บัลลังก์พญาหงส์ 419-425

บทที่ 419 ส่งพระให้ถึงสุขาวดี

 

​เมื่อหงหลัวพูดเตือน ถาวจวินหลันก็ส่ายหัวอธิบายว่า “ผู้หญิงในตระกูลหยวนมีไม่น้อย หยวนฉงหวาเป็นลูกของภรรยาเอกแต่ก็ไม่ใช่คนที่ได้รับการโปรดปรานมากที่สุด เจ้าก็รู้ว่าทำไมทั้งๆ ที่หยวนฉงหวาเป็นคุณหนูของตระกูลขุนนาง แต่กลับยังถูกส่งเข้าวังหลวงไปเป็นนางกำนัล? ก็เพียงเพราะว่าตระกูลหยวนต้องการเกาะชายกระโปรงนางเพื่อปีนขึ้นไปเท่านั้น หยวนฉงหวาเป็นคนที่มีหน้าโดดเด่นที่สุดในบรรดาหญิงสาวสกุลหยวน ตระกูลหยวนส่งนางเข้าวังหลวงก็คงไม่พ้นคิดอยากให้นางเป็นชายาเป็นแน่”


“แล้วอย่างไรเจ้าคะ?” หงหลัวยังคงไม่เข้าใจ


“เดิมตระกูลหยวนไม่ให้ความสำคัญกับหยวนฉงหวา ตอนนี้คังอ๋องเป็นองค์รัชทายาท ตระกูลหยวนไม่มีทางยอมให้หยวนฉงหวาเพียงคนเดียวทำให้องค์รัชทายาทไม่พอใจ” ถาวจวินหลันยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่านางไม่ได้ไปหาตระกูลหยวนมาก่อนแล้วอย่างนั้นหรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตระกูลหยวนไม่ยอมสนใจนาง เจ้าคิดว่านางจะมาหาข้าอย่างนั้นหรือ? ทางด้านตระกูลหยวนอาจจะเตรียมหญิงสาวอีกคนหนึ่งให้กับองค์รัชทายาทแล้วก็เป็นได้”


“แต่นั่นก็เป็นถึงพระชายารององค์รัชทายาท หรือถ้าส่งอีกคนหนึ่งไปจะเป็นชายารองได้อีกหรือเจ้าคะ? หงหลัวหัวเราะเยาะ แสดงท่าทีดูถูก “พวกเขาไม่เห็นใจหญิงสาวของตระกูลตนเองเกินไปหน่อยแล้วเจ้าค่ะ”


“หยวนฉงหวาเป็นชายารองไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ต่อจากนี้เกรงว่าคงให้กำเนิดไม่ได้อีก และยังสูญเสียความโปรดปราน เจ้าว่าตระกูลหยวนจะยังสนใจอีกหรือ? หญิงสาวที่นำผลประโยชน์ใดๆ มาให้ตระกูลหยวนไม่ได้ ตระกูลหยวนก็ไม่เคยให้ความสำคัญอยู่แล้ว” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ “สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือหญิงสาวที่ทำให้องค์รัชทายาทโปรดปรานได้ เป็นหญิงสาวที่นำผลประโยชน์มาให้ตระกูลหยวนได้”


อีกอย่างในเมื่อหยวนฉงหวาคิดจะแก้แค้น ตระกูลหยวนก็ยิ่งไม่กล้าลงเรือลำเดียวกับนาง ไม่มีองค์รัชทายาท ตระกูลหยวนยังพึ่งใครได้อีก? กว่าจะเกาะเรืองขององค์รัชทายาทลำนี้ได้ก็ไม่ง่าย คนตระกูลหยวนจะยอมแพ้หรืออย่างไร?


เรื่องนี้คิดว่าหยวนฉงหวาคงจะเข้าใจมากกว่าใคร ดังนั้นนางถึงได้กล้าเสี่ยงอันตรายมาหาตนเอง


“อีกอย่างคนที่อยู่ข้างกายองค์รัชทายาทคือนาง ไม่ใช่พวกเรา นางจะทำอะไรแล้วเกี่ยวกับพวกเราเล่า” ถาวจวินหลันขยิบตาให้หงหลัว แล้วถามอย่างเจ้าเล่ห์


หงหลัวเข้าใจความหมายของถาวจวินหลันทันที ย่อมต้องเลี้ยวเข้ามาร่วมทาง แล้วก็ไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมอีก เพียงแต่พูดว่า “เช่นนั้นชายารองท่านคิดจะช่วยสกุลหยวนอย่างไรเจ้าคะ?”


ต่อให้ถาวจวินหลันจะมีอำนาจเพียงใด แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะวิ่งไปพูดอธิบายที่จวนองค์รัชทายาท อีกทั้งเรื่องนี้ถาวจวินหลันก็ไม่ควรออกหน้าเอง มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าคนจะเอาไปติฉินนินทาได้


ต่อให้เรื่องนี้จะวางแผนเช่นไร แต่ถ้าหากต้องทำร้ายชื่อเสียงของถาวจวินหลัน หงหลัวก็ไม่มีทางชอบใจ ชื่อเสียงนั้นสำคัญมากเพียงใด?


ถาวจวินหลันกระซิบแผนของตนให้หงหลัวฟัง


หงหลัวกระพริบตา แล้วก็ต้องหัวเราะเช่นเดียวกัน “คิดแล้ววิธีนี้ดูไม่เลวเลยเจ้าค่ะ”


“เรื่องนี้ต้องมอบให้เจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องสนว่ามอบให้ใคร เพียงแค่ทำเรื่องนี้ให้เหมาะสมก็เพียงพอ แล้วจะต้องเร็วด้วย” ถาวจวินหลันยิ้มกำชับ ตนเองนั้นกลับคิดจะสลัดหน้าที่ความรับผิดชอบออกไป


หงหลัวรับปากเรื่องนี้


ยังไม่พ้นสองวัน หลี่เย่ก็กลับมาพูดเรื่องหนึ่งให้ฟัง ตระกูลหยวนฟ้องร้องให้ปลดพระชายาองค์รัชทายาท


เรื่องนี้แท้จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่ถาวจวินหลันคาดเอาไว้ หลุดหัวเราะออกมาในฉับพลัน ใช่ ฟ้องร้องปลดพระชายาองค์รัชทายาทที่ปฏิบัติต่อชายารองไม่ดีและอิจฉาไม่สนใจใครใช่หรือไม่?


“ไม่เพียงเท่านั้น ฟ้องร้องพระชายาองค์รัชทายาทว่าเห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นหญ้า ใส่ร้ายคนดี” หลี่เย่พูดพลางหัวเราะ มองถาวจวินหลันเหมือนเข้าใจบางอย่าง “เรื่องนี้เจ้ารู้อยู่แล้วหรือ? หรือนี่เป็นฝีมือของเจ้า?”


ถาวจวินหลันหัวเราะออกมา จากนั้นก็เล่าเรื่องของหยวนฉงหวาให้ฟัง แน่นอนว่าพูดถึงการแลกเปลี่ยนของนางกับหยวนฉงหวาด้วย ท้ายสุดแล้วก็พูดปนหัวเราะ “ข้าให้หงหลัวไปหาคนที่พึ่งพาได้ ให้ไปตีสนิทกับคนดูแลบ้านใหญ่ของตระกูลหยวน จากนั้นก็ออกความคิดกับคนผู้นั้น ให้คนดูแลบ้านใหญ่ตระกูลหยวนเอาความคิดนี้ไปเอาหน้ากับเจ้านายตนเอง ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้เพคะ”


หลี่เย่เลิกคิ้ว มองถาวจวินหลันอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าจำได้ว่า หยวนฉงหวาคนนั้นเคยมีปัญหากับเจ้ามาก่อนมิใช่หรือ? แล้วทำไมจะยังช่วยนางอีก?”


ความหมายของหลี่เย่นั้นเรียบง่าย ในเมื่อเป็นคนที่ทำให้นางไม่สบายใจ แล้วทำไมยังจะต้องยื่นมือช่วย? ปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรมก็ได้แล้ว


“ในเมื่อนางมอบข้อมูลให้กับข้า ข้าเองก็ต้องรักษาสัญญา” ถาวจวินหลันส่ายหน้า พูดอีกว่า “นางสูญเสียลูกไปก็น่าสงสารมากพอแล้ว อีกทั้งสุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้ทำร้ายข้าจนถึงแก่ชีวิต ข้าเองก็คงไม่ถึงขั้นเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยนี่เพคะ นางมีชีวิตก็จริงแต่ก็ไม่มีความสุข ก็แค่ก้มหน้ารับกรรมเท่านั้นเพคะ”


“ข้อมูลที่นางบอก แม้จะน่าสนใจแต่ก็ไม่คุ้มค่าให้เจ้าเหนื่อยใจแทนนาง องค์รัชทายาทอย่างไรแล้วก็คือองค์ชาย หากไปมีความสัมพันธ์กับสตรีที่มีเจ้าของแล้วจริง ขอแค่เพียงไม่ใช่การบีบบังคับขืนใจก็เป็นเรื่องที่ให้ต่อว่าเล็กน้อยเท่านั้น พื้นฐานของสมัยนี้ไม่ได้เข้มงวดเท่าแต่ก่อน เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร” หลี่เย่พูดออกมา มีท่าทีไม่ค่อยยินยอมให้นางเหน็ดเหนื่อยวุ่นวายมากเกินไป หลายวันมานี้แค่ใช้ตามองก็รู้ว่าถาวจวินหลันผอมลงไปมาก เนื้อหนังที่กว่าจะได้มาก็หายไปหมดแล้ว เขาคิดหาวิธีให้ถาวจวินหลันพักผ่อนอย่างสบายใจ ไฉนเลยจะยินยอมให้ไปเหนื่อยเล่า?


“ดูจากท่าทีของนางแล้ว คิดว่าไม่ใช่แค่สตรีที่มีสามีธรรมดาๆ เป็นแน่” ถาวจวินหลันส่ายหัวพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “ท่านยังจำตอนแรกที่พวกเราพบกันได้หรือไม่?”


หลี่เย่ย่อมจำได้ ถ้าไม่ใช่ครั้งนั้น เกรงว่าเขาคงไม่สังเกตนางกำนัลเล็กๆ คนหนึ่ง แน่นอนว่าครั้งนั้นถาวจวินหลันก็ตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว


“ตอนนั้นท่านเคยคิดเรื่องฆ่าคนปิดปากหรือไม่?” ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องนี้ก็ถามอย่างเย้าแหย่


หลี่เย่ค่อยๆ พูดอย่างหลบหลีก “ตอนนั้นข้าเห็นว่าองค์รัชทายาทและนางกำนัลแอบมีความสัมพันธ์กัน แต่ไม่เห็นหน้าหญิงผู้นั้น” หลังจากที่เขาไปทำความเคารพไทเฮาแล้วคิดจะกลับวังเต๋ออัน ก็บังเอิญพบองค์รัชทายาทระหว่างทาง ด้วยเห็นองค์รัชทายาทท่าทีลับๆ ล่อๆ ถึงได้ตามไป แต่ใครจะรู้ว่าจะได้เห็นฉากนั้น ตอนที่คิดจะถอยไป ถาวจวินหลันกลับเดินเข้ามาชนพอดี


ตอนนั้นนอกจากกลัวว่าจะมีคนเห็นแล้ว ที่จริงแล้วเขาก็เขินอายอยู่เล็กน้อย แอบดูเรื่องเช่นนี้แล้วถูกคนพบเข้า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องรู้สึกประหม่าและเขินอาย อีกทั้งถาวจวินหลันก็ยังพูดว่านางเป็นนางกำนัลของวังเต๋ออัน คิดว่าต่อจากนี้คงจะได้พบหน้ากันทุกวัน เขาก็ยิ่ง…


ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่เป็นเช่นนี้ นางก็เพียงแค่จ้องเขาและเม้มปากยิ้ม ตราบจนหลี่เย่ยิ้มเก้ๆ กังๆ แล้วถึงได้พูดช้าๆ ว่า “ถ้าหากตอนนั้นข้ากล้าเอาเรื่องนั้นไปบอกคนอื่น คิดว่าท่านจะต้องฆ่าปิดปากข้าเป็นแน่”


หลี่เย่ไม่ได้ปฏิเสธ ก็ถือว่าเห็นด้วยโดยดุษณี แต่เมื่อคิดดูแล้วก็ถอนหายใจ “แต่เดิมคิดจะคอยจับตาดูเจ้าเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะตกลงมาเอง” มองดูอยู่ทุกวัน ใส่ใจอยู่ตลอดเวลา ความสัมพันธ์หยั่งรากลึกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


ที่จริงแล้วตอนนั้นเขาเองก็คิดจะส่งถาวจวินหลันไปไกล แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้วก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น ผลลัพธ์จึงเป็นอย่างทุกวันนี้


ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าก็แดงก่ำควบคุมไม่ได้ คิดถึงหลี่เย่ที่ทำเรื่องเหล่านั้นแทนนาน ก็รู้สึกอ่อนหวานซาบซึ้ง แต่ปากก็ยังตั้งใจพูดว่า “คำพูดของท่านหมายความว่าเช่นไรเพคะ? หรือว่ายังไม่พอใจหรือ?”


หลี่เย่รีบหัวเราะปฏิเสธ “ไฉนเลยจะไม่พอใจ? ย่อมต้องพอใจมากอยู่แล้ว พูดไปแล้ว เป็นข้าต่างหากที่ได้กำไร ไม่มีเจ้าที่เป็นแรงช่วยเหลือ ตอนนี้จวนตวนอ๋องจะมีสภาพอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้” หลิวซื่อพึ่งพาไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วจวนตวนอ๋องก็ต้องถูกย้ายจนว่างเปล่า อนุภรรยาในจวนมีเยอะแยะมากมาย ย่อมต้องไม่สงบเป็นแน่


ที่จริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะถาวจวินหลัน เวลานี้หลี่เย่ก็อาจจะไม่ได้มีผู้หญิงเพียงเท่านี้เท่านั้น ตอนนี้ที่มีอยู่ก็เอาไว้เป็นเครื่องประดับเท่านั้น พูดตามจริงแล้วเป็นถึงชินอ๋อง แต่กลับมีผู้หญิงเพียงไม่กี่คน ก็ถือว่าไม่สมหน้าตาไปเสียหน่อย


ถาวจวินหลันเม้มปากแอบยิ้ม “พูดคำเลี่ยนเพียงนี้ ไม่รู้สึกร้อนหน้าบ้างหรือเพคะ?”


“ใช่แล้ว ฮ่องเต้คิดเห็นอย่างไรกับฎีกาของตระกูลหยวนบ้างเพคะ?” ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็รีบถามออกมา


หลี่เย่ก็ทำได้แค่เพียงกลับมาพูดเรื่องจริงจังอีกครั้ง “แล้วจะให้ทำอย่างไรได้อีกเล่า? ย่อมต้องชักสีหน้าหรือแสดงอารมณ์โกรธโดยพลัน สั่งสอนองค์รัชทายาทอย่างหนักหน่วงทีหนึ่ง ในตอนนี้ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อองค์รัชทายาทเข้มงวดอย่างมาก สั่งสอนว่ากล่าวตลอดเวลา คราวนี้ชื่อเสียงเรียงนามไม่ดี องค์รัชทายาทจะพบเรื่องดีได้อย่างไร?”


“แต่ตระกูลหยวนไม่ได้ฟ้องร้องให้ปลดองค์รัชทายาท แต่ฟ้องให้ปลดพระชายาองค์รัชทายาท” ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว ออกแรงไปมากมายถึงเพียงนี้ นางไม่ยินยอมลงแรงไปโดยไม่ได้อะไรคืนเป็นแน่ องค์รัชทายาทถูกสั่งสอน แล้วถ้าหากว่ายิ่งโมโหหยวนฉงหวา นั่นก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสียแล้ว


“องค์รัชทายาทดูแลไม่ดี แม้แต่ภรรยาของตนเองก็ไม่มีวิธีจัดการให้ดี ย่อมทำให้เสด็จพ่อไม่พอใจเป็นแน่ อีกทั้งพระชายาองค์รัชทายาทเข้มงวดต่ออนุภรรยา แต่เดิมก็เป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทปล่อยตามใจ” หลี่เย่ยิ้มเย็น มีท่าทียินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของคนอื่น “เรื่องนี้โหวกเหวกต่อหน้าขุนนางเต็มท้องพระโรง เสด็จพ่อย่อมรู้สึกเสียหน้า ทำได้เพียงระบายอารมณ์ใส่องค์รัชทายาท”


เขารู้ว่าถาวจวินหลันอยากถามอะไรกันแน่ สุดท้ายก็หัวเราะออกมา “ทางด้านหยวนซื่อนั้นเจ้าก็วางใจเถิด คนตระกูลหยวนพูดออกมาอย่างน่าเวทนา เสด็จพ่อได้สั่งให้องค์รัชทายาทปฏิบัติตัวให้ดี ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด ชายาเหลียงตี้ไม่หลุดไปไหนแน่”


ถาวจวินหลันผ่อนลมหายใจเบาๆ ยิ้มและพูดว่า “ใช่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตของนางก็ไม่มีอะไรมากีดขวางแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ต้องให้นางไปพยายามเองแล้ว”


หลี่เย่หัวเราะ “พรุ่งนี้ข้าจะคิดหาวิธีให้คนไปวางแผนองค์รัชทายาท ให้เขาทำดีต่อหยวนซื่อ เพื่อแสดงความเมตตาและความสัมพันธ์ครั้งเก่าของตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการทอดบันไดให้กับหยวนซื่อแล้ว ขอแค่นางอย่าทำให้เจ้าผิดหวังก็พอ”


ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ทีหนึ่ง “ที่จริงแล้วถ้าหากว่าลำบากก็ไม่จำเป็นนะเพคะ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้ากลับถือว่าส่งพระถึงสุขาวดีแล้ว ข้ารู้นิสัยของหยวนซื่อดีที่สุด นางไม่ใช่คนไว้หน้าภาพรวม  นางคิดแค้นองค์รัชทายาทและพระชายาองค์รัชทายาท ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่วางมือง่ายๆ เช่นนี้เป็นแน่ ต่อให้นางไม่ลงมือกับองค์รัชทายาทและพระชายาองค์รัชทายาท พวกเราก็ไม่เสียหาย นิสัยขององค์รัชทายาทท่านเองก็รู้ดี ไม่มีฮองเฮาและพระชายาองค์รัชทายาทออกความคิดและจัดการดูแลเรือนในให้เขา ไฉนเลยจะยังเสเพลเช่นนี้ได้อีกเล่า?”


ทำเช่นนี้ก็เท่ากับตัดแขนซ้ายขวาและเส้นทางในอนาคตขององค์รัชทายาท


หลี่เย่เห็นว่าถาวจวินหลันพูดมีเหตุผล ก็ยิ้มพลางถอนหายใจ “ใช่แล้ว จูเก๋อหญิงของข้า”


ถาวจวินหลันถูกเขาเย้าแหย่ก็ถลึงตาใส่ในทันใด แอบบิดเนื้อตรงเอวเขาไปทีหนึ่ง “พูดมั่วอีก คนอื่นก็จะได้ยินแล้วนะเพคะ!”


ทางด้านนี้สองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ทางด้านโจวอี้กลับเร่งรีบมาในทันใด บอกว่ามีเรื่องต้องการรายงานหลี่เย่ หลี่เย่ถึงได้ให้โจวอี้เข้ามา


หลังจากที่โจวอี้เข้ามาแล้ว ก็พูดกระซิบข้างหูหลี่เย่ หลี่เย่กลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง


ใจของถาวจวินหลันแขวนอยู่บนเส้นด้ายทันที แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้หลี่เย่เป็นเช่นนี้? 

 

 


บทที่ 420 กังวล

 

หลี่เย่ได้ยินที่โจวอี้เข้ามารายงายแล้ว ก็พูดว่า “ข้าจะไปดูพร้อมกับเจ้า” สักพักพลันก็ขมวดคิ้วและหยุดฝีเท้าพร้อมกับส่ายหัว “ไม่ได้ ข้าไม่ไปจะดีกว่า เรื่องนี้จะให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้ เอาอย่างนี้ เจ้าให้เขาพักฟื้นที่ห้องของเจ้า หลังจากหายดีแล้วค่อยว่ากัน ข้าจะหาโอกาสเข้าไป”


จากนั้นก็หันหน้ามาถามถาวจวินหลันทันที “ในห้องเก็บของมียารักษาบาดแผลพวกนี้หรือไม่? หากว่ามี ก็ไปเอามาให้โจวอี้”


ถาวจวินหลันพยักหน้า “มี ข้าจะให้หงหลัวไปเอาใส่ย่ามมาให้”


รอจนกระทั่งสั่งหงหลัวเรียบร้อยแล้ว นางถึงได้กระซิบถามหลี่เย่เสียงเบา “ซินพานกลับมาแล้วหรือ?”


หลี่เย่ชะงักไปทันที ท่าทีดูประหลาดใจ ถึงแม้จะไม่ได้พยักหน้า ทว่าท่าทีของเขาก็อธิบายทุกอย่างได้เป็นอย่างดี


ถาวจวินหลันเห็นท่าทีเช่นนี้แล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองเดาถูก จึงรู้สึกโล่งใจที่ซินพานยังไม่ตาย ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ขอเพียงแค่เขากลับมาได้แล้วยังจะต้องกลัวอะไรอีก? ความสำคัญของซินพานที่มีต่อหลี่เย่นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้


คิดแล้ว ถาวจวินหลันก็พูดต่อว่า “เช่นนั้นก็พูดออกไปว่ามีญาติของคนงานในจวนมาขออาศัย ถึงอย่างไรปีนี้ก็มีภัยพิบัติ เช่นนี้จะไม่ดึงดูดสายตาของคนอื่น นอกจากนั้น ข้ายังได้เชิญหมอมาตรวจดูอาการของผู้ลี้ภัย ก็สามารถรักษาแผลบาดเจ็บได้ เช่นนั้นก็ให้ไปรักษาเขาด้วย หมอผู้นั้นเป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่เคยพบกับเขามาก่อน แน่นอนว่าจะไม่รู้ฐานะของเขา ส่วนเรื่องที่มาของบาดแผลพวกนั้น ก็บอกว่าเกิดตอนที่ประชาชนลุกฮือขึ้นมา”


คำพูดนี้ทำให้หลี่เย่ตาเป็นประกายทันที แล้วก็พยักหน้าไม่หยุด “พูดไปเช่นนี้ก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ จะทำให้ผู้อื่นสงสัยเอาได้ ทำอย่างเปิดเผยจะดีกว่า”


หลังจากนั้นก็ได้ห่อยารักษาบาดแผลแก้บวมช้ำและของบำรุงอย่างดีมอบให้โจวอี้เอาไป


หลังจากโจวอี้ออกไปแล้ว หลี่เย่ก็รู้สึกว่าจิตใจกระวนกระวายไม่มีสมาธิ คิ้วก็ขมวดอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนกับเป็นกังวลอย่างมาก


ถาวจวินหลันพยายามหาเรื่องคุยกับเขา สุดท้ายก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว จึงได้แต่ถามเขาออกไปตรงๆ “ข่าวคราวของซินพานนั้น โจวอี้ว่าอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บหนักหรือไม่?”


หลี่เย่ส่ายหัว “บาดเจ็บหนักเช่นกัน เกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้งนี้ทหารอารักขาข้างกายซินพานยอมพลีชีพเพื่อช่วยเหลือเขา อีกทั้งยังมีทหารที่เหลืออีกไม่กี่คนพยายามซ่อนตัวมาตลอดทาง ถึงได้พาเขากลับมาจนถึงเมืองหลวงได้”


ถาวจวินหลันได้ยินแล้ว ในใจก็ยิ่งรู้สึกดีใจมากขึ้น เรื่องใหญ่เช่นนี้ อีกฝ่ายต้องการเอาชีวิตของซินพานอย่างแน่นอน เขากลับมาได้เช่นนี้ ถือว่าไม่ง่ายเลย


“ในเมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงได้ เช่นนั้นก็จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน” ถาวจวินหลันตบๆ แขนของหลี่เย่ แล้วปลอบเขา “ที่เขาพูดกันว่า เมื่อผ่านความเป็นความตายมาได้ ต่อไปก็จะต้องได้พบกับสิ่งดีๆ อย่างแน่นอน ท่านว่าจริงหรือไม่?”


หลี่เย่ไม่อยากพูดให้ถาวจวินหลันไม่สบายใจอีก จึงได้พยักหน้า “จะต้องไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่นอน”


“หากว่าท่านไม่วางใจ พรุ่งนี้ก็แอบไปดูเสียหน่อยก็ได้” ถาวจวินหลันพูดออกมา จากนั้นก็คลี่ยิ้ม “ทำทีว่าไปดูโจวอี้ เช่นนี้จะได้ไม่ทำให้ใครสงสัย”


หลี่เย่พยักหน้า ทั้งสองคนพูดคุยกันต่ออีกสักพัก แล้วถึงได้เข้านอน


วันต่อมา ถาวจวินหลันส่งหลี่เย่ออกไปแล้ว ก็สั่งให้คนจัดการเรื่องตามหมอไปตรวจดูบาดแผลของซินพาน แน่นอนว่า เรื่องนี้นางไม่ได้ออกหน้า และไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ทำราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงญาติของคนงานในจวนอ๋องจริงๆ ด้วยมีเมตตาจึงได้หาหมอมาเพื่อรักษาอาการให้ก็เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่มีใครสงสัย


เรื่องนี้ก็ถือว่าปกปิดเอาไว้ได้ ซินพานก็พักฟื้นเงียบๆ รอให้อาการดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน


ถาวจวินหลันไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพียงแต่คอยถามจากหลี่เย่เป็นบางครั้งเท่านั้น แต่นางกลับกังวลใจเรื่องภายในจวนอ๋องมากกว่า…ผลผลิตจากชนบทนั้นเกรงว่าจะน้อยลงเนื่องจากฝนที่ตกกว่าสิบวันในคราวนั้น คนที่นำของมาส่งบอกเรื่องนี้กับนาง


พอเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจะทำอะไรได้ ผลผลิตในจวนอ๋องก็จะต้องน้อยลง…ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ข้าวสารที่ใช้ในจวนอ๋องแต่ละวันนั้น ตอนนี้ไม่เพียงพอจนต้องออกไปหาซื้อ แต่ที่สำคัญก็คือยามนี้ข้าวสารพวกนั้นไม่มีขาย


ข้าวสารที่ขายกันอยู่นั้นไม่เพียงแต่ขึ้นราคาจนสูงลิ่ว ที่สำคัญก็คือในคลังของเมืองตอนนี้ไม่เหลือข้าวสารที่กักตุนเอาไว้เลย ข้าวสารต่างถูกขายออกไปจนเกลี้ยง ถึงแม้ว่าจะยังส่งเข้ามาจากนอกเมืองอยู่เรื่อยๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ของจำนวนน้อยนิดเพียงเท่านั้น จริงๆ แล้วข้าวสารที่กักตุนไว้นอกเมืองก็เหลือน้อยเช่นกัน ถึงอย่างไรเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ข้าวสารจำนวนไม่น้อยก็จะถูกส่งไปเหอเป่ย อีกทั้งยังมีเงินอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องใช้เพื่อซื้ออาหารมากักตุน ป้องกันไม่ให้ปีหน้าเกิดการขาดแคลนอาหารเนื่องจากไม่มีผลผลิตในปีนี้


ดังนั้น ในตอนนี้ถาวจวินหลันจึงรู้สึกกังวลใจ ก่อนหน้านี้ที่ซื้อเอาไว้ต่างเป็นธัญพืชและอาหารแห้ง เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้ไร้ประโยชน์


ในขณะที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี กลับมีคนนำเทียบเชิญมาส่งให้นางเพื่อขอเข้าพบ คนผู้นั้นชื่อว่าฉินฮูหยิน


ถาวจวินหลันเห็นเทียบเชิญนั้นแล้ว ก็รู้สึกงุนงงและหันหน้าไปถามหงหลัว “ข้ารู้จักฉินฮูหยินผู้นี้อย่างนั้นหรือ?”


หงหลัวครุ่นคิดแล้ว ก็พูดว่า “ใช่คนที่สามีเป็นขุนนางขั้นห้าผู้นั้นหรือไม่เจ้าคะ?”


ถาวจวินหลันส่ายหัว “ฉินฮูหยินคนนั้นไม่ได้ตามสามีที่ไปรับราชการต่างเมืองแล้วรึ? นางไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงตั้งนานแล้ว แล้วยังจะมาส่งเทียบเชิญขอพอข้าได้อย่างไรกัน?”


หงหลัวพยายามคิดอีกครั้ง สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้า “เช่นนั้นก็คงเป็นฉินฮูหยินอีกคนจริงๆ ”


“บางทีอาจเป็นคนที่ไม่รู้จักแต่อยากมาทำความรู้จักกระมัง?” ถาวจวินหลันลองเดาและพูดกับตัวเอง คิดแล้วก็มองไปที่เทียบเชิญนั้นอีกครั้ง สุดท้ายถึงได้พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ออกไปพบสักหน่อยเถิด”


หงหลัวสั่งให้คนออกไปบอก เพียงไม่นาน สาวใช้ก็พาฮูหยินที่ยังสาวคนนั้นเดินเข้ามาในเรือน หงหลัวยืนมองอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วก็หันมาส่ายหัวกับถาวจวินหลัน “ไม่รู้จักจริงๆ เจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันพยักหน้าแสดงความหมายว่านางเข้าใจแล้ว จากนั้นก็นั่งตัวตรงรอฮูหยินผู้นั้นเข้ามา


ตอนที่ฉินฮูหยินผู้นั้นเข้ามา ถาวจวินหลันก็มองประเมินนางอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าอีกฝ่ายถึงแม้จะสวมชุดที่ลายและเนื้อผ้ากำลังนิยมในช่วงนี้ แต่ว่าสีสันกลับดูเรียบๆ และสะอาดสะอ้าน ทำให้รู้สึกได้ทันทีว่านิสัยของนางจะต้องเป็นคนที่เรียบง่าย อีกทั้งฐานะก็ยังไม่ได้สูงมากนัก…จากเครื่องประดับของนางก็พอจะรู้ได้ ไม่เพียงแต่เรียบง่าย อีกทั้งปิ่นปักผมรูปหงส์นั้นก็มีหางเพียงสามหางซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยที่สุด


ฉินฮูหยินก้มหน้าและคำนับถาวจวินหลัน พร้อมกับพูดว่า “ถวายพระพรพระชายารองถาว”


ถาวจวินหลันรีบเข้าไปประคอง ยิ้มแล้วพูดว่า “รีบนั่งลงเถิด” หงหลัวยิ้มแล้วเชิญให้ฉินฮูหยินนั่งลง จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้ไปยกชามาวางข้างๆ ฉินฮูหยิน


หลังจากทักทายกันเรื่องทั่วไปสักพัก ถาวจวินหลันก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก จึงได้แต่ยิ้มแล้วมองไปทางฉินฮูหยิน รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจุดประสงค์ของตัวเองออกมา จริงๆ แล้วจากที่พูดคุยกันไปมาสักพัก ฉินฮูหยินก็ยังไม่ได้พูดออกมาว่านางมาจากบ้านตระกูลไหน ทำให้ถาวจวินหลันแปลกใจอย่างมาก


ฉินฮูหยินรู้หน้าที่ดี จึงได้เอ่ยปากพูดออกมาว่า “บ้านสามีของข้าแซ่จั่ว เป็นสายเลือดที่แยกออกมาของจวนเฝินหยางโหว ตอนนี้สามีของข้าได้รับหน้าที่จัดการเรื่องในจวนเฝินหยางโหวอยู่ข้างกายเฝินหยางโหวเจ้าค่ะ”


พูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็รู้ถึงฐานะของฉินฮูหยินคนนี้ทันที ว่านางเป็นภรรยาของจั่วเสี่ยนอวี้


ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “ข้าเคยได้ยินเรื่องสามีของเจ้า ได้ยินว่าเป็นคนมีความสามารถ”


ฉินฮูหยินเม้มปากยิ้มอย่างเคอะเขิน “พระชายารองชมเกินไปแล้ว เขาก็แค่ช่วยคนอื่นทำงานเท่านั้น ตอนนี้พวกเราก็หาเงินเพื่อค่อยๆ ขยับขยายกิจการของพวกเราเท่านั้น วันนี้ที่มาขอพบพระชายารอง ก็เพราะได้ยินว่าพระชายารองต้องการหาซื้อข้าวสาร”


“ข้าวสารรึ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจพอจะเดาอะไรบ้างอย่างได้ “ทำไมรึ พวกเจ้ามีข้าวสารจะนำมาขายให้ข้าได้รึ?”


ฉินฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ พวกเรายังมีร้านค้าและคนรู้จักอยู่บ้าง ดังนั้นถึงสามารถหาข้าวสารมาได้เจ้าค่ะ ได้ยินว่าจวนตวนอ๋องต้องการหาซื้อ สามีของข้าจึงส่งให้ข้ามาลองถาม” สักพักก็พูดเสริมอีกว่า “เรื่องราคาก็ถือเสียว่าเป็นการช่วยเหลือกันเท่านั้น ขอแค่ค่าขนส่งเพียงเล็กน้อยก็พอเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันคิดแล้ว ก็พูดออกไปว่า “ทำเช่นนี้คงไม่เหมาะสมนัก ตอนนี้ข้าวสารหาได้ยาก อีกทั้งพวกเรากับจวนเฝินหยางโหวก็ไม่ได้เกี่ยวดองกัน ทำเช่นนี้ถือว่าเอาเปรียบพวกเจ้า ท่านอ๋องจะทรงตำหนิข้าเอาได้”


ฉินฮูหยินกัดฟัน แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจวนเฝินหยางโหว เป็นเพียงแค่เรื่องของบ้านเราเท่านั้น พระชายารองอย่ากังวลใจไปเลยเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรเรื่องกิจการพวกนี้ก็เป็นของพวกเราเอง”


พูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็เข้าใจความหมายของฉินฮูหยินทันที “พูดเช่นนี้ ก็หมายความว่านี่เป็นเรื่องของบ้านเจ้าเท่านั้นรึ? ไม่เกี่ยวกับจวนเฝินหยางโหวเช่นนั้นรึ?”


ฉินฮูหยินพยักหน้า แววตาดูอ้อนวอน “พวกเรามิบังอาจมาผูกสัมพันธ์ด้วย เพียงแต่คิดว่าหากมีการไปมาหาสู่กันบ้างก็พอ หากว่าต่อไปมีโอกาสได้ร่วมมือกัน ก็จะได้ร่วมมือกันเจ้าค่ะ”


“พวกเจ้าไม่กลัวเฝินหยางโหวจะรู้เรื่องนี้รึ?” ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วมองไปทางฉินฮูหยิน “ถึงอย่างไร พวกเจ้าก็น่าจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างจวนเฝินหยางโหวกับจวนตวนอ๋องดี หากไม่ใช่เป็นเพราะท่านอ๋อง ท่านเฝินหยางโหวก็คงไม่…”


ท่าทีของฉินฮูหยินเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นและคุกเข่าลงตรงหน้าถาวจวินหลันอย่างหนักแน่น “เรื่องในตอนนั้น เป็นเพราะจวนเฝินหยางโหวไม่ดีจริงๆ เจ้าค่ะ เพียงแต่เรื่องนี้ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว พวกเราเองก็ถูกขับไล่ออกจากจวนเฝินหยางโหว ขอพระชายารองอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธพวกเราเพราะเรื่องนี้เลยเจ้าค่ะ”


ท่าทีของฉินฮูหยินแสดงออกชัดว่าจริงใจอย่างมาก


ถาวจวินหลันถอนใจเบาๆ แสดงท่าทีบอกให้หงหลัวประคองฉินฮูหยินลุกขึ้น สุดท้ายก็พูดว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากคบหากับพวกเจ้า ข้าเข้าใจความคิดของพวกเจ้าดี ข้าแค่เพียงเป็นห่วงฝั่งพวกเจ้าก็เท่านั้น แต่ในเมื่อพวกเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าเองก็วางใจ เรื่องการร่วมมือกันนั้น ขอแค่ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร พวกเราเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยินดี”


ฉินฮูหยินได้ยินเช่นนี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าดีใจอย่างมาก จากนั้นก็พูดไม่หยุดว่า “ขอบพระทัยพระชายารองเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันหัวเราะ “พวกเจ้าไม่ต้องลดราคาข้าวสารให้ถูกจนเกินไป เอาตามราคาที่ค้าขายกันตอนนี้เถิด ลดราคาลงเล็กน้อยก็พอ ไม่อย่างนั้นข้าเองก็จะไม่สบายใจ ต่อไปหากเจ้ามีเวลา ก็มาพูดคุยกันได้ ข้าเองอยู่ในเรือนทุกวันก็รู้สึกเบื่อ อยากได้คนมาพูดคุยกับข้าบ้าง หากไม่ใช่เพราะมีเรื่องร้านค้าที่ทำให้ข้าออกไปไหนไม่ได้ ข้าจะต้องออกจากเรือนไปข้างนอกทุกวันอย่างแน่นอน”


จากนั้นก็พูดคุยกันต่อไปอีกสักพัก ฉินฮูหยินก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ


ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รั้งตัวนางให้อยู่ต่อ เพียงแต่ออกไปส่งนางที่หน้าประตูเรือนเท่านั้น


รอจนกระทั่งหงหลัวส่งฉินฮูหยินขึ้นรถม้าไปแล้ว นางถึงได้หัวเราะและพูดกับหงหลัวว่า “คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเอาของดีมาป้อนให้ถึงปาก”


หงหลัวรู้ดีว่าถาวจวินหลันคิดหาวิธีสร้างความสัมพันธ์กับจั่วเสี่ยนอวี้มาโดยตลอด จึงเม้มปากแล้วยิ้ม “เช่นนี้จะไม่เรียกว่าเอามาป้อนให้ถึงปากได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ จังหวะพอดีที่กำลังขาดแคลนข้าวสาร เมื่อเป็นเช่นนี้พระชายารองก็ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไปแล้ว”


ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “มีเวลาไหนที่ไม่ต้องกังวลใจรึ? ไม่กังวลใจเพราะเรื่องนี้ ก็มีเรื่องอื่นมาให้กังวลใจแทนอยู่ดี” 

 

 


บทที่ 421 คิดไม่ถึง

 

​ที่จั่วเสี่ยอวี้ส่งฉินซื่อภรรยาของเขามานั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงเป็นการลองหยั่งเชิง คิดไปแล้วหลิวเอินจะต้องใช้ความคิดของนางไปแอบทำอะไรบางอย่างเป็นแน่ ดังนั้นจั่วเสี่ยนอวี้จึงได้เคลื่อนไหวเช่นนี้ เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าจั่วเสี่ยนอวี้ยังไม่เชื่อใจนาง ดังนั้นจึงเอ่ยถึงเรื่องการแลกเปลี่ยนทางการค้า


คิดว่า จั่วเสี่ยนอวี้วางแผนไว้ว่าจะนำข้าวสารและอาหารมาแลกเปลี่ยนก่อน จากนั้นถึงจะจัดการเรื่องจวนเฝินหยางโหว


แต่ว่า วิธีของจั่วเสี่ยนอวี้ก็ไม่เลวเลยจริงๆ ตอนนี้ยังหาข้าวสารและอาหารมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ได้ นี่ก็เห็นได้ชัดว่า จั่วเสี่ยนอวี้ไม่ได้ยินดีที่จะถูกกดขี่อยู่ใต้คนอื่นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้น เขาจะแอบทำธุรกิจร้านค้าของตัวเองอย่างเงียบๆ ไปเพื่ออะไรกัน?


ฉินซื่อพูดว่าเป็นเพียงแค่ร้านขายข้าวสารและอาหาร แต่ถาวจวินหลันกลับไม่คิดว่ามีเพียงเท่านั้น


เรื่องนี้ถาวจวินหลันมอบให้หลิวเอินหาคนที่เหมาะสมไปจัดการสืบเรื่องนี้


สุดท้ายแล้วหลิวเอินก็ให้คนมาส่งข่าว เพียงแค่บอกว่าร้านค้าของจั่วเสี่ยนอวี้ไม่ใช่เป็นร้านขายข้าวสารธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นโรงค้าข้าวขนาดใหญ่ เปิดร้านค้าเอาไว้ตามที่ต่างๆ ที่ไม่สะดุดตาในเมืองหลวง แต่ส่วนใหญ่จะเปิดทางภาคใต้


เห็นได้ชัดว่านี่ก็เพื่อปิดบังจวนเฝินหยางโหว แต่ว่า ดูจากความโง่เขลาเบาปัญญาของเฝินหยางโหวแล้ว ต่อให้จั่วเสี่ยนอวี้เปิดร้านค้าใต้จมูกของเขา เขาเองก็คงไม่รู้


พริบตาเดียวก็ถึงวันที่สิบสี่เดือนเจ็ด


ด้วยเกิดภัยพิบัติ อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้เกิดการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ในเมืองหลวง ดังนั้นปีนี้จึงมีแต่เรื่องใหญ่และพรั่นพรึงเกิดขึ้น


วัดในบริเวณรอบๆ ต่างก็ส่งหนังสือมาว่าปีนี้จะทำพิธีอย่างยิ่งใหญ่


แน่นอนว่าถาวจวินหลันต้องบริจาคเงินไป


ด้วยเกรงว่าองค์หญิงเก้าจะไม่รู้ประเพณีพวกนี้ ถาวจวินหลันจึงส่งหมัวหมัวมากประสบการณ์ให้ไปบอกนาง แล้วก็ให้นางบริจาคเงินบางส่วนให้วัด นอกเหนือจากนั้น ในวันนั้นให้เตรียมผลไม้และจุดธูปเทียนบูชาบรรพบุรุษของบ้านตระกูลถาว


ปรากฏว่าตอนกลับมา หมัวหมัวได้บอกว่าองค์หญิงเก้าจัดเตรียมเรื่องพวกนี้เอาไว้แล้ว ถาวจวินหลันได้ยินก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมากและยิ้มออกมาทันที “นางใส่ใจจริงๆ” สะใภ้ที่คิดถึงทำเพื่อบ้านตระกูลถาวได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเช่นนี้ นางจะยังไม่พอใจได้อย่างไร ตอนนี้นางเพียงหวังว่าองค์หญิงเก้าจะตั้งครรภ์ เพื่อมีลูกหลานสืบสกุลให้ตระกูลถาว


องค์หญิงแปดส่งคนมาถามถาวจวินหลันว่าจะเข้าวังด้วยกันหรือไม่? วันที่สิบสี่เดือนเจ็ดจะต้องทำการไหว้บรรพบุรุษ สำหรับลูกหลานที่มีเชื้อสายราชวงศ์ หลี่เย่กับซวนเอ๋อร์ต่างจะต้องเดินทางไปไหว้ที่วัด แน่นอนว่าถาวจวินหลันจะต้องพาซวนเอ๋อร์เข้าไปในวัง


องค์หญิงแปดยังส่งคนมาบอกข่าวว่า นางได้คัดลอกหนังสือสวดมนต์ถวายให้ไทเฮาและฮองเฮา เพื่อเป็นการขอพร


แน่นอนว่าถาวจวินหลันรู้ดี องค์หญิงแปดต้องการเตือนว่าต้องทำอะไรเพื่อแสดงท่าทีบ้าง ถึงอย่างไรฮองเฮาก็ทรง ‘ประชวร’ มานานขนาดนี้ คิดว่าลูกสาวและสะใภ้อย่างพวกนางก็ควรจะทำอะไรเพื่อแสดงความกตัญญูบ้าง


จริงๆ แล้วถาวจวินหลันได้บริจาคเงินให้วัดเป็นจำนวนมาก เพื่อทำบุญให้ผีเร่ร่อน จะได้เป็นการสะสมบุญบารมีให้กับไทเฮา เสริมบารมีและขอให้พระองค์มีอายุยืนยาว


ส่วนฮองเฮานั้น นางไม่แอบเชิญหมอผีมาทำพิธีให้ฮองเฮาป่วยตายเร็วขึ้น ก็ถือว่านางมีคุณธรรมแล้ว ส่วนเรื่องคัดลอกหนังสือสวดมนต์เพื่อขอพรให้ฮองเฮานั้น นางไม่มีเวลาทำ สู้นางเอาเวลาไปเล่นกับซวนเอ๋อร์เสียจะดีกว่า


แน่นอนว่า การแสดงท่าทีนั้นยังคงต้องทำ ถาวจวินหลันจึงรับคำองค์หญิงแปด และจะเดินทางเข้าวังพร้อมกันเพื่อถวายพระพรฮองเฮา ในขณะเดียวกันนางก็ยังสั่งคนให้ไปเชิญองค์หญิงเก้า พวกนางเข้าไปพร้อมกันหลายๆ คน นางก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับฮองเฮาเพียงลำพัง ถือว่าเป็นเรื่องเหมาะสมอย่างที่สุด


เกรงว่าตอนนี้ฮองเฮาคงจะเกลียดนางเข้าไส้แล้วกระมัง? ฮองเฮาคงมองว่า นางอาจเป็นคนที่ลืมบุญคุณคน  แต่เกี่ยวอะไรกันล่ะ? สำหรับฮองเฮาแล้ว นางก็เป็นเพียงแค่หมากตัวนึงมาโดยตลอด แล้วทำไมหมากอย่างนางจะต้องจงรักภักดีกับคนที่หลอกใช้ประโยชน์จากตัวนางเช่นนี้ด้วยล่ะ?


อีกอย่าง สิ่งที่ฮองเฮาทำลงไปนั้น มีเรื่องไหนบางที่ทำให้นางไม่รู้สึกว่าอยากให้ฮองเฮาตายไปในเร็ววัน?


คิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็เลือกสวมกระโปรงสีม่วงเข้ม ลวดลายก็ดูเป็นทางการและเคร่งขรึม ในเวลานี้หากนางยังสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูสดใส ก็จะทำให้คนที่เห็นรู้สึกได้ว่านางไม่เข้าใจความทุกข์ร้อนของราษฎร แม้แต่เครื่องประดับ นางก็ยังเลือกที่ดูเรียบง่าย ยิ่งใส่น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี


พอเข้าวังหลวงแล้ว แน่นอนว่านางย่อมเลือกเข้าไปถวายพระพรไทเฮาก่อน


ตอนที่ไปถึงนั้น ไทเฮากำลังนั่งสวดมนต์อยู่ในห้องพระ ถาวจวินหลันและคนอื่นต่างไม่กล้าเข้าไปรบกวน จึงรออยู่ข้างๆ จนกระทั่งไทเฮาสวดมนต์เสร็จแล้วลืมตาขึ้น ก็ทรงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้ามากันแล้วรหรือ”


พวกนางทั้งหมดจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อถวายพระพรไทเฮา


ไทเฮาได้ถามเรื่องการเตรียมตัวไหว้บรรพบุรุษของแต่ละบ้าน จากนั้นก็ถอนใจ “ปีนี้ผลผลิตเก็บได้ไม่ดีเท่าปีที่ผ่านๆ มา แล้วยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งก่อน พวกเจ้าเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ผีเร่ร่อนมากหน่อยก็แล้วกัน ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องของราชสำนัก แต่พวกเขาก็น่าสงสารนัก”


ที่ไทเฮาพูดถึงก็คือประชาชนที่ถูก ‘ขับไล่’ ออกไปนอกประตูเมือง … เรื่องนี้ ที่พูดออกไปก็คือการขับไล่ แต่ว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไรนั้น ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ


ถาวจวินหลันเห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้ ก็รีบพูดออกมาทันที “ข้าบริจาคเงินให้วัดไปแล้ว ทั้งยังให้พวกเขาทำพิธีให้วิญญาณเร่ร่อน เพื่อให้พวกเขาได้พักผ่อนอย่างสงบ ไทเฮาวางพระทัยเถิดเพคะ”


ไทเฮาหยักหน้า แล้วพูดว่า “เจ้าจัดการได้ครบถ้วนดี”


คำพูดนี้ถือเป็นคำชมแล้ว แล้วไทเฮาก็พลันถามขึ้นอีกว่า “หลิวซื่อเป็นอย่างไรบ้าง?”


ถาวจวินหลันชะงักกึก ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ไทเฮาถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเพราะมีความหมายอะไรหรือไม่ สักพักถึงได้ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ก็ยังเหมือนเดิมเพคะ ดูแล้วไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น บางทีอาจเพราะป่วยมาเป็นเวลานาน อารมณ์ถึงยิ่งไม่ปกติมากขึ้นไปอีก”


“ตอนนี้คนในบ้านตระกูลหลิวก็เหลือไม่กี่คนแล้ว” ไทเฮาถอนใจ “บ้านตระกูลหลิวที่ในตอนแรกเห็นว่าพอใช้ได้ พริบตาเดียวก็ตกต่ำถึงเพียงนี้”


ถาวจวินหลันยิ่งไม่เข้าใจความหมายของไทเฮา ได้แต่พูดเสริมไป “ใช่เพคะ ใครจะคิดว่าจะเป็นแบบนี้”


“ตอนนี้เย่เอ๋อร์เป็นตวนชินอ๋อง หลิวซื่อที่เป็นพระชายาตวนชินอ๋องกลับป่วยอยู่อย่างนี้ ไม่สามารถจัดการเรื่องใหญ่ใดๆ ได้ ฮ่องเต้ก็ทรงมีความคิดอยากหาพระชายาคนใหม่ให้เย่เอ๋อร์เช่นกัน” ตอนที่ไทเฮาพูดออกมาก็จ้องถาวจวินหลันเอาไว้ไม่วางตา


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นแล้ว ก็อดเม้มปากแน่นไม่ได้ นางรักษาท่าทีเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน…นางให้ความสนใจกับคำที่ไทเฮาพูดออกมาว่า ‘เช่นกัน’ เช่นกันหมายความว่าอะไร? หมายความว่าคนที่คิดเช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ฮ่องเต้ บางทีไทเฮาเองก็ด้วย


ถาวจวินหลันเห็นว่าไทเฮารอคำตอบของนางอยู่ นางจึงทำได้แค่ฝืนยิ้ม อ้าปากจะพูดแล้วก็พบว่าตัวเองไม่มีทางพูดออกไปได้ว่านี่เป็นเรื่องดี คิดไปคิดมาแล้วนางจึงได้แต่ช่วยพูดแทนหลิวซื่อ “ถึงแม้ว่าพระชายาจะป่วยมานานแล้ว แต่ถึงอย่างไรสาเหตุก็มาจากการมีลูกให้ท่านอ๋อง อีกทั้งก่อนที่พระชายาจะป่วย ก็ไม่ได้มีความผิดอะไร หากทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าดูจะไม่เหมาะสมเท่าไรเพคะ”


“ใช่ซี ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ แต่ยังมีวิธีไหนอีกบ้าง? ถึงอย่างไรจวนตวนชินอ๋องจะไม่มีนายหญิงต่อไปเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” ไทเฮายังคงมองมาทางถาวจวินหลัน


ถาวจวินหลันกัดฟันแน่น มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อสั่นระริก


ไทเฮากำลังบังคับให้นางพูดสิ่งที่คิดอออกมา


นางคิดว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นไทเฮาจะแสดงท่าทีบีบบังคับนางเช่นนี้ได้อย่างไร? สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมแก่การหาพระชายาให้หลี่เย่ที่ไหนกัน?


สุดท้ายแล้ว ถาวจวินหลันก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “เรื่องนี้หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ฐานะของหม่อมฉัน จะตัดสินใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”


ตอนนี้องค์หญิงเก้าถึงค่อยๆ เอ่ยปากขึ้นเพื่อให้บรรยากาศสงบลง “ไทเฮาเพคะ อยู่ๆ พูดถึงเรื่องพวกนี้ทำไมกัน? อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่เหมาะจะพูดเรื่องเช่นนี้ แม้แต่เรื่องพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทยังต้องเลื่อนไปก่อน ถึงแม้ว่าไทเฮาจะทรงเมตตาต่อพี่รอง แต่จะลืมพี่ใหญ่ไม่ได้นะเพคะ”


องค์หญิงเก้าทั้งออดอ้อนและแกล้งบ่นอย่างไม่จริงจังนัก จึงทำให้บรรยากาศกลับมาอบอุ่นขึ้นทันที


องค์หญิงแปดเองก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาเช่นกัน “ไทเฮาเพคะ ซวนเอ๋อร์ยังรออยู่ข้างนอก ท่านลืมไปดูเขาแล้วหรือเพคะ?”


พอพูดถึงซวนเอ๋อร์ ท่าทีของไทเฮาก็ดูอ่อนโยนขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ออกไปด้านนอกเถิด” แล้วไทเฮาก็ไม่มีท่าทีเหมือนเมื่อครู่อีกต่อไป…ราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่เป็นความฝัน หรือบางทีอาจเป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้นมาเอง


ถาวจวินหลันเดินตามอยู่ข้างหลัง มือเท้าของนางเย็นเฉียบ แม้แต่เหงื่อที่ผุดออกมาก็ยังเย็นเฉียบเช่นกัน ในใจรู้สึกสับสนจนพูดอะไรไม่ออก


นางรู้ดีแก่ใจว่า ไทเฮาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย แล้วที่คิดเช่นนี้ ก็อาจมีสาเหตุอะไร


หลิวซื่อป่วยมานาน อีกทั้งยังทำเรื่องเช่นนี้ ไทเฮาจะไม่ชอบหลิวซื่อก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว หรือบางที ตอนแรกที่นางนำเรื่องหลิวซื่อที่ทำมาทูลไทเฮา ก็ควรเดาได้ว่าจะต้องมีวันนี้ในสักวัน


เพียงแต่ในตอนนี้ นางกลับคิดไม่ถึงว่า เรื่องวันนั้นกลับนำความไม่สบายใจมาให้นาง


ตอนนี้หลี่เย่เป็นตวนชินอ๋อง อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ บางทีไทเฮาคงอยากให้หลี่เย่แย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทมาให้ได้…ถึงขั้นว่าไทเฮารู้เรื่องแผนการของหลี่เย่มาโดยตลอด ดังนั้นตอนนี้จึงต้องการหาพ่อตาที่มีอำนาจมาหนุนหลังและสนับสนุนเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลย


หากว่านางเป็นไทเฮา นางก็อาจคิดเช่นเดียวกัน


แต่ ในเมื่อรู้แล้วอย่างไร? ในใจของนางยังคงไม่เต็มใจให้หลี่เย่พาภรรยาอีกคนเข้ามาในเรือน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมีพระชายาคนใหม่ เพียงแค่พูดถึงเพิ่มอนุเข้ามา นางก็ไม่เต็มใจทั้งนั้น


บางทีตอนที่เพิ่งเข้าจวนอ๋องมานางยังคิดว่าจะแกล้งทำเป็นใจกว้างได้ แต่ในตอนนี้ นางกลับไม่รู้สึกเต็มใจเลยแม้แต่นิดเดียว เวลาที่อยู่ด้วยกันยิ่งนานขึ้น นางยิ่งไม่ยินดีที่จะแบ่งหลี่เย่ให้ใคร บางทีอาจด้วยหลี่เย่ให้ความรักแก่นางจนเคยตัว แต่จริงๆ แล้วในใจของนางก็รู้สึกเช่นนั้น ไม่มีทางเปลี่ยนได้


จะบอกว่านางใจแคบก็ได้ จะบอกว่านางไม่รู้ความก็ได้ ตอนนี้คนที่นางสนใจที่สุดก็คือหลี่เย่ ส่วนเรื่องชื่อเสียงใดๆ นั้น นางกลับรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ


ถึงขั้นว่านางยังรู้สึกกลัว…หากหลี่เย่ได้ยินเรื่องพวกนี้ เขาจะเลือกอย่างไร ถึงอย่างไรหากมีอำนาจของพ่อตาคอยช่วยเหลือก็มีประโยชน์ต่อเขาไม่น้อย ส่วนที่นางทำเพื่อเขาได้ กลับมีเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น


ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจ นางยังกลัวว่าตัวเองจะคิดเรื่องไร้สาระอีก แต่ในครั้งนี้ถึงแม้นางจะรู้ แต่นางกลับหยุดคิดไม่ได้ ถึงอย่างไรนางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งรู้สึกระแวงและหวาดกลัว


เป็นเพราะเรื่องนี้ หลังจากนั้นไทเฮาพูดอะไรกับคนอื่น นางจึงไม่ได้ยินเลยแม้แต่คำเดียว จนกระทั่งไทเฮารับสั่งให้พวกนางไปถวายพระพรฮองเฮา เป็นเพราะองค์หญิงเก้าแอบกระตุกแขนเสื้อนาง นางถึงได้รู้สึกตัว


หลังจากออกมาจากวังหย่งโซ่วแล้ว องค์หญิงเก้าถึงได้ปลอบใจนาง “ไทเฮาก็พูดไปเรื่อย ตอนนี้จะหาพระชายาให้พี่รองได้อย่างไร? อีกทั้งยังต้องหาวิธีจัดการด้านหลิวซื่อ ท่านอย่าร้อนใจไปเลย ถึงแม้ว่าจะมีพระชายาใหม่จริงๆ แล้วจะยังสู้ท่านได้หรือ?” 

 

 


บทที่ 422 คิดไม่ตก

 

​องค์หญิงเก้าถูกคำพูดของถาวจวินหลันทำให้เป็นใบ้พูดไม่ออกทันที “หากตอนนี้ข้าหาผู้หญิงมาให้จิ้งผิงอีกคน เจ้าจะรู้สึกยินดีหรือไม่?”


องค์หญิงเก้าเงียบทันที สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมมากขึ้น มองมาทางถาวจวินหลัน จากนั้นก็ทำท่าทางลำบากใจ


ถาวจวินหลันโบกๆ มือ “แต่ข้าก็แค่พูดไปเท่านั้น จะทำเช่นนั้นจริงๆ ได้อย่างไร? เจ้าวางใจเถิด”


องค์หญิงเก้ายิ้มอย่างไม่สบายใจ ก้มหน้าแล้วไม่พูดอะไร


องค์หญิงแปดมองอยู่ข้างๆ แล้วก็ส่ายหัวเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่เตือนถาวจวินหลันว่า “อีกเดี๋ยวต้องเข้าเฝ้าฮองเฮา เจ้าจะทำท่าทางเช่นนี้ไม่ได้”


ถาวจวินหลันเองก็รู้ถึงข้อนี้ จึงรีบสงบสติอารมณ์


รอจนกระทั่งได้เข้าเฝ้าฮองเฮาแล้ว ถาวจวินหลันกลับต้องลอบร้องตกใจ


นางคิดมาตลอดว่าฮองเฮาคงเสียใจมากที่ถูกกักบริเวณและถูกยึดอำนาจเช่นนี้ แต่นางกลับต้องแปลกใจ เพราะสิ่งที่นางเห็นไม่เหมือนกับที่นางคิดเลยแม้แต่น้อย


ไม่ได้เจอฮองเฮามาสักระยะหนึ่ง เทียบกับเมื่อก่อนที่ดูโทรมและป่วยกระเสาะกระแสะ ฮองเฮาในตอนนี้ดูแล้วกลับมาแข็งแรงอีกครั้งแล้ว ไม่เพียงแต่ใบหน้าที่อวบอิ่มและมีสีเลือดฝาด แม้แต่ผมก็ดูเงางามขึ้นไม่น้อย ส่วนเรื่องท่าทีก็ไม่ต้องพูดแล้ว แววตามีความน่าเกรงขามที่อธิบายไม่ถูก


ถึงแม้ว่าจะไม่มีอำนาจแล้ว แต่ท่าทีของฮองเฮาก็ยังดูทรงอำนาจ ฮองเฮาก็ยังคงเป็นฮองเฮา ที่มีอำนาจไม่จำกัด เป็นมารดาของแผ่นดินที่สูงส่งและไม่มีใครเทียบได้


ถาวจวินหลันหลบสายตา หลุบตาลงต่ำเพื่อปกปิดอารมณ์ของตัวเอง ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยเกรงว่าคนอื่นจะมองเห็นท่าทีประหลาดใจที่เผลอแสดงออกมา จากนั้นก็เอ่ยถวายพระพรฮองเฮาพร้อมกับองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าด้วยเสียงอันดัง


ฮองเฮายิ้มและสั่งให้ทุกคนนั่งลง แต่ว่ารอยยิ้มนั้นไม่ดูอ่อนโยนเหมือนที่ผ่านมา ในตอนนี้เวลาฮองเฮามองมาที่ถาวจวินหลันกลับมีความน่าเกรงขามและเย็นชา


ถาวจวินหลันถือโอกาสตอนที่ฮองเฮาดื่มชามองไปที่ข้อมือของฮองเฮา…สร้อยข้อมือลูกประคำที่นางถวายให้นั้น ในตอนนี้กลับไม่ได้สวมใส่เอาไว้แล้ว นางเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที ไม่แปลกที่สุขภาพของฮองเฮาจะฟื้นฟูกลับมาแข็งแรง เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง


แน่นอนว่า เมื่อไม่มีพิษคอยทำร้ายร่างกาย โดยปกติแล้วอาการป่วยของฮองเฮาก็จะทรงตัว โดยจะไม่ทรุดลงไปมากขึ้น แต่จากท่าทีของฮองเฮาในตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเพียงเท่านั้น


ฮองเฮาน่าจะรักษาอาการป่วยจนหายดีแล้ว เพียงแค่ไม่รู้ว่าฮองเฮารู้ถึงสาเหตุที่นางถูกพิษแล้วหรือไม่? แล้วรู้ความลับของสร้อยข้อมือลูกประคำนั้นแล้วหรือไม่?


ตอนแรกถาวจวินหลันยังมั่นใจมาก แต่ในตอนนี้…นางกลับไม่ได้รู้สึกมั่นใจเช่นนั้นแล้ว ถึงขั้นว่านางแอบรู้สึกว่า ฮองเฮาน่าจะรู้เรื่องราวทุกอย่างแล้ว


ความคิดนี้ทำให้นางหวาดกลัว นางคิดว่า วันนี้เป็นอะไรไป? ทำไมหลายๆ เรื่องถึงไม่เป็นไปตามที่นางหวังไว้เลย?


แต่นางก็ได้แต่เก็บความคิดนี้ไว้ในใจ และนั่งตัวตรง บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ และคอยพูดแทรกไปบ้าง เข้าร่วมในบรรยากาศที่เสแสร้งว่าพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนี้ได้เป็นอย่างดี


ยังดีที่ฮองเฮาดูเหมือนกับจะรังเกียจนางอย่างมาก จึงไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรนางหรือมองมาทางนางเลย นี่จึงทำให้ถาวจวินหลันค่อยๆ โล่งใจได้ แต่ก็ยังกระวนกระวายและไม่สบายใจ


ไม่ง่ายเลยกว่าจะอดทนจนถึงเวลาทูลลา ฉับพลันฮองเฮาก็หันมายิ้มอย่างแฝงนัยบางอย่างให้ถาวจวินหลัน


ตอนที่เผชิญหน้ากับรอยยิ้มนี้ หัวใจของถาวจวินหลันพลันก็เต้นแรง รู้สึกเหมือนมีคนโยนหินก้อนใหญ่ๆ มาลงไปในหัวใจของนาง กดจนนางหนักอึ้งรู้สึกไม่สบาย


รอยยิ้มของฮองเฮานั้น ทำให้นางไม่สบายใจอย่างมาก


หลังจากออกจากวังของฮองเฮามาแล้ว พอมีลมพัดมาปะทะกับตัวนาง ถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่านางเหงื่อแตกไปทั้งตัว


องค์หญิงแปดดูเหมือนกับจะมองออก จึงถามอย่างห่วงใย “เป็นอะไรไปรึ?”


ถาวจวินหลันส่ายหัว “ไม่มีอะไร ใช่สิ เจ้ายังต้องไปหาอิงผินเหนียงเหนียงอีกใช่หรือไม่? เช่นนั้น ข้าขอกลับก่อนก็แล้วกัน””


องค์หญิงเก้าก็พูดขึ้นเช่นกัน “ใช่สิ เช่นนั้นข้าก็ขอกลับก่อน ในจวนยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมาก”


จากนั้นองค์หญิงแปดก็แยกกับพวกนางทั้งสองคน


รอจนกระทั่งออกมาจากประตูวังหลวงแล้ว องค์หญิงเก้าถึงได้ตบๆ ตัวถาวจวินหลันเพื่อปลอบใจ “พี่หญิง ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจมากเกินไปเลย เรื่องเช่นนี้ ผู้หญิงอย่างเราทำอะไรมากไม่ได้ ท่านว่าจริงหรือไม่? ยังดีที่ท่านมีซวนเอ๋อร์กับหมิงจู ไม่ว่าอย่างไรพี่รองก็ไม่มีทางทำไม่ดีกับท่านแน่นอน”


ถาวจวินหลันยังจะพูดอะไรได้อีก? นางรู้ดีว่าที่องค์หญิงเก้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง อีกทั้งองค์หญิงเก้าก็มีเจตนาดี แต่นางก็ไม่มีทางพูดเรื่องในใจกับองค์หญิงเก้าได้ ดังนั้นนางจึงได้แต่ยิ้ม “ใช่สิ ถือว่ายังโชคดี”


รอจนกระทั่งขึ้นรถม้าเดินทางกลับจวนอ๋องแล้ว ถาวจวินหลันได้แต่นั่งครุ่นคิด ครั้งก่อนนางได้ขัดขวางไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้นางยังจะต้องใช้วิธีเช่นนั้นไปขัดขวางอีกหรือ? ไม่ ไม่เหมือนกัน คนที่ออกความคิดในครั้งก่อนคือฮองเฮา แต่ในครั้งนี้กลับเป็นไทเฮาและฮ่องเต้


ฮองเฮาต้องการหาคนมาให้หลี่เย่ แน่นอนว่าหลี่เย่จะต้องไม่ยินดี แต่ครั้งนี้กลับเป็นไทเฮาและฮ่องเต้ที่ต้องการหาบ้านภรรยาที่มีอำนาจสามารถหนุนหลังเขาได้ ครั้งนี้ ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว


แม้แต่หลี่เย่เอง ไม่รู้ว่าหากรู้แล้วจะหวั่นไหวหรือไม่? ตอนนี้คังอ๋องได้เป็นองค์รัชทายาท อีกไม่นานก็จะย้ายเข้าไปอยู่ในวังหลวงแล้ว ถือว่าได้เป็นองค์รัชทายาทเต็มตัว หากหลี่เย่ต้องการล้มตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้ เห็นได้ชัดว่ายากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า หลี่เย่ในตอนนี้ ก็ถือว่าต้องการอำนาจจากตระกูลของภรรยาอย่างมาก


ถาวจวินหลันถึงขั้นอดใจไม่ได้ ในสมองของนางครุ่นคิดถึงหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ที่ไทเฮาน่าจะพึงพอใจ


เห็นได้ชัดว่า ที่นางทำเช่นนี้ก็เป็นการหาความไม่สบายใจใส่ตัวเท่านั้น ยิ่งคิด ในใจของนางก็ยิ่งเป็นทุกข์ อึดอัดและเจ็บปวด


เนื่องจากซวนเอ๋อร์ยังอยู่ในวังหลวง จะกลับมาพร้อมกับหลี่เย่ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงนั่งอยู่บนรถม้าแค่คนเดียว แล้วก็ด้วยเหตุนี้ นางถึงได้ตกเข้าไปในเรื่องที่คิดไม่ตกเช่นนี้อย่างง่ายดาย


จริงๆ แล้วไทเฮาก็เพียงแค่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเท่านั้น เรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่ตอนนี้ถาวจวินหลันกลับทำเหมือนเรื่องนี้กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้อย่างไรอย่างนั้น


นางถึงขั้นลืมไปแล้ว ว่าเรื่องนี้อาจไม่มีทางเกิดขึ้นก็เป็นได้


เมื่ออารมณ์เป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันทำอะไรก็ไม่ได้ชื้นใจเลย หงหลัวเห็นท่าแล้วก็ไม่กล้าถามอะไรมาก ได้แต่แอบไปบอกชิงกูกู…ยามนี้มีเพียง่ต้องให้ชิงกูกูเป็นคนออกหน้าแล้ว


ชิงกูกูเห็นถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้ ก็ร้อนใจทันที แต่กลับไม่ได้รีบร้อนถามถาวจวินหลัน แต่กลับหาเรื่องมาปรึกษากับถาวจวินหลัน แล้วค่อยๆ ให้ถาวจวินหลันพูดออกมาเอง


ในขณะที่กำลังพูดกันอยู่นั้น เจียงอวี้เหลียนก็ส่งคนมาบอกว่า “พระชายารองของพวกเราต้องการทำพิธีไหว้บรรพบุรุษและลอยกระทงในบ่อน้ำ ไม่ทราบว่าพระชายารองมีข้อขัดข้องใดๆ หรือไม่เจ้าคะ?”


เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก ตามหลักแล้วไม่จำเป็นต้องให้คนมาขออนุญาตนาง แต่เจียงอวี้เหลียนกลับส่งคนให้มาขออนุญาตโดยไม่รู้สึกวุ่นวายเช่นนี้


แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่มีข้อขัดข้องใดๆ อยู่แล้ว จึงยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่มีข้อขัดข้องใดๆ เพียงแต่ให้คนที่เฝ้ายามตอนกลางคืนระวังหน่อย อย่าให้เปลวไฟลอยไปทั่ว เดี๋ยวจะเกิดอันตรายได้”


สาวใช้ผู้นั้นยิ้มแล้วรับคำ สุดท้ายยังพูดเสริมอีกว่า “ความคิดของพระชายารองเราก็คือ ถึงแม้สาวใช้และบ่าวในจวนจะขายตัวเองเข้ามารับใช้ แต่ถึงอย่างไรก็มีบรรพบุรุษและพ่อแม่เลี้ยงดูให้เติบโตมา ถึงอย่างไรบ่อน้ำในจวนก็ใหญ่นัก เช่นนั้นก็อนุญาตให้ทุกคนลอยกระทงและเผากระดาษด้วยจะดีกว่าเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ชะงักไป จากนั้นก็สบตากับชิงกูกู สุดท้ายแล้วถึงพยักหน้าและพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะแจกผลไม้และขนมให้ทุกคนอย่างละจานเพื่อใช้ไหว้บรรพบุรุษ เพียงแต่ไม่ว่าจะเผากระดาษหรือลอยกระทงก็ดี อย่าทำให้จวนอ๋องต้องเต็มไปด้วยควันไฟ หลังจากจบพิธีแล้วให้เก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย”


แล้วสาวใช้ที่มาส่งข่าวก็กลับออกไป


รอยยิ้มของถาวจวินหลันหุบลงไป รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ยกมือขึ้นมาและนวดๆ ที่หัวคิ้วของตัวเอง


ชิงกูกูเป็นคนตรงไปตรงมา จึงได้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นับวันพระชายารองเจียงชักจะเจ้ากี้เจ้าการใหญ่แล้ว”


ถาวจวินหลันหัวเราะแห้งๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ในใจกลับรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างมาก…วิธีของเจียงอวี้เหลียนนั้น ในตอนนี้ถือว่าพัฒนาขึ้นอย่างมาก เทียบกับในตอนแรกที่รู้จักแต่พยายามเอาใจหลี่เย่ ตอนนี้กลับรู้จักซื้อใจคนอื่นมาเป็นพวกแล้ว รู้จักขอบเขตดีโดยไม่ทำให้หลี่เย่รู้สึกรังเกียจอีก


แล้วยังมีเซิ่นเอ๋อร์…


ถาวจวินหลันไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนกำลังคิดจะทำอะไร


เจียงอวี้เหลียนจะต้องคิดว่ามีฐานะเทียบเท่ากับนางได้แล้ว ถึงอย่างไรต่างก็เป็นพระชายารอง อีกทั้งยังมีลูกชายด้วยกันทั้งคู่ ที่ต่างกันก็คือได้รับความโปรดปรานนจากหลี่เย่กับไม่ได้รับความโปรดปรานจากหลี่เย่ก็เท่านั้น


แต่หากจะเปรียบเทียบกันจริงๆ ความโปรดปรานจากหลี่เย่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร อย่างเช่น สมมุติว่าหลี่เย่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต เช่นนั้นตอนแต่งตั้งฮองเฮา แน่นอนว่าไม่มีทางเอาความโปรดปรานมาตัดสินเลือกฮองเฮาเป็นแน่ หากทำเช่นนี้จริงๆ บรรดาขุนนางย่อมไม่มีทางเห็นด้วย แม้แต่หลี่เย่เองก็อาจถูกตราหน้าว่าโง่เขลาและมีชื่อเสียงที่ไม่ดีได้


นอกเหนือจากว่า นางอยากเป็นพระชายาที่ได้รับความโปรดปรานไปตลอดชีวิต เช่นนั้นก็ขอแค่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เท่านั้นก็เพียงพอ


จุดประสงค์ของเจียงอวี้เหลียนชัดเจนอย่างมาก…ตอนนี้เจียงอวี้เหลียนต้องการฐานะและชื่อเสียง ไม่ได้ต้องการความโปรดปรานอีกต่อไป เช่นนี้ก็อธิบายได้ทุกอย่างแล้วมิใช่หรือ?


ชิงกูกูมองดูใบหน้ายากจะเข้าใจของถาวจวินหลันแล้ว ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “แต่ก็ไม่ต้องกลัวนางหรอก สุดท้ายแล้วจะไปตกอยู่ที่ใครนั้นก็ยังไม่รู้ ที่ท่านทำไปเมื่อครู่ ก็ไม่ใช่ว่าทำได้ดีเช่นกันหรือ?”


ถาวจวินหลันหัวเราะ ฉับพลันก็ถามชิงกูกูว่า “กูกู ท่านว่า หากท่านอ๋องทรงมีพระชายาคนใหม่ จะเป็นเช่นไร?”


คำถามนี้ทำให้ชิงกูกูตกใจจนชะงักไป แต่ว่าชิงกูกูก็พูดต่ออย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดยาก…จะต้องดูว่าพระชายาคนใหม่เป็นเช่นไร หากว่าเป็นคนดีมีความสามารถ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีต่อท่านอ๋อง…อีกทั้ง หากว่าตระกูลของนางมีอำนาจ ถึงแม้ว่าต่อไปจะช่วยเหลือท่านอ๋องได้ แต่ก็กดพวกท่านลงไปได้เช่นกัน”


ถึงอย่างไร หากแต่งเข้ามาจริงๆ ข้อแรกคือฐานะก็เทียบไม่ได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร พระชายารองจะเทียบกับพระชายาเอกได้อย่างไร? ถึงแม้ว่าพระชายาเอกจะไม่มีลูก แต่ก็มีฐานะค้ำอยู่มิใช่หรือ? แล้วใครยังจะเทียบได้?


ถาวจวินหลันพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ สำหรับท่านอ๋องแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”


ชิงกูกูครุ่นคิดอยู่สักพัก รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ จึงลองถามไปว่า “หรือว่าท่านอ๋องจะรับพระชายาคนใหม่อีกคน? จะเป็นไปได้อย่างไร? หลิวซื่อก็ยังอยู่”


ถึงแม้ว่าหลิวซื่อจะป่วย แต่หากนางยังไม่ตาย เช่นนั้นนางก็ยังคงเป็นพระชายาตวนชินอ๋องอยู่มิใช่หรือ? 

 

 


บทที่ 423 กลัว

 

​สำหรับการลองหยั่งเชิงของชิงกูกูนั้น สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ได้แต่หัวเราะโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย


รอจนหัวค่ำพอหลี่เย่พาซวนเอ๋อร์กลับมาแล้ว ถาวจวินหลันก็ได้เตรียมของไหว้บรรพบุรุษเอาไว้เรียบร้อย


หลี่เย่นำทุกคนในเรือนไหว้บรรพบุรุษ จากนั้นก็ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน วันพิเศษเช่นนี้ อย่างไรก็จะต้องร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน


หลังจากหาโอกาสได้ หลี่เย่ก็กระซิบข้างหูของถาวจวินหลัน “กินข้าวเสร็จแล้ว ข้าจะไปไหว้พ่อแม่เจ้าเป็นเพื่อนเจ้า และเราก็ไปลอยกระทงด้วยกัน”


ถาวจวินหลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แล้วก็อดหันไปยิ้มให้หลี่เย่ไม่ได้ เขาให้ความใส่ใจเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกห้ามใจไว้ไม่ได้


ตอนกินข้าวนั้น เจียงอวี้เหลียนก็เอ่ยถึงเจียงสือเหนียน ด้วยดวงตาแดงก่ำ “ในตอนนั้นเมื่อถึงเทศกาลสารทจีนทีไร ท่านพ่อจะพาข้าไปลอยกระทงด้วยตลอด แต่ในตอนนี้กลับไม่มีโอกาสเสียแล้ว”


เมื่อพูดถึงบรรยากาศที่น่าโศกเศร้าขึ้นมา ทุกคนต่างรู้สึกเศร้าและเสียใจ แม้แต่ถาวจวินหลันเอง ก็อดคิดถึงเวลาที่บ้านตระกูลถาวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อไหว้บรรพบุรุษไม่ได้ อารมณ์ของนางก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาเช่นกัน


หลี่เย่เองก็เหมือนกับจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ท่าทางของเขาจึงดูเสียใจเช่นกัน


อาหารมื้อนี้ ทุกคนต่างกินอย่างไร้รสชาติอะไร


หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เจียงอวี้เหลียนก็พูดกับหลี่เย่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้ท่านอ๋องทรงยุ่ง หม่อมฉันไม่ขอให้ท่านอ๋องเสด็จมาบ่อยๆ เพียงแต่ตอนนี้เซิ่นเอ๋อร์เริ่มจำหน้าคนได้แล้ว หากว่าท่านอ๋องหาเวลามาดูเซิ่นเอ๋อร์ได้บ่อยๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเพคะ”


“อืม ข้ารู้แล้ว” เจียงอวี้เหลียนไม่ได้เรียกร้องความโปรดปราน อีกทั้งนางยังพูดอย่างเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่าหลี่เย่ไม่มีทางปฏิเสธ…อีกทั้งถึงอย่างไรเซิ่นเอ๋อร์ก็เป็นลูกชายของเขา เขาก็ควรจะหาเวลาไปดูบ่อยๆ หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็พูดต่อว่า “ข้าจะหาเวลาพาซวนเอ๋อร์ไป ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนพี่น้องควรสั่งสมไว้ตั้งแต่ยังเด็ก จะต้องให้พวกเขารักใคร่กลมเกลียวกัน”


ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ยิ้ม หันไปพูดกับเจียงอวี้เหลียน “รอให้เซิ่นเอ๋อร์เดินได้แล้ว ข้าจะให้ซวนเอ๋อร์พาเขาไปเล่นด้วยกัน เจ้าเองหากไม่มีธุระอะไรก็พาเซิ่นเอ๋อร์ไปเล่นกับกั่วเจี่ยเอ๋อร์และหมิงจูบ้าง ทุกวันเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน นิสัยของเซิ่นเอ๋อร์จึงเรียบร้อยกว่าซวนเอ๋อร์ พวกเขาอายุต่างกันไม่มาก หากมีเพื่อนเล่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมาก”


เจียงอวี้เหลียนพูดให้เซิ่นเอ๋อร์ดูน่าสงสาร หากว่าเป็นเมื่อก่อนนางก็คงแค่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไร แต่ในตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดี เจียงอวี้เหลียนยังทำเช่นนี้ นางจึงอดพูดตักเตือนไม่ได้


ถึงอย่างไร คนที่ไม่ยอมให้เซิ่นเอ๋อร์มาสนิทสนมกับพี่น้องก็คือเจียงอวี้เหลียนเอง เรื่องนี้หลี่เย่เองก็รู้…ตอนนี้จะพากั่วเจี่ยเอ๋อร์มาเล่นกับหมิงจูบ่อยๆ แน่นอนว่าจิ้งหลิงกับหลี่เย่ก็ต้องได้พบหน้ากัน แต่ต่างคนต่างก็ทำตัวเป็นธรรมชาติ


แต่เจียงอวี้เหลียนกลับพูดเช่นนี้ จะทำให้คนอดใจไม่พูดอะไรได้เช่นไร?


จิ้งหลิงได้ยินแล้วก็เม้มปากยิ้ม “ใช่แล้ว เด็กๆ ต้องมีเพื่อนเล่นด้วยกันถึงจะดี กั่วเจี่ยเอ๋อร์กับหมิงจูสนิมสนมกันอย่างมาก ทั้งสองคนเล่นด้วยกัน ต่างก็ไม่ซุกซนและเรียบร้อยมากขึ้น อีกทั้งเวลาเรียนรู้อะไรก็จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว”


เวลาที่จิ้งหลิงว่างๆ ไม่มีธุระอะไร นางก็จะคอยสอนกั่วเจี่ยเอ๋อร์ให้พูด ทุกครั้งหมิงจูก็จะเรียนไปด้วย เด็กทั้งสองคนพูดกันอ้อแอ้ ก็ทำให้คนที่เห็นรู้สึกขบขันจนต้องหัวเราะออกมา


แต่หากว่าสอนให้ทำท่าอะไร อย่างเช่นขยับนิ้วมือทำท่าทางใดๆ นั้น เวลาที่ทั้งสองคนเรียนด้วยกัน ก็จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว


อยู่ๆ ถาวจวินหลันก็คิดขึ้นมาได้ว่า “ต่อไปก็ให้เด็กๆ เรียนหนังสือด้วยกัน เชิญอาจารย์มาสักคนก็พอแล้ว พวกเขาอายุไล่เลี่ยกัน ก็ถือว่าเหมาะสมดี”


หลี่เย่กลับส่ายหัว “ซวนเอ๋อร์โตเกินไปหน่อย จะเรียนกับคนอื่นไม่ได้” อีกทั้ง ซวนเอ๋อร์เป็นลูกชายคนโต เขากับลูกคนอื่นไม่เหมือนกัน แม้แต่หากต่อไป…องค์รัชทายาทกับองค์ชายทั่วไปก็จะเรียนด้วยกันไม่ได้ แน่นอนว่า คำพูดพวกนี้เขาไม่ได้พูดออกไป


แต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่คิด…ดูเหมือนว่าเจียงอวี้เหลียนจะคิดได้ว่าเป็นเพราะหลี่เย่คิดว่าเซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายคนรองถึงได้พูดเช่นนี้ นางจึงโกรธอย่างมาก แต่ว่านางกลับไม่ได้แสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เม้มปากแล้วพูดว่า “ก็ไม่เหมาะสมจริงๆ กั่วเจี่ยเอ๋อร์กับหมิงจูเป็นผู้หญิง เซิ่นเอ๋อร์เป็นผู้ชาย จะเล่นด้วยกันได้อย่างไร? ต้องให้เขาเล่นกับเด็กผู้ชายด้วยกันจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นจะทำให้เขาอ่อนแอเหมือนเด็กผู้หญิงได้”


หลี่เย่มองไปทางเจียงอวี้เหลียน แล้วพูดเรียบๆ “เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ยังเหลือเวลาอีกนาน”


หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทุกคนนั่งพูดคุยและดื่มชากันสักพัก จากนั้นก็แยกย้ายกันไป


ทั้งสองคนเดินเคียงคู่กัน ส่วนสาวใช้เดินตามอยู่ข้างหลัง


ถาวจวินหลันเงยหน้ามองดวงจันทร์กลมโตที่ลอยอยู่บนฟ้า จากนั้นก็ค่อยๆ พูดว่า “วันนี้แสงจันทร์ดูสวยทีเดียว”


หลี่เย่เองก็เงยหน้ามองเช่นกัน จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “สวยจริงๆ หากว่าเจ้าชอบ อีกเดี๋ยวพวกเราออกไปชมจันทร์กันในสวนก็ได้”


ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วหยิกที่มือของเขา “จะมีใครนั่งชมจันทร์กันในวันสารทจีนเล่า? คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ อยู่ในเรือนจะดีกว่า ถึงอย่างไรเดือนหน้าก็เป็นเดือนแปดแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยชมจันทร์ก็ได้เหมือนกัน”


หลี่เย่กลับไม่เจ็บ และกุมมือถาวจวินหลันเอาไว้ มือของเขาใหญ่ จึงกุมมือของถาวจวินหลันเอาไว้ได้พอดี เขากุมมือของนางเอาไว้ เพราะอากาศร้อน ไม่นานเท่าไหร่มือของทั้งคู่ก็มีเหงื่อชุ่มออกมา แต่หลี่เย่กลับไม่ยอมปล่อยมือ ถาวจวินหลันเองก็ไม่อยากปล่อยมือจากเขาเช่นกัน


“วันนี้ข้าคิดถึงเสด็จปู่ขึ้นมา” หลี่เย่หัวเราะ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วันนี้เสด็จพ่ออุ้มซวนเอ๋อร์ให้จุดธูปไหว้เสด็จปู่ ในตอนนั้น เสด็จปู่ก็อุ้มข้าเพื่อไหว้เสด็จทวดเช่นนี้เหมือนกัน”


ถาวจวินหลันรู้ดีว่าเขาเพียงแค่อยากจะพูดออกมา โดยที่ไม่ต้องการคำตอบ นางจึงได้แต่ฟังเงียบๆ โดยไม่พูดแทรกเขาแม้แต่คำเดียว


“ข้ายืนอยู่ข้างๆ มองดูท่าทีขององค์รัชทายาท ก็เห็นว่าองค์รัชทายาทกลับแสดงความอิจฉาออกมา” น้ำเสียงของหลี่เย่ฟังดูเคร่งขรึมภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิด อีกทั้งสายลมเย็นๆ ที่พัดมาและแสงจันทร์ จึงทำให้ฟังดูเหมือนเป็นบทกลอนที่แสนเศร้า ทำให้คนค่อยๆ รู้สึกโศกเศร้าออกมาจากหัวใจ


“ตอนนั้นข้าคิดว่า เขาอิจฉาลูกชายของข้า หรือว่าอิจฉาที่เสด็จปู่ทรงรักและเอ็นดูข้าในตอนนั้นกันแน่?” พูดไปพูดมา น้ำเสียงของหลี่เย่ก็แฝงความขบขันเอาไว้ข้างใน “เขาจะต้องเกลียดข้าอย่างมาก จะต้องไม่ชอบข้าอย่างมาก สิ่งที่ข้ามี เขากลับไม่เคยได้รับเลย”


น้ำเสียงของหลี่เย่ฟังดูรู้สึกยินดีกับความพินาศของคนอื่น และยังฟังดูภูมิใจ


ถาวจวินหลันพูดแทรกเบาๆ “นี่เป็นสิ่งที่ฟ้าดินกำหนดมาแล้ว”


สิ่งที่คังอ๋องมี หลี่เย่กลับไม่มี…เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครทำได้ทุกสิ่งตามที่หวังได้ แต่ว่า นางยังคงยิ้ม “เขากล้าเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับท่านรึ?” สำหรับถาวจวินหลันแล้ว องค์รัชทายาทเทียบกับหลี่เย่ไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ


หลี่เย่กลับพูดว่า “จริงๆ แล้วเรื่องที่เขาสู้ข้าไม่ได้ที่สุดก็คือ ข้ามีเจ้า แต่พวกภรรยาและอนุของเขานั้น…” นี่ถึงเป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าโชคดีที่สุด นั่นก็คือเขาได้อยู่กับคนที่เขาชอบไปตลอดชีวิต เป็นเพราะข้อนี้ เกรงว่าถึงแม้เขาจะไม่มีอะไรเลย เขาก็ยังมีความสุขและพอใจ


แต่องค์รัชทายาทมีอะไรกัน? พระชายาองค์รัชทายาทฐานะไม่เลว แต่จิตใจกลับเลวร้ายและน่ากลัวราวกับงูพิษ อีกทั้ง พระชายาองค์รัชทายาทเมื่อเทียบกับองค์รัชทายาทแล้ว กลับดูกระหายในอำนาจยิ่งกว่า ส่วนอนุคนอื่นๆ นั้น…ต่างก็แก่งแย่งชิงดีและหวังแต่จะตั้งครรภ์ ดูภายนอกเหมือนจะเห็นว่าองค์รัชทายาทสำคัญที่สุด แต่ความจริงเล่า?


หากว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่องค์รัชทายาท ไม่สามารถให้ฐานะและความสูงส่งแก่พวกนางได้ พวกนางยังคงเป็นเช่นนี้หรือไม่?


แต่เขามั่นใจว่า ถึงแม้ไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไร ถาวจวินหลันก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง


“เจ้าว่า ข้าโลภเกินไปหรือไม่?” อยู่ๆ หลี่เย่ก็พูดเช่นนี้ น้ำเสียงเบาลงไปเล็กน้อย ฟังดูราวกับเสียงกระซิบ


ถาวจวินหลันชะงักไป เงยหน้าแล้วมองเขา “ทำไมรึ?”


“ข้าอยากได้ทุกอย่าง อยากครอบครองทุกอย่าง อะไรข้าก็อยากคว้าเอาไว้ หากไม่เรียกว่าโลภจะเรียกว่าอะไร?” หลี่เย่หัวเราะอย่างเย้ยหยัน…ในตอนนั้นหากว่าไม่โลภ แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยถาวจวินหลันไป? มีอุปสรรคตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็เอาถาวจวินหลันมาครอบครองเอาไว้ได้สมดั่งใจเขา


ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ หรี่ตาหยี “นี่จะเรียกว่าโลภได้อย่างไรกัน? ในเมื่อสามารถแย่งชิงมาครอบครองได้ แล้วทำไมจะไม่ทำ? ในเมื่อฟ้าได้กำหนดมาให้แล้ว แล้วทำไมยังต้องผลักไสด้วยเล่า?”


ครั้งนี้กลับเป็นหลี่เย่ที่ชะงักไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “เจ้าพูดเช่นนี้ก็ทำให้ข้าสบายใจได้แล้ว”


ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกหวั่นไหว…ใช่สิ ในเมื่อแย่งชิงมาได้ แล้วทำไมจะไม่ทำเล่า หากแม้แต่ตัวเองยังไม่กล้าแม้แต่จะแย่งชิงมา เช่นนั้นจะยอมปล่อยไปหรือ? นั่นก็ถือว่าโง่เขลาเต็มที


พอคิดได้เช่นนี้ อารมณ์อึดอัดในใจมาทั้งวันของนางก็บรรเทาไปไม่น้อย ถึงแม้ว่ายังกังวลใจอยู่บ้าง แต่ก็ดีขึ้นไม่น้อยเลย


ทั้งสองคนเดินกลับมาที่เรือนเฉินเซียงช้าๆ หลังจากไหว้บรรพบุรุษบ้านตระกูลถาวแล้วก็ไปลอยกระทง แล้วทั้งสองคนถึงได้กลับเข้ามาในห้องและนั่งดื่มชาพูดคุยกัน


หลี่เย่พูดขึ้นว่า “ราษฎรที่ได้รับความทุกข์ยากจะเดินทางมาถึงในช่วงไม่กี่วันนี้แล้ว กระโจมที่ทางการสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่ของพวกเขา ก็ใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว” กระโจมหลบภัยที่ทางการสร้างขึ้นนั้น เป็นกระโจมที่ทำจากหญ้าคา โดยใช้ไม้ไผ่เป็นโครงร่าง ทำอย่างเรียบง่าย เพื่อให้หลบแดดหลบฝนได้ก็เท่านั้น


ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ถอนใจ “ตอนนี้อากาศร้อนมาก เกรงว่ามาถึงแล้วก็คงต้องอยู่อย่างลำบากมากเช่นกัน”


“เรื่องนี้เป็นเรื่องรอง สิ่งที่ทำให้ต้องกังวลจริงๆ นั้น ก็คือโรคระบาดต่างหาก” หลี่เย่ถอนใจ ท่าทางดูเคร่งขรึม คิ้วขมวดแน่น “ถึงแม้ว่าข่าวคราวที่ได้รับมาอาจไม่จริงทั้งหมด แต่ที่เหอเป่ยมีโรคระบาดเกิดขึ้นแล้ว ใครต่างก็ไม่รู้ว่าโรคระบาดนั้นจะมาพร้อมกับประชาชนที่อพยพมาหรือไม่”


คำพูดนี้ทำให้ถาวจวินหลันตกใจอย่างมาก นางพูดอะไรไม่ออกไปสักพัก ใช้เวลาอยู่นานกว่านางจะรู้สึกตัว แล้วรีบพูดออกมาว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไร” หากว่าโรคระบาดแพร่มาถึงจริงๆ เช่นนั้นคนในเมืองหลวงจะทำเช่นไร?


หากว่าโรคระบาดแพร่กระจายแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แน่นอน


“หากสถานการณ์ไม่ดี เจ้าก็พาคนหลบออกจากเมืองหลวงไปเสีย” หลี่เย่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม “จะต้องทำเช่นนี้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าและลูกๆ ต้องมาเสี่ยงอันตราย”


ถาวจวินหลันริมฝีปากสั่นระริก แต่ก็พูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย…นางอยู่ที่นี่กับหลี่เย่ได้โดยไม่กลัวตาย แต่ลูกๆ เล่า เรื่องการลุกฮือของประชาชนนั้นนางไม่กลัว เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีทหารคอยควบคุมสถานการณ์ เรื่องอันตรายใดๆ ที่จะเกิดขึ้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เรื่องโรคระบาดกลับไม่เหมือนกัน


โรคระบาดไม่สามารถควบคุมอะไรได้ หากระบาดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไปหรือฮ่องเต้ ต่างก็เหมือนกัน


พักใหญ่ นางถึงได้กัดฟันและกลั้นใจพยักหน้า “ไม่ ตอนนี้ก็ให้คนเอาลูกๆ ออกไปจากเมืองหลวงก่อน” นางตัดสินใจว่าไม่มีทางต้องให้ลูกๆ มาเสี่ยงอันตราย ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูยังเล็ก จะมีภูมิต้านทานต่อโรคพวกนี้ได้อย่างไร?


“สถานที่ที่ท่านเคยพูดถึงเมื่อครั้งก่อน ใช้เป็นที่หลบภัยก็เหมาะสมดี ให้จิ้งหลิงพาเด็กๆ ไปก่อน…เจียงอวี้เหลียนก็ไปด้วยเช่นกัน ข้าจะอยู่ที่นี่ คนในจวนอ๋องจะไม่เหลืออยู่เลยสักคนไม่ได้” ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว คิดว่าควรทำอย่างไรถึงจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมที่สุด เพียงแต่นางไม่ทันได้สังเกตว่า ความกลัวของนางทำให้น้ำเสียงของนางสั่นเครือ และแสดงความอ่อนแอของนางออกมา


 

 

 


บทที่ 424 หลุดปาก

 

​หลี่เย่ครุ่นคิด เห็นด้วยกับความคิดของถาวจวินหลัน แต่เขาก็ยังพูดอีกว่า “หากสถานการณ์ไม่ดีนัก เจ้าก็ต้องไปด้วย เพียงแต่ตอนนี้ให้ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูไปก่อน”


ถาวจวินหลันไม่ได้พูดปรึกษาอะไรกับเขาต่อมากนัก เพียงแค่พยักหน้า แต่กลับเห็นได้ชัดว่าจิตใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เรื่องนี้สำหรับนางแล้วถือว่ากระทบกระเทือนจิตใจของนางไม่น้อยเลยจริงๆ


ตั้งแต่อดีตกาล ทุกครั้งที่เกิดกาฬโรคขึ้น ก็มักจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ตามมา และทุกครั้งก็มีคนล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน


ดังนั้น จึงต้องเตรียมตัวรับมืออย่างดี


ถาวจวินหลันยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้กังวลใจ “ปีนี้เพิ่งเกิดภัยพิบัติขึ้น หากเกิดกาฬโรคตามมาอีก เช่นนั้นฮ่องเต้…”


“หากสถานการณ์ย่ำแย่จริงๆ เกรงว่าจะต้องประกาศราชโองการลงโทษตัวเอง” หลี่เย่ถอนใจ “ตอนนี้มีคนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ที่เกิดภัยพิบัติขึ้นเช่นนี้ ก็เพราะเสด็จพ่อทรงไร้ความสามารถ ฟ้าดินจึงไม่พอใจ”


ถาวจวินหลันรู้สึกหนาวสะท้าน รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว กล่าวโทษฮ่องเต้ ก็หมายความว่า…ฮ่องเต้สูญเสียหัวใจของประชาชนไปแล้ว ฮ่องเต้ที่สูญเสียหัวใจของประชาชนไป ราชบัลลังก์จะมั่นคงได้อย่างไร?


ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วก็ถามหลี่เย่ว่า “ท่านว่า จะมีคนตั้งใจทำอะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่? เพื่อทำให้จิตใจของประชาชนสั่นคลอน? ก่อนหน้านี้ประชาชนก็ลุกฮือขึ้น ในตอนนี้กลับมีข่าวลือเช่นนี้ขึ้นอีก…”


“เรื่องนี้เสด็จพ่อก็ทรงสงสัยเช่นกัน จึงสั่งคนให้ไปสืบลับๆ พี่ใหญ่ของฝูชิงออกจากเมืองหลวงไปเงียบๆ แล้ว แต่ประกาศออกไปว่าอยู่ๆ เขาป่วยหนัก จึงรักษาตัวอยู่แต่ในจวน” นี่ถือเป็นราชการลับของราชสำนัก ตอนที่หลี่เย่พูดเรื่องพวกนี้ออกมานั้น น้ำเสียงก็เบาลงอย่างมาก


ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจขึ้น บ้านตระกูลเฉินได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้อย่างมาก เพียงแต่ เรื่องนี้ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย ถึงขั้นว่ายังมีอันตรายไม่น้อย ความเชื่อใจนี้ อาจต้องแลกมาด้วยชีวิต


แต่นางหวังว่าเฉินฟู่ไม่ต้องเป็นเช่นนี้จะดีกว่า…เพื่อถาวซินหลันแล้ว นางก็ไม่อยากให้เฉินฟู่ต้องไปเสี่ยงอันตราย แม้ว่าความเสี่ยงนี้จะแลกกับอำนาจและฐานะอันสูงส่ง นางก็ไม่รู้สึกยินดี หากเป็นไปได้ นางกลับหวังให้ถาวซินหลันอยู่อย่างสงบไปตลอดชีวิต ไม่ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางจะดีที่สุด


คิดไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่ฮองเฮายิ้มแฝงนัยกับนางให้หลี่เย่ฟัง แล้วก็ไม่ได้พูดเรื่องที่ไทเฮาพูดเรื่องหลี่เย่ นางรู้ดีแก่ใจ เรื่องในราชสำนักก็ทำให้หลี่เย่วุ่นวายใจมากพออยู่แล้ว นางจึงไม่ควรเอาเรื่องพวกนี้มาทำให้หลี่เย่รู้สึกวุ่นวายใจมากขึ้นไปอีก


ช่างเถอะ นางเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดีมิใช่หรือ?


วันต่อมา ถาวจวินหลันก็เรียกจิ้งหลิงและเจียงอวี้เหลียนมาพบ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดก็คือส่งเด็กๆ ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ดังนั้นเรียกแค่พวกนางสองคนมาก็พอ ส่วนคนอื่นนั้น…ไม่ใช่เพราะนางใจร้าย แต่หากจะส่งพวกนางไป ก็ต้องให้แยกกับพวกเด็กๆ


เจียงอวี้เหลียนมาถึงช้า ใบหน้าดูอ่อนล้า “วันนี้ตั้งแต่เช้ามืด เซิ่นเอ๋อร์ก็งอแงขึ้นมา ไม่ว่าจะกล่อมอย่างไรก็ไม่หยุด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ดูเหมือนเจียงอวี้เหลียนจะร้อนใจและหงุดหงิด น้ำเสียงยังดูกล่าวโทษ


ถาวจวินหลันมองไปทางนาง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “บางทีอาจเป็นเพราะตอนกลางคืนเข้านอนเร็วเกินไป จึงตื่นแต่เช้ามืดเช่นนี้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะยังง่วง จึงรู้สึกไม่สบายตัว เด็กๆ เป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา”


จิ้งหลิงพูดเสริมอีกว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ”


ทั้งสองคนต่างเคยเลี้ยงเด็ก ดังนั้นจึงถือว่ามีประสบการณ์สามารถพูดเรื่องนี้ได้


เจียงอวี้เหลียนปิดปากแล้วหาวฟอดหนึ่ง ก่อนมองมาทางถาวจวินหลัน “ชายารองถาวเรียกพวกเรามา มีเรื่องอะไรรึ?” ก็มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่สามารถเอ่ยปากถามอย่างตรงๆ เช่นนี้ได้ หากเป็นจิ้งหลิง จะเอ่ยปากเร่งก็คงไม่เหมาะนัก


แน่นอนว่า ก็ไม่มีอะไรต้องเร่ง ถาวจวินหลันเรียกพวกนางมา หากว่ามีเรื่องอะไรก็จะต้องพูดกับพวกนางแน่นอน


ถาวจวินหลันค่อยๆ พูดเรื่องที่หลี่เย่บอกกับนางเมื่อวาน “ประชาชนที่อพยพมานั้นเกรงว่าจะมาถึงเมืองหลวงในช่วงไม่กี่วันนี้ อันที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ทางเหอเป่ยเพิ่งเกิดกาฬโรคขึ้น เกรงว่าประชาชนที่อพยพมาจะนำเอากาฬโรคมาด้วย ท่านอ๋องทรงเห็นว่า หากสถานการณ์ไม่ดีจริงๆ ก็ให้ออกไปอยู่นอกเมืองหลวงสักพัก”


พอพูดออกไปแล้ว สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที


สีหน้าของเจียงอวี้เหลียนซีดขาว เสียงสั่นเล็กน้อย “อะไรกัน? กาฬโรคเช่นนั้นรึ?!”


ในตอนนี้ ใครจะไม่รู้ว่ากาฬโรคน่ากลัวเพียงใด เจียงอวี้เหลียนเคยเห็นชุมชนที่เพิ่งเกิดกาฬโรค ทั้งชุมชนเหลือเพียงคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ตามทางต่างมีหลุมฝังศพใหม่ๆ เต็มไปหมด บรรยากาศที่เย็นเยือกและว่างเปล่านั้น ทำให้คนที่เห็นรู้สึกกลัวจนตัวสั่น


อีกทั้งนางยังเคยได้ยินความร้ายแรงของกาฬโรค


คนที่ติดกาฬโรคแล้ว ต่างตายอย่างทรมาน อีกทั้งเมื่อติดโรคแล้ว โอกาสรอดก็มีเพียงน้อยนิด…ทำได้แค่รอคอยความตาย ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นเช่นไร


ที่สำคัญก็คือ กาฬโรคติดต่อกันอย่างรวดเร็ว บางทีการพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ หรือหากถูกตัวกันเบาๆ ก็มีโอกาสติดกาฬโรคได้ทั้งนั้น หากประชาชนที่อพยพมาเอาเชื้อกาฬโรคมาแพร่ระบาดจริงๆ เช่นนั้นเมืองหลวงก็ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว…


เจียงอวี้เหลียนกลัวจนตัวสั่น สุดท้ายแล้วก็อดพูดขึ้นด้วยเสียงแหลมไม่ได้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมถึงไม่กักพวกเขาเอาไว้ที่เหอเป่ย? ทำไมยังต้องให้พวกเขาอพยพมา? ไม่เช่นนั้น ก็ให้ทำเหมือนวันนั้น ฆ่าพวกเขาเสียให้หมด! หรือว่าแค่ประชาชนชั้นต่ำเพียงไม่กี่คน ก็ละเลยความปลอดภัยของพวกเราแล้วอย่างนั้นรึ?”


สำหรับเจียงอวี้เหลียนแล้ว ถึงแม้ว่าประชนชาพวกนั้นต้องตายเป็นหมื่นเป็นพัน ก็เทียบไม่ได้กับปลายเล็บของนางเลย


ถาวจวินหลันจ้องเจียงอวี้เหลียนเขม็ง แล้วตำหนิด้วยเสียงแข็งกร้าว “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร! เจ้าตกใจจนเป็นบ้าไปแล้วรึ? ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้ออกมา! เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าอยากให้ชื่อเสียงของท่านอ๋องพังทลายจนหมดเลยอย่างนั้นรึ? ฮ่องเต้ทรงยังไม่กล้าตรัสเช่นนี้ แต่เจ้ากลับกล้าพูดออกมา! เจียงอวี้เหลียน ต่อไปเวลาเจ้าจะพูดอะไร ก็ขอให้เจ้าใช้สมองคิดไตรตรองให้มากก่อน!”


หากคนอื่นได้ยินคำพูดนี้เข้า หรือหากขุนนางพวกนั้นได้ยินเข้า หลี่เย่ไม่วายต้องถูกลงโทษ! ถึงแม้ว่าหลี่เย่จะไม่ได้พูดเอง แต่เจียงอวี้เหลียนเป็นผู้หญิงของหลี่เย่! ไม่อบรมสั่งสอนลูกชายให้ดีเป็นความผิดของพ่อ หากภรรยาทำความผิด ก็ถือว่าเป็นเพราะสามีไม่สั่งสอนให้ดีเช่นกัน ดังนั้นสามีก็ต้องรับผิดชอบแทน! อีกทั้ง คนอื่นจะคิดได้ว่า พระชายารองอย่างเจียงอวี้เหลียนกล้าพูดอย่างอวดดีเช่นนี้ เช่นนั้นหลี่เย่มีความคิดเช่นไรกันแน่?


หากเป็นเช่นนั้น หลี่เย่ก็จะพูดอะไรไม่ได้แล้ว!


ถาวจวินหลันย่อมโกรธและโมโหเป็นธรรมดา หลี่เย่พยายามเลือดตาแทบกระเด็นอยู่ข้างนอก คนในเรือนไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้ยังไม่เท่าไร แต่จะทำให้เขาพลอยตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ไม่ได้!


พอโกรธมากเช่นนี้ แน่นอนว่าถาวจวินหลันก็ไม่หลงเหลือความเกรงใจต่อไปอีกแล้ว บางทีแม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้สึกตัวว่า สายตาที่นางมองไปนั้นดูอำมหิตและน่ากลัวเพียงใด


เจียงอวี้เหลียนตกใจจนคอหดไป รู้สึกกลัวและกระวนกระวายใจ ช่วยไม่ได้ ในตอนนี้นางควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ รอจนกระทั่งได้สติกลับมาแล้ว เจียงอวี้เหลียนก็รู้สึกอายจนโกรธ ตอนแรกนางอยากพูดจากระแนะกระแหนถาวจวินหลันเสียหน่อย แต่พอมองเห็นท่าทีจริงจังของถาวจวินหลันและนึกถึงหลี่เย่ สุดท้ายแล้วนางก็ได้แต่หุบปากไปด้วยท่าทีโกรธๆ


เจียงอวี้เหลียนรู้ดีแก่ใจว่าตนเองพูดไม่ดีออกไป นางพลันรู้สึกเสียใจในทันที ในใจก็เริ่มคิดทบทวน…หากถาวจวินหลันเอาเรื่องนี้ไปบอกหลี่เย่ หลี่เย่จะมองนางเช่นไร? ไม่แน่ว่าอาจจะเกลียดนางไปเลยก็ได้…


เป็นเพราะความคิดนี้ เจียงอวี้เหลียนจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา นางอดมองไปทางถาวจวินหลันไม่ได้ ในใจก็คิดว่าจะพูดเช่นไรให้ถาวจวินหลันไม่เอาเรื่องนี้ไปพูด


จริงๆ แล้วเจียงอวี้เหลียนกลับมองถาวจวินหลันผิดไปแล้ว


ถาวจวินหลันไม่สนใจเรื่องนี้…อีกทั้ง หลี่เย่ก็ไม่ได้โปรดปรานเจียงอวี้เหลียนอยู่แล้ว นางจึงไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเช่นนั้น ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือนางไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย


ถาวจวินหลันไม่มีเวลาว่างมากพอมาสนใจว่าเจียงอวี้เหลียนรู้สึกผิดจริงๆ หรือว่าเสแสร้งออกมาเท่านั้น นางนวดๆ หัวคิ้วของตัวเอง แล้วพูดว่า “เอาเถิดๆ ต่อไปต้องระวังให้มาก ท่านอ๋องทำงานอย่างลำบากข้างนอก มีคนจับตามองจวนอ๋องของพวกเราอยู่ตั้งเท่าไร? พวกเราจะสร้างความลำบากเพิ่มให้ท่านอ๋องไม่ได้ พูดไม่น่าฟัง หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านอ๋อง พวกเรายังจะมีชีวิตดีได้อย่างไร? หากเสาหลักของพวกเราล้มลง พวกเรายังจะอยู่อย่างสงบได้อย่างไร?”


“ความคิดของท่านอ๋องพวกเจ้าเองก็เข้าใจแล้ว พวกเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?” ถาวจวินหลันถามความเห็นของพวกนางทั้งสองคน


จิ้งหลิงลังเลอยู่สักพัก แล้วก็รับคำ “ในเมื่อท่านอ๋องพูดเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องทำตามความเห็นของท่านอ๋องเจ้าค่ะ”


เจียงอวี้เหลียนกลัวกาฬโรคมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ค้านอะไร แล้วก็พยักหน้าด้วยความกระวนกระวาย “เช่นนั้นก็หลบออกไปอยู่นอกเมืองหลวงเสียก่อน”


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ในเมื่อพวกเจ้าต่างมีความเห็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าก็จะจัดเตรียมทุกอย่างให้ เพียงแต่เมื่อออกไปแล้ว เกรงว่าจะต้องตัดขาดจากโลกภายนอกไปสักระยะ อยู่ข้างนอกย่อมไม่สะดวกสบายเหมือนในจวนอ๋อง ถึงอย่างไรก็จะต้องลำบาก แต่ขอแค่ได้อยู่อย่างปลอดภัย เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร”


สักพัก นางก็พูดต่อว่า “เรื่องนี้จะต้องรีบจัดการ รอช้าอยู่ไม่ได้ ข้าคิดว่าอีกสองวันพวกเจ้าก็ออกเดินทางได้ พวกเจ้ารีบไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อย”


เจียงอวี้เหลียนรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงเลิกคิ้วแล้วถามถาวจวินหลัน “พวกเจ้า? พระชายารองไม่ออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเรารึ?”


ถาวจวินหลันไม่ได้คิดจะปกปิดอะไร จึงได้แต่พยักหน้า “อืม ข้ายังไม่ไป หากสถานการณ์ย่ำแย่แล้วค่อยว่ากัน”


ใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนดูเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง แต่ถาวจวินหลันไม่มีเวลาไปสนใจนาง จึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “หากไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าก็กลับไปเก็บของกันเถิด เอาของไปให้มากหน่อย บางทีอาจจะต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน อย่าให้ถึงเวลาแล้วขาดเหลืออะไร ถึงตอนนั้นจะไม่สะดวกนัก”


จิ้งหลิงรู้สึกร้อนใจ จึงลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ เจียงอวี้เหลียนเห็นเช่นนั้น ก็ได้แต่ลุกขึ้นตาม


ถาวจวินพยักหน้า ไม่ได้บอกให้เจียงอวี้เหลียนอยู่ต่อ แต่กลับหันไปพูดกับจิ้งหลิงว่า “จิ้งหลิง ข้ายังมีเรื่องต้องสั่งเจ้า เจ้ารออยู่ก่อน”


เจียงอวี้เหลียนเดินออกไปข้างนอกแล้ว ในตอนนี้ถึงแม้ว่านางจะสงสัยมากเพียงใด แต่นางจะอยู่ต่อไปก็ไม่ได้ จึงได้แต่เปิดม่านเดินปึงปังออกไป


หงหลัวมองเห็นม่านลูกปัดที่ถูกสะบัดจนพันกันเป็นก้อน ก็อดเบะปากไม่ได้ แล้วพูดอ้อมแอ้มว่า “มาทำท่าทีโกรธเกรี้ยวเช่นนี้เพื่ออะไรกัน?”


ถาวจวินหลันได้ยินแล้ว ก็โบกๆ มืออย่างไม่ใส่ใจ “ช่างนางเถิด เจ้าไปดูว่าแม่นมจัดเตรียมของให้ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูเรียบร้อยแล้วหรือไม่”


จิ้งหลิงได้ยินเช่นนั้น ก็มีท่าทีประหลาดทันที “เช่นนี้ ท่านอยู่ที่นี่ ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูต้องออกจากจวนอ๋องไป? ท่านวางใจได้รึ?!”


ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างขมขื่น มองไปทางจิ้งหลิงอย่างจริงจัง “จิ้งหลิง ข้าต้องการขอร้องเจ้าสักเรื่องพอดี ข้าไม่สามารถเดินทางไปด้วยได้ ในจวนอ๋องจะไม่มีคนอยู่ไม่ได้ อีกทั้งข้าอยากอยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋อง ข้าขอฝากซวนเอ๋อร์กับหมิงจูไว้กับเจ้า เจ้าช่วยข้าดูแลพวกเขาให้ดี ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีกั่วเจี่ยเอ๋อร์แล้ว แต่นอกจากเจ้าแล้วข้าไม่ไว้ใจใครจริงๆ ได้แต่ต้องรบกวนเจ้าแล้ว” 

 

 


บทที่ 425 กลับตาลปัตร

 

​จิ้งหลิงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก


นางคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะข้อร้องให้นางช่วยเรื่องนี้…ถึงแม้เมื่อก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ในตอนนั้นถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในจวนอ๋อง อีกทั้งยังอยู่ที่เรือนเฉินเซียง อยู่ในที่ของถาวจวินหลันเอง แต่ในตอนนี้ นางกลับต้องไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน…


พูดไม่น่าฟังคือ เรื่องที่จะเกิดขึ้นข้างนอกนั้น นางจะทำอะไรก็ได้มิใช่หรือ? หากนาง ‘ไม่ระวัง’ จนซวนเอ๋อร์กับหมิงจูเป็นอะไรไป นั่นก็เป็นเรื่องง่ายดาย


ความเชื่อใจนี้ทำให้จิ้งหลิงแปลกใจ อีกทั้งสิ่งที่ต้องรับผิดชอบนั้น ทำให้นางลังเล ความรับผิดชอบนี้หนักหนาจนเกินไป ทำให้นางรู้สึกแบกรับเอาไว้ไม่ไหวจริงๆ หากเกิดเรื่องอะไรกับซวนเอ๋อร์และหมิงจู แม้แต่ให้นางชดใช้ด้วยชีวิตก็คงชดใช้ไม่ได้


แต่พอนางมองแววตาอ้อนวอนของถาวจวินหลัน จิ้งหลิงกลับรู้สึกพูดอะไรไม่ออก คำพูดที่จะปฏิเสธจุกอยู่ที่คอ แต่กลับพูดออกมาไม่ได้


สุดท้ายแล้ว หลังจากลังเลอยู่สักพัก จิ้งหลิงก็พ่ายแพ้ให้กับสายตาคาดหวังและอ้อนวอนของถาวจวินหลัน


แต่ว่า จิ้งหลิงก็ยังพูดความคิดของตัวเองออกมา “หากจะให้ข้าช่วยดูแลจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ท่านก็ยังต้องส่งคนไปช่วยสักหน่อย ไม่เช่นนั้นข้าแค่คนเดียวจะดูแลเด็กตั้งสามคนได้อย่างไร? อีกทั้งทหารอารักขาก็ต้องมีเพียงพอ ท่านอ๋องฐานะสูงส่ง ซวนเอ๋อร์ยังเป็นลูกชายคนโตของท่าน พวกเราจะต้องระวังเป็นอย่างมาก ข้อสุดท้าย ก็คือเรื่องพระชายารองเจียง…พูดตามตรง ข้าไม่อยากอยู่ร่วมกับพระชายารองเจียงนัก”


จิ้งหลิงพูดอย่างแฝงนัย แต่ถาวจวินหลันก็เข้าใจถึงความหมายของนางได้ไม่ยาก จิ้งหลิงไม่เชื่อใจเจียงอวี้เหลียน และต้องการจะป้องกันเจียงอวี้เหลียนไว้ก่อน


ถาวจวินหลันส่ายหัว “เรื่องนี้ข้าคงทำอะไรไม่ได้…จะปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันคงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนเอาไปนินทาได้ ถึงตอนนั้น ข้าจะให้คนแยกเรือนของพวกเจ้าให้เรียบร้อย พวกเจ้าไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกันก็พอ ส่วนคนในเรือนนั้นข้าจะเป็นคนจัดการเอง เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลมากไปนัก”


ถาวจวินหลันพูดเช่นนี้แล้ว จิ้งหลิงก็สบายใจไม่น้อย จากนั้นก็พยักหน้า “ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”


จิ้งหลิงพูดเช่นนี้ ก็ถือว่าแสดงความจริงใจออกมาอย่างที่สุดแล้ว ถาวจวินหลันจึงโล่งใจ แล้วก็ยิ้มบางๆ “ขอบใจเจ้ามาก”


จิ้งหลิงหัวเราะอย่างขมขื่น “รอจนข้าพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูกลับมาส่งให้ท่านอย่างปลอดภัย ท่านค่อยขอบคุณข้าก็ยังไม่สาย”


ถาวจวินหลันส่ายหัว “แค่เจ้ายินดีช่วยข้า ข้าก็ซาบซึ้งใจเป็นที่สุดแล้ว”


“แล้วคนอื่นๆ ในจวนอ๋องเล่า” จิ้งหลิงคิดแล้วก็ถามออกมา “หากไม่พาพวกนางไปด้วย เกรงว่าพวกนางรู้เข้าจะไม่สบายใจได้”


ถาวจวินหลันส่ายหัว “ถึงแม้ว่าจะส่งพวกนางออกไปก็ไม่สามารถไปพร้อมกับพวกเจ้าได้ ข้าไม่เชื่อใจถาวจือกับกู่อวี้จือเลย ที่ให้เจียงอวี้เหลียนไปด้วยก็เพราะเห็นว่ามีเซิ่นเอ๋อร์ อีกทั้งยามปกติพวกนางได้อยู่อย่างมีเกียรติและมีฐานะสูงส่ง ตอนนี้ก็ควรจะต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนบ้าง แต่ว่า ข้าเองก็ไม่ใช่คนจิตใจอำมหิต หากสถานการณ์ย่ำแย่จริงๆ ข้าก็จะส่งพวกนางออกจากเมืองหลวงเช่นกัน”


“เช่นนั้นข้าจะพูดกับพวกนางไว้ก่อน” จิ้งหลิงครุ่นคิดอยู่สักพักก็พูดออกมา น้ำเสียงเบาลงไปเล็กน้อย “เกรงว่าพวกนางจะก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีก”


ใบหน้าของถาวจวินหลันเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว “หากตอนนี้พวกนางกล้าสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้น ข้าเองก็จะไม่ปล่อยพวกนางไว้เช่นกัน!” สักพักก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องนี้ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป”


จิ้งหลิงพยักหน้าแล้วขอตัวกลับ บอกว่าต้องรีบกลับไปเก็บของ


หลังจากจิ้งหลิงกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็อดไปดูซวนเอ๋อร์และหมิงจูไม่ได้ แต่ก่อนหน้านั้น นางยังได้เรียกโจวอี้เข้ามาสอบถาม…เนื่องจากตอนนี้อาการบาดเจ็บของโจวอี้เพิ่งดีขึ้น หลี่เย่จึงไม่ให้โจวอี้คอยติดตาม ดังนั้นเรื่องนี้จึงไปตกอยู่ที่โจวอี้


โจวอี้เป็นคนรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้มอบให้โจวอี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกวางใจ


ทางด้านเจียงอวี้เหลียนที่ปึงปังกลับเรือนชิวอี๋ของตัวเอง ก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จากนั้นก็กระทืบเท้าอย่างแรง แล้วพูดอย่างโมโหว่า “พวกนางจะต้องมีอะไรปิดบังข้าอย่างแน่นอน! ถาวซื่อหญิงแพศยา จะต้องคิดเล่นงานข้าอย่างแน่นอน! มิเช่นนั้นคงไม่ทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้”


ในตอนนี้เจียงอวี้เหลียนโกรธเสียจนลืมไปแล้วว่าจริงๆ แล้ว ถาวจวินหลันนั้นไม่ได้ทำอะไรลับๆ ล่อๆ แต่กลับทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา


ไม่อย่างนั้น หากต้องการทำอะไรลับๆ ล่อๆ แล้วจะพูดเช่นนั้นต่อหน้าเจียงอวี้เหลียนได้อย่างไรกัน? เช่นนั้นไม่เท่ากับตระโตกกระตากหรอกรึ?


ลู่ฉี่รีบยกชามาให้เจียงอวี้เหลียน แล้วปลอบนางว่า “พระชายารองอย่าโกรธมากจนทำร้ายสุขภาพเลย ได้ไม่คุ้มเสียหรอกเจ้าค่ะ คิดถึงคุณชายเซิ่นเอาไว้ดีกว่านะเจ้าคะ”


เจียงอวี้เหลียนรับชามา เปิดฝาออกยังไม่ทันยกขึ้นดื่ม ก็ปิดฝาลงไปเสียงดังอย่างโมโห ถ้วยชากับฝากระทบกันเสียงดัง จนสงสัยว่าถ้วยใบนั้นแทบจะแตกแล้ว


ลู่ฉี่ตกใจ แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพียงแต่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ รอให้เจียงอวี้เหลียนหายโกรธ


แต่เจียงอวี้เหลียนกลับไม่ได้หายโกรธง่ายดายเช่นนั้น นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง สุดท้ายก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไม่ มีอะไรบางอย่างแปลกๆ”


ขณะที่กำลังพูดกันอยู่นั้น สาวใช้เล็กๆ  อีกคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เข้ามารายงานว่า “พระชายารอง ถาวจืออี๋เหนียงมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ”


เจียงอวี้เหลียนรู้สึกรำคาญใจอยู่แล้ว กำลังยกมือโบกๆ เพื่อบอกให้ถาวจือกลับไป แต่พอคิดอีกทีกลับพูดว่า “ให้เข้ามา”


พอถาวจือเข้ามา เห็นท่าทีของเจียงอวี้เหลียนดูไม่พอใจนัก หลังจากย่อตัวคำนับแล้วก็หัวเราะพูดว่า “เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ? ใครทำให้พระชายารองโกรธได้? ช่างบังอาจเสียจริง”


เจียงอวี้เหลียนเหลือตาไปมองทางถาวจือ แล้วหัวเราะเสียงเยือกเย็น “ยังมีใครทำให้ข้าโกรธได้อีกล่ะ? เกรงว่าเจ้าคงรู้ดียิ่งกว่าใคร แกล้งทำท่าทางเสแสร้งอยู่ทำไม! พูดมา เจ้ามีเรื่องอะไร?”


ท่าทีของเจียงอวี้เหลียนดูไม่เกรงใจนัก…แต่สำหรับพระชายารองพูดกับอี๋เหนียงเช่นนี้ ก็ถือว่าเหมาะสม ไม่ได้ถือว่าไร้มารยาท


ถาวจือไม่สนใจ เม้มปากยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “พูดไปแล้วฐานะก็เท่าเทียมกัน พระชายารองทำไมท่านต้องทนเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้เล่า นางก็เพียงแค่มีความโปรดปรานของท่านอ๋องหนุนหลังอยู่จึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ก็เท่านั้น”


เจียงอวี้เหลียนหัวเราะเสียงเย็น “แต่ข้าก็เพียงขาดความโปรดปรานจากท่านอ๋องมิใช่หรือ? ฐานะก็เท่าเทียมกัน ทำไมนางถึงได้สูงส่งกว่าข้า?” ฉับพลันก็คิดขึ้นมาได้ว่าถาวจือตั้งใจจะมายั่วอารมณ์ของนาง จึงเขม็งมองถาวจือด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเองก็ไม่ต้องมายั่วโมโหข้า คิดว่าข้าโง่อย่างนั้นรึ? รีบพูดมา เจ้ามีเรื่องอะไร!”


“วันนี้พระชายารองถาวเชิญท่านกับจิ้งหลิงไป ข้าก็ต้องสงสัยมิใช่หรือเจ้าคะ?” ถาวจือยิ้มแล้วพูดออกมา “หากว่าแค่เชิญท่านไปก็ช่างเถิด แต่นี่เชิญจิ้งหลิงไปด้วย หมายความว่าอะไรกัน? เป็นอี๋เหนียงเหมือนกันแท้ๆ หรือว่าข้ากับกู่อวี้จือจะด้อยกว่าจิ้งหลิงอย่างนั้นหรือ? การกระทำที่ลำเอียงเช่นนี้ ทำให้ข้าไม่สบายใจเลยจริงๆ”


ถาวจือถือว่าแสดงจุดประสงค์ของตัวเองอย่างชัดเจน


เจียงอวี้เหลียนยิ้มเย็น มองไปทางถาวจืออย่างเย้ยหยัน “จิ้งหลิงเป็นคนเลี้ยงดูกั่วเจี่ยเอ๋อร์ แน่นอนว่าไม่เหมือนกับพวกเจ้า ตอนนี้ท่านอ๋องมีลูกทั้งหมดแค่สี่คน ทุกคนต่างสำคัญเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าจึงไม่เหมือนกัน”


พอพูดไปแล้ว สีหน้าของถาวจือก็เปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหายไปไม่เหลือแล้ว มือที่ถือแก้วชาอยู่ก็บีบแน่นจนมือซีดขาว


เจียงอวี้เหลียนเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นางไม่สบายใจ นางก็ต้องทำให้คนอื่นไม่สบายใจไปด้วย เช่นนี้ถึงจะทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้


จากนั้น เจียงอวี้เหลียนก็ค่อยๆ เล่าเรื่องที่ถาวจวินหลันพูดออกมา สุดท้ายยังยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็ได้ยินแล้ว เกรงว่าเรื่องหลบภัยในครั้งนี้ คงไม่มีรายชื่อของอี๋เหนียงไร้ลูกและไม่รับความโปรดปรานอย่างพวกเจ้า เจ้าก็อย่าโกรธไปเลย ใครใช้ให้เจ้าไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง ใครใช้ให้เจ้าไม่มีวาสนาตั้งครรภ์กันเล่า?”


คำพูดของเจียงอวี้เหลียนช่างร้ายกาจและทิ่มแทงจิตใจ บวกกับรอยยิ้มที่ยินดีในความพินาศของคนอื่น ในตอนนี้ยังมีท่าทีอ่อนโยนและอ่อนหวานเหมือนปกติที่ไหนกัน? ท่าทีเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย หากจะพูดว่าดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคนก็ไม่เกินไปเลย


ถาวจือถูกคำพูดของเจียงอวี้เหลียนทำให้กรุ่นโกรธ นางกำแก้วน้ำในมือแน่นแล้วเม้มปาก สักพักถึงค่อยๆ เผยแววขบขันออกมาทางใบหน้าเคร่งขรึมนั้น แต่เป็นเพราะท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจึงดูอำมหิตอยู่หลายส่วน ถาวจือหัวเราะและพูดว่า “เป็นเพราะข้าไร้วาสนา แต่ข้าเห็นว่า ที่พระชายารองถาวยอมให้ท่านเดินทางไปด้วยครั้งนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เพราะจริงใจให้ท่านเดินทางไปหลบภัยเพียงเท่านั้น”


เจียงอวี้เหลียนเริ่มหวั่นใจ “หมายความว่าอย่างไรกัน?”


“โดยปกติแล้วท่านอ๋องก็จะเสด็จมาหาแค่ท่านกับจิ้งหลิง ตอนนี้พวกท่านต่างออกจากจวนอ๋องไปแล้ว ก็จะทำให้นางได้ครอบครองท่านอ๋องเอาไว้เพียงผู้เดียว” รอยยิ้มของถาวจือยิ่งมาก็ยิ่งกว้างขึ้น ความเศร้าของนางค่อยๆ จางหายไป “ท่านไปแล้ว อย่างไรก็ต้องไปอย่างน้อยหลายเดือน รอจนกระทั่งกลับมาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องกับเซิ่นเอ๋อร์ ก็จะต้องห่างเหินไปอย่างแน่นอน อีกทั้ง เมื่อวานท่านอ๋องเพิ่งตรัสว่าจะมาหาท่านบ่อยๆ พอวันนี้ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…หากให้ข้าพูด ข้าคิดว่าต้องไม่ใช่ความคิดของท่านอ๋องแน่นอน ไม่แน่ว่านางอาจคิดหาข้ออ้างเช่นนี้ก็เป็นได้”


เจียงอวี้เหลียนฟังอย่างตั้งใจ แล้วก็อดกัดฟันแน่นไม่ได้ จนเนื้อตรงกรามตึงแน่น


ถาวจือเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งพูดต่อไปอีกว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ นางทั้งได้ประจบประแจงเสแสร้งทำดีเอาหน้ากับท่านอ๋อง อีกทั้งยังได้กำจัดพวกท่านไปได้อย่างง่ายดาย เช่นนี้ไม่เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรือเจ้าคะ? พูดตรงๆ ก็คือ พระชายาเอกไม่มีบทบาทอะไรในจวนอ๋องแห่งนี้ ก็มีแต่ท่านกับนางที่มีฐานะเท่าเทียมกัน ตอนนี้พอท่านไปแล้ว นางก็ครอบครองจวนอ๋องแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว”


เจียงอวี้เหลียนฟังแล้วก็โกรธอย่างมาก โกรธจนกัดฟันกรอดๆ “ข้าก็คิดแล้วว่ามีบางอย่างแปลกๆ! เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง! ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมนางถึงไม่กลัวตาย แล้วยังไม่ยอมเดินทางไปด้วยกัน! ที่แท้นางมีความคิดเช่นนี้นี่เอง!”


ถาวจือยิ้มบางๆ แล้วค่อยๆ ปล่อยมือที่กำแก้วชาเอาไว้แน่น นางมองไปที่มือซีดขาวของตัวเอง เตรียมนั่งดูละครสนุกๆ อย่างสบายใจ


เจียงอวี้เหลียนโกรธจนกัดฟันกรอดๆ อยู่สักพัก สุดท้ายแล้วถึงได้สงบ ก่อนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเดินทางไปด้วยไม่ได้แล้ว ข้าจะต้องคิดทบทวนให้ดี”


ถาวจือเห็นว่าไฟกำลังครุกกรุ่นได้ที่ จึงค่อยๆ พูดเสริมไปอีกว่า “พระชายารอง หากให้ข้าพูด ข้าคิดว่าหากไม่ยอมเสียเหยื่อล่อก็จะจับเสือไม่ได้ ท่านว่าจริงหรือไม่เจ้าคะ?”


เจียงอวี้เหลียนครุ่นคิดอยู่ในใจเป็นเวลานาน อีกทั้งยังคิดถึงเรื่องที่ถาวจือพูดออกมาเมื่อครู่ สุดท้ายแล้วก็เห็นด้วย “ใช่สิ หากไม่ยอมเสียเหยื่อล่อก็จะจับเสือไม่ได้!”


ครั้งนี้ นางไม่เพียงแต่จะต้องทำลายความตั้งใจของถาวจวินหลัน แต่นางจะต้องหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้ให้ได้! มิเช่นนั้น นางจะคุ้มแค่แก่ความเสี่ยงครั้งนี้ได้อย่างไร?!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม