เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 41.1-44.4

 ตอนที่ 41.1

 

ลงโทษ?

 


 


 


 


“เสียงอะไรน่ะ” จิ่งเหิงปัวที่หนีออกมาไกลแล้วรู้สึกคล้ายกับว่าได้ยินเสียง กร๊อบ! ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ในความมืดครึ้มรำไรจึงสะท้านไปทั่วทั้งร่างโดยจิตสำนึก อดจะหันหน้ากลับไปมองไม่ได้ 


 


 


ข้างหลังว่างเปล่า มีคนที่ไหนกัน 


 


 


นางลูบๆ ขนที่ลุกชันขึ้นมาทั่วร่าง แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มเบิกบานว่า “ข้างหน้าเหมือนจะมีเมืองเมืองหนึ่ง พวกเราไปจ้างรถที่นั่นสักคันแล้วค่อยกลับไปเมืองด้านในดีหรือไม่?” 


 


 


แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้คิดเห็นขัดแย้ง ยังดีว่าเส้นทางไม่ไกลนัก เมื่อทุกคนมาถึงบริเวณใกล้เคียงจึงพบว่าที่นั่นเป็นเมืองทหาร บนป้ายศิลาสลักที่ตั้งอยู่หน้าเมืองเขียนว่า ‘ซีคัง’ สองตัวอักษร 


 


 


เมืองซีคังเป็นเมืองทหาร การเข้าเมืองจึงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ดีที่ว่าคณะเดินทางกลุ่มนี้เป็นสตรีทั้งหมด จิ่งเหิงปัวโกหกว่าระหว่างทางประสบภัยพิบัติจึงจะเข้าเมืองไปพึ่งพาญาติ ซ้ำยังยกเท้าที่สวมรองเท้าฟางขึ้นมาให้เขาดู เห็นว่าบนเท้านุ่มลื่นขาวราวหิมะมีรอยถลอกขนาดใหญ่เท่าขี้ตา ผสมกับน้ำเสียงออดอ้อนและสายตากระชากวิญญาณของนางแล้ว กล่าวเพียงสองสามประโยคย่อมทำให้ทหารเฝ้าประตูปล่อยเข้าเมืองไปด้วยหน้ามืดตามัว 


 


 


ในเมืองยังคงคึกคักแม้ว่าจะมีทหารซีคังครึ่งหนึ่งมีราษฎรครึ่งหนึ่ง กล่าวกันว่าที่นี่คือสถานที่ตั้งกองกำลังทหารเพื่อตั้งมั่นรักษาชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือแห่งแคว้นต้าเยียนของขุนพลเก่าแก่นามว่าจงหยวนอี้ ทั้งในและนอกเมืองนี้มีทหารสองแสนนายและมีราษฎรหนึ่งแสนคน เมืองนี้ยังเป็นจุดรวมพลประชาราษฎร์จุดสุดท้ายที่เจริญรุ่งเรืองก่อนออกจากแคว้นต้าเยียน เมืองนี้ติดต่อค้าขายทางชายแดนนานหลายปี ทำให้ราษฎรเพิ่มทวี เช่นนั้นจึงแลดูฝูงชนคึกคักไม่ด้อยไปกว่าแผ่นดินด้านในสักเท่าไร 


 


 


จิ่งเหิงปัวเดินทางในภูเขากว้างใหญ่มาเนิ่นนาน ตอนนี้พอได้เห็นผู้คนแล้ว เซลล์ทั่วทั้งร่างก็ล้วนอยากเริงระบำ นางจูงมือทุกผู้คนไปกินอาหารร้านแผงลอยอย่างตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมืองซีคังมีตลาดกลางคืนบนถนนทั้งเส้น ที่นี่ขายอาหารหลากหลายชนิด อย่างเช่น เนื้อแพะแห้ง กีบเท้าแพะ หัวกระต่าย เส้นกูดเกี๊ยะ[1]ผัดซีอิ๊ว ผัดปาท่องโก๋ ก๋วยเตี๋ยวและเกี๊ยว จิ่งเหิงปัวเดินไปกลับบนถนนสองรอบ แม้ว่าท้องจะร้องจ๊อกๆ และกระหายในแสงสีของโลกมนุษย์ แต่กลับรู้สึกว่าแผงขายของพวกนี้สกปรกอย่างมากจนลังเลไม่กล้าเข้าไป 


 


 


ในโลกปัจจุบันนางมีอาการรักสะอาดพอสมควร แต่ว่าความรักสะอาดนั้นก็ถูกเพื่อนซี้ใจร้ายพวกนั้นบังคับให้เป็นในหลายครั้ง จิ่งเหิงปัวคนนี้ที่จริงแล้วปรับตัวเก่งไม่ยึดถือเรื่องหลักการ ในเวลาที่จำเป็นนางสามารถทอดทิ้งการยึดมั่นที่ไม่จำเป็นได้อย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างนั้นหลังจากที่นางมาถึงต่างมิติ เมื่อสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยให้นางรักสะอาด และข้างกายมีคนรักสะอาดยิ่งกว่านาง นางจึงไม่ได้รักสะอาดขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้เมื่อหลุดพ้นจากข้างกายกงอิ้น นางจึงรู้สึกถึงความอิสรเสรีชั่วขณะ ขณะเดียวกันนั้นในใจคล้ายว่างเปล่าอยู่บ้าง อาการเดิมก็โผล่ออกมาในทันที จนเริ่มรู้สึกว่าตรงนี้สกปรกตรงนั้นสกปรกอีกครั้ง มองไปที่ไหนก็ขัดหูขัดตา 


 


 


หลังจากเดินไปกลับบนถนนสายเล็กเป็นรอบที่สามในระยะเวลาสั้นๆ ทุกคนก็ล้วนรู้สึกว่าเหนื่อยแล้วหิวแล้ว เฟยเฟยลากชายกระโปรงของนางไว้ ส่วนมือชี้ไปยังร้านขายซาลาเปาเนื้อร้านหนึ่งข้างหน้าไม่ยอมขยับขา พลางกะพริบนัยน์ตากลมโตงดงามสองมิติจนเปล่งประกายสุดชีวิต รอให้จิตใจดีงามของจิ่งเหิงปัวพบเข้า 


 


 


ชุ่ยเจี่ยพลันเอ่ยว่า “ร้านข้างหน้านั้น ดูท่าทางจะสะอาดสะอ้านอยู่บ้าง” 


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งมองเห็นว่าที่มุมถนนมีเพิงร้านกางผ้าขาวร้านหนึ่ง ขนาดไม่ใหญ่โต แต่มีผ้าขาวสีขาวราวหิมะ โต๊ะเก้าอี้ม้านั่งใต้ผ้าคลุมก็ใหม่เอี่ยมไม่เหมือนร้านอื่นที่มีคราบน้ำมันเกาะหนา หญิงชายหลายคนกำลังยุ่งอยู่ด้านในและมีลูกค้าอยู่ในร้าน ทุกคนแต่งกายสะอาดเรียบร้อย ดุจทัศนียภาพโดดเด่นผ่อนคลายท่ามกลางบนถนนวุ่นวายที่มีไอควันลอยอบอวลเต็มไปด้วยควันไฟและมีเสียงผู้คนอึกทึกสายนี้ 


 


 


“เอ๋ เมื่อครู่เดินไปสองรอบแล้วเหตุใดจึงมองไม่เห็น?” จิ่งเหิงปัวนึกสงสัยพลางเดินเข้าไปข้างในทันที 


 


 


เมื่อนางเข้ามาแล้ว ลูกค้าในร้านที่กินเสร็จก็กำลังเดินออกไปจนเหลือที่นั่งไว้อย่างพอดี จิ่งเหิงปัวเอียงศีรษะมองดูเงาด้านหลังของลูกค้าที่เดินหายไปแล้ว รู้สึกไม่แน่ใจคล้ายมีอะไรผิดแผกแต่ก็นึกไม่ออก 


 


 


ฮูหยิน[2]นางหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ บนใบหน้ามีรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน หน้าตามีเมตตาอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “นายท่านกินอะไรดีเจ้าคะ ร้านเล็กๆ แห่งนี้มีหมี่เย็นโล่วอวี๋[3]ที่ทำที่นี่โดยเฉพาะ มีต้มยำเส้นมันเทศ มีหมี่เย็นคลุกแตงกวา ก๋วยเตี๋ยวเส้นมือ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อแพะ เติมรสเผ็ดนิดปรุงรสเปรี้ยวหน่อยกินในฤดูคิมหันต์เจริญอาหารแลชุ่มคอเป็นที่สุดเจ้าค่ะ…” 


 


 


“คนอื่นเขาขายกันแค่อย่างสองอย่าง แต่ร้านของเจ้านี้มีครบถ้วนเลย” จิ่งเหิงปัวโพล่งปากยิ้มตอบ ไม่ได้สังเกตสีหน้าแข็งทื่อเฉียบพลันของฮูหยิน นางเหลียวซ้ายแลขวา มองดูหน้าตาอาหารแล้วกล่าวว่า “นี่ ร้านนี้แลดูเล็ก แต่ว่าอาหารหลากหลาย พวกเจ้าก็เลือกเลย มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง!” 


 


 


ทุกคนสั่งอาหารที่ตนเองชอบกิน จิ่งเหิงปัวสั่งต้มยำเส้นมันเทศชุดหนึ่งให้เฟยเฟย ตั้งใจคิดพลางชำเลืองมองสัตว์ประหลาดตัวน้อยโลลิ[4]ปลอมว่ากินเผ็ดได้หรือไม่ ก่อนจะฉวยโอกาสซื้อซาลาเปาเนื้อใส่หัวหอมสีขาวหิมะสองลูกให้มัน 


 


 


เจ้าหมาโง่ที่คอตกไร้ชีวิตชีวาไม่เอ่ยวาจามาโดยตลอดเขย่งเท้าแอบอ้อมโต๊ะมา กระโดดขึ้นไปบนชั้นวางชามแล้วอ้อมมาเหนือซาลาเปาของเฟยเฟย ก่อนจะหันหลังกระดกก้นขึ้นเพียงครั้ง… 


 


 


เพี้ยะ! หางใหญ่สีขาวขนกระเซิงของเฟยเฟยสะบัดเพียงครั้งก็ฟาดลงบนก้นของเจ้าหมาโง่อย่างรุนแรง เจ้าหมาโง่ล้มอ้าขาแผ่ลงไปคร่ำครวญอยู่บนพื้นว่า “เปิดหน้าต่างพบท้องนา ร่ำสุราเอ่ยท้องไร่ โจรลอบโจมตีเจ้าให้ มีบุตรไร้รูทวาร!” 


 


 


นอกจากจิ้งอวิ๋นที่มองมันด้วยความสงสารปราดเดียวแล้วหิ้วมันขึ้นมาวางไว้บนชั้นวางชามด้านหนึ่ง คนอื่นๆ รวมทั้งจิ่งเหิงปัวก็กินอาหารเสียงดังสวบสาบคร้านจะสนใจ 


 


 


ทำกรรมไว้ย่อมหนีไม่พ้น 


 


 


ฮูหยินนางนั้นมองเฟยเฟยคราเดียว ความแปลกประหลาดสายหนึ่งวูบผ่านในสายตา นางยิ้มแย้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “แมวตัวนี้น่ารักเสียนี่กระไร” 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ได้แก้ต่าง ตลอดทางที่ผ่านมาทุกคนล้วนทำเหมือนเฟยเฟยเป็นแมว ด้วยเหตุนี้แม้แต่พวกชุ่ยเจี่ยก็ไม่ได้ถามให้มากความ ที่จิ่งเหิงปัวไม่เจาะจงจะอธิบายนั้น ไม่ใช่ว่าอยากป้องกันใคร เพียงแต่นางรู้สึกว่าอธิบายขึ้นมาแล้วจะยุ่งยาก 


 


 


หลังเพิงก่อเตาไฟไว้ ฮูหยินขานรายการอาหารที่ทุกคนสั่งไป ผู้เฒ่าที่พาดผ้าเช็ดมือสีขาวราวหิมะบนไหล่ผู้หนึ่งตอบรับด้วยเสียงเชื่องช้า แล้วเดินเอวงอหลังค่อมเข้าไปทำอาหาร เดิมทีจิ่งเหิงปัวไม่ได้ใส่ใจคนผู้นี้นัก แต่เมื่อเห็นเขาอายุมากก็กลัวว่าเขาจะมีโรคประเภทไอจามอะไรแบบนั้นจึงมองจ้องแวบหนึ่ง 


 


 


แวบหนึ่งผ่านไป ทว่ามองไม่ออกว่าผู้เฒ่ามีอะไรผิดปกติ แต่กลับพบว่าฮูหยินข้างกายผู้เฒ่านั้นแลดูหลังตรงตระหง่านยิ่งยวด ยามเยื้องกรายแช่มช้า ชายกระโปรงไม่พัดพลิ้วเศษธุลีไม่สะเทือน ดูสะโอดสะองงามสง่ายวดยิ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่างดงามมาก นางสนใจทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวกับความงาม จึงอดจะจ้องมองเงาด้านหลังของฮูหยินไม่ได้ ก็พลันพบว่าจิ้งอวิ๋นกำลังมองเงาด้านหลังของฮูหยินเช่นกัน นางจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ฝีก้าวของเถ้าแก่เนี้ยนางนี้งดงามเสียจริง มิคล้ายกับพวกหญิงปากมากตามตลาดนี้เลยสักนิด ใช่หรือไม่?” 


 


 


จิ้งอวิ๋นคล้ายชะงักไปแล้วจึงร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “อ๊ะ? เช่นนั้นหรือ อืม ใช่แล้ว” 


 


 


จิ่งเหิงปัวฟังออกว่าใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่กำลังเผลอยิ้มออกมา อยากจะถามนางสักประโยค ฮูหยินก็นำข้าวปลาอาหารของทุกคนออกมาให้ตามลำดับแล้ว จิ้งอวิ๋นหลุบสายตาลงมองชามของตนเอง แล้วเอ่ยโดยพลันว่า “หมาโง่ตัวสกปรกแล้ว ข้าจะไปเอาน้ำจากเถ้าแก่มาอาบให้มันสักหน่อย” 


 


 


“กินเสร็จค่อยไปสิ…” จิ่งเหิงปัวแกว่งตะเกียบรั้งนางไว้ แต่จิ้งอวิ๋นคว้าเจ้าหมาโง่ขึ้นมาเดินไปยังด้านหลังเพิงแล้ว ไอร้อนจากการทำอาหารด้านหลังเพิงกลบกลืนเงาร่างของนาง จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าคล้ายได้ยินนางร้อง “อ๊ะ!” ออกมาเสียงหนึ่งสั้นๆ แต่เมื่อนางชะเง้อหน้าเข้าไปก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ผ้าขาวกั้นขวางสะท้อนเงาร่างสองเงาของนางและผู้เฒ่านั้น มีเสียงน้ำไหลดังขึ้น อีกฝ่ายคงจะกำลังช่วยนางอาบน้ำเจ้านก 


 


 


ทุกคนเริ่มกินอาหารกันแล้ว แต่ก๋วยเตี๋ยวเนื้อแพะของจิ่งเหิงปัวยังทำไม่เสร็จเสียที กลิ่นหอมผนึกแน่นรอบด้าน เมื่อเห็นทุกคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหาร สำหรับนางแล้วเปรียบดุจความทุกข์ทรมานฉากหนึ่ง นางกระวนกระวายอีกทั้งรู้สึกเกรงใจที่ต้องจ้องชามผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาจึงเหลียวไปแลมา พลันมองเห็นแผงขายของร้านที่สามข้างหน้ามีผู้ชุดครามคนหนึ่งนั่งอยู่ มองจากไกลๆ ท่วงท่าตรงดิ่งอย่างมาก สายตาเพ่งมองแล้วตะลึงร้องกล่าวว่า “ฉิบ ผู้ที่นั่งอยู่ทางนั้นคือผู้ใดกัน แข็งทื่อราวกับผีดิบอย่างนั้น!” 


 


 


แผ่นหลังของผู้ชุดครามคล้ายยิ่งแข็งทื่อ… 


 


 


สายตาซุกซนไม่สงบสุขตลอดเวลาของจิ่งเหิงปัวเบนผ่านไปนานแล้ว จากนั้นก็ถูกดึงดูดด้วยเป้าหมายรายต่อไปอีกครั้ง มือของนางชี้ไปยังคนสวมงอบใหญ่ที่เดินผ่านมาบนถนน แล้วกล่าวว่า “เวร คนผู้นั้นก้าวเดินแย่จัง น่าเกลียดยิ่งนัก! พวกเจ้าดูสิๆ ท่าทางของเขาเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ว่าโดยรอบไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้ นี่คือสิบแปดล้มชุ่มอาภรณ์[5] ที่นิยายกำลังภายในเอ่ยถึงบ่อยๆ ใช่หรือไม่นะ? ฉิบ ดัดจริตเกินไปแล้ว! นึกว่าตนเองเป็นคนสูงสง่าร่ำรวยหล่อเหลาเช่นกงอิ้นหรืออย่างไร! ขอให้เจ้าบ้านี่เดินเหยียบขี้ซดน้ำแกงสำลักก้อนหินก๊ากๆๆ…” 


 


 


บุรุษสวมงอบเดินผ่านจากไกลๆ ฝีเท้าคล้ายสั่นไหวน้อยๆ… 


 


 


จิ่งเหิงปัวพลันชี้ไปยังเงาด้านหลังที่อยู่ไกลลิบอีกครั้ง แล้วเอ่ยว่า “ดูสิ มีผู้สวมงอบอีกคน ที่แห่งนี้ผู้สวมงอบเยอะจังนะ พวกเขาไม่รู้หรือว่าการแต่งกายเช่นนี้มันดูด้อยปัญญามากน่ะ ฮ่าๆๆ…” 


 


 


บุรุษสวมงอบในมุมมืดครึ้มห่างไปไม่ไกล นิ้วมือขาวราวหิมะวางไว้ที่ขอบงอบ ค่อยๆ สั่นครั้งหนึ่งแล้วสั่นอีกครั้งหนึ่ง… 


 


 


สาวงามแซ่จิ่งยังอยากนินทาผู้คนทั่วแคว้น วิจารณ์ผู้อื่นทั่วหล้า ทว่าในที่สุดก๋วยเตี๋ยวต้มยำของนางก็ขึ้นโต๊ะแล้ว รอคอยมาเนิ่นนาน จิ่งเหิงปัวที่ถูกกลิ่นหอมดึงดูดจนน้ำลายไหลย้อยไปนานแล้วก็รู้สึกว่าตนเองสามารถกินสามชามโตจนหมดได้เลย นางรีบยื่นปลายจมูกไปบนก๋วยเตี๋ยวต้มยำเนื้อแพะ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งอย่างเคลิบเคลิ้มพลางกล่าวว่า “ว้าว หอมจัง…” 


 


 


เพี้ยะ! 


 


 


วัตถุสีเทาก้อนน้อยหล่นลงไปในชาม ทำให้น้ำแกงร้อนผ่าวกระเซ็นมาถึงบนปลายจมูกของจิ่งเหิงปัว 


 


 


“ข้างบนมีผู้ใดโยนก้อนหินมั่วซั่ว? ผู้ใดกัน!” จิ่งเหิงปัวเห็นชัดในแวบเดียวว่าสิ่งที่ร่วงลงมาคือหินสกปรกก้อนหนึ่ง จึงกระโดดขึ้นมาอย่างโกรธแค้นเดือดดาล แล้วเงยหน้ามองข้างบน 


 


 


เมื่อมองเพียงแวบเดียว ก็อดที่จะชะงักงันไม่ได้ 


 


 


เหนือศีรษะไม่มีอาคารบ้านเรือนใด นี่คือแผงข้างถนน เหนือศีรษะก็คือผ้าขาวเรียบสะอาดผืนหนึ่ง ไม่มีแม้แต่ฝุ่นบนเพิงเหนือศีรษะ 


 


 


แล้วบนผ้าขาวจะมีก้อนหินร่วงลงมาได้อย่างไร? 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] กู๊ดเกี๊ยะ พืชในสกุลเดียวกับเฟิร์น  


 


 


[2] ฮูหยิน หมายถึง หญิงที่มีสามีแล้ว 


 


 


[3] โล่วอี๋ เส้นชนิดหนึ่งทำจากแป้งมันเทศม้วนเป็นรูปทรงรีโปร่งแสง 


 


 


[4] โลลิ เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กที่หน้าตาน่ารัก 


 


 


[5] สิบแปดล้มชุ่มอาภรณ์ กระบวนท่าชุดหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของจีน 

 

 

 


ตอนที่ 41.2

 

 ลงโทษ?

 


 


 


 


“นี่มันอะไรกันเถ้าแก่เนี้ย?” จิ่งเหิงปัวกุมจมูกที่ถูกลวกจนแดง ปากถามฮูหยินที่เร่งร้อนเดินออกมา 


 


 


ฮูหยินชะงักไปน้อยๆ จากนั้นก็ฟื้นคืนสีหน้าสุขุม ยิ้มแย้มพลางยกชามขึ้นมาเอ่ยว่า “ที่แห่งนี้ลมแรง อาจจะเป็นก้อนหินที่ลมพัดตกลงมา ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนชามใหม่ให้แม่นางนะเจ้าคะ” 


 


 


แม้ว่ารูปโฉมของฮูหยินนางนี้จะธรรมดา อายุอานามก็ไม่น้อย แต่ว่าน้ำเสียงกลับสดใสนุ่มนวล ท่าทีสุขุมเยือกเย็น อุปนิสัยสง่าผ่าเผยยวดยิ่ง ฟังนางเอ่ยวาจาด้วยเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานขนาดนี้แล้ว จิ่งเหิงปัวก็ไม่กล้าจะไปทำให้นางลำบากใจ พยักหน้ามองนางยกชามเข้าไป ผ่านไปไม่นานก็ยกชามหนึ่งออกมาอีกครั้ง 


 


 


“ข้าใส่วัตถุดิบและเคี่ยวให้แม่นางใหม่อีกครั้งจ้าค่ะ” นางยิ้มแย้มด้วยใจจริง 


 


 


จิ่งเหิงปัวขอบใจนางแล้วยกชามขึ้นอีกครั้ง 


 


 


เพี้ยะ! 


 


 


จู่ๆ ก็มีวัตถุหนึ่งลอยมาตามแนวนอน อ้อมเอวของจิ่งเหิงปัวไปได้ ก่อนจะปะทะกับชามของจิ่งเหิงปัวดังเพี้ยะ 


 


 


วัตถุนี้มีพลังสังหารยิ่งกว่าก้อนหินก่อนหน้านี้ ชามดังกร๊อบคราหนึ่งก็ร้าวไปครึ่งซีก น้ำแกงมันวาวสีแดงสาดรดบนกระโปรงของจิ่งเหิงปัว 


 


 


ขนขาวตั้งชูชัน เฟยเฟยกระโดดออกไปหลบลี้น้ำแกงมันวาวที่บุกโจมตีได้ทันเวลา ในปากยังคาบซาลาเปาเนื้อก้อนหนึ่งไว้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวกระโดดขึ้นมาสะบัดน้ำมันบนกระโปรงสุดชีวิต มือสั่นใจสะท้าน พบว่าสิ่งที่ปะทะกับชามครั้งนี้แม่งเป็นขี้หมาก้อนหนึ่ง 


 


 


ลมพัดจนกระทั่งขี้หมามาถึงชามได้เลยเหรอ? 


 


 


จิ่งเหิงปัวพุ่งออกไปจากเพิง กวาดสายตามองรอบด้าน บนถนนมีผู้คนเดินไปมา ทุกคนนั้นดูท่าทางน่าสงสัย ไม่มีใครที่ไม่ต้องสงสัยเลย 


 


 


แสงขาวกะพริบวูบ เฟยเฟยกระโดดกลับมาดังสวบ ไม่มีซาลาเปาเนื้อในปาก นัยน์ตางามกลมโตสีม่วงเข้มยิ่งกลอกอย่างเชื่องช้าคล้ายดวงตาสองมิติ 


 


 


จิ่งเหิงปัวถามมันว่า “พบเป้าหมายน่าสงสัยหรือไม่” 


 


 


เฟยเฟยกะพริบตากลมใส่นางอย่างเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวปากอ้าตาค้างมองเห็นมันล้วงซาลาเปาเนื้อก้อนหนึ่งจากในหางมาคาบไว้แล้วชี้ไปที่แผงซาลาเปาอีกครั้ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวได้แต่เบียดกายไปยังปากประตูแผงซาลาเปา ซื้อซาลาเปาลูกหนึ่งเพื่อติดสินบนสัตว์ประหลาดตัวน้อยตีสองหน้า จอมละโมบตัวนั้น เมื่อซาลาเปามาถึงกรงเล็บของสัตว์ประหลาดตัวน้อยก็หายไปแล้ว ไม่ต้องเดาจิ่งเหิงปัวก็รู้ว่ามันเก็บซาลาเปาเอาไว้ในหาง น่ามหัศจรรย์ที่ว่ามองภายนอกไม่เห็น  แล้วซาลาเปาก็ไม่ได้ร่วงหล่น 


 


 


จิ่งเหิงปัวนึกสาปแช่งอย่างชั่วร้ายอยู่ในใจว่าขอให้ซาลาเปาร้อนลวกรูทวารมัน ก่อนจะยิ้มตาหยีพลางถามเฟยเฟยว่า “พบอะไรไหมที่รัก” 


 


 


เฟยเฟยประคองกินซาลาเปาแล้วเรอออกมาเสียงแผ่วเบา ลูบหน้าท้องแล้วสบสายตาที่เฝ้ารอคอยของจิ่งเหิงปัว พลางส่ายหัวให้นางอย่างน่ารักน่าชัง มุมปากพยักพเยิดขึ้นไป ดูไปดูมาใบหน้ายิ้มแย้มงดงามดุจมวลผกา 


 


 


“ฉิบ!” จิ่งเหิงปัวสะบัดมือเพียงครั้งก็กลับมายังเพิง คนอื่นกินเสร็จกันนานแล้วกำลังมองนางไอ้คนดวงซวยคนนี้ จิ่งเหิงปัวเกาศีรษะกล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “ดูท่าทางร้านนี้คงไม่ถูกกับข้า ข้าเปลี่ยนร้านกินก็แล้วกัน เถ้าแก่เนี้ยคิดเงิน” 


 


 


“ทั้งหมดหกสิบเหรียญเจ้าค่ะ” ฮูหยินยิ้มแย้ม 


 


 


จิ่งเหิงปัวยื่นมือไปลูบถุงเงิน ตอนที่พวกนางออกเดินทาง กงอิ้นก็อนุญาตให้ไปเก็บกวาดทรัพย์สินของมีค่า ชุ่ยเจี่ยเองช่วยจิ่งเหิงปัวเก็บถุงเงิน ชุ่ยเจี่ยที่พกถุงเงินติดกายตลอดเวลา เมื่อครู่จึงคืนให้จิ่งเหิงปัว 


 


 


มือยื่นเข้าไปคล้ายจมลงไปในปลักโคลน ดึงออกมาไม่ได้แล้ว 


 


 


สีหน้าบนใบหน้าของจิ่งเหิงปัวหลากหลายสีสัน 


 


 


“ไอ้เวรเอ๊ย…” นางกล่าวเสียงเบาว่า “เช่นนี้เรียกว่าผีซ้ำด้ำพลอยหรือ?!” 


 


 


“อะไรหรือ” ชุ่ยเจี่ยเห็นว่าผิดปกติจึงถามนางขึ้น 


 


 


“ถุงเงินหายไปแล้ว” จิ่งเหิงปัวสายตาเลื่อนลอยลมหายใจขาดห้วง 


 


 


ตอนซื้อซาลาเปาเมื่อครู่ก็ยังอยู่ บางทีคงจะเป็นตอนเบียดเสียดฝูงชนซื้อซาลาเปา ถูกหัวขโมยถือโอกาสหยิบฉวยติดมือไป 


 


 


“ที่ข้ามี” ชุ่ยเจี่ยควานหาถุงเงินของตนเอง จิ้งอวิ๋นล้วงเงินเช่นกัน แต่จากนั้นสองคนล้วนหยุดมือแล้วมองหน้ากันและกัน 


 


 


“เอ่อนี่…” จิ่งเหิงปัวมองสีหน้าของพวกนาง ก็พลันมีลางสังหรณ์ไม่ดีพวยพุ่งขึ้นในใจ จึงกล่าวเสียงเบาว่า “เงินของพวกเจ้าคงไม่ได้หายไปเหมือนกันใช่หรือไม่?” 


 


 


สองคนพยักหน้างงงวย 


 


 


จิ่งเหิงปัวตบศีรษะครั้งหนึ่งด้วยความหงุดหงิด เรื่องนี้แม่ง! 


 


 


ตนเองเคยออกไปนอกเพิงจะเงินหายก็ไม่แปลก แต่ชุ่ยเจี่ยกับจิ้งอวิ๋นแทบจะไม่ได้ขยับแล้วเงินหายไปตอนไหน? เข้าเมืองเหรอ? ตอนเข้าเมืองเหรอ? หรือว่าก่อนหน้านั้น? 


 


 


ไม่ว่าอย่างไรหากไม่มีเงินแล้วย่างก้าวเดียวยังลำบาก การคิดหาวิธีแก้ไขไปก่อนในตอนนี้สำคัญกว่า ยงเสวี่ยไม่มีเงินติดตัว ในกระเป๋าหนังของจิ่งเหิงปัวแม้ว่าจะมีของดีแต่ไม่อาจหยิบออกมาขายกินได้เรื่อยเปื่อย อีกทั้งนางเองก็เสียดายว่านี่น่ะเป็นดรรชนีทองคำของจริงที่ช่วยนางเผชิญโลกกว้าง จะมาขายมั่วซั่วที่เมืองเล็กริมชายแดนได้อย่างไร? จะมีคนที่ตาถึงหรือไม่ล้วนเป็นปัญหาทั้งนั้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเถ้าแก่เนี้ยคราหนึ่ง นางกำลังยุ่งจึงหันหลังให้ทางนี้คล้ายไม่ได้สังเกตความผิดปกติของหลายคน 


 


 


“ข้าจะไปหาวิธีหาเงินมาสักหน่อย” นางกล่าวกับจิ้งอวิ๋นเสียงแผ่วเบา เรียกเฟยเฟยหันกายเพียงครั้งออกมาจากเพิง 


 


 


ยังดีที่เถ้าแก่เนี้ยกับเถ้าแก่มองไม่เห็น 


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจดังเฮ้อ ยืนอยู่บนถนนใหญ่กำลังครุ่นคิดว่าจะหาเงินอย่างไรดี พลันมองเห็นว่าไม่ไกลจากข้างหน้ามีเรือนแแห่งหนึ่ง ภายนอกเรียบง่ายไม่สะดุดตาแต่ใช้ธงสีแดงเลือดหมูตั้งเป็นอักษรว่า ‘พนัน’ ขนาดใหญ่มหึมา เช่นนั้นนัยน์ตาจึงอดที่จะสว่างวูบไม่ได้ 


 


 


การพนันได้เงินไวที่สุดแล้ว! ไม่ว่าจะไพ่นกกระจอก ไพโกว[1] ทอยลูกเต๋าหรือทายนับนิ้ว พี่เล่นได้เชี่ยวชาญทุกอย่าง! 


 


 


เซียนไพ่นกกระจอกครุ่นคิดยิ้มตาหยี 


 


 


แต่ในเมืองนี้บ่อนพนันคล้ายจะมีระดับเป็นพิเศษ โดยปกติแล้วน้อยนักที่บ่อนพนันจะตั้งป้ายออกมาอย่างเปิดเผย 


 


 


จิ่งเหิงปัวก้าวเท้าไปทางบ่อนพนันนั้น ทว่าถูกขวางไว้ไกลๆ ที่ปากประตู กฎระเบียบแห่งแดนนี้มีอยู่ว่า สตรีและเด็กเล็กห้ามเข้าไปในบ่อนพนัน โดยเฉพาะสตรี 


 


 


ว่ากันว่าคือธรรมเนียมของที่นี่ การเล่นพนันกับสตรีจะทำลายโชคลาภในการเล่นการพนันตลอดชาติ 


 


 


จิ่งเหิงปัวถูกขวางกลับมา แต่นางไม่ได้สูญเสียกกำลังใจ เดินเตร่อยู่ในตรอกเล็กใกล้บ่อนพนันนั้น 


 


 


มองเห็นไกลๆ ว่ามีผู้อ่อนวัยคนหนึ่งเดินเอนไปเอียงมาออกมาจากบ่อนพนันนั้น แล้วเดินเข้ามาในตรอกเล็กสายนี้ นางรีบตามเข้าไปขวางอยู่ด้านหน้าเขา 


 


 


ผู้อ่อนวัยนั้นเมื่อถูกขวางทางจึงเงยหน้าอย่างรำคาญใจ กำลังจะตะคอกด่า แต่มองเห็นว่าเบื้องหน้ามีสตรีงามเพริศพริ้งนางหนึ่งโผล่มาก็อดจะนัยน์ตาสว่างวูบมิได้ 


 


 


“พี่ชาย ข้าขอตกลงกับท่านสักเรื่องสิ…” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม วางแขนไว้บนไหล่ของผู้อ่อนวัยนั้น เป่าลมหอมกรุ่นดุจดอกกล้วยไม้รดต้นคอของเขา พลางเกล่าวว่า“ข้าอยากยืม…” 


 


 


เฟยเฟยวูบกายออกมาจากอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เตรียมแสดงฝีมือ 


 


 


วิญญาณของผู้อ่อนวัยนั้นเกือบจะลอยออกไปแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยนัยน์ตางามปานดอกท้อและริมฝีปากแดงฉ่ำของจิ่งเหิงปัว เขาหงายมือโอบเอวของจิ่งเหิงปัวไว้ในครั้งเดียว ทำหน้าหนายิ้มพลางเอ่ยว่า “แม่นางน้อยพราวเสน่ห์จากที่ใดกัน มาอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายหรือ? ยามปกติพี่ชายไม่ได้ชอบเรื่องเช่นนี้นัก ทว่า เจ้าหรือ…อืม คืนหนึ่งคิดเท่าใด” 


 


 


เพี้ยะ! 


 


 


วันนี้จิ่งเหิงปัวก็ได้ยินเสียงนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว 


 


 


สำหรับนางร่างกายนั้นตอบโต้ด้วยการถอยไปข้างหลัง ค่อยๆ หลบลี้ลมประหลาดอัศจรรย์สายหนึ่ง 


 


 


จากนั้นนางก็มองเห็นลมประหลาดนั้นชนเข้ากับผู้อ่อนวัยดังเพี้ยะ จนเขาล้มลงแล้วม้วนผู้อ่อนวัยนั้นไว้กลิ้งไปตลอดทาง กลิ้งคลุกคลักชนเข้ากับมุมกำแพงเอย ก้อนหินเอย กองขี้วัวเอย บ่อเลนเอยมากมายไปตลอดทาง 


 


 


“ไอ้เวรเอ๊ย! นี่มันอะไรกันวะเนี่ย” จิ่งเหิงปัวอมนิ้วมือไว้กล่าวกับเฟยเฟยที่จู่ๆ ม้วนหางขึ้นมาว่า “วันนี้ก่อนออกมาได้อ่านหนังสือโป๊หรือเปล่า เจอผีเข้าแล้วมั้งเนี่ย” 


 


 


เฟยเฟยส่ายหางล้วงซาลาเปาครึ่งลูกออกมากิน 


 


 


จิ่งเหิงปัวพลันมองเห็นว่าในตรอกมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นมาอีกคน 


 


 


ผู้อ่อนเยาว์ผิวคล้ำรูปร่างสูงคนหนึ่งก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายร่ำสุราจนเมามาย เดินโซซัดโซเซเข้ามา 


 


 


จิ่งเหิงปัวพยายามเข้าไปขวางไว้อย่างไม่ลดละ 


 


 


นางไม่อยากปล้นจี้และไม่อยากใช้หน้าตาทำมาหากิน นางแค่อยากจะยืมเสื้อผ้าบุรุษจากเขาสักชุดเท่านั้นจริงๆ 


 


 


“พี่ชาย…” นางยื้มแย้มตามเข้าไปยังไม่ทันเอ่ยปาก ผู้อ่อนเยาว์นั่นสั่นสะท้านสองครั้งร่างกายโน้มเอนไปด้านหน้า 


 


 


พลั่ก! 


 


 


ฝุ่นธุลีตลบอบอวล จิ่งเหิงปัวที่ถูกทับอยู่ข้างใต้ท่ามกลางละอองฝุ่นตลบอบอวลร้องไห้เสียแล้ว 


 


 


“ฮือๆๆ วันนี้ทำไมมันซวยขนาดนี้วะ…” 


 


 


ผู้ที่อยู่บนร่างกลิ่นสุราไม่รุนแรงแต่ตัวหนักมาก ทับนางไว้อย่างพอดิบพอดี แขนยาวคู่หนึ่งและปลายศอกดันคอหอยของนาง หากเขาใช้แรงอีกเล็กน้อยจิ่งเหิงปัวคงจะล้มหายตายจากได้เลย 


 


 


“นี่! นี่ๆ ลุกขึ้นมา! ลุกขึ้นมาเร็วเข้า!” จิ่งเหิงปัวอยากตบหน้าเจ้าคนนี้แต่ยื่นมือไปไม่ถึง จึงได้แต่ตบหลังของเขา ใครจะรู้ว่าพอมือนางขยับ มือขวาที่ห้อยอยู่อีกด้านของชายขี้เมานั้นก็พลันแกว่งออกมาข้างหน้าเป็นวงกลม ฟาดลงบนใบหน้านางเบาๆ แขนที่เปื้อนเต็มไปด้วยฝุ่นร่วงลงเต็มหน้านางในทันใด 


 


 


“ถุยๆๆ” จิ่งเหิงปัวถุยฝุ่นที่อยู่เต็มปากออกไป รู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้คล้ายจะคุ้นเคยอยู่บ้างอย่างเลือนราง แต่เอียงคอนึกไปนึกมาก็นึกไม่ออก พอผลักเจ้าผู้นั้นอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าเจ้าผู้นั้นพลันพลิกตัวครั้งหนึ่งบนร่างนาง มือและข้อศอกร่วงลงอีกครั้งบริเวณเอวของนาง นางถูกทับจนแทบหายใจไม่ออก สูดฝุ่นเต็มปากที่ถุยออกมากลับเข้าไปอีกครั้ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้ร้องเสียงดัง เจ้าคนผู้นั้นก็โซซัดโซเซคล้ายจะยืนขึ้น จิ่งเหิงปัวจิตใจเบิกบานเปี่ยมสุขกำลังจะคลานขึ้นมา เสียงพลั่กครั้งหนึ่งเจ้าผู้นั้นล้มลงอีกครั้ง แผ่นหลังทับอยู่บนหน้าอกนาง ท้ายทอยชนเข้ากับจมูกของนางพอดี จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีเสียงดัง ฟึ่บ! ครั้งหนึ่ง ดอกไม้เพลิงปะทุโชติช่วง 


 


 


ดวงดาวมากมายลอยเอยล่องเอย ดวงดาวน้อยเต็มทั่วผืนฟ้า… 


 


 


เมื่อนางถูกทับไว้บนพื้นด้วยฝุ่นเปรอะทั่วร่างอีกครั้ง นางอยากร้องไห้จริงๆ แล้ว 


 


 


วันนี้นางกวนใครแหย่ใครไปนะ! 


 


 


มีแวบหนึ่งที่นางสงสัยว่ากงอิ้นกลั่นแกล้ง แต่ว่าเจ้าคนนี้หากอยากจะจับนาง เหตุใดต้องใช้ลูกไม้อะไรนี่ด้วย นี่ไม่เหมือนกับนิสัยของเขาเลย! 


 


 


นางหยีตาขึ้นมาด้วยความสงสัย มองดูผู้อ่อนเยาว์นี้หัวจรดเท้า แต่ในมุมของนางมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย สายตานางทอดลงบนฝุ่นละอองทั่วร่างของอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้าปฏิเสธเสียเอง 


 


 


มหาเทพดั่งยอดภูผา ดุจผกาเลิศล้ำดั่งเทือกเขาเหมันต์ สะอาดสะอ้านสูงส่งจนรังเกียจแม้แต่เกลือกกลิ้งม่านเมฆา แล้วจะยินยอมมาม้วนกายท่ามกลางเศษธุลีได้อย่างไร 


 


 


ดีว่าหลังจากชายขี้เมานี้กระทำการโจมตีนางไม่หยุดแล้ว ในที่สุดก็เมาจนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน จิ่งเหิงปัวนอนอยู่ใต้ร่างเขาไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ผ่านไปเนิ่นนานจึงสูดหายใจเข้าดมกลิ่นสุราเบาบางและกลิ่นไอสดชื่นหอมกรุ่นประหลาดของเขาแล้วคลานขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ครั้งนี้ไม่กล้าเร่งร้อนค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมของเขาออกมาในไม่กี่ครั้ง รีบเร่งพาดไว้บนไหล่ไม่กล้าหยุดชะงัก ลากเฟยเฟยได้ก็รีบวิ่งหนีราวกับเจอภูตพราย 


 


 


ตรอกสงบเงียบเชียบหลังนางจากไป 


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ ใบไม้แห้งใบหนึ่งก็ร่วงหล่นจากบนกำแพง พัดม้วนครั้งหนึ่งแล้วลอยไปใกล้ชายขี้เมาผู้ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยนั้น ทว่าใบไม้สลายหายไปกลางอากาศโดยพลันในชั่วครู่สุดท้ายที่เข้าใกล้ผู้นั้น 


 


 


ชายขี้เมายันกายลุกนั่งแช่มช้า 


 


 


เขายืดขาออก ข้อศอกวางอยู่บนหัวเข่า ขนตาหนายาวสยายลงมา ท่าทางงามสง่าตามใจตน ทว่าท่วงท่าเปี่ยมสมาธิใต้แสงผ่องอำไพยามพลบค่ำ 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


[1] ไพโกว เกมโดมิโน่โบราณของจีน 

 

 

 


ตอนที่ 41.3

 

ลงโทษ?

 


 


 


 


แน่นอนว่าจิ่งเหิงปัวไม่ได้ล่วงรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตรอกนั้น 


 


 


หากนางหันหน้ามามองเพียงครั้ง บางทีอาจจะแน่ใจในความจริงที่ว่าเหตุใดวันนี้ตนถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ 


 


 


แต่ขณะนี้จิตใจของนางพุ่งไปยังบ่อนพนัน หวังประกาศศักดาที่บ่อนพนันนั้นเพื่อนำค่าเดินทางและค่าอาหารกลับมาให้คณะเดินทางที่ประกอบไปด้วยคนสี่คน นกตัวหนึ่งและสัตว์ป่าตัวหนึ่ง 


 


 


มีคนก่อกวนหรือไม่อย่างไรนางไม่กังวล ขอเพียงตอนนี้ยังเป็นอิสระ นางก็ย่อมต้องใช้อิสระที่ได้มาให้คุ้มทุน จะไม่มากังวลมากมายกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด 


 


 


ในกระเป๋าเสื้อตัวนอกของไอ้ขี้เมามีเงินอยู่ จิ่งเหิงปัวดีใจจนออกนอกหน้า เมื่อมีเงินก็หมายความว่ามีทุนในการพนัน แก้ไขปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งของนางไปได้แล้ว 


 


 


มีเงินมากเสียด้วย ตั๋วเงินที่สามารถถอนที่ใดก็ได้จำนวนห้าสิบตำลึงใบหนึ่ง จิ่งเหิงปัวไม่ได้ครุ่นคิดว่าประชาชนคนธรรมดาจะพกเงินฟ่อนเยอะขนาดนี้ติดตัวได้อย่างไร นางกลับตรงไปเล่นพนันอย่างยินดีปรีดา 


 


 


แน่นอนว่านางสามารถใช้เงินห้าสิบตำลึงนี้จ่ายค่าอาหาร จ้างรถหรือดำรงชีวิตได้ เงินนี้ก็พอให้คนธรรมดาดำรงชีวิตอย่างสบายๆ ไปได้สองปี แต่หากเมื่อนางใช้เงินนี้แล้วก็ต้องกลายสภาพเป็นคนขี้แพ้ นางก็หวังเป็นอย่างมากว่าเมื่อตนเองหาเงินได้เองแล้วจะคืนเงินและเสื้อผ้าให้เขาทั้งหมด 


 


 


“ลาลาลาฝาไห่[1]เจ้ามิเข้าใจความรัก ข้าผู้รู้ความจริงน้ำตาร่วงหล่น…” จิ่งเหิงปัวฮัมเพลงก้าวเข้าประตูใหญ่ของบ่อนพนัน แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่พบเจอการขัดขวาง 


 


 


“เซียนพนันมาเยือนแล้ว!” จิ่งเหิงปัวเบียดเข้าไปที่โต๊ะตัวหนึ่งด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


“นายท่านจะเล่นแบบใดหรือ” เจ้ามือถามนาง 


 


 


“ทอยลูกเต๋าสูงต่ำ!” จิ่งเหิงปัวไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทายสูงต่ำนั้นได้เงินรวดเร็วนัก 


 


 


เจ้ามือวนถ้วยลูกเต๋าเสียจนคนมองตาลาย ยามมองเห็นอยู่ซ้าย ทว่าพลันย้ายไปขวา ประสานกันเป็นแสงเงาลวงตายาวเหยียด ลูกตาของนักพนันกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวตามไปมา ในลูกตาสีดำขลับทอประกายความละโมบ ตอนนี้ต่อให้จิ่งเหิงปัวปลอมเป็นผู้ชายได้สะเพร่าเพียงใดก็ยังไม่มีใครสนใจ 


 


 


มีเพียงบุรุษรูปโฉมธรรมดาที่นั่งเท้าคาง นัยน์ตาหลุบต่ำอยู่ที่โต๊ะลาดเอียงอีกฝั่ง ภาษากายเอ่ยว่าไม่สนใจและรำคาญ กระทั่งร่างของเขาเบี่ยงน้อยๆ หลบจากนักพนันเหงื่อเหม็นท่วมร่างข้างกายและนางรับใช้ที่วางแผนยั่วยวนข้างหลัง 


 


 


แน่นอนว่า ช่วงเวลาตึงเครียดนี้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น 


 


 


ถ้วยลูกเต๋าในมือของเจ้ามือหมุนไปถึงช่วงปลายแล้ว หลังจากลูกไม้หนึ่งซึ่งทำให้ตาพร่า ถ้วยลูกเต๋าก็ร่วงลงรุนแรงดังตึก 


 


 


“ลงต่ำ!” จิ่งเหิงปัวที่รอฟังอย่างใจจดจ่อมาโดยตลอดนั้น ดันทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองออกไปเสียงดังฟึ่บ 


 


 


“หึ ออกต่ำสามรอบติดกันแล้ว ข้าล่ะไม่เชื่อเจ้ามารตัวนี้หรอก!” มีนักพนันไม่คิดเช่นนั้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีชูนิ้วกลางออกมาให้เขา 


 


 


นักพนันแต่ละคนลงแตกต่างกันไป เนื้อแก้มสองข้างของเจ้ามือเกร็งแน่น ตะโกนก้องดุจสายฟ้าเสียงหนึ่งว่า “เปิด!” 


 


 


เสียงดังดุจอสนีบาตฟาดเปรี้ยง สะท้านจนทุกคนมึนงง เจ้ามือฉวยโอกาสสะเพร่าเผอเรอนี้ แอบยื่นนิ้วก้อยเข้าไปในถ้วยลูกเต๋า… 


 


 


บุรุษที่เท้าคางอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งหนึ่งนั้น ขยับปลายนิ้วแผ่วเบาเพียงครั้งในทันที 


 


 


นิ้วมือของเจ้ามือแข็งทื่อ และเวลานี้เอง ถ้วยลูกเต๋าก็พลิกออก 


 


 


คิดจะลงมืออีกครั้งก็ไม่ทันเสียแล้ว 


 


 


“ต่ำ!” จิ่งเหิงปัวกรีดร้องกระโดดตัวลอย ความปีติท่วมท้น ตื่นเต้นดีใจจนยากระงับ ทำให้โอบใครก็ไม่รู้ข้างกายไว้ในครั้งเดียว เตรียมจะแนบหน้าแสดงความตื่นเต้นดีใจปากร้องว่า “โอ้เย่…” 


 


 


เมื่อริมฝีปากห่างจากเจ้าคนโชคดีนั้นเพียงศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเซนติเมตร 


 


 


เจ้าคนเซ่อซ่าเบื้องหน้านั้นก็หายไปอย่างกะทันหัน 


 


 


เสียงฟึ่บดังขึ้นแผ่วเบา คนเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัวเปลี่ยนคนไปเรียบร้อยแล้ว อาภรณ์ยาวสีคราม ใบหน้าแข็งทื่อเช่นท่อนไม้มาแทนที่ใครก็ไม่รู้เมื่อครู่ ยืนตระหง่านอย่างเงียบเชียบเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว 


 


 


เดิมทีจิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้มองว่าข้างกายตนเป็นใคร หวังเพียงระบายความยินดีในใจออกมาเท่านั้น รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน คล้ายมีความเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ทันได้มองให้ชัดเจน 


 


 


จุ๊บ! ดังขึ้นเสียงหนึ่ง 


 


 


เสียงใสไพเราะดังกังวาน 


 


 


ริมฝีปากและแก้มกระทบกันเพียงศูนย์จุดศูนย์หนึ่งวินาที สัมผัสบนผิวกายนั้นบางเบา ทว่ากลับลึกถึงก้นดวงหทัยสามหมื่นฟุต และลึกถึงปลายวิญญาณแปดพันเส้นทางเมฆา 


 


 


ชั่วพริบตานั้น ทั้งสองร่างก็แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ 


 


 


โลกทั้งใบคล้ายหยุดหมุนไปชั่วขณะ บ่อนพนันเสียงดังเอะอะ เจ้ามือเศร้าซึม นักพนันตื่นเต้นดีใจและนางรับใช้ยิ้มยั่วยวนพอที่จะปะทุความสับสนวุ่นวายที่ดังอึกทึกของทุกสรรพสิ่ง ล้วนถูกตรึงไว้ในชั่วพริบตา เหลือเพียงลมชื่นเดือนลาวัณย์ใต้ริมฝีปากและบนแก้มในชั่วครู่นี้ 


 


 


เพียงสัมผัสพลันแยกจาก 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้าออกมาคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น แค่เพียงแนบหน้าร้องดีใจกับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง 


 


 


นางหัวเราะฮ่าๆ ถลกแขนเสื้อขึ้นมา ตั๋วเงินตบลงไปบนโต๊ะพลางกล่าวว่า “เอาอีก!” 


 


 


“เอาอีก!” 


 


 


บ่อนพนันเยือกแข็งฟื้นคืนชีพอีกครา 


 


 


ถ้วยลูกเต๋าเขย่าเคลื่อนไหว เจ้ามือพองแก้ม สีแดงสีขาวสีดำกลิ้งหมุนวน ใบหน้ายิ้มแย้มระคนกลัดกลุ้ม ตื่นเต้นดีใจระคนซ่อนแฝง แขนขาวราวหิมะที่ถลกแขนเสื้อข้อมือหมุนวน ริมฝีปากแดงฉ่ำงามเพริศพริ้ง 


 


 


อากัปกิริยาแห่งฝูงชนหลากหลายสีสัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวฟังเสียงถ้วยลูกเต๋าเคลื่อนไหวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าในที่สุดดวงตาคู่หนึ่งก็ชำเลืองมองข้างกายคล้ายไม่ได้ใส่ใจครั้งหนึ่ง 


 


 


คนชุดครามข้างกายที่ถูกแนบหน้าเมื่อครู่นั้นหายไปเสียแล้ว 


 


 


สายตาของจิ่งเหิงปัวอดจะกวาดไปด้านหลังอีกครั้งไม่ได้ ในที่สุดจึงมองเห็นเงาด้านหลังของเขาที่ปลายแถวฝูงชน 


 


 


แม้ฝีเท้าเชื่องช้า แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเพียงกะพริบตาจึงไปถึงนอกประตูใหญ่ไกลสามจั้ง ท่ามกลางฝูงชนที่สับสนวุ่นวาย นางคล้ายจะมองเห็นเขายกแขนเสื้อขึ้นมาประชิดข้างแก้มเหมือนจะเช็ดหน้า 


 


 


สันหลังนางพลันเกร็งแน่นจนหลงลืมสดับฟังเสียงถ้วยลูกเต๋า 


 


 


“ลงสูงต่ำ!” เสียงของเจ้ามือพาให้นางตกใจ รีบร้อนกลอกตามองกลับมาที่โต๊ะพนันนั้น ยังไม่ได้ฟังถ้วยลูกเต๋าเคลื่อนไหวให้แน่ชัดก็ลงสูงไปอย่างมั่วซั่ว ก่อนจะหันหน้ามามองคนผู้นั้นอีกครั้ง จะยังมีเงาคนอยู่ที่ไหนกัน? 


 


 


นางแค่นเสียงออกมาด้วยความโกรธเคือง ไม่เข้าใจว่าตนเองเป็นอะไรไป เพียงแค่ดีใจขึ้นมาและอยากจะแสดงความตื่นเต้นดีใจเท่านั้นเอง เมื่อก่อนที่สถาบันวิจัยก็เป็นเรื่องปกติ วันนี้เหตุใดจิตใจถึงได้ว้าวุ่นขนาดนี้นะ ช่างแปลกเสียจริง 


 


 


คิดถึงเมื่อครู่นั้น ตอนแรกนางไม่ได้คิดจะหอมแก้ม แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้หอมแก้มเขาไป ชั่วพริบตาผิวกายใต้ริมฝีปากก็แปลกประหลาดเล็กน้อย จากนั้นจึงรู้สึกว่ามีไอร้อนแรงดุจเพลิงพวยพุ่งขึ้นมาคล้ายมองเห็นเปลวอัคคีสีแดงเข้มของอีกฝ่าย แม้จะขวางกั้นด้วยทะเลสาบเย็นยะเยือกแห่งหนึ่ง 


 


 


จากนั้นจึงรู้สึกถึงความอบอุ่นนุ่มนวล ความสั่นเทาในชั่วขณะซึมแทรกจากบนแก้มสู่ในริมฝีปาก กระทั่งดวงใจยังคล้ายสั่นสะท้าน 


 


 


แม้จะรู้แจ่มแจ้งว่านี่คือความรู้สึกไร้สาระ ทว่าจิตใจคล้ายเตือนสติตนเอง 


 


 


จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงออกมาอีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าเพียงแนบหน้าครั้งเดียว เหตุใดถึงพาให้จิตใจของตนว้าวุ่นได้ เมื่อก่อนเชียร์ฟุตบอลที่สถาบันวิจัย พอตื่นเต้นดีใจมักจะลากจวินเคอกับเหวินเจินมาแนบหน้าก็ไม่ได้สะท้านใจขนาดนี้นี่น่า 


 


 


ประสาท 


 


 


นางพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง บังคับตนเองให้เก็บซ่อนความรู้สึกไว้ แล้วพุ่งเข้าไปตะโกนลั่นเปิดสงครามอีกครั้ง 


 


 


“ต่ำ!” เจ้ามือเปิดถ้วย 


 


 


“โอ๊ย เหตุใดแพ้อีกแล้วเล่า!” จิ่งเหิงปัวตะโกนออกมาอย่างเศร้าสร้อย หางตาชำเลืองมองอีกครั้ง 


 


 


เฮ้อ ไอ้บัดซบเมื่อครู่นั่นได้เช็ดหน้าหรือยังนะ? 


 


 


… 


 


 


คนชุดครามรูปร่างสูงเดินออกมาจากประตู 


 


 


แผนการไม่รวดเร็วเท่าความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะยามที่เผชิญหน้ากับสตรีไร้เหตุผลอย่างนาง เรื่องราวมักจะเปลี่ยนแปลงจนรับมือมิได้ 


 


 


เดิมทีเขาคิดจะอยู่ที่บ่อนพนันด้วยตนเอง มองดูสตรีนางนั้นชนะเต็มถุงเงินแล้วค่อยจากไป 


 


 


อีกทั้งเมื่อครู่สตรีนางนั้นก็วิปลาสเพียงนั้น เขายิ่งควรจะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เพื่อเลี่ยงไม่ให้นางมองเห็นผู้ใดก็อิงแอบแนบชิดได้ 


 


 


ทว่าดอกซิ่งและฝนวสันต์บนแก้มในพริบตานั้น กลิ่นหอมของนางกำจายจากเรือนร่างคล้ายจะปลุกความรู้สึกมากมายที่หลับใหลในนิทราของเขาให้ฟื้นคืน ส่วนเขาในชั่วครู่นั้นไม่รู้ว่าคลื่นโหมซัดสาดหรือว่าไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้จากไปรวดเร็ว 


 


 


ความรู้สึกเก่าๆ หลากหลายเปิดออกดังพึ่บพั่บ ในความชิดใกล้ไร้กาลเวลานั้น หมอกควันสีเทาเหลืองลอยสูงใต้ทิวาแจ่มแจ้ง กลบกลืนฟ้าดินที่เขากุมไว้ในฝ่ามือตลอดมา ทว่าเขามัวเมาพินิจทิศทางไม่ชัดแจ้ง 


 


 


ผิวกายบนแก้มคล้ายจะชื้นขึ้นบ้างเล็กน้อย และแห้งผากเพียงน้อย? ยังตึงแน่นอยู่คล้ายยังคงมีริมฝีปากงามโสภานั้นกำลังสะอื้นแผ่วเบาน่ารักใคร่ 


 


 


เขารู้สึกว่าเหลวไหลสิ้นดี 


 


 


สวมหน้ากากอยู่แท้ๆ แล้วยังจะมีความรู้สึกละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน 


 


 


เขายกมือขึ้นหวังลูบความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นออกไป ประดุจลูบดวงใจที่พลันยับเยินให้ราบเรียบ 


 


 


เมื่อมือยกถึงข้างแก้มก็พลันหยุดชะงัก สุดท้ายก็วางลงเชื่องช้า 


 


 


เขาก้าวออกมามองอาทิตย์อัสดงดวงหนึ่งที่ลับลงหลังเทือกเขาสีเขียวชอุ่มห่างไกล ก่อนถอนหายใจออกมาแผ่วเบา 


 


 


อาจจะออกมาเนิ่นนานเกินไปเสียแล้ว 


 


 


ควรจะให้สรรพสิ่งกลับคืนสู่วัฏจักร 


 


 


ราชินี ราชครู หกแคว้น แปดชนเผ่า ทั่วหล้าวุ่นวาย คลื่นใต้น้ำแห่งต้าฮวง 


 


 


 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ลาลาลาฝาไห่ พระเถระผู้ปราบปีศาจในตำนานนางพญางูขาว 

 

 

 


ตอนที่ 41.4

 

ลงโทษ?

 


 


 


 


ในช่วงที่ใครบางคนทนถูกแทะโลมจนทนไม่ไหวจำต้องหลบลี้ จิ่งเหิงปัวที่สูญเสียผู้แข็งแกร่งคอยคุ้มครองย่อมพ่ายแพ้ลงในที่สุด 


 


 


ทุนเดิมห้าสิบตำลึงหมดลงแล้ว ห้าสิบตำลึงที่ชนะมาภายหลังก็หมดแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่พริบตากลายเป็นชนชั้นยากจนคนหนึ่งน่ะหรือ? ดวงตาแดงก่ำคว้าขอบโต๊ะพนันไว้ไม่ยอมปล่อยมือ ดุจดั่งนักพนันที่สิ้นเนื้อประดาตัว 


 


 


“ไม่มีเงินแล้วหรือ? ไม่มีเงินก็ไสหัวไป!” เจ้ามือตะโกนไล่คน 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองไปรอบด้าน ผู้ที่แพ้หมดตัวไม่มีให้นางยืม ส่วนผู้ชนะมากกว่าครึ่งอวบอ้วนสมบูรณ์หน้าบานยิ้มระเริง หากยืมเงินกับคนประเภทนี้ก็นับว่าเสียหน้าอย่างแท้จริง ยืมกับพ่อรูปหล่อยังจะดีเสียกว่า 


 


 


สายตาของนางล่องลอยไปรอบด้านเพราะอยากจะหาเจ้าคนที่แลดูสบายตาและมีเงิน อีกทั้งไม่ก่อปัญหาตามมา แล้วชำเลืองมองอย่างไม่ใส่ใจไปยังหอด้านบน ผู้อ่อนวัยที่สีหน้าซีดขาว ร่างกายผ่ายผอมอ่อนแอผู้หนึ่งกำลังพิงราวกั้นอยู่ พลางจ้องมองนางอย่างสนใจไม่เบา 


 


 


สายตาของจิ่งเหิงปัวกวาดผ่านจากเนื้อผ้าแพงหรูหราบนกายของเขา สีหน้าสุขุมบนใบหน้ารวมถึงผู้ติดตามที่มีอากัปกิริยานอบน้อมที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างรวดเร็ว ก็พลันได้ข้อสรุปออกมาว่า ‘นี่คือคนรวยแต่โง่คนหนึ่ง’ 


 


 


ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือนางจำได้ว่าผู้ติดตามข้างหลังอีกฝ่ายสวมใส่เครื่องแบบองครักษ์ในบ่อนพนันนี้ 


 


 


ผู้อ่อนวัยคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของบ่อนพนันหรือไม่ก็มีความเกี่ยวข้องกันกระมัง 


 


 


“นี่ เจ้ายังจะเล่นหรือไม่ หากไม่เล่นก็ถอยออกมา!” เจ้ามือออกปากไล่ด้วยความรำคาญ 


 


 


จิ่งเหิงปัวปัดมือของเขาออก เสื้อคลุมยาวถลกขึ้น ยกขาเพียงครั้งก็กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ 


 


 


“ว้าว” เหล่าเจ้ามือและนักพนันด้านล่างเงยหน้าขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงด้วยความมึนงงเสียแล้ว 


 


 


ลำคอของผู้อ่อนวัยชั้นบนยืดยาวมากขึ้นไปอีก เบื้องลึกในดวงตาทอประกายแสงแห่งความตื่นเต้นดีใจ 


 


 


“นี่! ข้างบนนั่นน่ะ! เจ้าดูรูปโฉมงดงามของข้าสิ!” จิ่งเหิงปัวโก่งคอตะโกนไปข้างบน “ข้ารูปโฉมงดงามเช่นนี้ พวกเจ้ายังกล้าเอาเงินข้า ยังกล้าโกงข้าอีกหรือ” 


 


 


“หน้าด้านยิ่งนัก…นี่ เจ้าเอ่ยว่าผู้ใดโกงกัน ไสหัวลงมา!” เจ้ามือระเบิดโทสะ 


 


 


คนกลุ่มหนึ่งยื่นมือไปดึงจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวก็รวบเสื้อคลุมตัวยาวกระโดดซ้ายทีขวาที ตะโกนด่าเสียงดังว่า “โกงชัดๆ! อย่างข้า…น่ะ หากจะโกง พวกเจ้าคงแพ้จนหมดตูดกลับบ้านไปเสียนานแล้ว คดโกงต่อหน้าปัญญาชนซื่อสัตย์อย่างข้านี้ พวกเจ้ายังมีศักดิ์ศรีหรือไม่!” 


 


 


“ไอ้บ้าจากที่ใดกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือ จึงกล้าเอ่ยวาจามั่วซั่วที่บ่อนพนันแห่งนี้?!” เจ้ามือโกรธสุดขีด ทว่ายังหัวเราะร่า โบกมือเพียงครั้งให้องครักษ์องอาจที่ประชิดเข้ามาพลางเอ่ยว่า “มาเร็ว…” 


 


 


“ให้เขาขึ้นมา” ที่เหนือศีรษะแว่วเสียงอ่อนเพลียเสียงหนึ่ง 


 


 


เจ้ามือปรับสีหน้าและโค้งกายผายมือโดยพลัน “ขอรับ!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยกยิ้มอย่างลำพองใจครั้งหนึ่ง รวบเสื้อคลุมยาวเอาไว้ แล้วลงมาจากโต๊ะด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือ ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเชื่องช้า 


 


 


ผู้อ่อนวัยเดินโซซัดโซเซมาต้อนรับ พอจิ่งเหิงปัวมองเห็นใบหน้าของเขาแล้ว ในใจก็ร้องก้องขึ้นว่า “เสี่ยวโซ่ว!” 


 


 


คนนี้มีใบหน้าคล้ายของใบหน้าเสี่ยวโซ่วจริงๆ สีหน้าซีดเผือดเรือนร่างผอมบาง คิ้วบางดวงตาโค้ง ลมพัดครั้งหนึ่งสั่นสะท้านไปสามครั้ง เอ่ยวาจาขึ้นมาเลือนรางแผ่วเบา 


 


 


“ผู้ต่ำต้อยนามจงฉิง ยังไม่ได้ทราบชื่อเสียงเรียงนามของคุณชาย” จงโซ่วยากจะมีมารยาทเช่นนี้ ดวงตาเรียวยาวจ้องมองจิ่งเหิงปัวที่มีดวงพักตร์เพริศพรายด้วยสายตาแวววาวเปล่งประกาย 


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องมองแม้แต่เส้นผมทั่วร่างของเขา ยินดีนิดหน่อยว่าเสื้อคลุมยาวกว้างใหญ่บดบังทรวดทรงไว้ เสียใจนิดหน่อยว่าเสื้อคลุมยาวใหญ่เกินไปบดบังทรวดทรงไม่มิด 


 


 


สำหรับเจ้าคนนิสัยอ่อนหวานขนาดนี้คนหนึ่ง นางก็ไม่รู้ว่าเพศไหนน่าจะเหมาะสมมากกว่า 


 


 


“เกรงใจเสียแล้ว ผู้ต่ำต้อยนามจิ่งต้าปัว” นางยิ้มแย้มเสแสร้ง ไอโขลกออกมาครั้งหนึ่ง กำลังครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากขอยืมเงินอย่างไร หรือว่าชนะพนันอย่างเปิดเผยสักตา แล้วเอาทุนในการพนันกลับมา จงโซ่วโซ่วนั้นเงยใบหน้ายิ้มแย้มเอาใจขึ้นมาพลางกุมมือของนางไว้ 


 


 


“น้องต้าปัว วันนี้ได้พบพานนับเป็นวาสนาที่เบื้องบนประทานมาโดยแท้ พี่น้องข้างล่างไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุจึงล่วงเกินน้องชายเข้า เจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ใจกว้าง ก็อย่าได้ถือสาพวกเขาเลย มาๆ เชิญน้องชายเยื้องก้าวสู่ห้องรับรองหรูหรา สนทนากับผู้ต่ำต้อยสักหน่อย ให้พี่ชายผู้ขลาดเขลาขออภัยต่อหน้าเจ้าให้เต็มที่” 


 


 


จงฉิงสีหน้าเปี่ยมปรีดา คว้าจิ่งเหิงปัวแล้วเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางเท้าแทบไม่ติดพื้น จิ่งเหิงปัวอยากจะปฏิเสธ ทว่าในพริบตานั้นกลับได้กลิ่นหอมยั่วน้ำลายของอาหารสายหนึ่ง พอมองดูจงฉิงที่ดูคล้ายอ่อนแอนุ่มนิ่มนั่นก็ให้คนนำของหวานมาให้ด้วยท่วงท่ารวดเร็วยิ่ง โจ๊กดอกกุ้ย[1]ใส่เม็ดบัว ขนมไป่เหอ[2] ฮะเก๋ากุ้งและขนมจีบหยกรูปกลิ่นรสยั่วน้ำลาย จิ่งเหิงปัวที่เดิมทีท้องหิวหาทางอยู่รอดจึงเดินตามขึ้นไปโดยไปทันทีในชั่วขณะ 


 


 


เบื้องล่างฟื้นคืนความครึกครื้น ทุกคนเล่นพนันกันต่อ ไม่มีใครสังเกตว่ามีเงาคนกะพริบวูบที่ปากประตู 


 


 


จิ่งเหิงปัวตามจงฉิงไปโดยไม่ได้สังเกตว่าผู้ติดตามกลุ่มใหญ่นั้นหายไปตั้งแต่ตอนไหน 


 


 


จากนั้นนางก็พบในทันทีว่าปากบันไดขึ้นชั้นสามกลับว่างเปล่า 


 


 


ไม่มีบันไดเหรอ? 


 


 


จงฉิงยืนยิ้มอย่างลำพองใจอยู่ที่ปากบันได 


 


 


“บันไดมา” เขาเงยหน้าขานแผ่วเบาด้วยเสียงเชื่องช้าดัดจริตอย่างยิ่ง 


 


 


ผนังสี่ด้านดังเอี๊ยดอ๊าดไม่หยุดในทันใด ท่อนไม้แนวขวางนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา เชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นรูปร่างบันไดกลางอากาศในพริบตา 


 


 


“อัศจรรย์ยิ่งนัก!” จิ่งเหิงปัวกล่าวชม ยิ้มแย้มมองดูจงฉิงกล่าวสืบต่อว่า “เจ้าออกแบบได้สุดยอดเสียจริง!” 


 


 


อย่างกับภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์ของอเมริกัน ยากนักที่จะได้มองเห็นการออกแบบเช่นนี้ในเมืองเล็กริมชายแดนในสมัยโบราณ 


 


 


บนใบหน้าซีดเผือดของจงฉิงขึ้นสีแดงอ่อนด้วยความตื่นเต้นดีใจลำพองใจ ปากพยายามเอ่ยวาจาสบายๆ ว่า “เล็กน้อย” 


 


 


สายตาสตรีที่สุกสกาวด้วยเลื่อมใส มักพาให้ฮอร์โมนเพศชายปริมาณมากพวยพุ่ง ตอนนี้จงฉิงท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา ยามประคองจิ่งเหิงปัวเหยียบลงบนบันไดก็กระตือรือร้นเป็นพิเศษ จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม หยิกใบหน้าของเขาครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความชื่นชม นายน้อยแซ่จงยิ่งดีใจมากขึ้น สายตาแวววาวดุจหมาป่า 


 


 


บนขื่อห้องคล้ายมีเงากะพริบวูบไหว แต่ผู้หนึ่งที่ก้มหน้ามองบันได อีกผู้หนึ่งตั้งใจเชยชมโฉมงามจึงไม่มีใครสังเกตเห็น 


 


 


“บันไดกลางอากาศออกจะดูน่ากลัวไปเสียบ้าง” จิ่งเหิงปัวก้มหน้ามองบันได ก็มองเห็นศีรษะของคนด้านล่างทั้งสองชั้น 


 


 


จงฉิงยิ้มอย่างลึกลับ ลำพองใจมากยิ่งขึ้น ดีดนิ้วครั้งหนึ่งด้วยร้อนรนทนไม่ไหว 


 


 


“กระดานมา!” 


 


 


เสียงเพี้ยะดังกังวาน ไม้กระดานกลางอากาศเหล่านั้นมีกระดานบางท่อนที่ไหลอออกมาตามแนวขวางโดยพลัน จากนั้นก็ห้อยลงประสานด้านล่าง เสียงแครกๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง บันไดแบบสมบูรณ์ก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว 


 


 


“ความคิดอัศจรรย์!” จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่ายังมีการออกแบบชั้นนี้อีก เบิกตาโต ร้องอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าคิดออกมาได้อย่างไรกัน!” 


 


 


ในน้ำเสียงของนางชื่นชมด้วยใจจริง แม้กระทั่งผู้โง่เขลายังฟังความออก นัยน์ตางามพิลาสสุกสกาวด้วยความตกใจระคนแปลกใจ ผิวกายแดงซ่านคล้ายคลุมด้วยแสงมุกชั้นหนึ่งทั้งอ่อนโยนและลานตา 


 


 


จงฉิงชื่นมื่นดีใจคล้ายจะลอยขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เพียงความสามารถอันน้อยนิด…มินานมานี้กระดานบันไดลงน้ำมันถง[3]ไว้ ระวังจะลื่นล้ม…โอ๊ย!” 


 


 


ประโยคหนึ่งไม่ทันสิ้น ทันใดนั้นลมประหลาดสายหนึ่งแฉลบผ่าน ชนจนเท้าของเขาสะดุดขาชี้ฟ้าลื่นล้มดังคลุกคลักลงมาตามบันได 


 


 


จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจ รีบวิ่งลงมาประคองเขาแล้วกล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ บันไดนี้ก็ไม่ได้ลื่นอะไรนะ” 


 


 


“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน…” ทั่วใบหน้าของจงฉิงขึ้นสีแดง บันไดนี้ลงน้ำมันถงตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ไม่สามารถลื่นได้อย่างแน่แท้ เขาเพียงหวังเอาอกเอาใจจึงเข้าไปประคองแขนกลมกลึงของโฉมสะคราญสักหน่อยเท่านั้น เหตุใดจึงลื่นล้มเสียแล้วเล่า? 


 


 


จิ่งเหิงปัวยื่นมือมาประคองเขา ทางเดินมืดสลัวขับให้นิ้วมือของนางแต่ละนิ้วดุจหยกงาม จากมุมสายตาของจงฉิงมองเห็นติ่งหูดุจไข่มุกข้างจอนผมสีดำเข้มของนางผุดเผยสีชมพูอ่อนๆ จากรูแวววาวน้อยๆ ด้านหนึ่งพอดิบพอดี 


 


 


รอยเจาะหู 


 


 


มองเห็นสิ่งนี้ปราดเดียวจึงรู้ว่านางคือสตรี 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


[1] ดอกกุ้ย หรือหอมหมื่นลี้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Osmanthus sp. 


 


 


[2] ไป่เหอ ลิลี ชื่อวิทยาศาสตร์ Lilium 


 


 


[3] น้ำมันถง น้ำมันจากต้นไม้ชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับเคลือบเงาตกแต่ง 

 

 

 


ตอนที่ 41.5

 

 ลงโทษ?

 


 


 


 


กลิ่นหอมจรุงใจลอยล่องทั่วบริเวณ เพราะเป็นห้องปิดทึบกลิ่นหอมจึงยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น กลิ่นหอมนั้นเข้มข้นทว่าเป็นธรรมชาติ พาให้จงฉิงนึกถึงมวลผกาจำพวก หมู่ตาน[1] เสาเย่า[2] ต้าลี่และเบญมาศ บุษบางามเฉิดฉายจึงได้นามเหล่านี้ล้วนมิหอมหวน ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่านางมีความงามแห่งหมู่ตานและเสาเย่า ซ้ำยังมีความหอมหวนที่หมู่ตานและเสาเย่าไม่อาจมี ฟ้าลิขิตถนอมรัก ขาวนวลสมบูรณ์พร้อม 


 


 


ในใจของจงฉิงอุ่นวาบหวาม 


 


 


เขาคือบุตรชายโทนของอาจารย์ซีคัง สุขภาพไม่สมบูรณ์จึงเก็บตนอยู่ในเรือน ตั้งแต่เด็กจนคุ้นชินเพียงวันเวลาสร้อยเศร้าเหงาหงอย ยามว่างจึงได้แต่อาศัยพรสวรรค์อันน้อยนิดของตนเองละเล่นศาสตร์แห่งกลไก ด้วยเหตุผลด้านร่างกาย แต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่เคยครุ่นคิดเรื่องสตรีแล ไม่ได้รู้สึกว่าสตรีจำเป็นแต่อย่างใด 


 


 


ทว่าวันนี้คล้ายมีสิ่งใดแตกต่างออกไปบ้าง 


 


 


บางครา ผู้อ่อนวัยผิวขาวซีดเผือดมักจะถูกพี่สาวงดงามผู้มีเสน่ห์ข้างนอกดึงดูดได้โดยง่าย 


 


 


จงฉิงรับนิ้วมือของจิ่งเหิงปัวด้วยทั้งคับแค้นใจระคนยินดีน้อยๆ ยามปลายนิ้วกำลังจะสัมผัสจิ่งเหิงปัวก็ร้องโอ๊ยขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวออกมาทันทีว่า “ผู้ใดผลักข้า?” ร่างก็พลันเอนลงไปด้านหน้า 


 


 


นิ้วมือของสองคนคลาดผ่านกันไป จิ่งเหิงปัวควบคุมท่วงท่าไม่ได้จึงล้มโซเซลงบันไดไปขั้นหนึ่ง ชนเข้ากับจงฉิงผู้เตรียมคลานขึ้นมา ทำให้ร่วงลงไปดังพลั่กเสียงหนึ่งอีกครั้ง 


 


 


“อ๊าๆ อ๊าๆ …” เอวบางอ่อนแอของจงฉิงซึ่งรองอยู่บนไม้กระดานถลาไถลลื่นลงไปทีละขั้น กระดูกช่วงเอวเสียดสีกับกระดานแข็ง เปล่งเสียงกึกกึกน่ากลัวออกมา 


 


 


“พลั่กๆๆ” เขาไถลลงไปจนสุดทางอีกครั้ง ศีรษะทิ่มพื้นเป้ากางเกงหงายขึ้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวอมนิ้วมือไว้ในปาก ดวงตาเบิกโพลงจนกลมโต รู้สึกว่าทุกเรื่องในวันนี้ล้วนไม่มงคล หรือว่านางควรไปจุดธูปไหว้ขอพรเสียก่อน 


 


 


นางหันหน้ามามองดู ที่ปากบันไดมีเงาคนตรงไหนกัน? ลมประหลาดที่ผลักมาจากด้านหลังระลอกหนึ่งเมื่อครู่นั้นมาจากไหนกัน? 


 


 


จงฉิงล้มอยู่ที่ชั้นล่างร้องโอ๊ยๆ มองเหนือศีรษะน้ำตาคลอเอ่ยว่า “เศร้าสร้อยขึ้นบันไดปวดรวดร้าว ถอนใจยาวมิอาจกลบน้ำตาได้” 


 


 


ครั้งนี้จิ่งเหิงปัวไม่กล้าประคองเขาแล้ว จงฉิงคลานขึ้นมาด้วยท่าทีหนึ่งก้าวสั่นสามครา สุดท้ายจึงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก เมื่อถึงชั้นบนจงฉิงพิงอยู่ปากบันไดหายใจฮืดฮาดเอ่ยว่า “งามหรือไม่…” 


 


 


สายตาของจิ่งเหิงปัวถูกดึงดูดด้วยฉากกันลมไม้หวงหยาง[3] ขนาดมหึมาเสียแล้ว 


 


 


ด้านหน้าคือผนังไม้หวงหยางขนาดมหึมา ด้านหนึ่งบนผนังเต็มไปด้วยดอกทานตะวัน แต่ละดอกดุจวงล้อ ฐานดอกสมบูรณ์ เงยดอกยืดก้านท่วงท่างามสง่า 


 


 


จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดชั่วครู่ แต่ไม่ได้รู้สึกตัวว่าคนท้องถิ่นชอบใช้ดอกทานตะวันในการประดับตกแต่ง ส่วนมากจะใช้หมู่ตานหรือดอกท้ออะไรก็ว่าไป 


 


 


“ดอกทานตะวันเหล่านี้งามหรือไม่” จงฉิงสีหน้าเคลิบเคลิ้ม เอ่ยสืบต่อว่า “พวกมันแย้มบานประสานเพียงแสงตะวัน ปณิธานสูงส่งยาวไกล ท่วงท่าเป็นเอกลักษณ์ พวกมันแลดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ตั้งตระหง่านยิ่งนัก คล้ายกับข้า…ใช่หรือไม่?” 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองใบหน้าที่คล้ายอสรพิษน้ำ เอวคล้ายน้ำค้างแข็งของเขาเพียงครั้ง ก็รู้สึกว่านอกจากคำว่า ‘ทานตะวัน’ ที่เหมาะสมกับนิสัยผู้เป็นฝ่ายรับของเขาเป็นพิเศษแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรเหมือนสักอย่าง 


 


 


“ไม่ดี ไม่ดี” นางส่ายหน้าแรงๆ พลางกล่าวว่า “เหตุใดจึงใช้ดอกไม้อัปลักษณ์เยี่ยงนี้เล่า? เหตุใดจึงใช้ดอกไม้โง่เขลาเยี่ยงนี้ หากมนุษย์คล้ายดอกไม้นี้นั่นคงจะแย่แล้ว จ้องมองไปเพียงทิศทางเดียวอย่างโง่เขลา หากข้างหลังมีอันตรายจะทำอย่างไร? อีกทั้งรูปร่างนี้ก็ผอมบางค้ำยันศีรษะมหึมาไว้ เจ้าก็กลัวว่าผู้อื่นจะมองไม่ออกว่าเจ้าเจริญเติบโตไม่เต็มที่หรืออย่างไรกัน” 


 


 


จงฉิงเปล่งเสียง “เฮือก” ออกมาเสียงหนึ่ง แล้วนึกไม่ถึงว่ายังมีผู้เอ่ยวาจา อธิบายถึงดอกทานตะวันที่ยึดมั่นเย่อหยิ่งในใจของเขาเช่นนี้ เมื่อเอ่ยเช่นนี้แล้ว แลมองดอกทานตะวันนั้นก็พลันรู้สึกว่าท่วงท่าน่าเบื่อหน่ายรูปร่างน่าสะพรึงกลัว 


 


 


“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าดอกไม้ใดเหมาะสมกับข้าเล่า” 


 


 


“ดอกเบญจมาศ!” จิ่งเหิงปัวตบไปที่ฉากกันลมไม้หวงหยางอย่างดีใจจนกระโดดโลดเต้น กล่าวต่อว่า “ดอกเบญจมาศถึงจะสอดคล้องกับนิสัยของเจ้าเป็นที่สุด ซ้ำยังเป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมของบุรุษผู้งามเลิศล้ำทุกผู้คน! หากผนังด้านนี้ล้วนเป็นดอกเบญจมาศ ดอกเบญจมาศสีทองอร่ามดอกเล็กดอกใหญ่ จะงดงามพาให้ผู้คนมองแล้วสะเทือนใจมากเท่าใดกัน!” 


 


 


ไม่รู้ว่านางกระโดดโลดเต้นจนไปสัมผัสกลไกแห่งใดเข้า เสียงดังครืน ฉากกันลมแยกเป็นสองซีก จิ่งเหิงปัวล้มเข้าไปด้วยท่านั้น เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นแจกันดอกทานตะวัน ม่านดอกทานตะวัน พรมดอกทานตะวัน เก้าอี้ดอกทานตะวันเต็มห้องไปหมด แลดูหรูหราสีทองอร่าม ฐานดอกขนาดใหญ่ทิ่มแทงนัยน์ตาคน 


 


 


จิ่งเหิงปัวส่ายหน้าไม่หยุดพลางเอ่ยว่า “ช่างไร้รสนิยมเสียจริง เหตุใดถึงไม่เป็นดอกเบญจมาศเล่า หากเปลี่ยนเป็นดอกเบญจมาศทั้งหมดจะงามเพียงใดกัน!” 


 


 


“หากข้าเปลี่ยนเป็นดอกเบญจมาศ แล้วเจ้าจะชอบหรือไม่” เสียงเอ่ยถามพร้อมลมหายใจดังฮืดฮาดของจงฉิงคล้ายอยู่หลังกายตน จิ่งเหิงปัวราวกับรู้สึกถึงไอร้อนจากลมหายใจติดขัดของเขา 


 


 


เมื่อจิ่งเหิงปัวหันหน้ามาจึงมองเห็นใบหน้าน้อยซีดเผือดของจงฉิงอยู่ห่างท้ายทอยตนเองเพียงห้าเซนติเมตร ด้วยเพราะการหันหน้าอย่างกะทันหันของนาง ผู้อ่อนวัยนั้นไม่ทันได้ซ่อนเร้นความปรารถนาและความรักชื่นชมที่ลึกไปในดวงตา จิ่งเหิงปัวถูกสายตาที่ร้อนแรงทอประกายเสียจนชะงักไป จงฉิงจึงคว้ามือของนางไว้ในครั้งเดียว 


 


 


“หากสิ่งใดในที่แห่งนี้ล้วนเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เจ้าชอบ เจ้าจะอยู่ที่นี่หรือไม่” จงฉิงกุมมือของนางไว้แน่น กระซิบกระซาบเอ่ยวาจาเสียงแผ่วเบาข้างหูนางว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นสตรี เจ้าคล้ายจะอยู่ตัวคนเดียวเช่นกัน ข้าจะไม่ถามไถ่หัวนอนปลายเท้าของเจ้า ข้าหวังเพียงอยากเอาอกเอาใจเจ้า หากข้าล้วนยอมตามเจ้าและรักใคร่โปรดปรานเจ้า เจ้า…เจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?” 


 


 


แสงสว่างในห้องลับมัวสลัว ผู้อ่อนวัยตัวซีดเผือด สีหน้าออกเขียวแดงซ่านอย่างหาได้ยาก กุมมือของจิ่งเหิงปัวไว้สั่นสะท้านน้อยๆ 


 


 


มือของจิ่งเหิงปัวหดกลับไปด้วยหยั่งเชิง จงฉิงรู้สึกได้ถึงอาการหดถอยของนาง สีหน้าซีดขาวทว่ามิกล้าปล่อยมือ นิ้วมือจับแน่นจนจิกมือของนาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลอกตา เบื้องลึกในใจมีความรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย ถ้ากล่าวว่านางดูออกว่าผู้อ่อนวัยนี้มีโรคประจำตัวร้ายแรงตั้งแต่แรกเลยไม่ถือสาที่จะเล่นเป็นเพื่อนเขา ยามนี้เหตุด้วยความคิดอื่นเช่นนี้จึงไม่อยากคิดที่จะอยู่ต่อแม้แต่นาทีเดียว 


 


 


ภาระที่แบกรับไม่ไหวต้องหลีกหลบกันไป นางอยู่ด้วยเล่นๆ ไม่เป็นไร หากเขาจริงจังขึ้นมาแล้วภายหลังนางหนีไป เขาโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า? ดูริมฝีปากน้อยๆ นั่นสิ ขึ้นบันไดรอบเดียวก็ออกสีม่วงเป็นผลหม่อน[4] 


 


 


นางประสานเข้ากับสายตาเปี่ยมปรารถนาของจงฉิง ยื่นมือออกไปพลางยิ้มเบิกบาน เตรียมใช้วิธีพูดจาอ้อมค้อมล้อเล่นปฏิเสธเขาโดยไม่ทำให้เสียหน้า 


 


 


เช่น ลูบใบหน้าของเขา กล่าวสักประโยคว่า ‘น้องชาย เจ้าช่างหล่อเหลา พี่สาวรักเจ้าตั้งแต่ยามแรกเห็น ทว่าพี่สาวได้สมรสกับผู้อื่นเสียแล้ว เป็นนวลนางผกาช้ำหลิวตรม[5] จึงมิอาจทรยศมโนธรรมเหยียบย่ำผู้น่ารักเชื่อฟังเช่นเจ้า’ 


 


 


นิ้วมือยังไม่ทันได้แตะต้องใบหน้าของจงฉิง ข้างหลังก็มีลมพัดมาอย่างฉับพลัน ลมดังฟิ้วแฉลบผ่านข้างแก้มนาง นางมองเห็นจอนผมของตนเองมีควันสีดำกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา แล้วสลายไปเบื้องหน้านางปานสายหมอกต่อหน้าต่อตา 


 


 


พอมองดูโดยละเอียดแล้ว ไอ้เวรเอ๊ย ผมสั้นที่จอนขวาของนางไม่มีแล้ว 


 


 


ลมแหลมคมที่แฉลบผ่านข้างแก้มนางไม่ได้หยุดยั้ง กลับพุ่งต่อไปยังหน้าผากของจงฉิงดัง ฟิ้ว! พริบตาต่อมาสองตาของจงฉิงปิดสนิท ล้มลงบนพื้นกระดานห้องดังพลั่กเสียงหนึ่ง 


 


 


เสียงกรีดร้องของจิ่งเหิงปัวยังไม่ทันออกจากปาก หลังศีรษะก็มีเสียงดัง พลั่ก! อย่างกะทันหัน เบื้องหน้าพลันมืดมนไป 


 


 


นางเองก็ล้มลงเช่นกัน 


 


 


ในห้องเต็มไปด้วยดอกทานตะวันเงียบเชียบวังเวงคล้ายไร้ผู้คน 


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ รองเท้าพื้นนุ่มคู่หนึ่งพลันเหยียบย่ำพรมหรูหราที่สานดอกทานตะวันอย่างประณีต ปรากฏกายเชื่องช้าที่ปากประตูโดยไร้เสียง 


 


 


ฝีก้าวของผู้มาถึงสุขุมราวเดินเล่นอยู่ในสวนบ้านตนเอง ชุดคลุมสยายดุจเมฆาเหยียบย่างโลกมนุษย์ ยามเยื้องย่างผ่านข้างกายจงฉิงก็เหยียบแขนของเขาไปคล้ายไม่ได้มองเห็น 


 


 


จงฉิงผู้อยู่ในอาการสลบไสลแยกเขี้ยวยิงฟัน 


 


 


คนผู้นั้นหยุดลงที่ข้างกายของจิ่งเหิงปัว มือยกขึ้นแผ่วเบาเพียงครั้ง ก่อนจะหิ้วจิ่งเหิงปัวขึ้นมาโยนพาดไหล่ปานถุงกระสอบ 


 


 


จากนั้นคนผู้นั้นก็หันกายฉวยมือสะบัดเพียงครั้ง กระดาษที่เขียนด้วยอักษรเต็มแผ่นค่อยๆ ร่วงหล่นข้างกายจงฉิงผู้สลบไสล 


 


 


‘ได้รับความเมตตากรุณาจากคุณชาย ข้าน้อยหรือจะมิกล้าน้อมนำ? เพียงทว่าข้าน้อยหลงใหลในเบญจมาศ พบเบญมาศจึงยินดีจากเบญมาศจึงปวดอุรา คุณชายเอ่ยว่าไม่มีสิ่งใดที่จะให้ข้าน้อยไม่ได้ เช่นนั้นขอคุณชายตกแต่งที่แห่งนี้ให้เป็นห้องดอกเบญจมาศเพื่อข้าน้อย เครื่องเรือนทุกชิ้นและผ้าม่าน ผ้านอน ผ้าห่มขอให้เป็นดอกเบญจมาศทั้งสิ้น ยามที่ห้องผกาเสร็จสิ้นแล้ว ข้าน้อยจะต้องพร้อมใจถือตะกร้าและทอเสื่อด้วยตัวข้า[6]เพื่อคุณชาย ขอเวลาเพียงสามเดือน เมื่อถึงยามนั้นข้าน้อยจะต้องสมรสผูกสัมพันธ์เช่นแคว้นฉินแลแคว้นจิน[7]กลายเป็นบุพเพสันนิวาสสมบูรณ์พูนสุขกับคุณชาย’ 


 


 


 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


[1] หมู่ตาน หมู่ตันผีหรือหมู่ตาน ชื่อวิทยาศาสตร์ Paeonia suffruticosa  


 


 


[2] เสาเย่า แปะเจียก ชื่อวิทยาศาสตร์ Paeonialactiflora 


 


 


[3] ไม้หวงหยาง ไม้พุ่มขนาดใหญ่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Buxus sinica (Rehd. et Wils.) Cheng 


 


 


[4] ผลหม่อน หรือ มัลเบอร์รี ชื่อวิทยาศาสตร์ Fructus Mori 


 


 


[5] นวลนางผกาช้ำหลิวตรม หมายถึง สตรีที่ไม่เจียมตนหรือถูกย่ำยีทอดทิ้ง 


 


 


[6] ถือตะกร้าและทอเสื่อด้วยตัวข้า เป็นคำกล่าวถ่อมตนของสตรี หมายถึง ยินยอมพร้อมใจเป็นภรรยา 


 


 


[7] สมรสผูกสัมพันธ์เช่นแคว้นฉินแลแคว้นจิน หมายถึง การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล 

 

 

 


ตอนที่ 41.6

 

ลงโทษ?

 


 


 


 


เมื่อจิ่งเหิงปัวลืมตาขึ้นมายังนึกว่าตนเองนอนหลับอยู่ 


 


 


มืดจัง ยังอยู่ในความฝันแน่เลย 


 


 


นางหลับตาลงอีกครั้ง สักพักจึงลืมตาขึ้นมาใหม่ คราวนี้นางแน่ใจแล้วว่าตนเองไม่ได้นอนหลับไป 


 


 


นางพลิกตัวคลานขึ้นมา รู้สึกว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่ง ทว่าไม่มีแสงสว่าง ไม่มีมนุษย์ ไม่มีเสียง ไม่มีลมหายใจ ไม่มีแม้กระทั่งความรู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่ง ให้ความรู้สึกคล้ายกับ…ดินแดนแห่งความตาย 


 


 


ใช่แล้ว! ดินแดนแห่งความตาย ไอเย็นยะเยือกผนึกแน่นไร้ซึ่งพลังชีวิตแม้แต่น้อยนิด 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเหน็บหนาวสั่นสะท้าน พยายามหวนคิดว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ลอยล่องอยู่ในสมองมีเพียงใบหน้าที่ตื่นตระหนกขาวซีดของจงฉิงและดอกทานตะวันเต็มสองตา 


 


 


อ้อ ยังมีแสงประหลาดสายหนึ่งที่คล้ายทะลุผ่านมาจากด้านหลังตนเองอีก 


 


 


นางลูบคลำข้างกาย เจ้าหมาโง่ไม่อยู่ เฟยเฟยไม่อยู่ อีกทั้งชุ่ยเจี่ย จิ้งอวิ๋นและยงเสวี่ยก็ไม่อยู่ ที่แห่งนี้คล้ายกับว่าเหลือเพียงนางผู้เดียว 


 


 


ความคิดน่าหวาดกลัวความคิดหนึ่งโผล่ออกมาคว้าเส้นประสาททั้งหมดของนางในทันใด 


 


 


หา?! คงไม่ใช่ทะลุมิติอีกครั้งแล้วกระมัง? 


 


 


รอบด้านมืดครึ้มแปลกประหลาดไร้ซึ่งแสงสว่างขนาดนี้ คงจะไม่เหมือนที่นวนิยายน้ำเน่าพวกนั้นที่กล่าวเอาไว้ว่าทะลุมิติไปไม่สำเร็จ ด้วยไม่ระมัดระวังจึงทะลุไปยังถ้ำมืดมิดระหว่างมิติหรือว่ารอยแยกมิติล่ะมั้ง? 


 


 


เมื่อความคิดนี้ปรากฏกาย เส้นผมบนศีรษะของจิ่งเหิงปัวก็ลุกชันขึ้นมาเสียแล้ว 


 


 


นางกระโดดขึ้นมาลูบคลำทั้งสี่ด้าน แต่กลับไม่พบประตูหรือหน้าต่างใด 


 


 


นางเคาะผนัง ผนังก็เปล่งเสียงทึบแน่นออกมา รู้สึกคล้ายว่าทั้งสี่ด้านเป็นผนังทึบตัน 


 


 


พื้นที่โดยรอบคับแคบเป็นอย่างมาก ก้าวเพียงแค่สามก้าวก็ก้าวได้สุดทางแล้ว ที่ประหลาดก็คือทั้งๆ ที่แคบขนาดนี้แต่กลับไม่รู้สึกว่าอึดอัดอบอ้าวแต่อย่างใด 


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตาปริบๆ ในใจคล้ายถูกทับไว้ด้วยหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง นางจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนเยี่ยมชมเวทีการอภิปราย เคยได้ยินว่าความมืดมิดระดับสูงสุดมีแรงกดดันต่อจิตใจมนุษย์ อีกทั้งกล่าวถึงการขังห้องมืดว่าเป็นการลงโทษที่เหนือกว่าการลงโทษที่โหดร้ายทารุณที่สุดทุกรูปแบบ แต่นางไม่ได้เชื่อแบบนั้น วันนี้นับว่าได้รู้ซึ้งเข้าแล้ว 


 


 


ความมืดมิดระดับสูงสุด และความเงียบสงัดทำให้คนสูญเสียการมองเห็น ตนเองยอมรับว่าสูญเสียความสามารถ ความหวาดกลัวที่ผลักดันให้จิตใจคิดมั่วซั่วและเกิดความคิดฟุ้งซ่านประกอบกันเช่นนี้ถึงเป็นอาวุธคมกริบยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ก่อให้เกิดบาดแผลต่อมนุษย์ ยิ่งเวลายาวนานก็ยิ่งอันตราย 


 


 


จิ่งเหิงปัวอยากหายตัว แต่ความสูงของที่นี่ไม่เพียงพอ เมื่อไร้หนทางที่จะยืนตัวตรงอย่างสมบูรณ์จึงไม่มีวิธีออกไป ในใจของนางรู้ว่าแย่แน่แล้วจึงรีบหลับตาลงแล้วนอนหลับ คิดว่าในเมื่อนอนหลับทะลุมิติออกมา บางทีอาจจะนอนหลับทะลุมิติกลับไปได้ จะกลับไปปัจจุบันหรือกลับไปแคว้นต้าเยียนหรือที่ไหนก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ในความมืดมิดที่ยื่นมือออกไปแล้วมองไม่เห็นห้านิ้วแบบนี้ 


 


 


ไม่รู้ว่านอนหลับหรือไม่ อีกทั้งไม่รู้ว่านอนหลับไปนานเท่าใด คล้ายดังเนิ่นนาน คล้ายดังเพียงชั่วพริบตา พอนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ยังคงมองไม่เห็นตนเอง สิ่งที่ยังคงเผชิญหน้าคือความมืดมิดที่ทับถมแน่นหนัก พาให้คนหายใจขาดห้วง เหงื่อเย็นเยียบของนางค่อยๆ ไหลซึมออกมาในทันที 


 


 


บนเหนือศีรษะพลันมีเสียงเลือนรางรำไร 


 


 


จิ่งเหิงปัวหยุดทุกท่วงท่า เงยหน้าขึ้นมองข้างบน ในขณะที่ตึงเครียดนั้นในใจก็ผ่อนคลายไปเล็กน้อย มีเสียงก็ดี อย่างน้อยก็ย่อมดีกว่าความเงียบสงัดสุดขีด โลกที่เงียบสงัดอย่างสมบูรณ์แบบนั้นถึงจะทำให้คนเสียสติ 


 


 


เสียงนั้นคล้ายแว่วมาจากที่ห่างไกล 


 


 


เริ่มแรกเป็นเสียงลม เสียงคลื่นน้ำกระเซ็นขึ้นมา เสียงใบไม้ถูกขยับเขยื้อน ทั้งยังมีเสียงเลือนรางแผ่วเบาหลากหลายชนิด เช่น เสียงยุงดังหวึ่งๆ เสียงนกป่าจิ๊บๆ ในความเงียบสงัดยังเปี่ยมล้นด้วยความคึกคักแผ่วเบา คล้ายกับมีผู้เดินเท้าท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรและแม่น้ำไหลหลาก เขากำลังใช้สายตาน่าหวาดผวาพินิจธรรมชาติประหลาดตา จิ่งเหิงปัวพลันไม่แน่ใจเล็กน้อย นึกถึงวันเวลาที่เดินทางในป่าเขากับกงอิ้น 


 


 


จากนั้นทั้งสี่ด้านก็พลันเงียบสงัด จิ่งเหิงปัวกำลังฟังอย่างตั้งใจ ตกใจจนกลั้นหายใจอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ ในความเงียบสงัดนกไม่ร้อง แมลงไม่ส่งเสียง ใบไม้ไม่ขยับ มีเพียงเสียงลมคำรามต่อเนื่องยิ่งใกล้เข้ามาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  


 


 


จิ่งเหิงปัวเริ่มตึงเครียด นางนึกถึงสัตว์ดุร้ายเช่นเสือดาวตัวนั้นในทันที 


 


 


จากนั้นเสียงลมก็ดังขึ้น จากนั้นทั้งป่าคล้ายถูกปลุกให้ฟื้นคืนโดยพลัน จากความเงียบสงัดซ่อนอำพรางไปถึงความเยือกแข็งสุดขีดจนระเบิดออกมากะทันหัน ใบไม้สั่นไหวรุนแรง ฝูงนกบินสูงขึ้น หนอนแมลงเข้าถ้ำ สัตว์เล็กหลบลี้ ไม่รู้ว่าสัตว์ปราดเปรียวตัวไหนวิ่งบนยอดไม้เป็นกลุ่มเป็นก้อนแล้วตะบึงห้อผ่านไป 


 


 


เสียงทั้งหมดราวกับกำลังพร่ำกล่าวคำสี่คำว่า อันตรายใกล้เข้ามา รีบหนีไป! 


 


 


การแว่วมาของคลื่นเสียงในความมืดมิดสมจริงอย่างมากจนพาให้คนเข้าใกล้สภาพแวดล้อมนั้น จิ่งเหิงปัวเริ่มควานทั้งสี่ด้านหาโพรงเล็กๆ มาเจาะทะลวง 


 


 


นางหาโพรงไม่เจอเพราะทั้งสี่ด้านคล้ายทำจากเหล็ก จากนั้นเสียงคำรามทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังจิ่งเหิงปัว 


 


 


ท่วงท่าของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อเพียงครั้ง ขนด้านหลังคล้ายกับลุกชันขึ้นมาทีละเส้น 


 


 


สัตว์ร้าย! 


 


 


ในขณะที่หวาดกลัวถึงขีดสุดนั้น นางยังรู้สึกได้อย่างรำไร คล้ายกับว่าคุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนี้อยู่บ้าง น่าเสียดายแต่ว่าเมื่อคนหวาดกลัวถึงขีดสุดแล้ว การสังเกตจะหยุดลงเพียงอวัยวะรับความรู้สึกของตนเอง ไม่มีความสามารถในการครุ่นคิดใดๆ 


 


 


เสียงคำรามใกล้เข้ามาเหลือเกิน เหล่าสัตว์ในป่าไม้ยิ่งหวาดกลัวบ้าคลั่ง จิ่งเหิงปัวหมอบราบอยู่บนพื้นรู้สึกคล้ายว่าลมหายใจเหม็นคาวของในปากกว้างดุจอ่างเลือดของสัตว์ร้ายนั้นพุ่งอยู่เหนือศีรษะของตนเอง น้ำลายใสวาวยาวครึ่งฟุตย้อยสั่นไหวลงมา เมื่ออ้าปากคำราม หอบลมรุนแรงพัดผ่านขึ้นมาในป่า 


 


 


เสียงลมดุร้ายสายหนึ่งพัดผ่านเหนือศีรษะอย่างฉับพลัน คล้ายสัตว์ร้ายที่กำลังย่างกายผ่านพุ่มไม้ จากนั้นเสียง ตึง! เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น คล้ายร่างคนผู้หนึ่งถูกสัตว์ร้ายกระโจนใส่จนล้มลง ขนทั่วทั้งร่างของจิ่งเหิงปัวลุกชันขึ้นมา รู้สึกว่าคล้ายตนเองถูกพุ่งล้มลงกระนั้น 


 


 


ในป่าเงียบสงบลง ใบไม้ห้อยย้อยลงมา เหล่าสัตว์หายใจถี่ระรัว คล้ายหลบอยู่หลังต้นไม้แอบมองอย่างเงียบเชียบ 


 


 


มีเสียงเคี้ยวทึบแน่นดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกร๊อบบางเบา เสียงแกร๊บ เสียงแควกอย่างต่อเนื่อง สัตว์ร้ายคล้ายกำลังเสพสุขกับอาหารจานใหญ่ของมัน ทั้งกำลังขบเคี้ยว กัดกลืน ตะปบ สะบั้นกระดูก ฉีกกล้ามเนื้อออกมาเคี้ยวกินอย่างละโมบทีละคำ… 


 


 


ครั้งนี้แม้แต่หนังศีรษะของจิ่งเหิงปัวเองก็ยังชาด้านไปเสียแล้ว 


 


 


ความมืดมิดทำให้ความรู้สึกของมนุษย์กว้างใหญ่ไพศาล ทำให้ไวต่อความรู้สึกอย่างไร้ขอบเขต อีกทั้งทำให้คนยากจะแยกแยะสภาพแวดล้อมและสภาพการณ์ที่ตนเองอยู่ ส่วนเสียงสมจริงขนาดนั้น คนที่เคยมีประสบการณ์คล้ายกันยิ่งยากจะรักษาสติสัมปชัญญะได้ จิ่งเหิงปัวค่อยๆ กลับกลายเป็นไม่แน่ใจ คล้ายดั่งว่าผู้ที่ถูกทับอยู่ใต้ร่างของสัตว์ร้ายกลิ่นสาบสางนั้น ผู้ที่ถูกปากกว้างดุจอ่างเลือด ถูกฟันคมโหดร้ายนั้นฉีกขย้ำเคี้ยวกลืนทีละคำ…ก็คือตนเอง 


 


 


กล้ามเนื้อฉีกขาด เลือดเนื้อลอยกระเซ็น ความหวาดกลัวและความเจ็บปวด ความสิ้นหวังและความงงงวย นางค่อยๆ หายใจแรงขึ้น ความคิดค่อยๆ ปะปนเลือนราง เพียงดิ้นรนไปเบื้องหน้าด้วยจิตใต้สำนึกที่อยากจะหลุดพ้นจากความรู้สึกน่ากลัวนี้… 


 


 


หนึ่งนิ้ว สองนิ้ว รู้สึกถึงเสียงอันน่ากลัวกร่อนกระดูกขับวิญญาณเสียงนั้นคล้ายค่อยๆ แผ่วเบาลง เหงื่อเย็นเยียบทั่วร่างของนางไหลริน ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่น้อยนิด นางหมอบหายใจอยู่บนพื้นครู่ใหญ่ พลางดิ้นรนคลานขึ้นมาวางแผนตบกำแพงขอความช่วยเหลืออีกครั้ง ในใจคิดว่าหากขณะนี้มีคนช่วยนางออกไปจากถ้ำมืดมิดน่ากลัวแห่งนี้ นางคงต้องมอบทั้งตัวและหัวใจให้เขา หากเขาไม่ชอบนาง นางก็จะยกไท่สื่อหลัน จวินเคอ หรือเหวินเจินให้ก็ได้… 


 


 


ขณะที่จิตใจกำลังคิดฟุ้งซ่าน เสียง กร๊อบ! เสียงหนึ่งดังก็ฉับพลันขึ้นข้างหลัง 


 


 


ใสไพเราะดังกังวานยวดยิ่ง ความกลัวแทรกซึมสู่ไขกระดูก 


 


 


กระดูกช่วงเอวคล้ายกับถูกฟันเหล็กแหลมคมขย้ำสะบั้นในคำเดียว 


 


 


เลือดเนื้อลอยกระเซ็น เรือนร่างสองท่อนร่วงลงกับพื้น… 


 


 


“กรี๊ด!” ในที่สุดนางก็รับการกระตุ้นอย่างรุนแรงขนาดนี้ไม่ไหวจึงอ้าปากกรีดร้องออกมา เสียงกู่ก้องน่าเวทนาคล้ายจะกรีดแทงถ้ำมืดมิดแห่งนี้จนแหลกสลาย ทิ่มแทงทั้งจักรวาลจนโลหิตสาดชุ่มโชก 


 


 


เสียงทึบดังพลั่กเสียงหนึ่ง พื้นดินสั่นสะเทือนหนึ่งระลอก จากนั้นเบื้องหน้าก็สว่างวูบคล้ายกับว่าความมืดมิดถูกฉีกออกเป็นรอยแยกสายหนึ่งโดยพลัน เงาร่างสูงสายหนึ่งใช้ความเร็วที่ไร้หนทางมองเห็นได้ชัดพุ่งเข้ามาโอบนางเข้าสู่อ้อมแขนอย่างแนบแน่นในคราเดียว 


 


 


“เป็นอะไรไป…” เสียงสั่นเทาน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดถึง…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเสียงนี้คล้ายกับกงอิ้นอยู่บ้าง แต่ว่าน้ำเสียงนั้นไม่คล้ายอย่างแน่นอน กงอิ้นจะร้อนใจจนร่างสั่นเทาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? เขาก็มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ด้วยหรือ? 


 


 


แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อได้ยินเสียงของเขาแล้ว นางก็อ่อนยวบลงมาโดยไม่รู้สาเหตุ เหงื่อท่วมทั่วร่างจนแนบเปียกชื้นอยู่บนแขนของเขา ตนเองยังคงไม่ลืมที่จะพยายามยกแขนขึ้นบีบคอเขาไว้ครั้งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ตนหายใจแผ่วเบา 


 


 


ทำไมเพิ่งมาตอนนี้! 


 


 


“เหิงปัว!” เขาคล้ายกับกำลังเรียกหานางอีกครั้ง อีกทั้งเสียงยังร้อนรนกระวนกระวาย จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองหูฝาดไป กงอิ้นจะมาเรียกชื่อของนางอย่างนั้นหรือ? ปกติเขาเรียกนางว่าฝ่าบาท หรือไม่ก็ ‘นี่!’ ใส่นางอย่างเย็นชา! 


 


 


นิ้วมือของนางออกแรงหวังจะบีบคอเขาไว้แล้วเขย่าไปมาแรงๆ หลายรอบ แล้วถามสักหน่อยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถามเขาว่าเหตุใดถึงมาช่วยช้า ถามเขาว่าอยากตายหรืออย่างไร น่าเสียดายที่ว่านางยังไม่ทันได้เขย่าร่างของเขา ตนเองก็โอนไปเอนมา ดวงตากลอกจนเห็นตาขาว 


 


 


นางหมดสติไปแล้ว 


 


 


… 


 


 


กงอิ้นนั่งลงท่ามกลางความมืดมิด แขนโอบจิ่งเหิงปัวไว้ รู้สึกงงเป็นไก่ตาแตกครั้งแรกในชีวิต 


 


 


เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? 


 


 


เบื้องหลังกายมีผู้ประชิดเข้ามา พร้อมลากผ้าสีดำออกเสียงดังพึ่บพั่บคราหนึ่ง ท้องนภาพลันสว่างไสว 


 


 


หากยามนี้จิ่งเหิงปัวฟื้นคืนสติขึ้นมา นางคงจะต้องโกรธจนแทบสิ้นชีพแน่ 


 


 


สิ่งที่เรียกว่าถ้ำมืดมิดนั้นเป็นเพียงรถม้าเหล็กคันก่อน เพียงถอดล้อออก ปิดประตูรถให้สนิท คลุมด้วยผ้าสีดำทั้งสี่ด้านเพื่อกลบแสงสว่างทุกสายจนสิ้น เช่นนั้นก็ย่อมกลายเป็น ‘ถ้ำมืดมิด’ ที่ไร้ซึ่งช่องว่างแห่งหนึ่งแล้ว 


 


 


ด้วยเพราะรถม้าปิดสนิทจึงเงียบสงบยิ่งนักเป็นธรรมดา ทุกผู้คนล้วนถูกไล่ให้ออกห่างจากรถม้าและไม่ให้เปล่งเสียงใดๆ ออกมา มีเพียงองครักษ์ที่เชี่ยวชาญการเลียนเสียงผู้หนึ่งที่นั่งยองๆ อยู่บริเวณรถม้า 


 


 


ยามนี้องครักษ์ที่เชี่ยวชาญการเลียนเสียงผู้นั้นกำลังยักย้ายส่ายเอว เดินออกห่างจากกงอิ้นอย่างลับๆ ล่อๆ พอมองจากลมหายใจที่เปล่งออกมาจากร่างของกงอิ้นและสภาพของจิ่งเหิงปัวแล้ว เขาก็รู้ได้ว่าตนเองได้ก่อเรื่องแน่แล้ว แม้ว่าเภทภัยครานี้จะเป็นความคิดของกงอิ้น จะมาโทษเขาไม่ได้ ทว่าเขาก็กังวลอย่างยวดยิ่งว่าท่านราชครูผู้แลดูผิดปกติยิ่งนักในยามนี้จะโกรธาแล้วฆ่าคน 


 


 


หัวหน้าองครักษ์ผู้ผอมนามเหมิงหู่เรียกลูกน้องมาเก็บกวาดรถม้าเสียใหม่อย่างแผ่วเบาเงียบเชียบ ก่อนจะถีบองครักษ์ผู้เลียนเสียงนั้นครั้งหนึ่งแล้วให้เขารีบไสหัวไปไกลหน่อย อีกทั้งยังสั่งลูกน้องให้ไปตามหมอมาโดยเร็ว และตามหาโรงเตี๊ยมบริเวณใกล้เคียง เขาจัดการเรื่องราวอย่างเหมาะสมตามหน้าที่เพื่อหลีกเลี่ยงภายหลังที่ราชครูคืนสติแล้วจะโกรธา จนทำให้ทุกคนซวยกันจนสิ้น 


 


 


เหมิงหู่ผู้ทั้งจัดการเรื่องราวอย่างเหนื่อยล้าและมีสีหน้าอมทุกข์ลอบจ้องมองกงอิ้นปราดหนึ่งแล้วจ้องมองอีกปราดหนึ่ง 


 


 


ผู้อื่นอาจจะไม่รู้ว่าท่านราชครูเป็นอะไรไป แต่ว่าเขาก็พอจะเดาได้ 


 


 


นับตั้งแต่ราชินี ‘หลบหนี’ ท่านราชครูก็ดูจะผิดปกติไป 


 


 


ผู้ที่แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบเปลี่ยนการแต่งกาย ถึงกับเปลี่ยนการแต่งกาย 


 


 


ยามที่ติดตามข้างกายนาง มองนางยิ้มแย้มให้ผู้อื่นงามดุจบุษบา เขาก็มองผ่านด้วยสายตาเย็นชา 


 


 


ยามที่หลบอยู่ในตรอก มองนางปล้นจี้คนเดินถนน เขาก็เม้มริมฝีปากอย่างเงียบเชียบ 


 


 


ยามที่นางกระโดดขึ้นอวดรูปโฉมงดงามบนโต๊ะพนัน สีหน้าของเขาก็เริ่มจะเขียวคล้ำ 


 


 


ยามที่นางยื่นมือช่วยเหลือจงฉิงบนบันได สีหน้าเขาก็เริ่มอึมครึม 


 


 


ยามที่จงฉิงเริ่มแสดงความรักอย่างที่ใจหวังกระทำในห้องลับ ในที่สุดเขาจึงโมโหโกรธา… 


 


 


นับตั้งแต่ความไม่ชอบใจในยามที่ได้ยินนางเอ่ยวาจา ทำท่าทำทางพรรณนาทิวทัศน์ ‘ความตาย’ ของเขายามแรกเริ่ม ในที่สุดสะสมจนถึงระดับใกล้จะระเบิดออกในคราเดียว กระตุ้นให้เขาใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ‘ลงโทษ’ สตรีที่เจ้าชู้อย่างยิ่งยวด เพ้อฝันอย่างยวดยิ่ง ทั้งไม่ได้แยแสและไม่ได้เชื่อฟังนางนั้นเบาๆ สักครา 


 


 


แท้จริงหากคิดดูแล้วนี่ก็ช่างเรียบง่ายนัก 


 


 


ไม่ใช่ว่าเจ้าสาปแช่งให้ข้าถูกเสือดาวขย้ำกระดูกช่วงเอวจนสะบั้นและกัดกินทีละคำหรอกหรือ? 


 


 


เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้ฟังเสียงยามที่ถูกเสือดาวขย้ำกระดูกช่วงเอวจนสะบั้นและกัดกินทีละคำ 


 


 


ฟังแล้วฉ่ำอุราหรือไม่ ชอบใจหรือไม่เล่า? 


 


 


… 


 


 


เหมิงหู่ถอนหายใจออกมา 


 


 


ฟังย่อมฟังแล้ว ลงโทษย่อมลงโทษแล้ว ทว่าผู้ถูกลงโทษคล้ายจะเป็นตัวท่านราชครูเอง 


 


 


ก่อนหน้าการเลียนแบบเสียงเสือดาวกลืนกินร่างมนุษย์ ท่านราชครูคล้ายจะพบสิ่งผิดปกติ จึงเฉียดเข้ามาเพื่อขัดจังหวะอย่างรวดเร็ว แต่เพราะว่าวิ่งรวดเร็วเกินไปทำให้เหยียบถูกหลุมบนพื้น นำพาให้มหาเทพผู้หนึ่งถึงกับข้อเท้าเคล็ด 


 


 


ฉะนั้น ฟางเส้นสุดท้ายซึ่งทำให้หลังอูฐหัก[1]หรือเสียงน่ากลัวที่เลียนแบบเสียงขย้ำกระดูกช่วงเอวสะบั้นเสียงนั้น กลับไม่ใช่ผลงานอันเยี่ยมยอดของผู้เลียนเสียง 


 


 


ทว่าเป็นเพียงเสียงกระดูกข้อเท้าของกงอิ้นเคล็ดอย่างรุนแรงเช่นนั้น… 


 


 


เหมิงหู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครา 


 


 


ท่านราชครูผู้เฉลียวฉลาดเลื่องลือ นับแต่ได้พานพบกับองค์ราชินีผู้ไม่เข้าท่าเข้าทาง ก็คล้ายกับว่า บางทีอาจจะเป็นไปได้ว่าสติปัญญานี้ย่อมค่อยๆ ถดถอยลง 


 


 


เมื่อนึกถึงอสนีจากท้องนภาและเพลิงอัคคีจากพสุธาขององค์ราชินีหลังฟื้นขึ้นมารู้ความจริงแล้ว เหมิงหู่ก็รู้สึกว่าปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา ทว่ากลับไม่กล้าช่วยนายท่านออกความคิดใดอีกแล้ว รีบเร่งหลบออกไปให้ห่างไกล 


 


 


เฮ้อ นายท่าน… 


 


 


ท่านก็ช่วยเหลือตนเองเถิดหนา! 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ฟางเส้นสุดท้ายซึ่งทำให้หลังอูฐหัก จากสุภาษิตอาหรับว่า “the last straw that breaks the camel’s back” มีความหมายว่าทนรับต่อไปไม่ไหว 


 

 

 


ตอนที่ 42.1

 

 ผจญภัยชมตลาด

 


 


 


 


ชั่วครู่นั้นที่จิ่งเหิงปัวฟื้นขึ้นมา ถ้ำมืดมิดแสนน่ากลัวก่อนที่นางจะสลบไสลก็ปะทะเข้าสู่สมองทันที นางตกใจจนยังไม่ทันได้ลืมตาก็กรีดร้องออกมาเสียงหนึ่ง 


 


 


เสียงร้องน่าเวทนาคล้ายกับว่าถูกสังหาร 


 


 


จากนั้นนางถึงได้รู้สึกว่าตนเองได้ถูกโอบเข้าไปในอ้อมแขนหนึ่งในทันที คนผู้นั้นใช้มือท่าทางติดจะงุ่มง่ามเล็กน้อยตบหลังปลอบประโลมนางทีละครั้ง ทีละครั้งราวกับตบหลังหมาน้อย 


 


 


จิ่งเหิงปัวถูกตบหลังจนตาสองข้างกลอกกลิ้งเป็นสีขาว แต่จิตใจที่หวาดกลัวกลับค่อยๆ สงบลงอย่างน่าประหลาด กลิ่นอายบริเวณปลายจมูกคล้ายกับว่าคุ้นเคยอยู่บ้าง ด้วยทั้งสดชื่น ทั้งเหน็บหนาวและบริสุทธิ์อบอุ่น เป็นกลิ่นอายที่ทำให้จิตใจคนสงบลง 


 


 


ดวงตาที่ลืมขึ้นมาหลังนอนหลับไปนานพร่ามัวอยู่บ้าง นางมองเห็นแสงไฟเป็นสิ่งแรก แสงไฟที่สว่างไสวอย่างยิ่ง ทำให้รู้สึกสบายใจในทันที 


 


 


รอจนกระทั่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนนางก็เบิกตากว้างอีกครั้ง…ไอ้เวรเอ๊ย! ต้องขนาดนี้เลยเหรอ? แสงสว่างไสวเต็มห้องนั้นก็มาจากการจุดเทียนไขขนาดใหญ่เท่าแขนเด็กทั้งหมดสิบแปดเล่ม! 


 


 


สิ้นเปลือง! 


 


 


ผู้ที่ตบหลังให้นางอยู่รู้สึกถึงการฟื้นคืนสติของนางแล้ว หลังจากนั้นสายตาของเขาก็กระปรี้กระเปร่ายิ่งยวดอย่างกะทันหัน ทว่าคล้ายรู้สึกตัวอะไรขึ้นมา จึงผลักนางออกอย่างรวดเร็วในทันที 


 


 


จิ่งเหิงปัวถูกผลักจนชนเข้ากับผนังหัวเตียง โชคดีที่ว่าบริเวณผนังหัวเตียงนั้นล้วนเป็นผ้าห่มกับที่นอนหนานุ่ม ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด 


 


 


นี่ใครกัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเหมือนไอ้ติ๊งต๊องเลย? 


 


 


ขณะที่จิ่งเหิงปัวกำลังครุ่นคิดว่าควรจะขอบคุณหรือว่าควรด่าเจ้าคนนี้ดี คนที่บริเวณขอบเตียงนั้นก็ยืนขึ้นมาแล้ว เขาหันหลังจากไปโดยที่ไม่แลมองนางสักแวบเดียว จิ่งเหิงปัวหรี่ตาลงจำแนกเงาด้านหลังของเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะอ้าปากกว้างด้วยความตื่นตะลึงแล้วรีบเร่งขยี้ตาอีกครั้ง 


 


 


นางก็ไม่ได้ตาฝาดไป 


 


 


นั่นมันกงอิ้นนี่! 


 


 


จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นนั่ง ท่อนล่างคลุมผ้าห่ม ครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายแล้วจึงได้ข้อสรุปที่ปรากฏเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ออกมา 


 


 


เมื่อครู่เจ้าคนนี้คงอยากฟาดนางให้สลบไปแน่ แต่หลังจากถูกนางมองจนเกิดมโนธรรมในใจแล้วถึงไม่ได้ลงมืออย่างเ**้ยมโหดอีกต่อไป! 


 


 


จากนั้นนางก็คิดอย่างสิ้นหวังว่า ไม่ว่านางหลบลี้อย่างไร สุดท้ายตนเองก็ยังต้องตกอยู่ในกรงเล็บมารของกงอิ้นอยู่ดีน่ะหรือ? 


 


 


ตอนนี้นางก็ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรจะไปดิ้นรน นางใจเต้นเร็ว หายใจถี่รัว เวียนหัว ตาพร่า ทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง 


 


 


ครั้งนี้ก็ป่วยจริงๆ เสียแล้ว เหตุผลหนึ่งด้วยเพราะตกใจกลัว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งด้วยเพราะก่อนหน้านี้เดินทางในป่าไม้ ถูกไอชื้นอากาศหนาวจู่โจมเข้า 


 


 


จิ่งเหิงปัวซุกตนเองในผ้าห่ม ไม่อยากเคลื่อนไหวและไม่อยากครุ่นคิดเนื่องจากเกียจคร้าน พี่เป็นอย่างนี้แล้ว เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ 


 


 


เสียงเปิดประตูดังขึ้นเพียงครั้ง ผู้ที่เข้ามานั้นคือกงอิ้น ในมือของเขายกถ้วยยาร้อนผ่าว 


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดอย่างตื่นตระหนกว่า นี่คงไม่ใช่ยาพิษหรอกกระมัง? 


 


 


แล้วมองท่าทางการเดินของกงอิ้นอีกครั้ง เอ๊ะ เหตุใดเขาถึงเดินขาเป๋เล่า? 


 


 


กงอิ้นไม่ได้มีสีหน้าอะไร เพียงแต่สบสายตาที่เปี่ยมด้วยความสืบเสาะของนาง นั่งลงที่ขอบเตียงของนางอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด พร้อมผลักถ้วยยามาเบื้องหน้านาง 


 


 


“ดื่มยา” เขาเอ่ย 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาวด้วยความเบื่อหน่าย มีใครดูแลคนป่วยแบบนี้ด้วยหรือ? เหตุใดมหาราชครูสูงศักดิ์ล้ำค่าอย่างเขาถึงต้องมาดูแลนางด้วยเล่า ให้ชุ่ยเจี่ยหรือจิ้งอวิ๋นมาก็ไม่ดีกว่าหรืออย่างไร นางสบายใจ เขาก็สบายใจด้วย 


 


 


“มือข้าเจ็บ ยกไม่ไหว” 


 


 


คิ้วเรียวยาวของกงอิ้นขมวดหากันน้อยๆ สายตาชำเลืองมองนางปราดเดียว ลักษณะท่าทางไม่อยากคล้อยตามสักเพียงน้อย กลับเอ่ยว่า “เจ้าอยากให้ข้าป้อนยาให้เจ้าหรือ?” 


 


 


“อ๊ะ อย่านะ!” จิ่งเหิงปัวตกอกใจตกใจ ไม่กล้าเล่นเนื้อเล่นตัวอีกเพื่อเลี่ยงหลีกไม่ให้ฝันร้ายกลายเป็นจริง นางลุกขึ้นนั่งให้ดีก่อนจะยกถ้วยยามาทันที ดื่มจนหมดในอึกเดียวด้วยเสียงดังอึกๆๆ เพียงแวบเดียวก็เห็นถึงก้นถ้วย ท่าทางสดชื่นราวดื่มสุราแล้วกล่าวว่า “เรียบร้อย” 


 


 


เมื่อวางถ้วยยาลง เดิมนึกก็นึกว่ามหาเทพน่าจะแสดงออกว่าพึงพอใจ ผลสุดท้ายดูท่าทางเจ้าคนนี้คล้ายกับจะยิ่งไม่พอใจ ใบหน้าดำคล้ำมากขึ้น 


 


 


“ให้ข้าป้อนยาก็น่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ?” เขาเอ่ยถาม 


 


 


จิ่งเหิงปัวงงงันไปสามวินาที 


 


 


จู่ๆ ก็มีความอยากปะทะคารม รู้สึกว่าเหตุใดพอฟื้นขึ้นมาโลกก็เปลี่ยนไปแล้ว ตนเองไม่สบาย กงอิ้นก็ไม่ปกติ 


 


 


ตกลงจะเอาอย่างไงกันแน่ หา! 


 


 


นางถลึงตาใส่ถ้วยยารอให้เขาไสหัวไป ส่วนกงอิ้นถลึงตาใส่นาง ทั้งสองคนไม่ยอมอ่อนข้ออย่างประหลาดไปชั่วครู่ สุดท้ายยังคงเป็นกงอิ้นที่เอ่ยปากขึ้นก่อน 


 


 


“เจ้าไม่รู้สึกว่าขมหรือ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักไป ตอนนี้จึงสังเกตได้ว่าในมือของเจ้าคนนี้ยังถือถ้วยเล็กใบหนึ่งเอาไว้ ในถ้วยนั้นคือลูกอมไส้บ๊วยเคลือบน้ำตาล 


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตาปริบๆ ความรู้สึกประหลาดในใจยิ่งรุนแรงมากขึ้น 


 


 


สมองของกงอิ้นถูกประตูหนีบหรืออย่างไร หรือว่าเขาถูกฟ้าผ่า? ทะลุมิติหรือ มีวิญญาณอีกดวงหนึ่งเกิดใหม่ในร่างของเขาหรือ? 


 


 


แบบสุดท้ายดูจะเป็นไปได้มากที่สุด 


 


 


“พวกนางเอ่ยว่าหลังจากดื่มยาแล้วคงจะอยากกินของหวานสักหน่อย” กงอิ้นสบสายตาอัปลักษณ์ของนาง อธิบายอย่างยากลำบากอยู่บ้าง 


 


 


เขานึกถึงสายตาตื่นตะลึงของจิ้งอวิ๋น ครั้งที่ไปขอคำแนะนำจากนาง สีหน้าก็พลันแข็งทื่อขึ้นมาบ้าง 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าคนนี้เกิดใหม่แล้วแน่นอน! 


 


 


“ได้ๆ กินลูกอมๆ” นางยิ้มแย้มเบิกบาน หยิบลูกอมไส้บ๊วยเม็ดหนึ่งขึ้นมากินพร้อมฉวยมือยัดอีกเม็ดหนึ่งไปในปากเขา พลางกล่าวว่า “มา กินด้วยกันเถิด” 


 


 


กงอิ้นแข็งทื่อไปทั่วร่าง 


 


 


กลิ่นหอมของยาเจือจางที่ปลายนิ้วสตรี ซ้ำยังมีกลิ่นหอมจากผิวกาย เล็บลื่นเกลี้ยงเกลาดุจศิลาหยกเล็กกระจ้อยเม็ดหนึ่ง ยามจากไปเล็บของนางคล้ายสะกิดเกาถึงริมฝีปากของเขา เขาพลันรู้สึกว่าบนริมฝีปากร้อนวูบวาบแผ่วเบา 


 


 


ลูกอมไส้บ๊วยเม้มอยู่ระหว่างริมฝีปากอย่างเงียบเชียบ สัมผัสรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ เช่นนี้เป็นครั้งแรกดุจดั่งจิตใจในยามนี้ 


 


 


สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปน้อยๆ โดยพลัน รู้สึกตัวว่าหมู่นี้ตนเองคล้ายจะออกนนอกกฎเกณฑ์มากเกินไปแล้ว 


 


 


ยามนี้กินลูกอมด้วยกันกับนางก็ยิ่งรู้สึกเหลวไหลมากขึ้น 


 


 


หากยามนี้พวกเขาอยู่ในต้าฮวงที่มีศัตรูแข็งแกร่งทั่วหัวระแหง หากนางได้เป็นราชินีแล้ว หากนางได้คบค้าสมาคมกับผู้คนกลุ่มหนึ่งนั้น หากเขาต้องปฏิบัติหน้าที่แห่งราชครู… 


 


 


เกรงว่าลูกอมเม็ดหนึ่งนี้คงไม่อาจยื่นออกมา และยิ่งไม่อาจเข้าสู่ปากของเขา 


 


 


อาจจะเป็นเพราะออกมานานเกินไป ลาจากต้าฮวงที่ภายนอกสงบสุข ภายในลวงโลกนานเกินไป กระทั่งเขายังสูญเสียจิตใจที่ระแวดระวังและกระทำความผิดพลาดมากเกินไป 


 


 


เขาค่อยๆ คายลูกอมออกมา พลางสบสายตาไม่เข้าใจของจิ่งเหิงปัว 


 


 


“ข้าไม่กินของเหล่านี้” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “เจ้าพักผ่อนให้มาก” 


 


 


จิ่งเหิงปัวค้นพบอย่างผิดหวังว่ามหาเทพกงไม่ได้เกิดใหม่ เจ้าคนน่าเบื่อนั่นกลับมาอีกแล้ว 


 


 


บรรยากาศของทั้งสองคนน่าอึดอัดขึ้นมาทันทีจนนางอยากหาเรื่องราวมากล่าวสักหน่อย เช่นนั้นก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ตบขอบเตียงแล้วถามเขาทันทีว่า “เออ จริงสิ ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นหรือ ผู้ใดขังข้าไว้ในห้องมืดหวังทำร้ายข้ากัน เจ้าจับไอ้งั่งนั่นได้หรือไม่ ลากเขามา ข้าจะเฉือนแล้วค่อยฆ่า ฆ่าแล้วค่อยเฉือน ทั้งเฉือนทั้งฆ่าเขาสักหนึ่งหมื่นครั้ง!” 


 


 


สีหน้าของกงอิ้นแข็งทื่อ 


 


 


จิ่งเหิงปัวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดน้ำไหลไฟดับระบายความโกรธแค้นในใจ เมื่อกล่าวจบแล้วก็เงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างงงงันว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดสีหน้าถึงย่ำแย่เช่นนั้นเล่า จับเขาไม่ได้หรือ” 


 


 


มหาเทพอาจจะจับคนร้ายไม่ได้ จึงรู้สึกว่าเสียหน้ากระมัง? 


 


 


กงอิ้นกระแอมไอเสียงหนึ่ง ก่อนจะกระแอมไออีกเสียงหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาอย่างสนใจไม่เบา เพราะรู้สึกว่าสีหน้าบนใบหน้าของมหาเทพกงในตอนนี้ทั้งหลากหลาย ทั้งมีสีสันเป็นอย่างมาก น่ามองกว่าสีหน้าที่สูงส่งเย็นชาในเวลาปกติมากนัก 


 


 


กงอิ้นไอออกมาแล้วก็คล้ายกลัวว่านางจะซักถาม จึงยื่นมือช่วยนางสอดชายผ้าห่มเข้าใต้ผ้าห่มทันที ท่วงท่าที่สอดชายผ้าห่มดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก จากมุมสายตาของจิ่งเหิงปัวก็มองเห็นมุมปากเรียวบางแดงฉ่ำเม้มอย่างแผ่วเบาดุจดอกท้ออ่อนนุ่มกลีบหนึ่งในวสันตฤดูของเขาได้พอดิบพอดี ขนคิ้วสีดำขลับวาดโค้งเรียวยาวไปถึงปลายจอนผม ความรวดเร็วเฉียบขาดหลายส่วนกลับถูกสอดประสานด้วยความอ่อนโยนดั่งธาราในสายตายามนี้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างตกตะลึงด้วยไม่รู้ว่าเอ็นเส้นไหนของเขาที่วางผิดที่ผิดทาง 


 


 


จากนั้นจึงมองจ้องดวงหน้าเงียบสงัดของเขาเช่นนี้ นางกลั้นหายใจไว้ทันที รู้สึกเพียงว่าตะลึงพรึงเพริ้ดอย่างน่าประหลาด ไม่กล้าและเสียดายหากกล่าววาจา คล้ายเสียงวาจานั้นจะรบกวนชั่วขณะนี้ บรรยากาศประหลาดไหลเวียนระหว่างคนทั้งสอง 


 


 


พอนางกลั้นหายใจ เขาก็กลับคลับคล้ายตกใจตื่นโดยพลัน มือชะงักค้างหยุดการกระทำ 


 


 


จากนั้นมือของเขาก็หดกลับไปจากข้างชายผ้าห่มนางอย่างรวดเร็ว เมื่อเอ่ยปากอีกครั้ง ความอ่อนโยนเมื่อครู่ก็สลายหายดุจคล้ายความรู้สึกลวง เสียงยังคงสงบเย็นชาเช่นนั้น 


 


 


“คนป่วยไข้ต้องมีท่าทีเช่นคนป่วยไข้ เหตุใดจึงพะวักพะวนมากมายเช่นนั้นเล่า เจ้านอนไปเถิด” 


 


 


จิ่งเหิงปัวคว้าชายผ้าห่มไว้ มองเขาอย่างแปลกประหลาดแล้วกระซิบกระซาบกล่าวว่า “สีหน้าบนใบหน้าของเจ้าคล้ายมีสองอักษรเขียนไว้ว่าใจฝ่อ?” 


 


 


กงอิ้นลากชายผ้าห่มขึ้นไปอุดปากที่เอ่ยวาจาจุกจิกของนางไว้ หางตาชำเลืองมองถ้วยยาคล้ายพึมพำกับตนเองว่า “เจ้าไม่อยากนอนหรือ? เช่นนั้นก็ยกมาอีกสักถ้วย!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกัดชายผ้าห่มไว้ ทั้งไม่อยากดื่มยา ทั้งในใจไม่พอใจ กล่าวเสียงอือๆ อาๆ ว่า “วันนี้เจ้าดูแปลกไปทุกสิ่ง…” 


 


 


กงอิ้นคล้ายกับอยากยัดจะถ้วยนั้นเข้ามาในปากนางเหลือเกิน อีกทั้งคล้ายอยากจะรีบไปทันที ทั้งอยากไป แต่ก็ยังคล้ายจะลังเลอยู่บ้าง โชคดีที่ขณะนี้มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นช่วยแก้ไขสถานการณ์ยุ่งเหยิงของมหาเทพ 


 


 


จิ่งเหิงปัวเลิกเปลือกตาชำเลืองมองแวบเดียว สิ่งที่เข้ามาก่อนกลับเป็นขนสีแดงหย่อมหนึ่งบนหัว 


 


 


เจ้าหมาโง่มาเยี่ยมไข้แล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 42.2

 

 ผจญภัยชมตลาด

 


 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกโล่งอกขึ้นมา นางยอมมองเห็นปากนกของเจ้าหมาโง่ ดีกว่ามองเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของกงอิ้น 


 


 


เจ้าหมาโง่มองไปรอบด้าน เดินด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ไปไม่กี่ก้าวแล้วอ้าปาก 


 


 


“ชีวิตล่องมากทุกข์สุขน้อยสิ้น เชยนารินทร์ดูหมิ่นยิ้มพธู…” 


 


 


“หุบปาก ห้ามท่องกลอน!” จิ่งเหิงปัวรู้ว่าท่อนต่อไปคืออะไร เช่นนั้นก็ตะโกนบุ่มบ่ามหยุดยั้งเจ้าหมาโง่ทันที 


 


 


หรือว่าจะฟังมันพูดกับตนเองต่อหน้ากงอิ้นว่า ‘วางตัวทำตนเป็นหญิงเจ้าชู้ มิเคียงคู่พันบุรุษมินิทรา?’ 


 


 


เจ้าหมาโง่หุบปากนกของตน ทำทีเชื่อฟังอย่างหาได้ยาก เดินเตร่แช่มช้ามาข้างกายจิ่งเหิงปัว ยื่นหัวมองนางแล้วมองรอบด้านจนแน่ใจ คล้ายกับว่าเฟยเฟยจะไม่อยู่ มันจึงยื่นกรงเล็บคว้าคอเสื้อของจิ่งเหิงปัวเอาไว้ 


 


 


นี่คือท่วงท่าคุ้นเคยระหว่างมันกับจิ่งเหิงปัวที่ปลูกฝังมาตั้งแต่คราวที่อยู่หอนางโลม จิ่งเหิงปัวมักจะสอนมันพูดจาผ่านกรง เมื่อเจ้าหมาโง่มีอะไรจะร้องขอมันก็จะยื่นกรงเล็บมาคว้าคอเสื้อกว้างบริเวณอกของนางเอาไว้ 


 


 


เจ้าหมาโง่ใช้ความจุสมองขนาดเท่าขี้ตาของมัน ครุ่นคิดท่วงท่าที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยออกมาปลุกจิ่งเหิงปัวขนาดนี้ก็เพื่อเกริ่นนำถึงข้อตกลง ทว่ามันกลับมองข้ามสายตาเยือกยะเย็นเช่นน้ำแข็งของท่านราชครูที่อยู่อีกด้านหนึ่ง 


 


 


สายตาของเขาทอดลงบนคอเสื้อกว้างนั้นอย่างเรียบง่ายชั่วขณะ ก่อนจะไล่มองไปตามกรงเล็บผอมบาง ความคิดของมหาเทพก็เปลี่ยนจากคิดจะคว้ากรงเล็บนี้ลงมา กลายเป็นตัดสินใจว่าจะย่างกรงเล็บนี้เสียด้วยเลยเพราะความไม่รู้สึกตัวของเจ้าหมาโง่ 


 


 


“ต้าปัวๆ” เจ้าหมาโง่ผู้ที่ไม่รู้ว่าภัยร้ายกำลังจะคืบคลานเข้ามาหาตน คว้าคอเสื้อของจิ่งเหิงปัวไว้พลางตกลงกับนางอย่างเร่งด่วนว่า “ไล่แมวไป! ไล่แมวไป!” 


 


 


อ้อ ถูกเฟยเฟยกลั่นแกล้งจนกลัวไปหมด เช่นนั้นจึงพยายามหาทางรอด 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเจ้าหมาโง่ที่ร้อนใจอย่างยิ้มแย้มเบิกบาน นี่เรียกว่านกร้ายย่อมมีแมวเลวจัดการ 


 


 


มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าขนบริเวณเหนือหัวของเจ้าหมาโง่ขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย แล้วตระเตรียมจะเขวี้ยงทิ้ง 


 


 


เจ้าหมาโง่กระวนกระวายยกใหญ่ ยื่นกรงเล็บไขว่คว้าสุดชีวิต แต่มันจะคว้าถึงใบหน้าของกงอิ้นที่ไหนกัน มันคิดจะคว้าคอเสื้อกว้างสักแห่งไว้ด้วยความคุ้นเคย มือข้างนั้นดีดกรงเล็บเขียวขจีของมันออกไปอย่างรุนแรงเพียงครั้ง ราวตระเตรียมใจไว้เนิ่นนานแล้ว 


 


 


“น้องเจ้าสิไอ้เสแสร้ง! น้องสาวเจ้าสิไอ้หน้าอ่อน!” เจ้าหมาโง่ร้องโวยวายด้วยความโกรธ ยื่นกรงเล็บสองข้างมาทางจิ่งเหิงปัวอย่างน่าเวทนา พลางร้องว่า “ต้าปัวช่วยข้า…” 


 


 


“เรื่องนี้…” จิ่งเหิงปัวคิดจะแกล้งทำเป็นช่วยเหลือ 


 


 


“ไอ้หน้าอ่อน? ไอ้เสแสร้ง?” กงอิ้นหิ้วเจ้าหมาโง่เอาไว้ สายตาเย็นยะเยือกหันมองมาทางจิ่งเหิงปัว 


 


 


จิ่งเหิงปัวตกใจ เฮือก! เสียงหนึ่ง รู้สึกตัวขึ้นมาด้วยเข้าใจในภายหลังว่า…เจ้าหมาโง่มันคิดค้นคำศัพท์เองไม่ได้ คำคุณศัพท์ดีงามอย่างเช่น ‘ไอ้เสแสร้ง’ ‘ไอ้หน้าอ่อน’ เหล่านี้ย่อมมาจากการสั่งสอนของนาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮะเสียงหนึ่ง ก่อนจะหดตัวเข้าไปในผ้านวมด้วยความขลาดกลัว ไม่วางแผนท้าทายอำนาจของมหาเทพอีก 


 


 


มหาเทพเดินตามอารมณ์ มือก็หิ้วนกออกไป เจ้าหมาโง่ยื่นกรงเล็บตะกายเสาประตูไว้อย่างสิ้นหวัง ร้องเสียงดังอย่างน่าเวทนาว่า “น้องสาวเจ้าสิไอ้เสแสร้ง! เจ้ากล้าทำกับท่านหมาเยี่ยงนี้ ท่านหมาจะบอกต้าปัวว่าเจ้าเป็นคนขังนาง!” 


 


 


ฟิ้ว! เจ้าหมาโง่พลันสลายหายไปจากในมือของมหาเทพกงด้วยความเร็วดั่งเทพเซียน 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองรัศมีโค้งที่หมาโง่ลอยไปอย่างงงวย มองกงอิ้นแล้วชี้ไปยังหมาโง่กล่าวว่า “มันเอ่ยว่า…มันเหมือนจะเอ่ยว่า…” 


 


 


“ดูท่าทางเจ้าจะหายดีแล้ว วันรุ่งขึ้นเริ่มออกเดินทาง” กงอิ้นเฉไฉคำพูดของนางอย่างรวดเร็ว แล้วหันหลังเดินจากไปด้วยความเร็วสูงสุดดุจข้างหลังมีภูตพรายติดตาม 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเขาที่เดินหายลับไปอย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าหมาโง่ด้วยอาการปากอ้าตาค้าง สักพักจึงตะโกนว่า 


 


 


“แม่งเอ๊ย! เหตุใดเจ้าต้องวิ่งเร็วขนาดนี้ด้วย อย่างไงก็บอกข้าหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น…” 


 


 


… 


 


 


น่าเสียดายที่ว่านางถูกกำหนดให้ไม่รู้คำตอบเสียแล้ว ภายหลังจนกระทั่งออกเดินทาง นางก็ไม่ได้มองเห็นท่านราชครูผู้สูงศักดิ์อีก 


 


 


กงอิ้นยังคงไม่สนใจอาการป่วยของนางอย่างไร้เหตุผล เขาออกคำสั่งเดินทางทันที เหตุผลก็คือการเดินทางล่าช้ามาเนิ่นนานแล้ว ยามนี้ตระกูลสูงศักดิ์และกองทัพต้อนรับในแคว้นอาจจะรอคอยจนร้อนใจแล้ว 


 


 


วันนั้นนางจึงถูกลากเข้าไปในรถม้า แต่เมื่อจิ่งเหิงปัวมองเห็นรถม้าที่ตระเตรียมสำหรับกลับแคว้นโดยเฉพาะคันนั้น ก็อดจะร้อง “ว้าว” ออกมา พลางกวาดสายตาเกลื่อนพื้นไม่ได้ 


 


 


มองภายนอกรถม้านั้นก็ดูคล้ายพระราชวังขนาดเล็กที่สามารถเคลื่อนที่ได้ สลักอานประดับล้อสลักทองประดับหยก ม่านผลึกแก้วที่ห้อยย้อยลงมาเปล่งแสงห้ารัศมีแวววาวพราวแพรวดุจแสงรุ้งงดงามใต้แสงอาทิตย์ พรมขนฟูสีแดงเข้มภายในฟูนุ่มจนฝังคนได้ ที่นั่งและที่นอนยังแบ่งเป็นข้างนอกข้างใน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเครื่องใช้ทุกสิ่งที่งดงามหรูหรา ขอเพียงเป็นที่ซึ่งดวงตามองเห็นได้ หรือไปถึงได้ทุกที่ล้วนฝังด้วยอัญมณี 


 


 


ดวงตาของจิ่งเหิงปัวผุดเผยแสงสีเช่นเดียวกันแล้วพุ่งเข้าไปในทันที 


 


 


หัวหน้าองครักษ์เหมิงหู่เดินอยู่ข้างรถม้า ได้ยินเสียงแผ่วเบาปานหนูกัดฟันแว่วออกมาจากด้านในไม่หยุด ดูท่าองค์ราชินีคงจะกำลังลองกัดเพชรพลอยบนถ้วยน้อยอยู่กระมัง 


 


 


เหมิงหู่ฟังอย่างตั้งใจยิ่ง รอชั่วครู่จะไปรายงานต่อราชครู 


 


 


ยามนี้ความเลื่อมใสของเหมิงหู่ที่มีต่อสติปัญญาของราชครูเพิ่มสูงขึ้นอีกระดับหนึ่งอีกครา เดิมทีตามความนัยของเขา รถม้าไม่อาจหรูหราเปี่ยมสีสันเช่นนี้ ต้าฮวงผลิตทองคำและเพชรพลอย ทุกผู้คนเห็นวัตถุเปล่งประกายกันจนหน่ายแล้ว ยามนี้ในแคว้นนิยมสีไม้ดั้งเดิมหรือการลงน้ำมันถง พิถีพิถันความงามที่ธรรมชาติไร้สิ่งตกแต่ง ทว่าราชครูเอ่ยว่ารถม้าจะต้องหรูหรางดงาม ยิ่งแสบตายิ่งดี ไม่ต้องกลัวว่าจะใช้เพชรพลอยมากเหลือ เพราะยิ่งใช้มาก ราชินียิ่งว่านอนสอนง่าย เหมิงหู่ยอมรับจากใจจริง…เหตุใดราชครูจึงเข้าใจองค์ราชินีเช่นนี้เล่า? 


 


 


รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเสียงดังกึกกัก สองสามวันนี้จิ่งเหิงปัวไม่ได้เจอกับกงอิ้นเลย แต่อยู่บนรถด้วยกันกับเพื่อนสาวสามนาง จิ้งอวิ๋นรับหน้าที่ดูแลนาง แต่ชุ่ยเจี่ยกับยงเสวี่ยเลี้ยงเฟยเฟยอยู่ด้านหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้มายังเบื้องหน้านางแต่อย่างไร 


 


 


บางครั้งจิ่งเหิงปัวก็ตื่นขึ้นมากลางดึก มองเห็นจิ้งอวิ๋นยังคงนั่งเรียบร้อยอยู่ข้างกายนางในความมืด แสงริบหรี่สาดส่องขนตายาวแผ่บางของนาง หยาดน้ำใต้ขนตาชื้นละมุนจ้องมองทิศทางว่างเปล่าสักแห่งหนอย่างแน่วแน่ 


 


 


มือทั้งสองข้างของนางที่วางไว้บนสาบเสื้อขยับน้อยๆ ดุจดอกไม้ขาวดอกหนึ่งที่กำลังจะโรยราดิ้นรนท่ามกลางลมราตรีที่ส่งเสียงดังซู่ๆ 


 


 


บางครั้งนางยังได้เห็นชุ่ยเจี่ยผู้ที่เรื่อยเฉื่อยนั่งอยู่บนแอกรถ หันหน้าจ้องมองทางแคว้นต้าเยียน สายตาถูกบดบังด้วยเส้นผมที่ปรกหน้าผากที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้ว่านี่เรียกว่าความโศกเศร้า 


 


 


ใกล้ต้าฮวงมากขึ้นทุกที ไกลแดนศัตรูมากขึ้นทุกที ในใจของทุกผู้คนเปี่ยมด้วยความสับสนไร้ขอบเขตที่มีต่ออนาคตที่ไม่ล่วงรู้ 


 


 


นางเม้มริมฝีปากแผ่วเบา แนบแน่นท่ามกลางความมืดมิด 


 


 


ไม่เป็นไร เพื่อนพ้องของข้า 


 


 


ในเมื่อพวกนางติดตามข้ามาตลอดทาง ข้าย่อมต้องปกป้องพวกนาง 


 


 


แม้ว่าจะต้องทุ่มเทกำลังทั้งหมด หรือเป็นศัตรูกับทุกสรรพสิ่ง 


 


 


… 


 


 


 


 


 


ออกจากเมืองซีคังข้ามผ่านหลิวฮวาจวิ้น[1]ซึ่งเป็นจวิ้นสุดท้ายที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นต้าเยียน จิ่งเหิงปัวเดินทางมาตลอดจนในที่สุดออกจากดินแดนแคว้นต้าเยียนเข้าสู่เขตซีเอ้อที่ติดต่อกับแคว้นต้าเยียนอย่างเป็นทางการ 


 


 


ตามความนัยของกงอิ้น เดิมทีไม่อยากข้ามผ่านชายแดนเขตซีเอ้อจนยินยอมเดินทางอ้อมทว่าเขาออกมานานเกินไปแล้ว สุดท้ายแล้วไม่วางใจสถานการณ์ภายในแคว้นจึงต้องเดินทางผ่านเทียนหนานโจว[2]เขตซีเอ้อ ข้ามทุ่งหญ้าเจี๋ยหูและที่ราบสูงอวิ๋นเหลยก่อนกลับสู่ต้าฮวง 


 


 


จิ่งเหิงปัวมีท่าทางยินดีกับเรื่องนี้โดยตลอด ก่อนหน้านี้เปล่าเปลี่ยวมากมายภายหลังก็เปล่าเปลี่ยวเช่นกัน ยากจะได้เดินทางผ่านเมืองเป่าฟั่นแห่งเทียนหนานโจวที่ว่ากันว่าเจริญรุ่งเรืองมากแห่งหนึ่ง จะไม่ไปเดินชมสักหน่อยได้อย่างไร 


 


 


คาราวานเข้าสู่เมืองเป่าฟั่นไม่ได้สิ้นเปลืองเรื่องราวอะไรเลยด้วยจ่ายเงินก็พอแล้ว ว่ากันว่ากษัตริย์แห่งเทียนหนานรักทรัพย์สินดุจชีวิตจึงมอบหมายหน้าที่เก็บภาษีอัตราสูงให้กระทรวงทบวงกรมและกองกำลังในบังคับบัญชาทั้งหมด ทำให้ทหารเฝ้าประตูเมืองขูดรีดพ่อค้าต่างถิ่นที่เดินทางไปมาสุดชีวิต ขอเพียงมีเงินมากพอจะพาจะรพรรดิแคว้นต้าเยียนเข้าไปยังได้ 


 


 


“พวกเราไปเดินเล่นหน่อยเถิด ไปเดินเล่นกัน” หลังจากเข้าเมืองจิ่งเหิงปัวก็ดึงแขนเสื้อของกงอิ้นไว้ 


 


 


มหาเทพมิเอ่ยวาจา ผู้ใดล้วนมิกล้าไปเดินเตร่ 


 


 


มหาเทพไม่สนใจนางดังคาด เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ได้ยินว่ากษัตริย์เทียนหนานผู้ดูแลเมืองเป่าฟั่นเ**้ยมโหดไร้ยางอายพฤติการณ์บ้าคลั่ง พวกเราเพียงพักผ่อนปรับกำลังยังต้องรีบเร่งเดินทาง อยู่ในเขตอิทธิพลนาง เจ้าจงเรียบร้อยเสียหน่อย” 


 


 


“จะบ้าคลั่งเช่นไร นางประทับ ณ พระราชวังของนาง ข้าเดินเล่นในตลาดเรื่องของข้าจะไปเกะกะอะไรนางเล่า?” จิ่งเหิงปัวไม่พอใจ ยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาพลางกล่าวว่า “เดินเพียงสองชั่วยาม เจ้าส่งองครักษ์ติดตามข้าให้มากหน่อย ข้ารับรองว่าไม่คิดหนี หือ?” 


 


 


กงอิ้นลากนิ้วของนางออกไปแผ่วเบาแล้วลูบแขนเสื้อให้เข้าที่ 


 


 


“หนึ่งชั่วยาม” นิ้วงอลงไปหนึ่งนิ้ว 


 


 


กงอิ้นหันหลังสำรวจโรงเตี๊ยม 


 


 


“ครึ่งชั่วยาม” จิ่งเหิงปัวลำบากใจ 


 


 


กงอิ้นเลือกขนมชิ้นหนึ่งในจานที่องครักษ์ส่งขึ้นมาฉวยมือยื่นให้นางพลางเอ่ยว่า “หวาน รอชั่วครู่กินยาแล้วกินล้างปาก” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเข้าใจความหมายของเขาว่าเจ้ารีบเร่งหุบปากได้แล้ว แต่ว่า ‘กินยาแล้ว’ สามคำนี้เตือนสตินาง 


 


 


“เอาเถิด ไม่ไปก็ไม่ไป” นางจ้องเงาด้านหลังตอนจากไปของกงอิ้น กล่าวอย่างโศกเศร้าว่า “อย่างไรเสียข้าเป็นเพียงหุ่นเชิดไร้เหตุผลตัวหนึ่ง ผู้อื่นจะทำเช่นไรกับข้าก็ทำเช่นนั้น จะกลั่นแกล้งข้าก็กลั่นแกล้ง จะขังข้าไว้ในห้องมืดก็ขัง จะขู่ข้าก็ขู่…” 


 


 


แผ่นหลังกงอิ้นแข็งทื่อ 


 


 


“…ถูกขังถูกแกล้งถูกขู่จนป่วยไข้ไปทั้งร่าง ท้ายสุดแล้วยังไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ…” 


 


 


กงอิ้นชะงักฝีเท้า 


 


 


“ทว่าแม้รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำแล้วจะเป็นเช่นไรเล่า? ยังมิใช่ถูกผู้อื่นจะบีบเช่นไรก็บีบเช่นนั้น คิดจะปฏิเสธเช่นไรก็ปฏิเสธเช่นนั้น วันเวลาได้ดังใจเพียงวันหนึ่งยังมีมิได้…” จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเงยหน้ามองฟ้า โอ๊ยแม่งเอ้ย แสดงละครน้ำเน่ารู้สึกว่ายังไม่ค่อยได้อารมณ์นะ น้ำตา น้ำตาที่มองแล้วสะเทือนใจมีบ้างไหม? ใครให้ยืมพริกสักเม็ดสิ? 


 


 


กงอิ้นหันหลังทันทีแล้วเดินเข้ามา 


 


 


จิ่งเหิงปัวยินดีปรีดารีบเร่งก้มหน้าลากฝีเท้า เดินร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้านใน 


 


 


เงาด้านหลังเงาหนึ่งต้องเปี่ยมด้วยความผิดหวังน้อยใจโศกเศร้าจำใจน่ะมีไหม! 


 


 


แขนเสื้อถูกคนคว้าไว้ จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามุมสี่สิบหน้าองศาน้ำตาทอประกายออดอ้อน มองเห็นมหาเทพมองตรงไปเบื้องหน้าคีบแขนเสื้อนางไว้เอ่ยว่า “ถนนใกล้เคียง ครึ่งชั่วยาม” 


 


 


“ได้เลย!” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มดุจมวลผกาโดยพลันหันหลังเดินยักย้ายออกไป เดินไปได้สักพักรู้สึกผิดปกติ พอหันหลัง…ทำไมกงอิ้นยังตามมา? 


 


 


กงอิ้นยังคงไม่มองนาง สายตากวาดผ่านด้านบนฝูงชนปากเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ได้ยินว่าเมืองเป่าฟั่นมีตลาดค้าทาสพิเศษยิ่งนัก ข้าว่าจะไปดูสักหน่อย” 


 


 


“เช่นนั้นพวกเราแยกกันเดิน” จิ่งเหิงปัวหันหลังอย่างสง่างามทันที นางน่ะไม่อยากดูทาสรับใช้ นางอยากไปเดินชมตลาดนกตลาดดอกไม้เอย ร้านชาดแดงแป้งร่ำเอย ร้านตัดเสื้อผ้าเอย ทำความเข้าใจรูปแบบการแต่งองค์ทรงเครื่องของผู้หญิงสมัยโบราณ ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดยังรู้ว่ามหาเทพจะต้องรังเกียจชาดแป้งกลิ่นฉุน รังเกียจในร้านคนเยอะ รังเกียจตลาดนกตลาดดอกไม้มีกลิ่นสาบสัตว์ปีก…ไม่อยากเดินด้วยกันกับเขาสักหน่อย 


 


 


เดินออกไปสามก้าวหางตาเหลือบเห็นชายผ้าสีขาวราวหิมะ นางหยุดชะงักหันหลัง มือเท้าคางตามองเขา 


 


 


เมื่อสบสายตาทั้งสงสัยทั้งหยอกล้อของนาง เขาคล้ายเก้อเขินไปบ้างเล็กน้อย สายตาไหลออกไปปานธารหลาก ทว่าสีหน้ายังคงเอ่ยอย่างสุขุมว่า “คล้ายจะทางเดียวกัน? เช่นนั้นเดินไปด้วยกันเถิด” 


 


 


จิ่งเหิงปัวแบะปาก นางน่ะไม่เชื่อว่าตลาดค้าทาสจะอยู่ทางเดียวกันกับตลาดนกตลาดดอกไม้แต่ว่านางตามใจผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไร คร้านจะเปิดโปงคำลวงของมหาเทพ หากนี่เป็นคำโกหก เขาพาลโมโหโกรธาขึ้นมาไม่ให้นางเดินแล้วจะทำอย่างไง? 


 


 


“นั่นสิ อาจจะทางเดียวกันจริงๆ” นางกลอกตา เดินยิ้มแย้มขึ้นมาคล้องแขนของกงอิ้นไว้พร้อมกล่าวว่า “เช่นนั้น จะเดินไปด้วยกันหรือไม่?” 


 


 


กงอิ้นหลุบตามองแขนที่ถูกนางคล้องเอาไว้ สีหน้าและท่วงท่าแข็งทื่ออยู่บ้าง 


 


 


แต่จิ่งเหิงปัวกลัวว่าเขาไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้วกลับคำจึงลากเขาเดินไปข้างหน้า กงอิ้นที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเกือบจะโซเซไปครั้งหนึ่งอยากจะดึงรั้งนางไว้ สุดท้ายลังเลชั่วครู่แล้วยังคงถูกนางลากต่อไป 


 


 


เงาคนกะพริบวูบ เหมิงหู่แวบออกมาจากท้ายฝูงชนมองดูเจ้านายที่ถูกลากไปด้วยท่าทีแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลงแทบทะลักออกมา 


 


 


เสร็จแล้วเขาถอนหายใจเอือกคล้ายอยากหัวเราะทว่าสุดท้ายมิได้หัวเราะออกมา เพียงหันหลังออกคำสั่งกับลูกน้องว่า “คนของพวกเรากลับมาหรือยัง?” 


 


 


“ยังขอรับ แต่ส่งข่าวมาว่าพักนี้ราชครูเหยียลี่ว์ปรากฏกายในชายแดนเขตซีเอ้อ โผล่ออกมาแถบภูเขาเฮยใกล้เมืองเฮยสุ่ย คนของพวกเราไล่ตามไปแล้วขอรับ” 


 


 


“เมืองเฮยสุ่ยอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเป่าฟั่นใกล้เจี๋ยหูเข้ามาแล้ว ในเมื่อเหยียลี่ว์ฉีมาถึงที่นั่นแล้วคงจะไม่คิดพลิกผันหันหลัง ยิ่งกว่านั้นเขาถูกไล่สังหารตลอดทางไร้โอกาสพักรักษาร่างบาดเจ็บสาหัส ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ส่งสารให้องครักษ์ไล่ล่าเบื้องหน้าว่าจะต้องรีบเร่งพยายามดับชีวีเหยียลี่ว์ฉีที่นอกแคว้นให้จงได้” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


องครักษ์ส่งสารสลายไปในฝูงชน เหมิงหู่ยักไหล่น้อยๆ พักนี้เขาได้รับคำสั่งบัญชาการองครักษ์ของกงอิ้นให้กระทำการไล่สังหารตอบโต้เหยียลี่ว์ฉีที่หลบหนีเพราะบาดเจ็บ ด้านหนึ่งด้วยคิดจะเหนื่อยครั้งเดียวสบายไปทั้งชาติ อีกด้านหนึ่งด้วยให้เหยียลี่ว์ฉีเหน็ดเหนื่อยจากการหลบหนีเอาชีวิตรอดจนไม่คิดจะไปก่อกวนกงอิ้นอีก 


 


 


มองสถานการณ์ยามนี้ เหยียลี่ว์ฉีหลบหนีเอาชีวิตรอดแทบไม่ทัน เขากำลังจะออกจากเขตซีเอ้อแล้วตะบึงเส้นทางตรงสู่ต้าฮวง เมืองเป่าฟั่นเป็นสถานที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด 


 


 


สายตาของเหมิงหู่กวาดผ่านกลางฝูงชน…เอ๊ะ เพียงเวลาเอ่ยวาจาไม่กี่ประโยค เจ้านายกับฝ่าบาทหายไปเสียแล้วหรือ? 


 


 


… 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] จวิ้น เขตการปกครองในสมัยโบราณซึ่งใหญ่กว่าอำเภอ 


 


 


[2] โจว เขตการปกครองแบบหนึ่งในสมัยโบราณเทียบได้กับจังหวัด

 

 

 


ตอนที่ 42.3

 

 ผจญภัยชมตลาด

 


 


 


 


 


 


 


จิ่งเหิงปัวอารมณ์ดีอย่างมากจูงกงอิ้นเดินผ่านไปมาท่ามกลางฝูงชนอย่างร่าเริง 


 


 


วันนี้มาได้จังหวะพอดิบพอดี ด้วยเป็น ‘เทศกาลนั่งผกา’ ซึ่งเป็นเทศกาลสำคัญของเขตซีเอ้อ เทศกาลนี้มีต้นกำเนิดมาจากตำนานเก่าแก่เรื่องหนึ่งของเขตซีเอ้อ ในรัชสมัยหนึ่งยุคหนึ่งมีมารผกาก่อกรรมทำเข็ญแปลงกายเป็นสตรีผู้มีเสน่ห์ยั่วยวนทำร้ายสรรพชีวิต โชคดีที่มีสตรีมีสกุลนางหนึ่งสละตนนั่งบนดอกไม้ทำลายมารผกากอบกู้สรรพชีวิต นับแต่นั้นจึงถูกราษฎรเขตซีเอ้อเรียกว่าพระนางนั่งผกา วันนี้ของทุกปีราษฎรจะจัดงานรำลึกตลาดดอกไม้ สตรีจะไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ คูเมืองทุกแห่งยังคัดเลือกแม่นางโฉมสะคราญมารับบทบาท ‘พระนางนั่งผกา’ กับ ‘มารผกา’ เดินกรีดกรายไปตามตลาดชวนให้ผู้คนติดตาม 


 


 


ฉะนั้นเมืองเป่าฟั่นในวันนี้จึงไม่ต้องไปหาตลาดดอกไม้โดยเฉพาะแล้ว มีคนขายดอกไม้กับนวลนางอาภรณ์หอมจอนผมสยายสวมเสื้อดอกเสื้อแดงเต็มถนน ส่วนริมถนนมีชั้นวางดอกไม้และตะกร้าหวายวางเต็มไปหมด ดอกไม้หลากหลายชนิดห้อยแขวนเป็นกลุ่มเป็นช่อ หลายชนิดจิ่งเหิงปัวเรียกชื่อไม่ถูกรู้สึกเพียงว่าสีสดใสแวววาวเต็มสายตาทั้งสีแดงส้มเหลืองเขียวครามม่วงฟ้า ดอกไม้อ่อนช้อยเป็นกลุ่มๆ ทั้งกลางสายลม ในมือขาวบริสุทธิ์ ข้างจอนผมสตรีและในดวงตาหยาดเยิ้มวาวแววทั้งหมด กลางอากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายหอมหวานเข้มข้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวรีบเดินทางมาตลอด สิ่งที่เห็นหากไม่ใช่ท้องฟ้าสีครามก็เป็นเพดานรถม้าสีดำ ขณะนี้ถูกสวยสดงดงามและความคึกคักเช่นนี้ชะล้างดวงตาจนรู้สึกเพียงว่าความสบายใจและเป็นธรรมชาติแผ่ออกไปจากในใจถึงปลายนิ้ว 


 


 


นางเดินผ่านไปมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางฝูงชน 


 


 


“นี่คือดอกอะไร งามจนโดดเด้ง! สีชมพูสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งนัก!” 


 


 


“ดอกไม้นี้สีสันสี่แบบคล้ายดอกผกากรองไม่น้อย สดใสเสียยิ่งกว่าผกากรองอีก!” 


 


 


“ดอกไม้รูปทรงระฆังทองคว่ำนี้พิเศษนัก สีสันมากกว่านี้สักหน่อยน่าจะดีนะ” 


 


 


“ดอกไม้นี้สลับสีทองเหลือบม่วงสดใสนัก…เอิ่มไม่ใช่ล่ะนี่มันนก…” จิ่งเหิงปัวคว้าช่อหนึ่งซึ่งสีสันสดใสเป็นพิเศษออกมาจากกลางพุ่มดอกไม้ มองอยู่เนิ่นนานเพิ่งพบว่านี่คือนกแก้วตัวหนึ่ง อดจะถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ “อาเจ้าหมาโง่ เป็นนกแก้วเหมือนกัน เจ้าอัปลักษณ์กว่ามันเยอะเลย…” 


 


 


“ฝนดีรู้เวลา ตกลงมายามพืชเขียว นกขนโล้นตัวเดียว ยังกล้าเที่ยวมีปากเสียง” เสียงแหลมตะโกนด่าของเจ้าหมาโง่ฟังแล้วเสียดแทงโสตยวดยิ่งเอ่ยสืบต่อว่า “ชั้นท่องกลอนได้ ไอ้เวรทำได้หรือไม่? ได้หรือไม่?” 


 


 


เฟยเฟยเดินเตร่ออกมาอย่างเงียบเชียบ ยกกรงเล็บเพียงครั้งคว้าเจ้าหมาโง่ไว้ส่งไปเบื้องหน้านกแก้วสวยงามซึ่งถูกด่าทั้งที่บริสุทธิ์ 


 


 


นกต๊องนั่นยกกรงเล็บให้เจ้าหมาโง่กรงเล็บหนึ่ง ด้านหนึ่งเกี่ยวขนอีกด้านหนึ่งตะโกนเสียงลั่นว่า “นายท่านสงบสุขหมื่นปี! นายท่านสงบสุขหมื่นปี!” 


 


 


เจ้าหมาโง่ไม่พอใจถูกเกี่ยวขนโกรธจนโจมตีกลับ กรงเล็บข้างหนึ่งเกี่ยวขนบนหัวสามเส้นของนกแก้วจินกัง[1]นั้น นกแก้วจินกังนั้นด้านหนึ่งหลบหลีกร้องน่าสงสารอีกด้านหนึ่งตะโกนว่า “นายท่านสงบสุขหมื่นปีนายท่านสงบสุขหมื่นปี!” 


 


 


พูดได้แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวสินะ 


 


 


เจ้าหมาโง่ลำพองใจด้วยพบเจอความรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีโดยพลัน…เฟยเฟยก็ดีหรือนกเลวตัวนี้ก็ดีล้วนเอ่ยวาจาสู้ท่านหมาไม่ได้! 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะจนแทบขาดอากาศหายใจ ดีที่ได้กงอิ้นตบหลังช่วยชีวิตนางทันเวลา 


 


 


กงอิ้นก้มหน้าน้อยๆ ใต้แสงอาทิตย์ ดวงตาดำขลับงามสดใสโชติช่วงด้วยแสงอบอุ่นที่ตัวเขาเองยังไม่เคยรู้ตัว 


 


 


รอบด้านพลันสงบเงียบ เสียงเอะอะและความคึกคักทุกสิ่งคล้ายเป็นระเบียบเงียบเชียบโดยพลัน 


 


 


วันนี้ในตลาดมีหญิงสาวมากมาย นับแต่กงอิ้นปรากฏกายในตลาดกลุ่มหญิงสาวก็ปรากฏความเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาด ส่วนใหญ่ห้อมล้อมที่ซึ่งกงอิ้นอยู่หลั่งไหลตามหรือหลั่งไหลทวนหรือหลั่งไหลตามไปก่อนแล้วค่อยหลั่งไหลทวนกลับมา มีผู้เดินผ่านข้างกายเขาหลายๆ รอบ มีผู้ยืนงามสง่าอยู่ฝั่งตรงข้าม มีผู้ชาญฉลาดอยู่บ้างเรือนร่างสั่นสะท้าน ดวงหน้าคล้ายมองดอกไม้ทว่าแท้จริงแล้วมองชายหนุ่ม กงอิ้นขยับเขยื้อนก้าวหนึ่งพวกนางจึงเปลี่ยนแผงขายของแผงหนึ่ง 


 


 


ยามกงอิ้นหยุดตบหลังของจิ่งเหิงปัว สายตาหญิงสาวเกือบทุกนางทอดลงบนมือของเขาและบนหลังของจิ่งเหิงปัว เปี่ยมด้วยความใฝ่หาต่อมือข้างนั้นทว่าเกลียดชังหลังนั้นจนแทบใช้สายตาเผาเป็นรูสักรู 


 


 


แลมีหญิงสาวหลายนางจ้องมองสายตาของกงอิ้นที่จ้องมองจิ่งเหิงปัวอดจะโมโหมิได้ 


 


 


พวกนางกัดริมฝีปากบีบขยี้ย่ำยีดอกไม้ในมืออย่างไร้สติ ขยี้สีแวววาวสว่างสดใสนั้นจนร่วงโรยทีละกลีบดุจดังดวงใจที่ถูกบดขยี้บีบเกร็งในชั่วยามนี้… 


 


 


เหล่าพ่อค้าเร่ขายดอกไม้ในตลาดร้องเศร้าโศกระงม 


 


 


จิ่งเหิงปัวผู้เริ่มทำบรรยากาศเสียไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยหยุดไอโขลกอย่างยากลำบาก พอเงยหน้ามองเห็นดอกไม้สีแดงเข้มปลายกลีบสีเงินกลุ่มหนึ่งข้างหน้า ดวงตาประกายวูบคว้ามือของกงอิ้นไว้ในครั้งเดียวชี้ไปทางนั้นพลางกล่าวว่า “ว้าว! ดอกไม้นั่นสวย! ขอบสีเงินสวยจัง! คล้ายดอกฉา[2]สิบแปดบัณฑิต[3]! ไปดูกัน!” 


 


 


กงอิ้นชะงักเพียงน้อย สายตาค่อยๆ ทอดลงบนมือที่ถูกนางจูงไว้ 


 


 


ชั่วพริบตาหนึ่งแก้มขาวบริสุทธิ์ดุจหยกของเขาคล้ายซึมแทรกสีแดงอ่อน เส้นริมฝีปากเม้มขึ้นมาแนบแน่นเป็นสีแดงอ่อนผืนหนึ่งบางๆ เช่นกัน ทว่านัยน์ตาผุดผาดสีเคลือบบางส่วน ทั่วทั้งร่างงามคมคายคล้ายภูเขาหิมะสูงใหญ่ 


 


 


เหล่าสาวน้อยทั้งตลาดอดจะบดขยี้ดอกไม้ในมือมิได้ เกลียดชังยามมือนั้นอยู่ในมือนางอื่น ยิ่งเกลียดสตรีหน้าไม่อายนางนั้นด้วยขืนใจลากชายชาวบ้าน! 


 


 


มองเพียงแวบเดียว พ่อรูปงามสูงส่งบริสุทธิ์แต่กำเนิดไม่ยินยอมพร้อมใจเช่นนั้น สีหน้าแข็งทื่อและท่วงท่าชักช้าเช่นนั้นทว่าด้วยเพราะจิตใจดีงามจึงทนจะทำให้สตรีไร้ยางอายนั้นขวยเขินมิได้ ถูกนางลากไปเบื้องหน้าทั้งเยี่ยงนั้น…อา ไฉนจึงไม่สะบัดมือ…ไฉนจึงไม่สะบัดมือ! 


 


 


กล่าวแล้วการไม่ใส่ใจอะไรเลยย่อมมีข้อดีในตัวมันเอง จิ่งเหิงปัวทำเป็นมองไม่เห็นสายตาไอสังหารที่ลอยล่องเต็มถนน ในสายตาของนางคือเหล่าสตรีน้ำลายไหลให้ความงามของกงอิ้นเป็นปกติธรรมดา ว่าแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนางเหรอ? 


 


 


“ดอกไม้นี้ขายอย่างไร” จิตใจนางล้วนอยู่บนดอกไม้นี่อาจเรียกได้ว่าความงามแห่งแคว้นกระถางนั้น นั่งยองลงไปถามราคาด้วยท่าทีเปี่ยมความสนใจว่า “เถ้าแก่ หนึ่งกระถางเท่าไร” 


 


 


“ห้าร้อยอีแปะ” ชายขายดอกไม้ชำเลืองมองเสื้อผ้าการแต่งกายของทั้งสองคนแวบหนึ่งแล้วฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบ 


 


 


“นึกว่าข้าด้อยปัญญาหรืออย่างไร?” นิ้วของจิ่งเหิงปัวนิ้วหนึ่งจิ้มไปบนหน้าผากของเขากล่าวต่อว่า “ดอกไม้ทุกชนิดในตลาดนี้แพงที่สุดไม่เกินห้าสิบอีแปะ เจ้ากล้าขายห้าร้อยอีแปะ ดอกไม้นี้ใช้เมล็ดทองคำปลูกหรืออย่างไร?” 


 


 


นิ้วมือนางเรียวบางนัยน์ตาเคลื่อนไหว ดวงตาดอกท้อที่หางตาสั่นไหวลอยล่องคู่นั้นคล้ายจะมีดอกท้อเย้ายวนนับมิถ้วนล่องลอยใต้แสงอาทิตย์ 


 


 


“แม่นาง” ชายขายดอกไม้ถูกการจิ้มเพียงครั้งนี้ของนางจิ้มจนวิญญาณออกไปนอกจะรวาล ยื่นมือไปจับนิ้วมือของนางอย่างชั่วร้าย ยิ้มพลางเอ่ยสืบต่อว่า “แพงแล้วหรือ? ดอกไม้นี้เติบโตเป็นเช่นนี้มิได้ง่ายดายเลย ทุกวันจะต้องวางไว้บนภูเขาที่สูงที่สุดเพื่ออาบจิงชี่[4]แห่งฟ้าดิน ยามค่ำยังต้องเก็บเข้าในเพิงอุ่น…ทว่าดอกไม้งามคู่โฉมสะคราญ ในเมื่อแม่นางชื่นชอบก็สองร้อยห้าสิบอีแปะ! ข้าขายขาดทุนให้!” 


 


 


นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวสะบัดเพียงครั้งหลบหลีกกรงเล็บหมาป่าของเขาอย่างแผ่วเบา เสียงหัวเราะดุจน้ำหลากเป็นระลอกกล่าวว่า “สองร้อยห้าสิบหรือ? สมเป็นสองร้อยห้าสิบ[5]เสียจริง!” 


 


 


ชายขายดอกไม้นั้นไม่เข้าใจคำหยอกล้อของนางหัวเราะเฮอะเฮอะส่งดอกไม้นั้นออกมาฉวยโอกาสคิดลูบคลำมือของนาง 


 


 


สองคนคุยไปคุยมาคุยจนคล้ายบรรยากาศคึกคัก หลงลืมน้ำแข็งสลักก้อนหนึ่งข้างกายซึ่งไอเหน็บหนาวยิ่งหนักขึ้นจนสิ้น 


 


 


“ข้าคล้ายจะมิได้เห็นชอบให้เจ้าซื้อดอกไม้” แว่วเสียงแหบพร่าเย็นยะเยือก จิ่งเหิงปัวผู้วุ่นวายกับการต่อรองราคาจึงนึกถึงมหาเทพนามนี้ 


 


 


ดวงตานางกะพริบวูบคว้ากงอิ้นผลักไปเบื้องหน้าเพียงครั้งแล้วกล่าวว่า “เร็วสิ ช่วยข้าต่อรองราคาเร็วเข้า!” 


 


 


กงอิ้นมิเอ่ยวาจา “…” 


 


 


“ต่อรองราคาแล้วช่วยข้าเลือกกระถางหนึ่งที่ดีที่สุด ใบต้องอวบอิ่มมีดอกตูมเยอะยิ่งดี” องค์ราชินีผู้เชี่ยวชาญการพูดเองเออเองตบไหล่มหาเทพอย่างสุขุม กล่าวเสียงเบาข้างหูของเขาว่า “เจ้าคนนี้เจ้าชู้มากวาจาคงมิใช่คนดีเป็นแน่ คงรังแกผู้อ่อนแอแต่กลัวผู้แข็งแรง เจ้าออกโรงเองย่อมกดราคาลงมาได้แน่! ข้าเชื่อมือเจ้า!” 


 


 


ท่วงท่าสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งของกงอิ้นกระทำได้เพียงครึ่งเดียว หันหน้ามองนาง 


 


 


“เจ้าก็รู้สึกว่าเขาเจ้าชู้? ไม่ดียิ่งนัก?” 


 


 


“แน่นอน” จิ่งเหิงปัวพยักหน้าไม่ได้สังเกตถึงความลี้ลับของคำว่า ‘ก็’ นั้น 


 


 


มหาเทพมิเอ่ยวาจาอีกนั่งยองย่อกายจริงจังเริ่มต้นตัดราคาแลเลือกดอกไม้ 


 


 


เหล่าสตรีผู้ห้อมล้อมอยู่ห่างไกลกลุ่มหนึ่งเปล่งเสียงถอนหายใจเหลือเชื่อ 


 


 


มองปราดเดียวยังรู้ว่าเป็นบุรุษผู้ยโสโอหังยวดยิ่ง ต่อราคาหรือ? ซื้อดอกไม้หรือ? 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูยังรู้สึกว่าคล้ายจะผิดวิสัยไปบ้าง กงอิ้นดุจบุปฝาสูงส่งนั่งยองลงต่อรองราคาย้ายกระถางดอกไม้? ทว่าชีวิตมนุษย์นั้น เดิมทีไม่ว่ารูปแบบไหนล้วนควรลองสักหน่อย ติดดินกันบ้างมีอะไรไม่ดีเหรอ? 


 


 


สายตานางแฉลบผ่านไปสมาธิถูกดึงดูดด้วยเสียงโหวกเหวกจากไม่ไกลทันที ฟังแล้วนั่นคือเสียงฆ้องเสียงกลองระลอกหนึ่งปะปนด้วยเสียงฮือฮาของเด็กและเหล่าบุรุษ 


 


 


“ดูพระนางนั่งผกานั่น!” 


 


 


“ดูมารผกานั่น” 


 


 


“เอ๋ พระนางนั่งผกา” จิ่งเหิงปัวผู้สืบถามตำนานเทศกาลนั่งผกามาบ้างแล้วดวงตาสว่างวูบทันทีรีบเบียดขึ้นไปเบื้องหน้าหลงลืมกงอิ้นที่ซื้อดอกไม้อยู่ข้างหลัง ยามนี้คลื่นฝูงชนล้วนเริ่มหลั่งไหลไปทิศทางนั้นให้ได้ นางเบียดอยู่เนิ่นนานยังเบียดออกไปไม่ได้กี่ก้าว จิ่งเหิงปัวรำคาญขึ้นมากะพริบกายเพียงครั้งเสียเลย ฟิ้ว 


 


 


นางหายไป ณ ที่เดิมนั้น 


 


 


อีกด้านหนึ่ง กงอิ้นผู้ไม่เสพสุขแสงสีทางโลกกำลังพยายามต่อรองราคา 


 


 


“ห้าร้อยอีแปะ!” ชายขายดอกไม้มองเห็นผู้ซื้อดอกไม้เปลี่ยนเป็นบุรุษซ้ำยังเป็นบุรุษผู้พาให้ผู้คนริษยาจึงท่าทางเปลี่ยนไปยกใหญ่ชั่วขณะแลตะโกนราคาเดิมกลับมา 


 


 


กงอิ้นชูนิ้วมือนิ้วหนึ่งออกมา 


 


 


“หนึ่งร้อยหรือ?” ชายขายดอกไม้เบิกตากว้างเอ่ยสืบต่อว่า “มีผู้ใดต่อราคาเช่นเจ้านี้หรือ?” 


 


 


กงอิ้นส่ายหน้าชูนิ้วมือนิ้วนั้นเอาไว้ นิ้วมืองดงามนักเล็บดุจผนึกน้ำแข็งทว่ามองด้วยสายตาของพ่อค้าเร่ย่อมไม่งดงามแล้ว 


 


 


“…สิบอีแปะหรือ?” เขาสงสัยจึงถามออกมาอย่างเหลือเชื่อ 


 


 


ราคาของดอกไม้นี้แม้ว่าเมื่อครู่เขาฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบทว่าอย่างน้อยที่สุดยังควรค่าห้าสิบอีแปะ สิบอีแปะหรือ? หน้าไม่อายเกินไปแล้วกระมัง? 


 


 


กงอิ้นยังคงส่ายศีรษะแลยังคงชูนิ้วมือนิ้วนั้นไว้ ทั้งสง่างามสงบเงียบแลเย็นชา 


 


 


“เจ้า…นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” ชายขายดอกไม้ติดอ่าง 


 


 


“หนึ่งอีแปะ” สุดท้ายมหาเทพจึงปริปากทองคำอย่างเย็นชา แท่งน้ำแข็งแกร่งเย็นเยียบเขวี้ยงผู้อื่นสิ้นชีพ 


 


 


“เจ้า…” ชายขายดอกไม้เซ่อซ่าไปชั่วครู่ประคองกระถางดอกไม่กระโดดขึ้นมาเอ่ยว่า “เจ้าคงมาก่อกวนสินะ! เสียเวลาเอ่ยวาจามากมายกับเจ้า! เช่นไร จะขืนใจซื้อขืนใจขายหรือ? ข้าจะบอกให้ว่านายท่านผู้นี้มิได้กินหญ้านะ…” 


 


 


“เป๊าะ” 


 


 


กงอิ้นดีดนิ้วแผ่วเบาเพียงครั้ง 


 


 


ปลายนิ้วดีดขึ้นไปในอากาศทว่าคล้ายโจมตีบนวัตถุเสียงดังไพเราะกังวาน แผ่นอกกว้างใหญ่สีออกเขียวของชายขายดอกไม้นั้น แลด้วยตาเป็นสีเขียวแล้วเป็นสีแดงแล้วเป็นสีม่วงแล้วนูนขึ้นมา… 


 


 


ในดวงตาของชายขายดอกไม้ซัดสาดด้วยระลอกคลื่นทับถมเป็นชั้นนับมิถ้วน กระถางดอกไม้ที่ตระเตรียมใช้เขวี้ยงผู้อื่นในมือร่วงหล่นตรงดิ่ง กงอิ้นฉวยมือรับไว้กลางฝ่ามือเพียงครั้งอย่างง่ายดาย 


 


 


“พลั่ก” ชายขายดอกไม้ล้มลงบนพื้น สะเทือนเสียจนกระถางดอกไม้บนชั้นวางกระโดดเพียงครั้งอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


กริ๊ง! เหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งดีดไปบนหน้าอกของเขา 


 


 


ราชครูแซ่กงเอ่ยวาจาไหนวาจานั้น เอ่ยว่าเงินหนึ่งอีแปะก็ให้หนึ่งอีแปะ แม้สลบไปแล้วยังให้ตามเดิม 


 


 


รอบด้านพลันสงบเงียบไร้สรรพเสียง กงอิ้นคล้ายมิได้รู้สึกแม้เพียงน้อย ยกเท้าขึ้นมาข้ามผ่านร่างชายขายดอกไม้ไปอย่างสุขุม ก้มหน้าพินิจดอกไม้เหล่านั้น สุดท้ายตั้งใจเลือกดอกไม้สีสันงดงามกระถางหนึ่ง ใบไม้สดใหม่ดอกตูมมากมายเป็นพิเศษ เอ่ยวาจาแม้มิได้เงยหน้าเพียงน้อยว่า “กระถางนี้เป็นเช่นไร?” 


 


 


ไม่มีเสียงตอบรับ กงอิ้นขมวดหัวคิ้วเพียงครั้งยืดกายลุกขึ้น สายตากวาดไปสี่ทิศรวดเร็วแขนเสื้อสะบัดเพียงครั้งโดยพลัน 


 


 


เงาขาวกะพริบวูบ เขาหายไปแล้ว 


 


 


เหลือเพียงเหล่าสตรีที่แอบมองเขาเต็มถนนเคลิบเคลิ้มจนดอกไม้ในมือร่วงหล่น หลายนางสงสัยว่าตนอยู่ในความฝัน 


 


 


… 


 


 


 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


[1] นกแก้วจินกัง หรือนกแก้วมาคอว์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Psittacidae 


 


 


[2] ดอกฉา ดอกแต้ฮั้งฮวย ชื่อวิทยาศาสตร์ Camellia japonica 


 


 


[3] ดอกสิบแปดบัณฑิต ดอกแต้ฮั้งฮวยชนิดหนึ่ง 


 


 


[4] จิงชี่ ต้นกำเนิดแห่งสรรพชีวิต 


 


 


[5] สองร้อยห้าสิบ มาจากคำว่า 二百五 เป็นคำสแลงหมายถึง ไม่เต็มบาทหรือไอ้โง่ 

 

 

 


ตอนที่ 42.4

 

ผจญภัยชมตลาด

 


 


 


 


เมืองเป่าฟั่นใกล้ตรอกปี้สุ่ย เสียงฆ้องเสียงกลองครึกครื้นกึกก้องถึงท้องฟ้า 


 


 


ด้วยเพราะ ‘พระนางนั่งผกา’ และ ‘นางมารผกา’ ในปีนี้เริ่มเคลื่อนขบวนแล้ว ตามเส้นทางที่กำหนดไว้จะเริ่มจากตรอกปี้สุ่ยที่กำแพงเมืองทิศใต้ใกล้กับพระราชวัง ทั้งร้องเพลงทั้งเต้นรำตลอดทางจนถึงตรอกซั่นเต๋อที่กำแพงเมืองทิศเหนือ 


 


 


ในขั้นตอนการเคลื่อนขบวนทั้งหมดจะใช้เกี้ยวหลากสีสันประทับ“พระนางนั่งผกา” ใช้ ‘กรงขังปลอม’ ที่ประดับเต็มไปด้วยดอกไม้สดกักขัง ‘มารผกา’ ไว้แล้วเคลื่อนไปข้างหน้า ทำการแสดงตลอดเส้นทางว่ายามนั้นพระนางนั่งผกาอาจหาญไร้หวาดกลัวเยี่ยงไรรวมทั้งคุณูปการเกริกก้องยามนั่งทับสังหารมารผกา ‘พระนางนั่งผกา’ กับ ‘มารผกา’ ล้วนเฟ้นหาสตรีโฉมงามมีชาติตระกูลในท้องถิ่นมารับบทบาทพร้อมมอบค่าตอบแทนให้มากมายตามสมควร สตรีผู้ได้รับการคัดเลือกในเทศกาลนั่งผกาจะมีชื่อเสียงรวดเร็วค่าตัวพุ่งสูงลิบลิ่ว 


 


 


ปีนี้บริเวณตรอกปี้สุ่ยครึกครื้นยวดยิ่ง นอกตรอกสามชั้นแลในตรอกสามชั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนกำลังบรรยายความงามของพระนางกับมารผกาปีนี้ด้วยท่าทีสนใจไม่เบา 


 


 


“ได้ยินว่าพระนางผกาที่ได้รับเลือกในปีนี้คือคุณหนูแห่งตระกูลหวงตระกูลเศรษฐีอันดับหนึ่งในเมืองนี้! ว่ากันว่าเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมสติปัญญา ในภายหน้าจะโยนลูกบอลแพรปักหาคู่ครอง[1]!” 


 


 


“ทว่าข้าได้ยินว่าผู้ได้รับเลือกเป็นมารผกามีภูมิหลังยิ่งกว่า นางคือบุตรีของนักแสดงหลักคณะรุ่ยเฟิงคณะงิ้วอันดับหนึ่งแต่ก่อนของเขตซีเอ้อเรา บุตรีของจินเฟิ่งหวงนามเสี่ยวเฟิ่งหวง ว่ากันว่าสีเขียวมาจากสีน้ำเงินทว่าเข้มข้นกว่าสีน้ำเงิน[2] รูปโฉมงามเลิศล้ำเสียงไพเราะราวกระพรวนทองคำซ้ำยังเชี่ยวชาญการขับร้องการระบำ นางคือสิ่งวิเศษที่ท่านขุนนางปกครองเมืองแห่งนี้ถูกตาต้องใจมาเนิ่นนานแล้ว เดือนหน้าขึ้นเวทีคราแรกเขาแสดงออกชัดเจนว่าจะหนุนนำนางอย่างเต็มที่…” 


 


 


“พระนางกับมารผกาปีนี้ล้วนมีสติปัญญาพบหาได้ยากในเกือบสิบปีมานี้ ฉะนั้นย่อมครึกครื้นยวดยิ่งนัก ไม่รู้ว่าจะดึงดูดให้กษัตริย์เสด็จออกจากพระราชวังมาทอดพระเนตรได้หรือไม่” 


 


 


“เจ้าอย่าได้เอ่ยวาจานี้เชียวนะ! พวกเรายังอยากฉลองเทศกาลอยู่หรือไม่ พระนางเสด็จมายังจะดีอยู่หรือ?” 


 


 


“หุบปาก! อย่าได้เอ่ยถึงกษัตริย์!” 


 


 


… 


 


 


เบื้องนอกฝูงชนครึกครื้น ใกล้ตลาดมีเพิงหลากสีสันหลายแห่ง ยังมีชั้นสองของโรงน้ำชาหลายแห่งสร้างเพิงสูงเพื่อให้ผู้คนทัศนา แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นสิ่งตอบแทนแด่ขุนนางและเศรษฐี คนธรรมดาสามัญเบียดกายเข้าไปมิได้ 


 


 


หอหลากสีแห่งหนึ่งซึ่งสูงที่สุดยามนี้แลดูล้วนเงียบสงบ ม่านโปร่งสีแดงกุหลาบอ่อนๆ ห้อยย้อย ตะขอเงินห้อยม่านสยายถูกลมพัดจนเสียงดังกรุ๊งกริ๊งทว่ากลบเสียงหัวเราะแผ่วเบาเลือนรางในห้องมิได้ 


 


 


“ปีนี้เทศกาลนั่งผกาครึกครื้นขึ้นมาบ้างด้วยเพราะเจ้ามาแล้วใช่หรือไม่เล่า?” เสียงเอ่ยวาจาเป็นเสียงสตรีฟังแล้วแหบกระด้างเล็กน้อย ทว่าด้วยเพราะเสียงวาจากดต่ำจึงผุดผาดความลึกลับที่สะกดไว้บางส่วน 


 


 


ในห้องเงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นเสียงบุรุษทุ้มต่ำไพเราะดังขึ้น  


 


 


“ความครึกครื้นของเมืองเป่าฟั่นล้วนย่อมเป็นเหตุจากกษัตริย์ หากมิใช่กษัตริย์พาข้ามา ข้าคงมิอาจได้เห็นความครึกครื้นเช่นนี้” 


 


 


เสียงหัวเราะของสตรีในม่านกระโจมสีม่วงทุ้มกระด้างน้ำเสียงขึ้นลงโดยกำเนิด เอ่ยเรื่องราวปกติยังคล้ายยั่วยุอยู่ตลอดเวลา  


 


 


“เจ้ากำลังโทษว่าข้ายืนกรานจะออกมาหรือ…” มือสตรีนุ่มนิ่มไร้กระดูกยื่นออกมาแช่มช้าปีนป่ายหัวไหล่ของบุรุษคล้ายมิได้ใส่ใจ ปลายนิ้ววาดวนเกาะกุมแผ่ขยายไปจนถึงด้านในปลายจอนผมสีดำเข้มของเขา ปากเอ่ยว่า “…ข้านี้กลัวว่าเจ้าขังตนรักษาตัวจนอึดอัดจึงได้ออกมาผ่อนคลายเป็นเพื่อนเจ้านะ…” 


 


 


นางหัวเราะอย่างออดอ้อน ดวงหน้าหันข้างเพียงน้อย เงากระดาษตัดรูปดอกเสาวรสจากโคมวังหลวงสาดส่องแสงสีเหลืองอ่อน นางรู้ว่าในมุมสายตาเช่นนี้ใต้แสงโคมตนเองงดงามที่สุด 


 


 


เขาหันใบหน้าเพียงน้อย แสงโคมสะท้อนเงาด้านข้างของเขาออกมางามเลิศล้ำ ทรวดทรงทุกแห่งล้วนกำลังบรรยายลักษณะของลูกหลานตรอกอูอี[3]หมวกเอียงสง่างามเลื่องลือ[4] นางจ้องมองหว่างคิ้วคมเข้มของเขาอย่างลุ่มหลงหวังประทับริมฝีปากตนเองบนสีแดงอ่อนโยนลึกลับผืนนั้นของเขา ทว่าสุดท้ายด้วยเพราะความงามสูงศักดิ์ของเขาจึงสำรวมความปรารถนาก่อการขลาดเขลา เพียงอมยิ้มมองเขาสัมผัสปลายนิ้วตนเองไว้แผ่วเบาวางไว้บนฝ่ามืออย่างอ่อนโยนแลเบาบาง 


 


 


สำหรับพฤกษาเขียวขจีบนโลกมนุษย์ต้นหนึ่งนี้ นางมิกล้ามุ่งมาดปรารถนาเกินงามด้วยกลัวจะหักทลายความงามกิ่งก้านใบเขียวชอุ่มของเขา 


 


 


เขายิ้มแย้มสัมผัสนิ้วมือของนาง ไอออกมาเบาๆ สองเสียง  


 


 


“อาการบาดเจ็บกำเริบหรือ?” นางกังวลโดยพลันเอ่ยสืบต่อว่า “เช่นนั้น พวกเรากลับวังกันเถิด” 


 


 


“เพิ่งเริ่มเคลื่อนขบวน…” สีหน้าเขาเอาอกเอาใจ  


 


 


“ร่างกายเจ้าสำคัญกว่า…” นางยิ่งละม้ายภริยาผู้นุ่มนวลอ่อนโยน  


 


 


วาจาไพเราะน่าฟังยังมิทันสิ้น เบื้องล่างเสียงดังโหวกเหวกระลอกหนึ่งมีเสียงร้องตกใจเลือนราง นางหันกายด้วยความตกใจ เดินไปยังริมหน้าต่างปากเอ่ยว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” 


 


 


… 


 


 


เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นปรากฏกายที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน เหลียวซ้ายแลขวาปราดเดียวย่อมรู้ว่าจิ่งเหิงปัวไม่อยู่ 


 


 


เขาต่อรองราคากับชายขายดอกไม้ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา จิ่งเหิงปัวหลุดพ้นจากสายตาของเขาอย่างรวดเร็วเยี่ยงนี้ได้ย่อมใช้การหายตัวเป็นแน่ 


 


 


ตามทิศทางที่ผู้คนเคลื่อนกายไหลหลาก เขามองฝูงชนที่ชุมนุมอยู่ห่างไกล เป็นไปตามคาดการณ์ว่าสตรีนางนั้นวิ่งไปมองความครึกครื้นตรงนั้นเสียแล้ว  


 


 


เขาครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนส่งสัญญาณลับเรียกหา เหมิงหู่ปรากฏข้างกายเขาในชั่วประเดี๋ยวเดียว 


 


 


“ในเมืองเป็นเช่นไร?” 


 


 


“ปลอดภัยขอรับ” 


 


 


“ข่าวของเหยียลี่ว์ฉี?” 


 


 


“ตามรายงานถึงเมืองเฮยสุ่ยแล้ว ปรากฏกายใกล้ภูเขาเฮย ก้าวต่อไปคงจะมุ่งหน้าสู่เจี๋ยหูขอรับ” 


 


 


กงอิ้นหยุดฝีเท้าโดยพลัน  


 


 


“ภูเขาเฮย? เมืองเฮยสุ่ยหรือ?” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


“อยู่ที่นั่นตลอดหรือ?” 


 


 


“คนของพวกเราล้อมปราบเขาที่นั่นได้สามวันแล้วขอรับ” 


 


 


กงอิ้นไม่ขยับเขยื้อนแล้วค่อยๆ เงยหน้ามองท้องฟ้า แสงอาทิตย์แห่งเขตซีเอ้อร้อนแรงเช่นนี้ทว่านัยน์ตาของเขาคล้ายค่อยๆ เยือกเย็นเป็นน้ำแข็งหนึ่งชั้น  


 


 


เหมิงหู่กระวนกระวายใจขึ้นมา  


 


 


“นายท่าน…” 


 


 


“พวกเจ้าพลาดเสียแล้ว” กงอิ้นขัดวาจาของเขาอย่างเชื่องช้า “เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้หยุดพักที่เฮยสุ่ย” 


 


 


“นี่…” 


 


 


“ยาถอนพิษโลหิตที่ข้ามอบให้เขาคือยาถอนพิษแลมีส่วนผสมเพิ่มพิเศษ ข้างในแฝงด้วยเมล็ดผลึกน้ำแข็งปัญญาหิมะของข้า เมล็ดผลึกน้ำแข็งจะออกฤทธิ์ในสภาพแวดล้อมหนาวเย็นชื้นแฉะทุกแห่ง เติบโตกลายเป็นยาพิษอีกชนิดหนึ่ง เพื่อรับมือไล่ล่าสังหาร เหยียลี่ว์ฉีคงใช้ยาถอนพิษของข้าเป็นแน่ ใช้ยาถอนพิษแล้วย่อมไม่อาจพักอยู่สถานที่หนาวชื้นเช่นเฮยสุ่ยนั้นยาวนานแน่แท้ สามวันหรือ?” เขาแบะมุมปากอย่างเสียดสีเพียงครั้ง เอ่ยสืบต่อว่า “สามวัน พวกเจ้าคงไม่ต้องไล่ล่า ทว่าคงจะเก็บซากศพของเขาได้แล้ว” 


 


 


เหมิงหู่หน้าแดงไปถึงหูรีบเร่งก้มหน้า  


 


 


“ข้าน้อยไร้ความสามารถ…” 


 


 


กงอิ้นโบกมือหยุดยั้งวาจาของเขา  


 


 


“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด เรื่องสำคัญที่ต้องจัดการยามนี้คือรู้ว่าเขาอยู่ที่แห่งใดกันแน่ หากเขามิได้หยุดพักที่เฮยสุ่ยย่อมมิอาจข้ามเจี๋ยหู เช่นนั้น…” 


 


 


เขาชะงักไปโดยพลันมองไปยังแหล่งครึกครื้นในเมืองคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป เงาร่างกะพริบวูบแฉลบผ่านกลางฝูงชนดุจเมฆสีขาวก้อนหนึ่ง  


 


 


… 


 


 


ใจกลางผู้คนหลั่งไหล ณ ตรอกปี้สุ่ย รถขบวนแห่ขยับเขยื้อนเชื่องช้า รถขบวนแห่เกิดจากรถม้าหลายคันรื้อผนังด้านนอกออกเชื่อมต่อกัน เสาสี่ด้านประดับด้วยม่านหลากสีบนหลังคากองเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า ‘พระนางนั่งผกา’ ดวงพักตร์งามเพียบพร้อมนั่งอยู่ตรงกลางสวมชุดจีนโบราณสีแดง ส่วน ‘มารผกา’ แต่งกายงามเพริศแพร้วแต่งหน้าแฉล้มแก้มแดงวาดคิ้วโก่งสูง นางกำลังกางแขนงดงามสองข้างร่ายรำล้อมรอบ ‘พระนางนั่งผกา’ ยามนี้กำลังแสดงฉาก ‘มารผกาก่อกวน ดอกไม้โปรยเต็มนภา’ พอดิบพอดี  


 


 


สตรีผู้รับบทเป็นมารผกาสมเป็นบุตรีของนักแสดงงิ้วผู้โด่งดังที่กำลังจะมีชื่อเสียงในภายหน้า รูปร่างอ่อนช้อยงดงาม ระบำคราหนึ่งท่วงท่างามเฉิดฉาย กระโดดขึ้นยอดเสาประดับทั้งสี่ด้านบ่อยครั้ง กลีบดอกไม้ที่ปลายเท้าขึ้นลงงดงามพาให้ผู้ชมตลอดทางร้องเฮกึกก้อง  


 


 


“ฟิ้ว” 


 


 


เงาคนกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวมาถึงแล้ว  


 


 


นางปรากฏกายด้านหน้าสุดท่ามกลางฝูงชน ความสนใจของผู้คนล้วนอยู่ที่รถขบวนแห่ด้วยเพราะคนเยอะ แม้มีความรู้สึกประหลาดแต่ไม่ได้ใส่ใจ  


 


 


มีเพียง ‘มารผกา’ ที่เริงระบำอยู่บนเสาประดับร่างอยู่บนตามองล่างชะงักโดยพลันพร้อมเบิกตากว้าง  


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้ว่านางมองเห็นแล้วจึงยิ้มยิงฟันให้นางครั้งหนึ่ง  


 


 


ความหวาดผวาในแววตาของสตรีนางนั้นยิ่งมากขึ้น เท้าอ่อนยวบพลันยืนบนเสาไม่อยู่ ร้อง “อ๊า” เสียงหนึ่งเรือนร่างหงายล้มขาชี้ฟ้าลงไป 


 


 


ศีรษะของนางกระแทกกับริมขอบรถขบวนแห่ดัง ตึง! เสียงหนึ่ง ยังมิทันได้เอ่ยวาจาก็สลบไสลไปเสียแล้ว  


 


 


เสียงร้องยินดีเงียบกริบโดยพลัน ทุกผู้คนปากอ้าตาค้างมิเข้าใจว่าเกิดอุบัติเหตุฉับพลันนี้ด้วยเหตุใด ‘พระนางนั่งผกา’ นั้นลุกขึ้นอย่างงงงันทว่าสะดุดเรือนร่าง ‘มารผกา’ จนล้มลงร่วงไปข้างล่างรถขบวนแห่เสียงดังพลั่กเสียงหนึ่งเช่นกัน  


 


 


ความเงียบสงบยามปากอ้าตาค้างถูกทลายด้วยเสียงร้องตระหนกตกใจโดยพลัน ผู้คนมองหน้ากันไปมา…ที่ผ่านมามิใช่ไม่เคยเกิดปัญหา ทว่ายังไม่เคยเกิดเรื่องผู้แสดงหลักสองนางล้มลงไปในพริบตาเดียวเช่นนี้มาก่อน 


 


 


ผู้ใดเป็นคนทำ? 


 


 


“ผู้ใดเป็นคนทำ!” เสียงหนึ่งตะโกนก้อง ขุนนางชุดคลุมยาวสีเขียวผู้หนึ่งหิ้วชุดตนไว้ ไอสังหารกระโจนลอยล่องรถขบวนแห่ตะโกนสืบต่อว่า “ห๊า? ผู้ใดเป็นคนทำ!” 


 


 


ผู้นี้คือฝู่เฉิง[5]แห่งเมืองนี้ เขาเป็นผู้ดูแลและผู้รวมพลของการเคลื่อนขบวนซ้ำยังเป็นผู้หนุนนำเบื้องหลังของเสี่ยวเฟิ่งหวงผู้รับบทเป็น ‘มารผกา’  


 


 


รถขบวนแห่เกิดเรื่อง ‘พระนางนั่งผกา’ และ ‘มารผกา’ ล้วนเคลื่อนขบวนมิได้อีก สำหรับเขาแล้วนับเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากเรื่องหนึ่ง  


 


 


“ผู้ใดเป็นคนทำ ห๊า?” นายท่านผู้ยิ่งใหญ่โกรธเกินยับยั้งสะบัดแขนเสื้อดังเพี้ยะเพี้ยะตะโกนสืบต่อว่า “ผู้ใดเป็นคนทำ! ลากออกมาขึ้นรถประจาน!” 


 


 


ผู้คนเงียบงัน ผ่านไปชั่วครู่ เหล่าสตรีในฝูงชนพลันมีผู้ทอดสายตาไปทางจิ่งเหิงปัวร้องตกใจแผ่วเบาเสียงหนึ่ง  


 


 


จากนั้นมีผู้คนมากยิ่งขึ้นทอดสายตาไปทางนาง คนเหล่านี้กว่าครึ่งหนึ่งเป็นสตรี  


 


 


สายตาของจิ่งเหิงปัวมองคนพวกนี้อย่างแปลกประหลาด ชิบ ผิดเรื่องแล้วมั้ง ผู้หญิงสองคนนี้นางตกใจจนเกิดปัญหาเอง เกี่ยวกับพี่สักเหมา[6]เหรอ? 


 


 


สีหน้าอิสรเสรีของนางนั้นเมื่อมองในสายตาของเหล่าสตรียิ่งจุดประกายเพลิงริษยาโหมกระหน่ำ  


 


 


ใช่! นางนั่นล่ะ! 


 


 


เมื่อครู่นางนั้นลากพ่อรูปงามซื้อดอกไม้ริมถนนทางนั้น! 


 


 


หน้าไม่อายกล้าฉุดกระชากบุรุษกลางถนนหนทาง! 


 


 


ซ้ำยังให้คุณชายรูปงามสูงส่งเช่นนั้นต่อรองราคาให้นาง! 


 


 


ยามนี้ยังวิ่งมาเดินกรีดกรายไปตามถนนอยู่ที่นี่! 


 


 


สตรีเช่นนี้จะไม่ลงโทษได้เยี่ยงไร? 


 


 


“ผู้ใดเป็นคนทำ!” นายท่านผู้ยิ่งใหญ่บนรถขบวนแห่คำรามก้อง  


 


 


สตรีกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปเบื้องหน้ารถขบวนแห่พึ่บพั่บ หันหลังอย่างพร้อมเพรียงแล้วชี้ไปที่จิ่งเหิงปัว  


 


 


“นาง!” 


 


 


… 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานพิงกายที่ขอบหน้าต่าง ยิ้มแย้มมองความเคลื่อนไหวด้านล่าง  


 


 


“อะไรหรือ?” เสียงบุรุษเกียจคร้านลึกลับแว่วมา เขาคล้ายไม่คิดจะเดินไปดูความครึกครื้นแล้ว  


 


 


“คล้ายว่าพระนางนั่งผกาและมารผกาตกอกตกใจกันไปหมด” กษัตริย์เทียนหนานผลักหน้าต่างเปิดออกอย่างมิได้ใส่ใจ เอ่ยสืบต่อว่า “ดูท่าทางการเคลื่อนขบวนครานี้คงต้องหยุดลงด้วยเหตุมิคาดฝันเสียแล้ว พวกเรากลับวังพอดิบพอดี” 


 


 


บุรุษหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่ง เสียงดีอกดีใจ “ย่อมได้” 


 


 


“อ๊ะ” กษัตริย์เทียนหนานที่กำลังตระเตรียมจากไปหยุดลงโดยพลัน หันหน้ามองเบื้องล่างพลางเอ่ยว่า “ลากสตรีขึ้นไปนางหนึ่ง…เหตุใดจึงปะปนได้ตามใจชอบได้เช่นนี้…อา สตรีนางนี้งดงามกว่ามารผกานางนั้นเสียอีก!” 


 


 


ในเสียงนางเปี่ยมด้วยความริษยา เอ่ยถึงช่วงท้ายแผ่ไอสังหารออกมาเสียแล้ว  


 


 


สตรีที่งดงามพราวเสน่ห์ทุกนางบนโลกนี้ล้วนมิควรเทียบเทียมถึงเสน่ห์หมื่นเท่าของนาง ผู้ใดยิ่งมากกว่าผู้นั้นยิ่งควรขจัดทิ้ง  


 


 


บุรุษลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกประตู ยามได้ยินประโยคนี้ชะงักโดยพลันหันกายกลับมา  


 


 


… 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] โยนลูกบอลแพรปักหาคู่ครอง เป็นธรรมเนียมการเลือกคู่ครอง ชายผู้ที่เก็บลูกบอลได้คือผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นคู่ชีวิตที่หญิงผู้โยนลูกบอล 


 


 


[2] สีเขียวมาจากสีน้ำเงินทว่าเข้มข้นกว่าสีน้ำเงิน อุปมาว่า คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อน 


 


 


[3] ตรอกอูอี คือที่อยู่ของตระกูลขุนนางใหญ่สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก ภายหลังอุปมาว่า ลูกหลานตระกูลเศรษฐี 


 


 


[4] หมวกเอียงสง่างามเลื่องลือ ตู๋กูซิ่นสมัยราชวงศ์สุยเป็นชายหนุ่มที่มีรูปโฉมงดงามแม้ยามหมวกเอียงยังงามสง่า ภายหลังอุปมาว่า มีรูปโฉมงามสง่า 


 


 


[5] ฝู่เฉิง ตำแหน่งขุนนางปกครองเมือง 


 


 


[6] เหมา เป็นสกุลเงินจีน 1 หยวน เท่ากับ 10 เหมา 

 

 

 


ตอนที่ 43.1

 

 ONLY YOU (เพียงเธอเท่านั้น)

 


 


 


 


“เจ้าเป็นคนทำหรือ” ฝู่เฉิงบนรถขบวนแห่เดิมทีจะโมโหโกรธา พอมองโฉมหน้าของจิ่งเหิงปัวจนชัดเจนในปราดเดียว น้ำเสียงอ่อนโยนลงไปมากในทันที 


 


 


“หา?” จิ่งเหิงปัวกำลังเป็นผู้กำลังชมเรื่องราวทว่าหายนะมาจากข้างกาย งงงันไปชั่วครู่ก่อนกล่าวว่า “นี่ ผิดคนแล้วกระมัง ข้าห่างสองนางนั่นตั้งแปดจั้งนะ ข้าจะทำให้พวกนางสองคนสลบไสลได้อย่างไร” 


 


 


ทุกคนมองดูแล้วคิดเช่นเดียวกัน มวลชนจ้องมองไม่มีผู้ใดประชิดใกล้รถขบวนแห่ สตรีนางนี้คงมิอาจกระทำอันใดได้ 


 


 


แต่จิ่งเหิงปัวกลับใจฝ่ออยู่บ้าง…ถ้ามารผกาเสี่ยวเฟิ่งหวงนั้นฟื้นขึ้นมาชี้ไปที่นางเอ่ยว่า ‘ปีศาจ’ เพียงคำเดียว ชั่วพริบตาต่อมานางจะถูกฝูงชนกลบกลืน ฝูงชนหนาแน่นขนาดนี้เคลื่อนย้ายหายตัวได้ไม่ไกลซ้ำยิ่งถูกหาว่าเป็นปีศาจแล้วถูกรุมทำร้าย 


 


 


กลัวอย่างไหนได้อย่างนั้น 


 


 


เสี่ยวเฟิ่งหวงที่ถูกคนประคองขึ้นจับผู้อื่นนั้นเอ่ยเสียงอ่อนระโหยเสียงหนึ่งโดยพลัน ถอนหายใจเชื่องช้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แวบแรกมองเห็นจิ่งเหิงปัวที่ถูกลากมาเบื้องหน้ารถก็ชะงักงัน สีหน้าเปลี่ยนไปพลางยกมือสั่นไหวชี้ไปที่นางเอ่ยว่า “ปี…” 


 


 


“ปีศาจเจ้ายังกล้าเป็น!” จิ่งเหิงปัวขัดจังหวะวาจาของนางในคำเดียว ถลกกระโปรงครั้งหนึ่งก้าวขึ้นรถขบวนแห่แล้วเตะเข้าไปที่เอวของนางเท้าหนึ่งกล่าวว่า “ระบำแย่เช่นนี้เจ้ายังกล้าร่ายรำซ้ำยังมิกลัวจะอับอายขายหน้า! ขยับไป! มารผกานี่พี่เป็นเอง! พี่จะให้เจ้าดูว่าสิ่งใดเรียกว่ามารอันดับหนึ่งซึ่งบุญญายิ่งใหญ่จารไว้ในประวัติศาสตร์ สะท้านเทือนฟ้าดินโศภินล้ำโลกา!” 


 


 


เสี่ยวเฟิ่งหวงผู้น่าสงสารเดิมทีก็กึ่งสลบกึ่งตื่น พอถูกผู้อื่นด่าทอต่อว่าโครมๆ เช่นนี้เพียงครั้ง ดวงตากลอกขึ้นสลบไสลไปอีกครั้ง 


 


 


ฝู่เฉิงผู้นั้นจะต่อว่า พอมองดูใบหน้าของจิ่งเหิงปัวโดยละเอียดแววตาก็สั่นไหวขึ้นมา พยักหน้าเอ่ยว่า “เอ่ยวาจาใหญ่โตนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ขึ้นมาเป็นมารผกานางนี้! ทำได้ดีมีความชอบไร้ความผิด ทำไม่ดีลงโทษทวีคูณ!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ามองดูฝูงชน เฮ้ย! คนเยอะจัง! ด้านในแปดชั้นด้านนอกแปดชั้น ท่าทางอย่างนี้หนีก็หนีไม่รอด หายตัวก็หายตัวไม่ได้ 


 


 


เช่นนั้นก็เป็นละกัน 


 


 


นางดีใจที่วันนี้แม้ว่าข้างในไม่ได้ใส่ชุดกระโปรงของตนเองแต่กระโปรงยาวภายนอกยังแก้ทรงไว้ ตอนนี้ทุกชุดออกแบบให้รัดเอวแนบเนื้อ ถ้าดึงตะเข็บกระโปรงออกจะเต้นรำขึ้นมาคงไม่มีปัญหาอะไร 


 


 


ให้คนบ้านนอกเขตซีเอ้อพวกนี้ได้รู้จะระบำเลิศล้ำทั่วหล้าขององค์ราชินีสักหน่อยเถอะ! 


 


 


‘พระนางนั่งผกา’ ปีนขึ้นมาอีกครั้งด้วยมีผู้ประคองขึ้นมา นางกลับไม่ได้เป็นอะไรหนักหนาเพียงสะดุดล้มครั้งหนึ่ง อย่างไรเสียนางก็ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางอะไร เพียงจะต้องนั่งลงบนดอกไม้ใหญ่ที่จัดเตรียมไว้พร้อมสรรพในฉากสุดท้ายเท่านั้น ยามนั้นจึงคิดจะยืนหยัดจนถึงที่สุด 


 


 


แต่จิ่งเหิงปัวกลับไม่พอใจเสียแล้ว 


 


 


มารผกาต้องร่ายรำรอบพระนางนั่งผกา แต่นางไม่พอใจที่ต้องเต้นรำล้อมรอบสตรีที่เหมือนท่อนไม้ขนาดนี้ 


 


 


เมื่อกล่าวถึงนิสัยหยิ่งยโสในกลุ่มสี่คน จิ่งเหิงปัวกับไท่สื่อหลันเทียบกันได้ คนหนึ่งคิดว่าสิ่งมีชีวิตทั่วโลกล้วนโง่เขลา อีกคนหนึ่งคิดว่าสิ่งมีชีวิตโดยธรรมชาติมีแค่ฉันที่งดงามดั่งดอกไม้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดว่าถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตา ผู้หญิงทั่วโลกเป็นได้แค่ตัวประกอบของนาง นางจะไปเป็นตัวประกอบของคนอื่นได้อย่างไร 


 


 


“ข้าจะไม่ร่ายรำล้อมกายนาง” นางคัดค้าน สายตาล่องลอยไปมาท่ามกลางฝูงชนคิดอยากจะหาพระนางนั่งผกาสักนางที่มองแล้วเข้าตา ถ้าไม่สวยมากพอจนทำให้นางยอมรับก็ต้องขี้เหร่มากพอจะขับความสวยของนางให้เด่นขึ้น 


 


 


เงาคนสายหนึ่งพลันปรากฏกายหน้ารถขบวนแห่ปานสายฟ้า ผู้มาถึงยื่นมือขึ้นมาได้ก็ลากนางไว้พลางเอ่ยว่า “ลงมา!” 


 


 


ดวงตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบ 


 


 


… 


 


 


“สตรีนางนั้นมาจากที่ใด คือผู้ใด ไม่คล้ายคนที่นี่ ปรากฏกายขึ้นมาได้อย่างไร จงรีบไปสืบมา!” กษัตริย์เทียนหนานบนหอหลากสีใกล้จะบ้าคลั่ง 


 


 


เงาดำสายหนึ่งขยับเข้ามาเชื่องช้า มือดุจหยกขาวยาวเรียวคู่หนึ่งกุมบนไหล่ของนางแผ่วเบา 


 


 


“เหตุใดจึงโกรธขึ้นมาโดยพลัน” เขาเอ่ยวาจานุ่มนวลข้างหูนางพลางเป่าลมข้างใบหูของนางแผ่วเบา หางตามองไปยังรถขบวนแห่บนถนนปราดเดียวคล้ายไม่ได้ใส่ใจ สายตาประกายวูบผุดเผยรอยยิ้มลึกลับสายหนึ่ง 


 


 


“ไม่มีเรื่องใด” กษัตริย์เทียนหนานฝืนยิ้มครั้งหนึ่งหงายมือคว้ามือของเขาไว้ มองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างไม่สบายใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าสตรีเบื้องล่างนางนั้นคล้ายสายสืบยิ่งนัก…เจ้าดูสิคล้ายหรือไม่” 


 


 


“อ้อ” บุรุษกวาดสายตาปราดเดียวอย่างไม่สนใจใยดี คล้ายไร้ความสนใจแม้แต่น้อยต่อสตรีเบื้องล่างพลางเอ่ยว่า “พระองค์มองว่าคล้าย เช่นนั้นคงคล้ายเสียแล้ว” 


 


 


เขาเฉยเมยต่อรูปโฉมของจิ่งเหิงปัวพาให้กษัตริย์เทียนหนานอารมณ์ดียิ่งนัก 


 


 


“ในเมื่อเป็นสายสืบย่อมต้องจับมาสอบสวนให้เต็มที่” กษัตริย์เทียนหนานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ร่องฟันคล้ายมิได้ขบเคี้ยววาจาทว่าคล้ายขบเคี้ยวใบหน้างดงามแต่กำเนิดนั้นของจิ่งเหิงปัว 


 


 


“เช่นนี้ย่อมดีแน่” บุรุษยังคงเกียจคร้าน คิ้วเลิกขึ้นเพียงน้อยสายตาเฉียดผ่านจากร่างของสตรีเบื้องล่าง 


 


 


จากนั้นเขาชะงักเล็กน้อย สายตาทอดลงบนร่างเงาขาวสายหนึ่งที่ปรากฏกายไวว่องท่ามกลางฝูงชน แนววิถีการเดินท่ามกลางฝูงชนของเงาขาวดุจสายฟ้าสายลม เงานั้นอาศัยรอยแยกฝูงชนประชิดใกล้รถขบวนแห่อย่างแผ่วเบา ผู้คนบริเวณนั้นขยับเขยื้อนเป็นกลุ่มทว่าไร้ผู้รับรู้ 


 


 


คิ้วของบุรุษชุดดำเลิกขึ้นเพียงน้อย เรือนร่างหลบไปทางข้างหลัง มือทอดลงบนไหล่ของกษัตริย์เทียนหนานเบาๆ ประคองนางขยับมาบังเบื้องหน้าตนเองอย่างแผ่วเบา 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานฉวยโอกาสหัวเราะคิกคักพักพิงตรงไหล่ของเขา นิ้วมือชี้ไปยังจิ่งเหิงปัวเอ่ยกับองครักษ์ว่า “จับสตรีนางนั้นมา…อ๊ะ ผู้สวมชุดขาวนั้นคือผู้ใด บุรุษนั้นรูปงามยิ่งนัก!” 


 


 


น้ำเสียงของนางกึกก้องด้วยความดีใจระคนแปลกใจยิ่งใหญ่มหึมาโดยพลัน 


 


 


… 


 


 


“ลงมา!” 


 


 


เมื่อจิ่งเหิงปัวได้ยินน้ำเสียงนี้ก็รู้ว่ามหาเทพกงมาถึงแล้ว 


 


 


“ทุกท่านที่รัก” นางไม่สนใจกงอิ้นแม้แต่น้อย มือข้างหนึ่งเกาะกุมเสาประดับยิ้มแย้มชม้ายชายตาให้มวลชนครั้งหนึ่งพลางกล่าวว่า “อยากชมข้าร่ายรำหรือไม่” 


 


 


“อยาก!” เสียงตอบกลับดังก้องยิ่งกว่า โดยเฉพาะบุรุษอ่อนเยาว์ยิ่งขานรับอย่างกระตือรือร้น 


 


 


“ทว่าสามีของข้าไม่ให้ข้าร่ายรำน่ะสิ…” จิ่งเหิงปัวแบะปากไปยังทิศทางของกงอิ้นกล่าวว่า “ข้าร่ายรำแล้วเขาจะจับข้ากลับไป ซ้ำยังบังคับข้าร่ายรำให้ผู้คนมากกว่านี้ชม ข้ากลัวจังเลย…” 


 


 


“สามี” สองคำเข้าหู ฝีก้าวที่กงอิ้นยกขึ้นมาชะงักงัน 


 


 


เขาหลุบตาต่ำโดยพลัน ขนตาหนาแน่นบดบังสายตาดุจระลอกคลื่นใต้น้ำยามนี้ 


 


 


“ยังมีบุรุษเช่นนี้ด้วย!” ฝูงชนฟังแล้วโกรธจนหน้าเขียวหน้านิ่วคิ้วขมวดตะโกนว่า “ลากออกมากระทืบ!” 


 


 


คนกลุ่มหนึ่งมองตามสายตาของจิ่งเหิงปัวพานพบกงอิ้น ในพริบตาเดียวพลันรู้สึกว่าถูกยั่วยุอารมณ์ มีผู้กำมือไว้เดิมทีหวังจะพุ่งเข้ามาทว่าบรรยากาศสูงส่งเยือกแข็งของกงอิ้นพาให้ผู้คนเพียงเห็นก็เกิดความกลัว สืบเท้าออกมาก้าวหนึ่งแล้วถอยเท้ากลับไปสองก้าว 


 


 


“อ๊ะ อย่า อย่านะ” จิ่งเหิงปัวไม่กลัวมหาเทพถูกทำร้าย แต่กลัวมหาเทพโกรธาทำลายทั้งเมือง รีบเร่งยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ที่จริงสามีชอบดูข้าร่ายรำเช่นกันนะ เพียงไม่ชอบที่ข้าแสดงต่อหน้าทุกคน พวกเจ้าน่ะ หากให้เขาขึ้นมาได้ ให้เขาขึ้นมานั่งเป็นพระนางนั่งผกานางนี้ได้ ข้าร่ายรำล้อมรอบเขา เขาย่อมไม่มีความเห็นแล้ว” 


 


 


นางเท้าคางยิ้มแย้มมองกงอิ้น อยากจูงเขาขึ้นมาเป็นความคิดชั่ววูบ อยากยั่วเย้ามหาเทพอิ้นผู้สูงส่งปานหิมะบนยอดภูผา ถ้าเป็นพระนางนั่งผกาขึ้นมาจริงๆ จะน่าสนุกแค่ไหนนะ อีกด้านหนึ่งหลังจากกงอิ้นขึ้นมาจะพานางหนีไปก็สะดวก ปีศาจที่ล่องไปลอยมาก็จะกลายเป็นกงอิ้นไม่ใช่นาง ส่วนอีกด้านหนึ่ง…ระบำรูดเสาระบำหน้าท้องระบำฮาวายของนางยังไม่เคยเต้นให้เขาดูเลยนะ! 


 


 


แต่ว่านางใช้นิ้วมือคิดยังรู้ว่าระดับความร่วมมือของมหาเทพเท่ากับศูนย์ มองเขายืนอยู่ที่นั่นด้วยสภาพคนเป็นห้ามเข้าใกล้ รอบกายไกลห่างว่างเปล่าสามนิ้วโดยอัตโนมัติ ใครกล้าฝืนใจเขา 


 


 


“ชายชาตรีผู้หนึ่งเหตุใดจึงก้าวก่ายสตรีมากมายเยี่ยงนั้น” มหาเทพไร้ระดับความร่วมมือทว่าสามัญชนย่อมมีปัญญาของสามัญชนเอง พลันมีบุรุษหลายคนพุ่งมาจากด้านหลังของกงอิ้นพุ่งศีรษะไปทางกงอิ้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นมือของกงอิ้นพลันยกขึ้นมาได้ชัดเจน ระหว่างนิ้วคล้ายอบอวลด้วยไอเยือกเย็นเบาบางทว่าวางลงไปในพริบตา 


 


 


จิ่งเหิงปัววางใจว่ากงอิ้นมีหลักการดังคาด เขาสุขุมรอบคอบแต่ไหนแต่ไรคงจะไม่ยอมก่อความวุ่นวายทำร้ายคนที่ต่างแคว้นนี้แน่นอน 


 


 


เพียงแต่การชะงักเพียงครั้งนี้ทำให้ผู้คนได้กำลังใจ คลื่นฝูงชนพลันผลักทะลักล้นเข้ามาผลักกงอิ้นจนโซเซหนึ่งครั้งทั้งอย่างนั้น ร่างเขาประชิดใกล้รถขบวนแห่ มหัศจรรย์ที่ว่าท่ามกลางผู้คนที่ผลักเขายังมีสตรีไม่น้อยแอบซ่อนแฝงบดบัง 


 


 


รูปโฉมงดงามอยู่ที่ไหนล้วนได้รับความนิยม สายตาของผู้คนนับมิถ้วนแวววาวชื่นชมการแสดงของ ‘สามีภรรยา’ รูปงามคู่นี้ด้วยท่าทีสนใจไม่เบา 


 


 


“เจ้าก็พยายามนั่งๆ สักหน่อย ให้พวกเราได้ดูโฉมงามร่ายรำ!” ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาเสียงหนึ่ง คนกลุ่มใหญ่พุ่งขึ้นมาผลักกงอิ้นไปบื้องหน้า ยังมีผู้กระโดดขึ้นไปบนรถนานแล้วลาก“พระนางนั่งผกา” ผู้โชคร้ายลงมาร้องว่า “ถอยมา! ถอยมา! พวกเราจะชมโฉมงาม!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มอย่างดีใจมากยิ่งขึ้น มองมหาเทพกงแพ้พ่ายสะใจจัง 


 


 


คลื่นฝูงชนโหมซัดสาด คนนับร้อยพันเบียดกงอิ้นไปเบื้องหน้ารถขบวนแห่ทั้งอย่างนั้นในทันที ชั่วครู่ก่อนกำลังจะถูกเบียดขึ้นรถไป มือของกงอิ้นยกขึ้นเพียงครั้งจับริมขอบรถขบวนแห่ดังเพี้ยะเสียงหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นเขาหลุบตาต่ำ ปลายนิ้วออกสีขาวน้อยๆ ด้วยใช้แรง สีหน้าคล้ายกำลังอดทนอดกลั้นแลคล้ายกำลังลังเล ขนตาหนาแน่นสยายลงมาดุจแสงทิวาวนเวียนหน้าผากงามโชติช่วงด้วยความพร่างพราวยวดยิ่ง 


 


 


นางรู้สึกทันทีว่าเขาเป็นแบบนี้แล้วน่ารักจัง 


 


 


ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดมาก กงอิ้นผู้ดุจหิมะบนผาสูงโดดเดี่ยวปานน้ำแข็ง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยแปดเปื้อนผงธุลีอุปนิสัยหนึ่งในใต้ฟ้า ใครก็ไม่กล้าใช้คำศัพท์ที่เปี่ยมด้วยความธรรมดาบนโลกมนุษย์เหล่านั้นพรรณนาถึงเขาด้วยรู้สึกว่านั่นคือการดูหมิ่น แต่ขณะนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าดวงตาของเขาที่หลุบต่ำเผยความงงงวยเล็กน้อยและการปฏิเสธเบาบางทั่วร่างนั้นเปี่ยมด้วยความเย้ายวนเป็นเอกลักษณ์ยั่วเย้าให้ใจนางสั่นไหว 


 


 


อยากจะเต้นรำรอบกายเขาสักครั้งต่อหน้าผู้คนขึ้นมาในทันที ให้มีเพียงเขาคนเดียวได้มองเห็นความงามของนางอย่างแจ่มชัดท่ามกลางทุกผู้คน 


 


 


ก่อนตนเองจะรู้สึกตัวขึ้นมา นางย่อกายลงยื่นมือออกไป 


 


 


กงอิ้นกำลังครุ่นคิดว่าชั่วพริบตาต่อมาจะลงมือหรือว่าลักพาตัวสตรีวุนวายนางนี้ไปเลยดี พลันเบื้องหน้ามีมือข้างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา 


 


 


มือขาวบริสุทธิ์ ปลายนิ้วเรียวยาว เล็บสดใสนุ่มลื่นทอประกายวิบวับประหลาดสีม่วงอ่อนงามประณีตดุจงานสลักของครูผู้เลื่องชื่อ 


 


 


ท่วงท่าเชื้อเชิญครั้งหนึ่ง 


 


 


เขาค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมามองเข้าไปในนัยน์ตาธาราหลั่งไหลของนางซึ่งเจือด้วยรอยยิ้มแพรวพราวให้กำลังใจเล็กน้อย สนิทสนมแลมีชีวิตชีวา แววตาสายหนึ่งนั้นคล้ายมัจฉาตัวน้อยว่ายวนเข้าไปในดวงทหัยของเขา 


 


 


เขายิ่งไม่ยินยอมพร้อมใจขึ้นมาโดยพลัน 


 


 


ร่ายรำย่อมได้ ทว่าร่ายรำให้ผู้คนมากมายเช่นนี้เชยชม…ไม่ได้! 


 


 


เขายื่นมือเตรียมจะลากนางลงมา เคลื่อนกายจากไปหาที่ใดสักแห่งก็ได้แล้วลงโทษนางอีกครั้ง 


 


 


… 


 


 


บนหอหลากสีเงียบงันไร้สรรพเสียง 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานจับตามองกงอิ้น ฟันขาวกัดกรอดทว่าควบคุมทั่วร่างที่กำลังสั่นเทาด้วยตื่นเต้นดีใจไว้มิได้ 


 


 


นิ้วมือของผู้ชุดดำหยุดอยู่บนผมของนางทว่าดวงตามองไปเบื้องล่างหอหลากสีอย่างควบคุมมิได้ มองเห็นกงอิ้นถูกผลักเข้าไปใกล้รถขบวนแห่พอดี ส่วนสตรีนางนั้นพลันย่อกายลงยื่นมือออกไปให้กงอิ้น 


 


 


จากมุมสายตาของเขามองเห็นสีหน้าของกงอิ้นพอดี 


 


 


ดวงตาของผู้ชุดดำขยับเพียงครั้งโดยพลัน เอนกายออกไปเบื้องหน้าโดยสำนึก หวังจะเพ่งมองสีหน้าของศัตรูการเมืองตัวฉกาจที่สุดในยามนี้ให้ชัดแจ้ง 


 


 


ใต้การเอนกายเพียงครั้ง เขาพลันรู้สึกตัวรีบเร่งถอยกายไปด้านหลังอีกครั้ง 


 


 


ทว่าเบื้องล่างหอนั้นกงอิ้นเงยหน้าโดยพลัน สายตาดุจสายฟ้ากวาดมาทางหอหลากสีเสียแล้ว! 


 


 


… 


 


 


นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวสัมผัสถึงมือของกงอิ้นแล้ว นางรู้สึกได้ถึงแรงฉุดจากกงอิ้น เข้าใจในทันทีว่าเขายังคงไม่ยอมร่วมมือจึงอดจะถอนหายใจเบาๆ เสียงหนึ่งในใจไม่ได้…ระบำนี้คงจะเต้นไม่สำเร็จแล้ว 


 


 


ทว่าตอนนี้นี่เองกงอิ้นเงยหน้าโดยพลัน สายตากวาดไปสักแห่งหนึ่งข้างบน 


 


 


จิ่งเหิงปัวใจเต้นตึกตักจับตามองกงอิ้น 


 


 


สายตาของกงอิ้นกวาดไปด้านบนหอหลากสีอย่างแม่นยำ มองเห็นเพียงสตรีนางหนึ่งบดบังด้วยม่านคลุมหน้าครึ่งหนึ่งคล้ายกำลังชม้ายชายตามาทางเขา 


 


 


กงอิ้นขมวดคิ้ว เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าสตรีนางนี้ไม่มีวรยุทธและมิได้คุกคาม เช่นนั้นลางสังหรณ์เตือนภัยเมื่อครู่มาจากที่ใด 


 


 


ที่สุดแล้วในใจยังมีความรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง เขาครุ่นคิดชั่วครู่ยกมือครั้งหนึ่งรับมือของจิ่งเหิงปัวไว้แล้วกระโดดขึ้นมาเพียงครั้งอย่างแผ่วเบา 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเขาขึ้นบนเวทีจริงๆ ด้วยท่าทางปากอ้าตาค้าง 


 


 


มหาเทพย่อมเป็นมหาเทพ แม้ว่าไม่ยินยอมในทุกสิ่งทว่ายามขึ้นเวทีจริงๆ ยังสุขุมเยือกเย็น มิต้องให้มีผู้ใดเชื้อเชิญหันกายเพียงครั้งนั่งลงบนตำแหน่งของพระนางนั่งผกา สีหน้าท่าทางนั้นดุจดังขึ้นประทับบนบัลลังก์แห่งตำหนักอวี้จ้าวของเขา 


 


 


จากนั้นคางของเขาเชิดขึ้นมามิได้สนใจฝูงชนที่พลันเงียบงัน เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยกับจิ่งเหิงปัวผู้งงงันไปเสียแล้วว่า “ร่ายรำเถิด”

 

 

 


ตอนที่ 43.2

 

(เพียงเธอเท่านั้น)

 


 


 


 


จิ่งเหิงปัวงงันไปสามวินาที 


 


 


ลากเขาขึ้นมาเป็นเพียงการล้อเล่น ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดยังรู้ว่ากงอิ้นไม่ร่วมมือแน่แต่ขณะนี้เขากลับนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น รับบทบาท ‘พระนางนั่งผกา’ ขึ้นมาจริงๆ  


 


 


เมื่อคืนฝันไปยังไม่ตื่นเหรอ 


 


 


นางงุนงงอยู่ตรงนั้นแต่ฝูงชนตื่นเต้นดีใจ ยามนี้ทุกคนเพิ่งได้เห็นรูปโฉมของกงอิ้นอย่างชัดเจน พลันรู้สึกว่าแม้เป็นบุรุษผู้หนึ่งยังงดงามกว่า ‘พระนางนั่งผกา’ เมื่อครู่นั้นเป็นร้อยเท่า สีหน้าท่าทางของคนบางประเภทเพียงพอให้ชาดแดงแป้งร่ำบนโลกาล้วนมืดสลัวไร้สีสัน 


 


 


ทุกคนมองไปที่เขาแล้วมองไปที่จิ่งเหิงปัว รู้สึกโดยพลันว่าแม้รูปโฉมของทั้งสองคนทั้งสองรูปแบบแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แต่นับได้โดยแท้จริงว่ารูปโฉมสมกันบุคลิกส่งเสริมกัน เปี่ยมด้วยความรู้สึกสอดประสานน่าอัศจรรย์ 


 


 


“ร่ายรำสิ! ร่ายรำสิ!” ฝูงชนโวยวายกึกก้องโหวกเหวกเป็นระยะ ศีรษะคนดกดำพุ่งขึ้นมาด้านบนดุจเกลียวคลื่นเป็นระลอก 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มออกมาทันที 


 


 


นางยืดขาข้างหนึ่งพรวดพราดออกมา เหยียดอ้าขากว้างเป็นรูปเลขหนึ่งด้วยท่าทางเสแสร้งแนบลงบนเสาประดับ! 


 


 


เหล่ามวลชนอ้าปากกว้าง หลังตกตะลึงไปชั่วครู่จึงตะโกนโหวกเวกโวยวายฮือฮาคราหนึ่ง 


 


 


“ท่วงท่างดงาม!” 


 


 


กงอิ้นผู้สมาธิยังอยู่ที่สี่ด้านชะงักงันในชั่วพริบตา 


 


 


เรือนร่างของสตรีเหยียดยาวกลายเป็นเส้นตรงตั้งฉากเส้นหนึ่ง ฉุดรั้งจนขายาวยิ่งเรียวยาวช่วงเอวยิ่งผอมบางส่วนกระชับยิ่งกระชับส่วนโค้งเว้ายิ่งโค้งเว้า ผมยาวแผ่สยายปานสายธารหลั่งไหลลูบผ่านความโค้งเว้าของทรวดทรงดุจกิ่งหลิวยามวสันต์ พาให้ผู้คนยากจะนึกถึงว่าร่างมนุษย์จะอ่อนนุ่มแน่นเหนียวได้เช่นนี้ คล้ายดังปลายนิ้วกวักเพียงครั้งยังร่ายรำบนฝ่ามือได้ดุจดอกจิ่นเทา[1]เหินหาวผลุบโผล่งามสง่า 


 


 


นี่ถึงเป็นการผุดเผยมุมซึ่งลึกลับที่สุดของเรือนร่างที่สะท้านใจสะเทือนวิญญาณ 


 


 


ในพริบตาเดียวดวงตาทั้งหลายคล้ายลุกโชนด้วยเปลวเพลิง ในดวงตาเหล่าสตรีคือเพลิงริษยา ในดวงตาเหล่าบุรุษคือเพลิงปรารถนา ในดวงตามหาเทพ… 


 


 


ในดวงตามหาเทพคือเพลิงโทสะ 


 


 


ท่วงท่าเช่นนี้…! 


 


 


‘พระนางนั่งผกา’ นั่งไม่ติดแล้ว สะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งหวังลุกขึ้นมา เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวปลดลงมาจากเสาปานอสรพิษเวียนมาถึงเบื้องหน้าเขาดั่งสายลม เรือนร่างโค้งเพียงครั้งจับพนักแขนเก้าอี้ไว้เสียแล้ว 


 


 


กงอิ้นชะงักงัน 


 


 


จากมุมสายตาของเขา ยามนี้จิ่งเหิงปัวส่งเนินลึกล้ำชิดแน่นบางแห่งมาเบื้องหน้าเขาพอดิบพอดี… 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะเสียงเบาเสียงหนึ่ง นิ้วมือเฉียดผ่านจากลูกกระเดือกของเขาอย่างแผ่วเบา จากนั้นหันกายอ่อนช้อยครั้งหนึ่ง สายผูกอาภรณ์สัมผัสผ่านปลายจมูกของเขา นางเอนเอียงพลิกกายครั้งหนึ่งเกี่ยวช่วงคอของเขาไว้ โฉมไฉไลอ่อนละมุนดุจผิวเคลือบ ดวงตาดอกท้อมองปราดมาดุจธารหลาก ผมยาวสยายบนไหล่ของเขาดุจความฝัน 


 


 


ท่วงท่าต่อเนื่องกันดุจเมฆเหินน้ำไหล ทว่าทั้งร่างของกงอิ้นคล้ายแข็งทื่อเสียแล้ว… 


 


 


นางโค้งริมฝีปากยิ้มแย้มให้เขาครั้งหนึ่ง รอยยิ้มซุกซนยิ้มเสียจนดวงใจของเขาไหวสะท้านเกิดความรู้สึกสับสนจนทำสิ่งใดไม่ถูกเล็กน้อยไปชั่วขณะ 


 


 


เขารับมือกับการมิอาจควบคุมได้ คุ้นเคยกับการหลอกลวงกันและกัน พานพบการแข่งเป็นแข่งตายจนเบื่อหน่าย พลิกผันราชสำนักแย่งชิงอำนาจ ยามนี้กลับมิรู้ว่าจะรับมือกับดวงตาใสแววงามเฉิดฉายและแขนอ่อนนุ่มคู่นั้นของสตรีนางหนึ่งได้อย่างไร 


 


 


ทว่านางกลับครวญเพลงด้วยเสียงแผ่วเบาขึ้นมา 


 


 


“ONLY YOU (เพียงเธอเท่านั้น)…” 


 


 


ท่วงทำนองแปลกประหลาด การออกเสียงแปลกประหลาดจนเขามิรู้ว่านี่คือคำใด เพียงรู้สึกได้ถึงคำร้องประโยคนี้จากแววตาเจือด้วยรอยยิ้มสามส่วน หยอกล้อสามส่วน จริงจังสามส่วนซ้ำยังแปลกประหลาดสามส่วนของนางว่าพิเศษไร้ผู้ใดเหมือนเป็นแน่ 


 


 


ผู้ร่ายรำและผู้ชมขับเคี่ยวความรู้สึก ดวงตากลอกไปกลอกมา ผู้ล้อมชมครึกครื้นเนิ่นนานแล้ว 


 


 


ทุกคนจะเคยเห็นระบำเช่นนี้ได้อย่างไร แม้ว่าเสี่ยวเฟิ่งหวงซึ่งมาจากตระกูลนักแสดงงิ้ว สิ่งที่กล่าวขานกันว่าเป็นระบำอ่อนช้อยงดงามยังเป็นเพียงการร่ายรำท่วงท่าอ่อนช้อยไม่กี่ท่าเท่านั้น 


 


 


ผู้ใดจะนึกถึงความยั่วยวนและเสน่ห์ของโฉมสะคราญผู้เริงระบำเล่า ดุจโบตั๋นดอกหนึ่งแย้มบานชอุ่มน้ำในหมอกควันสีชมพูกลุ่มหนึ่งกำลังใช้กลิ่นหอมเชื้อเชิญโดยไร้วาจา 


 


 


แล้วทุกคนจะเคยเห็นท่วงท่าเช่นนี้ของกงอิ้นได้อย่างไร บุรุษผู้หนึ่งนั่งเรียบร้อยอยู่บนตำแหน่งของพระนางนั่งผกาทว่าทำให้ผู้คนหลงลืมความเก้อเขินเช่นนี้ได้ ในความเคลิบเคลิ้มรู้สึกเพียงคล้ายดังถูกเขามองด้วยความทะนงองอาจจากปลายเมฆา 


 


 


คนครึ่งหนึ่งอยากจะลากสตรีที่ร่ายรำงามยั่วยวนลงมา ตนเองเข้าไปนั่งในอ้อมแขนของ ‘พระนาง’ ส่วนคนครึ่งหนึ่งอยากจะลาก ‘พระนาง’ ลงมา ให้สตรีที่ร่ายรำงามยั่วยวนมานั่งในอ้อมแขนของตนเอง 


 


 


… 


 


 


“นี่คือระบำใดกัน ข้าจะเรียน!” กษัตริย์เทียนหนานสายตาแพรวพราว เรือนร่างแทบจะยื่นไปถึงนอกหน้าต่าง ชี้ไปที่จิ่งเหิงปัวอย่างตื่นเต้นพลางเอ่ยว่า “จับนางมา!” 


 


 


ครุ่นคิดชั่วครู่ หางตามองผู้ชุดดำที่เดินออกไปแล้วนั้นปราดเดียวก่อนชี้ไปที่กงอิ้นเอ่ยเสียงเบาว่า “เคลื่อนพลสนับสนุน จับเขามา!” 


 


 


… 


 


 


ผู้ชุดดำหันหลังให้หน้าต่างคล้ายครุ่นคิดชั่วครู่แล้วทำมือเป็นสัญลักษณ์เพียงครั้งไปยังฝูงชนเบื้องล่างเช่นกัน 


 


 


แสงอาทิตย์แฉลบผ่านมุมปากของเขาคล้ายยิ้มแลมิได้ยิ้มทว่าพาให้ผู้คนรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นเยือกเย็นเล็กน้อย 


 


 


คือเหยียลี่ว์ฉี 


 


 


… 


 


 


“เธอผู้เป็นดังแอปเปิลน้อยของฉัน…” จิ่งเหิงปัวคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม นิ้วมือยื่นไปเชยคางของกงอิ้น กงอิ้นหลบหลีกเล็กน้อย นางยิ้มยั่วยวนวนเวียนออกไป ยกมือครั้งหนึ่งปลดดอกไม้ผ้าไหมสองดอกบนเสาประดับ ดอกหนึ่งคาบไว้อีกดอกหนึ่งคีบไว้ ร่ายรำเข้ามาดุจสายลมแล้วโยนดอกไม้ไปทางหัวเข่าของกงอิ้น 


 


 


“ให้ข้า! ให้ข้า!” บุรุษกลุ่มใหญ่กระโดดขึ้นมาปรารถนาจะพุ่งขึ้นไปรับดอกไม้บนรถขบวนแห่ 


 


 


กงอิ้นยกมือคล้ายจะรับมาทว่ามือข้ามผ่านดอกไม้ผ้าไหม คว้าจิ่งเหิงปัวที่กำลังจะหันกายร่ายรำออกไปอีกรอบไว้ในครั้งเดียว เอ่ยว่า “หยุดร่ายรำ! ไป!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวถูกเขาจูงจนเรือนร่างหมุนไปข้างหลังปานธงสะบัดพัดไหวกลางสายลมแล้วร่วงสู่อ้อมแขนของเขา 


 


 


ขณะนี้นางเงยหน้าขึ้นมาน้อยๆ พอดี ริมฝีปากคาบดอกกุหลาบแดงจากผ้าไหมดอกหนึ่งไว้เอนเอียง ดอกไม้ประดิษฐ์อย่างประณีตซ้ำยังใช้ไข่มุกเม็ดน้อยประดับเป็นหยาดน้ำค้าง แสงรุ่งโรจน์สาดประกายภายใต้แสงอาทิตย์ทว่าเทียบมิได้กับสีสันแวววาวงามสง่าระลอกหนึ่งในสายตาของนางซึ่งเหนือกว่าแสงรุ้งปลายขอบฟ้า 


 


 


คนงามเสียกว่ามวลผกา 


 


 


ดวงตาสองคู่สอดประสาน นัยน์ตาของนางคล้ายมีฝนวสันต์โปรยปรายสาดย้อมฟ้าดินเป็นใจนี้ สายตาแจ่มชัดของกงอิ้นยังหลงทางไปบ้างในครู่หนึ่ง 


 


 


เพียงครู่หนึ่งนี้ 


 


 


เงาคนนับไม่ถ้วนวิ่งพล่านท่ามกลางฝูงชนโดยพลัน เงาสีเหลืองแฉลบปานวิหคดุร้ายเพียงครั้งเข้าใกล้สามจั้งก่อนร่วงลงบนเวทีสูงในพริบตาเดียว ผู้หนึ่งในนั้นฟาดมือเพียงครั้งคว้าจิ่งเหิงปัวเอาไว้ในมือพลันสืบเท้าก้าวถอยหลังปานว่าวตัวหนึ่ง 


 


 


ยังมีเงาผู้ชุดเหลืองสี่คนปรากฏข้างกายกงอิ้นอย่างเงียบเชียบ ผู้หนึ่งในนั้นรูปร่างอ้วนเตี้ยลงมือเพียงครั้งสะบั้นมือของกงอิ้นที่หวังจะลากจิ่งเหิงปัวออกไป 


 


 


เงาขาวกะพริบวูบตามด้วยเสียงหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง กงอิ้นออกจากวงล้อมมาดุจภูตพราย แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้งสะบัดผู้ที่คว้าจิ่งเหิงปัวไว้ล้มออกไปสามจั้ง มือข้างหนึ่งของกงอิ้นพาดบนหัวไหล่ของจิ่งเหิงปัวด้วยท่าทีสงบนิ่ง 


 


 


“ไป!” เขาเอ่ย 


 


 


จิ่งเหิงปัวกำลังจะเคลื่อนย้ายหายตัว ประกายแสงในดวงตามองเห็นเงาดำกะพริบวูบที่เบื้องหน้ากะทันหันคล้ายมีผู้หนึ่งเฉียดผ่านฝูงชนอย่างลับๆ ล่อๆ วัตถุสีดำคล้ำในมือยกขึ้นเพียงครั้ง… 


 


 


“ระวัง!” นางกรีดร้องกอดกงอิ้นไว้รีบล้มลงไปด้านหลัง 


 


 


อาวุธลับจ่อตรงทิศทางของนางและกงอิ้นพอดี ด้วยท่วงท่านี้อาวุธนั้นจะทะลุผ่านนางจนกลายเป็นรูพรุนก่อนแล้วจึงทะลุผ่านกงอิ้น 


 


 


ไม่ใช่ว่านางคิดไม่ถึง เพียงแต่ชั่วครู่หนึ่งนั้นไม่ทันได้คิด 


 


 


เรี่ยวแรงมหาศาลสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาเปลี่ยนแปลงท่วงท่าของนางทั้งอย่างนั้น ผลักนางจนโซเซไปอีกด้านหนึ่ง จิ่งเหิงปัวล้มลงพื้นดังพลั่กกลิ้งไปมาพลิกกายออกไป แวบหนึ่งมองเห็นกงอิ้นกระโจนขึ้นยืนอยู่บนยอดเสาหลากสีไกลๆ จึงค่อยๆ วางใจ 


 


 


นางหันข้างครั้งหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ มองเห็นเงาด้านหลังคล้ายจะคุ้นตาเงานั้นท่ามกลางฝูงชน นางร้องอย่างตระหนกเสียงหนึ่งว่า “เหยียลี่ว์ฉี!” 


 


 


กงอิ้นเงยหน้าสายตาเบนขึ้นมาจดจ้องครั้งหนึ่ง คนผู้นั้นโยนอาวุธลับทิ้งไปโดยพลันแล้วโถมกายวิ่งหนี ข้างกายเขามีเงาผู้ชุดดำหลายสายแวบขึ้นมาดังสายฟ้าฟาด พุ่งกายไปทางกงอิ้นด้วยคิดขัดขวาง 


 


 


กงอิ้นสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้ง สองคนในนั้นจึงตะโกนน่าเวทนาก่อนร่วงหล่นไปห่างไกล 


 


 


เงาคนกะพริบต่อเนื่อง ผู้ชุดเหลืองที่ออกมาก่อนแล้วหลายคนกะพริบกายออกมาขวางทางกงอิ้น ทว่ามิอาจขัดขวางกงอิ้นได้แม้แต่ปลายเล็บ เงาขาวกะพริบวูบดุจสายฟ้า กงอิ้นกำลังจะหลุดพ้นจากวงล้อมของพวกเขาแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่กลิ้งไปมามั่วซั่วระลอกหนึ่งค่อยๆ วางใจ ดวงตามองเห็นตนกำลังจะกลิ้งตกรถขบวนแห่ นางครุ่นคิดว่ารอให้ยืดยืนร่างกายได้ตรงดิ่งจะเคลื่อนย้ายหายตัวหลบหนีทันที ไม่มีนางเป็นตัวถ่วง กงอิ้นจะได้ไปไล่ล่าสังหารเหยียลี่ว์ฉีในทันที 


 


 


พลั่ก! นางร่วงจากรถขบวนแห่ 


 


 


แต่ไม่ได้ร่วงลงสู่พื้นแข็งดังคาดการณ์ 


 


 


สัมผัสอ่อนนุ่มทั้งมีความยืดหยุ่น คล้ายอ้อมแขนเปี่ยมเรี่ยวแรงคู่หนึ่งรองรับนางไว้อย่างมั่นคง 


 


 


ในใจนางหนักอึ้งมีลางสังหรณ์ไม่ดีรำไร จากนั้นนางได้ยินเสียงที่คุ้นหูอย่างยิ่งเสียงหนึ่งหัวเราะพลางเอ่ยที่ข้างหูนางแผ่วเบาว่า “มนุษย์ยามแยกจากมักมีโอกาสได้พานพบอีกคราเป็นเรื่องจริงแท้ ฝ่าบาทของกระหม่อม” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉี! 


 


 


ความรู้สึกแรกของจิ่งเหิงปัวคือต้องตะโกนก้อง นางจะร้องขอความช่วยเหลือ กงอิ้นอยู่แถวนี้องครักษ์ของกงอิ้นก็ต้องอยู่แถวนี้แน่นอน! 


 


 


ทว่าพอมืออ่อนนุ่มดุจลมวสันต์คู่หนึ่งเฉียดผ่านร่างนางแผ่วเบาเพียงครั้ง นางก็ตะโกนไม่ออกอีกต่อไป รู้สึกกระทั่งว่าทั่วร่างราวถูกเชือกล่องหนมัดแน่นขยับไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว 


 


 


รถขบวนแห่ขยับขึ้นมากะทันหัน ไม่รู้ว่าถูกแรงอะไรผลักดันจึงชนเข้าไปในเรือนพักอาศัยหนึ่งหลังริมถนนดังครืนเสียงหนึ่ง อิฐมอญเผิงไม้แหลกละเอียดเอนเอียงลงมาบดบังแนวสายตาของผู้อื่นไว้ ซ้ำยังขัดขวางเส้นทางการไล่ล่าติดตาม 


 


 


เมื่อรถขบวนแห่ขยับเขยื้อนพุ่งชนกำแพง เหยียลี่ว์ฉีโอบนางไว้หายตัวไปในขณะนั้น เงาร่างสีดำดั่งมัจฉาอาศัยการกำบังของรถขบวนแห่ไถลเข้าไปในห้องแล้วโอบจิ่งเหิงปัวทะลุออกทางหน้าต่าง 


 


 


ในขณะที่เขาออกไป หน้าต่างหลายบานในห้องมีผู้แต่งกายคล้ายกันทุกกระเบียดนิ้วหลายคนพุ่งออกมาในคราวเดียวกัน ในมือยังโอบร่างคนซึ่งเป็นวัตถุแยกย้ายไปในแต่ละทิศทาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบถอนหายใจเสียงหนึ่ง เหล่าราชครูเจ้าเล่ห์กันทั้งนั้น 


 


 


ท่ามกลางการถูกไล่ล่าสังหารยังไม่รู้ว่าเหยียลี่ว์ฉีมีตัวแทนมากมายแค่ไหน 


 


 


ผู้ที่ยิงอาวุธลับใส่นางกับกงอิ้นท่ามกลางฝูงชนก่อนหน้านี้คือตัวแทนคนหนึ่ง จุดประสงค์เพื่อดึงดูดความสนใจของพวกเขาและแยกนางกับกงอิ้นออกจากกัน ภายหลังเข้ามาสู่ห้องริมถนน ในห้องยังมีตัวแทนหมอบซุ่มอย่างน้อยที่สุดสามคน อีกเดี๋ยวคนเหล่านี้กระจายออกไปทั่วสารทิศแล้วกงอิ้นจะตามคนไหนไปกันแน่ 


 


 


ไล่ตามผิดเพียงคนเดียว เหยียลี่ว์ฉีก็จะลักพาตัวนางหนีไปไกลกว่าพันลี้ได้แล้ว 


 


 


อืม ถูกศัตรูลักพาตัวต้องช่วงชิงทิ้งวัตถุของตนเองเป็นสัญลักษณ์ไว้ ในนิยายน้ำเน่ากล่าวไว้อย่างนี้ทั้งนั้น 


 


 


แต่บนร่างกายไม่มีวัตถุชิ้นใดที่สามารถทิ้งไว้ได้จะทำอย่างไร รองเท้าส้นสูงเป็นแบบสายรัดจะสะบัดก็สะบัดไม่หลุด อีกทั้งนางไม่คิดว่าเหยียลี่ว์ฉีจะสะเพร่าจนยอมให้นางสะบัดรองเท้า 


 


 


ถ้าจะพอเป็นไปได้ ทำใจแข็งหักเล็บออกอาจจะเป็นวิธีหนึ่ง เล็บของนางทาน้ำยาทาเล็บทำให้จดจำได้โดยง่ายอย่างยิ่ง… 


 


 


ดวงตาของจิ่งเหิงปัวมองเหยียลี่ว์ฉีโอบนางกระโจนข้ามกำแพงด้านหนึ่ง นางกำลังจะกัดฟันขูดนิ้วมือลงบนกำแพงสักหน่อย ขูดเล็บออกไปสักนิ้ว 


 


 


เหยียลี่ว์ฉียื่นมือโดยพลันรวบแขนที่ยื่นออกไปเพียงน้อยของนางไว้ กุมนิ้วมือของนางไว้ในฝ่ามืออย่างหลวมๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาทที่เคารพ พระนขาของพระองค์คือวัตถุที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดบนโลกนี้ โปรดอย่าได้ทรงทำลายง่ายๆ เชียวนะ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเกลียดตนเองที่ไม่ได้อาบยาพิษ! วางยา! ซ่อนมีดสั้น! วางกลไก! ไว้บนเล็บไม่อย่างนั้นจะจิ้มอันธพาลใจดำอย่างเขาให้เป็นโพรงเล็กๆ สักสิบโพรงแน่นอน! 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีโอบนางไว้แฉลบออกไปอย่างนุ่มนวล เบื้องหน้าคือรถม้าไม่สะดุดตาคันหนึ่ง เขาตรงเข้าไปในรถม้า รถม้าแล่นออกไปดังกึกกักโดยพลัน 


 


 


ในห้องโดยสารมืดอย่างยิ่งจนจิ่งเหิงปัวมองไม่ชัดไปชั่วครู่ พลันได้ยินเสียงแหบกระด้างเล็กน้อยเสียงหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความไม่พอใจว่า “เจ้ายังคงสนใจในสตรีนางนี้!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวฟังวาจานี้แล้วรับรู้ถึงไอสังหาร 


 


 


“ข้านี้มิใช่ทำเพื่อท่านหรอกหรือ” เหยียลี่ว์ฉียิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าสนใจหรือไม่สนใจนางยังเอ่ยมิได้ทว่าข้ารู้ว่าท่านสนใจบุรุษชุดขาวผู้นั้นเป็นแน่ พอข้าลักพาตัวนางมา บุรุษผู้นั้นที่ท่านต้องการย่อมต้องไล่ตามมาแน่นอน” 


 


 


“งั้นหรือ?” เสียงสตรีมีความตื่นเต้นดีใจบางส่วนเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าต้องรีบเร่งจัดแต่งสถานที่ให้เขามาได้ทว่าไปมิได้” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะแผ่วเบาขึ้นมาเอ่ยว่า “นั่นเป็นเรื่องธรรมดา” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ดอกจิ่นเทา ดอกไม้สีขาวทรงระฆังคว่ำชนิดหนึ่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassiope selaginoides


 

 

 


ตอนที่ 43.3

 

รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าดังกึกกัก จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงรถม้ารอบด้านค่อยๆ หายไปตรงทางแยก ดูท่าเหยียลี่ว์ฉีคงใช้วิธีการเดิมอีกครั้งคือใช้เป้าหมายน่าสงสัยคล้ายคลึงกันมากมายมาทำให้กงอิ้นไร้หนทางแน่ใจเส้นทางของนาง 


 


 


แต่นางกลับรู้สึกว่า มหาเทพกงมีพลังมองทะลุเบาะแสในม่านหมอกโดยฉับพลันอะไรแบบนั้น ซ้ำยังมีความสามารถในการโจมตีจุดศูนย์กลางโดยตรง เหยียลี่ว์ฉีสิ้นเปลืองความคิดมากมายขนาดนั้นเป็นไปได้มากว่าจะเสียแรงเปล่า 


 


 


รถม้าเคลื่อนไปได้ประมาณหนึ่งเค่อ ในความรู้สึกนางผ่านทะลุประตูมากมาย มีผู้สืบเท้าขึ้นมาสอบถามอย่างต่อเนื่องแต่ถอยออกไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ฟังจากน้ำเสียงของผู้สอบถามคล้ายเป็นทหาร ฟังจากปฏิกิริยาโต้ตอบของทหาร บุคคลในรถม้าถ้าไม่ใช่เศรษฐีคงต้องเป็นผู้สูงศักดิ์ 


 


 


จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงประตูปิดลงจากด้านหลังตนอย่างแน่นหนัก เสียงดังแอ๊ดอ๊าดหนักอึ้งแบบนั้นทำให้นางนึกถึงประตูพระราชวังโบราณหนาหนัก…คงจะไม่ได้มาถึงพระราชวังแห่งกษัตริย์เทียนหนานหรอกมั้ง 


 


 


ในที่สุดรถก็หยุดลง เหยียลี่ว์ฉีจะอุ้มนางลงไปแต่สตรีในห้องโดยสารยกมือห้ามเพียงครั้ง เอ่ยวาจาเจือด้วยอารมณ์หึงหวงเล็กน้อยว่า “เหตุใดจะต้องรบกวนเจ้าอุ้มนางไป เปิ่นหวัง[1]จะเรียกข้ารับใช้ในวังมาปรนนิบัติ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้ได้ทันทีว่านางคือใคร แท้จริงแล้วนางคือกษัตริย์เทียนหนานผู้อาศัยความงามและกลอุบายได้ตำแหน่งกษัตริย์องค์นั้นในตำนานของเขตซีเอ้อ 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานหิ้วกระโปรงไว้ลงจากรถด้วยท่าทางอรชรอ้อนแอ้น ทั้งๆ ที่เบื้องล่างรถมีผู้หมอบรอให้นางเหยียบหลังทว่านางไม่ขยับเขยื้อน เม้มปากยิ้มมองไปยังเหยียลี่ว์ฉี 


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มกระโดดลงจากรถม้าแล้วยื่นมืออกไปให้นาง 


 


 


ครานี้กษัตริย์เทียนหนานจึงลงจากรถมาอย่างพอใจ ด้านหนึ่งรับสั่งให้คนพาจิ่งเหิงปัวลงจากรถ อีกด้านหนึ่งเอ่ยว่า “องครักษ์แห่งวังหลวงประจำการสามร้อยนาย จะต้องเฝ้าประตูวังให้ดีทั้งทิวาแลราตรี จับกุมผู้บุกรุกพระราชวังทุกคน” 


 


 


“ฝ่าบาท” เหยียลี่ว์ฉีอมยิ้มเตือนว่า “องครักษ์สามร้อยนายไม่ต้องเอ่ยว่ามิอาจจับเป็น เกรงว่าเสริมกำลังทั้งหมดเข้าไปยังไม่พอขัดขวางฝีก้าวของเขา” 


 


 


“ร้ายกาจเยี่ยงนั้นเชียว” นัยน์ตาของกษัตริย์เทียนหนานทะลักล้นแสงธารสุกสกาวออกมา ไม่รู้สึกหวาดกลัวทว่ายิ่งเพิ่มพูนด้วยความสนใจหลายส่วนเอ่ยว่า “เช่นนั้นเพิ่มกำลังองครักษ์วังหลวงทั้งหมดคอยรับมือ…ทว่าเฝ้าประตูแน่นหนาเกินไปพาให้เขาตกใจเขาจนหนีไปจะทำเยี่ยงไร” 


 


 


“เท่าที่ข้ารู้” เหยียลี่ว์ฉีมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งเอ่ยว่า “เรื่องเช่นนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น” 


 


 


จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง กระหวัดริมฝีปากยิ้มครั้งหนึ่งเอ่ยว่า “จริงแท้แน่นอน รู้ว่าเจ้าอยู่เขาย่อมต้องมาแน่” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเลิกคิ้ว แม้รู้ว่าวาจานี้มิผิดแน่ เขาส่งตัวแทนต่อกรกับคนที่กงอิ้นส่งไปไล่ล่าสังหารที่ชายแดนซีเอ้อ ตนเองหลบพักผ่อนรักษาบาดแผลอยู่ในวังของกษัตริย์เทียนหนานที่ซีเอ้อ เรื่องนี้ถูกกงอิ้นพบเข้าโดยไม่ตั้งใจเขาย่อมไม่ปล่อยไปแน่ 


 


 


เพียงแต่ยามวาจาธรรมดานี้เอ่ยออกมาจากปากของจิ่งเหิงปัว ไฉนจึงรู้สึกว่าแปลกประหลาดเยี่ยงนี้เล่า… 


 


 


ความรู้สึกนี้มิใช่เขาเพียงผู้เดียว 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานชำเลืองตามองสีหน้าแปลกประหลาดของจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งแล้วชำเลืองมองเหยียลี่ว์ฉีปราดหนึ่ง ขมวดหัวคิ้วขึ้นมา เอ่ยถามว่า “วาจานี้ของเจ้าหมายความว่ากระไร” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะอย่างชั่วร้าย แบะริมฝีปากเพียงครั้งกล่าวว่า “ท่านถามเขาสิ แต่ข้าว่าเขาคงจะไม่บอกท่านหรอก ฮิๆๆ…” 


 


 


แววตาของเหยียลี่ว์ฉีล่องลอยมา เจือด้วยความครุ่นคิดพิจารณาหลายส่วน 


 


 


สำหรับองค์ราชินีองค์นี้ เขายอมรับว่าตนพอจะเข้าใจอยู่บ้าง นางแลคล้ายเลอะเลือนโง่เขลาแท้จริงแล้วในสมองมีความคิดบรรเจิดเลิศล้ำทุกสิ่ง หากไม่ระวังเพียงน้อยย่อมจะเข้าทางของนาง ยังมิรู้ว่าวาจานี้ของนางในยามนี้หมายความว่ากระไรทว่าคิดแล้วคงมิใช่ความหมายดีแต่อย่างใด 


 


 


เขายิ้มน้อยๆ เพียงครั้ง เอ่ยกับกษัตริย์เทียนหนานว่า “ต้าหวัง[2] สตรีนางนี้ดูท่าทางเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก มิสู้ให้ข้าคุมตัวนางแทนท่าน…” 


 


 


วาจาของเขายังมิทันสิ้น สีหน้าของกษัตริย์เทียนหนานก็เปลี่ยนไป 


 


 


จิ่งเหิงปัวสังเกตสีหน้าท่าทางมองไว้ในนัยน์ตาก่อนแล้ว ก้มศีรษะด้วยท่าทีวุ่นด้วยความยินดีปรีดาไม่น้อยไปกว่าขวยเขิน ใบหน้าเปี่ยมด้วยบทพูดแทรกว่า “ข้าน่ะรู้ว่าเจ้าต้องการเช่นนี้ เจ้านี่มันร้ายเสียจริง”  


 


 


กษัตริย์เทียนหนานเอ่ยโดยพลันดังคาดการณ์ว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีมิต้องหักโหม สตรีนางนี้ข้าย่อมคุมตัวนางด้วยตนเอง เจ้าจงพักผ่อนให้เต็มที่เถิด” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีชำเลืองมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง นางชม้ายสายตายิ้มแย้มมาให้เขา 


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าย่อมมิรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของต้าหวังแล้ว” เหยียลี่ว์ฉีกลับเด็ดขาดตรงไปตรงมา คำนับด้วยท่วงท่าสง่างามครั้งหนึ่งแล้วหันกายเดินจากไป 


 


 


แขนเสื้อกว้างสีเงินเหลือบดำของเขาเยื้องกรายร่อนระบำใต้แสงอาทิตย์อัสดง สายตาของกษัตริย์เทียนหนานจ้องมองแผ่นหลังของเขาอย่างลุ่มหลง 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับจ้องมองดวงพักตร์ด้านข้างของกษัตริย์เทียนหนานกล่าวแช่มช้าทันทีว่า “ชอบเขาหรือ” 


 


 


เรือนร่างของกษัตริย์เทียนหนานสะท้านน้อยๆ เพียงครั้ง แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง 


 


 


“ชอบเขา แต่รู้สึกว่าคนผู้นี้ยากจะครอบครอง” จิ่งเหิงปัวคล้ายไม่สนใจความเย็นชาของนาง ห่วงแต่พูดจาให้ตนเองฟังว่า “เขาทั้งสง่างาม เอาใจใส่ มีมารยาท ละเอียดรอบคอบแลมีเสน่ห์ลึกลับ เพียงแต่ความอบอุ่นเอาใจใส่นั้นคล้ายปฏิบัติต่อใครก็แบบเดียวกัน ท่านหาสิ่งพิเศษที่เขาปฏิบัติต่อท่านไม่พบ รอบกายเขาคล้ายปกคลุมด้วยม่านหมอกเบาบาง ท่านมองได้ไม่ชัดเจนแลรู้สึกว่าตนเองไร้หนทางเข้าชิดใกล้อย่างแท้จริง” 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานเรือนร่างสั่นสะท้านอีกครั้ง ผินหน้าจ้องมองนาง 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิครั้งหนึ่งในใจรู้แล้วว่าบทของนิยายรักน้ำเน่ามีประโยชน์ ผู้ชายแบบเหยียลี่ว์ฉีจะมาหวั่นไหวกับผู้หญิงแบบกษัตริย์เทียนหนานง่ายๆ เสียที่ไหน เป็นเพียงการหลอกใช้เท่านั้นแต่กษัตริย์เทียนหนานเป็นผู้หญิงย่อมมีจุดอ่อนไหวของผู้หญิงจึงสับสนกระวนกระวายเป็นธรรมดา 


 


 


นางสับสนก็จัดการได้โดยง่ายแล้ว 


 


 


“บุรุษเช่นนี้เอ่ยว่าจัดการได้ยากย่อมยาก” นางทำเสียงจิ๊จ๊ะถอนหายใจเสียงหนึ่งคล้ายเสียดายกล่าวต่อไปว่า “เอ่ยว่าจัดการได้ง่ายย่อมง่าย” 


 


 


สีหน้าของกษัตริย์เทียนหนานพินิจนางอย่างไม่แน่ใจ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เรื่องรักใคร่ชายหญิงเป็นเรื่องที่ผู้อื่นช่วยได้เสียที่ไหน หากเจ้าเอ่ยวาจาพิกลพิการเดาจิตเดาใจข้าอีกครา ข้าจะกรีดใบหน้าของเจ้าให้ด่างพร้อย ส่งเจ้าไปเป็นนางบำเรอในค่ายทหาร!” 


 


 


“คนเช่นข้านี้เยื้องกรายมาถึงเบื้องหน้าท่าน ท่านไม่รีบเร่งเรียนรู้ดูแลให้เต็มที่ซ้ำยังเอ่ยวาจาเหลวไหลโหดร้ายเหล่านี้ด้วยเหตุใด” จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้วเรียวยาวกล่าวต่อว่า “สิ้นเปลืองโอกาสสิน่าอับอาย เข้าใจหรือไม่” 


 


 


“โอกาสหรือ” กษัตริย์เทียนหนานมองนางด้วยหางตา 


 


 


“ท่านว่าข้าเป็นเช่นไร” จิ่งเหิงปัวผลิแย้มรอยยิ้มเฉิดฉายให้นาง 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานจ้องนางชั่วครู่ แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งอย่างไม่สมัครใจยวดยิ่งเอ่ยว่า “พอดูได้ ธรรมดา” 


 


 


“ระบำของข้าเมื่อครู่ท่านย่อมมองเห็นแล้ว เป็นเช่นไร” 


 


 


“หากมิใช่มองเห็นระบำของเจ้าเมื่อครู่ ยามนี้เจ้าคงจะต้องซากศพเกลื่อนพื้นดินเสียแล้ว” 


 


 


“ใช่แล้ว ต้าหวังปรีชาสามารถ ท่านค้นพบความล้ำค่าของระบำนั้นเช่นกันใช่หรือไม่” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีกล่าวต่อว่า “เช่นนั้น สิ่งอื่นข้ามิกล้าเอ่ย เอ่ยเพียงว่าอาศัยรูปร่างรูปโฉมของต้าหวังเองหากได้เรียนระบำนั้นของข้า มิต้องเอ่ยถึงบุรุษรูปงามเพียงผู้เดียวนี้ ต่อให้มาอีกสิบคนล้วนมีชะตาเพียงหมอบราบคาบแก้วใต้กระโปรงทับทิม[3]ของท่านทั้งสิ้น” 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานชำเลืองมองรูปร่างของจิ่งเหิงปัวปราดเดียว นัยน์ตาแฉลบผ่านด้วยแววตาริษยายากจะควบคุมสายหนึ่ง ความริษยาสายนั้นขับเคี่ยวเงียบเชียบในใจคับแคบของสตรีจนกลายเป็นไอสังหารยากจะกลบกลืนผืนหนึ่งกลางหว่างคิ้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่ รีบเร่งเติมเชื้อไฟกล่าวว่า “ข้าทำได้มิใช่เพียงสิ่งเหล่านี้นะ ข้ายังสอนให้ท่านเสริมสวยเยี่ยงไร แต่งหน้าเยี่ยงไร บำรุงผิวพรรณเยี่ยงไร รักษารูปร่างเยี่ยงไรแลแต่งองค์ทรงเครื่องเยี่ยงไร ทำให้โฉมงามเก้าสิบคะแนนนางหนึ่งงามงดจนเป็นโฉมงามแห่งยุคเกินหนึ่งร้อยหนึ่งคะแนนได้ ศาสตร์ลับเหล่านี้ของข้าล้วนถ่ายทอดมาจากเทพยดาหนึ่งเดียวไม่มีสองแน่แท้ ของวิเศษไร้เทียบเทียมเสริมสวยแบบพื้นบ้านกระชากวิญญาณตกหนุ่มรูปงามที่พลาดครั้งนี้ไม่มีครั้งหน้า ต้าหวังหากท่านประหารข้า ประโยชน์สักน้อยสักไม่มีซ้ำยังสูญเสียโอกาสครั้งเดียวที่จะทำให้ตนเองงดงามยิ่งขึ้น การค้าขายขาดทุนเช่นนี้ ท่านจะทำหรือ” 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานนิ่งเงียบหันหน้ามองเงาด้านหลังของเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ห่างไกล เขาอยู่บนหอสูงชมทิวทัศน์มองไกลไปยังประตูวังใต้อาทิตย์อัสดง เงาด้านหลังสูงส่งแลห่างไกลดุจต้นไม้หยก มิอาจแตะต้องได้ในแสงรัศมีมัวสลัว 


 


 


ในใจของนางพวยพุ่งด้วยคลื่นร้อนแรงลูกหนึ่งคล้ายหวังจะม้วนกลืนโลกงดงามไปทุกสิ่ง ทว่ามิอาจท่วมท้นหาดทรายเย็นชาน้อยๆ ข้างกายเขา 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่อยู่เบื้องหน้ามีริมฝีปากแดงดุจเปลวเพลิงงามจนสะกดผู้คน นึกถึงระบำของนางสวยสดงดงามสะกดผู้คน เห็นเพียงครั้งแรกสังหารเข้าไปในสายตาแลจิตวิญญาณ นางเชื่อว่าบุรุษผู้ใดอยู่เบื้องหน้าระบำเช่นนี้ล้วนจะทิ้งโล่ทิ้งเกราะยอมพ่ายแพ้ราบคาบ 


 


 


“เจ้าสอนข้าร่ายรำระบำนั้นแลสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าเอ่ย” สุดท้ายนางจึงเอ่ยว่า “ข้าไม่ประหารเจ้า” 


 


 


ริมฝีปากบางของนางเม้มรอยยิ้มเจือด้วยความหนาวเหน็บสายหนึ่งออกมา แววตาในดวงเนตรผลุบโผล่ไม่แน่นอน…สตรีเช่นนี้มิควรดำรงอยู่ ยามนี้ยังไม่สังหารรอให้เรียนร่ายรำจากนางจนเป็นแล้วค่อยสังหารยังไม่สาย! 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มกว้างสดใสคล้ายรู้ก่อนแล้วว่าชีวิตตนเองไร้กังวล 


 


 


“ต้าหวัง” คางนางชี้ไปที่ตนเองกล่าวอย่างสนิทสนมว่า “ข้าคล้ายจะถูกเจ้าคนนั้นสกัดจุด ท่านว่าเช่นนี้เราจะเรียนได้ร่ายรำได้หรือ” 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานมองนางอย่างระแวดระวังปราดเดียว บอกใบ้ให้หญิงรับใช้สืบเท้าขึ้นมามัดมือสองข้างของนางไว้แล้วจึงเอ่ยกับบุรุษชุดเหลืองผู้หนึ่งข้างหลังว่า “คลายการสกัดจุดให้นาง” 


 


 


บุรุษนั้นคงจะเป็นผู้มีฝีมือสูงแห่งวังหลวง ติดตามข้างหลังกษัตริย์เทียนหนานไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว สีหน้าท่าทางสูงส่งหยิ่งยโส ได้ยินวาจาพยักหน้าเพียงน้อยสืบเท้าขึ้นมาคลายจุดให้จิ่งเหิงปัว 


 


 


จิ่งเหิงปัวประเมินท่วงท่าความสามารถของเขารู้สึกว่าเทียบกับกงอิ้นและเหยียลี่ว์ฉีขึ้นมายังห่างชั้นอยู่มาก สองคนนั้นเพียงสะบัดแขนเสื้อครั้งเดียวก็จัดการได้อยู่หมัด 


 


 


แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับนางแล้ว นิ้วมือนิ้วเดียวของเขายังพอจะบีบนางจนตายได้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวส่งสายตาขอบคุณให้เขา สายตาของบุรุษสะท้านน้อยๆ นิ้วมือชะงักไปอย่างอดไว้มิได้ คิดจะสัมผัสผิวพรรณของนาง จิ่งเหิงปัวกลับยิ้มแย้มก่อนแล้วหลีกมือออกไป 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานมองฉากหนึ่งนี้ไว้ในดวงตาเนิ่นนานแล้ว ถลึงตาใส่ขุนนางใต้บัญชาผู้ไม่ได้เรื่องของตนเองปราดเดียว ในใจก็เลี่ยงจะสนใจจิ่งเหิงปัวไม่ได้…สตรีนางนี้งดงามแต่กำเนิดดังคาด เพียงแววตาสายหนึ่งยังทำให้ฟู่เซียง[4]ผู้ถูกฝึกปรือฝีมือลึกล้ำแห่งกองกำลังในบังคับบัญชาของนางเกือบจะตกอยู่ใต้การควบคุม 


 


 


จิ่งเหิงปัวมัดสองมือไว้เดินตามกษัตริย์เทียนหนานท่องวังหลวงด้วยท่าทีสงบนิ่งเป็นปกติ กษัตริย์เทียนหนานสมกับใช้ความงามก่อร่างสร้างตัว ทุ่มเทสุดกำลังพัฒนาความงามแห่งสตรีเพศของตน นางมีตำหนักและจตุรัสสำหรับซ้อมร่ายรำโดยเฉพาะ ทั้งวังหลวงเดินไปทางไหนล้วนมีห้องแต่งตัวพร้อมให้นางแต่งหน้าเปลี่ยนอาภรณ์ ยามนี้นางวางแผนจะพาจิ่งเหิงปัวไปชมลานเต้นรำของตนเองก่อน สังหารความภาคภูมิใจของโฉมสะคราญนางนี้โดยง่าย 


 


 


ขุนนางกลุ่มใหญ่ถูกเรียกมาติดตามกษัตริย์เทียนหนานเพื่อตระเตรียมรับฟังโองการของนางแลน้อมนำไปกระทำโดยพลันตลอดเวลา เบื้องหน้ากษัตริย์เทียนหนาน สายตาของบุรุษส่วนมากไม่วอกแวก ยามก้มศีรษะน้อมคำนับหางตากลับกวาดผ่านใบหน้าและรูปร่างของจิ่งเหิงปัวอย่างอดมิได้ จิ่งเหิงปัวกระหวัดมุมปากรอยยิ้มหวานหยดย้อยใช้สายตาตอบรับการสอดส่องของทุกผู้คนอย่างไร้เสียง ในใจกลับกำลังคิดว่ากษัตริย์เทียนหนานนางนี้คงต้องโหดเ**้ยมมากแน่ ดูท่าทางเจ้าพวกเจ้าชู้พวกนี้ก้มศีรษะจนแทบคิดจะมุดเข้าไปในเป้ากางเกงเพื่อมองนาง 


 


 


ไม่รู้ว่าเมื่อไรเหยียลี่ว์ฉีปรากฏกายเช่นกัน เขากลับไม่ได้เลือกไปสกัดกั้นล้อมโจมตีกงอิ้นที่ประตูวังทว่ายืนอยู่ข้างกายกษัตริย์เทียนหนานอย่างเงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง จิ่งเหิงปัวทำเป็นมองไม่เห็นเขา เขาคล้ายไม่สนใจจิ่งเหิงปัวเช่นกัน ประคองแขนของกษัตริย์เทียนหนานด้วยตนเองยิ้มพลางเอ่ยว่า “ต้าหวังกำลังเอ่ยวาจาว่ากระไร แลท่าทางอารมณ์ดี” 


 


 


“พานางนี้ไปเปิดหูเปิดตาจะได้พบเห็นรู้จะวังหลวงของเรา” ยามนี้กษัตริย์เทียนหนานเพิ่งนึกถึงจิ่งเหิงปัวเอ่ยถามว่า “เจ้ามีนามว่ากระไร” 


 


 


“โอ๊ยเพียงผู้ผ่านทางไฉนต้องรู้นามกันเล่า” จิ่งเหิงปัวโบกไม้โบกมือกล่าวต่อว่า “เรียกข้าว่าปัวอันดับหนึ่งผู้ซึ่งเป็นหนึ่งไม่มีสองก็พอแล้ว” 


 


 


“สิ่งใดเรียกว่าปัว” กษัตริย์เทียนหนานใฝ่รู้ยิ่งนัก 


 


 


จิ่งเหิงปัวยืดอกกล่าวว่า “อาวุธคมหนึ่งเดียวที่สตรีทั่วหล้าใช้ปราบปรามเหล่าบุรุษ!” 


 


 


ลำคอยืดตรงของนางเรียบลื่นงามประณีตแผ่ขยายเส้นโค้งชิดแน่นน่าตระหนกออกมา รูปทรงดังกุณโฑหยกสลักใบหนึ่งโดยกำเนิด สายตาลื่นไถลทอดลงไปก็คล้ายจะเคลิบเคลิ้มจนลอยขึ้นมา 


 


 


บุรุษกลุ่มหนึ่งจะเคยพบพานสตรีผู้มีเสน่ห์แลอวดตนปานนี้ได้เยี่ยงไร ยืนอยู่ด้านหนึ่งลมหายใจถี่กระชั้นนิ้วมือบีบเกร็ง ทุกมุมสายตาแอบชำเลืองมาคล้ายเป็นตะคริว เหยียลี่ว์ฉีคล้ายยิ้มแลมิได้ยิ้มสายตาแฉลบผ่านอย่างสุขุม พลันนึกถึงสาบเสื้อหลุดลุ่ยน้อยๆ ของสตรีในตาข่ายกลางหุบเขาพายุฝนในวันนั้นขึ้นมา 


 


 


ทิวทัศน์ทุกแห่งหนงามยิ่งนักดังคาดไว้… 


 


 


เขาพลันรู้สึกว่ายามนั้นจั้นเจวี๋ยสิ้นชีพโดยง่ายดายเกินไป… 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานมองผ่านจิ่งเหิงปัวด้วยความอิจฉาริษยาปราดเดียว สีหน้าอึมครึมเล็กน้อย จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองนางแวบหนึ่งพอมองก็เปรียบเหมือนขนมผิงตราวั่งไจ่[5] นางเข้าไปกระซิบข้างหูแผ่วเบาว่า “ข้ายังมีอาวุธร้ายกาจเลิศล้ำทั่วหล้าที่ช่วยท่านอวบอิ่มได้ด้วยนะ! พอสวมแล้วเพิ่มขนาด อาวุธสังหารแห่งโลกมนุษย์!” 


 


 


ดวงตาของกษัตริย์เทียนหนานประกายวูบกำลังจะเอ่ยถาม เหยียลี่ว์ฉีพลันเอียงศีรษะหัวเราะพลางเอ่ยว่า “กระซิบกระซาบกระไรอยู่หรือ อาวุธสังหารหรือ” 


 


 


“ต้าหวังข้าบอกเลยนะ บางคนแลดูไม่ค่อยแข็งแรงด้วยนางระทมทุกข์กับความสุขของนาง” จิ่งเหิงปัวมองรอยยิ้มของเขา โกรธแต่ไม่เปิดเผยออกมาสักแห่ง เงยหน้าขึ้นมายิ้มเสแสร้งกล่าวต่อว่า “ข้าเอ่ยว่าเข้าใจได้ทั้งสิ้น บุรุษที่จมูกพังน่ะไร้ประโยชน์ พอแตะต้องก็ถดถอย อาวุธน้อยแห่งโลกา” 


 


 


“…” 


 


 


เงาด้านหลังของจิ่งเหิงปัวเลี้ยวโค้งไปเสียแล้ว เหยียลี่ว์ฉียังยกมือลูบจมูกตนเองอยู่ 


 


 


พังหรือ 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


[1] เปิ่นหวัง คำแทนตัวของราชนิกูล 


 


 


[2] ต้าหวัง เป็นคำเรียกผู้ครองเมืองหรือแคว้น 


 


 


[3] กระโปรงทับทิม กระโปรงสีแดงเหมือนสีทับทิม เป็นรูปแบบการแต่งกายที่เป็นที่นิยมในสมัยราชวงศ์ถัง 


 


 


[4] ฟู่เซียง คำเรียกตำแหน่งอวี้สื่อต้าฟู มีหน้าที่คอยกำกับดูแลข้าราชบริพารทุกระดับชั้น 


 


 


[5] ตราวั่งไจ่ เครื่องหมายการค้าของบริษัทอาหารบริษัทหนึ่งในประเทศจีน 

 

 

 


ตอนที่ 43.4

 

สถานที่ที่จิ่งเหิงปัวเยี่ยมชมเป็นลำดับแรกคือลานร่ายรำขับร้องด้านในวังหลวง ที่นั่นเป็นวงกลมแห่งหนึ่งซึ่งรอบลานปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวน้ำทะเล พื้นลานใช้กระเบื้องเคลือบหลากสีก่อเป็นภาพสุริยันจันทรา 


 


 


“ออกแบบได้ไม่เลว” จิ่งเหิงปัววิจารณ์ว่า “เพียงแต่สี่ด้านไม่มีอัฒจันทร์ ตรงกลางขาดลูกเล่น” 


 


 


“อ้อ เจ้ามีความเห็นเช่นไร” กษัตริย์เทียนหนานมองไปรอบบริเวณ พลันรู้สึกว่าการร่ายรำเดี่ยวผู้เดียวไร้ผู้ชื่นชมคือเรื่องเปล่าเปลี่ยว ซ้ำรู้สึกว่าลานเต้นรำงามประณีตในยามปกตินั้นยังคล้ายแลดูว่างเปล่าเหลือเกิน 


 


 


“ข้ารู้สึกว่าท่านคือผู้ร่ายรำแลควรเป็นผู้ชมการร่ายรำเช่นกัน ได้ยินว่าท่านชอบตามหาโฉมงามในตลาดค้าทาสยิ่งนักหรือ ท่านควรให้เหล่าโฉมงามของท่านร่วมเสพสุขกับท่านด้วยสิ” จิ่งเหิงปัวเสวนาเรื่องใหญ่เป็นน้ำไหลไฟดับว่า “เช่นนั้น สี่ด้านแบ่งเป็นห้องส่วนตัวห้องเล็กแต่ละห้องละห้อง อืมห้องเล็กนั่นล่ะห้อยแพรบางด้านหลังมีตะเกียงประดับ ส่วนเพดานทำเป็นหลังคาครึ่งทรงกลมที่มีช่องโค้งน่าจะดีที่สุด ติดตั้งแสงตะเกียงที่สว่างทั้งทิวาราตรี ทั้งไข่มุกราตรีเอยผลึกแก้วที่หักเหรัศมีได้เอยย่อมนำมาใช้ได้ ท่านลองคิดดูสิว่ายามท่านร่ายรำ โคมระย้าผ่องอำไพจะสาดสะท้อนเครื่องประดับบนกายท่านจนทอประกายวิบวับดั่งเซียนดั่งแม่นางชาเขียว[1]ดั่งแม่นางดอกบัวขาว[2]ใช่หรือไม่ ท่านยังสามารถชมการร่ายรำโดยนั่งอยู่ตรงกลางลาน ให้เหล่าโฉมงามท่านร่ายรำในห้องส่วนตัวห้อยม่านแพรบางล้อมรอบนั้น จุดตะเกียงประดับบนผนังสว่างไสว ลองจินตนาการดูสิว่าแสงด้านหลังหลากสีสันผืนหนึ่งถูกแพรบดบังจนขมุกขมัว โฉมงามนับมิถ้วนหลังม่านแพรกำลังร่ายรำเพื่อท่าน หากไม่อยากร่ายรำท่านยังให้พวกเขาแสดงงิ้วได้ ให้พวกเขาวาดวางท่วงท่าหลากหลายที่ท่านชอบ ไม่ว่าท่านหันไปมุมใดล้วนมองเห็นเสน่ห์ที่แตกต่างกันได้…” 


 


 


“ดี!” กษัตริย์เทียนหนานสายตาทอประกายวิบวับ เหล่าขุนนางโดยรอบนึกถึงเสน่ห์งามเพริศแพร้วฉากหนึ่งนั้นล้วนอดจะเงยหน้าขึ้นมามิได้ สายตาเคลิบเคลิ้ม 


 


 


เหยียลี่ว์ฉียังคงลูบจมูกตนเองอยู่ 


 


 


พังหรือ 


 


 


… 


 


 


“ส่วนตรงกึ่งกลางลาน” จิ่งเหิงปัวกล่าวถึงการเสริมสวยแต่งหน้าระบำประดับเป็นน้ำไหลไฟดับว่า “เตียนโล่งอัปลักษณ์ ระบำดีเพียงใดยังต้องการอุปกรณ์ประกอบที่งดงาม พื้นดวงดาราทิวาราตรีของท่านนี้งดงามยิ่งทว่าเคลื่อนไหวเปลี่ยงแปลงมิได้ หากท่านเพิ่มกลไกใต้พื้นให้หมุนเวียนวนเรียงร้อยกลายเป็นรูปแบบที่ท่านต้องการได้ เช่น ดาวนักปราชญ์เจ็ดดวงเอย สุริยันจันทราร่วมเคลื่อนคล้อยเอย จากนั้นสร้างเวทีร่ายรำแห่งหนึ่งใต้พื้น ยามกลไกได้ตามต้องการเวทีเลื่อนขึ้นมา บนเวทีสร้างอุปกรณ์ที่ท่านใช้ร่ายรำหรือต้นไม้หรือดอกไม้ เช่น ดอกบัวผลึกแก้วดอกหนึ่งแย้มบานเชื่องช้า ท่านเยื้องกรายร่ายรำในนั้นจะงามเพียงใด…” 


 


 


“ข้าไม่ชอบผลึกแก้ว” กษัตริย์เทียนหนานเอ่ยแทรกขึ้นมา หันหน้าถามข้าราชบริพารข้างกายว่า “ในโรงเก็บของคล้ายมีบัลลังก์ดอกบัวทองคำ ทว่ารูปร่างคร่ำครึ…เจ้าชอบดอกไม้อะไร” นางถามจิ่งเหิงปัวโดยพลัน 


 


 


“ดอกอิงซู่[3] ดอกไม้นี้มีอยู่ที่นี่เช่นกัน รูปร่างเช่นร่างเดิมของดอกไม้มารนั้น” จิ่งเหิงปัวตอบโดยไม่คิดแม้แต่น้อยว่า “เป็นดอกไม้ควรจะเป็นอิงซู่ ทั้งงามลุ่มหลง งามเพริศแพร้ว งามล้ำล่มแคว้นพาคนสิ้นชีวา!” 


 


 


“ดี!” กษัตริย์เทียนหนานปรบมือเอ่ยว่า “จงมา ไปหลอมบัลลังก์ดอกบัวทองคำนั้น! หลอมเป็นดอกไม้มารดอกใหญ่หนึ่งดอก!” 


 


 


“ดอกไม้ต้องหมุนเวียนวนได้ จะให้ดีทุกคราที่วนหนึ่งรอบก็ผลิบานกลีบดอกกลีบหนึ่ง! เช่นนี้ผู้อยู่ในนั้นค่อยๆ ผุดเผยรูปร่างเพิ่มความรู้สึกลึกลับ เกสรจะให้ดีต้องแข็งแรงหน่อยจนปีนไปร่ายรำพลองเหล็กบนนั้นได้…” จิ่งเหิงปัวเพิ่มเติมอย่างตื่นเต้นดีใจ 


 


 


“ดียิ่งนัก! ทำเกสรกระเบื้องเคลือบสีแดงเข้มหรือผลึกแก้ว! ต้องแข็งแรง! ใต้แสงไฟยิ่งแวววาว!”กษัตริย์เทียนหนานเอ่ยชมไม่ขาดปาก 


 


 


เหล่าข้าราชบริพารรับโองการรีบเร่งนำไปปฏิบัติ กษัตริย์เทียนหนานเหลียวมองรอบด้าน นึกถึงลานเต้นรำที่ปรับปรุงเสร็จแล้วคงจะต้องงามตะลึงส่องประกายพร่างพราวทั่วอัฒจันทร์ อดจะสีหน้าปริ่มเปรมหายใจออกเฮือกหนึ่งไม่ได้ ยิ้มให้จิ่งเหิงปัวครั้งหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มครั้งหนึ่งเช่นกัน สตรีรักสวยรักงามอย่างยิ่งสองคนมาเจอกัน ขณะนี้กลับค้นหาจิตวิญญาณสายหนึ่งร่วมกันได้ เจตนาร้ายเมื่อครู่จืดจางไปมากนัก แม้กษัตริย์เทียนหนานยังคงไม่กล้าแก้มัดให้นางแต่รับสั่งให้เปลี่ยนมาใช้เส้นไหมมัดนางเพื่อหลีกเลี่ยงทิ้งรอยมัดไว้ 


 


 


“ต้าหวัง พาข้าไปชมห้องแต่งหน้าและห้องลองอาภรณ์ของท่านเถิด ระบำบางชนิดต้องใช้อาภรณ์พิเศษ ข้าต้องแนะนำท่านหน่อย” จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองห้องน้อยพวกนั้นพลางแนะนำกษัตริย์เทียนหนาน 


 


 


“ได้”กษัตริย์เทียนหนานนำพานางและคนกลุ่มหนึ่งนั้น ขณะกำลังจะก้าวเท้า จิ่งเหิงปัวยิ้มพราวขึ้นมาแล้ว 


 


 


“ต้าหวังของข้า ท่านเข้าใจความสำคัญของความรู้สึกแปลกใหม่หรือไม่ ระบำงามตะลึงพรึงเพริดหนึ่งครั้ง การแต่งโฉมพิเศษหนึ่งครา อาภรณ์อัศจรรย์หนึ่งชุดกระทั่งรองเท้าพิเศษไร้ผู้ใดเหมือนหนึ่งคู่ล้วนเป็นความงดงามครั้งแรกครั้งเดียวของคนผู้หนึ่ง ก่อนจะได้สายตาและความสนใจที่รวมกันจนมากเพียงพอเหตุใดจึงให้ผู้อื่นมองเห็นได้โดยง่าย” 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานหยุดฝีเท้า 


 


 


สตรีนางนี้กำเริบเสิบสานร้ายกาจน่าเกรงทว่ามิได้ด้อยปัญญา รู้สึกได้รำไรว่าในวาจานี้มีความจริงของชีวิตอยู่บ้าง ครุ่นคิดชั่วครู่พยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเจ้ามิต้องตามมา” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีตามติดไม่ห่างสักฝีก้าวน่ารำคาญชะมัด ถ้าไม่สลัดเขาออกไปจะล้างสมองแม่เซ่อซ่านางนี้ได้อย่างไร 


 


 


“ต้าหวัง มีผู้บุกเข้าประตูวัง!” เงาคนสายหนึ่งพุ่งมาดั่งสายฟ้า รีบเร่งโค้งกายเบื้องหน้ากษัตริย์เทียนหนาน ท่าทางจนตรอกทั้งร่างหายใจหอบฮืดฮาด 


 


 


“คนเยอะเยี่ยงนี้ขวางคนผู้เดียวไว้มิได้หรือ” กษัตริย์เทียนหนานตกใจอย่างยิ่งเอ่ยว่า “ไปเฝ้าเบื้องหน้าไว้ให้หมด! อย่าให้เขาบุกเข้ามา! จับเป็น! จำไว้ว่าจับเป็นนะ! อย่าทำให้ใบหน้าของเขาเป็นรอยเชียวนะ!” 


 


 


กรีดให้ลายพร้อยไปเลย! จิ่งเหิงปัวภาวนาอย่างชั่วร้าย 


 


 


ถ้าลายพร้อยมหาเทพก็ไม่หยิ่งยโสแล้ว! 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีหันหลังมองไปยังประตูวัง ลุกขึ้นพาคนไปแล้วโดยอัตโนมัติ คงจะไม่อยากให้กงอิ้นบุกเข้ามาเช่นกัน ครุ่นคิดจะต้านเขาไว้สักครั้ง 


 


 


เขาเดินไปพลางลูบจมูกไปพลาง มองจมูกของเหล่าบุรุษข้างกายตลอดเวลา 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเห็นเหยียลี่ว์ฉีจากไปแล้ว ชิดใกล้กษัตริย์เทียนหนานอย่างสนิทสนม 


 


 


“ต้าหวัง” นางกดเสียงแผ่วเบากล่าวว่า “ท่านงดงามเปี่ยมปัญญาเช่นนี้ เรียนรู้เรื่องเหล่านี้รวดเร็วยิ่งนัก แต่ว่านะข้าเตือนท่านสักหน่อย ศิลปะที่ข้าสอนท่านเพียงพอปราบปรามบุรุษทั่วทุกแหล่งหล้า ทว่าหากท่านหวังเพียงผูกคอสิ้นชีพใต้ต้นไม้คอเอียงต้นหนึ่ง[4] ข้ารู้สึกว่าท่านเรียนได้ก็ไม่คุ้มค่าแล้ว” 


 


 


“เจ้าหมายความว่ากระไร” กษัตริย์เทียนหนานสายตาผละกลับมาจากกายเหยียลี่ว์ฉีโดยพลัน ถามอย่างระแวดระวัง 


 


 


“เช่นนั้น ข้าจะบอกท่านว่าหากท่านเชื่อวาจาของข้า จะให้ดีถอนกำลังองครักษ์เอยกองกำลังเอยพวกนั้นที่ปากประตูวังของท่านกลับมา” คางของจิ่งเหิงปัวพยักพเยิดไปทางประตูวังกล่าวว่า “มิต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง หากมีผู้สิ้นชีพขึ้นมาสุดท้ายแล้วไม่เหลืออะไรสักอย่าง ยังถูกผู้อื่นแย่งบ้านไปทำรังอีก” 


 


 


“อืม” กษัตริย์เทียนหนานขมวดคิ้วที่กันจนเรียวบางเอ่ยว่า “เจ้าหมายความว่ากระไร เอ่ยให้ชัดแจ้ง” 


 


 


“ต้าหวัง ข้าถามท่านหน่อย” จิ่งเหิงปัวเขยิบไปใกล้นางกล่าวอย่างลึกลับซับซ้อนว่า “พ่อรูปงามผู้นี้ท่านรู้หัวนอนปลายเท้าหรือไม่” 


 


 


“เขาเอ่ยว่าเขานามว่าเหยียลี่ว์ฉี เป็นพ่อค้าเศรษฐีจากแคว้นต้าเยียน ออกจากชายแดนมาค้าขายสินค้าทว่าถูกปล้น ตนเองได้รับบาดเจ็บ ผู้ติดตามสิ้นชีพทั้งหมดจึงพเนจรมาเขตซีเอ้อ ถูกข้าพบเข้าช่วยกลับมาโดยมิได้ตั้งใจ กระไรหรือ มีสิ่งใดผิดแผก เจ้าอย่าได้คิดจะยุยงความสัมพันธ์ของข้ากับคุณชายเหยียลี่ว์ มิฉะนั้นระวังข้าจะเอาเจ้าไว้มิได้!” ประโยคสุดท้ายสีหน้าวาจาคร่ำเคร่ง ไอสังหารสะสมกลางหว่างคิ้ว 


 


 


เสียดายว่าสำหรับบางคนที่ไม่ใส่ใจอะไรเลยแล้วเปรียบเหมือนลมเย็นพัดผ่านหู จิ่งเหิงปัวขยับเข้าไปใกล้ขึ้น 


 


 


“เรื่องราวมั่วซั่ว! เชื่อมิได้แม้แต่คำเดียว!” นางกล่าวอย่างมั่วซั่วว่า “ต้าหวัง ท่านไม่สังหารข้าซ้ำยังทำดีต่อข้า ข้าซาบซึ้งยิ่งนักจึงย่อมเสี่ยงตายเอ่ยความจริงกับท่าน เหยียลี่ว์ฉีผู้นี้นอกจากนามนั้นที่เป็นเรื่องจริงที่เหลือล้วนเป็นเรื่องลวง เขามิใช่ชาวต้าเยียนทว่าเป็นชาวตงถัง ภูมิหลังเป็นจารชน ภายหลังทรยศพรรคเพราะความรักถูกพรรคไล่ล่าสังหารสุดขอบฟ้าจึงหนีมาตลอดทางจนถึงซีเอ้อ เขาถูกไล่ล่าสังหารจนเหน็ดเหนื่อยแล้วจึงคิดจะหาสถานที่ที่ปกป้องเขาได้ ทว่าพรรคของเขานั้นทั้งยิ่งใหญ่ทั้งร้ายกาจ คนธรรมดาคุ้มครองเขามิได้ เขาเคยไปเป็นแม่ทัพแคว้นต้าเยียน เคยไปเป็นผู้อาวุโสเมืองอวิ๋นเหลย เคยไปเป็นราชบุตรเขยแคว้นเหยา แต่เพราะว่าไม่มีอำนาจที่แท้จริงจึงอยู่ได้ไม่นาน…” 


 


 


“ราชบุตรเขย” กษัตริย์เทียนหนานขัดคำพูดของนาง เสียงเพี้ยนไปเสียแล้ว 


 


 


“ราชบุตรเขย” จิ่งเหิงปัวพยักหน้าจริงจังกล่าวว่า “ทว่าต้าหวังท่านวางใจ ตำแหน่งราชบุตรเขยของเขานี้เป็นเรื่องลวง โอ๊ยแท้จริงแล้วเขาเป็นรับนะ เรื่องนั้นน่ะไม่ไหวหรอก…” 


 


 


“ไม่ไหวหรือ” กษัตริย์เทียนหนานเบิกตาโพลง 


 


 


“ชู่…” จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงเช่นกัน กล่าวว่า “ให้เขาได้ยินข้าเสร็จแน่!” 


 


 


“เจ้าเอ่ยวาจาไร้แก่นสาร!” 


 


 


“ไม่ไร้แก่นสารหรอก…” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีมองกษัตริย์เทียนหนานด้วยหางตากล่าวว่า “เขารู้จะกับท่านสักพักหนึ่งแล้วใช่หรือไม่ ท่านงดงามตรึงใจเช่นนี้ เขามีไมตรีลึกล้ำเป็นห่วงเป็นใยท่านเช่นนี้ ตามปกติควรจะเปลวเพลิงเจือเชื้อไฟลามลุกทั่วเตียงเนิ่นนานแล้ว พวกท่านลามลุกหรือยัง” 


 


 


“นี่ด้วยเพราะ…” กษัตริย์เทียนหนานพอจะเอ่ยวาจาก็ชะงักไป 


 


 


“เขาหาเหตุผลร้อยพันมาเลี่ยงหลีกใช่หรือไม่ เช่นบาดแผลยังไม่หายดีเอยปวดศีรษะเหลือเกินเอย” จิ่งเหิงปัวหัวเราะแผ่วเบาครั้งหนึ่งกล่าวว่า “นี่ ท่านเชื่อแล้วหรือ เขามีวรยุทธสูงเช่นนั้นจะถูกโจรขโมยธรรมดาไล่ล่าสังหารจนโดดเดี่ยวผู้เดียวได้เช่นไร เขามีวรยุทธสูงเช่นนั้นจะบาดเจ็บจนแม้บุรุษก็เป็นไม่ไหวจริงหรือ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวพิงเก้าอี้ชำเลืองมองสีหน้าอึมครึมของกษัตริย์เทียนหนาน เห็นการโจมตีจิตใจได้ผลจึงหัวเราะแผ่วเบาอย่างเฉื่อยเนือย 


 


 


ตอนนี้เหยียลี่ว์ฉีคงไม่สามารถเริงร่าเหมือนเสือเหมือนมังกรแล้วล่ะ 


 


 


กงอิ้นเคยเอ่ยว่าอาวุธลับของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับไหว ในครึ่งปีนี้เหยียลี่ว์มิอาจสูญเสียพลังจิงชี่อีก มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิต 


 


 


เหยียลี่ว์ฉี ฉันมอบการพานพบงดงามฉากหนึ่งให้นาย ต้องการหรือไม่ต้องการ 


 


 


นางพิงบนหัวไหล่ของกษัตริย์เทียนหนานผู้กำลังเงียบงัน กระซิบแผ่วเบาข้างหูนางว่า “จะบอกความลับยิ่งใหญ่สะเทือนทั่วพื้นปฐพีให้ เหยียลี่ว์ฉีเป็นบุรุษแลมิใช่บุรุษ เขาเป็นฝ่ายรับ ฝ่ายรับคือคณิกาชายในหอคณิกาชายเช่นนั้น ท่านเข้าใจสินะ เขาคู่กับไอ้หน้ามนชุดขาวที่บุกวังข้างนอกผู้นั้น ผู้นั้นถึงเป็นรักแท้คู่รักคู่กัดของเขา พวกเขาสองคนลักพาตัวข้ามาวางแผนเรื่องราววันนี้ทั้งสิ้น ให้ข้าเข้าใกล้ข้างกายท่านลอบทำร้ายท่าน พวกเขาสองคนร่วมมือกันทั้งข้างนอกข้างใน ผู้ชุดขาวสังหารผู้มีฝีมือสูงของท่านจนสิ้นอยู่ข้างนอก ส่วนเหยียลี่ว์ฉีเปิดประตูจากข้างใน พวกเขายึดวังหลวงของท่าน แย่งอำนาจของท่าน ซ้ำยังอาศัยวังเทียนหนานของท่านสะสมกำลังต่อต้านพรรค นับแต่บัดนี้คู่รักเพศเดียวกันคู่หนึ่งยึดครองตำแหน่งกษัตริย์เทียนหนานของท่าน ร่วมเรียงเคียงคู่ พลอดรักทั้งทิวาราตรี…” 


 


 


นอกประตูวังกงอิ้นสั่นสะท้านครั้งหนึ่งโดยพลัน 


 


 


ในประตูวังเหยียลี่ว์ฉีลูบแขนพึมพำกับตนเองว่า “ไฉนจึงรู้สึกหนาวขึ้นมา…” ครุ่นคิดไปมาแล้วคลึงจมูกอีกครั้ง 


 


 


… 


 


 


“วาจาที่เจ้าเอ่ยมาข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว!” กษัตริย์เทียนหนานโต้ตอบรุนแรง 


 


 


รุนแรงก็ถูกแล้ว น้ำเสียงเข้มแข็งมักจะกล่าวเพื่อให้กำลังจิตใจอ่อนแอภายในน่ะ 


 


 


แกล้งเหยียลี่ว์ฉีสักนิดจัดการกงอิ้นสักหน่อย ถ้าพี่ต้าปัวของเราได้หนีอีกครั้งแผนการนี้ก็สมบูรณ์ไร้ที่ติแล้ว 


 


 


“เชื่อหรือไม่ ลองดูสิ” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีตีมือของนางกล่าวว่า “เช่นนั้น อย่าสิ้นเปลืองผู้มีฝีมือสูงของท่านปะทะกับไอ้หน้ามนอีกเลย ฟูมฟักผู้ยอดเยี่ยมผู้หนึ่งไม่ง่ายนะท่าน มิสู้ปล่อยเขาเข้ามาดูสิว่าเขาจะทำเช่นไร ที่นี่เป็นถิ่นของท่าน ท่านกลัวอะไร จะได้สังเกตความสัมพันธ์ลับระหว่างเขากับเหยียลี่ว์ฉีพอดีมิใช่หรือ คืนนี้ฉวยโอกาสพาเหยียลี่ว์ฉีผู้เป็นฝ่ายรับน้อยไปนอนด้วยอีกครั้ง หากเขาไม่นอนกับท่าน เขาต้องมีปัญหาแน่!” 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานเงียบงัน สีหน้าอึมครึมไม่สงบ ทั้งปรารถนาบางส่วนว้าวุ่นบางส่วน ทั้งลังเลบางส่วนเ**้ยมโหดบางส่วน 


 


 


จิ่งเหิงปัวรอคอยพลางจัดการเวลาว่างไปด้วย นางรู้สึกว่าสตรีข้างหน้านางนี้หลงตัวเองใจว้าวุ่น ขี้ระแวงความรู้สึกไว คำแนะนำของนางตรงกับความปรารถนาของนางพอดี กษัตริย์เทียนหนานต้องตะครุบเหยื่อแน่นอน 


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ลองเองเล่า” กษัตริย์เทียนหนานครุ่นคิดเนิ่นนานคล้ายสะกิดใจ เอ่ยโดยพลันว่า “ในเมื่อเจ้าเอ่ยว่าเขาสองคนเป็นคู่กันล้วนมิได้สนใจในสตรี เช่นนั้นเจ้าพิสูจน์ให้ข้าเห็นเสียก่อน! เจ้าเชี่ยวชาญวิถีแห่งสตรีเช่นนี้ หากทุ่มเทสำแดงกำลังจนสิ้น บุรุษย่อมไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ หากใช้เสน่ห์แห่งสตรีของเจ้าจนสิ้นแล้วยังมิอาจทำให้ไอ้หน้ามนนั่นลุ่มหลงได้ ข้าจะเชื่อเจ้า! ปล่อยเจ้าไป สังหารเหยียลี่ว์ฉี ปกป้องเจ้า เชิญเจ้าเป็นนางข้าหลวงนางแรกของข้า มิเช่นนั้น…” เสียงนางเปลี่ยนเป็นเย็นชาน่าครั่นคร้ามดังมีดเอ่ยว่า “เจ้าจงจำไว้ว่าข้ารังเกียจผู้ที่หลอกลวงข้าเป็นที่สุด จงจำไว้ว่าที่นี่คือถิ่นของข้า หากเจ้าโกหกข้า ข้าจะต้องทุ่มเทกำลังทั้งสิ้นสังหารเจ้าเสีย!” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] แม่นางชาเขียว คำแสลงสมัยใหม่ เปรียบเปรยหญิงสาวที่ดูเรียบร้อย ใสซื่อบริสุทธิ์ อ่อนต่อโลก แต่มักมากในกาม 


 


 


[2] ดอกบัวขาว คำแสลงสมัยใหม่ เปรียบเปรยหญิงที่ภายนอกซื่อใสบริสุทธิ์เช่นดอกบัว แต่แท้จริงมีพฤติกรรมมัวหมอง คิดเรื่องไม่ดีงาม 


 


 


[3] ดอกอิงซู่ หรือดอกฝิ่น ชื่อวิทยาศาสตร์ Papaver somniferum 


 


 


[4] ผูกคอสิ้นชีพใต้ต้นไม้คอเอียงต้นหนึ่ง อุปมาว่าชายและหญิงไม่เหมาะสมกันทั้งสองฝ่าย 

 

 

 


ตอนที่ 44.1

 

“ไม่มีปัญหา!” จิ่งเหิงปัวตอบรับในครั้งเดียวดวงตายังไม่กะพริบ 


 


 


เรื่องโกหกคนอื่นแบบนี้ ยิ่งโกหกได้ไพเราะคล่องแคล่วเกินจริง สีหน้ายิ่งมีดูเหตุผลแน่นหนัก นางชำเลืองมองสายตาแพรวพราวของกษัตริย์เทียนหนานที่จ้องมองนางอยู่ ถ้านางเผยให้เห็นความลังเลแม้แต่น้อย เชื่อว่าตอนนี้กษัตริย์เทียนหนานคงตะโกนเรียกคนมาหั่นนางเป็นท่อนใหญ่แปดท่อนไปแล้ว 


 


 


ความเด็ดเดี่ยวไร้ขลาดกลัวแม้แต่น้อยของนางทำให้สีหน้าของกษัตริย์เทียนหนานผ่อนคลายลงดังคาด นางปรบมือ เงาผู้ชุดเหลืองกะพริบออกมาจากมุมกำแพงข้างหลังปานภูตพราย 


 


 


“ถอนกำลังผู้อยู่นอกประตูวังกลับมา บอกผู้บุกวังข้างนอกนั่นว่าคนที่เขาตามหายามนี้คือแขกพิเศษของข้า หากเขากล้าหาญพอก็เข้ามามองดูเสียเอง!” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


“หากท่านมิเชื่อวาจาข้า ทดสอบพวกเขาก่อนย่อมได้…” จิ่งเหิงปัวกระซิบกระซาบคำพูดไม่กี่ประโยคข้างหูกษัตริย์เทียนหนาน กษัตริย์เทียนหนานพยักหน้า หันหลังกำชับผู้ใต้บัญชาหลายประโยคแล้วเอ่ยว่า “จงกระทำตามนี้” 


 


 


ผู้รับบัญชาออกคำสั่งไปแล้ว จิ่งเหิงปัวทวงถามคำรับรองจากกษัตริย์เทียนหนานว่า “ข้าทรยศพวกเขาแล้ว ท่านจะต้องคุ้มครองข้านะ” 


 


 


“วางใจ ในเมื่อเจ้าภักดีต่อข้า ข้าย่อมจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง” ยามนี้กษัตริย์เทียนหนานกลับชอบจิ่งเหิงปัวจริงๆ บ้างแล้ว รู้สึกว่าสตรีนางนี้หัวรั้นช่างฉอเลาะร่าเริงอิสรเสรี เอ่ยวาจากระทำการพาให้ชอบใจยิ่งนัก ซ้ำยังเชี่ยวชาญศาสตร์การยั่วยวนแห่งสตรี เอาไว้ข้างกายยังไม่แน่ว่าจะมิใช่เรื่องดี เฮ้อ หากมิได้เกิดมางดงามเยี่ยงนั้นก็ดีสิ 


 


 


“เจ้ายังมีความสามารถอะไร แสดงออกมาในคราเดียวเถิด” กษัตริย์เทียนหนานมองดูสีท้องฟ้าคิดว่ายังพอมีเวลา รอประเดี๋ยวยังมิรู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น มิสู้ล้วงความสามารถของสตรีนางนี้ออกมาเสียก่อนบ้าง 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลอกตา ยิ้มพลางเอ่ยว่า “หรือให้ข้าพินิจชุดระบำเอยแต่งกายเอยอะไรเอยให้ต้าหวังสักหน่อยย่อมได้” 


 


 


“ดียิ่งนัก” กษัตริย์เทียนหนานพาจิ่งเหิงปัวเดินเข้าไปในห้องแต่งหน้าห้องหนึ่งด้วยตนเอง ให้นางได้เห็นอาภรณ์ขนนกงดงามของตน พลางเอ่ยว่า “งามประณีตแลหรูหรายิ่งนักใช่หรือไม่” 


 


 


จิ่งเหิงปัวพ่นลมออกจมูก 


 


 


“เพียงงดงามเท่านั้น งามล้ำค่าเท่านั้น” นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ยกขาไขว่ห้าง ปลายเท้ากระดิกครั้งแล้วครั้งเล่าชี้ไปยังชุดระบำประดับขนนกห้าสีนั้น กล่าวว่า “ทว่ามีเอกลักษณ์หรือ? มีเสน่ห์หรือ? พาให้คนเห็นเพียงครั้งแล้วยากจะลืมหรือ นี่แตกต่างจากชุดระบำที่แม่นางในหอคณิกาสวมใส่ตรงไหน เพียงใช้เนื้อผ้างามประณีตหน่อยเท่านั้น” 


 


 


ใบหน้าของกษัตริย์เทียนหนานแดงซ่านขึ้นมา เดิมทีนางมีภูมิหลังมาจากหอคณิกา อาศัยศาสตร์การยั่วยวนเบื้องในจนกษัตริย์เฒ่าโปรดปราน กระทั่งแย่งอำนาจชิงราชบัลลังก์ ยามคนซึมแทรกในอาชีพสักประเภทเนิ่นนาน กระทำการย่อมจะหลีกลี้ร่องรอยในอดีตไม่พ้น ชุดระบำยังเป็นชุดระบำของนางคณิกา เพียงงามล้ำค่ายวดยิ่งเท่านั้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวกล่าวกระทบความเจ็บปวดในใจของนางพอดี สตรีเ**้ยมโหดนางนี้ไม่สบายใจอยู่บ้าง สายตาหลุบลงเบื้องล่างกำลังจะเกิดโทสะทว่าชะงักโดยพลัน สายตาจับจ้องมองอยู่บนเท้าของจิ่งเหิงปัวไม่ขยับเขยื้อน 


 


 


บนเท้าของจิ่งเหิงปัวสวมรองเท้าส้นสูงด้วยเคยชิน หนังแก้วสีแดงเข้ม ส้นผลึกแก้วสิบนิ้ว หัวรองเท้าเรียวแหลมงามวิจิตร หน้ารองเท้าสีแวววาวบริสุทธิ์เรียบลื่นส่องประกายแพรวพราวโชติช่วงในห้องที่มีแสงมืดสลัวเพียงน้อย 


 


 


สายรัดทอดยาวขึ้นไปจนถึงน่องขา รองเท้าส้นสูงมีสายรัดเช่นนี้หากสวมใส่บนเท้าผู้มีน่องขาใหญ่คือฝันร้ายโดยแท้ ทว่าสวมบนเท้าของจิ่งเหิงปัวพาให้ผู้คนตะลึงด้วยน่องขานั้นเรียวยาวนุ่มลื่นขาวราวหิมะ 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานก้มหน้ามองรองเท้า ลมหายใจดุจดั่งจะหยุดลง 


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่ กังวลมากว่าพริบตาต่อมานางจะพุ่งขึ้นมาคว้ารองเท้าส้นสูงจากเท้าของตนเองไป นี่ก็เป็นสิ่งสะสมล้ำค่าหายากของนางเชียวนะ! 


 


 


นางรีบเร่งหดเท้าครั้งหนึ่ง ดึงกระโปรงลงไปด้านล่าง มือประคองชุดระบำของกษัตริย์เทียนหนานขึ้นมา ยิ้มพลางกล่าวว่า “ชุดระบำของท่านนี้ข้าแนะนำให้เปลี่ยนรูปแบบ เช่นนั้น แบ่งเป็นสองชิ้น ท่อนบนเกาะอกชุดหนึ่งประดับกรองศอและสายไข่มุก ท่อนล่างอาจจะเป็นกางเกงทรงหลวม ขากางเกงกว้างปลายขากางเกงหดเข้ามา แลดูช่วงเอวบางยิ่งนัก ท่วงท่ามีเสน่ห์ยวดยิ่ง หากท่านพอใจยังจะเพิ่มเครื่องประดับอื่นได้อีก…” 


 


 


นางกล่าวพลางยืนขึ้นเดินไปรอบด้าน ส้นรองเท้ากระทบพื้นเกิดเสียงชัดเจนไพเราะ กษัตริย์เทียนหนานฟังอยู่ปากว่าอืมอืม สายตาเกาะอยู่บนชายกระโปรงแกะไม่ออก 


 


 


จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองว่าแย่แน่ ยัยนี่แววตาลุ่มหลง จิตใจที่คิดจะแย่งรองเท้ายังไม่หายไป ต้องโยนสิ่งเปลี่ยนแปลงความสนใจชิ้นใหญ่ออกไป 


 


 


แขนกระทบถูกกระเป๋าใบเล็กใบหนึ่งที่เหน็บไว้ข้างเอวกะทันหัน นางสะท้านในใจครั้งหนึ่ง เมื่อเข้าใกล้ข้างโต๊ะชะงักน้อยๆ เพียงครั้ง รูดกระเป๋าใบเล็กออกเป็นรูหนึ่งรู ก้มตัวยื่นชุดระบำให้กษัตริย์เทียนหนานพลางกล่าวว่า “โปรดจงเก็บไว้ให้ดี…” 


 


 


เอวของนางโค้งครั้งหนึ่ง ของสิ่งหนึ่งร่วงลงมาดังเพี้ยะ นางรีบก้มลงเก็บ 


 


 


มือข้างหนึ่งยื่นออกมายึดของสิ่งนั้นไว้อย่างมือไวตาไวแล้วรีบเร่งกำไว้ในฝ่ามือ 


 


 


จิ่งเหิงปัวก้มหน้าอยู่ มุมปากเผยรอยยิ้มร้ายกาจครั้งหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเปลี่ยนเป็นสีหน้าไม่สบายใจแล้ว 


 


 


“เอ๊ะ นี่คือสิ่งใด” กษัตริย์เทียนหนานมองของสิ่งนั้นมือพลิกไปพลิกมา 


 


 


ถุงใบน้อยบางๆ ใบหนึ่งด้านบนพิมพ์ลวดลายรูปหัวใจสีม่วง เนื้อสัมผัสเกลี้ยงเกลา คล้ายยังมีกลิ่นหอมเจือจาง 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานจะดมโดยจิตสำนึกทว่ามือของจิ่งเหิงปัวกดลงบนถุงใบน้อยแผ่วเบาแล้ว 


 


 


“เช่นนั้น สิ่งนี้คือหนึ่งในของวิเศษของข้าที่ใช้แสดงเสน่ห์แห่งสตรีเพศ นามว่าหน้ากากยั่วยวนสีชมพูอมม่วงแห่งการกระชากวิญญาเลือดกำเดาไหลทะลัก ความงดงามไม่มีสอง เป็นหนึ่งในใต้ฟ้า เรียกนามย่อว่าผ้าปิดปาก” 


 


 


“ผ้าปิดปากหรือ?” 


 


 


“ใช้ยามเกิดเรื่องดี…” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างลึกลับร้ายกาจว่า “แบ่งเป็นสำหรับบุรุษใช้และสตรีใช้ แบ่งเป็นสินค้ายามคิมหันต์และเหมันต์ สิ่งนี้คือสินค้าคิมหันต์ชนิดบางพิเศษ อืม เช่นนี้…” นางฉีกถุงออกหยิบสิ่งขาวบางคล้ายกระดาษแต่ไม่ใช่กระดาษชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง ลอกแผ่นปิดแถบกาวด้านหลังอย่างคล่องแคล่วแล้วนำแผ่นอนามัยแผ่นหนึ่งนั้นทำท่าทางเปรียบเทียบบนปากพลางกล่าวว่า “สวมใส่” 


 


 


“สวมใส่แล้วทำอะไรได้” กษัตริย์เทียนหนานมองดูแผ่นเล็กแผ่นหนึ่งนั้นอย่างงงงวย รู้สึกว่าแม้งามประณีตทว่าหากเอ่ยว่าอาศัยของสิ่งหนึ่งเยี่ยงนี้จะทำให้คนติดกับดักยังคล้ายมิค่อยเชื่อนัก 


 


 


“ท่านดูของสิ่งนี้ทั้งนุ่มเบาบาง โปร่งสบาย สะอาดและยั่วใจ มีลวดลายงามประณีตที่การเย็บปักก็มิอาจปักออกมาได้ซ้ำยังทอประกายแสงเรืองรองยั่วยวนใต้แสงไฟและมุมสายตาที่แตกต่างได้…” จิ่งเหิงปัวนำแผ่นอนามัยเปรียบไปเปรียบมา เมื่อส่องแสงไฟพบว่าแผ่นอนามัยทอประกายแสงสลัว จึงตะโกนด่าในใจทันที…ไอ้เวรเอ้ย บริษัทนี่ใส่สารเรืองแสง! ครั้งหน้าจะไม่ใช้ยี่ห้อนี้แล้วแน่นอน! 


 


 


“สิ่งของเช่นนี้ ท่านว่าท่านทำออกมาได้หรือ ข้างกายท่านมีหรือ ท่านเคยเห็นหรือ สิ่งใดเรียกว่ายั่วยวน ยั่วยวนก็คือหนึ่งเดียวไม่มีสองพาให้คนหมอบคลาน! คือความสมบูรณ์พร้อมของทุกรายละเอียด! ท่านคิดดูสิ ดวงตาดำขลับระยิบระยับคู่หนึ่งโผล่พ้นผ้าปิดปากประทับลวดลายสีขาวราวหิมะ ชายใดมองเห็นแล้วจะไม่หวั่นไหวหลงรัก” 


 


 


ดวงตาของกษัตริย์เทียนหนานจ้องมองแผ่นอนามัยนั้น มิอาจไม่ยอมรับว่าของสิ่งนี้หากดูจากฝีมือการประดิษฐ์นับว่ามีเพียงหนึ่งเดียว กลิ่นหอมพิเศษยิ่งนัก อาจจะสวมใส่แล้วมีความยั่วยวนยวดยิ่งจริงแท้ยังเอ่ยไม่ชัด 


 


 


“ข้าจะลองสวมดู” นางเอ่ยอย่างอดมิได้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวส่งสิ่งหนึ่งนั้นที่แกะออกแล้วในมือออกไปอย่างเสียดายมาก กำชับว่า “ใส่สักหน่อยแล้วคืนข้า ข้ายังหวังจะพึ่งมันร่ำรวยครั้งใหญ่อยู่นะ” 


 


 


“ภายภาคหน้าเจ้าจะเป็นนางข้าหลวงของข้า ปรารถนาได้สิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น เหตุใดต้องเผยตัวเผยตนทำการค้า อีกทั้งของของเจ้าก็คือของของวังหลวง จะให้สตรีต่ำต้อยเหล่านั้นเสพสุขได้อย่างไร ภายหน้าถวายให้ข้าก็พอแล้ว” กษัตริย์เทียนหนานแปะแผ่นอนามัยลงบนปากตามคำแนะนำของจิ่งเหิงปัว เสียงที่เปล่งออกมาฟังไม่ชัดเจนว่า “อื้อ…หอม…” 


 


 


“พอแล้วๆ” จิ่งเหิงปัวดึงแผ่นอนามัยออกมาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เก็บเข้าไปในกระเป๋าใบเล็กของตนเอง กล่าวว่า “ใช้ยามนี้สิ้นเปลืองเพียงใด ของสิ่งนี้ล้ำค่ายิ่งนัก” 


 


 


“ของของเจ้าควรเป็นของของข้า” กษัตริย์เทียนหนานขมวดคิ้ว 


 


 


“ของดีควรจะทะนุถนอม” จิ่งเหิงปัวล้วงผ้าอนามัยสำหรับกลางวันแบบบางพิเศษชิ้นหนึ่งออกจากในกระเป๋าใบเล็กอีกครั้งปานเล่นกล กล่าวว่า “จะให้ท่านดูของดีอีกสิ่ง สำหรับบุรุษใช้” 


 


 


“สิ่งนี้ใหญ่ยิ่งนัก” กษัตริย์เทียนหนานมีสีหน้าอัศจรรย์ด้วยนึกไม่ถึงว่ายังมีแบบชิ้นใหญ่ 


 


 


“สำหรับบุรุษใช้น่ะ ท่านดูสิ ปากเหยียลี่ว์ฉีกว้างขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่แบบนี้แล้วจะปิดปากเอ่ยเจื้อยแจ้วนั้นของเขาได้อย่างไร” จิ่งเหิงปัวคิดไปไกลว่าหากบนปากของเหยียลี่ว์ฉีมีของเล่นชิ้นนี้แปะอยู่ เช่นนั้นก็ยิ้มชั่วร้ายอย่างมาก 


 


 


ที่สำคัญคือของล้ำค่าชิ้นนี้เพิ่มส่วนผสมพิเศษ! 


 


 


โยนแผ่นอนามัยออกไปก็เพื่อ ‘ผ้าปิดปากสำหรับบุรุษ’ ในตอนนี้นี่ล่ะ 


 


 


“มีประโยชน์อันใด” กษัตริย์เทียนหนานอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง หากเอ่ยว่า ‘ผ้าปิดปาก’ สำหรับสตรีงามประณีตยิ่งนักเพิ่มความยั่วยวนและเสน่ห์ได้ เช่นนั้นผ้าปิดปากสำหรับบุรุษชิ้นนี้มีประโยชน์อันใด นางมิได้ต้องการให้เหยียลี่ว์ฉีมายั่วยวนนาง นางเพียงโศกเศร้าว่าเหยียลี่ว์ฉีไม่ยอมตกหลุมพรางของนาง 


 


 


“ยามเข้าห้องหอ…” จิ่งเหิงปัวกระซิบข้างหูนางว่า “ฉวยโอกาสยามเขาไม่สังเกตใส่ให้เขาเสีย ข้างในนี้มีกลิ่นหอมกรุ่นพิเศษชนิดหนึ่ง บุรุษสูดเข้าไปเพียงครั้งก็รู้สึกว่าท่านงามปานเทพธิดาซ้ำยังวิงเวียนหน้ามืด ท่านอยากให้เขาทำท่าอะไรก็ทำท่านั้น อยากให้เขาร่วมมืออย่างไรก็ร่วมมืออย่างนั้น มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือสิ่งนี้มีผล…” นางยิ้มจนยิ้มแย้มหน้าบานกล่าวต่อว่า “…ชั่วชีวิต!” 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานเลิกคิ้วเพียงครั้ง โพล่งออกมาว่า “จริงหรือ?” 


 


 


“จริงแท้แน่นอนเสียยิ่งกว่าทองแท้!” จิ่งเหิงปัวจริงจังเคร่งขรึม กล่าวลอกตามบทพูด 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานหวั่นไหวไปหลายส่วนจริงแล้ว 


 


 


ยาเสน่ห์ไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด ในวังหลวงหลายแห่งล้วนตระเตรียมไว้หลากหลายชนิดให้พร้อมใช้งาน นับประสาอะไรกับผู้มีฝีมือสูงในทางนี้ที่ก่อร่างสร้างตนจากความงามเช่นนาง เพียงแต่เหยียลี่ว์ฉีระแวดระวังยิ่งนัก ยาที่นางเคยแอบลองใช้แต่ก่อนไม่มีผลแม้แต่น้อย ที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางกลัวว่าหลังใช้ยาดั่งฌ้อปาอ๋องแข็งขืนสอดลูกธนู[1] ยามเหยียลี่ว์ฉีคืนสติโกรธเคืองระบายใส่นาง เช่นนี้ย่อมไร้หนทางกอบกู้สถานการณ์อย่างแท้จริง 


 


 


สำหรับบุรุษปานต้นไม้เขียวชอุ่มดอกไม้งามวิเศษผู้นี้นั้น นางย่อมทะนุถนอมแลให้ความสำคัญด้วยตนเอง นางไม่อยากปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นบุรุษที่ซื้อมาจากตลาดค้าทาสเหล่านั้นทว่าปรารถนาจะพยายามร่วมชีวิตกับเขาให้ยืนยาวสักหน่อย 


 


 


หากยืนยาวชั่วชีวิตได้จริงๆ… 


 


 


จิ่งเหิงปัวเพ่งมองสีหน้าของนางตลอดเวลา มองเห็นสายตานั้นเต็มเปี่ยมด้วยความหวั่นไหวได้อย่างชัดเจน 


 


 


“แต่ว่านะ ด้วยรูปโฉมงดงามและเสน่ห์ของต้าหวังข้าว่าคงไม่ต้องใช้ของสิ่งนี้ เฮ้อ อย่างไรก็ประหยัดไว้ให้ข้าเถิด นี่น่ะคือสิ่งที่ข้านำข้ามน้ำข้ามทะเลมา ใช้ครั้งหนึ่งน้อยลงชิ้นหนึ่ง” นางทำท่าจะเก็บผ้าอนามัยใส่กระเป๋า 


 


 


“เอ่อ” กษัตริย์เทียนหนานคว้ามือของนางไว้แล้วเอ่ยว่า “ลองดูย่อมไม่เสียหาย อย่าได้หวงของของเจ้านักเลย หากทำสำเร็จจริงข้าจะประทานรางวัลยิ่งใหญ่ให้เจ้า” ฉวยมือคว้าผ้าอนามัยนั้นไปเก็บไว้ในถุงลับติดกายอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ให้ท่านก็ให้ท่านเถิด…” จิ่งเหิงปัวทำหน้าตาเสียดายกำชับว่า “ทว่าเอ่ยไปเอ่ยมา แอบใส่ให้เขาจะดีที่สุด ฉวยโอกาสแปะลงไปยามเขาไม่สังเกตผลลัพธ์จึงจะดี หากกลัวจะถูกเขาพบเข้า ท่านแปะไว้ด้านในหมอนผลลัพธ์ก็พอได้ อีกอย่างท่านจำไว้ว่านี่สำหรับบุรุษใช้ ท่านแกะออกเองย่อมเสียเปล่าเลยนะ” 


 


 


“เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว” กษัตริย์เทียนหนานตบแขนเสื้อ สีหน้าท่าทางมั่นเหมาะ 


 


 


สีหน้าของจิ่งเหิงปัวมั่นเหมาะเช่นกัน…เหยียลี่ว์ฉี คืนนี้มีสาวงามกระชากวิญญาณ มีผ้าอนามัยปิดปากและมีฉี่เฟยเฟยเพิ่มความสนุกสนาน ชอบไหมล่ะ 


 


 


เพื่อตอบแทนบุญคุณคำลวงในหุบเขาครั้งหนึ่งนั้นของนาย พี่ทุ่มเทสุดกำลังจริงๆ นะไอ้เวร! 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


[1] ฌ้อปาอ๋องแข็งขืนสอดลูกธนู เปรียบเทียบว่าบังคับขืนใจ 

 

 

 


ตอนที่ 44.2

 

กงอิ้นอยู่เบื้องหน้าประตูวัง หลังโจมตีเหล่าพลสนับสนุนแห่งวังหลวงจนถอยไปสามครั้ง เรือนร่างหันเพียงครั้งเผชิญกับเหล่าองครักษ์ที่ตามมา 


 


 


“นายท่าน…” เหมิงหู่มองดูในวังอย่างทุกข์ใจเอ่ยสืบต่อว่า “ฝ่าบาทถูกลักพาตัวไปแล้ว พวกเราต้องบุกเข้าไปหรือไม่ขอรับ” 


 


 


“ยามนี้นางสบายดี” กงอิ้นสีหน้าสงบนิ่งเอ่ยสืบต่อว่า “ไม่ต้องบุกเข้าไป หากสูญเสียกำลังจะไปพบสหายเก่าได้อย่างไรเล่า” 


 


 


เหมิงหู่รู้ว่ากงอิ้นมีหนทางของตนเองในการแน่ใจความปลอดภัยของจิ่งเหิงปัว ได้ฟังวาจาจึงแอบวางใจ ทว่ายามได้ยินประโยคสุดท้ายตกใจเสียจนคิ้วกระตุกครั้งหนึ่งเอ่ยว่า “ราชครูฝ่ายซ้ายอยู่ในวัง!” 


 


 


“ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว…” กงอิ้นมือไพล่หลังมองอาทิตย์อัสดงลับฟ้าแช่มช้า เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “วังแห่งกษัตริย์เทียนหนานยามค่ำคืนอาจจะคุ้มค่าให้ชม” 


 


 


เหมิงหู่ถอยลงไปเตรียมตัวด้วยเข้าใจ รู้ว่าคืนนี้นายท่านต้องเข้าวังหลวงอีกครา 


 


 


ทว่ากงอิ้นเงยหน้าโดยพลัน สายตาจ้องเขม็งเพียงครั้ง 


 


 


บนยอดกำแพงวังปรากฏเงาร่างชุดคลุมยาวสีเงินเหลือบดำโดยพลัน แขนเสื้อกว้างลอยล่อง นัยน์ตาเจือรอยยิ้มซ้ำยังกวักมือเรียกกงอิ้นอยู่ไกลๆ 


 


 


“ราชครูฝ่ายซ้าย!” เหมิงหู่ตะโกนขึ้นมาเสียงหนึ่งดั่งปวดฟัน 


 


 


ใบหน้าของกงอิ้นไร้อารมณ์และมิได้โต้ตอบ ใช้สายตาราวมองซากศพมองดูเหยียลี่ว์ฉี 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีอยู่ห่างไกลบนกำแพงวัง หัวเราะสนอกสนใจกับวังหลวงเหล่าพลสนับสนุนคล้ายมนุษยสัมพันธ์ดียิ่งนัก เอ่ยวาจาไปพลางฉวยมือชี้ทิศทางของกงอิ้นไปพลาง ดวงตาชำเลืองมองพลสนับสนุนแห่งวังที่ถอยกลับไปบ้างแล้วเหล่านั้นพลันพุ่งลงมายังกำแพงเมืองอีกครา 


 


 


เหมิงหู่ลอบด่าเสียงหนึ่งตระเตรียมเผชิญศึกพร้อมสรรพโดยพลัน ทว่ากงอิ้นไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย…ในเมื่อเหยียลี่ว์ฉีถูกเขาไล่ล่า หากปล่อยโอกาสล้อมสังหารเขาครั้งนี้หลุดลอยไปถึงจะประหลาด 


 


 


ทว่ามิได้รอให้เขาชิงลงมือก่อน บนกำแพงวังปรากฏบุรุษผู้หนึ่งอีกครั้งโดยพลัน เขาตะโกนจากไกลๆ ว่า “จัดกระบวนทัพใช้มังกรอัคคีโจมตีสังหารมัน!” 


 


 


องครักษ์กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากสองฝั่งกำแพงวังตามคำสั่งของเขา มือถือกระบอกพ่นเพลิงสีดำ หลังจุดไฟแสงเพลิงพวยพุ่งทั้งสิ้นสามฉื่อ กระบอกเพลิงเปลวไฟมากมายหัวท้ายเชื่อมต่อกันม้วนทะยานเริงระบำ มองไกลๆ ดุจดังมังกรอัคคีจริงแท้ อลังการยวดยิ่ง 


 


 


ทว่าพอเหยียลี่ว์ฉีได้เห็นสีหน้าเปลี่ยนไปมาก รีบเร่งตะโกนว่า “อย่าใช้มังกรอัคคี!” 


 


 


ผู้รับบัญชาบนกำแพงที่วังกษัตริย์เทียนหนานส่งมาทดสอบเหลือบสายตามอง…มีปัญหาดังคาด! 


 


 


ต้าหวังเอ่ยว่าจะทดสอบคุณชายเหยียลี่ว์ด้วยกลัวว่าเขาสมคบคิดกับผู้บุกวังนี้ บัดนี้ดูท่าจริงแท้แน่นอน พอจะใช้อาวุธสังหารรุนแรง ดูท่าทางร้อนรนนี้ของเขาสิ! 


 


 


“ยิง!” เขาคล้ายจะไม่ได้ได้ยินเสียงตะโกนยับยั้งของเหยียลี่ว์ฉี บัญชาด้วยเสียงเฉียบขาด 


 


 


มุมปากของกงอิ้นเฉียดผ่านด้วยรอยยิ้มเย็นชาสายหนึ่ง 


 


 


เบื้องหน้าปัญญาหิมะ การโจมตีที่แฝงพลังร้อนทั้งสิ้นล้วนเปล่าประโยชน์ 


 


 


มังกรอัคคีคำรามคล้ายกำเนิดจากปลายอาทิตย์อัสดง เจือด้วยสีแดงสว่างเพียงหนึ่งและไอสังหารไร้ขอบเขต พุ่งทะยานเข้ามา 


 


 


กงอิ้นเพียงตลบแขนเสื้อแผ่วเบา 


 


 


แขนเสื้อสีหิมะดุงดังหิมะใหญ่ทั่วท้องฟ้า เวียนวนเป็นเงาขาวทอดยาวออกไปรอบนอกสามจั้ง อุณหภูมิโดยรอบลดฮวบ ไอร้อนไอเย็นสอดประสานจู่โจมจนอบอวลด้วยไอหมอกสีขาวจาง กลบกลืนเรือนร่างสูงโปร่งของเขาให้มัวสลัวยากจับต้องดุจเทพเซียนแห่งเขาเผิงไหล[1] 


 


 


ทว่าเหยียลี่ว์ฉีถอนหายใจเฮือก 


 


 


แน่นอนว่าการถอนหายใจของเขา ยามมองในสายตาของผู้รับบัญชาที่มองดูอยู่เงียบเชียบ นั่นคือความเจ็บปวดใจ 


 


 


มังกรอัคคีร่ายระบำประชิดมา 


 


 


พานพบกับไอหมอกสีขาวจาง 


 


 


เสียงซู่ๆ ระลอกหนึ่งดังแผ่วเบา ทุกคนเบิกตากว้างมองเห็นเปลวเพลิงสีแดงช่อใหญ่ที่ทะยานระบำดุเดือดนั้นถูกไอหมอกเจือจางเบาบางดั่งไร้สิ่งชั้นหนึ่งนั้นขัดขวาง กีดกั้นและละลายทีละเล็กละน้อยคล้ายถูกคมมีดไร้รูปร่างสะบั้นออกดังกังวานก่อนจะพังทลายต่อหน้าต่อตา 


 


 


น้ำแข็งและไฟปะทะประสาน ไอหมอกเพิ่มทะยานยิ่งรุนแรงจนเยือกแข็งกลายเป็นผลึกน้ำแข็งละเอียดเกลื่อนพื้น ทุกคนแทบจะมองเงาร่างของกงอิ้นได้ไม่ชัดเจน มองเห็นเพียงมือข้างหนึ่งวาดเป็นวงกลมดั่งใจนึกอยู่รำไร เล็บยิ่งไร้สีเลือดแม้แต่น้อยโปร่งใสปานผลึกน้ำแข็ง 


 


 


ทุกคนทั้งเบื้องบนเบื้องล่างกำแพงวังตะลึงพรึงเพริด มิเคยนึกว่าไอสังหารดุดันเ**้ยมโหดที่แทบจะไม่พ่ายแพ้ในสงครามใดจะไร้ซึ่งแรงต้านทานแม้เพียงน้อยยามอยู่ใต้มือข้างหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม ค่อยๆ ถอยหลังโดยจิตสำนึก 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีถอนหายใจเสียงหนึ่งอีกครา 


 


 


ยามฟังด้วยหูของผู้รับบัญชาที่หงุดหงิดด้วยพ่ายแพ้ นั่นคือความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น 


 


 


 นัยน์ตาของผู้รับบัญชาเฉียดผ่านด้วยความโกรธสายหนึ่ง ร่างถอยหลังเพียงครั้งโดยพลันโซเซคล้ายจะล้มลง 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีรีบเร่งมาประคอง ผู้รับบัญชายกมือขึ้นคล้ายหวังอาศัยแรงของเขา แขนเสื้อแฉลบผ่านหลังมือของเขา แผ่นโลหะบนริมแขนเสื้อตั้งขึ้นเพียงน้อยมิรู้ยามใดเฉือนผ่านผิวบริเวณหลังมือของเหยียลี่ว์ฉี 


 


 


“โอ๊ย!” เหยียลี่ว์ฉีรู้สึกว่าหลังมือเจ็บขึ้นมาเพียงน้อย ยามชักมือกลับมามองเห็นหลังมือถูกบาดเสียแล้ว โลหิตจางๆ ไหลออกมาเล็กน้อย 


 


 


“ไอ้หยา ขออภัย” ผู้รับบัญชารีบเร่งขออภัย ดวงตาอดจะเหลือบมองบาดแผลไม่ได้ 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีหดมือเพียงครั้งแขนเสื้อห้อยลงมาปกปิดบาดแผล เอ่ยเจือยิ้มจางว่า “ไม่เป็นไร” เบนสายตาออกไปมิหวังใส่ใจผู้รับบัญชาอีก 


 


 


ผู้รับบัญชาเดินออกไปสองก้าวแอบกำหมัดแน่น 


 


 


มองเห็นปัญหาอีกคราดังคาด! 


 


 


ในโลหิตของเหยียลี่ว์ฉีผลึกน้ำแข็งละเอียด! 


 


 


ต้าหวังให้เขาจับตาว่าเหยียลี่ว์ฉีมีความสัมพันธ์ลับกับไอ้หน้าอ่อน เอ่ยว่าหลักฐานที่แน่ชัดที่สุดคือวรยุทธ์ของพวกเขามากจากแหล่งเดียวกันจริงแท้แน่นอนทั้งสิ้น มองเจ้าคนชุดขาวผู้นั้นผลึกน้ำแข็งเกลื่อนพื้น บัดนี้ในโลหิตของเหยียลี่ว์ฉีมีสีผลึกน้ำแข็งเช่นกัน หากเอ่ยว่าไม่ใช่ตระกูลเดียวกันผู้ใดจะเชื่อ 


 


 


ยามนี้เหลือเพียงการทดสอบขั้นสุดท้ายแล้ว 


 


 


ทดสอบความรู้สึกที่ผู้ชุดขาวนั้นมีต่อผู้ชุดดำนี้! 


 


 


ผู้รับบัญชาฟาดฝ่ามือเพียงครั้งบนแผ่นหลังของเหยียลี่ว์ฉีโดยพลัน มืออีกข้างหนึ่งทำท่าทางเสแสร้งโยนป้ายไม้สีดำแผ่นหนึ่งจากข้างหลังเหยียลี่ว์ฉี ดูท่าทางคล้ายเขาซุ่มโจมตีเหยียลี่ว์ฉีและขโมยป้ายไม้ 


 


 


ณ กำแพงวังเบื้องล่างห่างออกไป สายตาของกงอิ้นสว่างวูบ เฉียดกายสืบขึ้นเบื้องหน้าหลายก้าวโดยเร็วหวังมองให้ชัดว่าป้ายไม้นั้นคือสิ่งใด ใช่ป้ายบัญชาการแห่งราชครูฝ่ายซ้ายของเหยียลี่ว์ฉีหรือไม่ 


 


 


ณ บนกำแพงวัง เหยียลี่ว์ฉีหันกายด้วยระแวง ยกแขนเสื้อเพียงครั้งขัดขวางฝ่ามือหนึ่งนั้นของผู้รับบัญชา ขนคิ้วกระตุกครั้งหนึ่งเอ่ยอย่างงงงันว่า “เจ้าจะทำอะไร” 


 


 


 ผู้รับบัญชาหัวเราะฮิๆ ครั้งหนึ่ง ปลายเท้ากระตุกเพียงครั้งสะบัดป้ายไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือ ฉวยมือยัดเข้าไปในแขนเสื้อครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าคุณชายเหยียลี่ว์มีวรยุทธ์ยิ่งใหญ่สูงส่ง ผู้ต่ำต้อยหวังจะทดสอบการโต้ตอบของท่าน เหอะๆ หยอกเล่น หยอกเล่น” 


 


 


สายตาของเหยียลี่ว์ฉีกะพริบวูบ สีหน้าไม่เชื่ออย่างชัดเจน ยิ้มพลางเอ่ยว่า “อ้อ หยอกเล่นในยามนี้หรือ?” 


 


 


ผู้รับบัญชาไม่ตอบวาจาเดินไปริมกำแพง เมื่อครู่นั้นที่ลงมือกับเหยียลี่ว์ฉี เขาได้มองเห็นสีหน้าร้อนรนของกงอิ้นแล้ว 


 


 


พอแล้ว 


 


 


เช่นนี้พิสูจน์ได้แล้ว 


 


 


นี่ย่อมเป็นชายโฉดชายชั่วที่ต่างฝ่ายต่างมีใจคู่หนึ่ง แอบแฝงเจตนาร้ายร่วมไม้ร่วมมือกันวางแผนแย่งชิงอำนาจของต้าหวัง! 


 


 


“คิกๆ คิกๆ” เขาก้มหน้าแอบหัวเราะพลางเอ่ยว่า “คู่รักคู่ชู้ชื่นงดงามคู่หนึ่ง ลำบากพวกเจ้าแล้ว!” 


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ?” เหยียลี่ว์ฉีมิทันได้ฟังให้ชัดเจน 


 


 


… 


 


 


ณ เบื้องล่างกำแพงวัง กงอิ้นเงยหน้ารู้สึกเลืองรางว่าบรรยากาศเบื้องบนแปลกประหลาด 


 


 


“ไม่มีอะไร ผู้ต่ำต้อยยังต้องรายงานสถานการณ์บนกำแพงต่อต้าหวัง นอกจากนี้ต้าหวังบัญชาว่ามิต้องเปิดศึกกับฝ่ายตรงข้าม เขาจะเข้ามาก็ให้เขาเข้ามาเถิด” ผู้รับบัญชามิกล้าอิดออดรีบเร่งขอตัวโดยพลัน เดินไปพลางถอนหายใจส่ายหน้าไปพลาง 


 


 


แม้เอ่ยว่าอยู่ในฐานะศัตรู ทว่านึกไม่ถึงว่าบุรุษคู่หนึ่งจะมีความรู้สึกลึกล้ำเช่นนี้ต่อกัน เพื่อชายนั้นแล้วเขายอมเป็นสายลับฝืนหน้ายิ้มร่าเริงเคียงคู่ข้างกายสตรีที่ไม่ชอบพอ เพื่อชายนี้แล้วเขายอมควบทะยานหมื่นลี้ปะทะศัตรูนับไม่ถ้วน เพรียกหาอยู่เบื้องล่าง ใช้ตนผู้หนึ่งเป็นศัตรูกับแคว้นหนึ่งโดยมิเสียดาย 


 


 


ความรักระหว่างบุรุษที่พาให้ผู้คนมากมายซาบซึ้ง! 


 


 


กงอิ้นเงยหน้ามองดูผู้รับบัญชาที่ปรากฏกายโดยพลันและรีบเร่งจากไปผู้นั้น ในใจรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติรำไรจึงหันหลังถามเหมิงหู่ว่า “รู้สึกหรือไม่ว่ามีสิ่งใดผิดปกติ” 


 


 


เหมิงหู่เอ่ยว่า “ขอรับ สายตาซาบซึ้งยิ่งนัก” 


 


 


… 


 


 


 


 


 


 


 


 


บนกำแพงวัง เหยียลี่ว์ฉีขมวดคิ้ว มือลูบจมูก 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานเป็นอะไรไปถึงจะปล่อยให้กงอิ้นเข้ามา หรือได้ฟังวาจาของนางมารน้อยนั่น 


 


 


มองไม่ออกเลยว่านางมารน้อยยังมีความสามารถเช่นนี้ 


 


 


วันนี้ที่กงอิ้นไล่ตามไม่ยอมลดละ เพื่อจะไล่จับเขาหรือว่าเพื่อนางมารน้อยกันแน่? 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีชำเลืองมองสันจมูกสูงโด่งของกงอิ้นแล้วลูบจมูกของตนเอง ไม่ได้รู้สึกว่าสูงน้อยกว่ากันเพียงใด 


 


 


เฮ้อ อย่างไรเสียก็ปิดบังไว้มิได้แล้ว เข้ามาก็เข้ามา หาโอกาสจัดการมันให้สิ้นซาก 


 


 


… 


 


 


เมื่อจิ่งเหิงปัวมองเห็นผู้รับบัญชารีบเร่งกลับมา ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ในใจก็ยิ้มพรายแล้ว 


 


 


พอนางมองเห็นกษัตริย์เทียนหนานได้ฟังผู้รับบัญชารายงาน สีหน้าก็เปลี่ยนไปจนอัปลักษณ์โดยพลันเช่นกัน ในใจยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่อง 


 


 


เป็นอย่างไรเล่า? ความรักระหว่างบุรุษที่ ‘สมรู้ร่วมกระทำ กล้ำกลืนฝืนอัปยศ ร่วมมือทั้งนอกใน แม้ตายไม่ยอมเปลี่ยนแปลง’ ถูกพิสูจน์แล้วล่ะสิ 


 


 


ก่อนหน้านี้นางได้ยินกงอิ้นเอ่ยขึ้นมาว่า หลังจากถูกพิษของเขาแล้วใช้ยาถอนพิษของเขา โลหิตระหว่างช่วงบาดเจ็บของเหยียลี่ว์ฉีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนปรากฏเกล็ดผลึกน้ำแข็ง 


 


 


ในระดับหนึ่งนั้น มองคล้ายเลือดนั้นมาจากแหล่งเดียวกันกับวรยุทธ์ของกงอิ้น ส่วนพลังที่เหยียลี่ว์ฉีครอบครองอยู่ในมือย่อมเป็นสิ่งที่กงอิ้นฝันใฝ่อยู่ตลอดเป็นธรรมดา ให้ผู้รับบัญชาโยน ‘ป้ายบัญชาการปลอม’ นั่นออกไป กงอิ้นจะไม่สนใจได้อย่างไร 


 


 


ส่วนรูปแบบของป้ายบัญชาการ…คราวอยู่กลางหุบเขา นางเคยเห็นป้ายไม้สีดำขอบโค้งมนที่เสียบเอนเอียงอยู่บริเวณเอวของเหยียลี่ว์ฉีโผล่ออกมาเล็กน้อย นึกแล้วคงเป็นสิ่งจำพวกป้ายบัญชาการตามตำแหน่งของเหยียลี่ว์ฉี แน่นอนว่าป้ายไม้ที่คนของกษัตริย์เทียนหนานเขวี้ยงออกไปคงไม่เหมือนป้ายของเหยียลี่ว์ฉีทุกกระเบียดนิ้ว แต่ว่าห่างกันขนาดนั้นจะจำแนกชัดเจนได้อย่างไร 


 


 


นึกถึงราชครูเจ้าเล่ห์เย็นชาสองตัวนั้นที่หลอกนางไปหลอกนางมา ในที่สุดคราวนี้ก็ถูกตนเองจัดการไปครั้งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวก็ไม่อาจไม่ยิ้มแย้มดีใจ 


 


 


สีหน้าของกษัตริย์เทียนหนานดูอัปลักษณ์ ใช้เวลาเนิ่นนานจึงยอมรับหลักฐานบ้าบอนี้เสร็จสิ้น เดิมทีนางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับวาจาของจิ่งเหิงปัว ที่เอ่ยว่าให้นางไปทดสอบเสน่ห์แห่งสตรีเพศเป็นเพียงการทดสอบท่าที ยามนี้ในใจโกรธแค้นทว่าเกิดความคิดอยากจะทดสอบให้เต็มที่ขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


นางสะบัดมือเพียงครั้ง บัญชาให้คนแก้เชือกมัดมือของจิ่งเหิงปัวอย่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก จิ่งเหิงปัวบิดขี้เกียจครั้งหนึ่งอย่างสบายกาย ตอนนี้นางเป็นอิสระโดยสิ้นเชิงแล้ว 


 


 


แต่ว่านางไม่ได้อยากไปไหน 


 


 


นางอยากหารอยร้าวระหว่างราชครูสองตัวกับต้าหวังตัวหนึ่งแล้วแทรกเข้าไปอย่างเหมาะเจาะพอดิบพอดี แบบนี้ทั้งสามารถหลุดพ้นดวงชะตาราชินีหุ่นเชิด ซ้ำยังสามารถวางแผนจัดการชีวิตของตนเองในภายภาคหน้าแบบทำเพียงครั้งเดียวสบายตลอดกาล 


 


 


นางนั่งลง รอการมาถึงของกงอิ้นด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ 


 


 


กษัตริย์เทียนหนานกลับจ้องมอง ‘ผ้าปิดปาก’ เริ่มตั้งใจครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะโถมทับเหยียลี่ว์ฉีในคืนนี้ พลันนึกถึงปัญหาสำคัญข้อหนึ่ง 


 


 


“คืนนี้เจ้าเองจะใช้หรือไม่” กษัตริย์เทียนหนานชี้ไปยัง “ผ้าปิดปาก” 


 


 


จิ่งเหิงปัวทำสีหน้าแปลกประหลาด…แปะสิ่งนี้บนปากของมหาเทพเหรอ? 


 


 


นางจะยังได้เห็นดวงอาทิตย์ของพรุ่งนี้หรือไม่ 


 


 


“ก็ไม่ใช่ว่าจะลองไม่ได้นะ” นางนึกถึงท่าทางอัศจรรย์เมื่อผ้าอนามัยแปะบนปากของมหาเทพแล้วเลือดเดือดพลุ่งพล่านทันที…มหาเทพผู้ขาวราวหิมะคู่กับผ้าอนามัยสีขาวราวหิมะ เหมาะที่สุดเลยใช่ไหมล่ะ 


 


 


“บางทีเขาอาจจะชอบแบบมีปีกยาวพิเศษสำหรับกลางคืน” จิ่งเหิงปัวเปรียบเทียบผ้าอนามัยแบบมีปีกด้วยสีหน้าฝักใฝ่ 


 


 


“ชอบสิ่งใด” มีคนถามอยู่ข้างหลัง 


 


 


“ยาวพิเศษสามสิบเก้าเซนติเมตรสำหรับกลางคืนอย่างไร…” จิ่งเหิงปัวหรี่ตาตอบด้วยความใฝ่ฝัน พลันรู้สึกตัวว่าเสียงนี้ไม่ถูกต้อง 


 


 


“ฉิบ!” พอนางหันหลังก็มองเห็นมหาเทพผู้ขาวราวหิมะ 


 


 


  


 


 


—— 


 


 


[1] เทพเซียนแห่งเขาเผิงไหล เกาะเซียนเผิงไหลตั้งอยู่ที่มณฑลซานตงเมืองเยียนไถและเมืองเผิงไหล ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อาณาเขตเทพเซียนแห่งโลกมนุษย์” 

 

 

 


ตอนที่ 44.3

 

มหาเทพผู้ขาวราวหิมะยืนตระหง่านอยู่ปากประตู ขมวดหัวคิ้วน้อยๆ ด้วยท่าทางเสแสร้ง ดวงตาจ้องมองนางอยู่ เขามองนางอย่างละเอียดลึกซึ้งในปราดเดียว พอมั่นใจว่าภายนอกไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสมจึงเอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า “มีปีก? ยาวพิเศษ? สำหรับกลางคืน?”


 


 


สองคำสุดท้ายอาจกระทบถึงเส้นประสาทซึ่งแท้จริงแล้วไวต่อความรู้สึกอย่างยิ่งของเขา สายตาที่เขามองไปยังจิ่งเหิงปัวเปี่ยมด้วยการสอบสวน


 


 


“เหอะๆๆ” จิ่งเหิงปัวย่อมมีวิธีแก้ตัวของตนเอง กล่าวว่า “นั่นสิ กระโปรงสุ่มนางฟ้าสีขาวราวหิมะทรงบิกีนีมีปีกแนบเนื้อสั้นมากของข้า เจ้าอยากดูหรือไม่ ข้าสวมให้เจ้าดูได้นะ?”


 


 


มหาเทพโต้ตอบฉับไว…ชั่วพริบตาเดียวกระต่ายสีขาวราวหิมะตัวกลมดิก ขาเรียวยาวสวมกระโปรงสั้น หูเรียวยาวใบหูสีชมพูเช่นจิ่งเหิงปัวจำนวนนับไม่ถ้วนคำรามผ่านมาในหัวสมอง…


 


 


“อย่าก่อเรื่อง!” เขาปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยวตรงไปตรงมา สีหน้าวาจาจริงจังเปี่ยมเหตุผล


 


 


มองด้วยสายตาของกษัตริย์เทียนหนานกลับกลายเป็นผู้มีรสนิยมพิเศษที่มีจิตใจแน่วแน่ยืนหยัดไม่ลุ่มหลงในสตรีตัวหนึ่ง!


 


 


ในดวงตาของกงอิ้นไร้ซึ่งกษัตริย์เทียนหนานโดยสิ้นเชิง…แต่ไหนแต่ไรมา สิ่งที่เข้าสู่สายตาของเขามีเพียงหนึ่งถึงสองสิ่งนั้นที่เดินเข้ามาใกล้ระยะการมองเห็น


 


 


เขายกมือให้จิ่งเหิงปัว สื่อนัยให้นางเดินมาหาจะได้จากไปกับเขา


 


 


พอจิ่งเหิงปัวมองเห็นก็รู้ว่าท่าไม่ดี เหตุใดนางถึงลืมนิสัยของมหาเทพไปได้ เมื่อเขาเข้ามาต้องพานางออกไปเลยแน่นอน มองด้วยสายตาของกษัตริย์เทียนหนานแล้วย่อมไม่เข้ากับแผนการ ‘ร่วมมือวางแผนยึดวังหลวงทั้งนอกทั้งใน’ แผนนั้น


 


 


“อิ้นอิ้น…” นางรีบเร่งเดินยิ้มแย้มเข้าไปหา พิงศีรษะบนไหล่ของเขา กล่าวเสียงเบาว่า “ยามนี้ไปไม่ได้ ข้าถูกวางยาพิษเข้าแล้ว…”


 


 


“จับนางไว้แล้วนำยาถอนพิษมาเสียสิ” กงอิ้นเลิกคิ้วเพียงครั้ง ยื่นมือตรวจชีพจรของนาง


 


 


จิ่งเหิงปัวเบี่ยงกายครั้งหนึ่งหลบหลีกออกไป กระซิบเสียงเบาข้างหูเขาว่า “พิษนี้เหยียลี่ว์ฉีเป็นคนวาง หรืออาจไม่เรียกว่าพิษ เขาเอ่ยว่าหากข้าคิดจะออกไปจากวังกษัตริย์เทียนหนานก็จะล้มลงสิ้นชีพ เจ้าว่าเรื่องนี้ยอมเชื่อผิดแต่มิอาจไม่เชื่อไม่ใช่หรือ ทว่าเรื่องนี้จะโทษกษัตริย์เทียนหนานไม่ได้ กษัตริย์เทียนหนานดีต่อข้าไม่น้อย นางเลื่อมใสข้ายิ่งนักจนหวังคารวะข้าเป็นอาจารย์ ประเดี๋ยวยังจะจัดงานเลี้ยงเชิญพวกเราทานอาหาร ข้าว่าในเมื่อมาแล้วจะจากไปแบบนี้ได้อย่างไร หากไม่ทำให้ระเบิดเช่นเหยียลี่ว์ฉีลูกนี้ระเบิดออก พวกเราจะเดินทางโดยสวัสดิภาพได้ตลอดทางหรือ? เจ้าก็อยู่ต่อสักหน่อยเถิด พวกเราร่วมกันขจัดพิษภัยใหญ่หลวงในใจเจ้า ดีหรือไม่”


 


 


นางเอ่ยวาจาประชิดข้างหูกงอิ้น กลิ่นหอมเจือจางและไอร้อนพัดพาไรผมบริเวณจอนหูของเขา เขารู้สึกคันยิบเล็กน้อย อดจะเอียงศีรษะหวังหลบหลีกไม่ได้ พอเอียงศีรษะกลับมองเห็นดวงตาเจือรอยยิ้มของนางที่เงยขึ้นมาพอดี ดวงตาในมุมนี้ของคนธรรมดาคงแลดูแปลกประหลาดไปบ้าง ทว่านางผุดเผยเพียงหางตาเรียวยาวดุจผีเสื้อเยี่ยนเหว่ย ดวงตาสุกสกาวชม้ายคล้ายแสงจันทร์สาดอ้อยอิ่งเบื้องหน้าหน้าต่างลายฉลุ ทุกรัศมีคือความคล่องแคล่ว งามปราดเปรียวแลอ่อนโยน ดั่งมวลผการ่วงโปรยเต็มไหล่ กรุ่นกลิ่นหอมเลือนรางลูบไล้ไม่จางหาย


 


 


ส่วนคำว่า ‘พวกเรา’ สองคำนั้น เน้นหนักแผ่วเบา เจือความคุ้นเคยสนิทสนมไม่คร่ำเคร่ง ได้ยินแล้วความห้าวหาญดุจน้ำแข็งดั่งหิมะของเขายังคล้ายจะละลายกลายเป็นธารวสันต์ อดจะ “อืม” แผ่วเบาเสียงหนึ่งไม่ได้


 


 


จิ่งเหิงปัวพิงอยู่บนไหล่ของเขา เดิมทีตั้งใจใช้คำพูดอ่อนโยนสนิทสนมมอมเมาเขา แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าผืนไหล่ของเขาแข็งแกร่งคล้ายหยกแห่งคุนหลุน ในใจสงบสุขแบบไม่เคยมีมาก่อน อดจะถูไปถูมาไม่ได้


 


 


ภายใต้การถูเพียงครั้ง กงอิ้นยืนแข็งทื่อ…เดิมทีนางยืนหันข้าง การถูครั้งนี้จึงมีความอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความเชื้อเชิญในตนเอง นางชนข้างไหล่ของเขาอย่างแผ่วเบาจนระลอกคลื่นพวยพุ่งในใจเขาเพียงครั้ง สีหน้าซีดเผือด


 


 


ยามช้อนสายตาขึ้นอีกครั้ง มองเห็นแววตาแปลกประหลาดคล้ายกำลังชมอย่างออกรสของกษัตริย์เทียนหนานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จึงปรับสีหน้าให้เย็นชา ดีดนิ้วดังเพี้ยะบนจอนผมของจิ่งเหิงปัว เอ่ยว่า “ยืนดีๆ”


 


 


จิ่งเหิงปัวปรับท่าทางยืนตรงแน่วแอบแบะปาก ส่งสายตาให้กษัตริย์เทียนหนานว่า “ดูสิ เป็นเช่นดังคาดไว้สินะ”


 


 


กษัตริย์เทียนหนานใช้สายตาแสดงการเห็นด้วย เมื่อครู่นางชำเลืองมองความยั่วยวนที่กำลังเริ่มต้นขึ้นของจิ่งเหิงปัว กำลังรู้สึกว่าแม้แต่มุมที่จิ่งเหิงปัวอิงแอบเอ่ยวาจายังคล้ายอัศจรรย์ยิ่งนักจึงคิดจะเรียนรู้ให้เต็มที่ ไม่นึกว่าจิ่งเหิงปัวจะถูกผลักออกมาให้ยุติท่าทีเช่นนี้แล้ว


 


 


นางยิ่งเชื่อขึ้นไปอีกอย่างช่วยมิได้…สีหน้ามุมนั้นเมื่อครู่ของจิ่งเหิงปัวงดงามน่ารักใคร่เช่นนี้ แม้แต่นางยังหวั่นไหวไร้ต้านทานและเสียดายหากต้องเบนสายตาออกไป เจ้าคนชุดขาวผู้นี้ไม่เข้าใจเสน่ห์เช่นนี้ หากไม่ใช่หลงใหลในบุรุษเพศก็คล้ายจะไร้หนทางอธิบายแล้ว


 


 


กษัตริย์เทียนหนานมองกงอิ้นปราดเดียวด้วยความอาลัยอาวรณ์…เสียดายรูปโฉมงดงามเหนือสามัญรูปหนึ่งเช่นนี้!


 


 


นางแอบตอบกลับจิ่งเหิงปัวด้วยแววตาสายหนึ่งว่า ‘ฝากด้วยล่ะ!’


 


 


จิ่งเหิงปัวผู้เตรียมพร้อมแต่แรกเริ่มยิ้มเพียงครั้ง


 


 


จะให้ราชครูจิ้งจอกสองตัวทิ้งโล่ทิ้งเกราะได้อย่างไร


 


 


จะให้กษัตริย์เทียนหนานเชื่อมั่นลึกซึ้งไม่เปลี่ยนไปจนขืนใจเหยียลี่ว์ฉีได้อย่างไร


 


 


หลบหนีจากวงล้อมของสัตว์ร้ายสามตัวโดยไม่เป็นราชินีหุ่นเชิดเหมือนคุกกี้สอดไส้นั่นได้อย่างไร


 


 


โอกาสมีไว้สําหรับคนที่พร้อมเสมอ!


 


 


ทุกอย่างอยู่ในค่ำคืนนี้


 


 


งานเลี้ยงเหิงปัว!


 


 



 


 


เพราะการยืนกรานของจิ่งเหิงปัว สุดท้ายแล้วกงอิ้นจึงยังอยู่ต่อ


 


 


ผู้มีฝีมือสูงแห่งวังกษัตริย์เทียนหนานซุ่มรออยู่บริเวณใกล้โดยตลอด แม้ว่าเรื่องการต่อสู้ตัวต่อตัวไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของเขา ทว่าพอเขาพุ่งกายลงมือย่อมยากจะดูแลจิ่งเหิงปัวจนทั่วถึง หากให้นางหายตัวด้วยตนเองก็กลัวว่าการหายตัวมั่วซั่วไม่เข้าท่าครานี้จะไปยังสถานที่ที่ไม่ควรไป ถึงยามนั้นการตามหานางย่อมเป็นเรื่องยากลำบาก


 


 


ความรู้สึกยามก่อนหน้านี้ที่เขาถูกล้อมโจมตีบีบบังคับให้ขึ้นไปบนเสาสูง มองเห็นนางร่วงสู่อ้อมแขนของเหยียลี่ว์ฉีในปราดหนึ่งทว่ามิได้เข้าช่วยเหลือในยามนั้นได้ทันท่วงที เขาไม่อยากเริ่มต้นความรู้สึกนั้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นจิ่งเหิงปัวเอ่ยว่าถูกการสะกดของเหยียลี่ว์ฉีจึงทำให้เขาตัดสินใจจะจัดการเหยียลี่ว์ฉีในคืนนี้


 


 


ยามราตรี งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นบนหอจุ้ยหนีแห่งวังกษัตริย์เทียนหนาน


 


 


หอจุ้ยหนีสร้างขึ้นระหว่างสะพานโค้งสองแห่ง สะพานสีชาดทั้งสองดั่งสายรุ้งสองสายลอยขึ้นมาจากสายน้ำ ข้ามผ่านคลื่นธารสีเขียวคดโค้งผุดเผยหอจุ้ยหนีซึ่งเป็นวงกลมดุจไข่มุกงามออกมา ยามเข้าสู่ค่ำคืนบนสะพานทั้งสองจุดโคมแดงหนึ่งดวงทุกสามฉื่อ แลเสมือนมุกราตรีนับมิถ้วนห้อยย้อยลงมาจากท้องนภา อาบไล้ทะเลสาบสลัวรางจนเป็นสีเขียวครึ่งหนึ่งสีแดงครึ่งหนึ่ง


 


 


อาหารและเครื่องใช้ทั้งหมดถูกส่งขึ้นเรือมาดประทุนมาโดยนางกำนัล แสงตะเกียงเสียงพายบนทะเลสาบจ๋อมแจ๋มไม่หยุดหย่อน ระคนด้วยเสียงสรวลแผ่วเบาของเหล่าสตรีพาให้ผู้คนนึกถึงเสน่ห์แห่งหมู่บ้านริมน้ำซึ่งมีสระบัวหลวงเขียวขจีชม้ายเนตร หลงลืมว่าที่แห่งนี้คือเขตซีเอ้อถิ่นทุรกันดารจนสิ้น


 


 


ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่กษัตริย์เทียนหนานจัดเลี้ยงแขกสำคัญ มีเพียงแขกสำคัญจึงจะย่ำเหยียบพื้นสะพานปูพรมแดงเข้าสู่หอจุ้ยหนีได้ ส่วนผู้ติดตามทั้งหมดที่เหลือจำต้องโดยสารเรือไปกลับ ดูแลความปลอดภัยเข้มงวดอย่างยิ่ง


 


 


ภายในหอยามนี้ แสงโคมสาดสะท้อนดวงพักตร์ของผู้นั่งทั้งสี่ด้าน


 


 


กษัตริย์เทียนหนาน เหยียลี่ว์ฉี จิ่งเหิงปัวและกงอิ้นนั่งหันหน้าเข้าหากัน


 


 


กษัตริย์เทียนหนานเอ่ยว่าจิ่งเหิงปัวให้คำแนะนำดีๆ มากมายแด่นาง นางจึงเลี้ยงอาหารเพื่อแสดงความขอบคุณ ในเมื่อกงอิ้นเป็นสหายของต้าปัวย่อมต้องเชิญมาด้วยกัน


 


 


ทั้งสี่คนนอกจากจิ่งเหิงปัวที่กินอาหารร่ำสุราอย่างหน้าตาเฉย สามคนที่เหลือล้วนมีสีหน้าแปลกประหลาด


 


 


โดยเฉพาะกงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉี ทั้งคู่เป็นขุนนางวังเดียวกันนานหลายปีแลเป็นศัตรูการเมือง เรื่องร่ำสุราร่วมงานเลี้ยงย่อมมีบ้าง ทว่าคราเหล่านั้นล้วนอยู่ในแคว้นและในโอกาสที่จำต้องรักษาบรรยากาศ ยามห่างจากราชสำนัก ในโอกาสอื่นไม่ว่าโอกาสใดก็ตาม ทั้งสองแทบจะตายกันไปข้าง พานพบต้องสังหาร


 


 


สำหรับกษัตริย์เทียนหนาน ในใจนางเปี่ยมด้วยความโกรธเคืองและความระมัดระวัง มองผู้ใดล้วนเจือด้วยเจตนาร้าย สายตากวาดไปกวาดมาบนร่างหลายคนดุจดั่งโคมฉาย


 


 


ดีว่าล้วนเป็นผู้แข็งแกร่ง กษัตริย์เทียนหนานยังสามารถใช้สถานะเจ้าภาพทักทายด้วยไมตรีจิต เหยียลี่ว์ฉีนอกจากกระงกกระเงิ่นยามแรกเริ่ม หลังจากนั้นก็สุขุมเยือกเย็น ทว่ากงอิ้นไม่มองทุกคนซ้ำยังไม่กินอาหาร เพียงหลุบตาต่ำร่ำสุราแช่มช้า


 


 


น้ำสุราเย็นใสบริสุทธิ์ยิ่งยวด อาหารรสชาติกำลังดี กษัตริย์เทียนหนานคล้ายจะรู้ว่าการเล่นลูกไม้เบื้องหน้าผู้คนเช่นนี้ไม่มีผลแม้แต่น้อยนิด ฉะนั้นงานเลี้ยงจึงจัดตามอัธยาศัย


 


 


กงอิ้นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น คล้ายยิ่งไม่ชอบมองจิ่งเหิงปัว เบี่ยงกายออกมาให้ห่างจากนางสักหน่อยตลอดเวลา


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ่งถูกอกถูกใจ กินอาหารมื้อหนึ่งจนถ้วยชามกระจัดกระจายยิ่งขึ้น เศษกระดูกปลิวว่อน ตอนนี้กำลังคว้าปลาเฟย[1]นึ่งน้ำแดงตัวหนึ่งมาแทะอย่างตะกละตะกลาม


 


 


“กินช้าๆ หน่อย” มหาเทพคล้ายเหลืออดเหลือทน สายตาจ้องมองไปข้างหน้า เอ่ยว่า “เจ้าถุยกระดูกหัวปลามาถึงแขนเสื้อของข้าแล้ว”


 


 


“อ้อ” จิ่งเหิงปัวเขยิบออกมาแล้วแทะต่อไป นางชอบกินปลา


 


 


“สำรวมหน่อย” ผ่านไปสักพัก มหาเทพวิจารณ์นางอีกครั้งว่า “เสียงดังเหลือเกิน ยามเจ้ากินอาหารเหตุใดจึงไร้ความเป็นกุลสตรีเช่นนี้”


 


 


“อ้อ” จิ่งเหิงปัวเขยิบออกอีกครั้ง เปลี่ยนทิศทางการแทะ เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มมองมา มือทำท่าทาง “อร่อยเหลือเกิน” จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาแวบเดียวแล้วจิ้มไปยังจมูกตนเอง


 


 


ยังไงก็เป็นห่วงจมูกพังของท่านให้ดีเถิดท่านน่ะ!


 


 


เหยียลี่ว์ฉีลูบจมูกด้วยท่าทางหดหู่อีกครั้ง กงอิ้นผู้มองการยักคิ้วหลิ่วตาฉากหนึ่งนี้ไว้ในสายตา ขมวดหัวคิ้วเพียงน้อย


 


 


ลูบจมูก หมายความว่าอะไร


 


 


“เงียบหน่อย!” มหาเทพมิได้เงียบสักนาทีเดียว ในที่สุดจึงอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้งว่า “เจ้าไม่กลัวว่าก้างปลาจะติดคอหรือ!”


 


 


เสียงวาจายังมิทันสิ้น จิ่งเหิงปัวหน้าขึ้นสีแดงคอไอโขลกอย่างรุนแรง…ก้างปลาติดคอนางเข้าแล้ว


 


 


กงอิ้นยื่นมือข้างหนึ่งออกไปอย่างเชี่ยวชาญยิ่งนัก ตบลงบนหลังนางอย่างรุนแรงเพียงครั้งดัง “ป๊าป!”


 


 


“แค่ก” เสียงหนึ่ง ร่างกายของจิ่งเหิงปัวโน้มลงเพียงครั้ง ก้างปลาสีขาวก้างหนึ่งพุ่งออกมา กงอิ้นมือไวตาไวคว้ากระถางใส่น้ำใบน้อยรออยู่เนิ่นนานแล้ว แม้หลบหลีกเช่นนี้ยังยากจะเลี่ยงการจู่โจม แขนเสื้อเปรอะเปื้อนคราบสกปรกดวงน้อยคราบหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวกุมลำคอไว้ ร่างล้มปวกเปียกลงบนหัวเข่าของเขา ด้านหนึ่งเช็ดน้ำมันข้างปากบนกางเกงสีขาวราวหิมะของเขา อีกด้านหนึ่งกู่ก้องร้องตะโกนในใจว่า


 


 


รีบรังเกียจสิ! รังเกียจสิ! โมโหโกรธาโยนฉันออกไปสิ! แบบนี้จะยิ่งพิสูจน์ความรักของพวกนายได้!


 


 


กงอิ้นหลุบตาต่ำเชื่องช้า


 


 


มองร่องรอยสีน้ำตาลแดงเป็นดวงบนแขนเสื้อ


 


 


มองรอยเช็ดรูปดาวตกผืนหนึ่งบนกางเกง


 


 


ยกมือขึ้น


 


 


จิ่งเหิงปัวหลับตาปี๋ รอคอยจะขี่เมฆควบหมอกลอยหงายท้องอีกครั้ง


 


 


มือทอดลงบนหลังของนาง ปลายนิ้วสกัดจุดเลือดลมข้างหลังในร่างกายอย่างแผ่วเบาปานดีดสายพิณ ความอบอุ่นระลอกหนึ่งไหลเลียบมาตามเส้นลมปราณ สนิทแนบคอหอยที่เริ่มเจ็บปวดเพราะไอโขลกอย่างรุนแรงของจิ่งเหิงปัว


 


 


นอกเหนือความคาดหมายเหลือเกิน นางงงงวยไปบ้าง


 


 


วันนี้มหาเทพเกิดใหม่อีกแล้วเหรอ?


 


 


มือเย็นเล็กน้อยยื่นไปประคองนางที่อ่อนยวบอยู่ตรงหัวเข่าของเขาขึ้นมาพิงไว้อย่างดีตรงที่นั่ง ฉวยมือลากจานใบน้อยของนางมา คีบปลาเฟยสองตัวบนจานนั้นมาสู่จานของตนเอง


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูอย่างงงงัน


 


 


นางมองเขาหยิบมีดเงินงามประณีตเล่มน้อยเล่มหนึ่งออกมา บนมีดยังมีเข็มสีเงินเรียวบางเล่มหนึ่ง เขาหลุบตาลง ใช้คมมีดแล่ตัวปลาแกะก้างปลาออกแล้วใช้เข็มเงินค่อยๆ แกะก้างน้อยบริเวณหลังและหางออกมา


 


 


เขาก้มหน้าเพียงน้อย สมาธิจดจ่อ ลงมีดรวดเร็ว กระหวัดเข็มอย่างใจเย็น ท่วงท่าพิถีพิถันและตั้งอกตั้งใจดุจดั่งสิ่งที่เผชิญอยู่มิใช่ปลาตัวหนึ่ง ทว่าคือสาส์นการเมืองเรื่องแคว้นที่เขาจำต้องทุ่มเทสมาธิ


 


 


จอนผมปอยหนึ่งค่อยๆ สยายลงมาบดบังสายตาบริสุทธิ์สุกใสของเขา


 


 


จิ่งเหิงปัวเกือบจะถูกทำให้สั่นสะท้าน


 


 


ให้จินตนาการล้ำเลิศแค่ไหน ให้ความคิดกระจัดกระจายเพียงใด นางยังไม่อาจคิดว่ากงอิ้นจะทำเรื่องแบบนี้


 


 


เฮ้อ กินปลาก็กินปลาสิ ต้องเปลืองแรงขนาดนี้เลยเหรอ


 


 


มหาเทพสูงส่งยากจะปรนนิบัติดังคาดไว้


 


 


ท่วงท่าของกงอิ้นรวดเร็วมีแบบแผน เพียงชั่วลมหายใจเดียว ก้างของปลาสองตัวถูกแกะจนสะอาดสะอ้าน เขาวางมีดเงินและเข็มเงินลง ไสจานไปเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว


 


 


จิ่งเหิงปัวที่กำลังมองอย่างสนใจเป็นอย่างยิ่งมีความเห็นเต็มไปหมด จ้องเนื้อปลาในจานที่ยังรักษาไว้อย่างสมบูรณ์แล้วงงงวยอีกรอบ


 


 


“ให้ข้าหรือ?”


 


 


“เจ้าจะได้ไม่ติดคออีก ทำข้าสกปรก” น้ำเสียงของกงอิ้นเย็นชาและรังเกียจปานนั้นเช่นเคย


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องปลาสองตัวที่แกะก้างออกไปดุจงานศิลปะ ได้ยินน้ำเสียงเย็นเยียบจนหนาวเหน็บสิ้นชีพของเขา รู้สึกว่าติดตามมหาเทพตลอดไปยิ่งรู้สึกแตกต่าง ความรู้สึกแตกต่างขนาดนี้


 


 


ปลาสมบูรณ์พร้อมยิ่งยวด ยั่วยวนผู้คนยวดยิ่ง คล้ายยิ่งหอมหวน แต่ในใจนางสับสนว้าวุ่นรู้สึกว่ามีอะไรไม่ปกติ ทั้งอยากยอมรับและไม่อยากยอมรับ ทั้งอยากเปลี่ยนแปลงและไม่อยากเปลี่ยนแปลง คล้ายไม่ว่าจะยอมรับหรือเปลี่ยนแปลง อนาคตย่อมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุนี้ และสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากได้


 


 


นางอยากได้อิสรภาพ อยากใช้ชีวิตเรียบง่าย ต่อสู้ดิ้นรน หลอกลวงซึ่งกันและกัน นางปรับตัวได้แต่จะไม่พึงพอใจไปตลอดกาล


 


 


ชีวิตหนูทดลองในโลกปัจจุบันนั้นทำตนลำบากมามากเกินพอแล้ว หลังจากหลุดพ้นมาได้นางสาบานว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง


 


 


ส่วนเขา เขาคือตัวแทนของทุกสรรพสิ่งที่ทั้งซับซ้อน ทั้งลวงโลก ทั้งหนาวเหน็บอย่างยิ่ง…รวมถึงความเจริญความเสื่อมโทรมและความเป็นความตายของราชสำนักหนึ่ง


 


 


นัยน์ตาปานผลึกน้ำแข็งของเขาจดจ้องแว่นแคว้นต้าฮวงตลอดเวลา จะหลงเหลือความอบอุ่นเพียงพอสาดส่องโลกของนางได้สักกี่ส่วน


 


 


จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า ยิ้มเยาะตนเองครั้งหนึ่ง


 


 


คิดมากเกินไปแล้ว!


 


 


เขาแค่ไม่อยากถูกพ่นก้างปลาใส่อีกเท่านั้นเอง


 


 


ฝั่งตรงข้าม กษัตริย์เทียนหนานและเหยียลี่ว์ฉีล้วนมองมา บนโต๊ะมีสิ่งของเช่น กาสุราจานชามบดบังไว้ อีกทั้งเมื่อครู่ท่วงท่าของกงอิ้นรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้มองเห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น กษัตริย์เทียนหนานครุ่นคิดชั่วครู่ ยิ้มแย้มเดินประคองถ้วยสุราเข้ามาคล้ายจะดื่มคารวะ มองเห็นปลาในจานของจิ่งเหิงปัวปราดเดียวแววตาก็เปลี่ยนไป เลิกคิ้วยิ้มเอ่ยว่า “ปลานี้แกะก้างได้ประณีตอัศจรรย์นัก! ต้าปัว นี่เจ้าแกะก้างเองหรือ”


 


 


“ใช่สิ” จิ่งเหิงปัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ประคองจานขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน กล่าวว่า “อยากกินหรือไม่”


 


 


กงอิ้นเงยหน้าโดยพลัน


 


 


กษัตริย์เทียนหนานดูท่าทางกินปลารังเกียจก้างเช่นกัน เข้ามารับจานอย่างยินดีโดยไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าของกงอิ้น เอ่ยว่า “ดี ความเคารพครานี้ของเจ้าหาได้ยาก…”


 


 


“เพี้ยะ”


 


 


จานแตกร้าวโดยพลัน น้ำแกงเปรอะมือข้างหนึ่งของกษัตริย์เทียนหนาน เนื้อปลาหล่นร่วงลงมา คราวนี้ไร้หนทางรักษาความสมบูรณ์ต่อไป จานแตกร้าวกลายเป็นกองเดียวกันกับเนื้อปลา


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเนื้อปลานั้นแวบหนึ่ง มองกษัตริย์เทียนหนานที่ชะงักไปแวบหนึ่งแล้วหันหน้ามองกงอิ้น


 


 


กงอิ้นคล้ายยังคงทำตนเป็นปกติ ประคองถ้วยสุราขึ้นมาร่ำสุราอีกครั้ง จอนผมสยายลงมา นัยน์ตาสงบนิ่งแลหนาวเหน็บดุจหินเฮยเย่ากลางหิมะ


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าความรู้สึกร้อนผะผ่าวประหลาดในใจชนิดนี้ยิ่งมีมากขึ้น


 


 


นางผลักโต๊ะอาหารลุกขึ้นมาฉับพลัน เอ่ยว่า “คืนนี้ข้ามีการแสดงเสริมความสนุกสนาน ผ่านมาผ่านไปอย่าได้พลาดล่ะ!” แล้วสะบัดกายเพียงครั้งเข้าไปในประตูข้าง


 


 


กษัตริย์เทียนหนานยิ้มพราวปรบมือ เอ่ยว่า “ดียิ่งนัก! จะได้พบเห็นระบำเทวาของต้าปัวพอดี!” สายตาแฉลบผ่านร่างของเหยียลี่ว์ฉีกับกงอิ้นคล้ายมิได้ใส่ใจ


 


 


กงอิ้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย หลังมือที่ถือถ้วยสุราหดเกร็งเพียงน้อย


 


 


ดวงตาของเหยียลี่ว์ฉีสว่างวูบ อมยิ้มยกถ้วยสุราขึ้นมา


 


 


มองด้วยสายตาของกษัตริย์เทียนหนาน อืม กำลังดื่มคารวะให้ไอ้หน้ามนคนนี้จากไกลๆ หรือ


 


 


เสียงพึ่บพั่บดังขึ้นครั้งหนึ่ง ม่านประตูข้างสะบัดขึ้น เพลิงกลุ่มหนึ่งวนเวียนระยิบระยับออกมาโดยพลัน


 


 


ผู้คนทั้งหอจุ้ยหนี ตั้งแต่กษัตริย์เทียนหนานจนถึงคนรับใช้ที่คอยปรนนิบัติเปล่งเสียงอุทานด้วยความตื่นตะลึงซึ่งยากจะเข้าใจเสียงหนึ่งโดยพร้อมเพรียง


 


 


กงอิ้นเงยหน้าขึ้น ชะงักงัน


 


 


เหยียลี่ว์ฉียืดตัวตรง


 


 


ดุจดั่งสายฟ้าหรือแสงสว่างพุ่งผ่านสุดปลายสายรุ้งมาถึงม่านตาหลังกะพริบตาเพียงครั้ง หลงเหลือเงายิ่งใหญ่งามตะลึงพรึงเพริดผืนหนึ่งซึ่งโค้งเว้ายักย้าย


 


 


บนพรมภายในหอ มีสตรีคลุมหน้ายืนตระหง่านอยู่มิรู้ตั้งแต่ยามใด


 


 


ทุกผู้คนเบิกตากว้าง


 


 


นางผู้นี้…อวดตน! ยั่วยวน! ใจกล้า! ปลดปล่อย!


 


 


 


 


——


 


 


[1] ปลาเฟย หรือปลาเฮอร์ริง ชื่อวิทยาศาสตร์ Clupea pallasi

 

 

 


ตอนที่ 44.4

 

ผมลอนใหญ่ปล่อยสยายทัดดอกต้าลี่สีแดงสดดอกหนึ่งไว้เอนเอียง จอนผมสองข้างคล้องด้วยลูกปัดเคลือบเงาสีชาด ท่อนบนคือโตวตู้[1]สีแดงเพลิงแบบเกาะอกชิ้นหนึ่ง เว้าไหล่ ความยาวเพียงปิดหน้าอก ห้อยลูกปัดเคลือบเงาสีม่วงสลับทองนับมิถ้วนขับสะท้อนผิวกายขาวราวหิมะและสะดือกลมกลึง ถัดจากสะดือคือเข็มขัดถักทอทองคำเจ็ดรัศมีห้อยลูกปัดเคลือบเงาสั้นยาวสลับเรียงเช่นเดียวกัน ท่อนล่างคือกระโปรงสีแดงเพลิงฟูฟ่องซอยชายกระโปรงไร้ระเบียบผุดเผยเท้าขาวราวหิมะคู่หนึ่ง บนข้อเท้าร้อยกระดิ่งทองคำเจ็ดถึงแปดสาย


 


 


ผ้าคลุมหน้าสีแดงเข้มประดับผลึกแก้วบางผืนหนึ่งบดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของนาง ผุดเผยเพียงนัยน์ตากระชากวิญญาญคู่หนึ่ง หางตาแต่งแต้มชาดสีแดงเข้มประกายทองอ่อนผืนหนึ่ง งามจนสกัดผ้าทองดงามเปล่งประกายรอบหอนี้


 


 


กษัตริย์เทียนหนานหลงลืมจานที่แตกร้าว เหยียลี่ว์ฉีทิ้งถ้วยสุรา สุราถ้วยหนึ่งหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของกงอิ้น ถ้วยสุราสั่นไหว น้ำสุราไหลลงมาทีละหยด ทว่าเขาไม่รู้สึกตน


 


 


ท่ามกลางความเงียบสงัดสุดขีด ผ่านไปชั่วครู่ กงอิ้นจึงคล้ายรู้สึกตัวขึ้นมา เขวี้ยงถ้วยสุราทิ้งเพียงครั้งหวังจะยืนขึ้นมา


 


 


“ตึ้งๆ!”


 


 


เสียงกลองดังขึ้นโดยพลัน!


 


 


รวดเร็วเสียยิ่งกว่าจินตนาการ จังหวะระบำรวดเร็วของจิ่งเหิงปัวฉวัดเฉวียนขึ้นปานสายลม!


 


 


เท้าเปล่าสีขาวราวหิมะสั่นสะท้อนเงาสีหิมะออกมา ชายกระโปรงสีแดงเพลิงท่วมท้นด้วยสายรุ้งแสงสายัณห์ ลูกปัดเคลือบเงาหลากสีเปล่งประกายเจ็ดรัศมี เครื่องประดับทองคำเจิดจ้าดุจสุริยา เคียงคู่ด้วยเสียงไพเราะของกระดิ่งทองคำ เสียงประณีตของลูกปัดเคลือบเงาหลากสีที่ลอยขึ้นมาและเสียงกลองของจังหวะรื่นหูเร้าใจ ปัจจัยทุกสิ่งกำลังพรรณนาความงดงามและความสว่างพร่างพรายของระบำ


 


 


ส่วนร่างกายนับเป็นภาษาอีกรูปแบบหนึ่ง เปี่ยมด้วยความงามหยาดเยิ้มยั่วยวนปลดปล่อยตนจากแขนที่เคลื่อนไหว เอวปานอสรพิษน้ำเขยื้อนกาย หน้าท้องขาวราวหิมะสั่นวูบไหว แขนงามประณีตขยับเขยื้อนรวดเร็วยืดเหยียดต่อเนื่อง ดุจเปลวเพลิงพวยพุ่ง ดั่งคลื่นสมุทรหลากล้น ดุจสายธารหลั่งไหล ดั่งผีเสื้อสราญใจ


 


 


ระบำหน้าท้องคือระบำฝั่งตะวันออกที่มีประวัติยาวนานและเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของสตรีเพศอย่างที่สุด ซ้ำยังเป็นหนึ่งในระบำที่โด่งดังที่สุดที่สตรีเพศใช้แสดงความงดงามของร่างกาย สตรีผู้มีความมั่นใจสุดขีดต่อร่างกายของตนเองและเชื่อมั่นในความงดงามของตนเองว่าเพียงพอจะปราบปรามทุกสรรพสิ่งเท่านั้นจึงสามารถร่ายรำถึงแก่นแท้ของระบำชนิดนี้ได้


 


 


แทบจะในชั่วขณะนั้น จิ่งเหิงปัวจุดเพลิงจังหวะประสานระบำ ทั้งห้องนั้นเปี่ยมด้วยจังหวะและสีสันที่นางแต่งแต้มออกมา ผู้คนเบิกตากว้างทว่าไร้หนทางไขว่คว้าสีสันจริงแท้ซึ่งเป็นของนาง ประเดี๋ยวหนึ่งคือสีหิมะบริสุทธิ์ ประเดี๋ยวหนึ่งคือเปลวเพลิงลุกช่วงโชติ ประเดี๋ยวหนึ่งลูกปัดเคลือบเงาล่องลอยทั่วสารทิศ ประเดี๋ยวหนึ่งกระดิ่งสีเหลืองทองสว่างพร่างพรายสายตา


 


 


ส่วนช่วงโค้งเว้าอ่อนนุ่มนั้น ช่วงท้องดุจเข็มขัดแพรสีขาวราวหิมะและการเคลื่อนไหวรวดเร็ว อีกทั้งช่วงแขนดุจมีกลไกภายในยิ่งพาให้ทุกผู้คนได้เปิดหูเปิดตา…ที่แท้ร่างมนุษย์สามารถเคลื่อนแนวโค้งอัศจรรย์เช่นนี้ออกมาได้ซ้ำยังสามารถสั่นสะท้านความถี่รุนแรงเช่นนี้ออกมาด้วย! มองจนดวงใจยังคล้ายสะท้านตาม เสียงดังตึ้งๆๆ มิรู้ว่าเป็นเสียงกลองหรือเสียงดวงใจเต้นเร่า!


 


 


มีคนกำลังสั่นสะท้าน มีผู้สั่นขาแผ่วเบาตามจังหวะกลองโดยจิตสำนึก มีผู้โอบเสาเอาไว้แน่นิ่ง ขยับแขนเชื่องช้าโดยจิตสำนึก ทุกส่วนบนร่างกายของจิ่งเหิงปัวจุดเพลิงปรารถนาของมนุษย์ ที่ซึ่งนางโค้งเว้ายักย้ายพาดผ่านปลิดโปรยด้วยลมหายใจกระชั้นชิดและสายตาตะลึงพรึงเพริดเกลื่อนพสุธา


 


 


ท่ามกลางฝูงชนจิ่งเหิงปัวกระหวัดริมฝีปากยิ้มครั้งหนึ่ง…ฉายามอเตอร์ไฟฟ้าน้อยของพี่ไม่ได้เรียกแบบเสียเปล่านะ!


 


 


สายตาของนางเฉียดผ่านกงอิ้น การเต้นรูดเสาที่หอคณิกาในคราวแรกแค่ถูกสถานการณ์บังคับให้เต้นมั่วซั่วไป ท่วงท่าไม่กี่ท่าบนรถขบวนแห่ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงการแสดงมั่วซั่วไร้แบบแผน มีเพียงระบำหน้าท้องในขณะนี้คือสิ่งที่นางอยากเต้นให้เขาดูอย่างจริงจังตั้งใจ!


 


 


ให้เจ้าคนที่เหมือนภูเขาน้ำแข็งคนนี้ได้พานพบความงดงามแห่งเรือนร่างสตรีเพศสักหน่อย!


 


 


กงอิ้นนั่งเรียบร้อยดังปกติ ทว่ามือสองข้างที่กดไว้บนโต๊ะมีท่าทีเกร็งแน่น หลังมือออกสีขาว เขาหลุบขนตาหนาดกคล้ายไม่คิดมองระบำของนางเลยสักนิด


 


 


แต่จิ่งเหิงปัวมองเห็นเขาจ้องอ่างทองคำบรรจุน้ำใสข้างกาย คลื่นน้ำในอ่างทองคำวูบไหวเพียงน้อย สะท้อนเงาร่างดุจธารหลากของนางกลับด้าน


 


 


นางยิ้มออกมาเพียงน้อย


 


 


ไม่ทำให้นายใจเต้นถึงร้อยแปดสิบ อย่าเรียกพี่ว่าราชินีแห่งการร่ายรำ!


 


 


เวียนวนรำร่ายเพียงครั้ง นางประชิดใกล้กงอิ้นแล้วโน้มกายเพียงน้อย ผมยาวสยายลงมาดุจสายธารา


 


 


เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นนางร่ายรำไปทางกงอิ้นดังคาดไว้ สีหน้าสงบนิ่งทว่าสายตาวูบไหวเพียงน้อยกลับผุดเผยความครุ่นคิดในยามนี้


 


 


ในความเลือนรางยังคงเป็นการชมนางร่ายระบำที่หอคณิกาในวันนั้น เร้าใจจนพาให้ตื่นตะลึง ทว่าการแต่งกายชุดนี้ในคราวนี้คล้ายยังมีเสน่ห์เหนือกว่าคราวนั้นถึงสามเท่า


 


 


ทว่าเสน่ห์ของนาง ยินยอมปลดปล่อยออกมาเพื่อผู้ใดกันแน่


 


 



 


 


กงอิ้นเงยหน้าด้วยท่าทางแข็งทื่อเล็กน้อย มือของเขาค่อยๆ กดแนบแน่นกับพื้นโต๊ะ สายตาแฉลบผ่านสันหลังและช่วงท้องโค้งราบเรียบเปิดเปลือยของจิ่งเหิงปัว


 


 


จากนั้นแฉลบผ่านใบหน้าทุกคนที่มองเหม่ออยู่ข้างเคียง แววตาดำขลับเคร่งขรึมดั่งมีไอสังหาร


 


 


จิ่งเหิงปัวมองสายตานั้นของเขาแวบเดียวก็รู้ว่ามหาเทพจะโกรธาแล้ว


 


 


นางหันกายเพียงครั้งร่างล้มลงสู่อ้อมแขนของเขา แขนสองข้างยกขึ้นมากระหวัดลำคอของเขาไว้


 


 


รอบด้านเปล่งเสียงสูดหายใจสื่อนัยไม่เข้าใจ


 


 


“แสร้งทำโหดเ**้ยมต่อไปสิที่รัก!” นางเป่าลมข้างหูเขา อากัปกิริยานุ่มนวลพราวเสน่ห์ทว่าน้ำเสียงสดใสกังวาน


 


 


ท่าทางของกงอิ้นคล้ายแข็งทื่อเล็กน้อย ยกมือจะผลักนางทว่าสิ่งที่สัมผัสมือกลับกลายเป็นความอ่อนนุ่มและเกลี้ยงเกลา มือที่ยกขึ้นมาเพียงครึ่งของเขาแข็งทื่อเพียงน้อยด้วยมิรู้ว่าควรทอดวางไปยังที่แห่งใด สายตาหวังทอดลงไปทว่ายังคงมิรู้ว่าควรทอดลงไปสู่ที่แห่งใดเช่นเดียวกัน หางตากวาดไปถึงสีขาววาวแววผืนหนึ่ง เขาเร่งรีบเบนสายตาออกมา


 


 


“อย่าทำเช่นนี้”


 


 


จิ่งเหิงปัวเกือบหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง…กงอิ้นสมงสมองไปหมดล่ะมั้ง ทำไมพูดประโยคนี้แล้วเปี่ยมความรู้สึกอ่อนหวานละมุนละไมแบบนี้ล่ะ


 


 


นางซุกซบไหล่ของเขา ประคองถ้วยสุราข้างๆ ส่งขึ้นมาถึงริมฝีปากของเขา


 


 


“คนดี ดื่มสักถ้วยสิ…”


 


 


เสียงลากยาวหวานเลี่ยนดุจผสมน้ำผึ้งครึ่งชั่ง จิ่งเหิงปัวขยะแขยงตนเองจนสั่นสะท้าน


 


 


กงอิ้นหลุบขนตาดำขลับ ท่านั่งของเขาตรงแน่ว มือประคองบนเอวนางอย่างแผ่วเบา ในใจอยากผลักออกทว่ายังรู้สึกว่าการสัมผัสผิวกายนางย่อมไม่เหมาะสม นัยน์ตาสะท้อนเพียงมืองดงามเรียวยาวของนางที่กำลังชูถ้วยสุราสีหยก น้ำสุราหอมหวานดุจน้ำผึ้งเบื้องหน้าสั่นไหวเพียงน้อย สิ่งที่ทะลักล้นออกมามิรู้ว่าเป็นของเหลวสีเขียวครามนั้นหรือว่าดวงใจของเขากันแน่


 


 


ส่วนลมหายใจหวานแช่มชื่นเช่นกันของนางรดเพียงใต้ลำคอ พัดผ่านคอเสื้อของเขาอย่างแผ่วเบาทีละชุ่นทีละชุ่น คล้ายจะจู่โจมสังหารตำแหน่งใกล้หน้าอกนั้น


 


 


เขาเคลิบเคลิ้มขึ้นมาโดยพลัน กระโปรงสีแดงปลิวว่อนของนางแฉลบผ่านเบื้องหน้า ลูกปัดเคลือบเงาหลากสีกวัดแกว่งไปมาเป็นผืนแผ่น เกลี้ยงเกลาลื่นเป็นเม็ดคล้ายพุ่งเข้าสู่ก้นบึ้งของดวงหทัย แล้วระเบิดหมอกอำพรางห้ารัศมีออกมาดังปุ้ง


 


 


เขาคล้ายหลงทาง


 


 


ก้มหน้าเพียงครั้งจะดื่มสุราเข้มข้น


 


 


พลันได้ยินเสียงแจ่มชัดแลเจือความประหลาดใจเบาบางของนางดังแผ่วเบาที่ข้างหู


 


 


“เฮ้ย ไอ้ภูเขาน้ำแข็ง เจ้าคงไม่คิดจะดื่มจริงๆ หรอกนะ”


 


 



 


 


ทั่วร่างของเขาเย็นเยียบเฉียบพลันดุจดังถูกน้ำแข็งราดรดแสกหน้า ไอเย็นเยือกเป็นลำแสงหอบหนึ่งพุ่งจากหน้าอกสู่ทั่วสารทิศ เขาเงยหน้าโดยพลัน


 


 


จิ่งเหิงปัวเหินขึ้นมาจากอ้อมแขนของเขาดุจผีเสื้อเสียแล้ว หมุนกายร่ายรำออกมาหนึ่งครั้งแล้วหมุนกายหงายมือยื่นไปถึงด้านหลังครั้งหนึ่ง มุมปากโค้งเพียงครั้งคล้ายทั้งโกรธทั้งเคือง


 


 


“คนบ้า กล้าไม่รับการดื่มคารวะของข้า…”


 


 


น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเศร้าโศกเสียใจ


 


 


กงอิ้นจ้องมองนาง พลันรู้สึกว่าพอได้รู้จะสตรีนางนี้ ชีวิตก็เปี่ยมไปด้วยความแตกต่างและความรู้สึกแปลกประหลาด


 


 


มือของจิ่งเหิงปัวยกขึ้นเพียงครั้ง ในมือมีแส้เพิ่มมาเส้นหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร


 


 


แส้หลากสีเรียวยาวมีประโยชน์ด้านอุปกรณ์ประดับตกแต่งเหนือกว่าประโยชน์ด้านอาวุธ เดิมเป็นหนึ่งในอุปกรณ์การแสดงที่นิยมใช้ในการแสดงระบำหน้าท้อง


 


 


“เพียะ” แส้หลากสีสะบัดครั้งหนึ่งดุจอสรพิษ กระทบพื้นดังสดใสไพเราะกังวาน โคมไฟทุกดวงดับสิ้นโดยพลันพร้อมเสียงหนึ่งนี้


 


 


ทุกคนเปล่งเสียงอุทานด้วยความตื่นตะลึงแผ่วเบา เสียงถอนหายใจเบาทุ้มลุ่มลึกภายในหอมืดมิดฟังดูคล้ายห่างไกล


 


 


ในความมืดมิดผืนหนึ่ง เสียงกลองยังคงดำเนินต่อเนื่อง เสียงกระดิ่งข้อเท้าของจิ่งเหิงปัวยังคงดังต่อไป เสียงกลองทุ้มหนักผสมผสานเสียงกระดิ่งแผ่วเบากลายเป็นท่วงทำนองเร้าใจอย่างประหลาด ทุกผู้คนหรี่ดวงตาจินตนาการถึงสีแดงเพลิงแพรวพราวผืนหนึ่งเวียนวนโค้งเว้ากลายเป็นธงเจ็ดรัศมีท่ามกลางความมืดมิดนั้นอย่างควบคุมมิได้


 


 


“เพียะ” เสียงแส้ดังสดใสไพเราะเสียงหนึ่ง


 


 


แสงเพลิงสายหนึ่งจุดประกายขึ้น เทียนไขมันวัวขนาดเท่าแขนเล่มหนึ่งบนผนังถูกจุดสว่างโดยพลัน ลำแสงสลัวสาดส่องสั่นไหวบนพื้น สะท้อนดวงพักตร์ผู้คนให้มัวสลัว


 


 


แสงจากเทียนไขเล่มแรกสว่างขึ้นมา กษัตริย์เทียนหนานส่งสัญญาณมือเพียงครั้ง ทุกคนโค้งกายออกไปอย่างเงียบเชียบ ยามออกไปภายนอกหอยังเงยหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์มิหยุดหย่อน สายตาโศกเศร้า


 


 


“เพียะ” แส้ดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง


 


 


แสงจากเทียนไขเล่มสองสว่างขึ้นข้างหลังกงอิ้นพอดี ใต้เงาแดงผืนหนึ่งนัยน์ตาของเขายิ่งดำขลับวูบไหวดั่งเก็บซ่อนเหวลึกสงบเงียบนับหมื่นนับพันปีไว้


 


 


กลิ่นหอมเบาบางคดเคี้ยวอบอวลมา ในกลิ่นหอมคล้ายยังมีรสชาติแปลกประหลาดเจือปน


 


 


กระโปรงบานสีแดงของจิ่งเหิงปัวแผ่ออกมาเฉียดผ่านแก้มของกงอิ้น เสียงสรวลของนางดั่งความฝันแห่งภูตพรายทลายอาภรณ์ขนนก งามปราดเปรียวและเกียจคร้าน กล่าวว่า “…ดีกับข้าหน่อยนะที่รัก…คืนนี้ข้างามหรือไม่”


 


 


นิ้วของกงอิ้นค่อยๆ ยกขึ้นมาคล้ายจะจับกระโปรงบานที่มีลมหอมกรุ่นเบาบางนั้นไว้ ทว่านางเยื้องกรายเลื่อมพรายผ่านไปในฉับพลันนั้น


 


 


“อย่าดึงกระโปรงข้า!” นางกล่าวเตือนเสียงเบายามก้าวกระโดดผ่านไป น้ำเสียงทำลายบรรยากาศ


 


 


นิ้วของเขาหยุดค้างกลางอากาศ ปลายนิ้วค่อยๆ ออกสีขาวในชั่วพริบตาเดียว สีผลึกน้ำแข็งละเอียดผืนหนึ่งปรากฏโดยพลันแล้วค่อยๆ หายไป


 


 


“กรุ๊งกริ๊ง” แสงสีเหลืองสายหนึ่งกะพริบวูบ เจือด้วยกลิ่นหอมเข้มข้นข้ามผ่านความเลือนรางล่องลอยมาทางเขา นี่คือกระดิ่งทองคำบนเท้านาง


 


 


“รับไปสิสุดที่รัก…” เสียงสรวลของนางที่อยู่ใกล้เคียงดุจคลื่นธารกระเพื่อม ทุกสรรพเสียงคือความยั่วเย้า


 


 


เขามิได้ขยับเขยื้อน


 


 


เพลิงแพรวพราวกองหนึ่งสอดประสานความเหน็บหนาวไร้ทางเลี่ยงหลีกทีละครั้งทีละครั้ง เขาย่อมจำต้องเงียบงันท่ามกลางความมืดมิด


 


 


นางคือความมหัศจรรย์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ เพียบพร้อมด้วยเสน่ห์กระชากวิญญาณและความหยิ่งยโสโอหัง ทั้งสดใสร่าเริงและไม่แยแสสิ่งใดในขณะเดียวกัน


 


 


สตรีเช่นนี้นับเป็นภัยพิบัติโดยธรรมชาติ


 


 


กระดิ่งทองคำร่วงพื้นดัง “กริ๊ง” เสียงหนึ่ง นางโค้งกายกำไว้ในมือ กระดกนิ้วหัวแม่มือแผ่วเบาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ใช่! เช่นนี้ล่ะ! มหาเทพผู้สูงส่งเย็นชา กดไลค์เลย!”


 


 


เขายังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน อาภรณ์ดุจหิมะ ดวงพักตร์ดั่งหิมะเช่นกัน บนเล็บสะท้อนสีผลึกน้ำแข็งเลือนรางชั้นหนึ่งแผ่ขยายเชื่องช้า คราวนี้มิได้สาบสูญไปอีกครา


 


 


แส้ยาวสะบัดครั้งหนึ่งดัง “เพียะ!”


 


 


แสงจากเทียนไขเล่มสามจุดประกายดังฟึ่บสว่างอยู่ข้างหลังเหยียลี่ว์ฉี กษัตริย์เทียนหนานนั่งอยู่ข้างกายเขาแล้วมิรู้ว่าตั้งแต่ยามใด นางงอแขนโอบเอวของเขาไว้


 


 


“เพียะๆ เพียะๆ” เสียงแส้ดังต่อเนื่อง เทียนไขค่อยๆ สว่างขึ้นมา เทียนไขทั้งหมดแปดเล่มแยกกันอยู่ทั้งสี่ด้านทว่าในห้องกลับมิได้สว่างไสว เชิงเทียนตั้งอยู่ที่ซึ่งใกล้คาน ยามสาดแสงไปยังเบื้องล่างหลงเหลือเพียงแสงสลัวเลือนราง


 


 


ในแสงสลัวทั้งศาลาอาคาร จานทองถ้วยหยก กระโจมย้อยม่านสยายและโต๊ะเก้าอี้เครื่องใช้คล้ายเปล่งแสงมืดครึ้มเลือนราง ใบหน้าของผู้คนคล้ายกลับกลายเป็นเลือนรางเช่นกัน มีเพียงนัยน์ตาสว่างแววเจือจางแต่ละคู่ละคู่ล่องลอยในกลิ่นหอมพร่าเลือน


 


 


จิ่งเหิงปัวร่ายรำไปถึงข้างกายกงอิ้นอีกครั้งไม่รู้ว่าเมื่อไร แส้หลากสีในมือโค้งขึ้นโค้งลงกลายเป็นวงกลมวงหนึ่ง นางหัวเราะคิกคิกแส้ล้อมรอบไปข้างหน้าเพียงครั้งแล้วโอบเอวของกงอิ้นไว้


 


 


“คนบ้า ไม่เชื่อหรอกว่าคราวนี้เจ้าจะยังปฏิเสธข้า…” นางยิ้มพราวดึงแส้หลากสีครั้งหนึ่ง


 


 


อีกด้านหนึ่ง กษัตริย์เทียนหนานโยนถ้วยสุราทิ้ง สายตาพร่าเลือน ยกมือเพียงครั้งสะบัดแพรหลากสีผืนหนึ่งออกมาพันรอบลำคอของเหยียลี่ว์ฉีเช่นกัน


 


 


“คนดี คืนนี้โอกาสดีงาม เจ้าต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า…”


 


 


นางลากเหยียลี่ว์ฉีไว้ หัวเราะแผ่วเบาก้าวเข้าไปในกระโจมหลายชั้นข้างหลัง นางส่งสัญญาณมือครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าไปในห้องลับ


 


 


ในความมืดสลัวคล้ายมีเสียงเล็กน้อยดังขึ้นรำไร จากนั้นกลับสู่ความเงียบสงัด บรรยากาศแปลกประหลาดเล็กน้อยในหอจุ้ยหนีหายไปในที่สุด


 


 


จิ่งเหิงปัวโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง


 


 


ก่อนกษัตริย์เทียนหนานจะกระทำเรื่องดีงาม ในที่สุดก็ถอนกำลังบริวารและองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดกลับไป


 


 


นี่คือสาเหตุที่นางกล้าทุ่มเทแสดงระบำ แต่ว่านางวางใจในตัวมหาเทพอย่างมาก นางเชื่อว่าต่อให้หมูป่ายังถูกสยบด้วยการยั่วยวนของนาง มหาเทพยังคงไม่เป็นอะไร


 


 


เอ่ยถึงสมาธิ หากเขาเอ่ยว่าที่สอง ย่อมไม่มีใครกล้าเอ่ยว่าที่หนึ่งสินะ


 


 


จิ่งเหิงปัวรอยยิ้มมุมปากผ่อนคลาย…งานใหญ่เกือบจะสำเร็จลุล่วงแล้ว


 


 


เหยียลี่ว์ฉีถูกกษัตริย์เทียนหนานลากไปแล้ว ผ้าอนามัยแช่ฉี่ไร้สีไร้กลิ่นของเฟยเฟยจะนำพาค่ำคืนยั่วใจมาให้เขา ฉี่ของเฟยเฟยมีพิษ


 


 


คราวพักผ่อนรักษาตัวหลายวันก่อน นางได้ศึกษาศาสตร์การมอมเมาของเฟยเฟย สัตว์ประหลาดน้อยเสนอน้ำลายและฉี่ให้นางด้วยตนเอง ยกไม้ยกมือแสดงว่าสิ่งนี้ถึงเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุดของมัน ฉะนั้นนางเตรียมผ้าอนามัยเปื้อนฉี่ ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนน้ำลาย เป็นต้น ไว้เนิ่นนานแล้ว


 


 


ผ้าเช็ดหน้าที่ผูกอยู่ที่ด้ามจับแส้หลากสีในมือก็เพิ่มส่วนผสมพิเศษลงไปเช่นกัน แส้ของนางสะบัดไปมารอบกายกงอิ้น กลิ่นซึ่งเป็นของเฟยเฟยกลิ่นนั้นคงจะเริ่มค่อยๆ ซึมแทรกไปแล้ว


 


 


ตอนนี้กษัตริย์เทียนหนานวางใจนางถอนกำลังบริวารและองครักษ์ไปแล้ว ก้าวต่อไปนางแค่ต้องฉวยโอกาสในความมืดนำผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดหน้าให้มหาเทพ…


 


 


จากนั้นนางก็หนีไปได้แล้ว!


 


 


สำหรับมหาเทพ น้ำลายเฟยเฟยที่ปริมาณเล็กน้อยมากแบบนี้มอมเมาเขาไม่ได้นานเท่าไรนัก สำหรับเขามันไม่นานพอให้สูญเสียการเคลื่อนไหวถูกผู้อื่นทำร้าย ส่วนกษัตริย์เทียนหนานตอนนี้วุ่นอยู่กับการพัวพันเหยียลี่ว์ฉีก็ไม่แน่ว่าจะทันได้หาเรื่องเขา


 


 


ช่างเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบเสียจริง


 


 


คราวนี้นางจะหนีไปคนเดียวตามลำพัง ใครก็หาไม่เจอ!


 


 


จิ่งเหิงปัวขอบคุณการทุ่มเทความรักเข้าช่วยเหลือของเฟยเฟยอีกครั้งด้วยจิตใจเบิกบาน ด้านหนึ่งโอบเอวของกงอิ้น อีกด้านหนึ่งแกะผ้าเช็ดหน้าที่ปลายแส้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ขอบใจที่ให้ความร่วมมือ ครานี้ละครของพวกเราแสดงเสร็จแล้วล่ะ…ก็รู้ว่ามหาเทพเจ้าคงไม่อาจขยับเขยื้อนแล้วสิฮ่าๆ…เจ้าเหนื่อยหรือไม่ เจ้าเหมือนจะเหงื่อออกแล้ว…ข้าเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้เจ้าดีหรือไม่…”


 


 


หางเสียงยังมิทันสิ้น เสียงดังพลั่กเสียงหนึ่งดังขึ้น กงอิ้นล้มลงบนร่างนางตามแรงดึงของนางโดยพลัน!


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่คิดว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรอย่างฉับพลัน ร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่งแล้วชะงักไปไม่ทันได้รู้สึกตัว แขนสองข้างถูกทับไว้อย่างรุนแรงทันที คนบนร่างคนนั้นทับลงมาอย่างหนักอึ้งแล้ว


 


 


เสียงทุ้มต่ำและเยือกเย็นของเขาดังอยู่ข้างหู


 


 


“แหย่ข้าหรือ เอาค่าตอบแทนมา!”


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] โตวตู้ ผ้าที่ปิดบริเวณหน้าอก มี 4 สาย มัดกับแผ่นหลัง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม