บัลลังก์พญาหงส์ 426-427

บทที่ 426 พลอยได้รับความดีความชอบ

 

​พอใกล้ถึงเวลาออกเดินทาง อยู่ๆ เจียงอวี้เหลียนกลับส่งคนมาบอกว่าไม่ไปแล้ว


ถาวจวินหลันย่อมงุนงงไปหมด จึงเดินทางไปถามด้วยตนเองสักหน่อย…หากไม่ไปถามก็ไม่เหมาะสม ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เจียงอวี้เหลียนจะเป็นตายร้ายดีเช่นไรนางก็ไม่สนใจ แต่เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกของหลี่เย่ เป็นคุณชายรองของจวนอ๋อง นางจึงต้องใส่ใจ


อีกทั้ง นางครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ ทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงไม่ยอมไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนี่? ก่อนหน้านี้เจียงอวี้เหลียนไม่ได้กลัวกาฬโรคมากหรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าเต็มใจออกไปหลบภัยมากเลยหรือ? อยู่ๆ กลับเปลี่ยนความคิดเช่นนี้ เป็นเพราะอะไรกันแน่?


หงหลัวเห็นว่าถาวจวินหลันตั้งใจจะไปถามด้วยตัวเอง จึงเบะปากพูดว่า “พระชายารองอย่าใส่ใจไปเลยเจ้าค่ะ ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป พวกเราต้องไปด้วยตัวเองเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการลดฐานะของตัวเอง อีกทั้งยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ อาจคิดว่าพวกเรามีแผนการอะไรก็เป็นได้เจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างขมขื่น “เวลาไหนกันแล้ว ทำไมจะยังคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้อยู่อีก? ไม่ว่านางจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ข้าควรทำข้าก็ต้องทำ นางจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของนางแล้ว”


พูดอย่างตรงไปตรงมาล่ะก็ นางทำเช่นนี้ก็ด้วยเห็นแก่หน้าของหลี่เย่เท่านั้น แน่นอนว่า ขอบเขตก็ถึงแค่จุดนี้ หากจะให้นางทำอะไรมากไปกว่านี้ นั่นก็เป็นอีกเรื่องแล้ว


หงหลัวได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่ได้ห้ามอีกต่อไป เพียงแต่ส่ายหัวแล้วถอนใจ “พระชายารองรอดูเถิดเจ้าค่ะ อีกฝ่ายไม่มีทางซาบซึ้งน้ำใจของท่านอย่างแน่นอน”


เรื่องนี้ หงหลัวคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ


ถาวจวินหลันเพิ่งไปถึงเรือนชิวอี๋ ยังไม่ทันพูดอะไรออกมาสักคำ เจียงอวี้เหลียนก็พูดเนิบๆ  ว่า “คิดไปคิดมา ถึงอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าควรอยู่ที่นี่ ถึงจะเรียกว่าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข ตอนนี้อันตรายยังไม่ทันมาถึงตัว หากว่าข้าจะไปจากท่านอ๋อง ข้าก็ต้องรู้สึกผิดต่อท่านอ๋องมิใช่หรือ?”


คำพูดนี้ทำเอาถาวจวินหลันพูดไม่ออก นางมองเจียงอวี้เหลียน เพียงแต่ถามออกไปว่า “เช่นนั้นเซิ่นเอ๋อร์จะทำเช่นไร?”


“แน่นอนว่าจะต้องอยู่กับข้า” เจียงอวี้เหลียนไม่ลังเล แล้วพูดอย่างมั่นใจ “คิดว่าเขาเองก็ไม่อยากห่างจากพ่อของเขาเช่นกัน”


เจียงอวี้เหลียนพูดอย่างจริงจังและแน่วแน่ ดูเหมือนว่าถาวจวินหลันจะโน้มน้าวนางไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว สักพักถึงได้พูดเรียบๆ ว่า “เรื่องหลบภัยในครั้งนี้เป็นความคิดของท่านอ๋อง”


“เรื่องนี้ข้าจะพูดกับท่านอ๋องเอง” เจียงอวี้เหลียนพูดอย่างมั่นใจ “ชายารองถาวไม่ต้องโน้มน้าวข้าอีก เจ้าเองก็ยังไม่ยอมห่างจากท่านอ๋อง แล้วข้าจะทำใจห่างจากท่านอ๋องได้เช่นไร?”


“หรือว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ แล้วให้เซิ่นเอ๋อร์เดินทางไปหลบภัย” ถาวจวินหลันเสนออีกทาง “แม้แต่ซวนเอ๋อร์กับหมิงจู ข้าก็ให้แม่นมพาไปหลบภัยเช่นกัน”


เจียงอวี้เหลียนลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ส่ายหัว “ไม่ได้ เซิ่นเอ๋อร์อยู่ห่างจากข้าไม่ได้”


ดูจากท่าทีของเจียงอวี้เหลียน ถาวจวินหลันก็รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนตัดสินใจแล้ว นางพูดอย่างไรก็คงไม่ฟัง ดังนั้นจึงไม่พูดโน้มน้าวต่อ เพียงแค่พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตามใจเจ้า เพียงแต่ เจ้าไปพูดกับท่านอ๋องด้วยตัวเองก็แล้วกัน”


เดาว่าคงมีเพียงหลี่เย่เท่านั้นที่จะพูดให้เจียงอวี้เหลียนยอมได้


นางไม่ได้นั่งอยู่ต่อ ถาวจวินหลันลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับออกมา


เจียงอวี้เหลียนมองตามหลังของถาวจวินหลัน แล้วหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นก็ถ่มน้ำลายออกมา ดูมีท่าทีภาคภูมิใจ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าคิดอะไรอยู่? คิดว่าข้าเป็นคนโง่อย่างนั้นรึ?”


และเจียงอวี้เหลียนก็คิดได้ทันทีว่า รอจนนางพูดกับหลี่เย่แล้ว หลี่เย่จะรู้สึกซาบซึ้งใจมากเพียงใด? ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะยิ่งให้ความสำคัญกับนางมากขึ้น แล้วต่อไปก็คงจะไปเรือนนางด้วย


เพียงแต่เจียงอวี้เหลียนลืมคิดไปว่า หากเรื่องหลบภัยครั้งนี้เป็นความคิดของหลี่เย่จริงๆ เล่า? นางทำเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ หลี่เย่คงไม่เพียงแต่จะไม่ซาบซึ้งใจ แต่จะยิ่งรู้สึกรำคาญมิใช่รึ?


พอกลับมาถึงเรือน ถาวจวินหลันก็เตรียมการเรื่องจิ้งหลิงพาเด็กๆ ออกเดินทางไปหลบภัย คิดแล้ว นางก็ไปหาชิงกูกูกับติงหมัวหมัว “กูกูกับหมัวหมัวร่วมเดินทางไปด้วยจะดีกว่า มีพวกท่านอยู่ ข้าเองก็วางใจ”


ทั้งสองคนไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่พูดว่า “มีพวกเราอยู่ พระชายารองวางใจเถิดเจ้าค่ะ”


นอกจากชิงกูกูและติงหมัวหมัวแล้ว ถาวจวินหลันคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ให้ชิวจื่อร่วมเดินทางไปด้วยกัน


นางพูดกับชิวจื่อว่า “เจ้ากับจิ้งหลิงดูแลวังเต๋ออันอย่างดีโดยตลอด ในตอนนี้ ก็ถือว่าพวกเจ้าทั้งสองคนได้ทำงานร่วมกันอีกครั้ง อีกทั้งตอนแรกข้าก็คิดไว้อยู่แล้วว่าจะให้เจ้าติดตามซวนเอ๋อร์ไป วันนี้ข้าก็ยังคิดเช่นนั้น…ข้าไม่มีอะไรพูดมากมาย เพียงแต่อยากกำชับเจ้าว่า ไม่ว่าอย่างไร ข้าขอแค่เด็กๆ ปลอดภัยก็พอ”


ชิวจื่อรู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ นางจะรับคำส่งๆ ไม่ได้ จึงรับปากเรื่องนี้อย่างหนักแน่น “บ่าวจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้องคุณหนูและคุณชายน้อยให้ปลอดภัยเจ้าค่ะ”


“ออกจากจวนอ๋องไปครั้งนี้ จะต้องระวังให้มาก” ถาวจวินหลันวางใจไม่ได้ จึงกำชับไปอีกครั้ง


ชิวจื่อเข้าใจความรู้สึกของถาวจวินหลัน จึงไม่รู้สึกรำคาญ และรับคำแต่โดยดี อีกทั้งยังได้พูดให้ถาวจวินหลันสบายใจ


เนื่องจากเจียงอวี้เหลียนไม่ไปแล้ว ดังนั้นของทุกอย่างที่จะต้องเตรียมจึงน้อยลงไปมาก วันต่อมาทุกอย่างก็จัดเตรียมเรียบร้อยรอแค่เพียงออกเดินทาง


ถาวจวินหลันอุ้มหมิงจูไปส่งด้วยตัวเอง แล้วปลอบซวนเอ๋อร์ว่าให้แม่นมพาเข้าไปเที่ยวเล่นที่บ้านในชนบทเพียงไม่กี่วัน โดยไม่กล้าพูดว่าไปนานเท่าไร เพียงแค่บอกว่าอีกไม่นานพวกนางก็จะตามไป


ถึงอย่างไรซวนเอ๋อร์ก็ยังเล็ก คนที่ร่วมทางไปด้วยต่างก็เป็นคนคุ้นเคยทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่มีท่าทีกังวลใจใดๆ เลย แต่กลับยิ้มแล้วตั้งหน้าตั้งตารอคอย ทำให้ถาวจวินหลันที่มองดูอย่างเจ็บปวดใจรู้สึกขบขันขึ้นมา พอรถม้าออกไปแล้ว จึงแกล้งตำหนิเล็กน้อย “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เสียใจที่ต้องจากข้าเลยแม้แต่น้อย”


หงหลัวได้ยินแล้ว จึงรีบปลอบว่า “ซวนเอ๋อร์ยังเด็กนัก จะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ เขาดีใจเช่นนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องงอแงระหว่างทางเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันกรอกตาใส่นาง “คิดว่าข้าไม่เข้าใจจริงๆ รึ? ข้าก็แค่ถอนใจกับตัวเองเท่านั้น เพียงแต่การจากกันครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่”


หงหลัวหัวเราะแล้วประคองถาวจวินหลันเดินกลับ “ใช่เจ้าค่ะ ข้าพูดมากไปเอง แต่พออากาศเริ่มเย็นลงก็คงจะกลับมาแล้ว ตอนนี้ก็เดือนเจ็ด อีกไม่นานก็จะเข้าเดือนแปด อากาศก็จะค่อยๆ เย็นลงแล้วเจ้าค่ะ”


กาฬโรคจะระบาดก็ในช่วงอากาศร้อน พออากาศเริ่มเย็นลง ก็จะค่อยๆ หายไปเอง


ถาวจวินหลันก็รู้ถึงข้อนี้ เพียงแต่ไม่อยากอยู่ห่างกับลูกๆ นานก็เท่านั้น ถึงอย่างไร กว่าจะได้ซวนเอ๋อร์กลับมาเลี้ยงดูข้างกายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในตอนนี้ต้องจากกัน แล้วนางจะทำใจได้อย่างไร? โดยเฉพาะหมิงจู ที่ยังไม่ถึงขวบดี


มองดูก็รู้ว่าถาวจวินหลันทำใจไม่ได้ เพียงแต่หงหลัวก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว ได้แต่พูดเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนเรื่องและเบี่ยงเบนความสนใจ


ตกดึกหลี่เย่กลับมาถึงแล้ว ถาวจวินหลันกำลังใจลอยคิดว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกซวนเอ๋อร์จะถึงบ้านพักแล้วหรือไม่ โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าเขากลับมาเลยแม้แต่น้อย


หลี่เย่ก็ไม่ส่งเสียง แต่กลับมองอยู่สักพัก ถึงได้พูดขึ้นเบาๆ “เจ้าวางใจเถิด ตอนนี้พวกเขาน่าจะเข้าพักที่บ้านพักเรียบร้อยดีแล้ว ข้าได้กำชับทหารอารักขาเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่มีอะไรต้องกังวลอย่างแน่นอน”


ถาวจวินหลันถึงรู้สึกตัว มองไปทางหลี่เย่แล้วหัวเราะเบาๆ “ดูข้าสิ คิดอะไรจนใจลอย แม้แต่ท่านกลับมาถึงแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ท่านทานอาหารเย็นแล้วใช่หรือไม่? จะให้คนไปเตรียมอาหารอะไรสักหน่อยหรือไม่?”


หลี่เย่นั่งลงข้างๆ โต๊ะ “ให้คนเตรียมน้ำแกงบะหมี่มาสักชามก็พอ”


ถาวจวินหลันรีบออกไปสั่ง พอกลับมาข้างในแล้วถึงพูดว่า “ครั้งนี้เซิ่นเอ๋อร์ไม่ได้เดินทางไปด้วย ท่านเองก็จับตาดูสถานการณ์เอาไว้ให้ดี หากเกิดกาฬโรคระบาดขึ้นจริงๆ จะได้รีบส่งพวกเขาออกไปจากเมืองหลวง”


หลี่เย่นิ่งเงียบไปสักพัก แล้วรับคำ สักพักถึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องใส่ใจเจียงซื่อ นางอยากก่อเรื่องวุ่นวายก็เรื่องของนาง เจ้าทำอย่างสุดความสามารถแล้ว” สำหรับเจียงซือ เขาเองก็หมดหนทางเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบเจียงซื่อ แต่ถึงอย่างไรเจียงอวี้เหลียนก็มีบุญคุณต่อเขา ทั้งยังเป็นแม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์


ตอนแรกที่เขามอบลูกคนนี้ให้เจียงอวี้เหลียน ก็คิดว่าเพื่อหาที่พึ่งและหลักประกันให้กับเจียงอวี้เหลียน แต่ตอนนี้พอคิดไปแล้วก็รู้สึกว่าทำผิด…พอมีเซิ่นเอ๋อร์ หน้าตาและฐานะของเจียงอวี้เหลียนก็ดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย แต่จริงๆ นางกลับเปลี่ยนไป โดยเฉพาะความคิดที่ดูจะซับซ้อนมากขึ้น


เมื่อวานเขาก็กลับมาดึกมาก จึงไม่ได้ไปหาเจียงอวี้เหลียน แต่เรื่องนี้เขารู้ก่อนแล้ว และก็พอเดาความคิดของเจียงอวี้เหลียนได้


เขาสั่งคนไปบอกเจียงอวี้เหลียนว่าหากนางไม่เต็มใจไป ก็ให้ส่งเซิ่นเอ๋อร์ไปก่อน แต่เป็นตายอย่างไรเจียงอวี้เหลียนก็ไม่ยอม เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเองก็หมดความอดทนเช่นกัน


เขาได้แต่สายหัวกับท่าทีของเจียงอวี้เหลียน ที่ดูรักและภักดีต่อเขาจากใจจริงจนไม่ยอมห่างกัน


หรือว่าถาวจวินหลันจะไม่รักเขาด้วยความจริงใจ? แต่ถาวจวินหลันรู้ดีว่าลูกสำคัญที่สุด นี่เป็นสัญชาตญาณของความเป็นแม่ เจียงอวี้เหลียนทำเช่นนั้น กลับเป็นการเอาเซิ่นเอ๋อร์มาเสี่ยง


ตอนแรกเขายังอยากตำหนิ แต่พอคิดอีกทีกลับคิดว่าช่างเถิด ถึงอย่างไรเซิ่นเอ๋อร์ก็อยู่ในท้องของเจียงอวี้เหลียนมานานกว่าสิบเดือน และยังเป็นหลักประกันในอนาคตของนาง นางกล้าเอามาเสี่ยง หากจะให้เขาพูดอะไรไปมากกว่านี้ ก็ออกจะไม่มีหัวใจมากเกินไปหน่อย


ถึงแม้ว่าเซิ่นเอ๋อร์ก็เป็นลูกของเขา แต่นั่นก็เป็นลูกชายของเจียงอวี้เหลียนเช่นกัน ในเมื่อเจียงอวี้เหลียนเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม แต่เขายังจะทำเช่นนี้ ก็ดูจะไม่เหมาะสมนัก แน่นอนว่า ที่เขายังยอมเช่นนี้ เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงที่ย่ำแย่ที่สุด


ให้ถาวจวินหลันออกไปนั้น ถึงจะเป็นสิ่งที่เขารู้สึกกังวลที่สุด จริงๆ แล้ว สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายเช่นนั้น


เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่า ถึงแม้จะเกิดกาฬโรคระบาดขึ้น ขอเพียงแค่อยู่ในจวนอ๋อง อยู่ห่างและไม่เข้าใกล้คนที่ติดโรค แค่นี่ก็ปลอดภัยแล้ว ที่ทำเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นการป้องกันอีกขั้นหนึ่งเท่านั้น


เขารู้สึกวางใจไม่ได้ ดังนั้นถึงได้พูดเช่นนี้


เห็นได้ชัดว่า สุดท้ายแล้วก็มีแค่ถาวจวินหลันเท่านั้นที่คิดเหมือนกับเขา ส่วนเจียงอวี้เหลียนไม่ต้องพูดถึง


ตอนกำลังรับประทานอาหารอยู่ หลี่เย่ก็พูดขึ้นมาว่า “ความคิดที่จะเอาบ้านพักให้ราษฎรที่อพยพมาอยู่อาศัยเป็นความคิดที่ดีอย่างมาก เสด็จพ่อทรงทราบว่าเป็นความคิดของเจ้า ก็เอ่ยปากชม เดาว่าอีกสองสามวันคงมีของรางวัลประทานให้ บางทีอาจจะจัดเป็นงานใหญ่”


หลี่เย่พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็เข้าใจความคิดของฮ่องเต้ทันที เรื่องการชมเชยนางเป็นเรื่องโกหก ความจริงแล้วก็คือต้องการให้คนอื่นเอาเป็นแบบอย่าง


“แม้แต่ข้า ครั้งนี้ก็พลอยได้รับความดีความชอบเพราะเจ้าไปด้วย ได้มีการชมเชยต่อหน้าขุนนางทุกคน ถือว่าได้รับเกียรติอย่างมาก” หลี่เย่ยิ้มแล้วพูดออกมา แล้วตั้งใจถามนางว่า “เจ้าว่า ข้าควรตอบแทนเจ้าอย่างไรดี?” 

 

 


บทที่ 427 หาเรื่อง

 

​เรื่องได้รับความดีความชอบไปด้วยนั้นถือว่าเป็นเรื่องจริง…ถึงแม้นี่จะเป็นความคิดของถาวจวินหลัน แต่ว่าสามีภรรยาก็ถือว่าเป็นคนคนเดียวกัน ความดีความชอบของถาวจวินหลันในครั้งนี้ แน่นอนว่าต้องแบ่งให้หลี่เย่ส่วนหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงชมเชยหลี่เย่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว อีกทั้งยังได้ชมหลี่เย่ต่อหน้าขุนนางทุกคนว่าหลี่เย่เป็นคนมีจิตใจเมตตา ใส่ใจประชาชน ให้เอาเขาเป็นแบบอย่าง


หากเพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด ที่สำคัญที่สุดก็คือ สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ยังทรงมองไปทางองค์รัชทายาทแล้วตรัสว่า “องค์รัชทายาทเองก็ควรเอาตวนชินอ๋องเป็นแบบอย่าง”


แค่คิดก็รู้ว่าคำพูดนี้ส่งผลกระทบมากเท่าไร


พริบตาเดียว เรื่องซุบซิบก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ว่าฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับตวนชินอ๋องมากกว่าองค์รัชทายาท


องค์รัชทายาทดูเหมือนสีหน้าจะเปลี่ยนไปทันที ถึงแม้จะรับคำด้วยการแสดงท่าทีเสียใจ และพูดอย่างใจกว้างว่าตัวเขาเองก็จะพยายามให้มาก แต่รอจนกระทั่งจบการว่าราชการและลับหลังฮ่องเต้แล้ว องค์รัชทายาทก็อดใช้สายตาเคียดแค้นคมกริบราวใบมีดมองหลี่เย่ไม่ได้


เหิงกั๋วกงก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ตวนชินอ๋องช่างเป็นห่วงประชาชนจริงๆ ถึงได้คิดวิธีเช่นนี้ได้…”


เห็นได้ชัดว่า เหิงกั๋วกงคิดว่าความคิดนี้ไม่ใช่ความคิดของถาวจวินหลัน แท้ที่จริงแล้วเป็นความคิดของหลี่เย่ทั้งหมด แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของคนอื่น จึงอ้างชื่อของถาวจวินหลันก็เท่านั้น


องค์รัชทายาททำหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว


หลี่เย่หันไปยิ้มอย่างโยนอ่อนให้เหิงกั๋วกง “เหิงกั๋วกงชมเกินไปแล้ว ก็แค่ถาวซื่อให้ความใส่ใจ จึงคิดวิธีนี้ได้ก็เท่านั้น” สักพัก ก็มองไปทางองค์รัชทายาท แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “คิดไม่ถึงว่าจะทำให้พี่ใหญ่ต้องลำบากไปด้วย”


องค์รัชทายาทฝืนยิ้มเอ่ย “ที่ไหนกันเล่า”


หลี่เย่ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “คิดว่าพี่ใหญ่คงไม่ใส่ใจเรื่องเช่นนี้กระมัง? เสด็จพ่อก็ตรัสไปเท่านั้น พี่ใหญ่อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ข้ารู้ดีว่าช่วงนี้พี่ใหญ่เหน็ดเหนื่อยจากเรื่องการอพยพลี้ภัยอย่างมาก”


สีหน้าขององค์รัชทายาทยิ่งไม่ดีขึ้นไปอีก จากนั้นก็ฝืนฉีกยิ้มอีกทีแล้วพูดไปตามมารยาท แล้วองค์รัชทายาทที่ไม่อยากเห็นหน้าหลี่เย่อีก ก็หันหลังแล้วเดินออกไป


จริงๆ แล้ว ช่วงนี้องค์รัชทายาทก็ยุ่งมากจริงๆ …เนื่องจากฮ่องเต้ทรงมอบหมายการอพยพลี้ให้เขาจัดการ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ก็แค่ส่งอาหารและเงินออกไปช่วยเหลือก็พอแล้ว แต่ที่สำคัญก็คือ ฮ่องเต้ตรัสว่าเงินในท้องพระคลังหลวงมีไม่พอ ให้องค์รัชทายาทคิดหาวิธี จึงทำให้องค์รัชทายาทหนักใจเป็นอย่างมาก


เงินลอยลงมาจากฟ้าไม่ได้ เมื่อท้องพระคลังหลวงไม่มี แต่เรื่องการอพยพลี้ภัยครั้งนี้ก็กำลังจะมาถึงในไม่ช้า อีกทั้งยังรู้ดีแก่ใจว่าหากจัดการได้ไม่ดี ครั้งนี้จะต้องถูกตำหนิแน่นอน เกรงว่าเพื่อรักษาหน้าเอาไว้ องค์รัชทายาทจึงต้องพยายามคิดหาวิธีอย่างสุดความสามารถ


องค์รัชทายาทกลุ้มใจอย่างมาก แต่หลี่เย่กลับยังพูดถึงเรื่องนี้อีก แล้วองค์รัชทายาทยังจะสบายใจอยู่ได้อย่างไร? พอคิดถึงว่าตัวเองลงมือคิดหาวิธีแทบเป็นแทบตายยังไม่ได้รับคำชมสักคำ แต่หลี่เย่เพียงแค่ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กลับได้รับคำชมเช่นนี้ องค์รัชทายาทจึงรู้สึกหงุดหงิดและเสียใจ ทั้งที่เป็นลูกชายเหมือนกัน ทำไมเสด็จพ่อถึงไม่พอใจในตัวเขาไปเสียทุกเรื่อง?


เรื่องนี้ ดูเหมือนจะทำให้องค์รัชทายาทนึกถึงเรื่องโกรธแค้นตอนเด็กขึ้นมา องค์รัชทายาทก็ยิ่งรู้สึกเกลียดหลี่เย่มากขึ้น…หากมีหลี่เย่อยู่ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น


พูดย้อนกลับมา ฮ่องเต้ทรงประทานรางวัลใหญ่โตให้กับถาวจวินหลัน อีกทั้งยังประทานอนุญาตให้นางเป็นกรณีพิเศษอีกหลายข้อ อนุญาตให้นางใช้ของสีแดงเข้มได้ ไม่เพียงแต่สิ่งที่ได้รับจะเทียบเท่ากับตำแหน่งพระชายาเอกเท่านั้น สุดท้ายแล้วยังประทานปิ่นปักผมหงส์แปดหาง และชุดพร้อมทั้งเครื่องประดับอีกหนึ่งชุด


เมื่อได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทำให้คนต่างอิจฉาตาร้อน ข้อแรก คือตอนนี้นับว่าฐานะเทียบเท่ากับพระชายาเอกแล้ว นอกจากชื่อเรียกพระชายารอง จริงๆ แล้วทุกอย่างก็ถือว่าเท่ากับภรรยาเอกแล้ว อีกทั้งหลิวซื่อที่คงเหลือเพียงแต่ชื่อก็ไม่มีอำนาจใดๆ …ฐานะของถาวจวินหลันจึงยิ่งสูงขึ้นไปอีก


ส่วนปิ่นปักผมหงส์แปดหางนั้น จริงๆ แล้วก็มีเพียงแค่พระชายาเอกของชินอ๋องเท่านั้นถึงจะใช้ได้


การประทานรางวัลในครั้งนี้หากจะบอกว่าเป็นของมีค่านั้น ก็เทียบกับแก้วแหวนเงินทองต่างๆ ที่ฮ่องเต้ทรงประทานในครั้งก่อนๆ ไม่ได้เลย เพราะรางวัลในครั้งนี้มีความหมายจนหาสิ่งได้มาเทียบไม่ได้


ราชโองการเพิ่งประกาศออกไป ก็มีคนไม่น้อยที่ตกใจจนอ้าปากค้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เหมือนเป็นการบอกคนอื่นอย่างชัดเจนว่า หากไม่ใช่เพราะหลิวซื่อยังอยู่ เกรงว่าตอนนี้ถาวจวินหลันคงจะได้ขึ้นเป็นชายาเอกแล้ว


ส่วนสิทธิพิเศษเช่นนี้ ตั้งแต่โบราณมาจะมีสักกี่คนที่เคยได้รับ? พริบตาเดียว คนจำนวนไม่น้อยต่างก็เริ่มคิดกันไปว่า…ถึงแม้จะไม่ได้รับรางวัลเหมือนถาวจวินหลัน แต่ขอให้ได้รับคำชมจากฮ่องเต้เสียหน่อย ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถาวจวินหลันเพียงแค่ออกความเห็นให้เอาบ้านพักมาเป็นที่ลี้ภัยของประชาชนก่อนแค่นั้น ก็มีโอกาสได้รับสิ่งดีๆ เช่นนี้ แล้วหากพวกนางเสนอบ้านพักและเงินให้จำนวนมากกว่านี้เล่า?


พริบตาเดียว ในเมืองหลวงก็เกิดกระแสการซื้อที่ดินครั้งใหญ่ แม้แต่ที่ดินที่ทำเลไม่ค่อยดีก็ยังขายได้ในราคาดี


แล้วบ้านพักทั้งหมดนั้น ต่างก็ส่งให้ราชสำนัก ‘ยืม’ เพื่อเป็นที่อยู่ของประชาชนที่อพยพมา


แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง เพียงแค่พูดถึงตอนที่ถาวจวินหลันเพิ่งได้รับราชโองการ เจียงอวี้เหลียนที่ออกมารับราชโองการอยู่ข้างๆ นางก็กัดฟันกรอดๆ อย่างไม่ยินยอม เอาอะไรมาวัด? นางเองก็ต้องให้ยืมบ้านพักของนางออกไปเช่นกัน ทำไมสุดท้ายแล้วคนที่ได้รับรางวัลกลับเป็นถาวจวินหลัน โดยที่นางเองไม่ได้ลงแรงทำอะไรเลยแม้แต่น้อย?


เจียงอวี้เหลียนรู้สึกไม่ยุติธรรม อีกทั้งต่อไปถึงแม้ว่านางกับถาวจวินหลันจะเป็นพระชายารองตวนชินอ๋องเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วถาวจวินหลันกลับสูงกว่านางอีกหนึ่งขั้น! ไม่เพียงแต่จะได้รับเบี้ยเลี้ยงเทียบเท่ากับพระชายาเอก ต่อไปหากวังหลวงจัดงานภายในขึ้น ถาวจวินหลันก็มีสิทธิ์ได้เข้าร่วม!


เจียงอวี้เหลียนรู้สึกว่าถาวจวินหลันตั้งใจทำด้วยหวังผลประโยชน์


แต่เจียงอวี้เหลียนกลับไม่รู้ว่า เรื่องทำดีเพื่อหวังผลนั้นเป็นเรื่องจริง แต่คนที่หวังผลจริงๆ แล้วกลับเป็นหลี่เย่ ด้วยหลี่เย่ทูลบอกฮ่องเต้แทนถาวจวินหลัน อีกทั้งยังให้คนคอยไปพูดต่อหน้าฮ่องเต้ ถึงขั้นกระตุ้นให้พระองค์รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย ถาวจวินหลันถึงได้รับรางวัลเช่นนี้มา


ไม่อย่างนั้น อยู่ๆ ฮ่องเต้จะคิดถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร? หลี่เย่ให้คนไปพูดเตือนฮ่องเต้ว่า ตอนนี้หลิวซื่อก็ป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้ จวนตวนอ๋องไม่มีนายหญิงคอยออกหน้า ในเมื่อตอนนี้เรื่องต่างๆ ในจวนตวนอ๋องมีถาวซื่อคอยจัดการ เช่นนั้นก็สู้ยกฐานะให้ถาวซื่อมากขึ้นไม่ดีกว่าหรือ? ข้อแรกคือจวนตวนชินอ๋องจะได้มีนายหญิงคอยออกหน้าเรื่องต่างๆ ข้อสองเพื่อแสดงความมีเมตตาของพระองค์ คนทำดีต้องได้รับรางวัล คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ


พูดย้อนกลับมา จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะกัดฟันจนฟันหักหมดทั้งปาก หรือจะโกรธจนกระอักเลือด แล้วยังไง? ความจริงก็คือความจริง ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว


ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่ารางวัลยิ่งใหญ่เกินไปจนน่าตกใจและน่ากลัวๆ เล็กน้อย แน่นอนว่า หลังจากหายตกใจแล้ว นางก็รู้สึกดีใจ…เมื่อเป็นเช่นนี้ ฐานะของนางก็ยิ่งมั่นคงขึ้น การจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนอ๋องก็ยิ่งสะดวกมากยิ่งขึ้น แม้แต่ต่อไปเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจียงอวี้เหลียน นางก็ถือว่ามีอำนาจมากกว่าแล้ว


แต่ว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปนางก็จะต้องรับหน้าที่ออกหน้าออกตาในงานต่างๆ แทนหลิวซื่อ…เมื่อก่อนนางเป็นพระชายารอง เทียบกับพระชายาองค์รัชทายาทและพระชายาเอกขององค์ชายคนอื่นๆ แล้วย่อมไม่ใช่ฐานะขั้นเดียวกัน แล้วนางก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง นางจึงได้เจอหน้ากับพระชายาเอกพวกนี้น้อยครั้งมาก แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว ต่อไประหว่างนางกับบรรดาชายาเอก ก็จะได้มีโอกาสพบหน้ากันบ่อยขึ้น


คิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็รู้ดีแก่ใจ ต่อไปเมื่อผู้หญิงอยู่รวมกัน จะไม่มีทางทำเรื่องอะไรที่ใสสะอาดอย่างแน่นอน อย่างไรก็ต้องเกิดการแก่งแย่งชิงดีกันขึ้น


ฮ่องเต้ทรงประทานรางวัลมาไม่น้อย ฮองเฮาที่เป็นมารดาของแผ่นดิน เป็นภรรยาเอกของฮ่องเต้ แน่นอนว่าจะน้อยหน้าไม่ได้ ถึงแม้ว่าฮองเฮาจะยังไม่ ‘หายดี’ แต่ว่าก็ยังคงส่งคนให้นำรางวัลมาประทานให้


นอกจากแก้วแหวนเงินทองของมีค่าแล้ว ที่ทำให้รู้สึกสนใจมากที่สุดก็คือหนังสือคุณสมบัติของสตรี ฮองเฮาตรัสว่า “ถาวซื่อมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็นแบบอย่างที่ดี หวังว่านางจะตั้งใจอ่านหนังสือคุณสมบัติของสตรี ต่อไปจะได้เป็นแบบอย่างของผู้หญิงทุกคน”


เมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงของถาวจวินหลันจึงเป็นที่โด่งดังขึ้นมาว่าเดิมไม่น้อย…อย่างน้อยผู้หญิงต่างก็รู้จักนางแล้ว


ในเมื่อได้รับรางวัล เช่นนั้นก็จะต้องเข้าวังไปเพื่อขอบพระทัย


ดังนั้นวันนี้ถาวจวินหลันจึงแต่งตัวอย่างเรียบร้อย สวมเสื้อชุดใหม่ที่ได้รับพระราชทานมา แล้วปักผมด้วยปิ่นรูปหงส์แปดหางและเครื่องประดับที่ฮองเฮาประทานให้ นางเข้าวังเพื่อขอบพระทัยฮองเฮาด้วยชุดสง่างามและเป็นทางการ


เทียบกับทุกครั้งที่จะเข้าไปถวายพระพรไทเฮาก่อน ครั้งนี้นางกลับเลือกเข้าไปถวายพระพรฮองเฮาก่อน


ถาวจวินหลันเพิ่งก้าวเข้าวังของฮองเฮา ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้คิดถึงรอยยิ้มที่แฝงนัยของฮองเฮาในวันนั้น นางจึงกระวนกระวาย อีกทั้งยังไม่สบายใจเล็กน้อย


แต่ว่าความรู้สึกพวกนั้นก็ถูกนางปกปิดเอาไว้ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้คนอื่นดูไม่ออก


พอเข้าไปในห้องแล้วถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่าที่แท้พระชายาองค์รัชทายาทก็อยู่ด้วย


“หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮา ขอฮองเฮาทรงพระเจริญหมื่นปีเพคะ” ถาวจวินหลันถวายคำนับฮองเฮาอย่างตั้งใจ ท่าทีนอบน้อมจนไม่สามารถหาข้อผิดพลาดตรงไหนได้แม้แต่น้อย


ฮองเฮาบอกให้นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังให้นางนั่งลง จากนั้นก็มองไปทางพระชายาองค์รัชทายาท หัวเราะแล้วตรัสว่า “เจ้าดูสิ สมกับเป็นแบบอย่างที่ดีจริงๆ แม้แต่ถวายคำนับยังทำได้ดีกว่าเจ้า ทุกครั้งเจ้าก็ได้แต่ทำอย่างส่งๆ  เหมือนกับร่ำเรียนมาเป็นเวลานานที่ไหนกัน?”


พระชายาองค์รัชทายาทปิดปากแล้วหัวเราะ “เสด็จแม่ทรงไม่โปรดข้าแล้ว ช่างเถิดๆ ตรงไหนข้าก็สู้พระชายารองถาวไม่ได้ เช่นนั้นท่านให้พระชายารองถาวอยู่ถวายการดูแลท่านเถิด ข้าขอทูลลาเพคะ”


ฮองเฮาได้ยินแล้ว ก็แกล้งว่าออกมาทันที “ดูเจ้าสิ ข้าว่าอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว”


ถาวจวินหลันก็หัวเราะตามไปด้วย “หม่อมฉันมีตรงไหนดีกว่าพระชายาองค์รัชทายาทกันล่ะเพคะ? พระชายาองค์รัชทายาทชมเกินไปแล้ว”


ฮองเฮาหัวเราะ “ใช่ ไม่มีอะไรที่เปรียบเทียบกันได้” แต่นางกลับไม่พูดอะไรต่อ แต่จากสายตาที่มองไปทางพระชายาองค์รัชทายาทก็ดูออกได้ชัดว่า คนที่เทียบไม่ได้หมายถึงใครกันแน่


ถาวจวินหลันได้แต่ทำเป็นไม่เข้าใจ ยังคงนั่งตัวตรง ใบหน้ามีรอยยิ้ม


“ข้าได้ยินว่าซวนเอ๋อร์ไปหลบร้อนกับอี๋เหนียงคนหนึ่งในจวนของเจ้ารึ?” ฮองเฮายิ้มแล้วถามด้วยน้ำเสียงแฝงนัยบางอย่างเอาไว้ “ฤดูร้อนก็ผ่านไปแล้ว ทำไมถึงยังออกไปหลบร้อนอีกเล่า? ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่า ไทเฮาทรงไม่ค่อยสบายพระทัยนัก ควรจะรับซวนเอ๋อร์ที่เป็นเหลนเข้ามาในวังหลวง เพื่อให้พระองค์ดีพระทัยหน่อยจะดีกว่า”


พูดถึงซวนเอ๋อร์ หัวใจของถาวจวินหลันก็หนักอึ้งทันที แต่ว่าใบหน้าของนางกลับยังคงมีรอยยิ้ม “จริงๆ ก็ไม่ถือว่าไปหลบร้อนหรอกเพคะ เพียงแต่ไปเที่ยวเล่นเท่านั้น”


“หมิงจูยังเล็ก เจ้าก็ยอมปล่อยให้นางไปอย่างนั้นหรือ?” ฮองเฮายังคงยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับชวนให้คนที่เห็นรู้สึกขนลุก “ข้ายังคิดว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่นเสียอีก”


ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางพระชายาองค์รัชทายาทที่ท่าทางยินดีที่เห็นผู้อื่นตกที่นั่งลำบาก จากนั้นจึงได้แต่ถอนใจ แล้วยิ้มเฝื่อน “จริงๆ แล้วทำเช่นนี้ก็ด้วยมีเหตุผลอื่นเพคะ”


“อ้อ?” ฮองเฮาคล้ายจะสนใจขึ้นมา “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด? ถึงได้ทำให้เจ้าตัดใจส่งซวนเอ๋อร์กับหมิงจูออกไปจากจวนอ๋องได้?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม