หมอยาหวานใจท่านประธาน 418-433

 ตอนที่ 418 จะได้อุ้มเหลนแล้ว 


 


 


“ปู่ครับ อาเสวี่ยเหนื่อยจากที่ดูแลผมเมื่อวาน คงไม่ลงมากินข้าวด้วยกันแล้ว ผมจะกินกับเธอข้างบนครับ” เฉวียนหมิงพูด พร้อมกับตักอาหารที่อีลั่วเสวี่ยชอบใส่เต็มจาน 


 


 


ทั้งนายท่านผู้เฒ่าและเหล่าเกาต่างมีสีหน้าแปลกใจ นายท่านผู้เฒ่ามองดูเฉวียนหมิง แล้ววางตะเกียบในมือลง 


 


 


“ดูแลหลานเหนื่อยมากหรือไง?” สีหน้าหลานชายตนเองดูไม่เลวเลย ยังต้องคอยดูแลจนดึกหรือ ไม่จริงมั้ง? แววตานายท่านผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความสงสัย 


 


 


มีเพียงเหล่าเกาเท่านั้นที่เห็นมุมปากเฉวียนหมิงเชิดขึ้น แล้วคิดอะไรในใจ เมื่อคืนดูเหมือนเขาจะไม่เห็นนายน้อยหญิงกลับไปที่ห้องตัวเอง หรือว่า…เหล่าเกายิ้มที่มุมปากเมื่อคิดโยงไปเรื่องหนึ่ง แต่ไม่เผยความลับของเฉวียนหมิง 


 


 


เฉวียนหมิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “อืม เหนื่อยมากครับ เอาละ ไม่พูดมากแล้ว ปู่ค่อยๆ กินเองนะครับ” จากนั้นก็ยกอาหารสำหรับตัวเขาเองและอีลั่วเสวี่ยขึ้นไปชั้นบน 


 


 


หลังจากเฉวียนหมิงกลับห้องไปแล้วนายท่านผู้เฒ่าก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะ ท่าทางหงุดหงิด “ดูสิ นี่แหละแบบฉบับของคนที่พอมีเมียก็ลืมปู่!” 


 


 


เหล่าเกาได้ยินที่นายท่านผู้เฒ่าพูดก็รู้สึกแปลก คำพูดนี้ของเดิมไม่ใช่อย่างนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฟังแล้วทำให้เขาอยากหัวเราะ  


 


 


นายท่านผู้เฒ่าเห็นเหล่าเกาไม่พูดอะไรก็ยิ่งไม่พอใจ “เหล่าเกา คุณไม่พูดอะไรบ้างหรือ นี่หลานสะใภ้แบบไหนกัน ยังต้องให้หลานชายฉันคอยดูแล หรือเธอเป็นราชินี!” 


 


 


น่าโมโหจริง เมื่อวานยังรู้สึกต่อเธอดีขึ้นบ้าง วันนี้กลับทำตัวแบบนี้ แล้วเขาจะเปลี่ยนความคิดต่อเธอได้อย่างไร 


 


 


เหล่าเกากลอกตา “นายน้อยหญิงไม่ใช่ราชินี แต่เป็นไปได้มากว่านายท่านผู้เฒ่าจะได้เป็นทวดแล้วครับ” 


 


 


“หึ” นายท่านผู้เฒ่าร้องออกมาอย่างไม่พอใจ แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จ้องมองเหล่าเกาทันที “ว่าอะไรนะ คุณพูดเมื่อกี้อีกครั้งซิ” ดูเหมือนเขาจะได้ยินเรื่องที่สำคัญมาก 


 


 


“นายท่านผู้เฒ่าผ่านโลกมามาก หรือว่าท่านมองไม่ออก วันนี้นายน้อยดูสดชื่นเป็นพิเศษ มีท่าทางแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทังยังบอกว่านายน้อยหญิงเหนื่อยมาก” เหล่าเกาเน้นเสียงที่สองคำหลัง 


 


 


นายท่านผู้เฒ่าได้ยินเช่นนี้ก็ตาโตทันที เขาวางตะเกียบลง ยิ้มจนหน้าบาน “ฮ่าฮ่า ทำไมฉันจึงไม่ทันสังเกตนะ แฮ่ๆ คงเพราะสายตาไม่ดี” 


 


 


พูดจบก็คีบพริกใส่ปาก เหล่าเกาจะร้องห้ามแต่ไม่ทันแล้ว 


 


 


“โอ๊ย เผ็ด เผ็ดเหลือเกิน” นายท่านผู้เฒ่าพูดจบก็เอามือกุมปาก แล้วชำเลืองมองที่ห้องของเฉวียนหมิง จากนั้นก็ซดน้ำแกงคำใหญ่ 


 


 


“เมื่อกี้ฉันพูดเสียงดังเกินไปไหม ผัวเมียคู่นั้นจะได้ยินหรือเปล่า?” ท่าทางแกเหมือนทำอะไรผิดแล้วกลัวคนอื่นรู้ 


 


 


เหล่าเก่าจนใจ “นายท่านผู้เฒ่าครับ วางใจเถอะ ไกลขนาดนี้” ชั้นสาม ทั้งแต่ละห้องกั้นเสียงได้ดีมาก ไม่ได้ยินเสียงข้างนอก 


 


 


“งั้นก็ดีแล้ว งั้นก็ดีแล้ว กินข้าว กินข้าว กับข้าววันนี้อร่อยจริงๆ!” พูดจบก็พุ้ยข้าวคำโตและคีบกับข้าวกิน ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริงก็น่าดีใจยิ่งกว่าถูกหวย 


 


 


ลูกบอลเงินเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วอดสงสัยไม่ได้ “ทำไมถึงดีใจนัก ตาแก่คนนี้นิสัยเปลี่ยนไปแล้ว ก็แค่เป็นการสืบลูกหลานตามปกติไม่ใช่หรือ? จะสำเร็จหรือไม่ยังต้องดูต่อไป” 


 


 


ไม่มีใครได้ยินที่มันพูด มันหันหลังกลับแล้วบินไปที่ห้องของอีลั่วเสวี่ย พอเข้ามาในห้องก็เห็นทั้งสองกินอาหารอย่างมีความสุข เจ้าลูกบอลเงินรู้สึกว่ามันจะได้แกลิ่นของความรัก พร้อมกับรู้สึกเศร้าใจ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 419 แสดงความรักความห่วงใย 


 


 


ใครๆ ก็บอกว่าอยู่กันเป็นคู่ แต่มันอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายบนโลกนี้ อยากมีความรักเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มีสิ่งที่จะเป็นคู่รักของมันได้ 


 


 


“อาเสวี่ย ลุกมากินข้าวเถอะ” เฉวียนหมิงยกถาดอาหารเข้ามา พบว่าอีลั่วเสวี่ยยังซุกอยู่ในผ้าห่ม ยังมีท่าทางไม่พอใจแกล้งหันหน้าไปทางอื่น ทำเป็นไม่ได้ยิน ถ้าไม่ใช่เพราะตอนเข้ามาในห้องเขาเห็นเธอขยับตัว ก็คงคิดว่าเธอยังหลับอยู่ 


 


 


พอเขาพูดจบก็มีเสียงร้องหึดังขึ้นในผ้าห่ม เจ้าของเสียงดูเหมือนจะไม่พอใจ ไม่สิ ไม่พอใจมากเป็นพิเศษ 


 


 


แต่บนใบหน้าเฉวียนหมิงมีรอยยิ้มอย่างรักใคร่ “อาเสวี่ย อย่าก่อกวนเลย ผมผิดเอง ผมประกันว่าวันหลังถ้าคุณไม่อนุญาตผมจะไม่ทำอย่างนี้เด็ดขาด” เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองหักห้ามใจไม่ไหว 


 


 


เรื่องที่สวยงามเช่นนี้ใครได้ลองแล้วก็ต้องติดใจ เขาคิดว่าเขาติดใจผู้หญิงตรงหน้าแล้ว พอเจอเธอก็จะควบคุมตัวเองไม่ได้ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ดึงผ้าห่มออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แดงเล็กน้อยเพราะคลุมโปงไว้ “คำพูดคุณเชื่อถือไม่ได้!” 


 


 


“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม กินอะไรก่อนแล้วค่อยว่า ถ้าคุณไม่อยากขยับ ผมช่วยเอง” เฉวียนหมิงพูดพลางหยิบเสื้อผ้าเธอที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมา 


 


 


แต่เสื้อผ้าถูกอีลั่วเสวี่ยฉกมาอย่างรวดเร็วแล้วใส่อย่างฉับไว 


 


 


ถึงตอนนี้เฉวียนหมิงเลื่อนอาหารมาไว้ข้างเตียง “อาเสวี่ย ผมป้อนให้” เขาใช้ตะเกียบคีบกับข้าวไปที่ปากอีลั่วเสวี่ย 


 


 


มุมปากอีลั่วเสวี่ยกระตุก “ฉันไม่ได้เป็นอัมพาตสักหน่อย ฉันกินเอง” พูดจบก็รับชามและตะเกียบมาแล้วลงมือกิน เธอยังไม่ขี้อ้อนขนาดนั้น พอผ่านเรื่องแบบนั้นแล้ววันถัดมาต้องคอยให้เขาดูแลรับใช้ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยกินไปคำหนึ่งแล้วจู่ๆ ก็ฉุกคิดอะไรบางอย่าง แล้วหันมามองเฉวียนหมิงทันที “แย่แล้ว ฉันไม่ลงไป ปู่คุณจะไม่พอใจไหม?” เฉวียนหมิงยกอาหารมาให้เธอแบบนี้ นายท่านผู้เฒ่าเห็นเข้า ไม่ถือเธอเป็นศัตรูหรือ 


 


 


“วางใจเถอะ ปู่ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เมื่อกี้ผมได้ยินแกหัวเราะอย่างสบายใจ น่าจะไม่ติดใจเรื่องนี้หรอก” เฉวียนหมิงพูดเสียงราบเรียบ นิสัยปู่ของตน พอผ่านไปเดี๋ยวก็อารมณ์ดีขึ้นเอง 


 


 


อีกอย่างเขาคอยปกป้องอีลั่วเสวี่ยชัดเจนอย่างนี้แล้ว ถ้าปู่ยังยืนกรานทำเรื่องที่ขัดขวาง เกรงว่าจะทำให้ความสัมพันธ์หว่างพวกเขาปู่กับหลานจะแย่ลง เขาจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนี้เด็ดขาด 


 


 


ปู่เองก็น่าจะรู้ดี ดังนั้นที่ผ่านมาแกจึงไม่กล้าทำอะไรเกินเหตุ เพราะอย่างไรอาเสวี่ยก็เป็นเด็กสาวที่ดี 


 


 


คงเพราะเมื่อคืนสูญเสียพละกำลังไปมาก อีลั่วเสวี่ยกินข้าวสวยหนึ่งชามและกับข้าวจนหมดจึงรู้สึกอิ่ม 


 


 


“อาเสวี่ย วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ คุณอยากไปเที่ยวที่ไหน ผมจะไปเป็นเพื่อน” เฉวียนหมิงวางชามและตะเกียบไว้ข้างๆ มองดูอีลั่วเสวี่ยด้วยสายตาอ่อนโยน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ทั้งคู่จะได้มาอยู่ร่วมกัน ต้องทะนุถนอมเวลานี้ให้ดี 


 


 


ไม่เช่นนั้นพอเธอไปเรียน เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันก็จะน้อยมาก 


 


 


อีลั่วเสวี่ยครุ่นคิดเล็กน้อย “ฉันเองก็ไม่รู้ อยากออกไปเดินๆ บ้าง ที่ไหนก็ได้ ดื่มกาแฟ เดินช้อปปิ้ง” เดินช้อปปิ้งไม่แน่ว่าจะต้องซื้อเสื้อผ้า ยังสามารถสัมผัสกับบรรยากาศที่คึกคัก 


 


 


คนเป็นสัตว์สังคม อยู่คนเดียวตามลำพังนานเกินไปอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้น คนป่วยโรคซึมเศร้าจำนวนมากล้วนไม่ชอบออกไปนอกบ้าน การออกไปเคลื่อนไหวข้างนอกจะช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย ที่จริงก็มีประโยชน์สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเธอ 


 


 


“ดี ทำตามที่คุณว่า คุณลุกขึ้นมาเตรียมตัว แล้วเราออกเดินทาง” เฉวียนหมิงพูดจบก็ยกถาดอาหารออกไปจากห้อง 


 


 


ถึงตอนนี้อีลั่วเสวี่ยจึงลุกจากเตียง พอเดินไปได้สองสามก้าวก็รู้สึกว่าแข้งขาอ่อน แล้วอดนึกถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นทันที 


ตอนที่ 420 เรากำลังนัดกัน 


 


 


เธอจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อคืนวุ่นวายกันอยู่นานแค่ไหน แต่เช้านี้ทำให้เธอรู้สึกอ่อนล้ามาก ยังดีที่เธอไม่ใช่คนธรรมดา พอเคลื่อนพลังทิพย์ในตัวและผ่อนคลายเส้นชีพจรบ้าง ความรู้สึกเหนื่อยล้าก็สลายไปทันที 


 


 


อีลั่วเสวี่ยมาที่ห้องน้ำ เห็นถ้วยและแปรงสีฟันใหม่เอี่ยมวางไว้บนชั้น พอดูให้ละเอียดก็พบว่ายังไม่ถูกเปิดใช้ ถ้วยเข้าคู่กับถ้วยสีน้ำเงินด้านข้าง เป็นถ้วยแบบคู่รัก 


 


 


คิดไม่ถึงว่าเฉวียนหมิงจะมีเวลาที่เป็นหนุ่มที่น่ารักแบบนี้ พอมองดูก็มีรอยยิ้มที่มุมปากเธอ 


 


 


หลังจากแปรงฟันเสร็จก็ล้างหน้า พอเธอเห็นใบหน้าตัวเองในกระจกก็ถึงกับผงะ รู้สึกราวกับว่าตัวเองมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป แต่บอกไม่ถูก 


 


 


“อาจเพราะความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนเดิม” อีลั่วเสวี่ยมองดูกระจกแล้วคิดปลอบใจตัวเอง 


 


 


หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เดินลงบันไดไปห้องตัวเองเลือกชุดที่ชอบ พอเธอเดินมาถึงบันได้ก็พบดวงตาสองคู่กำลังมองเธออย่างเพ่งพิจารณา 


 


 


เธอเพ่งมอง พบว่าเป็นนายท่านผู้เฒ่ากับเหล่าเกา พอเหล่าเกาเห็นแววตาเธอก็รีบดึงสายตากลับ รีบเช็ดโต๊ะ จัดหมอนอิงบนโซฟาในห้องรับแขก 


 


 


“ปู่คะ มีเรื่องอะไรไหม?” เธอเห็นนายท่านผู้เฒ่าจ้องมองตนเองแต่ไม่พูดอะไร อีลั่วเสวี่ยจึงอดถามไม่ได้ 


 


 


นายท่านผู้เฒ่าสั่นศีรษะ “ไม่มี ไม่มีอะไร เธอไม่ทำธุระเถอะ” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยนึกสงสัย แต่ไม่คิดอะไรมาก กลับไปห้องของตนเองเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่นายท่านผู้เฒ่ารู้สึกพอใจมาก นับว่าหลานชายตัวเองเก่งมาก ในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว งั้นเขาคงต้องเลิกก่อกวนชั่วคราว 


 


 


อืม แค่ชั่วคราวนะ ถ้าเกิดเธอขาดคุณสมบัติ เขาก็ต้องพูด นายท่านผู้เฒ่าพูดปลอบใจตนเอง ความจริงแล้วในใจไม่รู้สึกขัดแย้งอย่างเมื่อก่อนแล้ว หรืออาจพูดว่าก็แค่ทำใจไม่ได้เท่านั้นเอง 


 


 


ไม่นานนักเฉวียนหมิงและอีลั่วเสวี่ยก็ออกจากคฤหาสน์ภายใต้แววตาที่อ่อนโยนของนายท่านผู้เฒ่า ก่อนออกไปเธอยังไม่หายสงสัย “วันนี้ปู่กินยาแล้วใช่ไหม ดูอารณ์ดีเป็นพิเศษ” 


 


 


เฉวียนหมิงไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ก็เป็นไปได้ กลับมาค่อยถามเหล่าเกาดู เป็นเพราะให้ปู่กินยาลดความดันมากไปหรือเปล่า” 


 


 


เฉวียนหมิงขับรถมาจอดยังสถานที่แห่งหนึ่งใจกลางเมือง ที่นี่นับว่าผู้คนพลุกพล่าน รอบๆ ยังมีบริเวณที่สภาพแวดล้อมเงียบสงบ มีร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม 


 


 


“บังเอิญจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะพบพวกคุณที่นี่” หลังจากที่เฉวียนหมิงและอีลั่วเสวี่ยลงจากรถ เดินมาตามถนนก็เห็นซีเหมินหลงเซี่ยวสวมแว่นตาดำแต่งตัวไม่โดดเด่นเดินสวนมาพร้อมกับบอดี้การ์ดของเขา 


 


 


วันนี้บอดี้การ์ดไม่สวมสูทดำ จึงดูไม่สะดุดตา 


 


 


เฉวียนหมิงโอบอีลั่วเสวี่ยไว้ ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมาก “ใช่ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบคุณชายซีเหมินที่นี่ บังเอิญจริง คนอย่างคุณชายซีเหมินยังมาเดินเตร่แถวนี้?” 


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวยิ้มเจื่อนๆ “ใครๆ ก็เดินเที่ยวได้ อีกอย่างเมืองเอฟก็คึกคักมาก ผมเองอยากทำความคุ้นเคยกับชีวิตความอยู่ของผู้คนที่นี่ เพราะอย่างไรช่วงนี้ผมยังต้องอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง จนกว่าบริษัทสาขาดำเนินกิจการได้เป็นปกติแล้ว” 


 


 


“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง งั้นเราไม่รบกวนคุณชายซีเหมินชื่นชมกับความเจริญของเมืองเอฟแล้ว เราขอตัวก่อนค่ะ” อีลั่วเสวี่ยยิ้มที่มุมปาก 


 


 


เฉวียนหมิงพยักหน้าแล้วพูดเสริม “ที่พูดก็ถูก งั้นค่อยพบกันใหม่ครับคุณชายซีเหมิน!” 


 


 


ถึงตอนนี้ซีเหมินหลงเซี่ยวยิ้มแล้วพูดว่า “ทั้งสองท่านอย่าเพิ่งรีบผละไป สามารถเจอกันข้างนอกถือว่าถูกชะตากัน งั้นเราไปหาสถานที่กินอาหารกัน ตั้งแต่จากกันครั้งก่อน นานแล้วที่ไม่ได้เจอพวกคุณ” 


 


 


เฉวียนหมิงหยุดเดิน ชูมือที่จับมืออีลั่วเสวี่ยไว้ขึ้นมา “ขอบคุณคุณชายซีเหมินมาก แต่เรากำลังนัดกันอยู่ ต้องขอโทษด้วย คุณชายซีเหมินโปรดอย่าถือ ครั้งหน้าผมเลี้ยงเอง” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 421 คนที่เขาชอบคือฉัน 


 


 


อีกฝ่ายปฏิเสธเช่นนี้แล้ว ถ้ายังยืนกรานก็คงไม่เหมาะ ซีเหมินหลงเซี่ยวผงกศีรษะ “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขออวยพรทั้งสองท่านเที่ยวให้สนุกครับ” 


 


 


“ขออวยพรให้คุณชายซีเหมินสนุกกับการเดินเที่ยวเช่นกัน” ดูเหมือนเฉวียนหมิงจะอารมณ์ดี เขาตอบกลับ ทั้งสองดูเหมือนเพื่อนสนิท แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น 


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวมองตามหลังอีลั่วเสวี่ยและเฉวียนหมิง ในหัวมีภาพแหวนหยกบนนิ้วมือเธอผุดขึ้น เป็นเรื่องที่คาใจเขา 


 


 


“เจ้านายครับ” บอดี้การณ์เห็นซีเหมินหลงเซี่ยวใจลอย จึงร้องเรียก 


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวตั้งสติได้ รีบดึงสายตากลับมา แล้วพูด “ไปเถอะ” 


 


 


เขารู้สึกว่าแหวนวงนั้นดูเหมือนจะต่างกับคราวก่อน เขาคิดมากไปหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ ทำไมต่อมาแหวนหยกจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเมืองเอฟ 


 


 


รวมทั้งที่หมอปีศาจไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ถึงเธอจะชนะการประมูลด้วยราคามหาศาล 


 


 


หรือว่ามีคนที่พุ่งเป้ามาที่แหวนหยกวงนี้ มีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกับเขา? ซีเหมินหลงเซี่ยวคิดๆ ดวงตาหรี่ลง กวักมือเรียกบอดี้การ์ด กระซิบสั่งสองสามคำ 


 


 


“ครับ เจ้านาย ผมจะสั่งให้คนไปตรวจสอบ แต่ว่าเจ้านายรองและเจ้านายสามได้ข่าวทีหลังเรา ไม่น่าจะลงมือเร็วกว่าเราจึงจะถูกครับ” บอดี้การ์ดพูดด้วยความมั่นใจ 


 


 


ซีเหมินหลงเซี่ยวเดินไปข้างหน้า สีหน้าเคร่งขรึม “อย่าดูเบาสองคนนั้น” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยเดินเที่ยวครู่หนึ่งก็รู้สึกคอแห้ง จึงชวนเฉวียนหมิงเข้าไปหาอะไรดื่มในร้านเครื่องดื่มแห่งหนึ่ง 


 


 


ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน คิดไม่ถึงว่ามือถือเฉวียนหมิงจะดังขึ้น เขาหยิบมือถือ เดินมาข้างๆ รับสาย พอดีอีลั่วเสวี่ยต้องการไปห้องน้ำ จึงลุกขึ้นมองดูเฉวียนหมิงซึ่งยืนหันหลังให้เธออยู่ไม่ห่าง เธอจึงไม่ได้ร้องบอกเขา เดินตรงไปที่ห้องน้ำ 


 


 


“เจ้าเข้าไปเองเถอะ ข้าจะรออยู่ข้างนอก” เจ้าลูกบอลเงินอยู่ที่นี่นานแล้ว จนมีนิสัยคล้ายคนมากขึ้นทุกที จากนั้นก็ลอยไปมาในร้านอย่างสนุกสนาน 


 


 


อีลั่วเสวี่ยทำธุระเสร็จก็เดินมาที่อ่างล้างมือ แล้วพบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาอยู่ที่ด้านข้าง กำลังล้างมือด้วยท่าทางคล่องแคล่ว อีลั่วเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมอง เห็นคนที่เธอคุ้นหน้า 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเดินออกไป คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดขึ้น 


 


 


“คุณโหยว บังเอิญจริงๆ คุณก็มาหาอะไรดื่มที่นี่หรือ?” ฟางจื่อชิวล้างมือเสร็จก็เดินมาตรงเครื่องเป่ามือให้แห้งด้านข้าง ต่างจากอีลั่วเสวี่ยที่ดึงกระดาษเช็ดมือออกมา 


 


 


“ใช่ค่ะ คุณฟางก็มาที่นี้เช่นเดียวกันหรือ?” เห็นชัดๆ แล้วก็ยังแกล้งถาม แต่เมื่ออีกฝ่ายถามเธอจึงย้อนถามบ้าง จริงสิ โรงพยาบาลประจำเมืองดูเหมือนจะอยู่แถวนี้ จึงไม่แปลกที่เจอเธอ 


 


 


แต่คราวนี้ฟางจื่อชิวกลับไม่อ่อนโยนน่ารักราวกับนางฟ้าอย่างเมื่อก่อน กลับเผยรอยยิ้มที่ดูท้าทายและเหนือกว่า “อีลั่วเสวี่ย เธอคิดว่าที่เฉวียนหมิงอยู่กับเธอเพราะสาเหตุอะไร? เขาชอบเธอหรือ?” 


 


 


ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่เฉวียนหมิงยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเธอ บางทีคำพูดนี้อาจจะทำให้เธอหมั่นไส้ แต่เวลานี้ต่างออกไปแล้ว เธอย่อมรู้ว่าทำไมเฉวียนหมิงจึงชอบเธอ 


 


 


“ดูเหมือนคุณฟางจะสนใจเรื่องของคนอื่นนะ” อีลั่วเสวี่ยสีหน้ากร้าว พูดเลี่ยง ไม่ตอบที่ฟางจื่อชิวถาม 


 


 


คำตอบนี้ทำให้ฟางจื่อชิวรู้สึกไม่พอใจ “เธออย่าหลงดีใจ ที่เฉวียนหมิงชอบก็คือฉัน มีเพียงฉันเท่านั้นที่เหมาะที่สุดที่จะยืนอยู่ข้างตัวเขา ส่วนเธอ นอกจากทำให้เขาเดือดร้อนแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ท่าทีปู่เฉวียนก็ชัดเจน หรือเธอดูไม่ออก?” 


 


 


ในสายตาปู่เฉวียนคนที่เหมาะจะเป็นหลานสะใภ้ที่สุดคือเธอ ไม่ใช่เด็กสาวคนนี้ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่บินไปศึกษาวิชาแพทย์ไกลโพ้นถึงต่างประเทศ แล้วรีบกลับมาอย่างนี้ 


 


 


ผู้หญิงคนนี้ฉวยโอกาสที่เธอไม่อยู่ที่เมืองเอฟ ชิงผู้ชายของเธอไป น่าแค้นใจจริงๆ! 


ตอนที่ 422 ตอนเด็กสนิทกันมาก 


 


 


แต่งงาน เฉวียนหมิงถึงกับแต่งงานกับผู้หญิงอย่างนี้ เธอไม่เข้าใจจริงๆ อีลั่วเสวี่ย ก็แค่ลูกสาวบุญธรรมของบริษัทเล็กๆ ที่เจ๊งไปแล้ว จะมีอะไรดี! 


 


 


เธอต้องใช้วิธีบางอย่างขู่บังคบเฉวียนหมิงแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาจะแต่งงานกับเธอหรือ หญิงสาวมากมายอยากเบียดเข้ามาในสังคมระดับสูง ใช้วิธีต่างๆ เพื่อเอาใจคนเหล่านี้ ก็เพื่อหวังชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ 


 


 


ฟางจื่อชิวคิดว่าอีลั่วเสวี่ยก็คงเป็นอย่างนั้น ข้างนอกล้วนลือว่าเฉวียนหมิงจะมีอายุขัยอีกไม่นานแล้ว เธอต้องหวังครอบครองเฉวียนกรุ๊ปแน่นอน ถึงทำทุกวิถีทางแบบนี้ ใช่แน่ๆ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยไม่รู้เลยว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งนาที ในสมองของผู้หญิงตรงหน้าเธอจะสร้างเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเธอในสมอง 


 


 


“พอมองออก คุณหวังจะให้ฉันมองอย่างไรหรือ?” อีลั่วเสวี่ยยิ้มแล้วถามอย่างไม่ยี่หระ เธอไม่ใช่ผู้หญิงใจแคบแบบที่เจ้าคิดเจ้าแค้น 


 


 


ที่นายท่านผู้เฒ่าไม่พอใจเธอหลายเรื่องนั้นเกิดจากความรักและห่วงใยเฉวียนหมิง คิดๆ แล้วคนอายุปูนนี้ควรจะได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข อย่างน้อยก็มีลูกที่กตัญญูคอยดูแล 


 


 


แต่พ่อแม่เฉวียนหมิงเสียชีวิตแต่เนิ่น ภรรยาก็จากไปตั้งแต่เฉวียนหมิงห้าขวบ เท่ากับเขาผ่านการสูญเสียคนใกล้ชิดถึงสองครั้ง ทั้งยั้งทุ่มเทชีวิตจิตใจเพื่อเลี้ยงดูเฉวียนหมิง คอยห่วงอาการป่วยของหลานชาย 


 


 


นอกจากนี้ที่เขารู้สึกต่อเฉวียนหมิงไม่ใช่แค่ความเป็นหลานเท่านั้น ยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่เขามีต่อลูกชาย ลูกชายตัวเองจากไปแล้ว เขาจึงวางความคาดหวังทั้งหมดไว้บนตัวเฉวียนหมิง 


 


 


ส่วนที่นายท่านผู้เฒ่าเห็นเธอแล้วรู้สึกขัดตา สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะเฉวียนหมิงเถียงกับแกเพื่อเธอ ทำให้แกไม่พอใจ คนแก่คนหนึ่ง ต้องแสดงบทบาทของปู่ที่อ่อนโยน ยังต้องแสดงบทบาทของพ่อที่เข้มงวดและบทบาทของแม่ที่รอบคอบ แกคนเดียวย่อมไม่ง่ายเลย 


 


 


เธอไม่ใช่เด็กสาวซื่อๆ ใสบริสุทธิ์ รู้จักแต่คิดถึงคนอื่น แต่นายท่านผู้เฒ่าเป็นแบบนั้นจริง ปากเขาพูดต่อต้านเธอ แต่ก็ยังกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อเธอ ไม่เช่นนั้นวันนั้นที่หน้าร้านอาหารเขาสามารถทำให้เรื่องราววุ่นวายใหญ่โต ก่อกวนไม่เลิกเพื่อทำให้เฉวียนหมิงเลิกสนใจเธอ 


 


 


ฟางจื่อชิวหรี่ตาเล็กน้อย “จิตใจเธอดีจริงนะ แต่ฉันก็หวังว่าเธอจะปล่อยเฉวียนหมิง เขาไม่ใช่คนที่เธอจะคาดหวัง ก็แค่เพื่อเงินไม่ใช่หรือ เธออยากได้เงินเท่าไหร่จากเฉวียนหมิง ฉันให้ธอได้ แล้วไปจากเขาซะ!” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยรู้สึกสนุกเมื่อได้ยินเช่นนี้ ละครทางทีวีพ่อแม่ฝ่ายใช้มักเอาเงินฟาดหัวนางเอก แต่ฟางจื่อชิวซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเฉวียนหมิง ก็ยังมาไม้นี้ 


 


 


แต่น่าเสียดายที่เธออีลั่วเสวี่ยไม่ใช่เด็กสาวที่อ่อนแอปล่อยให้นางปีศาจรังแกตามใจชอบ อีกอย่าง ถ้าจะเทียบความร่ำรวยกันแล้ว ดูเหมือนเธอต่างหากที่มีเงินมากกว่า เงินของเจ้าลูกบอลเงิน มากพอที่จะทำให้เธอเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 


 


 


แต่ว่าเธอไม่มีความชื่นชอบเรื่องนี้ เงินนั้นจะมีความหมายถ้าตัวเองค่อยๆ ทำงานหามาเอง 


 


 


“ว่าไง เธอคิดว่าฉันพูดเล่นหรือ?” ฟางจื่อชิวนึกสงสัยเมื่อเห็นอีลั่วเสวี่ยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยกมุมปากขึ้น “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เพียงแต่คุณมีเหตุผลอะไรที่จะให้ฉันไปจากเฉวียนหมิง ข้อแรก คุณไม่ใช่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แล้วทำไมฉันต้องฟังคุณ?” 


 


 


ฟางจื่อชิวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกกระหยิ่มใจทันที “ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ฉันกับเฉวียนหมิงรู้จักกันตั้งแต่เล็ก สนิทสนมกันมาก เราต่างหากที่รักกันจริง ฉันไปเรียนต่อต่างประเทศหลายปี เขาเหงาก็เลยมาหาเธอ เธอคิดว่าเขาชอบเธอจริงๆ งั้นหรือ?” 


 


 


รู้จักกันตั้งแต่เล็ก สนิทสนมกันมาก เธอนะหรือที่คู่ควรกับเฉวียนหมิง แววตาอีลั่วเสวี่ยเปี่ยมด้วยความเย้ยหยัน 


 


 


อีลั่วเสวี่ยเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่เชิง “เขาชอบหรือไม่ฉันเองย่อมรู้ดี แต่แน่นอนว่าคุณย่อมไม่รู้จึงจะถูกต้อง ส่วนเงิน คุณมีเงินมากกว่าประธานของเฉวียนกรุ๊ปหรือ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 423 คุณมั่นใจตัวเองจริงนะ 


 


 


ผู้ที่กุมอำนาจฟางกรุ๊ปไม่ใช่ฟางจื่อชิว ถ้าเธอมีอำนาจดังกล่าว ที่พูดเช่นนี้ก็ไม่ใช้โอ้อวดเกินไป แต่ขณะนี้ถือดีอะไรที่คิดว่าตัวเธอเองมีเงินมากมายขนาดนั้น แล้วคิดว่ามีเงินก็จะสามารถทำอะไรได้ดั่งใจหรือ? 


 


 


ที่อีลั่วเสวี่ยพูดเช่นนี้ กลับทำให้ฟางจื่อชิวเข้าใจผิด เธอคิดว่าอีลั่วเสวี่ยมีเป้าหมายที่เฉวียนกรุ๊ปจริงๆ  ที่จับเฉวียนหมิงไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเพราะมีเป้าหมายที่ซ่อนเร้น 


 


 


“เรื่องเงินคุยกันได้ ว่ามา เธอต้องการเท่าไหร่ ฉันให้เธอได้ แต่เธอต้องหย่ากับเฉวียนหมิงทันที!” เธอเกลียดเรื่องนี้ที่สุด เฉวียนหมิงถึงกับแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ยังจดทะเบียนสมรสด้วย 


 


 


แต่ไม่เป็นไร เธอจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนี้สมหวังเด็ดขาด 


 


 


“จริงสิ เธอกุมจุดอ่อนอะไรเฉวียนหมิงไว้ เอาให้ฉัน เรื่องเงินคุยกันได้” ฟางจื่อชิวท่าทางมุ่งร้าย มองอีลั่วเสวี่ยด้วยสีหน้าเหมือนกำลังมองขอทาน 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าฟางจื่อชิวคงจะสมองกลวง ทำไมถึงคิดเพ้อฝันแต่เรื่องที่ไม่มีอยู่จริง มีความสามารถแบบนี้ไม่ไปแต่งละคร กลับมาเป็นหมอ อันตรายจริงๆ 


 


 


ถ้าเกิดขณะที่ผ้าตัดให้คนป่วย เดิมต้องตัดเนื้อทิ้งชิ้นเดียว เกิดนึกขึ้นว่าการผ่าตัดไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วตัดเนื้อเพิ่มอีกชิ้นไม่เดือนร้อนหรือ โดยเฉพาะการผ่าตัดที่ต้องละเอียดแม่นยำเป็นพิเศษ ตัดออกมากไปแค่ไม่กี่มิลก็อาจถึงตายได้ 


 


 


“คุณไปได้ยินมาจากจากไหนว่าฉันกุมจุดอ่อนของเฉวียนหมิงไว้แล้วใช้ข่มขู่เขา?” คุณพระช่วย ฟางจื่อชิวเพิ่งกลับมากี่วัน ยังไม่ทันสอบถามข่าวคราวก็ลงมือแล้ว หรือไม่ควรสืบให้เรื่องราวให้ชัดเจนก่อน 


 


 


ดูอย่างบรรดาพระสนมวังในของฮ่องเต้สมัยโบราณ ยังต้องรู้เขารู้เราจึงจะรบชนะทุกครั้ง ส่วนผู้หญิงคนนี้ เอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะเอาชนะเธอได้ 


 


 


ฟางจื่อชิวยิ้มหยัน “เธอไม่ต้องสนใจว่าฉันได้ยินข่าวมาจากไหน ถ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควรก็บอกราคามา เฉวียนหมิงไม่อยากเปิดโปงเธอ นั่นเป็นเพราะเขามีความเป็นสุภาพบุรุษ เธออย่าคิดว่าเขาชอบเธอเด็ดขาด เป็นไปไม่ได้หรอก” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยสั่นหัวด้วยความจนใจ แล้วถอนหายใจ “คุณฟาง ฉันพบว่าที่ตัวเองคิดกับที่คุณคิดเป็นคนละเรื่องกัน งั้นต้องขอโทษด้วย ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร” 


 


 


ยังคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเก่งแค่ไหน คาดไม่ถึงว่านอกจากใช้เงินฟาดหัวแล้วไม่เห็นจะเก่งอะไร 


 


 


“เธอหมายความว่ายังไง?” ฟางจื่อชิวรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอก แต่นึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่ หรือที่เธอพูดไปทั้งหมดเมื่อกี้เป็นการพูดที่สูญเปล่า? 


 


 


“ความหมายก็คือฉันจะไปแล้ว คุณฟาง แล้วพบกันใหม่!” อีลั่วเสวี่ยพูดจบก็เดินไปที่ประตู 


 


 


ฟางจื่อชิวผงะ รีบขวางเธอไว้ สายตาแหลมคม “อีลั่วเสวี่ย อย่ามั่นใจตัวเองเกินไป เฉวียนหมิงไม่ชอบเธอหรอก! ฉันต่างหากที่เป็นรักแรกของเขา เป็นคนที่เขารักที่สุด” 


 


 


พอเธอพูดเช่นนี้ทำให้อีลั่วเสวี่ยโมโหแล้ว เธอยิ้มที่มุมปาก สีหน้าแสดงอาการเย้ยหยัน “รักแรก? รักที่สุด? คุณอยู่ต่างประเทศหลายปี เขาเคยโทรหาหรือส่งของไปให้คุณบ้างไหม? หรือไปเยี่ยมคุณที่ต่างประเทศ คนเราไม่ควรเอาแต่ฝันกลางวัน!” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยพูดจบก็ผลักฟางจื่อชิวเบาๆ ท่าทางหยิ่งผยอง ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำก็ชะงักเล็กน้อย ฟางจื่อชิวยังคิดว่าเธอกลับใจแล้ว 


 


 


คาดไม่ถึงว่าคำพูดต่อมาของอีลั่วเสวี่ยจะทำให้เธอแทบคลั่ง อีลั่วเสวี่ยพูดว่า “คุณบอกว่าเฉวียนหมิงมาหาฉันเพราะเขาเหงา แต่ถ้าเวลาที่เขาเหงายังไม่ไปหาคุณ หรือนั่นไม่พอที่จะพิสูจน์ว่าหัวใจเขาไม่มีคุณอยู่ในนั้นแน่นอน คุณอย่ามั่นใจตัวเองเลย” 


 


 


ว่ากันตามจริง ขณะที่ฟางจื่อชิวพูดเป็นตุ๊เป็นต๊ะว่าเฉวียนหมิงรักเธอที่สุดนั้น เธอคงจะมีอาการประสาทหลอน ผู้หญิงคนนี้เอาความมั่นใจมาจากไหน เฉวียนหมิงบอกว่าชอบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


คงจะฝันไปเอง ไร้เดียงสาจริงๆ! 


ตอนที่ 424 ถูกอีลั่วเสวี่ยพูดเหน็บแนม


 


 


อีลั่วเสวี่ยทิ้งคำพูดเหน็บแนมไว้แล้วเดินผละไป รองเท้าส้นสูงย่ำพื้นส่งเสียงเบาๆ ราวกับมีคนใช้อะไรบางอย่างฟาดใส่หัวใจฟางจื่อชิวอย่างรุนแรง ทำให้เธอรู้สึกทุกข์ทรมานสุดขีด!


 


 


คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงอย่างอีลั่วเสวี่ยจะคารมร้ายกาจเช่นนี้ ให้ตายสิ ทำไมเฉวียนหมิงถึงได้ชอบผู้หญิงที่ร้ายกาจแบบนี้นะ


 


 


แม้ในใจจะไม่พอใจเพียงไร แต่ความเชื่อมั่นในตนเองที่บ่มเพาะมาตั้งแต่เด็กทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจเพียงไม่กี่นาที อย่างน้อยก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า เธอกลับเผยรอยยิ้มของตนเองอย่างสง่างามในกระจก


 


 


ฟางจื่อชิวปรับสีหน้าตัวเองเรียบร้อยแล้ว ถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องน้ำ


 


 


อีลั่วเสวี่ยเพิ่งเดินออกไป ทอดสายตาไปยังจุดที่เฉวียนหมิงยืนอยู่ แต่กลับไปเห็นเขา แล้วกวาดตามองหา พบว่าเขาเดินไปมาในร้านท่าทางกระสับกระส่าย ยังโทรหาเธอไม่หยุด ดูเหมือนจะกังวลมาก


 


 


เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าวางมือถือไว้ตรงที่นั่ง จึงยิ้มให้เขา แล้วเดินไปหาเฉวียนหมิงโดยไม่พูดอะไร


 


 


“คุณหาอะไรอยู่หรือคะ?” อีลั่วเสวี่ยยืนอยู่ข้างหลังเฉวียนหมิง แกล้งถามเขาเล่น


 


 


เฉวียนหมิงถึงกับสะดุ้ง แล้วค่อยๆ หันมา ไม่พูดอะไรแต่กอดเธอไว้แน่น จนอีลั่วเสวี่ยแทบจะหายใจไม่ออก เธอรู้สึกถึงความกระวนกระวายของคนกอดได้


 


 


อีลั่วเสวี่ยเองก็ใจอ่อนลง แล้วกอดเขาเช่นกัน “เป็นอะไรไป เกิดหรืออะไรหรือเปล่า? หรือปู่โทรเรียกให้คุณกลับไป?” หรือปู่โมโหมาก จะออกมาคิดบัญชีกับเธอ?


 


 


อีลั่วเสวี่ยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้แต่คาดเดาไปเอง นอกจากเรื่องนี้แล้ว เธอก็นึกไม่ออกว่ายังมีเรื่องอะไรที่ทำให้เฉวียนหมิงดูเครียดอย่างนี้ หรือว่าทางนายท่านผู้เฒ่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?


 


 


“ปู่โมโหจนเป็นอะไรไปอีกหรือ?” อีลั่วเสวี่ยเห็นเฉวียนหมิงไม่ตอบ ยังคงกอดเธอไว้ จึงลองเดาดู


 


 


เฉวียนหมิงสั่นหัว แล้วคลายมือออกจากอีลั่วเสวี่ยเล็กน้อย พูดด้วยความอึดอัด “ไม่ใช่หรอก ไม่เกี่ยวกับปู่”


 


 


“งั้นอะไรหรือ?” น่าแปลก ก่อนหน้านี้เฉวียนหมิงไม่เคยเป็นอย่างนี้


 


 


ถึงตอนนี้เฉวียนหมิงเลิกกอดอีลั่วเสวี่ยแล้ว แต่จับแขนสองข้างของเธอไว้ ดวงตาเปี่ยมด้วยความหวั่นวิตก “อาเสวี่ย ผมมองหาคุณไม่เจอ โทรหาก็ไม่รับสาย ผมถามพนักงานในร้าน เธอไม่เห็นคุณออกไป ผมยังคิดว่า…คิดว่าคุณกลับโลกนั้นไปแล้ว”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรจะไปไหนล้วนไม่มีใครรู้ได้ เมื่อครู่เขานึกจริงๆ ว่าอีลั่วเสวี่ยไปแล้ว จากไปโดยไม่ล่ำลา


 


 


“คุณคิดมากเกินไป โลกนั้นไม่ใช่จะไปได้ง่ายๆ ฉันก็แค่ไปห้องน้ำ เมื่อกี้เห็นคุณคุยโทรศัพท์เหมือนยุ่งมาก เลยไม่ได้บอกคุณ คุณหันหลังให้ฉันจึงไม่เห็น”


 


 


เธอไม่ได้บอกว่าเดิมกำลังจะออกจากห้องน้ำแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าจะเจอฟางจื่อชิว เลยคุยกับเธอเล็กน้อย จนทำให้เฉวียนหมิงเข้าใจผิด


 


 


เฉวียนหมิงได้ยินเช่นนั้นจึงหายวิตก “งั้นก็ดีแล้ว ผมยังคิดว่า ไม่มีอะไรแล้ว อาเสวี่ย เราไปนั่งเถอะ เครื่องดื่มที่สั่งมาแล้ว” เขาไม่พูดต่อ แล้วโอบอีลั่วเสวี่ยเดินกลับไปยังที่นั่ง


 


 


ภาพเมื่อครู่ที่ทั้งสองกอดกันแน่นถูกคนในร้านอาหารถ่ายเก็บไว้ ท่าทางของทั้งคู่ดูสง่างาม ดูรักใคร่กันอย่างดูดดื่ม ทำให้มีคนนึกว่าเป็นการถ่ายหนัง


 


 


ฟางจื่อชิวซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรู้สึกอิจฉาจนดวงตาเต็มไปด้วยเปลวไฟ ความโกรธเกรี้ยวและเคียดแค้นรุมเร้าจิตใจเธอ


 


 


ทั้งหมดนี้เดิมควรจะเป็นของเธอ ผู้หญิงคนนี้ช่างไร้ยางอาย น่าแค้นใจจริงๆ!


 


 


อีลั่วเสวี่ยย่อมรู้สึกถึงสายตาอำมหิตที่ด้านหลัง แต่เธอไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ก็แค่ตัวอิจฉาเล็กๆ จะใส่ใจไปทำไม


 


 


 


 


ตอนที่ 425 อย่าจากผมไป


 


 


คิดดูว่าเธอซึ่งเป็นคนที่มีชีวิตผ่านสองโลกมาแล้ว สถานการณ์อะไรบ้างที่เธอไม่เคยเจอ แล้วจะถูกผู้หญิงอย่างนี้โค่นลงได้หรือ จะมาไม้ไหนเธอก็ไม่กลัว มาก็โต้กลับ


 


 


“อาเสวี่ย คุณกำลังคิดอะไรอยู่?” หรือเธออยากจะไปจริงๆ พอเฉวียนหมิงคิดเช่นนี้ก็รู้สึกปวดร้าวหัวใจ ขมวดคิ้วแน่น


 


 


อีลั่วเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้ม “ฉันไม่ได้คิดอะไร แต่คุณสิ ทั้งวันคิดอะไรอยู่หรือ ฉันพูดเมื่อไหร่ว่าจะไป คุณถึงได้กังวลอย่างนี้?” ดูเหมือนเธอจะไม่เคยพูดนะ


 


 


แต่เธอไม่รู้ว่านับจากที่เธอบอกว่าเธอมาจากโลกที่เร้นลับอีกโลกหนึ่ง เฉวียนหมิงก็กลัวว่าสักวันหนึ่งเธอจะจากไปอย่างเงียบๆ เขาอาจไม่ได้พบเธออีก เหมือนที่เธอมาจากโลกนั้นอย่างเงียบๆ


 


 


แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เขาคิดเองทั้งสิ้น ผู้ชายก็อย่างนี้แหละ ไม่ใช่จะพูดความในใจทุกเรื่องออกมา


 


 


“อาเสวี่ย อย่าจากผมไป” หลังจากนั่งลงแล้ว เฉวียนหมิงยื่นมืออกไปกุมสองมือเธอไว้ ดวงตาฉายแวววิงวอนและหวั่นใจ ขณะนี้เขาเป็นเหมือนเด็ก กลัวว่าคนสำคัญข้างตัวจะจากไป


 


 


ความรู้สึกตอนที่พ่อแม่จากไปอย่างกะทันหันตอนเขาห้าขวบผุดขึ้นมาอีก เขาทุกข์ใจ ทุกข์ใจเป็นพิเศษ รู้สึกแย่มากๆ


 


 


อีลั่วเสวี่ยเผยอปาก อยากพูดปลอบเขา แต่พอเห็นเฉวียนหมิงเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกปวดร้าวใจ เธอจึงพยักหน้าแล้วพูด “ได้ ฉันรับปากคุณว่าจะไม่จากไปโดยไม่ล่ำลา”


 


 


โลกนี้มีคนที่มีเธออยู่ในใจตลอดเวลา แล้วเธอจะจากไปได้หรือ


 


 


“คุณคะ ของว่างที่พวกคุณสั่งค่ะ” พนักงานเห็นทั้งคู่มองกันด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรัก ก็รู้สึกว่าไม่ควรรบกวน จึงพยายามเดินให้ช้าลง พอมาถึงก็ชะงักเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น


 


 


เฉวียนหมิงตั้งสติได้แล้ว เขาผงกหัวเล็กน้อย แต่สายตาไม่ได้ละจากอีลั่วเสวี่ย ราวกับว่าถ้าเขาเผลอเมื่อไหร่เธอก็จะหายวับไป


 


 


อีลั่วเสวี่ยซาบซึ้งใจมาก “พอเถอะค่ะเฉวียนหมิง บอกคุณตรงๆ ก็ได้ ที่ที่มีคุณอยู่ ฉันไม่ไปไหนหรอก” เฉวียนหมิงต้องการคำตอบ พูดให้ถูกต้องก็คือต้องการคำสัญญาจากเธอ


 


 


ขอเพียงเธอรับปากกับเขา เขาก็จะเลิกคิดฟุ้งซ่านแบบนี้


 


 


เฉวียนหมิงได้ยินที่เธอพูด ดวงตาเขาเจิดจ้าขึ้น พูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ “จริงนะอาเสวี่ย คุณจะไม่ไป จะไม่ไปจากผม?”


 


 


“อืม” แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะตัดสินใจว่าเมื่อบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นเซียนก็จะกลับไปโลกของเธอ แต่เวลานี้ต่างไปแล้ว เธอมีคนที่ตนเองต้องคอยปกป้อง อยากครอบครองรักแท้ที่บริสุทธิ์


 


 


พอเฉวียนหมิงได้ยินคำตอบดวงตาก็ทอประกายทันที รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้น ความหล่อเหลาบวกกับรอยยิ้มที่เกิดจากจิตใจภายในช่างดูมีเสน่ห์


 


 


เวลานี้ใบหน้าเฉวียนหมิงมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น ใบหน้าเขาไม่แข็งทื่อเหมือนเมื่อก่อน คนเรายิ้มมากหน่อยย่อมดี ไม่เช่นนั้นอาจลืมได้ว่าจะยิ้มอย่างไร


 


 


แต่รอยยิ้มเขาถูกแขกที่ไม่ได้รับเชิญรบกวนแล้ว “เฉวียนหมิง บังเอิญจริง คุณก็อยู่ที่นี่” ฟางจื่อชิวมายืนอยู่ข้างตัวเฉวียนหมิง พูดทักทายอย่างเป็นมิตร ไม่เอ่ยถึงที่เพิ่งเจออีลั่วเสวี่ยแม้แต่น้อย


 


 


เธอไม่อยากพูด อีลั่วเสวี่ยเองก็คร้านจะเอ่ยถึง


 


 


“งั้นหรือ บังเอิญจริง คุณว่าจริงไหมอาเสวี่ย เรานัดกันก็ยังเจอเพื่อนได้” เฉวียนหมิงพูดขึ้นโดยไม่มองมาทางฟางจื่อชิว ท่าทีเหมือนมองไม่เห็นและไม่ใส่ใจ


 


 


อีลั่วเสวี่ยฝืนยิ้ม “ใช่ค่ะ บังเอิญมาก”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าฟางจื่อชิวแข็งทื่อ สุดท้ายก็ยังพยักหน้าอย่างมีมารยาท “ฉันต้องไปทำงาน แล้วค่อยหาเวลาเจอคุณ เฉวียนหมิง ลาก่อน” พูดจบก็เดินผละไปเลยโดยไม่ให้โอกาสเฉวียนหมิงพูดอะไร


 


 


เฉวียนหมิงคิ้วขมวดทันที “อาเสวี่ย ผมกับเธอไม่มีอะไรกันจริงๆ”


ตอนที่ 426 เหอเย่ว์กลับกองทหารแล้ว


 


 


ผู้หญิงนี้ไม่เพียงดวงวิญญาณจะไม่ยอมแตกสลาย ก่อนไปยังพูดให้คนเข้าใจผิด ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าปู่ตนเอง เฉวียนหมิงไม่อยากพูดกับฟางจื่อชิวแม้แต่คำเดียว!


 


 


ในฐานะผู้หญิง อีลั่วเสวี่ยทำไมจะไม่เข้าใจที่เมื่อกี้ฟางจื่อชิวหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยไว้ แต่น่าเสียดาย เธอไม่ใช่นางเอกซื่อๆ ในละครน้ำเน่า จะเข้าใจผิดเฉวียนหมิงเพราะเรื่องนี้


 


 


ต่อให้ไม่ได้เข้าใจผิดแต่ก็จะกลายเป็นปมในใจ กลายเป็นเรื่องยากจะอธิบายได้ระหว่างกัน


 


 


“ฉันย่อมรู้ว่าเธอมีเจตนาอะไร ฉันเข้าใจดีกว่าทุกคน หรือคุณคิดว่าฉันมองคนเล็กๆ อย่างฟางจื่อชิวไม่ออก?” คนอย่างอีลั่วเสวี่ยเป็นใคร ยังไม่ต้องพูดที่เธอมีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าฟางจื่อชิว กินเกลือข้ามทะเลมามากกว่าฟางจื่อชิวมากมาย


 


 


คิ้วเฉวียนหมิงที่ขมวดอยู่จึงคลายออก เขามองอีลั่วเสวี่ยด้วยความเสน่หา “อาเสวี่ย คุณเป็นคนพิเศษจริงๆ!” โลกนี้หาคนที่ฉลาดมีไหวพริบอย่างเธอไม่ได้อีกแล้ว


 


 


ดังนั้นคนที่อยู่ในหัวใจเขาที่ดีที่สุดก็ยังคงเป็นเธอ เธอเท่านั้น


 


 


“คุณเองก็พิเศษมากค่ะ” ผู้ชายในโลกเธอมีน้อยมากที่ชั่วชีวิตจะมีหญิงคนเดียวเป็นคู่ครอง มาถึงโลกนี้แม้ว่าจะยึดถือการมีผัวเดียวเมียเดียวก็ตาม แต่ก็มีคนมากมายที่ไม่ยึดมั่นในความรัก


 


 


เธอมองเห็นสิ่งที่ตนเองต้องการในตัวเฉวียนหมิง คือยึดมั่นในรักแท้ จริงจังและมั่นคงในความรัก


 


 


ทั้งคู่สบตากันแล้วยิ้ม กระแสแห่งความรักที่เข้มข้นไหลไปมาระหว่างกัน ดื่มเครื่องดื่มและกินขนม ความหวานในปากผสมผสานกับความหวานในหัวใจกลายเป็นความสวยงามที่พิเศษอย่างหนึ่ง


 


 


หลังจากเฉวียนหมิงและอีลั่วเสวี่ยยืนยันความรักระหว่างกันแล้ว เธอพักที่คฤหาสน์ของเฉวียนหมิงหลายวัน จากนั้นอีกหลายวันก็มาอยู่ที่คฤหาสน์เก่าของอวิ๋นเว่ย ทำกับข้าวบ้าง ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ


 


 


หนึ่งสัปดาห์ต่อมา


 


 


“ไง! เสี่ยวเย่ว์ ไปเดินช้อปปิ้งกันไหม?” เธออยู่กับเฉวียนหมิงนานจนละเลยหลิ่วเฟยซวง วันนี้เป็นวันศุกร์ หลังจากไม่มีวิชาเรียนแล้วเธอจึงโทรหาเสี่ยวเย่ว์ ชวนเธอออกมาเที่ยวด้วยกัน


 


 


ส่วนร้านเคบาร์นรกอเวจีหลังจากดำเนินกิจการไปในทางที่ถูกต้อง ก็ไม่เกิดเรื่องอะไรอีก พอชื่อเสียงกระจายออกไปแล้วเธอก็ไม่จำเป็นต้องคอยไปประจำอยู่ที่ร้าน คนของเธอที่นั่นสามารถดูแลได้


 


 


“หมดวันลาแล้วหรือ? อืม…งั้นฉันกับเฟยเฟยจะไปด้วยกัน” จากนั้นอีลั่วเสวี่ยก็วางสาย


 


 


หลิ่วเฟยซวงเอียงคอ “ว่าไงนะ เมื่อกี้ฉันฟังไม่ชัด”


 


 


“เสี่ยวเย่ว์จะกลับกองทหารแล้ว วันนี้เราไปเป็นแขกบ้านเธอกัน” นับจากที่กลับจากบ้านของหลิ่วเฟยซวงแล้ว เหอเย่ว์ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ตลอดเวลา ทำให้พ่อแม่เธอปลื้มใจมาก


 


 


“กลับไป คุณพูดถึงเหอเย่ว์ใช่ไหม?” ยังไม่ทันที่หลิ่วเฟยซวงจะแสดงความเห็น ก็มีเสียงดังขึ้นที่ข้างหลัง


 


 


อีลั่วเสวี่ยและหลิ่วเฟยซวงหันไปมอง ก็เห็นมีสามคนยืนอยู่ข้างหลัง ไม่ใช่ใครอื่น หนานหลิวเฟิงกับพวกนั่นเอง เพียงแต่คราวนี้คนที่ถามคือเว่ยเหลียนเฉิง


 


 


“ลั่วเสวี่ย เมื่อกี้คุณบอกว่าเสี่ยวเย่ว์จะไปแล้ว ใช่ไหม?” เว่ยเหลียนเฉิงไม่เชื่อ จึงถามขึ้น


 


 


หลิ่วเฟยซวงกับอีลั่วเสวี่ยพยักหน้า ไม่พูดอะไร หลานเย่หมิงเข้าใจทันที “มิน่าผมถึงไม่เจอเธอมาที่มหาวิทยาลัยสองอาทิตย์แล้วที่แท้ก็กลับบ้าน ตอนนี้เตรียมกลับกองทหารแล้ว” พวกเขารู้ว่าเหอเย่ว์เป็นทหาร เพียงแต่ไม่รู้ว่าเธอเป็นทหารสังกัดเขตทหารที่สิบสองเท่านั้น


 


 


“ตอนนี้พวกเราจะไปเป็นแขกบ้านเธอ แล้วหาเวลาส่งเธอ ว่าแต่คุณถามไปทำไม?” หลิ่วเฟยซวงมองเว่ยเหลียนเฉิงด้วยความแปลกใจ หมอนี้ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเหอเย่ว์สักนิด


 


 


เว่ยเหลียนเฉิงถูกถามจนพูดอะไรไม่ออก หนานหลิวเฟิงจึงช่วยแก้สถานการณ์


 


 


“ทุกคนเป็นเพื่อนกัน เมื่อคุณสองคนไป งั้นพาพวกเราไปด้วยสิ ไปกันหมดเลย พวกนายว่าจริงไหมเย่หมิง เหลียนเฉิง?”


 


 


 


 


ตอนที่ 427 บ้านเหอเย่ว์


 


 


หลานเย่หมิงย่อมรู้ดีว่าหนานหลิวเฟิงคิดอะไรอยู่ในใจ รีบพยักหน้าทันที “ใช่ ใช่ ทุกคนไปด้วยกัน ในเมื่อรู้จักกันแล้วก็เป็นเพื่อน ถ้าไม่ไปส่งเธอหน่อยออกจะไร้น้ำใจเกินไป”


 


 


“พวกนายสามคนจะไปกับเรางั้นหรือ?” หลิ่วเฟยซวงแสดงอาการสงสัย ฝ่ายนั้นไม่ได้เชิญสามคนนี้สักหน่อย ทำอย่างนี้จะดีหรือ


 


 


อีลั่วเสวี่ยกลอกตา มองเห็นความคาดหวังในตาของเว่ยเหลียนเฉิง แล้วดึงเสื้อหลิ่วเฟยซวง “พูดถูกแล้ว ทุกคนเป็นเพื่อน ไปด้วยกัน ไปด้วยกัน เดี๋ยวไปดูว่ามีของอะไรที่พอจะเป็นของที่ระลึกได้ เอาไปให้เธอ”


 


 


หนานหลิวเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย “พูดมีเหตุผล งั้นทุกคนไปด้วยกันเถอะ” พอตกลงได้แล้ว มุมปากเว่ยเหลียนเฉิงก็ยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ในตามีความคาดหวัง น่าเสียดายที่คนเดียวที่ดูไม่ออกคือหลิ่วเฟยซวง เธอเป็นคนปราะสาทเฉื่อยชา


 


 


หรืออาจจะพูดว่าเพราะหลานเย่หมิงอยู่ด้วย ทำให้สมองเธอหลั่งสารอะไรบางออกมาทำให้สมองทำงานช้าลง


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้คนกลุ่มนี้ก็ยังมีเวลาไปเลือกซื้อของที่มีความหมายสำหรับเหอเย่ว์


 


 


ไม่นานนักอีลั่วเสวี่ยกับพวกก็มาถึงบ้านของเหอเย่ว์


 


 


“ที่นี่ใช่ไหม?” หลิ่วเฟยซวงลงจากรถแล้วนึกสงสัย เป็นครั้งแรกที่เธอมาบ้านของเหอเย่ว์ คิดไม่ถึงว่าจะหรูหราโอ่อ่าขนาดนี้


 


 


หนานหลิวเฟิงลงจากรถ ถือของแล้วปิดประตูรถ มองดูคฤหาสน์หลังใหญ่ตรงหน้าแล้งผงกหัว “ใช่แล้ว ที่นี่แหละ” เขาอาจจะไม่รู้จักบ้านคนอื่น แต่เขารู้จักบ้านของเหอเย่ว์


 


 


อีลั่วเสวี่ยเดินไปกดกริ่งประตู เห็นเหอเย่ว์โผล่หน้าออกมาบนจอภาพทันที ดูผิวขาวขึ้น เพราะหลายวันมานี้ไม่ได้ออกไปไหน ผิวจึงกลับขาวเหมือนเดิม


 


 


ความห้าวดูลดลง กลายเป็นเด็กสาวขึ้นมา พอเห็นอีลั่วเสวี่ยยังไม่ทันพูดทักทายประตูเหล็กก็เปิดออก


 


 


“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันมา” จากนั้นจอภาพก็มืดลง


 


 


อีลั่วเสวี่ยกับเพื่อนผลักประตูเดินเข้ามา เดินมาได้ครึ่งทางเหอเย่ว์ก็วิ่งออกมา เธออยู่บ้านใส่ชุดกีฬากระชับตัว เผยให้เห็นรูปร่างที่ได้สัดส่วนดี


 


 


สมกับคนที่ผ่านการฝึกฝนร่างกายมา ไม่มีไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อย บริเวณที่เป็นกล้ามเนื้อก็ดูกระชับแข็งแรง


 


 


พอเว่ยเหลียนเฉิงเห็นเหอเย่ว์ก็มองดูแทบไม่วางตา เป็นหญิงสาวที่สดใสมีขีวิตชีวาจริงๆ รอยยิ้มเปี่ยมด้วยแสงตะวัน น่ารักมาก!


 


 


“อ้าว พวกคุณก็มาด้วย คิดไม่ถึงจริงๆ รีบเข้าบ้านก่อน” จากนั้นเธอก็ตะโกนเข้าไปในบ้าน “พ่อ แม่ เพื่อนหนูมาเยี่ยมค่ะ”


 


 


ขณะที่ทุกคนเดินเข้าบ้าน ชายหญิงคู่หนึ่งยิ้มร่าพร้อมกับมองมาที่ประตู ผู้ชายไม่แปลกหน้าสำหรับอีลั่วเสวี่ย เขาก็คือเหอจวิน เป็นหนึ่งในคนที่อวิ๋นเว่ยฝึกขึ้นมา


 


 


“แม่หนูลั่วเสวี่ยก็มาด้วย เชิญนั่ง ยังคุณชายหนาน ทุกคนนั่งตามสบายเลย ไม่ต้องเกรงใจ” เหอจวินยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่วางมาดแบบในวงราชการ


 


 


ผู้หญิงที่ตอนสาวหน้าตาคงคล้ายกับเหอเย่ว์รีบเทน้ำชาให้ แล้วยกผลไม้ถาดใหญ่มาวางตรงหน้าอีลั่วเสวี่ยกับพวก


 


 


“ทุกคนไม่ต้องเกรงใจนะ ถือว่าเป็นบ้านตัวเองก็แล้วกัน ฉันได้ยินเหอเย่ว์คุยถึงพวกเธอบ่อยๆ พวกเธอมาเป็นแขกได้ฉันดีใจจริงๆ ที่บ้านไม่คึกคักอย่างนี้นานแล้ว”


 


 


นับจากที่ลูกสาวไปเป็นทหาร ก็เป็นเวลาหลายปี พวกเขาแม้แต่เพื่อนก็ไม่ค่อยแวะมาที่บ้าน


 


 


เหอเย่ว์ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกผิด เธอไม่ดีเอง ไม่ได้อยู่แสดงความกตัญญูต่อหน้าพ่อแม่


 


 


“คุณน้าเกรงใจเกินไปแล้ว เราจัดการเองได้ ขอบคุณค่ะ” อีลั่วเสวี่ยกับเพื่อนพูดคุยทักทายอย่างมีมารยาท เวลาไปเที่ยวบ้านเพื่อน ต่อหน้าพ่อแม่ของเพื่อนดูเหมือนเป็นเด็กจริงๆ


ตอนที่ 428 ถ่ายรูปร่วมกับคุณ


 


 


อย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่พบหน้าแม่ของเหอเย่ว์ ทุกคนยังรู้สึกประหม่า แต่จากนั้นก็ค่อยๆ หายประหม่าแล้ว


 


 


เนื่องจากเหอจวินเคยเป็นทหารมาก่อน เขาพูดจาโผงผาง บวกกับเหอเย่ว์เป็นคนร่าเริง ไม่ช้าทุกคนก็คุ้นเคยกัน แล้วคุยกันอย่างสบายใจ


 


 


จากนั้นอีลั่วเสวี่ยและหลิ่วเฟยซวงก็เข้าไปช่วยงานในครัว ไม่นานนักอาหารเต๊มโต๊ะก็เสร็จเรียบร้อย


 


 


อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารบ้านๆ ทั่วไป แม้จะดูไม่ประณีตบรรจงแบบอาหารตามโรงแรม แต่เห็นแล้วก็น้ำลายไหล พอกินแล้วทุกคนก็รู้สึกว่ารสชาติเยี่ยมมาก


 


 


เนื่องจากอีลั่วเสวี่ยกับเพื่อนกินเร็วมาก เมื่อกินมื้อค่ำเสร็จยังไม่ถึงสองทุ่มครึ่ง ทุกคนเสนอว่าอยากไปเที่ยวข้างนอกกัน


 


 


อย่างไรก็เป็นคนหนุ่มสาว ทั้งพวกเขามีกันหลายคน ยังไงกินข้าวเสร็จจะให้ขลุกอยู่แต่ในบ้านได้อย่างไร น่าอึดอัด จะให้เอาแต่พูดคุยกันหรือ ถ้าเกิดหมดเรื่องคุยแล้วจะทำอย่างไร


 


 


สุดท้ายทุกคนตัดสินใจไปร้องเพลงกัน ดื่มอะไรบ้าง ถือเป็นการเลี้ยงส่งเหอเย่ว์


 


 


“ขอบใจทุกคนเลย” ทุกคนร้องเพลงและดื่มเหล้ากัน จนเวลาล่วงเลยมาถึงห้าทุ่มครึ่งอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าเหอเย่ว์ปลาบปลื้มเมื่อเดินออกจากร้านคาราโอเกะ


 


 


เธออยู่ข้างนอกตลอด นานมากแล้วที่ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าทหารอย่างพวกเธอจะไม่ชอบสนุก แต่พวกเธอใช้ชีวิตค่อนข้างจำเจ แม้จะเป็นทหารหญิงก็ตาม


 


 


แต่ทุกคนถ้ามีเวลาก็จะกลับบ้านหรือนัดเพื่อนออกไปเที่ยว ส่วนเธอมักจะหาเพื่อนที่รู้ใจไม่ได้ เวลาว่างก็มักจะคุยโทรศัพท์หรือพักผ่อน


 


 


ตอนนี้ถึงเวลากลับไปกองทหารแล้ว เหอเย่ว์มีความรู้สึกเหมือนยังไม่อยากจากไป


 


 


อีลั่วเสวี่ยกับหลิ่วเฟยซวงคล้องแขนคนละข้างของเธอ “ขอบใจอะไร เพื่อนกันทั้งนั้น สนุกก็ดีแล้ว จริงไหมเสวี่ยเสวี่ย?”


 


 


“พูดถูก ไม่ว่าเธอจะอยู่ข้างๆ เราหรือไม่ เราก็ยังเป็นเพื่อนกัน” แม้ว่าก่อนหน้านี้เหอเย่ว์จะปรากฏตัวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย แต่ความไร้เดียงสาของเธอทำให้พวกเธอชอบมาก เห็นไหม เวลาสั้นๆ เพียงสองเดือนพวกเธอก็กลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันแล้ว


 


 


คำพูดอีลั่วเสวี่ยทำให้เหอเย่ว?ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล “พวกเธอไม่ต้องพูดแล้ว ขืนพูดอีกฉันคงไม่อยากจากไปแล้ว แล้วถ้าเกิดฉันคิดถึงพวกเธอแล้วจะทำอย่างไรดี?”


 


 


พอเธอพูดเช่นนี้บรรยากาศก็เศร้าลงทันที “เสี่ยวเย่ว์ เธออย่าพูดแบบนี้ ถ้าคิดถึงเราก็โทรหาได้ตลอดเวลา เออไม่ถูก เราไม่สามารถโทรคุยกันตลอดเวลา งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเธอคิดถึงพวกเราก็ดูรูปถ่ายก็ได้”


 


 


“พูดถึงรูปถ่าย เรามาถ่ายภาพหมู่กันเถอะ” พูดแล้วก็ลงมือเลย หลิ่วเฟยซวงหยิบมือถือออกมา แล้วเริ่มถ่ายรูปพวกเขา ท่าทางทะเล้นของสามหนุ่มถูกถ่ายรูปไว้


 


 


สุดท้ายก็ถ่ายภาพหมู่ไว้หลายใบ ล้วนใช้มือถือของเหอเย่ว์ ถือว่าพวกเขามอบรูปถ่ายให้กับเหอเย่ว์


 


 


เดิมเหอเย่ว์ยังรู้สึกเศร้าใจ แต่เวลานี้เหลือเพียงความตื้นตันใจเท่านั้น


 


 


“เรามาถ่ายรูปกันกับเหอเย่ว์เถอะ จะได้เห็นหน้าชัดหน่อย” อีลั่วเสวี่ยเห็นเว่ยเหลียนเฉิงพยายามถ่ายรูปอยู่ใกล้กับเหอเย่ว์จึงเสนอขึ้น


 


 


สุดท้ายพอวนมาถึงเขา เว่ยเหลียนเฉิงก็ล้วงมือถือของตัวเองออกมา เปิดโหมดถ่ายรูป “เออ…คุณถ่ายคู่กับผมได้ไหม?”


 


 


เขากำลังคิดว่าหลังจากเหอเย่ว์จากไปแล้ว ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะได้เจอเธออีก ถ้ามีรูปถ่ายก็สามารถเห็นหน้าเธอได้ทุกเมื่อ


 


 


เหอเย่ว์ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรัก พอทุกคนเอามือถืออกมาถ่ายรูป เธอจึงไม่ได้คิดอะไรมาก “ได้สิ งั้นถ่ายเลย”


 


 


 


 


ตอนที่ 429 ใครเป็นทิวท้ศน์ให้ใคร


 


 


เว่ยเหลียนเฉิงดีใจมาก สีหน้าฉายความพึงพอใจออกมา รีบใช้มือถือส่องที่พวกเขา เปลี่ยนหลายท่า ถ่ายไว้หลายรูป พอถ่ายรูปเสร็จก็หันมาผงกหัวเล็กน้อยให้อีลั่วเสวี่ย เป็นเพราะเธอเสนอเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีโอกาสถ่ายรูปคู่กับเหอเย่ว์ เวลานี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมหนานหลิวเฟิงจึงค่อยๆ หลงเสน่ห์เธอ


 


 


เด็กสาวอย่างอีลั่วเสวี่ยจิตใจละเอียดรอบคอบ เป็นผู้หญิงที่ฉลาด ความฉลาดของเธอช่วยให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่จำเป็นต้องอธิบายเกินความจำเป็น


 


 


“เอาละ ดึกมากแล้ว เราเรียกบริการขับรถแทนมาช่วยขับรถส่งเรากลับกันเถอะ” ข้างนอกลมเย็นพัด ทุกคนรู้สึกหนาวขึ้นมาทันที เหอเย่ว์รีบเสนอให้ทุกคนกลับบ้าน


 


 


จากนั้นอีลั่วเสวี่ยกับเพื่อนจึงโทรเรียกบริการขับรถแทน มาช่วยพวกเขาขับรถและคนไปส่ง ที่จริงกินเหล้าเท่านี้สำหรับเธอแล้วย่อมไม่เป็นไร เธอสามารถขับฤทธิ์เหล้าออกไปได้


 


 


แต่วันนี้ออกมาเที่ยวกับเพื่อนๆ ถ้าเธอดูแล้วไม่เมาเลยก็คงเป็นเรื่องแปลก


 


 


เที่ยงวันต่อมาพวกเธอไปส่งเหอเย่ว์ที่สนามบิน ครั้งนี้มีเพียงอีลั่วเสวี่ยและหลิ่วเฟยซวง


 


 


“เสี่ยวเย่ว์ ฉันจะคิดถึงเธอ ฉันต้องคิดถึงเธอแน่นอน” หลิ่วเฟยซวงสีหน้าไม่อยากให้เธอไป พูดจริงๆ ก่อนหน้านี้เธอยังคิดว่าตัวเองมีอีลั่วเสวี่ยเป็นเพื่อนคนเดียวเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเวลานี้สามารถมีเพิ่มอีกคน


 


 


เหอเย่ว์กลับไม่ค่อยรู้สึกเศร้ามากนัก “ฉันก็จะคิดถึงเธอ จริงสิเฟยเฟย เมื่อวานพี่ชายเธองานยุ่งหรือ ไม่เห็นมาด้วย” น้ำเสียงแฝงด้วยความคิดถึง


 


 


น่าเสียดายที่หลิ่วเฟยซวงไม่เข้าใจอะไรเลย เธอพยักหน้าแล้วว่า “ดูเหมือนจะยุ่งมาก เมื่อคืนฉันกลับไปแล้วเขาถึงจะกลับ ดูเหมือนต้องไปงานสังสรรค์ทางธุรกิจมาก”


 


 


ช่วงต้นในการก่อร่างสร้างตัว มีใครที่ไม่ยุ่งบ้าง โดยเฉพาะหลิ่วเฟยอวิ๋นซึ่งเริ่มธุรกิจของตนเอง ไม่ได้อาศัยฐานะทางครอบครัวเลย ย่อมต้องเหนื่อยมากหน่อย


 


 


“อ้อ…” เหอเย่ว์รู้สึกเสียดาย แต่แสร้งปิดบังได้ดี


 


 


อีลั่วเสวี่ยเห็นเช่นนี้ก็นึกถอนหายใจ มีคำพูดหนึ่งกล่าวได้ถูกต้อง เมื่อคุณยืนบนสะพานชมทิวทัศน์ กลับไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นทิวทัศน์ของใครบางคน


 


 


เหอเย่ว์มีใจให้หลิ่วเฟยอวิ๋น แต่เว่ยเหลียนเฉิงกลับมีใจให้เธอ ทั้งยังเริ่งแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา น่าเสียดายที่เหอเย่ว์ไม่เข้าใจ


 


 


เธอมองรื่องเหล่านี้ไว้ในสายตา รู้สึกเสียดายแทนพวกเขาทั้งสาม แต่เรื่องทำนองนี้พูดยาก เธอได้แต่คอยเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลง ถ้าคนสองคนมีวาสนาต่อกัน ย่อมได้อยู่ร่วมกัน


 


 


ถึงตอนนี้ประกาศในสนามบินเริ่มบอกให้เที่ยวบินที่เหอเย่ว์จะเดินทางเริ่มทำการตรวจตั๋วแล้ว เป็นการเตือนพวกเธอ


 


 


“เอาละไม่พูดแล้ว ฉันจะไปแล้ว ฉันกลับมาคราวหน้า พวกเธอต้องมารับฉันนะ” เหอเย่ว์พูดพร้อมกับยิ้มร่า


 


 


หลิ่วเฟยซวงพยักหน้าไม่หยุด “เรื่องนั่นแน่นอนอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นก็ขอให้โทรบอก ต่อให้บินฉันก็จะบินมาหาเธอ”


 


 


เหอเย่ว์หัวเราะ ลากกระเป่าเดินทางใบเล็กไปที่ช่องตรวจตั๋ว อีลั่วเสวี่ยกับหลิ่วเฟยซวงมองส่องเธอครู่หนึ่งก็ผละไป


 


 


วันนี้เป็นวันศุกร์ ยังไม่เห็นเฉวียนหมิงโทรหาเธอเลย อีลั่วเสวี่ยชักนึกสงสัย “แปลกจริง เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ?”


 


 


โทรหาเหล่าเกาก็ไม่มีคนรับสาย เธอเริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี


 


 


“เป็นอะไรไป หน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว ก็แค่โทรไม่ติด บางทีอาจจะยังยุ่งอยู่ หรืออาจจะประชุมอยู่ อีกเดี๋ยวลองโทรใหม่” เจ้าลูกบอลเงินอดไม่ได้ที่จะพูดปลอบใจ


 


 


อีลั่วเสวี่ยสั่นหัว “ไม่ถูก ฉันต้องไปบ้านเขาดูด้วยตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


 


โทรศัพท์ของเฉวียนหมิงไม่เคยที่จะโทรไม่ติด ถ้าบังเอิญไม่ได้รับสาย แต่ทางเหล่าเกาก็ต้องรับ


ตอนที่ 430 อย่าบอกเธอ


 


 


“เจ้าก็ขี้ตื่นเกินไป รอสักเดี๋ยวก่อน” เจ้าลูกบอลเงินพูดอย่างเรื่อยเปื่อย มันจอดอยู่บนโต๊ะดูทีวีอยู่


 


 


อีลั่วเสวี่ยขมวดคิ้ว “ไม่ได้ ข้าไปดูดีกว่า ไป” พูดจบก็หยิบกุญแจกับกระเป๋าแล้วออกจากบ้าน


 


 


ขณะที่เปิดประตูก็เห็นอาเหมาซึ่งกลับมาจากข้างนอกพอดี “คุณหนูใหญ่ จะออกไปข้างนอกหรือครับ?”


 


 


“อืม อาเหมาเที่ยงนี้ไม่ต้องรอฉันกินข้าวนะ ฉันยังไม่รู้ว่าจะกลับมาไหม”


 


 


อาเหมามองตามหลังอีลั่วเสวี่ยซึ่งผลุนผลันออกไป ก็เอ่ยขึ้นว่า “รีบร้อนอย่างนี้ คงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว!”


 


 


แต่เขาก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่สามารถทำอะไรได้


 


 


ในเวลาเดียวกันขณะนี้เฉวียนหมิงนอนอยู่บนเตียงในคฤหาสน์ มือข้างหนึ่งวางไว้ข้างตัว แต่พอมือถือดังขึ้น เขากลับไม่มีแรงยื่นมือออกไปรับ มือที่ยกขึ้นสั่นระริก


 


 


สุดท้ายได้แต่มองดูมือถือของตนตัดสายไปเอง จากนั้นมือถือของเหล่าเกาก็ดังขึ้น ขณะที่เหล่าเกาจะรับสายก็ถูกเฉวียนหมิงจ้องใส่


 


 


“นายน้อย โทรศัพท์ของนายน้อยหญิงครับ” เหล่าเกาไม่ปกปิด แล้วยื่นหน้าจอให้เฉวียนหมิงดู คงเพราะเธอโทรหาเฉวียนหมิงแล้วไม่ติด จึงโทรมาสอบถามเขา


 


 


แววตาเฉวียนหมิงอ่อนลง พอเห็นชื่อเธอสีหน้าเขาก็อ่อนโยนทันที


 


 


“ไม่ต้องรับ รอเดี๋ยวถ้าเธอโทรมาอีก คุณบอกว่าผมออกไปทำธุระข้างนอก ลืมโทรศัพท์ไว้”


 


 


เหล่าเกาชะงัก คิ้วขมวดทันที “นายน้อย ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย บอกนายน้อยหญิงตรงๆ ไม่ดีหรือครับ?”


 


 


วันนี้เฉวียนหมิงเตรียมออกไปหาอีลั่วเสวี่ย เพราะทุกวันศุกร์จะเป็นวันนัดของทั้งคู่ ไม่ว่าฝนจะตกหรือไม่


 


 


แต่พอเขาเดินมาที่รถ ขณะที่จะเปิดประตูรถก็เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น เขารู้สึกมือตัวเองไม่มีแรง ย่างก้าวแข็งทื่อ เริ่มยืนไม่มั่นคง


 


 


ยังดีที่เหล่าเกาเดินมาส่งจึงประคองเฉวียนหมิงไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นเขาคงล้มลงอย่างคราวก่อนแน่นอน


 


 


ครั้งนี้แม้จะไม่เป็นลมหมดสติไป แต่อาการน่าเป็นเป็นห่วง ก่อนหน้านี้เพียงแต่รู้สึกว่าขาแข็งไม่สบาย แต่เวลานี้เฉวียนหมิงพบว่าส่วนที่แข็งไม่มีความรู้สึกแล้ว


 


 


แม้เขาจะรู้แล้วว่าอีลั่วเสวี่ยเป็นผู้บำเพ็ญเพียร สามารถใช้พลังทิพย์ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดให้เขาได้ แต่นั่นเป็นเพียงรักษาตามอาการ ไม่สามารถรักษาต้นตอของโรคได้


 


 


ใครจะรู้ว่าต่อไปต้องใช้พลังทิพย์มากแค่ไหน เธอเองก็บอกแล้วว่าเพิ่งมาถึงโลกนี้ไม่นาน ย่อมไม่สามารถบำเพ็ญเพียรสร้างพลังทิพย์ออกมาได้มากมายอะไร


 


 


ถ้าต้องให้เธอเสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อแทงเข็มและถ่ายทอดพลังทิพย์ให้ สู้ตนเองยอมอดทนเองจะดีกว่า


 


 


“แต่ว่า…เฮ้อ” เหลาเกาอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ


 


 


เฉวียนหมิงมองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาดูเลื่อนลอย เขาคิดเพียงแต่ว่าไม่อยากให้เธอเห็นตนเองในสภาพที่ย่ำแย่อย่างนี้ เขาเป็นสามีเธอ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ได้แต่คาดหวังให้เธอมาช่วย ช่างไม่เอาไหนจริงๆ


 


 


ไม่นานนักรถของอีลั่วเสวี่ยก็มาจอดด้านนอกคฤหาสน์ของเฉวียนหมิง พอเฉวียนหมิงได้ยินเสียงเครื่องยนต์ก็ตื้นเต้นทันที อยากลุกขึ้น แต่สุดท้ายก็นอนกลับลงไป มือข้างหนึ่งจับผ้าห่มไว้ ไม่พูดอะไร


 


 


“นายน้อยหญิง มาแล้วหรือครับ?” เหล่าเกาอยู่ในสนาม เขาเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แกล้งทำสีหน้าแปลกใจ


 


 


อีลั่วเสวี่ยเดินตรงเข้าไปในคฤหาสน์ “อืม ฉันมาดูหน่อย เฉวียนหมิงล่ะ? ทำไมพวกคุณไม่รับโทรศัพท์?”


 


 


“เออ…วันนี้นายน้อยออกไปธุระ ลืมมือถือไว้ในบ้าน ผมเพิ่งให้คนเอาไปส่งให้ครับ”


 


 


เหตุผลนี้ดูน่าเชื่อถือ เป็นการจงใจบอกว่าไม่รู้ว่าอีลั่วเสวี่ยโทรหา


 


 


“ลุงเกา ลุงหลอกฉันไม่ได้หรอก บอกมา เฉวียนหมิงเกิดเรื่องขึ้นใช่ไหม?”


 


 


 


 


ตอนที่ 431 การรักษาเป็นเรื่องเร่งด่วน


 


 


เหล่าเกาผงะ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที “นายน้อยหญิง ผมไม่เข้าใจว่าว่าคุณพูดอะไร นายน้อยสบายดี ออกไปข้างนอก ไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย ทำไมคุณถึงบอกว่าเกิดเรื่องกับเขาครับ?”


 


 


อีลั่วเสวี่ยมองแวบเดียวก็ดูออกว่าเหล่าเกาได้รับคสั่งจากเฉวียนหมิงล่วงหน้า ทำให้ไม่ยอมบอกความจริงกับตนเอง


 


 


เธออาศัยพลังทิพย์รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเฉวียนหมิง เขายังอยู่ในคฤหาสน์แน่นอน ไม่ได้ออกไปไหน


 


 


“ลุงแน่ใจนะ?” เธอพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้ง อีลั่วเสวี่ยเดินตรงไปที่คฤหาสน์ เหล่าเกาไม่สะดวกที่จะขวางเธอ ได้แต่เดินตามเข้าไป


 


 


“นายน้อยหญิง นายน้อยไม่อยู่บ้านจริงๆ ครับ ไม่งั้นลองโทรถามเขาก็ได้ หรือให้ผมโทรให้” น้ำเสียงเหล่าเกาเริ่มจนปัญญาแล้ว


 


 


อีลั่วเสวี่ยไม่พูดอะไร หยุดยืนที่หน้าปรตูห้องของเฉวียนหมิง ยื่นมือออกไปเปิดประตู แต่พบว่าเปิดไม่ออก


 


 


“แฮ่แฮ่ นายน้อยหญิง ผมไม่ได้โกหกจริงๆ นายน้อยไม่อยู่บ้าน” เหล่ารู้สึกลำบากใจ แต่นายน้อยของตนกำชับไว้แล้ว บอกให้เขาล็อคประตู


 


 


อีลั่วเสวี่ยหันกลับมามองเหล่าเกา “ลุงเกา บอกฉันมาเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับเฉวียนหมิงแน่?”


 


 


ต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเฉวียนหมิงแน่นอน ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาจะอยู่บ้านหรือไม่ประตูห้องไม่เคยล็อค ต่อให้ก่อนหน้านี้เธออีลั่วเสวี่ยอยู่ในฐานะกึ่งคนแปลกหน้าก็ยังเข้าไปได้


 


 


ไม่เช่นนั้นตอนนั้นเจ้าของร่างเดิมคงไม่คิดจะแอบเข้าไปดูเอกสารลับของเฉวียนหมิงหรอก


 


 


เหล่าเกาอ้าปาก แต่นึกถึงที่เฉวียนหมิงสั่งไว้ จึงไม่พูดอะไร


 


 


ถึงตรงนี้เจ้าลูกบอลเงินทะลุกำแพงเข้าไป แล้วกลับออกมาอย่างรวดเร็ว “แม่คุณ เฉวียนหมิงนอนอยู่ในห้อง ไม่ได้ออกไปไหนหรอก!”


 


 


เธอย่อมรู้ว่าเขาอยู่บ้าน แต่เธออยากรู้ว่าทำไมเฉวียนหมิงไม่รับโทรศัพท์ ยังบอกให้เหล่าเกาปิดบังเธอบอกว่าเขาออกไปทำธุระ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขั้นที่เขาต้องออกหน้าด้วยตนเอง เขามักให้คนไปทำแทน


 


 


“ลุงเกา แต่ไหนแต่ไรเฉวียนหมิงไม่เคยล็อคประตูห้อง ไม่ว่าเขาจะอยู่บ้านหรือไม่ “คฤหาสน์หลังนี้มีระบบป้องกันขโมยดีเยี่ยม ไม่ต้องกลัวของหาย


 


 


อีดด้านหนึ่งนอกจากระบบรักษาป้องกันขโมยแล้ว รอบๆ คฤหาสน์ยังมีรปภ.คอยเดินตรวจตลอดเวลา ต่อให้มองข้ามสิ่งเหล่านี้ เฉวียนหมิงในเวลานี้ก็จะไม่ล็อคประตู


 


 


ความเคยชินของคนคนหนึ่งเปลี่ยนได้ยาก บวกกับที่เฉวียนหมิงออกไปข้างนอกไม่บ่อย ถ้าคอยล็อคประตูตลอดเวลาคงยุ่งยากมาก


 


 


เหล่าเกาถอนหายใจเงียบๆ แต่ยังคงไม่พูดอะไร ถึงตอนนี้อีลั่วเสวี่ยไม่ใส่ใจอะไรมากแล้ว เธอประตูแรงๆ หลายที


 


 


“เฉวียนหมิง ฉันให้โอกาสคุณอธิบายว่าทำไมไม่รับโทรศัพท์ ถ้าคุณไม่อยากอธิบาย งั้นฉันจะไป คุณเองก็อย่าหวังว่าจะโทรหาฉันได้!”


 


 


อีลั่วเสวี่ยพูดจบก็ยกมือถือขึ้นดู เสียงเธอบวกกับพลังทิพย์ ฝ่ายนั้นต้องได้ยินแน่นอน


 


 


ไม่นานนักเสียงมือถือของเหล่าเกาก็ดังขึ้น มีข้อความสั้นๆ “เปิดประตู”


 


 


“นายน้อยหญิง นายน้อยบอกว่าคุณเขาไปได้แล้ว” เหล่าเกาพูดพลางล้วงกุญแจออกมาไขประตู


 


 


อีลั่วเสวี่ยเดินเข้ามา แล้วหันกลับมาล็อคประตู เดินตรงไปที่ห้องเฉวียนหมิง


 


 


พอผลักประตูเปิดออกก็เห็นเฉวียนหมิงขยับตัวบนเตียง ท่าทางอ่อนแรง เตรียมจะลุกลงมาจากเตียง


 


 


“พอแล้ว นอนลงไปซะ อย่าลุกขึ้น” อีลั่วเสวี่ยก้าวพรวดๆ มากดเฉวียนหมิงลงไปบนเตียง แล้วยื่นมือออกไปตรวจชีพจรเขา


 


 


เฉวียนหมิงรู้ดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดจึงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงลองพูดหยั่งดู “อาเสวี่ย ผม…”


 


 


“ฉันบอกคุณแล้วว่ามีสภาพอะไรเกิดขึ้นให้บอกฉัน แต่ดูคุณสิ ไม่เพียงไม่ยอมบอกฉัน ยังไม่โทรบอกให้หมอหมิงมาตรวจดู”


 


 


เฉวียนหมิงรู้ว่าถ้าตนเองบอกหมิงเย่ เฟิงฉี่ย่อมต้องรู้ แล้วย่อมปิดบังอีลั่วเสวี่ยไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจไม่บอกใครทั้งสิ้น


ตอนที่ 432 มีที่ไหนที่เหมาะ


 


 


“อาเสวี่ย นี่เป็นปัญหาเดิม พักสักหน่อยก็จะดีขึ้นเอง ผมไม่อยากให้คุณกังวล” นับจากที่ก่อนหน้านี้เกิดสภาพแบบนี้หลายครั้ง เขาพบว่าก็แค่เป็นผลที่เกิดภายหลังการกินยาเท่านั้น


 


 


เหมือนขณะนี้พอเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็เริ่มมีความรู้สึกแล้ว เขาก็แค่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอของตนเองตลอด ที่มากกว่าก็คือไม่อยากให้อีลั่วเสวี่ยกังวล นี้เป็นความในใจของเขา


 


 


อีลั่วเสวี่ยทำตาขวางใส่เขาอย่างไม่พอใจ “แล้วคุณคิดว่าถ้าปิดบังฉันแล้วฉันก็จะไม่กังวลงั้นหรือ?”


 


 


พอเธอพูดเช่นนี้ เฉวียนหมิงไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ได้แต่มองเธอด้วยความจนใจ “อาเสวี่ย ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ คราวหน้าผมจะไม่เป็นอย่างนี้อีก”


 


 


“คราวหน้า คุณยังอยากมีคราวหน้าหรือ นอนลงให้ดี ฉันจะแทงเข็มให้ อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ” คนอย่างเขาพอไม่สบายก็ไม่บอกให้เธอรู้ ทนลำบากเพื่ออะไร


 


 


เธอบอกเขาแล้วว่าเธอเป็นนักหลอมยา ก็คือที่โลกนี้เรียกว่าหมอ เธอรู้วิชาแพทย์ไม่น้อย ทำไมเขาถึงไม่เชื่อน่า คนโง่


 


 


“ได้ ผมจะอยู่นิ่งๆ” เฉวียนหมิงถอดเสื้ออกอย่างเชื่อฟังแล้วนอนลงไป สุดท้ายก็หน้าแดงขณะที่ถอดกางเกงออก แทงเข็มครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้


 


 


อีลั่วเสวี่ยหยิบเข็มเงินห่อใหญ่ออกมาราวกับใช้มายากลเสกออกมา นี่เป็นเข็มเงินที่เธอซื้อเองภายหลัง เฉวียนหมิงต้องแทงเข็มหลายจุดมาก เตรียมเข็มมากหน่อยย่อมดีกว่า


 


 


อีลั่วเสวี่ยเริ่มลงมือแทงเข็มอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่พูดแม้แต่คำเดียวระหว่างที่ลงมือแทงเข็ม เฉวียนหมิงเองก็ไม่กล้าพูดอะไร กลัวว่าจะรบกวนเธอ


 


 


ขณะนี้ในใจอีลั่วเสวี่ยก็วิตกมาก เธอตรวจชีพจรวันนี้พบว่าอาการเขาแย่ลงทุกที เวลานี้ก็ใกล้ถึงเวลาหนึ่งปีแล้ว


 


 


เดิมบอกว่ายานี้มีผลต่อเนื่องสองปี แต่ปัญหาก็คืออาการเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็เหมือนมะเร็ง บางทีเมื่อวานก็ยังควบคุมได้ดี แต่วันถัดมามะเร็งกลับขยายลุกลามอย่างบ้าคลั่ง ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้


 


 


ดูแล้วเธอจำเป็นต้องหลอมโอสถทิพย์ให้เฉวียนหมิงแล้ว ทั้งยังต้องทำอย่างเร่งด่วนด้วย จะรอต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดเธอก็ต้องหลอมโอสถทิพย์ออกมาให้ได้


 


 


“แม่คุณ เจ้าอย่าใจร้อน สมุนไพรทิพย์ที่เจ้าให้ข้าช่วยหาให้ ข้าแจ้งออกไปให้รวบรวมแล้ว เชื่อว่าร้านค้าปัญญาประดิษฐ์ร้านอื่นคงจะมีคำตอบเร็วๆ นี้” เงินของมันล้วนถูกใช้เพื่อซื้อสมุนไพรเหล่านี้แล้ว


 


 


เป็นเพราะสภาพการณ์ไม่อำนวย ไม่งั้นมันคงบินไปหาทื่โลกเดิมของอีลั่วเสวี่ยแล้ว


 


 


อีลั่วเสวี่ยเม้มริมฝีปาก ร้องอืมในใจ เธอขจัดความคิดอื่นออกไปจากหัว มุ่งสมาธิแทงเข็มต่อไป จากนั้นก็ถ่ายทอดพลังทิพย์ ระหว่างนั้นเฉวียนหมิงร้องห้ามเธอ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของเธอได้


 


 


หลังจากเฉวียนหมิงได้รับการแทงเข็มและได้พลังทิพย์ อาการก็หายเป็นปกติ นี่คือความวิเศษของโอสถทิพย์และพลังทิพย์


 


 


หลังจากเธอรักษาเขาแล้วก็บอกให้เขาพักผ่อน เธอเองจะกลับไป


 


 


“อาเสวี่ย คุณโมโหหรือ?” เฉวียนหมิงรู้สึกกระสับกระส่าย แล้วนึกเสียใจ เขาไม่ควรปิดบังเธอ


 


 


อีลั่วเสวี่ยเชิดมุมปากขึ้น “โมโห ฉันโมโหแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตอนนี้ฉันจะกลับไปค้นคว้าว่าจะจัดการกับโรคของคุณอย่างไรดี ระยะนี้คุณพักผ่อนดีๆ จำไว้ มีเรื่องอะไรต้องบอกฉันหรือหมอหมิง”


 


 


เฉวียนหมิงรูว่าอีลั่วเสวี่ยคงต้องค้นคว้าตำราแพทบ์โบราณ จึงไม่ขอร้องให้เธออยู่ต่อ “ได้ ผมรู้แล้ว แต่อาเสวี่ยคุณเองก็ต้องพักผ่อนบ้าง เรี่องนี้ต้องค่อยๆ ทำ ผมจะรอคุณ”


 


 


นอกจากพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี


 


 


หลังจาออีลั่วเสวี่ยออกจากคฤหาสน์ของเฉวียนหมิง สีหน้าเธอดูหนักใจ บังเอิญมือถือดังขึ้นพอดี


 


 


 


 


ตอนที่ 433 หาคนช่วย


 


 


“เจ๊ ทำอะไรอยู่? ไม่เจอกันนานแล้ว หูปิงกับพวกถามว่าเมื่อไหร่คุณจะแวะดื่มเหล้าบ้าง ทุกคนคิดถึงคุณมาก” เฟิงฉี่ทางด้านนั้นดูเหมือนกำลังดื่มเหล้า อารมณ์ดีมาก


 


 


หลังจากที่อีลั่วเสวี่ยแนะนำวิธีบำเพ็ญเพียรที่ต้องประสานระหว่างการทำงานกับการพักผ่อน พอเขามีเวลาว่างก็จะมาดื่มเหล้าที่นี่หรือไม่ก็ไปยังบ้านไร่หนงเจียเล่อเพื่อเดินเล่น แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียร


 


 


อีลั่วเสวี่ยขมวดคิ้ว “ช่วงนี้ยุ่งหน่อย ไม่คุยแล้ว กำลังขับรถ”


 


 


“เดี๋ยวก่อน เจ๊ อารมณ์เสียหรือ ผมฟังน้ำเสียงคุณแล้วเหมือนมีเรื่องหงุดหงิด เกิดเรื่องอะไรหรือ?” ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียร พวกเขาไม่เพียงมีประสาทรับความรู้สึกที่ดีเยี่ยม ยังไวต่อเรื่องต่างๆ มาก


 


 


ขณะที่อีลั่วเสวี่ยจะพูดว่าไม่มีอะไร จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ แล้วพูดว่า “จริงสิ เฟิงฉี่ คุณมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลย มีเรื่องที่จะปรึกษาด้วย เร็วหน่อย ฉันรอคุณที่บ้าน ให้เวลาคุณหนึ่งชั่วโมงมาให้ถึง”


 


 


จากนั้นเธอก็วางสาย ขับรถมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ของตน


 


 


เฟิงฉี่ถูกวางสายก็รู้สึกแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น ให้ไปถึงในหนึ่งชั่วโมง เรื่องอะไรถึงใจร้อนอย่างนี้?”


 


 


“ท่านเจ็ด เกิดอะไรขึ้นหรือครับ เถ้าแก่บอกว่าจะแวะมาไหม วันนี้ผมปรุงเหล้ารสใหม่ออกมา กำลังอยากให้เธอมาชิม ช่วยติชมด้วย” บาร์เทนเดอร์สีหน้าสงสัย พูดพร้อมกับรินเหล้าเพิ่มให้เฟิงฉี่


 


 


“ไม่มาแล้ว ฉันเองก็จะไป วันหลังค่อยมา พวกนายดูแลร้านให้ดี” เขายกเหล้าขึ้นดื่ม แล้วรีบออกจากร้านเคบาร์


 


 


ระหว่างทางเฟิงฉี่คอยกระตุ้นให้คนขับแท็กซี่ขับเร็วๆ รถพุ่งทะยานมาจนถึงหน้าประตูคฤหาสน์ของอีลั่วเสวี่ย เขาเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับโยนธนบัตรสองใบให้คนขับที่ยังใจสั่นไม่หาย


 


 


“ฝีมือขับรถไม่เลวนี่ แต่ยังต้องฝึกอีก ไม่แน่นะอาจจะได้เป็นนักแข่งรถ คุณเป็นยอดนักขับรถที่ถูกอาชีพแท็กซี่ทำให้เสียโอกาสไป” เฟิงฉี่พูดล้อเล่น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคำพูดประโยคนี้จะเปลี่ยนชีวิตของคนขับแท็กซี่คนนี้


 


 


“มีเหตุผล แบบนั้นตื่นเต้นสุดๆ ต้องหาเวลาไปฝึกบ้าง?” คนขับแท็กซี่พูดกับตัวเองอย่างพอใจแล้วเหยียบคันเร่ง รถพุ่งทะยานออกไปทันที


 


 


ยามประตูเห็นเฟิงฉี่เป็นคนคุ้นเคย ทั้งอีลั่วเสวี่ยก็กำชับไว้ก่อนแล้ว จึงเปิดประตูให้เขาเข้าไปได้เลย


 


 


“เจ๊ เรื่องอะไรหรือถึงได้ใจร้อนอย่างนี้ พูดทางโทรศัพท์ไม่ได้หรือ?” เฟิงฉี่มาถึงห้องรับแขก ยังไม่หายสงสัย


 


 


ขณะนี้อีลั่วเสวี่ยกำลังหลับตา คิดทบทวนเทียบยาและสมุนไพรทิพย์ของโลกก่อนที่สามารถรักษาอาการป่วยของเฉวียนหมิงได้


 


 


การมาถึงของเฟิงฉี่ทำให้เธอลืมตาขึ้น “คุณมาแล้ว นั่งสิ”


 


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


 


“เป็นเรื่องของเฉวียนหมิง ยังมีโอสถทิพย์ที่เขากินครั้งก่อนไหม เอาให้ฉันดูหน่อย ฉันอยากรู้ว่ามีตัวยาอะไรในนั้นบ้าง?” สภาพร่างกายของเฉวียนหมิงต่างกับพวกเขาในโลกนั้น


 


 


ตอนนี้เขากินโอสถทิพย์ไปแล้ว แต่เธอต้องการหลอมโอสถทิพย์ขึ้นใหม่ที่เหมาะกับสภาพร่างกายของเขา ยังต้องเลี่ยงไม่เห็นเกิดอาการแทรกซ้อนของยาด้วย ป้องกันไม่ให้เกิดผลร้ายที่ไม่คาดคิด


 


 


เฟิงฉี่สั่นหัว “โอสถทิพย์ไม่ได้อยู่กับผม ผมเอาให้พ่อไปแล้ว ดูเหมือนยังเหลือเม็ดหนึ่ง” เขาเอามาทั้งหมดสามเม็ด ให้เฉวียนหมิงกินเม็ดหนึ่ง อีกเม็ดบิดาเขาเอาให้คนอื่นกิน แต่คนคนนั้นมีสภาพดีกว่าเฉวียนหมิง


 


 


“เจ๊ ทำไมจู่ๆ คุณก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา อาการป่วยของพี่เขยนั้น พ่อผมบอกแล้วว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของโอสถทิพย์ค่อยๆ อ่อนลง ที่จริงคุณใช้การแทงเข็มช่วยให้อาการเขาดีขึ้นได้ อย่าใช้ยาอื่นจะไม่ได้ผล หนำซ้ำยังอาจเกิดปัญหาได้”


 


 


“เรื่องพวกนี้ฉันรู้หรอก” เธอย่อมรู้ว่าเฉวียนหมิงไม่ได้กินยาอื่น


 


 


อีลั่วเสวี่ยมองดูเฟิงฉี่ แล้วมีความคิดผุดขึ้นในใจ “เอาอย่างนี้ คุณโทรหาอาจารย์คุณ ฉันมีเรื่องจะปรึกษากับเขา”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม