บัลลังก์พญาหงส์ 412-418

บทที่ 412 กลุ่มจลาจล

 

​ฝนที่ตกลงมานี้ติดต่อกันกว่าครึ่งเดือน ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองหลวงล้วนมีน้ำขัง เวลามีแสงอาทิตย์ส่งมาก็ให้รู้สึกสบายใจไปได้เฮือกหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นต่อไปจะต้องเกิดน้ำหลากเป็นแน่


ประชาชนที่อยู่ในเมืองหลวงสบายใจ แต่หลังจากฮ่องเต้อ่านฎีกาด่วนฉบับหนึ่งแล้ว ฉับพลันคิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น


เหอเป่ยผ่านเหตุการณ์แห้งแล้งมาครั้งหนึ่ง และยังผ่านเหตุการณ์ฝนตกหนักติดต่อกัน พืชพรรณทั้งหลายไม่ต้องพูดว่าเก็บเกี่ยวได้สำเร็จ มาพูดแค่ว่าจะเลี้ยงให้รอดได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา


ไม่เพียงแค่พืชพรรณไม่มีแล้ว สิ่งที่ทำให้คนเป็นกังวลมากขึ้นก็คือเหอเป่ยเกิดพิบัติภัยทางอุปโภคบริโภค ตอนนี้เรื่องการบริโภคไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจะเอาคนไปไว้ที่ใด? น้ำท่วมบ้านเรือน มีบ้านจำนวนมากที่ต้องพังเสียหาย สัตว์เลี้ยงก็ไม่รู้ว่าตายไปมากเพียงใด ยามนี้เป็นฤดูร้อน เดิมอุณหภูมิก็ไม่ได้ต่ำนัก และยังถูกแช่น้ำเอาไว้จึงเน่าเปื่อยเร็วมากขึ้น


ดังนั้นโรคร้ายจึงแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้คนสิบกว่าคนในชุมชนหนึ่งไม่มีใครรอดชีวิตเลย


ตอนนี้เกิดอุทกภัยขึ้นทุกที่อยากที่จะหาฟืนแห้งมาเผาศพนั้นก็ไม่สามารถทำได้ ทำได้แค่เพียงขุดหลุมฝังดินเท่านั้น และเอาขี้เถ้าจำนวนมากไปโปรยเอาไว้ ขี้เถ้าแช่น้ำแล้วทำให้เกิดฟองขึ้นมา แม้แต่ศพที่อยู่ข้างล่างก็แทบจะสุกไปกว่าครึ่ง กลิ่นนั้นไม่จำเป็นต้องดมก็แทบจะทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้


คนในพื้นที่เหอเป่ยส่วนมากเก็บความหวาดกลัวเอาไว้ไม่ได้ เริ่มหลบหนีออกมา


ทิศทางที่ลี้ภัยออกมาก็คือเมืองหลวง ขุนนางประจำเมืองนั้นได้พยายามขวางกั้น แต่ไฉนเลยจะขวางประชาชนที่เกิดจลาจลได้? ต่อให้ประชาชนเหลือเพียงแค่จอบและเสียม แต่พอเริ่มจราจลใครก็หยุดไม่ได้ นายทหารที่รักษาพื้นที่นั้นจะขัดขวางไว้ได้อย่างไรกัน?


ถ้าหากว่ากลุ่มจลาจลเหล่านี้พากันเข้ามาในเมืองหลวงพร้อมกัน นั่นจะกลายเป็นสถานการณ์เช่นใด? ฮ่องเต้ทำได้แค่คิดก็รู้สึกปวดหัวอย่างมาก หากว่ากลุ่มจลาจลนี้เข้ามาในเมืองหลวงพร้อมกันทีเดียวหมด เช่นนั้นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองก็คงกลายเป็นถ้ำของคนจน


ข่าวนี้แทบจะปิดบังเอาไว้ไม่ได้ ฮ่องเต้เองก็ไม่คิดปิดบังใคร หลังจากนั้นก็มีข่าวหนึ่งประกาศออกมา


หลี่เย่และเฉินฟู่เป็นกลุ่มแรกที่รู้และปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไป ฮ่องเต้เคยถามความคิดเห็นของพวกเขามาก่อน ความคิดเห็นของหลี่เย่เหมือนกับฮ่องเต้ ในเมื่อปิดไม่อยู่ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องรู้ ไม่สู้ปล่อยออกไปให้เร็ว ให้คนในเมืองหลวงรู้ถึงความอันตราย แน่นอนว่าที่สำคัญคือพวกตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจและทรัพย์สิน


จุดประสงค์ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อรวบรวมทรัพย์สิน อาศัยเพียงแค่เงินในท้องพระคลังมาบรรเทาภัยพิบัตินั้นย่อมไม่พอใช้ เงินในท้องพระคลังที่สำคัญที่สุดคือเอาไว้ใช้สนับสนุนการทหาร ในความเป็นจริงแล้วเพียงแค่ค่าใช้จ่ายในกรมทหารเงินท้องพระคลังก็ไม่พอใช้แล้ว


แน่นอนว่าดูจากการที่ตั้งแต่ฮ่องเต้นำเรื่องนี้มาบอกหลี่เย่เป็นคนแรก ก็รู้ได้ว่าคนที่ได้รับความเชื่อถือจากฮ่องเต้มากที่สุดเป็นใคร ที่จริงตอนนี้คังอ๋องก็เริ่มหายดีแล้ว นอกจากจะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้วแต่ถึงอย่างไรก็เป็นรัชทายาท ย่อมมีคุณสมบัติปรึกษาเรื่องนี้กับฮ่องเต้มากที่สุด


หลี่เย่ไม่ปิดบังถาวจวินหลัน นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง พูดว่า “ถ้าไม่ได้จริงๆ เจ้าก็พาลูกๆ ไปหลบที่บ้านสวนก่อน เกรงว่าในเมืองหลวงคงยุ่งวุ่นวายเป็นแน่”


จากเหอเป่ยมายังเมืองหลวง จะบอกว่าไกลก็ไม่ได้ไกล จะบอกว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ฎีกาด่วนตอนนี้อยู่ระหว่างทางมาสองสามวันแล้ว ถ้าอย่างนั้นกลุ่มจลาจลก็จะต้องตามมาติดๆ กัน หลังจากที่กลุ่มแรกมาแล้ว บางทีอาจจะยังไม่มีอะไร แต่กลุ่มที่สอง กลุ่มที่สามเล่า?


ถาวจวินหลันลองคิดถึงสถานการณ์นั้น ก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ยังคงส่ายหน้า “ชนบทอาจจะห่างไกล แค่สุดท้ายก็ไม่ปลอดภัยเท่าเมืองหลวง ในจวนมีทหารยามมาก ก็คงจะปลอดภัยอยู่หลายส่วน หากมีผู้ลี้ภัยมาบ้านสวนจริง คนแค่นั้นคงรับมือไม่ไหวเป็นแน่”


“เป็นบ้านหลังเล็กที่อยู่ในที่ลับ ข้าไปแอบสร้างไว้” หลี่เย่กลับส่ายหน้าเบาๆ พูดอย่างเคร่งเครียด “ถนนที่เข้าไปในเขาก็มีเพียงเส้นเดียว ข้าจะให้ทหารยามเฝ้าเอาไว้ บริเวณนั้นรักษาง่ายโจมตียาก ขอแค่มีคนเฝ้าระวัง คนเดียวเฝ้าด่าน คนนับหมื่นนับพันก็ไม่อาจตีด่านแตกพังได้”


ถาวจวินหลันเห็นเขามุ่งมั่นถึงเพียงนี้จึงเริ่มคิดได้ว่า “เรื่องนี้รุนแรงถึงเพียงนี้แล้วหรือเพคะ?”


หลี่เย่พยักหน้า


ใจของถาวจวินหลันดิ่งลง “ทำไมถึงได้รุนแรงเช่นนี้? ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ลี้ภัยที่อพยพมาเท่านั้นหรอกหรือ? ทำไมถึงได้น่ากลัวเช่นนี้เพคะ?”


“ไม่ใช่แค่เพียงผู้ลี้ภัย ไม่ใช่แค่อพยพหนีมหันตภัย กลัวว่าจะมีคนฉวยโอกาสนี้สร้างความวุ่นวาย เจ้ารู้หรือไม่ ตามทางที่กลุ่มประชาชนที่ก่อจลาจลเดินผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานข้าราชการหรือว่าบ้านเรือนของประชาชนต่างก็พังพินาศย่อยยับ ไม่มีใครเหลือรอดสักราย” ตอนที่หลี่เย่พูด คิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น แม้แต่กำปั้นก็กุมเข้าหากัน


ถาวจวินหลันส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ นี่ย่อมไม่ใช่แค่การอพยพง่ายๆ แล้ว ในตอนนี้เกิดจลาจล คนเช่นนี้แค่หาที่นอนหาข้าวให้กินแล้วใช่ว่าจะจัดการได้


“ประชาชนธรรมดาเล่า ทำไมถึงได้วุ่นวายเช่นนี้?” พอได้สติกลับมาแล้ว ในใจของถาวจวินหลันก็เต็มไปด้วยความสงสัย


หลี่เย่มีท่าทีเคร่งขรึม “อาจจะมีคนพัดโหมห่อไฟอยู่เบื้องหลังก็เป็นไปได้” อย่างไร รวบรวมประชาชนที่ประสบภัยได้เยอะขนาดนี้ในเวลาสั้นๆ ก็ถือว่าผิดปกติไปเสียหน่อย


ถาวจวินหลันตะลึงงัน ครุ่นคิดอย่างหนักแต่ก็ไม่ได้ผลอะไรกลับมา ใครกันแน่ที่ต้องการทำเรื่องเช่นนี้?


เพียงแต่นางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ผ่านไปครู่หนึ่งก็ทำได้แค่ถอนหายใจ “ถึงตอนนั้นก็ดูตามสถานการณ์เถิดเพคะ ถ้าหากว่าไม่ไหวแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่ข้ายังยืนยันคำพูดนั้น การออกจากเมืองหลวงไปไม่ใช่ความคิดที่ดีเสียทีเดียว ไม่ว่าอย่างไร พวกเราครอบครัวเดียวกันก็ควรอยู่ที่เดียวกันดีกว่านะเพคะ”


แม้จะรู้ว่าหลี่เย่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน แต่ว่านางก็ยังอดกังวลใจไม่ได้ และยิ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน ยิ่งไม่มีเหตุผลต้องแยกจากกันง่ายดายเช่นนี้


หลี่เย่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ยืนหยัดต่อไป เพียงแค่ถอนหายใจออกมาหนัก เอื้อมมือไปดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก็ลูบผมของนางไปมาเบาๆ


ผมของถาวจวินหลันนิ่มและละเอียดเป็นอย่างมาก สีดำขลับสวยงาม มองดูแล้วเหมือนผ้าไหมผืนหนึ่ง แต่ผมอย่างนี้กลับไม่สามารถเกล้าเป็นมวยสูงได้ ในเวลาที่จำเป็นก็จะต้องใช้มวยผมปลอม แต่ทำเช่นนั้นก็จะทั้งหนักและวุ่นวาย ดังนั้นปกติจึงหวีผมและเกล้าเป็นมวยผมง่ายๆ


แต่หลี่เย่กลับชอบอย่างมาก มวยผมเช่นนี้ทำให้ถาวจวินหลันดูอบอุ่นน่าสัมผัส


วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันเริ่มเตรียมตัว เพราะผู้ลี้ภัยเริ่มมาแล้ว ก่อนอื่นต้องจัดการให้ภายในจวนปลอดภัย จะต้องไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นแม้แต่น้อย


อีกทั้งยังมีเรื่องมหันตภัยธรรมชาติ ปีที่เกิดมหันตภัยขึ้นนั้นการที่ให้ตระกูลเก่าแก่และตระกูลใหญ่บริจาคเงินและสิ่งของถือเป็นเรื่องที่ทำกันมานาน คราวนี้ก็ไม่ต่าง นางเตรียอาหารแห้งและเสื้อผ้าเก่ามาไว้พร้อมนานแล้ว ถึงเวลานั้นจะได้เอามาใช้ได้ทันที


อาศัยเพียงแค่เสื้อผ้าเก่าของเจ้านายย่อมไม่พอ ถาวจวินหลันเก็บเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้วเหล่านั้นมอบให้บ่าวรับใช้ทั้งหมด และให้บรรดาบ่าวรับใช้เอาเสื้อผ้าของตัวเองออกมาเตรียมให้กับผู้ลี้ภัยเหล่านั้น อย่างไรเสื้อผ้าของนางก็ทำมาจากผ้าเนื้อดีทั้งนั้น แต่เพียงแค่สวยงามเท่านั้น ถ้าจะพูดถึงการใช้งาน ยังต้องใช้เสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าเนื้อหยาบธรรมดาหรือว่าผ้าฝ้ายของบรรดาบ่าวรับใช้ผู้หญิงทั้งหลาย


อีกทั้งถาวจวินหลันยังเตรียมผ้าห่มฝ้ายเอาไว้ ด้วยเป็นฤดูร้อน จึงต้องทำให้บางเสียหน่อย และด้วยเน้นปริมาณมาก จึงใช้ผ้าฝ้ายเก่าจำนวนมากมาทำ แต่อย่างไรก็ยังสามารถกันหนาวได้ เหมาะกับการใช้งานอย่างมาก


รอจนเตรียมพร้อมครบหมดแล้ว ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงคนโห่ร้องก้องตะโกนเสียงดังตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหลังจากสอบถามแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านนอกเมืองส่งเสียงประท้วงตะโกนร้องออกมาทั้งคืน


แต่ยิ่งไม่เปิดประตู เสียงเรียกตะโกนของผู้ลี้ภัยก็ยิ่งดังมากขึ้น


ถาวจวินหลันให้คนไปดูทิศทางของราชสำนัก ถึงได้รู้ว่าราชสำนักเตรียมข้าวต้ม ตั้งโรงทานเอาไว้แล้ว


ผู้ลี้ภัยมากขนาดนี้ไม่สามารถปล่อยเข้ามาภายในเมืองได้ ทำได้แค่ให้พักอยู่นอกเมือง จะบอกให้กระจายออกไปก็ทำไม่ได้ เพราะยามนี้บ้านเดิมของพวกเขาก็เป็นแม่น้ำไปแล้ว ยังจะกลับไปได้อย่างไร? ไม่มีให้กินไม่มีให้ดื่ม และไม่มีเงิน กระจายออกไปแล้วก็เท่ากับไล่ให้พวกเขาไปตายเท่านั้น


ตกดึกหลี่เย่กลับมาดึกมาก รู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งตัว


ถาวจวินหลันถึงได้รู้ว่า จำนวนของผู้ลี้ภัยมีเยอะมาก อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นวัยกลางคน คนแก่เด็กและผู้หญิงมีน้อยมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือในมือของคนพวกนั้นยังมีของจำพวกจอบและเสียม อีกทั้งไม้ก็เป็นสีแดงคล้ำ สีเช่นนี้ คนที่เคยป่านสนามรบมาถึงรู้ว่าเป็นสีของเลือดที่แห้งกรัง


ถาวจวินหลันเข้าใจในทันที คนพวกนี้เคยฆ่าคนมาก่อน ส่วนทำไมถึงฆ่าคน…อาจด้วยข้าวเพียงมื้อเดียว อาจด้วยเสื้อผ้าพัยงหนึ่งชุด หรืออาจด้วยทะเลาะเบาะแว้งกัน เรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญ แต่เรื่องฆ่าคนก็เป็นเรื่องจริงไปแล้ว คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่จะสานสัมพันธ์ได้ง่ายๆ


“เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่ผู้ลี้ภัย” หลี่เย่มีท่าทีเคร่งขรึม แทบจะมืดสนิทเหมือนกับท้องฟ้าในหลายวันก่อนหน้านี้ “ผู้ลี้ภัยจริงๆ ไม่มีทางเดินเท้าได้เร็วถึงเพียงนี้”


“ถ้าเช่นนั้นจะจัดการอย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันถามตามสันชาตญาณ


คนพวกนี้อุดประตูเมืองเอาไว้ ประตูเมืองไม่กล้าเปิดออก คนภายในเมืองก็ไม่กล้าออกไปไหน ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็พอเป็นไปได้ แต่ระยะเวลานานนั้นไม่ได้ ประชาชนในเมืองยังต้องการข้าวสาร ต้องการพืชผัก ของเหล่านี้ล้วนจำต้องผ่านประตูเมืองเข้ามา อีกมั้งพ่อค้ามากมายภายในเมืองก็ไม่สามารถอยู่ในเมืองหลวงได้ตลอดไป


เปิดประตูเมืองเป็นเพียงเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าเร็ว ก่อนหน้านั้นผู้ลี้ภัยเหล่านี้จำต้องถูกจัดการอย่างเหมาะสมเสียก่อน


ดวงตาของหลี่เย่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบ “ความตั้งใจของเสด็จพ่อคือ หากยื้อเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ก็ต้องใช้วิธีหยาบกระด้างเสียหน่อย”


วิธีหยาบระด้าง ย่อมต้องหมายถึงการบีบบังคับให้สลายกลุ่ม อาจจะถึงขั้นสังหาร หากใช้วิธีนี้จริง ก็จะมีผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวคือความไม่พอใจของประชาชน


คนพวกนั้นแม้ว่าจะเป็นกลุ่มจลาจล แต่รากเหง้าเดิมก็เป็นประชาชนธรรมดา เป็นประชาชนที่หนีความลำบากมา พวกเขามาที่เมืองหลวงเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด ถ้าหากต้องไร้เยื่อใยกันถึงเพียงนี้ก็ถือว่าไม่สนใจหัวใจของประชาชน


ถาวจวินหลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจออกมา “พวกเขาทำเช่นนั้นก็อาจไม่ใช่การก่อกบฏ เกรงว่ามีจุดประสงค์อื่นอยู่ ถามให้แน่ชัดแล้วค่อยมาปรึกษากันไม่ได้หรือเพคะ?”


“วันนี้ทหารที่เฝ้าเมืองก็พูดเช่นนี้ พวกเขามีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเข้าเมือง” หลี่เย่แค่นหัวเราะ “ใครๆ ก็รู้ว่านี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงไม่มีสถานที่มากพอรองรับคนพวกนี้ได้ และเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในเมืองก็ทำเช่นนี้ไม่ได้ พวกเขาตั้งใจเสนอปัญหาที่ยากมาให้”


ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว หรือว่าจะต้องแข็งขืนเช่นนี้ต่อไปหรือ? 

 

 


บทที่ 413 วางแผน

 

​มีตระกูลใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ยืนยันเสนอตัวจะออกกจาเมืองไปปราบกองโจรกลุ่มนี้ ข่าวนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและพ่อค้าจำนวนมาก


อย่างไรเสียเป็นกองโจรหรือว่าผู้ลี้ภัยมองเพียงปราดเดียวก็รู้


ถาวจวินหลันรู้สึกว่าค่อนข้างเกินไปเสียหน่อย อย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่ได้ทำอะไร จะสรุปเอากันเองว่าจะจัดการมอบโทษประหารให้พวกเขาก็ถือว่าไม่ค่อยมีเมตตาไปเสียหน่อย ถ้าหากว่าทำเช่นนี้จริง ไม่เพียงแค่สูญเสียใจของประชาชน ต่อไปก็ยังมีแต่เสียก่นด่าเท่านั้น


ความคิดของหลี่เย่คือให้รอดูก่อน แต่จนใจที่ตอนนี้บรรดาตระกูลใหญ่ๆ ล้วนคิดเช่นนี้หมด เสียงของคนหลายๆ คนได้ฝังลงไปในใจ ก็เทียบได้กับควายดินเหนียวจมหายไปในทะเล หายลับไปไม่ได้พบอีก


เพื่อเรื่องนี้แม้แต่ความอยากอาหารหลี่เย่ก็ไม่ค่อยมี เคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา


ถาวจวินหลันเองก็พลอยได้รับผลกระทบ ไม่มีความอยากอาหารไปด้วย


เจ้านายเป็นเช่นนี้ แล้วบ่าวรับใช้เล่า? ภายในช่วงเวลาสั้นๆ บรรยากาศทั่วทั้งจวนก็หดหู่ แม้แต่ซวนเอ๋อร์ที่ดื้อซนอยู่ตลอดก็นิ่งเงียบไปมากเช่นกัน


ตกดึกทั้งสองคนก็เอนตัวลงนอนบนเตียง แต่ก็ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา


ท้ายสุดถาวจวินหลันก็ทนไม่ได้เอ่ยปากออกมา “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ?”


หลี่เย่ไม่ส่งเสียง แต่กลับส่ายหน้า


“ถ้ามีวิธีแยกผู้ลี้ภัยและกลุ่มจลาจลเล่าเจ้าคะ? กลุ่มจลาจลอาจจะสมควรตาย แต่คนที่อยู่นอกเมืองเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายทั้งหมด แม้ว่าจะทำ ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องสมัครใจ ส่วนมากมักถูกบังคับให้เป็นเช่นนั้น” ถาวจวินหลันถอนหายใจ แล้วพูดออกมาช้าๆ “สวรรค์ไม่เห็นใจ มนุษย์เองก็ไม่มีทางแก้ ถ้ายังทำมาหากินที่บ้านเดิมได้ พวกเขาก็คงไม่จำเป็นต้องเดินทางมาแสนไกลถึงเมืองหลวงเป็นแน่”


หลี่เย่หัวเราะขมขื่น “จะแบ่งอย่างไร? รวมอยู่ด้วยกันทั้งหมด”


“ผู้ลี้ภัยที่แท้จริงหวังอะไรเจ้าคะ? แค่พื้นที่ทำการเกษตรได้ และห้องที่หลบฝนบังแดดได้ก็เท่านั้น มีสองอย่างนี้พวกเขาก็พอใจแล้ว” ถาวจวินหลันพูดไปก็เริ่มรู้สึกสงสาร ท้ายสุดก็ถอนหายใจ “บางทีแค่มีสองเรื่องนี้ก็จะต้องมีคนคล้อยตามอย่างแน่นอน พื้นที่นอกเมืองของเมืองหลวงมีสวนมากมาย สวนที่หนึ่งก็ให้แบ่งคนไปสองสามคน ก็จะสามารถจัดการคนเหล่านี้ได้แล้ว รอจนมหันตภัยผ่านไป พวกที่ยินยอมจะกลับไปก็ค่อยกลับ ถึงเวลานั้นราชสำนักค่อยช่วยเหลืออีกทีหนึ่งก็พอแล้ว”


“แล้วค่อยเอาความคิดนี้ของราชสำนักไปถ่ายทอดภายในกลุ่มประชาชน พวกเขาอยากมีชีวิตหรืออยากตายล้วนแล้วแต่พวกเขาทั้งนั้น” ถาวจวินหลันพูดจบก็รู้สึกว่าในใจเหมือนมีลูกตุ้มตกลงมา หนักหนายากเย็น


หลี่เย่เหมือนว่าจะคล้อยตาม มีความคิดมากมายพุ่งออกมา จนแทบจะครอบครองความคิดของเขาทั้งหมด


สุดท้ายหลี่เย่ก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างเร่งรีบ “ตอนนี้ข้าจะเข้าวังหลวงสักครั้ง”


ถาวจวินหลันตกใจ “ตอนนี้ประตูเมืองปิดหมดแล้ว จะเข้าวังได้อย่างไรเพคะ? อีกอย่างตอนนี้ดึกมากแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงบรรทมแล้ว ไม่สู้รอประตูวังหลวงเปิดพรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ดีกว่าเพคะ”


หลี่เย่ส่ายหน้า “ไฉนเลยจะรอถึงวันพรุ่งนี้ได้เล่า? เกรงว่าพรุ่งนี้ตอนบ่ายจะออกไปนอกเมืองปราบโจรกันหมดแล้ว”


ถาวจวินหลันทำได้แค่ลุกขึ้นมาปรนนิบัติหลี่เย่ให้สวมเสื้อผ้าเหมาะสมอย่างเร่งรีบ และไปส่งเขาที่ประตู เมื่อผ่านเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้นางหายง่วงไป แทบจะนั่งเอนอยู่จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น


นางฉวยโอกาสตอนนี้มาเรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้


ด้วยเป็นกังวล ดังนั้นวันรุ่งขึ้นถาวจวินหันจึงเรียกคนไปรับถาวซินหลันให้มาพูดคุยกัน


“ทางด้านตระกูลเฉินได้เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?” แม้จะบอกว่าตระกูลเฉินเป็นตระกูลใหญ่ การจัดการเรื่องต่างๆ ล้วนเตรียมพร้อมอย่างเหมาะสม แต่ถาวจวินหลันก็ยังถามเพื่อความวางใจอีกรอบหนึ่ง


ถาวซินหลันโบกมือ “เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเป็นกังวล ย่อมต้องมีคนคอยจัดการดูอยู่แล้วเจ้าค่ะ หากเป็นกังวลมากเกินไป คนอื่นก็จะพลอยคิดว่าข้ามีจุดมุ่งหมายอย่างอื่น ไม่สู้ออกคำสั่งแล้วให้คนอื่นทำไปดีกว่าเจ้าค่ะ แต่ทางท่านพี่เถิด เตรียมทุกอย่างพร้อมพรักแล้วหรือยังเจ้าคะ? ยามนี้ผู้ลี้ภัยนอกเมืองมีจำนวนมาก หลายวันแล้วที่ไม่ได้เปิดประตูเมือง ภายในจวนขาดแคลนอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”


“ใช้ประหยัดเสียหน่อยก็พอผ่านไปได้” ถาวจวินหลันยิ้ม ท้ายสุดก็ถอนหายใจออกมา “อีกทั้ง ไม่ว่าอย่างไรประตูเมืองก็ต้องเปิด”


“ข้าเองก็ได้ยินเฉินฟู่พูดเรื่องการเปิดประตูเมืองแล้ว” ถาวซินหลันขมวดคิ้วน้อยๆ “หลังจากนี้ไปท่านต้องบอกพี่เขยว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำลายชื่อเสียงเสียเปล่า”


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ข้ากลับวางแผนว่าจะเอาเผือกร้อนนี้ไปโยนไว้ให้จวนเหิงกั๋วกง”


ถาวซินหลันตกใจเล็กน้อย ทว่าจากนั้นก็หัวเราะเห็นด้วย “นี่ถือเป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะ แต่ว่าจะใส่ร้ายอย่างไร? ถ้าเป็นแค่ข่าวลือเกรงว่าจะไม่มีคนเชื่อ แต่หากต้องเอาหลักฐานออกมาจริงๆ ก็ไม่มีอีก”


“ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธี” ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม ถอดสายตามองถาวซินหลัน


ถาวซินหลันเข้าใจความหมายของถาวจวินหลันทันที ยิ้มและพูดว่า “ขอเพียงแค่พูดกล่อมคนนั้นได้ คิดว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่สำเร็จเป็นแน่”


“แต่การที่จะกล่อมคนผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นพี่เขยหรือว่าเฉินฟู่ หรือว่าจะเป็นพ่อสามีของข้าล้วนไม่เหมาะออกหน้า” ถาวซินหลันส่ายหน้า อย่างไรหากพูดเรื่องนี้ไปตามใจชอบจริง เกรงว่าต่อจากนี้ฮ่องเต้คงรู้สึกว่าหลี่เย่กำลังวางแผนร้ายต่อพี่น้องตนเองอยู่ หรือถ้าทางด้านจวนเหิงกั๋วกงรู้เข้าก็จะดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์


ในเมื่อถาวจวินหลันพูดออกมาแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องมีแผนการของตนเอง นางหัวเราะออกมาเบาๆ มองถาวซินหลัน ก่อนถามว่า “ตั้งแต่เจ้าออกเรือนไปก็ยังไม่ได้เข้าวังหลวงเลยสักครั้งใช่หรือไม่? พูดไปแล้วไทเฮากลับเสียแรงเอ็นดูเจ้าแล้ว”


ถาวจวินหลันเปลี่ยนหัวข้อพูดอย่างกะทันหัน ทำให้ถาวซินหลันนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย


ถาวซินหลันค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา มองไปที่ถาวจวินหลันอย่างขบขัน “ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้ท่านพี่พาข้าเข้าวังหลวงไปทำความเคารพไทเฮาเสียหน่อยเป็นอย่างไรเจ้าคะ? พูดไปแล้ว ได้ยินว่าไทเฮาประชวรตอนอยู่ที่พระราชฐาน ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”


ถาวจวินหลันเล่าเรื่องการทำพิธีและสถานการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด แต่เรื่องวิธีการที่พวกเขาแอบทำนั้นกลับไม่ได้พูดออกมา


แต่ถาวซินหลันกลับมองนางอย่างแฝงนัย ก่อนคลี่ยิ้มออกมา เห็นได้ชัดว่าพอคาดเดาอะไรได้บ้างแล้ว


ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่ยิ้มบางๆ


ถาวซินหลันมองพี่สาวของตนเอง แล้วอดลอบถอนหายใจไม่ได้ หลายปีมานี้ท่านพี่ใช้ชีวิตโดยไม่ได้พักผ่อน ไม่ง่ายดายเลยแม้แต่วินาทีเดียว เทียบกับนางแล้วท่านพี่ต้องลำบากมากกว่าตั้งกี่เท่า?


ถาวซินหลันกลับถามการกระทำของถาวจวินหลันที่ตนเองสงสัยออกมาเบาๆ “หรือว่าพี่เขยคิดจะ…”


เรื่องเหล่านี้เฉินฟู่ไม่ได้บอกถาวซินหลัน ถาวซินหลันย่อมต้องไม่รู้ แต่สามารถคาดเดาได้จากคำพูดเหล่านี้ของถาวจวินหลันก็ถือไม่ง่ายเลย


เรื่องนี้ไม่ควรปล่อยให้ช้าไปกว่านี้ ตอนบ่ายวันนั้นถาวจวินหลันก็พาถาวซินหลันเข้าวังหลวง เหตุผลที่ใช้ย่อมเป็นเรื่องเข้าวังหลวงไปทำความเคารพ ยังดีที่ถาวซินหลันถือว่าโตขึ้นมาในวังหลวง และไทเฮาก็เอ็นดูมาโดยตลอด ดังนั้นนางเข้าวังมาทำความเคารพไทเฮาก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ไม่มีคนมาขัดขวางอะไร


ไทเฮาได้ยินว่าสองพี่น้องตระกูลถาวเข้าวังหลวงมาทำความเคารพตน ก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าเด็กไม่มีมโนธรรม สุดท้ายก็คิดถึงข้าจนได้”


เจ้าเด็กไม่มีมโนธรรมย่อมต้องหมายถึงถาวซินหลัน


จางหมัวหมัวได้ยินก็หัวเราะเอ่ยว่า “นางได้ยินเข้าคงไม่ยอมเป็นแน่เพคะ แต่ว่าหญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้ว ไฉนเลยจะสบายได้เช่นนั้น? ข้างบนยังมีพ่อสามีแม่สามี พี่ชายพี่สะใภ้นะเพคะ”


“ช่างเถิด ให้ข้าเดา ไม่มีเรื่องเดือดร้อนก็คงไม่มาหา” ไทเฮายิ้มอย่างไม่ยี่หระ พูดว่า “เจ้าไปรับพวกนางเถิด เหมือนกับหญิงสาวที่ออกเรือนไปกลับมาบ้าน ก็ควรให้เกียรติพวกนางเสียหน่อย” 

 

 


บทที่ 414 แนะนำ

 

​หลังจากทำความเคารพแล้ว ไทเฮาก็ประทานที่นั่งให้


“เจ้าเด็กตระกูลเฉินปฏิบัติต่อเจ้าดีหรือไม่?” ไทเฮาอมยิ้มมองถาวซินหลัน พอเห็นถาวซินหลันหน้าแดงเถือกจนก้มหน้าลงไป จึงพูดหยอกล้อว่า “ดูท่าทางจะใช้ได้ทีเดียว มิเช่นนั้นคงไม่ถึงขั้นลืมข้าหรอก”


ถาวซินหลันเอียงอาย ขาดแค่เพียงกระทืบเท้าเท่านั้น “ไทเฮา!”


“เพียงหยอกล้อเจ้าเล็กน้อย ทำไม ไม่ยอมหรืออย่างไร?” ไทเฮาส่งเสียงหัวเราะออกมา แต่ยิ่งดูมีเมตตามากกว่าเดิม “หากเขากล้าทำไม่ดีต่อเจ้า ข้าจะออกหน้าแทนเจ้าเอง!”


พูดหยอกล้อกันครู่หนึ่งก็ควรต้องเข้าเรื่องจริงจังแล้ว


ถาวซินหลันมองไปทางถาวจวินหลันทีหนึ่ง ลอบคิดว่างานนี้เห็นท่าว่าตนเองจะต้องเป็นคนเริ่มแล้ว อย่างไรพี่สาวของตนเองยังต้องรักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ เรื่องเช่นนี้ให้นางเอ่ยปากพูดออกมาจะดีกว่า หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงตั้งใจถามว่า “คนเหล่านั้นที่อยู่บริเวณนอกเมืองทำให้คนที่อยู่ภายในเมืองหลวงตอนนี้รู้สึกหวาดหวั่น ประตูเมืองก็เปิดไม่ได้ พี่สะใภ้ใหญ่ของหม่อมฉันพูดอยู่ทุกวัน ว่าแม้แต่ผักก็ยังหาซื้อไม่ได้ ช่างน่าเจ็บปวดใจเสียจริง” หยุดไปครู่หนึ่งก็ถามไทเฮาอีกว่า “ไทเฮาเพคะ ทุกคนต่างพูดว่านั่นไม่ใช่ผู้ลี้ภัยจริงๆ เป็นเรื่องจริงหรือไม่เพคะ?”


ไทเฮาเหลือบมองถาวซินหลัน ต่อว่า “รู้อยู่แก่ใจแล้วยังถาม ยามนี้เฉินฟู่เป็นคนสำคัญข้างกายฮ่องเต้แล้ว พ่อสามีของเจ้าเองก็เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก หรือว่าพวกเขาจะไม่รู้เลยอย่างนั้นหรือ? ยังจะตั้งใจมาถามข้า ข้าไม่ได้เห็นกับตาตนเอง ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”


ถาวซินหลันถูกจี้จุดก็ไม่เห็นว่าจะประหม่า แต่กลับยิ้มออดอ้อน “พวกเขาไม่พูดเรื่องเหล่านี้ภายในจวนนี่เพคะ ข้าไม่ถามไทเฮาแล้วข้าจะไปถามใครเล่า? ไทเฮาหากท่านไม่รู้ เช่นนั้นใครจะรู้เล่าเพคะ?”


ท่าทีเช่นนี้ของถาวซินหลันทำให้ไทเฮาหัวเราะเสียงดัง “เจ้าลิงนี่!”


ถาวซินหลันทำหน้าเอียงอาย “ไทเฮาได้โปรดบอกหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจะได้วางใจขึ้นมาบ้าง”


ไทเฮาเห็นเช่นนั้น ก็ค่อยๆ หุบยิ้ม สะบัดมือให้นางกำนัลหญิงที่อยู่ปรนนิบัติออกไปให้หมด ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “หากเป็นผู้ลี้ภัยจริง ก็คงไม่มีท่าทีเช่นนี้ ราชสำนักไม่เปิดประตูเมือง ก็ด้วยคิดถึงประชาชน จะต้องรู้ว่าหากเป็นผู้ลี้ภัยจริง ราชสำนักจะไม่บรรเทาทุกข์ไม่ทำอะไร แล้วจะยังปล่อยอีกฝ่ายหนึ่งไปอย่างนั้นหรือ ?”


หลังจากพูดจบแล้ว ก็มองไปที่ถาวจวินหลันทีหนึ่ง “พี่สาวของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าอย่างนั้นหรือ? อีกอย่าง เจ้ามีอะไรอยากพูดกับข้า?”


ประโยคสุดท้ายนี้กลับหันมามองถาวจวินหลัน


ในใจของถาวจวินหลันเทิดทูนเคารพความตาเหยี่ยวของไทเฮา ย่อมต้องไม่กล้านั่งนิ่งอีกต่อไป เม้มปากพูดเสียงเบา “หม่อมฉันได้ยินท่านอ๋องพูดว่าราชสำนักวางแผนจะสลายกลุ่มผู้ลี้ภัยเหล่านั้นใช่หรือไม่เพคะ? หากทำเช่นนั้นจริง เกรงว่าไม่ว่าใครนำขบวน ต่างก็ต้องรับเสียงก่นด่าทั้งนั้น ชื่อเสียงของฮ่องเต้ก็เช่นกัน…”


คำพูดนี้ถือว่าจี้ถูกจุด ไทเฮาอดถอนหายใจไม่ได้ “เป็นเช่นนั้น ข้าเองก็เป็นกังวล” เป็นฮ่องเต้นั้นไม่ง่าย และเป็นฮ่องเต้ที่ดีก็ยิ่งไม่ง่าย หากทำไม่ดีก็จะเหลือชื่อเสียงให้โดนด่าจนถึงหมื่นปี คนเป็นแม่ไฉนเลยจะหวังให้ลูกชายของตนเองตายไปก็ยังถูกคนก่นด่าเล่า?


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ฮ่องเต้อาจหาญ ไม่อาจถูกทำลายได้ในเวลาสั้นๆ เมื่อคืนนี้ท่านอ๋องคิดวิธีออกวิธีหนึ่ง เป็นวิธีที่จะแบ่งผู้ลี้ภัยจริงๆ และกลุ่มจลาจลออกจากกัน หากวิธีนี้สำเร็จ เรื่องนี้อย่างน้อยก็พอผ่อนได้บ้างเพคะ แต่ว่ากลุ่มจลาจลเหล่านั้นท้ายสุดแล้วก็ยัง…”


บริเวณรอบเมืองหลวงไม่ได้มีหน่วยทหารมาก ต่อให้ต้องสั่งย้ายมาก็ต้องใช้เวลาและกำลังแรง นี่ถึงเป็นสาเหตุว่าทำไมกลุ่มจลาจลเหล่านั้นถึงได้ปิดประตูเมืองอยู่ตลอด


ไทเฮาถอนหายใจอีกครั้ง “นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”


“หากฮ่องเต้ไม่ออกหน้า เสียงก่นด่านี้…” ถาวจวินหลันเอ่ยเสียงเบา ใช้เสียงแค่พอให้สามคนได้ยินเท่านั้น


ไทเฮาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ถอนหายใจ “ให้คนแบกความผิดนี้ไว้ ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี แต่ไม่ว่าให้ใครทำ ท้ายสุดแล้วล้วนเป็นขุนนาง สุดท้ายคนที่รับความผิดก็ยังเป็นฮ่องเต้”


ถาวจวินหลันมองถาวซินหลันทีหนึ่ง คิดแล้วคิดอีกสุดท้ายก็พูดออกมาก่อน “ที่จริงแล้วหม่อมฉันคิดตัวเลือกที่ดีได้แล้วเพคะ”


ไทเฮาเลิกคิ้ว พูดอย่างเด็ดขาด “เจ้าพูดมา”


“เหิงกั๋วกง” ถาวจวินหลันพูดแผนการของตนเองเสียงเบา “เหิงกั๋วกงมีอำนาจมากมาย ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเรื่องบีบบังคับเช่นนี้เพคะ”


ไทเฮาเขม็งมองถาวจวินหลันนิ่ง ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “วิธีนี้แท้จริงแล้วเป็นเจ้าที่คิดหรือว่า…” แต่เดิมอยากถามว่าเป็นสิ่งที่หลี่เย่คิดหรือไม่ แต่พอจะเอ่ยปากออกมากลับกลืนคำพูดลงไป แต่ก็สื่อความหมายเช่นนั้น


ถาวจวินหลันส่ายหัวทันที พูดออกมาว่า “นี่ไม่เกี่ยวข้องกับท่านอ๋องเพคะ เพียงแค่หม่อมฉันคิดเลอะเทอะเท่านั้น คิดว่าบางทีอาจจะช่วยได้”


ไทเฮามองถาวจวินหลันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในใจสับสนวุ่นวาย ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าถาวจวินหลันไม่ใช่คนซื่อขนาดนั้น พอยามนี้ก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่คิด ก่อนหน้านี้อยู่ที่เรือนในก็ยังปล่อยไปได้ ตอนนี้กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องภายในราชสำนักก็กล้าเข้ามายุ่งด้วย


แม้ว่าจะเป็นไทเฮา แต่ก็จำต้องยอมรับว่าวิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ดี หากเรื่องนี้สำเร็จ ผลประโยชน์ที่ตามมาย่อมต้องมากมายเป็นแน่


ถาวจวินหลันแม้ว่าจะไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องละอายแก่ใจ แต่เมื่อถูกไทเฮาถาม ก็รู้สึกอึดอัดทันที ในใจของนางเข้าใจดี หากดูตามบรรทัดฐานของผู้หญิงแล้ว นางทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม ด้วยเป็นผู้หญิงนางก็ควรจะยุ่งวุ่นวายแค่เรื่องภายในเรือน ทว่าเวลานี้นางกล้าเข้ามายุ่งเรื่องราชการ ไทเฮาต้องไม่พอใจเป็นแน่


เวลานี้เองถาวซินหลันก็เอ่ยปากออดอ้อนไทเฮา “ไทเฮา! ท่านพี่ของหม่อมฉันไม่ใช่เพราะว่าเห็นใจตวนชินอ๋องหรืออย่างไรเพคะ? ที่นางทำก็เพื่อแบ่งเบาภาระของราชสำนักไม่ใช่หรือเพคะ?  ใครบอกว่าผู้หญิงสู้ผู้ชายไม่ได้เพคะ? ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คิดหาวิธีได้ย่อมเป็นคนดีมิใช่หรือเพคะ?”


ต่อให้ความคิดของไทเฮาจะสับสนวุ่นวาย สุดท้ายแล้วก็อดรู้สึกขบขันกับคำพูดของถาวซินหลันไม่ได้ ไทเฮามองถาวจวินหลันนิ่งวูบหนึ่ง แล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ “เจ้าว่ามาก็จริง ใครบอกว่าผู้หญิงสู้ผู้ชายไม่ได้ พี่สาวของเจ้าคนนี้กลับเก่งกาจกว่าบุรุษจำนวนมากหลายคน น่าเสียดายที่มาเกิดเป็นสตรี” หากถาวจวินหลันเป็นผู้ชาย บางทีตระกูลถาวคงฟื้นกลับมานานแล้ว


“ข้าถามเจ้า ตวนชินอ๋องรู้เรื่องนี้หรือไม่” ไทเฮาหุบยิ้ม แล้วถามอย่างเคร่งขรึมอีกครั้ง


ถาวจวินหลันส่ายหน้า “วันนี้ท่านอ๋องออกจากจวนไปตั้งแต่เช้าเพคะ แต่ข้าเพิ่งคิดได้ช่วงสายๆ นี้เองเพคะ”


ไทเฮาพยักหน้า พูดว่า “ในเมื่อเขาไม่รู้ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องบอกเขา”


ถาวจวินหลันรู้ว่าไทเฮาตั้งใจจะใช้วิธีนี้ จึงรีบพยักหน้าทันที “หม่อมฉันฟังไทเฮาเพคะ”


“เมื่อพ้นจากประตูนี้ไป ไม่อนุญาตให้เอ่ยเรื่องนี้กับคนอื่นอีก ทางที่ดีที่สุดคือให้ลืมไปให้หมด” เสียงของไทเฮาเข้มงวดเล็กน้อย ไม่เพียงแค่กับถาวจวินหลันเท่านั้น มากกว่านั้นคือต่อถาวซินหลัน


ทั้งสองคนไม่กล้าละเลย รีบเอ่ยรับปากในทันใด


“เอาเถิด เรื่องนี้ข้าจะไปคิดดู หากพวกเจ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็กลับไปก่อนเถิด”


ไทเฮาอยากคิดเรื่องนี้เพียงลำพัง ดังนั้นจึงพูดไล่แขก แต่เมื่อคิดดูแล้วก็มองถาวจวินหลันและพูดว่า “คราวนี้ถือเป็นโอกาสดี ฉวยโอกาสคิดหาวิธีคืนชื่อเสียงดีๆ ให้ตวนชินอ๋องเถิด”


ถาวจวินหลันเอ่ยรับปากเสียงเบา รู้ว่าไทเฮากำลังแนะนำตนเองอยู่ นางก็สบายทันที ไทเฮาแม้จะไม่เคยชื่นชมวิธีของนางมาก่อน แต่คิดว่าคงเห็นด้วยเป็นแน่


ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นไทเฮาก็ดี หรือนางก็ดี พูดไปแล้วก็เพื่อตัวของหลี่เย่ทั้งนั้น


ทั้งสองคนทูลลากลับจวน แล้วถาวซินหลันก็พูดกับถาวจวินหลันเสียงเบา “ไทเฮาดูทรงอำนาจอย่างมาก แต่ที่จริงแล้วใจอ่อนมากนัก”


ถาวจวินหลันคลี่ยิ้มเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธ บางทีไทเฮาอาจจะใจอ่อน แต่ก็ต้องดูว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร เกี่ยวข้องกันอย่างไรด้วย ถาวซินหลันไม่พูดเรื่องอื่น อีกทั้งนิสัยขี้อ้อน ไทเฮาจะลำเอียงเอ็นดูก็ไม่น่าแปลก สำหรับนางนั้นอย่างแรกเป็นเพราะว่ามีบทเรียนก่อนหน้านี้ อย่างที่สองก็เพราะว่าไทเฮาเป็นห่วงหลี่เย่มากที่สุด ย่อมต้องเปรียบเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว


แต่ไม่ว่าไทเฮาจะมองนางอย่างไรก็ดี ขอแค่ไทเฮาทำเรื่องนี้และช่วยหลี่เย่ไดสำเร็จ  นางก็พอใจไม่ขออะไรมากกว่านี้แล้ว


เพียงไม่นานก็ถึงจวนตวนชินอ๋อง ถาวจวินหลันให้คนส่งถาวซินหลันกลับไป จากนั้นก็สั่งบ่าวรับใช้ “ไปเชิญชายารองเจียงและบรรดาอี๋เหนียงทั้งหลายมาพูดคุยปรึกษา”


ในเมื่อไทเฮากำชับให้นางนำชื่อเสียงที่ดีมาให้หลี่เย่ เช่นนั้นนางย่อมต้องพยายามเป็นอย่างดี แน่นอนว่านางคนเดียวทำให้เกิดผลไม่ได้ ยังต้องการผู้ช่วยอีกสองสามคน


ไม่นาน ทุกคนก็มากันพร้อมหน้า เจียงอวี้เหลียนกลับมาเป็นคนสุดท้าย ด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ภายในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงเรียกพวกเรามากะทันหันเช่นนี้?”


ถาวจวินหลันมองเจียงอวี้เหลียนวูบหนึ่ง ไม่มีเวลาว่างมาถกเถียงกับนาง จึงพูดออกไปตรงๆ “วันนี้ที่เรียกทุกคนมา ก็ด้วยมีเรื่องอยากปรึกษากับทุกคน”


เจียงอวี้เหลียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่ได้คิดทำอะไรตุกติกอีก นั่งลงพลางขมวดคิ้วพูดว่า “ภายในจวนเกิดเรื่องจริงๆ อย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงที่ใช้นั้นก็ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ นางคาดหวังให้ถาวจวินหลันดวงตก แต่ไม่คาดหวังให้ภายในจวนเกิดอะไรขึ้น อย่างไรเสียนางก็มีเซิ่นเอ๋อร์แล้ว ย่อมต้องคาดหวังให้จวนตวนชินอ๋องดีขึ้นเรื่อยๆ


ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ภายในจวนไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่สถานการณ์ด้านนอกพวกเจ้าน่าจะได้ยินมาบ้างแล้ว นี่เป็นแค่ผู้ลี้ภัยกลุ่มแรกเท่านั้น จากนี้ยังมีอีกมาก ข้าครุ่นคิดดูแล้วพวกเราควรต้องแสดงท่าทีอะไรบ้าง อย่างไรท่านอ๋องก็เป็นชินอ๋องแล้ว ฐานะสูงส่งขึ้นมาก ไม่ควรถ่อมตัวเหมือนเมื่อก่อนนี้ ตอนที่ควรจะแสดงท่าทีออกมาก็ควรแสดงถึงจะดี”


“ภายในจวนเตรียมอาหารเสื้อผ้าและผ้าห่มเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ?” เจียงอวี้เหลียนอึ้งไป “หรือของพวกนี้ยังไม่พอ? แต่นอกจากนี้แล้วพวกเรายังทำอะไรได้อีก?”


“ท่านอ๋องคิดวิธีหนึ่งได้” ถาวจวินหลันเอ่ยเสียงเบาพูดถึงวิธีการนั้น ยังคงพูดว่าหลี่เย่คิดได้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องจัดการเรียบเรียงคนเหล่านั้นให้ไปที่สวนในชนบท เมื่อเป็นเช่นนี้ สวนสวนหนึ่งเลี้ยงดูคนสองสามคนความรับผิดชอบก็ไม่ได้ถือว่าเยอะมากนัก อีกทั้งพวกเขาจะต้องช่วยทำงานได้อยู่แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องดี”


ใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนและคนอื่นต่างฉายแววเคร่งขรึม


จิ้งหลิงตอบโต้ทันที “แต่ในมือของราชสำนักก็ไม่ได้มีสวนมากมายถึงเพียงนั้น ดังนั้นยังต้องอาศัยตระกูลเก่าแก่และตระกูลใหญ่ ขุนนางข้าราชการใช่หรือไม่เจ้าคะ? ในจวนของพวกเราก็มีสวนจำนวนไม่น้อย”


เจียงอวี้เหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว สวนเหล่านั้นของจวนพวกเราสามารถจัดการรองรับคนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าได้ชื่อเสียงดีๆ กลับคืนมา” ถือว่าเป็นความคิดที่ดี เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อเสียงของหลี่เย่ดีขึ้น ถึงเวลาก็จะได้รับความชื่นชมจากฮ่องเต้ คงได้รางวัลหรือความสำคัญเป็นแน่ ถึงเวลานั้นต้องการอะไรแล้วจะไม่ได้บ้าง? 

 

 


บทที่ 415 ไม่คู่ควร

 

​“ไม่เพียงแค่สวนภายในจวนเท่านั้น ของที่อยู่ในมือของพวกเราเองก็เอาออกมาได้เช่นเดียวกัน” ถาวจวินหลันส่ายหน้าเอ่ยว่า “สวนในจวนของพวกเราไม่ได้มีมากนัก เมื่อเอาไปเทียบกับบรรดาตระกูลใหญ่แล้วย่อมไม่พอ ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะให้คนเอาไปเปรียบเทียบหรืออย่างไร? สมาชิกผู้หญิงอย่างพวกเราจึงต้องแบ่งสวนของตัวเองด้วย นี่ย่อมได้รับชื่อเสียงที่ดีกลับคืนมาแน่ ถือเป็นเรื่องดี”


เพื่อให้เกิดผล ถาวจวินหลันจึงพูดอีกว่า “แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่ยกเว้น พื้นที่หลายแห่งในชื่อของข้าจะต้องถูกนำออกมาทั้งหมด”


เจียงอวี้เหลียนครุ่นคิด พูดว่า “ในมือของข้ามีที่อยู่สามแปลง หนึ่งในนั้นยังเป็นที่ท่านอ๋องให้มา” ตอนที่พูดออกมา นางก็เหลือบมองถาวจวินหลันเล็กน้อย


ถาวจวินหลันทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่หันไปมองจิ้งหลิง กู่อวี้จือและถาวจือ


จิ้งหลิงพูดว่า “ในมือข้ามีที่สองแปลง”


กู่อวี้จือถอนหายใจ “มีเพียงแค่แปลงเดียวเท่านั้น”


ถาวจือก้มหน้าลง “ข้าเป็นเพียงอี๋เหนียง และไม่ได้รับความโปรดปราน ไม่มีที่จริงๆ เจ้าค่ะ”


เจียงอวี้เหลียนมองจิ้งหลิงทีหนึ่ง จิ้งหลิงและถาวจือเหมือนกัน เป็นนางกำนัลที่ออกมาจากวังหลวงเหมือนกันเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวยากจน ที่ดินย่อมไม่ใช่สิ่งที่บ้านเดิมของนางให้มาอย่างแน่นอน


จิ้งหลิงเห็นแล้วก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่กลับพูดออกมาเรียบๆ “สวนนั้นมีผืนหนึ่งที่ข้าซื้อเอง อีกผืนหนึ่งท่านอ๋องให้มา” แต่เดิมนางไม่อยากพูด แต่เมื่อคิดถึงกั่วเจี่ยเอ๋อร์ท้ายสุดก็ต้องพูดออกมา


ถาวจวินหลันกลับหัวเราะ อธิบายแทนจิ้งหลิง “จิ้งหลิงปรนนิบัติท่านอ๋องมานานหลายปี ตอนที่อยู่ในวังหลวงก็ไม่รู้ว่าได้รับรางวัลมามากมายเท่าไร ซื้อสวนสักแปลงก็คงเหลือเฟือ อีกทั้งท่านอ๋องก็เห็นว่าเป็นคนเก่าแก่ ต่อจากนี้พวกเจ้าก็ปรนนิบัติท่านอ๋องให้ดี คงไม่ขาดของพวกเจ้าเป็นแน่ อีกทั้งข้างกายของจิ้งหลิงก็มีกั่วเจี่ยเอ๋อร์ จะมอบสวนให้อีกสักแปลงก็ถือว่าเหมาะสม”


เจียงอวี้เหลียนหัวเราะเยาะ พูดออกมาอย่างนึกอิจฉา “ข้าเป็นถึงชายารอง? ข้างกายข้าก็ยังมีเซิ่นเอ๋อร์อีก ทำไมไม่เห็นจะให้ข้าเพิ่มบ้าง?”


ถาวจวินหลันรู้สึกเจ็บปวดใจ กวาดตามองเจียงอวี้เหลียนทีหนึ่ง “เอาเถิด ถ้าเจ้าอยากได้จริงๆ ข้าจะกลับไปคุยกับท่านอ๋อง”


เจียงอวี้เหลียนอับอายเล็กน้อย แต่กลับไม่ยอมแพ้ ทว่าต่อหน้าคนมากมาย คงไม่เหมาะจะระเบิดอารมณ์ เพียงแค่พูดว่า “ข้าไม่ได้ละโมบเสียหน่อย”


ถาวจวินหลันทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วพูดอีกว่า “นอกจากเรื่องเหล่านี้ บ่าวรับใช้ข้างกายพวกเจ้าก็จะต้องใช้บ้าง ข้าจะคิดวิธีซื้อผ้าเนื้อหยาบมา ไม่ว่าใครก็ตาม ขอแค่มีเวลาว่างก็ไปช่วยกันทำเสื้อผ้าเนื้อหยาบ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นน้ำใจ ข้าจะตั้งเรือนหนึ่งออกมาเพื่อทำงานเย็บปักถักร้อยโดยเฉพาะ”


จิ้งหลิงพยักหน้า “ผู้ลี้ภัยไม่ขอสิ่งของสวยงามประณีต ขอเพียงแค่บดบังร่างกายและกันหนาวได้ก็พอแล้ว วิธีนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”


“ถึงเวลาข้ายังคิดจะตั้งโรงทาน ภายในจวนของพวกเราก็ทำหมั่นโถวแป้งข้าวโพด แล้วก็ข้าวต้มที่ต้มตรงนั้น ให้หนึ่งถ้วยต่อหนึ่งคน ให้หมั่นโถวแป้งข้าวโพดอีกคนละลูกก็บรรเทาความหิวได้แล้ว แม้จะบอกว่าง่ายไปเสียหน่อย แต่ยังดีที่ทำต่อไปได้เป็นเวลานาน” นี่เป็นสิ่งที่ถาวจวินหลันครุ่นคิดมาอย่างละเอียด ตอนแรกที่ยากจนนั้น นางก็ซื้อพวกหมั่นโถวแป้งข้าวโพดเนื้อหยาบมาสองสามชิ้น ข้างในนั้นก็เติมพวกพืชผักเข้าไป ทั้งถูกและยังบรรเทาความหิวได้นาน เทียบกับหมั่นโถวแป้งข้าวแล้วใช้งานได้มากกว่านัก


และด้วยเคยผ่านประสบการณ์มาด้วยตนเอง ดังนั้นนางจึงคิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ งบประมาณเท่ากัน แต่นางก็สามารถทำได้มากกว่าคนอื่น อีกอย่างวัตถุดิบเช่นนี้เมื่อเทียบกับแป้งข้าวเจ้าที่แพงแล้วก็นับว่าหาซื้อง่ายกว่า


ทุกคนครุ่นคิดกันอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าความคิดนี้ใช้ได้ จึงพากันรับปาก


เจียงอวี้เหลียนเสนอขึ้นมาก่อน “ถึงเวลานั้นหากคนไม่พอ พวกเราเจ้านายก็ออกมาทำเองบ้างสองสามวัน ให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเราจริงใจ ถึงเวลานั้นจะต้องยิ่งน่าฟังเป็นแน่”


ความคิดนี้ใช้ได้เลย แต่เมื่อเจียงอวี้เหลียนพูดอย่างชำนาญ กลับทำให้ถาวจวินหลันอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ หรือว่าวิธีนี้เจียงอวี้เหลียนจะเคยใช้มาก่อน?


เจียงอวี้เหลียนเคยใช้มาก่อนจริง ตอนแรกที่เกิดภัยพิบัติหิมะ นางก็ฝ่าหิมะออกไปแจกหมั่นโถวและบะหมี่มา จึงได้รับชื่อเสียงที่ดี แต่เรื่องนี้นางย่อมไม่พูดให้ใครฟัง


เพียงไม่นานก็ปรึกษากันอย่างครบถ้วน ถาวจวินหลันสั่งให้คนไปเรียกหลิวเอินมา คนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกก็มีเพียงหลิวเอินเท่านั้นที่นางเชื่อใจและคุ้นเคยมากพอ


อีกทั้งนางก็ครุ่นคิดมาแล้ว ว่าถ้าหากหลิวเอินมากลางดึก ไม่แน่ว่าหลี่เย่อาจอยู่ด้วย ทว่าพอสองสามคนปรึกษารายละเอียดกันเรียบร้อยแล้ว คิดไม่ถึงว่าตกดึกแล้วหลี่เย่ก็ยังไม่กลับมา มีเพียงแค่หลิวเอินที่มาตอนกำลังทานอาหารค่ำเท่านั้น


ถาวจวินหลันเพิ่งจะเริ่มกิน คิดไปคิดมาก็ให้หงหลัวไปถามว่าหลิวเอินทานข้าวมาแล้วหรือยัง เมื่อได้ยินว่าหลิวเอินยังไม่ได้ทานมาจึงเอากับข้าวสองอย่างไปให้หลิวเอิน ให้เขาทานข้าวก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน


แต่ก็กลัวว่าหลิวเอินจะรอนาง นางจึงทานข้าวเพียงถ้วยเดียวอย่างรวดเร็ว แล้วให้คนไปชงชามาดื่ม พอดีกับตอนที่พูดคุยกับหลิวเอิน


หลิวเอินดูแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ท่าทีกลับดูโทรมลงเล็กน้อย


ถาวจวินหลันจึงถามเขา “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? ข้าดูท่าทีของเจ้าเหมือนจะไม่ค่อยปกตินัก”


หลิวเอินอธิบายว่า “พอปิดประตูเมืองแล้วก็ติดต่อกับด้านนอกได้ยากขอรับ ด้วยเหตุนี้จึงยุ่งวุ่นวายช่วงหนึ่ง อีกทั้งท่านอ๋องก็ให้ไปช่วยสืบข่าวบางเรื่องขอรับ”


ถาวจวินหลันพยักหน้า แต่ไม่ถามว่าหลิวเอินไปสืบข่าวเรื่องอะไรมาให้หลี่เย่กันแน่ เพียงแค่พูดแผนการของตัวเอ จากนั้นก็พูดว่า “เจ้าเองก็ช่วยข้าพิจารณาดู ว่ามีอะไรไม่เหมาะสมหรือไม่”


หลิวเอินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าชื่อเสียงจะดี แต่ก็สร้างความเกลียดชังได้ง่ายเช่นกันนะขอรับ โดดเด่นมากเกินไปก็ไม่ดี”


“มีคนพูดว่านกที่โผล่หัวออกมาจะถูกยิง ลมมักพัดกิ่งไม้ที่ยื่นเด่นออกมา ความหมายของเจ้าข้าเข้าใจแล้ว” ถาวจวินหลันพยักหน้า และนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่งถึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้ามีคำแนะนำอย่างไร?”


หลิวเอินพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่เป็นคนที่ออกหน้า ราชสำนักย่อมต้องตั้งโรงทานอยู่แล้ว แล้วยังมีบรรดานางสนมในวังใน หรือว่าบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ชายารองลองคำนวณเวลาดู ไม่จำเป็นต้องเร็วเกินไปและช้าเกินไปขอรับ”


หยุดไปครู่หนึ่ง หลิวเอินก็พูดอีกว่า “ที่จริงแล้ว ไม่จำต้องต้มข้าวต้มก็ได้นะขอรับ พวกเราเคี่ยวยาไปแจกจ่ายได้ อากาศร้อนลดความชื้นทำให้เย็นขึ้น พวกเขามาจากที่ประสบภัยแล้ง ร่างกายต้องมีโรคมาบ้าง พวกเราก็สามารถลงมือจากเรื่องนี้ได้ขอรับ”


“เจ้าพูดว่า บริจาคยา? ตรวจโรคโดยไม่เก็บเงินอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่แม้ว่าความคิดนี้จะดี แต่สุดท้ายก็ยังมีข้อเสีย “เกรงว่าจะไม่มีสมุนไพรมากขนาดนั้น สิ่งนี้เมื่อเอามาเทียบกับอาหารแล้วก็ยิ่งทำยากไปใหญ่” นี่ไม่ใช่สิ่งของที่มีเงินก็หาซื้อได้ แต่เดิมจำนวนของสมุนไพรที่ผลิตก็สู้ของอุปโภคไม่ได้


“สมุนไพรหาซื้อเข้ามาจากทางใต้ได้ขอรับ ใช้เรือขนเข้ามาตามแม่น้ำ แล้วส่งมายังวังหลวง แน่นอนว่าไม่ต้องต้มข้าวต้มก็จริง แต่หมั่นโถวแป้งข้าวโพดเหล่านี้ก็ได้เหมือนกันขอรับ อย่างไรที่อื่นก็พากันแจกโจ๊ก นี่ก็ดูจะซ้ำกันมากเกินไป” หลิวเอินพูดอย่างละเอียด ท่าทีดูมั่นใจ “ไม่ว่าจะเป็นข้าวสารหรือว่าวัตถุดิบ ไม่เพียงแค่ต้องมากพอ ประหยัดเสียหน่อยก็พอผ่านไปได้นะขอรับ อีกทั้งต่อให้ถึงช่วงที่ไม่มีสมุนไพรแล้วจริง ก็โทษพวกเราไม่ได้มิใช่หรืออย่างไรขอรับ?”


ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน รู้สึกว่าคำแนะนำของหลิวเอินใช้ได้ทีเดียว จึงตกลงว่า “ทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน” เทียบกับของกินแล้ว ยามนี้ยาเป็นสิ่งของที่ล้ำค่ามากกว่า อย่างไรอาหารเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้มีชีวิตรอดได้เสมอไป มีโรคบางโรคที่ต้องกินยาถึงจะหาย เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่หลบหนีมหันตภัยมาต้องรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นแน่ ถึงตอนนั้นคงพูดถึงข้อดีของจวนตวนชินอ๋องแน่นอน


“เรื่องคราวที่แล้วชายารองเรียกข้ามาสอบถาม ข้าสืบมาได้เล็กน้อยแล้วขอรับ” หลิวเอินยิ้ม จากนั้นก็พูดออกมา


ถาวจวินหลันยังไม่ทันได้ตั้งตัวว่าเป็นเรื่องอะไร กลับต้องนิ่งอึ้งไป “เรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”


“เรื่องเกี่ยวกับจวนเฝินหยางโหวขอรับ” หลิวเอินพูด “ชายารองคิดว่าจั่วเสี่ยนอวี้ดีจนน่าสงสัยเกินไปมิใช่หรือขอรับ? ดังนั้นจึงให้ข้าน้อยสั่งคนไปตรวจสอบดู ผลคือสืบเจอเรื่องน่าสนใจไม่น้อยเลยขอรับ”


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็อดเลิกคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “อย่างนั้นหรือ? หรือว่าจั่วเสี่ยนอวี้จะไม่ได้ดีเหมือนที่แสดงออกมาอย่างนั้นหรือ? ให้ข้าเดา หรือว่าเขาจะแนะนำเฝินหยางโหวที่อายุยังน้อยไปในเส้นทางที่ไม่ดีอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเขาตั้งใจปล่อยข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับเฝินหยางโหว? หรือว่าเขาเสนอตัวปล่อยข่าวให้ฝ่ายหญิงทราบ ทำให้เรื่องการแต่งงานของเฝินหยางโหวเสียหาย?”


หลิวเอินแสดงท่าทีแปลกใจออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ชายารองทายเพียงครั้งเดียวก็ถูกเลยขอรับ แม้ว่าจะผิดพลาดไปบ้าง แต่ก็ใกล้เคียงความจริงมากแล้วขอรับ”


ถาวจวินหลันก็ยิ้มเช่นกัน “แค่เพียงเดามั่วเท่านั้น อย่างไรก็ไม่มีใครใครสมบูรณ์แบบทุกอย่างหรอก พูดไปแล้วก็ดีเกินไปจริงๆ ภรรยาเอกปฏิบัติกับเขาเช่นนั้น เขาก็ยังไม่มีคำกล่าวโทษใดๆ ช่างทำให้เชื่อได้ยากเสียจริง แต่คนเช่นนี้ถนัดเรื่องการหลบซ่อนมากที่สุด คนโบราณพูดว่าลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย ในเรื่องนี้แม้ว่าเขาจะเทียบไม่ได้แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก จะพูดว่ามานะบากบั่นอย่างทรหด ตั้งปณิธานแก้แค้นล้างอัปยศให้แก่ประเทศชาติก็ไม่เกินไป”


ยังดีที่จั่วเสี่ยนอวี้ได้รับความเชื่อใจจากเฝินหยางโหว คิดว่าขั้นตอนที่ผ่านมาคงไม่ง่ายเป็นแน่


หลิวเอินพยักหน้า ดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “ข้าน้อยเองก็คิดเช่นนั้นขอรับ มาถึงตอนนี้ได้ถือว่าไม่ง่ายแล้ว แค่วิธีการแก้แค้นเช่นนี้ ก็ถือว่าดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่างแรกคือปกป้องคนทั้งครอบครัว อย่างที่สองก็ยังสามารถแก้แค้นได้ขอรับ”


ถาวจวินหลันได้ยินก็อดพยักหน้าไม่ได้ “ใช่แล้ว นี่ถึงจะเรียกว่าวางแผนอย่างกล้าหาญและชาญฉลาด”


“ตระกูลจั่วอยากจะแต่งงานสานสัมพันธ์กับตระกูลกู่ ตระกูลกู่มีลูกสาวจากภรรยาเอกสองคน แม้ว่าจะอายุน้อยไปเสียหน่อย แต่ก็หน้าตางดงามมาก…” หลิวเอินพูด จนถึงขั้นส่งเสียงจิ๊ปากออกมา ถอนใจเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าสวยงามจนพระจันทร์ต้องหลบหลีก ดอกไม้ต้องเ**่ยวเฉา ปลาต้องนอนนิ่ง นกต้องตกหน้าผา เรียกว่างามล่มเมืองที่แท้จริง”


ใจของถาวจวินหลันเริ่มคล้อยตาม ถามออกมาย่างสงสัย “ตระกูลกู่? ตระกูลกู่ไหน? หรือว่าจะเป็นตระกูลกู่ของกู่อี๋เหนียง?”


หลิวเอินพยักหน้า “ใช่ขอรับ แต่ครั้งนี้กลับเป็นสายเลือดของภรรยาเอกที่แท้จริงขอรับ”


“คิดดูแล้วจั่วเสี่ยนอวี้เพื่อสิ่งนี้ถึงได้ทำให้เจ้าจับร่องรอยได้ใช่หรือไม่? เขาอยากทำลายงานแต่งงานนี้อย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันอดคาดเดาไม่ได้


หลิวเอินตอบรับว่าใช่


ถาวจวินหลันจึงถามหลิวเอิน “ตระกูลกู่ยินยอมเองหรือว่า…”


หลิวเอินส่ายหน้า “เรื่องนี้กลับสืบไม่ได้ขอรับ คิดแล้วก็ไม่น่าถือว่าบีบบังคับ อย่างไรตระกูลกู่ก็ล่มสลายแล้ว หากเกาะจวนเฝินหยางโหวได้จริงก็ถือว่าปีนไปสู้จุดสูงแล้ว”


ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ จากนั้นก็พูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ทำลายการแต่งงานนี้เถิด ปีนขึ้นที่สูงอย่างนั้นหรือ? ภาพลักษณ์อย่างเฝินหยางโหวนี่คู่ควรกับหญิงสาวสวยล่มเมืองด้วยหรือ? ไม่มีอะไรน่าเสียดายไปกว่านี้แล้ว”


หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดว่า “ตอนที่จัดการเรื่องนี้ เจ้าเองก็คิดหาวิธีให้จั่วเสี่ยนอวี้รู้ แล้วก็ดูว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร หากเขาคิดจะร่วมมือ นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี” ไม่ว่าจะเป็นของที่ทนทานมากเพียงใด แต่ถ้าเน่าเปื่อยจากภายใน ต่อให้หยุดก็หยุดไม่อยู่ 

 

 


บทที่ 416 แลกเปลี่ยน

 

หลี่เย่ไม่ได้กลับบ้านติดต่อกันสองวัน เสื้อผ้าก็เพียงให้หวังหรูกลับมาเอา


ถาวจวินหลันเริ่มเป็นกังวล แต่กลับจนปัญญา เพียงแค่ทำตามแผนการอย่างเงียบๆ ของที่ควรเก็บกวาดก็เก็บกวาด ของที่ควรจะจัดก็จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย


ในเมื่อจะบริจาคยาและตรวจโรค ถ้าเช่นนั้นสิ่งคู่กันที่ขาดไม่ได้ก็คือหมอ ในเมืองหลวงมีหมอที่กำหนดตรวจอาการให้คนในจวนโดยเฉพาะ ถาวจวินหลันให้คนดูแลไปพูดทีหนึ่ง ทางนั้นก็ตอบรับ ไม่ว่าอย่างไรทางนี้ก็จะต้องให้เงิน อีกทั้งเงินยังเป็นจำนวนไม่น้อยอีกด้วย ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับปาก แน่นอนว่าหมอล้วนมีเมตตาและฝีมือทางการแพทย์สูงส่ง เรื่องเช่นนี้เป็นการทำดีต่อประชาชน ย่อมต้องไม่ปฏิเสธเป็นแน่


หมอเพียงคนเดียวย่อมไม่พอ ถาวจวินหลันจึงไปถามหมอหลวงที่เคยมาตรวจอาการให้จวนตวนชินอ๋อง นางรู้ว่าหมอหลวงคนนี้มีหลานคนหนึ่งที่ฝีมือทางการแพทย์ใช้ได้ แต่ว่าตอนนี้อายุยังน้อย จึงนั่งอยู่ในร้านยาเพื่อสั่งสมประสบการณ์เท่านั้น


หมอหลวงคนนั้นสกุลเสิ่น หลังจากได้ยินเรื่องนี้ก็ตอบรับทันที เรื่องเช่นนี้ไม่เพียงแค่ช่วยฝึกหัดคนได้ และยังได้รับชื่อเสียงที่ดีอีกด้วย ไฉนจะไม่เห็นดีด้วยเล่า?


หมอหลวงเสิ่นก็ยังแนะนำลูกศิษย์ของตัวเองสองคน มีฝีมือการแพทย์ใช้ได้เช่นเดียวกัน แต่ยังไม่สามารถเข้ากรมหมอหลวงได้ก็เท่านั้น


ถาวจวินหลันย่อมชอบใจ ในเวลานี้มีหมอเยอะเท่าไรก็ยิ่งดี อีกทั้งหมอหลวงเสิ่นก็พูดแล้ว ยาสมุนไพรเขาเองก็สามารถช่วยติดต่อให้ได้ รับประกันว่าเป็นยาสมุนไพรชั้นดี ราคาก็ยุติธรรม ย่อมต้องไม่มีเหตุผลให้ไม่ยินดีเป็นแน่


วันนี้ถาวจวินหลันกำลังดูคนทำเสื้อผ้าเนื้อหยาบอยู่ ทางด้านหงหลัวก็แอบมารายงานว่า “บริเวณประตูข้างมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งมาเจ้าค่ะ ฝากคนส่งข้อความเข้ามาบอกว่าอยากพบชายารอง แล้วยังให้คนเอาของที่ระลึกมาให้ บอกว่าเมื่อท่านได้เห็นของสิ่งนี้จะต้องอยากพบนางเป็นแน่เจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันพลันแปลกใจ ให้หงหลัวนำของมาให้ตนเองดู


หงหลัวกลับหยิบปิ่นผีเสื้อชิ้นหนึ่งออกมา ปิ่นผีเสื้อนั้นไม่ถือว่าเป็นของล้ำค่าอะไร เพียงแค่ฝีมือการประดิษฐ์ค่อนข้างประณีตเท่านั้นเอง


ถาวจวินหลันเหลือบมองทีหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็รู้สึกคุ้นตาทันที จึงตั้งใจมองอย่างละเอียด เพียงแค่มองก็จำได้ นี่เป็นของที่นางมอบให้ตอนที่หยวนฉงหวาเข้าพิธีเข้าสู่วัยสาว ตอนนั้นหยวนฉงหวาดีกับนางมาก อีกทั้งยังเที่ยวเล่นอยู่ด้วยกันบ่อย ดังนั้นสุดท้ายแล้วนางจึงไปร่วมพิธี แล้วยังเตรียมของขวัญไปให้ชุดหนึ่งอีกด้วย


หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็กำชับหงหลัวว่า “ไปพาบ่าวรับใช้คนนั้นเข้ามาเถิด” หากเดาไม่ผิด บ่าวรับใช้คนนั้นน่าจะเป็นบ่าวของหยวนฉงหวา หยวนฉงหวาให้บ่าวของตนมาหานางแท้จริงแล้วมีเรื่องอะไรกันแน่?


นางไม่แปลกใจ ตัวนางรู้ดีว่าต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆ หยวนฉงหวาคงไม่มาหาตนเอง หรือจะบอกว่าจนตรอก ไม่มีทางออกจริงๆ อย่างนั้นหรือ?


ถาวจวินหลันยังจำได้ว่า ช่วงนี้หยวนฉงหวาต้องประสบพบเจอกับอะไร ถูกใส่ร้าย แล้วยังสูญเสียลูกไปอีก สิ่งที่นางต้องประสบในจวนคังอ๋องคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ส่วนหากคิดอยากได้ความรักอีกครั้ง เกรงว่าคงไม่ง่าย อีกทั้งหลังจากที่แท้งไปก็ต้องใช้เวลารักษาร่างกายอยู่นาน ถึงตอนนั้นคังอ๋องยังจะจำนางได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา


เพื่อหลบหลีกสายตาของผู้คน ถาวจวินหลันจึงแอบพบหญิงรับใช้ของหยวนฉงหวา ไม่กล้าให้คนอื่นพบเจอ นางเชื่อว่าหยวนฉงหวาไม่ยินยอมให้เรื่องนี้แพร่งพรายเป็นแน่


บ่าวรับใช้ของหยวนฉงหวาคนนี้ชื่อว่าซูอวิ๋น ดูแล้วอายุไม่ได้มากนัก ท่าทีก็ดูขี้ขลาดหวาดกลัว คิดแล้วน่าจะไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่มีฐานะสูงมากเท่าไร


คิดไปแล้วก็ใช่ หากดูแลปรนนิบัติข้างกายจริง ก็คงไม่สามารถที่จะออกมาจากจวนได้อย่างง่ายดาย


ซูอวิ๋นย่อมต้องไม่รู้จักถาวจวินหลัน หลังจากทำความเคารพอย่างลังเลแล้ว นางก็ถามว่า “ท่านคือชายารองถาว?”


ถาวจวินหลันหัวเราะออกมา “ข้าคือถาวจวินหลัน เจ้ามาหามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ? ปิ่นชิ้นนั้นเจ้าเอามาจากที่ใด?”


ซูอวิ๋นได้ยินแล้วก็เริ่มงุ่มง่าม รีบคุกเข่าลงไปในทันใด โขกหัวร้องขอชีวิตติดๆ กัน “ขอให้ชายารองถาวช่วยชายารองของพวกเราด้วยเถิดเจ้าค่ะ! ท่านช่วยนางด้วยเถิดนะเจ้าค่ะ!”


ถาวจวินหลันตกใจ รีบแสดงท่าทีให้หงหลัวประคองซูอวิ๋นขึ้นมา ไม่ต้องพูดว่าการทำเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ แต่ถ้ารอนางกลับไปแล้วมีคนเห็น ก็จะสงสัยเอาได้ไม่ใช่หรืออย่างไร?


“ชายารองของพวกเจ้าเป็นอะไรไป?” พอซูอวิ๋นถูกประคองขึ้นมาแล้ว ถาวจวินหลันก็ส่งเสียงถามออกมา


ซูอวิ๋นเงยหน้าขึ้น ถาวจวินหลันถึงได้เห็นร่องรอยน้ำตาเต็มใบหน้า ในใจยิ่งหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น ดูจากท่าทางเช่นนี้ เกรงว่าหยวนฉงหวาคงไม่ดีแล้วจริงๆ คาดเดาได้ถือเป็นเรื่องหนึ่ง ที่มองเห็นตรงหน้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


ซูอวิ๋นร้องไห้พลางพูดว่า “ชายารองของพวกเราจะตายแล้วเจ้าค่ะ! ตอนนี้นางไม่มีลูก ท่านอ๋องก็ไม่มาที่เรือนของนางอีก พระชายาก็ไม่สนใจ แม้แต่หมอก็ไม่เชิญมาให้! พระชายาของพวกเราป่วยมาหลายวันแล้ว แม้แต่ยาก็ไม่ได้ดื่มเลยเจ้าค่ะ!”


ถาวจวินหลันตกใจจนแทบพูดไม่ออก “อะไรนะ? ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้? จะไม่ดีอย่างไรนางก็เป็นชายารองคังอ๋อง! ไฉนเลยจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้!” ต่อให้ไม่ได้รับความโปรดปราน แต่ก็ยังมีฐานะเป็นชายารอง ต้องยังใช้ชีวิตดีได้ถึงจะถูก สิ่งเหล่านี้ที่ซูอวิ๋นพูดช่างเกินไปเสียเล็กน้อย ช่างทำให้เชื่อไม่ลงจริงๆ!


ซูอวิ๋นร้องไห้คร่ำครวญ น้ำหูน้ำตาไหลรวมกันบนใบหน้านางก็ไม่สนใจ เพียงแค่มองถาวจวินหลันและขอร้องว่า “เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ! บ่าวไม่กล้าโกหกแม้แต่น้อย! ชายารองใกล้จะไม่ไหวแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ นางเอ่ยปากแล้วว่ามีเพียงท่านที่ช่วยเหลือนางได้! ขอร้องท่านเถิดเจ้าค่ะ ชายารองถาวได้โปรดเห็นใจเถิดนะเจ้าคะ”


ที่จริงแล้วซูอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าถาวจวินหลันช่วยหยวนฉงหวาได้อย่างไรบ้าง แต่ในเมื่อหยวนฉงหวาพูดเช่นนี้ นางจึงเชื่อเช่นนั้น


ถาวจวินหลันมองซูอวิ๋นมีท่าทีเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วอย่างจับสังเกตไม่ได้ ถามว่า “ถ้าเช่นนั้นนางได้พูดอะไรอีกหรือไม่?” หยวนฉงหวาไม่มีทางสะเพร่าให้คนเอาของเก่ามาเสนอถึงประตู อย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางก็ไม่ดี อีกทั้งอยากช่วยหยวนฉงหวาก็ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย หยวนฉงหวาเป็นชายารองของจวนคังอ๋อง ไม่ใช่คนที่อื่นใด และยิ่งไม่ใช่คนในขอบเขตการจัดการของนาง พูดไม่น่าฟัง คืออำนาจของนางไม่ได้มากถึงขนาดยื่นมือเข้าไปในจวนคังอ๋องได้


ดังนั้นถาวจวินหลันถึงได้มั่นใจว่าหยวนฉงหวาได้มอบคำพูดอื่นมาด้วยเป็นแน่ ที่ทำให้นางสามารถลงมือได้


พูดตามตรงก็คือค่าตอบแทนที่จะให้นางลงมือ จากที่นางดูแล้ว หยวนฉงหวาอาจจะอยากทำธุรกิจกับนาง มิเช่นนั้นแล้วนางจะเอาอะไรมาลงมือ? แม้ว่านางจะไม่ใช่คนเลว แต่ก็ไม่ใช่คนที่ดีถึงเพียงนั้น


หยวนฉงหวาคิดแค้นนางมาหลายปี ย่อมต้องเข้าใจนิสัยของนางแน่นอน


ซูอวิ๋นได้ยินถาวจวินหลันถามเช่นนั้น ก็ถึงคิดคำสั่งของหยวนฉงหวาได้ จึงรีบพูดว่า “มีเจ้าค่ะ มีเจ้าค่ะ! ชายารองของพวกเรายังกำชับให้บ่าวมาบอกชายารองถาวอีกเล็กน้อยเจ้าค่ะ!”


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ว่าอะไร?”


“ชายารองของพวกเราบอกว่าถ้าหากท่านยอมช่วยนาง นางจะยอมบอกเรื่องใหญ่มากๆ มีความเกี่ยวข้องกับคนสำคัญบางคนในเมืองหลวง มีประโยชน์ต่อท่านเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ” ซูอวิ๋นพูดพลางเหลือบมองถาวจวินหลัน อย่างไรคำพูดของหยวนฉงหวานี้ก็ไม่เหมือนคนที่กำลังขอความช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย นางยังคงกลัวว่าถาวจวินหลันได้ยินแล้วจะไม่สบายใจ สะบัดมือไม่ไปช่วยหยวนฉงหวา


ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่านี่ถึงเป็นนิสัยการพูดของหยวนฉงหวา หยวนฉงหวาไม่มีทางขอร้องนาง ต่อให้จนตรอกอย่างไร หยวนฉงหวาก็แค้นนางรังเกียจนางเข้ากระดูกดำ จะให้หยวนฉงหวามาขอร้องนางคงลำบากใจยิ่งกว่าให้ไปตาย


ด้วยยังไม่ได้บอกว่าคือเรื่องอะไร ถาวจวินหลันจึงยังลังเล หากหยวนฉงหวาเพียงแค่โกหกมดเท็จเล่า? นั่นไม่ใช่ว่านางจะต้องเหนื่อยเปล่าหรือ?


แต่เมื่อเห็นดวงตาคาดหวังของซูอวิ๋นคู่นั้น ถาวจวินหลันก็ใจอ่อนในที่สุด คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าพูดว่า “หลังจากนางคลอดก็มีร่างกายบอบช้ำ อีกครู่หนึ่งตอนที่เจ้ากลับไป ข้าจะเตรียมของบำรุงและยาให้บำรุงร่างกายเสียหน่อย เจ้าแอบเอาไปให้นางกิน แล้วค่อยถามมาว่าคนคนนั้นคือใคร ให้นางคิดวิธีมาบอกข้า อีกทั้งหากนางยอมพูด ก็ถามนางว่าอยากจะอยู่ที่จวนคังอ๋องต่อหรือว่าอยากจะถอนตัวออกมา”


พอถามแผนการของหยวนฉงหวาให้ชัดเจน นางเองก็จะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าสุดท้ายแล้วจะช่วยหรือไม่? ถามเช่นนี้ก็เป็นการป้องกันไม่ให้ความคาดหวังของหยวนฉงหวามากเกินไป หรือลากตัวนางเข้าไปเกี่ยวพันด้วย ถามอย่างชัดเจนแล้วนางถึงจะคิดหาวิธีได้


ที่สำคัญก็คือนางไม่ยินยอมเป็นของเล่นของใคร ไม่ใช่ว่านางเลือดเย็น แต่ทำไมนางจะต้องเข้าไปช่วย เรื่องที่หยวนฉงหวาเคยปฏิบัติต่อนาง นางยังคงจำได้อย่างแม่นมั่น เป็นคนดีอย่างไรก็ไม่มีทางยินยอม จะให้วัตถุดิบยาที่ดีขนาดไหนก็ไม่คุ้มค่า ไม่ว่าอย่างไรคนที่เสี่ยงอันตรายก็ไม่ใช่นาง


เรื่องนี้หากคนอื่นรู้เข้า ก็แค่เหมือนนางเห็นใจหญิงสาวด้วยกันจึงยอมช่วยหยวนฉงหวา คนอื่นก็ไม่สามารถหาเรื่องได้ อย่างไรเสียเพียงแค่ให้วัตถุดิบสมุนไพรเท่านั้น ไม่ได้ทำเรื่องอื่นเสียหน่อย


วิธีการพูดเช่นนี้ของถาวจวินหลันและการคาดการณ์ของซูอวิ๋นไม่เหมือนกันอย่างมาก แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่รับได้ เมื่อมียาก็นับว่าต่อชีวิตไปได้อีกมิใช่หรืออย่างไร? ดังนั้นหลังจากซูอวิ๋นโขกหัวขอบคุณถาวจวินหลันสามครั้งก็พูดเร่งว่า “ขอให้ชายารองถาวรีบหน่อยเถิดเจ้าค่ะ บ่าวออกมานานเกินไปแล้ว เกรงว่าจะทำให้คนสงสัย”


ถาวจวินหลันพยักหน้า ให้หงหลัวไปจัดการเรื่องนี้ ยังดีที่วัตถุดิบสมุนไพรยังเยอะอยู่ ในคลังเก็บของของนางเองก็มียาบำรุงอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะบำรุงร่างกายหลังคลอด


ตอนแรกที่อุ้มท้องหมิงจู เพราะว่าร่างกายไม่ได้บำรุงให้ดี ดังนั้นจึงเสียหายเล็กน้อย จนถึงตอนนี้ก็ยังต้องบำรุงต่อไป


รอจนส่งซูอวิ๋นกลับไปแล้ว หงหลัวก็รีบก้าวเข้ามาเกลี้ยกล่อม “ชายารองเชื่อคำพูดของนางหรือเจ้าคะ? แต่ข้าคิดว่าควรต้องระมัดระวังเสียหน่อย หากเป็นกับดักเล่า? ไม่แน่ว่าจวนคังอ๋องอาจจะวางแผนใช้สิ่งนี้มาลงมือกับพวกเรานะเจ้าคะ” เรื่องเช่นนี้จะเล็กจะใหญ่ก็ได้ หากช่วยหยวนฉงหวาจริง หลังจากให้คนจับผิดได้ ก็คงจะยุ่งวุ่นวายมากทีเดียว


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ข้ารู้ดี ตอนนี้ก็เพียงแค่มอบวัตถุดิบสมุนไพรให้เท่านั้นเอง พูดให้ไม่น่าฟังก็คือ เมื่อเห็นขอทานข้างถนนต้องการเงินก็ต้องหยิบยื่นให้บ้างเล็กน้อย นางเทียบมาแล้วก็ถือว่าเป็นเพื่อนของข้าตอนที่ข้ายังอยู่ในวัยแรกแย้ม ถ้าไม่ช่วยเลยก็ถือว่าข้าเลือดเย็นไร้เยื่อใยไปหน่อย”


หงหลัวพยักหน้าแต่ยังคงไม่วางใจ “ถ้าไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ลองถามความคิดของท่านอ๋องดีหรือไม่เจ้าคะ?”


ถาวจวินหลันส่ายหน้า “เรื่องเล็กเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องก็ไม่ได้ว่าง อีกทั้งเรื่องของเรือนในเช่นนี้ ผู้ชายก็ไม่ควรจะต้องเก็บไปคิด”


หงหลัวทำได้แค่พยักหน้ารับคำเท่านั้น


ถาวจวินหลันครุ่นคิด และกำชับนางอีก “ไปข้างนอกถ่ายทอดคำพูดให้หลิวเอิน ให้เขาเข้ามาพบข้าสักครั้ง”


หลิวเอินข่าวสารกว้างขวาง ถามเขาอาจจะรู้อะไรบ้าง อีกอย่างเรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักนางเองก็อยากจะถาม สุดท้ายแล้วสถานการณ์ด้านนอกเมืองเป็นเช่นไร หลายวันมานี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ช่างทำให้ไม่สบายใจเสียจริง 

 

 


บทที่ 417 ละโมบ

 

​หัวค่ำหลิวเอินก็เข้ามาในจวน


เมื่อถามเรื่องหยวนฉงหวาของจวนคังอ๋อง หลิวเอินกลับส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ เรื่องภายในเรือนในคังอ๋องนั้นปิดบังเอาไว้เป็นอย่างดี วิธีการของพระชายาคังอ๋องดีเลยทีเดียวขอรับ” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “หากต้องการสอบถามบางอย่าง ข้าน้อยก็พอจะคิดหาวิธีได้ขอรับ”


ในเมื่อหลิวเอินไม่รู้เรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็ได้แต่ส่ายหัว “เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก ตอนนี้เรื่องของท่านอ๋องสำคัญกว่า เจ้าสนใจทางด้านนั้นไปก็พอแล้ว เรื่องของข้าไม่จำต้องมาสนใจ วันนี้ที่เรียกเจ้ามาจุดประสงค์หลักก็เพราะผู้ลี้ภัยนอกเมือง ในตอนนี้สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง?


เพราะว่าประตูเมืองปิด ดังนั้นถาวจวินหลันจึงสั่งให้ปิดประตูใหญ่ของจวน เหลือเพียงแค่ประตูเล็กที่เอาไว้ออกไปจับจ่ายซื้อของ ดังนั้นข่าวคร่าวจึงไม่ถือว่ารวดเร็วมากนัก


หลิวเอินได้ยินนางถามเรื่องภายนอกเมือง ใบหน้าก็แสดงท่าทีขบขัน “กระจายไปไม่น้อยเลยขอรับ ไปที่พักที่ทางราชสำนักจัดเอาไว้ให้ ไปรับอาหารทุกวันก็สงบขึ้นมากขอรับ แต่ก็ยังเหลือกว่าครึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมทิ้งอาวุธในมือไปยังที่พักที่ราชสำนักเตรียมไว้ให้ ยังคงร้องจะเข้าเมืองขอรับ”


“เมื่อเป็นเช่นนี้วิธีของท่านอ๋องก็ได้ผลจริงด้วย” ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็โล่งอก แอบรู้ยินดีเสียด้วยซ้ำไป


ในเมื่อเกิดผล ฮ่องเต้ก็จะยิ่งให้ความสำคัญกับหลี่เย่มากขึ้นหลายเท่าเป็นแน่


“เกิดผลขอรับ แต่ผลที่ได้รับก็น้อยเหลือเกิน” หลิวเอินยิ้ม ส่ายหัวอีกครั้ง “สุดท้ายแล้วตลอดทั้งเส้นทาง คนที่เหลือก็ไม่ใช่คนดีนัก ตอนนี้เมื่อแยกออกมาอย่างนี้แล้ว คนที่เฝ้าหน้าประตูเมืองอยู่เหล่านั้นก็ยิ่งไม่ใช่คนดีเป็นแน่ขอรับ”


“ถ้าอย่างนั้นราชสำนักก็น่าจะเริ่มกำจัดสลายกลุ่มภายในไม่กี่วันนี้แล้ว” หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดออกมาเช่นนี้


หลิวเอินก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน จึงพยักหน้า “ของที่ชายารองเตรียมเอาไว้ใกล้จะได้เอาออกมาใช้แล้วขอรับ ผู้ลี้ภัยจริงๆ เหล่านั้นอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงแล้ว”


ถาวจวินหลันถอนหายใจ “พูดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าเตรียมไปเอาไว้พอหรือไม่”


หลิวเอินมองถาวจวินหลัน ท้ายสุดก็กลืนคำพูดในปากของตนกลับลงไป ที่จริงแล้วครั้งนี้เกิดภัยแล้งก่อน แล้วฝนก็ตกหนัก รวมทั้งคนลี้ภัยมา คนที่ตายระหว่างทางมากมายจนนับไม่ถ้วน สุดท้ายคนที่อยู่รอดมาถึงเมืองหลวงก็ไม่ได้ถือว่าเยอะ


หลิวเอินกลับไปไม่นาน หลี่เย่ก็กลับมาอย่างรีบร้อน มองดูท่าทางซูบโทรมไปไม่น้อยของเขา ใจของถาวซินหลันก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา รีบจัดการวุ่นวาย เตรียมน้ำร้อนเตรียมอาหารเอาไว้


หลี่เย่มองดูท่าทางยุ่งเป็นลูกข่างของถาวจวินหลันก็อดยิ้มไม่ได้ เขาพลันรู้สึกอบอุ่นใจทันที สองวันมานี้เขากลับมาไม่ได้ แต่ก็คิดถึงถาวจวินหลันทุกวัน อยากดูท่าทางยุ่งวุ่นวายจัดการเรื่องต่างๆ ของนาง อยากได้ยินเสียงนางพูดเรื่องจิปาถะในจวน มีเพียงเช่นนี้ถึงทำให้เขาผ่อนคลายได้จริง


ความรู้สึกเช่นนี้ถึงเป็นความรู้สึกครอบครัวที่แท้จริง ตอนที่อยู่ในวังหลวง ในหัวของเขาไม่มีสักวินาทีเดียวที่ไม่เคร่งเครียด โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ก็ยิ่งเครียด ฮ่องเต้ตอนนี้เทียบกับที่ผ่านมาไม่เพียงแค่ขี้สงสัยแล้วยังขี้หงุดหงิดเพิ่มอีกหลายส่วน


เมื่อวานนี้บ่าวที่ปรนนิบัติภายในยกชามาให้ไม่เหมาะสม ถูกสั่งโบยไปห้าสิบที จนชีวิตหลุดลอยไป พริบตาเดียวทุกคนก็เริ่มระมัดระวังมากขึ้น


ต่อให้เป็นขันทีเป่าฉวนก็ต้องรักษาสติเอาไว้กว่าสองหมื่นส่วน


“สองวันมานี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ตอนที่ถาวจวินหลันช่วยเช็ดมือให้เขา หลี่เย่ก็โอบถาวจวินหลันเข้ามาในอ้อมกอด ดมกลิ่นหอมมะลิอ่อนๆ บนตัวของนาง รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างสบายไปไม่น้อย พอลองพิจารณาดูถึงได้เห็นว่าสิ่งที่ใส่ไว้ตรงหูไม่ใช่ต่างหู แต่เป็นดอกมะลิดอกเล็กๆ สีขาวดอกหนึ่งแนบอยู่บนติ่งหูกลมนุ่ม ก็ยิ่งทำให้ดอกไม้นั้นขาวสะอาดน่ารัก ติ่งหูนุ่มนวลยั่วยวนใจ


หลี่เย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ดม เพียงแค่กอดถาวจวินหลันนิ่ง ดมกลิ่นหอมบนกายของนาง หรี่ตาลงพักผ่อนสายตา สองวันมานี้เหนื่อยเกินไปกว่าจะได้ผ่อนคลายก็ไม่ง่าย แทบจะไม่อยากขยับไปไหนเลย


ถาวจวินหลันถอนหายใจ เพียงแค่แสดงท่าทีให้บ่าวรับใช้ออกไป ตนเองก็ไม่ขยับ แต่กลับอดกอดหลี่เย่ไว้แน่นๆ ไม่ได้ สองวันมานี้นางเองก็ไม่ค่อยสบายใจ ตอนนี้หลี่เย่กลับมาแล้ว นางก็เหมือนมีที่พึ่งพิงอาศัยแล้ว ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่าผ่อนคลายในทันใด


เทียบกับความต้องการนางของหลี่เย่ กลายเป็นว่านางต้องการหลี่เย่มากกว่า


ทั้งสองคนไม่มีใครเอ่ยปากพูด เพียงแค่นั่งพิงอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ผ่านไปครูเหนึ่งถาวจวินหลันถึงได้ขยับเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “อาหารเย็นหมดแล้วเพคะ รีบทานเสียเถิด”


หลี่เย่กลับไม่ปฏิกิริยา ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเขานอนหลับตาไปแล้ว ในใจทั้งอดรู้สึกสงสารและจนปัญญาไม่ได้ นั่งอยู่อย่างนี้ก็ยังหลับได้ เห็นได้ว่าหลายวันมานี้เขาใช้ชีวิตอย่างไร


นางลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ทำใจปลุกหลี่เย่ไม่ได้ เพียงแค่จัดการให้หลี่เย่นอนพิงอ้อมกอดของตัวเองอย่างเบามือ แล้วตบหลังของหลี่เย่เบาๆ ช้าๆ เหมือนกับตอนที่กล่อมซวนเอ๋อร์เข้านอน


แม้จะบอกว่าหลี่เย่เหน็ดเหนื่อยมากถึงได้นอนหลับไปเช่นนั้น แต่ท้ายที่สุดก็สะดุ้งตื่น ด้วยเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ตอนที่ตื่นก็ยังทำใจขยับไม่ได้ จึงนอนนิ่งเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาที่สงบสุขเช่นนี้ แล้วถึงพูดขึ้นมาว่า “ข้านอนไปนานเพียงใด?”


“ไม่นานเพคะ หิวหรือไม่? ข้าจะให้คนมาตั้งสำรับอาหารดีหรือไม่?” ถาวจวินหลันถามเสียงอ่อน


หลี่เย่เริ่มรู้สึกหิวจริงๆ แล้ว จึงพยักหน้ารับปาก


ที่จริงแล้วพูดว่าตั้งสำรับอาหารก็เป็นเพียงแค่บะหมี่เห็ดหอมชามหนึ่งเท่านั้น เนื้อก็ใช้หมูชิ้น น้ำแกงก็เป็นนำแกงไก่ ทว่ากับแกล้มเป็นเพียงผักแห้งสองสามชนิดเท่านั้น อย่างไรตอนนี้ก็หาของสดใหม่ยาก ภายในจวนไม่มีของเหลือแล้ว ยังดีที่พอมีผักแห้งเหล่านี้บ้าง ก็ยังพอแก้ขัดไปก่อนได้


หลี่เย่เองก็ไม่ใส่ใจ หยิบถ้วยบะหมี่ขึ้นมาพลางตักเข้าไปคำใหญ่ ของในวังหลวงที่ทานมาหลายวันนี้แม้ว่าจะไม่เหมือนที่จวนเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะทำออกมาได้มีกลิ่นหอมเหมือนทำที่บ้าน สามารถเทียบได้กับตอนนี้ เป็นเพียงแค่เส้นแป้งธรรมดา แต่พอได้กลิ่นแล้วก็ชวนให้อดใจไม่ไหว


มองดูหลี่เย่ทานอย่างเอร็ดอร่อยถาวจวินหลันก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ “หรือว่าหลายวันมานี้ที่อยู่ในวังหลวงไม่ได้ทานข้าวอิ่มท้องเลยหรือเพคะ?”


หลี่เย่ละจากอาหารมาตอบ “รีบๆ ทานเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ร่วมโต๊ะกับเสด็จพ่อยิ่งกินไม่อร่อยเข้าไปใหญ่” ฮ่องเต้เป็นห่วงประชาชนทำให้ไม่ค่อยอยากอาหาร เขาที่เป็นลูกชายคงกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ข้างๆ ไม่ได้มิใช่หรือ? ทำได้แค่พยายามกินให้เร็ว ฮ่องเต้วางตะตะเกียบเมื่อไรเขาก็ต้องวางตาม ต่อให้กินไม่อิ่มก็ทำได้เพียงหาของว่างกินสักเล็กน้อยเป็นการส่วนตัว


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็พอเดาได้บ้าง จึงถอนหายใจพูดว่า “เวลานี้คิดว่าคงไม่มีใครมีอารมณ์สังสรรค์ ดื่มกินกันยกใหญ่หรอกเพคะ”


หลี่เย่พูดว่า “ถ้าไม่ผิดจากที่คาดไว้ วันมะรืนก็จะเปิดประตูเมืองได้แล้ว”


ถาวจวินหลันนิ่งไป จากนั้นก็รีบถามเขาว่า “พรุ่งนี้ก็จะกำจัดสลายกลุ่มจลาจลแล้วหรือ? ได้พูดหรือไม่ว่าจะสลายกำลังอย่างไร? ชีวิตคนเยอะถึงเพียงนั้น…” คงจะไม่ใช่ว่าฆ่าให้ตายเสียทั้งหมดหรอกใช่หรือไม่? นี่ไม่ใช่สนามรบ คนพวกนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นชาวสวนชาวไร่ทั้งนั้น


“หากคัดค้านอย่างรุนแรงเกรงว่าคงทำได้แค่ฆ่าให้ตายคาที่ หากยอมทำตามที่จัดการเอาไว้ก็จะจับเอาไว้ดูท่าทีก่อน รอจนผ่านไปแล้วค่อยนำส่งกลับบ้านเดิม” หลี่เย่ส่ายหน้า ท่าทีจนปัญญาเล็กน้อย “แต่หากลงมือกันขึ้นมาจริงๆ ก็พูดยากแล้ว”


“นั่นเป็นคนของราชสำนักหรือ?” สิ่งที่ถาวจวินหลันเป็นกังวลมากที่สุดก็คือเรื่องนี้


หลี่เย่ส่ายหัว “ไม่ใช่ เป็นทหารยามรักษาเรือนของบรรดาตระกูลใหญ่และคนในมือของจวนต่างๆ กับกองทหารรักษาเมืองแต่เดิม คนทั้งหลายรวมๆ กันแล้วก็ราวๆ เจ็ดแปดพันคน”


ถาวจวินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ก็ต้องมีคนนำไม่ใช่หรือ? เป็นตระกูลใดกันที่ดวงตกต้องรับหน้าที่นี้?”


“จวนเหิงกั๋วกงเสนอตัวขอรับหน้าที่นี้เอง” หลี่เย่ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็น “ที่ส่งมากลับเป็นลูกชายที่เกิดจากอนุภรรยา เพิ่งจะได้รับตำแหน่งราชการ มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่ามาเป็นหุ่นเชิด”


ถาวจวินหลันก็ยิ้มเช่นเดียวกัน “ไม่ว่าจะเอามาเป็นหุ่นเชิดหรือไม่ อย่างไรขอแค่จวนเหิงกั๋วกงออกหน้าก็พอแล้วเพคะ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเรียกชื่อเสียงของฮ่องเต้กลับมาได้บ้าง แต่จวนเหิงกั๋วกงกลับต้องแบกชื่อเสียงเน่าเสียเสียแล้ว”


หลี่เย่พยักหน้า “เรื่องนี้เสด็จพ่อและเหิงกั๋วกงถกเถียงกันอยู่นาน สุดท้ายแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเสด็จพ่อเปรยออกมาว่าจะให้คังอ๋องรับหน้าที่นี้ เกรงว่าจวนเหิงกั๋วกงก็คงยังไม่ยอม”


ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม จากนั้นก็รู้สึกอึดอัดใจ เกรงว่าถ้าเหิงกั๋วกงไม่รับเรื่องนี้ ฮ่องเต้ก็คงจะให้คังอ๋องออกหน้าจริง เหตุผลก็พร้อม คังอ๋องเป็นรัชทายาท เรื่องนี้ให้เขาออกหน้าดีที่สุด


จากเรื่องนี้ก็รู้ได้ว่าจวนเหิงกั๋วกงให้ความสำคัญกับคังอ๋องมากกว่าพ่อแท้ๆ ด้วยซ้ำไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นขวากหนามก็ยอมมุดเข้าไปเพื่อคังอ๋อง


“จบเรื่องนี้ไปเกรงว่าคำสั่งพิธีแต่งตั้งรัชทายาทคงจะลงมาแล้ว พิธีแต่งตั้งอาจจะรอให้พ้นหน้าร้อนไป อย่างไรเสียตอนนี้ภัยพิบัติรุนแรงก็ไม่เหมาะจะจัดงานใหญ่” หลี่เย่พูดอีก จากนั้นก็กำชับว่า “สองสามวันนี้เจ้าหาของที่เหมาะสมไว้แสดงความยินดีเถิด พี่ชายได้พบเรื่องดีๆ เช่นนี้ก็ต้องแสดงออกเสียบ้าง”


ถาวจวินหลันรับคำ พูดว่า “ข้าจะต้องไปหาในห้องเก็บของให้ดีเพคะ”


ถาวจวินหลันเอารายชื่อที่ดินที่ตนเองจัดเรียงออกมาภายในหลายวันมานี้ส่งให้ บนนั้นมีชื่อและที่อยู่ แล้วยังมีขนาดเล็กใหญ่ ล้วนได้จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบชัดเจน “ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นรวมตัวกันนอกเมืองไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ในสวนของพวกเราสามารถส่งคนพวกนี้ไปดูแลได้ อย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมากเพื่อไปดูแล อย่างที่สองก็สามารถหาที่ไปให้พวกเขาได้ อาศัยอยู่ในสวนก็ยังดีกว่าที่โรงนอน อีกทั้งถ้าทำงานพวกเราก็ให้เงินได้ ถือว่าเป็นเงินค่าแรงของพวกเขา หลังจากเก็บเงินได้ก็กลับบ้านเก่าไป ไม่ถือว่าลำบากมากนักเพคะ”


หลี่เย่มองรายชื่อทีหนึ่ง ท้ายสุดก็อดออกแรงบีบมือถาวจวินหลันไม่ได้ แล้วพูดออกมาอย่างจริงใจว่า “ขอบใจเจ้ามาก”


ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะ “ขอบใจอะไรกันเพคะ? หรือว่าพวกเราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน? อีกอย่างพวกผู้ลี้ภัยเหล่านั้นก็น่าสงสาร แล้วข้าเองก็ถือโอกาสได้รับชื่อเสียงที่ดีงามไปด้วย นี่ก็ถือว่าเป็นความในใจเล็กน้อยด้วย อย่างไรก็ไม่สามารถเทียบกับนักปราชญ์ได้เพคะ”


หลี่เย่กลับพูดว่า “เจ้ารอบคอบจนคิดเรื่องเหล่านี้ได้ ดีกว่าพวกนักปราชญ์เหล่านั้นเสียอีก ขุนนางวิชาการเหล่านั้นกลับไม่มีใครคิดวิธีนี้ได้ ทุกวันรู้แค่ว่าต้องถกเถียงกันว่าจะสลายกำลังหรือไม่สลายกำลังผู้ลี้ภัยเหล่านั้น!”


ได้ยินก็รู้ว่า ในใจของหลี่เย่รู้สึกโกรธบรรดาขุนนางวิชาการที่ไม่รู้ความเหล่านั้นมากเพียงใด 

 

 


บทที่ 418 แลกเปลี่ยน

 

​ขุนนางฝ่ายบุ๋นล้วนเป็นเหมือนกันหมด ทุกแคว้นทุกรัชสมัยล้วนเป็นเช่นนี้


ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ พลางพูดเย้าแหย่ว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติ พวกเขาอ่านเพียงแค่หนังสือปรัชญา ไม่รับรู้เรื่องราวโลกภายนอก ไฉนเลยจะรู้ถึงความลำบากของประชาชนคนธรรมดา พวกเขาไม่เคยผ่านการใช้ชีวิตพเนจร ไม่เคยได้รับความลำบากหรือใช้ชีวิตที่ยากจนมากๆ มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่เป็นเช่นนี้”


หลี่เย่เข้าใจทันที “ก็ถูก ขุนนางฝ่ายบุ๋นเช่นนี้อ่านหนังสือจนบื้อไปแล้ว จะให้ข้าพูด ไม่เพียงต้องสอบบทวิชาการบริหารแคว้นเท่านั้น ควรจะต้องสอบเรื่องแผนการประชาชนด้วยซ้ำไป”


ถาวจวินอดหัวเราะไม่ได้ เหลือบมองหลี่เย่ทีหนึ่ง “เกรงว่าการสอบครั้งนี้จบแล้วก็คงมีแต่นักเรียนของสำนักที่ไม่โด่งดังแล้ว นักเรียนที่บรรดาตระกูลใหญ่ปลูกฝังเลี้ยงดูมาคงจะไม่มีคนที่ได้รับเลือก”


หลี่เย่แค่นหัวเราะ “ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น มีเพียงวิธีนี้ถึงทำให้แคว้นรุ่งเรืองประชาชนแข็งแกร่ง! การสอบคัดเลือกแต่เดิมนั้นจะต้องคัดเลือกผู้มีพรสวรรค์จากบรรดาสำนักที่ไร้ชื่อเสียง ไม่ใช่ส่งเสริมสิ่งที่ดีงามให้กับบรรดาตระกูลใหญ่นั้นมาไปกว่าเดิม!”


ถาวจวินหลันนิ่งคิดอยู่นาน ในใจนั้นเข้าใจว่าหลี่เย่กำลังไม่พอใจอย่างมาก วันข้างหน้าอาจจะมีการปฏิรูปการสอบคัดเลือกครั้งใหญ่ ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องลำบากแล้ว บรรดาตระกูลใหญ่และตระกูลเก่าแก่นั้นเป็นรากไม้งอ ปล้องไม้สอดสลับกันไปมา ไม่ยอมให้หลี่เย่ไปแตะต้องสิทธิอำนาจและผลประโยชน์ของพวกเขา


“เรื่องเหล่านี้ อนาคตค่อยๆ ทำไป อย่างไรก็จะมีวิธี ในตอนนี้อย่าได้คิดมากจนเกินไป” ถาวจวินหลันเห็นว่าเขายังคงหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงพูดเกลี้ยกล่อม


หลี่เย่ย่อมรู้ว่าเรื่องนี้เร่งรีบไม่ได้ จึงทำได้แค่ปล่อยไปก่อน แล้วถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง


ตอนที่อาบน้ำ ถาวจวินหลันก็ให้หลี่เย่นั่งริมขอบ นางใช้น้ำช่วยสระผมให้เขา เส้นผมของหลี่เย่ดีมาก แต่ละเส้นแยกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด สีดำสนิทดั่งน้ำหมึกไหลผ่านนิ้วมือไป ถาวจวินหลันชื่นชอบจนวางมือไม่ลง


หลี่เย่เองก็หรี่ตาลงกำลังเพลิดเพลินกับช่วงเวลานี้ ส่งให้รู้สึกถึงสัมผัสเบาๆจากนิ้วมืออ่อนนุ่มของถาวจวินหลันที่ลากผ่านหนังศีรษะของเขา


เมื่อคิดว่าสองวันมานี้หลี่เย่พักผ่อนได้ไม่ดีเท่าไรนัก ถาวจวินหลันจึงเลือกสบู่ที่มีกลิ่นไม้จันทร์มาชิ้นหนึ่ง กลิ่นนี้ช่วยให้จิตใจสงบนอนหลับง่าย กลิ่นหอมแม้ว่าจะอยู่ได้แค่เพียงคืนเดียว แต่ก็มีประโยชน์อย่างมาก


ขัดสบู่จนเกิดฟองและสระให้สองรอบอย่างละเอียดอ่อนแล้ว ถาวจวินหลันก็นวดศีรษะให้เขาอีกทีหนึ่ง แล้วถึงใช้ผ้าแห้งตั้งใจเช็ดน้ำออกจนแห้งอย่างละเอียดลออและใช้ปิ่นหยกเพื่อเกล้าผมเขาขึ้นไปชั่วคราว


เรื่องนี้แต่ก่อนตอนที่อยู่ในวังเต๋ออันก็ทำจนเคยชิน ยามนี้พอได้ทำอีกครั้งก็ไม่ได้รู้สึกห่างไกลเลยแม้แต่น้อย ยังคงรู้สึกคุ้นเคยคล่องแคล่ว ลื่นไหลเป็นไปตามธรรมชาติ


หลี่เย่ก็อดหัวเราะและพูดเย้าหยอกไม่ได้ “เจ้าสระผมได้สบายเป็นอย่างมาก” ตอนนั้นที่วังเต๋ออันเขาก็รู้สึกเช่นนี้ มีบางครั้งที่ฉวยโอกาสขณะถาวจวินหลันตั้งใจสระผมแอบมองนาง แต่นางก็ไม่รู้สึก


ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นข้าจะสระให้ท่านไปทั้งชีวิตเลยเพคะ” นางยินดีทำเรื่องระหว่างสามีภรรยาเหล่านี้แทนเขา เวลาเช่นนี้ชวนให้นางรู้สึกสงบสุขอย่างไม่มีเหตุผล รู้สึกเหมือนว่าวันเวลาหยุดหมุน เรื่องราวที่ไม่สบายใจทั้งหมดพลันสลายหายไปกับหมอกควัน


นางกับเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขนี้ด้วยกัน สนับสนุนซึ่งกันและกันจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ให้กำเนิดลูกชายลูกสาว หาเลี้ยงครอบครัว


วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันก็ให้คนในบ้านคัดตำราการมอดไหม้และการเกิดใหม่ แม้นางจะรู้ว่าภายในคนเหล่านี้มีคนที่สมควรตายจริงๆ แต่คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่มีบรรพบุรุษเป็นเกษตรกร ทว่ายามนี้ถูกบีบบังคับให้ออกมากับคนเหล่านี้โดยไม่มีทางเลือก


บริเวณประตูเมืองนั้นได้ยินว่าวุ่นวายอยู่กว่าครึ่งคืน รอจนจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลือดสดก็แทบจะอาบไปทั่วทุกพื้นที่บริเวณหน้าประตูเมือง สำหรับการเคลื่อนย้ายศพนั้นก็ใช้เวลากว่าค่อนวัน


ที่มากไปกว่านั้นก็คือวันที่สามที่เปิดประตูเมือง ได้ยินว่ามีพ่อค้าจำนวนมากแทบจะเบียดกันออกไป พ่อค้ารายเล็กเหล่านั้นก็เช่นกัน ถูกขังอยู่หลายวัน ในตอนนี้ในเมืองขาดทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะผักสดและผลไม้ เป็นต้น


ถาวจวินหลันให้คนไปที่สวนเพื่อขนของจำนวนไม่น้อยมาแบบข้ามวันข้ามคืน จากนั้นก็ประกาศความคิดของตนเองให้ทั่วอีกครั้งหนึ่ง บอกให้ทุกพื้นที่เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อทำเช่นนี้ก็สามารถส่งคนเข้าไปอยู่ได้ตลอดเวลา


เจ็ดแปดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วคำสั่งการแต่งตั้งองค์รัชทายาทก็มาถึง แต่พิธีการแต่งตั้งก็ยังเหมือนกับที่หลี่เย่คาดการณ์เอาไว้ คือยังไม่ได้มีคำสั่งอะไรต่อไป


ตราบใดที่ยังไม่แต่งตั้ง คังอ๋องรัชทายาทคนนี้ก็ไม่ถือว่าถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่ยามนี้ก็โต้แย้งไม่ได้ สถานการณ์ภัยพิบัติในตอนนี้รุนแรงถึงขนาดนี้ ถ้ายังจัดพิธีแต่งตั้ง แล้วประชาชนจะคิดเช่นไร เพื่อชื่อเสียงของตนเอง คังอ๋องจึงไม่กล้าเสนอเรื่องนี้


แต่ในเมื่อคำสั่งลงมาแล้ว ถ้าเช่นนั้นคังอ๋องก็นับเป็นองค์รัชทายาทแล้ว ด้วยเป็นรัชทายาทย่อมไม่มีเหตุผลให้อาศัยอยู่ที่จวนอ๋องอีก โหราจารย์ได้คำนวณฤกษ์ดี เพื่อให้รัชทายาทย้ายเข้ามาในวังหลวงอย่างเป็นทางการแล้ว


ถาวจวินหลันกลับคิดถึงหยวนฉงหวาขึ้นมา ถ้าหากว่าย้ายเข้าไปในวังหลวงตามองค์รัชทายาทจริง ถ้าเช่นนั้นนางก็ช่วยอะไรหยวนฉงหวาไม่ได้แล้ว เกรงว่าหยวนฉงหวาเข้าวังหลวงไปจะเทียบกับตอนนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


มีผู้หญิงตายในวังหลวงถือว่าเป็นเรื่องปกติอย่างถึงที่สุด ต่อให้เป็นพระสนมที่มีตำแหน่งต่ำต้อยในวังหลังก็ยังมีคนที่ตายอย่างน่าอนาถ เจ้านายไร้อำนาจในวังหลวงยังเทียบไม่ได้กับบ่าวรับใช้ที่มีหน้ามีตาเลยด้วยซ้ำไป


แต่ถาวจวินหลันคิดว่าหยวนฉงหวาจะส่งข่าวมาภายในไม่กี่วันนี้ อย่างไรเสียถ้ายังไม่ส่งข่าวมา ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว


อย่างที่คาดเอาไว้ วันนี้ซูอวิ๋นมาขอเข้าพบอีกครั้ง ครั้งนี้กลับนำผ้าไหมผืนหนึ่งมาด้วย บนผ้าผืนนั้นปักดอกท้อเอาไว้ ปลายของผืนผ้ายังปักตัวหนังสือเอาไว้สองตัว ‘อี๋ซิ่ว’ ดูแล้วน่าจะเป็นชื่อของหญิงสาวนางหนึ่ง


นี่ก็ไม่ใช่สิ่งของแปลกประหลาดอะไร ตอนที่ถาวจวินหลันยังเป็นหญิงสาวก็ชอบผ้าเช่นนี้ ปักดอกไม้ที่ตัวเองชื่นชอบ และปักชื่อของตัวเองลงไป


ที่ทำให้ถาวจวินหลันสะกิดใจก็คือเนื้อผ้าผืนนั้น เนื้อผ้าเช่นนี้เป็นของบรรณาการ บริเวณด้านนอกที่มีล้วนเป็นของที่ในวังหลวงประทานมาให้


วิธีการปักเช่นนี้ถาวจวินหลันก็รู้สึกคุ้นตา แต่เวลาเพียงนิดกลับคิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน รู้เพียงแค่พิเศษมาก


หยวนฉงหวาทุ่มทุนมอบผ้าผืนนี้ให้นางหมายความว่าอย่างไรกัน? ถาวจวินหลันไม่ค่อยเข้าใจนัก นั่งคาดเดาอยู่ค่อนวันก็เดาไม่ได้


ถาวจวินหลันพลิกผ้าในมือกลับไปกลับมา แล้วเหลือบมองซูอวิ๋น


หยวนฉงหวายังมีคำที่ต้องการพูดอีกอย่างที่คาดเอาไว้ จึงพูดเสียงเบาว่า “ชายารองบอกว่านี่พบบนกายของรัชทายาทเจ้าค่ะ รัชทายาทเก็บเอาไว้แนบกาย นางรู้ว่าเจ้าของผ้าผืนนี้คือใคร แต่ไม่ใช่ใครสักคนภายในจวน อีกทั้งเจ้าของผ้าผืนนี้ก็ยังเป็นผู้หญิงที่มีเจ้าของแล้วด้วยเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันตกใจทันที ถลึงตาโตอย่างอดไม่ได้ “ชายารองหยวนพูดเช่นนี้จริงหรือ?”


ซูอวิ๋นพยักหน้าและพูดว่า “ชายารองของพวกเราบอกว่า ถ้าหากท่านยอมยื่นมือเข้าช่วยให้นางได้รับตำแหน่งอีกครั้ง นางจะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ท่านสามารถเก็บผ้าผืนนี้ไว้เป็นหลักฐานได้เจ้าค่ะ”


ซูอวิ๋นพูดเช่นนี้ ทำให้ถาวจวินหลันไม่ค่อยเข้าใจความคิดของหยวนฉงหวานัก ได้รับตำแหน่งใหม่อีกครั้ง? หรือจะพูดว่าหยวนฉงหวายังอยากเป็นชายารองต่อไป ไม่ใช่ ตอนนี้ต้องเป็นชายารองรัชทายาท ฐานะตำแหน่งยิ่งเพิ่มไปอีกชั้นหนึ่ง


ใช่ว่าเรื่องนี้เพียงแค่พูดก็ได้เสียเมื่อไร? ทางเดินที่ต้องผ่านนั้นไม่ง่ายดาย หยวนฉงหวาก็น่าจะรู้ดี


เห็นได้ชัดว่าหยวนฉงหวารู้สึกว่าชื่อของเจ้าของผ้าผืนนี้มีสูงส่งมากพอ


ถาวจวินหลันตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ถามซูอวิ๋นอีกว่า “มีคำพูดอะไรอีกหรือไม่?”


ซูอวิ๋นนิ่งคิด พูดว่า “มีอีกเจ้าค่ะ แต่กำชับบ่าวว่าให้ท่านรับปากก่อนแล้วถึงพูด”


“พูดว่าอะไร เจ้าลองพูดให้ข้าฟังหน่อย” ถาวจวินหลันพลันแปลกใจ แล้วถามโดยพลัน


ซูอวิ๋นกลับลังเลไม่ยอมพูดออกมา


ถาวจวินหลันก็ไม่เร่ง รออย่างใจเย็น เรื่องนี้นางไม่อาจรับปากได้ง่ายจริงๆ อย่างไรตอนนี้คำร้องขอของหยวนฉงหวายากกว่าแต่ก่อน อีกทั้งนางเองก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องที่หยวนฉงหวาพูดจะคุ้มค่ากับมูลค่ามหาศาลเช่นนี้


ที่จริงแล้วถ้าพูดให้ชัดเจนก็คือ รู้ว่าองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์กับสตรีที่มีสามีแล้ว แม้ว่าหยวนฉงหวาจะไม่บอกนางว่าเป็นใคร ก็ใช่ว่านางจะสืบไม่พบ ของบรรณาการก็มีเท่านั้น คิดหาวิธีว่าอยู่ในมือใคร ใครชื่อว่าอี๋ซิ่ว ก็ไม่ใช่ว่าน้ำลดตอผุดแล้วหรืออย่างไรกัน?


แต่ทำเช่นนั้น สุดท้ายแล้วก็ถือว่าไม่ค่อยถูกหลักคุณธรรมนัก และคิดถึงสภาพตอนนี้ของหยวนฉงหวา นี่ก็ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายของหยวนฉงหวาแล้ว นางแม้ว่าจะไม่ใช่คนดีแต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ตกบ่อแล้วก้อนหินหล่นทับเช่นนี้ ดังนั้นในเมื่อหยวนฉงหวาบอกข่าวเช่นนี้ให้นางรู้ ถือเป็นสิ่งตอบแทน ไม่ว่าอย่างไรแล้วนางก็ควรต้องช่วยหยวนฉงหวาสักครั้ง


ซูอวิ๋นเหมือนอ่านความคิดของถาวจวินหลันออก ฉับพลันนั้นก็อดรีบร้อนไม่ได้ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งท้ายสุดก็พูดว่า “หากบ่าวพูดไปแล้ว ท่านจะต้องรับปากเรื่องนี้นะเจ้าคะ”


ถาวจวินหลันกลับพูดปลายเปิดว่า “ข้าจะพยายาม”


ซูอวิ๋นถึงพูดเสียงเบาว่า “ชายารองของพวกข้าพูดว่านางและท่านเป็นคนทางเดียวกัน นางสามารถช่วยให้จวนตวนอ๋องบรรลุจุดประสงค์ตามที่ต้องการได้ นางยอมกลายเป็นหมากตัวหนึ่ง”


สิ้นเสียง ถาวจวินหลันก็เข้าใจความหมายของหยวนฉงหวาทันที หยวนฉงหวาต้องการแก้แค้น


หยวนฉงหวาอยากให้รัชทายาทลงไปนอนในหลุมเป็นเพื่อนลูกของนาง อย่างไรจุดจบของหยวนฉงหวาในตอนนี้ องค์รัชทายาทกับพระชายาองค์รัชทายาทก็สลัดความสัมพันธ์ไปไม่ได้ หยวนฉงหวาโกรธเกลียด คิดแค้นก็ถือว่าสมเหตุสมผล อย่างไรหยวนฉงหวาก็สูญเสียไปหมดทุกอย่าง


เพื่อแก้แค้น หยวนฉงหวายินยอมเปิดโปงรัชทายาท ยินยอมที่จะเป็นหมากในมือของนาง


ถาวจวินหลันคิดพิจารณาความคิดนี้อย่างละเอียด รู้สึกว่าใช้ได้ทีเดียวและไม่ได้ขาดทุนอะไร จึงไม่ลังเล นานพยักหน้ารับปาก “ดี ข้ายินยอมช่วยนางสักครั้ง แต่นางก็จะต้องแสดงความจริงใจออกมา บอกข้าว่าเจ้าของผ้าผืนนี้เป็นใคร”


ซูอวิ๋นถอนหายใจเฮือกใหญ่ แทบจะยิ้มออกมาแทนร้องไห้


ถาวจวินหลันให้หงหลัวมอบเงินรางวัลให้ซูอวิ๋น และมอบยาบำรุงให้อีกหนึ่งห่อ แล้วถึงได้ให้ซูอวิ๋นกลับไป


พอหงหลัวกลับมา ถาวจวินหลันก็ยังคงคิดว่าครั้งนี้จะช่วยหยวนฉงหวาอย่างไร


หงหลัวเห็นเช่นนั้น ก็กังวลเล็กน้อย คิดอยู่สุดท้ายก็ขอล้ำเส้นสักครั้ง เอ่ยเตือนถาวจวินหลันว่า “ชายารองลืมตอนที่หยวนซื่อคนนั้นต้องการทำลายชีวิตท่านไปแล้วหรือเจ้าคะ? ตอนนี้นางมาขอร้องท่านก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ อย่างน้อยนางก็เป็นชายารอง มีครอบครัวเดิม ทำไมถึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากครอบครัวเล่า? ทำไมกลับมาขอความช่วยเหลือจากท่านเจ้าคะ?”


คำพูดของหงหลัวถือว่ามีเหตุผล

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม