เพียงหนึ่งใจ 422-429

 ตอนที่ 422 ผู้ที่มาคือแขก 


 


 


           “ฮูหยิน คุณชายมาแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


           ฮูหยินฉินพยักหน้าแสดงความหมายว่านางทราบแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะพักอยู่ละแวกใกล้กัน แต่พวกเขาจัดพิธีแต่งงานที่แท่นบูชา งานเล็กงานน้อยที่ให้ต้องตระเตรียมก็มีไม่น้อย จึงยื่นผ้าคลุมหน้าสีแดงสดในมือส่งให้กับฉินอวิ๋นซิน คลี่ยิ้มพลางกล่าว “เจ้าช่วยคลุมหน้าเจ้าสาวแทนข้าที” นางเข้าใจความทุกข์ของฉินอวิ๋นซินดี อย่างไรแล้วผู้เป็นแม่ย่อมต้องปรารถนาที่จะได้ส่งลูกสาวออกเรือน หากเป็นไปได้นางก็อยากคลุมผ้าคลุมหน้าสีแดงให้กับ ‘หุ้ยซิน’ ลูกสาวของนางเช่นเดียวกัน แต่น่าเสียดายความปรารถนายากจะเป็นจริง หุ้ยซินเป็นชื่อของลูกสาวนาง ความหมายของฉินสุยคือต้องการให้มู่หรงชูอวิ๋นมาเป็นตัวแทนของหุ้ยซิน เพราะการทำเช่นนี้จะไม่มีผู้ใดสงสัย นางก็ยินยอมที่จะทำให้ทุกคนสมหวัง สำหรับฉินอวิ๋นซินนั้นนางก็รู้สึกสงสาร เพราะทุกวันนี้นางไม่ใช่คนนอกและคนในของตระกูล นอกจากหมอกู่แล้วก็ไม่มีใครให้ความเคารพนางในฐานะคุณหนูใหญ่เลย 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นไม่ได้เอะใจสงสัยอันใด อีกทั้งนางยังจิตใจเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


           ฉินอวิ๋นซินซาบซึ้งเป็นที่สุด พยักหน้าขอบคุณให้กับฮูหยินฉิน กลั้นเสียงกลั้นลมหายใจบรรจงคลุมผ้าแดงให้มู่หรงชูอวิ๋นด้วยความระมัดระวัง หลังจากคลุมผ้าแดงให้มู่หรงชูอวิ๋นเรียบร้อย นางก็ไม่อาจข่มน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาไว้ได้อีก หยาดน้ำตาซึมเปียกขนตา จึงพยายามกล้ำกลืนน้ำตาลงไป แม้แต่ฝ่ามือก็ยังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทำเอาปลายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ปักลายนกหยวนยางชื้นแฉะสีหม่นลงไปด้วย 


 


 


           แท่นบูชาประกอบด้วยเสาหินที่ทำขึ้นจากหยกขาวจำนวนยี่สิบสี่ต้น เป็นตัวแทนของสิบสองชั่วยาม ด้านหน้าแท่นบูชายังมีบ่อน้ำสีเขียวมรกตที่มีไอหมอกลอยคลุ้งปกคลุมอยู่ มีรูปปั้นมังกรเขียวตัวหนึ่ง ปากพ่นน้ำออกมาเหมือนมีชีวิตจริง บ่อน้ำแห่งนี้เป็นสถานที่หนาวเย็นแห่งเดียวของหุบเขา ขณะนี้ล้อมรอบไปด้วยฝูงชนเบียดเสียด คนตระกูลฉินต่างมายืนอออยู่ด้วยกัน เพื่อชมพิธีแต่งงานอันเฟื่องฟูนี้ 


 


 


           ฉินเจาทอดมองไปยังหญิงสาวแขนเรียวยาวดั่งหยก เท้าเรียวเล็กดั่งกลีบบัวค่อยๆ ย่างก้าวเข้ามาทางตน โดยมีสาวใช้ช่วยประคองอยู่ เขาเม้มริมฝีปากแน่น สายตาจดจ้องอยู่ที่ชุดแต่งงานสีแดง รูปแบบซับซ้อนเรียงทับกัน แต่ไม่ทำให้รู้สึกถึงความยุ่งยากแม้แต่น้อย ราวกับหงส์ไฟที่สลักอยู่บนเสาหินลุกขึ้นมาจากกองเถ้าถ่านอีกครั้ง ทว่าได้หายวับไปในวินาทีต่อมา หาไม่เจอแม้แต่เงา มือของเขากำแขนเสื้อชุดวิวาห์สีแดงไว้แน่นด้วยความตื่นเต้น ทว่าใบหน้ายังคงราบเรียบไม่แสดงอาการใดเหมือนเคย 


 


 


           ฉินอวิ๋นซินทอดมองหน้าประตูอยู่ตลอด ท่าทางร้อนใจอยู่ไม่สุข คล้ายกับฝูงมดที่ถูกค่ัวอยู่ในกระทะใบร้อน 


 


 


           “คำนับ!” 


 


 


           “ช้าก่อน” เสียงของมู่เยี่ยนดังมาแต่ไกล ฝูงชนต่างหันหน้าไปมองทางประตู เพียงอึดใจ ภายใต้กระสวยแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง คนกลุ่มหนึ่งได้ปรากฎตัวออกมา บุรุษที่อุ้มทารกอยู่ตรงกลางทำให้คนตรงหน้าตาสว่าง นั่นเป็นชายหนุ่มรูปงามมาก คิ้วยาวดั่งใบหลิว ร่างกายสูงชะลูดดั่งต้นหยก ทว่าใบหน้ากับเย็นชาไร้ความอบอุ่น การมาเยือนของเขาทำให้บรรยากาศคึกครื้นพลันหยุดชะงัก ทารกในอ้อมกอดของเขาไม่ได้ดึงความสง่างามของเขาให้จางลง ตรงกันข้ามกับเพิ่มความอ่อนโยนให้เขาได้หลายส่วน ทุกย่างก้าวของเขามั่นคงมีพลังมาก 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นร่างกายพลันแข็งทื่อ นางคลุมหน้าอยู่จึงมองเห็นสถานการณ์ด้านนอกได้ไม่ชัดเจน ทำได้เพียงกำเสื้อหน้าท้องไว้แน่น 


 


 


           ฉินอวิ๋นซินเห็นพวกเขาปรากฎตัวออกมาแล้วก็หายใจเข้าลึกก่อนจะถอนใจโล่งอกไปที โชคดีที่มาทันเวลา ใช้หลังมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก 


 


 


           ลมพัดแผ่วเบาบริเวณหัวคิ้วของฉินเจา ในดวงตาแหลมคมคู่นั้นเผยมังกรซ่อนเลือดที่กำลังแยกเขี้ยวเย็นชา พร้อมจะขย้ำกลืนกินทุกสิ่งอย่างได้ เพียงแต่วินาทีถัดมามุมปากพลันกระตุกรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับถ้อยคำ “ผู้ที่มาคือแขก งานมงคลใหญ่ของตระกูลฉินต้องขอขอบคุณแขกผู้มาร่วมงานทุกท่านที่เดินทางมาแสนไกล” 


 


 


        


 


 


ตอนที่ 423 กลับบ้าน 


 


 


           ความคิดที่ผุดขึ้นมาต่างๆ นาๆ ล้วนถูกฉินเจาดึงกลับมาได้ ฝูงชนมองเฟิงหลีเลี่ยด้วยสายตาสำรวจ แฝงไปด้วยความระแวดระวัง อย่างไรแล้วเส้นทางออกจากหุบเขามีเพียงพวกเขาที่รู้ และก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้ได้ การที่เฟิงหลีเลี่ยคลำหาเส้นทางเข้ามาที่นี่ได้ อีกทั้งยังกล้าปรากฎตัวต่อหน้าประชาชนเช่นนี้ ทั้งไม่มีความกลัวว่าพวกเขาจะทำอะไรกับเขาเลยสักนิด 


 


 


           สำหรับเฟิงหลีเลี่ยแล้ว สายตาเคลือบแคลงสงสัยเหล่านั้นเป็นเหมือนกับลูกศรขนนกที่ปักอยู่บนปุยฝ้ายเท่านั้น เขาชินเสียแล้ว สิ่งที่เขาเคยประสบมามันน่ารังเกียจกว่านี้หลายหมื่นพันเท่า 


 


 


           ฝ่ามือใหญ่ลูบปลอบกุยอวิ๋นที่นอนกระสับกระส่ายอยู่ในอ้อมอกของเขา นัยน์ตาเผยความรักของบิดาออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ 


 


 


           มู่เยี่ยนหมดคำจะพูดกับเขาเสียจริง รู้แก่ใจดีว่าพระชายาเคยแต่งงานมาแล้ว เห็นลูกน้อยที่เป็นสักขีพยานแล้วก็ยังไม่ทุกข์ไม่ร้อน เขารู้สึกยกย่องในความหน้าด้านของฉินเจาเหลือเกิน หัวขโมยคนหนึ่งที่คิดว่าวันนี้สามารถขโมยของของผู้อื่นไปได้แล้ว 


 


 


           “ข้ามารับตัวภรรยาของข้ากลับบ้าน” 


 


 


           ประโยคสั้นๆ เสียงดังฟังชัดนี้ทำให้มู่หรงชูอวิ๋นสะท้านไปทั้งร่างกาย 


 


 


           รูม่านตาของฉินสุยหดลงอย่างไม่ตั้งใจ แสงคมชัดสว่างวาบขึ้นมาที่ดวงตา “อี้หวังชอบพูดจาล้อเล่นเสียเหลือเกิน ที่นี่จะไปมีภรรยาของพระองค์ได้อย่างไร” ต้องมีคนพาเขาเข้ามาเป็นแน่ ดูจากคนที่เขาพามาด้วย ไม่น่าจะเพิ่งเข้ามาเป็นวันแรกแน่ ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะปรากฎตัวได้พอดีเช่นนี้ ปราดสายตามองไปยังฉินอวิ๋นซินที่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่หลังเฟิงหลีเลี่ยตั้งแต่เมื่อใดแล้ว มีแต่นางเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ เมื่อเหลือบมองทารกที่เขาอุ้มอยู่ สายตาสว่างวาบ เขาคิดไม่ถึงว่าภายใต้กำมือของพวกท่านผู้อาวุโสแล้ว เฟิงหลีเลี่ยจะสามารถพากุยอวิ๋นออกมาได้อย่างปลอดภัย 


 


 


           ไม่รู้มีสายลมพัดมาจากทิศทางใด พัดพาให้ผ้าคลุมหน้าของมู่หรงชูอวิ๋นหลุดร่วงลงกับพื้น แสงสว่างจ้าตาทำให้นางหลับตาลงอย่างไม่คุ้นแสง ผิวพรรณเนียนใส คิ้วงามดั่งภาพวาด ดวงตาคู่นั้นคมชัดกระจ่างแวววาวสดใส ครั้นเมื่อสาดมองบนกาย ราวกับจะบาดกระดูกให้ขาดได้ ทำเอาผู้คนที่ล้อมรอบอยู่ต่างหัวใจตกลงไปถึงตาตุ่ม ไม่รู้ว่าใครอุทานออกมา “นี่ธิดาเซียนลงมาเยือนลงมาโลกมนุษย์ ช่างงดงามเหลือเกิน” เขาสาบานเลยว่าชีิวิตนี้ไม่เคยเห็นผู้ใดงดงามเทียบเท่ามู่หรงชูอวิ๋นมาก่อน 


 


 


           ฉินเจาก็ป้องกันเอาไว้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวร่วงลงพื้นได้อย่างไร เดิมต้องเข้าห้องหอก่อนจึงจะเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวได้ วินาทีที่ผ้าคลุมหน้าร่วงหล่นลง หัวใจของเขาไม่ได้เงียบสงบเหมือนการแสดงออกทางสีหน้าเลยแม้สักนิด เขารู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นงดงาม แต่ก็ยังตกตะลึงในความงามนี้อยู่หลายส่วน 


 


 


           “นี่ไม่ใช่หรอกหรือ” 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นเห็นเฟิงหลีเลี่ยหล่อเหลาปานเทพบุตร ในอ้อมแขนอุ้มทารกน้อยอยู่ น้ำตาที่ซ่อนอยู่ที่ขอบตาพลันกลั้นเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป หลั่งรินออกมาทุกหยาดหยด แต่ในสายตาของนางยังคงมองเห็นชายที่อุ้มทารกน้อยคนนั้นได้อย่างชัดเจน ราวกับเป็นภาพที่พิมพ์ประทับอยู่ในใจของนางอยู่แล้ว เวลาที่คิดถึงจะหยิบออกมาลิ้มรสหลายร้อยพันรอบ แม้ว่าจะเป็นความทุกข์ทรมานแทบทนไม่ไหว แต่ก็เป็นความรู้สึกที่งดงามเหลือเกิน 


 


 


           ระหว่างสองคิ้วเข้มมีระลอกความอ่อนโยนอยู่จางๆ คล้ายกับแฝงด้วยรอยยิ้มมาโดยตลอด ไม่ว่าใครๆ ก็ทราบว่าความเย็นชาของเขาเมื่อครู่ราวกับสายลมหนาวเสียดแทง โหมซัดใบหน้าไม่หยุด ทว่าเวลานี้กลับโค้งยิ้มดังพระจันทร์เสี้ยวที่กระจ่างชัดในคืนราตรี “อวิ๋นเอ๋อร์ พี่ชายใหญ่มารับเจ้ากลับบ้านแล้ว” 


 


 


           “กลับบ้าน?” มู่หรงชูอวิ๋นพึมพำพูดทวนซ้ำคำพูดของเฟิงหลีเลี่ย 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นเคยคิดอยู่ครั้งหนึ่ง เอ่ยถามด้วยความบริสุทธิ์ใจหากว่าวันหนึ่งพวกเขาต้องพรากจากกันไปจะทำอย่างไร นัยน์ตาลึกล้ำและอ่อนโยนของเฟิงหลีเลี่ยมองจ้องเข้าไปในดวงตาของมู่หรงชูอวิ๋น เขาบอกว่านางไม่ต้องก้าวเท้าเดินไปไหนเลย เขาก็จะตามหานางจนเจอให้ได้ วันนี้คำมั่นสัญญาของเขาเป็นจริงแล้ว หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก เหมือนกับน้ำร้อนที่กำลังเดือดใกล้จะผุดขึ้นมา 


ตอนที่ 424 สุนัข 


 


 


           ฉินเจาไม่พลาดกับท่าทีเปลี่ยนไปของมู่หรงชูอวิ๋น เอาตัวบังร่างในชุดสีแดงสะดุดตาของมู่หรงชูอวิ๋นไว้ข้างหลังในทันที “อี้หวังท่านย้ายไปที่อื่นเถิด ที่นี่มีเพียงภรรยาของข้าและชนเผ่าของข้าเท่านั้น ไม่มีคนที่ท่านตามหา ส่วนพระชายาของท่านทำหายเองก็ค่อยๆ ตามหาเถิด ข้ายังต้องคารวะฟ้าดิน วันนี้เป็นวันมงคลสำคัญของข้า ไม่ปรารถนาให้มีเลือดตกยางออก ขอให้พวกท่านรีบออกไปเสียโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าเป็นเจ้าบ้านที่ไร้น้ำใจ” สายตาเกลียดชังแทบอยากจะฉีกเฟิงหลีเลี่ยให้ขาดกระจุย 


 


 


           ฉินสุยใช้สายตาออกคำสั่ง เพียงครู่เดียวก็มีกลุ่มคนถือดาบอาวุธล้อมคนของเฟิงหลีเลี่ยไว้แน่น ไม่เห็นเฟิงหลีเลี่ยจะมีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด สีหน้าเรียบเฉยเอามือกล่อมทารกน้อยในอ้อมอกเป็นครั้งคราว นิ่งสงบเสียจนรู้สึกว่าเขากุมชัยชนะไว้ในกำมือแล้ว จึงไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ในสายตาเลยสักนิด ซึ่งเขาก็ไม่เห็นสิ่งเหล่านี้อยู่ในสายตาจริงๆ ตั้งแต่ต้นมาในสายตาของเขามีเพียงเงาร่างคนคนหนึ่งที่เขาคนึงหา ตกกลางคืนก็ฝันถึงไม่รู้กี่ครั้ง ต่อให้ตรงนี้จะมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมตัวเขาไว้ บังเรือนร่างของนางไปแล้ว แต่ในสายตาของเขาก็มีเพียงนางคนเดียว 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นมองพวกเขาด้วยความเป็นห่วง 


 


 


           “คุณชายฉิน ของที่ขโมยเขามาสุดท้ายก็ต้องคืน หาใช่ของตัวเองไม่ รีบคืนเสียตอนนี้ก็ยังไม่สาย” มู่เยี่ยนหยักมุมปากเอ่ยวาจาเสียดสีแฝงไปด้วยคำเตือนอย่างเข้มข้น นั่นคือพระชายาของพวกเขา ต่อให้กลายเป็นเถ้าธุรีเขาก็จำได้ 


 


 


           “ใช่ไม่ใช่นั้น หาใช่ว่าข้าพูดแล้วจบ ส่วนที่บอกว่าขโมยนั้นไม่ทราบใครกันแน่ ข้าเพียงแต่นำสิ่งที่เป็นของตัวเองกลับคืนมาก็เท่านั้น อีกอย่างเจ้านายของเจ้ายังไม่พูดอะไรสักคำ สุนัขอย่างเจ้ามาเห่าอันใด หรือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของตำหนักอี้หวัง มิน่าเล่าแม้แต่พระบิดาผู้ให้กำเนิดตนเองก็ยังทำได้ลง” 


 


 


           น้ำเสียงบาดแทงขึ้นหลายส่วน ต่อให้เขาจะเป็นอย่างไร สุนัขตัวหนึ่งก็ไม่ควรจะมาวิจารณ์เขาในเชิงลบได้ 


 


 


           ตั้งแต่วินาทีที่มู่หรงชูอวิ๋นเกิดมา พระเจ้าได้กำหนดให้นางเป็นคู่ของเขาแล้ว เพียงแต่นางถูกพวกเขาซ่อนตัวไว้ ทำให้เขาสูญเสียนางไปนานกว่าจะพบตัว ดังนั้นเขาจึงทวงของของเขาคืนมา และยังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับพวกเขาด้วย แต่พวกเขากลับเอาตัวใส่พานมาเสนอถึงที่ ทั้งยังเลือกวันได้ดีเสียด้วย 


 


 


           คำพูดสองแง่สองง่ามของฉินเจา ทำให้มู่หรงชูอวิ๋นตกใจเป็นที่สุด ช่วงเวลานั้นที่นางจากมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นางไม่คิดว่าเฟิงหลีเลี่ยจะสังหารอดีตฮ่องเต้ได้ เฟิงหลีเลี่ยเป็นคนอย่างไร ไม่มีใครจะเข้าใจและรู้ดีไปกว่านางแล้ว 


 


 


           วันนั้นที่มู่หรงชูอวิ๋นไปชมต้นส้มกับฉินเจา ได้เห็นผลส้มเหลืองอร่าม พลันมีภาพเหตุการณ์ที่นางสะดุดก้อนหินเย็นเยียบล้มลงไปปรากฎขึ้นมาในหัว โลหิตสีแดงสดไหลเปื้อนกระโปรงของนาง นางเจ็บมากและก็หวาดกลัวมาก ช่วงหลายวันมานี้เรื่องราวในความฝันของนางล้วนเป็นภาพเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งนางก็จำเรื่องราวได้ส่วนใหญ่แล้ว ตอนที่ฉินอวิ๋นซินมานางยังไม่รู้ เพราะนางสลบไปก่อน และไม่เคยพบหน้ากุยอวิ๋นมาก่อนด้วย ดังนั้นนางจึงเข้าใจมาตลอดว่ากุยอวิ๋นไม่อยู่แล้ว จึงได้รู้สึกทุกข์ทรมานขนาดนี้ อีกทั้งเหตุการณ์ในคืนนั้นที่เฟิงหลีเลี่ยมาพบนางกลางดึก ทว่าตนกลับพูดถ้อยคำทำร้ายจิตใจเช่นนั้นออกไป นางเคยพูดไว้ว่าจะทำดีกับเฟิงหลีเลี่ยให้มากๆ แต่นางกลับเป็นคนที่ทำร้ายเขาได้บาดลึกจิตใจที่สุด 


 


 


           ใบหน้าของมู่เยี่ยนไม่มีความรู้สึกอับอายเลยแม้แต่น้อย กระตุกริมฝีปากเอ่ยเสียงดังชัด “คุณชายฉินพูดตลกแล้ว ปกติแล้วนายท่านของข้าจะไม่สนทนากับโจร สุนัขอย่างข้าจึงต้องสนทนาแทน หากเป็นไปได้ข้าก็อยากปฏิเสธเช่นกัน แม้ว่าข้าจะไม่มีของดีอะไร แต่ก็ไม่เคยทำให้คนอื่นต้องมาดูแคลนได้” ทั้งยังรู้สึกปลื้มปิติอย่างมากที่ตนได้เป็นสุนัขรับใช้ อย่างไรแล้วต่อให้เป็นสุนัข ก็เป็นสุนัขของนายท่าน การที่เป็นสุนัขรับใช้อยู่ข้างกายนายท่านหลายปีเช่นนี้ ใช่ว่าใครๆ ก็จะมาทำได้ 


 


 


           มู่เหยียนยืนมองคำพูดนี้ของมู่เยี่ยน หากเป็นเขาคงจะชักดาบบุกเข้าใส่ไปนานแล้ว ขยับปากใช้คำพูดเสียดแทงมันไม่สะใจเท่าลงมือเอง ขบกัดด้วยวาจาฟังแล้วเพียงแต่ระคายหูเท่านั้น 


 


 


        


 


 


ตอนที่ 425 ปล่อยข่าวลือ 


 


 


           “น่าขัน ไร้สาระ” สายตาแหลมคมของฉินสุยกวาดมองพวกเขาไปรอบหนึ่ง “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้มีใจมาร่วมงาน ก็อย่าได้โทษว่าข้าไม่เกรงใจพวกเจ้าแล้วกัน” อยู่ข้างนอกเขาก็ไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับในหุบเขาแห่งนี้ 


 


 


           “ไม่เอา” ทุกคนต่างมองไปทางมู่หรงชูอวิ๋นพบว่าใบหน้าที่มีเสน่ห์งดงามมีหยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม คิ้วและดวงตาระคนไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดน่าสงสารเป็นที่สุด แทบอยากจะนำของดีทุกอย่างบนโลกใบนี้มากองตรงหน้าของนาง หวังเพียงจะช่วยเช็ดความเศร้านั้นไปได้ “อย่าทำร้ายพี่ชายใหญ่…” 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นร่ำไห้ ทว่าก็ไม่อาจทำให้ฉินเจารู้สึกถึงความสงสารได้ มีเพียงความรู้สึกอัปยศเต็มหัวใจเท่านั้น “หุ้ยซิน เขาเป็นคนหลอกลวง ที่หมายจะมาทำลายงานแต่งของพวกเรา” 


 


 


           วันนี้คนที่จะแต่งงานกับเขา คนที่จะกลายมาเป็นภรรยาของเขา ขอร้องเขาด้วยความขมขื่นเพื่อให้เขาปล่อยผู้ชายอีกคนไป เขาอิจฉาผู้ชายคนนั้น จนแทบอยากจะสับเฟิงหลีเลี่ยให้ละเอียดเป็นหมื่นท่อน แม้จะทำเช่นนั้นก็ยังยากที่จะระบายความเกลียดชังในใจของเขาได้ 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นส่ายหน้าพึมพำ “ไม่ใช่ เขาเป็นพี่ชายใหญ่ของข้า พวกเราเคยไหว้ฟ้าดินร่วมกัน พวกเราผูกปอยผมเก็บไว้ด้วยกัน” ไม่มีผู้ใดจะรู้จักเฟิงหลีเลี่ยได้ดีกว่านางอีกแล้ว แม้ว่านางจะทำผิดเรื่องอะไร เขาเป็นคนคนเดียวที่จะยอมตามใจนาง ปกป้องนางมาโดยตลอด แล้วจะคอยแกล้งหยอกนางทุกครั้งโดยไม่มีผู้ใดรู้ 


 


 


           “อวิ๋นเอ๋อร์ ไม่ต้องร้อง” เฟิงหลีเลี่ยปวดใจเหมือนคมมีดแทงทะลุ นางเป็นสตรีที่เขาทะนุถนอมประคองไว้ในอุ้งมือ ทนเห็นไม่ได้แม้แต่น้ำตาสักหยดของนาง บัดนี้พวกเขากลับทำให้นางต่ำต้อยไร้ค่าได้ถึงเพียงนี้ มู่หรงชูอวิ๋นเป็นสตรีของเขา ไม่ว่าใครก็มารังแกนางไม่ได้ มดเหล่านี้เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา การที่เขากล้ามาปรากฎตัวที่นี่แน่นอนว่ามีกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว 


 


 


           “อุแว้…” 


 


 


           กุยอวิ๋นที่อยู่ในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ยพลันร้องไห้นำ้ตาไหลพรากขึ้นมา ราวกับสายใยแม่ลูกสัมผัสได้ถึงความเป็นทุกข์ของมารดา เสียงร้องดังก้องใส 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นใบหน้าอาบเปียกไปด้วยหยาดน้ำตา หันกลับไปมองเด็กทารกในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ยด้วยความชะงักงัน เหมือนว่าเพิ่งจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา มือสั่นเทาไม่กล้าแม้จะยกไปสัมผัสใบหน้าละเอียดนุ่มของเขา 


 


 


           “อวิ๋นเอ๋อร์ เขาชื่อกุยอวิ๋น เป็นลูกของพวกเรา” 


 


 


           “ลูก?” มู่หรงชูอวิ๋นพึมพำซ้ำคำพูดของเฟิงหลีเลี่ย เสียงร้องนี้ไม่ใช่เสียงของเด็กที่นางกล่อมเล่นอยู่ในห้องวันนั้นหรอกหรือ เพียงแต่เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่านางลืมเขาไป ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นลูกของนางจริง ในตอนนั้นนางยังรู้สึกอิจฉาแม่ของเขาที่สามารถให้กำเนิดเด็กที่งดงามเช่นนี้ออกมาได้  


 


 


           เท้าขยับอย่างยากลำบากเดินไปทางเฟิงหลีเลี่ยได้สองสามก้าว อยากจะพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าใช่เด็กที่นางพบในวันนั้นหรือไม่ ฉินเจามือไวตาไวรีบคว้านางไว้เสียก่อน 


 


 


           “เขาหลอกเจ้าเท่านั้น กุยอวิ๋นไม่อยู่แล้ว” คำพูดประโยคหลังน้ำเสียงหนักแน่นมาก ไม่มีผู้ใดจะเข้าใจชัดเจนกว่าเขาได้อีก ตอนที่กุยอวิ๋นหมดลมหายใจเขาเห็นกับตาตัวเอง ร่างนั้นแข็งทื่อดั่งน้ำค้างแข็งเดือนสิบสอง ผิวหนังบวมแดงจนแยกใบหน้าที่แท้จริงไม่ออก หลังจากฉินสุยเอามืออังที่ปลายจมูกพบว่าหมดลมหายใจแล้วนั้น ก็ทรุดนั่งลงไปบนเก้าอี้ด้วยอาการตกตะลึงพรึงเพริด เด็กคนนี้เป็นสิ่งทดแทนที่ปะปนเข้ามาในกลุ่ม 


 


 


           “นี่สินะจึงจะเรียกว่าเรื่องตลกร้าย” เฟิงหลีเลี่ยส่งสายตาจ้องไปทางฉินเจา ราวกับแรงกดดันขนาดมหึมากดทับลงบนตัวเขา ราวกับกรอบยักษ์ล้อมกักขังเขาไว้ “ลูกของข้า จะตายอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร แล้วเจ้ารู้ได้เช่นไรว่าลูกของข้าไม่อยู่แล้ว หรือว่าเจ้าเป็นคนลงมือ?” พูดจบก็หยักมุมปากด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน เหมือนกับสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องตลกร้าย เรื่องไร้สาระอะไรอย่างนั้น  


 


 


           ฉินเจากำลังคิดจะปฏิเสธ ก็ได้ยินเสียงพูดเคร่งขรึมและเฉียบขาดของฉินสุย “เจาเอ๋อร์ อย่าได้พูดอะไรมากมายกับพวกเขา จับตัวให้หมด ดูสิว่าพวกเขาจะยังปล่อยข่าวลือให้คนเข้าใจผิดอย่างไรได้อีก” เขาหงุดหงิดเต็มทนแล้ว ความอดทนที่มีมานานได้ถึงขีดสุดแล้ว 


ตอนที่ 426 ดูสิว่าผู้ใดจะกล้า


 


 


         “ข้าจะดูสิว่าผู้ใดจะกล้า” น้ำเสียงอ่อนเยาว์เสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอก ทุกคนต่างหลีกเปิดทางให้โดยไม่รู้ตัว


 


 


           ท่ามกลางแสงตะวันสีขาว เห็นเพียงเด็กน้อยอายุไม่เกินสิบสองปีคนหนึ่ง กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งผยอง ข้างกายมีแม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดเกราะสีขาว โฉมหน้าของเขาดุจดั่งวีรบุรุษ พร้อมกับนายทหารจำนวนนับไม่ถ้วนติดตามอยู่ด้านหลัง


 


 


           “ข้าจะดูว่าผู้ใดกล้ามารังแก…หลานชายของข้า” เดิมทีอยากพูดว่าพี่ใหญ่ของข้า แต่สุดท้ายก็ลงมาที่เด็กทารกที่อยู่ในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ย “ในก้นหุบเขากันดารขนาดนี้ยังกล้าที่จะกักขังพี่สะใภ้และหลานชายของข้าได้” เฟิงเยี่ยเฉิงเบ้ปากแสดงความรังเกียจ


 


 


           มู่หรงมู่แอบรู้สึกชื่นชมกับคำพูดของเด็กน้อยหัวโตคนนี้ แต่ละถ้อยคำแต่ละประโยคตรงประเด็นมีเหตุผล เดิมทีเขาก็โมโหมากเช่นกัน แต่ก็เร็วสู้เด็กร้ายกาจคนนี้ไม่ได้ เขาเพิ่งจะขยับปากเด็กคนนี้ก็พูดโพล่งออกไปแล้ว แต่จะว่าไปหากให้เขาเป็นคนพูดก็คงไม่ฟังเดือดดาล แม้จะชดใช้ด้วยชีวิตก็ไม่หายโกรธเฉกเช่นคำพูดของเด็กคนนี้แน่


 


 


           ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างโมโหหนวดกระตุก ถลึงตาจ้องเขม็ง แทบอยากจะถลกผิวหนังเฟิงเยี่ยนเฉิงออกมาทั้งเป็น


 


 


           เฟิงเยี่ยนเฉิงหาได้สนใจไม่ ท่าทางรู้สึกดี ดวงตาดำขลับเปล่งประกายกวาดตามองไปโดยรอบ ก่อนจะไปหยุดลงที่เด็กน้อยในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ยที่หยุดร้องไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ และกำลังเล่นนิ้วมือของตัวเองอยู่​ “เด็กคนนี้ก็คือหลานชายของข้า หน้าตาเหมือนข้าราวกับพิมพ์ออกมา”


 


 


           มู่หรงมู่รู้สึกไม่ค่อยชอบใจ ต่างก็พูดว่าหลานชายหน้าตาเหมือนลุง ต้องพูดว่าเหมือนกับเขาถึงจะถูก ไหนเลยจะเหมือนกับเด็กน้อยร้ายกาจคนนี้ได้ มู่เยี่ยนรู้สึกเห็นใจเฟิงเยี่ยนเฉิงขึ้นมา ตอนนี้เฟิงหลีเลี่ยวางมือไม่ได้ ต่อไปสงครามสงบลงจะต้องมาคิดบัญชีกับเขาอยู่ไม่น้อยแน่


 


 


           การที่กุยอวิ๋นหมดลมหายใจไปได้ เพราะได้กินยานอนหลับที่คิดค้นออกมาโดยหมอเทพและหมอกู่ ยาชนิดนี้ต่างไปจากยาแกล้งตาย และไม่มีผลข้างเคียง หลังจากกินไปแล้วจะหลับสนิทเหมือนกับเสียชีวิต ในขณะที่พวกเขากำลังนำร่างไปฝัง เยียนหรูเสวี่ยได้แอบเปลี่ยนตัวนำลูกแมวสลับกับพระโอรส นำตัวกุยอวิ๋นกลับมาได้               


 


 


           ตั้งแต่กุยอวิ๋นกลับมานอกจากเวลาป้อนนมแล้ว เวลาอื่นๆ ล้วนมีเฟิงหลีเลี่ยคอยอยู่ข้างกาย มีสิ่งหนึ่งที่มู่เยี่ยนไม่เข้าใจเลยคือ นายท่านของเขาเป็นคนเย็นชาขนาดนั้น พูดก็น้อย แต่เวลาที่กุยอวิ๋นอยู่กับเขากลับไม่ร้องไห้งอแง เลี้ยงง่ายเป็นที่สุด


 


 


           แต่เมื่อใดมาอยู่ในมือของเขา กุยอวิ๋นจะร้องไห้งอแงไม่หยุด ราวกับสูญเสียพ่อแม่ไป ทำให้เขาโดนเฟิงหลีเลี่ยกลอกตาขาวใส่ไม่รู้กี่ครั้ง ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนพูดกล่อมเด็กได้แท้ๆ


 


 


           “ดูท่าแล้วพวกเจ้าคงไม่ได้เห็นตระกูลฉินอยู่ในสายตา” จึงกล้าบุกรุกเข้ามากันคนแล้วคนเล่าเช่นนี้


 


 


           “ตาเฒ่าอย่าเพิ่งวู่วามไป อาเจ็ดอาแปดที่อยู่ด้านนอกเหล่านั้นไม่มากันหรอก พวกเขาไร้ความสามารถเกินไป เพียงครู่เดียวก็ถูกกองกำลังพิทักษ์อวิ๋นของข้าสังหาร หวาดกลัวจนร้องไห้หาบุพการี อุจาระหดปัสสาวะหายกันหมดแล้ว” เงียบลงครู่หนึ่งก็พูดต่ออีกว่า “อีกอย่างข้าไม่รู้จักว่าเจ้าเป็นใครด้วยซ้ำ ใยจะต้องเห็นเจ้าอยู่ในสายตาด้วยเล่า”


 


 


           เฟิงเยี่ยนเฉิงแอบได้ยินว่ามู่หรงมู่จะมาช่วยมู่หรงชูอวิ๋น ทำหน้าตายไปอ้อนวอนเฟิงหรงสวี่เพื่อขอมาด้วย แน่นอนว่าเฟิงหรงสวี่ไม่มีทางอนุญาต ต่อมาเขาจึงแกล้งนอนขว้างอยู่บนเตียงของน่าหลันฉิงทุกวันไม่ยอมลุก เวลาอยู่ในอุทยานเฟิงหรงสวี่จะจับมือของน่าหลันฉิง แต่ไม่รู้มีมือเล็กจ้ำม้ำที่ไหนมาแทรก เพื่อความสุขและผลประโยชน์ของตัวเอง จึงจำใจอนุญาตให้เขามา เฟิงเยี่ยนเฉิงจอมแก่นยังตั้งชื่อกองกำลังว่ากองกำลังพิทักษ์อวิ๋น ทำเอาเฟิงหรงสวี่ริมฝีปากกระตุกพูดไม่ออก ได้แต่โบกมือยอมรับปากไป อย่างไรแล้วตนไม่อยากให้เด็กจอมป่วนคนนี้มาทรมานตนได้อีก


 


 


           เฟิงเยี่ยนเฉิงพูดจบก็ยกมือขึ้นไปหยิกแก้มยุ้ยของกุยอวิ๋น คล้ายกับกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้เห็นฉินสุยอยู่ในสายตาสักนิด เฟิงหลีเลี่ยเบี่ยงตัวออกหลายส่วน เพื่อขว้างมือร้ายกาจของเฟิงเยี่ยนเฉิงไว้ให้ห่าง กุยอวิ๋นที่ขมวดคิ้วเป็นปมก็ค่อยๆ คลายลงได้


 


 


 


 


ตอนที่ 427 เจ้าก็ทรยศข้า


 


 


         “เป็นเพราะกบฏอย่างเจ้าที่พาพวกเขาเข้ามาใช่หรือไม่” ฉินสุยชี้ฉินอวิ๋นซิน พลางกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าอย่าได้ลืมว่าตนเองก็สกุลฉิน”


 


 


           “ข้าเองที่พาพวกเขาเข้ามา ไม่เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นซินทั้งสิ้น”


 


 


           ผู้คนได้เห็นโฉมหน้าเจ้าของน้ำเสียงนั่นต่างต้องตกใจ จะเป็นนางไปได้อย่างไร


 


 


           “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้?” ฉินสุยพยายามข่มอารมณ์โมโหของตัวเองอย่างที่สุด ฝ่ามือกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว เขาคิดว่าต่อให้คนทั้งโลกทิ้งเขาแล้ว ฮูหยินฉินจะยืนเคียงข้างเขาตลอดไป พวกเขาสามีภรรยารวมเป็นหนึ่ง นางต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ หลังจากที่ลูกสาวของพวกเขาลาจากไป เขาได้ใช้ความสามารถของตัวเองพยายามที่จะปกป้องนางให้ดีที่สุด ไม่ทำให้นางได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ ต่อให้ต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักของคนทั้งเผ่า เขาก็ไม่เคยคิดจะแต่งหญิงอีกคน พยายามสุดความสามารถเพื่อตามหาสตรีของเผ่าที่มีปานรูปหงส์ไฟบนกาย ต่อให้เขาต้องได้รับความอยุติธรรม เขาก็พร้อมจะแบกรับมันไว้เอง บัดนี้นางกลับทรยศเขาทั้งเป็น อีกทั้งยังชกหน้าเขาให้ตายต่อหน้าประชาชนเช่นนี้


 


 


           ฮูหยินฉินสลัดมือของสาวใช้ออก ค่อยๆ สาวเท้าเดินมาอยู่ตรงหน้าของฉินเจา ฉินเจามองนางที่ยังงดงามดั่งนางสวรรค์เหมือนสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ที่ยืนอยู่ข้างท่านอาจารย์ของเขา “เป็นเพราะข้าเหนื่อยแล้ว” ชี้ไปยังคนสกุลฉินทั้งหมดพลางเอ่ย “พวกเขาเองก็เหนื่อยแล้ว จุดสูงสุดของตระกูลฉินผ่านมานานแล้วตั้งแต่บรรพบุรุษตัดสินใจที่จะอยู่อย่างสันโดษ ตั้งแต่ช่วงเวลานั้นได้ผ่านไป พวกเราเคยชินกับวันเวลาชายทำนาสาวทอผ้า อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้ว สิ่งเร้ารบกวนด้านนอกมีมากเกินไป พวกเราไม่มีพลังเช่นนั้นอีกแล้ว ได้ยินว่าด้านนอกงดงามมาก งดงามเสียจนคนอยากจะเก็บมาไว้กับตัว แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ สิ่งที่ข้าต้องการคือการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับสามีของข้า มีลูกสาวอยู่ด้วยกันเพียงเท่านี้ ที่นี่ก็แสนดี ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีสงคราม เป็นดั่งดินแดนในอุดมคติ”


 


 


           “ดังนั้นเจ้าจึงหักหลังข้า”


 


 


           ฉินสุยกัดฟันตัวเองจนแทบหักแล้ว


 


 


           ได้ยินคำพูดของฉินสุย ฮูหยินฉินมึนงงไปชั่วขณะ “ใช่ ข้าไม่อยากเห็นใครต้องมาพบกับชะตากรรมแบบท่านป้า พี่อวิ๋นลั่ว อวิ๋นซินแล้วก็ชูอวิ๋นอีกต่อไปแล้ว” อวิ๋นลั่วกระโดดหน้าผาปลิดชีวิตด้วยความกล้ารักกล้าเกลียด ไม่ได้ทำให้พวกเขาคิดกลับใจได้เลย แต่กลับกล้ากระทำเรื่องไร้ศีลธรรมต่อไปได้อีก หลงผิดกับสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองไม่เลิกลา


 


 


           “ถูกต้องแล้ว หากพวกเจ้าไม่เตือนข้าเกือบลืมไป ข้ายังต้องทวงความยุติธรรมให้กับเสด็จลุงของข้าด้วย คนที่ถูกพวกเจ้าฆ่าอย่างโหดเ**้ยมโยนทิ้งไว้ในป่าบุปผาหงส์ไฟ คือน่าหลันอี้” เฟิงเยี่ยนเฉิงกัดฟันแน่นจ้องมองพวกเขาตาเขม็ง คล้ายกับลูกเสือที่เพิ่งมีเขี้ยว


 


 


           พวกเขาเพิ่งจะรู้สถานะของเขา ตอนที่เฟิงหลีเลี่ยนำสิ่งของของน่าหลันอี้ไปให้พวกเขาตรวจสอบว่าเป็นของผู้ใด ในวันนั้นน่าหลันฉิงเป็นห่วงเรื่องของเฟิงหลีเลี่ยจึงมาหาพวกเขา ได้เห็นหยกแขวนวางเด่นอยู่บนโต๊ะ จึงเป็นลมล้มพับไปทันที


 


 


           เพียงแค่เฟิงเยี่ยนเฉิงคิดถึงภาพที่เสด็จแม่ของเขากอดหยกแขวนนั่น ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนจะขาดใจตาย ก็โกรธจนอยากจะตัดหัวของพวกเขาเสียให้หมด “สวรรค์มีตา ในที่สุดความผิดของพวกเจ้าก็ได้ถูกเปิดโปง” เดิมทีเขาต้องมีญาติหนึ่งคน ไม่แน่ว่าเสด็จลุงจะต้องรักและตามใจเขาที่สุดก็ได้ เหมือนกับมู่หรงมู่ที่ยังไม่รู้ว่ากุยอวิ๋นหน้าตาเป็นเช่นไร แม้ในช่วงที่เร่งรีบเดินทางมาที่นี่ ขณะช่วงเวลาพักผ่อนก็ยังแกะสลักของเล่นให้กุยอวิ๋น ทำเอาเขารู้สึกอิจฉาเป็นที่สุด หากไม่ใช่ว่านั่นเป็นของที่ทำให้หลานชายเขาล่ะก็ คงจะทุบทำลายมันไปนานแล้ว


 


 


           “มาแล้ว มาแล้วจริงๆ” ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเจ็ดพึมพำกับอะไร “ข้าเป็นคนแทงเขาด้วยดาบเล่มนั้น หากต้องการชดใช้ชีวิตโปรดมาเอาชีวิตข้าเถิด” นั่นเป็นคนคนเดียวที่เขาสังหาร โลหิตแดงสดของน่าหลันอี้พุ่งทะลักออกมา ไม่เพียงแปดเปื้อนไปบนดาบของเขา แต่ยังเปื้อนใบหน้าของเขา จนสัมผัสได้ถึงความอุ่นของโลหิตที่พุ่งสาด คล้ายกับน้ำเดือดลวกรดบนใบหน้า คนที่ทำให้ชีวิตวัยหนุ่มทรงพลังอย่างน่าหลันอี้ต้องสิ้นลงใต้หุบเขาเช่นนี้ หากไม่มีดาบเล่มนั้นของตนแล้ว ไม่แน่ว่าฉินอวิ๋นลั่วคงไม่กอดร่างไร้วิญญาณของน่าหลันอี้ แล้วตัดสินใจกระโจนลงหน้าผาดับชีวิตไปเช่นนั้น ต่อมาเขาได้สวมหน้ากากอัปลักษณ์ปิดใบหน้าด้านซ้ายเอาไว้ ไม่ยอมให้มันได้พบกับแสงสว่างอีก


 


 


           เขารู้สึกเสียใจมากับเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาโดยตลอด เท่ากับว่าเขาเป็นคนฆ่าพวกเขาทั้งสองคน ได้แต่เฝ้ารอให้ครอบครัวของเขามาแก้แค้น และในที่สุดพวกเขาก็มากันแล้ว


ตอนที่ 428 เจ้าจะปล่อยหรือ 


 


 


         เฟิงเยี่ยนเฉิงเห็นมู่หรงชูอวิ๋นหดตัวอยู่ข้างหลังฉินเจา พลันโมโหขึ้นมา “ยัยโง่ เหตุใดเจ้ายังอยู่ตรงนั้น? ยังไม่รีบมาอีก จะต้องให้ข้าไปเชิญเจ้ามาด้วยตัวเองหรือไร?” สามีและลูกของนางอยู่ทางนี้ นางเป็นสตรีที่แต่งงานออกเรือนแล้วมาทำเช่นนี้มันใช่หรือ แล้วยังแต่งตัวแบบนี้อีก ใส่ชุดแดงสีสดกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่านางจะแต่งงานกับคนอื่นต่อหน้าพวกเขาทุกคนหรือ หากนางต้องการแต่งกับคนอื่นจริง เขาจะ…จะ…ความจริงเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขายังไม่ทันได้มีโอกาสทำอะไรก็จะโดนพี่ใหญ่ที่ตัวสูงกว่าจัดการอย่างหนักเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้เขาเคยลองมาแล้ว 


 


 


           ทันใดนั้นบรรยากาศพลันเย็นเยือกขึ้นมาก ทั้งเฟิงหลีเลี่ยและฉินเจาต่างกวาดตามองเฟิงเยี่ยนเฉิงด้วยสายตาเย็นชา เฟิงเยี่ยนเฉิงถูกเฟิงหลีเลี่ยจ้องจนแทบยืนไม่อยู่แล้ว เวลาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวเขาแอบเรียกมู่หรงชูอวิ๋นว่ายัยโง่มาโดยตลอด ทั้งยังขู่ไม่ให้มู่หรงชูอวิ๋นไปบอกเฟิงหลีเลี่ยด้วย 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นได้ยินคำเรียกที่คุ้นเคย เท้ากำลังจะย่างออกมาแต่ก็ถูกฉินเจาจับไว้แน่น “หุ้ยซิน วันนี้เป็นวันแต่งงานของพวกเรา ห้ามเจ้าไปที่ใดทั้งนั้น” ต่อให้ตระกูลฉินต้องถูกทำลายจนย่อยยับ เขาก็ไม่มีทางปล่อยมือมู่หรงชูอวิ๋นเด็ดขาด 


 


 


           “แต่แจ้ารู้ว่าข้าชื่อมู่หรงชูอวิ๋น ไม่ใช่ฉินหุ้ยซินที่ตายไปเกือบสิบปีคนนั้น” ช่วงวันเวลาที่นางมาอยู่ในตระกูลฉิน ความดีที่ฉินเจามีต่อนาง ล้วนเก็บอยู่ในใจของนางทั้งนั้น แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความรัก เพียงแต่เป็นความรู้สึกซาบซึ้งเท่านั้น ซาบซึ้งเขาในตอนที่นางกำลังสับสนไม่รู้สิ่งใด เขาได้ใช้น้ำเสียงแหบพร่าน่าดึงดูดและไพเราะบอกกล่าวนางทุกอย่าง ทำให้นางไม่หวาดกลัว แต่ความรู้สึกที่นางมีต่อเฟิงหลีเลี่ยเป็นความรักที่แท้จริง แม้ว่าจะเป็นตอนที่นางปัญญาอ่อน เวลาที่ได้เห็นเฟิงหลีเลี่ยหัวใจของนางจะผิดปกติ เต้นรุนแรง สิ่งนี้บอกให้นางได้รู้ว่าหัวใจข้างในอกของนางยังมีชีวิต ยังเต้นได้อยู่ 


 


 


           มือของฉินเจาออกแรงกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาที่อ่อนโยนพลันเปลี่ยนไปคล้ายกับจะพ่นดอกไม้ไฟออกมา เผามู่หรงชูอวิ๋นให้วอดวาย “แต่ว่านั่นคืออดีต ข้ารู้เพียงว่าตอนนี้เจ้าคือคู่หมั้นของข้าฉินเจา” 


 


 


           “นั่นเป็นเพียงความคิดหลอกตัวเอง” 


 


 


           “อะไรนะ? เจ้ากล้าพูดว่าพี่สะใภ้ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้าหรือ?” เฟิงเยี่ยนเฉิงใจเย็นต่อไปไม่ได้แล้ว ทำไมไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับเขาเลย เขาไม่ใช่เด็กแล้ว มีสิทธิรู้เรื่องนี้ “เหอะ เจ้ามันคนบ้านนอก พี่สะใภ้ข้าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แคว้น เป็นพระเชษฐนีของข้า เป็นพระสุณิสาของฮองเฮา เป็นพระชายาของอี้หวัง ไหนเลยที่เจ้าจะมาหมายปองที่สูงได้” เฟิงเยี่ยนเฉิงพูดอย่างดูแคลนเป็นที่สุด  


 


 


           “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอันใดใช่ไหม ไอ้คนชั้นต่ำปล่อยมืออวิ๋นเอ๋อร์เดี๋ยวนี้” มู่หรงมู่เห็นข้อมือขาวละเอียดอ่อนของมู่หรงชูอวิ๋นถูกบีบจนแดงไปหมด สงสารจับใจแต่ยังพยายามเก็บกลั้นเอาไว้ ช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่อวิ๋นเอ๋อร์ของเขาต้องโดนคนอื่นรังแกเช่นนั้นทุกวันหรือไม่ บัดนี้เขาได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่ยังมิอาจปกป้องนางได้ 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นส่งสายตาบอกความหมายว่าไม่เป็นไรให้มู่หรงมู่วางใจเถิด ทุกครั้งนางแกล้งเขาจนอนาจ แต่เขาก็ไม่เคยโกรธเคือง กลับคอยปกป้องนางเหมือนเช่นเคย เปล่งเสียงเรียกอยู่ในใจเงียบๆ “พี่รอง” 


 


 


           ฉินเจาตกใจคล้ายกับถูกปลุกขึ้น จึงคลายมือลงหลายส่วน “เหตุใดเจ้าเจ็บจึงไม่บอกข้า?” 


 


 


           “หากข้าบอกไปเจ้าจะยอมปล่อยมือหรือไม่?” 


 


 


           ฉินเจาเงียบไป เขารู้ว่าแม้นางจะบอกออกมา เขาก็ไม่มีทางปล่อยมือเช่นกัน เขาไม่กล้าเสี่ยง เขาไม่เคยมีความคิดจะปล่อยมือมาก่อน แต่เขาจะไม่ใช้ความรุนแรงถึงเพียงนั้น ภาพข้อมือของนางแดงเป็นผืนกำลังแผดเผาดวงตาของเขาอยู่ 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นราวกับอ่านเขาออก “บอกกับไม่บอกไม่ได้แตกต่างอะไรกัน” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 429 ยอมรับชะตากรรม 


 


 


         มือของฉินเจาที่จับมู่หรงชูอวิ๋นไว้แข็งทื่ออยู่หลายส่วน คอสะอึก แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ เขายึดความคิดของตัวเองไม่เคยคิดจะยอมปล่อยวาง ไหนเลยจะสนใจความคิดนาง ในใจเริ่มมีระลอกความรู้สึกขมขื่น เหตุใดนางจึงมองเพียงเฟิงหลีเลี่ยไม่มองตนบ้างเลย เขาไม่ยอม ต่อให้ทุกคนจะขัดขวาง เขาก็ยังจะบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญโดยไม่สนใจสิ่งใด เขาไม่เคยเชื่อเรื่องชะตาชีวิต หากเขายอมจริงๆ เขาคงจะยอมไปตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนแล้ว 


 


 


           เดิมทีเขาเป็นลูกชายตระกูลผู้คุ้มกัน เริ่มทำอาชีพนี้มาตั้งแต่รุ่นปู่ของปู่แล้ว เนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนโต จึงได้รับความรักการตามใจเป็นอย่างมากจากพ่อแม่และปู่ย่า เขาเคยเป็นเหมือนเฟิงเยี่ยนเฉิงที่พูดจาโอหังเช่นนั้น เพราะคิดว่าเวลาเกิดปัญหาอะไร ก็มีพ่อแม่ช่วยออกหน้า แต่ว่าช่วงเวลาดีๆ มักอยู่ได้ไม่นาน ตอนที่เขาอายุเจ็ดขวบถูกคนร้ายฆ่าล้างตระกูล ฉินสุยมาพบตัวเขาที่ซอกประตู ในตอนนั้นเขามีสภาพใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว ไม่ได้ดื่มน้ำสักหยดมาหลายวันแล้ว สาเหตุจากท่านแม่ผู้อ่อนโยนได้บอกกับเขาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอันใดห้ามออกมาข้างนอกเด็ดขาด ฉินสุยที่เป็นเพื่อนรักกับพ่อของเขามาถึงช้าไป จึงช่วยเขาไว้ได้เพียงคนเดียว แล้วพาตัวเขากลับมาและเลี้ยงดูเขามาโดยตลอด หากว่าเวลานั้นเขายอมจำนนให้กับโชคชะตา ตอนที่เขาเห็นคนที่ค่อมอยู่บนร่างของท่านแม่กระทำเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉาน ฉีกเสื้อผ้าของนางขาดวิ่นเช่นนั้น เขาก็คงจะกระโจนออกไปใช้ฟันแหลมคมของเขากัดพวกเขาไปแล้ว ทว่าเขาออกไปไม่ได้ เขาจะต้องเก็บชีวิตที่มีค่าน้อยนิดของตัวเองเพื่อกลับมาล้างแค้น ดังนั้นตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยยอมจำนนต่อชะตาชีวิต เมื่อเขาอายุสิบห้าก็หาตัวคนพวกนั้นเจอ จากนั้นสับร่างของพวกเขาเป็นชิ้นๆ นำไปโยนทิ้งหน้าผาบ้างทะเลบ้าง เพื่อเป็นอาหารของเหล่าสัตว์ป่า ทำให้พวกเขาไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด 


 


 


           “มู่หรงชูอวิ๋น เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าใครที่ดีต่อเจ้า” ในใจของเฟิงเยี่ยนเฉิง เฟิงหลีเลี่ยให้ความสำคัญมู่หรงชูอวิ๋นมากกว่าน้องชายแท้ๆ คนนี้้อย่างเขาเสียอีก แม้แต่เขายังแอบนึกอิจฉาเป็นที่สุด เพื่อให้มู่หรงชูอวิ๋นรอดเฟิงหลีเลี่ยยอมทนทรมานส่งนางมายังตระกูลฉิน ทุกวันเขาจะก้มมองมืออันน่ารังเกียจ ไม่อยากมองเปียผมอีกครั้ง 


 


 


           ฉินเจาอิจฉาสายตาที่มู่หรงชูอวิ๋นใช้มองเฟิงหลีเลี่ย นั่นเป็นสายตาที่นางไม่เคยใช้มองเขาเลย ยกข้อมือของมู่หรงชูอวิ๋นขึ้นมา ก็พบว่ายังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง “ฮ่าฮ่า” พลันแค่นเสียงหัวเราะ “ที่แท้เป็นเพราะข้าหวังมากเกินไป” 


 


 


           เฟิงหลีเลี่ยยกข้อมือของเขาขึ้น กดเส้นเลือดแดงสดตรงกลางเอาไว้ มือของมู่หรงชูอวิ๋นก็สั่นไม่หยุด ข้อมือขาวดุจดั่งผ้าขาว ปรากฎด้ายแดงแจ่มชัดหนึ่งเส้น 


 


 


           “เป็นฝีมือพวกเจ้า?” 


 


 


           ฉินเจามองด้ายแดงที่เหมือนกันอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ทว่าไม่ใช่ด้ายแดงบนมือของเขา 


 


 


           “ข้าเอง” หมอกู่มาถึงเมื่อใดไม่รู้ ก้าวออกมาช้าๆ “ข้าเป็นคนสลับมันเอง หนอนกู่คะนึงหาใช้ได้สำหรับคู่รักเท่านั้น การผูดมัดไว้บนตัวของคนที่ไม่ได้รักกันมีแต่จะเป็นการทำร้ายคนเท่านั้น ข้าเป็นหมอ ย่อมไม่อยากทำเรื่องขาดศีลธรรมเช่นนี้ บนกายของเจ้าเป็นหนอนธรรมดาที่เลี้ยงขึ้นมาเท่านั้น” ต่อให้เขาจะไม่ชอบฉินเจา ก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายเขามาก่อน 


 


 


           หมอกู่พูดเช่นนี้ทำให้ความสับสนไม่เข้าใจที่พวกเขามี ต่างได้รับการเฉลยข้อสงสัยทั้งหมด ในตอนที่ฉินสุยไปพบเขาเพื่อขอหนอนคะนึงหา เขาก็แอบสงสัยอยู่ในใจ จึงไม่ได้มอบให้ในทันที อย่างไรแล้วผู้คนในหุบเขาจำนวนมากต่างเข้าใจว่าขอเพียงมีใจรัก ไม่จำเป็นต้องใช้หนอนคะนึงหามาผูกมัดอีกฝ่าย เว้นแต่ใช้กับคนที่ไม่อาจได้ใจมา เหมือนกับในปีนั้นที่ผู้อาวุโสเจ็ดมาคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าของเขา ก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลเดียวกันนี่หรอกหรือ การปรากฎตัวของเฟิงหลีเลี่ยทำให้เขาทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องที่ฉินสุยและพวกได้กระทำ อีกทั้งรู้สึกสงสารเด็กน้อยทั้งสองคนที่ต้องมารับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ อีกทั้งได้รู้จักกับหมอเทพ ปลาข้องเดียวกันที่รู้จักกันสายไป จากนั้นเขาได้แอบสับเปลี่ยนเอาแม่หนอนที่ควรจะต้องใส่ไว้บนกายของฉินเจา แต่นำมาวางไว้บนกายของเฟิงหลีเลี่ย เนื่องจากไม่เคยพบเห็นหนอนคะนึงหามาหลายปีแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ระแวงสงสัย เป็นเหตุให้เขาสามารถปกปิดเรื่องราวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ อีกทั้งตอนที่พวกเขาปลูกหนอนคะนึงหาบนตัวมู่หรงชูอวิ๋น ได้ตั้งใจให้นางดื่มยาถอนพิษจากหญ้าไร้กังวล ความทรงจำของมู่หรงชูอวิ๋นจึงค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา 


 


 


           “ที่แท้ก็เป็นเจ้า” ฉินเจากัดฟันตัวเองจนแทบจะแตกละเอียดแล้ว เขายังรู้สึกแปลกๆ เหตุใดมู่หรงชูอวิ๋นจึงไม่หวั่นไหวให้เขาบ้างเลย แต่กลับยิ่งมีความต่อต้านมากขึ้น ที่แท้เป็นฝีมือของตาเฒ่าสร้างเรื่องคนนี้นี่เอง 


 


 


           ใบหน้าของมู่หรงชูอวิ๋นถูกปิดไว้ด้วยนิ้วหยาบกร้านบังคับให้หันไป ฉินเจามองตาของมู่หรงชูอวิ๋นอธิบายโดยละเอียด พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ครั้งนี้คงต้องขอโทษเจ้าด้วย ครั้งหน้าข้าจะต้องจัดงานแต่งที่ดีให้เจ้าแน่ ตอนนี้ไปกับข้าก่อน ไปยังสถานที่ที่ไม่มีผู้คน” ที่นั่นจะไม่มีคนมาขวางพวกเขาได้ 


 


 


           มู่หรงชูอวิ๋นมองนัยต์ตาของเขาที่ดูลนลานขึ้นมาในทันใด แต่นางยังไม่ทันขยับ รู้สึกเจ็บระหว่างเอวเหมือนถูกรัดไว้แน่น นางถูกสกัดจุดเส้นเสียงที่ลำคอ ต่อให้ขยับปากเท่าไรก็ไม่มีเสียงออกมาเลยสักนิด นางมองจ้องฉินเจายากจะเชื่อ นางไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ 


 


 


           ฉินเจาทอดมองสายตาของมู่หรงชูอวิ๋นแล้วรีบเบี่ยงสายตาหลบไป เขาไม่อยากใจอ่อน และไม่อยากเสียใจภายหลังอีก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำผิดต่อนางไปชั่วคราว 


 


 


           ฉินเจาชักดาบที่พกติดตัวกับเอวของตัวเองขึ้นมา กอดรั้งมู่หรงชูอวิ๋นไว้ในอ้อมอก พลางชี้ดาบไปทางเฟิงหลีเลี่ยและพวก “หากพวกเจ้าไม่ยอมปล่อยพวกเราไปตอนนี้ ข้าก็พร้อมที่จะแต่งงานกับนางอีกครั้งในยมโลกด้วยกัน ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็ขัดขวางอะไรไม่ได้แล้ว” เมื่อครู่ที่เขาต้อนรับขับสู้พวกเขา เพราะอยากจะรู้สถานการณ์ด้านนอกเป็นเช่นไร ถึงตอนนี้ก็นานมากแล้วยังไม่ได้ข่าวใดเลย แม้แต่เงาก็ยังไม่เห็นใคร เกรงว่าเรื่องร้ายจะมากกว่าเรื่องดีอย่างที่เฟิงเยี่ยนเฉิงพูดเสียแล้ว หากคนพวกนั้นไม่ไปสู่ยมโลกกันหมดแล้ว ก็คงจะถูกคุมตัวไว้หมด คนของพวกนั้นคงจะไม่ได้มีจำนวนน้อยแสนธรรมดาเป็นแน่ ใครบอกให้เขาหักหลังคนมากมายขนาดนั้น แม้แต่อาจารย์หญิงที่รักและเอ็นดูเขามาก ก็ยังไม่ยืนอยู่ข้างเขาเลย ไม่ว่าจะจุดใดล้วนไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขา สำหรับปัจจุบันนี้คงทำได้เพียงสู้ด้วยตัวเองบนเส้นทางเลือดแล้ว ฉินสุยชะงักอึ้ง แต่ไม่นานก็ได้สติกลับมา ชักดาบออกมาเช่นเดียวกัน เวลานี้พวกเขาไม่เหลือทางสู้แล้ว ทำได้เพียงล่าถอยไปก่อน ผู้อาวุโสอีกหลายคนชักดาบออกมาตามกัน ผู้อาวุโสใหญ่เห็นผู้อาวุโสเจ็ดยืนอยู่ที่เดิม ท่าทางทุกข์ทรมานเป็นที่สุด เขาจึงตะคอกเสียงดัง “น้องเจ็ด เจ้ามัวทำอะไรอยู่? ชักดาบของเจ้าออกมา” ในหมู่พวกเขาแล้ววรยุทธ์ดาบของผู้อาวุโสเจ็ดเยี่ยมยอดที่สุด พรสวรรค์เหนือธรรมดา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสเจ็ดในวัยหนุ่มเช่นนี้ อย่างไรแล้วผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ก็อายุมากกว่าเขาอยู่รอบหนึ่่ง หากไม่ใช่เหตุของอายุ เกรงว่าตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ก็คงต้องเป็นของเขาแล้ว 


 


 


           ผู้อาวุโสเจ็ดคล้ายกับเด็กที่ถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ “พี่ใหญ่ พวกเราจะทำผิดต่อไปอีกไม่ได้แล้ว หากเป็นเช่นนี้จริง อาลั่วนางจะต้องไม่มีวันให้อภัยข้าอีก” 


 


 


           เขาไม่อาจทำให้นางผิดหวังได้อีกแล้ว ความจริงไม่มีผู้ใดรู้ว่าในตอนนั้นเขาคิดจะปล่อยพวกเขาไป แต่ไม่รู้ว่าดาบที่เขาภาคภูมิใจเล่มนั้นแทงไปบนร่างของน่าหลันอี้ได้อย่างไร เสียงกรีดร้องเสียใจเป็นสายของฉินอวิ๋นลั่ว ยังคงดังก้องอยู่ข้างหูของเขามาตลอดหลายปี ตำหนิว่าเขาเป็นคนตระบัดสัตย์คืนคำ 


 


 


           ผู้อาวุโสใหญ่เครียดและโมโหมาก แต่ก็ยังดึงเขามาอยู่ข้างหลังตัวเอง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกจนปัญญา แต่ผู้อาวุโสเจ็ดเป็นคนที่เขาเลี้ยงดูมากับมือจนเติบใหญ่ จึงรู้จักบุคลิกนิสัยของเขาดี แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือ เหตุใดคนผู้นี้จึงคิดไม่ได้ เกือบครึ่งชีวิตแล้วยังไม่เข้าใจเหตุผล ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงหมอกควันที่ผ่านตาไปเท่านั้น อีกอย่างคนเขาก็ตายไปนานแล้ว จะชดใช้อย่างไรก็ชดใช้ไม่ได้ คนที่อยู่ควรจะใช้ชีวิตที่มีอยู่ให้ดี การจมอยู่กับความรู้สึกเสียใจก็ไม่ได้ช่วยให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม