได้เช่นกัน แต่หลี่เย่โหดเ**้ยมกว่าถาวจวินหลันอยู่สักหน่อย หลี่เย่เอาบรรดาหมอธรรมดาเหล่านั้นไปปล่อยไว้นอกเมือง


 


 


เมื่อกระทำเช่นนี้ย่อมไม่ต่างจากการตัดหนทางหนีของหมอเหล่านั้น จะต้องรู้ว่า ถ้ายังไม่มีวิธีรักษา ตอนที่พวกเขาติดเชื้อโรคระบาดนั้นก็ถือว่าหมดปัญญาแล้ว ต่อให้เรียกใครมาก็ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น


 


 


ไม่เพียงเท่านี้ หลี่เย่ยังเอาวิธีนี้ไปอ้อมค้อมบอกเรื่องนี้ต่อหน้าฮ่องเต้  ต้องพูดเลยว่าวิธีนี้แม้ว่าจะโหดร้าย แต่ต้องผลลัพธ์แน่นอน


 


 


เพิ่งจะเข้าวันที่สาม หมอเหล่านั้นที่เขาส่งออกไปก็คิดหาวิธีหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของโรคระบาดได้ดีกว่าเดิม แม้จะบอกว่าผลลัพธ์ไม่เห็นผลอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีผลกว่าเจ็ดส่วนแล้ว อย่างน้อยชีวิตของบรรดาหมอก็ไร้กังวล


 


 


หลังจากที่หลี่เย่ได้รับคำรายงานนี้แล้ว ก็ส่งวิธีนี้ไปยังจวนตวนชินอ๋องในทันที และยังมอบให้กับฮ่องเต้ด้วย


 


 


ที่จริงแล้วฮ่องเต้ก็หวาดกลัวว่าในวังหลวงจะเกิดการแพร่กระจายของโรคระบาดเช่นกัน ดังนั้นเมื่อได้วิธีนี้มาจึงสนใจมาก และประทานรางวัลให้หลี่เย่ไม่น้อย แม้แต่เรื่องกักบริเวณหมอก็ยังไม่เอามากล่าวโทษหลี่เย่เช่นกัน


 


 


จากที่ฮ่องเต้ดูแล้ว เวลานี้ไม่ใช่เวลามานั่งคำนึงถึงกฎเกณฑ์ทุกกระเบียดนิ้วแล้ว จะเป็นแมวบ้านหรือแมวป่า ขอแค่จับหนูได้ถึงจะถือว่าเป็นแมวตัวจริง ขอเพียงแค่ผลออกมาดี ขั้นตอน…จะอย่างไรก็ไม่สำคัญ


 


 


ฮ่องเต้ไม่เอาเรื่อง แต่กลับมีคนอื่นคิดจะเอาเรื่องแทน เหิงกั๋วกงส่งฎีกาสั่งปลดหลี่เย่ บอกว่าหลี่เย่โหดเ**้ยมไร้ความรู้สึก ใช้อำนาจขู่เข็ญคน และบอกว่าหลี่เย่หลงใหลคลั่งไคล้ผู้หญิงจนโงหัวไม่ขึ้น แม้แต่ความผิดถูกก็ยังแยกไม่ออก


 


 


ผู้หญิงคนนี้ย่อมหมายถึงถาวจวินหลัน แต่เมื่อสั่งปลดเช่นนี้ นอกจากจะทำให้เหมือนหลี่เย่สติปัญญาไม่สมประกอบแล้ว ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าถาวจวินหลันเป็นนางจิ้งจอกด้วย


 


 


หลังจากไทเฮารู้เรื่องนี้ ก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก นึกกล่าวโทษถาวจวินหลันอยู่หลายส่วน


 


 


ฮ่องเต้ครุ่นคิดแล้วก็เห็นจุดประสงค์แอบแฝงในเรื่องนี้ เพื่อถาวจวินหลันคนนี้ หลี่เย่ถึงกับยอมทุ่มเทเวลาและความคิดไปมาก แม้จะบอกว่ามีอารมณ์ลึกซึ้งไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่เมื่อถูกสตรีล่อลวง นั่นถือว่าเป็นเรื่องเลวร้าย


 


 


ถาวจวินหลันจึงกลายเป็นหญ้าแพรกที่แหลกเหลว แต่แม้ว่านางจะถูกทำให้เสียหาย แต่นางก็ไม่มีทางรู้อยู่ดี และยิ่งไม่มีทางไปเปลี่ยนแปลงอะไร แม้แต่หลี่เย่ก็ไม่ได้สนใจเช่นเดียวกัน


 


 


ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องรอดไปให้ได้ก่อน ถึงค่อยสนใจเรื่องอื่น


 


 


ตอนนี้นอกจากวิธีรักษาแล้ว หลี่เย่ก็ยังไม่มีของอย่างอื่นอีก หลังจากเขารู้เรื่องคำสั่งปลดตนเองของเหิงกั๋วกงก็เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น ผ่านไปอีกสองสามวัน เกรงว่าเหิงกั๋วกงคงจะยิ้มไม่ออก ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นคงต้องมาแย่งหมอกับเขาด้วยซ้ำไป


 


 


ตอนกลางวันยังดี เพราะมีเรื่องมากมายมารัดพันตัวเอาไว้จึงไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่น แต่ตกดึกเมื่อทุกอย่างเงียบลง หลี่เย่ก็คิดถึงถาวจวินหลันขึ้นมา ไม่เพียงแค่คิดถึงถาวจวินหลัน แต่ยังคิดถึงซวนเอ๋อร์และหมิงจูด้วย


 


 


ทุกวันในเวลานี้ เขาก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้ กลัวว่าครั้งนี้เขาและถาวจวินหลันจะต้องแยกจากกันคนละฟากฟ้า กลัวว่าเขาจะไม่ได้พบนางอีก ยิ่งเวลาผ่านไป ความกลัวของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เหมือนมีป้ายหินหนักกดทับเขาเอาไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก


 


 


กลางดึกคืนนี้หลี่เย่ควบคุมความคิดถึงถาวจวินหลันไม่ได้ อารมณ์หวาดกลัวก็ยิ่งรุนแรงขึ้น จนกระทั่งเขาอยากจะไปพบหน้าถาวจวินหลันให้ได้ 

 

 


บทที่ 455 ไร้สาระ

 

เจียงอวี้เหลียนเองก็เริ่มออกอาการแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะยังไม่อันตรายถึงชีวิต แต่อาการของเจียงอวี้เหลียนก็นับว่าแย่มากแล้ว ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจ ที่เจียงอวี้เหลียนแย่มากไม่ใช่เพียงเพราะติดโรคระบาด แต่เจียงอวี้เหลียนหวาดผวาจนตกอยู่ในสภาพนั้นเองด้วยต่างหาก


 


 


จากที่บ่าวรับใช้ข้างกายเจียงอวี้เหลียนพูด ตั้งแต่กลับจากเรือนของหลิวซื่อ เจียงอวี้เหลียนก็ไม่เคยหลับสนิทแม้แต่คืนเดียว ทุกวันเอาแต่อกสั่นขวัญแขวน จนซูบผอมไปกว่าครึ่งื้งที่ยังไม่ได้มีอาการโรคระบาด อารมณ์ก็ย่ำแย่ อีกทั้งไม่กินข้าวให้ดี อาการก็ยิ่งทรุดหนักเรื่อยๆ


 


 


ถาวจวินหลันคิดว่าที่เจียงอวี้เหลียนออกอาการเร็วเช่นนี้ ก็ด้วยสุขภาพที่อ่อนแอของนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ่งรักษาร่างกายของตัวเองให้ดี


 


 


เจียงอวี้เหลียนติดเชื้อโรคระบาด ถาวจวินหลันย่อมไปเยี่ยมไม่ได้ แต่ก็เรียกพบหมอหลวงผ่านฉากกั้นอีกครั้งหนึ่ง ไม่พบกันหลายวันหมอหลวงก็ซูบผอมไปกว่าครึ่งเช่นกัน แต่นั่นเป็นเพราะว่าเหนื่อยล้า


 


 


“ทางด้านชายารองเจียง…” ถาวจวินหลันเหนื่อยที่จะต้องพูดวกวน จึงพูดขวานผ่าซากว่า “ได้ยินว่าอาการไม่ค่อยดีนัก ท่านมีวิธีอะไรหรือไม่?”


 


 


หมอหลวงสวีส่ายหน้า พูดว่า “โรคทางใจต้องการยารักษาใจ ชายารองเจียงตกใจจนสิ้นสติ ยาย่อมไร้ประโยชน์”


 


 


ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น นิ่งอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ก็คิดได้ว่า “เช่นนั้นก็ไปบอกนาง ว่าท่านค้นพบวิธีรักษาได้แล้ว”


 


 


หมอหลวงสวีตะลึงไป “นี่…” ไม่ใช่การโกหกหรืออย่างไร? อีกทั้งหากถูกเปิดเผย นี่จะไม่ยิ่งแย่ไปอีกหรือ?


 


 


“ยังจะแย่กว่าตอนนี้อีกอย่างนั้นหรือ” ถาวจวินหลันพูดเนิบๆ “ต่อให้สุดท้ายจะต้องตายจริง อย่างน้อยช่วงเวลาสองสามวันนี้ก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขเสียหน่อย ไม่ต้องทรมานขนาดนั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าโรคระบาดยังไม่ทันคร่าชีวิตของนางไป ตัวนางเองคงจะฆ่าตัวเองไปก่อนแล้ว”


 


 


หมอหลวงสวีเริ่มคล้อยตาม แต่ก็ยังอึดอัดใจอยู่ มีบ้านไหนบ้างที่อนุภรรยาไม่ต่อสู้แย่งชิงกัน? ทว่าชายารองถาวคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะหวังให้ชายารองเจียงตายไปทั้งอย่างนี้แล้ว ไฉนเลยจะมานั่งคิดเรื่องช่วยเหลือคน?


 


 


อึดอัดก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร และยิ่งไม่กล้าแสดงออกมาแม้แต่น้อย หลังจากพิจารณาคำพูดของถาวจวินหลันอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว สุดท้ายหมอหลวงสวีก็พยักหน้าเอ่ย “เช่นนี้ถือเป็นวิธีที่ดีเช่นเดียวกัน” ไม่ว่าอย่างไรก็ยืดเวลาออกไปได้ไม่ใช่หรือ? ขอเพียงคิดค้นวิธีรักษาได้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้า “เวลาท่านใช้ยาก็ต้องกล้ามากกว่านี้หน่อย ต่อให้รักษาไม่หาย แต่แค่ระงับโรคระบาดไม่ให้ออกอาการเร็วเกินไป และยืดเวลาให้คนทนต่อไปได้นานอีกหน่อยก็ถือว่าดีมากแล้ว”


 


 


นางรู้อยู่แก่ใจว่าหมอหลวงสวีอายุน้อยเกินไป จะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่หมอหลวงสวีก็ถือว่าเข้มงวดเกินไป ดังนั้นนางจึงคิดว่าถอยให้ก้าวหนึ่งแล้วร้องขอสิ่งที่รองลงมาถึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด


 


 


หมอหลวงสวีพยักหน้า รู้สึกผ่อนคลายไปเล็กน้อย อย่างไรเป้าหมายก็ลดลงมาเล็กน้อย ระดับความยากย่อมลดลงมาเช่นเดียวกัน อย่างน้อยก็ไม่ได้ห่างไกลจนจับต้องไม่ได้


 


 


หลังจากส่งหมอหลวงสวีไปแล้ว ปี้เจี้ยวก็เอ่ยปากพูดก่อนอย่างที่ไม่ค่อยเห็น “ทำไมชายารองต้องเหนื่อยเพราะชายารองเจียงด้วยเจ้าคะ? คนอย่างนาง ไม่มีทางซาบซึ้ง ช่วยไปก็เสียแรงเปล่าเท่านั้น” อีกทั้งเจียงอวี้เหลียนก็ยังเป็นมารดาของเซิ่นเอ๋อร์อีกด้วย


 


 


ปี้เจียวไม่กล้าพูดเรื่องสุดท้ายออกมา แต่คิดว่าถาวจวินหลันน่าจะคาดเดาความคิดของนางได้อยู่แล้ว


 


 


ถาวจวินหลันคาดเดาได้จริง จึงคลี่ยิ้มออกมา “ไม่ว่าจะมีนางหรือไม่ วันข้างหน้าก็จะต้องมีคนอื่นอีก อย่างนั้นไม่สู้ให้นางอยู่ต่อดีกว่า อีกทั้งข้ากับนางก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แล้วยังมีอะไรให้คิดมากอีก? อีกทั้งเซิ่นเอ๋อร์ก็ยังเล็กนัก ถ้าไม่มีแม่จะน่าสงสารเพียงใด?”


 


 


เจียงอวี้เหลียนไม่ได้เป็นคนคิดซับซ้อน ถ้าเทียบกับคนที่เก่งกาจเหล่านั้น นางก็ชอบเจียงอวี้เหลียนมากกว่า ส่วนเซิ่นเอ๋อร์ทำให้นางกดดันหรือไม่ คิดว่าภายในสิบปีนี้คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น หรือจะพูดว่า หากเซิ่นเอ๋อร์มีอิทธิพลต่อซวนเอ๋อร์ อย่างนั้นก็อธิบายได้แค่ว่าซวนเอ๋อร์ไม่สู้คนเกินไป


 


 


อีกทั้งสถานการณ์เช่นเจียงอวี้เหลียนนี้ ก็ให้นางรู้สึกโศกเศร้าที่คนกลุ่มเดียวกันตายไป อย่างไรวันนั้นพวกนางก็เข้าไปในเรือนของหลิวซื่อพร้อมกัน ตอนนี้เจียงอวี้เหลียนมีสภาพเช่นนี้ ก็พลอยให้นางคิดถึงตัวเองไปด้วย ใครจะรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นตัวนางด้วยหรือไม่?


 


 


“อาการของพระชายาวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ถาวจวินหลันนวดหว่างคิ้ว ถอนหายใจพลางเอ่ยถาม ตอนนี้นางกังวลว่าหลังจากเหตุการณ์โรคระบาดผ่านไป จวนตวนชินอ๋องจะเหลืออยู่ไม่กี่คน บรรดาบ่าวรับใช้ หญิงชราทั้งหลายไม่ต้องพูดถึง พูดแค่เพียงนายหญิงที่แต่เดิมมีน้อยอยู่แล้วจะดีกว่า


 


 


ปี้เจียวส่ายหัว พูดแค่ว่า “ยังเหมือนเดิมเจ้าค่ะ” เพียงแค่ทนให้วันเวลาผ่านไปเท่านั้น วันนี้ได้ยินมาว่าเริ่มเลอะเลือน นอนอยู่บนเตียงไม่ถึงหนึ่งหรือสองชั่วยามก็ตื่นขึ้นมาแล้ว


 


 


แต่นางกลับไม่กล้าพูดให้ถาวจวินหลันฟังตรงๆ กลัวว่าหลังจากถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้แล้วจะยิ่งปวดหัวและคิดมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงปล่อยผ่านไป


 


 


แม้ว่าปี้เจียวจะไม่พูด ถาวจวินหลันก็รู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่กำชับว่า “ให้คนไปเตรียมของให้พร้อม” แม้ว่าจะเก็บร่างเอาไว้ไม่ได้ แต่ของที่ควรต้องเตรียมก็เตรียมให้พร้อม ฝังไปแค่เสื้อผ้าและเถ้ากระดูกก็พอแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้าบ้าง


 


 


บางทีอาจด้วยนางได้นอนกลางวัน ตกดึกนั้นถาวจวินหลันจึงไม่ง่วง หลังจากนอนหลับตาอยู่ครู่หนึ่งก็อดลุกขึ้นมาไม่ได้ แล้วให้คนไปจุดไฟเพื่อไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือ


 


 


ตกกลางคืนไม่มีอย่างอื่นให้ทำ นอกจากอ่านหนังสือ ฝึกพู่กันแล้ว นางก็คิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ


 


 


มองดูสีหน้าง่วงงุนของปี้เจียว นางก็หัวเราะพูดว่า “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้ว ไม่ต้องให้เจ้ามาคอยปรนนิบัติ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าอีก”


 


 


ปี้เจียวลังเลอยู่นานก็ยังตัดสินใจไม่ได้


 


 


ถาวจวินหลันจึงพูดว่า “ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เจ้าถอยไปก่อนเถิด”


 


 


ปี้เจียวถึงได้ยอม ไม่ได้เดินตามไป


 


 


ถาวจวินหลันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาพลิกดูสองสามหน้า แต่พบว่าอ่านไม่เข้าหัว ทำได้แค่ทิ้งหนังสือเล่มนั้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจเบาๆ


 


 


นางคิดถึงหลี่เย่ ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ก็คิดถึงมาก แต่กลับไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไรถึงได้คิดถึงมากเป็นพิเศษ นางคิดว่าคงเพราะวันนี้เจียงอวี้เหลียนเริ่มมีอาการ นางจึงรู้สึกตกใจ นางกลัวว่าตนเองจะเป็นเหมือนเจียงอวี้เหลีบน นางกลัวว่าจะไม่ได้เจอหลี่เย่ ซวนเอ๋อร์ และหมิงจูอีก


 


 


นางนั่งคิดถึงหลี่เย่และลูกทั้งสองคนอยู่อีกครู่หนึ่ง ฉับพลันก็รู้สึกว่าดวงตาของตนเองร้อนผ่าว นางจึงรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าให้น้ำตาไหลลงมา


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง นางถึงรู้สึกตัวว่าอารมณ์สงบลงไปแล้ว นางหัวเราะเยาะดูถูกความอ่อนแอของตนเอง ก่อนพูดเตือนสติตัวเองเสียงเบา “ลูกสาวตระกูลถาวไฉนเลยจะแพ้แพ้ไปเช่นนี้? แม้ว่าต้องตาย ก็ต้องตายอย่างสมศักดิ์ศรี”


 


 


เพียงไม่นานก็เหมือนย้อนกลับไปคิดเรื่องปฏิวัติ ตราบใดที่นางยังไม่สามารถเรียกคืนความบริสุทธิ์ของท่านพ่อได้ ชื่อเสียงของตระกูลถาวก็ยังไม่นับว่ากอบกู้ขึ้นมาใหม่ได้


 


 


ไม่พอใจ! ถ้ารู้จะเป็นเช่นนี้ ต่อให้มีหลักฐานไม่มากพอก็ควรเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน อย่างน้อยนางก็ยังเห็นความหวังเล็กน้อยไม่ใช่หรืออย่างไร? ไม่รู้ว่าเมื่อไรถาวจิ้งผิงถึงจะทำได้สำเร็จ อีกทั้งไม่รู้ว่าถาวจิ้งผิงกับองค์หญิงเก้าคืนดีกันแล้วหรือยัง แล้วพวกเขาจะมีลูกด้วยกันเมื่อไร?


 


 


แม้นเข้าใจดีว่าถาวจิ้งผิงกับองค์หญิงเก้ายังอายุน้อย แต่พูดตามจริง นางเริ่มร้อนรนมากแล้ว ภาระสืบทอดตระกูลถาวตกอยู่ที่สองคนนี้ นางกระวีกระวาดร้อนใจอยากให้คนเรียกว่าท่านป้าจะแย่แล้ว


 


 


ขณะที่ครุ่นคิดวุ่นวายอยู่ ถาวจวินหลันกลับได้ยินเสียงคนเคาะหน้าต่าง นางจึงตกใจไปทันที รีบตะโกนถามว่า “ใคร?” พูดไปก็ขยับไปทางริมหน้าต่าง ตอนแรกนางอยากจะเปิดหน้าต่างออกดู แต่เมื่อคิดถึงเรื่องโรคระบาด นางก็รีบชักมือกลับ “ใครอยู่ตรงนั้น?”


 


 


ผ่านไปนานถึงมีเสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหน้าต่าง เสียงอ่อนหวานอ่อนโยนเอ่ยว่า “ข้าเอง”


 


 


ถาวจวินหลันตกใจ หยิกข้อศอกของตัวเองเต็มแรง พอมั่นใจว่าไม่ใช่ความฝัน ถึงได้ขมวดคิ้วถามกลับไป “ท่านเข้ามาได้อย่างไร? ทำไมท่านถึงกล้าเข้ามา! ท่านกำลังหาเรื่องอยู่นะเพคะ!


 


 


คนที่มาคือหลี่เย่ เมื่อครู่นี้นางฟังเสียงออกทันที ด้วยเป็นหลี่เย่ นางถึงได้สงสัยว่าตนเองคิดถึงมากเกินไปจนหูแว่ว พอได้สติกลับมาก็รู้ว่าไม่ใช่ความฝัน นางถึงได้ทำตัวไม่ถูก


 


 


หลี่เย่ควรอยู่ด้านนอกไม่ใช่หรืออย่างไร! เขาเข้ามาได้อย่างไร? เพราะทหารยามหละหลวม หรือเป็นเพราะอย่างอื่น? ที่สำคัญก็คือแม้ว่าจะเข้ามาได้จริง แต่เขาเลอะเลือนจนกล้าเข้ามาได้อย่างไร?! หรือเขาจะไม่กลัวติดโรคระบาดอย่างนั้นหรือ?


 


 


ถาวจวินหลันทั้งร้อนรนและโมโห แต่แล้วนางก็คิดได้ว่ามีหน้าต่างบานหนึ่งกั้นตนเองกับหลี่เย่เอาไว้ จึงรีบก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว


 


 


“ข้าคิดถึงเจ้า” ด้านนอกมีเสียงถอนหายใจดังออกมา หลี่เย่เสียงแหบพร่าเป็นพิเศษ ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกเศร้าไปไม่น้อย


 


 


พอหลี่เย่พูดสามคำนั้นออกมา ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นแรง ร่างกายพลันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ก่อนหัวเราะขมขื่นว่า “ข้าก็คิดถึงท่าน คิดถึงมาก”


 


 


แต่นางก็พูดต่อว่าเสียงเบาโดยเร็ว “แม้ว่าจะคิดถึงข้า ท่านก็ไม่ควรเสี่ยงอันตราย ทำไมคนใจเย็นเช่นท่านถึงได้เลอะเลือนไปแล้วเล่า?”


 


 


หลี่เย่ก็ไม่ได้คิดจะเข้าไป เขารู้ดีว่าต่อให้เขาอยากเข้าไปเพียงใด ถาวจวินหลันก็ไม่มีทางยอม ดังนั้นจึงยืนพิงกำแพงตรงนั้น มองดูท้องฟ้าที่ไร้แสงจันทร์ส่องสว่าง พร้อมทั้งหัวเราะเยาะตัวเอง “ข้ากลัว”


 


 


หลี่เย่กล้าสารภาพตรงๆ ว่าตนเองหวาดกลัวเช่นนี้ กลับทำให้ถาวจวินหลันพูดไม่ออก สุดท้ายแล้วพอได้สติกลับมานางก็พูดเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไรต้องกลัวเพคะ ข้าจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าไม่เชื่อ ใต้หล้านี้มีหมอมากมายเพียงใด? หรือว่าแม้แต่โรคระบาดก็รักษาไม่หาย?”


 


 


ประโยคสุดท้ายนางตั้งใจพูดให้ขบขันเย้าหยอก


 


 


หลี่อดหัวเราไม่ได้ แต่หลังจากนั้นก็ยิ่งรู้สึกเศร้ามากกว่าเดิม เขาเองก็เข้าใจเหตุผลนี้ แต่เขาก็กลัวว่าถาวจวินหลันจะรอไม่ถึงเวลานั้น


 


 


“จัดการเรื่องเซิ่นเอ๋อร์อย่างไรเพคะ?” ในเมื่อหลี่เย่มาแล้ว เกรงว่าคงไล่ไปทันทีไม่ได้ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงตัดสินใจไม่ไปพูดเร่งเขา แต่ถามถึงเรื่องจิปาถะแทน


 


 


“ฝากไว้ที่ไทเฮา” หลี่เย่ตอบ ฉับพลันก็นึกถึงเจียงอวี้เหลียนได้ ด้วยรู้เรื่องที่เจียงอวี้เหลียนเกิดอาการป่วย เขาถึงกลัวว่าถาวจวินหลันจะเป็นเช่นเดียวกัน


 


 


“อืม วางใจได้เพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพยักหน้า นิ่งไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “หากคราวนี้ชายารองเจียงทนไม่ไหว เกรงว่าต่อจากนี้พวกเราจะต้องปฏิบัติต่อเซิ่นเอ๋อร์ให้ดีเสียหน่อย ส่วนอาการของชายาเอก ข้าว่าท่านควรไปแจ้งครอบครัวนางเสียหน่อย เวลาของชายาเอกเหลือไม่มากแล้ว แต่เกรงว่ายามนี้จะจัดพิธีศพอย่างสมบูรณ์ให้ชายาเอกไม่ได้ แม้แต่ศพก็…”


 


 


“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้!” หลี่เย่พูดขัดถาวจวินหลันด้วยความรำคาญเล็กน้อย เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องเหล่านี้มีแต่ทำให้เขาหวาดกลัวเท่านั้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม