บัลลังก์พญาหงส์ 435-441

บทที่ 435 ตบรางวัล

 

หลังจากถาวจวินหลันสั่งสิ่งที่ตนเองคิดได้ทั้งหมดไปแล้ว นางถึงพูดอีกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ภายในจวนก็จะต้องระมัดระวังให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสัมผัสเนื้อต้องตัวกับคนนอก ทุกที่จะต้องใช้โกฐจุฬาลัมพารมควันเอาไว้หน้าห้อง หลังห้องก็จะต้องใช้ปูนขาวสาดเอาไว้ ส่วนบนร่างกายก็ติดถุงหอมหลบพิษ”


ถุงหอมหลบพิษแม้จะบอกว่ามีผลแค่การกำจัดกลิ่นเหม็นเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย


หยุดไปครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจและพูดอีกว่า “หากมีวัตถุดิบเหลือก็ให้เอามาทำถุงหอมหลบพิษ แล้วแจกให้กับเด็กๆ ที่อายุน้อยกว่าสิบปีบริเวณนอกเมืองเหล่านั้น ผู้ใหญ่ไม่ต้องสนใจ”


แม้ว่าจะเป็นจวนตวนชินอ๋อง แต่ความสามารถก็ยังมีขีดจำกัด อีกอย่างตอนนี้ต่อให้มีความสามารถจริง นางเองก็คงไม่พุ่งออกไปเอาหน้า องค์รัชทายาทยังไม่ได้ทำอะไร ก็เพราะว่าอำนาจฝั่งจวนเหิงกั๋วกงถูกสงสัยเช่นนั้น หากหลี่เย่แสดงออกมาเกินไปแล้วจะเป็นเช่นไร?


อย่างไรนางก็ไม่กล้าไปเสี่ยงอันตราย อีกอย่างตอนนี้แม้ว่าจะมีเงิน ของก็ไม่ได้หาซื้อง่ายถึงเพียงนั้น ดังนั้นไม่สู้ทำสิ่งที่ตนเองทำได้ดีกว่า ทำไมจะต้องไขว่คว้าสิ่งที่เกินตัว?


หลังจากกำชับเหล่านี้หมดแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าตนเองทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงหลับตาคิดจะพักผ่อนรวบรวมสมาธิ แต่กลับไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไร พอตื่นขึ้นมาท้องฟ้าด้านนอกก็มืดหมดแล้ว


“ชั่วยามใดแล้ว” เมื่อเอ่ยปากพูด ถาวจวินหลันถึงรู้สึกว่าตัวเองคอแห้งผากมาก เสียงก็แหบแห้งเช่นเดียวกัน


บ่าววรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกชื่อเป่าอวิ๋น เมื่อได้ยินก็รีบขึ้นไปรินน้ำให้ถาวจวินหลัน ปรนนิบัติส่งจอกน้ำให้ถาวจวินหลันดื่มให้ชุ่มคอก่อน นางถึงได้ตอบว่า “ตอนนี้ยามซวีสามเค่อแล้วเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันได้ยินก็ขมวดคิ้วทันที “ดึกขนาดนี้แล้วหรือ?”


“ชายารองหิวแล้วหรือยังเจ้าคะ? ห้องครัวยังมีข้าวต้มและอาหารอุ่นอยู่ บ่าวไปยกมาให้ชายารองดีหรือไม่เจ้าคะ?” เป่าอวิ๋นเป็นคนคล่องแคล่วรู้งาน ล้วนถามแต่เรื่องสำคัญ มาถึงตอนนี้ถาวจวินหลันก็เริ่มหิวบ้างแล้ว จึงพยักหน้าพูดว่า “เอาโต๊ะตัวเล็กตั้งไว้บนเตียงเถิด”


เป่าอวิ๋นรีบไปจัดการทันที


ถาวจวินหลันลุกขึ้นมานั่งด้วยตนเอง ก่อนค่อยๆ สวมเสื้อคลุม ในใจคิดว่า “ชั่วยามนี้หลี่เย่ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ และยิ่งไม่รู้ว่าวันนี้จะกลับมาอีกหรือไม่”


ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้นหงหลัวก็เข้ามา เห็นว่าถาวจวินหลันกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ก็ยิ้มและพูดทำลายความเงียบในห้อง “ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องกลับมาแล้วรอบหนึ่งเจ้าค่ะ เห็นว่าชายารองหลับอยู่จึงไม่ให้พวกเรามากวน บอกว่าวันพรุ่งนี้จะกลับมาอีกรอบเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันพยักหน้า นางแอบไม่พอใจเล็กน้อย “ไม่เห็นจะเรียกข้า?”


หงหลัวแอบหัวเราะ “ท่านอ๋องไม่อนุญาตเจ้าค่ะ ข้าจะกล้าเรียกได้อย่างไรเจ้าคะ? อีกอย่าง เห็นว่าท่านเหนื่อยแล้ว ท่านอ๋องก็ให้คนไปเชิญหมอหลวงมา ถ้าบ่าวไม่ได้บอกว่าแค่เหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าจะต้องวุ่นวายมากเพียงใดนะเจ้าคะ”


ถาวจวินหลันยิ้มพลางส่ายหัว “ตอนนี้เกรงว่าหมอหลวงคงยุ่งมากแล้ว เรื่องเพียงแค่นี้ไม่ควรเรียกหมอหลวงมา คนอื่นอาจคิดได้ว่าพวกเราไร้เหตุผล”


เพียงไม่นาน เป่าอวิ๋นก็ยกอาหารออกมา ข้าวต้มนั้นเป็นข้าวต้มเนื้อที่ถูกเคี่ยวจนนุ่มและส่งกลิ่นหอม กับข้าวเป็นกับแกล้ม ส่วนใหญ่แล้วเป็นอาหารอ่อน มีอาหารจำพวกเนื้อเพียงอย่างเดียว เป็นเนื้อกระต่ายผัด ไม่เลี่ยนและกลิ่นหอมมาก


ตอนนี้เพราะว่าภัยพิบัติทำให้ผลผลิตทางเกษตรกรรมไม่ค่อยดี ถาวจวินหลันเองจึงสั่งให้แม่ครัวในเรือนเฉินเซียงทำอาหารเรียบง่ายเท่านั้น อาหารทุกมื้อมีเพียงอาหารสามอย่างและน้ำแกงหนึ่งอย่างเท่านั้น กับข้าวเองก็ไม่ต้องทำของหายาก ให้ทำเพียงอาหารตามฤดูกาลเท่านั้นพอ


ด้วยนางเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเรือนอื่นๆ ก็ต้องประหยัดตาม ถือว่าเป็นการเอาใจหลี่เย่ แต่ก็มีที่แอบไปด่าว่านางแสร้งขี้งกทำท่าทีเท่านั้น แต่ถาวจวินหลันก็ไม่ได้สนใจ


ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อคิดถึงผู้ลี้ภัยที่พลัดที่นาคาที่อยู่หลบหนีมาพึ่งพาคนอื่นนอกเมืองเพื่อให้รอดไปแต่ละวัน แล้วนางยังกินอาหารที่วิจิตรงดงามได้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีมากเพียงใดแล้ว อีกทั้งมากเกินไปก็กินไม่หมด โดยเฉพาะตอนที่หลี่เย่ไม่อยู่ อาหารสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างก็ยังเหลือกว่าครึ่ง แล้วเหตุใดยังจะต้องฟุ่มเฟือยขนาดนั้นด้วย?


ประหยัดเสียหน่อยก็ถือว่าสั่งสมความสุขให้กับตนเอง


เมื่อได้ทานอาหารแล้ว ถาวจวินหลันก็ถามหงหลัวเรื่องที่นางสั่งให้ไปแจ้งคนอื่น และถามว่าหลี่เย่กลับมาได้พูดอะไรบ้างหรือไม่


หงหลัวยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อท่านสั่งไว้แล้ว ถ้าพวกเขาทำไม่ดี ก็ไร้ประโยชน์แล้วเจ้าค่ะ ส่วนท่านอ๋องก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ให้บ่าวพูดกับท่านว่าอย่าให้ท่านเหนื่อยนักเลย ท่านยังมีเขาอยู่”


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอบอุ่นใจ และหัวเราะพลางส่ายหัว หลี่เย่มักจะพูดเช่นนี้เสนอ นี่ไม่ใช่เพราะนางไม่เชื่อความสามารถของเขา แต่เป็นเพราะว่าเขาจะมีความสามารถเพียงใดก็ยังตัวคนเดียวอยู่ดี ขนาดนางทำคนเดียวเพียงเล็กน้อย ร่างกายก็ยังรับไม่ไหว แล้วหลี่เย่เล่า? เมื่อเทียบกับนางแล้ว สิ่งเหล่านั้นที่หลี่เย่ทำจะนับว่าลงกำลังเพียงเล็กน้อยได้อย่างไรกัน?


เขาเป็นห่วงนางถึงเพียงนี้ หรือว่านางไม่ควรเป็นห่วงเขาบ้าง? อีกทั้งสิ่งที่นางทำแทนเขาได้ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น


ถาวจวินหลันเลิกคิดเรื่องหลี่เย่ แล้วนึกถึงสถานการณ์ของเรือนชิวอี๋ “ทางด้านนั้นมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่? ได้วางแผนอะไรเอาหรือไม่?”


หงหลัวส่ายหน้า ยกถ้วยชาส่งให้ถาวจวินหลันพลางตอบว่า “ดูแล้วไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเจ้าค่ะ ตอนนั้นหลังจากท่านอ๋องกลับมาและจากไป ชายารองเจียงก็มาอีกครั้งหนึ่ง แต่หลังจากที่รู้ว่าท่านอ๋องกลับไปแล้วก็ไม่ได้อยู่นานและไม่ได้พูดอะไรด้วยเจ้าค่ะ บ่าวดูจากท่าทีเช่นนั้นคิดว่าคงตั้งใจมาถามท่านอ๋องเป็นแน่”


ถาวจวินหลันพยักหน้า นางรู้ดีว่าเจียงอวี้เหลียนตื่นตระหนก นางจึงอดแย้มยิ้มไม่ได้ ตอนนี้ตื่นตระหนกไปจะมีประโยชน์อะไร? ที่จริงพูดตรงๆ ก็เหลือตัวเลือกเพียงแค่สองข้อเท่านั้นคือไปหรือไม่ไป มีอะไรต้องลังเลตัดสินใจไม่ได้อีก? พูดไปแล้ว สุดท้ายก็ยังเป็นเจียงอวี้เหลียนที่คิดมากไปเอง ถ้าไม่ใช่แล้วตอนนี้ยังจะลังเลตัดสินใจไม่ได้อีกหรืออย่างไร?


แต่นางก็ไม่คิดจะยุ่ง ยังคงคิดว่า ยิ่งนางทำมากพูดมากเท่าไร เกรงว่าเจียงอวี้เหลียนคงจะคิดมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นทำไมจะต้องทำเช่นนั้นด้วย? นางจึงไม่เข้าไปยุ่งแล้ว


“ทางด้านตระกูลกู้หากส่งคนมารับคุณหนูกู้ ก็ให้ส่งกลับไปอย่างเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องรั้งตัวเอาไว้ บอกว่าต่อจากนี้ค่อยไปรับนางมาพักผ่อนอีกก็พอแล้ว” ถาวจวินหลันคิดว่าถ้าเรื่องโรคระบาดนี้กระจายออกไป ตระกูลกู้คงไม่วางใจให้กู้ซีอยู่ที่นี่ จะต้องส่งคนมารับกลับไปแน่นอน


หงหลัวรับปาก


ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วถาวจวินหลันก็หลับไปอีกรอบ พอถาวจวินหลันหลับแล้วหงหลัวถึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนเป่าเทียนที่อยู่ในห้องแล้วค่อยๆ ถอยออกจากห้องไป ทั้งยังสั่งกำชับเป่าอวิ๋นอย่างละเอียด แล้วกลับไปนอนที่ห้องของตนเอง


ในตอนนี้ห้องหนังสือของฮ่องเต้กลับสว่างจ้าไปด้วยแสงเทียน ไม่เพียงแค่หลี่เย่ แล้วยังมีเฉินฟู่ ถาวจิ้งผิงและขุนนางอายุน้อยคนอื่นที่ฮ่องเต้เชื่อใจอยู่ด้วยเหมือนกัน


คิ้วของฮ่องเต้ขมวดคิ้วเข้าหากันอยู่ตลอด ในมือก็ถือจอกชาแต่กลับไม่ได้ดื่มเลยแม้แต่คำเดียว


หลี่เย่และคนอื่นก็เช่นเดียวกัน


ภายในห้องนั้นเงียบสงบ บรรยากาศกดดัน มีหลายครั้งที่มีคนคิดจะเอ่ยปาก แต่เมื่อคำพูดมาถึงปากแล้วก็ต้องกลืนกลับเข้าไปใหม่


สุดท้ายแล้วก็เป็นขันทีเป่าฉวนที่ค่อยๆ เอ่ยปากอย่างระมัดระวัง พูดว่า “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ เวลาไม่เช้าแล้ว อยากที่จะเสวยของว่างหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” อาหารเย็นไม่ค่อยได้กิน หากไม่กินของว่างมื้อดึก แล้วจะทนไหวได้อย่างไร? ต่อให้ฮ่องเต้ไม่อยากอาหาร ก็คงไม่ดีที่จะให้คนอื่นมาหิ้วท้องตามไปด้วย


ฮ่องเต้สะบัดมือ กำลังจะพูดว่าไม่อยากอาหาร หลี่เย่กลับเอ่ยกล่อมว่า “เสด็จพ่อตอนมื้อเย็นไม่ค่อยได้เสวยอะไรนัก อย่างน้อยตอนนี้ก็ควรทานของว่างเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ไม่ว่าอย่างไรแล้วสุขภาพก็สำคัญยิ่งนัก”


ฮ่องเต้ถึงได้พูดอย่างฝืดเคืองว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เอาของว่างมา”


พูดตามจริงแล้วคนอื่นก็หิวด้วยกันทั้งนั้น ต่อให้เป็นหลี่เย่ก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน ดังนั้นเมื่อของว่างมาถึง ก็หายไปกว่าครึ่งอย่างรวดเร็ว นี่เป็นเหตุผลที่ขันทีเป่าฉวนกำชับสั่งให้ห้องเครื่องทำปริมาณมากหน่อย ถ้าหากเป็นปริมาณตามปกติ เกรงว่าคงเห็นก้นจานไปนานแล้ว


หลังจากรับประทานของว่างเสร็จ บรรยากาศภายในห้องก็ไม่อึดอัดกดดันอีกต่อไป


ฮ่องเต้กวาดตามองฎีกาบนโต๊ะ ก่อนถอนหายใจพลางพูดว่า “โทษนี้ได้สั่งลงไปแล้ว เจ้าคิดว่าตอนนี้ควรที่จะลงมือได้แล้วหรือยัง?”


วันนี้ที่จริงแล้วที่มีคนมากมายรวมตัวปรึกษากันอยู่ที่ห้องหนังสือ สอบหาต้นสายปลายเหตุไปแล้วก็เพื่อเรื่องนี้ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติที่จะต้องปรึกษากันอีก


แต่ดูจากขุนนางอายุน้อยที่รั้งตัวอยู่แล้ว ก็รู้ว่าในใจของฮ่องเต้ไม่เชื่อใจขุนนางแก่เหล่านั้นนานแล้ว แต่ให้ความสำคัญกับขุนนางอายุน้อยเหล่านี้มากกว่า


คิดแล้วก็ถูก ขุนนางอายุน้อยเหล่านี้ไม่ได้มีพื้นหลังลึกนัก แทบจะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และราชสำนัก น้อยนักที่จะถูกดึงลากมาเป็นพวก ถูกแล้วที่ฮ่องเต้จะเชื่อใจมากกว่าคนอื่นหน่อย


หลี่เย่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับฮ่องเต้มาก่อน แม้ว่าในใจของเขาจะพิจารณาปัญหานี้มานานแล้ว ในความเป็นจริงที่เขาคิดถึงตอนนี้คือถาวจวินหลัน วันนี้ตอนบ่ายที่กลับไปเห็นท่าทีเช่นนั้นของถาวจวินหลัน ก็ทำให้เขาอดกังวลไม่ได้


ในใจของเขารู้ดี เกิดเรื่องนี้ขึ้นกะทันหัน ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจรักษาตัวได้อย่างสงบอีกต่อไป เรื่องเหล่านี้ นอกจากถาวจวินหลันแล้ว ผู้หญิงภายในจวนคนไหนจะทำได้ดี และคิดได้อย่างละเอียดรอบคอบบ้าง?


นอกจากความสงสารเต็มหัวใจแล้ว ที่เหลือก็คือความไม่พอใจ ถ้าไม่ใช่เขา ถาวจวินหลันก็คงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเรื่องเหล่านี้


ตอนที่กำลังเหม่อลอย กลับถูกฮ่องเต้เรียกชื่อกะทันหัน “ตวนชินอ๋องเจ้าคิดอย่างไร?”


หลี่เย่ได้สติกลับมาทันที ก่อนเงยหน้าไปสบตากับฮ่องเต้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า “ลูกคิดว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”


ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็เลิกคิ้วขึ้นมา “อย่างนั้นหรือ? ทำไมเล่า?”


หลี่เย่พูดความคิดของตนเองออกมา “ลูกคิดว่า ที่จริงแล้วเสด็จพ่อไม่จำเป็นต้องพิพากษาลงโทษเร็วขนาดนี้พ่ะย่ะค่ะ หากพิพากษาลงโทษก็ไม่สู้รอจนควบคุมโรคระบาดได้แล้วค่อยว่ากัน มิเช่นนั้น…”


ข้อความต่อไปนี้เขาไม่ได้พูดให้จบ แต่คิดว่าทุกคนต้องเข้าใจความหมายนี้


ถ้าพิพากษาลงโทษไป แล้วโรคระบาดกลับปะทุครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นมา ถึงเวลานั้นเกรงว่าคำโอดครวญของประชาชนจะยิ่งเยอะมากขึ้น ข่าวลือก็จะยิ่งรุนแรง ทำให้สถานการณ์ยิ่งยากจะควบคุม


ฮ่องเต้พยักหน้าถี่ ก่อนมองหลี่เย่อย่างชื่นชม ยิ้มและพูดว่า “เจ้าคิดรอบคอบมาก ข้าจะต้องประทานรางวัลให้ดี”


หลี่เย่รีบพูดปฏิเสธ “นี่ถือเป็นหน้าที่ของลูกพ่ะย่ะค่ะ ที่จริงแล้วผลงานนี้เป็นของถาวซื่อ ลูกคิดว่าจะขอรางวัลแทนถาวซื่ออยู่เลย ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อจะอนุญาตคำขอของลูกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


ฮ่องเต้คาดไว้แล้วว่าหลี่เย่ต้องปฏิเสธ แต่ขอรางวัลแทนถาวจวินหลันกลับนอกเหนือความคาดหมายของฮ่องเต้ แม้ว่าเรื่องแคว้นจะน่ารำคาญใจ แต่ฮ่องเต้ก็ยังอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “อย่างนั้นหรือ? เจ้าต้องการรางวัลอะไร?” ได้ยินว่าเจ้ารองโปรดปรานรักใคร่ถาวซื่อคนนี้มาก หรือว่าคิดอยากจะแต่งตั้งถาวซื่อเป็นชายาเอกหลังจากปลดหลิวซื่อ


ดูจากเรื่องเหล่านั้นที่ถาวซื่อทำ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้…


ยามซวี คือเวลา 19.00 น. – 21.00 น. เป็นเวลาเริ่มต้นกลางคืน


เค่อ คือหน่วยวัดเวลาของจีน หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที 

 

 


บทที่ 436 สั่นคลอน

 

​ไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ ต่อให้เป็นเฉินฟู่และถาวจิ้งผิงต่างก็มองหลี่เย่เป็นตาเดียวกัน


หลี่เย่ยิ้มอย่างเรียบนิ่ง พูดว่า “ไม่ทราบว่ายาปี้เซียวตานที่กรมหมอหลวงคิดค้นเมื่อปีที่แล้วยังมีเหลืออยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ถาวซื่อป่วยมาหลายวันแล้ว ไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”


ยาปี้เซียวตานเป็นยาลับที่คิดค้นขึ้นมา สำคัญที่การสงบจิตสงบใจ ปรับปรุงบำรุงสารอาหาร ใช้เป็นเวลานานจะเห็นผลดีอย่างมาก แต่เพราะใช้วัตถุดิบล้ำค่ามาก ดังนั้นจึงหาได้ยาก แม้จะบอกว่าด้านนอกก็มียาเม็ดบำรุงใจเจ็ดรสที่ผลลัพธ์พอๆ กัน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ดีกว่ายาปี้เซียวตาน


แต่ยาเม็ดบำรุงใจเจ็ดรสทำเองได้ที่บ้าน แต่ยาปี้เซียวตสนกลับมีให้แค่คนสำคัญในวังหลวงเท่านั้น


แม้แต่นางสนมยศต่ำในวังหลวงก็อย่าหวังว่าจะได้ใช้เป็นระยะเวลายาว


พอหลี่เย่พูดเช่นนี้ ก็ไม่ใช่คำขอธรรมดาจริงๆ แต่ขอแค่ยาปี้เซียวตานเล็กน้อยกลับนอกเหนือความคาดหมายของฮ่องเต้ไปไกล เขามองหลี่เย่อย่างประหลาดใจ ผ่านไปครู่หนึ่งฮ่องเต้ถึงหัวเราะและกล่าวอนุญาตเรื่องนี้ “เมื่อเป็นเช่นนี้ เป่าฉวน เจ้าบอกให้คนของกรมหมอหลวงนำไปส่งจวนตวนชินอ๋องด้วยตนเอง ต่อจากนี้ไปถาวซื่อก็ทานได้ตลอด กรมหมอหลวงทำเพิ่มขึ้นอีกชุดหนึ่งก็พอแล้ว”


หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกดีใจทันที หันไปยิ้มขอบพระทัยฮ่องเต้


ฮ่องเต้พยักหน้า ยิ้มมองหลี่เย่ทีหนึ่งถาวจิ้งผิงทีหนึ่ง “ตระกูลถาวไม่เพียงแค่บุรุษโดดเด่น แม้แต่สตรีก็ดีไม่แพ้บุรุษ! เรื่องที่ถาวซื่อทำ ข้าเองก็พอได้ยินมาบ้าง น่าดีใจจริงๆ ตนเป็นภรรยามีจิตใจเช่นนี้ได้ช่างน่าชื่นชมเสียจริง ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดนาง คิดว่าผู้ลี้ภัยจำนวนมากก็ยังคงไม่มีที่พักพิง”


ถาวจิ้งผิงยิ้มพลางเอ่ยขอบพระทัย “กระหม่อมขอบพระทัยฮ่องเต้ที่ชื่นชมท่านพี่พ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่ก็แค่ใจดีมากเกินไปหน่อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ถึงได้คิดมากไปเสียหน่อย ยังดีที่ตวนชินอ๋องปล่อยให้ท่านพี่ได้ทำวิธีพวกนี้ พูดไปแล้วก็ยังถือว่าเป็นผลงานของตวนชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”


หลี่เย่รีบพูดอย่างถ่อมตัว “ในอดีตเสด็จพ่อเคยสอนลูกว่าต้องมีจิตใจเมตตา ลูกไม่กล้าลืมพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้ถูกพูดเยินยอเช่นนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาเป็นอย่างมาก จึงโยนเรื่องแคว้นที่น่ารำคาญใจเหล่านั้นทิ้งไปชั่วคราว


วันรุ่งขึ้นกรมหมอหลวงก็นำยาปี้เซียวตานมาส่งให้ ถาวจวินหลันถึงรู้ว่าหลี่เย่ได้ทำเรื่องแทนตัวเองอีกหหนึ่งเรื่อง นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี รู้สึกเพียงความอบอุ่นเต็มเปี่ยม


แต่เพียงไม่นานก็รู้สึกหวาดกลัว หลี่เย่ใส่ใจนางเช่นนี้ ถ้าคนอื่นเห็นไม่รู้ว่าจะคิดเช่นไร อีกทั้งรอเรื่องนี้กระจายออกไป เกรงว่าจวนตวนชินอ๋องคงจะต้องโดดเด่นอีกแล้ว


แล้วยังมีทางด้านไทเฮา เกรงว่าคงจะรู้สึกไม่พอใจเช่นเดียวกัน อย่างไรเรื่องที่หลี่เย่โปรดปรานนางก็ถือเป็นปมหนึ่งในใจของไทเฮาแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ไม่รู้ว่าไทเฮาจะไม่พอใจมากเพียงใด


ที่จริงแล้วต่อให้มีโอกาสเช่นนี้ หลี่เย่เองก็ควรขอสิ่งที่มีประโยชน์อย่างอื่น ไม่ว่าอะไรก็คงดีกว่ายากล่องหนึ่งเป็นแน่ ต่อให้ยานี้จะมีผลดีเช่นไร แต่ก็เป็นเพียงแค่ยากล่องหนึ่งเท่านั้น กินเข้าไปแล้วก็มีผลมากสุดแค่ให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ไม่อาจทำให้อายุยืนเป็นอมตะมิใช่หรืออย่างไร?


อีกอย่างแม้จะบอกว่ายาสูตรพิเศษนี้มีผลดีกว่ายาอื่น แต่ยาดีๆ ที่ทำขายกันด้านนอกก็ไม่เห็นว่าจะแย่กว่ากันนัก แล้วทำไมจะต้องมาสิ้นเปลืองเรื่องนี้ด้วย?


แต่หลังจากที่รู้สึกกล่าวโทษและเสียดายไปแล้ว สิ่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในก้นบึ้งหัวใจแท้จริงแล้วก็คือความอ่อนหวาน ยายังไม่ทันได้กิน แต่นางกลับรู้สึกว่าตนเองดีขึ้นมาไม่น้อย


ถาวจวินหลันแม้จะพูดว่าไม่คุ้มค่า แต่สุดท้ายแล้วบรรดาบ่าวรับใช้กลับไม่คิดเช่นนั้น ตวนชินอ๋องโปรดปรานถาวจวินหลันเพียงนี้ แล้วยังละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ ช่างเป็นผู้ชายที่แสนดีจริงๆ หากดูจากคู่สามีภรรยาของครอบครัวธรรมดาก็ไม่ได้เจอคนที่คิดถึงและใส่ใจผู้หญิงเพียงแค่คนเดียวเช่นนี้บ่อยนัก ดังนั้นจึงชวนให้อิจฉาจริงไ


แน่นอนว่าบ่าวรับใช้ในเรือนเฉินเซียงก็ยิ่งมีเกียรติยศมากขึ้นไปอีก อย่างไรความพิเศษนี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับ


ดังนั้นเรื่องที่ถาวจวินหลันได้รับยาปี้เซียวตานก็กระจายไปทั่วเหมือนลมพัดผ่าน เวลาเพียงไม่นานคนทั้งหมดภายในจวนตวนชินอ๋องต่างก็รู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น


เรื่องนี้ไม่มีทางปิดบังได้ ตอนที่กรมหมอหลวงมาส่งยาก็มีคนจำนวนมากเห็น จะปิดบังก็ปิดไม่อยู่


ดังนั้นแม้ถาวจวินหลันจะรู้ว่าคนอื่นอาจอิจฉานางมาก แต่กลับไม่ขัดขวาง อีกทั้งครั้งนี้หยุดได้ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งหน้าจะหยุดได้ ตั้งแต่ฮ่องเต้ประทานตำแหน่งเท่ากับชายาเอกให้นางตอนนั้น นางเองก็คาดเดาเอาไว้แล้ว ขอแค่นางยังอยู่กับหลี่เย่ ก็คงจะต้องเด่นเกินหน้าเกินตาเช่นนี้ไปตลอด


ไปๆ มาๆ นางเองก็เริ่มเคยชิน


ยาปี้เซียวตานไม่เหมือนกับยาธรรมดา อย่างน้อยก็ไม่ใช่สีน้ำตาลหรือสีดำ แต่เป็นสีเขียวอ่อน มีกลิ่นหอมของสมุนไพรแฝงอยู่ ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสบายใจอย่างมาก


ของดีขนาดนี้ถาวจวินหลันกลับทำใจกินไม่ได้ จึงให้คนเอาไปเก็บไว้ก่อน


ทางด้านเรือนชิวอี๋ย่อมต้องได้ยินข่าวนี้ ตอนนั้นเจียงอวี้เหลียนกำลังกินของว่างอยู่ พอได้ยินเรื่องนี้ นางก็บีบขนมเม็ดบัวเป็นผงคานิ้วมือ


บ่าวรับใช้ภายในห้องพลันเงียบเป็นเป่าสาก บรรยากาศกดดันจนเซิ่นเอ๋อร์ร้องไห้เสียงดัง


เจียงอวี้เหลียนไม่พอใจ สุดท้ายก็หัวเราะหงุดหงิด “ช่างเถิดๆ ทำไมพวกเราจะต้องหาเรื่องวุ่นวายด้วย? ข้าจะทำเยอะมากเพียงใดก็ใช่ว่าเขาจะเห็น อีกทั้งยังไม่ต้องหวังว่าจะขอผลแระโยชน์ให้เช่นนี้ ไม่สู้หลบไปอยู่สงบดีกว่า! เก็บของ พวกเราเตรียมตัวไปพักผ่อนบ้านพัก!”


เจียงอวี้เหลียนโมโหมาก จึงสั่งให้คนไปเตรียมตัวเก็บของ และให้คนเฝ้าประตูไปเตรียมรถม้า


บรรดาบ่าวรับใช้แต่ละคนเงียบกริบไม่มีใครกล้าพูดกล่อม กลับเป็นถาวจือที่ได้ยินแล้วรีบมาทันที ดึงเจียงอวี้เหลียนเอาไว้พลางยิ้มและพูดว่า “เรื่องใหญ่เพียงใดกันเจ้าคะ เหตุใดชายารองเจียงถึงได้หุนหันพลันแล่นขึ้นมาเล่า?”


เจียงอวี้เหลียนทำเสียงฮึดฮัด “ออกไปหลบสักพักจะเป็นอะไร? ยามนี้ด้านนอกเกิดโรคระบาดขึ้นแล้ว จะอยู่รอความตายหรืออย่างไรกัน?” สุดท้ายแล้วก็มองไปทางถาวจือ พูดเสียงเย็น “ข้าบอกเจ้าสักคำ เจ้าเองก็ต้องคิดหาวิธีให้เร็วถึงจะดี จะไปหลบกับข้าหรือไม่เล่า? เรื่องแค่นี้ ข้ายังพอทำได้”


ถาวจือตะลึงไป คิดอย่างจริงจังถึงข้อเสนอที่เจียงอวี้เหลียนพูด สุดท้ายแล้วก็ส่ายหัว “ในเมื่อนอกเมืองเกิดโรคระบาดแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ? อีกทั้งผ่านนอกเมืองออกไปตอนนี้ก็อาจจะอันตรายมากกว่าในเมืองเสียอีกเจ้าค่ะ” อย่างไรหากยังอยู่ภายในจวน โรคระบาดก็ยังไม่ได้แพร่กระจายเข้ามาง่ายถึงเพียงนั้น แต่นอกเมือง จะมีใครรู้เล่า?


“อีกทั้งตอนนี้เพิ่งมีโรคระบาดปรากฏ ถ้าพวกเรารีบไปเช่นนี้ ถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะคิดกับพวกเราอย่างไร? เกรงว่าเขาคงยิ่งคิดว่าพวกเราทอดทิ้งเขา ถึงตอนนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ชายารองถาวเองก็ยังไม่ไปมิใช่หรือ?” ถาวจือวิเคราะห์ให้เจียงอวี้เหลียนฟังอย่างละเอียด


“แต่เซิ่นเอ๋อร์…” เจียงอวี้เหลียนมีท่าทีตัดสินใจไม่ได้


ถาวจือยิ้ม แล้วพูดด้วยความมั่นใจว่า “กลัวอะไรเจ้าคะ? เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านอ๋อง หรือว่าท่านอ๋องยังจะปล่อยให้เซิ่นเอ๋อร์เป็นอะไรไปได้? ต่อให้เป็นชายารองถาวเองก็ต้องคิดหาวิธีปกป้องไม่ใช่หรือเจ้าคะ? มิเช่นนั้นชื่อเสียงแม่บ้านแม่เรือนของนางคงจะหายไป อีกทั้งเพียงแค่ไม่สัมผัสกับคนนอก และอยู่ภายในเรือนตลอดเวลา แล้วจะไปติดโรคระบาดมาได้อย่างไรเจ้าคะ?”


ถาวจือพูดเป็นเหตุเป็นผล และแต่ละอย่างก็โน้มน้าวได้ดี เจียงอวี้เหลียนเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังมีท่าทีท้อแท้หมดกำลังใจ “เกรงว่าพวกเราทำเยอะเพียงใดก็คงไม่อยู่ในสายตาท่านอ๋อง”


ถาวจือยิ้ม “น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน ฝนเหล็กสักวันก็กลายเป็นเข็ม ต้องดูว่าพวกเรามีความมุ่งมั่นนี้หรือไม่เจ้าค่ะ อีกทั้งชายารองเจียงก็ยังมีเซิ่นเอ๋อร์ นี่ถือเป็นข้อดีอย่างมาก ต่อไปหากเซิ่นเอ๋อร์เรียบร้อยเชื่อฟัง ท่านอ๋องมีหรือจะไม่ชอบ? ซวนเอ๋อร์บ้าอำนาจแบบนั้น กลับชวนให้หนักใจ”


เจียงอวี้เหลียนถูกถาวจือกล่อมเช่นนี้ ก็เริ่มรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง บวกกับอารมณ์โมโหเริ่มสงบลง ยิ่งเป็นการสั่นคลอนการตัดสินใจก่อนหน้านี้


แน่นอนว่าความวุ่นวายในเรือนชิวอี๋นี้ไม่สามารถปิดบังได้ ถาวจวินหลันได้ยินเรื่องนี้โดยเร็ว  ถาวจวินหลันทำได้แค่ส่ายหน้าให้ความลังเลของเจียงอวี้เหลียน “นางชอบฟังคำพูดของคนอื่น ก็ให้นางฟังไปเถิด แต่ถาวจือคนนี้…”


ช่วงนี้วุ่นวายมากเกินไปหน่อย แล้วยังไปผูกสมัครพรรคพวกกับทางเรือนชิวอี๋ ประเมินจับทางความคิดของเจียงอวี้เหลียนได้อย่างง่ายดาย มองข้ามไม่ได้เลยจริงๆ


หงหลัวพูดอยู่ข้างๆ “ทำตัวไม่น่าให้อภัย คุณชายเซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกของชายารองเจียง ทำไมท่านจะต้องเหนื่อยแทนนางขนาดนี้ด้วยเจ้าคะ? ถ้าพูดไม่น่าฟัง ถาวจือก็เป็นเพียงอี๋เหนียงเท่านั้น นางคงไม่กล้าเอาความคิดพวกนี้มาพูดกับท่าน ถ้าหากถึงเวลานั้นจริง เพียงประโยคเดียวก็ไล่นางออกไปได้แล้วเจ้าค่ะ”


สุดท้ายแล้วหงหลัวก็เตือนอีกครั้ง “ที่จริงแล้วควรต้องระวังทางด้านพระชายามากกว่าเจ้าค่ะ ท่านจะไปบอกนางเรื่องโรคระบาดสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ? เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาไปพูดว่าท่านตั้งใจปิดบังนาง”


ถ้าหงหลัวไม่เอ่ยเตือน ถาวจวินหลันก็ลืมหลิวซื่อไปเลยจริงๆ อย่างไรตอนนี้หลิวซื่อก็แทบจะไม่มีตัวตนอยู่แล้ว อยู่ในจวนก็เหมือนไม่อยู่ เผลอลืมไปก็ไม่แปลก


ถาวจวินหลันพยักหน้า “เรื่องนี้เจ้าดูเอาเองเถิด ไม่ต้องมารายงานข้า” ที่จริงแล้วพูดสักหน่อยก็เป็นเหมือนเดิมไม่ใช่หรือ?


“เจ้าให้คนไปบอกหมอพวกนั้น หากสถานการณ์เร่งด่วน ก็ให้พวกเขาดูแลตนเองก่อนเถิด อีกทั้งหากมียาที่ป้องกันได้ก็ให้รีบเขียนเทียบยาออกมา ภายในจวนจะเป็นคนคิดหาวิธีเอาวัตถุดิบมา ขอแค่มีเทียบยาก็จะจัดการง่ายขึ้น” นางเป็นกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองมากกว่า อย่างไรหมอเหล่านั้นก็เป็นหมอที่ถูกจ้างมาตรวจโรค คงไม่ดีหากจะให้ไปเสี่ยงอันตราย หากฝ่ายตรงข้ามมีใจก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าหากไม่มีแล้วทำไมจะต้องไปฝืนใจด้วยเล่า?


เมื่อพูดถึงเทียบยาป้องกันโรคระบาดนั้นนางเองก็ไม่ได้มีความหวัง อย่างไรหากมีจริงก็คงเสนอมานานแล้ว ทำไมจะต้องรอจนถึงตอนนางเอ่ยปากเล่า? พูดเช่นนี้ก็เพื่อให้หมอคิดหาวิธีให้เร็วขึ้นเท่านั้น


พูดให้ไม่น่าฟังก็คือถ้าหากว่าครั้งนี้จวนตวนอ๋องมีวิธีรักษาโรคระบาดได้ก่อน จวนตวนอ๋องก็ถือว่าสร้างผลงานครั้งใหญ่แล้ว ถึงเวลานั้นหลี่เย่คงอาศัยโอกาสนี้ก้าวขึ้นสูงไปอีกขั้นหนึ่ง และได้รับความสำคัญมากกว่าเดิม อีกทั้งสู้กับองค์รัชทายาทได้มั่นใจมากกว่าเดิม


แม้จะบอกว่ามีความหมายเหมือนใช้โอกาสจากโรคระบาดนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นความจริง ในใจของนางก็คิดเช่นนั้นจริงๆ และหวังเช่นนั้นจริง อย่างไรเรื่องได้เกิดขึ้นแล้วแล้วนางจะทำอะไรได้? นางเป็นเพียงสตรี สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น 

 

 


บทที่ 437 กดดัน

 

​ตอนที่หลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันกลับไม่สนใจถามเรื่องรางวัล แต่ถามเขาก่อนว่า “ทำไม่เมื่อคืนนี้กลับมาเล่า? เพราะว่าเรื่องโรคระบาดนอกเมืองหรือ?”


หลี่เย่ส่ายหัว แสดงท่าทีให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อน แล้วถึงพูดเสียงเบาออกมา “เกี่ยวกับเรื่องพิพากษาลงทัณฑ์บนของเสด็จพ่อ”


ถาวจวินหลันตกตะลึง “จะพิพากษาลงทัณฑ์แล้วหรือ?” แม้จะบอกว่านางเคยคิดมาก่อนแล้ว  หากเรื่องภัยพิบัติรุนแรงอย่างนี้ต่อไป ฮ่องเต้คงจะต้องพิพากษาลงทัณฑ์ขอให้สวรรค์เรียกภัยพิบัติครั้งนี้กลับไป และให้อภัยประชาชน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่ว่ายังควบคุมได้อย่างนั้นหรือ? ไฉนเลยจะรุนแรงจนถึงขั้นนั้น?


“เสด็จพ่อกลัวว่าจะมีคนบีบบังคับ” หลี่เย่ถอดเสื้อนอกออก เปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ แล้วถึงพูดต่อว่า “รัชสมัยก่อนฮ่องเต้เกาจง ไม่ใช่เพราะเกิดมหันตภัยและราชสำนักอ่อนแอไร้ความสามารถ พระองค์ถึงได้พิพากษาลงทัณฑ์แล้วยกเก้าอี้บัลลังก์ให้ลูกชายต่อหรืออย่างไร?”


ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ทันที อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ฮ่องเต้ยิ่งเกิดความระแวงในใจมากยิ่งขึ้น นี่ก็กำลังป้องกันองค์รัชทายาทอยู่


นางพูดเรื่องราชสำนักมากไปก็ไม่ดีนัก เพียงแค่เข้าใจบ้างก็พอแล้ว นางกล่าวโทษหลี่เย่ไปอีกรอบหนึ่งเพราะว่าเรื่องยาปี้เซียวตาน สุดท้ายถึงได้พูดว่า “วันนี้ตอนแรกชายารองเจียงเก็บของเตรียมออกนอกเมืองไปหลบภัยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากนั้นก็เปลี่ยนความคิด  หากท่านคิดว่าควรส่งเซิ่นเอ๋อร์ออกไปก็ไปพูดกับนางเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”


ที่พูดเรื่องนี้อย่างแรกก็ด้วยหวังดีต่อเซิ่นเอ๋อร์ อย่างที่สองก็ไม่ยอมให้เจียงอวี้เหลียนหลอกล่อหลี่เย่ได้อีก หากเจียงอวี้เหลียนรั้งตัวอยู่ต่อเพราะว่าหลี่เย่จริงก็แล้วไป รักเดียวใจเดียวต่อหลี่เย่ก็แล้วไป แต่เจียงอวี้เหลียนไฉนเลยจะเป็นเช่นนั้น?


แน่นอนว่านางเองก็ไม่ปฏิเสธว่าตนเองนั้นก็มีความคิดและแผนการอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้นางไม่ได้รู้สึกไม่ดี หลี่เย่รู้แล้วอย่างไร? นั่นถือเป็นความคิดในใจของนางตั้งแต่แรก


ในเมื่อเป็นสามีภรรยาก็ควรจริงใจต่อกัน ปิดบังซ่อนเร้นไปก็ไม่มีความหมาย อีกทั้งหลี่เย่เองก็ไม่เคยปิดบังอะไรนาง นางเองก็ควรทำเช่นนั้นบ้าง


“ในเมื่อนางไม่ยินยอม ก็ให้นางอยู่ที่จวนต่อไปเถิด ที่จริงแล้วก็ไม่เห็นว่าจะอันตราย” หลี่เย่กลับโบกมือ เขาไม่คิดอยากจะไปพูดคุยเรื่องนี้กับเจียงอวี้เหลียน


เขาพอจะเดาความคิดของเจียงอวี้เหลียนได้ ด้วยเดาได้ถึงไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น อย่างไรผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวคิดถึงสถานการณ์โดยรวมเหมือนถาวจวินหลันก็ไม่ได้พบได้บ่อย


หยุดไปครู่หนึ่ง หลี่เย่ก็พูดอย่างจริงจัง “ผ่านไปอีกสองสามวันจะเริ่มจำกัดการเข้าออก ช่วงเวลานี้ภายในจวนเองก็ต้องดูประตูห้องหับให้ดี ไม่อนุญาตให้คนไปไหนมาไหนหรือว่าสัมผัสอะไรข้างนอก ถ้าหากพบโรคระบาด ก็แยกเอาไว้ไม่ให้ติดต่อคนอื่นก็พอแล้ว”


ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะ “ข้าสั่งไปแล้วเพคะ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องในจวน มีข้าคอยดูอยู่นะเพคะ”


หลี่เย่ได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะทันที แล้วกำชับนางอีกว่า “ด้วยเหตุนี้ เจ้าถึงควรบำรุงร่างกายให้ดีกว่าเดิม ถ้าไม่มีเจ้าอยู่ที่จวน ข้าอยู่ข้างนอกแล้วจะวางใจได้อย่างไรกัน เจ้าเองก็อย่าลืมกินยาปี้เซียวตานที่ขอมาล่ะ อย่างไรต่อจากนี้ไปก็จะมีของเจ้าเองหนึ่งชุด ยาที่กรมหมอหลวงส่งมาให้ เจ้าเองก็กินอย่างวางใจเถิด ไม่มีคนมาทำอะไรเป็นแน่”


ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วถอนหายใจอีกครั้ง “คราวนี้ไม่รู้จะมีคนมากเท่าไรรู้สึกอิจฉาข้า”


ริมฝีปากของหลี่เย่ยกโค้งขึ้น แสร้งจงใจถามออกมา “มีอะไรน่าอิจฉากัน?”


“อิจฉาที่ข้าแต่งงานกับคนดี” ถาวจวินหลันหลุดหัวเราะดัง แล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้หลี่เย่ “ก่อนหน้านี้ไม่มีใครยินยอมเป็นอนุภรรยาของตวนอ๋อง ตอนนี้เกรงว่าคงมีคนไม่น้อยที่เต็มใจ ทุกคนต่างพูดว่าตวนชินอ๋องรูปงามสูงโปร่ง อ่อนโยนเป็นมิตร และเป็นคนที่เอาใจใส่ละเอียดอ่อน ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวคิดหมายปองอยู่ตั้งมากมายเท่าไร”


ริมฝีปากของหลี่เย่ยกสูงขึ้น แต่กลับมีแววเยาะเย้ยแอบแฝงอยู่ “แล้วอย่างไร?” ในเมื่อตอนแรกไม่รู้จักมองให้ดี ตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว


ถาวจวินหลันแย้มยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างก็ยกเป็นมุมโค้ง ในดวงตาเป็นประกาย “เมื่อพูดอย่างนี้ ข้าก็เป็นคนตาดีน่ะซี”


หลี่เย่อมยิ้มพลางจับมือของถาวจวินหลันเอาไว้ ก่อนพูดอย่างจริงจัง “เป็นคนตาดีจริงๆ ” ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เย่ถึงพูดสถานการณ์ของพวกซวนเอ๋อร์ว่า “ซวนเอ๋อร์และหมิงจูให้จิ้งหลิงเลี้ยงดูอยู่ ไม่มีอะไรที่ไม่คุ้นชิน และเลี้ยงเป็นอย่างดี เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก รอจนโรคระบาดหายไปแล้ว ก็ให้คนไปรับพวกเขากลับมา”


ถาวจวินหลันพยักหน้า ในใจรู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย จะบอกว่าไม่คิดเป็นกังวลก็ถือว่าโกหก แต่ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็ปลอดภัยไร้กังวล


“ท่านว่าโรคระบาดครั้งนี้จะเป็นอย่างไรเพคะ? จะมีคนเสียชีวิตเยอะหรือไม่?” ตอนที่ถาวจวินหลันถาม นางก็ไม่ได้มั่นใจนัก กลับดูเลื่อนลอยอย่างมาก จะต้องรู้ว่าความเป็นจริงแล้วทุกครั้งที่มีโรคระบาดเกิดขึ้น คนที่เสียชีวิตนั้นมากมายจนนับไม่ถ้วน สิบชุมชนว่างไปแล้วเก้า ที่พูดถึงนั้นคือสถานการณ์ตอนที่โรคระบาดหนักขึ้น คนในหนึ่งเมืองแทบจะสวมชุดไว้ทุกข์ทั้งหมด


เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ ถาวจวินหลันก็กลัวจนตัวสั่น


เมื่อได้ยินประโยคคำถาม หลี่เย่ก็ปรับเปลี่ยนท่าทีจากรอยยิ้มอบอุ่นเมื่อครู่นี้ กลายเป็นเคร่งขรึมจริงจังทันที คนที่เห็นก็รู้สึกห่อเ**่ยวตามไปเช่นกัน


ใบหน้าของหลี่เย่ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว “หากกรมหมอหลวงคิดเทียบยาออกมาได้โดยเร็วก็จะสามารถควบคุมได้ ถ้าหากไม่มีเทียบยาใครจะไปรู้ว่าสถานการณ์ต่อไปจะเป็นเช่นใด”


ถาวจวินหลันก็นิ่งเงียบไปเช่นเดียวกัน


ตอนที่กำลังพูดคุยอยู่ บ่าวด้านนอกก็รายงานเสียงดัง “คุณหนูกู้มาเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ทีหนึ่ง เลิกคิ้วสูงพลางพูดว่า “รีบเชิญเข้ามา” ตอนนี้หลี่เย่จะหลบไปก็ย่อมไม่ทัน ดังนั้นจึงทำได้แค่พบหน้ากู้ซีเล็กน้อย พูดไปแล้วก็เป็นญาติกัน ไม่จำเป็นต้องหลบหน้ามากนัก


แต่จำต้องพูดเลยว่า ชั่วยามที่กู้ซีมานั้นช่างบังเอิญเป็นอย่างมาก ทั้งมาทันตอนที่หลี่เย่กลับมาแล้ว และทันเวลาอาหารเย็นพอดี


เพียงไม่นานกู้ซีก็เข้ามา เสื้อสีเขียวน้ำทะเล กระโปรงสีเหลืองอ่อน มองไปแล้วเป็นเหมือนต้นหลิวสีเขียวอ่อนที่เพิ่งออกดอกแตกกิ่งก้าน บวกกับท่าทางอ่อนแอที่มีอยู่แต่เดิม ท่าทีหวาดกลัว และสายตาที่เขินอาย แม้ว่าจะมีความสวยเพียงแค่แปดส่วน แต่ก็บรรยายออกมาเป็นภาพวาดสาวงามทรงเสน่ห์รูปหนึ่งได้


ถาวจวินหลันอดคิดไม่ได้ว่า ถ้ากู้ซีไม่มีความคิดอื่น นางก็ยินดีจะมองภาพสาวงามที่ทำให้จรรโลงใจนี้หลายครั้ง ไม่ว่าใครก็ชอบสิ่งสวยงาม แม้ว่าจะเป็นสตรีเหมือนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะชื่นชมไม่ได้มิใช่หรืออย่างไร?


ถาวจวินหลันมองดูกู้ซีทำความเคารพหลี่เย่และตนเองตามลำดับ แล้วก็รีบยิ้มพลางพูดว่า “บอกแล้วว่าเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ ทำไมถึงได้มากพิธีอีกเล่า?”


หลี่เย่เองก็พยักหน้า “ใช่แล้ว เจ้ากับข้าต่างมีสายเลือดเดียวกัน ข้องเกี่ยวเป็นญาติ ไม่ต้องทำตัวแปลกหน้ากันขนาดนี้ สำหรับข้าแล้วเจ้าก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่งของข้า”


กู้ซีเหมือนคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะพูดเช่นนี้ ก็หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย ก้มหน้าลงไปอย่างเขินอาย


ถาวจวินหลันกลับอมยิ้มมองหลี่เย่ทีหนึ่ง หลี่เย่พูดเช่นนี้แค่ฟังก็รู้ว่าจงใจ


หลี่เย่กลับนั่งนิ่งยืดตัวตรง ท่าทีแม้ว่าอบอุ่น แต่ก็ไม่ได้ดูอยากสนิทสนมกันมากนัก นั่งอยู่เพียงครู่หนึ่ง หลังจากถามสองสามคำแล้ว เขาก็ลุกขึ้นโดยมีข้ออ้างว่ามีธุระต้องไปห้องหนังสือ


พอเวลาอาหารเย็น ถาวจวินหลันก็พยายามพูดรั้งตัวกู้ซี แต่สุดท้ายกู้ซีก็ไม่ได้อยู่ต่อ พอหลี่เย่ได้รับคำรายงานจากบ่าวรับใช้จึงกลับมา


ระหว่างมื้ออาหารก็พูดถึงกู้ซีขึ้นมา ถาวจวินหลันขมวดคิ้วถามหลี่เย่ “แท้จริงแล้วจวนอันหย่วนโหวคิดอย่างไรกันแน่เพคะ?”


หลี่เย่ส่ายหัว “ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอะไร พวกเรานิ่งเอาไว้ก็พอแล้ว”


การตัดความหวังอย่างไร้เสียงนี้ คิดแล้วตระกูลกู้ก็น่าจะต้องเข้าใจ ถ้าไม่ใช่เพราะว่านั่นคือญาติของเขา ก็คงไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้


ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ พยักหน้าพลางถอนหายใจอีกครั้ง “กู้ซีดูแล้วก็เป็นหญิงสาวที่ดี” แต่ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้าจะบอกว่าไม่สนใจหลี่เย่ แล้วทำไมเมื่อครู่นี้จะต้องมาเวลานั้นด้วย? แต่ถ้าบอกว่าสนใจก็ไม่เห็นว่านางจะทำอะไรอีก แต่กลับมีท่าทีเรียบร้อยอยู่ในกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก


พูดตามจริงแล้ว นางเองก็ถูกท่าทีเช่นนี้ของกู้ซีทำให้รู้สึกสับสนอยู่เหมือนกัน


แต่เมื่อมีคำพูดของหลี่เย่ นางกลับสงบขึ้นมาได้อีกครั้ง แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ยังอดถอนหายใจแทนกู้ซีไม่ได้ กู้ซีดูแล้วเป็นหญิงสาวที่ไม่เลวเลยจริงๆ


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยาปี้เซียวตานดีจริงหรือไม่ ถาวจวินหลันกินไปสองสามวันก็รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย สามารถหาเวลาว่างมากังวลเรื่องสถานการณ์โรคระบาดด้านนอกเมืองได้


แต่หากอยากรู้สถานการณ์ด้านนอกก็ไม่ง่าย ยามนี้ราชสำนักออกคำสั่งปิดประตูเมืองแล้ว ไม่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเข้ามาในเมือง และไม่อนุญาตให้พ่อค้าสุขภาพไม่แข็งแรงและไม่มีที่มาที่ไปเข้ามาในเมืองอีก แม้จะบอกว่าออกนอกเมืองยังง่ายเหมือนเดิม แต่เวลานี้ยังมีใครออกนอกเมืองอีก? นอกจากจะออกไปเพื่อหลบโรคระบาดเท่านั้น


พูดถึงเรื่องหนีโรคระบาดภายในเมือง ครอบครัวขุนนางและตระกูลใหญ่จำนวนไม่น้อยก็ใช้เส้นสายพาส่งครอบครัวตนเองออกไป


พริบตาเดียว ได้ยินว่าคนตามท้องถนนลดลงมาก ผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่ไปมาก่อนหน้านี้ก็ไม่มีให้เห็นอีก บนถนนเต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็น


ยามนี้การสื่อสารกับนอกเมืองอาศัยเพียงจดหมาย ก่อนที่จะถูกส่งเข้ามาในเมือง จดหมายเหล่านี้ก็จะต้องใช้ปูนขาวโรยเอาไว้เสียก่อน ใช้โกฐจุฬาลัมพารมควันมาก่อน มิเช่นนั้นก็จะต้องตะโกนบอกสารในระยะไกล คนหนึ่งอยู่ในประตูเมือง ส่วนอีกคนหนึ่งตะโกนอยู่ด้านนอก


สถานการณ์นอกเมืองที่ถาวจวินหลันได้ยิน ล้วนมาจากคนถ่ายทอดมาคนแล้วคนเล่า แต่กลับไม่กังวลเรื่องการติดต่อของโรคระบาด อีกทั้งการที่ตอนนี้แต่ละเรือนปิดประตูใช้ชีวิตของตนเองก็ยิ่งไม่ต้องเป็นกังวลไปกันใหญ่


สถานการณ์ภายนอกไม่ถือว่าดีนัก เวลายังไม่ทันล่วงถึงสิบวัน ก็พบคนมากมายติดต่อโรคระบาดนี้แล้ว ทั้งยังมีนายทหารจำนวนไม่น้อยที่ดูแลและรักษาความเป็นระเบียบอยู่ที่นั่น


เมื่อได้ยินสถานการณ์นี้ถาวจวินหลันก็ใจหล่นตุบ วิธีป้องกันโรคระบาดเหล่านั้นไม่มีผลแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการโปรยปูนขาว หรือว่าใช้โกฐจุฬาลัมพารมควัน หรือจะเป็นการติดถุงหอมหลบพิษ ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น


นางแทบจะเดาสถานการณ์ในอนาคตได้เลย เหมือนกับที่หลี่เย่พูดเอาไว้ หากหมอหลวงคิดค้นยาออกมาไม่ทันควบคุมโรคระบาด สถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น


และสถานการณ์ด้านนอกตอนนี้ก็เหมือนฝาดำอันใหญ่ครอบทับลงมา ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงตกอยู่ในสถานการณ์หวาดหวั่นและอึดอัดกดดัน 

 

 


บทที่ 438 สั่นสะท้าน

 

วันนี้ฮองเฮาสั่งให้คนนำวัตถุดิบและถุงเครื่องหอมที่ใช้ฆ่าพิษกำจัดเชื้อโรคไปให้บรรดาลูกสะใภ้ พระชายารัชทายาทไม่จำเป็นต้องพูดถึง เพราะอยู่ในวังหลวง ที่ส่งให้หลักๆ ก็คือจวนตวนชินอ๋อง จวนจวงอ๋องและจวนอู่อ๋อง


นอกจากชายาเอกที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของสามคนนี้แล้ว คนที่ได้รับสิทธิพิเศษนี้ก็ยังมีถาวจวินหลัน


คนที่มาส่งวัตถุดิบและถุงเครื่องหอมให้จวนตวนชินอ๋องเป็นคนคุ้นเคย นั่นก็คือฉ่ายยวน พูดไปแล้ว ตอนแรกที่ฮองเฮาหาถาวจวินหลันเจอก็เพราะว่าใช้ฉ่ายยวน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอฉ่ายยวนอีกครั้ง


ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในวังหลวงต่อให้บังเอิญพบที่วังของฮองเฮา ก็ไม่มีเวลามาพูดคุย วันนี้กลับไม่เหมือเดิม แต่เดิมถาวจวินหลันไม่อยากเจอฉ่ายยวน แต่ของเหล่านั้นเป็นสิ่งของที่ฮองเฮาประทานมาให้ จึงต้องออกไปรับกับมือเท่านั้น ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ออกไปพบฉ่ายยวนด้วยตนเอง


ฉ่ายยวนไปที่เรือนของหลิวซื่อเพื่อส่งมอบของให้ก่อน แล้วถึงได้มาหา


ทั้งสองคนพบหน้ากัน ฉ่ายยวนทำความเคารพถาวจวินหลันอย่างนบน้อมก่อนโดยไม่พูดจาใดๆ


ถาวจวินหลันก็ยอมรับ ฐานะยังค้ำคออยู่ หากจะละเลยกฎเกณฑ์ไปก็ไม่ดี อย่างที่สองก็เพราะว่าอยากจะแสดงที่ให้ฉ่ายยวนได้เห็นว่าพวกนางไม่ใช่คนจำพวกเดียวกันมานานแล้ว ในเมื่อยามนี้ฉ่ายยวนมาจัดการธุระแทนฮองเฮา ถ้าเช่นนั้นพวกนางก็ย่อมกระทำในสิ่งที่สมควร เรื่องราวความสัมพันธ์เก่าก่อนกลับทำได้แค่วางเอาไว้เท่านั้น


พอทำความเคารพเสร็จแล้ว ฉ่ายยวนก็ยิ้มให้ถาวจวินหลันอย่างแฝงนัย “ตอนนี้ชายารองถาวถือว่าผ่านทุกข์ได้สุขแล้วนะเจ้าคะ”


ถาวจวินหลันยิ้มเรียบๆ “เพียงแค่โชคดีเท่านั้นเอง” พอพูดไปแล้วก็ถือว่าเป็นโชคดีจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญพบหลี่เย่ ตอนนี้นางก็อาจจะเป็นเพียงนางกำนัลตัวเล็กคนหนึ่งเท่านั้น หรือว่าถูกปล่อยออกไปแต่งงานกับผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง แล้วใช้ชีวิตธรรมดาเป็นปกติ ไฉนเลยจะมีหน้าตาและเกียรติยศเช่นนี้?


“เพื่อนร่วมห้องของพวกเราตอนนั้น มีเพียงชายารองถาวที่มีชีวิตดีที่สุด” ฉ่ายยวนยังคงยิ้มอย่างแฝงนัย แลดูมีท่าทีเยาะเย้ย “แต่ไม่รู้ว่าวันนี้ชายารองถาวจะยังจำความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องได้อยู่หรือไม่?”


ถาวจวินหลันหลุบตาลง รอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง “ทำไมจะจำไม่ได้ ย่อมต้องจำได้เป็นแน่?” แต่ทางเดินที่แตกต่างกันไม่อาจหารือร่วมกันได้ ที่นางทำได้ก็เพียงแค่จดจำเท่านั้น


“หลี่ว์หลิ่วในตอนนั้นช่วยชายารองถาวไว้ไม่น้อย” ฉ่ายยวนหัวเราะเสียงเย็น มองไปที่ถาวจวินหลันนิ่ง “ไม่ทราบว่าชายารองถาวยังจำได้หรือไม่?”


“ย่อมต้องจำได้” ถาวจวินหลันหรี่ตาลง มองไปยังฉ่ายยวน “ฉ่ายยวน เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่? ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนเถรตรง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ทำไมมาถึงตอนนี้ถึงได้อ้อมค้อมชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดเล่า?”


“หลี่ว์หลิ่วป่วยเจ้าค่ะ” ฉ่ายยวนหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเรื่องนี้ออกมาว่า “ป่วยจนใกล้จะสิ้นลมแล้ว”


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร?” ไม่ว่าจะไม่พร้อมเพียงใด แต่หลี่ว์หลิ่วก็ยังเป็นสนมของฮ่องเต้ และยังเป็นสนมที่เคยได้รับความโปรดปรานมาก่อนด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีชีวิตดีระดับหนึ่ง อีกทั้งมีหลายครั้งที่นางบังเอิญพบหลี่ว์หลิ่วในวังหลวง ดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีชีวิตเลวร้ายอย่างไรเลย


“นางให้ข้านำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ท่าน” ฉ่ายยวนหยิบจดหมายฉบับหนึ่งมาจากในแขนเสื้อ เลิกคิ้วมองถาวจวินหลัน “ท่านจะดูหรือไม่?”


ถาวจวินหลันนิ่งคิด ก่อนรับจดหมายมาถือเอาไว้ แต่ไม่ได้เปิดอ่านในทันที เพียงแค่มองฉ่ายยวน แล้วถามว่า “นางป่วยเป็นโรคอะไร? หมอหลวงได้รักษาแล้วหรือไม่?”


ฉ่ายยวนส่ายหัว “ข้าก็ไม่ทราบรายละเอียดในนั้น” นางมีท่าทีเศร้าโศกแฝงอยู่ไม่น้อย “แต่ข้าเห็นนางแล้วคิดว่าคงจะไม่ไหวแล้วจริงๆ คิดดูแล้วคนที่ชอบเอาชนะในตอนแรก ตอนนี้ก็คงเหลือแค่เพียงกระดูกแล้ว”


ฉ่ายยวนพูดอย่างโศกเศร้า ถาวจวินหลันฟังแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ


พอส่งฉ่ายยวนกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็เปิดจดหมายออกดู เนื้อหาในจดหมายนั้นก็เป็นเพียงแค่ตัวอักษรไม่กี่คำเท่านั้น ถ้าจะบอกว่าเป็นจดหมาย ไม่สู้บอกว่าจดบันทึกแก้เบื่อดีกว่า


ตัวหนังสือของหลี่ว์หลิ่วไม่ถือว่าสวย อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่เป็นระเบียบเท่านั้น ระหว่างตัวอักษรนั้นล้วนเป็นหมึกดำเข้ม ดูแล้วชวนให้รู้สึกกดดัน


เรื่องที่สูญเสียลูกไปในตอนนั้น ในใจของหลี่ว์หลิ่วคงจะโกรธแค้นและเสียใจเป็นอย่างมาก เรื่องนี้รู้ได้ไม่ยาก


ถาวจวินหลันอ่านซ้ำไปมาสองรอบ สุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจเสียงเบา เก็บจดหมายเข้าที่เดิม ทันใดนั้นก็คิดถึงคำพูดของฉ่ายยวนขึ้นมา ก่อนยิ้มเฝื่อนๆ หันไปสั่งว่า “ไปเรียกโจวอี้มาพบข้า”


เพียงไม่นานโจวอี้ก็เข้ามาในจวน


ถาวจวินหลันพูดขึ้นหลังจากที่โจวอี้ทำความเคารพนางเสร็จแล้ว “เจ้ายังมีคนสนิทอยู่ภายในวังหลวงหรือไม่? ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าอยู่ในวังหลวงมีนางกำนัลคนหนึ่งที่มีบุญคุณต่อข้าล้มป่วยลง ข้าอยากจะฝากคนดูแลนางสักหน่อย ไม่รู้ว่าเจ้ามีวิธีหรือไม่?”


โจวอี้ตกใจเล็กน้อย แล้วก็ถามกลับมา “ไม่ทราบว่าเป็นใครขอรับ?”


“ชื่อว่าหลี่ว์หลิ่ว เคยอุ้มเชื้อสายมังกรมาก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คลอดออกมา ตำแหน่งเหมือนจะเป็นขั้นผิน” ที่จริงแล้วถาวจวินหลันก็ไม่ได้รู้อาการของหลี่ว์หลิ่วละเอียดนัก เพียงแค่พูดสิ่งที่ตนเองรู้ทั้งหมดออกไป แต่พักอยู่ที่วังไหนกลับไม่รู้เลยจริงๆ


โจวอี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ข้าจะลองดูขอรับ แต่ในเมื่อเป็นถึงผิน พื้นฐานแต่เดิมก็คงจะไม่เลวร้ายมาก อาจไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากพวกเรานะขอรับ”


ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา “ลองดูเถิด ต่อให้ช่วยไม่ได้มากนัก ก็ช่วยหาหมอหลวงฝีมือดีไปดูอาการเท่านั้นก็ยังดี มิเช่นนั้นก็แอบซื้อของบำรุงหรือว่าทำสิ่งที่นางอยากทานก็ย่อมได้ อย่างไรก็ถือว่าเป็นน้ำใจของข้า”


หากเป็นไปได้ ที่จริงแล้วนางก็อยากจะไปดูด้วยตนเอง แต่ต่อให้ตอนนี้นางเข้าวังหลวงไป ก็เกรงว่าคงจะไม่ได้เจอหลี่ว์หลิ่ว อย่างไรวังส่วนในก็ไม่ใช่สถานที่ที่นางเดินเล่นไปมาตามใจชอบได้ นอกจากไปสถานที่ที่ไปทำความเคารพแล้ว นางก็ไม่อาจไปวังของสนมคนอื่นได้


อีกทั้งร่างกายของนางก็ยังไม่หายดี คงไม่ดีเท่าไรหากจะเข้าไปในวังหลวง


โจวอี้รับปากเรื่องนี้


ถาวจวินหลันพูดอีกว่า “รอจนรู้ว่าสถานการณ์ของนางเป็นอย่างไร เจ้าก็ค่อยมาบอกข้า”


ส่วนวัตถุดิบและถุงเครื่องหอมที่ฮองเฮาประทานมาให้ ถาวจวินหลันเพียงแค่ให้หงหลัวหากล่องมาบรรจุลงไป ปิดฝากล่องให้เรียบร้อย ถ้าจะให้ใช้นางคงไม่กล้าใช้เป็นแน่ เพียงแต่ตอนนี้จะเอาไปทิ้งก็ไม่ดี ดังนั้นจึงทำได้แค่ปิดเอาไว้ก่อน แล้วค่อยเอาไปทิ้งทีหลังก็ย่อมได้


เพราะเรื่องของหลี่ว์หลิ่ว ถาวจวินหลันจึงรู้สึกไม่สบายใจทั้งวัน หงหลัวจับสังเกตได้ แม้จะบอกว่าร้อนรนแต่ก็จนปัญญา หลี่ว์หลิ่วและถาวจวินหลันมีความสัมพันธ์เช่นใดนางเองก็ไม่รู้ ย่อมไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มโน้มน้าวจากที่ไหน


แต่หงหลัวก็ให้คนบอกถาวซินหลัน อย่างไรตอนนี้หลี่เย่ไม่อยู่ คนที่เกลี้ยกล่อมถาวจวินหลันได้ก็มีเพียงถาวซินหลันแล้ว


แม้ไปบอกถาวซินหลันทั้งอย่างนี้จะไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่ถ้าถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้ต่อไป นางเองก็รู้สึกว่าไม่เหมาะ อย่างไรร่างกายก็ยังไม่ทันหายดี แล้วยังต้องมาเสียใจเหน็ดเหนื่อยเพียงนี้ แล้วร่างกายจะรับไหวได้อย่างไรกัน?


ด้วยถาวซินหลันมีเวลาว่างอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมาอย่างรวดเร็ว พอมาถึงแล้วหงหลัวก็ลากถาวซินหลันไปพูดต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้รอบหนึ่ง รอจนเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้วถึงได้ปล่อยให้ถาวซินหลันไปพบถาวจวินหลัน


ถาวซินหลันย่อมจำได้ว่าครั้งพวกนางเพิ่งเข้าไปที่หน่วยงานซักล้าง หลี่ว์หลิ่วช่วยเหลือพวกนางอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้…นางถอนหายใจจออกมา “สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา หลี่ว์หลิ่วชอบเอาชนะมากเกินไป ถึงได้พบจุดจบเช่นนี้ ท่านพี่เองก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป ตอนที่อยู่ในวังหลวง ข้าเองก็ตอบแทนบุญคุณนางไปไม่น้อย ตอนนี้ท่านเองก็วานให้คนไปช่วยนาง สิ่งที่พวกเราพอทำได้ก็ทำหมดแล้ว ถือว่าไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องละอายแก่ใจแล้วนะเจ้าคะ”


ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “ข้าเพียงรู้สึกโศกเศร้าแทนนางก็เท่านั้น” นางยังไม่ถึงขั้นละอายใจ นางถามตัวเองแล้วแม้จะบอกว่าช่วยอะไรหลี่ว์หลิ่วไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีต่อหลี่ว์หลิ่ว ต่อให้ตอนแรกปฏิเสธที่จะร่วมมือกับหลี่ว์หลิ่ว ตอนนี้นางเองก็ไม่รู้สึกเสียดาย


ถาวซินหลันดึงตัวถาวจวินหลันพูดคุยเรื่องอื่นอีกครู่หนึ่ง พอปลอบถาวจวินหลันพอสมควร และรั้งตัวอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกันแล้วถึงได้กลับไป


ตกดึก ถาวจวินหลันก็ได้รับข่าวที่สอง เป็นข่าวที่ถ่ายทอดมาจากสวนน้ำพุร้อนข้างพระราชฐาน เป็นข่าวที่มีความเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในพระราชฐาน


อี๋เฟยคลอดแล้ว ให้กำเนิดบุตรชาย ให้กำเนิดออกมาเมื่อวันที่ยี่สิบห้าเดือนเจ็ด เด็กสุขภาพแข็งแรงอย่างมาก


เมื่อคำนวณดูแล้ว วันที่อี๋เฟยคลอดบุตรก็เร็วกว่ากำหนดหนึ่งเดือนเต็ม ถือว่าคลอดก่อนกำหนด คิดไม่ถึงว่าเด็กจะแข็งแรงอย่างมาก ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นลิขิตสวรรค์หรือว่าอี๋เฟยมีโชคจริงๆ


แม้จะบอกว่าระยะทางระหว่างเมืองหลวงและพระราชฐานต้องใช้เวลาเดินเท้าสองวันเต็ม แต่หากม้าเร็วก็ใช่เวลาหนึ่งวัน แต่ตอนนี้ข่าวยังถ่ายทอดมาไม่ถึงวังหลวง อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพูดถึง ไม่รู้ว่าภายในวังหลวงรู้แล้วแต่ตั้งใจปิดบังเอาไว้ หรือว่ายังไม่ได้รายงานเลย?


อย่างน้อยไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ชวนให้คนแปลกใจทั้งนั้น แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์จะไม่ดีนัก จึงไม่ควรป่าวประกาศเรื่องนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง แล้วยิ่งไม่กลับมารายงานก็ยิ่งไม่มีเหตุผลไปใหญ่ นี่เป็นบุตรของฮ่องเต้ เป็นเรื่องดี ฮ่องเต้ทราบเรื่องก็จะต้องประทานรางวัลแน่นอน อีกทั้งจะต้องรับอี๋เฟยและลูกกลับวังหลวงเป็นแน่ แล้วเหตุใดถึงไม่รายงาน?


ถาวจวินหลันยังไม่ทันคิดตก ทางด้านโจวอี้กลับเข้ามารายงานข่าวเรื่องหนึ่งด้วยสีหน้าไม่ดีนัก


หลี่ว์หลิ่วป่วยหนักใกล้ตายแล้วจริงๆ แต่ไม่ใช่อาการโรคที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นโรคระบาด


ถาวจวินหลันได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งตะลึงงันไปทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถามด้วยเสียงสั่นว่า “เป็นโรคระบาดจริงหรือ?”


สีหน้าของโจวอี้นิ่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “นี่เป็นผลที่หมอหลวงทั้งสี่คนตรวจได้ขอรับ”


เมื่อพูดเช่นนี้ก็คงเป็นโรคระบาดจริง ถาวจวินหลันกำนิ้วแน่น รู้สึกว่าทั่วทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบ เย็นจนนางเริ่มตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่


โรคระบาด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นโรคระบาด ตอนนี้กรมหมอหลวงยังไม่สามารถคิดค้นเทียบยาที่รักษาโรคระบาดได้ เกรงว่าหลี่ว์หลิ่วคงมีความหวังไม่เยอะ แต่หลี่ว์หลิ่วไปติดโรคระบาดมาได้อย่างไร? นางอาศัยอยู่ในส่วนลึกของวังหลวง แล้วจะไปติดต่อมาได้อย่างไรกัน?


โรคระบาดนี้ถ้าหากว่าไม่มีคนถ่ายทอด แล้วจะเป็นได้อย่างไร? และภายในส่วนลึกของวังหลวงก็แทบจะตัดขาดการติดต่อกับผู้คน จะไปมีโรคระบาดได้อย่างไรกัน?


“หลี่ว์หลิ่วเป็นอย่างไรบ้าง?” ผ่านไปครู่ใหญ่ ถาวจวินหลันก็ถามอีกเล็กน้อย


โจวอี้ถอนหายใจออกมา พูดเสียงเบา “ปิดวังกั้นส่วนไปแล้วขอรับ แม้แต่คนที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกาย และคนที่พบหน้าสองสามวันมานี้ แม้แต่หมอหลวงสี่คนนั้นก็ถูกจัดให้อยู่ห้องที่ห่างออกไปขอรับ”


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ก็ควรแยกออกไป ไม่อาจให้โรคระบาดแพร่กระจายได้อีก คนในวังหลวงมีมาก หากแพร่กระจายออกไปจริง ไม่ว่าใครก็คงจะยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้”


โจวอี้มองถาวจวินหลันทีหนึ่ง อยากพูดแต่ก็หยุดไป


ถาวจวินหลันกลับเข้าใจความหมายของโจวอี้ จึงยิ้มออกมาน้อยๆ แม้จะบอกว่ามือเท้ายังเย็น ร่างกายยังสั่นควบคุมไม่ได้ นางก็ยังพูดอย่างเด็ดขาดว่า… 

 

 


บทที่ 439 ปิดจวน

 

แม้จะบอกว่ามือเท้ายังเย็น ร่างกายยังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ นางก็ยังพูดออกมาอย่างเด็ดขาดว่า “ถ่ายทอดคำสั่งไป ตั้งแต่วันนี้ห้ามทุกคนภายในเรือนเฉินเซียงก้าวออกจากเรือนนแม้แต่ก้าวเดียว ปิดประตูใหญ่ ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา ทางด้านพระชายาก็เช่นเดียวกัน!”


สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็หันไปมองโจวอี้ “หลังจากเจ้ากลับไปแล้ว ก็ปิดประตูงดรับแขกไปอีกสักพักหนึ่งเถิด แม้จะบอกว่าข้ายังไม่มีอาการของโรคระบาด แต่ก็ป้องกันเอาไว้ก่อน เจ้าเองได้รับเชื้อมาบ้างหรือไม่ข้าเองก็ไม่รู้ แต่คิดแล้วก็คงไม่ถึงขั้น่น่าตกใจขนาดนั้น หลังจากนี้ห้าวันหากเจ้าไม่มีอะไรที่คิดว่าแปลกไป ก็ค่อยออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง พูดไปแล้วสุดท้ายก็เป็นข้าที่ทำให้เจ้าต้องเหนื่อย”


คำพูดนี้มีความรู้สึกแฝงอยู่ หากโจวอี้หนีไม่พ้นจริง ถ้าเช่นนั้นก็เป็นนางที่ทำร้ายเขา ถ้าโจวอี้ไม่มาพบนางตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรืออย่างไร?


ที่สำคัญที่สุดก็คือ โจวอี้เป็นแขนซ้ายขวาของหลี่เย่ ตอนนี้ก็เพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บ แต่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ก็ไม่รู้ว่าขัดขวางธุระของหลี่เย่หรือไม่?


แล้วถ้าหากหลี่เย่รู้เรื่องนี้คงต้องกังวลเป็นแน่?


แล้วยัง…


ถาวจวินหลันพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรอีก นางนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่ง ภายในหัวมีความคิดและอารมณ์มากมายวกวนซับซ้อนไปมา สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นกลุ่มก้อนแสนวุ่นวาย


หงหลัวและคนอื่นต่างยื่นนิ่งตะลึงอยู่กับที่มานานแล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกมา แม้กระทั่งหัวสมองก็ขาวโพลนเช่นเดียวกัน


โรคระบาดที่ยังพูดคุยกันอยู่เมื่อวาน วันนี้กลับเข้ามาใกล้ตัว เพียงไม่นาน ไม่รู้ว่าเป็นความหวาดกลัว หวาดหวั่นจนพูดไม่ออกหรือว่าไม่อยากจะเชื่อ เสมือนเพิ่งตื่นจากฝันมากกว่ากัน


เรื่องนี้เหมือนกับเรื่องที่มีอยู่แต่ในนิทานเท่านั้น วินาทีก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่ ผ่านมาอีกวินาทีหนึ่งกลับมีภัยอันตรายมาเยือนกาย


ผ่านไปนาน ถาวจวินหลันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมา ยิ้มขมขื่น “ข้า่ทำให้ทุกคนต้องลำบากแล้ว ตั้งแต่นี้ไปนอกจากหงหลัวแล้ว ไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าใกล้ข้าเกินห้าฝีก้าว!” ที่รั้งหงหลัวเอาไว้ ก็เพราะหงหลัวเองก็สัมผัสจดหมายของฉ่ายยวนเหมือนกับนาง นั่นเป็นของที่หลี่ว์หลิ่วสัมผัสมาก่อน ใครจะรู้ว่าหลังจากสัมผัสแล้วจะแพร่กระจายเชื้อมาหรือไม่?


และเพราะว่าไม่รู้ ดังนั้นนางถึงไม่กล้าเสี่ยงอันตราย


“โจวอี้ ตอนที่เจ้าออกไป ก็ให้คนไปที่บ้านตระกูลเฉินเสียหน่อย ให้ซินหลันปิดประตูงดรับแขกเช่นกัน” ตอนที่พูดนั้น ถาวจวินหลันก็รู้สึกขมขื่น เท้าเบาบางเหมือนไม่มีแรง


ทุกคนต่างได้ยินเสียง่สั่นเบาๆ ของถาวจวินหลัน และเสียงของฟันบนล่างที่กระทบกันไปมา


แม้แต่ถาวจวินหลันยังกลัว ไม่นานทุกคนที่ยังนิ่งอึ้งอยู่เมื่อครู่นี้ ต่างก็รู้สึกถึงหวาดกลัวขึ้นมากะทันหัน


มีบางคนส่งเสียงร้องไห้ออกมาทันที ความหวาดกลัวและหวาดหวั่นที่แฝงอยู่ในเสียงร้องไห้นั้นเป็นเหมือนกรงเล็บที่แหลมคม ปักเข้าไปในอกของคนแน่น ทำให้คนหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกกลัวจนตัวสั่นงันงกไม่หยุด


หงหลัวตะโกนเสียงดัง “จะร้องไห้ทำไมกัน? นี่เป็นเพียงการป้องกันเท่านั้น ใครบอกว่าจะเกิดเรื่องกัน? ชายารองมีบุญวาสนา ไฉนเลยจะมีโรคระบาดมาระราน? เรียกสติกลับคืนมาเดี๋ยวนี้! ไม่อนุญาตให้ร้องไห้และไม่อนุญาตให้หวาดกลัว! มิเช่นนั้นข้าจะไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย!”


อย่างไรแล้วหงหลัวก็เป็นบ่าวรับใช้อันดับหนึ่งของเรือนเฉินเซียง เมื่อตะโกนคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างทรงอำนาจ กลับมีแรงข่มอยู่ไม่น้อย บ่าวรับใช้คนอื่นจึงรีบเก็บสีหน้าและเก็บเสียง เงียบกันเป็นเป่าสาก


ตอนนี้โจวอี้นั่งคุกเข่าหันหน้าไปทางถาวจวินหลันและโขกหัวลงพื้นดังสนั่นสามที พูดออกมาอย่างแข็งกร้าวว่า “ชายารองฉลาดเฉลียวกล้าหาญ! สวรรค์จะต้องคุ้มครองแน่ขอรับ!” หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้วยฝีเท้ารวดเร็วไม่หันหน้ากลับมา


ถาวจวินหลันหัวเราะ ประคองเก้าอี้ลุกขึ้นมาด้วยตนเอง หงหลัวคิดจะยื่นมือออกไปประคองนาง แต่ถาวจวินหลันกลับบอกให้นางหลบไป พลางสั่งเสียงเบา “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม้ว่าเจ้าจะอยู่ใกล้ข้าระดับสามก้าวได้ แต่ก็ไม่อนุญาตให้สัมผัสข้า”


หงหลัวตะลึงไป จากนั้นดวงตาก็เริ่มแสบร้อน น้ำตาแทบจะไหลอย่างไม่อาจควบคุม


ถาวจวินหลันพยายามใช้แรงของตนเองประคองเก้าอี้แล้วลุกขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ ลากขาอ่อนแรงของตนเดินเข้าไปข้างใน เวลานี้นางยืนไม่ได้นั่งไม่ไหวแล้วจริงๆ พอได้นอนนิ่งๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย


พูดตามจริงแล้ว เรื่องวันนี้กะทันหันเกินไป นางแทบจะไม่ได้เตรียมใจไว้เลย เมื่อวานนี้นางยังคิดว่าหากโรคระบาดแพร่กระจายออกไปจะทำเช่นไร หากมีใครสักคนในจวนเกิดป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่คิดไม่ถึงว่าความคิดของนางได้เกิดขึ้นจริงแล้วที่นี่ และที่ยิ่งคาดไม่ถึงก็คือคนคนนั้นยังเป็นตัวนางเองด้วย


ช่างเป็นการเยาะเย้ยถึงที่สุด และน่าแปลกใจเหลือเกิน


กลัวตายอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าต้องกลัว ถาวจวินหลันนอนนิ่งอยู่บนเตียง รู้สึกว่าทั้งร่างเย็นเฉียบไปหมด กระทั่งหน้าอกก็แทบไม่เหลือความร้อนของลมหายใจเลยแม้แต่น้อย นางรู้สึกเพียงแค่ว่าตนเองเหมือนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะในวันที่หนาวที่สุด ทั่วทั้งร่างเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้


สุดท้ายแล้วนางก็ขดตัวเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ กอดข้อศอกของตนเองเอาไว้ ใช้โอกาสนี้ทำให้ตนเองอุ่นขึ้นเล็กน้อย ด้วยเป็นเช่นนี้ ร่างกายของนางจึงสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่


ถาวจวินหลันอดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าตัวนางเองจะมีช่วงเวลาหวาดกลัวถึงเพียงนี้ด้วย นางยังคิดว่าตนเองรับมือกับทุกเรื่องได้อย่างไม่มีปัญหา และรักษาความสงบเยือกเย็นของตนเองเอาไว้ตลอด


แต่คิดไม่ถึงว่าพอได้สัมผัสกับเรื่องนี้จริง ไม่ต้องพูดถึงความสงบเยือกเย็น นางคิดอยากจะหยุดอาการสั่นสะท้านนี้แต่ว่าแรงกายก็ไม่สู้แรงใจ นางทำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ความหวาดกลัวนั้นผุดออกมาจากก้นบึงหัวใจของนาง นางควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ และนางยิ่งละเลยไปไม่ได้


เรือนเฉินเซียงปิดเรือนกะทันหัน ข่าวนี้ย่อมปิดบังไม่ได้้


เจียงอวี้เหลียนรู้ข่าวนี้อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่เพราะว่าไม่รู้ ดังนั้นนางถึงคาดเดาอย่างแปลกใจ


ไม่เพียงแค่เจียงอวี้เหลียน แม้แต่คนอื่นภายในจวนก็คิดเช่นเดียวกัน ไม่เพียงแค่เจ้านาย แล้วยังมีบรรดาบ่าวรับใช้ของจวนตวนชินอ๋องอีกด้วย


แต่ทุกคนก็ไม่คิดว่าสาเหตุมาจากโรคระบาด


หลี่เย่กลับรู้ข่าวนี้อย่างรวดเร็ว เขาตกใจจนแทบจะขยุ้มหนังสือราชการในมือยับ พอได้สติกลับมาก็ไม่สนใจถามรายละเอียด เขารีบก้าวเดินออกไปข้างนอกตามสันชาตญาณ


หวังหรูจับหลี่เย่เอาไว้ทันที แล้วรีบพูดกล่อมว่า “ท่านคิดจะทำอะไร?”


หลี่เย่นิ่งไป แม้จะเข้าใจความหมายของหวังหรู แต่ก็ยังก้าวขาออกไปอย่างมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง หวังหรูเซตามแรงของหลี่เย่ไปสองสามก้าว


เมื่อรับรู้ความคิดของหลี่เย่ หวังหรูก็ตกใจรีบใช้แรงทั้งหมดที่มีมารั้งหลี่เย่เอาไว้ แล้วพูดเสียงดังว่า “ได้โปรดอย่าเลอะเลือนเลยพ่ะย่ะค่ะ! แม้ว่าท่านจะกลับไป ชายารองถาวก็ไม่มีทางพบท่านเป็นแน่! ท่านไม่รู้หรือว่าชายารองถาวสั่งให้คนปิดประตูเรือนไว้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!”


หลี่เย่หน้าขรึมลง พูดออกมาเสียงเย็น “ปล่อย!” เพราะรู้ว่าเรือนเฉินเซียงปิดเรือนไปแล้ว เขาถึงอยากกลับไปดูเสียหน่อย เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นแท้ๆ แต่ถาวจวินหลันกลับยังสงบเยือกเย็น คำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ช่างทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจ เขาคิดอยากให้ถาวจวินหลันไม่ต้องรู้ความและใจเย็นขนาดนี้เลย


ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องกลับไปดูถาวจวินหลัน


แต่ตอนนี้ไฉนเลยหวังหรูจะกล้าปล่อยมือ?  เขากลับยิ่งรัดแน่นมากขึ้น และกล่อมปากเปียกปากแฉะว่า “แม้ว่าท่านจะไม่ใส่ใจ แต่อย่างน้อยก็อย่าขัดความตั้งใจของชายารองถาวเลยพ่ะย่ะค่ะ!”


หลี่ไม่ฟังแม้แต่คำเดียว แต่กลับสะบัดถีบหวังหรูออกไป พลางพูดอย่างเดือดดาล “หุบปาก! พูดอีกคำเดียวก็ไม่ต้องมาอยู่กับข้าอีก!”


สุดท้ายแล้วก็เพราะดูแลปรนนิบัติเขามาตั้งแต่เด็ก แม้จะบอกว่าถีบหวังหรูเพราะความใจร้อน แต่หลี่เย่ก็ยังคงมีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่ ไม่ได้ออกแรงสุดตัว เพียงแค่ใช้แรงพอให้สะบัดหวังหรูหลุดเท่านั้น


หวังหรูเซไปอีกข้างหนึ่ง แต่ก็ต้องขัดขวางหลี่เย่ที่ก้าวยาวพุ่งออกไปให้ได้


หวังหรูทุบพื้นเต็มแรง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาจากพื้น แต่ยังไม่ทันได้ปัดฝุ่นออกฝีเท้าวิ่งตามไป หลี่เย่ก็ก้าวยาวและรวดเร็วออกไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงมีระยะห่างพอประมาณ ไม่สามารถไล่ตามทันได้เลย


พอออกมาจากห้องแล้ว คนภายในเรือนเดินกันไปมา หวังหรูก็ไม่อาจฉุดกระฉากลากถูกับหลี่เย่อีก เพียงแค่เดินตามหลี่เย่อย่างใกล้ชิด พูดเกลี่ยกล่อมไม่หยุด


แต่ก็ต้องจนปัญญาเพราะหลี่เย่ไม่ฟังเสียงรอบข้างเลยแม้แต่คำเดียว ไม่ใช่แค่ไม่ฟัง แต่กำลังเหม่อลอยเอาแต่คิดถึงถาวจวินหลัน ไม่รู้ว่าว่าสถานการณ์ของเรือนนเฉินเซียงเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่รู้ว่านางจะกลัวหรือไม่? ไม่รู้ว่าในใจของนางจะคิดอย่างไร?


หลี่เย่คิดเช่นนี้มาตลอดทาง แม้แต่รถม้าก็ไม่นั่ง เขาไปที่โรงม้าแล้วเลือกม้ามาตัวหนึ่ง เขาขึ้นหลังม้าแล้วควบตรงไปทางจวน ไม่สนใจแม้กระทั่งที่นี่คือสำนักว่าการ และยิ่งไม่สนใจคนที่เดินไปเดินมาในสำนักว่าการ


ยิ่งไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาแปลกประหลาดของคนอื่น


หวังหรูรู้ว่าอาศัยแค่ขาสองข้างคงไล่ตามไม่ทันแน่นอน จึงได้แต่ขออภัยทีหนึ่งแล้วเลือกม้าตัวหนึ่งวิ่งตามไป ถ้าหากหลี่เย่เป็นอะไรไป เขาที่เป็นลูกน้องข้างกายก็มีแค่ทางเลือกเดียวให้เดิน!


แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขากลัวตายถึงทำแบบนี้ ที่มากไปกว่านั้นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวที่มีมาหลายปีนี้ ทำให้เขาไม่อาจมองหลี่เย่วิ่งเข้าไปพบเจออันตรายได้


จากสายตาของหวังหรู ยามนี้จวนตวนชินอ๋องไม่ได้ต่างอะไรจากสถานที่อันตราย


หวังหรูคิดแล้วก็โบยม้าไปเต็มแรงอีกทีหนึ่ง ม้าของเขาตัวนี้เทียบกับของหลี่เย่ไม่ได้ ไม่สามารถไล่ตามได้ทัน อีกทั้งที่นี่คือเมืองหลวง เขาที่เป็นบ่าวเพียงคนหนึ่งขี่ม้าเช่นนี้…สุดท้ายแล้วก็ไม่สู้หลี่เย่ที่มีพื้นฐานเช่นนั้น จะได้กล้าควบม้าอย่าบ้าคลั่งไม่หวาดกลัว


ตอนที่เห็นว่าใกล้ถึงจวนตวนชินอ๋องแล้ว หวังหรูที่ยังไล่ตามหลี่เย่ไม่ทันจนตัวเองยอมแพ้แล้ว กลับมีกองทหารองครักษ์เกราะเหล็กพุ่งออกมาจากด้านข้างขัดขวางหลี่เย่เอาไว้


หลี่ทำได้แค่ดึงบังเ**ยนม้าเอาไว้ ม้าตัวนั้นเจ็บจนแทบสะท้านไปทั้งร่าง จึงฝืนหยุดเท้าลง


หลี่เย่หรี่ตามองหอกยาวในมือของทหารองครักษ์ พร้อมพูดเสียงเย็น “พวกเจ้าทำอะไร? ขัดขวางข้าทำไม?”


หัวหน้าทหารองครักษ์ก้าวขึ้นมา ทำความมเคารพหลี่เย่อย่างนอบน้อมพลางตอบว่า “เรียนท่านอ๋อง ฮ่องเต้สั่งเอาไว้ ท่านไม่อาจกลับจวนตวนชินอ๋องได้ และไม่อนุญาตให้คนภายในจวนออกมาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”


สีหน้าของหลี่เย่ดำคล้ำไปในทันใด 

 

 


บทที่ 440 ใจเย็น

 

​สีหน้าของหลี่เย่ดำคล้ำลงทันที สุดท้ายก็หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “เสด็จพ่อจะออกคำสั่งเช่นนี้ได้อย่างไร? นี่คือบ้านของข้า ทำไมข้าจะกลับไปไม่ได้?”


หัวหน้าองครักษ์ไม่ได้พบหลี่เย่เป็นครั้งแรก แต่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหลี่เย่มีท่าทีเช่นนี้ จึงตะลึงไปเล็กน้อย องค์ชายรองที่ดุจดั่งเทพเซียนไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงเรื่องความอ่อนน้อมอย่างนั้นหรือ? ทำไมตอนนี้ถึงได้มีท่าทีคล้ายกับฮ่องเต้องค์ก่อนเล่า?


นิสัยของฮ่องเต้องค์ก่อนมีชื่อเสียงในเรื่องเฉียบขาดไร้เยื่อใย และยังมีหน้าตาท่าทีน่ากลัว หากบันดาลโทสะขึ้นมา ก็ไม่มีคนกล้าต่อต้านเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นคนที่ออกสนามรบมาก่อน เมื่ออำนาจเหล่านั้นแผ่ออกมาจากร่างกายก็ชวนให้หวาดกลัวเสียจริง อีกอย่างเมื่อฮ่องเต้องค์ก่อนกริ้วก็เคยฆ่าสังหารคนในวังหลวงกว่าร้อยคนมาแล้ว


ท่าทีเย็นเยียบของหลี่เย่ที่ไล่บี้ถามเหมือนกับฮ่องเต้องค์ก่อน แม้ว่ารูปลักษณ์จะไม่เหมือนกัน แต่ท่าที บรรยากาศกลับเหมือนอย่างมาก


หลังจากหัวหน้าองครักษ์เหลือบมองทีหนึ่งแล้ว ก็ไม่กล้ามองอีก แต่เขาได้รับคำสั่งมาย่อมต้องไม่รู้สึกใจฝ่อ เพียงแค่พูดว่า “พวกข้าน้อยได้รับคำสั่งมาพ่ะย่ะค่ะ ขอตวนชินอ๋องอย่าทำให้พวกข้าน้อยลำบากใจเลย”


เมื่ออยู่ต่อหน้าตวนชินอ๋อง หัวหน้าองครักษ์ย่อมไม่กล้าถือตัว ท่าทีนั้นเต็มไปด้วยความเคารพ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีสาเหตุมาจากบรรยากาศรอบตัวของหลี่เย่


หลี่เย่รู้สึกหงุดหงิด แม้แต่ม้าที่อยู่ด้านล่างก็ยังรับรู้ได้ ยืนขยับกีบเท้าอยู่กับที่ด้วยรู้สึกไม่สงบ พ่นลมออกจากจมูกไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่งหลี่เย่ถึงสูดลมหายใจเข้าลึก พลางถามว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าถามเจ้า เหตุผลคืออะไร? ในเมื่อจะปิดจวนตวนชินอ๋อง ก็คงจะต้องมีสาเหตุสักอย่างหนึ่ง”


หัวหน้าองครักษ์ย่อมต้องคาดมาก่อนแล้วว่าจะถูกถามเช่นนี้ จึงรีบตอบว่า “ในเมื่อท่านอ๋องรีบกลับจวนมาอย่างเร่งรีบ คิดว่าคงจะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นภายในจวนมาบ้างแล้ว เรื่องนี้ใหญ่นัก ฮ่องเต้จึงทำได้แค่ออกคำสั่งเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”


คำพูดนี้พูดออกมาอย่างชัดเจน สาเหตุเป็นเพราะโรคระบาด


ดวงตาของหลี่เย่มืดลง ครั้งนี้เขาควบคุมเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่ได้แสดงออกมา เขาคิดไม่ถึงว่าข่าวจะกระจายมาเร็วขนาดนี้ การเคลื่อนไหวภายในวังหลวงก็เร็วเช่นนี้ ตั้งแต่ที่รู้ว่าถาวจวินหลันได้รับเชื้อโรคระบาด เวลาเพิ่งผ่านไปนานเท่าไรกัน? การเคลื่อนย้ายคนภายในวังหลวงก็ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน


“หากท่านอ๋องต้องการกลับจวนจริง เกรงว่าจะต้องเข้าวังหลวงไปทูลขอแล้ว” หัวหน้าองครักษ์เห็นหลี่เย่ไม่พูดจา ก็กลัวว่าหลี่เย่จะบีบบังคับพวกเขาอีก จึงรีบพูดเกลี่ยกล่อมเล็กน้อย


หลี่เย่ได้สติกลับคืนมา สายตาดุดันมองไปทางหัวหน้าองครักษ์ จนฝ่ายตรงข้ามต้องก้มหน้าลงไป เขาถึงได้พูดเนิบๆ ว่า “ในเมื่อจะปิดจวน ก็รักษาความปลอดภัยของจวนอ๋องให้ดี อีกทั้งหากคนภายในจวนต้องการสิ่งใด ก็อย่าได้ขัดขวาง แค่เพียงไม่อนุญาตให้เข้าออกก็พอแล้ว”


แม้จะบอกว่าเข้าใจดีว่าทหารองครักษ์ไม่มีทางกล้าทำให้จวนตวนอ๋องลำบาก แต่หลี่เย่ก็ยังอดกำชับอีกรอบไม่ได้


หัวหน้าทหารองครักษ์ได้ยินเช่นนี้ ก็ผ่อนลมหายใจออกมาในทันใด ควบคุมอาการอยากปาดเหงื่อที่ใกล้จะไหลลงมาของตนอย่างสุดกำลัง เขายิ้มและพูดว่า “ข้าน้อยจะกล้าได้อย่างไร? ท่านอ๋องวางใจ มีพวกข้าน้อยอยู่ ตวนอ๋องจะต้องไม่มีปัญหาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”


หลี่เย่ควบคุมความหงุดหงิดภายในใจเอาไว้ หยักหน้าพลางหันหลังควบม้ากลับไป เขารู้ดีแก่ใจว่าหากเขาจะบุกเข้าไปจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เขาคิดถึงประโยคนั้นของหวังหรู อย่าได้ทำลายน้ำใจของชายารองถาว


ทำไมถาวจวินหลันถึงได้ปิดเรือนเฉินเซียง? ก็ด้วยไม่ยินยอมให้เขาต้องตกอยู่ในอันตรายไปด้วยกัน ไม่ยอมให้คนมาติฉินนินทาจวนตวนชินอ๋อง นางกำลังคิดเผื่อเขา หากวันนี้เขาบุกเข้าไปด้วยไม่สนใจสิ่งใด ไม่เพียงแค่ฮ่องเต้จะคิดว่าเขาทำตัวไม่รู้ความ ก็ยิ่งเป็นการทำร้ายความตั้งใจของถาวจวินหลัน


อีกอย่าง แม้ว่าเขาจะกลับเข้าไปในจวนแล้ว ถาวจวินหลันจะยอมพบเขาอย่างนั้นหรือ? เขาเข้าใจถาวจวินหลันดี คนที่ดูแล้วเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่หากตัดสินใจเรื่องใดไปแล้ว ก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจเป็นแน่


นางไม่มีทางมาพบเขา


อีกทั้งหากเขาเข้าไปจริง เกรงว่าจะออกมาไม่ได้อีกแล้ว ฮองเฮาจะต้องฉวยโอกาสครั้งนี้เอาไว้ พยายามกดเขาลงไปอย่างสุดความสามารถ ถึงตอนนั้นรอจนเขาออกมาจากจวนตวนชินอ๋อง สถานการณ์ด้านนอกก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรแล้ว


พอคิดให้ดีอล้ว เขาไม่ควรเข้าไปเสี่ยงอันตรายครั้งนี้


ยิ่งคิดมากขึ้น การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวไม่สนใจอะไรของเขาก็ยิ่งสลายหายไปเร็วมากขึ้น ความเป็นกังวลอันหนักหน่วงรั้งคอเขาเอาไว้ ทำให้เขาแม้แต่จะยกเท้าก็ยกไม่ขึ้น และไม่กล้าจะก้าวออกไป


สุดท้ายแล้วสติปัญญาก็ยังอยู่เหนือกว่า ความบุ่มบ่ามตั้งแต่ตอนแรกพลันหายไปย่างไร้ร่องรอย


ตอนที่หมุนร่างกลับไป หลี่เย่ไม่กล้าแม้แต่จะมองจวนตวนชินอ๋อง เพียงแค่หัวเราะเยาะตนเองที่ขี้ขลาดเหมือนหนู


หวังหรูเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ถอนหายใจแรง ตามจริงแล้ว เขากลัวจริงๆ ว่าหลี่เย่จะบุกเข้าไปโดยไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย ผลลัพธ์ที่จะเกิดตามมา ไม่ว่าใครก็รับไม่ไหว หลี่เย่ดึงสติกลับมาได้ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่อย่างนั้น


แต่เขาเองก็รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของหลี่เย่ผิดปกติ จึงกล้าแค่จูงม้าของตนตามหลี่เย่ไป และไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว


ไม่ว่าตอนนี้จะพูดอะไรกับหลี่เย่ไปก็ไร้ประโยชน์ หวังหรูลอบคิดในใจ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบาๆ ปกติแล้วหลี่เย่ใส่ใจเรือนเฉินเซียงมากเพียงใด เขาเองก็รู้ และก็เพราะว่ารู้ ดังนั้นถึงได้เข้าใจความรู้สึกของหลี่เย่


พูดตามความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้หวังหรูก็แค่รู้สึกว่าถาวจวินหลันเป็นคนดี ถือว่าคู่ควรกับท่านอ๋อง แต่มาถึงตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าถาวจวินหลันควรค่าแก่ความรักและความทุ่มเทของหลี่เย่ ไม่ต้องพูดถึงชายารอง หากได้เป็นชายาเอกก็ยังควรคู่


ใต้หล้านี้จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่พอรู้ว่าตนเองติดโรคระบาดมา แล้วสั่งปิดเรือนของตนเองในทันที ปิดกั้นตัวเองเอาไว้คิดจะปล่อยไปตามธรรมชาติ? เกรงว่าหาจนทั่วก็คงหาได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น


ผู้หญิงส่วนใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้ชายต่างก็ขี้ขลาดกลัวตาย ยามนี้เกรงว่าสิ่งแรกที่คิดได้คงไม่ใช่การกักตัวเพียงลำพังอย่างแน่นอน แต่ต้องรีบหาหมอหายา แล้วหาสักคนมาระบายความทุกข์ แม้ว่าจะไม่กล้าไปหาใคร แต่ก็คงไม่ปิดเรือนของตัวเองอย่างแน่นอน


สุดท้ายหลี่เย่ก็เลือกกลับเข้าไปในวังหลวง ไม่ใช่เพื่อขอร้องฮ่องเต้เพื่อเข้าจวน แต่คิดอยากจะขอหมอหลวงไปให้ถาวจวินหลัน ในเมื่อปิดเรือนไปแล้ว เกรงว่าตอนนี้คงไม่สามารถขัดขืนได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น


แน่นอนว่าเขารู้สึกโกรธแค้นคนที่ทำให้ถาวจวินหลันตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้


แต่เขายังไม่ได้ถามสถานการณ์โดยละเอียด พอตอนนี้คิดขึ้นมาได้ ก็คงต้องไปถามให้รู้เรื่อง


พอได้ยินมาว่าเป็นจดหมายจากนางกำนัลข้างกายฮองเฮาคนหนึ่ง สีหน้าของหลี่เย่ก็ดำคล้ำลงไป


หลังจากเข้าไปในวังหลวงแล้ว หลี่เย่ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังไม่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ทว่าตรงไปพบไทเฮาก่อน


เรื่องที่ทหารองครักษ์ปิดจวนตวนชินอ๋องย่อมได้ยินถึงภายในจวนตวนชินอ๋อง แม้แต่ถาวจวินหลันก็ยังได้ยินข่าวนี้


พอฟังคำรายงานของหงหลัวแล้ว ถาวจวินหลันก็ค่อยฟื้นแรงกลับคืนมา อย่างน้อยก็หยุดความหวาดหวั่นและหวาดกลัวในใจได้ นางพยายามทำใจให้เย็น แม้ว่าจะยังรู้สึกหวดกลัวไม่เปลี่ยน แต่ก็ไม่ได้ตกใจขนาดนั้นแล้ว


ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะเสียงเย็น “การเคลื่อนไหวภายในวังหลวงครั้งนี้เร็วนัก แต่ไม่ได้ลากข้าออกไปเผาทั้งเป็นเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ก็น่าประหลาดใจมากแล้ว”


หงหลัวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจ รีบพูดว่า “ชายารองพูดอะไรเจ้าคะ? จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? อีกทั้งนี่ก็ยังไม่แน่นอน อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะเจ้าคะ พวกเราเพียงแค่หวาดกลัวไปเองก็เท่านั้น”


เห็นว่าหงหลัวปลอบประโลมตนเองเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ข้ายิ่งมีชีวิตยิ่งย้อนกลับไป สู้ไม่ได้​แม้แต่เจ้า” หงหลัวไม่เห็นจะมีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้ แต่นางกลับตกใจจนมีสภาพเช่นนี้


หงหลัวยิ้ม แม้จะบอกว่ารอยยิ้มไม่สดใสเหมือนในยามปกติ แต่อย่างไรก็ยังยิ้มได้ หงหลัวเห็นก็พูดว่า “แม้ตอนที่ถูกขายมายังอายุน้อย แต่บ่าวก็ยังพอจำอะไรได้บ้าง ตอนนั้นบ้านเกิดของบ่าวก็เกิดโรคระบาด คนจนไม่อาจไปรักษา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถุงเครื่องหอมป้องกันพิษเลยเจ้าค่ะ เมื่อสัมผัสกันแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะต้องติดเชื้อ ดังนั้นแม้ว่าโรคระบาดจะน่ากลัว แต่ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนะเจ้าคะ”


ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าหงหลัวเคยผ่านเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน จึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่ก็เข้าใจที่หงหลัวพูดกล่อมนางเช่นนี้โดยเร็ว จึงหัวเราะเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดก็ถูก เพราะว่าเหตุผลนี้ ต่อให้สัมผัสกัน อย่างไรก็เป็นแค่การสัมผัสสิ่งของที่หลี่ว์หลิ่วเคยสัมผัสเท่านั้น ยังไม่ได้พูดคุยกันต่อหน้า ไฉนเลยจะน่ากลัวปานนั้น”


เมื่อพูดเช่นนี้นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย ความกดดันก็ลดน้อยไปมากเช่นกัน


ถาวจวินหลันกลับนึกถึงหลี่เย่ได้ จู่ๆ ก็รู้สึกไม่พอใจ “ลืมกำชับให้คนไปบอกความท่านอ๋องเสียแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่” ขอให้หลังจากเขารู้เรื่องนี้แล้ว อย่าได้บุ่มบ่ามทำเรื่องอะไรก็แล้วกัน


แต่เมื่อนางคิดว่าตอนนี้ได้ปิดจวนแล้ว ต่อให้หลี่เย่อยากจะเข้ามาก็ไม่มีทางเป็นไปได้ จึงถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง นางรู้จักหลี่เย่ดี หลี่เย่รู้จักควบคุมตนเองและมีความอดทน ปฏิบัติกับคนอื่นด้วยความใจเย็นรอบคอบ ต่อให้ตอนแรกอาจจะมุทะลุบุ่มบ่าม แต่พอสงบจิตสงบใจลงแล้ว ก็จะผ่อนคลายลง


ถาวจวินหลันถอนหายใจ แล้วหัวเราะออกมา “แต่ยังดีที่ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูไม่ได้อยู่ในจวน” มิเช่นนั้นตอนนี้นางคงยิ่งรู้สึกไม่ดี และเป็นกังวลมากขึ้น


พูดไม่น่าฟังก็คือต่อให้เป็นโรคระบาดจริง อย่างน้อยซวนเอ๋อร์กับหมิงจูก็จะไม่เป็นอะไร แม้ว่านางจะต้องตายหรือรู้สึกเสียใจ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเสียใจมากนัก นอกจากตัดใจจากหลี่เย่และลูกหญิงชายคู่หนึ่งไม่ลงแล้วเรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรอีก ถาวจิ้งผิงและถาวซินหลันต่างก็ออกเรือนไปหมดแล้ว อีกทั้งยังถือว่าสมบูรณ์แบบ ต่อให้นางตายไปพบท่านพ่อท่านแม่นางก็ไม่รู้สึกระอายใจ


หงหลัวเห็นถาวจวินหลันฟื้นแรงกลับมาได้เล็กน้อย นางก็รู้สึกดีใจจากใจจริง หลังจากลอบถอนหายใจเล็กน้อยแล้ว นางก็ลองพูดสิ่งที่ตนเองคาดเดาออกมา “ชายารองไม่รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้บังเอิญเกินไปหรือเจ้าคะ?”


ถาวจวินหลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปทางหงหลัวทีหนึ่ง “ว่าอย่างไรกัน? เจ้าคิดว่ามีตรงไหนบังเอิญ? อาการป่วยของหลี่ว์หลิ่ว หรือว่าฉ่ายยวนนำของมาให้ข้าเวลานี้พอดี?”


หงหลัวเม้มริมฝีปาก “ในเมื่อชายารองพูดเช่นนี้ คิดว่าจะต้องคิดมาบ้างแล้วเป็นแน่ บ่าวคิดว่าบังเอิญเกินไป ไฉนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ เอาของมาให้เมื่อไรไม่มา แต่ต้องมาในเวลานี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ไม่มีคนรู้หรือว่าสนมในวังหลวงคนนั้นป่วยเป็นโรคอะไร? ทำไมถึงเพิ่งบังเอิญตรวจพบวันนี้” 

 

 


บทที่ 441 เข้มงวด

 

​ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายที่หงหลัวต้องการสื่อ ความจริงแล้วนางเองก็เคยสงสัยเช่นนั้น เพียงแค่…  “แม้ว่าจะสงสัย แต่ก็หาเหตุผลมารองรับไม่ได้ อย่างแรกฉ่ายยวนก็ต้องสัมผัสหลี่ว์หลิ่วมาก่อนแล้ว แต่คงไม่มีใครคิดหรอกว่าฉ่ายยวนจะยอมแบกความผิดแล้วลากข้าไปตายด้วย อย่างที่สองวันนี้ที่ฉ่ายยวนมาก็ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ถ้าหากจะเอาเรื่องกับนาง นางก็จะไร้ข้อสงสัยแม้แต่น้อย”


หงหลัวเม้มปาก “แต่หากเป็นความจริง”


“ต่อให้เป็นความจริงข้าเองก็จนปัญญา” ถาวจวินหลันหัวเราะเฝื่อนๆ “ยามนี้ข้าถูกขังอยู่ในเรือนเฉินเซียง จะไปทำอะไรได้อีก? แม้ว่าจะคิดหาวิธีไปบอกท่านอ๋องได้ แต่ก็มีแต่ทำให้ท่านอ๋องยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้นเอง”


หากเป็นแผนของฮองเฮา หลี่เย่รู้แล้วจะทำอะไรได้? ไม่มีหลักฐานเอาผิด หลี่เย่เองก็ไม่มีความสามารถมากพอจะทำได้ กลับยิ่งให้เขารู้สึกโมโหคิดแค้นอีกต่างหาก หากสูญเสียสติสัมปชัญญะและมารยาทไปเพราะเรื่องนี้ และทำเรื่องที่ไม่สมควรขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งได้ไม่คุ้มเสีย


ต่อให้นางไม่พอใจมากเท่าไร คิดอยากจะแก้แค้นอย่างไร นั่นก็ยังต้องรอวันที่ได้ออกไป ไม่ต้องพูดว่าตอนนี้ออกไปไม่ได้ แค่คิดอยากจะถ่ายทอดข่าวสารออกไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย


อย่างไรทหารองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็ไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหาร คนภายในจวนออกไปไม่ได้ สิ่งของก็ส่งออกไปไม่ได้ ย่อมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว


หงหลัวได้ยินเช่นนั้นก็กัดริมฝีปากอย่างหงุดหงิด


ถาวจวินหลันหลุบตาลง พูดว่า “ให้ห้องครัวเตรียมอาหารรสอ่อนเสียหน่อย ข้าเริ่มหิวแล้ว” ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้สึก ตอนนี้อาจติดเชื้อโรคระบาดมาแล้ว นางกลับไม่สามารถปล่อยปะละเลยได้


หากสุขภาพย่ำแย่ แล้วหากโรคระบาดมาจริง นางจะสู้ไหวได้อย่างไรกัน? ไม่ว่าอย่างไรสุขภาพแข็งแรงถึงจะมีโอกาสต่อต้านมิใช่หรือ?


ต่อให้อยากมีชีวิตต่อเพื่อออกไปพบหลี่เย่และลูกๆ หรือออกไปแก้แค้นก็ดี นางจะไม่ยอมล้มอยู่ที่นี่


ในเมื่อต้องการมีสุขภาพแข็งแรง เช่นนั้นอาหารการกิน การบำรุงในแต่ละวันก็ไม่อาจละเลยเหมือนก่อนหน้านี้ได้


ไม่รู้ว่าทำไมถาวจวินหลันพลันนึกถึงฮองเฮาได้ ตอนนั้นฮองเฮาถูกฮ่องเต้ริบอำนาจดูแลวังหลวงไป และให้ตัวนาง ‘รักษาร่างกาย’ อยู่ในวังหลวงครู่หนึ่ง ทุกคนล้วนพูดว่าครั้งนี้ฮองเฮาคงจะต้องรามือไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าฮองเฮากลับใช้โอกาสนี้บำรุงรักษาร่างกายใหม่ ตอนที่ปรากฏตัวมาอีกครั้งกลับดูกระฉับกระเฉงมากกว่าเดิม


หงหลัวสั่งผ่านประตูออกไป จากนั้นก็กลับมาเห็นสีหน้าครุ่นคิดของถาวจวินหลัน จึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวน เพียงแค่นั่งนิ่งอยู่กับที่ ก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องที่ทำไม่เสร็จ ตอนนี้ถูกกักอยู่ภายในห้อง นางกลับรู้สึกโหวงเหวง ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร


ในใจยังแอบคิดว่า หากใกล้ตายจริงแล้วจะทำเรื่องนั้นอยู่ทำไม? ยังมีความหมายอะไรอีกหรือ?


ที่จริงแล้วแม้ปากจะพูดอย่างง่ายดาย แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจของหงหลัวก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ด้วยยังจำภาพสถานการณ์ตอนเป็นเด็กได้ ดังนั้นนางจึงยิ่งขลาดกลัวมากกว่าเดิม แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของถาวจวินหลัน นางจะกล้าแสดงท่าทีขลาดกลัวได้อย่างไร? ไม่เพียงแค่ไม่กล้าแสดงออกมา แล้วยังทำได้แค่ฝืนยิ้มปลอบประโลมถาวจวินหลัน ถาวจวินหลันจะได้ฮึดสู้ใหม่


ไม่ใช่ว่านางหมดหวังหรือคิดว่าตนเองโชคร้าย แต่ก่อนจะรู้ผลแน่ชัด เกรงว่านางคงจะต้องทนอย่างนี้ต่อไป


หงหลัวแอบคิดอย่างมืดมนว่า ถ้าจะต้องทนทรมานเช่นนี้ ไม่สู้ตัดใจไปให้เร็ว จะได้สบายใจเสียหน่อย


ตอนที่ถาวจวินหลันและหงหลัวไม่พูดไม่จาครุ่นคิดเรื่องของตนเองอยู่นั้น หลี่เย่ก็ไปเข้าเฝ้าไทเฮา


ไม่รู้ว่าไทเฮาสับสนหรืออย่างไร เมื่อได้ยินเสียงรายงานก็ผ่อนคลายลงทันที รีบพูดว่า “รีบให้ตวนชินอ๋องเข้ามา”


หลี่เย่ไม่รอให้นางกำนัลถ่ายทอดคำพูด ก็ก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ดูมีท่าทีคล้ายกับซวนเอ๋อร์ ซวนเอ๋อร์นอกจากไปที่วังของฮองเฮาแล้ว ปกติก็จะวิ่งพุ่งเข้าไป ไม่เคยรอให้นางกำนัลเอ่ยรายงาน


แต่เห็นได้ชัดว่าไทเฮาไม่มีแรงมาสนใจเรื่องนี้ นางมองพิจารณาหลี่เย่อย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็พยักหน้าถอนหายใจโล่งอก “ข้ากลัวว่าเจ้าจะใจร้อนทำเรื่องพลีพลาม ดูท่าทางจะยังทัน”


เมื่อได้ยินไทเฮาพูดเช่นนี้หลี่เย่ก็เข้าใจทันที เขาก็รู้ว่าไทเฮาต้องมีเอี่ยวเรื่องทหารองครักษ์ไม่ให้เขาเข้าจวนแน่ เขาจึงเอ่ยปากถามไทเฮาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ทหารองครักษ์ห้ามข้าเอาไว้ เป็นคำสั่งของเสด็จย่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เขาร้อนใจ น้ำเสียงจึงไม่ได้ดีนัก แม้ว่านิสัยยังดูอ่อนโยน แต่ก็แตกต่างจากปกติมากนัก


ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หน้าดำคล้ำทันที น้ำเสียงเย็นขึ้นหลายส่วน “เป็นคำสั่งของข้าเอง”


หลี่เย่เอ่ยปาก แต่เดิมตั้งใจจะถามไทเฮาว่าทำไปเพราะเหตุใด แต่เมื่อมองสายตาเย็นเยียบของไทเฮา เขากลับเหมือนคนถูกสาดน้ำเย็นเข้าอย่างจัง คำพูดที่เหลือหายกลับเข้าไปในลำคอ


ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องถาม เขาเองก็รู้ดีแก่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าความปลอดภัยของเขาเอง ไทเฮากลัวว่าเขาจะบุ่มบ่ามมุทะลุบุกเข้าจวนอ๋องไป ไม่เพียงแค่เสี่ยงอันตราย แล้วยังทำให้คนไม่ชอบใจด้วย


ไทเฮาทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการคิดเผื่อเขา ด้วยเขารู้ดีแก่ใจ ดังนั้นจึงไม่พูดคำพูดที่เหลือออกมา จะถามทำไม? ถามไปก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม กลับยิ่งทำลายน้ำใจของไทเฮาด้วย


หลี่เย่หัวเราะขมขื่น ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา เขาตัดสินใจนั่งลงไป ยกชาขึ้นมาจิบช้าๆ สงบจิตใจ ที่จริงแล้วเขาไม่ได้มาไล่ถามใคร ถามไปให้ได้อะไรขึ้นมา ยังไงเรื่องราวก็ยังคงไม่เปลี่ยนจากเดิม


“ที่จริงแล้วถาวซื่อก็ปิดประตูเรือนของตนเองก่อนแล้ว และจัดการเรื่องทุกอย่างเหมาะสม ที่ส่งทหารองครักษ์ไปดูจะโดดเด่น และดึงดูดสายตาไปหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่พูดช้าๆ


ไทเฮาเห็นว่าเขายอมลงให้ จึงอ่อนลงหลายส่วน “แต่ไม่ทำเช่นนี้พวกเขาจะขัดขวางเจ้าได้อย่างไร?”


หลี่เย่เห็นไทเฮามีท่าทีเช่นนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องเหล่านี้ จึงพูดแค่เพียงประเด็นหลักเท่านั้น “ในเมื่อถาวซื่อปิดเรือน ก็คงไม่ยอมออกมาเจอข้าแน่พ่ะย่ะค่ะ ต่อให้ข้าเข้าไปในจวนก็เสียเปล่า พูดไปแล้ว ข้ายังเด็ดขาดสู้นางไม่ได้ด้วยซ้ำ เวลานี้ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของนางเป็นเช่นไร ดังนั้นข้าถึงอยากให้เสด็จย่าช่วยเชิญหมอหลวงไปดูนางพ่ะย่ะค่ะ”


เชิญหมอหลวงไปดูอาการไว้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำให้นางได้ และสิ่งที่จวนขาดแคลนมากที่สุดก็คือหมอ แต่หมอธรรมดาไฉนจะสู้หมอหลวงได้? แม้จะรู้ว่าหมอหลวงก็ไม่มีเวลาว่างเช่นกัน แต่เขาสนใจคนอื่นที่ไหนกัน? ขอแค่ถาวจวินหลันปลอดภัย ต่อให้คนอื่นตายไปเป็นหมื่นเป็นแสน เขาเองก็ไม่สนใจ แม้ว่าจะเป็นบาป แต่ให้เขาแบกไว้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว


ไทเฮาเม้มปากไม่พูดจา เพียงแค่มองหลี่เย่นิ่ง นางค่อนข้างผิดหวังในตัวหลี่เย่ คนเป็นย่าเห็นหลานตนเองคิดคำนึงถึงผู้หญิงคนหนึ่งขนาดนี้ ถึงขั้นไม่สนใจหน้าที่การงานของตนเพราะผู้หญิงคนนี้ นางจะไม่รู้สึกผิดหวังได้อย่างไร?


แม้ว่าไทเฮาจะไม่ได้แสดงอาการออกมา แต่มองไทเฮาเพียงแวบเดียว หลี่เย่ก็เข้าใจความคิดของไทเฮา เขาบอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนเอ่ยปากอย่างเรียบนิ่ง “ในจวนยังมีเซิ่นเอ๋อร์อยู่พ่ะย่ะค่ะ แม้จะบอกว่าซวนเอ๋อร์ถูกส่งไปแล้ว แต่ข้าจะกล้าปล่อยให้เซิ่นเอ๋อร์ตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร? อีกทั้งถาวซื่อก็เป็นคนมีคุณธรรม หากตอนนี้ข้าไม่สนใจ เกรงว่าเสด็จพ่อจะต้องคิดว่าข้าเลือดเย็น ไร้เยื่อใย แม้แต่ประชาชนและผู้ลี้ภัยเหล่านั้นก็เห็นถาวซื่อเป็นคนดีนะพ่ะย่ะค่ะ หากข้าทำดีกับนาง ในอนาคตชื่อเสียงของข้าก็ต้องดีเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”


ไทเฮาได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ก็ผ่อนคลายลง ความผิดหวังที่อยู่ในใจก็หายไปเล็กน้อย ใช่แล้ว นางคิดแค่เพียงหลี่เย่ต้องการช่วยถาวซื่อ แต่กลับลืมว่าในจวนก็ยังมีเซิ่นเอ๋อร์อยู่ แม้เซิ่นเอ๋อร์จะสู้ซวนเอ๋อร์ไม่ได้ แต่อย่างไรก็เป็นสายเลือดของหลี่เย่ เขามีลูกชายอยู่แค่สองคน เขาเป็นพ่อย่อมไม่ยอมให้ทั้งสองคนเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่


อีกทั้งถูกแล้วที่ไม่อาจทำผิดพลาดต่อหน้าฮ่องเต้ได้ และจิตใจของประชาชนก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน


สุดท้ายแล้วหลี่เย่ก็ยังไม่สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป ไทเฮาพยักหน้าอย่างพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะให้กรมหมอหลวงส่งคนฝีมือดีไปสักคนหนึ่ง”


หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขายังกลัวอยู่ว่าจะพูดกล่อมไทเฮาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นชินอ๋อง แต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจสั่งย้ายหมอหลวงได้ มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องมาขอร้องไทเฮา


ไทเฮาเหลือบมองหลี่เย่ทีหนึ่ง ครุ่นคิดพลางพูดว่า “ข้าเองก็รู้ว่าถาวซื่อเป็นคนใช้ได้ เรื่องที่ควรทำนางก็ทำอย่างดี ถือว่าเป็นคนมีคุณธรรม แต่เจ้าจะละเลยภาพรวมเพียงเพราะนางไม่ได้ เจ้าลองคิดดู หากเจ้าเป็นเช่นนี้ ไม่ยิ่งทำลายน้ำใจของคนที่สนับสนุนเจ้าหรืออย่างไร? เจ้าคงไม่อาจเอาชีวิตของคนมากมายไปแลกกับผู้หญิงที่เจ้าโปรดปรานเพียงคนเดียวได้ สิ่งที่เจ้าอดทนมานานหลายปีนี้ หรือเจ้าจะยอมละทิ้งสิ่งที่สั่งสมมาแต่ก่อนไปเปล่าๆ เพื่อผู้หญิงคนเดียวอย่างนั้นหรือ?”


ไทเฮาพูดออกมาตรงๆ อย่างโหดร้าย หลี่เย่ค่อยๆ ก้มหน้าลง พูดว่า “ไทเฮาพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ เป็นหลานเองที่เลอะเลือน”


หลี่เย่ยอมรับความผิดอย่างง่ายดาย ไทเฮาก็ไม่อาจพูดต่อได้ เพียงแค่ถามอีกว่า “ช่วงนี้เจ้าคิดจะไปพักที่ใดกัน? มีที่ไปหรือไม่? ถ้าไม่มีที่ไป ก็กลับมาพักในวังหลวงได้”


“ข้ามีที่ไปพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าไม่ต้องกังวล” หลี่เย่ยิ้ม ดูเหมือนท่าทีอ่อนโยนเชื่อฟังในวันก่อนได้กลับมาอีกครั้ง


ไทเฮายิ่งมองยิ่งรู้สึกพอใจ พูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กรู้ความตั้งแต่เด็ก วันนี้ก็เพียงเพราะมุทะลุเท่านั้น แต่ต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องจำเอาไว้ อย่าได้เป็นเช่นนี้อีก”


หลี่เย่รับปากหนักแน่น สุดท้ายก็พูดอีกว่า “ตอนนี้สถานการณ์ภายในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ? ได้ยินว่าเรื่องนี้เกิดจากนางสนมคนหนึ่งติดโรคระบาด แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่พ่ะย่ะค่ะ? คนที่มารายงานพูดไม่ค่อยละเอียดนัก น่าสับสนยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”


ไทเฮาเห็นหลี่เย่ถามเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ถอนหายใจพลางพูดว่า “ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ๆ วังหลวงก็เกิดโรคระบาดนี้ ก่อนหน้านี้คนที่ไปตรวจก็เป็นคนไม่ค่อยมีฝีมือ ตรวจแล้วไม่พบอะไร คิดว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา ผลที่ออกมา… ยังดีที่นางสนมคนนั้นไม่ได้รับความโปรดปราน มิเช่นนั้นตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นใด ตอนนี้ปิดวังนั้นไปแล้ว และจับตาดูคนที่ไปมาหาสู่กับนาง จึงยังวางใจได้บ้าง”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม