บัลลังก์พญาหงส์ 442-448

บทที่ 442 สมรู้ร่วมคิด

 

​“แล้วแพร่กระจายมาถึงจวนตวนชินอ๋องได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่เย่ถามเข้าประเด็นสำคัญ


เขาอยากจะถามมานานแล้ว คนที่มาก่อนหน้านี้ก็พูดไม่ชัดเจน บอกแค่ว่าแพร่กระจายมาจากวังหลวง แต่แพร่ออกไปอย่างไรกลับไม่รู้


เรื่องนี้ไทเฮารู้ต้นสายปลายเหตุ ดังนั้นจึงพูดให้หลี่เย่ฟัง สุดท้ายก็ถอนหายใจอีก “ในตอนนี้นอกจากพระชายารัชทายาทแล้ว ชายาเอกจวงอ๋อง ชายาเอกอู่อ๋องก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะจวงอ๋อง ตอนนั้นเขาอยู่ที่จวน จึงถูกกักอยู่ในจวนไปพร้อมกัน”


หลี่เย่อดเลิกคิ้วสูงไม่ได้ นี่ช่างน่าสนใจเสียจริง จวงอ๋องและอู่อ๋องเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และอู่อ๋องก็ถือเสาหลัก ครานี้จวงอ๋องถูกกักให้อยู่ภายในจวน อู่อ๋องคงจะกระวนกระวายไม่น้อย…


“ติดต่อมาจากนางกำนัลของวังฮองเฮาจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่เย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดออกมา “ถ้าเช่นนั้นวังของฮองเฮาถูกปิดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


“ไม่ได้ปิดไว้ เพียงแค่กักคนที่เกี่ยวกันเอาไว้เท่านั้น อย่างไรฮองเฮาก็ยังไม่พบนางกำนัลคนนั้น แต่เรื่องก็วุ่นวายขนาดนี้แล้ว” ไทเฮาเข้าใจความหมายที่หลี่เย่ถาม จึงรู้สึกเสียใจ


หลี่เย่เม้มปาก กลับไม่ได้พูดอย่างอื่นออกมา ผ่านไปนานแล้วถึงพูดกับไทเฮาว่า “ไทเฮาเองก็ต้องระวังด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”


ไทเฮาพยักหน้า “ปกติแล้ววังหย่งโซ่วเงียบสงบ วันนี้ก็มีเพียงเจ้าและเสด็จพ่อของเจ้าเท่านั้นที่มา รอจนเจ้ากลับไปแล้ว ข้าเองก็จะให้คนปิดวัง ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาตามใจชอบ”


อย่างไรภายในวังหลวงเกิดโรคระบาดขึ้น หากแพร่กระจายติดต่อกันคงไม่ดี หากทำเช่นนี้ก็ยังพอป้องกันได้บ้าง


หลี่เย่พยักหน้าหนักแน่น จากนั้นก็ลุกขึ้นทูลลา


“เสด็จพ่อของเจ้าก็ไม่พอใจเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเขาหน่อยเถิด อย่าให้สุขภาพของเขาทรุดลง” ไทเฮาพูดกำชับ และตบบ่าของหลี่เย่ “เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องในจวนมากเกินไป เซิ่นเอ๋อร์ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ถาวซื่อ…ก็คงจะไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้น”


แน่นอนว่าถ้าพูดจากใจจริงแล้ว ไทเฮาเองก็ไม่ได้คิดสาปแช่งถาวจวินหลัน ถ้าเป็นไปได้นางเองก็หวังว่าถาวจวินหลันจะปลอดภัย อย่างไรจวนตวนชินอ๋องปลอดภัยถึงจะทำให้หลี่เย่ดีขึ้นไม่ใช่หรืออย่างไร?


อย่างเดียวที่ไทเฮาไม่พอใจก็คือหลี่เย่ใส่ใจถาวจวินหลันมากเกินไป นางทำใจตำหนิหลี่เย่ไม่ลง ย่อมทำได้แค่โทษถาวจวินหลันเท่านั้น อาการแบบนี้เรียกว่าพาลหาเรื่อง


นางคงไม่หยุดหาเรื่อง นอกจากหลี่เย่จะปฏิบัติไม่ดีต่อถาวจวินหลัน แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นตราบใดที่หลี่เย่ยังคงดีกับถาวจวินนหลัน เกรงว่านางก็คงพาลหาเรื่องไปตลอด


เรื่องนี้จะโทษไทเฮาก็ไม่ได้ อย่างไรก็คงไม่มีใครยอมเห็นหลานชายของตนเองเพิกเฉยต่อภาพรวมเพราะผู้หญิงคนเดียวไม่ใช่หรือ?


หลี่เย่รับคำ ฝืนยิ้มออกมา แม้ว่าจะพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ แต่ก็ปิดความกังวลในใจไว้ไม่อยู่


พอออกจากวังหย่งโซ่วของไทเฮามา หลี่เย่ก็หันไปกำชับหวังหรู “ไป ให้คนไปสืบดู ว่านางสนมคนนั้นติดเชื้อโรคระบาดมาได้อย่างไร”


หวังหรูได้ยินเช่นนี้ ฉับพลันก็มีสีหน้าลำบากใจ “นี่…เกรงว่าคงจะสืบยากพ่ะย่ะค่ะ” วังหลวงไม่ใช่พื้นที่ของจวนตวนชินอ๋อง แม้ว่าจะมีเส้นสาย แต่ก็ไม่อาจอวดอ้างได้มากเกินไป อีกทั้งไม่สามารถทำถึงขั้นนั้นได้


หลี่เย่กวาดตามองหวังหรูเรียบๆ ทีหนึ่ง พูดว่า “ในนั้นจะมีสักกี่คนที่ใช้เงินเปิดปากไม่ได้?”


เมื่อพูดแช่นนี้หวังหรูก็เข้าใจความหมายที่หลี่เย่ต้องการจะสื่อ รีบพูดว่า “พ่ะย่ะค่ะ  บ่าวเข้าใจแล้ว”


หลี่เย่สะบัดมือ “ไปจัดการเรื่องนี้เถิด ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ” ตอนที่อยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องมีคนปรนนิบัติ ดังนั้นหวังหรูจึงไปจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ


ในวันเดียวกัน ฮ่องเต้ก็ออกคำสั่งสืบว่าหลี่ว์หลิ่วไปติดโรคระบาดมาได้อย่างไร หากสืบไม่พบก็ให้จัดการประหารคนในวังหลี่ว์หลิ่วทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้น ยังให้ประหารสามชั่วโคตรด้วย


เมื่อคำส่งลงมาเช่นนี้ ภายในวังหลวงพลันเต็มไปด้วยบรรยากาศอาฆาตแค้น หลายปีที่ฮ่องเต้ครองราชย์ นี่เป็นครั้งแรกที่มีการฆ่ากวาดล้างครั้งใหญ่เพียงนี้ พริบตาเดียวก็เหมือนกลับไปอยู่สมัยฮ่องเต้รัชกาลก่อน แต่บรรยากาศภายในวังหลวงตอนนั้นดีกว่านี้มากนัก


พูดกันตามเหตุผล เรื่องนี้ควรมอบให้ฮองเฮาจัดการ แต่สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็ตกเป็นของซูเฟย ครั้งนี้จวงอ๋องลูกชายของซูเฟยพาลเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ซูเฟยกำลังกลัดกลุ้มหาโอกาสแก้แค้นไม่ได้ เมื่อได้รับหน้าที่เช่นนี้ ย่อมไม่เหลาะแหละใจอ่อนเป็นแน่แท้


ซูเฟยเองก็ไม่เกรงใจ นางสืบเรื่องนี้อย่างเอิกเกริกครึกโครม แน่นอนว่าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์รวดเร็วจึงต้องใช้บทลงโทษโหดร้าย แต่บทลงโทษที่โหดเ**้ยมนี้ก็ทำให้เห็นผลชัดเจน


ใช้เวลาแค่เพียงสามวันก็มีนางกำนัลยอมสารภาพ เพียงแต่บอกแค่ว่าตนเองให้หลี่ว์หลิ่วใช้ผ้าที่ไม่สะอาด


แต่ยังไม่รู้ผ้านั้นมาจากที่ใดกันแน่ ขันทีที่นางกำนัลคนนั้นยอมคายชื่อออกมา ก็ฆ่าตัวตายกะทันหันไปเมื่อสองวันก่อนหน้านี้แล้ว


เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อมูลก็ขาดหายไป


ยังดีที่อย่างน้อยก็สืบได้ว่าเรื่องนี้มีคนจงใจ


พอบอกข่าวนี้ให้ฮ่องเต้ทราบแล้ว ฮ่องเต้ก็โยนจอกชาในมือทิ้งทันที ก่อนแค่นหัวเราะเอ่ยว่า “ดี ดี ดี!”


ซูเฟยถูกเศษจอกชาที่แตกทิ่มเท้าก็ให้ตกใจจนตัวสั่น แต่ก็ยังร้องไห้แจ้งทุกข์ออกมาว่า “ฮ่องเต้เพคะ ท่านจะต้องให้ความยุติธรรมกับจวงอ๋องนะเพคะ! มีคนตั้งใจทำร้ายเขานะเพคะ!”


ความตั้งใจเดิมของซูเฟยนั้นคืออยากให้ฮ่องเต้เห็นว่าจวงอ๋องก็ได้รับความลำบาก จะได้ประทานสิ่งทดแทนให้กับจวงอ๋อง แต่นางกลับพูดไม่ถูกจังหวะ เมื่อนางพูดเช่นนี้ กลับกลายเป็นการเตือนฮ่องเต้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทำเช่นนี้ ก็ด้วยต้องการทำร้ายลูกชายคนอื่นๆ ของตนอย่างนั้นหรือ? ใช่แล้ว บรรดาลูกชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็มีเพียงองค์รัชทายาทคนเดียวเท่านั้นที่ปลอดภัย ส่วนคนอื่น…


ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่เย่ถูกกันตัวเอาไว้ทันเวลา ก็คงจะเข้าไปในจวนตวนชินอ๋องเช่นกัน ตอนนี้ก็คงจะต้องถูกกักตัวอยู่ในจวนตวนชินอ๋องด้วย แล้วยังมีอู่อ๋องอีก ถ้าไม่ใช้เพราะวันนั้นอู่อ๋องออกไปหาความสำราญนอกบ้านแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะตกอยู่ในสภาพเดียวกัน


เมื่อคิดได้เช่นนี้ฮ่องเต้ก็รู้สึกหนาวเหน็บ ถ้าหากบรรดาลูกชายของตนเป็นอะไรไป เกรงว่าจะเหลือองค์รัชทายาทคนเดียวที่บรรลุนิติภาวะแล้ว คนที่เหลือยังอายุน้อย ไม่สามารถแข่งขันกับองค์รัชทายาทได้…


ฮ่องเต้ลูบไล้แหวนหยกมรกตที่อยู่บนนิ้วโป้งไปมา สายตาเย็นเยียบ สั่งให้คนไปเรียกหลี่เย่เข้ามา


ฮ่องเต้รู้เรื่องเหล่านี้ดี หลี่เย่เองก็รู้เช่นเดียวกัน ความคิดของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากของฮ่องเต้นัก แต่สิ่งที่เขาคาดเดาก็คือฮองเฮาตั้งใจลงมือกับถาวจวินหลัน ถึงได้ทำให้เกิดละครฉากนี้ขึ้นมา อย่างไรในบรรดาชายาเอกทั้งหลาย แม้จะบอกว่าได้พบหน้าฉ่ายยวนทั้งหมด แต่มีเพียงถาวจวินหลันคนเดียวที่พูดคุยกับฉ่ายยวนมากที่สุด แล้วยังจับต้องสิ่งของที่ฉ่ายยวนมอบให้ ที่สำคัญก็คือของสิ่งนั้นยังเป็นสิ่งของของนางสนมที่ได้รับเชื้อโรคระบาดอีกด้วย


ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขายังให้คนไปแอบถามมาว่าของสิ่งนั้นไม่ใช่ของที่นางสนมคนนั้นฝากฉ่ายยวนไปให้ นางสนมคนนั้นไม่เคยฝากฉ่ายยวนคำพูดอะไรไปบอกถาวจวินหลัน


ซึ่งก็หมายความว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฉ่วยยวนหรือคนที่อยู่เบื้องหลังฉ่ายยวนจงใจกระทำ


หลี่เยายิ้มเย็น ฉ่ายยวนเป็นคนของใคร ไม่ต้องพูดก็เข้าใจชัดแจ้ง


หลี่เย่เพียงแค่นิงเงียบกับการคาดเดาของฮ่องเต้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถอนหายใจเอ่ยว่า “อย่างไรองค์รัชทายาทก็เป็นพี่ใหญ่ของพวกกระหม่อม คิดแล้วไม่น่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ แม้ว่าพี่ใหญ่จะมีจุดที่ไม่ดี แต่กระหม่อมคิดว่า เขาก็ยังคงเห็นพวกเราเป็นน้องชายนะพ่ะย่ะค่ะ”


หลี่เย่ช่วยพูดแก้ตัวให้องค์รัชทายาท ก็ด้วยต้องการเติมน้ำมันเข้ากองไฟ อีกทั้งพอฮ่องเต้นึกถึงสิ่งที่ไทเฮาพูดได้ว่า องค์รัชทายาทปฏิบัติกับหลี่เย่อย่างไร เขาและไทเฮารู้ดีเป็นที่สุด


หลี่เย่พูดเรื่องนี้ก็ไม่มีแรงจูงใจเลยแม้แต่น้อย


ฮ่องเต้กวาดตามองหลี่เย่ทีหนึ่ง พูดออกมาเรียบๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องแก้ตัวแทนเขา ข้าถามเจ้าคำถามเดียว เจ้าเห็นว่าอย่างไร”


หลี่เย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ดูเหมือนวางแผนล่วงหน้าจริงพ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้ยังสืบอะไรไม่พบ จึงไม่ดีหากจะไปใส่ความใครพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้ได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ ด้านหนึ่งก็คิดว่าหลี่เย่อ่อนหัดไปเสียหน่อย ไม่รู้ความเ**้ยมโหดของจิตใจคน อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าแม้แต่หลี่เย่ก็ยังคิดเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นเขาเองก็คงเดาไม่ผิด ที่บอกว่าไม่ดีหากจะไปใส่ความใคร กลับไม่ได้เข้าหูฮ่องเต้แม้แต่น้อย


จากที่ฮ่องเต้ดูแล้ว หากอยากจะรู้ว่าใครวางแผนเรื่องนี้ก็ง่ายนิดเดียว แค่ดูว่าใครเป็นคนได้รับผลประโยชน์เท่านั้น


“เจ้าคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร?” ฮ่องเต้ถามอีก


หลี่เย่ส่ายหน้า พูดว่า “เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่การสืบว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นการให้กรมหมอหลวงรีบคิดค้นเทียบยาออกมา อย่างไรแล้วคนภายในวังหลวงก็มีมากมาย หากแพร่กระจายจริง เกรงว่าจะควบคุมเอาไว้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ประชาชนที่อยู่นอกเมืองเหล่านั้นก็ต้องรีบรักษาโดยเร็วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานนี้คนป่วยนอกเมืองเสียชีวิตไปกว่าสิบคนแล้ว แต่ที่พบว่าติดโรคกลับมีมากกว่าร้อยคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าประชาชนเหล่านั้น… ”


ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจคนพวกนั้น แต่เขากลัวว่าถ้าโรคระบาดแพร่กระจายจริง ต้องรู้ด้วยว่าจะตายเป็นพันเป็นหมื่นคนเขาก็ไม่กลัว แต่ถ้าโรคระบาดแพร่กระจายหนักจริง ก็จะไม่ใช่แค่เรื่องคนตายกว่าพันกว่าหมื่นชีวิตอีกแล้ว


ถ้าถึงตอนนั้นจริงราชสำนักก็ต้องเสียหายเป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ด้านนอกหรือด้านในต่างก็เป็นปัญหาทั้งนั้น น้ำและภูเขากว้างใหญ่ไพศาล เขาไม่ยอมให้โดนลำลายลงเพราะเรื่องนี้เป็นเด็ดขาด


ฮ่องเต้คิดอย่างโกรธแค้น ครั้งนี้ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร เขาไม่มีทางวางมือแน่! จะต้องฆ่าล้างโคตรคนผู้นั้น แล่เนื้อถกหนังประหารไปให้หมดถึงจะดี!


หลี่เย่มองฮ่องเต้ที่มีท่าทีโหดเ**้ยม ใบหน้ากลับสงบนิ่ง ความเป็นจริงแล้วเขาเองก็เคียดแค้นไม่ได้น้อยไปกว่าฮ่องเต้เลยสักนิด


แต่เขายังไม่รีบร้อนแก้แค้น ที่เขาวางแผนเอาไว้ก็คือ รอจนมั่นใจว่าถาวจวินหลันปลอดภัย  เขาเองจะหาเวลามาจัดการเรื่องนี้ ก่อนหน้านั้นจะต้องหาวิธีรับมือหยุดโรคระบาดนี่เสียก่อน


ความเป็นจริงแล้วหลี่เย่รู้อยู่แก่ใจว่าคนในกรมหมอหลวงมีจำกัด จึงให้คนไปตามหาหมอชื่อดังมาจากทั่วทุกที่แล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อพยายามคิดค้นวิธีการยับยั้งโรคระบาดให้เร็วที่สุด


แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปแต่ละวันกลับไม่มีข่าวคราวอะไรส่งกลับมา อีกทั้งทางด้านจวนตวนชินอ๋องเองก็ไม่มีข่าวคราว เขาจึงยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างพูดไม่ถูก


แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ เขาย่อมแสดงออกมาไม่ได้ เพื่อสงบอารมณ์เดือดดาลของตนเอง หลี่เย่รู้สึกว่าบางทีจะต้องเก็บดอกเบี้ยสักหน่อยเสียแล้ว 

 

 


บทที่ 443 ดอกเบี้ย

 

​เวลาสามวันถาวจวินหลันรู้สึกเหมือนผ่านไปเป็นปี เปรียบได้กับความทรมานเพียงช่วงไม่กี่วันแรกที่ตระกูลถาวล่มสลาย


ไม่ใช่แค่เพียงทรมานทางใจ แต่ยังเป็นทางกายด้วย


สามวันมานี้ ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันหรือว่าหงหลัว แม้แต่คนอื่นที่อยู่ในเรือนเฉินเซียงต่างก็ใส่ใจสุขภาพร่างกายของนางทั้งนั้น ต่อให้จาม หรือว่าไอ ก็รีบเร่งไปเรียกหมอหลวงให้มาดูอาการ กลัวว่าอาการโรคระบาดจะกำเริบ


แม้จะบอกว่าผลออกมาปลอดภัยทุกครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจรับความทรมานเช่นนี้ได้ ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันเท่านั้น แม้แต่หงหลัวก็ซูบผอมไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะบำรุงอยู่ทุกวัน แต่ก็ยังมิอาจทัดทานได้


ยังดีที่จดหมาของหลี่เย่ติดเข้ามากับหมอหลวงที่ส่งเข้ามาในจวนด้วย หากไม่มีจดหมายฉบับนี้คอยปลอบประโลม เกรงว่านางคงบ้าตายไปนานแล้ว ที่จริงต่อให้มีจดหมายฉบับนี้ นางเองก็แทบจะคลุ้มคลั่งไปหลายหน ถ้าไม่ใช่เพราะคิดถึงหลี่เย่และลูกหญิงชายอีกสองคน ไฉนเลยนางจะทนอยู่ได้?


ที่จริงแล้วถาวจวินหลันอยากให้เรื่องนี้จบๆ ไป ไม่ว่าจะดีหรือร้าย จะเป็นหรือจะตายก็ให้รู้เรื่องกันไปเลย ต้องทนทรมานเช่นนี้เหมือนกับมีมีดมาปาดคอ ทั้งลำบากและทรมานจนพูดไม่ออก


และในขณะเดียวกันที่ถาวจวินหลันรู้สึกไม่ดีนั้น เจียงอวี้เหลียนก็รู้สึกไม่ดีเช่นเดียวกัน รสชาติของการถูกกักเอาไว้ในเรือนนั้นไม่ได้ดี โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเป็นกังวลตลอดเวลา ก็ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่


เจียงอวี้เหลียนเคียดแค้นถาวจวินหลันมากจนพูดไม่ออก  นางต้องเข้ามาข้องเกี่ยวเพราะถาวจวินหลัน มิเช่นนั้นแล้วนางจำต้องมาเผชิญความลำบากเช่นนี้หรือ? ด้านหนึ่งนางก็สับสน อีกด้านหนึ่งก็หวังว่าถาวจวินหลันจะปลอดภัย อย่างไรก็มีเพียงผลลัพธ์นี้ นางถึงไม่โดนลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่อีกมุมหนึ่งนางก็หวังว่าครั้งนี้ถาวจวินหลันจะต้องมีอันเป็นไป เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่ากำจัดปัญหาใหญ่โดยที่ไม่ต้องใช้อาวุธด้วยซ้ำไป


แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ความคิดเช่นนี้ของเจียงอวี้เหลียน


วันเวลาผ่านไปอีกสองวัน เมื่อถึงวันที่หก ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันที ผ่านห้าวันมาได้อย่างปลอดภัย ก็เหลือแค่ต้องดูอีกไม่กี่วันเท่านั้น ความเป็นกังวลในใจของนางหายไปกว่าครึ่ง


โรคระบาดจะออกอาการอย่างรวดเร็ว ผ่านไปห้าวันแล้วยังไม่เกิดอะไรขึ้น นั่นก็เห็นได้ว่านางไม่ได้รับเชื้อมา


ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันเท่านั้นที่สบายใจ คนอื่นๆ ที่อยู่ภายในจวนก็สบายใจเช่นเดียวกัน


แน่นอนว่าหลี่เย่ที่อยู่นอกจวนก็สบายใจเช่นเดียวกัน พอวางใจได้แล้ว หลี่เย่ก็มีสมาธิไปจดจ่อกับเรื่องเรียกดอกเบี้ยกลับคืนมา


เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับฮองเฮา อย่างไรแล้วฉ่ายยวนก็เป็นคนของฮองเฮา เรื่องนี้ไม่สามารถบิดเบือนได้


แม้นจะไม่มั่นใจว่าองค์รัชทายาทข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ แต่ฮองเฮาเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเขา ย่อมต้องวางแผนแทนเขาอย่างไม่ต้องสงสัย


คนที่ฮองเฮาใส่ใจก็มีเพียงองค์รัชทายาทและจวนเหิงกั๋วกงเท่านั้น


หลี่เย่เรียกพบหลิวเอิน แค่นหัวเราะกำชับว่า “ตอนนี้หลานสาวคนเล็กของเหิงกั๋วกงอายุสิบห้าปีแล้วใช่หรือไม่? ตั้งแต่สมัยโบราณ หากพี่สาวไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายสืบสกุลกับสามีได้ เรื่องให้น้องสาวแต่งงานออกเรือนไปช่วยก็ใช่ว่าจะไม่มี แม้จะบอกเป็นลูกสาวชายาเอกของจวนเหิงกั๋วกง แต่แต่งงานไปเป็นเหลียงตี้*ของรัชทายาทก็ถือว่าไม่เลว”


หลิวเอินนิ่งตะลึง จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “เกรงว่าเหิงกั๋วกงคงจะไม่พอใจเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าหลานสาวคนเล็กได้รับความเอ็นดูอย่างมาก หน้าตารูปลักษณ์ก็โดดเด่น…” ที่สำคัญที่สุดก็คือจวนเหิงกั๋วกงมีพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว ไม่จำเป็นต้องส่งอีกคนหนึ่งไป


“ได้รับความเอ็นดูถึงจะดี” หลี่เย่ยิ้มบางๆ ในดวงตานั้นลึกล้ำ “ถ้าไม่ได้รับความเอ็นดู เมื่อออกเรือนไปแล้วจะไปสู้กับพระชายาองค์รัชทายาทได้อย่างไร” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง พลางพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าไม่ยินยอมออกเรือนไปกับองค์รัชทายาทก็ไม่เป็นไร ข้าจำได้ว่าตอนนี้เฝินหยางโหวกำลังดูตัวอยู่ จุดประสงค์ของพวกเขาแต่แรกก็คือการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ ถ้ายิ่งใกล้ชิดกันเพราะการแต่งงานก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี”


หลิวเอินได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจความหมายของหลี่เย่ เขาต้องการบีบให้จวนเหิงกั๋วกงตัดสินใจ คุณหนูจากชายาเอกคนนั้นทำได้เพียงแต่งงานเข้ามาในวังหลวงแล้ว


“อีกอย่างองค์รัชทายาทก็เกี้ยวพาราสีนางกำนัลคนหนึ่งแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? ย้ายนางกำนัลคนนั้นไปเป็นนางกำนัลหญิงข้างกายเสด็จพ่อ จากนั้นก็ค่อยปล่อยเรื่องนี้ออกไป” หลี่เย่พูดจบ ตัวเองก็อดยิ้มอย่างนึกสนุกไม่ได้ ลูกชายมีความเกี่ยวข้องลึกล้ำกับผู้หญิงข้างกายบิดา ไม่รู้ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อจะมีท่าทีเช่นใด?


แต่คิดไปแล้ว สุดท้ายองค์รัชทายาทคงต้องถูกทิ้งเป็นแน่


เขาจะทำเรื่องนี้ในกรณีที่ถาวจวินหลันไม่มีปัญหาอะไร แต่หากถาวจวินหลันเป็นอะไรไป วิธีการของเขาต้องไม่ใช่เท่านี้แน่นอน อย่างน้อยความลำบากที่ถาวจวินหลันได้รับ องค์รัชทายาทเองก็ต้องได้รับเช่นเดียวกัน! ต่อให้โรคระบาดจะต้องแพร่กระจายไปทั้งเมืองหลวง เขาเองก็ต้องให้องค์รัชทายาทประสบกับเคราะห์กรรมนั้น ให้ฮองเฮาได้รู้ว่าอะไรคือกรรมตามสนอง!


แม้ว่าหลี่เย่จะไม่ได้พูดมาก แต่ความเย็นเยียบในสายตากลับทำให้หลิวเอินสั่นสะท้าน


หลิวเอินเข้าใจนิสัยของหลี่เย่ และยิ่งรู้ว่าเจ้านายที่ดูอ่อนหวานอ่อนโยน แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นคนที่โหดเ**้ยม ถ้ากล้าหาเรื่องเจ้านายคนนี้ หลี่เย่ก็จะให้คนผู้นั้นได้ลิ้มรสตายดีกว่ามีชีวิตอยู่


หลิวเอินไม่คิดว่าหลี่เย่ทำเกินไป หากเทียบกับสิ่งที่ฮองเฮาทำกับหลี่เย่แล้ว ตอนนี้ก็ถือเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับคนที่ต้องพาลโดนไปด้วยเพราะองค์รัชทายาท…


หลิวเอินก็ไม่คิดสงสาร ฝ่ายตรงข้ามได้ขึ้นเรือขององค์รัชทายาทไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ควรต้องล่มจมไปกับองค์รัชทายาท ใครใช้ให้เขาขึ้นเรือลำเดียวกับองค์รัชทายาทเล่า?


นี่เรียกว่าสวรรค์มีทางเดินไม่ยอมเดิน นรกไม่มีประตูแต่กลับจะเข้าไป โทษคนอื่นไม่ได้


แต่หลิวเอินก็คิดว่าองค์รัชทายาทกล้าหาญชาญชัยมาก แม้ว่าตอนนี้จะมีฐานะสูงส่งเป็นองค์รัชทายาท และอาศัยอยู่ภายในวังหลวง แต่นางกำนัลภายในวังหลวงล้วนเป็นคนของฮ่องเต้ นอกจากนางกำนัลในวังไทเฮาเหล่านั้นแล้ว คนอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นคนของฮ่องเต้ทั้งนั้น


ลูกชายคิดจะจับต้องผู้หญิงของพ่อถือเป็นเรื่องไม่ควรอย่างมาก แต่องค์รัชทายาทกลับไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เล่นงาน และรู้สึกว่าหากไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ก็น่าเสียดายยิ่งนัก


เพื่อให้เจ้านายของตนอารมณ์ดีขึ้น หลิวเอินจึงยิ้มพลางพูดกับหลี่เย่ว่า “มากที่สุดก็ต้องใช้เวลาประมาณสองสามวันพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าตอนนั้นท่านอ๋องก็น่าจะกลับจวนได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็ไปหาชายารองถาวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”


เมื่อหลี่เย่ได้ยินหลิวเอินพูดพลันก็ดีใจ จึงแย้มยิ้มเอ่ย “ใช่แล้ว ข้าจำได้ว่าครั้งที่แล้วออกทะเลไปได้ไพฑูรย์มาเม็ดหนึ่ง เจ้าเอาไปทำเครื่องประดับให้ชายารองใส่เถิด”


หลิวเอินเห็นว่าหลี่เย่รับสั่งเรื่องนี้ ก็ถอนหายใจโล่งอก ยิ้มพลางรับคำ พูดแค่ว่าตนเองจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีเป็นแน่


หลี่เย่ถึงได้โบกมือไล่พลางพูดว่า “ไปเถิด”


เวลาผ่านไปอีกสองวัน ถาวจวินหลันก็สบายใจอย่างถึงที่สุด จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร และยิ่งไม่มีอาการป่วยแม้แต่น้อย


ถาวจวินหลันคิดว่าภายในสองวันนี้ ล้ว้ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกนทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกก็คงจะทยอยออกไปแล้ว


ด้วยนางไม่มีอาการป่วย จึงออกมาจากห้อง แล้วถือโอกาสตอนหัวค่ำที่แสงแดดไม่ค่อยร้อนออกมาเดินเล่นอยู่สักพักหนึ่ง หลายวันที่นั่งอึดอัดอยู่ในห้อง ทำให้ร่างกายอ่อนแอปวกเปียกไปหมด ได้ตากแดดก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย


เมื่ออารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว นางก็มีกะจิตกะใจสนเรื่องอื่น “ตอนนี้แต่ละที่ภายในจวนเป็นอย่างไรบ้าง?”


หลายวันมานี้มีปี้เจียวคอยดูแลเรื่องต่างๆ ยิ้มและตอบว่า “ไม่มีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ นอกจากปิดประตูใช้ชีวิตของแต่ละคนไป ทางด้านเรือนชิวอี๋กลับระมัดระวังทุกด้านเป็นพิเศษ ส่วนอี๋เหนียงสองคนกลับหละหลวมไปเล็กน้อยเจ้าค่ะ”


“พวกนางอยู่ห่างจากพวกเรามากนัก” ถาวจวินหลันยิ้ม “ไม่มีอะไรต้องกลัว ส่วนเรือนชิวอี๋ก็ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ละเลยเซิ่นเอ๋อร์ไม่ได้ ใช่แล้ว ทางด้านชายาเอกเล่า?”


ปี้เจียวกลับส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่ทราบแล้วเจ้าค่ะ เงียบกริบไร้ข่าวคราวเหมือนปกติเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วไม่ถามอะไรอีก แต่นางไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าทางด้านหลิวซื่อเองก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านนอกเมืองเป็นอย่างไรบ้าง แล้วยังไม่รู้ข่าวคราวทางด้านถาวซินหลันอีกด้วย


นางรู้ดีแก่ใจ รอครั้งนี้ผ่านไปและได้ออกไปอีกครั้ง เกรงว่าคงไม่มีเวลาสงบสุขเช่นตอนนี้อีกแล้ว เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของฮองเฮา ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นนางหรือหลี่เย่ หรือว่าตระกูลถาวย่อมต้องไม่นิ่งดูดายเป็นแน่


ที่จริงนางเองก็แอบหงุดหงิดเล็กน้อย หากรู้ว่าฮองเฮาจะใช้วิธีเช่นนี้ นางก็ควรชิงลงมือเสียก่อน มิเช่นนั้นคงไม่ต้องมาเจอเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้


แต่จะว่าไปก็น่าแปลก ในเมื่อฮองเฮาลงมือแล้ว ทำไมนางถึงหนีเคราะห์กรรมครั้งนี้พ้น? ฮองเฮาคงไม่ลงมือโดยไม่หวังผลสำเร็จ หรือจะบอกว่าถ้าฮองเฮาไม่มั่นใจเต็มร้อย ก็ไม่มีทางลงมือเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว


ตอนนี้ฮองเฮาและพระชายารัชทายาทกำลังร่วมโต๊ะสำรับอาหารเดียวกัน ท่าทีของทั้งสองคนไม่ค่อยดีนัก บรรยากาศภายในห้องก็อึมครึมอยู่เล็กน้อย


ฮองเฮามองพระชายารัชทายาททีหนึ่ง พลางพูดว่า “ซูเฟยสืบไปถึงไหนแล้ว?”


พระชายารัชทายาทกลับสงบนิ่ง พูดว่า “ร่องรอยขาดไปเพคะ ย่อมต้องสืบอะไรไม่ได้เป็นแน่ ขอแค่ฉ่ายยวนกัดฟันให้แน่นก็จะไม่มีเรื่องอะไรเป็นแน่เพคะ”


ฮองเฮานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง วางตะเกียบลงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากที่ไม่ได้สกปรก กำชับออกมาเนิบๆ “รีบจัดการเสียเถิด เก็บเอาไว้ก็ยิ่งไม่สบายใจ ทางที่ดีอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้อีก”


พระชายารัชทายาทพยักหน้ารับคำ วางตะเกียบลงเช่นกัน “เสด็จแม่วางพระทัยเถิดเพคะ”


ฮองเฮาขมวดคิ้ว มีท่าทีกล่าวโทษแอบแฝงอยู่ “จะให้ข้าวางใจได้อย่างไร? ครั้งนี้ลากองค์รัชทายาทเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ถ้าสืบพบอะไร…”


“เป็นหม่อมฉันที่ผิดพลาดเองเพคะ” พระชายารัชทายาทก้มหน้าลง พลางถอนหายใจออกมา “ใครก็คิดไม่ถึงว่าจะตรวจพบอการป่วยของหลี่ว์หลิ่วในช่วงสำคัญเช่นนี้ หม่อมฉันเองก็คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะรู้เรื่องภายในวังหลวง


ฮองเฮามองพระชายารัชทายาทที่มีท่าทีสงบนิ่งทีหนึ่ง ขยับปากแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมามาก เพียงแค่กำชับว่า “ต่อจากนี้จะทำอะไรก็ต้องระวัง อย่าได้สะเพร่าเช่นนี้อีก”


พระชายารัชทายาทพยักหน้า “หม่อมฉันรับทราบเพคะ”


“เจ้าเองก็ต้องใส่ใจรัชทายาทเสียหน่อย” ฮองเฮายังคงอดทนต่อหลานสาวแท้ๆ ของตนอยู่มาก พลางสั่งสอนอย่างตั้งใจ “ข้าได้ยินว่าตอนนี้รัชทายาทเทียวไปเทียวมาที่ห้องของหยวนซื่อหลายครั้งแล้ว เจ้าเป็นถึงพระชายารัชทายาท ทำไมถึงปล่อยให้คนข้ามเส้นไปได้อีก? อีกอย่างสองปีมานี้เจ้าก็ไม่มีทีท่าจะตั้งครรภ์เลย อย่างไรก็ต้องเป็นลูกที่คลานออกมาจากท้องของตัวเองถึงจะดีที่สุด คนอื่นคลอดออกมาก็ยังไม่สนิทสนมใกล้ชิดเท่าลูกตนเอง”


พระชายารัชทายาทยิ่งก้มหน้าต่ำลง นิ้วมือที่ขาวซีดกำเข้าหากันแน่นจนเป็นสีเขียว น้ำเสียงก็เบาเหมือนเสียงยุง “หม่อมฉันทราบเพคะ”


*เหลียงตี้ คือตำแหน่งชายารองในองค์รัชทายาท 

 

 


บทที่ 444 ออดอ้อน

 

​ในที่สุดทหารองครักษ์ด้านนอกตวนจวนชินอ๋องก็แยกย้ายกันไป


ทางด้านนี้ทหารองครักษ์เพิ่งจะแยกย้าย หลี่เย่ก็รีบเร่งกลับมาที่จวนตวนชินอ๋องอย่างกระวีกระวาดร้อนใจ เพื่อไปยังเรือนเฉินเซียง


ถาวจวินหลันเองก็รู้ว่าเขาต้องกลับมา จึงนั่งรออยู่ที่ระเบียง ถ้าไม่ใช่เพราะพระอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า นางเองก็คงไปยืนรอหน้าประตูแล้ว เวลาเจ็ดวันนี้สำหรับนางแล้วเหมือนหนึ่งปี แม้จะบอกว่าเป็นเวลาเพียงเจ็ดวัน แต่นางรู้สึกเหมือนไม่ได้พบหน้าหลี่เย่นานมาก


หนึ่งวันไม่ได้เห็น ดั่งเว้นห่างตั้งสามปี เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกแรงกล้าขนาดนี้


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดถึงมากเกินไป ถึงสื่อสารทางจิตได้ หลี่เย่เพิ่งเข้าประตูใหญ่ของเรือนเฉินเซียง ถาวจวินหลันก็เงยหน้าขึ้นมามอง ทั้งสองคนสังเกตเห็นอีกฝ่ายตั้งแต่วินาทีแรก


ทั้งคู่สบตากัน ไม่อาจละสายตาจากกันได้เลย และหลี่เย่ก็รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ก้าวเท้ายาวเดินเข้าไป


ถาวจวินหลันเองก็ลุกขึ้นมา พอใกล้กันแล้วก็ได้กลิ่นที่คุ้นชินของอีกฝ่ายหนึ่ง ฝีเท้าจึงหยุดลงพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย หลังจากมองสบตาและยิ้มให้กันแล้ว ถาวจวินหลันก็ยื่นมือพลางยิ้มและพูดก่อนว่า “กลับมาแล้วหรือเพคะ?”


หลี่เย่ยื่นมือออกไปจับนางไว้อย่างเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มที่อบอุ่นพลันสว่างแสบตายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ แต่น้ำเสียงก็ยังคงเรียบนิ่งเป็นปกติ “อืม กลับมาแล้ว”


สถานการณ์เช่นนี้ไม่เหมือนกับไม่ได้พบหน้าเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เกือบจะคล้ายกับการจากลากันชั่วนิรันดร์ อย่างไรก็ไม่ได้แตกต่างจากตอนปกติมากนัก ไม่ได้ตื่นเต้นที่มากเกินไป มีเพียงความอบอุ่นเรียบง่ายเท่านั้น


แต่ในใจของทั้งสองคนนั้นต่างก็เติมเต็ม พอใจเอ่อล้นจนพูดไม่ออก


“หลายวันมานี้ท่านไปพักที่ใดเพคะ?” ถาวจวินหลันถามหลี่เย่ พลางรินชาให้เขาอย่างคล่องแคล่ว


หลี่เย่จิบไปคำหนึ่ง ก็ให้รู้สึกหอมกรุ่น จนอดหรี่ตาลงไม่ได้ พูดว่า “อย่างไรชาที่บ้านก็อร่อยที่สุด อยู่นอกบ้านก็ไม่สู้อยู่บ้านตัวเอง ช่วงหลายวันมานี้ข้าไปพักอยู่ที่เรือนของจิ้งผิง” องค์หญิงเก้าเป็นน้องสาวของเขา เขาอยู่ที่เรือนในก็ไม่ถึงขั้นต้องหลบหลีก เวลาที่พูดคุยปรึกษาหารือกับถาวจิ้งผิงก็สะดวกสบาย


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ใบชาเหมือนกัน น้ำก็เหมือนกัน ทว่าชงออกมาแล้วก็ควรมีรสชาติเหมือนกันซี ไฉนเลยจะอร่อยกว่าได้เล่า? เดี๋ยวข้าจะจัดเตรียมของไปมอบให้องค์หญิงเก้าเสียหน่อย”


แม้จะบอกว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน แต่คนอื่นทำดีต่อตน ตนเองก็ไม่อาจคิดว่าเป็นเรื่องที่สมควร คนอื่นทำดีกับตนเอง ตนเองก็ควรดีจะต่อคนๆ นั้นให้มากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะยิ่งสนิทสนมกันอย่างนั้นมิใช่หรือ?


“ข้าจำได้ว่ามีแท่นฝนหมึกอยู่แท่นหนึ่ง คิดว่าจิ้งผิงน่าจะชอบ เจ้าเองก็ให้ไปพร้อมกันด้วยเลย” หลี่เย่เข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน ย่อมต้องเห็นด้วย “อย่าให้ของที่มีราคามากเกินไป ของจำพวกผักและผลไม้สดใหม่ที่สวนส่งมาก็ส่งไปให้เยอะหน่อย”


ถาวจวินหลันพยักหน้ารับรู้ สุดท้ายก็ถามเขาว่า “หลายวันมานี้ข้าไม่สามารถถามเรื่องโรงทานและโรงยาได้เลย ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”


“อาหารและสมุนไพรที่เจ้าตุนเอาไว้ยังมีอยู่ อย่างน้อยก็ยังพอไปได้อีกเดือนหนึ่ง ไม่ต้องเป็นกังวล” หลี่เย่พูดเสียงอ่อนโยน “ข้าให้หลิวเอินรับผิดชอบเรื่องนี้แล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมากนัก สุขภาพยังไม่ทันได้หายดี ก็อย่าไปเหนื่อยใจอีก ช่วงนี้ได้กินยาตรงเวลาบ้างหรือไม่?” นี่เป็นเทียบยาบำรุงที่หมอหลวงเขียนไว้ให้ เขากลัวว่าหลายวันมานี้ถาวจวินหลันจะไม่ได้กินยาตามเวลา


ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพูดว่า “ท่านวางใจเถิด หงหลัวให้ข้ากินยาตรงเวลา” นางไม่ได้ถามเรื่องของโรงทานและโรงยาอีก ความเป็นจริงแล้ว ต่อให้ถามไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ? กลับกลายเป็นว่าจะทำลายบรรยากาศ นางทำลายช่วงเวลาที่ผ่อนคลายหาได้ยากนี้ไม่ลงจริงๆ


ไม่พูดแม้แต่เรื่องที่ครั้งนี้นางถูกฉ่ายยวนเล่นงาน


หลี่เย่เองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ทั้งสองคนเพียงแค่เลือกเรื่องผ่อนคลายมาพูดคุยกัน


ไม่ได้พูดคุยกันนานนัก เสียงของหงหลัวที่อยู่ด้านนอกก็ดังขึ้นมา “ชายารองเจียงส่งคนมาถามว่าท่านอ๋องกลับมาหรือยังเพคะ บอกว่ามีเรื่องต้องการคุยกับท่านอ๋อง อยากเชิญท่านอ๋องไปหา”


แม้ว่าหงหลัวจะพยายามปกปิด แต่น้ำเสียงก็ยังคงแฝงแววโกรธเคือง


หงหลัวยังเป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันเองก็ย่อมไม่ได้สบายใจไปกว่ากันเท่าไรนัก ถ้าเป็นปกติก็ยังพอทน แต่วันนี้นางตัดใจให้หลี่เย่จากไปไม่ได้จริงๆ และการกระทำเช่นนี้ของเจียงอวี้เหลียนยิ่งทำให้นางไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป


จาวจวินหลันยื่นมือออกไปจับแขนเสื้อของหลี่เย่เอาไว้ ออดอ้อนน้อยๆ “ให้นางมาพูดซีเพคะ” ถ้าไปครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องถูกรั้งตัวอยู่นานเพียงใด นางไม่ยินยอมจริงๆ


ถาวจวินหลันเองยังไม่รู้ว่าท่าทีของนางมีแววออดอ้อนมากเพียงใด น้อยครั้งที่นางจะเป็นเช่นนี้ หลังจากเข้ามาในจวนอ๋องแล้วก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ หลี่เย่สังเกตเห็นก็หวั่นไหวขึ้นมาหลายส่วน ไฉนเลยจะกล้าไป อีกอย่างเขาเองก็ไม่อาจตัดใจไปตั้งแต่แรกแล้ว


ในความเป็นจริงตอนนี้งานราชการยุ่งวุ่นวาย แล้วยังต้องเข้าวังหลวงไปอยู่ข้างฮ่องเต้ เขาแทบจะไม่มีเวลาได้ผ่อนคลาย วันนี้ถือว่าเป็นการหาเวลามาเป็นพิเศษ วางแผนจะใช้เวลาใกล้ชิดกับถาวจวินห


ใครจะรู้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะมีตาหามีแววไม่เช่นนี้ ในใจของหลี่เย่อดเบื่อหน่ายขึ้นมาบางส่วนไม่ได้


หลี่เย่เหลือบมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง หัวเราะเบาๆ เป็นการตอบรับ “ได้” จากนั้นก็สั่งไป “ไปถามว่ามีเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ให้นางมาที่นี่ ถ้าไม่สำคัญก็ค่อยคุยกันวันอื่น”


การออดอ้อนของนางประสบความสำเร็จ ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้สึกยินดีและสบายใจ แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกไม่ดีเล็กน้อย กลัวหลี่เย่จะคิดว่าตนใจแคบ จึงแอบมองหลี่เย่ทีหนึ่ง เห็นท่าทีของเขายังคงอบอุ่น จึงพูดอธิบายว่า “ข้าเองก็ตัดใจไม่ลง อย่างไรก็ไม่ได้เห็นหน้าท่านมานานหลายวันแล้ว”


คิดถึงสถานการณ์ตอนที่รู้ว่าตนเองอาจติดโรคระบาด เสียงของถาวจวินหลันก็ยิ่งเบาลง “ในตอนนั้น ข้ากลัวจริงๆ นะเพคะ” นางพูดไปพลางวางมือไว้บนมือของหลี่เย่


หลี่เย่เห็นก็รู้สึกเจ็บปวดใจ รีบกุมมือของนางเอาไว้ และดึงนางเอามาโอบไว้ในอ้อมอก “เรื่องผ่านไปแล้ว ต่อจากนี้ไปจะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก” ในใจก็คิดว่า ผ่านไปไม่นาน ข้าจะต้องเรียกหนี้ครั้งนี้กลับคืนมาแทนเจ้าให้ได้


แต่คำพูดนี้กลับไม่ได้พูดออกมา อย่างแรกเพราะไม่อยากให้ถาวจวินหลันคิดมาก อย่างที่สองเรื่องนี้ยังไม่ทันสำเร็จ พูดไปก็ไม่มีความหมาย รอจนเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ค่อยพูดออกไปถึงทำให้ถาวจวินหลันมีความสุขไม่ใช่หรืออย่างไร?


“เพคะ” ถาวจวินหลันส่งเสียงรับคำ ตัวก็พิงอยู่ในอ้อมอกของหลี่เย่ ดมกลิ่นหอมบนร่างกายของเขา พลางพูดออกมาอย่างสบายใจ


นั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันถึงถามเรื่องอื่นขึ้นมา “คนที่พบฉ่ายยวนในวันนั้นมีใครป่วยบ้างหรือไม่เพคะ?” ในเมื่อมีจวนอ๋องหลายที่ที่ไป ถ้าเช่นนั้นย่อมต้องถูกปิดจวนเช่นเดียวกัน ในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีสถานการณ์เป็นเช่นใดบ้าง


“ไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่จวงอ๋องอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร พลั้งมือโบยอนุภรรยาจนเสียชีวิตไปคนหนึ่ง” หลี่เย่พูดเนิบๆ โดยไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย แม้จะบอกว่าจวงอ๋องเป็นน้องชายของตน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเขายังเทียบกับพี่น้องร่วมสาบานไม่ได้ด้วยซ้ำไป ดังนั้นถ้าจะบอกว่าเขาต้องเป็นกังวลแทนจวงอ๋อง ย่อมไม่มีทางแน่นอน


ในความเป็นจริงแล้ว เขาคิดว่าครอบครัวของคนอื่นจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ล้วนไม่เกี่ยวกับเขาทั้งนั้น โดยเฉพาะบรรดาพี่น้องของเขา


“โบยตีอนุภรรยาจนเสียชีวิตหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วน้อยๆ “ทำไมจวงอ๋องถึงได้กล้าเช่นนั้น” นางพอมองออก เพราะฮ่องเต้ให้ความสำคัญซูเฟยมากขึ้น ดังนั้นจวงอ๋องต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเองเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ตลอดเวลา จวงอ๋องจะทำเรื่องที่โง่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไร?


แม้จะบอกว่าการโบยอนุภรรยาจนเสียชีวิตนั้นไม่ได้มีค่าอะไร เป็นเพียงแค่ของเล่นเท่านั้น แต่อย่างไรนั่นก็ถือเป็นชีวิตคนชีวิตหนึ่ง ฮ่องเต้รู้เข้าคงไม่ได้รู้สึกดีเป็นแน่ อาจคิดว่าจวงอ๋องโหดเ**้ยมเกินไปด้วยซ้ำ


แน่นอนว่าฮ่องเต้เองก็จัดการนางสนมจำนวนไม่น้อย แต่นั่นไม่เหมือนกัน นี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทำเอง แต่ไม่ยินยอมเห็นลูกชายของตนกระทำ


“อนุภรรยากลัวตายจึงไม่กล้าปรนนิบัติจวงอ๋อง จวงอ๋องรู้สึกหงุดหงิดใจ อารมณ์พลุ่งพล่านแล้วพลั้งมือไป” หลี่เย่อธิบายออกมา พูดตามจริงแล้วตอนที่เขาได้ยินข่าวนี้กลับไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย จะต้องรู้ว่าจวงอ๋องไม่ใช่คนอารมณ์ดีเป็นมิตรและอบอุ่น ในกระดูกของจวงอ๋องเต็มไปด้วยความดุร้ายและเ**้ยมโหด เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่เด็ก


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันที จึงถอนหายใจพลางส่ายหน้า สวดมนต์ออกมาบทหนึ่งแทนอนุภรรยาที่โชคร้ายคนนั้น ที่จริงถ้าพูดความจริงแล้วนางเองก็ไม่คิดว่าอนุภรรยาคนนั้นจะทำผิดใหญ่หลวง อย่างไรเรื่องขี้ขลาดกลัวตายก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เพียงเพราะเรื่องนี้จวงอ๋องถึงกับโบยตีให้ตายทั้งเป็น นี่ก็ถือว่าโหดเ**้ยมเกินไปหน่อย


“เกรงว่าฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้แล้ว คงไม่ไว้หน้าจวงอ๋องสักเท่าไร” ถาวจวินหลันพูดออกมา พลางมองหลี่เย่ “ทำไมชายาเอกจวงอ๋องถึงไม่ห้ามสักนิดเล่าเพคะ?”


หลี่เย่แค่นหัวเราะ “ห้าม? ไม่พูดชื่นชมก็ถือว่าดีแล้ว”


ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไป ชายาเอกจวงอ๋องอาจตั้งใจฉวยโอกาสยืมมือจวงอ๋องกำจัดอนุภรรยาคนนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมอนุภรรยาคนนั้นถึงได้ขัดตาของชายาเอกจวงอ๋องนัก


“อนุภรรยาคนนั้นตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้พูดออกมาเท่านั้น” หลี่เย่เหมือนจะรู้สิ่งที่ถาวจวินหลันสงสัย จึงอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด “ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ก็คงไม่ถึงขั้นเสียชีวิต”


ถาวจวินหลันตกใจพลางถลึงตาโต รู้สึกหนาวเหน็บในใจ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “โหดเ**้ยมเกินไปหน่อยแล้ว” แต่เป็นแค่อนุภรรยา ไม่ได้ขู่ขวัญมากเท่าไรนัก ทำไมจะต้องทำเช่นนี้ด้วย อีกทั้งเป็นการแสดงว่าตนเองว่าใจแคบคิดเล็กคิดน้อย ไม่คำนึงถึงประโยชน์โดยรวม


“ตอนนี้จวงอ๋องเองก็ไม่ชอบใจ จึงทะเลาะกับชายาเอกจวงอ๋อง” หลี่เย่หัวเราะ “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้ดั่งใจหรืออย่างไร ตอนนี้จวงอ๋องกลับล้มป่วยลง”


“ล้มป่วยหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว “ได้บอกหรือไม่ว่าป่วยเป็นโรคอะไร?” คงไม่ใช่โรคระบาดใช่หรือไม่?


หลี่เย่ส่ายหน้า “ไม่ใช่โรคระบาด เพียงแค่กระอักเลือดไม่เท่าไร หมอหลวงบอกว่าอึดอัด กลับไม่ได้บอกเหตุผลที่ชัดเจน” สุดท้ายแล้วก็ตรวจไม่พบ หรือว่ามีสาเหตุมากกว่านั้น แต่เขากลับสืบไม่พบ


ถาวจวินหลันรู้สึกตกใจ จะต้องรู้ว่ากระอักเลือดไม่ได้เป็นอาการเล็กๆ “ถ้าเช่นนั้นเป็นอะไรมากหรือไม่เพคะ?”


“หมอหลวงให้พัก” หลี่เย่ยิ้ม ความเย็นเยียบในดวงตายิ่งมากขึ้น “เกรงว่าคงต้องใช้เวลาสองสามเดือน เสด็จพ่อให้จวงอ๋องรักษาตัวให้ดีแล้ว แม้แต่เรื่องของอนุภรรยานั่นก็ไม่ได้พูดอะไรมาก” เหตุผลที่ไม่พูดย่อมต้องเป็นเพราะว่าจวงอ๋องป่วย และยิ่งเป็นเพราะว่าตัวเขา อู่อ๋องและรัชทายาทนั้นได้ขอร้องแทนจวงอ๋องแล้วด้วย 

 

 


บทที่ 445 รบกวน

 

​คิดดูก็รู้ได้ว่าหลังจากพักรักษาตัวไปหลายเดือนนั้น จวงอ๋องคงจะสูญเสียโอกาสแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว


ใจของถาวจวินหลันกระตุกวูบ อดถามไม่ได้ว่า “ท่านว่าครั้งนี้จะมีคนคิดยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรือไม่?”


หลี่เย่ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธอะไร ไม่ว่าจะเป็นยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็ดี หรือว่าถูกลากเข้าไปเกี่ยวก็ดี อย่างไรจวนตวนชินอ๋องต้องเสียเปรียบก็เป็นเรื่องจริง


เขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ถึงขั้นไม่กล้าจินตนาการ หากตอนนั้นฮองเฮาไม่ได้ใช้วิธีโรคระบาด แต่ใช้การวางยาพิษแทนเล่า? หากวางใจไปนั้นตอนนี้จะมีผลลัพธ์เช่นใดกัน?


เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็หันไปกำชับกับถาวจวินหลันอย่างจริงจัง “ไม่ว่าอย่างไรต่อจากนี้ไปของที่ถูกส่งมาจากวังหลวงก็ดี หรือจะเป็นคนมาหาก็ดี เจ้าจะต้องระวังให้ดี อย่าสะเพร่าเป็นอันขาด”


ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “ไฉนเลยข้าจะกล้าสะเพร่าได้อีก ต่อจากนี้ข้าจะหลบยังไม่ทันเสียด้วยซ้ำไป?” ด้วยพลาดไปครั้งหนึ่ง ก็รู้ทันมากขึ้น ครั้งนี้ถือว่านางเสียเปรียบเป็นอันมาก อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ที่ตกใจนางเองก็ตกใจมากพอรับไหวแล้ว


หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เกรงว่านางคงเป็นคนแรกที่รับไม่ไหว


เมื่อเห็นว่าถาวจวินหลันได้รับบทเรียนแล้ว หลี่เย่ก็เก็บท่าทีนิ่งขรึมไป แล้วพูดอย่างลุแก่โทษ “เพราะว่าข้าไม่ได้ดูแลเจ้า” หลายวันมานี้เขามัวแต่สนใจเรื่องภายนอก กลับละเลยเรื่องราวภายในจวนไป ถึงทำให้คนอื่นฉกฉวยช่องว่างหาผลประโยชน์


ถาวจวินหลันหัวเราะ พลางถามเขาอย่างออดอ้อนว่า “ดูท่านพูดเข้า จะเป็นโจรนั้นง่ายมาก แต่ป้องกันในระยะยาวกลับทำได้ยากยิ่ง ไม่ใช่หรือเพคะ? หากฮองเฮาคิดจะลงมือจริง แล้วท่านจะป้องกันได้อย่างไร? ถ้าจะให้ข้าพูด วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการโจมตี ขอแค่ให้นางตั้งตัวไม่ทัน แล้วทำให้นางไม่อาจหาเวลามาจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ ถึงจะวางใจได้จริงเพคะ”


หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็มองถาวจวินหลันอย่างแปลกประหลาด ตอนนี้เขาควรพูดว่าสามีภรรยามีใจดวงเดียวกัน หรือควรพูดว่าวีรบุรุษมักมีความคิดเห็นคล้ายคลึงกันดี?


“แท้จริงแล้วหลี่ว์หลิ่วไปติดโรคระบาดมาได้อย่างไรเพคะ? นางอยู่ส่วนลึกของวังหลวง และไม่ได้สัมผัสแตะต้องกับผู้อื่น คงไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ แล้วจะไปติดโรคมาได้” ในใจของถาวจวินหลันยังคงคิดเรื่องอื่นอยู่ กลับไม่ได้สังเกตอาการท่าทีของหลี่เย่ เพียงแค่พูดความสงสัยในใจของตนออกมา “ท่านว่านางถูกคนอื่นใช้เป็นหมากหรือไม่เพคะ?”


“อืม” เห็นว่านางยังคาใจเรื่องนี้อยู่ คิดว่าต่อให้ไม่พูดนางก็คงไม่ปล่อยวาง ดังนั้นหลี่เย่จึงยอมรับทันที


ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถามอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?”


“ใกล้ตายเต็มทีแล้ว” หลี่เย่ยังคงพูดตามความจริง ไม่ได้ปิดบังอะไรแม้แต่น้อย “ตอนนี้กรมหมอหลวงก็ยังคิดหาวิธีแก้ไม่ได้ แม้ว่าจะใช้ยาบรรเทาอาการป่วย แต่ก็ยังต้องทนทรมาน”


ยามนี้หลี่ว์หลิ่วเหลือเพียงแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น แม้แต่สติก็ยังไม่ค่อยจะเต็มที่นัก พูดได้ว่าเป็นตะเกียงที่น้ำมันใกล้หมด


“หากเป็นไปได้ท่านเองก็ช่วยเหลือนางแทนข้าด้วยเถิด ให้นางได้รับความยุติธรรมเสียหน่อย แม้ว่าในอนาคตจะจากไป ก็ยังถือว่าสมเกียรติ” ถาวจวินหลันถอนหายใจ แล้วคิดถึงเรื่องตอนที่อยู่ในหน่วยซักล้าง “ถ้าไม่ได้นางช่วยเหลือข้าและซินหลันเอาไว้ตอนแรก ก็ไม่รู้ว่าพวกข้าสองพี่น้องจะตกอยู่ในสภาพเช่นใด”


หลี่เย่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ตอนแรกที่รู้จักกับถาวจวินหลัน เขาเองก็เคยให้คนไปสืบเรื่องของถาวจวินหลันมาก่อน


และด้วยรู้ว่าหลี่ว์หลิ่วมีบุญคุณต่อถาวจวินหลัน เขาจึงได้มีคำสั่งลงไปนานแล้ว ตอนนี้เมื่อถาวจวินหลันเอ่ยขึ้นมาอีก เขาก็พูดเพียงแค่สองคำเท่านั้น “วางใจเถิด”


ถาวจวินหลันได้ยินก็วางใจ พูดตามความจริงแล้ว หากเป็นไปได้นางเองก็ยังอยากพบหน้าหลี่ว์หลิ่วอีกสักครั้ง ถามนางดูว่ายังต้องการอะไรอีกหรือไม่ ถ้าหากนางทำได้ก็จะช่วยเหลือ


แต่สถานการณ์ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในใจของนางก็พอรู้ความปรารถนาของหลี่ว์หลิ่ว หลี่ว์หลิ่วรังเกียจฮองเฮาเป็นที่ยิ่ง ไม่อย่างนั้นหลี่ว์หลิ่วคงจะไม่มาหานางตอนแรก คิดอยากให้นางลงมือกับฮองเฮา


เรื่องจัดการฮองเฮานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ง่าย อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานเท่าไร อย่างน้อยคิดว่าหลี่ว์หลิ่วคงจะรอต่อไม่ไหวแล้ว


เมื่อคิดเช่นนี้ก็รู้สึกโศกเศร้า อดคิดไม่ได้ว่า มีความคิดสูงกว่าท้องฟ้า แต่ชีวิตเบาบางยิ่งกว่ากระดาษ


ประโยคนี้เขียนถึงชีวิตของหลี่ว์หลิ่วอย่างแท้จริง สิ่งที่หลี่ว์หลิ่วคาดหวังมาตลอดทั้งชีวิตนั้น พูดไปแล้วคือต้องการเดินขึ้นไปสู่จุดสูงกว่าเดิมเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ได้เป็นความผิดใหญ่หลวงอะไร เพียงแต่นางไม่มีโชคในเรื่องนี้เองต่างหาก ในชาตินี้ตอนที่รุ่งเรืองที่สุดกลับเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ชวนให้คนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก


พี่น้องร่วมห้องเมื่อวันวาน ตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงฉ่ายยวน ยามนี้นางไม่มีความทรงจำดีๆ และความอาลัยต่อฉ่ายยวนแม้แต่น้อย ส่วนเหวินซิ่งก็ไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรมาหลายปีแล้ว อีกทั้งหลี่ว์หลิ่วก็ถือว่ากระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง


แต่อารมณ์เศร้าสร้อยนี้ก็ถูกพัดพาหายไปเพราะหลี่เย่ที่ตั้งใจบีบมือนางไว้ นางมองหลี่เย่อย่างกล่าวโทษเล็กน้อย แต่กลับตัดใจดึงมือออกมาไม่ได้ เพียงแค่ถามว่า “ทำอะไรเพคะ?”


“อย่าคิดเรื่องเหล่านั้นอีกเลย มีเวลาก็ไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ข้าหน่อย” หลี่เย่ก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตน ก่อนถอนหายใจ “หลายวันมานี้สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำสำเร็จในวังหลวง ด้วยงานเร่งรีบจึงหลวมไปบ้าง”


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รีบก้มมองดูหลี่เย่อย่างละเอียด ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว “หลวมจริงเพคะ ตอนนี้วังหลวงไม่ใส่ใจรายละเอียดไปใหญ่แล้ว”


นางไม่กล้าชักช้าอีก รีบลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าให้หลี่เย่ด้วยตนเอง


พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว หลี่เย่ก็บอกว่าหิว ถาวจวินหลันจึงไปจัดการเรื่องสำรับอาหาร เมื่อเริ่มยุ่งจึงไม่มีเวลาไปเศร้าโศกเสียใจอีก


กลับเป็นหลี่เย่ที่เห็นถาวจวินหลันยุ่งอย่างนี้แล้วแอบหัวเราะ เขารู้สึกชอบใจเป็นอย่างมาก พยักหน้าลอบคิดว่า ใช่แล้ว แบบนี้ถึงจะถูกต้อง


ตอนที่ถาวจวินหลันกำลังยุ่งวุ่นวาย เจียงอวี้เหลียนกลับค่อยๆ มาหาอย่างเนิบนาบ แต่กลับไม่ยอมอยู่ใกล้ถาวจวินหลันมากเกินไป ทำความเคารพหลี่เย่โดยยืนอยู่ไกลๆ


ถาวจวินหลันมองเห็นอย่างชัดเจน และรู้อยู่แก่ใจว่าเจียงอวี้เหลียนกลัวอะไร คงไม่มีอะไรเกินไปกว่าโรคระบาดหรอก นางจึงลอบแค่นหัวเราะ ยามนี้นางกลายเป็นสัตว์พิษที่ใครเห็นก็ต้องหนีไปเสียแล้ว


แต่เจียงอวี้เหลียนก็ถือว่าขี้ขลาดจริง หลายวันผ่านไปขนาดนี้แล้ว หมอหลวงก็มั่นใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร ยังจะต้องหลบหลีกอะไรอีก?


อีกอย่างในเมื่อหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ก็ไม่สู้อยู่แต่ในเรือนตนเอง มาถึงตรงนี้แล้วกระทำเช่นนี้คิดจะทำให้ใครดูกัน? นางอยากจะดูนักว่าเจียงอวี้เหลียนมีเรื่องสำคัญอะไรกันแน่ ถึงต้องมาพูดคุยเวลานี้


หากเจียงอวี้เหลียนยังคงรู้จักกาลเทศะอยู่อย่างนี้ และไม่กระทำเช่นนี้อีก ถาวจวินหลันคงจะให้อภัย แล้วหลีกทางให้ แต่ยิ่งเจียงอวี้เหลียนเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่ชอบใจ ย่อมต้องไม่มีความหวังดีนั้นแล้ว


ถาวจวินหลันยังไม่รู้สึกว่าที่นางเป็นเช่นนี้มีท่าทีใช้อารมณ์อยู่เล็กน้อย แต่เมื่อทำเช่นนี้นางก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าเจียงอวี้เหลียนคิดอยากจะหลบแต่ก็ต้องฝืนบังคับท่าทีของตน นางก็ยิ่งชอบใจมากขึ้น


จนถึงขั้นที่นางเองยังนั่งนิ่งสบายใจ ยิ้มน้อยๆ พูดกับเจียงอวี้เหลียน “หลายวันมานี้ไม่ได้เจอชายารองเจียงสบายดีหรือไม่?”


เจียงอวี้เหลียนเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกเอาไว้ ฝืนยิ้มออกมา “ไม่ใช่ว่าใช้ชีวิตเหมือนเดิมหรอกหรือเจ้าคะ? แต่ก็น่าตกใจเสียจริง ท่านว่าเซิ่นเอ๋อร์ยังเล็กนัก ถ้าหากเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรเล่า”


ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ทีหนึ่ง ยิ้มพลางชิงพูดก่อนหลี่เย่ “เรื่องนี้ถูกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้เจ้าส่งเซิ่นเอ๋อร์ออกไป เจ้าเองตัดใจไม่ลง ตอนนี้ก็ได้รับบทเรียนเสียแล้ว” พูดเช่นนี้ก็ดูเหมือนจงใจเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ แต่เดิมแล้วก็ถูก ตอนแรกนางพูดเกลี้ยกล่อมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และเคยเตือนแล้วหลายรอบ เจียงอวี้เหลียนกลับจะให้เซิ่นเอ๋อร์อยู่ในจวน คราวนี้ยังเอาเรื่องความปลอดภัยของเซิ่นเอ๋อร์มาเป็นหัวข้อสนทนา ไม่ตลกเกินไปหน่อยหรืออย่างไร?


แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เพราะเจียงอวี้เหลียนแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา นางเองก็คงไม่ทำเช่นนี้


เจียงอวี้เหลียนสะอึกไป แล้วมองดูถาวจวินหลันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทอดสายตามองไปทางหลี่เย่ หลังจากถอนหายใจแล้วก็พูดเสียงอ่อนว่า “ข้ารู้ว่าผิดไปแล้ว ตอนนั้นน่าจะเชื่อฟังคำพูดของชายารองถาว แต่ข้าคิดว่าเซิ่นเอ๋อร์ยังเล็กนัก ไฉนเลยจะอยากจากมารดาไป? อีกทั้งท่านอ๋องยังอยู่ในเมืองหลวง และภายในจวนก็ควรจะต้องปลอดภัย ถึงไม่ได้ส่งเซิ่นเอ๋อร์ออกไป ใครจะรู้ว่า…ข้าเองก็ตกใจเช่นกัน หลายวันมานี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวว่าจะเป็นอะไรไป”


เจียงอวี้เหลียนพูดจากใจจริง จึงให้คนรู้สึกคล้อยตาม นางพูดเช่นนี้กลายเป็นว่าไม่ดีถ้าจะพูดต่อ


แน่นอนว่าถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้ตั้งใจเป็นศัตรูกับเจียงอวี้เหลียนตั้งแต่แรก จึงเม้มปากยิ้ม ไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่รอดูว่าสุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนต้องการพูดอะไรกับหลี่เย่เป็นแน่


หลี่เย่อมยิ้มมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง คาดเดาความคิดของนาง เขาไม่ได้คิดมากกับความจงใจเล็กๆ น้อยๆ ของถาวจวินหลัน ไม่ต้องพูดว่าเขาลำเอียง พูดแค่เพียงว่าเจียงอวี้เหลียนทำตัวล้ำเส้นเกินไป ท่าทีหลบหลีกแทบไม่ทันนั้นก็โจ่งแจ้งเกินไป อีกทั้งคำพูดที่พูดออกมาก็บิดพลิ้วความเป็นจริง


เขายุ่งจนไม่มีเวลามาดูแลเรื่องราวเหล่านี้ภายในจวน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ความจริงอะไรเลย ทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงไม่พาเซิ่นเอ๋อร์ไปจากจวน เรื่องนี้เขารู้ดีแก่ใจ


“เมื่อพูดอย่างนี้เจ้ารู้สึกผิดหวังแล้วอย่างนั้นหรือ” หลี่เย่จิบชา มองไปยังเจียงอวี้เหลียน แม้สีหน้าจะยังอบอุ่น แต่ไม่ได้หมายความว่าอ่อนหวาน แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบ ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้


เจียงอวี้เหลียนพูดมาถึงตรงนี้แล้ว แม้ว่าจะรู้สึกประหม่าแต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับเสียงเบาเท่านั้น


“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เจ้าคิดจะทำอะไร?” หลี่เย่ถามอีก พร้อมเลิกคิ้วเล็กน้อย “คิดจะให้ข้าส่งพวกเจ้าสองคนแม่ลูกออกไปนอกเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ?”


เจียงอวี้เหลียนพยักหน้าอีกครั้ง แต่ศีรษะกลับยิ่งก้มต่ำลงไป


หลี่เย่หัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าเยาะเย้ยหรือสบายใจเจียงอวี้เหลียนยอมเข้าใจเสียที จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ออกไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้เมื่อไรอีก อีกทั้งตอนที่เดินทางผ่านประตูเมือง อย่างไรก็ถือว่าอันตราย”


เจียงอวี้เหลียนกัดฟัน ถามหลี่เย่อีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นท่านอ๋องคิดว่าตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดีเพคะ? เซิ่นเอ๋อร์ยังเล็กนัก ข้าจะกล้าเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร? ขอแค่เขาปลอดภัย ข้ายอมทำทุกอย่างเพคะ”


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปิดเรือนตั้งแต่วันนี้ เช่นนี้ก็ตัดขาดจากโลกภายนอกได้ และไม่ต่างกับอยู่ที่บ้านพัก” หลี่เย่พูดเสียงอ่อนโยน ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ 

 

 


บทที่ 446 ทะเลาะ

 

​พอเจียงอวี้เหลียนได้ยินกลับเหมือนถูกฟ้าผ่า… นางรู้สึกว่าหลี่เย่กำลังโมโหอยู่ จึงไม่สนใจพวกนางสองแม่ลูกแล้ว


แต่ถาวจวินหลันกลับเข้าใจไปอีกแบบ นางรู้ว่าหลี่เย่พูดเพราะหวังดีต่อเซิ่นเอ๋อร์ ตอนนี้การออกจากเมืองไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป อย่างไรก็ไม่รู้ว่าตอนที่เดินทางไปจะพบกับอะไรบ้าง? หากภายในวังหลวงไม่ได้รับเชื้อติดต่อโรคระบาด แต่ตอนที่เดินทางออกจากเมืองกลับติดโรคเข้า นั่นก็ถือว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว


จะต้องรู้ว่า ตอนนี้หมอรวมตัวกันอยู่ในเมืองหลวงเต็มไปหมด และยังมีกรมหมอหลวง เรื่องหาเทียบยารักษาโรคนี้ได้คงเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว อีกทั้งในเมืองหลวงยังหาวัตถุดิบสมุนไพรได้ง่ายที่สุด ต่อให้เป็นอะไรไปก็ยังถือว่ามีความหวัง แต่นอกเมืองหลวงกลับไม่มีสิ่งเหล่านี้


ดังนั้นอยู่ในเมืองหลวง และปิดประตูใช้ชีวิตของตนเองจึงถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด


เจียงอวี้เหลียนกัดริมฝีปาก มองหลี่เย่อย่างร้าวราน แม้จะไม่กล้าแสดงท่าทีไม่พอใจ แต่กลับแสดงความน้อยใจไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างชัดเจน


หลี่เย่เห็นเจียงอวี้เหลียนมีท่าทีเช่นนี้ ก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้น ย่อมไม่คิดจะพูดอะไรอีกแม้แต่น้อย


ถาวจวินหลันคิดถึงความปลอดภัยของเซิ่นเอ๋อร์ จึงเอ่ยปากพูด “จวนของพวกเรามีเรือนอยู่มากแต่มีคนไม่มากนัก หากเทียบกับที่อื่นแล้วก็ปลอดภัยกว่ามาก เจ้าปิดประตูเรือนไว้ย่อมปลอดภัยเป็นแน่ นอกจากโรคระบาดในเมืองหลวงจะควบคุมไม่อยู่ มิเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาแน่นอน เซิ่นเอ๋อร์ยังเด็กนัก ผ่านประตูเมืองไปก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่ถือเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งบ้านพักในพื้นที่ห่างไกลก็ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป”


ไม่ใช่เพราะว่าผู้ลี้ภัยทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่นอกประตูเมือง และมีอีกจำนวนไม่น้อยที่เดินทางควักไขว่พลุกพล่าน อย่างน้อยถาวจวินหลันก็ได้ยินคนที่อยู่เบื้องล่างมารายงานให้ฟังหลายครั้งแล้ว บอกว่าบ้านพักที่บรรดาผู้ประสบภัยเหล่านั้นเดินทางผ่านมีบางที่ถูกขโมยแย่งชิง ใครก็บอกไม่ได้ว่าจะบังเอิญเจอคนโหดร้ายพวกนั้นหรือไม่? อีกทั้งในจำนวนนั้นอาจมีที่ได้รับเชื้อโรคระบาดไปแล้วด้วย


ดังนั้นดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ข้อเสนอของหลี่เย่ถือว่าดีที่สุด ไม่ใช่เป็นการพูดให้จบๆ ไปเป็นพิธี หรือว่าอย่างอื่น


เจียงอวี้เหลียนยิ่งก้มหน้าต่ำลง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะเชื่อท่านอ๋องเพคะ”


ถาวจวินหลันเห็นท่าทีของนางก็รู้ว่านางยังไม่เข้าใจ จึงได้แต่ถอนหายใจ “เจ้ากลับไปคิดให้ดีเสียเถิด เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่มีทางละเลยเขาเป็นแน่ และยิ่งไม่มีทางให้เขาไปเสี่ยงอันตราย”


เจียงอวี้เหลียนกลับทำหูทวนลม ลุกขึ้นพลางพูดอ้างว่าจะต้องกลับไปดูแลเซิ่นเอ๋อร์ แล้วขอตัวลากลับไป


หลี่เย่เม้มริมฝีปาก วางถ้วยชาในมือลง ถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง พูดตามจริงเขาเริ่มปวดหัวแล้ว


ถาวจวินหลันรีบเกลี้ยกล่อมว่า “นางก็แค่ยังคิดไม่ได้ และรู้สึกตกใจเท่านั้น ท่านทำเพราะหวังดีต่อเซิ่นเอ๋อร์ ใครๆ ก็รู้เรื่องนี้ดี”


หลี่เย่แค่นหัวเราะ “เจ้ายังเข้าใจและคิดถึงเซิ่นเอ๋อร์มากกว่านางเสียอีก”


ถาวจวินหลันฝืนยิ้ม ส่ายหน้า “อย่างไรนางก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเซิ่นเอ๋อร์ คนอื่นไม่มีทางเทียบนางได้ เพียงแต่ต่างคนต่างความคิด นานไปเดี๋ยวนางก็จะเข้าใจเอง”


ไม่ว่าเจียงอวี้เหลียนจะคิดได้หรือไม่ เรื่องราวก็จบลงเช่นนี้แล้ว


วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันส่งคนออกไปถามสถานการณ์ของถาวซินหลัน เพิ่งจะส่งคนออกไปไม่นานก็มีคนของทางด้านตระกูลเฉินเข้ามาทำความเคารพนาง


ถาวจวินหลันเข้าใจได้ทันใดว่า ถาวซินหลันก็เป็นกังวลสถานการณ์ของตน นางจึงอดหัวเราะไม่ได้ ลอบคิดว่าที่บอกว่าเลือดข้นกว่าน้ำ ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง


รอจนทั้งสองฝ่ายส่งข่าวบอกอีกฝ่ายว่าปลอดภัยแล้ว ถาวจวินหลันจึงวางใจได้เสียที อย่างไรหากถาวซินหลันต้องลำบากเพราะนาง นางคงไม่ให้อภัยตัวเองเป็นแน่


ตอนหัวค่ำ ถาวจิ้งผิงก็มาหาอีก แต่ไม่ได้ส่งคนมาถาม ทว่ามาด้วยตนเอง


ถาวจวินหลันค่อนข้างแปลกใจ จนถอยหลังไปสองสามก้าวตามสันชาตญาณ พอได้สติกลับมา นางก็มองถาวจิ้งผิงที่มีท่าทีตื่นตะลึง แล้วถึงได้ยิ้มอย่างลุแก่โทษ “หลายวันมานี้เคยชินไปเสียแล้ว จึงยังตั้งตัวไม่ได้ในทันที”


ถาวจิ้งผินได้ยินเช่นนั้นก็เจ็บปวดใจ แล้วหัวเราะออกมา “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วขอรับ”


“ทำไมองค์หญิงเก้าไม่ตามมาด้วยเล่า?” ถาวจวินหลันอยากให้ถาวจิ้งผิงอยู่ร่วมโต๊ะอาหารก่อนแล้วค่อยกลับ แต่เมื่อคิดว่าองค์หญิงเก้าอยู่ที่บ้านลำพังคงไม่เหมาะสม จึงเอ่ยถาม


ถาวจิ้งผิงยิ้ม พูดว่า “ข้าตรงมาจากศาลาว่าการขอรับ คืนนี้ก็จะร่วมทานอาหารกับท่านพี่”


ในเมื่อถาวจิ้งผิงพูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่ปฏิเสธ รีบยิ้มและตอบรับทันที ก่อนพูดอีกว่า “เจ้าเองก็จะได้ดื่มกับท่านอ๋องสักหน่อย เหล้าข้าวหวานที่หมักใหม่ในปีนี้ยังไม่ได้เปิดไหเลย”


“ก็ดีน่ะซีขอรับ” ถาวจิ้งผิงหัวเราะฉับพลันทันที ท่าทีอยากกระหาย


ถาวจวินหลันมองดูอยู่ ก็อดหลุดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน แต่ในใจกลับรู้สึกไม่ค่อยถูกต้องนัก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามถาวจิ้งผิงว่า “จะต้องไปแจ้งข่าวให้องค์หญิงเก้ารู้สักหน่อยหรือไม่?”


ถาวจิ้งผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่จำเป็นขอรับ อีกครู่หนึ่งก็จะกลับแล้ว อีกทั้งก่อนออกมาเมื่อเช้าก็บอกไปแล้ว คิดว่าต้องรู้เป็นแน่ขอรับ”


น้ำเสียงที่ถาวจิ้งผิงพูดถึงองค์หญิงเก้าดูแปลกอย่างบอกไม่ถูก ถาวจวินหลันฟังแล้วก็ยิ่งอดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้


แต่เห็นชัดว่าถาวจิ้งผิงเหมือนไม่อยากพูด ถาวจวินหลันจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้ พอทานอาหารเสร็จแล้ว นางก็เห็นถาวจิ้งผิงไม่ได้มีท่าทีจะกลับ นางจึงอดพูดเร่งไม่ได้ “นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบกลับไปเถิด อย่าทำให้องค์หญิงเก้าไม่สบายใจเลย”


พอส่งถาวจิ้งผิงกลับไปแล้ว นางถึงได้หันไปพูดกับหลี่เย่ว่า “ท่านว่าจิ้งผิงกับองค์หญิงเก้าทะเลาะกันหรือไม่เพคะ?”


หลี่เย่เหลือบมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง ก่อนพูดเนิบๆ ว่า “จะทะเลาะกันก็เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยา ไม่เกี่ยวกับพวกเรา เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ระวังเข้าไปยุ่งแล้วจะแย่กว่าเดิม”


ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริง จึงขมวดคิ้วและพยักหน้า พูดว่า “จริงด้วยเพคะ แต่ข้าก็ยังเป็นห่วง”


พี่สาวมีที่ไหนบ้างจะไม่ห่วงน้องชาย? โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาควรต้องมีความสุขสมัครสมานสามัคคีกัน อีกทั้งพวกเขาเพิ่งจะแต่งงานกันไม่นาน ควรที่จะอยู่ในช่วงเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ไฉนถึงได้ทะเลาะกันเล่า?


หลี่เย่มองดูท่าทางของถาวจวินหลัน ก็รู้ว่านางยังต้องคิดมากอยู่แน่นอน จึงยิ้มและพูดว่า “มีคำพูดที่ว่าสามีภรรยาทะเลาะกันที่หัวเตียง ดีกันที่ปลายเตียง เจ้าคอยดู อีกสองสามวันต้องไม่มีปัญหาเป็นแน่ หากเจ้าเป็นกังวลก็หาเวลาเชิญพวกเขามาเป็นแขกก็ได้แล้ว ถึงเวลานั้นคอยดูสถานการณ์ก็จะรู้แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?”


ถาวจวินหลันพยักหน้า คิดว่าความคิดนี้ใช้ได้ แต่เมื่อคิดดูแล้วก็พูดอีกว่า “อย่างไรก็ต้องรออีกสองสามวัน ตอนนี้จวนตวนชินอ๋องจะต้องหลบข้อสงสัยเสียหน่อย”


หลี่เย่ยิ้ม “ตามใจเจ้าเถิด”


ถาวจวินหลันเลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อน แต่ที่นางไม่รู้คือขณะที่นางกำลังคาดเดา บ้านตระกูลถาวกลับตกอยู่ในสภาพสงครามเย็น ถาวจิ้งผิงกลับไปยังบ้านตระกูลถาว ก็ตรงไปที่ห้องหนังสือ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้าไปที่เรือนในเลยแม้แต่น้อย


พอองค์หญิงเก้าได้ยินบ่าวมารายงาน นางก็ฉีกผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งอย่างโกรธแค้น แล้วขึ้นเตียงไปพร้อมกับตาแดงก่ำ


บรรยากาศเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่วันนั้น แต่ยังมีต่อมาอีกหลายวัน


ผ่านไปอีกห้าวัน ถาวจวินหลันคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้ว จึงคิดจะเข้าวังหลวงไปสักครั้ง…ครั้งนี้นางพาหมอหลวงมาอยู่ข้างกายด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของไทเฮาไฉนเลยจะทำเช่นนี้ได้?


อีกทั้งนางเองก็คิดอยากจะไปสืบสถานการณ์ของหลี่ว์หลิ่ว


เพื่อไม่ให้ตนเองประหม่าจนเกินไป นางคิดแล้วก็เชิญองค์หญิงแปดกับองค์หญิงเก้าเข้าไปพร้อมกัน


องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าตกลงอย่างว่าง่าย นัดวันกันแล้วก็เข้าไปในวังหลวงพร้อมกัน ตอนที่มาถึงหน้าประตูวัง ถาวจวินหลันกลับมาก่อนเป็นคนแรก องค์หญิงแปดมาเป็นคนที่สอง…หลายวันมานี้ไม่ได้พบหน้าองค์หญิงแปด สีหน้ากลับดีขึ้นไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าบำรุงมาพอดีแล้ว แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับการได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ


ถาวจวินหลันเห็นถึงความใส่ใจของสามีองค์หญิงแปด ก็อดเย้าแหย่ไม่ได้ “ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันกลับดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าสามีองค์หญิงแปดมีความสามารถเสียจริง”


ต่อให้องค์หญิงแปดจะไม่ใช่คนขี้อาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมา พูดอย่างออดอ้อนว่า “เหลวไหลเจ้าค่ะ” หยุดไปครู่หนึ่งก็โจมตีกลับมา “เมื่อพูดเช่นนี้ ข้าเองก็ควรพูดกับพี่รองบ้าง ให้เขาเรียนจากสามีของข้าถึงจะถูก แต่ว่าข้ากลับได้ยินมาว่าพี่รองโปรดปรานเอ็นดูอยู่คนเดียว แล้วยังอ่อนโยนอ่อนหวานอีกต่างหาก”


ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม “ช่างเถิดๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ไม่น่าสนใจเอาเสียเลย”


องค์หญิงแปดหัวเราะทันที “ไม่ชนะข้าก็บอกว่าไม่น่าสนใจ จิ๊ๆ” หยุดไปครู่หนึ่งก็หันมามองถาวจวินหลันอย่างเป็นห่วง “ดูท่านเถิด ผ่านผอมไปตั้งเยอะ เห็นได้ว่าพี่รองทำงานไม่สมหน้าที่เลย”


ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้าป่วยมิใช่หรืออย่างไร? ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เสียหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอะไร บำรุงไปอีกสักช่วงหนึ่งก็ดีขึ้น ต้องขอบใจเจ้าที่เป็นกังวลแล้ว”


องค์หญิงแปดพยักหน้าแล้วพูดถึงเรื่องอื่นต่อ


ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน องค์หญิงเก้าก็มาถึงแล้ว


หลังจากองค์หญิงเก้าสังเกตเห็นถาวจวินหลัน นางก็ยิ้มให้ถาวจวินหลันก่อน “เห็นได้ว่าพี่หญิงหายดีแล้ว เดิมข้ายังคิดว่าอีกสองสามวันจะไปเยี่ยมท่าน แต่ด้วยเรื่องในจวนเยอะเกินไปจึงหาเวลาไปไม่ได้เสียที”


ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “ข้ารับไว้แค่น้ำใจก็พอแล้ว เจ้าจัดการเรื่องในบ้านตระกูลถาวก็เหนื่อยมากพอแล้ว แต่ข้ากลับต้องเตือนเจ้าบางอย่าง อย่าเสียสุขภาพเพราะเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรร่างกายก็สำคัญที่สุด”


องค์หญิงแปดส่งเสียงจิ๊ปากอยู่ข้างๆ จงใจพูดด้วยท่าทีปลิ้นปล้อน “ยังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ดูความสนิทสนมนี้ซี เกรงว่าคงลืมไปแล้วว่าข้าอยู่ข้างๆ ใช่หรือไม่? เจ้าเก้าเองก็เหมือนกัน พี่แปดของเจ้ายืนอยู่ข้างๆ เจ้ากลับสังเกตเห็นแต่พี่สะใภ้รองของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”


ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้


องค์หญิงเก้ารีบยิ้มปลอบองค์หญิงแปดทันที “พี่แปดที่แสนดีของข้า อย่าพูดเช่นนี้เลย ข้าจะไม่สังเกตเห็นท่านได้อย่างไร? กำลังจะพูดคุยกับท่านอยู่เลย ท่านเป็นใหญ่ใจย่อมกว้าง ยกโทษให้ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันกลับจงใจพูดว่า “ที่องค์หญิงแปดพูดก็ไม่ผิด ตอนนี้นางอิจฉาที่พวกเราสองคนสนิทกัน”


จู่ๆ บรรยากาศก็ดูสมัครสมานสามัคคีอย่างพูดไม่ถูก ทั้งสามคนพูดคุยสัพเพเหระ จากนั้นก็เดินเข้าวังหลวงไป คราวนี้ก็ยังคงไปที่วังหย่งโซ่วก่อน


องค์หญิงแปดแอบมาสะกิดถาวจวินหลัน ยิ้มและพูดว่า “อีกครู่หนึ่งพี่สะใภ้รองจะต้องปากหวานสักหน่อยนะเจ้าคะ คราวนี้ไทเฮาลำเอียงเอ็นดูท่านแล้ว” 

 

 


บทที่ 447 ยุติธรรม

 

​ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจความหมายขององค์หญิงแปด จึงพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มและพูดว่า “ข้าเข้าใจ”


องค์หญิงเก้าหันกลับมามองสองคนที่เดินตามหลังมา ท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็นีบเก็บอาการ แต่รอยยิ้มกลับจางลงไปกว่าสองส่วน


เดินทางตรงไปที่วังหย่งโซ่วเพื่อทำความเคารพไทเฮาพร้อมกัน


ไทเฮายิ้มพลางประทานที่นั่งให้ ถามอีกว่า “วันนี้ทำไมถึงว่างมาหาข้าพร้อมกันสามคนเล่า?”


องค์หญิงแปดยิ้มพลางตอบว่า “ไม่ใช่เพราะชายารองถาวหรอกหรือเพคะ นางอยากมาทำความเคารพไทเฮา แต่ก็รู้สึกประหม่า จำต้องลากพวกเราออกมาด้วยกัน หม่อมฉันเองก็ถือโอกาสเข้าวังหลวงมาหาเสด็จแม่ด้วยเลยเพคะ”


องค์หญิงแปดพูดให้ทุกเรื่องกระจ่าง ถาวจวินหลันเองก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก จึงยิ้มอย่างเขินอาย ก้มหน้าลงพลางพูดเสียงอ่อนว่า “คราวนี้หม่อมฉันผ่านพ้นภัยอันตรายมาได้อย่างปลอดภัย ก็ยังต้องขอบพระทัยไทเฮาที่สั่งให้หมอหลวงไปที่จวนเพคะ”


ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะ “เรื่องใหญ่ที่ไหนกัน เป็นเรื่องที่เจ้าสมควรได้รับอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เรื่องที่เจ้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหล่านั้น และยังน้ำใจบริจาคอาหารและยาเหล่านั้นก็สมควรแล้วเช่นกัน มิเช่นนั้นก็ต้องเรียกคนทั่วทั้งใต้หล้าว่าใจไม้ไส้ระกำแล้ว แน่นอนว่าคนอื่นเองก็ยอมให้หมดใจเช่นกัน”


คำพูดนี้บอกถาวจวินหลันกลายๆ ว่านางแค่ยอมรับไปก็พอแล้ว อย่าได้คิดว่าตนเองเอาเปรียบผู้อื่นหรือได้รับความโปรดปราณมากกว่าผู้อื่น หากมีคนอิจฉาหรือโมโห ก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ


แน่นอนว่าพูดถึงชายาเอกอู่อ๋อง ด้วยจวนจวงอ๋องมีจวงอ๋องอยู่ด้วย ดังนั้นจึงยังมีหมอหลวงฝีมือดีไป มีเพียงแค่ชายาเอกอู่อ๋อง ด้วยไม่มีคนขอแทนนาง ย่อมต้องไม่มีหมอหลวงฝีมือดีชื่อดังไปเป็นแน่ เกรงว่านางคงจะไม่พอใจอยู่บ้าง


แต่พอถาวจวินหลันได้ยินคำพูดของไทเฮาแล้ว นางกลับรู้สึกเหมือนจะรีบล้างข้อสงสัยมากเกินไป และยิ่งแสดงความห่างไกลออกไปเล็กน้อย


ถาวจวินหลันเม้มปาก รับคำและไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก เพียงแค่ถามสุขภาพของไทเฮาอย่างใส่ใจอีกเล็กน้อยเท่านั้น


องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็พูดคุยกับไทเฮากันอีกครู่หนึ่ง บรรยากาศก็ไม่ได้ถึงขั้นเย็นชาอะไร แต่ก็ไม่ถือว่าครึกครื้น แต่ความกระตือรือร้นของไทเฮาไม่ได้เยอะ ดังนั้นต่อให้หาหัวข้อมาพูดอีกมากมายก็ยังมีช่วงที่ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ดี


เห็นได้ชัดว่าไทเฮาสนใจถาวจวินหลันมากกว่า ฉับพลันก็เอ่ยปากถามว่า “ได้ยินว่าตอนนั้นตัวเจ้าปิดประตูเรือนเอง? กลัวหรือไม่?”


ถาวจวินหลันอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ไฉนเลยจะไม่กลัวเล่าเพคะ  หม่อมฉันกลัวมาก แม้แต่เวลาพูดคุยก็ยังสั่นสะท้าน กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ต้องนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว แม้แต่ยืนก็ยังยืนไม่ไหวเลยเพคะ”


“ในเมื่อกลัวถึงขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังกักตัวเองอยู่ในเรือนอีก?” ไทเฮาหัวเราะ แปลกใจเล็กน้อย แม้แต่องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็ยังหันมามอง


ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ก็เพราะไม่มีวิธีอื่นเพคะ คงไม่อาจไปลากให้คนอื่นมาลำบากด้วยได้ บ่าวรับใช้ทั้งเรือนก็ตระหนกตกใจไปหมด แค่นี้ก็ลากคนอื่นมามากแล้ว อีกทั้งท่านอ๋องเป็นคนอ่อนไหว ถ้าได้ยินเรื่องนี้แล้ววิ่งกลับมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น หม่อมฉันก็คงทำผิดมหันต์ อีกทั้งคนอื่นภายในจวน ผู้ใหญ่ยังพอทน แต่เซิ่นเอ๋อร์ยังเล็กนัก ไม่กล้าให้เขาเจออันตรายแม้เพียงน้อยเพคะ”


ไทเฮามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง และหันไปมององค์หญิงเก้าและองค์หญิงแปด “พวกเจ้าควรเรียนรู้ความใจเย็นและรู้ความเช่นชายารอง” นี่ถือว่าเป็นการชื่นชมถาวจวินหลันกลายๆ แล้ว


เมื่อถาวจวินหลันได้รับคำชมเช่นนี้ นางก็รู้สึกตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึง รีบพูดถ่อมตัว “เป็นใครก็ต้องทำเช่นนี้เพคะ”


ไทเฮาหลุดหัวเราะ  “นั่นก็ไม่แน่ แต่เป็นอย่างเจ้านี่ถือว่าดี ต่อจากนี้ไปก็ควรจะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร พวกผู้ชายก็สำคัญที่สุด ผู้หญิงอย่างพวกเราอย่าได้ทำให้พวกผู้ชายเสียเรื่อง”


ไทเฮาพูดแฝงนัย ถาวจวินหลันก็พยักหน้ารับรู้ “หม่อมฉันจะจำไว้เพคะ”


พอออกมาจากวังของไทเฮา องค์หญิงแปดก็ยิ้มพลางเชิญถาวจวินหลันและองค์หญิงเก้า “ไปนั่งอยู่ที่วังของเสด็จแม่ข้าก่อนดีหรือไม่ แล้วอีกครู่ค่อยออกจากวังหลวงไปพร้อมกัน”


องค์หญิงเก้ากลับส่ายหัว “ช่างเถิด ข้ายังมีธุระอื่นในจวน ข้ากลับก่อนก็แล้วกัน”


ถาวจวินหลันตั้งใจจะกลับออกไปพร้อมองค์หญิงเก้า แต่เมื่อมองไปยังองค์หญิงแปดก็เปลี่ยนใจ นางจำได้ว่าอิงผินเป็นคนมีข่าวสารว่องไว ไม่แน่ว่าอาจจะรู้เรื่องของหลี่ว์หลิ่วอยู่บ้าง


ถาวจวินหลันจึงรับคำองค์หญิงแปด ยิ้มพลางกำชับองค์หญิงเก้าว่า “เดินทางกลับก็ระวังด้วย ช่วงนี้ดูประตูหน้าต่างภายในจวนให้ดี อย่าได้ติดต่อกับคนนอกเมืองโดยเด็ดขาด”


องค์หญิงเก้ารับคำ ไม่ได้พูดอะไรมากก็ขอตัวกลับไปก่อน


ถาวจวินหลันมองแผ่นหลังขององค์หญิงเก้า รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เป็นอะไรไป? รู้สึกเหมือนว่าองค์หญิงเก้ามีท่าทีแตกต่างไปจากตอนปกติ


แต่นางเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าองค์หญิงแปดยิ้มแล้วพูดเร่ง “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รีบไปเถิดเจ้าค่ะ เร่งออกจากวังหลวงไปให้ทันก่อนถึงเวลาอาหารกลางวัน มิเช่นนั้นเกรงว่าจะต้องอยู่ร่วมสำรับกลางวันในวังหลวงแล้ว”


รับประทานอาหารกลางวันในวังหลวงย่อมไม่เหมาะสม หากไม่พูดเรื่องกฎเกณฑ์ พูดแค่ว่าจะกินลงหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ตอนเป็นนางกำนัล ถาวจวินหลันยังไม่รู้สึกเช่นนี้ แต่หลังจากหลี่เย่โดนพิษโดยไม่มีเหตุผล นางก็ฝังความรู้สึกไม่ปลอดภัยมาโดยตลอด อีกทั้งยามนี้มีคนอิจฉาหลี่เย่มากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ยิ่งไม่กล้าทานอาหารภายในวังหลวง แม้แต่ชาในวังของไทเฮา นางก็พยายามดื่มให้น้อย


ด้วยวังของอิงผินต้องเดินไปอีกระยะหนึ่ง องค์หญิงแปดจึงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับถาวจวินหลัน “ท่านอยู่ในเรือนมาช่วงหนึ่ง ไม่รู้ตอนนี้ในเมืองหลวงเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านรู้จักเฝินหยางโหวใช่หรือไม่? อยู่ๆ เขาก็เกิดถูกใจคุณหนูจากภรรยาเอกของจวนเหิงกั๋วกงที่เพิ่งผ่านพิธีเป็นผู้ใหญ่มาคนนั้น ยังขาดแค่ส่งคนไปสู่ขอเท่านั้นเอง”


ถาวจวินหลันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน จึงส่งเสียงร้องแปลกใจ แล้วพูดสิ่งที่สงสัย “จวนเหิงกั๋วกงจะยินยอมให้คุณหนูจากภรรยาเอกแต่งกับเฝินหยางโหวได้อย่างไร?”


“ก็เพราะอย่างนี้แหละเจ้าค่ะ” องค์หญิงแปดหัวเราะออกมา นิ้วมือเรียวยาวก็เด็ดดอกชบาที่ยื่นออกมา หมุนเล่นอยู่รอบหนึ่ง แล้วถึงได้เบะปากพูดว่า “แล้วก็ไม่ดูตัวเองว่าเป็นใคร คิดจะเป็นหมาวัดเด็ดดอกฟ้า จวนเหิงกั๋วกงไม่มีทางยินยอม ย่อมปฏิเสธเด็ดขาดทันที ไม่เหลือทางเลือกให้อีก”


ถาวจวินหลันยิ้ม หยิบดอกชบามาแล้วพูดว่า “ดอกนี้สวยดี เจ้าอย่าทำมันแบบนี้ซี เจ้าก้มหัวลงมา ข้าจะทัดดอกไม้ให้ สีนี้ขับสีผิวเจ้าดี” หยุดไปครู่หนึ่งแล้วถึงพูดว่า “ดูท่าเฝินหยางโหวคงจะเสียหน้ามากเป็นแน่ ในใจคงรู้สึกไม่ดี” ชนกำแพงติดต่อกันขนาดนี้เป็นใครก็ต้องรู้สึกอับอาย


“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ ตอนนั้นสีหน้าของเฝินหยางโหวเปลี่ยนไป แล้วยังพูดเสียงดัง บอกว่าจวนเหิงกั๋วกงคิดจะเอาคุณหนูคนนั้นเข้าวังไปรับใช้องค์รัชทายาท ถึงได้ไม่ยอม” องค์หญิงแปดก้มหัวลง ให้ถาวจวินหลันช่วยทัดดอกไม้ลงบนผมอย่างเรียบร้อย ปากก็ส่งเสียงทอดถอนใจ “ต้องมาเจอกับคนอย่างเฝินหยางโหว ก็ถือว่าเป็นดวงซวยแปดชาติของหญิงสาวคนนั้นแล้ว และเพราะว่าบรรพบุรุษของจวนเหิงกั๋วกงไม่สั่งสมบุญ ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้”


เห็นองค์หญิงแปดพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ถาวจวินหลันก็หลุดหัวเราะ จึงตีองค์หญิงแปดเบาๆ “เจ้าก็พูดไป เดี๋ยวคนอื่นได้ยินเข้าชื่อเสียงของเจ้าได้เสียหายกันพอดี”


องค์หญิงแปดไม่สนใจ “วางใจเถิดเจ้าค่ะ ถนนเส้นนี้โล่งโปร่ง มองไปแล้วไม่มีใครสักคน ใครจะไปได้ยินเจ้าคะ?”


ถาวจวินหลันเหลือบมองทีหนึ่ง เป็นไปอย่างที่พูดจริง จึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงแค่คิดในใจว่า สุดท้ายแล้วก็สมกับที่โตมาในวังหลวง นางเองยังไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่องค์หญิงแปดกลับใส่ใจเรื่องพวกนี้


“แต่วุ่นวายเช่นนี้หญิงสาวคนนั้นคงพูดเรื่องแต่งงานต่อไปยากแล้ว” ถาวจวินหลันส่ายหน้า แม้จะสงสารแต่ก็คิดว่าไม่มีทาง ใครใช้ให้นางเกิดในจวนเหิงกั๋วกงเล่า? ในเมื่อได้เสวยสุขกับเกียรติยศของจวนเหิงกั๋วกง ก็ย่อมเสียสละของที่ควรค่า และทนรับสิ่งเหล่านี้


พูดไม่น่าฟังก็คือ ขอแค่ในอนาคตคนที่ครองบัลลังก์ต่อไม่ใช้องค์รัชทายาท จุดจบของจวนเหิงกั๋วกงก็ถูกบัญญัติไว้แล้ว ชะตาชีวิตของคนในจวนเหิงกั๋วกงเองก็ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกัน


จากการกระทำทุกสิ่งอย่างของจวนเหิงกั๋วกงและฮองเฮา ถาวจวินหลันคิดว่าตัวเองไม่สมน้ำหน้าก็ถือว่ามีเมตตามากพอแล้ว


องค์หญิงแปดแค่นหัวเราะ “แต่งงานหรือ? ถ้าไม่ใช่เฝินหยางโหว ก็ต้ององค์รัชทายาท นอกจากสองคนนี้แล้วยังจะมีใครกล้าอีก? พูดไม่น่าฟังก็คือ คนอื่นไปสู่ขอ เกรงว่าเฝินหยางโหวคงเข้ามายุ่ง ผู้หญิงในใต้หล้านี้ไม่ได้มีนางเพียงคนเดียว ใครจะกล้าเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพราะนางกัน?” ตระกูลใหญ่โตเก่าแก่แต่ละตระกูลละเอียดอ่อนมากเพียงใดกัน ปกติแล้วเรื่องการแต่งงานต้องพิจารณาอย่างละเอียด ไม่อาจให้มีเรื่องผิดพลาดได้


ถาวจวินหลันครุ่นคิด กลับรู้สึกว่าคำพูดขององค์หญิงแปดไม่ผิดแม้แต่น้อย


“แต่อย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา” ถาวจวินหลันพูดสรุป “ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเหนื่อยเรื่องเหล่านี้”


องค์หญิงแปดพยักหน้า ถอนหายใจเอียงคอมองถาวจวินหลัน “ต่อจากนี้ไปท่านจะต้องระวังเสียหน่อย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นครั้งหนึ่ง ก็อาจจะมีครั้งที่สอง”


องค์หญิงแปดพูดเตือนนางก็เพราะหวังดี ถาวจวินหลันจึงพยักหน้ารับเสียงเบา “ใจของข้ารู้ดี แต่ครั้งนี้ข้าคิดดูแล้วก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันถึงได้…”


“ผลกระทบอะไรกัน ตอนที่นางกำนัลคนนั้นเอาจดหมายไปส่ง ก็อยู่ที่จวนตวนชินอ๋องนานที่สุด” องค์หญิงแปดพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมอยู่หลายส่วน “พูดไปแล้วก็ถือว่าท่านโชคดี ได้ยินว่านางกำนัลคนนั้นล้มป่วยแล้ว ตอนวันที่สี่ ตอนนั้นข้ายังคิดว่าท่านจะ…คิดไม่ถึงว่าท่านจะไม่เป็นอะไร สวรรค์คุ้มครอง ท่านเองก็อย่าคิดว่าไม่มีอะไร จะต้องหาเวลาไปไหว้พระ สวดมนต์ล้างชำระจิตใจถึงจะดี แต่ตอนนี้กลับออกนอกเมืองไปไหว้พระไม่ได้ ท่านเองก็ควรไปวัดสักครั้ง”


องค์หญิงแปดพูดอย่างจริงจัง ถาวจวินหลันเองก็ไม่กล้าเย้าแหย่ เพราะหลังจากที่ได้ยินว่าฉ่ายยวนมีอาการป่วย นางก็รีบถามด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ข้าจะต้องไปวัดสักครั้ง พอออกจากเมืองหลวงได้ คงต้องไปทำบุญจุดธูป และทำพิธีเสียหน่อย”


องค์หญิงแปดคิดแล้วก็หัวเราะอีก “แต่ท่านก็ทำเรื่องๆ เหล่านั้นแล้ว ได้รับบุญเช่นนี้ก็ถือว่าสมควร ท่านไม่รู้หรอกว่าตอนนี้บรรดาผู้ลี้ภัยเหล่านั้นเทิดทูนท่านเพียงใด ไม่รู้ว่าใครกระจายเรื่องที่เกิดกับท่านออกไป จึงมีคนจำนวนมากไปโขกหัวขอพรให้”


ถาวจวินหลันตะลึงไป จากนั้นก็ต้องขมวดคิ้ว “ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยเล่า? หากเป็นเช่นนี้จริง ก็เด่นเกินไปแล้ว…”


จะต้องรู้ว่านางเป็นแค่ชายารองเท่านั้น ตอนนี้ออกหน้าบ่อยเกินไป ถ้ายิ่งบวกเรื่องเหล่านี้ไปอีกก็จะดูไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเกินไปหน่อย ถึงตอนนั้นจะให้คนอื่นคิดอย่างไร?


หากมีคนคิดจะใช้เรื่องนี้มาหาเรื่อง เกรงว่านางคงจะกลายเป็นคนมีใจทะเยอทะยานแล้ว 

 

 


บทที่ 448 ป่วยหนัก

 

​ชื่อเสียงก็เหมือนกับน้ำ น้ำรองรับเรือได้ และยังล่มเรือได้ ชื่อเสียงเองก็เช่นกัน เมื่อไม่ดี เกรงว่าจะกลายเป็นยาพิษที่เร่งเอาชีวิตไปเร็วขึ้น


องค์หญิงแปดก็คิดได้เพราะคำพูดนี้ของนางเช่นกัน รอยยิ้มก็ดิ่งลงไปหลายส่วน คิ้วงามขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่จากนั้นก็พูดว่า “ท่านใจดี ทำเรื่องเหล่านั้นถึงได้มีชื่อเสียง แม้ว่าจะหาเรื่องจริง แล้วใครจะกล้าพูดอะไร?”


ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ทันใดนั้นพอคิดถึงคำพูดของไทเฮา ฉับพลันก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย ไทเฮาพูดเช่นนั้นก็ด้วยตั้งใจจะเตือนด้วยใช่หรือไม่?


เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็นั่งไม่ติดทันที รู้สึกใจไม่ดีเลยแม้แต่น้อย


ไม่ว่าจะไม่สบายใจอย่างไร เรื่องก็เกิดไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้อีก ถาวจวินหลันก็ทำได้แค่ไม่ไปคิดถึงเรื่องนี้อีก


เมื่อไปถึงวังของอิงผิน นั่งอยู่ครู่หนึ่งจนถึงเวลาสมควร ถาวจวินหลันจึงลองถามสถานการณ์ของหลี่ว์หลิ่วและฉ่ายยวน


อิงผินก็ไม่ได้ปิดบัง และยังพูดตรงๆ กลับเป็นถาวจวินหลันที่ได้ยินว่าหลี่ว์หลิ่วเหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้วก็รู้สึกโศกเศร้า


อิงผินพูดเพียงถึงฉ่ายยวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น “ตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษา ก็มีเพียงแค่จุดจบเดียวเท่านั้น”


ถาวจวินหลันครุ่นคิด และไม่ได้ถามอะไรอีก ไม่ว่าฉ่ายยวนจะถูกคนเล่นงานก็ดี หรือว่าจะเป็นเพราะอย่างอื่นก็ดี ฉ่ายยวนก็เต็มใจช่วยฮองเฮาจัดการธุระ ทางเดินที่นางเลือกเอง จะโทษใครได้อีกเล่า?


ตกดึกถาวจวินหลันก็นำเรื่องที่องค์หญิงแปดพูดมาบอกกับหลี่เย่อย่างเป็นกังวล พลางพูดอีกว่า “ท่านว่า จะมีผลกระทบอะไรหรือไม่เพคะ?”


หลี่เย่รู้เรื่องนี้นานแล้ว และเพราะเดาได้ว่าถาวจวินหลันจะเป็นกังวล ถึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เมื่อถาวจวินหลันเอ่ยถึง จึงรีบยิ้มและพูดว่า “จะมีผลกระทบอะไรกัน? ชื่อเสียงดีถือเป็นเรื่องเลวร้ายอะไรกัน? อีกทั้งเรื่องเหล่านั้นที่เจ้าทำก็ได้รับการตอบแทนเหล่านี้จะถือเป็นอะไรกัน?”


ถาวจวินหลันส่ายหน้า ยังคงมีท่าทีไม่อยากเชื่อ “พวกเราก็เพียงใช้เงินเล็กน้อยเท่านั้นเอง”


“เท่านั้นก็ไม่เลวแล้ว เจ้าจะต้องรู้ว่าบรรดาตระกูลใหญ่เก่าแก่เหล่านั้นมีพร้อมทุกสิ่ง ทำไมจะทำใจจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เล่า? แม้ว่าจะบริจาคอาหารด้วยเช่นกัน แต่ก็เพียงทำให้จบๆ ไปเท่านั้น ไหนคือความจริงใจเล่า?” หลี่เย่หัวเราะเยาะ มีแววดูถูกและเกลียดชัง คำพูดที่เขาพูดนี้เป็นความจริง แม้ว่าเขาจะจับธุรกิจการค้าทางทะเล แต่จะเทียบกับบรรดาตระกูลใหญ่ที่รุ่งเรืองมาหลายร้อยปีได้อย่างไร?


ดังนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ทำใจไม่ลง แต่เพียงแค่คิดมากเกินไป และไม่ยอมทุ่มเทใจเท่านั้น


“ข้าก็ทำเพื่อชื่อเสียงเท่านั้น” พอคิดถึงความซาบซึ้งในบุญคุณของคนเหล่านั้น และคิดถึงแรงกระตุ้นของตัวเอง ถาวจวินหลันก็ยิ่งใจฝ่อ รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง


หลี่เย่ยิ้ม น้ำเสียงแจ่มใสสงบนิ่ง “เพียงแค่ต่างคนต่างความต้องการเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด สิ่งที่เจ้าให้มากกว่าสิ่งที่เจ้าเอาไปเท่านั้นเอง” ผู้ประสบภัยเหล่านั้นถือว่าเป็นคนไร้ที่นาคาที่อยู่จริงๆ การจัดการเหล่านั้นที่ถาวจวินหลันทำ ไม่ใช่ว่าเป็นโอกาสให้พวกเขาได้พลิกชีวิตตัวเองกลับมาใหม่หรืออย่างไร? ซาบซึ้งในบุญคุณก็ถือเป็นเรื่องสมควร


หลี่เย่พูดด้วยเหตุผล เหมือนว่าเรื่องนี้เป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เป็นเรื่องที่ปกติ เพียงไม่นานถาวจวินหลันก็รู้สึกสงบใจ ถึงขั้นรู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปควรเป็นเช่นนั้น จิตใจจึงนิ่งสงบ อย่างน้อยความใจฝ่อก็ลดน้อยลงไปมาก


ถาวจวินหลันเล่าเรื่องเฝินหยางโหวที่ได้ฟังจากองค์หญิงแปดให้หลี่เย่รับรู้ แล้วก็อดส่ายหัวไม่ได้ “อะไรเรียกว่าหมาวัดเด็ดดอกฟ้า เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว”


หลี่เย่เลิกคิ้วยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดว่าเป็นฝีมือของตน เพียงแค่ยิ้มและถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?”


ถาวจวินหลัวตะลึงไป “อะไรอย่างไรเพคะ?”


“เรื่องนี้เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?” หลี่เย่ถามอีกครั้ง


ถาวจวินหลันถึงได้สติกลับมา “ข้าคิดว่า…ใช้ได้เลยเพคะ เฝินหยางโหวทำเช่นนี้ ถือว่าเป็นปฏิปักษ์กับจวนเหิงกั๋วกงและฮองเฮา อีกทั้งถึงเวลานั้น จวนเหิงกั๋วกงก็ทำได้แค่มอบคุณหนูคนนั้นให้องค์รัชทายาทอย่างเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้พี่น้องทั้งสองคนก็คงไม่ถูกกัน องค์รัชทายาทก็คงได้ตกที่นั่งลำบาก ฮองเฮาเองก็เช่นกัน”


ยิ่งพูดดวงตาของนางก็ยิ่งเป็นประกายแกร่งกล้า เรื่องนี้มีผลดีไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับจวนตวนชินอ๋องแล้ว อีกทั้งยังทำให้ฮองเฮาไม่พอใจมากด้วย


พอคิดถึงว่าฮองเฮาจะไม่พอใจ นางก็สดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะบอกว่าเป็นการซ้ำเติม แต่ไม่ถือว่ามากเกินไปก็พอแล้ว


หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันมีท่าทางเช่นนี้ ก็รู้ว่าตัวเองทำถูกต้องแล้ว แต่ก็ยังคงไม่พูดว่าเป็นฝีมือของตนเองอยู่ดี


“ท่านว่า ฮองเฮากล้าสัมผัสโรคระบาดนี้ได้อย่างไร แล้วยังกล้าเอาสิ่งนี้มาทำร้ายคนอื่น” ถาวจวินหลันไม่ค่อยเข่าใจเรื่องนี้ “หรือนางจะไม่กลัวฮ่องเต้บันดาลโทสะ?”


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของหลี่เย่ก็หายไปหลายส่วน ดูเย็นชาไปเล็กน้อย “นางจะต้องกลัวอะไร? ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่จวนเหิงกั๋วกงเจริญรุ่งโรจน์ ส่วนลูกชายของนางก็กลายเป็นองค์รัชทายาท ยังจะมีใครกล้าพูดว่านางเป็นคนทำ? ไม่มีหลักฐานก็ถือว่าใส่ร้ายเท่านั้น ทำไมนางจะต้องลงมือผ่านทางฉ่ายยวน? จุดประสงค์ก็เพื่ออธิบายว่าตนเองไม่รู้เรื่องนี้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง อย่างไรอาการป่วยเช่นนี้ใครจะกล้าเข้าใกล้?


ถาวจวินหลันอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ นางถือว่าได้สัมผัสถึงความเ**้ยมโหดของฮองเฮาแล้ว นั่นไม่เพียงแค่โหดเ**้ยมต่อคนอื่น แล้วยังโหดเ**้ยมต่อตัวเองมากกว่า เพราะอย่างไรถ้าเรื่องนี้จัดการได้ไม่ดี แล้วติดต่อโรคขึ้นมา นั่นก็เป็นไปได้ที่จะเป็นตัวฮองเฮามิใช่หรือ?


“นางไม่กลัวว่าโรคระบาดจะเกิดขึ้นจริงหรืออย่างไร ถึงเวลานั้นในเมืองหลวงคงรักษาความสงบเช่นนี้ไว้ไม่ได้อีกไม่ใช่หรือ?” เพียงแค่คิดถึงภาพนั้น ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าปลายเท้าเย็นเฉียบ


หลี่เย่เลิกคิ้ว “กลัวอะไร? หากมีวันนั้นจริง คนที่ตายไปเยอะที่สุดก็คือศัตรูของนาง นางดีใจแทบไม่ทันเสียด้วยซ้ำไป”


คำพูดนี้มีแฝงความโกรธเคืองแบบเด็กๆ เอาไว้ ถาวจวินหลันเอียงคอมองหลี่เย่ แล้วอดหัวเราะไม่ได้ “ช่างเถิด ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว ยิ่งพูดตัวเองก็ยิ่งไม่สบายใจ”


นางพบว่า เรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮา หลี่เย่ที่สุขุมนุ่มลึกก็ยังฉุนเฉียว ดังนั้นนางคิดว่าหากพูดถึงฮองเฮาขึ้นมา เขาก็จะคิดถึงเรื่องไม่พอใจเหล่านั้น ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่พูดถึงเลย


หลี่เย่เองก็ยิ้ม เหมือนจะรู้สึกได้ว่าตนเองผิดปกติไป พูดว่า “ดี ไม่พูดแล้ว จะไปพูดถึงนางทำไมกัน? พูดไปก็อารมณ์เสีย”


ทั้งสองคนพูดเรื่องจิปาถะภายในจวนอยู่ครู่หนึ่ง บรรยากาศก็ค่อยๆ กลับมาเป็นเช่นเดิม


ตอนที่กำลังพูดคุ ยกัน ฉับพลันนั้นก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ชายาเอกป่วยเพคะ เมื่อครู่นี้สลบไปแล้วเพคะ!”


ถาวจวินหลันตกใจ มองไปทางหลี่เย่ตามสันชาตญาณ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงถามเขาว่า “เกรงว่าข้าจะต้องไปดูเสียหน่อย ท่านจะไปพร้อมกันหรือไม่เพคะ?”


คำตอบของหลี่เย่นั้นเหมือนที่ถาวจวินหลันคาดเดาเอาไว้ จึงส่ายหน้าทันที


ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าชาตินี้หลี่เย่คงจะไม่ยอมพบหน้าหลิวซื่ออีก จึงไม่พูดโน้มน้าวอะไรอีก พูดตามจริงแล้วนางเองก็ไม่อยากให้หลี่เย่ไปหาหลิวซื่อ ไม่ใช่เพราะหึงหวง แต่เป็นเพราะสถานการณ์ของหลิวซื่อไม่ค่อยดีเท่าไร บรรยากาศภายในห้องคนที่ป่วยมานานมักจะถูกย้อมด้วยกลิ่นอายชวนให้รู้สึกไม่ดี หลี่เย่แม้ว่าดูแล้วไม่น่ากังวลอะไร แต่ร่างกายก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก ตอนที่โดนยาพิษครั้งนั้นและอีกหลายครั้งที่ได้รับบาดเจ็บ มีครั้งไหนบ้างที่จะไม่ส่งผลถึงสุขภาพ? ดังนั้นนางจึงกลัวว่าเขาจะได้รับเชื้อโรค อีกทั้งพอไปดูแล้วก็จะทำให้หลี่เย่คิดถึงเรื่องไม่น่าอภิรมย์ขึ้นมา


ถ้าเช่นนั้นยังมีความจำเป็นอะไร? ไม่สู้ว่าไม่ไปเลยจะดีกว่า


ด้วยหลิวซื่อป่วย ดังนั้นนอกจากถาวจวินหลันจะต้องไปแล้ว เจียงอวี้เหลียนก็ต้องไปดูด้วยเช่นกัน เพราะอย่างไรก็มีฐานะตำแหน่ง จึงต้องให้เกียรติและเคารพอยู่บ้าง


ถาวจวินหลันบังเอิญพบเจียงอวี้เหลียนที่ด้านนอกเรือนของหลิวซื่อ นางไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร แต่เมื่อมองท่าทีไม่ชอบใจและสีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจของเจียงอวี้เหลียน กลับอดส่ายหัวไม่ได้


ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา จะใช้เซิ่นเอ๋อร์เป็นข้ออ้างก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อมาแล้ว ทำไมจะต้องแสดงท่าทีเช่นนี้อีก? ไม่ได้ก่อเรื่องแล้วยังให้คนมานั่งหาเรื่องได้อีก


แน่นอนว่ากล่าวโทษไม่ได้ อย่างที่สองเกรงว่าพูดไปแล้วคนอื่นจะมองว่าตนเองจงใจหาเรื่อง


แม้จะบอกว่าไม่ได้ไปหาสู่กับเจียงอวี้เหลียนมากนัก แต่นางก็พอจะรู้นิสัยของเจียงอวี้เหลียน


จากนิสัยของเจียงอวี้เหลียนแล้ว สามารถทำความหวังดีให้กลายเป็นมุ่งร้ายได้เป็นแน่


เจียงอวี้เหลียนไม่สนใจนาง เพียงทำเป็นมองไม่เห็น แล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน


ถาวจวินหลันยิ้มพลางส่ายหัว ตัดสินใจเว้นระยะห่างช่วงหนึ่ง คิดว่าเข้าไปหน้าคนหลังคนจะได้ลดความไม่พอใจซึ่งกันและกัน


ถาวจวินหลันฉวยโอกาสในตอนนี้ เอียงหน้าถามบ่าวรับใช้ “ได้ไปตามหมอหลวงมาแล้วหรือยัง?”


บ่าวรับใช้ส่ายหน้าอย่างขลาดกลัว “ไม่มีป้ายแล้วจะออกนอกจวนได้อย่างไรเจ้าคะ?”


ถาวจวินหลันถึงนึกได้ว่าภายในจวนมีกฎเช่นนี้จริง จึงรีบสั่งหงหลัว “เจ้ารีบไปตามหมอหลวงมา อย่างเร็วที่สุด”


หงหลัวรีบไป เหลือเพียงแค่ปี้เจียวที่เข้าไปในเรือนพร้อมถาวจวินหลัน


ภายในเรือนมีสภาพหน้าตาทรุดโทรมเหมือนที่เคยเป็นมา แม้ว่าจะอยู่ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง เป็นฤดูกาลที่ผลหมารากไม้ออกผลดีที่สุด อีกทั้งภายในเรือนก็ทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย แต่ก็ยังคงมีกลิ่นทรุดโทรมสะท้อนออกมาเหมือนกับเจ้าของของมัน แม้ว่าภายนอกจะดูงดงาม แต่ภายในกลับเริ่มเน่าเละอ่อนแอแล้ว


ถาวจวินหลันถอนหายใจ หลุบตาลงไม่มองต่อ ก่อนรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้อง ไม่รู้ว่าทำไม ภาพสถานการณ์ในวันนี้ทำให้นางรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ


พอเข้าไปภายในห้องแล้ว ถาวจวินหลันก็ต้องอุดจมูกอย่างอดไม่ได้ จะพูดอย่างไรดี ภายในห้องมีกลิ่นแปลกๆ ไม่ถือว่าเหม็นหรือฉุน แต่ก็ให้คนรู้สึกไม่สบาย


ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว กำชับบ่าวรับใช้ “ห้องอับขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เปิดหน้าต่างระบายอากาศ?” ถ้าไม่ใช่เพราะไม่เปิดระบายอากาศเป็นเวลานาน แล้วจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?


บ่าวรับใช้รีบไปเปิดหน้าต่างพลางรีบอธิบายว่า “ชายาเอกไม่ยอมให้เปิดหน้าต่างเจ้าค่ะ บอกว่าลมพัดจนปวดหัว ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์เจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันจะไปโทษบ่าวว่าไม่ละเอียดอีกก็ไม่ได้ แต่แค่สงสัยว่า ทำไมอารมณ์ของหลิวซื่อถึงแปลกเช่นนี้ แค่เปิดหน้าต่าง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมานั่งตากลมที่หน้าต่างไม่ใช่หรืออย่างไร? ใช้ฉากกั้นบังเอาไว้ย่อมไม่โดนลม แต่ก็ยังระบายอากาศได้


ถาวจวินหลันรวบรวมความกล้าเพื่อย่างกรายเข้าไปในห้อง ด้านนอกยังเป็นถึงขนาดนี้ แล้วภายในห้องจะมีกลิ่นดีได้ที่ไหนกัน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม