บัลลังก์พญาหงส์ 428-434

บทที่ 428 เกียรติ

 

​ดูจากท่าทีของฮองเฮาแล้ว ถาวจวินหลันรู้สึกว่าหากวันนี้ฮองเฮาหาเรื่องนางไม่ได้ก็คงไม่ยอมหยุด  แต่ว่าในเมื่อนางเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว นางก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว พอเจอคำถามแกมบังคับของฮองเฮา นางก็ได้แต่หัวเราะเฝื่อนๆ แล้วพูดว่า “เป็นเพราะได้ยินเรื่องข่าวลือบางเรื่องจึงทำเช่นนี้เพคะ”


“ข่าวลือเรื่องอะไรรึ?” ฮองเฮาถามต่อ ตอนนี้ใบหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทก็เริ่มเป็นห่วง แล้วมองมา ท่าทางดูสนใจเรื่องนี้มาก


“ได้ยินว่าเหอเป่ยเกิดกาฬโรคระบาดขึ้น อีกทั้งประชาชนที่อพยพมา มีจำนวนมากที่ติดกาฬโรคและล้มตายระหว่างทางเพคะ” ถาวจวินหลันมองไปทางฮองเฮา แล้วพูดอย่างไม่สบายใจ “ข้าเองก็กลัว ถึงอย่างไรลูกก็ยังเล็ก หากว่าเกิดอะไรขึ้นจะทนไหวได้อย่างไรเพคะ?”


นางเพิ่งพูดจบ ฮองเฮาก็ตำหนิทันที “ไร้สาระ! เจ้าเป็นถึงพระชายารองตวนชินอ๋อง กลับเชื่อเรื่องข่าวลือเช่นนี้! ช่างโง่เขลาจริงๆ !”


ถาวจวินหลันรีบคุกเข่าลง แล้วพูดต่อว่า “หม่อมฉันวางใจเรื่องลูกๆ ไม่ได้เพคะ…สำหรับคนเป็นแม่แล้ว จะกล้าเอาลูกมาเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร? พระชายาองค์รัชทายาท ท่านว่าจริงหรือไม่เพคะ?”


พระชายาองค์รัชทายาทถูกนางถามเช่นนี้ ก็ได้แต่พยักหน้า ฝืนยิ้มแล้วพูดกับฮองเฮาว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพคะ ข้าเห็นว่าพระชายารองถาวทำไปก็ด้วยเป็นห่วงลูก มิใช่เรื่องอื่นเพคะ”


“ไร้สาระ!” ฮองเฮากลับตำหนิพระชายาองค์รัชทายาทไปด้วย “นางทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้เจ้าเองก็ต้องไร้สาระตามนางรึ? ข้าจะบอกเจ้าไว้ว่า พวกเจ้าทำเช่นนี้ หากคนอื่นรู้เข้าจะคิดเช่นไร? เช่นนั้นไม่ทำให้คนหวาดกลัวกันไปหมดรึ? เมื่อวานฮ่องเต้ยังทรงเอ่ยปากชมเชยเจ้า วันนี้เจ้ากลับทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้! เจ้าพูดสิว่า เจ้าคู่ควรกับคำชมเชยแล้วหรือไม่?”


ถาวจวินหลันไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ลุกขึ้นและคุกเข่าลง เพียงแต่นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า…นี่ก็เป็นเพียงเพราะฮองเฮาหาข้ออ้างมาเล่นงานนางเท่านั้น ถึงอย่างไร นางส่งซวนเอ๋อร์กับหมิงจูออกจากจวนอ๋องไป จะมีคนรู้เรื่องนี้สักกี่คนกัน?


แต่ว่า ถึงแม้จะพูดว่าเรื่องนี้นางไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดไว้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฮองเฮารู้เรื่องทุกอย่างรวดเร็วและละเอียดมากไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาให้ความสนใจเรื่องราวต่างๆ ในจวนตวนชินอ๋องไม่น้อย


นอกจากนั้น ถาวจวินหลันยังรู้สึกกังวลใจอยู่เล็กน้อย ฮองเฮารู้เรื่องทุกอย่างละเอียดเช่นนี้ หรือว่าวางแผนว่าจะทำอะไรกันแน่?


นางกลัวว่าฮองเฮาจะทำอะไรซวนเอ๋อร์ เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว นางก็ตกใจอย่างมาก


ถาวจวินหลันลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ยอมรับความผิดด้วยเสียงแผ่วเบา “เป็นเพราะหม่อมฉันคิดไม่รอบคอบเองเพคะ เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง” นางพูดพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่หางตา ฉับพลันน้ำขิงที่นางทาบนผ้าเช็ดหน้าก็ทำให้แสบตาจนน้ำตาไหลทันที


พูดไปแล้ว ที่นางเตรียมทุกอย่างเอาไว้เช่นนี้ก็ด้วยคิดว่าอาจจะได้ใช้ ถึงอย่างไร นางก็รู้ดีว่าฮองเฮาเห็นนางแล้วจะต้องไม่พอใจแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจถูกตำหนิได้ อีกทั้งตอนนี้เรื่องระหว่างองค์รัชทายาทกับหลี่เย่ ก็ทำให้ฮองเฮาไม่พอใจจริงๆ หากฮองเฮาคิดจะเอาคืนจากนางก็เป็นเรื่องง่ายดายที่สุด


ถึงอย่างไร ฮองเฮาก็เป็นมารดาของแผ่นดิน อีกทั้งยังเป็นแม่ใหญ่ของหลี่เย่ ฮองเฮาจะหาเรื่องนาง นั่นก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ


ฮองเฮาคล้ายคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะทำเช่นนี้ จึงได้ชะงักค้างไปพักหนึ่ง แล้วก็พูดเรียบๆ ว่า “ก็แค่ตำหนิเจ้าสองสามคำเท่านั้น เจ้าก็ร้องไห้ออกมาแล้ว ใครมาเห็นเข้า จะดูเหมือนข้ารังแกเจ้า เอาล่ะ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าก็แค่เตือนเจ้าสักหน่อยเท่านั้น”


แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านไป


พระชายารัชทายาทก้าวเข้ามาช่วยเช็ดน้ำตาให้ถาวจวินหลัน “เจ้าเองก็จริงๆ เลย อยู่ๆ ทำไมถึงร้องไห้ออกมาได้ เสด็จแม่ก็แค่ดุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่ก็ด้วยหวังดีกับเจ้า หากเป็นคนอื่น คงไม่มีทางใส่ใจเช่นนี้ เจ้าว่าจริงหรือไม่?”


ถาวจวินหลันได้แต่รับคำอย่างจริงใจ “เพคะ” แล้วขอบพระทัยฮองเฮา


จากนั้นก็คุยกันต่ออีกสักพัก โดยเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระสำคัญอะไรมากมาย พอเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาไม่น้อยแล้ว ถาวจวินหลันก็เอ่ยขึ้นว่ายังจะต้องไปถวายพระพรไทเฮา จึงลุกขึ้นและทูลลา


พอออกมาจากวังของฮองเฮาแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าเหงื่อออกชุ่มไปทั้งตัว ทั้งร้อนและเหนียว อีกทั้งพอถูกแดด ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่ว่าจะรู้สึกไม่สบายอย่างไรก็ยังต้องไปถวายพระพรไทเฮาก่อน


พูดตามตรง นางไม่อยากไปถวายพระพรไทเฮานัก…เพราะคำพูดครั้งก่อนทำให้นางหวาดกลัวขึ้นมา หากครั้งนี้ไทเฮาพูดเช่นนั้นอีกครั้ง เกรงว่านางคงจะทนไม่ไหวจริงๆ


ยังดีที่ครั้งนี้ไทเฮาไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากถวายพระพรแล้วไทเฮาก็ให้นั่งลง ก่อนมองดูท่าทีของถาวจวินหลัน ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ทำไมสีหน้าของเจ้าถึงดูไม่ดีเช่นนี้?” สักพักก็สังเกตเห็นดวงตาของถาวจวินหลันแดงระเรื่อ จึงขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก “ทำไมถึงร้องไห้รึ?”


ถาวจวินหลันเพิ่งกลับมาจากเข้าเฝ้าฮองเฮา ข้อนี้แน่นอนว่าไทเฮารู้ดี จึงได้ให้ความสนใจ


ถาวจวินหลันฝืนยิ้มออกมา แล้วเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ให้ไทเฮาฟัง สุดท้ายยังพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพคะ ก็แค่ถูกตำหนิไม่กี่คำเท่านั้น ไม่เป็นไรเพคะ”


ไทเฮาหัวเราะอย่างเยือกเย็น “นางไม่พอใจ จึงจงใจหาเรื่องเจ้าน่ะสิ”


นางที่ว่านั้น แน่นอนว่าหมายถึงฮองเฮา


ถาวจวินหลันไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา เรื่องนี้ไทเฮาพูดได้ แต่ถึงแม้นางจะรู้ดีอยู่แก่ใจก็พูดอะไรไม่ได้


“เรื่องนี้ข้าจะเป็นธุระให้เจ้าเอง” อยู่ๆ ไทเฮาก็เอ่ยออกมาเช่นนี้


ถาวจวินหลันใจหายวาบ รู้ดีแก่ใจว่าไทเฮาจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน นางไม่เพียงแต่ขมวดคิ้วเบาๆ อีกทั้งยังส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว “ตอนนี้มีเรื่องวุ่นวายมากนัก ยิ่งมีเรื่องน้อยลงเท่าไรก็ยิ่งดีเพคะ อีกทั้งนี่ไม่ใช่เรื่องคุ้มค่า ไม่ควรทำเช่นนี้จริงๆ เพคะ”


ไทเฮากริ้วและจ้องถาวจวินลันเขม็ง “เป็นคนต้องถือเกียรติของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจรึ?”


ถาวจวินหลันได้แต่นิ่งเงียบ พูดจริงๆ แล้ว หากไทเฮาต้องการทำอะไรจริงๆ นางก็ห้ามไม่ได้


“เรื่องนี้เจ้าทำถูกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะเอาลูกมาเสี่ยงอันตรายไม่ได้ ให้ไปหลบจะดีกว่า” ไทเฮาพยักหน้า แล้วเอ่ยปากชม “แต่ว่าทำไมมีแค่ซวนเอ๋อร์ หมิงจู และกั่วเจี่ยเอ๋อร์เล่า? ทำไมเซิ่นเอ๋อร์ถึงไม่ไปด้วยรึ?”


ถาวจวินหลันไม่ปิดบัง ได้แต่พูดความจริงออกไป สุดท้ายแล้วยังพูดอีกว่า “ชายารองเจียงไม่อยากอยู่ห่างจากท่านอ๋องเพคะ”


ไทเฮาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยตำหนิ “โง่เขลา!” เพียงแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก


อยู่ที่วังของไทเฮาสักพัก ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าเหงื่อชุ่มจนเปียกไปทั้งตัว…อากาศร้อนเป็นเหตุผลหนึ่ง ส่วนเรื่องปวดหัวก็เป็นอีกข้อหนึ่ง เมื่อทั้งสองอย่างรวมเข้าด้วยกัน บวกกับเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วก็ชวนให้ร้อนอบอ้าว และเครื่องประดับหนักๆ ยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่สบายมากขึ้น


กว่าจะออกจากวังหลวงมาขึ้นรถม้าได้ นางรู้สึกว่าในรถม้ามีลมเย็นๆ ทำให้นางรู้สึกสบายขึ้นมาไม่น้อย…ในรถม้ามีอากาศเย็นสบาย ก็ด้วยมีถังใส่น้ำแข็งเอาไว้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าข้างนอกจะร้อนมากเพียงใด แต่ในรถม้าก็ยังคงเย็นสบาย


หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว ถาวจวินหลันก็สั่งหงหลัว “รีบถอดปิ่นปักผมและเครื่องประดับต่างๆ ออกโดยเร็ว หนักเสียจนข้าปวดหัวไปหมด เสื้อคลุม ก็ถอดออกไปด้วยเลย”


หงหลัวเห็นสีหน้าของถาวจวินหลันแล้ว ก็กังวลอย่างมาก จึงรีบถอดปิ่นปักผมและเสื้อคลุมออก แล้วถามว่า “ชายารองรู้สึกสบายขึ้นหรือไม่เจ้าคะ?”


“ยังปวดหัวอยู่ เจ้าช่วยนวดให้ข้าหน่อย” ถาวจวินหลันพิงตัวไปกับหมอนอิงด้วยรู้สึกไร้เรี่ยวแรง


“หรือว่าจะเป็นไข้แดดเจ้าคะ?” หงหลัวร้อนใจ คิดแล้วก็หยิบผ้าขนหนูออกมาชุบลงไปในถังน้ำแข็ง จากนั้นก็บิด แล้วค่อยๆ วางลงบนหน้าผากของถาวจวินหลันอย่างระมัดระวัง


ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเฉียบจนน่าตกใจ แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกสบาย


แต่หงหลัวไม่กล้าเปลี่ยนผ้าชุบนำเย็นนั้นให้อีก…ด้วยน้ำเย็นเกินไป หากเอามาวางไว้เช่นนี้ร่างกายจะรับไม่ไหว ตอนนี้อาจรู้สึกสบาย แต่หากร่างกายได้รับความเย็นมากเกินไป จะยิ่งทำให้รู้สึกไม่สบายมากขึ้น


กว่าจะเดินทางกลับมาถึงจวนอ๋องอย่างยากลำบาก ถาวจวินหลันก็ไม่มีเวลาสนใจเรื่องอะไร หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปอาบน้ำ รู้สึกว่าตัวเองง่วงซึมไร้เรี่ยวแรง จึงนอนลงบนเตียง คิดว่างีบสักพักก็คงจะดีขึ้น


ใครจะรู้ว่าพอนอนลงไปแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมากลับตัวร้อนไปทั้งตัว ปวดหัวจนแทบระเบิด


ถาวจวินหลันถูกหงหลัวปลุกให้ตื่น…หลังจากสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าในห้องมีคนอยู่ไม่น้อย นอกจากบรรดาสาวใช้แล้ว ก็ยังมีหมอและหลี่เย่


พอเห็นหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็ตกใจ หลังจากรู้สึกตัวแล้วนางก็คิดต่อว่า หลี่เย่กลับมาได้อย่างไร? ช่วงนี้เขายุ่งมากมิใช่หรือ


หมอกำลังตรวจชีพจรอยู่ ถาวจวินหลันจึงไม่ได้ถามในทันที รอจนกระทั่งหมอตรวจเสร็จแล้ว นางถึงได้เอ่ยปากถามว่า “ท่านอ๋องกลับมาได้อย่างไรเพคะ?”


สีหน้าของหลี่เย่ไม่ดีนัก ถึงแม้ว่ารอยยิ้มยังดูอบอุ่น แต่ก็ดูฝืนๆ เขาพูดเสียงเบาว่า “ตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว”


ตอนที่ถาวจวินหลันกลับมาจากวังหลวงนั้น ยังไม่ถึงเที่ยง นางนอนหลับไปนานถึงเพียงนี้เลยหรือ


พอได้ยินแล้วถาวจวินหลันก็ตกใจไปครู่หนึ่ง “ข้านอนไปนานขนาดนั่นเชียวรึ?”


หงหลัวยกน้ำมา แล้วประคองให้นางดื่ม จากนั้นก็พูดว่า “ชายารองยังมีไข้เจ้าค่ะ อย่าพูดให้เหนื่อยเลย อีกประเดี๋ยวทานข้าวต้มสักหน่อย จะได้ทานยานอนต่อเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันมึนหัว และอ่อนเพลียไปหมด หลังจากดื่มน้ำเข้าไปแล้วก็หลับตาลง รู้สึกเพลียจนอยากหลับไปอีก


หมอให้ยาแล้ว ก็ยังกำชับอีกว่า “ช่วงนี้อย่าให้ใช้น้ำเย็นอีก ให้ดื่มน้ำเยอะๆ และทานยาให้ตรงเวลา อีกทั้งอย่าให้เหนื่อยหรือกังวลใจมากนัก”


หลี่เย่ส่งหมอกลับไปด้วยตัวเอง รอจนกระทั่งกลับมาแล้วสีหน้าก็นิ่งขรึมไป


บรรดาสาวใช้ไม่เคยเห็นหลี่เย่เป็นเช่นนี้ จึงหวาดกลัวจนไม่กล้าปริปากไปตามๆ กัน


หลี่เย่มองไปทางหงหลัว แล้วพูดเสียงเย็นว่า “ลงโทษตัดเบี้ยหวัดสามเดือน และให้ไปคุกเข่าข้างนอกครึ่งชั่วยาม ส่วนคนอื่นให้ตัดเบี้ยหวัดหนึ่งเดือน และออกไปคุกเข่าข้างนอกครึ่งชั่วยาม”


หงหลัวไม่กล้าอธิบายอะไร รีบก้มหน้าแล้วรับคำ แต่กลับพูดขึ้นว่า “ขอท่านอ๋องทรงอนุญาตให้บ่าวถวายการดูแลพระชายารองทานยาก่อนเถิดเพคะ”


ถาวจวินหลันได้ยินชัดเจน จึงรีบลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า “ทำเช่นนี้เพื่ออะไรรึ?”


หลี่เย่ไม่พูดอะไร เดินมานั่งลงข้างเตียงเงียบๆ


หงหลัวพูดขึ้นว่า “เป็นเพราะบ่าวถวายการดูแลไม่ดี ชายารองไม่สบายแล้วบ่าวยังไม่รู้ อีกทั้งยังให้ชายารองใช้น้ำเย็น อาการจึงหนักขึ้น บ่าวสมควรถูกลงโทษแล้วเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตัดเงินเบี้ยหวัดก็พอ เรื่องคุกเข่าก็ช่างเถิด นางเป็นนางกำนัลใหญ่ของเรือนเฉินเซียง จะไม่ไว้หน้านางเช่นนี้ไม่ได้”


“ไม่ต้องขอร้อง” หลี่เย่พูดอย่างเด็ดขาด หลังจากนั้นก็ถอนใจ “ห้ามเจ้ากังวลใจเรื่องพวกนี้ พักผ่อนให้ดีๆ อีกเดี๋ยวกินข้าวกินยาแล้วค่อยนอน” 

 

 


บทที่ 429 ป่วย

 

​ตอนที่หลี่เย่พูดกับถาวจวินหลันนั้น น้ำเสียงกลับอ่อนโยนและอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด


ถาวจวินหลันยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่พอมองท่าทีของหลี่เย่ และหงหลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้ว นางก็พูดขึ้นว่า “บ่าวสมควรได้รับโทษแล้วเพคะ ชายารองอย่าขอร้องแทนบ่าวเลยเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นบ่าวคงไม่มีหน้าไปพบใครได้อีก”


ดังนั้นเรื่องนี้จึงลงเอยเช่นนี้


หลี่เย่โบกๆ มือบอกให้ทุกคนออกไป เขาจะอยู่เป็นเพื่อนถาวจวินหลันเอง


เขาค่อยๆ กุมมือถาวจวินหลันเอาไว้ แล้วถอนใจ น้ำเสียงมีแววโกรธอยู่เล็กน้อย “ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงแล้ว ฮองเฮา…”


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่าหลี่เย่เข้าใจผิด จึงอ้าปากอยากจะพูดอธิบาย แต่กลับถูกหลี่เย่ปิดปากเอาไว้ หลี่เย่ค่อยๆ เอามือแตะริมฝีปากนางอย่างทะนุถนอม แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าอยู่เฉยๆ เถิด ไม่ต้องพูดอะไรที่ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ ข้ารู้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร”


ถาวจวินหลันจึงได้แต่กลืนคำพูดทุกอย่างลงไป


ครั้งนี้หลี่เย่กลับไม่ได้ขอโทษนางเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่กลับพูดว่า “ความเสียใจที่เจ้าได้รับในวันนี้ ต่อไปภายภาคหน้าข้าจะต้องชดใช้ให้เจ้า ดีหรือไม่?”


น้ำเสียงของหลี่เย่อ่อนโยน นี่ยิ่งให้สมองที่วุ่นวายของถาวจวินหลันยิ่งงุนงงไปอีก จนนางไม่อยากเสียแรงคิดเรื่องอะไรอีกแล้ว หลี่เย่ถามนางว่าดีหรือไม่ นางก็ได้แต่พยักหน้า


หลี่เย่กลัวว่านางจะหลับไป จึงพูดอีกสักพัก เพื่อรั้งนางเอาไว้ไม่ให้นางหลับ


จริงๆ แล้วหลี่เย่พูดอะไร ถาวจวินหลันไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา ได้เพียงกลิ่นบางๆ จากกายของเขา ชวนให้นางสงบใจเป็นที่สุด


ความใกล้ชิดเช่นนี้ ทำให้นางพึงพอใจ ถึงขั้นอาการปวดหัวอันแสนทรมานลดลงไปไม่น้อย


รอจนกระทั่งหงหลัวยกข้าวต้มมาแล้ว หลี่เย่ก็ป้อนถาวจวินหลันด้วยตัวเอง แต่ถาวจวินหลันไม่อยากอาหารนัก แม้จะมีอาหารเรียกน้ำย่อยที่กระตุ้นความอยากอาหารได้ดี แต่นางกินข้าวต้มเข้าไปได้แค่ครึ่งถ้วยเล็กๆ นางก็ไม่ไม่ยอมกินต่อแล้ว


หลี่เย่โน้มน้าวเท่าไรก็ได้ผลเพียงเล็กน้อย นางกินเข้าไปอีกสองสามคำเท่านั้น สุดท้ายพอเห็นท่าทีของถาวจวินหลันที่ป่วยและไม่สบาย เขาก็ทำใจโน้มน้าวนางต่อไปไม่ไหว จึงได้แต่วางถ้วยลงแล้วพูดว่า “หิวเมื่อไรก็ตื่นขึ้นมาสั่งให้ในครัวเอาไปอุ่นค่อยกินแล้วกัน”


ถาวจวินหลันโล่งใจ พยักหน้า นางไม่อยากกินอะไรจริงๆ …ถึงแม้นางจะรู้ว่าต้องกินเยอะๆ หน่อยถึงจะหายได้เร็ว แต่ข้าวต้มอยู่ในปากของนางโดยไร้รสชาติใดๆ นางกลืนไม่ลงเลยแม้แต่น้อย แล้วนางยังจะกินเข้าไปเยอะๆ ได้อย่างไร?


พอถาวจวินหลันดื่มยาเข้าไป นางก็ค่อยๆ สะลึมสะลือแล้วผล็อยหลับไป บนหน้าผากมีเหงื่อผุดออกมาเต็มไปหมด


หลี่เย่มองอยู่ข้างๆ ด้วยความเจ็บปวด แล้วช่วยเช็ดเหงื่อให้ถาวจวินหลัน เขาคิดแล้วก็สั่งว่า”ไปเรือนชิวอี๋ ช่วงนี้ให้ชายารองเจียงรับเรื่องจัดการจวนอ๋องไปก่อน”


หมอก็พูดแล้วว่า ทีเป็นเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ใช้ความคิดมากเกินไป อีกทั้งหลังคลอดก็ยังไม่ทันได้ฟื้นฟูร่างกาย หากไม่ได้เป็นเพราะยังสาว เกรงว่าตอนนี้อาการคงจะหนักกว่านี้แล้ว เพื่อฟื้นฟูร่างกายของนาง ทางที่ดีที่สุดก็คือจะต้องพักผ่อนสักระยะ ถึงอย่างไรหลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้ไป ร่างกายของถาวจวินหลันก็ต้องอ่อนแอลง หากไม่รีบหาโอกาสพักรักษาตัวให้ดี ต่อไปร่างกายก็จะฟื้นฟูให้กลับมาเหมือนเดิมได้ยากแล้ว


หลี่เย่คิดว่าจะมอบเรื่องจัดการจวนอ๋องทุกอย่างให้เจียงอวี้เหลียนรับไป จากนั้นจะให้ถาวจวินหลันได้พักผ่อนสักพัก ไม่ว่าอย่างไร สุขภาพก็ถือว่าสำคัญที่สุด


อีกทั้ง เขาคิดว่าเจียงอวี้เหลียนก็คงไม่กล้าก่อเรื่องอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางให้อภัยแน่นอน


เรื่องการป่วยของถาวจวินหลันแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้นตอนเช้าองค์หญิงเก้าก็มาหา บอกว่าถาวจิ้งผิงเป็นห่วงมาก จึงให้นางมาเยี่ยม


องค์หญิงเก้าไม่ได้มาตัวเปล่า แต่ยังเอายาราคาแพงมาด้วยมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องของสิ่งของหรือเรื่องของหน้าตาก็ถือว่ามีครบถ้วน


ถาวจวินหลันกวาดตามองถุงเล็กถุงใหญ่พวกนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าถาวจิ้งผิงใส่ใจอย่างมาก…นี่ถือเป็นการบอกกับคนอื่นว่า ถาวจวินหลันยังมีที่บ้านคอยหนุนหลังอยู่ หากคนอื่นคิดจะรังแกนาง ก็จะต้องคิดให้ดีเสียก่อน นี่ถือเป็นการแสดงอำนาจแทนนาง เกรงว่าเป็นเพราะนางป่วยในครั้งนี้อาจจะถูกรังแกให้เจ็บช้ำใจได้ ถึงอย่างไรตอนนี้อำนาจจัดการจวนอ๋องก็ไม่ได้อยู่ในมือของนางแล้ว ตอนนี้จะต้องมอบอำนาจนี้ให้คนอื่นไปชั่วคราว


แต่เห็นได้ชัดว่าถาวจิ้งผิงคิดมาก ตอนนี้ในจวนตวนชินอ๋องจะยังมีใครกล้าทำให้นางโกรธอีก? แม้แต่หลิวซื่อหากในวันนี้ได้รับอำนาจการจัดการจวนอ๋องกลับไป ก็ยังจะต้องคิดใคร่ครวญให้ดี ไม่ต้องพูดถึงเจียงอวี้เหลียนเลย


แม้เจียงอวี้เหลียนจะคิดเช่นนั้น ก็ทำได้เพียงเก็บเอาไว้ในใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครยอมปล่อยนางไว้แน่ ไม่เพียงแต่นางต้องเก็บซ่อนเอาไว้ นางยังต้องแกล้งแสดงท่าทีกระตือรือร้น พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้ถาวจวินหลันรักษาตัวจนหายดี นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นวิธีที่ฉลาด แล้วก็มีแค่เพียงทางนี้เท่านั้น ที่เจียงอวี้เหลียนจะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย


องค์หญิงเก้านั่งลงบนเก้าอี้ที่หงหลัววางไว้ข้างๆ เตียง แล้วพูดคุยเป็นเพื่อนถาวจวินหลัน “กินยาแล้วรู้สึกดีขึ้นหรือไม่? ได้ยินว่าเมื่อวานนี้หลับไปทั้งบ่าย จิ้งผิงรู้เรื่องแล้วร้อนใจอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะข้าห้ามไว้ เกรงว่าคงจะมาตั้งแต่กลางดึกแล้ว”


ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ “นิสัยของเขาก็เป็นอย่างนี้ ยังดีที่เจ้าห้ามเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นหากใครเห็นเข้าจะรู้สึกไม่เหมาะสมเท่าไรจริงหรือไม่? เขาดูแล้วหนักแน่น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย โดยปกติแล้วหากเจ้าเห็นว่าเรื่องไหนเขาทำไม่ถูก ก็ช่วยเตือนเขาบ้าง เป็นสามีภรรยากันย่อมพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง”


องค์หญิงเก้าพยักหน้า หยิบลูกท้อขึ้นมาใช้ผ้าเช็ดๆ แล้วค่อยๆ ปลอกเปลือกออก พลางพูดว่า “จริงๆ จิ้งผิงก็ถือว่าดีมากแล้ว หากเป็นคนอื่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ก็ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม้แต่เสด็จพ่อเองก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนใช้ได้ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันยังเอ่ยปากชมเขาอีกด้วย”


ถึงแม้จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการหนุนหลังคนใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อกดดันอำนาจของคนเก่า แต่พอได้ยินองค์หญิงเก้าพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ยังอดดีใจไม่ได้ แล้วแอบคิดในใจว่า ใช่แล้ว ผู้ชายของบ้านตระกูลถาว จะไม่ยอดเยี่ยมได้อย่างไร?


ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น องค์หญิงเก้าก็ปลอกลูกท้อเสร็จเรียบร้อยพอดี จึงใช้มีดเงินเล็กๆ หั่นลูกท้อออกแล้ววางลงในจาน ให้ถาวจวินหลันใช้ส้อมเงินตักกิน


ถาวจวินหลันมององค์หญิงเก้าทำด้วยท่าทางคล่องแคล่วก็รู้ว่านางทำเรื่องพวกนี้บ่อยๆ จึงพูดว่า “เวลาที่ต้องใช้มีด ก็เรียกให้สาวใช้ทำจะดีกว่า ระวังจะบาดมือของเจ้าได้”


องค์หญิงเก้ายิ้ม “ข้าชอบทำด้วยตัวเองมากกว่า อีกทั้งตอนที่อยู่ในวังหลวงข้าก็ถวายการดูแลไทเฮากับฮองเฮาจนเคยชิน เรื่องพวกนี้ข้าถนัดเป็นที่สุด ไม่มีทางบาดมือได้แน่นอน” บางครั้งเวลาจิ้งผิงนั่งอ่านหนังสือ นางก็จะคอยนั่งอยู่ข้างๆ ช่วยปลอกผลไม้ให้เขา โดยไม่ต้องให้สาวใช้ถวายการดูแลอยู่ข้างๆ นี่ทำให้นางรู้สึกถึงความใกล้ชิดมากขึ้น


ถาวจวินหลันมองเห็นท่าทีขององค์หญิงเก้าแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ


องค์หญิงเก้ากลับลองถามหยั่งเชิงว่า “เมื่อวานพี่หญิงไม่ได้เข้าวังไปขอบพระทัยเรื่องรางวัลรึ? ทำไมพอกลับมาถึงป่วยได้? เป็นเพราะตอนเข้าวังเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”


องค์หญิงเก้าถามอย่างระมัดระวัง ถาวจวินหลันเห็นแล้วก็หลุบตาลงหัวเราะ “จริงๆ ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก ก็แค่ไม่ทันระวังตากแดดอยู่สักพัก ใครจะรู้ว่าเพียงเท่านั้นก็จะทำให้ป่วยได้”


องค์หญิงเก้าพยักหน้าด้วยท่าทีครุ่นคิด จากนั้นก็พูดเรื่องอื่น


ถาวจวินหลันก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก


เป็นเพราะนางป่วย ดังนั้นตอนกลางวันองค์หญิงเก้าจึงไม่ได้อยู่ร่วมทานอาหารกลางวันด้วย เพียงแค่บอกว่าอีกสองวันจะมาเยี่ยมนางใหม่ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รั้งตัวนางไว้…ตอนนี้นางไม่มีแรงจะกินข้าวหรือพูดคุยเป็นเพื่อนองค์หญิงเก้าจริงๆ สู้ให้องค์หญิงเก้ารีบกลับไปเสียจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องติดไข้ไปด้วย


แต่ว่าตอนกลางวันหลังจากหลับไปได้สักพัก ก็ถูกปลุกขึ้นมาเพราะถึงเวลาต้องกินยา พอลืมตามา กลับมองเห็นถาวซินหลันที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไร ในมือถือถ้วยยาแล้วก้าวเข้ามา ยิ้มพูดว่า “เย็นกำลังได้ที่พอดี รีบดื่มเถิดเจ้าค่ะ น้ำบ๊วยก็เตรียมเอาไว้แล้ว”


ถาวจวินหลันแกล้งตำหนิไปว่า “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมมาถึงแล้วไม่เรียกข้า?”


“ท่านพี่นอนอยู่ ข้าจะเรียกท่านทำไม?” ถาวซินหลันหัวเราะคิกคักแล้วพูดออกมา จากนั้นก็ยกถ้วยยามาให้ “รีบดื่มเข้าไปเถิด หรือว่าท่านพี่ก็กลัวยาขมหรือเจ้าคะ?”


ถึงแม้ว่าถาวจวินหลันจะไม่ชอบรสชาติของยา แต่พอถูกนางพูดเช่นนี้แล้วก็ได้แต่รับถ้วยยามาฝืนดื่มเข้าไป


พอนางดื่มยาอึกสุดท้ายลงไปกำลังยกถ้วยยาออก ถาวซินหลันก็ยกถ้วยน้ำบ๊วยมาป้อนที่ปากนางอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวรสชาติเปรี้ยวหวานก็กลบความขมในปากนางไป


นางอมอยู่สักพักจนรู้สึกว่ารสชาติยาหายไปแล้ว นางถึงได้บ้วนบ๊วยออกมา อีกทั้งยังใช้น้ำเปล่าบ้วนปากอีกที แล้วนางถึงได้มีเวลาถามไถ่ถาวซินหลัน “เจ้ามาได้อย่างไร?”


“ข้ามาเยี่ยมท่าน” ถาวซินหลันยิ้ม “แม้แต่แม่สามีของข้าก็กังวล จึงสั่งให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่าน ตอนนี้ซวนเอ๋อร์หมิงจูไม่อยู่ พี่เขยก็ยังยุ่งมาก ท่านอยู่คนเดียวก็กลัวจะเหงา พอดีข้าจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนท่านสักสองสามวัน”


ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว “พูดจาไร้สาระ จะต้องมาอยู่เป็นเพื่อนข้าที่ไหนกัน? เจ้ากลับไปคอยดูแลแม่สามีเจ้าดีกว่า ยังมีฝูชิงอีก เจ้าควรจะใส่ใจให้มากหน่อย อย่าได้เอาแต่เที่ยวเล่น ถือว่าแม่สามีของเจ้าเอ็นดูเจ้าจึงได้ทำเรื่องที่ไม่ควร”


ถาวซินหลันเบะปาก “ถึงอย่างไรก็ให้ข้าอยู่ว่างๆ สักสองสามวันเถิด ตอนแรกพี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่ชอบข้าอยู่แล้ว ตอนนี้เป็นเพราะท่านพี่ได้รับคำชมจากฮ่องเต้ นางก็ยิ่งทำอะไรแปลกๆ ไปใหญ่ ทุกวันได้แต่พูดเหน็บแนมให้คนอื่นไม่สบายใจ เรื่องนี้แม่สามีของข้าก็รู้”


ถาวจวินหลันเคยได้ยินเรื่องพี่สะใภ้ใหญ่ของถาวซินหลัน จึงได้แต่หัวเราะ แล้วปลอบใจนางว่า “นางก็นิสัยเป็นเช่นนี้ อีกทั้งนางยังเกิดในตระกูลสูงส่ง นางย่อมรู้สึกสูงส่งกว่าพวกเจ้า ส่วนพี่สะใภ้รองของพวกเจ้าก็เป็นคนอ่อนโยน ตอนนี้เจ้าไม่ได้มีฐานะสูงส่ง แต่กลับได้รับความโปรดปราน นางเห็นแล้วจะต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา  เจ้าก็อย่าไปใส่ใจมากนัก ตอนนี้พี่ใหญ่ของเจ้าไม่อยู่ ต้องยอมให้อภัยนางถึงจะถูก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่สักสองสามวัน”


ถาวซินหลันแลบลิ้น ถึงแม้จะแต่งงานออกเรือนไปแล้ว แต่กลับไม่มีท่าทีสำรวมของหญิงที่แต่งงานไปแล้วเลย ยังคงเหมือนกับเด็กสาวแรกรุ่น ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเอ็นดูจนไม่รู้จะพูดอย่างไร


ถาวซินหลันแกล้งบ่นออกมาว่า “พวกท่านทุกคนต่างก็พูดกับข้าเช่นนี้ ทำราวกับข้าเป็นเด็กที่ไม่รู้ความเช่นนั้น พวกท่านไม่รู้หรอกว่า ฝูชิงกลัวข้าต้องเสียใจ ช่วงไม่กี่วันมานี้เวลาเขากลับบ้านมาก็จะเอาของเล็กๆ น้อยๆ มาปลอบใจข้า” เมื่อวานยิ่งน่าขัน เขาเอาผลไม้เคลือบน้ำตาลกลับมา ทำราวกับนางเป็นเด็กๆ อย่างนั้น แต่ว่า สุดท้ายแล้วนางก็แอบกินจนหมด เพียงแต่นางไม่กล้าให้คนอื่นเห็น


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันกลับอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “แสดงว่าเขารักเจ้าจริง เจ้าก็รู้จักพอเสียบ้าง คนที่ผู้อื่นทำดีด้วยแต่ยังไม่รู้จักขอบคุณ ก็คือคนเช่นเจ้านี่แหละ”


หลังจากพูดคุยแกล้งหยอกกันไปสักพัก ท่าทีของถาวซินหลันพลันก็เคร่งขรึมขึ้นมา “ท่านพี่ ท่านบอกข้ามาเถิด เมื่อวานนี้ฮองเฮาทำอะไรให้ท่านพี่ต้องเสียใจรึ?” 

 

 


บทที่ 430 ตัดขาด

 

​ต้องพูดเลยว่านี่คือความแตกต่าง ด้วยเป็นน้องสาวแท้ๆ ถาวซินหลันย่อมถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม แต่องค์หญิงเก้าที่เป็นน้องสะใภ้กลับแฝงไว้ด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง สาเหตุก็เพราะไม่ได้โตมาด้วยกัน จึงไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมถึงเพียงนั้น จากเรื่องนี้เห็นได้ว่าอย่างไรน้องสะใภ้ก็ไม่เหมือนกับน้องสาวแท้ๆ


พูดตามจริงแล้วถาวจวินหลันไม่ค่อยชอบท่าทีระแวดระวังขององค์หญิงเก้านัก จากที่นางดูแล้ว หากปฏิบัติต่อคนนอกก็แล้วไป แต่ในเมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ก็ควรจริงใจเปิดเผยเสียหน่อย การมาหลอกถามไปมาเช่นนี้กลับยิ่งทำให้ห่างเหินกันมากขึ้น


แน่นอนว่านางรู้นิสัยเช่นนี้ขององค์หญิงเก้าดี อาจมีผลมาจากประสบการณ์ตอนเด็กและสภาพแวดล้อมที่เติบโต แต่ว่านี่กลับเป็นแค่เพียงความชอบในใจของนางเพียงคนเดียวเท่านั้น พอเจอถาวซินหลันไล่ถามเช่นนี้ นางย่อมปิดบังต่อไปไม่ได้ บอกแม้กระทั่งใช้ผ้าเช็ดหน้าทาน้ำขิงมาทำให้น้ำตาไหล “ก็เพียงเพราะไม่อยากให้เรื่องยืดยาว ฮองเฮามีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น ข้าย่อมไม่สามารถไปปะทะได้ ก็เหลือเพียงแค่วิธีเดียวที่ใช้ได้แล้ว”


ถาวซินหลันทำปากจู๋ “อย่างไรก็ยังไม่ยุติธรรมนี่เจ้าคะ” อาศัยในวังหลวงมาหลายปี นางย่อมต้องได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเรื่องความเ**้ยมโหดของฮองเฮามาไม่มากก็น้อย  หากถาวจวินหลันทำให้ฮองเฮาไม่พอใจขึ้นมา ฮองเฮาจะยกโทษให้ถาวจวินหลันอีกอย่างนั้นหรือ? เกรงว่าคงไม่มีทางให้ถาวจวินหลันได้มีความสุขเป็นแน่


“ก็ไม่ได้ถือว่าไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก” ถาวจวินหลันยิ้มอย่างไม่ยี่หระ ชี้นิ้วไปที่องุ่นภายในถาด “ปลอกเปลือกสักสองสามลูกให้ข้าลองชิมเสียหน่อย”


ถาวซินหลันไม่ได้บ่นที่พี่สาวตนเองสั่ง แต่กลับคิดว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำไป คนที่ล้มป่วย เกรงว่าคงไม่อยากอาหาร ขอเพียงกินอะไรเข้าไปได้บ้าง นั่นก็ถือว่าไม่น่าห่วงแล้ว นางปลอกเปลือกองุ่น พลางขมวดคิ้วพูดกับถาวจวินหลันว่า “พูดไปแล้ว ช่วงนี้พี่เขยโดดเด่นเกินไปจริงๆ เจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันพยักหน้า ถอนหายใจเบาๆ “ครึ่งหนึ่งนั้นเป็นความตั้งใจของท่านอ๋องเอง อีกครึ่งหนึ่งอาจจะเป็นความตั้งใจของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่พอใจองค์รัชทายาท ดังนั้นจึงตั้งใจยกย่องท่านอ๋องมาปะทะกับองค์รัชทายาท”


ท่าทีของถาวซินหลันเคร่งขรึมลงหลายส่วน แม้แต่การกระทำที่มือก็หยุดลง “ท่านพี่ ท่านพูดความจริงกับข้าเถิด แท้จริงแล้วท่านอ๋องคิดอย่างไรกันแน่เจ้าคะ ถ้าหากว่ายังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาทก็แล้วไป แต่ตอนนี้แต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว…”


ถาวซินหลันคาดเดาความตั้งใจของหลี่เย่ได้ เพียงแต่ไม่มั่นใจเท่านั้นเอง


ถาวจวินหลันเหลือบมองถาวซินหลันทีหนึ่ง ก่อนพูดช้าๆ ว่า “ข้าจะพูดให้เจ้าฟังเรื่องหนึ่ง แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง” นางจึงเล่าเรื่องกู้กุ้ยเฟยท่านแม่ของหลี่เย่และเล่าเรื่องที่หลี่เย่โดนพิษให้ฟังเช่นเดียวกัน


ถาวซินหลันตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง แล้วถึงพูดเรียบๆ ว่า “แค้นที่ฆ่าแม่จำต้องชำระ แค้นที่ลอบทำร้ายจำต้องสะสาง”


พอเห็นว่าถาวซินหลันเข้าใจ ถาวจวินหลันถึงพูดออกมาอีกว่า “ที่จริงแล้วแม้ว่าจะไม่มีเรื่องเหล่านี้ เจ้าเองก็เห็นสถานการณ์ตอนนี้อยู่แล้ว นอกจากพวกเราจะต้องเชื่อฟังคำสั่งจากใจจริง และไม่ไปแตะต้องอำนาจอีกแล้ว เกรงว่าคงไม่ได้พบจุดจบที่ดี”


ถาวซินหลันพยักหน้า ท่าทีเข้าใจ “เป็นเช่นนั้นจริงเจ้าค่ะ ที่จริงแล้วองค์รัชทายาทก็เคยคิดจะดึงตระกูลเฉินเข้าพวก แต่ถูกตระกูลเฉินปฏิเสธอ้อมค้อมไปหลายครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจวนเหิงกั๋วกงก็มีท่าทีเป็นปริปักษ์กับตระกูลเฉิน ในตอนนี้ก็ถือว่าฮ่องเต้ไว้ใจ รอจนต่อจากนี้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์จริง เกรงว่าตระกูลเฉินคงตกอยู่ในสภาพน่ากังวลเป็นแน่เจ้าค่ะ”


“ด้วยเหตุนี้ พวกเราถึงได้แค่ทุ่มสุดแรงให้มากขึ้น” ถาวจวินหลันผ่อนลมหายใจยาว “ในตอนนี้พวกเราเป็นตั๊กแตนที่ถูกแขวนอยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ทำได้แค่ร่วมเป็นร่วมตายแล้ว”


การต่อสู้ของหลี่เย่และองค์รัชทายาทเป็นเรื่องที่ต้องเกิดไม่ช้าก็เร็ว ตระกูลถาว ตระกูลเฉิน และยังมีจวนเพ่ยหยางโหวต่างผูกชีวิตไว้กับหลี่เย่ เพื่อการดำรงอยู่ของตระกูลถาว ถาวจวินหลันย่อมไม่มีทางยินยอมให้หลี่เย่พ่ายแพ้


การต่อสู้ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนมากมายเพียงใด? ยังดีที่หลี่เย่เตรียมพร้อมก่อนหน้านี้มานานหลายปี ในตอนนี้ก็ถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยง ฝีมือพอๆ กัน


เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา บรรยากาศพลันเคร่งขรึมและอึดอัดมากขึ้น สุดท้ายแล้วถาวซินหลันก็ยื่นองุ่นเม็ดหนึ่งให้ถาวจวินหลัน สะบัดมือพูดว่า “เอาเถิดเจ้าค่ะ ไม่พูดเรื่องที่น่าเหนื่อยใจเช่นนี้แล้ว ตอนนี้ท่านต้องรักษาอาการเจ็บป่วยให้ดี อย่างไรเรื่องภายนอกก็มีพวกผู้ชายคอยดูแลอยู่ ผู้หญิงอย่างพวกเราดูแลแค่เรือนในไปก็พอแล้วเจ้าค่ะ”


“ยังดีที่เจ้ามาพอดี ข้ากำลังอยากให้เจ้ามาช่วยข้าเปิดโรงทานและโรงยาเสียหน่อย” ถาวจวินหลันคิดถึงสิ่งที่หลี่เย่บอกว่าผู้ลี้ภัยมาถึงนอกเมืองแล้ว จึงรีบเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เรื่องนี้นางไม่วางใจให้เจียงอวี้เหลียนไปจัดการเพียงคนเดียว ตอนแรกยังคิดว่าไม่มีวิธีอื่นแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าถาวซินหลันจะมาได้จังหวะพอดี


ถาวซินหลันหน้าดำคร่ำเคร่งถอนหายใจกล่าว “ท่านไม่สบายแล้วยังกังวลเรื่องเหล่านี้อยู่อีก” ตั้งแต่เด็กท่านพ่อบอกว่าถาวจวินหลันเป็นคนที่คิดละเอียดรอบคอบ แต่ก็หมกหมุ่นจนเกินไป มีชะตาชีวิตเหน็ดเหนื่อย ดูแล้วก็เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง


แต่กลับชวนให้สงสารเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ถาวจวินหลันจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสงบสุขได้สักที?


ตอนที่พี่น้องสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทางด้านเจียงอวี้เหลียนก็มาแล้ว


เจียงอวี้เหลียนมาเอากุญแจและไม้บอกตัวเลข แต่พอเข้ามาในห้องกลับถามเรื่องสุขภาพของถาวจวินหลันอย่างเป็นห่วง “ร่างกายของชายารองดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่? เมื่อวานนี้ได้ยินว่าเจ้าป่วย แต่ตอนนั้นก็เย็นเกินไป ข้าจึงไม่กล้ามารบกวน วันนี้คิดว่าเจ้าต้องรักษาตนเอง ก็เลยไม่กล้ามา ชายารองถาวอย่าได้โทษข้าเลย”


เจียงอวี้เหลียนพูดอย่างจริงใจโดยแท้ แต่ดูแล้วก็รู้ว่าเสแสร้งแกล้งทำอยู่บ้าง


ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ “ขอบใจเจ้าที่คิดถึงข้า ตอนนี้ข้าไม่สบาย ต้องลำบากเจ้าคอยดูแลจวนแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงใบไม้ร่วงเรื่องเยอะพอดี เจ้าจะต้องใส่ใจเสียหน่อย” นางรู้ดีแก่ใจว่า ถ้าตอนเช้านางให้คนส่งกุญแจและไม้บอกตัวเลขไปให้แล้วล่ะก็ เจียงอวี้เหลียนก็คงยังไม่รู้ว่าจะต้องมาเยี่ยมดูอาการนางตอนไหน


นางไม่หวังให้เจียงหวี้เหลียนคาดหวังให้นางหายดีในเร็ววันจากใจจริง เพียงแค่เจียงอวี้เหลียนไม่สาปแช่งนางให้ตายไวๆ ในใจก็ถือว่าดีมากแล้ว


เจียงอวี้เหลียนมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้น มองแล้วจริงใจมากกว่าเดิม “ชายารองถาววางใจ ข้าจะต้องไม่สะเพร่าเป็นแน่ เจ้าแค่เพียงรักษาตัวให้ดีเสียเถิด”


หยุดไปครู่หนึ่ง ฉับพลันก็พูดขึ้นมาอีก “ความสำคัญแค่นี้ข้าเองก็พอรู้อยู่บ้าง”


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็วางใจขึ้น จึงพยักหน้าพูด “เจ้ารู้ก็ดี” คำพูดของเจียงอวี้เหลียนบอกว่านางเองก็รู้ว่าหลี่เย่อยู่ในตำแหน่งใด จวนตวนอ๋องมีสถานการณ์เป็นเช่นไร นางไม่มีทางลงมือวุ่นวายในตอนนี้


ส่งเจียงอวี้เหลียนกลับไป ถาวซินหลันก็พูดออกมาช้าๆ “ข้าบอกแล้วว่านางต้องไม่ใช่คนดีอะไร เห็นทีคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านดูหน้าตาฝีปากของนาง กลับแตกต่างจากตอนที่รับใช้เบื้องหน้าไทเฮามากนัก ช่างแสดงละครได้เก่งเสียจริง”


ถาวจวินหลันถลึงตามองถาวซินหลัน “เจ้าออกเรือนไปแล้ว ยังไม่รู้จักสงบเสงี่ยมอีกหรืออย่างไร? จะพูดมากเช่นนี้ไปทำไมกัน? นางจะเป็นเช่นไรก็เป็นเรื่องของนาง เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”


ถาวซินหลันเบะปากอย่างงอแง แต่ก็รู้ว่าที่ถาวจวินหลันทำเช่นนี้เพราะหวังดีต่อนาง จึงยินยอมอย่างเต็มใจ


แม้ว่าถาวซินหลันจะดูเป็นเด็กไม่สงบเสงี่ยม แต่เวลาลงมือทำอะไรก็ใช้ได้ทีเดียว สมกับที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายไทเฮามานานหลายปี เวลาจัดการเรื่องอะไรไม่เพียงแค่เหมาะสมแล้วยังรอบคอบอีกด้วย


เรื่องโรงทานและโรงยาอยู่ในการควบคุมของนาง ก็ถือว่าทำได้อย่างสมจริงสมจังถึงบทบาท


ด้วยกลัวว่าจะมีคนตั้งใจมาหลายรอบในหนึ่งวัน ดังนั้นโรงทานของนางจึงตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงทานของราชสำนัก พอคนไปเอาข้าวต้มจากราชสำนักมา ก็มาเอาหมั่นโถวแป้งข้าวโพดจากทางนี้ไปอีกคนละอัน เมื่อทำเช่นนี้ทุกวันก็อาศัยป้ายในการเอาข้าวต้ม หนึ่งป้ายต่อข้าวต้มหนึ่งถ้วย ถ้าไม่มีป้ายก็ไม่มีข้าวต้มให้


และก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนเสเพลในเมืองหรือครอบครัวยากจนทำร้ายคนอื่นแฝงตัวมาเพื่อประหยัดอาหาร อย่างไรการที่เปิดโรงทานก็เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้มีชีวิตต่อไป ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงคนว่างงาน


ที่จริงแล้วข้าวต้มก็เพียงแค่ยืดชีวิตคนออกไปเท่านั้น ถ้าจะพูดว่าเติมท้องให้อิ่มได้ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้


ดังนั้นแม้ว่าโรงทานที่ถาวจวินหลันเปิดจะไม่ต้มข้าวต้ม แจกเพียงหมั่นโถวแป้งข้าวโพดเนื้อหยาบ แต่ก็ได้รับคำชมที่ดีดั่งสายน้ำไหล แม้กระทั่งมีคนที่รู้จักบุญคุณเหล่านั้นหันหน้ามาทางจวนตวนชินอ๋องเพื่อทำความเคารพไกลๆ ปากก็เอ่ยขอบคุณไม่หยุด


เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อเสียงของหลี่เย่ตวนชินอ๋องจึงถ่ายทอดไปเรื่อย ภายในช่วงเวลาสั้นๆทั่วทั้งเมืองทั้งภายนอกและภายในก็ชื่นชมติดต่อกัน เรียกได้ว่าชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา


ด้วยองค์รัชทายาทย้ายเข้าไปอยู่ในวังหลวงแล้ว ครั้งนี้จึงไม่ดีที่จะเปิดโรงทานหรือว่ามาแจกอาหารอีก ย่อมแย่งชื่อเสียงตรงนี้ไปไม่ได้


หลังจากฮองเฮากับองค์รัชทายาทแอบพูดคุยกันแล้ว ความอึดอัดขององค์รัชทายาทก็หายไปบางส่วน แต่ก็ยังรู้สึกลังเล “เสด็จแม่ วิธีนี้ใช้ได้จริงใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? นอกเมืองวุ่นวายเช่นนั้น ลูกว่า”


“ต้องสูญเสียถึงจะได้รับ” ฮองเฮาเขม็งมองท่าทีลังเลขององค์รัชทายาทนิ่ง น้ำเสียงก็เข้มงวดขึ้นมาในทันใด “หรือว่าเจ้าคิดอยากให้เสด็จพ่อว่ากล่าวสั่งสอนเจ้า หรือได้ยินคนอื่นพูดว่าเจ้าสู้หลี่เย่ไม่ได้อีก?!”


องค์รัชทายาทสั่นเล็กน้อย ท่าทีดูแข็งกร้าวขึ้นอีกครั้ง แทบจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน องค์รัชทายาทกัดฟันพูดออกมาประโยคหนึ่ง “เสด็จแม่พูดถูกพ่ะย่ะค่ะ! วันพรุ่งนี้ข้าจะไป!”


ท่าทีของฮองเฮาถึงได้ผ่อนคลายลง ตบบ่าขององค์รัชทายาทเบาๆ ช่วยจัดเสื้อผ้าและหมวกให้เขา พูดเสียงอ่อนโยน “แม่จะคิดทำร้ายกับเจ้าได้อย่างไร?  แต่สถานการณ์เป็นเช่นนี้เจ้าเองก็จำเป็นต้องทำเรื่องเหล่านั้น เจ้าจะต้องสู้เสียหน่อย ตอนนี้เจ้าเป็นรัชทายาทแล้ว ยิ่งไม่อาจแพ้หลี่เย่ได้ จำเอาไว้ เขาแสดงออกว่ามีเมตตาเพียงใด เจ้าเองก็ต้องมีเมตตาให้มากกว่าเขา เช่นนี้ถึงจะได้รับคำชื่นชม”


องค์รัชทายาทพยักหน้า ท่าทียังคงดูแข็งกร้าว ฟัดกัดกันแน่น


ฮองเฮาพูดอีกว่า “แล้วยังมีอีก แม้จะบอกว่าตอนนี้หยวนซื่อให้กำเนิดทายาทไม่ได้อีกแล้ว แต่เจ้าก็ต้องไปหานางบ่อยๆ เพื่อภาพลักษณ์ คนอื่นจะได้เห็นความเคารพและความใส่ใจที่เจ้ามีต่อนาง อย่างน้อยก็ไม่อาจให้เสด็จพ่อของเจ้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนเ**้ยมโหดไร้เมตตาเพราะเรื่องนี้อีก ทางด้านพระชายาองค์รัชทายาทข้าเองก็ได้บอกนางแล้ว เจ้าก็ต้องจำเอาไว้”


องค์รัชทายาทคิดถึงลูกคนนั้นและท่าทีร่ำไห้โอดครวญในตอนนั้นของหยวนฉงหวา เขาพลันก็ใจฝ่อ แต่ทำได้เพียงพยักหน้ารับปาก “ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นิ่งไปครู่หนึ่งก็กล่าวโทษพระชายาองค์รัชทายาท “พระชายาองค์รัชทายาทก็เสียจริง ถ้าไม่ใช่เพราะนางข้าจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”


“เอาเถิดๆ ข้าเองก็ต่อว่านางไปแล้ว” ฮองเฮาปลอบองค์รัชทายาทอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ให้องค์รัชทายาทออกไป ท้ายสุดสีหน้าก็ดำคล้ำไปอีกครั้ง ในใจคิดว่า ถาวซื่อช่างมีฝีมือดีเสียจริง 

 

 


บทที่ 431 ลงมือ

 

​วันรุ่งขึ้นหลังจากเลิกว่าราชการแล้ว หลี่เย่สังเกตเห็นว่าองค์รัชทายาทเปลี่ยนเสื้อผ้าดูมีท่าทีเหมือนจะออกจากวังหลวง จึงยิ้มและก้าวขึ้นไปถาม


องค์รัชทายาทก็ยิ้มสนิทสนมเป็นพิเศษ “เตรียมจะออกไปนอกวังสักครั้ง ประชาชนนอกเมืองพลัดที่นาคาที่อยู่ ข้าในเมื่อเป็นองค์รัชทายาทก็คงจะไม่เข้าใจอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นจึงคิดจะออกไปดูด้วยตาตนเองสักหน่อย”


หลี่เย่ยิ้ม พูดว่า “ถ้าเข่นนั้นข้าไปพร้อมพี่ใหญ่ก็แล้วกัน”


จวงอ๋องก็พาอู่อ๋องเข้ามาร่วมวงถามด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากที่รู้แล้วนั้น จวงอ๋องก็บอกว่าต้องการไปด้วย มีเพียงอู่อ๋องที่หลุดหัวเราะออกมา “นอกเมืองตอนนี้กำลังวุ่นวาย ทั้งสกปรกทั้งเหม็นเน่า พวกเรามีฐานะอะไร? ไปที่เช่นนั้นมีแต่จะลดศักดิ์ศรีของตัวเองลง มีเวลาว่างเช่นนั้นก็ไม่สู้เอาไปทำเรื่องอื่นดีกว่า”


หยุดไปครู่หนึ่ง อู่อ๋องก็หัวเราะอย่างแฝงนัย “ได้ยินมาว่าทางด้านซูหางมีนางดอกไม้ราตรีเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ได้ยินว่าเต้นรำได้งดงาม ไม่สู้พวกเราไปดูเสียหน่อยดีหรือไม่เล่า?”


องค์รัชทายาทเหลือบมองอู่อ๋อง ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าไปเองเถิด แค่เรื่องเช่นนี้อย่าให้เสด็จพ่อรู้เป็นเด็ดขาด ตอนนี้สภาพแวดล้อมไม่ค่อยดีนัก หากเสด็จพ่อรู้ว่าเจ้าไปที่เช่นนั้นคงจะไม่พอใจเป็นแน่”


ท่าทีเช่นนั้นช่างเหมือนกับพี่ใหญ่ที่แสนดี


หลี่เย่อมยิ้มยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร


จวงอ๋องถลึงตามองอู่อ๋องทีหนึ่ง แล้วตำหนิว่า “ทุกวันนี้คิดอะไรอยู่กันแน่? ไม่รู้ถึงความลำบากของประชาชนเลยแม้แต่น้อย! ข้าไม่อนุญาตให้ไป ออกนอกเมืองไปกับพวกข้าเสีย” จะพลาดโอกาสสั่งสมชื่อเสียงให้เสด็จพ่อมีความสุขไปได้อย่างไร?


ภายในช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาก็นั่งรถพร้อมเดินทาง รอจนออกมาจากประตูเมืองแล้ว ก็ต้องไปอีกสองลี้ก็จะเห็นโรงนอนที่ราชสำนักสร้างขึ้นมาเพื่อรับรองผู้ลี้ภัย บริเวณที่ใกล้เคียงกับปากประตูเมืองก็จะเป็นโรงทานอาหารมากมาย นอกจากของราชสำนักแล้วโรงทานอันอื่นก็เลือกม่านของใครของมัน อย่างแรกเพื่อแบ่งเขต อย่างที่สองก็เพื่อให้คนรู้ว่าเป็นตระกูลไหนที่ทำทานบ้าง


อย่างไรเมื่อพูดตามความจริงแล้ว ทำเรื่องเช่นนี้มีใครไม่หวังชื่อเสียงบ้าง?


ด้วยใกล้ถึงเวลากลางวัน ดังนั้นต่อให้แสงอาทิตย์จะแรงกล้า แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยมาต่อแถวตรงโรงทานเพื่อรับข้าวต้ม


แต่โรงทานของจวนตวนชินอ๋องไม่มีคนแม้แต่คนเดียว กลับมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยุ่งอยู่แทน ตอนนี้ถังไม้ใหญ่ขนาดความสูงเท่าคนเต็มไปด้วยหมั่นโถวแป้งข้าวโพดแล้วถังหนึ่ง ทางด้านนั้นก็ยังทำไม่หยุด ทำเสร็จแล้วก็เอาไปนึ่ง ยุ่งวุ่นวายมาก


ในเมื่อมาสำรวจสถานการณ์ประชาชน ดังนั้นถึงขาดไม่ได้ที่จะไปดูทุกโรงทานโดยมีองค์รัชทายาทเป็นคนนำ หนึ่งในนั้นคนที่โรงทานของราชสำนักน้อยที่สุด เพราะข้าวต้มของราชสำนักน้อยและน้ำเยอะ ดังนั้นตอนนี้ที่มีคนต่อแถวมากที่สุดก็จะต้องเป็นข้าวต้มที่ข้นมากที่สุด และโรงทานที่ใช้วัตถุดิบมากขึ้น


หนึ่งในนั้นก็มีโรงทานของจวนเหิงกั๋วกงเป็นผู้นำ


ขบวนคนเคลื่อนกันไปดู องค์รัชทายาทเอ่ยชื่นชม “จวนเหิงกั๋วกงมีเมตตาจริงๆ ทำได้ไม่เลวเลย”


หลี่เย่เองก็ยิ้ม พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เรื่องการบริจาคข้าวต้มนี้แต่เดิมก็ไม่ใช่เรื่องแค่วันสองวัน เวลาผ่านไปนานๆ เงินก็ไหลออกข้างนอกเหมือนสายน้ำไหล ถ้าไม่ใช่ตระกูลที่เมตตาจริงคงทำถึงขั้นนี้ไม่ได้”


องค์รัชทายาทเห็นหลี่เย่เป็นเช่นนี้ ก็คิดว่าเขายอม จึงยิ้มกว้างมากขึ้น “จวนเหิงกั๋วกงเป็นตระกูลเก่าแก่ และทำความดีมาโดยตลอด ย่อมต้องไม่เห็นเงินสำคัญ พร้อมทำเพื่อคนลำบาก”


จวงอ๋องก็หัวเราะด้วย มองไปทางหลี่เย่ “เป็นเช่นนั้นจริง ตระกูลใหญ่ใหม่ๆ ทั้งหลายยังสู้จวนเหิงกั๋วกงที่ประสบพบพานเรื่องมามากไม่ได้ แค่พื้นฐานก็ไม่พอแล้ว”


ถ้าหากว่าคิดให้ลึกไปอีกก็จะมีความหมายว่าจวนเหิงกั๋วกงมีทรัพย์สินมากเกินไปหน่อย แต่เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เพียงแค่หัวเราะอย่างสนิมสนมมีเมตตา สุดท้ายแล้วองค์รัชทายาทก็พูดถึงโรงทานของจวนตวนชินอ๋อง ยิ้มพลางพูดว่า “แต่ของตวนชินอ๋องก็ไม่เลวเช่นเดียวกัน หมั่นโถวแป้งข้าวโพดนี้พอมาเทียบกับโจ๊กแล้วก็สามารถบรรเทาความหิวไปได้เยอะ”


หลี่เย่ยิ้มบางๆ “ข้าวนั้นแพงกว่าแป้งเนื้อหยาบ เหล่านี้มากนักขอรับ วัตถุดิบเหล่านั้นของข้าส่วนใหญ่แล้วมาจากสวนของตัวเอง ไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมายนัก อย่างไรก็คงสู้กับจวนเหิงกั๋วกงไม่ได้ขอรับ”


ที่จริงแล้วถ้าหากว่าพวกขององค์รัชทายาทพอรู้สถานการณ์ความเป็นไปของโลกภายนอก ก็จะต้องรู้ว่าตอนนี้ราคาข้าวแม้ว่าจะแพง แต่แป้งเนื้อหยาบก็ไม่ได้ถูกไปกว่ากันนัก อีกทั้งข้าวเอามาต้มข้าวต้มถ้วยหนึ่งก็ราคาไม่ถึงหนึ่งสลึง แต่หมั่นโถวแป้งข้าวโพดกลับจับต้องได้จริง ไม่สามารถละลายน้ำได้ คิดแล้วก็ถือว่าค่อนข้างมีมูลค่าอยู่


อีกอย่างจวนตวนชินอ๋องเองก็ยังมีโรงยา


แต่เพราะว่าโรงยาอยู่เกือบริมสุด ดังนั้นองค์รัชทายาทถึงเพิ่งสังเกตเห็น มองดูยาสีดำสนิทสองสามถังที่อยู่ภายในโรงยา องค์รัชทายาทก็หันมายิ้มให้หลี่เย่พลางพูดว่า “บริจาคยา? มีคนมาดื่มหรือ? ภายในนั้นมีของอะไรบ้าง?”


“ล้วนเป็นของจำพวกชาสมุนไพร เอาไว้ช่วยดับร้อนพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ไม่ได้อธิบายละเอียด เพียงแค่ตอบผ่านๆ ไป “นี่ก็เป็นเพราะว่าอากาศร้อน ผู้ลี้ภัยพวกนี้เดินเท้ากันมา เจ็บป่วยก็ไม่น้อย เปิดโรงยาก็ได้ประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ”


องค์รัชทายาทมองหลี่เย่อยู่นาน พลางถามว่า “ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเสนอความคิดนี้อย่างนั้นหรือ?”


คนที่มีตานั้นก็มองดูว่าองค์รัชทายาในตอนนี้แม้ว่าจะยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ยิ้มแย้มเบิกบานเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เหมือนว่าจะแฝงความเยือกเย็นอยู่เล็กน้อย


หลี่เย่ยิ้มบางๆ ท่าทีกลับดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน “เป็นความคิดของถาวซื่อพ่ะย่ะค่ะ เรื่องทั้งหลายภายในจวนนั้นข้าไม่ได้เป็นคนจัดการ อย่างไรแล้ววันๆ ข้าก็อยู่แต่ที่ศาลาว่าการ ไฉนเลยจะมีเวลาเช่นนั้น? ยังดีที่มีนาง ข้าเองก็ถือว่าปล่อยมือให้คนอื่นจัดการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภายในจวนหรือว่าเรื่องอื่นนางเองก็จัดการได้อย่างเหมาะสม แม้แต่บ้านพักก็ดีกว่าปีที่ผ่านๆ มาเยอะพ่ะย่ะค่ะ”


หลี่เย่ชื่นชมถาวจวินหลันอย่างสุดกำลังเช่นนี้ ฉับพลันก็ให้คนอื่นรู้สึกเปรี้ยวเข็ดฟัน จวงอ๋องและอู่อ๋องล้วนมองหลี่เย่ด้วยสายตาตกตะลึง ปกติแล้วพี่รองที่เป็นดั่งเซียนไร้ความรู้สึก ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


มีเพียงแค่องค์รัชทายาทที่รู้สึกไม่พอใจ เขารู้สึกว่าหลี่เย่กำลังโอ้อวดอยู่ อีกอย่างโดยปกติแล้วเขาก็คิดว่าพระชายารัชทายาทมีความสามารถ ในตอนนี้เมื่อเอามาเทียบกับถาวซื่อ กลับไม่สามารถเทียบได้


ในใจขององค์รัชทายาทแฝงความเคืองโกรธอยู่เล็กน้อย ทำไมถาวซื่อถึงคิดได้ แล้วพระชายารัชทายาทถึงคิดไม่ได้?


เมื่อคิดถึงความวุ่นวายที่พระชายารัชทายาทหามาให้เขาแล้ว และเรื่องที่ทำอยู่ทุกวันในเรือนใน ในใจก็ยิ่งรู้สึกพะอืดพะอมและเบื่อหน่าย


พูดไปแล้ว ถาวซื่อยังเป็นคนที่ฮองเฮาประทานให้หลี่เย่ องค์รัชทายาทก็อดคิดอย่างอิจฉาไม่ได้ ถ้าหากว่าตอนนั้นมอบถาวซื่อให้ตนเองจะกลายเป็นเช่นไร? ถ้าเช่นนั้นวันนี้ที่ได้รับคำชมก็จะต้องเป็นเขาแล้ว คนที่สั่งสมชื่อเสียงดีงามก็ต้องเป็นเขาแล้ว หรือเขาเองอาจจะมีลูกชายไปนานแล้ว


องค์รัชทายาทกลับไม่เคยคิดว่าต่อให้ถาวจวินหลันมาอยู่กับเขา ก็คงไม่มีโอกาสทำเรื่องเช่นนี้ ชายารองข้างกายเขาล้วนทำหน้าที่ชายารองอย่างเชื่อฟังคำสั่งสอน ทุกวันล้วนใช้เวลาไปกับการดูแลต้นไม้ ฝึกพู่กัน พระชายารัชทายาทจะปล่อยให้ชายารองคนหนึ่งโดดเด่นกว่าได้อย่างไร?


การสำรวจสถานการณ์ประชาชนครั้งนี้ องค์รัชทายาทกลับมีความไม่พอใจอยู่เต็มท้อง หลังจากที่กลับวังหลวงมาแล้ว ตอนที่เจอพระชายารัชทายาท องค์รัชทายาทก็ควบคุมความรู้สึกภายในใจไม่ไหวอีกต่อไป ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาเสียงดังทีหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินตรงไปยังห้องหนังสือ


พระชายารัชทายาทยืนอยู่ที่เดิม รอยยิ้มที่สง่างามเหมาะสมนั้นก็ค่อยๆ แข็งค้างอยู่บนใบหน้า สุดท้ายก็กลายเป็นความเข้มงวดที่เย็นชาจนไม่มีใครกล้ามอง


“ไปถามจางวางที่ติดตามองค์รัชทายาทออกไปวันนี้ที องค์รัชทายาทไปที่ไหนและทำอะไร? มารายงานข้าอย่างละเอียด ห้ามตกหล่น” พระชายารัชทายาทหันไปสั่งนางกำนัลของตนเอง


นางกำนัลได้รับคำสั่งก็ออกไป ผ่านไปไม่นานก็กลับมาพร้อมเล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังทั้งหมด


พระชายารัชทายาทนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะเสียเย็นออกมา “ไปโมโหมาจากข้างนอก แต่กลับรู้จักแต่ต้องมาระบายในบ้าน” ไร้ประโยชน์เสียจริง


แต่ก็ไม่ได้พูดประโยคสุดท้ายออกมา มิเช่นนั้นถ้าหากว่าคนได้ยินเข้า เกรงว่าคงจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นไม่น้อยเป็นแน่ ก่อนอื่นเลยทางด้านฮองเฮาก็คงไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไร


ผ่านไปครู่หนึ่ง พระชายารัชทายาทก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก “ไปหาเสด็จแม่สักครั้งเถิด” เรื่องนี้ต้องพูดกับฮองเฮาเสียหน่อย


พระชายารัชทายาทพูดเรื่องนี้ให้ฮองเฮาฟังโดยไม่ได้แสดงท่าทีน้อยใจอะไร กลับเป็นฮองเฮาที่ตบหลังมือของนางเบาๆ “ไม่ยุติธรรมกับเจ้าเสียแล้ว เขาไม่พอใจ อยู่ด้านนอกแสดงออกมาไม่ได้ อยู่ในบ้านจึงต้องระบายออกมาบ้าง เจ้าเองก็ใจกว้างเสียหน่อย”


พระชายาองค์รัชทายาทยิ้มบางๆ “เสด็จแม่วางใจ หม่อมฉันเข้าใจเพคะ แต่ตอนนี้พอดูแล้วนั้นถาวซื่อนั่นก็ช่างวุ่นวาย”


พูดถึงถาวจวินหลัน ใบหน้าของฮองเฮาก็เย็นเยียบในทันใด ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนใจ “เป็นข้าที่ประเมินนางต่ำเกินไป แต่เดิมคิดว่าเป็นคนที่ใช้หน้าตาทำงาน และเรียกร้องความโปรดปรานได้เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถเช่นนี้”


“ถือว่ามีความสามารถจริงเพคะ ตวนชินอ๋องไม่เพียงแค่โปรดปรานนางเท่านั้น แล้วยังวางใจนางอีกด้วย ดูเหมือนชายาเอกมากกว่าหลิวซื่อคนนั้นเสียอีก” พระชายารัชทายาทขมวดคิ้วพูดออกมา น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่ง “ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะต้องกลายเป็นชายาเอกตวนชินอ๋องสักวันแน่นอนเพคะ”


ฮองเฮาหลุบตาลง ยิ้มเย็นออกมา “ไฉนเลยจะปล่อยให้นางไปถึงขั้นนั้นได้”


พระชายารัชทายาทได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจความหมายของฮองเฮาทันที หลังจากเลิกคิ้วน้อยๆ แล้ว ก็แย้มยิ้มเล็กน้อย ขอเพียงแค่ฮองเฮาคิดเช่นนี้ การข่มขู่นี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่อีกต่อไป


“ตวนชินอ๋องเอ็นดูรักใคร่ถาวซื่อเสียขนาดนั้น ถ้าหากถาวซื่อเป็นอะไรไป ก็ไม่รู้ว่าตวนชินอ๋องจะเป็นเช่นไรนะเพคะ” พระชายารัชทายาทยิ้มบางๆ พลางพูดว่า “ต่อให้ทางด้านจวนเพ่ยหยางโหว ถ้าไม่ได้ติดต่อกันแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรเช่นกันเพคะ”


หากพระชายารัชทายาทไม่พูดถึงจวนเพ่ยหยางโหวก็ยังดี เมื่อพูดถึงจวนเพ่ยหยางโหวขึ้นมาก็ทำให้ฮองเฮาโมโหมากขึ้น สุดท้ายแล้วฮองเฮาก็นิ่งอยู่ในภวังค์ครู่ใหญ่ แล้วเงยหน้ามองพระชายารัชทายาทนิ่ง “เจ้ามีวิธีที่เหมาะสมอะไรบ้าง? แบบเงียบๆ ไม่มีผู้ใดมาสังเกตเห็นได้”


ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่าตนเองทำให้ฮองเฮาและพระชายารัชทายาทไม่ชอบใจถึงเพียงนี้ ยามนี้นางไข้ลดลงและลงจากเตียงได้แล้ว ตอนนี้หลี่เย่เองก็เพิ่งกลับมาไม่นาน กำลังพูดคุยกับนางเรื่องสภาพแวดล้อมด้านนอกเมืองที่วันนี้ไปเห็นมา


“เจ้าไม่เห็นบรรดาผู้ลี้ภัยเหล่านั้นไม่มีใครไม่ซาบซึ้งบุญคุณ คราวนี้แม้ว่าจะไม่มีชื่อเสียงที่ดีหรือว่าได้รับคำชม แต่ก็คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง” หลี่เย่เล่าสิ่งที่วันนี้ตนเองได้พบเห็นวันนี้อย่างอ่อนโยน สุดท้ายแล้วก็ยิ้มและพูดว่า “เกรงว่าองค์รัชทายาทจะอิจฉาที่ข้ามีตัวช่วยเช่นนี้เสียแล้ว” 

 

 


บทที่ 432 กาลก่อน

 

​ถาวจวินหลันได้ยินก็หัวเราะออกมา อดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่ว่า “บางทีวันรุ่งขึ้นชายารัชทายาทรู้แล้ว ก็อาจจะวางแผนให้ข้าตายเป็นแน่ มิเช่นนั้นนางก็คงไม่พอใจมิใช่หรือเพคะ?”


หลี่เย่แค่นหัวเราะ “นางจะกล้าได้อย่างไร”


ถาวจวินหลันเบะปาก จงใจเสนอความเห็นแย้ง “ทำไมจะไม่กล้าเล่า? เกรงว่าตอนนี้ฮองเฮาก็คงรังเกียจข้ามากแล้ว หากมีวันนั้นจริง ท่านจะต้องแก้แค้นแทนข้านะเพคะ”


หลี่เย่มองถาวจวินหลันอย่างจนปัญญา กลับพูดรับปากอย่างจริงจัง “ดี ข้าจะต้องแล่เนื้อประหารพวกเขา แก้แค้นแทนเจ้า เสร็จแล้วก็ค่อยหักกระดูกสาดขี้เถ้า!”


หลี่เย่พูดอย่างจริงจัง แต่กลับทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกน่าเวทนาขึ้นมา ขมวดคิ้วถามเขาว่า “แล่เนื้อประหารมีจริงหรือเพคะ?”


“มีแน่นอน แต่ก็ต้องทำผิดขั้นร้ายแรงที่สุด มิเช่นนั้นแล้วจะไม่ลงโทษเช่นนี้ คนที่ลงโทษก็จะต้องมีฝีมือดีมาก แล่ขาดไปหนึ่งดาบตนเองก็จะต้องรับโทษแทนนักโทษคนนั้น ถ้าพูดว่าต้องตัดหนึ่งพันครั้ง ก็จะขาดไปไม่ได้เลยสักดาบ” หลี่เย่อธิบายอย่างละเอียด “รัชกาลก่อนมีขันทีคนหนึ่ง เพราะว่าโยกย้ายสิทธิอำนาจและทำร้ายนางสนม จึงถูกลงโทษด้วยวิธีแล่เนื้อประหาร ใช้เวลาแล่อยู่สามวันเต็มๆ วันแรกจบลงก็ยังกินข้าวต้มได้ วันที่สามตอนลงดาบสุดท้ายจบถึงจะหมดลมหายใจอย่างแท้จริง”


ถาวจวินหลันคิดภาพตาม ก็รู้สึกว่าเนื้อทั้งร่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดาย จึงขนลุกขนพองขึ้นมา รู้สึกว่าหวาดกลัวอย่างมาก รู้อยู่แก่ใจว่าหลี่เย่ตั้งใจแกล้งให้นางตกใจ ดังนั้นจึงถลึงตาใส่หลี่เย่ไปทีหนึ่ง


หลี่เย่เม้มริมฝีปากตั้งใจถามกลับอย่างเคร่งเครียดว่า “เจ้าถามข้าเองมิใช่หรืออย่างไร? ทำไมมาถลึงตาใส่ข้าอีกเล่า?”


ถาวจวินหลันพลันบิดข้อศอกเขา แล้วถลึงตามองอีก “ใครบอกให้ท่านพูดละเอียดขนาดนั้นกัน”


หลี่เย่ยิ้ม พูดอย่างจริงจัง “ข้าพูดเรื่องจริง หากใครกล้าทำร้ายเจ้า ข้าจะต้องให้พวกเขาได้รับโทษแล่หนึ่งพันดาบทั้งเป็นๆ แน่”


ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็พยักหน้าพูดว่า “ช่างเถิดเพคะ ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว อยู่ดีๆ ใครจะมาหาเรื่องข้าเล่า? กลับเป็นท่านที่วิ่งอยู่ด้านนอกทั้งวัน จะต้องระวังให้มากเสียหน่อย โดยเฉพาะทหารยาม จะต้องคัดสรรอย่างละเอียดนะเพคะ”


นางไม่อยากเจอเรื่องลอบทำร้ายเหมือนครั้งที่แล้วอีก หากมีอีกครั้งหนึ่ง นางคิดว่าตนเองคงรับความตกใจและความเป็นกังวลเช่นนั้นไม่ไหวอีก


ในใจของหลี่เย่รู้ดีว่าทำไมนางถึงพูดเช่นนี้ ท่าทีจึงดูจริงจังขึ้น “เจ้าวางใจเถิด เรื่องเช่นนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นอีก”


“ทางด้านซวนเอ๋อร์ ท่านเองก็ต้องจัดการให้เหมาะสม” ถาวจวินหลันคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ จึงพูดเตือนเขาเล็กน้อย “ฮองเฮารู้ว่าซวนเอ๋อร์ไปข้างนอก เกรงว่านางจะลงมือกับซวนเอ๋อร์”


“อย่าเป็นกังวลไป ข้าจัดทหารยามจำนวนมากไว้แล้ว” หลี่เย่พูดออกมาเสียงเบา “อีกอย่างนางเองก็ไม่มีทางรู้ว่าซวนเอ๋อร์จะไปที่ใด หลังจากออกจากประตูเมืองไปแล้ว ข้าก็ได้เตรียมรถม้าที่มีหน้าตาเหมือนกันเองไว้อีกคันหนึ่ง ทั้งสองข้างแยกกันเดินทาง ถ้าหากมีคนตามไปก็จะถูกดึงความสนใจไปเอง”


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็สบายใจมากขึ้นไม่น้อย พยักหน้าเอ่ยชม “ท่านจัดการธุระได้รอบคอบมากเพคะ”


ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็รู้สึกเหนื่อยล้า ทำได้เพียงนั่งลงไปอีกครั้ง แล้วหัวเราะขมขื่น “ยามนี้แม้แต่ลมพัดก็แทบจะปลิวไปแล้ว ยามปกติกลับไม่รู้สึก แต่พอป่วยก็กลายเป็นเช่นนี้ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง”


หลี่เย่ส่งสายตาให้หงหลัว ปากกลับจงใจกล่าวโทษ “ก็ต้องโทษเจ้าที่ปกติแล้วไม่ดูแลสุขภาพตนเอง พูดไปแล้ว เจ้าดูแลซวนเอ๋อร์และหมิงจูอย่างดี ทางด้านไทเฮาก็คิดอย่างรอบคอบ แต่ทำไมพอเป็นเรื่องตัวเองกลับละเลยสะเพร่าเช่นนี้เล่า?”


ถาวจวินหลันก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก สถานการณ์ตอนนี้เคร่งเครียด แต่นางกลับไม่อยากสู้ขึ้นมา ไม่เพียงแค่ไม่สามารถช่วยหลี่เย่ได้แล้ว ยังทำให้เขาเป็นกังวลอีกต่างหาก


นี่ก็เป็นเพราะปกติแล้วนางคิดว่าตัวเองยังอายุน้อย ไม่รู้จักบำรุงสุขภาพ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่นางคิดว่าตนเองแข็งแรงมาก สวรรค์จะส่งคำเตือนเช่นนี้ลงมา


เห็นได้ว่าต่อจากนี้จะละเลยไม่ได้แล้ว


ถาวจวินหลันหน้าดำเคร่งเครียด พลางถอนหายใจเอ่ย “ต่อจากนี้ไปข้าเองก็ไม่กล้าสะเพร่าอีกแล้วเพคะ” ร่างกายแข็งแรงถึงจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด หากสุขภาพย่ำแย่ ต่อให้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่หรือปณิธานที่แข็งกล้าเพียงใดก็เป็นเพียงการละเลงขนมเบื้องด้วยปากทั้งนั้น


คราวนี้หลี่เย่ถึงพอใจ


ทางด้านหงหลัวก็ยกยาบำรุงมาให้ ยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อชายารองพูดเช่นนี้แล้ว ชายารองก็ต้องดื่มน้ำแกงนี่ให้หมดนะเจ้าคะ นี่เป็นน้ำแกงที่บ่าวสั่งให้ปี้เจียวเคี่ยวอยู่สามชั่วยามเลยเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันมองหม้อน้ำแกง แล้วก็ต้องตกใจทันที “เหลวไหล หม้อใหญ่เพียงนี้จะดื่มหมดได้อย่างไรกัน?” คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เรียกหลี่เย่ “พวกเราดื่มด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ”


ขณะดื่มน้ำแกง นางก็นึกถึงเรื่องที่หลี่เย่พูด จึงคิดเรื่องหนึ่งได้ทันที “ท่านบอกว่า วันนี้รัชทายาทเสนอให้ออกนอกเมืองไปสำรวจด้วยตนเองหรือเพคะ? ดูแล้วคราวนี้รัชทายาทคงทุ่มสุดแรง ฐานะสูงส่งเช่นนั้น แต่กลับออกไปสถานที่นั้นโดยไม่มีทหารยามติดตามไปด้วยสักคน”


“มีองค์รักษ์เงาจำนวนไม่น้อย” หลี่เย่พูดออกมาตามสบาย “อีกอย่างช่วงนี้เขาก็ถูกเสด็จพ่อหาเรื่องมาโดยตลอด คิดว่าอาจจะเก็บกดอยู่บ้าง คงคิดใช้วิธีเช่นนี้กอบกู้ชื่อเสียงกลับมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม้จะบอกว่าเสี่ยงอันตรายไปเสียหน่อย แต่ก็คุ้มค่าอย่างมาก”


เมื่อพูดจบหลี่เย่ก็หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนยุดไปครู่หนึ่งกลับองมาโดยตลอด ใอนครั้งที่แล้วอีกถลึงตามองถาวจวินหลันอีกครั้ง “อยู่ดีๆ จะมาคิดเรื่องนี้อีกทำไม บอกว่าไม่อนุญาตให้เจ้าคิดเรื่องเหล่านี้แล้วมิใช่หรือ?”


น้ำเสียงฉายแววสั่งสอน แต่ที่มากไปกว่านั้นคือการกล่าวโทษอย่างจนใจ


ถาวจวินหลันรีบพูดวนไปวนมาให้เขาหลีกหัวข้อสนทนานี้ไป แต่ก็ยังคงครุ่นคิดการกระทำของรัชทายาทในวันนี้ สุดท้ายแล้วก็อดหัวเราะเยาะในใจไม่ได้ องค์รัชทายาททำเรื่องมากมายเพียงนั้น ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้คำชื่นชมจากฮ่องเต้ แต่กระตือรือร้นเช่นนี้ กลับยิ่งให้ฮ่องเต้สงสัยง่ายขึ้นไม่ใช่หรือ?


ตอนเย็นหลังจากรับประทานอาหารแล้ว ถาวจวินหลันจึงไปพักผ่อนด้วยเหนื่อยล้า แล้วผลักหลี่เย่ออกไป “ท่านไปดูเซิ่นเอ๋อร์เถิด” ตอนนี้ภายในจวนยังต้องอาศัยแรงของเจียงอวี้เหลียน คงไม่ดีหากให้เจียงอวี้เหลียนไม่พอใจ หลี่เย่ไปดูบ้างไปนั่งเล่นบ้าง เจียงอวี้เหลียนอาจจะยิ่งพยายามและยอมลงแรงมากขึ้นก็ได้


ที่จริงแล้วหลี่เย่ก็คิดอยากไปดูเซิ่นเอ๋อร์ อย่างไรนั่นก็เป็นลูกชายของเขา จึงบอกให้ถาวจวินหลันผักพ่อนให้ดี แล้วถึงจากไป


หลี่เย่เพิ่งออกจากเรือนไป ทางด้านถาวซินหลันก็มาหา เห็นว่าหลี่เย่ไม่อยู่ ถึงได้ถามหงหลัว เมื่อรู้ว่าหลี่เย่ไปหาเจียงอวี้เหลียน ก็เม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าถาวจวินหลันกลับยิ้มเบิกบานเอ่ยว่า “วันนี้ดูดีขึ้นไม่น้อย ท่าทางจะหายดีในเร็ววันแล้วนะเจ้าคะ”


ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “ดีขึ้นไม่น้อยแล้วเสียที่ไหนกัน? ร่างกายยังรู้สึกเบา ไม่ค่อยมีแรงนัก พูดกันว่าเมื่อโรคมาก็มาอย่างรุนแรง อีกทั้งนานกว่าโรคจะหาย ตอนนี้ข้าเข้าใจคำกล่าวนี้แล้ว ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย”


หยุดไปครู่หนึ่ง ก็มองร่างกายของถาวซินหลัน กำชับว่า “อย่าละเลยสุขภาพตัวเอง จะต้องดูแลให้มากเสียหน่อย อย่าได้คิดว่าอายุยังน้อยแล้วไม่สนใจอะไร”


ถาวซินหลันกลอกตามองนาง “ท่านไปรักษาร่างกายของท่านให้ดีก่อนจะมาบอกข้าดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องเหนื่อยใจมากมายเช่นท่าน หลังจากออกเรือนไปแล้วข้าเห็นว่าตัวเองเหมือนจะอ้วนขึ้นมาไม่น้อย เสื้อผ้าก่อนหน้านี้พอสวมใส่แล้วก็รู้สึกคับขึ้นมาบ้าง”


พี่น้องทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง ถาวซินหลันก็สังเกตเห็นว่าถาวจวินหลันเริ่มเหนื่อยแล้วจริงๆ จึงไม่ได้รั้งตัวอยู่ต่อ พอออกมาจากเรือนเฉินเซียงแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป แล้วเริ่มหัวเราะเยาะตัวเอง “คนอื่นมัวแต่อิจฉาพี่สาวของข้า แต่ข้าลอบสังเกตดูแล้ว นางต้องใช้ชีวิตเหนื่อยมากเพียงใดกัน?” มีจวนตวนชินอ๋องที่ใหญ่เพียงนี้ให้ดูแล ยังต้องเผชิญหน้ากับอนุภรรยาของหลี่เย่ อีกทั้งต้องแบกรับความเจ็บปวดใจที่ต้องแบ่งสามีกับคนอื่น หากเป็นนาง เกรงว่านางคงวางมือไปนานแล้ว


บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ มีท่าทีไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงก้มหน้าก้มตาไม่กล้าพูดขัดแม้แต่คำเดียว


แต่ไม่ว่าถาวซินหลันจะสงสารถาวจวินหลันอย่างไรก็ดี วันเวลาควรจะใช้เช่นไรก็ยังต้องเป็นไปตามนั้น นางเองก็ไม่สามารถสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของจวนตวนชินอ๋องได้ สิ่งเดียวที่นางทำแทนถาวจวินหลันได้ก็คือช่วยนางจัดการเรื่องโรงทานและโรงยาให้เหมาะสม


รอจนวันที่ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ถาวซินหลันจะอยู่ต่อก็คงไม่ดี ทางด้านตระกูลเฉินเองก็ส่งรถม้ามารับ นางจึงทำได้เพียงกลับไปก่อนเท่านั้น คำนวณทั้งหมดดูแล้วก็อาศัยอยู่แค่เพียงหกวันเท่านั้น


แต่ถาวจวินหลันก็รักษาอาการเจ็บป่วยจนดีขึ้นแล้ว อย่างน้อยก็ออกข้างนอกได้ แม้จะบอกว่าเรี่ยวแรงยังกลับมาไม่เต็มที่เหมือนเดิม แต่ก็ดูดีขึ้นมาก


ถาวจวินหลันออกไปส่งถาวซินหลันที่ประตูรองด้วยตนเอง ยิ้มและพูดว่า “เจ้าเองก็กลับไปได้แล้ว ถ้ายังไม่กลับไปเกรงว่าเฉินฟู่คงจะมาขอคนคืนถึงที่นี่เสียกระมัง”


ถาวซินหลันถูกเย้าแหย่เช่นนี้ก็หน้าแดงระเรื่อ แต่กลับปากแข็งเอ่ยว่า “เขาไม่สนใจข้าเสียหน่อย มิเช่นนั้นก็คงมาหาไปแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ? กลัวว่าที่ข้าจากมา เขาคงดีใจที่สงบสุขเสียที”


แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจของถาวซินหลันก็รู้ความคิดของเฉินฟู่ดี เพิ่งจะมาอยู่ไม่กี่วันนี้เฉินฟู่ก็ให้คนเขียนจดหมายมาสามฉบับ ส่งของมาอีกสี่อย่างแล้ว


พอส่งถาวซินหลันกลับไป ถาวจวินหลันก็ค่อยๆ เดินกลับไป ตอนที่เดินผ่านสวนดอกไม้ก็บังเอิญพบกับถาวจือ


ถาวจือเดินเข้ามาทำความเคารพ พลางยิ้มและพูดว่า “ดูท่าทีเช่นนี้ ชายารองถาวน่าจะดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”


ถาวจวินหลันแย้มยิ้ม “แม้จะยังไม่หายดี แต่ก็ใกล้แล้ว”


“เช่นนั้นข้าก็วางใจ” ถาวจือเม้มปากหัวเราะ สีชาดบริเวณหางตายกสูงขึ้น ดูอ่อนช้อยอยู่หลายส่วน “ท่านอ๋องไม่อนุญาตให้พวกเราไปเยี่ยม บอกว่ากลัวจะรบกวนความสงบของชายารองถาว รบกวนการรักษาอาการป่วยของท่าน ดังนั้นพวกเราจึงไม่กล้าไป ขอให้ชายารองถาวได้โปรดให้อภัยด้วยเถิดเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย หัวเราะพลางพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่โทษพวกเจ้าหรอก อีกทั้งกลัวว่าจะแพร่เชื้อโรคไปให้พวกเจ้า”


“พูดไปแล้วท่านอ๋องก็ช่างมั่นคงยิ่งนัก ชายารองถาวป่วย ก็แทบจะเฝ้าอยู่ทั้งวัน ช่างน่าอิจฉาเสียจริง” ถาวจือเม้มปากหัวเราะ ยิ่งดูออดอ้อนมากขึ้นไปอีก


ถาวจวินหลันไม่ค่อยชอบท่าทีเช่นนี้ของถาวจือนัก จึงยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ข้าเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว กลับก่อนก็แล้วกัน”


ถาวจือทำความเคารพส่งถาวจวินหลันเดินจากไป ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกที ภายในดวงตาก็แฝงความเยือกเย็นเอาไว้ ส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ พูดว่า “เสแสร้งเก่งเหลือเกิน! คิดว่าตนเองเป็นชายาตวนชินอ๋องหรืออย่างไร? ชายาที่ถูกต้องทำนองคลองธรรมก็ยังอยู่! นางทำตัวเช่นนี้ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรกัน?”


ถาวจือหันหน้า แล้วเดินไปยังเรือนชิวอี๋ของเจียงอวี้เหลียน


ยามนี้เจียงอวี้เหลียนกำลังถือเทียบเชิญแผ่นหนึ่งเล่นอยู่ ใบหน้าเคร่งขรึมครุ่นคิด ได้ยินว่าถาวจือมาหาก็พยักหน้าอย่างเลื่อนลอย “ให้นางเข้ามาเถิด” 

 

 


บทที่ 433 เกิดเรื่อง

 

​ถาวจือมาถึงก็สังเกตเห็นเทียบเชิญในมือของเจียงอวี้เหลียนทันที แน่นอนว่าไม่มีทางพลาดสีหน้าเคร่งขรึมบนใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนไปเป็นแน่ หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็ยิ้มและพูดว่า “ดูท่าทีของชายารองเหมือนว่ากำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่นะเจ้าคะ”


เจียงอวี้เหลียนโยนเทียบเชิญใบนั้นให้ถาวจือ “เจ้าเอาไปดู”


ถาวจือรับมาถือไว้ มองเพียงปราดเดียวเห็นว่าเป็นกระดาษชั้นดี ก็ส่งเสียงจิ๊ปากออกมาทีหนึ่ง พอมองข้างบนที่เขียนเอาไว้ว่าเป็นอันหย่วนโหวสกุลกู้ ทันใดนั้นก็จิ๊ปากออกมาอีกครั้ง พอดูเนื้อหาแล้วก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมาอีก


เจียงอวี้เหลียนได้ยินก็รำคาญ จึงพูดด้วยท่าทีไม่ค่อยดีนัก “จะพอได้แล้วหรือยัง?”


ถาวจือก็ไม่หงุดหงิดหรือประหม่า ยิ้มพลางวางเทียบเชิญนั้นลงถามว่า “ชายารองเจียงกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่หรือเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าคนของตระกูลกู้ต้องการเข้ามาเยี่ยมเยียนชายารองถาวหรือเจ้าคะ? ในเมื่อเป็นญาติกันทั้งหมด ย่อมไม่มีเหตุผลที่ขวางกั้นเอาไว้อยู่แล้ว”


เจียงอวี้เหลียนแค่นหัวเราะ “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแสร้งทำเป็นเลอะเลือนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ? หากมาเยี่ยมดูอาการป่วยก็แล้วไป กู้ซีเป็นใคร เจ้าไม่รู้จักจริงหรือ?”


ถาวจือย่อมต้องรู้ว่ากู้ซีเป็นใคร ลูกสาวจากชายาเอกของอันหย่วนโหวกู้อวี่จื๋อ ด้วยสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง จนตอนนี้จึงยังไม่ได้ออกเรือน มองดูก็จะกลายเป็นหญิงสาวอายุมากแล้ว ตอนนี้ตระกูลกู้ดูคิดหนักเรื่องการแต่งงานของบุตรสาว


อีกทั้งกู้ซีก็ยังเป็นญาติผู้น้องอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของหลี่เย่อีกด้วย


เมื่อถาวจือได้ยินคำถามของเจียงอวี้เหลียน ก็ยิ้มออกมา “นี่ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลนี่เจ้าคะ ตอนนี้ภายในจวนของพวกเราคนที่มีเกียรติมากที่สุดก็คือชายารองถาว” ความหมายของคำพูดนี้เป็นการเตือนเจียงอวี้เหลียน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่นางจะไปแย่งชิงตำแหน่งนั้น ดังนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องคิดเช่นนี้


“คนที่ควรต้องเป็นกังวลไม่ใช่ชายารองเจียงเจ้าค่ะ” ถาวจือหยุดไปครู่หนึ่ง พลางพูดอย่างแฝงนัย


เมื่อเจียงอวี้เหลียนถูกเตือนเช่นนี้ ก็ตกอยู่ในภวังค์เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หัวเราะเยาะออกมา “ก็ไม่ใช่น่ะซี แต่ข้ากลับเสียเวลาคิดไปโดยเปล่าประโยชน์ คนที่ต้องเป็นกังวลไม่ใช่ข้าเสียหน่อย ข้าเป็นใครกัน?”


สุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนก็ส่งเทียบเชิญนี้ไปให้ถาวจวินหลัน แต่กลับแสร้งทำเป็นลืมเรื่องที่หลี่เย่พูดว่าไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าไปรบกวนความสงบของถาวจวินหลัน เจียงอวี้เหลียนยิ้มเย็นครุ่นคิดด้วยประสงค์ร้าย น้องสาวของตนเองจะถือว่าเป็นคนอื่นได้อย่างไรกัน?


ถาวจวินหลันเห็นเทียบเชิญนี้ กลับไม่ได้มีทีท่าเหมือนที่เจียงอวี้เหลียนคาดการณ์เอาไว้ตอนแรก เพียงแค่พยักหน้าพูดเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้อนรับให้ดีเสียหน่อยเถิด” นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอื่นใดอีก


พอเจียงอวี้เหลียนรู้ว่านางมีท่าทางเช่นนี้ นางก็เริ่มสงสัย หรือว่าถาวจวินหลันจะไม่รู้จุดประสงค์ของตระกูลกู้อย่างนั้นหรือ? หลายปีมานี้ที่ไม่ได้ไปมาหาสู่ แต่ตอนนี้กลับส่งลูกสาวมา นี่แสดงความหายให้เห็นชัดอยู่แล้ว อีกทั้งญาติผู้พี่ญาติผู้น้องก็ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว เรื่องนี้ยิ่งสำเร็จได้ง่ายไปอีก


ทางด้านนี้หงหลัวเองก็แอบเตือนถาวจวินหลันเช่นกัน เพียงแต่พูดอย่างปิดบัง “ในใจของชายารองเข้าใจดี คุณหนูกู้มานั้นไม่ใช่แค่มาเยี่ยมอาการป่วยง่ายๆ เท่านั้นแน่นอนเจ้าค่ะ”


เมื่อได้ยินหงหลัวพูดเตือนแล้ว ถาวจวินหลันก็ยิ้มน้อยๆ วางหนังสือในมือลง “ถ้าเช่นนั้นแล้วอย่างไร? เราจะระแวงจนไม่ให้นางเข้ามาก็ได้ด้วยหรือ? อีกทั้งหากท่านอ๋องเองก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน ใครก็ไม่อาจขัดขวางได้ หากท่านอ๋องไม่ได้คิดเช่นนี้ ตระกูลกู้ก็คงส่งสายตาหว่านเสน่ห์ให้คนตาบอดดูแล้ว”


ที่สำคัญที่สุดก็คือต่อให้ตอนนี้ทุกคนอยากจะปลดหลิวซื่อออก และแต่งตั้งชายาเอกตวนชินอ๋องใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีทางเป็นกู้ซีหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่ง แต่เดิมก็รองรับตำแหน่งชายาเอกตวนชินอ๋องไม่ได้อยู่แล้ว แม้ว่าอำนาจของตระกูลกู้จะมีมาก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งมากนัก แม้แต่ไทเฮาเองก็ไม่แน่ว่าจะชอบใจ


ดังนั้นกู้ซีจึงไม่ได้ถือเป็นศัตรู นางจึงไม่ต้องกังวล


และยิ่งไปกว่านั้น หลิวซื่อชายาเอกตวนชินอ๋องต่างหากถึงเป็นคนที่ควรกังวลมากที่สุด อย่างไรหากมีชายาเอกตวนชินอ๋องมาใหม่จริง ตำแหน่งฐานะของนางก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางยังคงเป็นชายารองคนหนึ่ง เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของซวนเอ๋อร์ และเป็นผู้หญิงที่หลี่เย่ใส่ใจมากที่สุดเหมือนเดิม


แน่นอนว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้จึงยังจัดชายาเอกตวนชินอ๋องคนใหม่ให้หลี่เย่ไม่ได้ ต่อให้คิดจะทำเช่นนี้ ก็ต้องรอให้มหันตภัยครั้งนี้ผ่านไปก่อน


เมื่อพูดถึงมหันตภัย ถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจไม่ได้ นี่ถือเป็นมหันตภัยที่ร้ายแรงที่สุดในรอบสิบกว่าปี ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะมีมหันตภัยมาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีครั้งไหนรุนแรงจนไม่มีพืชพันธุ์ให้เก็บเกี่ยว บีบบังคับให้ประชาชนคนธรรมดาต้องหนีตาย ถ้าเทียบกับครั้งนี้แล้ว ภัยหิมะคราวที่แล้วกลับเล็กน้อยจนไม่อาจเอามาเปรียบได้


อีกทั้งได้ยินมาว่าฝนที่ทางเหอเป่ยก็ยังไม่หยุดตก จนแทบจะท่วมมิดเกือบทุกที่


ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ผู้ลี้ภัยมีแต่จะมากขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่ราชสำนักทำได้นั้นกลับมีขีดจำกัด อย่างไรท้องพระคลังก็ไม่ได้มีให้ใช้อย่างไม่หมดสิ้น


ที่สำคัญที่สุดก็คือคำร้องเรียนของประชาชน ในสถานการณ์เช่นนี้หากทำไม่ดีก็กลัวว่าจะมีการประท้วงครั้งใหญ่เกิดขึ้น อย่างไรก็ไม่มีใครยอมนอนรอความตาย เพื่ออาหารการกินสักมื้อ เพื่อเงินจำนวนน้อยนิดก็พร้อมจะลุกขึ้นมาต่อต้านทั้งนั้น


หลายครั้งที่ราชสำนักถูกปฏิวัติล้วนมีเหตุมาจากภัยพิบัติ ซึ่งส่งผลให้ประชาชนไม่อาจดำรงชีวิตต่อไปได้ บ้านเมืองลุกเป็นไฟและการนิ่งเฉยของราชการทำให้เกิดการต่อต้านและประท้วง


แม้จะบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็ถือว่าไม่ดีเท่าไรนัก คนที่ชักนำผู้ลี้ภัยเหล่านี้อยู่เบื้องหลัง จนตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวไม่ใช่หรือไร? เมื่อมีครั้งแรกก็อาจจะมีครั้งที่สองและครั้งที่สามตามมา


พอเห็นถาวจวินหลันเริ่มตกอยู่ในภวังค์เป็นกังวล หงหลัวจึงรีบเอ่ยปากเตือนถาวจวินหลัน “คุณหนูกู้เพียงแค่มานั่งพูดคุยเท่านั้น หรือว่าคิดจะมาอาศัยอยู่สองสามวันเจ้าคะ?”


“คิดแล้วก็น่าจะมาพักอยู่สองสามวัน” ถาวจวินหลันยิ้ม “ให้ชายารองเจียงจัดการเรื่องสถานที่พัก จะต้องจัดเก็บให้เรียบร้อยเหมาะสม อย่าให้แขกอึดอัดลำบากใจ”


หงหลัวรับปาก สุดท้ายแล้วก็พูดเรื่องจิปาถะอีกเล็กเล็กน้อย ก่อนพูดกล่อมว่า “ชายารองก็อย่าอ่านหนังสืออีกเลยเจ้าค่ะ ดูแลสุขภาพให้ดี จะได้ดีขึ้นในเร็ววัน แบบนี้ดีกว่าอะไรทั้งนั้นนะเจ้าคะ”


ถาวจวินหลันวางหนังสือลงอย่างจนปัญญา ยิ้มและพูดว่า “บ่าวเช่นเจ้ากลับมายุ่งเรื่องของเจ้านายเสียแล้ว”


หงหลัวพูดด้วยสีหน้าดำคล้ำ “ชายารองต้องเห็นใจข้าบ้าง หากข้าปรนนิบัติไม่ดี ท่านอ๋องก็คงไม่อนุญาตให้ข้ามาดูแลปรนนิบัติท่านอีกต่อไป” คราวที่แล้วต้องนั่งคุกเข่าอยู่นานกว่าครึ่งชั่วยาม หัวเข่าบวมแดง หลังจากนั้นเป็นต้นมาบรรดาบ่าวรับใช้ในเรือนเฉินเซียงแต่ละคนก็ละเอียดรอบคอบขึ้นมา กลัวว่าปรนนิบัติไม่ดีแล้วหลี่เย่รู้เข้าจะถูกทำโทษ


พูดไปแล้ว ปกติหลี่เย่ก็ถือว่าเป็นคนที่อบอุ่นอ่อนโยน แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเกี่ยวข้องกับถาวจวินหลันกลับกลายเป็นเทพแห่งความตายที่เ**้ยมโหดได้ทันตา


ตกดึกหลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันก็ส่งเทียบเชิญให้หลี่เย่ดู ยิ้มและพูดว่า “ภายในจวนจะมีแขกผู้หญิงมา และยังเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน คงไม่ดีถ้าท่านจะไปไหนมมาไหนทั่วอีก ข้างกายนั้นมีขันทีติดตามอยู่ตลอดถึงจะดี มิเช่นนั้นมีคนเห็นเข้าจะคิดว่าพวกเราไม่มีกฎเกณฑ์นะเพคะ”


หลี่เย่มองถาวจวินหลันอย่างจริงจัง จากนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าพูดเช่นนี้เหมือนมีความหมายแอบแฝงเสียแล้ว”


ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ แต่กลับไม่ยอมรับ เพียงแค่กลอกตามองเขา “มีความนัยแฝงอะไรเล่าเพคะ? เพียงแค่เอ่ยกำชับเท่านั้นเอง”


หลี่เย่ก็ไม่จี้จุด เพียงแค่แอบหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งถึงพอใจ จากนั้นก็พูดว่า “ให้แค่เจียงซื่อคอยดูแลก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้เจ้ายังป่วยอยู่ ไม่อนุญาตให้คิดเยอะ”


ใจของถาวจวินหลันอบอุ่น ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า พูดว่า “อย่างไรก็คงต้องพบหน้าบ้าง มิเช่นนั้นนางคงคิดว่าข้าไม่มีมารยาทเป็นแน่เพคะ”


วันรุ่งขึ้นกู้ซีก็มาตั้งแต่เช้า และนำของขวัญจำนวนมากมาให้ แทบจะมีของทุกคนภายในจวน  แต่ด้วยมาเยี่ยมไข้ ของบำรุงเช่นรังนกต่างๆ จึงมีมากเลยทีเดียว


หลังจากกู้ซีพบถาวจวินหลันแล้ว ก็ทำความเคารพอย่างถูกกฎ และถามไถ่สุขภาพของถาวจวินหลันเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งเขินอายอยู่ตรงนั้นไม่รู้จะพูดอะไร


เมื่อเทียบกับคราวที่แล้ว สุขภาพของกู้ซีก็เหมือนว่าจะดีขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าก็มีสีชมพูระเรื่อสดใสดั่งที่หญิงสาวควรจะมี


ถาวจวินหลันลอบสังเกตเงียบๆ พอเห็นว่ากู้ซีเริ่มเขินอาย นางก็อดหัวเราะไม่ได้ “อยู่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องเขินอาย ทำตัวให้เหมือนอยู่ที่บ้าน มิเช่นนั้นก็จะยิ่งรู้สึกประหม่ามิใช่หรืออย่างไร?”


ใบหน้าของกู้ซีนั้นแดงก่ำ พลางพูดอย่างขลาดกลัว “ท่านแม่บอกว่าชายารองถาวดูแลจวนเป็นอย่างดี จึงให้ข้ามาเรียนรู้ และช่วยเหลือ”


ถาวจวินหลันลอบคิดในใจว่า ช่างพูดจาได้ตรงเสียเหลือเกิน มาช่วยอย่างนั้นหรือ? ให้ญาติผู้น้องมาคอยช่วยพี่ชายดูแลบ้านอย่างนั้นหรือ? นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?


แต่พอเห็นดวงตาสดใสของกู้ซี นางย่อมต้องไม่แสดงอะไรออกมา เพียงแค่ยิ้มและพูดว่า ข้าก็ไม่ได้ดีเหมือนที่ท่านป้าบอกหรอก ตอนนี้ชายารองเจียงจัดการดูแลจวน อีกเดี๋ยวข้าจะไปช่วยพูดเรื่องนี้ให้ เจ้าอยู่ข้างกายนางก็จะได้เรียนรู้ไม่น้อย ไม่แย่ไปกว่าข้า ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมสอนเจ้า แต่ตอนนี้ร่างกายของข้าไม่สู้ดีนัก ไม่มีวิธีจริงๆ”


ที่พูดเช่นนี้ก็ด้วยกลัวจะมีคนหาเรื่อง อย่างไรแล้วกู้ซีแม้ดูแล้วจะเป็นคนที่บริสุทธิ์ เขินอาย แต่กู้ฮูหยิน…


กู้ซีได้ยินถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ ก็รีบพูดว่า “การรักอาการป่วยของชายารองถาวย่อมสำคัญอยู่แล้ว”


ถาวจวินหลันยิ้มพลางถามกู้ซีถึงสถานการณ์อื่น หลังจากแสดงความใส่ใจอย่างเหมาะสมแล้วนั้น หงหลัวก็ก้าวเข้ามาเตือนว่า “ชายารอง ถึงเวลาดื่มยาแล้วเจ้าค่ะ”


ดังนั้นกู้ซีจึงหลบออกไป แล้วถาวจวินหลันก็เรียกให้คนพานางไปหาเจียงอวี้เหลียน นิสัยเขินอายเช่นนี้ของกู้ซี หากในวันปกติก็คงไม่มีอะไร นางหาเรื่องพูดให้เยอะเสียหน่อยก็พอแล้ว แต่ว่าตอนนี้นางกลับไม่มีอารมณ์จะทำเช่นนั้น


ดังนั้นปล่อยให้เจียงอวี้เหลียนไปจัดการถึงจะดีที่สุด นางทำแค่เพียงสะบัดมือให้คนอื่นจัดการเท่านั้นพอ


ทางด้านนี้เพิ่งจะดื่มยา ถาวซินหลันก็มาหาพอดี


ถาวจวินหลันได้ยินคำรายงานก็ตะลึงไปในทันใด “นี่เพิ่งกลับบ้านไปได้กี่วันกัน? ทำไมถึงมาอีกแล้วเล่า?” หรือว่าตระกูลเฉินจะเกิดเรื่องขึ้น หรือว่านางได้รับความไม่ยุติธรรมอะไรอย่างนั้นหรือไร?


เมื่อคิดเช่นนี้ในใจก็รู้สึกไม่สงบขึ้นมา รีบเรียกคนให้ไปเชิญถาวซินหลันเข้ามา


เมื่อถาวซินหลันเข้ามา ถาวจวินหลันก็เห็นว่าสีหน้าของนางไม่ดีมาก นางใจหล่นตุบ รีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”


เมื่อครู่นี้ถาวซินหลันเดินทางมาอย่างเร่งรีบ ตอนนี้บริเวณหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดอยู่เต็มไปหมด นางเองก็ไม่สนใจเช็ด ก่อนนั่งลงและดื่มน้ำชาเพื่อให้ชุ่มคอ แล้วถึงได้เอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”


ได้ยินเพียงแค่นี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกร้อนรนในทันที จึงรีบถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? รีบพูดเร็วเข้า! อย่าชักช้า!”


“โรงยาเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” ถาวซินหลันเม้มปากพูดออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด 

 

 


บทที่ 434 หวังดี

 

​พอถาวจวินหลันได้ยินว่าโรงยาเกิดเรื่องขึ้นก็ตกใจทันที “จะเป็นไปได้อย่างไร?” โรงยาจะเกิดอะไรขึ้นได้? หรือว่ามีคนกินยาแล้วตาย? แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร?  หมอเหล่านั้นที่นางเชิญมาแม้จะบอกว่าไม่ใช่หมอชื่อดัง แต่ก็มีฝีมือการแพทย์ที่เข้าขั้นทั้งนั้น ชื่อเสียงก็ดีอย่างมาก


ถาวซินหลันพนักหน้า “โรงยาเกิดเรื่องแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ แม้จะบอกว่าเกี่ยวข้องกับพวกเราไม่มาก แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันเจ้าค่ะ”


คราวนี้ถาวจวินหลันยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าพูดให้ดีๆ แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นเป็นแน่?”


“โรคระบาด” ถาวจวินหลันพูดออกมาสามคำ


ฉับพลันนั้นถาวจวินหลันก็เหมือนถูกค้อนทุบเข้าไปอย่างแรง เกิดอาการวิงเวียน ถลึงตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ พลางสบถด้วยตกใจ “อะไรนะ?”


ถาวซินหลันยิ้มขมขื่น ก่อนพยักหน้าพูดซ้ำอีกครั้ง “โรคระบาดเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันนิ่งไป เรื่องนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เหมือนกับที่ถาวซินหลันพูด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโรงยาไม่เยอะ แต่ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่


ไม่ หรือจะพูดว่าเป็นเรื่องที่เสมือนกับท้องฟ้าถล่ม


ผ่านไปครู่ใหญ่ถาวจวินหลันถึงได้สติกลับมา ถามถาวซินหลันเสียงเบา “ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? รุนแรงหรือไม่?”


ท่าทีของถาวซินหลันกลับเคร่งเครียด เมื่อเห็นว่าถาวจวินหลันถามก็ส่ายหัวอธิบายเสียงเบา “เพิ่งตัวอย่างเดียวเจ้าค่ะ ช่วยไม่ได้แล้ว หมอรีบรายงานข่าวนี้ขึ้นมา ข้าไม่อนุญาตให้พวกเขาโพทะนาไปเสียก่อน”


ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของถาวซินหลัน จึงพยักหน้าชื่นชม “เจ้าทำถูกแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่ควรป่าวประกาศออกไป เอาอย่างนี้ เจ้ากลับไปก่อน ไปบอกแม่สามีของเจ้าให้ทราบ เตือนนางให้พาเด็กในจวนหลีกหนีไปที่สวนในพื้นที่ห่างไกลก่อน สุขภาพของเด็กสู้ผู้ใหญ่ไม่ได้ พบเรื่องเช่นนี้เกรงว่าจะรับมือไม่ไหว”


ที่จริงแล้วในใจถาวซินหลันไม่ได้สงบนิ่งเหมือนที่แสดงออกมา ตอนนี้เห็นว่าถาวจวินหลันสั่งนาง ก็เรียกความมั่นใจขึ้นมาได้บ้าง นางรู้ดีแก่ใจว่าเรื่องนี้รุนแรงมากเพียงใด จึงเร่งรีบกลับไป ไม่กล้าเสียเวลาอีก


ถาวจวินหลันยกมือเรียกหงหลัว สั่งว่า “ไปสั่งให้คนลอบนำเรื่องนี้ไปบอกท่านอ๋องโดยพลัน”


โรคระบาดไม่เหมือนกับโรคอย่างอื่น มันแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาให้ล่าช้าเลยแม้แต่น้อย


หงหลัวเองก็ตกใจจนหน้าถอดสี รีบออกไปสั่งการอย่างเร่งรีบ ด้วยไม่กล้ายืมมือคนอื่น ดังนั้นเรื่องนี้จึงมอบหน้าที่ให้กับหลิวเอินที่ยังไม่หายดี


แน่นอนว่าหลิวเอินย่อมไม่กล้าชักช้า รีบพุ่งตัวสุดฝีเท้าไปที่ศาลาว่าการเพื่อรายงาน  ส่วนถาวจวินหลัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดอีกว่า “ไปดูชายารองเจียงว่ามีเวลาว่างหรือไม่ หากมีเวลาว่างก็บอกว่าข้ามีเรื่องอยากพบนาง เชิญให้นางมาหาสักรอบหนึ่ง”


เจียงอวี้เหลียนย่อมไม่มีเวลา นางกำลังต้อนรับกู้ซีอยู่ เพราะว่าฐานะของกู้ซีสูงส่ง ดังนั้นจึงไม่ดีหากจะเรียกถาวจือ กู่อวี้จือ หรือคนอื่นๆ มาอยู่เป็นเพื่อนแขก นางทำได้แค่อยู่เป็นเพื่อนด้วยตนเอง


จำต้องพูดเลยว่านิสัยของกู้ซีขี้อายมากเกินไปหน่อย มากจนคนอื่นไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มลงมือจากที่ใดก่อน พูดคุยเป็นเพื่อนนางอยู่ครู่หนึ่ง เจียงอวี้เหลียนก็รู้สึกปากแห้งไปหมด แต่กู้ซีกลับไม่ได้พูดอะไรออกมามากนัก


เห็นบ่าวรับใช้หัวผลุบหัวโผล่อยู่ที่ประตู ในใจของเจียงอวี้เหลียนก็ยิ่งรู้สึกรำคาญ จึงตำหนิหน้าเคร่ง “หลบๆ ซ่อนๆ ทำอะไรกัน? ยังไม่รีบคลานมานี้อีก!” นางรู้ดีแก่ใจว่าที่บ่าวรับใช้มีอาการเช่นนี้ก็เพราะต้องมีเรื่องเป็นแน่ มิเช่นนั้นแล้วจะกล้าหัวผลุบหัวโผล่อยู่ได้อย่างไร?


บ่าวรับใช้เห็นเจียงอวี้เหลียนโมโห จึงรีบถ่ายทอดคำพูดของถาวจวินหลันออกไป


เจียงอวี้เหลียนหันไปมองกู้ซีทีหนึ่ง


กู้ซีเองก็รู้งาน รีบพูดว่า “ชายารองเจียงไปทำธุระเถิด ข้าเองก็จะไปพักสักหน่อย”


เจียงอวี้เหลียนยิ้มน้อยๆ คล้องมือของกู้ซีอย่างเป็นมิตร แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “ช่างไม่ถูกเวลาเลย ชายารองถาวก็จริงๆ เลย ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเจ้าอยู่กับข้าที่นี่ แต่กลับเรียกข้าไป ไม่รู้ว่ามีเรื่องใหญ่อะไรกัน เจ้าไปพักก่อนเถิด รอข้ากลับมาแล้วจะไปคุยเล่นกับเจ้า ทำตัวให้ให้สบาย มีอะไรก็แค่บอกข้ามา”


เจียงอวี้เหลียนตั้งใจพูดถึงถาวจวินหลัน ก็แสดงความหมายของนางได้ชัดแล้ว กู้ซีจึงโบกมือติดต่อกัน แล้วพูดอย่างเคารพยำเกรง “คิดว่าชายารองถาวจะต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่เจ้าค่ะ ตัวข้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ชายารองเจียงรีบไปเถิดเจ้าค่ะ”


เจียงอวี้เหลียนสั่งลู่ฉี่บ่าวรับใช้ข้างกาย ว่าให้ส่งกู้ซีไปทางเรือนที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนตนเองก็มุ่งหน้าไปที่เรือนเฉินเซียง ทว่ายังรู้สึกไม่สบายใจนัก จึง อดบ่นพึมพำไม่ได้


แต่เมื่อพบถาวจวินหลันแล้วนั้น เจียงอวี้เหลียนกลับไม่แสดงท่าทีรำคาญของตนเองออกมาแม้แต่น้อย เพียงแค่มองสีหน้าเคร่งขรึมของถาวจวินหลันทีหนึ่ง พลางยิ้มและพูดว่า “เป็นอะไรหรือ? เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”


พอเห็นสีหน้าเช่นนั้นของถาวจวินหลัน นางก็เชื่อว่าถาวจวินหลันมีเรื่องสำคัญจริงถึงให้คนไปเรียกนางมา


ถาวจวินหลันก็ไม่อ้อมค้อม พูดให้เจียงอวี้เหลียนฟังตรงๆ ว่า “นอกเมืองเกิดโรคระบาดขึ้น”


ปฏิกิริยาของเจียงอวี้เหลียนเหมือนถาวจวินหลันก่อนหน้านี้ไม่มีผิด อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนสบถว่า “อะไรนะ?”


ถาวจวินหลันรู้ว่านางได้ยินชัดเจนแล้ว ดังนั้นจึงไม่พูดซ้ำอีก เพียงแค่มองนางนิ่งๆ รอดูนางได้สติกลับคืนมาเอง


บนใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนที่เคยมีรอยยิ้มก็ค่อยๆ หุบลง สุดท้ายแล้วก็ตีหน้านิ่งเอ่ยว่า “เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ? ได้อย่างไรกัน…”


“จวนของพวกเราเปิดโรงยา ด้วยเหตุนี้จึงรู้เรื่องนี้ก่อน” ถาวจวินหลันถอนหายใจเอ่ยต่อ “ข้าให้คนไปแจ้งท่านอ๋องแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่ได้ และยิ่งไม่กล้าปิดบัง ทางที่ดีเจ้าเองก็วางแผนเอาไว้ให้เร็ว”


เสียงของเจียงอวี้เหลียนแหลมสูงขึ้นทันที “วางแผนให้เร็วอย่างนั้น? ข้าจะต้องวางแผนอะไรกัน?” หรือว่านางจะควบคุมโรคระบาดนี้ได้อย่างนั้นหรือ ไม่ปล่อยให้โรคระบาดแพร่กระจายไปทั่วอย่างนั้นหรือ?


ถาวจวินหลันถูกเสียงแหลมสูงของเจียงอวี้เหลียนทำให้ตกใจจนขมับเต้นตุบๆ แต่คราวนี้นางไม่มีเวลามาถกเถียงกับเจียงอวี้เหลียน เพียงแค่ขมวดคิ้วและพูดอีกว่า “ข้างนอกเองหากเกิดการแพร่กระจายของโรคระบาดจริง คงต้องปิดประตูเมือง และจำกัดการใช้เงินอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ หากอนุญาตให้ออกไม่อนุญาตให้เข้าก็ถือว่ายังดี แต่เกรงว่าคงจะเข้าออกไม่ได้ อีกอย่างหากโรคระบาดแพร่กระจายใครยังจะเดินผ่านประตูเมืองอีกเล่า? ถ้าหากอยากออกไปหลบ ก็มีเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นแล้ว หากรอต่อไปเกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสแล้ว”


ด้วยนางคำนึงถึงเซิ่นเอ๋อร์ ถึงได้พูดเตือนเจียงอวี้เหลียน นางไม่มีทางเหนื่อยเพียงเพื่อเจียงอวี้เหลียนคนเดียวหรอก


เจียงอวี้เหลียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ฉับพลันนั้นกลับไม่สามารถตัดสินใจได้ สุดท้ายแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าจะพิจารณาให้ละเอียด”


หยุดไปครู่หนึ่ง ก็ถามอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นชายารองถาวจะหลบไปด้วยกันหรือไม่เล่า?”


ถาวจวินหลันมองเจียงอวี้เหลียนวูบหนึ่ง ก่อนหัวเราะออกมา “ข้าเป็นเช่นนี้ จะไปที่ไหนไหวอีก อีกอย่าง ซวนเอ๋อร์ก็ถูกส่งไปแล้ว ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีก จึงไม่จำเป็นต้องหนีแล้ว” นางจะต้องอยู่ที่เดียวกับหลี่เย่ ตอนแรกที่ส่งซวนเอ๋อร์และหมิงจูไป นางก็วางแผนเช่นนี้เอาไว้แล้ว


เจียงอวี้เหลียนเม้มริมฝีปาก ตอนนี้รู้สึกผิดหวังมาก ถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งได้โปรยเสน่ห์ต่อหน้าหลี่เย่มากเลยมิใช่หรืออย่างไรกัน? เกรงว่านางคงคิดถึงเรื่องนี้มานานแล้ว ดังนั้นถึงส่งลูกชายลูกสาวทั้งสองคนออกไป ตัดความกังวลที่อยู่เบื้องหลังออก ส่วนตนเองในตอนนี้…หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ควรส่งเซิ่นเอ๋อร์ไปก่อน!


แต่ตอนนี้รู้สึกผิดหวังก็สายเกินไปเสียแล้ว


เจียงอวี้เหลียนหงุดหงิดจนแทบจะกระอักเลือด แต่กลับจำใจด้วยจนปัญญา


ถาวจวินหลันมองความลังเลของเจียงอวี้เหลียนออก จึงพูดออกมาเรียบๆ “เรื่องนี้เจ้าเองก็คิดให้ดี หากจะส่งเซิ่นเอ๋อร์ออกไปหลบก็วางแผนให้เร็ว ไม่ว่าจะพาไปที่บ้านพักของตัวเอง หรือว่าบ้านพักของจวนก็ทำได้ทั้งนั้น”


ถาวจวินหลันไม่ได้พูดลงลึกมากนัก เตือนมาถึงตรงนี้แล้วก็ถือว่าพอสมควรแล้ว ถ้าพูดเยอะไปกว่านี้ก็ไม่รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะคิดอะไรอีก ก็เหมือนกับคราวที่แล้ว สุดท้ายทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงได้เปลี่ยนไป นางก็พอเข้าใจอยู่บ้าง ดังนั้นครั้งนี้ต่อให้คำนึงถึงเซิ่นเอ๋อร์จริง นางเองก็ควรจะหยุดอยู่ที่ตรงนี้


เจียงอวี้เหลียนกลับยุ่งวุ่นวาย กัดฟันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามถาวจวินหลันกลับไปว่า “สถานการณ์นอกเมืองตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


“ตอนนี้จากคนที่ไปตรวจโรคค้นพบเพียงคนเดียว แต่ไม่รู้ว่ามีอีกเท่าไรที่ยังไม่พบ” ถาวจวินหลันถอนหายใจ แล้วพูดความจริงอย่างจริงใจ “ข้าเองก็รู้ไม่ละเอียดนัก อย่างไรข้าและเจ้าก็อยู่ในเรือนในเหมือนกัน ย่อมมองไม่เห็นสถานการณ์จริง เพียงแค่ได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟังเท่านั้น”


เจียงอวี้เหลียนยิ้มเม้มปากแน่นขึ้น ไม่พูดอะไรออกมา


“เจ้ากลับไปคิดให้ดีเถิด” ถาวจวินหลันโบกมือ ไม่อยากดูท่าทีเช่นนี้ของเจียงอวี้เหลียนอีก อีกอย่างนางเองก็เริ่มเหนื่อยแล้ว แต่เดิมอาการป่วยก็ยังไม่หายดี ตอนนี้พอมีเรื่องนี้มาทำให้เครียดอีก ฉับพลันก็เริ่มรู้สึกรับไม่ไหว นางจึงปวดหัวตุบๆ


เจียงอวี้เหลียนทำได้แค่กลับไปก่อน ด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย รู้สึกว่าถาวจวินหลันจงใจ หากถาวจวินหลันหวังดีต่อตนเองจริงไฉนจะทำเช่นนี้? คราวที่แล้วก็ควรเกลี่ยกล่อมนาง แต่ถาวจวินหลันไม่เพียงไม่กล่อม แล้วยังรอจนตอนนี้ถึงพูดเรื่องนี้มาเยาะเย้ย นี่เห็นได้ถึงเจตนาไม่ดี


ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะเห็นความหวังดีของตนเองเป็นอย่างนี้ นางให้หงหลัวนวดศีรษะให้ตัวเองอยู่ พลางสั่งให้คนไปส่งจดหมายเตือนไปทุกที่ เช่น ทางด้านถาวจิ้งผิงที่ไม่อาจขาดได้ แล้วยังมีจวนเพ่ยหยางโหว และคนที่มีความสัมพันธ์อันดี


แต่เดิมหงหลัวอยากกล่อมถาวจวินหลันไม่ให้คิดมากอีก แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้ ก็กลืนคำพูดลงไป แม้จะบอกว่าเจียงอวี้เหลียนช่วยจัดการดูแลจวนได้ แต่เรื่องเช่นนี้ทางด้านเจียงอวี้เหลียนกลับไม่สามารถฝากความหวังเอาไว้ได้ ยังจะต้องเป็นถาวจวินหลันรับผิดชอบเรื่องนี้ถึงจะได้


ดังนั้นต่อให้เจ็บปวดใจ หงหลัวก็ทำได้แค่ลอบถอนหายใจเท่านั้น จากนั้นก็ยิ่งตั้งใจนวดขมับให้ถาวจวินหลัน


ตอนนี้ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่า คำพูดของตนเองได้ทำให้เกิดคลื่นลมอะไรขึ้นมาบ้าง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม