เล่ห์รักกลกาล 41-70

 ตอนที่ 41

 

ระหว่างที่เขาลงมือ สิ่งที่ติดตามดาบมานั้นยังมีพลังเข้มแข็งสายหนึ่ง 


 


 


กระแสพลังธรรมชาติพุ่งมาจากสี่ด้านแปดทิศ ไม่จางลงเพราะกระบวนท่าดาบสักน้อย ทว่ากระแสพลังเข้มแข็งนี้บีบคั้นเข้ามาอย่างดุดัน ทั้งมากพอให้คนจ้องมอง 


 


 


เยี่ยเม่ยเพียงแค่ยืนอยู่ข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยังรู้สึกถึงแรงอากาศกดดัน บีบอัดจนตนรู้สึกเจ็บหน้า  


 


 


นางหนักใจเล็กน้อย ดูท่านางต้องเรียนวิชากำลังภายในให้จงได้ ไม่อย่างนั้นยามประมือกับยอดฝีมือ นางประลองได้แค่ความไวกับท่วงท่าเท่านั้น 


 


 


หวันเหยียนหงมีความสามารถเช่นนี้ ในดวงตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรี่ลงมีประกายความสนใจขึ้นมาหลายส่วน 


 


 


เขายกมือขึ้น รับคมดาบของหวันเหยียนหง 


 


 


ดาบของหวันเหยียนหงพุ่งมาอยู่ห่างจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้หนึ่งเมตรก็ไม่อาจรุกคืบเข้ามาอีก ทำให้เขาเลิกคิ้วสูง สีหน้าที่มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดูระมัดระวังขึ้นอีกหลายส่วน  


 


 


วิจารณ์ว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ” 


 


 


เห็นได้ชัดว่าหวันเหยียนหงยังไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด 


 


 


ยามนี้ฝ่ามือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเผชิญหน้ากับคมดาบ ขุมพลังระหว่างกลางกดดันไม่ให้ดาบขยับเข้ามาได้อีกสักครึ่งส่วน ภายใต้สายตาเยี่ยเม่ย สถานการณ์นี้ออกจะไม่สมเหตุสมผล 


 


 


เรื่องนี้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยสักนิด เห็นชัดๆ ว่ากำลังภายในนี้ร้ายกาจกว่าที่ตนเองคิดไว้มาก 


 


 


เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง ตอบอย่างเนิบๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คิดไม่ถึงหรือ ไม่กล้าคำนึงถึงความเข้มแข็งของผู้อื่น เพียงแค่พิสูจน์ว่า ไร้ความสามารถกับไร้ความรู้เป็นข้อจำกัดทางความคิดของเจ้า”  


 


 


หวันเหยียนหงหน้าคล้ำ 


 


 


เสี้ยวเวลานี้สีหน้าเยี่ยเม่ยก็ไม่น่ามองสักเท่าไหร่ เพราะนางคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เรียกว่ากำลังภายในจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ แต่นางสงบใจได้โดยไว นางไม่เข้าใจกำลังภายในจริงๆ ไม่เข้าใจแม้แต่นิด สำหรับด้านกำลังภายในนั้นนางทั้งไร้สามารถทั้งไร้ความรู้ 


 


 


นางเป็นคนยอมรับความจริงมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้โมโห 


 


 


หวันเหยียนหงกลอกตา ออกแรงอีกครั้ง พุ่งทะลวงไปด้านหน้า 


 


 


ทว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไม่ขยับ จ้องหน้าหวันเหยียนหง ถอนใจช้าๆ “ถอยไปเถอะ”  


 


 


สิ้นเสียง เขารั้งมือกลับ 


 


 


ในช่วงเวลาที่รั้งมือนั้นเอง ขุมพลังที่อยู่กลางฝ่ามือเปลี่ยนเป็นก้อนพลัง พุ่งเข้าใส่หวันเหยียนหง  


 


 


บีบให้หวันเหยียนหงร่นถอยไปหลายเมตร เขาดีดตัวขึ้นกลางอากาศกลับไปอยู่บนหลังยอดอาชาของตน มุมปากมีรอยเลือด ส่วนสายตาที่เขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปลี่ยนไปเป็นระวังมากขึ้น  


 


 


หนึ่งกระบวนท่าสิ้นสุดลงแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าครั้งแรกนี้หวันเหยียนหงพ่ายแพ้ 


 


 


หวันเหยียนหงกลับไม่ยอมรับว่าตนพ่ายแพ้เพราะเรื่องนี้ กวาดสายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เสียงเย็นชา “ดูท่าท่านอ๋องอย่างข้าคงต้องเอาจริงแล้ว” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว เอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจว่า “ลงมือเถอะ อย่างไรเสียความสามารถที่แท้จริงของเจ้าในสายตาของเยี่ยน ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกสุนัขเพิ่งคลอด ร้องโฮ่งๆ เสียงทั้งเบาและอ่อนแอ ทว่าตนเองหลงคิดว่าสั่นสะเทือนไปทั่วหล้า”  


 


 


หวันเหยียนหงสีหน้าสับสนวุ่นวาย คนผู้นี้ถึงกับเอาสุนัขมาหยามเขา 


 


 


ภายใต้ความเดือดดาล ดาบยาวยกขึ้น ไม่สนใจสิ่งใดอีก ใช้กระบวนที่ท่าร้ายกาจที่สุดในชีวิตออกไปในทันที 


 


 


เวลานี้กระแสพลังนับพันหมื่นเส้นคล้ายคมมีดกระจุกรวมตัวที่ดาบ เขาออกแรงยกดาบขึ้น กลางอากาศปรากฎการรวมตัวของกำลังภายในกลายเป็นดาบคมเล่มยักษ์ใหญ่กว่าดาบในมือเขาหลายร้อยเท่า 


 


 


กำลังภายในเปลี่ยนรูปเป็นดาบใหญ่ยักษ์ ฟาดลงไปที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างแรง  


 


 


ในเวลาเดียวกันนั้นหวันเหยียนหงตวาดด้วยโทสะ “หมื่นดาบหนึ่งสะบั้น” 


 


 


ดาบยักษ์เช่นนี้ฟาดลงมา ลมโหมแรงไปทั่วสารทิศ ฝุ่นดินบนพื้นถูกพัดตลบขึ้นมา เยี่ยเม่ยหรี่ตาลงมองฉากที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างมากในสายตาของนาง คิ้วขมวดสูง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองดาบนี้ ดวงตาลุ่มลึกหรี่ลงเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มน่าชม ใช้มือเดียวทำท่าลัญจกร ลมปราณทั่วสารทิศก่อตัวรวมเช่นกัน จากนั้นเปลี่ยนเป็นแสงสีแดง เอ่ยออกด้วยเสียงน่าฟัง “แก่นมาร—ทลาย”  


 


 


 “ปัง” เสียงดังขึ้น 


 


 


แสงมารสีแดงปะทะคมดาบ 


 


 


ดินทรายทั่วทิศระเบิดคลุ้ง เหล่าทหารแถวหน้าไม่น้อยถูกลมปราณกรีด เยี่ยเม่ยกำสายบังเ**ยนแน่น ไม่สั่นสะเทือน แต่เวลานี้นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต้องเรียนกำลังภายในให้ได้ นางคิดว่าไม่ว่าเป็นด้านไหนนางไม่อาจพ่ายแพ้ต่อผู้อื่น 


 


 


หลังจากพลังธรรมชาติทั้งสองสายปะทะ เกิดเป็นเสียงดัง “ตู้ม” 


 


 


ฝุ่นดินที่ลอยคลุ้งหายไปสิ้น หวันเหยียนหงตกลงจากหลังม้า กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง  


 


 


 “โยว่อี้อ๋อง” ทหารต้ามั่วรีบวิ่งเข้าไปพยุงทันที 


 


 


หวันเหยียนหงเงยหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เดือดดาลเป็นที่สุด ไร้ความหวาดกลัว 


 


 


สิ้นกระบวนท่าที่สอง หวันเหยียนหงบาดเจ็บสาหัส ใครต่างก็รู้ว่าหากยังต่อสู้ต่อไป หวันเหยียนหงต้องตายอย่างแน่นอน กระบวนท่าที่สามเกรงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องแสดงพลังที่แท้จริง หวันเหยียนหงบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจทนรับไหว  


 


 


ทหารต้ามั่วเริ่มตื่นเต้น มองสายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความระวัง 


 


 


วันนี้เทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งต้ามั่วเยียลี่ว์ซั่นจบชีวิตภายใต้เงื้อมือของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากวันนี้โย่วอี้อ๋องของพวกเขายังสิ้นชีวิตในมือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีก ขวัญกำลังใจของทหารต้ามั่วจะสั่นคลอนอย่างแน่นอน ทุกคนต่างสะพรึงกลัว 


 


 


ถึงในใจเหล่าทหารเป่ยเฉินจะหวาดกลัวเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากเพียงใด ทว่าในเวลานี้หัวใจเต้นตุบตับอย่างดีใจ หากตอนนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอาชีวิตหวันเหยียนหง เช่นนี้ทหารของเป่ยเฉินต้องมีขวัญกำลังใจทวีขึ้นแน่นอน   


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในยามนี้กลับตวัดสายตามองหวันเหยียนหง ถามช้าๆ “หมื่นดาบหนึ่งสะบั้น ราชาดาบเซียวเซ่อหยางมีความสัมพันธ์อันใดกับเจ้า” 


 


 


หวันเหยียนหงสีหน้าจริงจังขึ้นมา เข้าใจดีว่า “หมื่นดาบหนึ่งสะบั้น” เป็นท่าไม้ตายของราชาดาบ เมื่อคิดถึงวิธีที่ตนเองได้รับกระบวนท่านี้มา เขาไม่กล้าเอ่ยความจริง… 


 


 


จ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ย “ข้าไม่เคยพบราชาดาบ กระบวนท่านี้ข้าคิดค้นเอง”  


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับหัวเราะแล้ว ถามเขาด้วยเสียงสบายๆ “ท่าไม้ตายของราชาดาบ ไม่มีทางสอนคนนอกง่ายๆ ดังนั้น…เซียวเซ่อหยางถูกเจ้าฆ่าแล้ว? เยี่ยนขอเดาว่าเจ้าลอบทำร้ายสินะ? หรือว่าวางยา? หรือว่าแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ให้เขาเห็นใจแล้วค่อยลงมือ” 


 


 


สีหน้าหวันเหยียนหงในเวลานี้บัดเดี๋ยวขาวบัดเดี๋ยวเขียว 


 


 


สีหน้าของทุกคนในที่นี้ล้วนเคร่งขรึมลง สายตาคนไม่น้อยมองหวันเหยียนหงล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างแรงกล้า 


 


 


แม้กระทั่งทหารต้ามั่วมองหวันเหยียนหงอีกครั้ง สีหน้ายังไม่รู้สึกเคารพเลื่อมใส 


 


 


คราวนี้เยี่ยเม่ยหันหน้ามองคนข้างๆ ถามอวี้เหว่ยด้วยเสียงเบาว่า “เซียวเซ่อหยางเป็นใครกัน ราชาดาบผู้นี้ร้ายกาจมากนักเหรอ” 


 


 


อวี้เหว่ยคิดได้ว่าเตี้ยนเซี่ยของตนใส่ใจแม่นางผู้นี้มาก  


 


 


รีบตอบว่า “ราชาดาบหมายถึงเขาเป็นเจ้าแห่งดาบ ฝีมือของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้า ที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นคนในยุทธภพแต่มีคุณธรรมสูงส่งมาก จำนวนคนที่เขาช่วยไว้มีนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์เดินดินก็ไม่เกินไป ราชาดาบทักษิณเซียวเซ่อหยาง กับเทพกระบี่อุดรโอวหยางเทาสองคนนี้เป็นคนที่ได้รับการเคารพมากที่สุดในยุทธภพ คนทั้งสองคบหาเป็นสหายสนิท คนทั่วหล้าต่างเลื่อมใส ส่วนราชาดาบจนบัดนี้หายตัวไปแล้วสามปี ไม่รู้ความเป็นตาย” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าด้วยความเข้าใจ มิน่าล่ะ 


 


 


หวันเหยียนหงมองคนข้างกายตนในเวลานี้ สายตาที่พวกเขามองตนเริ่มไม่ถูกต้อง รีบตวาดว่า “มองอะไรกัน” 


 


 


เหล่าทหารต้ามั่วรีบก้มหน้าไม่กล้ามองอีก ในใจเกิดความระแวงสงสัยคุณสมบัติของโย่วอี้อ๋อง 


 


 


หวันเหยียนหงเองก็ไม่คิดว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะร้ายกาจถึงขั้นบีบให้ตนไม่อาจใช้หมื่นดาบหนึ่งสะบั้นยิ่งไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเปิดโปงเรื่องนี้ตรงๆ ทั้งยังเดาได้ว่าตนลอบทำร้ายเซียวเซ่อหยาง ทว่าตนหาได้สังหารเซียวเซ่อหยาง 


 


 


เขาจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยด้วยโทสะ “เจ้าอย่าได้โป้ปดมดเท็จ ข้าไม่ได้สังหารเซียวเซ่อหยาง” 


 


 


สิ้นคำพูดนี้ แววขบขันในดวงตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งเข้มมากขึ้น วิเคราะห์ว่า “ที่แท้เจ้าชิงเคล็ดวิชาลับของเขา แล้วปล่อยให้เขาหนีไป ไม่อาจฆ่าคนปิดปากได้?” 


 


 


ยามนี้หวันเหยียนหงโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ “ข้า…” 


 


 


เขาไม่เข้าใจจริงๆ ไฉนคนผู้นี้ถึงได้ฉลาดยิ่งนัก อาศัยเพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้มากขนาดนี้ 


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยถึงตอนนี้ กลับหมดอารมณ์สังหารคน กล่าวเนิบๆ “วันนี้รู้ความลับนี้แล้ว เยี่ยนอารมณ์ดีมาก ละเว้นชีวิตเจ้า เชื่อว่าหลังจากเรื่องนี้แพร่ออกไป ราชาดาบไม่มาแก้แค้นเจ้า เทพกระบี่ก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้ ใต้หล้านี้ยังมียอดฝีมือไล่สังหารเจ้า รักษาตัวให้ดี อย่าได้ผิดต่อความลำบากที่เยี่ยนปล่อยเจ้าไปในวันนี้” 


 


 


พูดจบแล้ว องค์ชายสี่หันหน้าไปมองอวี้เหว่ย ถามช้าๆ “จริงสิ ราชาดาบยังมีความสัมพันธ์อันดีกับใครอีก” 


 


 


อวี้เหว่ยรีบตอบ “ศิษย์น้องของราชาดาบคือจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่ง น้องบุญธรรมคือหมอเทวดาซือหม่าหรุ่ย ยังมีคู่หมั้นอีกคนหนึ่งคือซินเยว่เยี่ยน พี่สาวบุญธรรมของกูเยว่อู๋เหิน ซ้ำนางยังเป็นผู้นำหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสของหมู่ตึกกูเยว่” 


 


 


คราวนี้เรียวคิ้วเยี่ยเม่ยกระตุก องค์ชายสี่ผู้นี้ช่วยหวันเหยียนหงกระทุ้งรังผึ้ง[1]หรืออย่างไร 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า กวาดตามองหวันเหยียนหง ยิ้มเอ่ย “ดูท่าชีวิตภายหน้าของโย่วอี้อ๋องช่างมีสีสันยิ่งนัก”  


 


 


หวันเหยียนหงฟังจนถึงบัดนี้ จิตใจป่นปี้ไป รู้สึกว่าตัวเองแหลกสลาย หลังจากเรื่องนี้เปิดเผยแล้ว เกรงว่าตนคงจบเห่แล้ว ชื่อเสียงย่อยยับไม่ต้องเอ่ยถึง ยังถูกตามฆ่าทุกวัน 


 


 


เขาถึงกับคิดว่าไม่สู้ให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฆ่าตนให้ตายไปเสียเลย ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ไฉนคนทั่วหล้าถึงบอกว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นปีศาจที่เชี่ยวชาญการทรมานคน 


 


 


เขาฝืนลุกขึ้นจากพื้น เดือดดาลจนทนไม่ไหว ชักดาบพุ่งเข้าหา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกครั้ง “วันนี้ท่านอ๋องอย่างข้าจะสังหารเจ้าให้จงได้” 


 


 


 


 


 


[1] ก่อเรื่องล่วงเกินคนที่ร้ายกาจ 

 

 

 


ตอนที่ 42

 

ขอเพียงสังหารเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เพียงสังหารเขาได้ กำจัดทหารของเป่ยเฉิน เรื่องนี้ก็จะปกปิดได้  


 


 


มิเช่นนั้นอาศัยชื่อเสียงของราชาดาบในหมู่ชาวประชา ไม่ช้าเขาต้องถูกคนทั่วหล้าไล่สังหารแน่นอน 


 


 


เขาร่ายรำดาบออกอย่างสะเปะสะปะ พุ่งเข้าโจมตีเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


องค์ชายสี่ถอนใจคล้ายกับจนปัญญา ระหว่างยกมือขึ้นแสงพลังแดงบังเกิด แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่แสงนับไม่ถ้วน พุ่งโจมตีเส้นเอ็นหวันเหยียนหง  


 


 


แสงสีแดงหลายสายพุ่งทะลุข้อมือข้อเท้าหวันเหยียนหง  


 


 


หวันเหยียนหงส่งเสียงร้องอนาถ กระแทกลงพื้นอย่างแรง ตาค้างมองข้อมือข้อเท้าตนเอง เห็นว่าเลือดไหลทะลักออกมา เขาลองยกมือเท้าก็ยกไม่ขึ้น 


 


 


ตอนนี้ถึงรู้แล้วว่าเอ็นมือเอ็นเท้าของตนขาดเสียแล้ว 


 


 


เขาสีหน้าซีดเซียว มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน… 


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเวลานี้จ้องมองเขา เอ่ยเป็นลำดับขั้นตอนว่า “เจ้าต้องการฆ่าเยี่ยนอย่างโหดร้ายเช่นนี้ เยี่ยนอดทนไม่ฆ่าเจ้า เพียงเลือกตัดเอ็นมือเอ็นเท้าเจ้า ให้เจ้ามีชีวิตต่อไป กันมิให้ยอดฝีมือในยุทธภพตามหาตัวเจ้าแล้วพบว่าเจ้าตายแล้ว ไม่อาจคิดบัญชีกับเจ้า ทำให้เจ้าตายไปพร้อมความเสียดาย ดูสิว่าเยี่ยนมีใจเมตตาปานไหน” 


 


 


หวันเหยียนหงสายตาแตกตื่น ถลึงตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


ความจริงเขาอยากบอกว่าตนปรารถนาตายไปพร้อมความเสียดาย จะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนพิการที่ไม่อาจใช้มือเท้า ทุกวันได้แต่นอนรอให้ยอดฝีมือยุทธ์เข่นฆ่า 


 


 


ส่วนองค์ชายสี่เอ่ยจบแล้ว ก็กล่าวต่อช้าๆ ว่า “ได้ยินว่าจั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับเจ้า สภาพเจ้าในเวลานี้ เชื่อว่าเขาต้องขอให้ราชาต้ามั่วปลดตำแหน่งเจ้า เจ้าตกจากตำแหน่งโย่วอี้อ๋องเป็นสามัญชน เชื่อว่าจิตใจของเจ้าต้องเปิดกว้างเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน” 


 


 


 “อึก…” หวันเหยียนหงสำลักเลือดออกมาคำหนึ่ง คิดถึงตนถูกไล่ฆ่า ถูกศัตรูทางการเมืองทำร้าย เห็นสีหน้าสะใจของศัตรู ซ้ำยังตกจากตำแหน่งอ๋องอันสูงส่ง ถึงกระทั่งกลายเป็นคนพิการไม่อาจใช้มือเท้าได้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังเอ่ยว่าอะไรอีก จิตใจของเขาจะต้องเปิดกว้าง 


 


 


ถุย 


 


 


เห็นสีหน้าอยู่ไม่สู้ตาย โมโหเดือดดาลของหวันเหยียนหง เยี่ยเม่ยอดใจมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้ บุรุษที่ทุกคำพูดของเขาล้วนแทงใจ  


 


 


อวี้เหว่ยหน้าตาไม่เห็นด้วย เตี้ยนเซี่ยของเขามีชื่อเสียงเป็นปีศาจทรมานจิตใจมนุษย์ ไม่ใช่ได้มาโดยเปล่า 


 


 


เห็นหวันเหยียนหงถูกทำให้โมโหถึงขั้นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังแทงมีดไปอีกครั้ง เอ่ยเบาๆ ว่า “รู้หรือไม่ว่าไฉนเจ้าถึงพ่ายแพ้ข้าอย่างราบคาบ” 


 


 


เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป หวันเหยียนหงเบิกตากว้าง มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


เขาไม่ยินยอม ราชาดาบวรยุทธ์ล้ำเลิศเช่นนั้น เป็นจอมดาบอันดับหนึ่ง ตนร่ำเรียนท่าไม้ตายเขา ไฉนถึงไม่ใช่คู่มือของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแม้แต่น้อย ต่อให้สู้ไม่ได้ ก็ไม่สมควรพ่ายแพ้อนาถเช่นนี้ 


 


 


ถัดมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยช้าๆ “ดูจากสายตาอ้อนวอนของเจ้าแล้ว เยี่ยนผู้มีเมตตาจะบอกเจ้าไว้ เพราะว่าหมื่นดาบหนึ่งสะบั้นของเจ้า เป็นแค่รูปลักษณ์ ไม่ใช่ของแท้ เทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งในสิบส่วนของราชาดาบ ในใต้หล้านี้มีพวกโง่เขลา คิดว่าตนสำเร็จเคล็ดวิชาลับเล่มหนึ่งก็เป็นหนึ่งในใต้หล้าแล้ว เสียดายที่ไม่เข้าใจตนเอง ไม่รู้คุณสมบัติของตน ต่อให้มอบเคล็ดวิชาลับให้สักสิบเล่ม สวะยังไงก็เป็นสวะ” 


 


 


 “อึก…” คราวนี้หวันเหยียนหงโมโหจนเป็นลมสิ้นสติ 


 


 


จะไม่ให้เป็นลมได้อย่างไร เขาวางแผนตั้งนาน ไม่ง่ายเลยถึงวางกับดักเซียวเซ่อหยางได้ เมื่อได้เคล็ดวิชามาหลงคิดว่านับแต่นี้ไปตนจะกลายเป็นราชาดาบแทนเซียวเซ่อหยางได้ อีกทั้งยังระมัดระวังเป็นอย่างมาก เห็นวิชานี้เป็นไพ่ตายของตน 


 


 


สุดท้ายฟังคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่กี่คำ พูดเสียไม่มีค่าราคาแม้แต่แดงเดียว ซ้ำยังดูแคลนว่าเขาไร้คุณสมบัติ ในช่วงเวลานี้เอง ปีศาจตนนี้ปอกลอกความภาคภูมิของเขาจนหมดสิ้น ทั้งยังเหยียบเขาติดดินอย่างรุนแรง 


 


 


ทหารต้ามั่วเห็นหวันเหยียนหงเป็นลมไป ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก  


 


 


สายตาป้องกันมองไปที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน   


 


 


ส่วนองค์ชายสี่เห็นหวันเหยียนหงเป็นล้มไป หัวเราะหยามเบาๆ หันกลับมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟังนั้นแฝงไปด้วยความเอาใจ “เขาถึงกับนำคนไล่ฆ่าแม่นาง เยี่ยนย่อมให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย ไม่รู้ว่าแม่นางพอใจหรือไม่” 


 


 


อวี้เหว่ยกลอกตา เมื่อไหร่กันที่เตี้ยนเซี่ยลงมือกับผู้อื่นแล้วไม่ทำให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย? พูดเสียตนเพิ่งทำเป็นครั้งแรกอย่างนั้น  


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้วยักไหล่ หันหน้ามองเขา เค้นคำพูดออกมาคำหนึ่ง “ขอบคุณ”  


 


 


ความจริงหลายวันนี้นางเหนื่อยมาก ต่อสู้มาตลอด ไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่ ต่อให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่นำทัพมาช่วยนาง นางมั่นใจว่าตนสามารถถอยหนีได้ แต่ภายใต้ทหารนับแสนไม่แน่ว่านางอาจจะบาดเจ็บ ดังนั้นคำขอบคุณนี้เป็นสิ่งจำเป็น 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยคำขอบคุณออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มยกมุมปาก รอยยิ้มหล่อเหลายั่วยวนใจคน ถัดมาเขาตวัดสายตามองเหล่าทหารต้ามั่ว ถามว่า “แม่นางปล่อยพวกเขาไปไหม หรือว่าจะฆ่าทิ้งให้สิ้นซาก ไม่ว่าเลือกแบบใด เยี่ยนเต็มใจลงแรงเพื่อแม่นาง” 


 


 


เมื่อคำนี้เอ่ยออกไป เหล่าทหารต้ามั่วเวลานี้พากันตัวสั่น 


 


 


เยี่ยเม่ยกอดอก มองทหารเหล่านั้น พูดจริงๆ แล้วนางมาที่นี่ก็เพื่อเซียนเซียนและเด็กๆ พวกนั้น ส่วนเรื่องทวงคืนความยุติธรรมสำเร็จตามประสงค์ไปแล้ว ทหารเหล่านี้ไม่มีความแค้นกับนาง 


 


 


นางยักไหล่ “ไม่จำเป็น ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขามากนัก”  


 


 


เหล่าทหารต้ามั่วค่อยคลายใจลง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า มองเหล่าทหารต้ามั่ว เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไปเถอะ แบกโย่วอี้อ๋องของพวกเจ้าไปด้วย บอกกับราชาต้ามั่วว่า ยินดีให้เขาส่งคนใต้บัญชาอีกหลายคนมาประมือกับเยี่ยน การประมือกับโย่วอี้อ๋องในวันนี้ทำให้เยี่ยนได้รับมิตรภาพ รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก” 


 


 


เหล่าทหารต้ามั่วตัวสั่น มองหวันเหยียนหงที่ถูก “ประมือ” จนกลายเป็นคนพิการบนพื้น ฟังคำว่าได้รับมิตรภาพจากปากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีก นี่คือวิธีการผูกมิตรอย่างนั้นหรือ 


 


 


พวกเขาไม่กล้าพูดอะไร แบกหวันเหยียนหงจากไป ล้อเล่นหรือเปล่า โย่วอี้อ๋องผู้มีวรยุทธ์สูงส่งในต้ามั่วยังแพ้ราบคาบขนาดนี้ พวกเขาใครจะกล้าเข้าไปอีก รีบหนีเถอะ 


 


 


คนต้ามั่วทั้งหมดแตกสลาย ส่วนเหล่าทหารเป่ยเฉินไม่รู้สึกเสียดาย โย่วอี้อ๋องพิการแล้ว เยียลี่ว์ซั่นก็ตายแล้ว ก็ถือเป็นชัยชนะใหญ่หลวง ติดตามองค์ชายสี่แม่ทัพผู้มีความสามารถแข็งแกร่ง ทว่านิสัยแปรปวน ทำอะไรตามใจเป็นแม่ทัพที่ไม่อาจพึ่งพาได้ สามารถทำได้ถึงระดับนี้ พวกเขาก็พอใจแล้ว   


 


 


ต่อมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ย ถามด้วยเสียงน่าฟัง “ไม่รู้ว่าวันนี้จะทราบหรือไม่ว่าแม่นางมีนามว่าอันใด” 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไปชั่วครู่ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “เยี่ยเม่ย” 


 


 


จากนั้นนิ่งไปสักครู่ เสริมว่า “ข้าแซ่ไป๋” 


 


 


ความจริงแล้วนางไม่รู้ว่าตนแซ่อะไร สี่ปีก่อนถูกลูกพี่เก็บกลับมา นางก็จำเรื่องในอดีตไม่ได้แล้ว แต่คนทั่วไปสมควรมีแซ่ใช่ไหม ลูกพี่แซ่ไป๋ ใช้แซ่ตามลูกพี่ก็ดีเหมือนกัน 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า พึงพอใจกับความเป็นมิตรของนางในวันนี้มาก 


 


 


ดวงตาเขามองนางเจือรอยยิ้ม กล่าวช้าๆ น่าฟัง “เยี่ยนขอแนะนำตนเองสักหน่อย ข้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน องค์ชายสี่แห่งราชสำนักเป่ยเฉิน ข้ามีเงินมาก มีเงินมากมาย อีกทั้งมีอำนาจล้นฟ้า พละกำลังแข็งกล้า เป็นแบบอย่างของสามีที่สมบูรณ์แบบ นับตั้งแต่วันนี้ไปความฝันของข้าคือเป็นคนที่แม่นางเยี่ยเม่ยชื่นชมมากที่สุด ฝันว่าจะเป็นสามีของแม่นางเยี่ยเม่ย ความสนใจของข้าคือเอาใจแม่นางเยี่ยเม่ย”     

 

 

 


ตอนที่ 43

 

คนทั้งหมด “…” 


 


 


คนทั้งหมดมองเยี่ยเม่ยโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งเบื้องลึกของจิตใจยังรู้ว่าการสารภาพของเตี้ยนเซี่ยช่างไม่สอดคล้องกับปัญหาหลักของสังคมเอาเสียเลย  


 


 


มีเงินมาก ทั้งยังมีอำนาจ 


 


 


ก็จริง บรรดาแม่นางทั้งหลายในเวลานี้ชอบบุรุษที่มีทั้งเงินทั้งอำนาจจริงๆ ส่วนเรื่องที่เตี้ยนเซี่ยบรรยายความสนใจและความใฝ่ฝันของเขา ซ้ำยังมีเป้าหมายอีก…แค่กๆ… 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนนิ่งๆ ไม่เอ่ยอะไร 


 


 


องค์ชายสี่เห็นนางไม่ตอบสนองอะไร ดวงตาลุ่มลึกนั่นมีแววสนใจ เสริมอีกประโยคว่า “อีกทั้งเยี่ยนรูปโฉมหล่อเหลาเอาการ ดูแล้วรื่นตาเริงใจ เป็นสามีสามารถช่วยปรับอารมณ์ ทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยมีสติแจ่มใสได้ทุกวัน” 


 


 


เยี่ยเม่ยถามเย็นชา “พูดจบแล้วหรือยัง” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า จากนั้นถามอย่างช้าๆ “พูดจบแล้ว แม่นางหวั่นไหวสักน้อยหรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยตอบอย่างเย็นชา “ไม่หวั่นไหว” 


 


 


อวี้เหว่ยแอบมองใบหน้าด้านข้างของเตี้ยนเซี่ย มักรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ไม่ไว้หน้าเตี้ยนเซี่ยต่อหน้าคนทั้งหมดต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ 


 


 


เขาคิดไม่ถึงว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำของเยี่ยเม่ยจบ เพียงพยักหน้า เอ่ยเสียงน่าฟัง “ดูท่าเยี่ยนยังทำเพื่อแม่นางไม่มากพอ เยี่ยนจะพยายามต่อไป จริงสิ แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าคิดว่าเยี่ยนสวมอาภรณ์สีใดถึงน่าดู เข้ากับความชอบของเจ้า” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองชุดแดงของเขา ยิ่งดูชั่วร้ายไปใหญ่ ครั้งแรกที่พบกันเขาสวมชุดสีดำ ดูแล้วสง่างามยิ่ง นางจึงตอบตามตรงว่า “ดูดีทั้งหมด” 


 


 


ทันใดนั้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มยกมุมปาก นั่นคือความยินดีอย่างชัดเจนเมื่อได้รับคำชมจากคนที่ตนชื่นชอบ 


 


 


เขามองเสื้อผ้าเยี่ยเม่ย ยิ้มถาม “เช่นนั้นแม่นางเยี่ยเม่ยรู้สึกว่าตนสวมอาภรณ์สีใดถึงน่าชมเป็นพิเศษ” 


 


 


อวี้เหว่ยพลันคิดถึงวันนี้ก่อนที่นำทหารออกรบ เตี้ยนเซี่ยเอ่ยกับเขาว่า สองครั้งแล้วที่เห็นแม่นางผู้นี้สวมเสื้อผ้าชุดเดิม สมควรตัดชุดใหม่ให้แม่นางผู้นี้บ้าง ดูท่าเวลานี้กำลังสืบความชอบของแม่นางแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยกลับไม่เข้าใจความหมายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


นางเพียงนิ่งไปหลายวินาที ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยตามความสัตย์อีกครั้ง “ข้าคิดว่าสำหรับสตรีแล้ว โดยเฉพาะสตรีที่รูปงาม สวมชุดใหม่ถึงน่าชมเป็นพิเศษ” 


 


 


รูปแบบค่อยเลือกทีหลังได้ ทว่าชุดใหม่จำเป็นต้องมี คำสำคัญก็คือ ‘ใหม่’ 


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ บุรุษทั้งหลายในสถานที่นี้ เหงื่อแตกพลั่ก พากันคิดถึงภรรยาที่บ้านของตน ไฉนเมื่อถึงฤดูใหม่ต้องขอเงินจำนวนหนึ่งคิดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้าด้วยท่าสง่างามแสดงออกว่าเขาเข้าใจ ทั้งยังมองเยี่ยเม่ยอีก ถาม “ต่อไปแม่นางเยี่ยเม่ยคิดไปที่ใด”  


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดตามองเขา ตอบเสียงนิ่ง “ตามท่านกลับไป” 


 


 


   …… 


 


 


ณ ชายแดน คนทั้งหมดกลับเข้าเมืองแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยกอดอก ยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองพายุทะเลทรายของต้ามั่ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ห่างจากนางไม่ไกล จ้องแผ่นหลังนางเงียบๆ ท่วงท่าของเขาดูน่ามององอาจ คล้ายภาพวาดวิจิตร ติดตรึงอยู่ที่นั่น 


 


 


สายลมพัดปอยผมดำขลับของเยี่ยเม่ย เพิ่มความงดงามให้นางมากขึ้น เยี่ยเม่ยไม่หันกลับมาสักน้อย เอ่ยนิ่งๆ “ท่านต้องแปลกใจมากๆ แน่ ไฉนข้าถึงได้เอ่ยปากติดตามท่านกลับเมืองด้วยตัวเอง” 


 


 


องค์ชายสี่พยักหน้า ริมฝีปากบางเฉียบยิ้มยก เอ่ยช้าๆ “ต่างจากที่เยี่ยนคาดคิดไว้จริงๆ ” 


 


 


คิดถึงครั้งก่อนนางฝ่าวงล้อมคนมากมายก็ยังจะจากไป ครั้งนี้กลับขออยู่ต่อ เขารู้สึกสงสัยในสาเหตุอยู่บ้าง  


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยมองไปสุดขอบฟ้า พระจันทร์ที่ขอบฟ้าเป็นสีเหลืองแล้ว พระอาทิตย์ยังสว่างสดใสแยงตาดั่งเดิม  


 


 


น้ำเสียงนางยังเย็นชาเหมือนเคย “ข้ากำลังรอ” 


 


 


 “อ้อ?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว รอฟังคำพูดต่อไปของนาง 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อว่า “ข้าบุกค่ายทหารสังหารคน ท่านช่วยเหลือข้าบุกค่ายทหาร ความแค้นที่ข้ามีกับลู่หวานหว่านอาจถูกคิดบัญชีไว้กับท่าน จนถึงกระทั่งราชสำนักเป่ยเฉิน ดังนั้นข้ากำลังรอ หากต้ามั่วตัดสินใจคิดบัญชี อย่างนั้นข้าจะช่วยพวกท่านไล่ศัตรู เรื่องนี้ข้าเป็นคนก่อขึ้น นี่คือความรับผิดของข้า หากพวกเขารามือไปเช่นนี้ ไม่มีเจตนาคิดบัญชีกับพวกท่าน อย่างนั้นข้าก็ขอตัวลาไปก่อน” 


 


 


กลยุทธ์การใช้ทหารของนาง ยังร้ายกาจมากด้วย 


 


 


นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว ถามว่า “เยี่ยนยินดีกับเหตุผล สามารถทำให้แม่นางเยี่ยเม่ย รั้งอยู่ต่อได้ แต่แม่นางสมควรเข้าใจว่า ทหารสองฝั่งเปิดศึกกันมาแต่แรกแล้ว ต่อให้ไม่มีเรื่องของแม่นาง ต้ามั่วก็ยังเดินทัพเช่นเดิม” 


 


 


 “นี่มันต่างกัน” เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองเขา 


 


 


สายลมพัดผมดำขลับของนาง แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องแผ่นหลังเยี่ยเม่ย ทำให้ดูงดงามราวกับหญิงสาวแรกรุ่นในหนังสือการ์ตูน ทว่าก็มีความสง่างามราวกับเทพกรีกโบราณ ทั้งยังมีสีหน้าเด็ดเดี่ยว 


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยช้าๆ “หากต้ามั่วให้ข้าเป็นเหตุผล อย่างนั้น…ไม่ว่าจะเป็นข้ออ้างหรือไม่ ข้าก็สมควรแบกรับความรับผิดชอบส่วนหนึ่ง นี่คือความรับผิดชอบ เรื่องที่ข้าทำ ต่อให้มีส่วนเกี่ยวข้องเล็กน้อยก็ไม่มีทางให้ผู้อื่นช่วยแบกรับผล ผู้อื่นก็ไม่มีคุณสมบัติมาแบกรับผลลัพธ์แทนข้า” 


 


 


           พูดไปน้ำเสียงของนางยิ่งสูง เสียงดังกล่าวว่า “อีกอย่างหากพวกเขากล้ายกเรื่องนี้เป็นเหตุผล ใช้เรื่องที่ข้าไล่ฆ่าเดียรัจฉานตัวหนึ่งเป็นเหตุในการเปิดศึก อย่างนั้นข้าก็จะร่วมกับพวกท่าน สั่งสอนพวกเขาสักครั้งหนึ่งข้าต้องการให้พวกเขารู้ ให้ทั่วหล้ารับรู้ว่า การกระทำของพวกเขานั้นผิดพลาด ปกป้องเดียรัจฉานคือความผิด บิดเบือนความยุติธรรมคือความผิด ทวงคืนความยุติธรรมจอมปลอมยิ่งคือความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า” 


 


 


มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจ้องนาง ไม่พูดจา 


 


 


         น้ำเสียงเยี่ยเม่ยค่อยๆ นุ่มนวลขึ้น ทว่ายังคงเย็นชาเหมือนเดิม นางหมุนตัวกลับทอดสายตามองไกลออกไปอีกครั้ง 


 


 


นางเอ่ยเสียงนิ่ง “ข้าจะทำให้คนทั้งโลกเข้าใจว่าอะไรคือความยุติธรรม ข้าจะทำให้ความยุติธรรมดำรงอยู่อย่างยั่งยืน ซ้ำยังบรรลุผลอย่างรวดเร็ว ข้าจะทำให้พวกชั่วร้ายกลับไปอยู่ในนรกที่พวกมันสมควรอยู่ ไม่มีวันปีนขึ้นมาได้อีก ข้าจะทำให้โลกใบนี้มีกฎหมายที่ชัดเจน นำมาปกป้องคนดีทั้งหลาย ไม่ใช่ปกป้องเฉพาะชนชั้นสูง ข้าจะทำให้เด็กๆ รู้ว่า นี่ถึงเป็นโลก เป็นสิ่งที่ยุคสมัยอันงดงามสมควรมีอยู่”  


 


 


ใช่ เมื่อก่อนนางคือนักฆ่า 


 


 


แต่คนที่ตายในมือนางในโลกก่อน ล้วนเป็นพวกมือเปื้อนเลือดชั่วช้าสามานย์ ไม่ก็คนที่ไม่อาจสู้ได้แม้แต่หมูหมา 


 


 


แต่ไรมานางต่างกับพวกนักฆ่าที่รับมือคร่าชีวิต นางไม่กล้าบอกว่าตนเองเป็นคนดี ถึงกระทั่งไม่กล้าบอกว่าตนมีความเห็นใจคน ทว่านางยึดมั่นในความยุติธรรม ความดำมืดสมควรชำระทิ้ง ความขาวสว่างสมควรดำรงไว้ 


 


 


น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยทรงพลัง ไม่เพียงแต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง เหล่าทั้งที่อยู่ใต้กำแพงต่างได้ยินจนหมด พวกเขาเบือนหน้า มองไปยังทิศทางที่สตรีผู้นั้นยืนอยู่  


 


 


 


 


 


สตรีผู้หนึ่งอาศัยอยู่ที่ยุคที่บุรุษเป็นใหญ่สตรีเป็นรอง เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา ช่างน่าขันเสียจริง 


 


 


แต่ในเวลานี้พวกเขาไม่มีใครกล้าหัวเราะทั้งสิ้น เพียงแต่จ้องมองนางเงียบๆ ถึงกระทั่งบางคนมองนางด้วยความเลื่อมใส พวกเขาต่างรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่จวนที่ว่าการนายอำเภอ ทั้งยังรู้ว่านางคือสตรีที่ไล่สังหารเจ้าเดียรัจฉานไปจนถึงต้ามั่วผู้นั้น 


 


 


วันนี้พวกเขาก็รู้อย่างชัดแจ้ง เข้าใจคำพูดของนางอย่างชัดเจน ไม่ว่าสุดท้ายแล้วนางสามารถทำตามที่เอ่ยมาในวันนี้ได้หรือไม่ นางล้วนคู่ควรแก่การยกย่อง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองแผ่นหลังของเยี่ยเม่ยเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง มองท่วงท่างดงามของนาง เชิดหน้าสูงคล้ายกับหงส์ที่งดงามและเย่อหยิ่ง 


 


 


เขาพลันยิ้มออกมาแล้ว 


 


 


ยืนทอดสายตามองไปยังแผ่นหลังของเยี่ยเม่ย เอ่ยช้าๆ ว่า “อย่างนั้นก็ให้เยี่ยนช่วยเจ้าดีหรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยย่นคิ้ว สายตารั้งกลับมองเขา ลมพัดปอยผมของนางทำให้เยี่ยเม่ยดูงดงามเกินบรรยาย นางถามว่า “นี่ก็คืออุดมการณ์ของท่านหรือ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว ยิ้มน่าชม เอ่ยสบายๆ “ความเป็นตายของคนในโลกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ความยุติธรรมที่ฝังไว้มุมไหนสักแห่งนั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า แต่ในเวลานี้เจ้าเกี่ยวพันกับข้า เจ้าต้องการให้ความยุติธรรมแผ่ไปทั่วใต้หล้า ข้าช่วยเจ้า เจ้าต้องการให้เลือดไหลนองเป็นธารโลหิต ข้าก็สามารถเป็นมีดแหลมคมให้เจ้า ไม่ว่าเจ้ายอมรับหรือไม่ นี่คือความจริงใจของเยี่ยน” 

 

 

 


ตอนที่ 44

 

เยี่ยเม่ยมองเขา สายตาหยุดที่มือเขา 


 


 


ถามเสียงเย็นชาว่า “นี่คือความชอบอย่างเปิดเผยหรือแอบชอบ…” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว หัวเราะเบาๆ อธิบายให้นางฟังด้วยน้ำเสียงไพเราะ “แอบชอบ เป็นความรักที่ขลาดเขลาที่สุดในใต้หล้า ก็เป็นแค่ความรู้สึกต่ำต้อยที่มนุษย์ฝังลึกไว้ เพราะกลัวถูกปฏิเสธ ดังนั้นถึงเงียบไม่เอ่ยออกมา” 


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว มองบุรุษเบื้องหน้า เขาคงไม่คิดว่าตัวนางแอบชอบเขากระมัง 


 


 


นางเอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านจะพูดอะไร”  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายมีแววขบขัน “ข้าจะบอกว่า หากเจ้าชอบข้าก็พูดออกมา ไฉนต้องลำบากแอบชอบด้วย” 


 


 


เยี่ยเม่ยหัวเราะเย้ย “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้แอบชอบท่าน” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ท่าทางเหมือนคาดเดาได้แต่แรก ค่อยๆ กล่าวว่า “ก็ดี ข้าแอบชอบเจ้า” 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง 


 


 


ส่วนเขาเอ่ยจบแล้วก็นิ่งไป จากนั้นเสริมต่อ “ตอนนี้สมควรนับเป็นชอบอย่างเปิดเผยแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้วได้สติ สีหน้าเย็นชาดั่งเดิมนิ่งไปแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น นางมองตาเขา “ท่านชอบทรมานคน คงจะชอบเหยียบย่ำความจริงใจของผู้อื่นด้วย ทว่าข้าขอเตือนท่านไว้ คนที่เหยียบย่ำความจริงใจของผู้อื่น ต้องมีสักวันหนึ่งที่ถูกคนอื่นเหยียบย่ำ” 


 


 


นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับคลี่ยิ้ม 


 


 


เขาเอ่ยเนิบๆ “เยี่ยนเป็นคนดี แต่ไรมาไม่เคยเหยียบย่ำความจริงใจของคน เยี่ยนมักใช้วิธีของตัวเองเพื่อบอกถึงการกระทำอันโหดร้ายของพวกเขาเท่านั้น ทว่าหากระหว่างเจ้ากับข้า ต้องมีสักคนที่ถูกเหยียบย่ำความจริงใจถึงจะร่วมเดินทางไปด้วยกันได้ อย่างนั้นก็ยินดีให้แม่นางเยี่ยเม่ยเยียบย่ำความจริงใจของเยี่ยนได้” 


 


 


การสารภาพรักเช่นนี้ หากเกิดขึ้นกับสตรีทั่วไปแล้ว เกรงว่าจะดีใจ จากนั้นค่อยเริ่มแปลกใจว่า เมื่อตนเองรู้จักเขาได้ไม่นาน แล้วบุรุษผู้นี้ชอบนางที่ตรงไหนกัน 


 


 


ทว่าเยี่ยเม่ยไม่เหมือนกัน 


 


 


นางเห็นว่าตนเองยอดเยี่ยมขนาดนี้ มีผู้ชายถูกใจก็เป็นสมเหตุสมผล แต่นางก็ไม่ได้มั่นใจเกินเหตุ อย่างไรไม่มีพื้นฐานจากความรัก รู้จักกันไม่ได้นาน เขาไม่แน่ว่าจะจริงใจกับตนเอง 


 


 


นางปรายตามองเขา เสียงเย็นกล่าว “ตอนนี้ข้าไม่มีแรงถกเรื่องนี้กับท่าน เพราะอย่างน้อยจนถึงตอนนี้ข้าไม่รู้สึกอะไรกับท่าน” 


 


 


คำปฏิเสธตรงไปตรงมากลับทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเบาๆ ไม่กลัดกลุ้ม เอ่ยด้วยเสียงน่าฟัง “ข้ารอได้” 


 


 


สิ้นเสียง เขาชักมือกลับเป็นท่วงท่าสง่างามดุจแมวเปอร์เซีย ไม่ชวนให้คนรู้สึกทำตัวไม่ถูกสักน้อย กลับน่ามองดั่งภาพวาดเหมือนเดิม 


 


 


  การยกมือหนึ่งข้าง ก้าวเท้าหนึ่งก้าวเช่นนี้ก็หล่อเหลาเกินบุรุษใดจะเปรียบได้ นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามในโลกหล้าอย่างแท้จริง 


 


 


นี่ทำให้เยี่ยเม่ยที่ปฏิเสธเขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้ว่าหากวันใดตนหวั่นไหวกับเขาแล้ว เห็นเขาเป็นหนึ่งในภรรยาตัวเลือกของนางก็ไม่เลว 


 


 


ถูกแล้ว ภรรยาของนาง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองความแปลกประหลาดบางอย่างจากนัยน์ตาลุ่มลึกของนาง ถามอย่างสบายอารมณ์ “จากสายตาแม่นางเยี่ยเม่ย ข้าเห็นแววตาดั่งบุรุษชื่นชมสตรี ในด้านความรักแม่นางเยี่ยเม่ยเห็นตัวเองเป็นบุรุษอย่างนั้นหรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เสียงนิ่งตอบ “ไม่ผิด หากวันใดข้าชอบท่านแล้ว ข้าจะพิจารณาให้ท่านเป็นภรรยา อย่างไรบุรุษในโลกหล้าต่างก็มีใบหน้าเหมือนภรรยาตัวน้อยรอให้ทารุณ ซ้ำยังชอบให้ทารุณ ต้องการสตรีคอยอบรมสั่งสอน”  


 


 


องค์ชายสี่ยิ้มยกมุมปาก ไม่ใส่ใจคำพูดของนาง 


 


 


เขายิ้มสบายๆ เอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “สำหรับพระชายาองค์ชายสี่ในอนาคต เยี่ยนรอได้ หากแม่นางเยี่ยเม่ยอยากให้เยี่ยนเป็นภรรยาตัวน้อย ก็ไม่ขัด หวังเพียงแค่สามีจะรักถนอมเยี่ยนให้ดี ไม่ทอดทิ้ง รักเดียวใจเดียว” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ชื่นชมด้วยเสียงเย็นชา “แนวคิดนับว่าถูกต้อง” 


 


 


นางเอ่ยประโยคนี้ออกไป นัยน์ตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฉายแววยินดีและน่าสนใจ 


 


 


ในเวลานี้อวี้เหว่ยก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา 


 


 


เขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ขมวดคิ้วเอ่ยปาก “เตี้ยนเซี่ย คนราชสำนักมาแล้ว” 


 


 


องค์ชายสี่มองเขาถอนสายตากลับ มองอวี้เหว่ย ค่อยๆ เค้นคำพูดออกมาคำหนึ่ง “อ้อ?” 


 


 


สีหน้าอวี้เหว่ยแงนสงสัย ซ้ำยังเจือความเยาะเย้ย มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ผู้ตรวจการทหารมา ยังมี…เรื่องของท่านหญิงฉางเล่อ ไม่รู้ว่าใครส่งข่าวให้ราชสำนักรวดเร็วขนาดนี้ ฮองเฮากริ้วมาก บอกว่าจะต้องจับตัวต้นเหตุมาให้ได้ จับแม่นางเยี่ยเม่ยกลับมาดำเนินคดี ทั้งยังส่งคนมาจับหลายพันคน ได้ยินว่าตอนนี้อยู่ในระหว่างเดินทางแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วอย่างเย็นชา… 


 


 


… 


 


 


ในต้ามั่ว  


 


 


ไม่ไกลจากกระโจม ราชาต้ามั่วสาวเท้ากว้างเดินเข้ามา 


 


 


หัวหน้าทหารผู้หนึ่งรีบติดตามด้านหลังราชาต้ามั่ว รายงานสถานการณ์รบ ราชาต้ามั่วมีอายุสี่ห้าสิบปี ใบหน้ามีความน่าเกรงขามดั่งผู้เป็นราชา สองมือไพล่หลัง เดินเข้ากระโจมมา 


 


 


ราชาต้ามั่วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็น “ดังนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกรบไม่ฆ่าเหล่าทหารต้ามั่ว นอกจากสังหารเยียลี่ว์ซั่นผู้เดียว และทำร้ายโย่วอี้อ๋องบาดเจ็บ”  


 


 


หัวหน้าทหารพยักหน้า “ไม่ผิด เรื่องเป็นเช่นนี้จริงๆ ” 


 


 


           หัวหน้าทหารผู้นั้นเอ่ยจบ สีหน้าโมโหโทโส “ท่านข่าน ข้าคิดว่าการกระทำของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนครั้งนี้เป็นการดูหมิ่นต้ามั่วของเรา พวกเราต้องไม่ปล่อยพวกเขา” 


 


 


ระหว่างที่เอ่ยอยู่นั้นก็เดินไปถึงหน้าประตูกระโจมโย่วอี้อ๋อง 


 


 


ราชาต้ามั่วยื่นมือเปิดประตูกระโจม เดินเข้าด้านใน หวันเหยียนหงยามนี้นอนอยู่บนเตียง ดวงตาสองข้างปิดสนิท ท่านหมอกำลังช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน 


 


 


เมื่อเห็นราชาต้ามั่วเดินเข้ามา  


 


 


คนทั้งหมดรีบทำคุกเข่าแสดงความเคารพ “ท่านข่าน” 


 


 


ราชาต้ามั่วยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนไม่ต้องมากพิธี มองหวันเหยียนหงบนเตียง เอ่ยปากถาม “โย่วอ๋องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” 


 


 


หมอที่คุกเข่าอยู่ตอบ “เอ็นมือเอ็นเท้าของโย่วอี้อ๋องขาดหมด ภายหน้าอย่าว่าแต่ถือดาบเลย ต่อให้ยืนยังยืนไม่ได้ ตอนนี้ข้าน้อยพยายามช่วยชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่เกรงว่าช่วยกลับมาได้ ก็…ก็เป็นเพียงคนพิการผู้หนึ่งเท่านั้น” 


 


 


ราชาต้ามั่วสีหน้าหนักใจมองหวันเหยียนหง พยักหน้า “ไม่ว่าเป็นอย่างไรก็ต้องช่วยคนกลับมาก่อนค่อยว่ากัน โย่วอี้อ๋องอยู่ที่ต้ามั่วมานาน มีความชอบเป็นอย่างมาก ต้องรักษาชีวิตเขาไว้” 


 


 


ท่านหมอรีบตอบทันที “ขอรับ ข้าน้อยจะพยายามสุดความสามารถ” 


 


 


ราชาต้ามั่วจ้องหวันเหยียนหงอยู่ครู่หนึ่ง ถอนใจ หมุนตัวจากไป 


 


 


เพิ่งเดินเพิ่งเดินมาถึงประตู พลันมีสตรีเหมือนดอกสาลี่ต้องน้ำตาผู้หนึ่งก้าวเท้ากว้างเข้ามาอย่างซวนเซ คุกเข่าเบื้องหน้าราชาต้ามั่ว นั่นคือลู่หวานหว่าน นางร้องไห้เอ่ยปาก “ท่านข่าน ท่านข่าน ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับแม่ทัพเยียลี่ว์ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับอนุด้วย” 


 


 


ราชาต้ามั่วหันกลับไปมองหัวหน้าทหารที่ติดตามอยู่ด้านหลังตน ถามว่า “นางคือใคร” 


 


 


หัวหน้าทหารผู้นั้นมองลู่หวานหว่าน เอ่ยปากตอบ “อนุที่ได้รับความโปรดปรานจากท่านแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่น นางเป็นคนภาคกลาง หลังจากแต่งมายังต้ามั่วก็นับว่าจงรักภักดี ได้รับความโปรดปรานจากแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่นอย่างรวดเร็ว ไม่นานมานี้ให้กำเนิดบุตรชายให้แม่ทัพเยียลี่ว์ซั่นผู้หนึ่ง…” 


 


 


ราชาต้ามั่วพยักหน้า มองลู่หวานหว่าน “เจ้าเงยหน้าขึ้นมา” 


 


 


ลู่หวานหว่านเงยหน้า ใบหน้างดงามอยู่แต่เดิม เนื่องจากยามนี้เป็นเหมือนดอกสาลี่ต้องน้ำตา ยิ่งทวีความเศร้าระทมมากขึ้น ทำให้ราชาต้ามั่วตะลึงไปไม่น้อย 


 


 


ลู่หวานหว่านเองก็เข้าใจข้อดีของตน ท่าทางยามร้องไห้ของนาง งดงามที่สุด เมื่อก่อนมักร้องไห้มองแม่ทัพ ถึงทำให้แม่ทัพไม่ใส่ใจภรรยาและอนุคนอื่น โปรดปรานนางเท่านั้น 


 


 


เมื่อเห็นราชาต้ามั่วสติหลุด นางรีบร้องเรียกอย่างออดอ้อน “ท่านข่าน” 

 

 

 


ตอนที่ 45

 

ทันใดนั้นราชาต้ามั่วใจอ่อนยวบราวกับดินเหนียว เอ่ยปาก “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูด” 


 


 


ลู่หวานหว่านลุกขึ้น ร้องไห้เอ่ยปาก “ท่านข่าน หลานชายของอนุมาขอความช่วยเหลือ ไม่รู้ว่ามีคนสารเลวที่ไหน ไล่ล่าสังหารเขาโดยไม่ฟังคำอธิบาย เวลานี้ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพก็…ทิ้งไว้แต่ข้าและลูกชายเพิ่งคลอด เด็กกำพร้ากับหญิงหม้าย เด็กน้อยน่าสงสารไร้ที่พึ่ง ความแค้นของหลานชายไม่อาจชำระ ไม่สู้หวานหว่านพาบุตรชาย ติดตามท่านแม่ทัพไปก็แล้วกัน”  


 


 


นางพูดไปก็หันไปคิดจะชนเสากระโจม… 


 


 


ราชาต้ามั่วรีบยื่นมือจับนางไว้ หนึ่งดึงหนึ่งฉุดลู่หวานหว่านกระแทกเข้ามาในอกของราชาต้ามั่ว 


 


 


ความอ่อนนุ่มหอมกรุ่นในอก ทำให้หัวใจของราชาต้ามั่วยิ่งอ่อนยวบลงไปใหญ่ 


 


 


ส่วนลู่หวานหว่านไม่ขยับออกมา ฟุบเข้าไปในอก ร้องไห้อย่างเจ็บปวด 


 


 


ราชาต้ามั่วลูบบ่านาง ปลอบว่า “เจ้าวางใจ ต่อให้เจ้าไม่พูด ความแค้นของแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่น ข้าต้องชำระอย่างแน่นอน ส่วนสตรีที่เจ้าเอ่ยถึงนั้น ในเมื่ออาจหาญบุกเข้ามาในค่ายทหารของต้ามั่ว ซ้ำยังกระทำการสังหารคน ข้าไม่มีทางปล่อยนางไป”  


 


 


หัวหน้าทหารเห็นภาพนี้ ไม่พูดอะไรออกมา 


 


 


ในต้ามั่ว บุรุษตายแล้ว บุตรรับภรรยาอนุของบิดาไว้ก็ไม่นับเป็นอะไร การเอาชนะกันระหว่างชนเผ่าก็ยึดเอาสตรีของหัวหน้าเผ่าเป็นเกียรติยศ ดังนั้นท่านข่านรับตัวลู่หวานหว่านไว้ก็ปกติ 


 


 


ลู่หวานหว่านได้ฟัง พยักใบหน้าเจือน้ำตา “ขอบคุณท่านข่าน” 


 


 


เวลานี้แม่ทัพผู้หนึ่งของต้ามั่ว เดินเข้ามาจากทิศไม่ไกล 


 


 


เขาสวมชุดทหาร ชุดคลุมสีดำดูองอาจเกินเปรียบ ทหารต้ามั่วติดตามเขาจำนวนไม่น้อย ล้วนค้อมเอวเคารพ “จั่วอี้อ๋อง” 


 


 


จั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วกับโย่วอี้อ๋องหวันเหยียนหง รับขนานนามว่าเป็นมือซ้ายขวาของราชาต้ามั่ว เพียงแต่หลายปีมานี้ไม่มีใครรู้จักชื่อเขา รู้เพียงตำแหน่งของเขาเท่านั้น 


 


 


หลังจากเขาก้าวเข้ามา คารวะ “ท่านข่าน” 


 


 


ต้ามั่วอ๋องมองเขา ปล่อยตัวลู่หวานหว่าน นางมองจั่วอี้อ๋อง จากนั้นรีบขยับกายไปด้านหลัง ไม่รู้เพราะอะไร นางแต่งงานมาต้ามั่วตั้งหลายปี ทุกครั้งที่พบจั่วอี้อ๋องล้วนหวาดกลัว 


 


 


 “ลุกขึ้นเถอะ” น้ำเสียงของราชาต้ามั่วเคร่งขรึมอยู่บ้าง 


 


 


จั่วอี้อ๋องยืนขึ้น 


 


 


ราชาต้ามั่วเอ่ยปาก “จั่วอี้อ๋อง เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นในวันนี้ เจ้าคงรับรู้แล้ว” 


 


 


จั่วอี้อ๋องพยักหน้า มองราชาต้ามั่ว เงียบไปครู่หนึ่ง “ท่านข่าน กระหม่อมทราบแล้ว เพียงแต่ท่านข่าน กระหม่อมเคยบอกแล้วว่า กระหม่อมยอมช่วยท่านข่านรวบรวมต้ามั่วเป็นหนึ่ง แต่ไม่ยอมบุกโจมตีภาคกลางเพื่อท่านข่าน ดังนั้นเรื่องนี้…” 


 


 


ราชาต้ามั่วมองศีรษะจั่วอี้อ๋อง น้ำเสียงพลันเข้มขึ้น “จั่วอี้อ๋อง เจ้าสมควรรู้ว่า โย่วอี้อ๋องกับแม่ทัพเยียลี่ว์เกิดเรื่อง คนที่ข้าใช้งานได้มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้น”  


 


 


จั่วอี้อ๋องขมวดคิ้ว “แต่…” 


 


 


น้ำเสียงของราชาต้ามั่วเข้มลง เรียกชื่อจั่วอี้อ๋อง “เซียวชิน เจ้าอย่าลืม ตอนนั้นเจ้ามีความผิดมหันต์ คนในภาคกลางไล่สังหารเจ้า ตัวข้าให้ที่พำนักพักพิงแก่เจ้า ข้าถึงกระทั่งแก้ไขกฎบรรพชน ให้เจ้าผู้เป็นคนภาคกลางรับตำแหน่งสำคัญในต้ามั่ว หรือว่าเรื่องเหล่านี้มิอาจเปลี่ยนเป็นความภักดีของเจ้าได้”  


 


 


คำนี้ทำให้ลู่หวานหว่านเหลียวมอง เซียวชิน? 


 


 


เห็นเซียวชินไม่พูดจา ราชาต้ามั่วเอ่ยต่อ “ข้าขอให้เจ้าช่วยข้าแค่ครั้งเดียว ขอเพียงเจ้าตีชายแดนเป่ยเฉินแตก เรื่องที่เหลือเจ้าไม่ต้องยุ่งอีกแล้ว”  


 


 


สีหน้าเซียวชินขรึมลง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พยักหน้า “ได้ เพียงแต่ครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งกระหม่อมหวังว่าท่านข่านจะทำตามความปรารถนาหนึ่งของกระหม่อม” 


 


 


ราชาต้ามั่วเอ่ย “เจ้าว่ามา” 


 


 


เซียวชินกล่าวต่อ “กระหม่อมคิดว่า ยามนี้โย่วอี้อ๋องก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว ไม่สามารถรับตำแหน่งต่อไปได้อีก ขอให้ท่านข่านปลดตำแหน่งเขา” 


 


 


ราชาต้ามั่วครุ่นคิด เอ่ยปาก “ได้” 


 


 


 “ขอบพระทัยท่านข่าน” เซียวชินเอ่ยจบ หมุนกายจากไป 


 


 


ลู่หวานหว่านมองแผ่นหลังเขา พลันเอ่ยปากว่า “เซียวชิน? จิ่วอี้อ๋องมีนามว่าเซียวชิน?” 


 


 


ลู่หวานหว่านเอ่ยไป ใบหน้าพลันซีดขาว “หรือเป็นหมอเทวดาเซียวชินที่เมื่อสี่ปีก่อนวางยาลงในแม่น้ำหมิง เข่นฆ่าทหารหนึ่งแสนของเป่ยเฉิน ซ้ำยังฆ่าชาวบ้านไร้ความผิดกว่าสองแสนคน? ไม่สิ ตอนนี้เขาคือหมอปีศาจในสายตาทุกคน ได้ยินว่าที่ก่อเรื่องในปีนั้น ก็เพื่อองค์หญิงแห่งราชวงศ์จงเจิ้งที่สิ้นชีพในแม่น้ำหมิง” 


 


 


เซียวชินชะงักฝีเท้า หันหลับมามองลู่หวานหว่าน 


 


 


ดวงตาคมกริบราวใบมีดนั้นทำลู่หวานหว่านตัวสั่น เซียวชินเอ่ยถามเสียงเย็น “นางคือใคร”  


 


 


ราชาต้ามั่วรีบตอบ “นางคือภรรยาหม้ายของแม่ทัพเยียลี่ว์ซั่น”  


 


 


ดวงตาของเซียวชินเย็นชา มองไปที่ราชาต้ามั่ว “ท่านข่านสมควรรู้ว่า ข้าไม่ชอบสตรีปากมาก” 


 


 


ราชาต้ามั่วมองลู่หวานหว่าน จากนั้นมองเซียวชิน เอ่ยปาก “หากนางยังปากมากอีก ข้าจะฆ่านางเสีย” 


 


 


เซียวชินพยักหน้า หมุนตัวจากไป 


 


 


ลู่หวานหว่านตกใจจนหน้าซีด ไม่กล้าเอ่ยวาจา… 


 


 


รอจนเซียวชินจากไป ราชาต้ามั่วมองลู่หวานหว่าน “ความแค้นของเจ้าข้าจะช่วยชำระให้ สตรีที่สังหารหลานชายเจ้าผู้นั้น ข้าจะถลกหนังนางออกมา แต่ในเมื่อเจ้าเดาออกว่าจั่วอี้อ๋องเป็นใคร ก็สมควรรู้ไว้ว่าเขาไม่ใช่คนที่เจ้าล่วงเกินได้” 


 


 


ลู่หวานหว่านรีบก้มหน้า “อนุทราบแล้ว ท่านข่าน อนุน้อยมิได้ตั้งใจ อนุ…” 


 


 


ลู่หวานหว่านเอ่ยไป ท่าทางกังวลหวาดกลัว สะอื้นออกมา 


 


 


สายตาราชาต้ามั่วอ่อนลง “พอเถอะ อย่าร้องเลย…” 


 


 


   …… 


 


 


สิ้นเสียงอวี้เหว่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบถามขึ้น “เสด็จแม่ส่งคนมาจับแม่นางเยี่ยเม่ย? คนเหล่านั้นอยู่ไหนแล้ว” 


 


 


อวี้เหว่ยเอ่ยปาก “ถึงเจียงโจวแล้ว” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า สั่งการอย่างช้าๆ “เจ้าให้แม่ทัพเฉินทำทหารพันนายไปล้อมเหล่าทหารที่อุกอาจคิดจับแม่นางเยี่ยเม่ย แล้วค่อยกลับมาหาข้า” 


 


 


 “เอ๋?” อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก “หากพวกเขารู้ว่าท่านจะล้อมเขา แล้วหนีไป…?” 


 


 


องค์ชายสี่ตอบอย่างไม่ใส่ “อย่างนั้นก็ให้พวกเขาหนีไป หนีกลับไปก็ดีท่านแม่จะได้รู้ความต้องการของเยี่ยน เชื่อว่าหากเสด็จเป็นสตรีที่มีสมอง จะไม่ส่งคนมายั่วโมโหบุตรชายกตัญญูของนางอีก” 


 


 


อวี้เหว่ยกระตุกมุมกปาก “ขอรับ” 


 


 


เขาไม่เคยได้ยินบุตรกตัญญูคนไหน ใช้คำว่า “สตรีมีสมอง” กับมารดาตัวเอง 


 


 


เยี่ยเม่ยยืนฟังอยู่ด้านข้าง ไม่ส่งเสียง 


 


 


อวี้เหว่ยคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เอ่ยปาก “จริงสิ เตี้ยนเซี่ย สามวันก่อนมีคนจับเศษเดนของราชวงศ์จงเจิ้งได้ ในบรรดาคนเหล่านั้นมีคนให้ร้ายท่าน เพียงแต่พวกเขายังไม่ทันเอ่ยจบ ฝ่าบาทก็สังหารทิ้งแล้ว…” 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของอวี้เหว่ย รู้สึกสมองกระตุก อาการปวดหัวที่คุ้นเคยจู่โจมขึ้นมา 


 


 


นางจ้องอวี้เหว่ย “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ ราชวงศ์จงเจิ้ง?” 


 


 


นางฝันเห็นเหตุการณ์นั้นมาตลอด คล้ายได้ยินคำว่าราชวงศ์จงเจิ้งสี่คำนี้ ที่น่าแปลกประหลาดก็คือ เมื่อได้ยินคำนี้ นางพลันรู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งบีบหัวใจอย่างรุนแรง ทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออก 


 


 


อวี้เหว่ยพยักหน้า “ถูกแล้ว” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นท่าทางผิดปกติของเยี่ยเม่ย ดวงตาสงบกวาดมองนาง ถามขึ้นว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นอะไร” 


 


 


เยี่ยเม่ยเงียบอยู่พักหนึ่ง ความรู้สึกไม่สบายหายลงในไม่ช้า นางค่อยๆ สงบใจลง 


 


 


ในใจรู้สึกว่าตนเองวิตกจริต ไฉนถึงเอาเรื่องในฝันเชื่อมโยงกับความจริงแล้ว นางส่ายหน้า เอ่ยปากว่า “ไม่เป็นไร” 


 


 


เห็นสีหน้านางเป็นปกติ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ถามต่ออีก 


 


 


เขาถอนสายตากลับไปมองอวี้เหว่ย เอ่ยอย่างสบายๆ “ในเมื่อเสด็จพ่อฆ่าไปหมดแล้ว เยี่ยนก็ให้อภัยกับคนตายหลายคนที่ใส่ร้ายองค์ชายอย่างข้า คนมีเมตตามักยอมรับคำใส่ร้ายและความเจ็บปวดได้มากกว่าคนทั่วไป นี่เป็นเรื่องที่ข้าเคยชินมาแล้ว” 


 


 


อวี้เหว่ย “…” คนมีเมตตา…อยู่ที่ไหนกันนะ 


 


 


อวี้เหว่ยจนคำพูด ยังตอบว่า “ขอรับ” 


 


 


เพิ่งเอ่ยถึงตรงนี้ ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน มองเยี่ยเม่ย เอ่ยปาก “เตี้ยนเซี่ย นายอำเภอได้ยินว่าราชสำนักส่งผู้ตรวจการทหารมา เขานำคนในครอบครัวมา บอกว่าจะให้ผู้ตรวจการคืนความยุติธรรมให้ และสังหารแม่นางเยี่ยเม่ยที่ทำผิดกฎหมาย ทั้งยังกล่าวโทษท่านที่ปกป้องแม่นางผู้นั้น” 

 

 

 


ตอนที่ 46

 

 “อย่างนั้นหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว แววตาแสดงความน่าสนใจไม่น้อย 


 


 


เขากวาดตาไปหานายทหารผู้นั้น ถามช้าๆ ว่า “อย่างนั้นเวลานี้พวกเขาอยู่ที่ใด” 


 


 


ทหารได้ฟังน้ำเสียงนี้ ตัวสั่นเทิ้มอย่างอดไม่ได้ เดิมทีเขาก็ตัวสั่นเข้ามารายงานอยู่แล้ว เวลานี้สั่นจนเหมือนใบไม้ต้องลมปลิดปลิวในฤดูใบไม้ร่วง ตอบติดๆ ขัดๆ ว่า “อยู่…อยู่ในเมือง” 


 


 


ในใจเขาคิดว่า นายอำเภอบ้านนี้มีปัญหาหรือเปล่า ไม่ดูเสียบ้างเตี้ยนเซี่ยเป็นคนอย่างไร แม้แต่ฝ่าบาทยังเคยถูกเตี้ยนเซี่ยเตะตกบัลลังก์ในทีเดียว นับประสาอะไรกับผู้ตรวจการทหารที่ราชสำนักส่งมา  


 


 


แค่ผู้ตรวจการทหารคนเดียวจะจัดการเตี้ยนเซี่ยเชียวหรือ 


 


 


แต่ว่าในเมื่อฝ่าบาทส่งผู้ตรวจการทหารท่านนี้มา สามารถยืนยันได้หรือไม่ว่าผู้ตรวจการทหารท่านนี้มีความสามารถเกินกว่าผู้อื่น 


 


 


นายทหารเริ่มจินตนาการ ในใจเกิดความคิดไปต่างๆ นาๆ  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเยี่ยเม่ย ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายเจือรอยยิ้มอ่อน “แม่นางเยี่ยเม่ยจะไปดูคนไม่รู้จักที่ตายแสดงความน่ารังเกียจต่อสู้ดิ้นรน หรือว่าจะพักอยู่ที่นี่”  


 


 


ตามเหตุผลแล้วเยี่ยเม่ยไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่มาสองวัน นางสมควรพักผ่อนแล้วจริงๆ 


 


 


แต่เมื่อได้ยินว่านายอำเภอมาแล้ว ซ้ำยังมาทวงความยุติธรรมด้วย นางกลับอยากไปชมดูสีหน้าพวกเขาเสียหน่อย 


 


 


นางพยักหน้า ตอบเสียงเย็นชา “ข้าจะไปกับท่าน” 


 


 


 “เชิญ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลีกทางด้านหนึ่งให้ด้วยท่าทางเคารพ 


 


 


ทำให้อวี้เหว่ยและนายทหารผู้นั้นต่างก็หรี่ตาแอบมองเยี่ยเม่ย โดยเฉพาะอวี้เหว่ย…ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเตี้ยนเซี่ยเกรงใจใครแบบนี้มาก่อน  


 


 


เยี่ยเม่ยกลับไม่รู้สึกอะไรเลยสักน้อย เพียงรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าทำได้ดีมาก มีท่าทางตามแบบฉบับของสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม[1]เป็นอย่างมาก 


 


 


นางสองมือกอดอก ใบหน้าเย็นชา ก้าวฉับๆ ตรงไปด้านหน้า 


 


 


จากนั้นอวี้เหว่ยมองท่วงท่าสง่างามดุจแมวเปอร์เซียของเตี้ยนเซี่ยเดินติดตามอยู่เบื้องหลังเยี่ยเม่ย ฝีเท้าว่องไวคล้ายกับเดินไปด้วยความเบิกบานใจ 


 


 


ท่าทางเช่นนี้เหมือนบุรุษที่ตกอยู่ในห้วงความรักลึกซึ้งไม่มีผิดเลยสักน้อย  


 


 


อวี้เหว่ยแอบลูบหน้าผาก รู้สึกว่าโลกนี้เหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ทว่าความจริงจากเบื้องลึกในใจของเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าเตี้ยนเซี่ยตกอยู่ในห้วงความรักลึกซึ้ง 


 


 


   … 


 


 


ห้องโถงใหญ่ในเมือง 


 


 


คนทั้งหมดนั่งอยู่ภายในห้องโถง สีหน้าทุกคนล้วนไร้ความผ่อนคลาย นายอำเภอและภรรยาสีหน้ายิ่งเศร้าสลดคุกเข่าอยู่กลางโถง 


 


 


พวกเขาเพิ่งได้รับข่าวว่าบุตรชายของตนตายแล้ว ซ้ำตัวการยังอยู่ในเมือง พวกเขาอยากมุ่งมาทวงความเป็นธรรม แน่นอนพวกเขาย่อมไม่กล้า แต่ได้ฟังว่ามีผู้ตรวจการทหารมาจากเมืองหลวง ทำให้พวกเขาคล้ายเห็นความหวังริบหรี่ จึงรีบรุดมา  


 


 


ในบรรยากาศหนักอึ้งนี้ เยี่ยเม่ยก้าวเท้าเดินฉับเข้ามา 


 


 


ทุกคนต่างกระตุกมุมปากเล็กน้อย หันหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนติดตามอยู่ด้านหลังนาง สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เตี้ยนเซี่ยถึงกับติดตามอยู่ด้านหลังสตรี  


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยเข้าห้อง ก็กวาดตาสำรวจ 


 


 


ที่นั่งประธานยังคงว่างอยู่ ด้านข้างนั้นมีเจ้าเมืองหลิน อีกด้านหนึ่งเป็นบุรุษอายุสี่สิบกว่าไว้หนวด สวมชุดขุนนางนั่งอยู่ ช่วงเอวยังสะพายกระบี่พระราชทาน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ตรวจการทหารไม่ผิดแน่  


 


 


เจ้าเมืองหลินเป็นเจ้าเมืองที่รู้จักสถานการณ์ เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยเดินเข้ามา ไม่พูดอะไรก็ยกก้นยืนขึ้น ส่งสายตาหาข้ารับใช้ด้านหลัง ข้ารับใช้ไม่พูดอะไรรีบไปยกเก้าอี้มา 


 


 


ตัวเจ้าเมืองหลินยืนด้านข้าง ท่าทางต้อนรับอย่างยินดี 


 


 


อย่าว่าแต่องค์ชายสี่แสดงออกว่าชอบสตรีผู้นี้เลย ลำพังคิดถึงเรื่องที่ท่านหญิงฉางเล่อถูกนางตีขา คนนับพันยังจับนางไม่ได้และไม่อาจทำให้นางบาดเจ็บ เทพหายนะองค์นี้เขาไม่คิดหาเรื่อง 


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นว่าเขารู้จักสถานการณ์เช่นนี้ จึงพยักหน้ารับ 


 


 


สายตามองที่นั่งว่างสองที่ ถึงนางรู้สึกว่าตัวเองเพียบพร้อมมาก สมควรนั่งที่ประธานก็ไม่ผิด แต่ว่าอย่างไรราชสำนักเป่ยเฉินนี้ก็เป็นอาณาเขตของผู้อื่น หากไม่ไว้หน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะไม่ดี 


 


 


ดังนั้นนางจึงเดินเงียบๆ ไปนั่งลงยังที่นั่งของเจ้าเมืองหลินเมื่อครู่ คนจำนวนไม่น้อยในห้องโถงเห็นภาพนี้ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจา อย่างไรเสียเตี้ยนเซี่ยยังเดินตามหลังนางเข้ามา 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นนางไม่นั่งลงที่ประธานกลับไม่พูดมากความ ตรงไปนั่งในที่ประธาน เอนกายพิงพนัก เชิดหน้าขึ้นด้วยความสง่างาม มองคนทั้งหมด 


 


 


คนทั้งหมดลุกขึ้น คุกเข่าทำเคารพอย่างพร้อมเพรียง “องค์ชายสี่” 


 


 


แม้กระทั่งผู้ตรวจการทหารยังคุกเข่าลงด้วย สายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหยุดลงที่ผู้ตรวจการทหาร นายอำเภอความรู้สึกไวเห็นภาพตอนที่ผู้ตรวจการทหารตัวสั่นไปเล็กน้อยเพราะตระหนักถึงสายตาปีศาจหยุดอยู่ที่เขา  


 


 


ในยามนั้นนายอำเภอเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น… 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ปรับท่านั่งพิงของตนด้วยความสง่างาม มองที่ผู้ตรวจการ ถามช้าๆ “ท่านนี้เหมือนจะเป็น…เสนาบดีกรมทหารในเวลานี้ ใต้เท้าหลี่?” 


 


 


อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก เตือนอยู่ด้านข้าง “เตี้ยนเซี่ย เสนาบดีกรมทหารไม่ผิด แต่เขาคือใต้เท้าเฉิน” 


 


 


ใต้เท้าเฉินเสนาบดีกรมทหารในยามนี้เริ่มรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ เอ่ยเสียงสั่น “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยคือเสนาบดีกรมทหาร แซ่เฉิน” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน รู้สึกว่าคำพูดของเขามีความหมายล้ำลึก  


 


 


เป็นจริงดั่งคาด… 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง สายตาอ่อนโยนมองที่ใต้เท้าเฉิน แววตาร้ายฉายแววไม่ใส่ใจ ถามเสียงอบอุ่นว่า “ใต้เท้าแซ่เฉินหรือแซ่หลี่สำคัญหรือ มีความสามารถถึงมีคุณสมบัติกำหนดชื่อแซ่ของตน วันนี้หากข้าจะให้เจ้าแซ่หลี่ เจ้ากล้าไม่ฟังหรือ”  


 


 


ยามนี้สีหน้าของใต้เท้าเฉินคล้ายจะร้องไห้ออกมา ตระกูลเฉินของเขาสืบทอดมาสามชั่วคน จวบจนมาถึงรุ่นเขารับตำแหน่งขุนนางสูงส่งเป็นเกียรติยศแก่บรรพบุรุษ เวลานี้ถูกบีบให้เปลี่ยนแซ่แล้ว… 


 


 


แต่เมื่อคิดถึงการกระทำต่างๆ ตลอดหลายปีในเมืองหลวงของปีศาจเบื้องหน้าตน  


 


 


เขาตอบด้วยสีหน้าเศร้าสลด “เตี้ยนเซี่ย กระหม่อมจะปฏิบัติการตามความต้องการเตี้ยนเซี่ย” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา เวลานั้นนายอำเภอรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง คล้ายกับมีน้ำเย็นเฉียบราดใส่ตัวเขา  


 


 


เวลานี้เยี่ยเม่ยกลับใช้สายตาแปลกใจมองใต้เท้าเฉิน นางเข้าใจว่าภายใต้ยามปกติ คนต้องไม่สนใจชีวิตตนเพื่อปกป้องแซ่ที่บรรพบุรุษสืบทอดมา ใต้เท้าเฉินผู้นี้… 


 


 


ใต้เท้าเฉินเห็นสายตาเยี่ยเม่ย ในใจเขาคล้ายแตกสลาย เขาไม่สนใจชีวิตก็ได้ แต่องค์ชายสี่ผู้นี้คือปีศาจร้าย ไม่พอใจอาจเอาชีวิตตระกูลเขาเก้าชั่วโคตร เขาได้แต่ทนความอัปยศเพื่อคนทั้งครอบครัว… 


 


 


ยามนี้เขารู้สึกเคียดแค้นฮ่องเต้นัก ถึงกับส่งเขามาเป็นผู้ตรวจการทหารขององค์ชายสี่ เขายังสงสัยว่าตนเองแอบสวมหมวกเขียว[2]ให้ฝ่าบาทตั้งแต่เมื่อไหร่ พระองค์ถึงได้เคียดแค้นเขาเช่นนี้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้าอย่างพอใจ แววตาไม่ใส่ใจมองนายอำเภอที่คุกเข่าอยู่อีกครั้ง ถามเสียงเนิบว่า “ได้ยินว่าเจ้ารู้ว่าใต้เท้าเฉินของพวกเรา…ไม่สิ ตอนนี้คือใต้เท้าหลี่ เดินทางมาถึงเมือง เจ้าก็รีบมาที่นี่เพื่อทวงความยุติธรรมอย่างอดรนทนไม่ไหว? เจ้าต้องการความเป็นธรรมอะไร เจ้าบอกข้ามาได้ เยี่ยนเป็นคนมีความยุติธรรมเมตตามาตลอด รับรองจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าแน่” 


 


 


 


 


 


[1] สามเชื่อฟังสี่คุณธรรม เป็นหลักปฏิบัติของสตรียุคโบราณ สามเชื่อฟังคือ เชื่อฟังบิดา สามีและบุตรชาย สี่คุณธรรมคือ ประพฤติตัวดีงาม วาจาดีงาม หน้าตาและกิริยางดงาม เก่งงานบ้านงานเรือน 


 


 


[2] สวมหมวกเขียว หมายถึง สวมเขา 

 

 

 


ตอนที่ 47

 

เมตตา? ยุติธรรม? 


 


 


หากเขาเมตตาและยุติธรรมจริง ยังจะปกป้องสตรีที่ฆ่าคนผู้นี้อีกหรือ ถึงกระทั่งนำทหารไปช่วยนางกลับมา? 


 


 


นายอำเภอตัวสั่น ตอบว่า “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อย ข้าน้อย…” 


 


 


เขาพูดไปก็กัดฟันแน่น ในที่สุดก็อดกลั้นความโศกเศร้าที่สูญเสียบุตรชายไปไม่ไหว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย คือสตรีผู้นี้ นางฆ่าคนโดยไร้เหตุผล วางเพลิงในคฤหาสน์ฆ่าคนจำนวนไม่น้อย ซ้ำยังไล่ตามสังหารบุตรชายข้าน้อยไปถึงต้ามั่ว ถึงกระทั่งบุกที่ว่าการอำเภอของข้าน้อย ลงมือทำร้ายข้าน้อยกับฮูหยิน ขอให้ใต้เท้าให้ความเป็นธรรมด้วย” 


 


 


ในเมื่อเขามาแล้ว ก็ไม่หวังจะมีชีวิตกลับไป ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องทวงความเป็นธรรมให้บุตรชายให้ได้ 


 


 


เยี่ยเม่ยขมวดคิ้ว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย็นชา นางฆ่าคนโดยไร้เหตุผล? หึ… 


 


 


เวลานี้ด้านนอกประตูมีนายทหารวิ่งเข้ามาอย่าร้อนรน  


 


 


หลังจากทหารผ่านประตูเข้ามา รีบเอ่ยปากรายงาน “เตี้ยนเซี่ย องค์ชายใหญ่เสด็จแล้ว” 


 


 


เขาเอ่ยออกไป คนทั้งหมดสงบนิ่งลง คนจำนวนไม่น้อยในที่นี้กลับสูดลมหายใจลึก ระหว่างองค์รัชทายาทกับองค์ชายสี่สามารถเรียกได้ว่าไม่ถูกกันประดุจน้ำลึกไฟร้อนแรง องค์ชายใหญ่มาในเวลานี้… 


 


 


ทหารเอ่ยจบ เป่ยเฉินเสียงใบหน้าเย็นชาก็เดินเข้าห้องโถง ด้านหลังเขายังมีเซี่ยโหวเฉินติดตามมา   


 


 


หลังจากเป่ยเฉินเสียงเข้าประตูก็ส่งสายตาไม่เป็นมิตรมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นอย่างแรก จากนั้นมองเห็นเยี่ยเม่ยด้านข้างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างรวดเร็ว เขามุ่นคิ้ว ไม่รู้เพราะอะไรเมื่อเห็นเยี่ยเม่ยนั่งข้างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขารู้สึกไม่ยินดีเป็นอย่างมาก     


 


 


สายตาของเขาย่อมอยู่ในสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


เยี่ยเม่ยเองก็มองเขา เลิกคิ้วสูง ไม่เอ่ยวาจา โลกแคบพบคู่อริอีกแล้ว 


 


 


ไม่ช้าสายตาสูงส่งเย่อหยิ่งของเป่ยเฉินเสียงมองไปที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงสดใส “เห็นพี่ชายมาแล้ว เจ้ายังไม่คิดมาต้อนรับบ้างหรือ”    


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง กลับยิ้มออก 


 


 


เขายกขาขึ้น วางพาดลงบนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้า นั่นคือท่าทีสง่างามสูงส่งไม่ใส่ใจ เอ่ยตอบเสียงเนิบ “เสด็จพี่ใหญ่ วันนี้เยี่ยนอารมณ์ดี ท่านยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยมยังมีชีวิตรอด หากพูดมากความ อาจจะตายได้”  


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจากด้านข้าง บุรุษผู้นี้กำเริบเสิบสานนัก แต่…เมื่อคิดถึงความสามารถของเขาแล้ว เขาก็มีคุณสมบัติกำเริบเสิบสานจริงๆ 


 


 


เป่ยเฉินเสียงหน้าเขียว 


 


 


เซี่ยโหวเฉินมองใบหน้าด้านข้างของเป่ยเฉินเสียง ก้าวออกมาเอ่ยว่า “องค์ชายสี่ ข้าอ๋องน้อยคิดว่า…”   


 


 


เขาพูดยังไม่ทันจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งมองเขาด้วยท่าทางสง่างาม เอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจว่า “เซี่ยโหวเฉิน ท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหว ปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งเป่ยเฉิน วาทศิลป์เป็นเลิศสามารถเอ่ยให้คนตายกลับมามีชีวิตอยู่ได้ ตัวข้าได้ยินว่า ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากโน้มน้าว ศัตรูจะยอมทรยศต่อฝ่ายตนเองเพราะวาจาของเจ้าได้ในทันที” 


 


 


เซี่ยโหวเฉินมุมปากกระตุก เวลานี้ไม่รู้ว่าคำพูดนี้นับเป็นคำชมหรือดูแคลน ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี  


 


 


ถัดมาน้ำเสียงเบาสบายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ว่าเจ้าอาจไม่รู้ ยามปกติเยี่ยนรับมือกับเหล่านักปราชญ์โดยไม่ให้โอกาสพวกเขาเปิดปาก ไม่ให้โอกาสพวกเขาหลอกลวงจิตใจเมตตาของเยี่ยน ทางที่ดีเจ้ากับเสด็จพี่ใหญ่ยืนอยู่ด้านข้าง ฟังคำสั่งของเยี่ยนเถอะ คนเชื่อฟังส่วนมากจะมีชีวิตยาวนานหน่อย”  


 


 


เซี่ยโหวเฉินยืนนิ่งมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนครู่หนึ่ง เขาเป็นปราชญ์ช์อันดับหนึ่งอย่างไรก็เป็นคนรู้สถานการณ์ ไม่พูดพร่ำมากความก็หลบไปด้านข้างทันที 


 


 


เดิมทีเป่ยเฉินเสียงกลั้นความโมโหอยู่แล้ว คิดฝืนใช้ไม้แข็ง จากนั้นเห็นเซี่ยโหวเฉินยืนหลบด้านข้าง ได้แต่ทนความอัปยศยืนหลบด้านข้าง แต่ยังไม่ลืมถลึงตาใส่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นสถานการณ์ หันข้างมองเยี่ยเม่ย ถามด้วยเสียงน่าฟัง “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่เสด็จพี่ถลึงตาใส่ข้า เรียกว่าอะไร” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงใจเต้นตุบตับ 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน รอฟังคำพูดต่อไป 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยต่อ “ก็คือยามที่ผู้อ่อนแอจำเป็นต้องยินยอมสยบ ที่เขาแสดงออกมาคือสายตาอดกลั้นความอัปยศอดสูเพื่อการใหญ่ เป็นการแสดงออกว่าตนไม่ยินยอมพร้อมใจ คนประเภทนี้ตามปกติไม่เพียงแต่ไร้ความสามารถ แม้แต่ความกล้าหาญยอมตายเพื่อปณิธานยังไม่มี” 


 


 


อวี้เหว่ยส่งสายตามองเตี้ยนเซี่ยของตน ทำไมเขารู้สึกว่า เตี้ยนเซี่ยจงใจเอ่ยถึงบุรุษรูปงามคนอื่นในแง่ร้ายต่อหน้าแม่นางเยี่ยเม่ยกัน?  


 


 


เป่ยเฉินเสียงโมโหจนแทบอยากออกมาถกเถียงกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทว่าเซี่ยโหวเฉินตาไวยื่นมือคว้าข้อมือเขาไว้ ส่งสัญญาณไม่ให้เขาทำอะไรโดยพลการ  


 


 


เป่ยเฉินเสียงก้มหน้ามองมือเซี่ยโหวเฉิน สูดลมหายใจลึกหลายครั้ง สะกดความโมโหของตน ไม่ขยับเขยื้อน  


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำพูดเป่ยเฉินเสียเยี่ยน…  


 


 


จะว่าอย่างไรดี นางรู้สึกว่าบุรุษที่มักเอ่ยหลักการเหล่านี้ ฟังแล้วเหมือนมีเหตุมีผลมาก แต่ว่า…ยากชวนให้คนรู้สึกว่ามีส่วนไหนไม่ถูกต้อง 


 


 


เจ้าเมืองหลินชมดูอย่างแตกตื่นลนลาน ไม่กล้าพูดจา รีบส่งสายตาหาข้ารับใช้เป็นสัญญาณให้ไปยกเก้าอี้มา 


 


 


เขาเพิ่งจะนั่งลง ดูท่าคงต้องยกที่นั่งให้องค์ชายใหญ่กับท่านอ๋องน้อยแล้ว ยามนี้เขารู้สึกว่าเป็นเจ้าเมืองในช่วงนี้ไม่ง่ายเลย แม้แต่เก้าอี้นั่งสักตัวยังรักษาไว้ไม่ได้ 


 


 


พูดจากันถึงขั้นนี้ เป่ยเฉินเสียงยังไม่ลุกขึ้นมาทะเลาะด้วย ทุกอย่างจึงกลับเข้าสู่หัวข้อหลัก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองนายอำเภอ ถามเนิบๆ ว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยฆ่าคน เจ้ามีหลักฐานหรือไม่ มีพยานหลักฐานหรือเปล่า”  


 


 


นายอำเภอรีบเอ่ยปาก “เตี้ยนเซี่ย มี มีพยาน สตรีนางนี้บีบให้คนของข้าพาไปลงมือ คนเหล่านั้นเป็นพยานได้ นางลงมืออย่างเ**้ยมโหดในจวนของข้า มือปราบในที่ว่าการสามารถเป็นพยานได้ หลักฐาน…หลักฐานยามนี้ข้าน้อยยังไม่มีชั่วคราว เพราะเพลิงเผาคฤหาสน์ไปหมด บุตรโทนของข้าน้อยตายที่ต้ามั่ว ไม่อาจพิสูจน์ศพได้” 


 


 


สิ้นคำพูดเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนสายตากลับ มองไปที่เยี่ยเม่ย สายตาไม่เห็นด้วยอย่างมาก กล่าวว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เรื่องนี้เป็นเจ้าที่ไม่ถูกแล้ว เจ้ามีเมตตาปล่อยพยานเหล่านั้นไป สุดท้ายกลายเป็นเครื่องมือให้ศัตรูนำมาทำร้ายเจ้า ครั้งหน้ากระทำเรื่องเหล่านี้ ต้องเข่นฆ่าให้หมดจด ชีวิตหนึ่งก็ไม่อาจปล่อยไปได้ หลักฐานชิ้นเดียวก็ไม่อาจปล่อยทิ้งไว้ เข้าใจหรือไม่ อย่างไรเสียคนจำนวนมากก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่รู้สำนึกบุญคุณ พวกเขาตอบแทนบุญคุณของเจ้าด้วยความแค้นโดยง่ายดาย” 


 


 


คนทั้งหมด “…?” 


 


 


ที่บอกว่าเมตตาและความยุติธรรมเล่า 


 


 


เอ่ยวาจาเหล่านี้ต่อหน้าทุกคน ดีจริงๆ หรือ 


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความสนใจ พูดตามตรง วินาทีนี้นางรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้น่าสนใจยิ่งนัก 


 


 


องค์ชายสี่เอ่ยวาจาเหล่านี้จบ หันข้างมองอวี้เหว่ย สั่งการเนิบๆ ว่า “อวี้เหว่ย ไปจัดการปิดปากคนพวกนั้นซะ ตัวข้าไม่อยากให้โลกนี้หลงเหลือพยานสักคนเดียว โยนความผิดฆ่าคนให้กับแม่นางเยี่ยเม่ยผู้มีเมตตา”  


 


 


อวี้เหว่ย “ขอรับ” 


 


 


อวี้เหว่ยพูดจบ หมุนตัวจากไป 


 


 


ยามนี้นายอำเภอโมโหจนทนไม่ไหว มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างไม่เชื่อสายตา เอ่ยด้วยโทสะ “องค์ชายสี่ ท่านทำเช่นนี้มิเกินไปหน่อยหรือ ท่าน…ท่านทำเช่นนี้ ยังมีกฎหมายอยู่หรือไม่ ท่าน…”   


 


 


เขาเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตวัดสายตามอง น้ำเสียงอ่อนโยน “ยามนี้นายอำเภอรู้จักกฎหมายแล้วหรือ ยามที่นายอำเภอปกป้องคุณชายทำเรื่องชั่วช้า รู้จักกฎหมายบ้างหรือไม่ พูดให้ชัดคือใต้หล้านี้ไม่มีกฎหมายที่ว่า มีเพียงคนเข้มแข็งรังแกคนอ่อนแอ ส่วนคนที่สามารถสยบทุกอย่างลงได้ คือคนที่แข็งแกร่งกว่า” 


 


 


พูดไปเขาก็โบกมือ “ไปเถอะ หลังจากทำลายพยานหมดแล้ว เราค่อยจัดการเรื่องนายอำเภอจงใจใส่ความแม่นางเยี่ยเม่ยสังหารคนและปกปิดความผิดของบุตรชายกัน” 


 


 


จากนั้นเขาใช้สายตาประจบมองเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้ารู้สึกว่าเยี่ยนเป็นคนมีเหตุผล มีความยุติธรรมเป็นพิเศษหรือไม่” 

 

 

 


ตอนที่ 48

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า น้ำเสียงเย็น “ท่านมีคุณสมบัติที่ศาลผู้ให้ความเป็นธรรมควรมีครบถ้วน” 


 


 


คนทั้งหมด “…” พวกท่านทั้งสองอย่าพูดจาเหลวไหวเป็นจริงเป็นจังแบบนี้กันได้หรือไม่ 


 


 


พวกท่านเห็นพวกเราโง่งม โง่เง่า หรือว่าโง่เขลากันแน่ 


 


 


อวี้เหว่ยส่งสายตาหาเยี่ยเม่ย ในที่สุดก็เข้าใจว่าไฉนเตี้ยนเซี่ยถึงปฏิบัติต่อแม่นางผู้นี้ต่างออกไป เขาพบแล้วว่าคนทั้งสองนิสัยเหมือนกัน 


 


 


อวี้เหว่ยไม่พูดอะไร เดินออกไป จัดการกับพวกที่เรียกว่าพยาน… 


 


 


   … 


 


 


เวลานี้นายอำเภอรู้สึกมืดฟ้ามัวดิน และเข้าใจพวกที่เมื่อก่อนเคยอยู่ใต้การปกครองของเขา ความสิ้นหวังไร้ทางรอดของคนเหล่านั้น นี่คือได้รับผลกรรมแล้วจริงๆ เขาฝันยังคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง 


 


 


ถัดมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองนายอำเภอ เริ่มไล่เรียงความผิด “นายอำเภอ หลายปีมานี้ทำร้ายประชาชน เจ้ายอมรับผิดหรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยเสริมด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าต้องให้ข้าเชิญเด็กที่ถูกลูกชายเจ้าทำร้าย รวมถึงพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นมาที่นี่ รวมไปถึงเชิญเหล่าชาวบ้านที่ถูกเจ้าให้ร้ายปรักปรำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเจ้ามาที่นี่ ชี้ความผิดเจ้าด้วยหรือไม่” 


 


 


เจ้าเมืองหลินอดไม่ไหวมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ย เขาเพียงรู้สึกว่าสองคนนี้รวมหัวกันแล้ว นี่มันเป็นการเอาชีวิตกันชัดๆ แต่ละคนเอ่ยกันคนละประโยค ต่อให้เป็นคนเข้มแข็งเท่าไหร่ก็ต้านทานรับไม่ได้ 


 


 


นายอำเภอหน้าเศร้าสลด มีร้อยปากก็ยากบ่ายเบี่ยง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสมรภูมิที่ถูกกดดันฉากหนึ่ง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ย คนทั้งสองแสดงออกชัดเจนว่าจะรังแกเขา นายอำเภอน้ำตาคลอมองผู้ตรวจทหารด้านข้างที่ยามนี้ไม่รู้ว่าแซ่เฉินหรือแซ่หลี่ ร้องไห้เอ่ยว่า “ใต้เท้าเฉิน ท่านจะไม่ใส่ใจจริงหรือ ที่เอวท่านยังมีกระบี่ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้” 


 


 


ใต้เท้าเฉินได้ฟัง ยามนี้คิดอยากโยนกระบี่ที่เอวเหมือนกับโยนรองเท้าเน่าใส่หน้านายเภอ ไม่ง่ายเลยที่องค์ชายสี่จะหยุดเคี่ยวกรำเขา นายอำเภอสมควรตายผู้นี้กลับเรียกสายตาองค์ชายสี่มาที่ตัวเขาอีกแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับไปมองใต้เท้าเฉิน เอ่ยช้าๆ ว่า “ใต้เท้าเฉิน ยืมกระบี่ของเจ้าให้ข้าชมสักหน่อยได้หรือไม่” 


 


 


ใต้เท้าเฉินไหนเลยจะบอกว่าไม่ รีบส่งกระบี่ออกไป คล้ายกับโยนเผือกร้อนออกจากมือ 


 


 


กระบี่ล้ำค่าในมือของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยช้าๆ ว่า “กระบี่เน่าๆ เล่มหนึ่ง เพราะว่าได้รับพระราชทาน ถึงได้มีอำนาจ แต่ว่าอำนาจนี้ ใต้เท้าเฉิน เจ้ากล้าใช้กับข้าหรือ”  


 


 


เวลานี้ใต้เท้าเฉินร้องไห้ “เตี้ยนเซี่ย ท่านเป็นผู้มีอำนาจของราชสำนักเป่ยเฉิน” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงฟังคำนี้ พลันเกิดโทสะ ถลึงตาใส่ใต้เท้าเฉิน เอ่ยว่า “ใต้เท้าเฉิน คำพูดนี้ของเจ้า เจ้าเอาเสด็จพ่อไปไว้ที่ไหน” 


 


 


เขาเอ่ยจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรั้งสายตากลับไปมองเขา ถามเสียงอ่อนโยนว่า “เสด็จพี่เอ่ยในเวลานี้ คิดทดสอบความคมของกระบี่เน่าเล่มนี้ว่ายังคมอยู่หรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยชมดูมาถึงตรงนี้ ใบหน้าไร้อารมณ์เอ่ยต่อ “เขาอาจคิดว่า กระบี่เล่มนี้ไม่เคยได้ลับคม ถึงได้กล้าสอดปาก” 


 


 


เวลานี้เธอมองสถานการณ์ในห้องโถงนี้ออกอย่างแจ่มแจ้ง 


 


 


ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อย่างนั้นเธออยากพูดอะไรก็พูด ไม่ต้องกังวลว่าจะหาเรื่องให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน  อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็ช่วยเธอออกมาจากทหารนับหมื่น อีกทั้งเขายังบอกว่าชอบเธอ สำหรับคนมีสายตาดีแล้ว เธอจึงอยากปกป้องเขามากเป็นพิเศษ ดังนั้นเพื่อกันไม่ก่อเรื่องให้เขา เธอถึงไม่เอ่ยอะไรมาตลอด แต่ตอนนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว 


 


 


ยามนี้เป่ยเฉินเสียงโมโหจนหน้าคล้ำ จ้องเยี่ยเม่ยอย่างดุดัน เขาคิดไม่ถึงว่า ยามได้พบกับสตรีนางนี้อีกครั้ง นางถึงกับอยู่กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ร่วมมือกันยั่วโมโหเขา 


 


 


เพราะคำพูดของเยี่ยเม่ย สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฎรอยยิ้มยินดี เห็นได้ชัดว่าชมชอบท่วงทำนองที่เขากับแม่นางเยี่ยเม่ยร่วมสร้างขึ้นมา ดวงตาร้ายกาจของเขามองเป่ยเฉินเสียง “เสด็จพี่คิดว่าอย่างไรเล่า ความเข้าใจของเยี่ยนกับแม่นางที่มีต่อท่านถูกต้องหรือไม่”     


 


 


 “พวกเจ้า…” เป่ยเฉินเสียงโมโหจนทนไม่ไหว 


 


 


เซี่ยโหวเฉินรีบกระตุกชายเสื้อเขา กดเสียงเอ่ยว่า “องค์ชายใหญ่ พวกเรามาเพื่อสถานการณ์รบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งชนไม้แข็งกับเขาในเรื่องไม่เกี่ยวข้อง” 


 


 


อย่างไรเสียความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ยังชัดเจน ชนกับเขาไม่มีผลดี 


 


 


 “หึ” เป่ยเฉินเสียงถูกลบหลู่อีกครั้ง ทั้งไม่ส่งเสียงคัดค้าน 


 


 


ถัดมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเจ้าเมืองหลิน ไล่เรียงว่า“เจ้าเมืองหลิน หลายปีมานี้นายอำเภอทำร้ายประชาชน ใช้กฎหมายเพื่อตนเอง ปกป้องบุตรชาย…” 


 


 


 “ส่วนที่ทำเกินไปคือ เขาถึงกับให้ร้ายข้าที่มีคุณธรรมเมตตาเพียบพร้อม บอกว่าข้าสังหารคนไร้เหตุผล ทำเอาการกระทำด้วยคุณธรรมของข้ากลายเป็นการกระทำของคนเสียสติคลุ้มคลั่ง นี่คือความผิดที่ไม่อาจปล่อยไปได้ของเขา” เยี่ยเม่ยอยู่ด้านข้าง เสริมขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ 


 


 


ทุกคน “…” มีเมตตาเพียบพร้อม? แค่กๆ…ก็ได้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นด้วยกับคำพูเของเยี่ยเม่ย พยักหน้าติดต่อกัน มองเจ้าเมืองหลิน “เจ้าได้ฟังแล้ว การกระทำของนายอำเภอ ไร้คุณธรรมราวกับคนคลุ้มคลั่ง ทำให้คนที่มีเมตตาอย่างเยี่ยนยังไม่ยินยอมให้อภัยเขา” 


 


 


ทุกคน “…”  


 


 


ยามนี้ที่แสดงออกว่าไร้คุณธรรมราวกับคนคลุ้มคลั่งคือท่านกับแม่นางผู้นั้นเถิด? 


 


 


เจ้าเมืองหลินไอแห้งๆ อย่างหวาดกลัวเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากว่า “องค์ชายสี่ ความผิดเช่นนี้ เขาไม่คู่ควรกับตำแหน่งนายอำเภออีก ต้องให้คำตอบกับชาวบ้านและแม่นางเยี่ยเม่ยผู้ไม่ได้รับความยุติธรรม” 


 


 


เวลานี้เจ้าเมืองหลินเลือกข้างแล้ว เพื่ออนาคตของชีวิตตน ตัดสินใจอยู่ข้างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ย  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วพยักหน้า กวาดตามองนายอำเภอ “เจ้าได้ยินแล้ว เจ้าเมืองหลินเป็นหัวหน้าของเจ้า เขาคิดว่าสมควรถอดตำแหน่งขุนนางของเจ้า หลายปีที่ผ่านมา เจ้าทำร้ายประชาชน สมบัติในบ้านก็สมควรจัดการไปพร้อมกัน เพื่อกันมิให้เจ้านำเงินที่ฉ้อฉลมาใช้ชีวิตต่อไปเป็นแบบอย่างที่ผิดต่อเหล่าขุนนางทั่วหล้า” 


 


 


นายอำเภอโมโหที่มีทุกข์แต่พูดไม่ออก มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ทางหนึ่งเอ่ยวาจา อีกทางหนึ่งก็เล่นกระบี่ เขากังวลว่าอีกฝ่ายจะใช้กระบี่เสียบตน ยามนี้จึงไม่กล้าเอ่ยปาก  


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง จากนั้นหันไปมองนายอำเภอ เอ่ยเสียงนิ่งว่า “นายอำเภอกับฮูหยินอบรมบุตรบกพร่อง ถึงก่อให้เกิดเรื่องทั้งหมด ข้าคิดว่าหลังจากปลดตำแหน่งขุนนาง ริบทรัพย์เขาแล้ว สมควรหาอาจารย์สอนตำรา สอนให้พวกเขาท่องสี่หนังสือห้าตำราหนึ่งร้อยเที่ยวทุกครั้ง คัดตำราซานจื้อจิ่งสองร้อยจบ เพื่อเป็นบิดามารดาตัวอย่างให้กับคนทั่วหล้า” 


 


 


พวกเขาสองคน คนหนึ่งเอ่ยถึงแบบอย่างที่ผิดพลาด อีกคนพูดถึงแบบอย่างที่ถูกต้อง สรุปแล้วคิดการโยนคนลงไปหาที่ตายก็พอแล้ว 


 


 


คนทั้งหมดมองนายอำเภอด้วยความเห็นใจ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองนายอำเภอ ถามช้าๆ “สำหรับการตัดสินของเยี่ยนกับแม่นางเยี่ยเม่ย พวกเจ้ายินยอมหรือไม่” 


 


 


นายอำเภอตัวสั่นไม่กล้าพูดจา ฮูหยินที่อดทนไม่ออกเสียงมานานกลับทนไม่ไหวอีก เงยหน้าถลึงตาใส่เยี่ยเม่ย แต่ก่อนหน้าถูกเยี่ยเม่ยตัดลิ้น ทำให้พูดไม่ออก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชักกระบี่พระราชทานออกก่อน จากนั้นเอ่ยเสียงสบายว่า “หากยินยอม ไม่สู้ใช้กระบี่เล่มนี้ตัดแขนขา ตัดหัวแขวนหน้าประตูประจานให้คนชม เพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจว่า คล้อยตามความต้องการของคนส่วนใหญ่ถึงเป็นมาตรฐานของปฏิบัติงานที่ถูกต้อง” 


 


 


เยี่ยเม่ยกล่าวอย่างเย็นชา “ยังสามารถควักสมองออกมา ทำอาหารไปเลี้ยงสุนัข เพื่อเป็นการตักเตือนคนทำชั่วด้วย” 


 


 


ยามนี้ฮูหยินนายอำเภอไม่กล้าพูดจาแล้ว ก้มหน้าลงไม่ถลึงตาอีก ตกใจเสียจนน้ำตาไหล 


 


 


เยี่ยเม่ยมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยนิ่งๆ “ดังนั้นพวกเจ้าสองสามีภรรยายินยอมแล้ว” 


 


 


 “ยิน…ยินยอม” นายอำเภอร่ำไห้ตอบออกมา 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าอย่างพอใจ กวาดสายตามองคนทั้งหมดในห้องโถง จากนั้นมองนายอำเภออีกครั้ง “อย่างนั้นก็ดี หวังว่าใต้เท้าทุกท่านในห้องโถงนี้จะได้รับบทเรียนจากเรื่องของเจ้า อบรมบุตรของตัวเองให้ดี กันมิให้เดินทางสายเดียวกับเจ้าอีก” 


 


 


เธอเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ใต้เท้าจำนวนไม่น้อยในที่นี้ล้วนตัวสั่น ซ้ำในใจยังเตือนตัวเองว่ากลับบ้านไปต้องอบรมบุตรชายบุตรสาวให้ดี ไม่อาจให้พวกเขารังแกชาวบ้านอีก สตรีนางนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว 


 


 


เมื่อเห็นบรรดาใต้เท้าทั้งหลายมีท่าทางเข้าใจเหมือนกัน เยี่ยเม่ยถอนสายตากลับอย่างพอใจ จ้องนายอำเภอ น้ำเสียงเย็นชากล่าว “เอาล่ะ ตอนนี้เริ่มท่องได้ สั่งสอนไม่ดี ความผิดบิดา เริ่มท่องในที่นี้ให้ใต้เท้าทุกคนฟังหนึ่งร้อยรอบ” 


 


 


นายอำเภอเงยหน้ามองเยี่ยเม่ย กัดฟันไม่ออกเสียง 


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องเขา ถาม “ไม่อยากท่อง?” 


 


 


นายอำเภอร้องไห้รีบตอบทันที “สั่งสอนไม่ดี ความผิดบิดา สั่งสอนไม่ดี ความผิดบิดา สั่งสอนไม่ดี ความผิดบิดา ฮื่อๆๆๆ…” 

 

 

 


ตอนที่ 49

 

ใต้เท้าทั้งหลายในสถานที่นี้ตกอยู่ในห้วงความสับสน คลื่นลมพายุโหมกระหน่ำอยู่ในใจ แทบจะเผ่นกลับบ้านไปในตอนนี้ จับบุตรชายบุตรสาวขังเข้าห้องมืด สั่งสอนหลักการเป็นคนให้พวกเขา 


 


 


ส่วนที่นายอำเภอกำลังเคียดแค้นเยี่ยเม่ยในเวลานี้ ในใจไม่ใช่ไม่สำนึก หากเขาเองเลี้ยงลูกดี ใส่ใจเรื่องที่เขากระทำ บุตรชายก็ไม่ตาย ครอบครัวเขาทั้งบ้านก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้     


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเจ้าเมืองหลินทีหนึ่ง สั่งการเสียงเนิบว่า “ไปบ้านนายอำเภอ พาอาจารย์สอนหนังสือไปหลายคนหน่อย ทำตามความต้องการของแม่นางเยี่ยเม่ย สั่งสอนพวกเขาให้ดี เฝ้าให้พวกเขาตั้งใจเล่าเรียน อย่าผิดต่อน้ำใจของแม่นางเยี่ยเม่ย” 


 


 


เจ้าเมืองหลินรีบพยักหน้า “ขอรับ” 


 


 


เจ้าเมืองหลินเดินออกไป ใบหน้าของนายอำเภอและฮูหยินน้ำตาน้ำมูกไหลเพราะความหวาดกลัวและเสียใจ เดินติดตามเจ้าเมืองหลินออกไป 


 


 


หลังจากออกประตูใหญ่แล้ว ฮูหยินนายอำเภอจ้องนายอำเภอตาเขม็งด้วยความโทสะ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่สามีไร้สามารถ และสายตานี้ทิ่มแทงนายอำเภอได้สำเร็จ 


 


 


เขายื่นมือออกไป ตบใบหน้าฮูหยินอย่างแรง ตวาดด้วยโทสะ “ล้วนเป็นเพราะเจ้า ล้วนเป็นเพราะเจ้าตามใจจนลูกไร้กฎไร้ระเบียบ ทำร้ายให้เราทั้งครอบครัวตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าตามใจเขา มารดารังแกลูก” 


 


 


นายอำเภอเอ่ยคำนี้ออกมา ฮูหยินนายอำเภอคล้ายไม่ยินยอม จากนั้นนางที่ไม่มีลิ้นพูดไม่ออก ยื่นมืออกไปตบตีกับนายอำเภอ 


 


 


เจ้าเมืองหลินเห็นสถานการณ์ กลัวจากเบื้องลึกว่าจะไปทำลายอารมณ์ดีของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยในห้องโถง รีบให้คนลากพวกเขาออกไป 


 


 


คู่สามีภรรยาที่เดิมนับว่ามีหน้ามีตาในสังคม สุดท้ายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ คนในโถงดูแล้วถอนใจ ได้แต่คิดว่าหากรู้ว่ามีวันนี้ในอดีตคงไม่ทำแล้ว 


 


 


ส่วนยามนี้แม่ทัพหลี่เห็นสถานการณ์ ตัวสั่นอยู่ในโถงราวกับตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นกัน 


 


 


วันนั้นเขาสั่งการสังหารเยี่ยเม่ย เตี้ยนเซี่ยให้โอกาสเขาไปตามหาสตรีนางนี้ ผลคือเขาหาไม่พบ ส่วนเตี้ยนเซี่ยหาคนพบแล้ว วันนี้นายอำเภอถูกจัดการ ไม่รู้ว่าตนเองจะถูกจัดการไปด้วยหรือเปล่า 


 


 


ผลคือในขณะที่เขากำลังสั่นอยู่นั้น สายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนย้ายมาตกอยู่ที่เขา ไม่ช้าก็มองเยี่ยเม่ยอย่างอ่อนโยน เอ่ยเนิบๆ ว่า “วันนั้นเจ้าออกจากเมือง เป็นแม่ทัพหลี่ท่านนี้ สั่งการให้สังหารเจ้า…”  


 


 


 “ตึ่ง” เสียงดังขึ้น แม่ทัพหลี่คุกเข่า 


 


 


แม่ทัพหลี่น้ำมูกน้ำตาไหลทักที เอ่ยว่า “องค์ชายสี่ แม่นางเยี่ยเม่ยโปรดไว้ชีวิตด้วย วันนั้นข้ากระทำตามคำสั่ง นั่นคือความต้องการของท่านหญิงฉางเล่อ ข้าน้อยเป็นแค่แม่ทัพขั้นสามตัวเล็กๆ ไม่กล้าขัดคำสั่งท่านหญิงฉางเล่อ ข้าน้อย…” 


 


 


เยี่ยเม่ยเฝ้ามองเขา 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเองก็มองแม่ทัพหลี่ ถามคล้ายไม่ใส่ใจว่า “ความหมายของท่านคือ หากองค์ชายอย่างข้าสั่งการให้เจ้าไปฆ่าคน เจ้าก็จะไปเดี๋ยวนี้ใช่หรือไม่ อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นแค่แม่ทัพขั้นสามเท่านั้น คำพูดขององค์ชายอย่างข้า เจ้ากล้าไม่เชื่อฟัง” 


 


 


แม่ทัพหลี่ชะงักไป ไม่ทันคิดมาก รีบพยักหน้า “ขอรับ ขอบรับ เตี้ยนเซี่ย ขอเพียงเตี้ยนเซี่ยสั่งการคำเดียวให้ข้าน้อยฆ่าใคร ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้” 


 


 


เซี่ยโหวเฉินยืนมองแม่ทัพหลี่อยู่ด้านข้าง รู้สึกเห็นใจจากเบื้องลึก คนผู้นี้ตกหลุมพรางแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว เอ่ยว่า “เยี่ยนปลื้มใจกับความภักดีของเจ้า เพราะว่าปลาบปลื้มมาก จึงไม่สั่งให้เจ้าไปสังหารเสด็จพ่อแล้ว อย่างไรก็ถือว่าเป็นอันตรายสำหรับเจ้ามาก และจะเป็นการบ่งบอกว่าเยี่ยนไม่เข้าใจจิตใจคนมากพอ” 


 


 


แม่ทัพหลี่ “เอ๋?” 


 


 


สังหารฮ่องเต้? เขาฟังผิดไปหรือไม่? อืม ยังดีที่ไม่ใช่ฝ่าบาท 


 


 


จากนั้นเขายังไม่ทันคลายใจ น้ำเสียงเบาสบายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าไปสังหารซือถูเฉียงแล้วกัน นี่คือคำสั่งของเยี่ยน ในฐานะแม่ทัพขั้นสามผู้หนึ่ง เจ้าต้องเชื่อฟัง ซ้ำต้องปฏิบัติในทันที”  


 


 


แม่ทัพหลี่สมองกระตุก ท่านหญิงฉางเล่อคือหลานสาวที่ฮองเฮาโปรดปรานมากที่สุด หากสังหารนางเข้าจริง ตัวเองยังเหลือชีวิตอีกหรือ 


 


 


เขารีบโขกศีรษะ ร้องไห้เอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย หากข้าน้อยสังหารองค์หญิงฉางเล่อจริงๆ ต้องตายอย่างไร้ดินกลบหน้าอย่างแน่นอน เตี้ยนเซี่ย” 


 


 


เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา องค์ชายสี่เพียงหัวเราะเสียงเบา เอ่ยช้าๆ “ดังนั้นเจ้าคิดว่าการสังหารท่านหญิงฉางเล่อจะต้องตายแน่นอน สังหารแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่ตายอย่างนั้นหรือ ชีวิตของแม่นางเยี่ยเม่ย มีค่ามากกว่าซือถูเฉียงเป็นหมื่นเป็นร้อยล้านเท่า ในใจเจ้ายังชั่งน้ำหนักไม่ได้อีกหรือ” 


 


 


 “ตุบ” ยามนี้แม่ทัพหลี่รู้แล้วว่าตนเองก่อเรื่องใหญ่ ขอร้องก็ไร้ประโยชน์ 


 


 


เป่ยเฉินเสียงมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ จากนั้นมองเยี่ยเม่ยอีกครั้ง ถึงเขาจะมีความสนใจในตัวสตรีนางนี้อยู่บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงกับให้ความสำคัญกับนางถึงขั้นนี้   


 


 


เยี่ยเม่ยเบนหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่อาจไม่พูดว่าสำหรับการปกป้องอย่างโจ่งแจ้งของเขา ทำให้นางรู้สึกดีมาก  


 


 


ถัดมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองแม่ทัพหลี่ สั่งการว่า “ไป สังหารซือถูเฉียงเจ้าอาจยังเหลือทางรอด ไม่ไปต้องตายโดยมิต้องสงสัย เยี่ยนคาดหวังกับเจ้ามาก เจ้าต้องทำภารกิจให้สำเร็จ” 


 


 


ยามนี้แม่ทัพหลี่มองไปทางเยี่ยเม่ย หวังเป็นอย่างมากว่านางจะแสดงความเมตตาดั่งสตรีทั่วไป ให้เตี้ยนเซี่ยละเว้นซือถูเฉียง ละเว้นตัวเขา  


 


 


เยี่ยเม่ยมองดวงตาเขา คิดถึงวันนั้นที่ซือถูเฉียงสั่งการให้สังหารนางก็ช่างเถอะ ซ้ำยังสั่งให้เผาตนทั้งเป็น นางย่อมไม่มีความเห็นใจใดๆ ส่วนแม่ทัพหลี่ผู้นี้… 


 


 


ในวันนั้นหากมิใช่ความสามารถของนางโดดเด่นก็คงตายไปในค่ายกลธนูของอีกฝ่ายแล้ว นางยิ่งไม่เหลือความใจกว้าง  


 


 


นางมองกระบี่พระราชทานในมือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากเสนอว่า “ไม่สู้ท่านเอากระบี่พระราชทานในมือท่านให้แม่ทัพหลี่ยืม แบบนี้เขาไปสังหารท่านหญิงฉางเล่อก็ราบรื่นขึ้นแล้ว ลดการต่อสู้ระหว่างทหารองครักษ์ กันไม่ให้มีการบาดเจ็บที่ไม่จำเป็น”  


 


 


นางพูดประโยคนี้ออกมา มุมปากทุกคนพลันกระตุกขึ้น 


 


 


คำพูดนี้พูดไม่ผิด แม่ทัพหลี่มุ่งไปสังหารท่านหญิงฉางเล่อ องครักษ์ของท่านหญิงฉางเล่อย่อมต้องต่อสู้ถึงที่สุด แต่เมื่อมีกระบี่พระราชทานก็ต่างกัน 


 


 


แต่ทว่าคนทั้งหมดรู้สึกว่า องค์ชายสี่ปีศาจคนเดียวก็น่ากลัวพอแล้ว สตรีนางนี้มาจากไหนกัน เพิ่มความหวาดกลัวในจิตใจของพวกเขาได้สำเร็จ ถึงกระทั่งเพิ่มเป็นทวีคูณ  


 


 


องค์ชายสี่ได้ฟัง โยนกระบี่พระราชทานในมือให้แม่ทัพหลี่ทันที ท่าทางตามสบายเช่นนั้น ไม่เหมือนกับการโยนของพระราชทานเลย คล้ายกับโยนของผุพังแล้วก็ไม่ปาน 


 


 


ถัดมาเขาหัวเราะเสียงอ่อนโยน “ไปเถอะ แม่ทัพหลี่ อย่าทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยผิดหวัง เพราะทันทีที่แม่นางเยี่ยเม่ยผิดหวัง เยี่ยนก็จะผิดหวังมาก ยามที่เยี่ยนผิดหวังก็จะชอบทรมานคนที่ทำให้เยี่ยนรู้สึกไม่เหมาะสมมากเป็นพิเศษ ทำให้พวกเขารับรู้ถึงความยากเข็ญของชีวิต ความหมายของเยี่ยน เจ้าเข้าใจหรือไม่” 


 


 


แม่ทัพหลี่หน้าเศร้า หยิบกระบี่ขึ้นมา “ข้าน้อย…เข้าใจแล้ว” 


 


 


ในที่ชีวิตเขาไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งตนจะได้ถือกระบี่พระราชทาน แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือถึงกับได้มาด้วยวิธีนี้ เขาอยากร้องไห้เสียจริง 


 


 


ในขณะที่เขาโศกเศร้า นายทหารคนหนึ่งพุ่งเข้ามา คุกเข่าสั่งการ “เตี้ยนเซี่ย ท่านเจ้าเมือง จั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วนำทหารมา บอกว่าจะคิดบัญชีให้กับโย่วอี้อ๋อง เยี่ยลวี่ซั่น ทั้งยังมีแม่นางผู้นั้นบุกค่ายทหาร” 


 


 


เขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยลุกขึ้นมาก่อน 


 


 


นางขยับแขน เอ่ยเสียงเย็น “ดีมาก ข้ากำลังอยากยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย” 

 

 

 


ตอนที่ 50

 

ทหารจำนวนไม่น้อยในที่นี้หันหน้ามองนาง 


 


 


ถึงพวกเขารู้ว่าแม่นางผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ว่าเรื่องทางการทหารกับการต่อสู้ทั่วไปนำมาเทียบกันได้หรือ ในสายตาคนไม่น้อยล้วนไม่เห็นด้วย มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หวังว่าเขาจะยับยั้งนาง  


 


 


คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับยื่นมือออกมาช้าๆ ล้วงของสิ่งหนึ่งออกจากแขนเสื้อโยนให้เยี่ยเม่ย  


 


 


เยี่ยเม่ยเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เขาโยนมาเช่นนี้ นางไม่คิดมากรับเอาไว้ 


 


 


นางก้มมองสิ่งของในมือ ป้ายชิ้นหนึ่งสลักรูปพยัคฆ์ไว้ด้านบนคล้ายกับมีชีวิตจริง มุมป้ายมีรหัสลับ กลับด้านดูเป็นอักษรคำว่า “ลิ่ง”[1] นางมุ่นคิ้วมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามเสียงนิ่ง “นี่คืออะไร”  


 


 


คนทั้งหมดในที่นี้เห็นสิ่งของในมือนาง สีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวขาว คิดอยากมองเขาด้วยสายตาตำหนิ แต่กลับไม่กล้า 


 


 


แต่ในใจต่างก่นด่าว่าคน… 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ยอย่างอ่อนโยน เอ่ยด้วยเสียงสบาย “นี่คือตราพยัคฆ์สั่งการทหารสองแสนนายที่ชายแดน วันนี้มอบไว้ในมือแม่นางเยี่ยเม่ย แม่นางเยี่ยเม่ยอยากยืดเส้นยืดสายอย่างไรก็ทำได้ หากต้องการให้เยี่ยนช่วยเหลือ เอ่ยมาคำเดียวก็พอ หากไม่ต้องการให้เยี่ยนลงมือ เยี่ยนก็จะอยู่เบื้องหลัง เป็นกำลังสนับสนุนให้แม่นางเยี่ยเม่ย”  


 


 


เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา อย่าว่าแต่เรียวคิ้วของคนอื่นๆ ต่างก็เลิกขึ้น รู้สึกว่าเขาหลงใหลหญิงงามจนเสียสติ ถูกสตรีนางหนึ่งล่อลวงใจ แม้แต่เยี่ยเม่ยเองยังเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ กวาดตามองเขา ถามเสียงเย็นชา “ท่านเชื่อใข้าถึงเพียงนี้เชียว?” 


 


 


นางจำไม่ได้แล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตนทำเรื่องบางอย่าง ที่มองแล้วดูแล้วน่าเชื่อใจ หรือว่ามนุษยธรรมของนาง ต่อให้ไม่แสดงออกมา ก็ถูกเขาเห็นได้แล้ว? 


 


 


เยี่ยเม่ยครุ่นคิด ดูท่าคงมีความเป็นไปได้เช่นนี้เท่านั้น 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มยกมุมปาก แววตาล้ำลึกเกินเปรียบ สงสัยเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “ความเชื่อหรือไม่เชื่อล้วนไม่ใช่สิ่งที่ใช้ปากเอ่ยออกมา การกระทำของเยี่ยนมากเพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วมิใช่หรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยก้มหน้ามองตราพยัคฆ์ในมือ จากนั้นมองใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของบุรุษอย่างไม่รีบร้อน ถามเย็นชาว่า “ท่านไม่กลัวว่าข้านำทัพใหญ่สองแสน จะทำให้ทหารตายสิ้นหรือ” 


 


 


คำพูดนี้ของนาง ถามแทนคำถามในใจของเหล่านายทัพทุกคนในที่นี้จนหมดสิ้น เตี้ยนเซี่ยไม่กลัวเกิดเรื่องเช่นนี้ แต่ว่าพวกเขาหวาดกลัวเป็นหมื่นเท่า 


 


 


ใครจะรู้ว่า คนที่นั่งที่ประธานนั้นมีสีหน้าสบายอารมณ์ เหมือนเรื่องไม่เกี่ยวกับตน ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเล่นสนุกด้วยความยินดีก็พอ ส่วนเหล่าทหารจะเป็นหรือตาย เยี่ยนไม่ใส่ใจ” 


 


 


 “เตี้ยนเซี่ย” ในที่สุดนายทัพผู้หนึ่งก็ทนไม่ไหวอีก ก้าวออกมา 


 


 


เขากัดฟันแน่นเดินมาเบื้องหน้า เป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงเย็นชากล่าว “เตี้ยนเซี่ย ท่านเห็นชีวิตคนเป็นเศษหญ้า ท่านเคยคิดถึงความรู้สึกของเหล่าทหารสองแสนนายที่ชายแดนบ้างหรือไม่” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเขา เอ่ยช้าๆ ว่า “คนที่ให้เยี่ยนนำทัพคือเสด็จพ่อ เกรงว่าเสด็จพ่อจะรู้จักนิสัยเยี่ยนดีกว่าพวกเจ้า ดังนั้นคนที่เห็นชีวิตคนเป็นเศษหญ้าหาใช่เยี่ยน แต่เป็นนายเหนือหัวที่พวกเจ้าจงรักภักดีต่างหาก” 


 


 


คนทั้งหมด “…”  


 


 


ดูเหมือนจะมีเหตุผล ฮ่องเต้รับสั่งให้องค์ชายสี่เสด็จมาจริงๆ ฮ่องเต้ย่อมรู้นิสัยขององค์ชายสี่ ดังนั้นแทนที่จะบอกว่าองค์ชายสี่ไม่สนใจชีวิตของพวกเขา ไม่สู้บอกว่าฮ่องเต้หาได้ใส่ใจความเป็นตายของพวกเขาเลยสักน้อย แต่ว่า… 


 


 


แต่ว่าเหมือนมีอะไรไม่ถูกต้อง 


 


 


เป่ยเฉินเสียงทนไม่ไหวเปิดปากเอ่ย “น้องสี่ อย่าได้เอาเหตุผลบิดเบี้ยวของเจ้าโยนความไม่รับผิดชอบต่อเหล่าทหารของเจ้าให้เสด็จพ่อ เสด็จพ่อทำไปเพราะเชื่อใจ ถึงได้มอบตราพยัคฆ์ให้เจ้า เจ้าจะผิดต่อความเชื่อใจของเสด็จพ่อ มอบตราให้กับสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง?” 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว มองเป่ยเฉินเสียง สตรีอ่อนแอ? ดูแคลนสตรี?  


 


 


เป่ยเฉินเสียงเห็นแววตานาง ยามนี้คิดกลอกตาไปทางอื่น แต่ไม่รู้มองไปไหนดี จึงไม่กล้าสบตาอีก อย่างไรเสียเขาก็อยากได้ตัวนางเป็นความจริง ส่วนยามนี้กำลังขัดขวางไม่ให้นางนำทัพก็เป็นเรื่องจริง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กวาดสายตามองเขา เอ่ยช้าๆ “เสด็จพี่ก็บอกแล้ว เสด็จพ่อมอบตราพยัคฆ์ให้ข้าเพราะความเชื่อใจ ดังนั้นตรานี้ก็สมควรให้เยี่ยนเป็นผู้จัดการ ส่วนเยี่ยนเชื่อมั่นใจตัวแม่นางเยี่ยเม่ย เป็นเหตุให้มอบตราให้กับนาง แนวคิดเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเสด็จพ่อมั่นใจในความสามารถของแม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนผิดต่อความเชื่อใจของเสด็จพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”  


 


 


ทุกคน “…” 


 


 


 จริงด้วย ฮ่องเต้เชื่อใจองค์ชายสี่ องค์ชายเชื่อใจแม่นางเยี่ยเม่ย ดังนั้นมอบตราให้แม่นางเยี่ยเม่ย วิเคราะห์ดูแล้วไม่มีปัญหา แต่ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกว่ามีที่ไหนไม่ถูกต้องกัน 


 


 


ชั่วขณะนั้นเป่ยเฉินเสียงไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร กลืนความโมโห ถลึงตาใส่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


เซี่ยโหวเฉินยืนนวดหว่างคิ้วอยู่ด้านข้าง ถกเรื่องเหตุผลกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เกรงว่าเขาเซี่ยโหวเฉินผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากง่ายๆ กลัวแต่ว่าตนจะได้รับการดูถูก หวังแต่ว่าองค์ชายใหญ่จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว  


 


 


เห็นเป่ยเฉินเสียงสีหน้าไม่ยอมรับ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังกวาดตามองเขา  


 


 


น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยช้าๆ ว่า “หากเสด็จพี่ไม่ยินยอม ไม่สู้กลับไปตำหนิเสด็จพ่อที่เมืองหลวง ไฉนพระองค์ไม่มอบตราให้ท่าน กลับมอบให้เยี่ยน นี่มิได้หมายความว่า…ความสามารถของเสด็จพี่ ไม่ได้รับความเชื่อใจจากเสด็จพ่อ ดูท่าแล้ว ท่านยังต้องพยายามต่อไปให้ดีล่ะ” 


 


 


 “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้า” เป่ยเฉินเสียงโมโหจนพูดไม่ออกจริงๆ แล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงกับลบหลู่เขาต่อหน้าทุกคน 


 


 


เซี่ยโหวเฉินรั้งเป่ยเฉินเสียงไว้ เอ่ยปากกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่า “องค์ชายสี่มิต้องใส่ใจ ข้าอ๋องน้อยกับองค์ชายใหญ่รับพระราชโองการให้มาช่วยเป็นกำลังให้องค์ชายสี่ องค์ชายใหญ่เพียงกังวลว่าเรื่องการทหารจะล่าช้า ไม่ได้มีเจตนาร้าย” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ตอบช้าๆ “เยี่ยนก็หวังว่าเขาจะหวังดี ไม่ใช่มีความคิดว่าเยี่ยนจะแย่งบัลลังก์กับเขาจึงจงใจเป็นศัตรูกับเยี่ยน” 


 


 


สิ้นเสียงเขา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบลง 


 


 


เป่ยเฉินเสียงสีหน้ายิ่งเขียวคล้ำไปอีก คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นความจริง แต่ว่าคำพูดประเภทนี้ในประวัติศาสตร์แล้วได้เพียงแต่ตระหนักอยู่ในความคิด ไม่อาจถ่ายทอดออกมา เขาถึงกลับพูดออกมาตามตรง  


 


 


เขาสีหน้าเขียวคล้ำ จ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนชั่วครู่ หัวเราะเสียงเย็น “หวังว่าน้องสี่กับแม่นางผู้นี้จะชนะศึก หากสถานการณ์สุดท้ายไม่ส่งผลดีกับเป่ยเฉินเรา ข้าจะเข้าไปแทรกแซงแน่” 


 


 


เขาพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองแผ่นหลังเขา พ่นคำพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์ “เสด็จพี่มีความสามารถพอจะแทรกแซงอย่างนั้นหรือ” 


 


 


ฝีก้าวของเป่ยเฉินเสียงแข็งชะงักไป รู้สึกถึงการลบหลู่อย่างล้ำลึก ทว่าเขายิ่งรับรู้ว่าหากเอ่ยต่อไปจะมีแต่ยิ่งเสียหน้า ดังนั้นจึงไม่เอ่ยสักคำ กัดฟันไม่เอ่ยวาจาเดินจากไป เซี่ยโหวเฉินมองตามแผ่นหลังเขาด้วยความรู้สึกสับสน 


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นสงครามใหญ่ฉากนี้ นับว่าเข้าใจแล้วเช่นกันว่าตนเองได้รับตรานี้ ไม่มีใครสักคนเห็นด้วย 


 


 


แต่นิสัยของนางแต่ไรมาคือยิ่งล้มเหลวยิ่งกล้าหาญ นางเล่นตราพยัคฆ์ในมือครู่หนึ่ง ปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยปากว่า “เพื่อไม่ผิดต่อความเชื่อใจของท่าน ศึกนี้ราชสำนักเป่ยเฉินต้องชนะ” 


 


 


สิ้นเสียง นางก็กวาดตามองเจ้าเมืองหลิน “พาข้าไปค่ายทหาร” 


 


 


เจ้าเมืองหลินมองไปทั่วสี่ทิศ รีบก้าวออกมานำทาง “ขอรับ” 


 


 


   …… 


 


 


ในค่ายทหาร เยี่ยเม่ยนั่งลงในตำแหน่งประธาน มองดูแผนที่ 


 


 


ในค่ายมีทหารแปดพันนาย ไม่มีใครสักคนที่มีสีหน้ายินดีจ้องมองสตรีน่าตายผู้นี้ มองดูนางไม่ประมาณความสามารถตนมาเป็นแม่ทัพใหญ่ ยังจะอออกความคิดแผลงๆ อะไรให้พวกเขา”  


 


 


 


 


 


[1] ลิ่ง (令)หมายถึง คำสั่ง 

 

 

 


ตอนที่ 51

 

เยี่ยเม่ยย่อมดูออกว่าพวกเขาไม่มั่นใจในตัวนาง  


 


 


นางเองก็ไม่ค้านว่า เมื่ออยากได้รับความเชื่อใจจากผู้อื่น ก่อนอื่นต้องแสดงฝีมือออกไป จุดนี้นางรู้อยู่แก่ใจ 


 


 


เยี่ยเม่ยทางหนึ่งมองแผนที่ อีกทางหนึ่งก็วิเคราะห์สถานการณ์ เงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพทั้งหลาย 


 


 


ถามเสียงนิ่งว่า “เรื่องเสบียงอาหารของต้ามั่ว มีการแก้ไขอย่างไร” 


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ แม่ทัพพากันมองมาที่นางอย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นเอ่ยปากว่า “หลักสามทัพไม่เคลื่อนพล ต้องตระเตรียมเสบียงเสียก่อน พวกเราล้วนเข้าใจ เพียงแต่ต้ามั่วแตกต่างจากพวกเรา พวกเขาฆ่าชิงเสบียงมาตลอดทาง แย่งชิงเสบียงอาหารที่กองทัพต้องการ ดังนั้นคิดลงมือกับเสบียงอาหารของพวกเขา เป็นไปไม่ได้”  


 


 


คนทั้งหลายต่างคิดว่าเยี่ยเม่ยต้องการชิงเสบียงของต้ามั่ว ถึงได้เอ่ยออกมาเช่นนี้ 


 


 


คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยฟังแล้ว มุมปากยิ้มยกขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งว่า “เป็นอย่างนี้ก็ดี”  


 


 


 “อะไรนะ” แม่ทัพหลายคนหันหน้ามองนางด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ 


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วมองเขา น้ำเสียงยังคงเย็นชาดั่งเดิม เอ่ยปากต่อว่า “เสบียงของพวกเขาล้วนแย่งชิงมา หากพวกเราใช้เสบียงเป็นเหยื่อ ก็ดึงให้พวกเขาติดเบ็ดได้ ไม่ใช่หรืออย่างไร”  


 


 


นางพูดประโยคนี้ออกมา แม่ทัพทั้งหลายต่างมองหน้ากัน 


 


 


ในใจรู้สึกว่าความคิดนี้พอใช้ได้ แต่ว่า… 


 


 


หัวหน้าทหารผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้นมา “ชาวต้ามั่วต่างก็เชี่ยวชาญการขี่ม้ากรำศึก หากพวกเราใช้เสบียงเป็นเหยื่อล่อ พวกเขาแย่งชิงไปจริงๆ อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าพวกเราเสียภรรยาแล้วยังเสียไพล่พล[1]อีกหรือ” 


 


 


ความจริงพวกเขาไม่คิดจะเชิดชูความสามารถของผู้อื่น ทำลายความน่าเกรงขามของตนเอง แต่ว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ทหารม้าต้ามั่วร้ายกาจมาก พวกเขาเติบโตขึ้นบนหลังม้าตั้งแต่เล็ก หากเปิดศึกเพื่อเสบียงขึ้นมา จำนวนไพร่พลของสองฝ่ายต่างมีไม่มาก แต่จุดเด่นของทหารม้าต้ามั่วสำแดงออกมา ดังนั้นพวกเขาไม่มีความมั่นใจ 


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว เสียงเย็นกล่าว “อย่างนั้นก็ให้พวกเขาชิงไป” 


 


 


เหล่าทหารสบตากัน ไม่เข้าใจความหมาย 


 


 


นายทหารผู้หนึ่งมีความฉลาดอยู่บ้าง เขามองเยี่ยเม่ยเอ่ยปากถามว่า “หรือแม่นางเยี่ยเม่ยคิดลงมือกับเสบียง เช่นวางยาพิษ? หากเป็นเช่นนี้จริงๆ คนของต้ามั่วกินแล้ว…” 


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ ตนเองยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ มองสายตาเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไปเป็นน่าหวาดกลัว 


 


 


ในใจเขามีคำพูดหนึ่งเกิดขึ้น…ใจสตรีโหดเ**้ยมที่สุด 


 


 


จากนั้นแม่ทัพอีกคนกลับมองเยี่ยเม่ย ขมวดคิ้วไม่เห็นด้วย เอ่ยปากว่า “ข้าคิดว่าแผนนี้ไม่เหมาะ ได้ยินมาว่าจั่วอี้อ๋องแห่งต้ามั่วลึกลับมาก ทุกครั้งที่ออกรบมักสวมหน้ากาก ฝีมือทางการแพทย์ของเขาสูงล้ำ ผู้นำทหารของต้ามั่วครั้งนี้คือเขา หากวางยาลงในเสบียงจริง เขาย่อมต้องจับได้” 


 


 


เยี่ยเม่ยยกมุมปากเย็นชา ปรายตามองพวกเขาทีหนึ่ง “ข้าบอกตอนไหนว่าจะวางยาในเสบียง” 


 


 


คนทั้งหมดในที่นี้ต่างก็ขมวดคิ้วแน่น รู้สึกแปลกใจ 


 


 


ไม่ใช่วางยาพิษ แล้วเพื่อ… 


 


 


แววตาเยี่ยเม่ยฉายแววน่าสนุกสนาน กวักมือเรียกแม่ทัพผู้หนึ่ง ถึงแม้แม่ทัพผู้นั้นจะไม่ค่อยยินยอม แต่อย่างไรเยี่ยเม่ยในยามนี้ก็เป็นผู้นำทหาร ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้น เดินไปหาเยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็ว เยี่ยเม่ยกระซิบข้างหูเขาอยู่หลายคำ 


 


 


สีหน้าของแม่ทัพผู้นั้นเริ่มจากไม่ยินดี จนถึงขมวดคิ้ว แล้วยิ้มยกมุมปาก จากนั้น… 


 


 


เขาส่งสายตามองเยี่ยเม่ย ถามว่า “นี่…นี่จะได้ผลหรือ” 


 


 


 “ลองดูก็รู้แล้ว ถือว่าได้สืบความเป็นไปของศัตรูไปด้วย พวกเราไม่เสียหาย ไม่ใช่หรือ” นัยน์ตาเยี่ยเม่ยมีรอยยิ้ม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เต็มไปแววเล่ห์ร้าย 


 


 


แม่ทัพผู้นั้นครุ่นคิด…ก็ถูก 


 


 


อย่างไรเสียทำเช่นนี้ต่อให้ไม่สำเร็จ พวกเขาก็ไม่ขาดทุน อีกอย่างสามารถคิดถึงวิธีเช่นนี้ได้ สตรีนางนี้เป็นคนเจ้าความคิดอย่างแท้จริง รอดูว่านางมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนแล้วกัน  


 


 


ดังนั้นเขาพยักหน้า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” 


 


 


เขาไม่ทันตระหนักว่าคำที่เขาใช้เรียกเยี่ยเม่ยล้วนเปลี่ยนไปแล้ว เริ่มตั้งแต่ความไม่ยินดีในคราแรก เปลี่ยนไปเป็นเกรงใจ 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเน้นย้ำคำหนึ่งว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าหวังว่าท่านจะแสดงให้ดี ละครบทนี้ต้องแสดงให้สมบทบาท พวกเราถึงจะมีโอกาสได้เปรียบ” 


 


 


แม่ทัพผู้นั้นมุ่นคิ้ว ดูเคร่งขรึมขึ้นมา กำหมัดประสานมือเอ่ย “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจ ข้าจะจัดการให้เหมาะสม” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เป็นสัญญาณให้เขาไป 


 


 


แม่ทัพผู้นั้นรีบหมุนตัว สาวเท้ากว้างจากไป 


 


 


แม่ทัพทั้งหลายในที่นี้ มองหน้ากัน แม่ทัพผู้หนึ่งอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “แม่นาง เมื่อครู่ท่านกับแม่ทัพหลูพูดอะไรกัน” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองพวกเขาแล้วถอนสายตากลับไปมองแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ มือเคาะที่โต๊ะเบาๆ 


 


 


ค่อยๆ เอ่ยว่า “พูดอะไร อีกไม่กี่วันพวกเจ้าก็รู้แล้ว” 


 


 


 “นี่…” 


 


 


เหล่าแม่ทัพทั้งหลายมองหน้ากันอีกครั้ง ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย เดิมระแวงว่านางจงใจหลอกลวง แต่แม่ทัพหลูหาใช่คนไม่รู้ความ สีหน้าแม่ทัพหลูนั้น ดูไปแล้วคล้ายจะมีวิธีที่ดีจริงๆ 


 


 


เยี่ยเม่ยหันมองพวกเขาอีกครั้ง ชี้คนผู้หนึ่งอย่างขอไปที เอ่ยปากว่า “เจ้า ไปเลือกทหารฝีมือดีมาห้าร้อยนาย อีกสองวันเตรียมตัวส่งเสบียงออกนอกเมือง”  


 


 


คนผู้นั้นขมวดคิ้วแน่น ในใจไม่รู้ว่าเยี่ยเม่ยคิดทำอะไร ทว่าคำสั่งทหารเช่นนี้ เพียงแต่พยักหน้าด้วยความสงสัย 


 


 


ลุกขึ้น ประสานหมัดเอ่ยว่า “ขอรับ” 


 


 


เขาหมุนตัวออกจากประตูไป 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเหล่าแม่ทัพคนอื่นๆ อีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชาสั่งว่า “ไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว กลับกันไปเถอะ เลิกประชุมได้” 


 


 


แม่ทัพที่ไม่ได้รับภารกิจทั้งหกคน ยามนี้รู้สึกว่าตนถูกละเลย ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือความสามารถ 


 


 


หนึ่งในแม่ทัพลุกขึ้น เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ภารกิจของพวกเราเล่า” 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “ภายในสามวันนี้พวกเจ้ายังไม่มีภารกิจ อีกสามวันข้าจะบอกพวกเจ้าเอง พวกเจ้าคอยเตรียมตัวไว้” 


 


 


แม่ทัพผู้นั้นขมวดคิ้ว กล่าวต่อว่า “แต่ว่ายามนี้คนของต้ามั่ว กำลังปลุกระดมอยู่หน้าประตู พวกเราสมควรรับมืออย่างไร” 


 


 


เยี่ยเม่ยก้มหน้า ไม่ปรายตามอง เอ่ยเสียงเย็น “ไม่ต้องสนใจพวกเขา พวกเขาไม่มีความกล้าบุกโจมตี ฝืนบุกเข้ามาก่อให้เกิดความเสียหายมากเกินไป นอกจากว่ารอพวกเราออกไปรับศึก ดังนั้นขอเพียงไม่ใส่ใจ รอจนฟ้ามืด ท้องร้องแล้ว เสียงแหบแล้ว เหน็ดเหนื่อยแล้ว ย่อมกลับไปด้วยตนเอง” 


 


 


คนทั้งหมดกระตุกมุมปาก 


 


 


ท้องร้องแล้ว เสียงแหบแล้ว ยังมีเหน็ดเหนื่อยแล้วอีก… 


 


 


 “แต่พวกเขาด่าแบบนี้ต่อไป พวกเราไม่ออกไปรับศึก ไม่เท่ากับว่าพวกเราไม่แน่จริงหรอกหรือ” แม่ทัพผู้นั้นเอ่ยปากอย่างไม่พอใจ 


 


 


เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขา ถามจริงจังว่า “เจ้าแน่จริงหรือไม่ ตัวเจ้าเองไม่รู้ ต้องให้ศัตรูมายืนยันให้หรือ” 


 


 


แม่ทัพผู้นั้นมุมปากกระตุก ชะงักไปชั่วครู่ 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อ “คนที่แน่จริงก็คือทำให้ศัตรูพ่ายแพ้ลงใต้คมดาบเจ้า หาใช่ใช้อารมณ์เพียงชั่วครู่ทำตัวเป็นวีรบุรุษ ทำลายสถานการณ์โดยรวม เจ้าคิดว่าอย่างไร” 


 


 


นางเอ่ยออกไปเช่นนี้ เหล่าแม่ทัพทั้งหลายไม่มีใครไม่ยอมสยบ 


 


 


นางยังไม่มีผลงานการศึก อาศัยแค่คำพูดอย่างเดียวก็แสดงให้เห็นถึงจิตใจและสติปัญญา พวกเขาในยามนี้รู้สึกมั่นใจกับการศึกขึ้นมาบ้าง  


 


 


แม่ทัพผู้นั้นประสานมือ เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นอีกสามวันข้ารอคำสั่งของแม่นางเยี่ยเม่ย” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “เชิญทุกท่าน” 


 


 


 “เชิญ” แม่ทัพทั้งหลายประสานมือ ท่าทีของคนทั้งหมดเปลี่ยนไปมาก ต่อให้คนที่ยังไม่เชื่อนางอย่างสนิทใจ อย่างน้อยใบหน้าก็ไม่เหลือแววประชดประชันอีก 


 


 


คนทั้งหมดจากไป เยี่ยเม่ยดูแผนที่เสร็จแล้ว กำลังลุกขึ้น 


 


 


พลันมีคนผู้หนึ่ง เดินเข้าประตูมา… 


 


 


 


 


 


[1] เสียภรรยาแล้วยังเสียไพล่พล หมายถึง คิดเอาเปรียบ แต่สุดท้ายเป็นฝ่ายเสียเป็นทวีคูณ 

 

 

 


ตอนที่ 52

 

เยี่ยเม่ยเงยหน้ามอง เดิมคิดว่าเป็นคนที่คู่ควรกับการรอคอย 


 


 


ทว่าเมื่อคนก้าวเข้ามา แววตาของนางพลันฉายแววน่าสนใจ ทั้งยังไม่มีทีท่าลุกขึ้นมาแสดงความเคารพ แต่มองบุรุษรูปงามผู้นั้น เอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “ไม่ทราบว่าองค์ชายใหญ่เสด็จมาด้วยตนเองโดยมิได้รับคำเชิญ มีอะไรชี้แนะ” 


 


 


เดิมทีคิดว่าคนที่มาก่อนจะเป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อย่างไรเสียเขาก็ยกอำนาจการควบคุมทหารให้นาง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็สมควรไม่วางใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าผู้มาจะเป็นคนคนนี้  


 


 


ฟังออกว่าน้ำเสียงนางหาได้ใส่ใจเขา เป่ยเฉินเสียงเดินเข้ามาด้านในกระโจม 


 


 


สีหน้าเขายังดูเย่อหยิ่งดั่งเดิม ไม่มีความรู้สึกขัดเขินเลยสักนิดที่วันนี้ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดูถูกหลายคำ 


 


 


เขาสองมือไพล่หลังเดินมาหยุดเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย มองใบหน้าเย็นชาของสตรีตรงหน้า เอ่ยปากว่า “ครั้งก่อนแม่นางไม่เคารพต่อองค์ชายอย่างข้า เดิมสมควรมีโทษประหาร แม่นางเคยคิดไหมว่า ไฉนวันนี้ข้าถึงไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปเอาผิดแม่นาง” 


 


 


เขาเอ่ยออกมา นิ้วมือของเยี่ยเม่ยเคาะโต๊ะเบาๆ ไม่ได้แสดงอารมณ์ยินดีและตื่นเต้นที่ตนรักษาชีวิตไว้ได้อย่างที่เป่ยเฉินเสียงเฝ้ารอชม มีเพียงแววสนุกขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


นางมองบุรุษด้านหน้า เอ่ยเสียงเข้มว่า “ดังนั้นองค์ชายใหญ่ต้องการเอ่ยอะไร หรือท่านคิดว่าข้าสมควรตอบแทนบุญคุณของท่าน หรือว่าท่านคิดว่าข้าควรสนใจว่าท่านจะฆ่าข้าหรือไม่” 


 


 


นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา เส้นเอ็นที่ขมับของเป่ยเฉินเสียงเต้นตุบตับ  


 


 


เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับท่าทางไม่ใส่ใจของนางและไม่เห็นการกระทำของเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากแววตาของเขาเผยอายสังหารออกมา สุดท้ายยังคงเก็บความไม่พอใจทั้งหมดทั้งมวลลงไปสิ้น 


 


 


เขาเข้าใกล้นางมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ชวนให้คนหลงใหลอย่างลึกล้ำ เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ย่อมไม่หวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะซาบซึ้งในตัวข้า ตัวข้านั้นเพียงอยากแสดงความจริงใจออกมา ให้แม่นางเยี่ยเม่ยรับรู้ว่าข้าหาได้มีเจตนาร้ายกับแม่นางเยี่ยเม่ยไม่”  


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องใบหน้าเขา ทั้งไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งนั้น ยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ไม่มีเจตนาร้ายหรือ ครั้งก่อนข้าริบม้าจากไป คนของใครกันที่ติดตามข้าไปยี่สิบกว่าลี้ หรือว่าองค์ชายใหญ่อายุน้อยขี้หลงขี้ลืม เรื่องไม่กี่วันก่อนก็ไม่จำเสียแล้ว” 


 


 


นางเอ่ยคำพูดนี้ออกมา เป่ยเฉินเสียงหน้าแข็งไปในทันที แววตาฉายความกระอักกระอ่วนยากบรรยายได้ 


 


 


เยี่ยเม่ยลุกขึ้น นางหมดความอดทนแล้ว น้ำเสียงและสีหน้ายังคงเย็นชา “ข้ารู้ว่าตัวเองโดดเด่นและรู้หนักเบา ถึงคู่ควรให้องค์ชายใหญ่สวมหน้ากากมีเมตตาใบนี้มาพูดคุยด้วย คิดใช้ประโยชน์จากข้า ตักตวงผลประโยชน์จากข้า” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงฟังแล้ว หางตากระตุกเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าสตรีนางนี้ไม่หลงใหลเสน่ห์เขาสักกะผีกริ้น มองเป้าหมายการมาของเขาออกอย่างตรงไปตรงมา 


 


 


เห็นหางตาเขากระตุก เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงเย็นชาต่อว่า “แต่ว่าองค์ชายใหญ่อาจไม่เข้าใจ ข้าไม่เพียงจิตใจบริสุทธิ์สูงส่ง ทั้งยังฉลาดหลักแหลมนัก เทียบเรื่องสติปัญญาแล้วในใต้หล้านี้เกรงว่าไม่มีใครเทียบข้าได้ ดังนั้นท่านมีคำพูดอะไรพูดออกมาตามตรง อ้อมไปมามีแต่จะทำให้ข้ารู้สึกว่าท่านสติปัญญาไม่มากพอ ดึงดันรำขวานต่อหน้าหลู่ปัง[1]” 


 


 


เวลานี้เป่ยเฉินเสียงสีหน้าแปรเปลี่ยน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลบหลู่เขาก็ช่างเถิด สตรีนางนี้ถึงกับกล้าลบหลู่เขาด้วย   


 


 


สติปัญญาของเขาไม่เพียงพอ? 


 


 


เขาดึงดันรำขวานหน้าหลู่ปัง? 


 


 


สิ่งที่เขาโมโหที่สุดคือ เทียบกันแล้วสติปัญญาของเขาไม่เทียบเท่านาง นางจิตใจบริสุทธิ์สูงส่ง ฉลาดหลักแหลม นางยังเป็นผู้ทรงปัญญาที่สุดในใต้หล้า? 


 


 


เขาอยู่มายี่สิบกว่าปีไม่เคยพบพานคนหน้าหนาขนาดนี้มาก่อน ซ้ำยังเป็นสตรีที่ยั่วโมโหคนแล้วยังไม่ต้องสังเวยชีวิตอีกด้วย 


 


 


เห็นเขาโมโหเสียจนอกกระเพื่อมอย่างแรง ทว่ายังไม่ทันเอ่ย เยี่ยเม่ยก็หมดความอดทน ไม่อยากเสียเวลากับเขาอีก นางเดินนำออกไปด้านนอก เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ในเมื่อองค์ชายใหญ่ไม่คิดเอ่ยอะไร อย่างนั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนแล้ว” 


 


 


เมื่อเห็นว่าถ้าตนยังไม่เอ่ยความจริง นางจะเดินออกไปแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียงหันหน้ามองแผ่นหลังนางที่เดินไปถึงหน้าประตู เอ่ยปากว่า “ข้าคิดหารือเรื่องความร่วมมือกับแม่นางเยี่ยเม่ย”      


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า กล่าวน้ำเสียงเย็นชา “เชิญพูดมาได้” 


 


 


เห็นว่านางยินยอมฟังเขาพูด เป่ยเฉินเสียงผ่อนลมหายใจ รีบตัดทอนคำพูดไม่เหมาะสมทั้งหลายออก เปิดประเด็นหลัก ใช้น้ำเสียงสดใสเอ่ยว่า “ในมือของแม่นางควบคุมตราพยัคฆ์ทหารชายแดนเป่ยเฉินสองแสนนาย” 


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว ไม่หันหน้ากลับไป “ดังนั้น?” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงขมวดคิ้ว ในใจใคร่ครวญคำพูดต่อ เอ่ยปากว่า “องค์ชายอย่างข้าหวังว่าแม่นางจะมอบตราให้กับข้า แม่นางไม่เคยนำทัพมา คนในใต้หล้านี้ก็ไม่ได้ยินชื่อเสียงของแม่นางมาก่อน คาดว่าแม่นางถือตราพยัคฆ์ไว้ แบกภาระหนักแน่น ในใจแม่นางก็คงไม่มั่นใจ ซ้ำยังกดดันเป็นทวีคูณ หากมอบตราพยัคฆ์ให้ข้า สามารถปกป้องชื่อเสียงและความปลอดภัยของแม่นางได้” 


 


 


เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา เยี่ยเม่ยแทบจะเยาะเย้ยออกไปแล้ว 


 


 


ทว่าอย่างไรนางมีนิสัยเฉยชา เพียงแต่เอ่ยปากว่า “ดังนั้นความหมายของท่านคือ ข้าสมควรมีท่าทีหวาดกลัว ไม่มั่นใจในตัวเอง มอบตราพยัคฆ์ให้ท่านโดยไร้เงื่อนไข ถึงกระทั่งสมควรขอบคุณท่านที่ช่วยแบ่งเบาภาระให้ข้าด้วยหรือ” 


 


 


สรุปแล้วเขาคิดว่าสติปัญญาของนางต่ำแค่ไหน เป็นคนโง่งมถึงเพียงใดกัน 


 


 


เป่ยเฉินเสียงฟังคำพูดของนาง พลันรู้สึกว่าคำพูดของตนคล้ายแสดงความดูแคลนออกอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเห็นผู้อื่นโง่งมเกินไป แต่เรื่องนี้เร่งด่วน เขาก็ไม่คิดแก้ตัว 


 


 


หลังจากขมวดคิ้วแล้ว เอ่ยว่า “ความหมายขององค์ชายอย่างข้าหาใช่ให้แม่นางคืนตราพยัคฆ์ให้โดยไร้เงื่อนไข เพียงหวังว่าแม่นางยอมคืนให้อย่างพร้อมใจ มีเงื่อนไขใดแม่นางเสนอมาได้ ข้าจะพยายามทำให้สมปรารถนา” 


 


 


ทหารชายแดนสองแสนนายนี้ บางทีอาจไม่สำคัญกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่สำคัญกับเขามาก ในมือเขามีทหารสี่แสนนายแล้ว ขอเพียงควบคุมทัพใหญ่อีกสองแสนนายก็เท่ากับว่าตำแหน่งรัชทายาทของเขามั่นคง ต่อให้เป็นเสด็จพ่อยังต้องเกรงใจเขาหลายส่วน  


 


 


คำสัญญานี้ออกจะยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับมามองเขา ประเมินเขาอยู่ครู่หนึ่ง ถามคำถามที่แทบทำให้เป่ยเฉินเสียงกระอักเลือดออกมาด้วยเสียงเย็นชาข้อหนึ่ง “เงื่อนไขใดก็สามารถทำให้ข้าพึงพอใจได้? เจ้าคิดว่าตัวเจ้ามีผลประโยชน์อะไรให้ข้าหรือ ข้าที่โดดเด่นเพียบพร้อม มีความปรารถนาใดที่ไม่อาจทำสำเร็จได้ ถึงต้องการให้ท่านช่วยเหลือกัน” 


 


 


 “เจ้า…” เป่ยเฉินเสียงหน้าเขียวคล้ำ กัดฟันเอ่ย “แม่นางหลงตัวเองเกินไปหรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยรั้งสายตากลับ น้ำเสียงเฉยเมย “ความเชื่อใจในตัวเองอย่างแรงกล้า เรียกว่าความมั่นใจ หากองค์ชายใหญ่มิได้ร่ำเรียนมาให้ดี สามารถกลับไปตั้งใจอ่านหนังสือ ความแตกต่างระหว่างมั่นใจในตัวเองกับหลงตัวเอง เป็นต้นว่าข้าเข้าใจความสามารถของตนเองอย่างชัดเจนถึงเรียกว่ามีความมั่นใจ องค์ชายใหญ่หลงคิดว่าตัวเองมีความสามารถใหญ่โตและเห็นตัวเองสำคัญเกินไปนั้นเรียกว่าหลงตัวเอง องค์ชายใหญ่ยังต้องการให้ข้ายกตัวอย่างให้อีกไหม”  


 


 


เป่ยเฉินเสียงโมโหหน้าเขียวจนม่วงคล้ำ “เจ้า ข้า…”  


 


 


เยี่ยเม่ยก้าวเท้าไปอย่างไม่ใส่ใจ เดินออกนอกประตูต่อ “เจตนาขององค์ชายใหญ่ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ท่านวางใจได้ ข้ามั่นใจต่อการนำทัพจับศึกมาก จะต้องทำให้ท่านแทบไม่เชื่อแน่ ทำให้ท่านต้องกราบไหว้เลื่อมใส ภายหน้าพบข้าจะต้องนำคนมากมายมาต้อนรับ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงถูกคำพูดของนางทำให้ชะงักจนไม่รู้จะพูดอะไรดี มองแผ่นหลังนาง ถามออกไป “ความหมายของแม่นางคือ คิดจะเป็นศัตรูกับองค์ชายอย่างข้าแล้วหรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยตอบ “หาใช่ว่าทุกคนจะมีคุณสมบัติเป็นศัตรูกับข้า อย่างไรเสียข้าก็เพียบพร้อมเกินไป องค์ชายใหญ่อาจยังไม่มีคุณสมบัตินั้น” 


 


 


 “เจ้า…” เป่ยเฉินเสียงสัมผัสอย่างแท้จริงแล้วว่า ความสามารถในการยั่วโมโหคนของสตรีน่าตายผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแม้แต่น้อย ใบหน้าเขาเขียวคล้ำอยู่สักพักใหญ่ มองแผ่นหลังนางตักเตือน “หวังว่าภายหน้าแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่เสียใจในการตัดสินใจของตนวันนี้ อย่าได้คุกเข่าขอร้องให้ข้าละเว้นเจ้าสักครั้งหนึ่ง” 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] หลู่ปังเป็นช่างไม้ยอดฝีมือในสมัยโบราณ สำนวนหมายถึง ผู้ที่อ่อนด้อยในด้านนี้แสดงฝีมือเบื้องหน้าผู้ชำนาญ สามารถเทียบกับสำนวนไทยได้ว่าเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน สอนจระเข้ว่ายน้ำ 

 

 

 


ตอนที่ 53

 

“ปล่อยข้าไปหรือ[1]? องค์ชายใหญ่ท่านมีอาชีพปล่อยม้า[2]หรอกหรือ” เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองหน้าเขา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า  “ข้าอยากได้ม้าอะไร ไม่จำเป็นให้องค์ชายใหญ่ปล่อย ข้าไปยื้อแย่งมาเองได้” 


 


 


พูดจบนางก็เปิดม่านกระโจมเดินออกไป 


 


 


หนึ่งคำพูดสองความหมายนี้ทำเป่ยเฉินเสียงโมโหเสียจนสีหน้าบอกไม่ถูก คล้ายกับมีเด็กน้อยละเลงสีน้ำลงไปไม่ผิดเพี้ยน  


 


 


ทางหนึ่งบอกว่าเป่ยเฉินเสียงไม่รู้จักประมาณความสามารถตน อีกทางหนึ่งยังเตือนเรื่องที่ตนเองถูกนางขโมยม้าไปเมื่อครั้งก่อน คำพูดเช่นนี้เป่ยเฉินเสียงจะไม่โมโหได้อย่างไร  


 


 


เขากำหมัดแน่น หากวันใดสตรีนางนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือเขา เขาจะต้อง… 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่มีเวลาว่างสนใจว่าเขาโมโหตนหรือไม่ นางไม่ใส่ใจ เดินออกจากกระโจมไป 


 


 


เหล่าทหารไม่รู้ว่านางเตรียมแผนการใดไว้ สายตาคนทั้งหมดที่มองนางยังอัดแน่นไปด้วยความอึดอัดและไม่มั่นใจ กังวลในอนาคตของตน 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่เอ่ยอะไร หลังจากเดินห่างจากกระโจมร้อยเมตร ก็เห็นบุรุษที่มีท่วงท่าสง่างามเกินคนธรรมดายืนอยู่ไม่ไกลออกไป นัยต์ตาสีเขียวเจือรอยยิ้ม มองนางอย่างสงบ 


 


 


นั่นก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


นางเดินไปด้านหน้า จ้องเขา ถามเสียงเย็นชาว่า “อยากรู้ว่าข้ามีแผนอะไรหรือ” 


 


 


เขาได้ฟัง กลอกตามองใบหน้าตาเย็นชาของนาง มุมปากยิ้มยกขึ้น เอ่ยช้าๆว่า “จำเป็นด้วยหรือ เยี่ยนเชื่อมั่นในความสามารถและสติปัญญาของแม่นางเยี่ยเม่ย”  


 


 


เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปากน้อยๆ ต้องบอกว่าในใจนางรู้สึกดีกับบุรุษผู้นี้เพิ่มขึ้นมาหลายส่วน 


 


 


นางชื่นชอบคนที่ชมตนมาโดยตลอด การแสดงออกของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นได้ชัดว่า เขาตรงกับมาตรฐาน ‘ความชอบมาโดยตลอด’ ของนาง  


 


 


นางผงกหัวให้อย่างเกรงใจ เอ่ยเสียงเย็นชาไปว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เสด็จพี่ใหญ่ของท่าน เมื่อครู่พยายามชักจูงข้าไปเป็นพวก ให้ข้ามอบตราพยัคฆ์ให้กับเขา” 


 


 


ในใจเขาสมควรคิดได้ ที่เอ่ยออกมาก็เพื่อบอกว่านางจริงใจบริสุทธิ์ใจ 


 


 


ผู้อื่นมอบอำนาจในการทหารให้นางแล้ว การปฏิบัติด้วยเช่นนี้ นางต้องตอบแทนความเชื่อใจอย่างแน่นอน 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับชะงักไปเล็กน้อย เขาย่อมรู้ว่าเป่ยเฉินเสียงไปหานางแล้ว เพียงแต่ด้วยนิสัยเย็นชาและไม่ไว้หน้าใครของนาง เขาคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นฝ่ายเอ่ยบอกเรื่องนี้กับเขาเอง 


 


 


เห็นเขาไม่พูด เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อ “เชื่อว่าท่านคงรู้เรื่องแล้ว ท่านกังวลว่าข้าจะหวั่นไหวกับข้อเสนอของเขา จะย้ายไปพึ่งพิงเขาหรือไม่” 


 


 


นางเอ่ยคำนี้ออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มออกทันที  


 


 


เสียงทั้งน่าฟังและเชื่องช้าอธิบายว่า “เยี่ยนเชื่อว่าแม่นางเยี่ยเม่ยผู้เพียบพร้อมงดงาม ต้องชอบเป็นพวกเดียวกับผู้เข้มแข็งอย่างแน่นอน” 


 


 


ส่วนระหว่างเขากับเสด็จพี่ใหญ่ ใครเป็นผู้เข้มแข็ง ความจริงนี้มองปราดเดียวก็เข้าใจ 


 


 


ไม่อาจไม่บอกว่าคำพูดแต่ละประโยคของบุรุษผู้นี้ตรงใจของนางได้อย่างง่ายดาย คำว่าเพียบพร้อมงดงามอธิบายถึงตัวนางชัดๆ นางเดินผ่านเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พลันยื่นมือวางไว้บนบ่าเขา น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยว่า “ปากน้อยๆของท่านช่างหวานนัก ข้าชอบเหลือเกิน ภายหน้าก็ยกยอข้าต่อไป”  


 


 


เขามองมือบนบ่าตน ไม่เบี่ยงตัวหลบ 


 


 


นัยน์ตาสีเขียวกลับฉายแววยินดี ถามช้าๆ ว่า “ถ้าหากเยี่ยนเป็นเช่นนี้ตลอดไป ชื่นชมแม่นางเยี่ยเม่ย ยกยอแม่นางเยี่ยเม่ยไปตามความจริง จะได้รับความชื่นชอบจากแม่นางเยี่ยเม่ยยิ่งขึ้นหรือไม่” 


 


 


ต้องบอกว่าคำว่า “ไปตามความจริง” ในคำพูดของเขา ได้รับความรู้สึกดีจากเยี่ยเม่ยอีกครั้ง 


 


 


คำศัพท์นี้สามารถพิสูจน์มากพอว่าคำชมของเขาล้วนมาจากใจ หาได้เป็นการเสแสร้งประจบเอาใจ 


 


 


เวลานี้เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยสายตาชื่นชม น้ำเสียงเย็นเอ่ย “ถูกต้องแล้ว พยายามต่อ คนในโลกนี้รู้จักข้อดีของข้ามากมาย ทว่าคนที่สามารถพูดออกมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับข้า มีน้อยเต็มที ข้าชื่นชมท่าน ชื่นชมมาก ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน พบกันวันพรุ่งนี้”  


 


 


คำพูดนี้เป็นคำจากใจจริง อย่างเช่นว่านางไม่มีทางไปอยู่ข้างเป่ยเฉินเสียง เหตุผลหลักก็คือเพราะว่า เป่ยเฉินเสียงไม่เคยเอ่ยชมนางเลย ทั้งมองความโดดเด่นของนางไม่ออก นางสงสัยว่าเป่ยเฉินเสียงออกจะตาบอดไปหน่อย    


 


 


เยี่ยเม่ยถอนมือออกจากบ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก้าวเท้าจากไป 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่รั้งนางไว้ ทั้งรู้ว่าสองวันนี้นางเหนื่อยมากพอแล้ว ดังนั้นนางต้องการพักผ่อน เขาก็ไม่พร่ำมากความ 


 


 


เขามองส่งเยี่ยเม่ยจากไปไกล นัยน์ตาองค์ชายสี่ตื่นเต้นอย่างมาก 


 


 


ในเวลานี้เองพลันมีแม่ทัพผู้หนึ่งเดินผ่านมา นั่นก็คือแม่ทัพหลูคนที่เยี่ยเม่ยกระซิบให้ออกไปทำงานผู้นั้น  


 


 


แม่ทัพหลูเดินถึงเบื้องหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ค้อมกายเอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย แม่นางเยี่ยเม่ยให้ข้าน้อย…”  


 


 


เขายังไม่ทันเอ่ยจบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ยกมือยั้งไว้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยช้าว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ทำไป ไม่ต้องรายงานเยี่ยน ในเมื่อเยี่ยนมอบตราพยัคฆ์ให้นางก็คือเชื่อนางอย่างถึงที่สุด” 


 


 


วันนี้แม่ทัพหลูได้ฟังแผนการของเยี่ยเม่ย ความจริงก็รู้สึกว่าสตรีผู้นั้นไม่อาจดูแคลน เดิมทีก็แค่คิดรายงานเตี้ยนเซี่ยไปตามหน้าที่ ที่ไหนได้เตี้ยนเซี่ยกลับรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องรายงาน 


 


 


แม่ทัพหลูเองก็ไม่สนใจอีก รีบประสานหมัดเอ่ย “ขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวไปปฎิบัติหน้าที่แล้ว” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มองเขา เพียงโบกมือ “ไปเถอะ” 


 


 


   … 


 


 


ตกดึก ค่ายทหารต้ามั่ว ทหารต้ามั่วกลับมาแล้ว 


 


 


ในกระโจมของราชาต้ามั่ว ลู่หวานหว่านนั่งอยู่ข้างกายราชาต้ามั่วในขณะนี้ แต่งหน้าแต่งกายเรียบร้อยแล้ว เทียบกับสภาพน่าอนาถเมื่อวาน นางที่ยามนี้แต่งหน้าอย่างตั้งใจดูงดงามยั่วยวนคนกว่ามาก  


 


 


ถัดมามีเซียวชิน และเหล่าทหารต้ามั่ว 


 


 


ราชาต้ามั่วมองเซียวชิน เอ่ยปากถาม “ความหมายของจั่วอี้อ๋องคือ วันนี้เจ้านำคนออกไปจู่โจมเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเขาหาได้นำทัพรับศึก กลับทำเป็นไม่เห็นพวกเจ้าแล้ว” 


 


 


 “ไม่ผิด” เซียวชินพยักหน้า เอ่ยตอบต่ออย่างรวดเร็วว่า “ฝืนจู่โจม ต่อให้สังหารศัตรูพันคนก็สูญเสียแปดร้อย สูญเสียมากไป ดังนั้นกระหม่อมไม่กล้าฝืนจู่โจม” 


 


 


ราชาต้ามั่วพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง” 


 


 


ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา พลันมีนายทหารผู้หนึ่งวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา หลังจากนั้นเอ่ยปากว่า “ท่านข่าน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่งราชทูตมา” 


 


 


คนทั้งหมดล้วนตะลึง 


 


 


หลังจากราชาต้ามั่วขมวดคิ้ว ก็เอ่ยปากว่า “ให้เขาเข้ามา” 


 


 


สิ้นเสียง แม่ทัพหลูก็สาวเท้ากว้างเข้ามา ใบหน้าเขาแข็งขืน สีหน้าเดือดดาลและไม่ยินยอม หลังจากเข้าประตูมา ก็ทำตามที่เยี่ยเม่ยสั่งการ เอ่ยปากว่า “ข้ามาส่งสาร” 


 


 


เซียวชินมองเขาแวบหนึ่ง “แค่คนส่งสารตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่าไหน เหตุใดถึงโอหังเช่นนี้” 


 


 


 “พวกเจ้าจะรับหรือไม่ก็ตามใจ” แม่ทัพหลูโมโหเสียหน้าเขียว ไม่สบอารมณ์ ดังนั้นแสดงท่าทางจะไม่อยากเสวนามากความ 


 


 


ท่าทางเช่นนี้ดึงดูดความแปลกใจของราชาต้ามั่ว 


 


 


เขาเอ่ยปากว่า “สารอะไร ส่งมาให้ข้าดู” 


 


 


ข้ารับใช้ข้างกายราชาต้ามั่วเดินไปหยุดหน้าแม่ทัพหลู นำสารกลับมาส่งให้กับราชาต้ามั่ว ราชาต้ามั่วเปิดสารออก อ่านข้อความภายใน ชะงักงันไปในฉับพลัน รู้ไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง ซ้ำยังกลัดกลุ้ม 


 


 


เขาตวัดสายตามองแม่ทัพหลู ถามว่า “นี่คือความต้องการของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือ” 


 


 


แม่ทัพหลูหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยปากว่า “องค์ชายสี่ถูกสตรีนางนั้นล่อลวงไปนานแล้ว มอบตราพยัคฆ์ให้แก่นาง นี่ย่อมเป็นคำสั่งของสตรีนางนั้น” 


 


 


ลู่หวานหว่านทนความแปลกใจไม่ไหว ถามคำถามที่อยู่ในใจของคนทั้งหมดในที่นี้ “ท่านข่าน สารนั้นว่าอย่างไรบ้าง” 


 


 


 


 


 


[1] 放我一马 (ฟ่างหว่ออี้หม่า) หมายถึง ปล่อยฉันไปครั้งหนึ่ง 


 


 


[2] 放 (ฟ่าง) หมายถึง ปล่อย 马(หม่า) หมายถึง ม้า แปลตรงตัวว่าปล่อยม้า ในที่นี้เป็นการเล่นคำกับประโยคแรกที่บอกว่า ปล่อยฉันไปครั้งหนึ่ง  

 

 

 


ตอนที่ 54

 

เมื่อลู่หวานหว่านเอ่ยออกมา ราชาต้ามั่วพลันหันหน้ามองนาง แววตาล้ำลึก ทำให้ลู่หวานหว่านรู้สึกไม่สงบ 


 


 


นางเอ่ยปากละล้าละลัง “ท่าน ท่านข่าน หรือสารฉบับนี้เกี่ยวพันกับอนุ” 


 


 


แม่ทัพหลูแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง เบือนหน้าหนีไม่มองลู่หวานหว่าน คล้ายกับว่ามองนางอีกครั้งพานจะยิ่งโมโห 


 


 


ปฏิกิริยาของแม่ทัพหลูเช่นนี้ ทำให้ลู่หวานหว่านยิ่งไม่อาจสงบใจลง 


 


 


หลังจากราชาต้ามั่วจ้องมองลู่หวานหว่านครู่หนึ่ง ค่อยถอนสายตากลับ มองแม่ทัพหลูอย่างครุ่นคิด “สารฉบับบนี้ข้ารับไว้แล้ว ท่านทูตพักก่อนเสียครึ่งวัน หลังจากข้าหารือกับขุนนางทั้งหลายแล้วค่อยสรุป” 


 


 


ในฐานะราชาของทหารศัตรู ท่าทีของราชาต้ามั่วเช่นนี้ เรียกได้ว่าเกรงใจมากแล้ว 


 


 


จากนั้นแม่ทัพหลูกลับหัวเราะเย็นชา “ครึ่งวันก็ครึ่งวัน ราชาต้ามั่วอย่าได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นลังเล ความจริงแล้วในใจท่านตกลงอยู่แต่แรกใช่หรือไม่ หึ” 


 


 


เขาพูดคล้ายเดือดดาลเกินเปรียบ สะบัดชายเสื้อเดินจากไป 


 


 


ท่าทางผยองไม่เกรงใจเช่นนี้ของเขาทำให้สายตาราชาต้ามั่วยิ่งล้ำลึกมากขึ้น หว่างคิ้วปรากฎความไม่พอใจอยู่หลายส่วน 


 


 


ทว่าการกระทำนี้ทำให้ขุนนางทั้งหลายยิ่งทวีความสงสัยว่าภายในของสารฉบับนั้น เขียนอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้ทูตโมโหถึงขั้นนี้ ถึงกับไม่ต้องการชีวิตแสดงท่าทีไม่เคารพราชาต้ามั่ว 


 


 


หลังจากแม่ทัพหลูจากไป แม่ทัพคนหนึ่งมองราชาต้ามั่ว เอ่ยปาก “ท่านข่าน ถึงบอกว่าสองฝ่ายทำศึก ไม่อาจสังหารทูต แต่ว่าคนผู้นี้ทำเกินไปแล้ว เป็นแค่ทูตคนหนึ่งเท่านั้น ถึงกลับใช้วาจาเช่นนี้กับท่าน” 


 


 


ราชาต้ามั่วกลับมีสีหน้าสุขุมโบกมือ เอ่ยปากว่า “ข้าเข้าใจได้ ว่าเขาไฉนจึงโมโหถึงขั้นนี้” 


 


 


 “เช่นนั้นสารฉบับนี้บอกว่าอะไรกันแน่” เซียวชินถามถึงประเด็นหลัก 


 


 


สายตาของราชาต้ามั่วมองเซียวชิน น้ำเสียงของเขาอัดแน่นไปด้วยความไว้วางใจ ถามความเห็นเซียวชิน “ในสารกล่าวว่า ต้องการชีวิตของลู่หวานหว่าน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยินยอมใช้เสบียงหนึ่งร้อยเกวียนแลก” 


 


 


 “อะไรนะ” ลู่หวานหว่านตกใจจนกระโดดขึ้นมา 


 


 


นางยืนขึ้น สีหน้าหวาดกลัวมองราชาต้ามั่ว “ท่านข่าน ท่านข่าน อย่าทำเช่นนี้ ข้า…” 


 


 


ราชาต้ามั่วมองนาง สายตานั้นเป็นแววตักเตือน เห็นได้ชัดว่าสั่งให้นางหุบปาก เหล่าแม่ทัพทั้งหลายในกระโจม ใช้สายตาไม่เป็นมิตรมองลู่หวานหว่าน เดิมทีการศึกนี้จะมากจะน้อยก็เกี่ยวข้องกับนาง ถึงให้นางเข้ามาฟัง ทว่าพวกเขาบุรุษปรึกษาเรื่องทหาร ถึงเวลาให้นางที่เป็นสตรีไม่รู้ความสอดปากตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  


 


 


เห็นสายตาทุกคนไม่เป็นมิตร ลู่หวานหว่านพลันหุบปากทันที นั่งลงเหมือนเดิม แต่ในใจเริ่มร้อนรนเกินบรรยายราวกับมดตัวน้อยบนกระทะร้อน 


 


 


เสบียงหนึ่งร้อยเกวียนแลกแม่ม่ายผู้หนึ่ง สำหรับต้ามั่วแล้วเป็นการค้าที่คุ้มค่าเหลือเกิน อย่างไรเสียต้ามั่วขาดแคลนเสบียง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องเปิดศึกแย่งชิงทรัพยากรกับชาวภาคกลาง ตนจะถูกส่งออกไปหรือไม่ ทั้งหมดก็ต้องดูว่าฐานะของนางในใจของราชาต้ามั่วมีน้ำหนักเท่าไหร่ 


 


 


เซียวชินใคร่ครวญชั่วครู่ มองราชาต้ามั่ว “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่คนน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ เขามีอารมณ์แปรปวน นิสัยเหมือนปีศาจร้าย ทว่าแต่ไรมาไม่เคยใช้กลศึกมากเล่ห์เพทุบาย เมื่อครู่ทูตส่งสารบอกแล้วว่านี่คือแผนการของสตรีนางนั้น ไม่ทราบว่าองค์ราชาทราบหรือไม่ว่าเป็นสตรีนางไหน คือสตรีที่อนุของเยียลี่ว์ซั่นที่เคยล่วงเกินนางใช่หรือไม่ หรือว่าเป็นสตรีนางที่บุกค่ายทหารต้ามั่วของเราอย่างเหิมเกริม”  


 


 


ลู่หวานหว่านรีบลุกขึ้น เอ่ยปากว่า “ข้าคาดว่าต้องเป็นนางสารเลวที่ไร้กฎระเบียบบุกลุกค่ายทหารสังหารหลานชายข้านั้นอย่างแน่นอน นางสังหารญาติข้า ย่อมคิดกำจัดข้าทิ้ง สตรีนางนี้ช่างโหดเ**้ยมนัก” 


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ไม่เพียงแต่ตัวเองอยากแยกร่างสตรีนางนั้นเป็นหมื่นชิ้น สตรีนางนั้นเองก็ไม่คิดให้นางมีชีวิตอย่างสุขสบาย  


 


 


ยิ่งคิดไม่ถึงว่าสิ้นเสียงนาง นอกกระโจมพลันมีมีดสั้นเล่มหนึ่งลอยเข้ามา มุ่งตรงเข้าที่ใบหน้าลู่หวานหว่าน ไอสังหารพุ่งเข้าสู่หว่างคิ้วนาง            


 


 


ลู่หวานหว่านเบิกตากว้างอย่างหวาดกลัว มองมีดสั้นเข้าใกล้ใบหน้าตนเอง เวลานั้นนางคิดว่าตนต้องตายแล้วแน่นอน แต่ถัดมาเซียวชินพลันขยับกาย เขาหยิบแส้ม้าบนโต๊ะ ตวัดใส่มีดสั้นเล่มนั้นโดยแรง แส้เบี่ยงทิศทางมีดสั้นปักลงพื้น  


 


 


สายตาคนทั้งหมดมองไปยังประตู 


 


 


วินาทีถัดมาประตูกระโจมถูกพัดเปิดออก เงาร่างสายหนึ่งปรากฏวูบ ชายหนุ่มใบหน้างดงามปรากฎสู่สายตาทุกคน สายตาเขาประดุจน้ำนิ่ง แววตาที่มองลู่หวานหว่านคล้ายกับมองคนตายก็ไม่ปาน ในมือยังมีมีดสั้นอีกเล่ม น้ำเสียงเบาบางราวกับลูกสัตว์ มองลู่หวานหว่านเอ่ยถามว่า “เจ้ากำลังด่าว่านางหรือ” 


 


 


 “นาง นางคือใคร หรือว่าเป็น…” ลู่หวานหว่านเพิ่งรอดพ้นออกมาจากขอบความตาย มองบุรุษหนุ่มด้วยความหวาดกลัว 


 


 


เหล่านายทัพทั้งหลายในกระโจมล้วนลุกขึ้น มองบุรุษหนุ่มอย่างระมัดระวัง 


 


 


สายตาของบุรุษหนุ่ม กวาดตามองคนที่ลุกขึ้นทั้งหมด เอ่ยสั้นๆ ว่า “อยากถูกสับหรือ ไม่อยากก็นั่งลง”   


 


 


ท่าทางโอหังของเขาเช่นนี้ ทำให้คนไม่น้อยตะลึงงันไป พลันคิดว่าพวกเขามีทหารหลายแสนคุ้มกัน บุรุษหนุ่มนี่เข้ามาได้อย่างไร อีกทั้งเข้ามายังกระโจมของราชาพวกเขา ความสามารถนี้… 


 


 


เมื่อคิดๆ ดูแล้วช่างน่ากลัวยิ่งนัก นายทัพหลายคนล้วนรู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเปียกชื้นด้วยเหงื่อเย็นเยียบ 


 


 


เซียวชินหรี่ตาลง มองบุรุษหนุ่มนั้น ถามว่า “เจ้าคือจิ่วหุน?” 


 


 


ฝีมือการอำพรางตนเช่นนี้ ความเร็วระดับนี้ นอกจากจิ่วหุนแล้ว เขาไม่ต้องคิดถึงผู้อื่นเป็นที่สองอีก  


 


 


จิ่วหุนมองเขา มีดสั้นในมือยกขึ้น แผ่จิตสังหาร น้ำเสียงกลัดกลุ้ม เอ่ยสั้นๆ ว่า “ข้าไม่ได้หาเจ้า” 


 


 


หมายความว่าเซียวชินอย่าได้ยุ่งมากความ 


 


 


พูดจบแววตาเต็มไปด้วยไอสังหารของเขามองลู่หวานหว่าน 


 


 


เซียวชินเป็นคนฉลาด ครุ่นคิดเล็กน้อยก็ร้อยเรียงเรื่องเข้าด้วยกันจนหมด ดูท่าเรื่องทั้งหมดเพราะสตรีที่ได้รับอำนาจควบคุมทหารเป่ยเฉินนางนั้นแล้ว เขาคิดถึงการนัดหมายในสาร มองจิ่วหุนเอ่ยว่า “สตรีนางนั้น…” 


 


 


เขาพูดเช่นนี้ สายตาไม่สบอารมณ์ของจิ่วหุนรีบเบี่ยงมองเขาทันที 


 


 


เซียวชินหาได้ตั้งใจล่วงเกินนักฆ่าชื่อเสียงกระฉ่อนผู้นี้ รีบเปลี่ยนคำพูดเปลี่ยนคำเรียก “แม่นางผู้นั้นเพิ่งให้คนนำสารมาส่ง คิดแลกเปลี่ยนชีวิตลู่หวานหว่านกับเสบียง พวกเราคิดจะแลกเปลี่ยนด้วย บางทีนางคิดจะสังหารลู่หวานหว่านเอง เจ้าสังหารคนในตอนนี้ ไม่แน่ว่านางจะยินดี อย่างไรเสียหากมีความแค้นจริง คนล้วนคิดแก้ปมที่ตนผูกไว้เองจะสาแก่ใจ” 


 


 


เขาพูดออกมาเช่นนี้ จิ่วหุนชะงักเล็กน้อย เก็บไอสังหารในดวงตา คำพูดนี้มีเหตุผล 


 


 


เขามองเซียวชิน “ตอนนี้นางอยู่ไหน ข้าได้ยินว่านางไล่ตามมาถึงที่นี่” 


 


 


 “ยามนี้นางอยู่ที่ชายแดนเป่ยเฉิน เมื่อกลางวันนางมาที่นี่จริงๆ แต่หลังจากสังหารคนก็กลับไปแล้ว” เซียวชินยังนับว่าเกรงใจ 


 


 


จิ่วหุนฟังจบ กระแสลมสายหนึ่งพัดผ่าน คนก็ไปอยู่นอกกระโจมแล้ว 


 


 


น้ำเสียงเล็กราวสัตว์ตัวน้อยส่งเข้ามาในกระโจมอีกครั้ง เขาไม่หันหน้ามา แต่ใครต่างรับรู้ว่าคำพูดนี้เอ่ยกับลู่หวานหว่าน “หากเจ้ายังด่านางอีก ข้าจะแยกศพเจ้า ใครก็ยับยั้งไม่ได้ แม้แต่นางก็ตาม” 


 


 


สิ้นเสียงเขา เงาร่างวูบไหว คนไม่เห็นร่องรอยอีก 


 


 


ราชาต้ามั่วหน้าเขียว เอ่ยปากว่า “โอหัง โอหังไปแล้ว ใครก็ได้…” 


 


 


 “ท่านข่าน” เซียวชินประสานมือ ตัดบทของราชาต้ามั่ว “ท่านข่าน พวกเราไม่อาจล่วงเกินจิ่วหุน หากลงมือวันนี้สังหารเขาได้ย่อมเป็นการดี แต่หากเขาโชคดีหนีรอดไป เขาอาจกลับมาสังหารท่านได้ ท่านก็รู้ว่าหลายปีมานี้จิ่วหุนสังหารคนไม่เคยพลาดมาก่อน หัวหน้าเผ่า ราชนิกุล ขุนนางจำนวนไม่น้อยล้วนตายใต้ดาบของเขา ท่านข่านอย่าได้เอาชีวิตตนไปเสี่ยงอันตราย”  


 


 


เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา ราชาต้ามั่วครุ่นคิดถึงคดีที่จิ่วหุนฆ่าคนมาหลายปี พลันรู้สึกเหงื่อเย็นเยียบไหลจากแผ่นหลัง ซ้ำรู้สึกว่าเมื่อครู่ตนวู่วามไปแล้ว 


 


 


ราชาต้ามั่วสงบลง มองเซียวชิน จากนั้นมองลู่หวานหว่าน “จากที่ขุนนางรักเอ่ยกับจิ่วหุนเมื่อครู่ เจ้าเห็นด้วยกับการนำลู่หวานหว่านแลกเสบียงหรือ”  

 

 

 


ตอนที่ 55

 

ราชาต้ามั่วเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าลู่หวานหว่านซีดเซียว มองเซียวชิน นางตื่นเต้นกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว 


 


 


หากเซียวชินตัดสินใจเช่นนี้จริง อย่างนั้นราชาต้ามั่วย่อมฟังความเห็นของเขา อย่างไรเสียฐานะของเซียวซินในใจของราชาต้ามั่วไม่มีทางที่อนุตัวเล็กๆ อย่างตนจะสั่นคลอนได้ 


 


 


สายตาเซียวชินไม่ได้มองลู่หวานหว่าน เขาประสานมือ เอ่ยกับราชาต้ามั่วว่า “ท่านข่าน เชื่อว่าท่านคงเข้าใจดี สำหรับพวกเราแล้ว นี่ถือเป็นการค้าที่คุ้มค่า” 


 


 


ลู่หวานหว่านเอ่ยออกด้วยโทสะทันที  “จั่วอี้อ๋องเอ่ยวาจาเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าเกินไปหรอกหรือ แม่ทัพเยียลี่ว์เพิ่งตายในการรบ ศพยังไม่ทันแข็งเลย ท่านก็นำครอบครัวเขาไปแลกผลประโยชน์แล้ว พวกท่านทำเช่นนี้ เคยคิดถึงความรู้สึกของเหล่าทหารในปรโลกหรือไม่” 


 


 


นางพูดประโยคนี้ออกมา เซียวชินกวาดตามองนาง เอ่ยไม่ร้อนไม่หนาวว่า “เจ้ามันแค่อนุคนหนึ่งเท่านั้น” 


 


 


เขาเอ่ยออกมา สีหน้าลู่หวานหว่านในเวลานี้เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว เซียวชินพูดจาไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังทิ่มแทงความเจ็บปวดของนาง 


 


 


ความเสียใจที่สุดของนางคือเพราะฐานะชาวภาคกลางของตน ต่อให้ได้รับความโปรดปรานก็ไม่อาจแทนที่ภรรยาเอกของเยียลี่ว์ซั่นได้ เป็นได้เพียงอนุเท่านั้น 


 


 


ไม่เพียงแค่นั้นอนุภรรยาในต้ามั่วสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ ไม่มีฐานะใดๆ ทั้งนั้น ดังนั้นต่อให้ส่งตัวนางให้ศัตรู ก็ไม่ถึงขั้นเอาตัวคนในครอบครัวคนตายไม่ทันไรไปแลกเปลี่ยน 


 


 


เพราะฐานะของอนุภรรยา ต้อยต่ำเกินไป 


 


 


ราชาต้ามั่วคล้ายจะลังเลชั่วครู่ มองเซียวชินกล่าวว่า “จั่วอี้อ๋องบอกแผนการของเจ้าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ข้าผู้เป็นราชาเข้าใจว่าคนภาคกลางเจ้าเล่ห์เพทุบาย เรื่องนี้ภายในต้องมีเล่ห์นัย”  


 


 


เซียวชินกลับเหยียดมุมปาก เอ่ยปาก “ท่านข่านคิดว่าต้องมีเล่ห์นัย? กระหม่อมคิดว่าภายในเรื่องต้องมีกับดักอย่างแน่นอน ต่อให้การแสดงออกของพวกเขาคล้ายกับว่าทุกอย่างเป็นจริง แต่นับตั้งแต่โบราณมาในการศึกสงครามไม่หน่ายกลยุทธ์ กระหม่อมเตรียมการรับมือพวกเขาไว้แล้ว” 


 


 


ราชาต้ามั่วถาม “ความหมายของเจ้าคือ?” 


 


 


เซียวชินเอ่ยปากตอบกลับ “ความหมายของกระหม่อมง่ายดายมาก ก่อนอื่นรับข้อเสนอของพวกไว้เสีย กระหม่อมนำคนไปแลกเปลี่ยนด้วยตัวเอง ดูว่าพวกเขาจะมาไม้ไหน อย่างไรเสียไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ” 


 


 


ราชาต้ามั่วฟังแล้ว มองลู่หวานหว่าน เขาชอบสตรีผู้นี้อยู่บ้างจริงๆ แต่เขาไม่มีทางละเลยบ้านเมืองเพื่อสตรี สตรีผู้หนึ่งมิอาจเทียบผลประโยชน์ของต้ามั่วได้ 


 


 


สายตาที่ราวกับทอดทิ้งของเขาเช่นนี้ ทำให้ลู่หวานหว่านหัวใจกระตุก มองราชาต้ามั่วอย่างออดอ้อน ร้องเรียกว่า “ท่านข่าน” 


 


 


ราชาต้ามั่วเบือนหน้าหนี ไม่มองสตรีนางนี้อีก ไม่ว่าอย่างไรในใจก็รู้สึกติดค้างอยู่เล็กน้อย 


 


 


เขามองเซียวชิน สั่งการว่า “ในเมื่อจั่วอี้อ๋องคิดว่าทำเช่นนี้ดีที่สุด อย่างนั้นทำตามนี้เถอะ เพียงแต่…” 


 


 


เซียวชินก็เป็นบุรุษ ย่อมดูออกว่าราชาต้ามั่วรู้สึกดีกับลู่หวานหว่าน   


 


 


เขาเอ่ยปาก “ชาวภาคกลางวางแผนอะไร ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด กระหม่อมจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แกล้งทำเป็นแลกเปลี่ยน แย่งเสบียงกลับมา นำคนกลับมาด้วย” 


 


 


อย่างไรต่อให้ลู่หวานหว่านเป็นแค่อนุ เอาตัวไปแลกก็หาใช่เรื่องน่ายกย่อง 


 


 


หากทั้งคนและทรัพย์ล้วนเอากลับมาได้ น่าจะดีที่สุด 


 


 


เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา สายตาราชาต้ามั่วเป็นประกาย จ้องเซียวชินเอ่ยว่า “อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ลำบากจั่วอี้อ๋องวางแผนแล้ว อย่างไรก่อนหน้าขุนนางเยียลี่ว์ก็รักสตรีผู้นี้เป็นพิเศษ สามารถรักษาชีวิตนางได้ คาดว่าแม่ทัพเยียลี่ว์ในปรโลกต้องยินดี”  


 


 


ใครต่างก็รู้ว่าราชาต้ามั่ววางแผนอะไร แต่เขาเอ่ยเช่นนี้ใครจะกล้าเปิดโปง  


 


 


ลู่หวานหว่านที่เดิมสีหน้าสิ้นหวัง ได้ฟังมาถึงบัดนี้คล้ายจับต้นอ่อนช่วยชีวิตไว้ได้ ดวงตามีประกายแห่งความหวัง 

 

 

 


ตอนที่ 56

 

 “ท่านข่านวางใจ กระหม่อมจะวางแผนการเรื่องนี้ให้ดี” เซียวชินประสานมือรับคำ มอบความมั่นใจให้ราชาต้ามั่ว  


 


 


ลู่หวานหว่านรีบลุกไปเบื้องหน้าเซียวชิน ค้อมกายคารวะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตของหวานหว่านก็ฝากไว้กับท่านจั่วอี้อ๋องแล้ว” 


 


 


นางพูดไปก็ส่งสายตาเย้ายวนให้เซียวชิน  


 


 


เซียวชินสีหน้าคล้ายน้ำแข็ง เอ่ยเสียเย็นชา “ข้าวางแผนเพื่อราชากับต้ามั่วเท่านั้น เจ้าอย่าได้คิดมากไปเอง” 


 


 


ลู่หวานหว่านสีหน้าแข็งทื่อ ทว่าไม่ช้าก็กลับมาสงบได้ ยิ้มเอ่ย “เหตุใดจั่วอี้อ๋องถึงต้องผลักไสผู้อื่นออกห่างเช่นนี้ อนุ…” 


 


 


 “ท่านข่าน ศัตรูกำหนดเวลาแลกเปลี่ยนเสบียงกับคนไว้เมื่อไหร่” เซียวชินเมินนางอย่างตรงไปตรงมา มองไปที่ราชาต้ามั่ว  


 


 


ราชาต้ามั่วมองเซียวชิน “สามวันหลังจากนี้” 


 


 


เซียวชินพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็กำหนดตามนี้ กระหม่อมจะคัดยอดฝีมืออีกสามวันนำคนไปแลกเปลี่ยนกับพวกเขาด้วยตนเอง” 


 


 


ราชาต้ามั่วขมวดคิ้วแปลกใจ “จั่วอี้อ๋องจะไปด้วยตนเองหรือ” 


 


 


เซียวชินเหยียดยิ้ม “ไปด้วยตัวเอง ถึงจะรู้ว่าศัตรูจะเล่นละครบทไหน” 


 


 


ราชาต้ามั่วพยักหน้า “เช่นนั้นจั่วอี้อ๋องระวังตัวด้วย” 


 


 


 “ขอรับ” หลังจากเซียวชินรับคำ สองมือประสานคำนับหมุนกายจากไป 


 


 


บทสนทนาของคนทั้งสอง ไม่ได้ใส่ใจลู่หวานหว่านเลย นางประดักประเดิดอยู่ศูนย์กลางของกระโจม ใบหน้าเดือดดาล 


 


 


ราชาต้ามั่วมองนาง สายตาไม่ร้อนไม่หนาว “จั่วอี้อ๋องหาใช่คนที่จะคบหาด้วยได้ง่าย” 


 


 


เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ลู่หวานหว่านกระตือรือร้นต่อเซียวชินมากเกินไป สร้างความไม่พอใจของราชาต้ามั่ว  


 


 


ลู่หวานหว่านหาใช่คนโง่งม รู้ว่ายามนี้ราชาต้ามั่วคือแหล่งพักพิงเดียวของตน รีบปาดน้ำตา มองราชาต้ามั่วด้วยความระทม “อนุจะไม่ประจบเอาใจจั่วอี้อ๋องได้อย่างไร ในเมื่อชีวิตของอนุอยู่ในมือเขา ทั้งยังมีบุตรชายที่เพิ่งถือกำเนิดของอนุ หากอนุตายไปแล้ว อย่างนั้นบุตรของอนุ…”  


 


 


นางร้องไห้สมเหตุสมผล ราชาต้ามั่วใจอ่อนยวบไปหลายส่วน เอ่ยว่า “เจ้ามิต้องเสียใจเพียงนี้ ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของจั่วอี้อ๋อง เขาสามารถพาเจ้ากลับมาทั้งที่มีชีวิตอยู่ได้” 


 


 


 “อืม” ลู่หวานหว่านพยักหน้า เช็ดน้ำตา 


 


 


   …… 


 


 


ห้องของซือถูเฉียง  


 


 


ซือถูเฉียงนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง ซือถูเฟิงเฝ้านางอยู่ข้างเตียง 


 


 


ซือถูเฉียงปาดน้ำตา มองซือถูเฟิงเอ่ยว่า “พี่ชาย ท่านต้องช่วยเฉียงเอ๋อฆ่านางสารเลวนั่นนะ หากมิใช่เพราะนางสารเลวนั่น พี่เยี่ยนต้องไม่ทำเช่นนี้กับข้าแน่”  


 


 


เหมือนกับว่าสตรีที่ล่วงเกินเยี่ยเม่ยในเวลานี้ต่างได้แต่อยู่ในสภาพปาดน้ำตา 


 


 


ซือถูเฟิงมองขากางเกงวางเปล่าของซือถูเฉียง รวมถึงท่าทางดอกสาลี่ต้องน้ำฝนนั้น ในใจเหมือนถูกมีดกรีด น้องสาวของตน นับแต่เล็กจนโตคนในครอบครัวถนุถนอมเติบใหญ่ ฮองเฮายังรักนาง ใครจะคิดว่าไม่พบกันหลายวันเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้แล้ว  


 


 


เขามองซือถูเฉียง เอ่ยปากว่า “นางสารเลวนั่น พี่ไม่มีทางปล่อยไปแน่ เพียงแต่เฉียงเอ๋อ ภายหน้าเจ้าอย่าได้มีใจให้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกเลย เขาไม่ใช่คนดี”  


 


 


 “ข้าไม่ยอม” ซือถูเฉียงส่ายหน้าปฏิเสธ สายตามุ่งมั่น “เขาคือองค์ชายที่เข้มแข็งและหล่อเหลาที่สุดในราชวงศ์เป่ยเฉิน มีแต่เขาถึงคู่ควรกับข้า” 


 


 


ซือถูเฟิงเอ่ยด้วยโทสะ “เจ้าคิดหรือเปล่าว่า องค์ชายใหญ่กับเขาเป็นพี่น้องร่วมอุทร องค์ชายใหญ่ถึงเป็นผู้สืบทอดที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาให้ความสำคัญ หากเจ้าทำตามความต้องการของท่านพ่อ แต่งให้กับองค์ชายใหญ่ ภายหน้าเจ้าจะเป็นมารดาของแผ่นดิน” 


 


 


ซือถูเฉียงมองซือถูเฟิงอย่างไม่ยินยอม “แต่เมื่อองค์ชายใหญ่พบพี่เยี่ยนก็กล้ำกลืนฝืนทนไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอ ต่อให้เขาเป็นฮ่องเต้แล้วจะทำไม จะทำอะไรยังต้องคอยมองสีหน้าของพี่เยี่ยนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” 


 


 


 “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนใส่ใจเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าเห็นเขาดีขนาดนี้แล้วเป็นอย่างไร ใครเป็นคนหักขาเจ้าขาดด้วยตนเอง หรือว่าเจ้าลืมไปหมดแล้ว” ยามนี้ซือถูเฟิงก็โมโหแล้ว คิดด่าว่านางให้ตื่น 


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ ซือถูเฉียงน้ำตาคลอมองเขา กระบอกตาแดงก่ำ น้ำตาเม็ดโตไหลลงมา 


 


 


ซือถูเฟิงค่อยตระหนักได้ว่าตนเองโกรธจนร้อนใจ เอ่ยคำพูดที่ไม่สมควร  ตอกย้ำความเจ็บปวดของนาง ยามนี้เขาโทษตัวเอง เอ่ยปากว่า “พี่ผิดเอง พี่พูดจาไม่ดี แต่เฉียงเอ๋อ ในใจเจ้าสมควรรู้ว่า ที่เจ้าเป็นเช่นนี้ ก็ไม่อาจเป็นพระชายาองค์ชายสี่ หรือพระชายาองค์รัชทายาทได้แล้ว” 


 


 


อย่างไรเสียราชวงศ์ก็ไม่อนุญาตให้สตรีพิการผู้หนึ่งแต่งเข้าเป็นสะใภ้ได้ 


 


 


ซือถูเฉียงขบริมฝีปาก กำมือแน่น กัดฟันเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องแต่งให้กับพี่เยี่ยนให้ได้ ต่อให้เป็นอนุ ข้าก็ยินยอม” 


 


 


เห็นสีหน้ามุ่งมั่นเช่นนี้ของนาง ซือถูเฟิงรู้ว่าโน้มน้าวไม่สำเร็จแล้ว 


 


 


เขาสูดลมหายใจลึก เอ่ยปากว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็รักษาตัวอย่างสงบเถอะ วางใจได้ นางสารเลวผู้นั้นมีชีวิตอีกไม่นานหรอก ข้าให้คนส่งสารไปยังเมืองหลวง เสด็จป้าฮองเฮาส่งทหารไปสังหารนางนั่นแล้ว ขอเพียงไม่มีใครขัดขวาง เรื่องนี้ไม่มีทางผิดพลาด”  


 


 


ซือถูเฟิงเพิ่งกลับมา จึงไม่รู้เรื่องที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีคำสั่งให้กำจัดคนของฮองเฮา  


 


 


ซือถูเฉียงพยักหน้าวางใจ แววตาฉายแววร้ายกาจ เอ่ยปากว่า “ท่านต้องบอกท่านป้าว่า ข้าต้องการถลกหนังนาง แล่เนื้อนางออกทีละชิ้นๆ ถึงคลายความแค้นในใจข้าได้” 


 


 


 “เจ้าวางใจเถอะ” ซือถูเฟิงพยักหน้าทันที 


 


 


ในเวลานี้เอง ด้านนอกพลันเกิดเสียงร้องดังมา 


 


 


ซือถูเฟิงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ มองประตู ไม่ช้าทหารคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา คุกเข่าลงมองซือถูเฟิง รายงาน “ท่านแม่ทัพ ไม่ดีแล้ว แม่ทัพหลี่นำทหารมา เขายังนำกระบี่พระราชทานมาด้วย บอกว่าต้องการชีวิตของท่านหญิง” 


 


 


 “อะไรนะ กระบี่พระราชทาน?” ซือถูเฟิงลุกขึ้นอย่างไม่เชื่อ 


 


 


ซือถูเฉียงใบหน้าขาวซีด 


 


 


นายทหารคนนั้นเอ่ยปากต่อว่า “เป็นกระบี่พระราชทานไม่ผิดแน่ ดังนั้นคนของเราไม่กล้าลงมือ เพียงแต่รั้งไว้ ตอนนี้จวนจะรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว ท่านแม่ทัพรีบตัดสินใจเถอะขอรับ” 


 


 


ซือถูเฟิงหน้าเขียวคล้ำครู่หนึ่ง พลันคิดขึ้นมาได้ว่า “กระบี่พระราชทานมีเล่มเดียว ไม่ใช่อยู่กับใต้เท้าเฉินหรอกหรือ เขาคือคนที่ทางเมืองหลวงส่งให้มาเป็นผู้ตรวจการทหาร ตามกฎของราชสำนัก กระบี่พระราชทานไม่อาจส่งให้กับคนอื่น ไฉนแม่ทัพหลี่ถึงมี? หรือว่า…” 


 


 


ซือถูเฟิงใคร่ครวญ ก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น คนทั้งเป่ยเฉินที่สามารถทำเรื่องไร้กฎหมายแบบนี้ได้นอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ก็ไม่มีคนที่สองให้คิดอีก ต้องเป็นเขาแน่ 


 


 


ซือถูเฟิงหน้าตึง 


 


 


นายทหารผู้นั้นเอ่ยอีกว่า “ท่านแม่ทัพ ไม่ว่าในมือของแม่ทัพหลี่ได้กระบี่พระราชทานด้วยวิธีใด ท่านก็ไม่อาจประมือกับเขาโดยตรง ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นกบฏ” 


 


 


ต่อให้กระบี่ในมือของแม่ทัพหลี่ไม่ใช่ฮ่องเต้ประทานให้ แต่ความหมายของกระบี่พระราชทานนั้นก็ยังอยู่ ไม่ว่าอยู่ในมือใคร เขาล้วนไม่อาจขัดขืน นี่คือหลักเดียวกับตราพยัคฆ์ 


 


 


ซือถูเฟิงตัดสินใจได้ในทัน หันกลับไปมองซือถูเฉียง “ข้าจะพาเจ้าหนี”  


 


 


เขาพูดจบก็แบกซือถูเฉียงขึ้น กระโดดออกไปจากหน้าต่าง 


 


 


นี่คือวิธีการเดียว หนี ไม่ต่อกรกับกระบี่พระราชทาน ก็สามารถกลับไปให้ฮองเต้กับฮองเฮาคืนความยุติธรรมให้ได้  


 


 


เขาพาซือถูเฉียงจากมาสักพัก 


 


 


แม่ทัพหลี่พาคนบุกทะลวงเขามา เห็นภายในห้องว่างเปล่า ในใจแม่ทัพหลี่ค่อยผ่อนลง ในที่สุดก็ไม่ต้องฆ่าคน ล่วงเกินฮองเฮากับพระเชษฐานางแล้ว 


 


 


แต่เขาแสร้งทำเอ่ยปากทันทีว่า “คนเล่า คนไปไหนแล้ว รีบไปนำตัวมา” 


 


 


เหล่าทหารรีบไล่ตาม 


 


 


คืนนี้จึงผ่านไปอย่างแตกตื่นวุ่นวายเช่นนี้ 


 


 


   …… 


 


 


วันต่อมา ยามเช้าตรู่ เยี่ยเม่ยตื่นขึ้น 


 


 


เพิ่งเดินออกจากห้อง ก็มีทหารคนหนึ่งเข้ามารายงาน “แม่นาง มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมาหาท่าน เขาบอกว่าจะมาหาท่าน ทั้งไม่ยอมบอกฐานะของตน เขามีฝีมือดีมาก คนของพวกเรารั้งเขาไว้ไม่อยู่ จะให้ไปรายงานองค์ชายสี่หรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว “เขาอยู่ไหน” 


 


 


บุรุษหนุ่มที่มีฝีมือ? จิ่วหุน? 

 

 

 


ตอนที่ 57

 

“อยู่นอกเมือง” นายทหารผู้นั้นรีบตอบ


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ข้าจะออกไปดูกับพวกเจ้า”


 


 


 “ส่วนทางองค์ชายสี่นั้น…” นายทหารถามขึ้นด้วยความสงสัย


 


 


เยี่ยเม่ยมองด้วยแววตาแปลกใจ เอ่ยถามเสียงเย็นชา “เจ้าอยากไปรายงานนักหรือ”


 


 


นายทหารตัวสั่น เอ่ยตามตรงออกมา “ไม่อยาก”


 


 


ใครกินอิ่มนอนหลับแล้วไม่อยากมีชีวิตกัน ถึงอยากไปรายงานข่าวกับองค์ชายสี่ มีชีวิตอยู่ดีก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง ใครจะรู้ว่าไปรายงานข่าวเรื่องหนึ่งแล้วจะไม่เหลือชีวิตกลับมาหรือไม่ เขาแค่กังวลว่าแม่นางผู้นี้รับมือไม่ไหว อย่างไรเสียบุรุษหนุ่มผู้นั้นมีวิทยายุทธสูงส่งจริงๆ


 


 


เยี่ยเม่ยก็รู้สึกว่าคนของเป่ยเฉินทุกคนไม่กล้าไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนตามอำเภอใจ บุรุษผู้ที่ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าเขาในสายตาทุกคน


 


 


ระหว่างสนทนาไปนั้น ทั้งสองก็มาถึงหน้าประตู


 


 


เห็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจากไกลๆ ไม่ใช่จิ่วหุนแล้วจะเป็นใครได้


 


 


นางเห็นจิ่วหุน เขาก็เห็นนางเช่นกัน เยี่ยเม่ยรีบมองนายทหารข้างกาย “เขาเป็นคนสนิทของข้า ปล่อยเขาเข้ามา”


 


 


เหล่าทหารปาดเหงื่อ หลีกทางให้


 


 


พวกเขาหลายคนบาดเจ็บแล้ว ทว่านี่เป็นผลมาจากการยั้งมือของจิ่วหุนทั้งสิ้น พวกเขาดูออกว่าหากบุรุษหนุ่มผู้นี้คิดจะฆ่าคน พวกเขาต่างต้องตายอย่างอนาถ หากมิใช่เพราะมีหน้าที่พวกเขาก็ไม่อยากขวาง คำพูดของเยี่ยเม่ยนี้เท่ากับช่วยพวกเขาคลี่คลาย


 


 


จิ่วหุนเดินไปถึงหน้าเยี่ยเม่ย ยังคงมีท่าทางไม่ค่อยชอบพูดเหมือนเดิม แต่ว่าในแววตาปรากฏความน้อยเนื้อต่ำใจหลายส่วน “ข้าตามหาเจ้านานมาก”


 


 


เยี่ยเม่ยคำนวณดู พวกนางรู้จักกันนับรวมๆ แล้วยังไม่เกินสามวัน คงไม่เรียกว่าตามหานานหรอกมั้ง


 


 


แต่เมื่อคิดดู ให้นางตามหาคนผู้หนึ่ง ตามหาได้สิบนาทีนางคงสูญเสียความอดทนไปแล้ว อย่างนั้นสองสามวันนับว่าตามหายาวนานจริงๆ


 


 


ดังนั้นนางพยักหน้า น้ำเสียงเย็นชา “ก็หาพบแล้วมิใช่หรือ ลำบากเจ้าแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าไปทำอะไรมา”


 


 


เขาตอบว่า “จัดการธุระส่วนตัว ต่อไปก็ไม่มีอีกแล้ว”


 


 


ภายหน้าไม่มีธุระส่วนตัวอีกแล้ว เพราะว่าภายภาคหน้าสายตาข้า มีเพียงเจ้า


 


 


เขาไม่ได้เอ่ยประโยคหลังออกไป


 


 


เยี่ยเม่ยย่อมไม่รู้ว่าเขาซ่อนประโยคหลังไว้อีก นางผงะหัว มองกลุ่มควันที่ไกลออกไป เอ่ยปาก “ข้าเข้าสู่วังวนการศึกระหว่างเป่ยเฉินกับต้ามั่วแล้ว เจ้าคิดจะไปจัดการเรื่องของเจ้า หรือว่า…”


 


 


นางยังไม่ทันเอ่ยจบ จิ่วหุนก็รับคำต่อ “ข้าอยู่ช่วยเจ้า”


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาครู่หนึ่ง เห็นท่าทางหนักแน่นของเขา ก็ไม่โน้มน้าวให้เขาจากไปอีก เพียงเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็ดี จิ่ว…”


 


 


 “เรียกข้าว่าเสี่ยวจิ่ว” จิ่วหุนตัดบทนาง


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไป ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมไม่ให้เรียกชื่อจริง ทว่านี่ก็มิใช่เรื่องสำคัญอันใด ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจ “ได้ เสี่ยวจิ่ว”


 


 


สิ้นเสียงนาง ก็เห็นแม่ทัพหลูกลับมา


 


 


เขาเดินมาเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย ประสานมือเอ่ยปากว่า “หลูเซียงฮั่วกลับมารายงาน ราชาต้ามั่วรับปากเรื่องการแลกเปลี่ยนเสบียงแล้ว กำหนดอีกสามวันข้างหน้า จั่วอี้อ๋องของพวกเขานำสตรีที่ชื่อว่าลู่หวานหว่านมาด้วยตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนกับเสบียงของพวกเรา”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า น้ำเสียงเย็นชา “เข้าใจแล้ว อีกสามวัน ข้าจะพาพวกเข้าไปด้วยตนเอง กันไม่ให้เกิดความผิดพลาด”


 


 


จิ่วหุนก้มหน้า ยืนอยู่ด้านข้างเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงเบา “ข้าไปด้วย”


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองเขาอย่างประหลาดใจ เพียงเห็นเขาก้มหน้า มองสีหน้าไม่ออก นางยักไหล่ “ได้”


 


 


อย่างไรเสียในที่นี้เขาก็รู้จักนางคนเดียว ติดตามนางไปด้วยก็ปกติ


 


 


หลูเซียงฮั่วในยามนี้ กลับรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ จ้องเยี่ยเม่ยถามว่า “แม่นาง ข้าขอถามเจ้าสักคำถามได้หรือไม่”


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “ว่ามา”


 


 


หลูเซียงฮั่วเอ่ยปาก “ท่านเกลียดลู่หวานหว่านผู้นั้นมากจนถึงขั้นต้องการชีวิตนางให้ได้จริงหรือ”


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว ตอบเป็นจริงจังว่า “หากข้าต้องการชีวิตนางจริง ครั้งก่อนตอนอยู่ต้ามั่วไฉนปล่อยนางไป คนของต้ามั่วต่างโง่งม เจ้าเองก็โง่งมด้วยหรือ”


 


 


หลูเซียงฮั่วตกตะลึง “อย่างนั้นท่านบอกจะแลกลู่หวานหว่านกับเสบียง ความจริงแล้วก็เพื่อ…”


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยเสริมต่อจากไปเขา น้ำเสียงเย็นชา “เสบียงของเป่ยเฉิน ย่อมต้องอยู่ในอาณาเขตของเป่ยเฉินเท่านั้น จู่ๆ จะไปอยู่นอกเมืองอย่างไร้สาเหตุหรือ นั่นไม่ใช่จงใจทำให้คนสงสัยหรืออย่างไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่หาเหตุผล เป็นต้นว่าข้าจะฆ่าลู่หวานหว่านให้ได้ อย่างไรเสียในสายตาคนโง่งมจำนวนมาก สตรีล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตใจแคบ ขี้อิจฉา เอามาเป็นตัวหลอกพวกเขาได้พอดี” 


 


 


บุรุษทั้งหลายในที่นี้ต่างมุมปากกระตุก


 


 


ความจริงพวกเขาคิดเช่นนี้มาโดยตลอด แต่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยท่านนี้ อาจจะไม่เหมือนกับสตรีทั่วไปกระมัง การแสดงออกของนางเด็ดเดี่ยวห้าวหาญห่างชั้นกับสตรีทั่วไปมาก


 


 


หลูเซียงฮั่วรีบปาดเหงื่อแห่งความละอายบนหน้าผากออก เอ่ยปากว่า “ข้าทราบแล้ว ข้าเข้าใจแม่นางผิด ขอให้แม่นางอภัยด้วย”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงเย็น “อย่างนั้นก็กลับไปเตรียมตัวเถอะ สามวันให้หลัง เจ้าติดตามข้าออกไปด้วย”


 


 


หลูเซียงฮั่วพยักหน้า “ขอรับ”


 


 


สิ้นเสียงนี้ น้ำเสียงไพเราะสายหนึ่งพลันดังขึ้น “เช้าตรู่ขนาดนี้ คึกคักกันเหลือเกิน”


 


 


เหล่าทหารทั้งหมดล้วนนิ่งแข็ง หันกลับไปมองปีศาจตนนั้นเดินมาไม่ไกล


 


 


มองออกไปก็เห็นปีศาจท่าทางสง่างามเดินเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายมีความสนุกสนานอยู่หลายส่วน นั่นคือแววความสนุกสนานที่เป็นปรปักษ์ทุกสรรพบนโลก เผยกลิ่นอายความเป็นปีศาจและชั่วร้ายออกมา


 


 


คนเช่นนี้ แค่ดูบรรยากาศรอบเขาก็รู้ว่าเป็นปีศาจ


 


 


จิ่วหุนในเวลานี้กลับเงยหน้าขึ้น มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นัยน์ตามีแววศัตรูอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้คนตกใจ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมสังเกตถึงสายตาเขาได้อย่างว่องไว ทั้งยังสังเกตว่าบุรุษหนุ่มหน้าตางดงามผู้นี้ ยืนอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ยไม่ห่างมาก ดูท่าทั้งสองคนคงมีความสัมพันธ์ไม่ใช่น้อย


 


 


เขาครุ่นคิด นัยน์ตาชั่วร้ายมองเยี่ยเม่ย ถามเสียงน่าฟังว่า “นี่คือเด็กหนุ่มที่แม่นางเยี่ยเม่ยช่วยเอาไว้ตอนหนีออกจากชายแดนหรือ”


 


 


เยี่ยเม่ยอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายถึงกับรู้เรื่องที่นางช่วยจิ่วหุน


 


 


นางไม่ปิดบัง พยักหน้า “ไม่ผิด เด็กคนนี้ต้องการตอบแทนบุญคุณ ดังนั้นจึงติดตามข้า”


 


 


ถึงนางไม่รู้อายุที่แท้จริงของจิ่วหุน แต่ดูแล้วยังเด็ก นางจึงใช้คำว่าเด็กคนนี้


 


 


จิ่วหุนฟังแล้ว เลิกคิ้วสูง มองเยี่ยเม่ย เสียงเบาทว่าหนักแน่น “ข้าไม่ใช่เด็ก”


 


 


เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปาก มองเขา “ก็ได้”


 


 


การตอบโต้กันระหว่างพวกเขาสองคน นำมาซึ่งความไม่พอใจขององค์ชายสี่


 


 


แต่ใบหน้าเขาไม่มีความโมโหเลยสักน้อย กลับยิ้มจาง เดินก้าวเข้ามาใกล้เยี่ยเม่ย


 


 


จิ่วหุนด้านข้างขยับตัว


 


 


เขาเคลื่อนมาอยู่ด้านหน้าเยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็ว ล้วงมีดสั้นออกจากเอวสายตาคล้ายสัตว์ร้าย มีความกระหายเลือด เอ่ยเสียงเบา “ห้ามเข้าใกล้นาง”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มยกมุมปาก กลับหัวเราะช้าๆ ดวงตาปรากฎแสงมารสีแดง เห็นได้ชัดว่าถึงจิตสังหาร


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมือขึ้น กำลังภายในสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ยาวอยู่กลางมือเขา


 


 


บรรยากาศเริ่มตึงเครียด


 


 


เขามองจิ่วหุน หัวเราะเบาๆ เสียงน่าฟัง “หากเยี่ยนจะเข้าใกล้นางให้ได้เล่า เจ้าสามารถห้ามได้หรือ มั่นใจในตัวเองเป็นเรื่องดี เสียชีวิตคือไม่รู้จักประมาณตนแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 58

 

จิ่วหุนไม่พูดอะไร ในมือถือมีดสั้น แต่เมื่อตวัดเบาๆ ประกายมีดแวววับภายใต้แสงอาทิตย์แยงตา


 


 


แต่ว่าจิตสังหารยิ่งหนักแน่น เห็นได้ชัดว่าเขารอหลังจากประมือกัน คนทั้งหมดจะยิ่งรู้ชัดว่า คนที่ไม่ประมาณตนสรุปแล้วคือใครกันแน่


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นท่าทีของเขาทั้งคู่ ขมวดคิ้ว นางยื่นมือออกไปจับคอเสื้อของจิ่วหุนอย่างไม่ปราณี กระชากคนไปด้านหลังตน…


 


 


นางลงมืออย่างรวดเร็ว ออกแรงไม่น้อยดึงคนไปอยู่ข้างหลังตน


 


 


จิ่วหุนมีสติรับรู้ว่าเป็นนาง จึงไม่กล้าทำร้ายนาง ด้วยเหตุนี้เขาถึงถูกดึงไปได้


 


 


แต่คนทั้งหมดต่างเห็นว่าใบหน้าของจิ่วหุนว่างเปล่าไปเสี้ยววิ จนกระทั่งใบหน้างดงามมีชีวิตชีวานั้นมีความรู้สึกที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้ง่าย…ความขุ่นเคืองและอับอาย


 


 


หลังจากทำให้พวกเขาทั้งสองคนรักษาระยะห่างระหว่างกันได้เรียบร้อย เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทั้งคู่ ถามเสียงเย็นชา “พวกท่านสองคนมีเหตุผลที่ต้องต่อยตีกันให้ได้หรือ”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกยิ้มน่ามอง ทั้งยังกระตุกมุมปากน้อยๆ ยากจับสังเกตได้ ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยคิดว่า ยามที่ตนเองกับกับคนอื่นเตรียมจะเปิดศึกกัน จะมีสตรีนางหนึ่งมาดึง…ดึงคนหลบไป


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นพวกเขาไม่พูดจา มองจิ่วหุน เอ่ยปาก “ไม่มีเหตุไม่มีผล แล้วจะทะเลาะกันทำไม เก็บมีดสั้น”


 


 


น้ำเสียงไม่นับว่าเป็นคำสั่ง แต่ก็ไม่ค่อยดีนัก


 


 


จิ่วหุนไม่ส่งเสียง แต่ว่าก็เก็บมีดสั้นกลับมาอย่างเชื่อฟัง


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สายตาเย็นชา แววตาแผ่ไอชวนให้เหน็บหนาว


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนความรู้สึกไว เห็นสีหน้านางไม่ดี ไม่รอให้นางเอ่ยปาก กระบี่ยาวที่เกิดจากกำลังภายในในมือก็หายไป


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายมีสีหน้าประจบเอาใจอย่างที่ทำให้คนไม่อยากเชื่อ ยิ้มอ่อนโยนเอ่ย “เก็บแล้ว เก็บแล้ว ขอเพียงแม่นางเยี่ยเม่ยมองมา เยี่ยนก็ยินดีทำตามความปรารถนาของเจ้าทันที”


 


 


เขาแสดงออกด้วยท่าทางว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครเชื่อฟังเท่าข้าอีกแล้ว


 


 


อวี้เหว่ยยืนอยู่หลังเขา แอบปาดเหงื่อไม่พูดไม่จา


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นว่าเขาทั้งสองให้ความร่วมมือ ไม่ต่อยตีกันต่อหน้านางก็พอใจ แต่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีกอย่างฉับพลัน มองจิ่วหุนเอ่ยว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ข้า”


 


 


นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา จิ่วหุนนิ่งชะงัก ใบหน้าแดงเรื่อไม่เป็นธรรมชาติ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสายตานิ่งไป นัยน์ตามีประกายดุร้ายฉายออกมา สายตาที่มองจิ่วหุนก็ไม่เป็นมิตร เห็นได้ชัดว่าไม่อยากฟังคำสารภาพจากปากจิ่วหุน


 


 


ความจริงก็ชัดเจนแล้ว บุรุษผู้หนึ่งไม่ยินยอมให้คนอื่นเข้าใกล้สตรีนางหนึ่ง นอกจากความปลอดภัย ย่อมหมายถึงความหึงหวง


 


 


เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุนไม่พูดจาอยู่นาน ใบหน้ากลับแดงขึ้นมาเล็กน้อย พลันตระหนักได้ ลูบคางตัวเอง เอ่ยปากว่า “ข้าเห็นหน้าเจ้าแดง…”


 


 


คนทั้งหมดเข้าใจแจ่มแจ้ง รู้สึกว่านางที่หลงตัวเองมาตลอด เดาได้ก็ไม่แปลก


 


 


จากนั้นพวกเขาพบว่าสตรีเบื้องหน้าตนผู้นี้ เทียบกับสตรีที่หลงตัวเองแล้วยังหลงตัวเองมากกว่ามาก…


 


 


เยี่ยเม่ยครุ่นคิดอยู่สามวินาที จ้องจิ่วหุน จากนั้นมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากเสียงเย็นชาว่า “นอกจากว่าบนตัวข้ามีกลิ่นไอเซียน ยืนอยู่ข้างกายข้ายิ่งทำให้เจ้าสีหน้าสดใส วรยุทธ์ก้าวหน้า เจ้ากลัวเขาจะเอาเปรียบ คิดยึดไว้คนเดียว” 


 


 


จิ่วหุน “…?”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…”


 


 


คนทั้งหมด “….?”


 


 


เยี่ยเม่ยคิดว่าตนเองก็เป็นคนที่ย้อนเวลากลับมา ไม่แน่ว่าบนร่างจะมีกลิ่นไอเซียน พลังเหนือธรรมชาติอะไรพวกนั้นจริงล่ะ ใช่ไหม


 


 


เมื่อพบว่าหลังจากสิ้นคำพูดตนเอง สีหน้าทุกคนล้วนว่างเปล่า


 


 


เยี่ยเม่ยหลงคิดว่าตนเดาถูกแล้ว นางพยักหน้า คิดถึงพฤติกรรมของทุกคนก่อนหน้านี้ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “มิน่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าแต่ละคนคิดจับข้า คิดติดตามข้า ข้าเข้าใจมาตลอดว่า พวกท่านล้วนถูกรูปโฉมงดงาม ท่าทางสง่างามเกินทั่วไปของข้าดึงดูด ตอนนี้ดูแล้ว คงเป็นเพราะข้ามั่นใจในตัวเองเกินไป”


 


 


คนทั้งหมด “…”


 


 


ในที่สุดวันนี้พวกเขาก็ได้รับรู้แล้วว่า คนหน้าไม่อายผู้หนึ่ง มีความหลงตัวเองเกินเหตุได้ถึงขั้นไหน


 


 


แม้กระทั่งเป่ยเฉินเสียงที่เพิ่งเดินเข้ามา ได้ฟังประโยคนี้ของนาง ยังรู้สึกว่าตัวเองจนปัญญาเดินต่อไป เขาอยากหันหลังเดินกลับแล้ว


 


 


เวลานี้เขาพลันเข้าใจแล้ว เพราะเหตุใตสตรีนางนี้ถึงได้หน้าหนานัก ชื่นชมหลงตัวเองอย่างจริงจัง ไฉนทุกครั้งที่ตนสงสัยความสามารถของนาง นางโมโหถึงเพียงนั้น ที่แท้นางวางฐานะตัวเองไว้สูงส่งถึงเพียงนี้ เขาถึงกับสงสัยว่าเมื่อวานใช้คำพูดโน้มน้าวให้นางมอบตราพยัคฆ์ให้ตน ออกจะเบาปัญญาใช่หรือไม่


 


 


หลังจากความเงียบสงบอย่างพิลึกผ่านไปชั่วครู่


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเหยียดปาก รอยยิ้มอ่อนโยน พยักหน้าเอ่ยช้าๆ ว่า “ความจริงแล้วแม่นางก็ไม่ได้คาดการผิดไปเสียทั้งหมด ทุกคนหลงใหลรูปโฉมและท่วงท่าสง่างามของแม่นางจริงๆ บนตัวของแม่นางมีไอเซียนประดุจนางฟ้าจากสรวงสวรรค์ ทำให้คนที่อยู่ใกล้อดลุ่มหลงไม่ได้”


 


 


คนทั้งหมดหันไปมององค์ชายสี่ของพวกเขา รู้สึกว่าบนหัวขององค์ชายสี่มีคำสามคำปรากฎอยู่….จอมประจบ


 


 


ชั่วชีวิตของอวี้เหว่ยไม่เคยได้ยินเตี้ยนเซี่ยเอ่ยวาจาเอาใจถึงขั้นนี้ เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากออกอย่างไม่เชื่อ


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของเขา กลับดื่มด่ำมาก มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างชื่นชม กล่าวยอด้วยเสียงนิ่ง “สายตาเหนือคนทั่วไปของท่าน ทำให้ข้ารู้สึกว่าการช่วยท่านนำทัพเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างเทียบไม่ได้ ชีวิตข้านี้ชอบให้คนชื่นชมข้าจากความจริงมากที่สุด”


 


 


คนทั้งหมด “…” นี่เรียกว่าความจริงอีกเหรอ ยังจะชื่นชมเจ้าจากความจริงอะไรอีกเล่า


 


 


ช่างเถอะ นับว่าพวกเขาเข้าใจแล้ว แม่นางท่านนี้เห็นคำชื่นชมทั้ง ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคำชื่นชมเหลวไหลไปเรื่อยเป็นคำชื่นชมจากความจริง  อย่างไรเสียนางก็หลงตัวเองเกินไป


 


 


จิ่วหุนเห็นปฏิกิริยาของนาง ก็เข้าใจอารมณ์ของนางแล้ว


 


 


เขามิได้โง่ ความจริงยิ่งเป็นคนที่ไม่เคยได้รับความอบอุ่นมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความรู้สึกไวกว่าคนปกติมากเท่านั้น ทั้งยังเข้าใจความรู้สึกในใจของคนได้ง่าย ทั้งยังประจบเอาใจผู้อื่นอย่างระมัดระวังมากกว่าคนทั่วไปด้วย


 


 


ในเสี้ยวนาทีนี้เขาสงสัยว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นคนประเภทเดียวกับเขา


 


 


ดังนั้นถึงเขาจะไม่ชอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เพื่อเอาใจเยี่ยเม่ยที่เขาชื่นชอบ เขารับพยักหน้า “เจ้าพูดถูก”


 


 


เขามองเยี่ยเม่ยด้วยท่าทางเชื่อฟังเอาใจ


 


 


ในเมื่อเจ้าเรื่องทั้งสองเอ่ยเช่นนี้แล้ว ผู้ชมรอบด้านยังพูดอะไรได้เล่า ทุกคนต่างถอนสายชมเรื่องสนุกกลับ ที่สมควรทำงานก็ทำงาน สมควรเงียบก็เงียบ ที่สมควรมองท้องฟ้าก็มองไป


 


 


ในเวลานี้เป่ยเฉินเสียงกลั้นความรู้สึกจนปัญญาเดินเข้ามา มองเยี่ยเม่ยและคนอื่น เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ได้ยินว่าเจ้าทำสัญญาแลกของกับราชาต้ามั่ว ทั้งยังเตรียมเอาเสบียงไปแลกด้วย ไม่ทราบว่าเจ้าคิดจะแลกอะไรมา”


 


 


เยี่ยเม่ยหันมองเขา ถามเสียงเย็นชา “เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย”


 


 


สำหรับคนไม่เข้าใจคุณค่าของนาง คนที่ไม่ยอมรับความสามารถของนางแล้ว นางไม่ใส่ใจเลยสักน้อย


 


 


เป่ยเฉินเสียงสีหน้าแข็งนิ่ง หลายปีมาแล้วนอกจากอยู่ต่อหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มีเพียงเยี่ยเม่ยคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เห็นเขาเป็นองค์ชาย กล้าเอ่ยวาจากับเขาเช่นนี้ แม้กระทั่งเสด็จพ่อยังไม่เคยไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้


 


 


ยังไม่ทันเอ่ยอะไร ในเวลานี้ คนผู้หนึ่งปรากฎกายไม่ไกลออกไปจากประตูเมือง หลังจากคนผู้นั้นใกล้เข้ามา องครักษ์ทั้งหลายรีบก้าวออกไปรั้งไว้


 


 


เยี่ยเม่ยมองคนผู้นั้น คนผู้นั้นก็มองเยี่ยเม่ย


 


 


ในเสี้ยวนาทีนั้นเอง ฝ่ายตรงข้ามเบิกตากว้างมองอย่างไม่เชื่อ ชี้เยี่ยเม่ย ริมฝีปากสั่นเอ่ยว่า “เป็น…เป็นเจ้า?”

 

 

 


ตอนที่ 59

 

ผู้มาสวมอาภรณ์สีม่วง แถบผ้าสีม่วงปลิวไสวด้วยแรงลม ใบหน้างดงามได้รูป เครื่องหน้าคล้ายถูกสลักออกมาอย่างวิจิตรนับเป็นโฉมสะคราญงามล้ำนางหนึ่ง 


 


 


แต่เมื่อมองใบหน้านางอย่างละเอียด เยี่ยเม่ยมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอคนผู้นี้ 


 


 


เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยในที่นี้อดใจไม่ไหวมองสตรีนางนั้น จากนั้นมองเยี่ยเม่ย บุรุษทั้งหลายมองหญิงงามอดใจเปรียบความเด่นล้ำไม่ได้ เยี่ยเม่ยงามกว่าขั้นหนึ่งจริงๆ แต่ความมั่นใจเกินเหตุของแม่นางเยี่ยเม่ย ช่าง… 


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องสตรีตรงหน้า เอ่ยถามเสียงเย็นชา “เจ้าเคยพบข้า?” 


 


 


ง้าวยาวในมือทหารขวางสตรีนางนั้นไว้ นางไม่อาจเข้าใกล้ ได้แต่มองเยี่ยเม่ยจากทิศไกล 


 


 


สตรีนางนั้นจ้องเยี่ยเม่ยครู่หนึ่ง กระบอกตาพลันแดงเรื่อ คล้ายกับใบหน้าของเยี่ยเม่ยกระตุ้นเรื่องในอดีตที่พยายามลืมเลือนขึ้นมา แต่นางก็สงบใจลงได้ไม่ช้า ส่ายหน้า ไม่รู้ว่ากำลังบอกตัวเองหรือบอกกับเยี่ยเม่ย “ไม่ เจ้าไม่ใช่นาง นาง…เพราะอะไร พวกเจ้าถึงได้คล้ายกันขนาดนี้…” 


 


 


คำพูดนี้ทำให้เยี่ยเม่ยเกิดความสงสัย “นาง” จากคำพูดของอีกฝ่าย  


 


 


เยี่ยเม่ยมองเหล่าทหารด้านข้างที่รั้งนางไว้ ส่งสายตาไป เอ่ยเสียงเย็นชา “ให้นางเข้ามา” 


 


 


 “ขอรับ” ยามนี้ตราพยัคฆ์อยู่ในมือเยี่ยเม่ย เหล่าทหารต่างเชื่อฟัง เก็บง้าวยาวในมืออย่างว่องไว 


 


 


สตรีนางนั้นเดินมาถึงหน้าเยี่ยเม่ย พิจารณาใบหน้าเยี่ยเม่ยในระยะใกล้ น้ำตาคลอในดวงตานั้นยิ่งชัดเจนขึ้น “เจ้าไม่ใช่นางจริงหรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยใจเต้นกระตุก รู้สึกเพียงอื้ออึงมึนงง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว นัยน์ตาสีเขียวจ้องเขม็งไปยังกระทำทุกอย่างของสตรีนางนั้น ไม่ให้อีกฝ่ายสบโอกาสทำร้ายเยี่ยเม่ยได้สักน้อย  


 


 


ส่วนมือของจิ่วหุนนั้นจับอยู่ที่มีดสั้นแต่แรกแล้ว มองสตรีนางนั้นด้วยความระมัดระวัง 


 


 


เป่ยเฉินเสียงเลิกคิ้ว เขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นเดียวกัน 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไป มองสตรีตรงหน้า เอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชาอีกครั้ง “นางที่เจ้าพูดคือใคร” 


 


 


สตรีนางนั้นได้ยิน ไม่ตอบ แต่ถามกลับว่า “เจ้าจำข้าได้หรือไม่” 


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยเม่ยก็ไร้ความอดทน บทสนทนาตอบคำถามไปมาเช่นนี้ ทำให้นางเริ่มหมดความอดทน ตวัดสายตามองสตรีนางนั้น ตอบตามสัตย์จริงว่า “ข้าจำเจ้าไม่ได้ ทั้งไม่เคยพบเจ้ามาก่อน และยิ่งไม่รู้ว่าปฏิกิริยาของเจ้าในตอนนี้คืออะไร หรือเจ้าคือลูกพี่ใหญ่ วิญญาณเจ้าย้ายร่างแล้ว” 


 


 


ไม่มีเหตุเลย นางกับลูกพี่ตกทะเลพร้อมกัน หากนางมาด้วยทั้งร่าง ไฉนลูกพี่จะย้ายวิญญาณมาเท่านั้น? 


 


 


แต่ก็ไม่อาจตัดความน่าจะเป็นนี้ออกไป 


 


 


ส่วนสตรีนางนั้นกลับมุ่นคิ้ว ไม่เข้าใจ กดเสียงต่ำถามว่า “ลูกพี่คือใคร” 


 


 


 “สหายสนิท” เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา เสริมขึ้น “ยังมีสหายร่วมตายอีกสองคน เยาเนี่ย เยาไกว่ พวกนางคือสหายสามคนที่มีค่าที่สุดของข้า” 


 


 


สตรีนางนั้นฟังนางพูดเช่นนี้ ค่อยๆ สงบสติลงมา อารมณ์ตกต่ำลงเล็กน้อย “ที่แท้ก็ไม่ใช่เจ้า ขอโทษด้วย ตอนที่ข้าเห็นหน้าเจ้า หลงคิดว่าเจ้าเป็นสหายข้า เพียงแต่ข้าลืมไปแล้วว่าสหายของข้าจากไปหลายปีแล้ว”  


 


 


พูดไปสายตานางก็มองเยี่ยเม่ยอีกครั้ง นั่นคือสายตาสกัดกดความปวดใจ “เจ้ากับนางหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด ตอนที่ข้ารู้จักนาง นางยังเด็กกว่านี้ รูปโฉมของเจ้าดูโตกว่านางหลายส่วน แต่เมื่อนับจากอายุ หากนางมีชีวิตมาถึงตอนนี้ สมควรเหมือนเจ้าไม่มีผิด” 


 


 


นี่เป็นสิ่งที่เยี่ยเม่ยไม่อาจเข้าใจได้ 


 


 


นางมุ่นคิ้ว มองสตรีตรงหน้าด้วยความฉงนสงสัย น้ำเสียงเย็นชากลล่าว “นางหน้าตาเหมือนข้า? ความงดงามของข้าถึงกับมีคนก๊อปปี้ได้?” 


 


 


คนทั้งหมดชะงักงัน ไม่เข้าใจว่าก๊อปปี้หมายความว่าอะไร 


 


 


เยี่ยเม่ยอธิบายนิ่งๆ “อ้อ ก๊อปปี้คือทำของเลียนแบบของต้นฉบับ” 


 


 


คนทั้งหมด “…” 


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นี้…ยามนี้นางแปลกใจไม่ใช่ว่าเพราะอะไรตนถึงหน้าเหมือนใครสักคน ทั้งไม่ใช่เพราะคำพูดที่สตรีนางนี้เอ่ยออกมาแฝงเล่ห์นัยอื่นหรือไม่ สิ่งที่นางใส่ใจกลับเป็น… 


 


 


รูปลักษณ์ของนางมีคนลอกเลียนได้หรือไม่ 


 


 


ในใจของทุกคนมีร้องว่า…มารดามันเถอะ 


 


 


มุมปากสตรีนางนั้นกระตุกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แต่ความเจ็บปวดในดวงตาสลายไปในเวลา น้ำเสียงเฉียบคมขึ้นหลายส่วน “ข้าคิดว่าพวกเจ้าหน้าตาเหมือนกัน นี่คือพรหมลิขิต นางไม่มีทางลอกเลียนแบบ”  


 


 


เห็นได้ชัดว่าสตรีกำลังตื่นตัว เพื่อปกป้องสหายที่นางเอ่ยถึง 


 


 


เยี่ยเม่ยคิดไปคิดมาอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา หากมีใครบอกพวกลูกพี่ว่า ใบหน้าของนางลอกเลียนแบบผู้อื่นมา พวกลูกพี่ต้องกำจัดทิ้งทันทีแน่  


 


 


ดังนั้นสำหรับสตรีนางนี้ นางกลับไม่โกรธ รู้สึกดีด้วยหลายส่วน กล่าวว่า “สหายที่จากไปของเจ้าผู้นั้น  หากรู้ว่าเจ้าปกป้องนางถึงขั้นนี้ คงจะดีใจมาก” 


 


 


 “ก็น่าจะใช่” สตรีนางนั้นถอนใจ สงบลงมาก นางมองเยี่ยเม่ยอีกครั้ง เสียงเบาเอ่ยว่า “เจ้ากับนางไม่เหมือนกันเลย ไม่ว่าจะเป็นสีหน้างดงามเย็นชา ยังมีน้ำเสียงการพูดล้วนแตกต่าง หากมิใช่เพราะใบหน้าเจ้าอยู่ต่อหน้าข้า ข้ายังสงสัยว่าข้าคิดถึงนางมากเกินไปจนทำให้เข้าใจผิด” 


 


 


นางถอนใจ สุดท้ายค่อยตระหนักได้ว่าที่ตนมาที่เพราะมีเรื่องอื่น  


 


 


นางมองคนทั้งหมด กำหมัดแสดงความเคารพดั่งชาวยุทธ์ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้านข้าง ยังมีจิ่วหุนและเป่ยเฉินเสียงด้วย สายตาของนางไม่ปิดบังความแปลกใจไว้เลยสักน้อย แต่ก็สลายไปอย่างว่องไว 


 


 


นางเอ่ยปาก “ข้าซือหม่าหรุ่ย เพราะได้ยินข่าวของพี่บุญธรรมจึงเดินทางมา ไม่ทราบว่าทุกท่านจะบอกข่าวสารเกี่ยวกับเขาให้ข้าได้หรือไม่” 


 


 


นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา เป่ยเฉินเสียงเอ่ยปากเป็นคนแรก “ซือหม่าหรุ่ย? เจ้าคือหมอเทวดา?” 


 


 


จิ่วหุนด้านข้างได้ฟัง พลันเงยหน้าขึ้นมามองซือหม่าหรุ่ย หมอเทวดา? นางอาจเป็นคนคนเดียวที่ถอนพิษเขาได้ แต่เขาแค่มองเท่านั้น จากนั้นก็ก้มหัว ไม่ทำอะไรอีก 


 


 


เขาไม่อยากให้เยี่ยเม่ยรู้ว่าเขาถูกพิษ 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองเขาด้วยสายตาเกรงใจ ประสานหมัดเอ่ย “ชื่อเสียงหมอเทวดาข้าไม่กล้ารับ เพียงแค่พอมีความสามารถอยู่บ้างเท่านั้น คนทั่วหล้ายกย่องเกินไปเท่านั้น” 


 


 


ถ่อมตนแต่ไม่เสแสร้ง เยี่ยเม่ยถูกใจสตรีนางนี้  


 


 


หรืออาจบอกว่าไม่รู้เพราะอะไร ถึงเยี่ยเม่ยจะจำนางไม่ได้เลยสักน้อย แต่ในใจกลับมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังรู้สึกชัดเจนรุนแรงมาก 


 


 


ภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้ เยี่ยเม่ยเอ่ยตรงไปตรงมา “เจ้าถามมาเถิด หากรู้ ข้าจะให้คำตอบเจ้าอย่างไม่ปิดบังแน่” 


 


 


พี่บุญธรรมของหมอเทวดา… 


 


 


เยี่ยเม่ยพลันคิดขึ้นได้ ครั้งก่อนตอนที่อวี้เหว่ยแนะนำราชาดาบ เคยพูดถึงซือหม่าหรุ่ย ดังนั้น… 


 


 


สายตาซือหม่าหรุ่ยปรากฏแววซาบซึ้ง รีบเอ่ยว่า “ขอบคุณที่แม่นางไม่ปิดบัง พี่บุญธรรมของข้าคือราชาดาบเซียวเซ่อหยาง เขาหายสาบสูญไปหลายปี ได้ฟังว่าไม่นานมานี้แม่นางเยี่ยเม่ยกับองค์ชายสี่อยู่ต้ามั่วได้รับข่าวของเขา ข้าตั้งใจเดินทางมาสอบถาม พี่บุญธรรมข้าถูกหวันเหยียนหงทำร้ายจริงหรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยหันไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เห็นสีหน้าคล้ายไม่ใส่ใจ บ่งบอกว่าไม่คิดตอบคำถามนี้ 


 


 


ดังนั้นนางหันไปมองซือหม่าหรุ่ยอีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยว่า “ดูจากสถานการณ์ก็คล้ายจะใช่ ยามนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนชี้ว่าหวันเหยียนหงลอบทำร้ายราชาดาบเพื่อชิงคัมภีร์ยุทธ์ จากการแสดงออกของหวันเหยียนหง ท่าทางเหมือนคาดการเรื่องราวได้ต้องถูกทั้งหมด”   


 


 


ซือหม่าหรุ่ยขมวดคิ้วแน่น จ้องเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “อย่างนั้นไม่ทราบว่าเขามีเผยออกมาหรือไม่ว่า พี่บุญธรรมข้าตอนนี้อยู่ที่ใด” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “แม่นาง หากเบาะแสที่เจ้ารู้ทำให้ข้าหาตัวพี่บุญธรรมพบ ซือหม่าหรุ่ยติดหนี้บุญคุณเจ้าครั้งหนึ่ง ซือหม่าหรุ่ยยินยอมติดตามอยู่ข้างกายเจ้าสิบปี ใช้ความสามารถทั้งหมด ช่วยคนเพื่อแม่นาง” 

 

 

 


ตอนที่ 60

 

นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา อย่าว่าแต่คนฟังด้านข้างเลย แม้แต่เยี่ยเม่ยเองยังหวั่นไหว 


 


 


ส่วนที่ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เพราะราชาดาบทั้งหมด หากเป็นเพราะราชาดาบ นางสัญญาว่าติดหนี้บุญคุณก็พอแล้ว ต่อให้กำหนดสัญญาไว้หลายปี ก็ไม่ถึงขั้นยาวนานถึงสิบปี  


 


 


เพียงแต่… 


 


 


แม่นางเบื้องหน้านี้รูปร่างหน้าตาคล้ายสหายของตนจริงๆ นางอยากอยู่ข้างกายอีกฝ่ายเพื่อยืนยันว่า… 


 


 


อีกฝ่ายคือจงเจิ้งซีหรือไม่ 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจแผนการของนาง กลับเลิกคิ้ว “เจ้าสามารถไปสืบดูที่ต้ามั่วก่อนได้ กลับมาแล้วค่อยปรึกษากับข้าว่าก้าวต่อไปจะทำอย่างไร ข้าจะพยายามช่วยเจ้าตามหาคนอย่างถึงที่สุด ส่วนที่ว่าเจ้าจะอยู่ข้างไปอีกสิบปีหรือไม่ ข้าไม่ถือสา” 


 


 


นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา ซือหม่าหรุ่ยใจเต้นระส่ำ มองนางอย่างไม่อยากเชื่อสายตา  


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อว่า “ข้ายุ่งเรื่องนี้ เพียงเพราะเจ้ายินยอมเสียสละเพื่อพี่บุญธรรมถึงขั้นนี้ พูดตามตรงแล้วคนที่สามารถเสียสละเพื่อสหายได้ หาได้ยากจริงๆ สมควรแก่การเคารพ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว เลิกคิ้วสูงด้วยท่วงท่าสง่างาม นัยน์ตามีแววสนุกสนานหลายส่วน 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยก็รำลึกถึงเรื่องในอดีตอยู่บ้าง 


 


 


เป่ยเฉินเสียงกลับขมวดคิ้ว แววตามองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เห็นด้วย อีกทั้งเขาอดทนไม่ไหวก้าวออกมา เอ่ยปากกับซือหม่าหรุ่ยว่า “ท่านหมอเทวดา ตัวข้าก็สามารถช่วยเจ้าตามหาราชาดาบได้ ข้านี้คือองค์ชายใหญ่แห่งเป่ยเฉิน เป่ยเฉินเสียง…”  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยคารวะเป่ยเฉินเสียง ปฏิเสธคำเสนอของอีกฝ่ายอย่างสุภาพ “องค์ชายใหญ่ หวังว่าท่านจะเข้าใจ ซือหม่าหรุ่ยยินยอมยื่นข้อเสนอนี้ ก็เพราะมีความรู้สึกดีกับแม่นางผู้นี้”  


 


 


ความหมายของซือหม่าหรุ่ยชัดเจนมาก 


 


 


นางรู้สึกดีกับเยี่ยเม่ย ไม่รู้สึกอะไรต่อเป่ยเฉินเสียง  


 


 


เป่ยเฉินเสียงย่อมเข้าใจว่าตนเองไม่มีเหตุผลไปแย่งชิงความรู้ดีๆ ของซือหม่าหรุ่ยกับสตรีคนหนึ่ง ทว่าในเวลานี้เขายังคงรู้สึกประดักประเดิดมาก 


 


 


เขาสีหน้าเปลี่ยนไป จ้องซือหม่าหรุ่ย “แต่หากข้าพบพี่บุญธรรมของแม่นางก่อนเล่า” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเงียบไปชั่วครู่ มองเป่ยเฉินเสียง “หากเป็นเช่นนั้นซือหม่าหรุ่ยยินยอมช่วยชีวิตคนให้องค์ชายใหญ่สามคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม 


 


 


คำสัญญานี้ถึงแม้ไม่ดีเท่ากับคำสัญญาที่ให้กับเยี่ยเม่ยเมื่อครู่ แต่ก็นับว่าไม่ด้อยแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียงกำหมัด พยักหน้าเล็กน้อย “ข้าจะช่วยแม่นางตามหาราชาดาบอย่างเต็มที่” 


 


 


เดิมทีเยี่ยเม่ยหาได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ ซือหม่าหรุ่ยบอกว่าจะอยู่ข้างกายนางสิบปี เยี่ยเม่ยถูกความจริงใจทำให้หวั่นไหว นางถึงได้คิดช่วยคน แต่คำพูดยังเป่ยเฉินเสียง นางเริ่มไม่พอใจบ้างแล้ว 


 


 


นางหันหน้ามองเป่ยเฉินเสียง น้ำเสียงเย็นชาไม่ยินดี “ทำไมท่านถึงชอบยุ่งไปทุกเรื่อง” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงชะงัก 


 


 


คิดย้อนดูตนเองก็เข้าร่วมกับเรื่องมากมายจริง ก่อนอื่นคือเรื่องตราพยัคฆ์ ตอนนี้ยังเป็นเรื่องนี้อีก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ยสีหน้าไม่พอใจ กลับยิ้มบางออกมา มองเป่ยเฉินเสียง เอ่ยช้าๆ ว่า “หากแม่นางเยี่ยเม่ยไม่พอใจต่อองค์ชายใหญ่ เยี่ยนยินดีทำเพื่อแม่นาง ให้เขาเงียบปากไปตลอดกาล” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงใจกระตุก หว่างคิ้วปรากฎความเดือดดาล 


 


 


เซี่ยโหวเฉินกระตุกชายเสื้อของเป่ยเฉินเสียงอีกครั้ง บอกให้อีกฝ่ายเงียบ เมื่อได้คำสัญญากับซือหม่าหรุ่ยแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าเป็นศัตรูกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่อไปอีก 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเป่ยเฉินเสียง แค่นเสียงเบาๆ ไม่ใส่ใจ “ข้าโอบอ้อมอารีใจกว้างมาโดยตลอด ขอเพียงแต่เขาอย่าหาเรื่องให้ข้ารำคาญ”   


 


 


เป่ยเฉินเสียงหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาอีกครั้ง… 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกลับคลี่ยิ้ม เบี่ยงประเด็นของเป่ยเฉินเสียง เอ่ยอย่างเกรงใจว่า “แม่นางท่านนี้ ไม่รู้ว่าหลายวันนี้ข้าจะอยู่ข้างกายท่านได้หรือไม่” 


 


 


เรื่องนี่กลับทำให้เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง กวาดตามอง “เจ้าไม่ได้จะไปต้ามั่ว สืบหาข่าวของพี่บุญธรรมของเจ้าหรอกเหรอ” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “ถึงข้าจะมีวิชาแพทย์สูงส่ง แต่วรยุทธ์ธรรมดา ไม่มีทางเข้าไปค่ายทหารต้ามั่วได้ ข้าต้องรอคนผู้หนึ่งมา ให้นางไปกับข้าถึงจะปลอดภัย”  


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ไม่ถามว่าเป็นใคร เพียงเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “นางรู้ว่าเจ้าอยู่กับข้าที่นี่?” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “ต่อให้ไม่รู้ คาดว่าหลังจากนางมาถึง เรื่องที่ทำเป็นอย่างแรกก็คือตามหาแม่นาง จริงสิ สนทนามาตั้งนานแล้ว ยังไม่รู้ว่าแม่นางมีนามว่าอะไร” 


 


 


เยี่ยเม่ยตอบออกมา “เยี่ยเม่ย เรียกข้าว่าเยี่ยเม่ยก็พอ” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “ดี ขอบคุณแม่นางเยี่ยเม่ย” 


 


 


เยี่ยเม่ยครุ่นคิดอยู่สักพัก เอ่ยเสียงเย็นชา “หากเจ้าอยากอยู่กับข้าหลายวัน ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ช่วงนี้ชายแดนมีการศึก ข้าไม่สามารถูแลเจ้าได้ดี…”  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยยิ้ม “ซือหม่าหรุ่ยออกท่องยุทธภพจนเคยชินแล้ว หาได้ต้องการคนปรนนิบัติ ขอเพียงมอบที่พักให้ซือหม่าหรุ่ยก็เพียงพอ”  


 


 


เยี่ยเม่ยเสริมขึ้นต่อว่า “วางใจเถอะ อาหารหนึ่งวันสามมื้อก็ไม่มีขาดตกบกพร่อง” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยหัวเราะโพล่งออกมา “ขอบคุณแม่นาง” 


 


 


สนทนากันมาจนถึงตอนนี้ เป็นอันว่าปรึกษาหารือกันเสร็จเรียบร้อย 


 


 


องค์ชายสี่ยื่นหน้ามาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเม่ย จิ่วหุนหน้าเปลี่ยนสี มือจับที่มีดสั้นอย่างไม่รู้ตัว แต่เมื่อคิดถึงวิธีที่เยี่ยเม่ยใช้หยุดพวกเขาโจมตีกันเมื่อครู่ เขาหยุดมือโดยไว 


 


 


เขามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความไม่พอใจ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาอยู่ด้านหน้าเยี่ยเม่ย น้ำเสียงน่าฟัง ในเวลานี้เต็มไปด้วยแววประจบประแจง “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าเอ่ยวาจามาครึ่งค่อนวันแล้วหิวแล้วหรือยัง เยี่ยนเตรียมอาหารเช้าอันสมบูรณ์ไว้ให้แม่นางแล้ว ไปกินข้าวด้วยกันดีหรือไม่ เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า ให้เยี่ยนช่วยทุบบ่าให้ไหม”  


 


 


อวี้เหว่ยหันกลับมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ใจคิดว่า “นี่คือองค์ชายสี่บ้านไหนกัน ลากตัวออกไปที ข้าไม่รู้จักเขา” 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา น้ำเสียงเย็นชา “ทุบบ่าคงไม่ต้องแล้ว ไปกินข้าวก็ได้ ช่วงบ่ายยังมีแผนการอีกมากมายให้จัดการ ทุกคนไปกินข้าวกันก่อน” 


 


 


 “ขอรับ” หลูเซียงฮั่วเป็นคนแรกที่พยักหน้า เขาเฝ้ารอการลงมือตามแผนการต่อไปในตอนบ่ายเป็นอย่างมาก 


 


 


   … 


 


 


เจียงหนาน 


 


 


หมู่ตึกกูเยว่ 


 


 


สตรีนางหนึ่งเดินกอดอกผ่านสวนดอกไม้ สวนนั้นเต็มไปด้วยบุปผากว่าร้อยชนิด บานสะพรั่งดูแล้วสะเปะสะปะตามอำเภอใจไปบ้าง ทว่ากลับแสดงให้เห็นรสนิยมของผู้เป็นนาย 


 


 


คนที่เดินผ่านไปมาพบสตรีนางนั้น ค้อมเอว “ผู้อาวุโส” 


 


 


นางพยักหน้า 


 


 


นางเดินตรงเข้าเรือน ไกลออกไปฉากกั้นลมบดบังบุรุษที่กำลังบรรเลงพิณ แต่ยังสามารถเห็นชายเสื้อของบุรุษพลิ้วไหว เนื้อผ้าเรียบง่ายทว่างดงาม บริสุทธิ์และสูงส่ง เผยให้เห็นความชอบชั้นสูง ทว่าไม่อาจเห็นรูปโฉมแท้จริง 


 


 


สตรีพลันยื่นมือออก แถบผ้าสีแดงในมือสะบัดออกไปโจมตีฉากกั้นลมนั้น 


 


 


แถบผ้ายังไม่ทันกระแทกฉากกั้นลม ก็ถูกกำลังภายในของคนผู้นั้นทำให้หยุดลง 


 


 


เสียงพิณยังคงดังต่อเนื่อง ไม่ได้รับผลกระทบเลยสักน้อย 


 


 


น้ำเสียงน่าฟังของบุรุษด้านในส่งออกมา ทว่ากลับโดดเดี่ยวไร้ซึ่งความรู้สึก “ความชอบของพี่หญิงบุญธรรม ไม่เคยเปลี่ยน” 


 


 


สตรีแลบลิ้นออกมา รีบค้อมเอวคารวะ “นายท่าน ข้าน้อยทำผิดล่วงเกินแล้ว” 


 


 


พูดไป น้ำเสียงของสตรีนางนั้นโศกเศร้าขึ้น “แต่ถึงข้าซินเยว่เยี่ยนจะเป็นพี่สาวบุญธรรมของเจ้า ทว่าพี่สาวไร้สามารถคนนี้ ชั่วชีวิตยังไม่เคยเอาชนะเจ้าได้ กูเยว่อู๋เหิน”  


 


 


ที่แท้สตรีนางนี้คือซินเยว่เยี่ยน ส่วนบุรุษคือกูเยว่อู๋เหิน  


 


 


เสียงพิณยังดำเนินต่อไป 


 


 


น้ำเสียงเรียบสงบของกูเยว่อู๋เหิน เอ่ยถามต่อว่า “พี่หญิงบุญธรรมเดินทางมา เพราะขออนุญาตไปตามหาราชาดาบ?” 

 

 

 


ตอนที่ 61

 

สิ้นเสียงเขา 


 


 


สีหน้าซินเยว่เยี่ยนพลันแข็งทื่อไป หัวเราะฮี่ๆ เสียงแห้ง “ถูกเจ้าจับได้แล้ว เจ้าก็รู้ถึงแม้ข้ากับเซียวเซ่อหยางจะไม่มีความรู้สึกอันใดต่อกัน แต่อย่างไรก็มีสัญญาหมั้นหมาย ดังนั้นข้าต้องตามหาเขา ถึงมีโอกาสยกเลิกสัญญา เพราะฉะนั้นเจ้าต้องปล่อยข้าไปนะ?”  


 


 


น้ำเสียงราบเรียบของบุรุษดังขึ้นว่า  “พี่หญิงคิดถอนหมั้น หมู่ตึกกูเยว่สามารถส่งคนไปยกเลิกที่ตระกูลเซียวโดยตรง” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนมุ่นคิ้ว รีบเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเคารพพี่หญิงที่แก่กว่าเจ้าสามปีอย่างข้า ถึงไม่ถามหาสาเหตุในการถอนหมั้น จนถึงขนาดเอ่ยคำพูดประเภทนี้ออกมาง่ายดาย อย่างไรก็ตามหมู่ตึกกูเยว่ของเราเป็นฝ่ายถอนหมั้น ถอนหมั้นตรงๆ เป็นการฉีกหน้าตระกูลเซียว ดังนั้นถึงหวังให้เซียวเซ่อหยางขอถอนหมั้น ทำเช่นนี้ถึงทำให้ผู้อื่นสูญเสียงานแต่งงาน แต่ไม่เสียหน้า” 


 


 


น้ำเสียงเรียบของกูเยว่อู๋เหินเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เขาถอนหมั้น ชื่อเสียงของพี่หญิงก็เสื่อมเสีย ในเมื่อต้องมีคนเสื่อมเสียชื่อเสียง อย่างนั้นก็ให้คนนอกแบกรับ”  


 


 


ระหว่างพูดคุย มือเขาบรรเลงพิณ เสียงดนตรีไพเราะเสนาะหูฟังดังเดิม 


 


 


จากท่าทีของกูเยว่อู๋เหินก็สะท้อนเห็นได้ชัดถึงการเข้าข้างคนของตนอย่างชัดเจน ทั้งสะท้อนถึงความใจดำของเขา คำพูดประเภทว่าหากมีต้องมีคนผู้หนึ่งโชคร้าย ก็ให้คนผู้อื่นรับเคราะห์ ซ้ำยังเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่ใส่ใจสักน้อยนิด 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนที่คุ้นชินกับนิสัยเขามากนานแล้วยังอดกระตุกมุมปากไม่ได้  


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยกมุมปากเอ่ยว่า “ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจข้าก็รับไม่ได้” 


 


 


“พิสูจน์ได้ว่าหนังหน้าของพี่หญิงยังไม่หนาพอ” สิ้นคำวิจารณ์สั้นๆ  เสียงเพลงบรรเลงมาถึงช่วงท้าย สิ้นเสียงพิณ ชายหนุ่มลุกขึ้น น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่หญิงก็ไปเถอะ” 


 


 


ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับห้องของเขา 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยิ้มมุมปาก ผลักฉากกันลม เอ่ยเสียงสูงไล่ตามเงาหลังของเจ้าหนุ่มนั่นไป “จะว่าไปก่อนพ่อบุญธรรมจะสิ้นใจ กำชับให้ข้าจัดพิธีแต่งงานให้เจ้า รูปภาพที่ข้าให้คนส่งไป เจ้าดูหรือยัง มีใครต้องตาหรือไม่” 


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ไป น้ำเสียงราบเรียบของคนผู้นั้นส่งมาเบาๆ อีกครั้ง  “ความสง่างามของกูเยว่ ปุถุชนทั่วไปไม่อาจเอื้อมถึง” 


 


 


พูดจบ ประตูห้องเขาปิดลง คนเข้าด้านในไปแล้ว 


 


 


ท่าทางไม่ใส่ใจโลกหล้า รวมถึงไม่ยินยอมใส่ใจผู้ใด ไม่สนใจผู้คนนี้ก็รวมไปถึงตัวพี่สาวบุญธรรมของเขาด้วย 


 


 


เดิมก็คือกูเยว่ (จันทร์เดียวดาย) เหตุไฉนจึงต้องเปื้อนเรื่องทางโลกด้วย 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนรู้จักนิสัยเย่อหยิ่งของเขาดี นางหางตากระตุก คิดว่ากูเยว่คือชื่อแทนของกูเยว่อู๋เหิน น้องชายบุญธรรมของนางผู้นี้ ไม่ว่าความสามารถ หรือความใจดำ  หรือว่านิสัยใจคอ นับว่าปุถุชนทั่วไปไม่อาจอาจเอื้อมจริงๆ 


 


 


เพียงแต่ดวงจันทร์บนนภาเดียวดายนี้ หรือจะโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนถอนใจ สาวเท้ากว้างเดินจากไป ไม่ได้ นางต้องเก็บข้าวของออกจากบ้าน ครั้งนี้ไม่เพียงจะต้องทำให้เซียวเซ่อหยางถอนหมั้น นางผู้เป็นพี่สาวที่สามวันตกปลา สองวันตากแห[1]พึ่งพาไม่ได้ผู้นี้ เวลานี้สมควรตั้งใจบ้างแล้ว หาแม่นางกลับมาให้น้องชายสักคน” 


 


 


   …… 


 


 


สองวันถัดมา ณ ชายแดน  


 


 


พ่อค้าโฉดจำนวนมากต่างถูกจับที่เมืองชายแดน เรื่องนี้ล้วนเป็นผลงานของเยี่ยเม่ย  


 


 


พูดให้ถูกคือ วันก่อนทหารจำนวนมากบุกโรงคลังอย่างกระทันหัน ตรวจสอบสินค้าผิดกฎหมาย เกรงว่าตนเองจะถูกจับขังคุก เถ้าแก่จนถึงลูกน้องล้วนตื่นเต้นตระหนกกันไปหมด กลัวว่าจะถูกจับเข้าคุก ให้ทัณฑ์ทรมาน จึงสารภาพออกมาว่าถึงความชั่วร้ายตลอดหลายปีที่ผ่าน หลอกลวงประชาชนอย่างไร 


 


 


คิดไม่ถึงว่า จับคนก็จับแล้ว 


 


 


ผลคือไม่ได้จับเข้าคุก แต่จับมาที่นี่ ทำเรื่องผิดกฎหมายต่อไป 


 


 


ถึงกระทั่งพวกเขาแต่ละคนเหงื่อกาฬเย็บเยียบ ในใจอดคิดไม่ได้ว่าหรือทหารเหล่านี้คิดทำการค้าผิดกฎหมาย? 


 


 


จากทุกอย่างดำเนินการเสร็จสิ้น 


 


 


เยี่ยเม่ยเดินเข้ามาในสถานที่ทำงานของพวกเขา หลูเซียงฮั่วก้าวออกมา นำสินค้ามอบให้เยี่ยเม่ย เอ่ยปาก “แม่นางเยี่ยเม่ย เสร็จงานแล้ว ท่านลองตรวจดู” 


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดตามอง ไม่พบปัญหาใด พยักหน้าพอใจ 


 


 


สายตานางมองไปยังพ่อค้าโฉดที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้าง รวมถึงบ่าวไพร่ทั้งหลายที่มีสีหน้าหวาดกลัว หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบหลังจากทำงานเสร็จ 


 


 


แม่ทัพหลูเอ่ยปากถาม “แม่นางเยี่ยเม่ย คนที่ทำเรื่องชั่วร้ายพวกนี้ จะจัดการอย่างไร”     


 


 


เยี่ยเม่ยเสียงเย็นชา “พรุ่งนี้เป็นวันที่พวกเราออกไปแลกเปลี่ยนเสบียงกับต้ามั่ว คนเหล่านี้ขังไว้ที่นี่สามวันก่อน เพื่อไม่ให้มีข่าวเล็ดลอดออกไป” 


 


 


 “แล้วจากนั้น…”แม่ทัพหลูมองเยี่ยเม่ย รอคำสั่ง 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ตอบว่า “จากนั้นลากไปที่ศาลาว่าการ สมควรจัดการอย่างไรก็ทำตามนั้น ทำความชั่ว สมควรชดใช้” 


 


 


หลูเซียงฮั่วพยักหน้า รู้สึกยอมรับในตัวเยี่ยเม่ยเพิ่มมากขึ้น “ขอรับ แม่นางเยี่ยเม่ย” 


 


 


สตรีนางนี้ถนัดใช้คน ทั้งรังเกียจความชั่วร้าย คู่ควรให้เขานับถือ 


 


 


   …… 


 


 


เยี่ยเม่ยเดินออกจากโรงคลัง ก็เป็นยามค่ำแล้ว  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนรอนางหน้าประตู ส่วนจิ่วหุนอยู่ห่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกไปไม่ไกล สองมือกอดอก 


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง จิ่วหุนเดินทางมากับนาง ย่อมไม่ต้องถาม 


 


 


เพียงแต่นางมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามว่า “ท่านมาหาข้า? มีอะไร” 


 


 


องค์ชายสี่พยักหน้า น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยช้าๆ “แม่นางเยี่ยเม่ย วันนี้บนเตียงเจ้ามีงูพิษหลายตัว ข้าโยนไปเอง ก่อนนอนจงระวังไว้ให้ดี อย่าให้พวกมันกัดเจ้าได้” 


 


 


เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา เยี่ยเม่ยเรียวคิ้วขมวดแน่น รู้สึกว่ามีจุดใดไม่ถูกต้อง แต่ในเสี้ยวเวลาชั่ววูบคิดไม่ออก พยักหน้าตอบ “ขอบคุณที่เตือน” 


 


 


นางล่วงเกินใครอีก ถึงได้โยนงูพิษใส่ที่นอนนาง? 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก้มหน้าราวกับผู้มีมารยาท จากนั้นเดินสง่างามออกไป 


 


 


รอจนเขาจากไป เยี่ยเม่ยพลันตระหนักได้ หันกลับไปหาจิ่วหุน “เมื่อครู่เขาบอกว่าอะไรนะ ใครโยนงูพิษไว้บนเตียงข้า” 


 


 


นางฟังไม่ผิดใช่หรือไม่ 


 


 


หลังจากจิ่วหุนเดินมาถึงเยี่ยเม่ย แทบอยากเสียบมีดสั้นเข้าที่ตัวเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาตอบเสียงต่ำ  “เขาเป็นคนปล่อยงู” 


 


 


เยี่ยเม่ยหางตากระตุก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยเช่นนี้จริง แต่นางปรายตามองจิ่วหุนทีหนึ่ง  ถามว่า “เจ้าว่าหากเขาเป็นคนปล่อย ไฉนถึงจงใจบอกข้า กลัวลอบทำร้ายสำเร็จเหรอ อีกอย่างเขามีเหตุผลใดในการทำร้ายข้า” 


 


 


หรือเขาต้องการรับแทนคนอื่น ใครกันที่มีหน้ามีตาถึงขั้นนั้น นางพลันรู้สึกแปลกใจ 


 


 


จิ่วหุนฟังแล้ว เสริมขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าเห็นกับตา” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความแปลกใจ รอคำพูดต่อไป เจ้าเด็กจิ่วหุนนี่อยู่กับนางทั้งวัน ไฉนของที่เขามองเห็น นางกลับมองไม่เห็น  


 


 


จิ่วหุนเห็นนางสงสัย ตอบว่า “เมื่อครู่เจ้าเข้าโรงคลังไป ข้าเห็นเขาเดินเข้าห้องเจ้า ไม่รู้ว่าถืออะไรอยู่ในมือ” 


 


 


มุมปากเยี่ยเม่ยกระตุกเล็กน้อย 


 


 


ดังนั้นทุกอย่างคือเรื่องจริงเหรอ ทำไมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องทำเช่นนี้ สมองมีปัญหาหรือเปล่า  


 


 


นางคิดไม่ตก 


 


 


นางพยักหน้า เอ่ยว่า “ช่างเถอะ ไม่ต้องเอ่ยอีก กลับไปค่อยว่ากัน” 


 


 


 “อืม” จิ่วหุนยักหน้าเชื่อฟัง เดินติดตามเยี่ยเม่ยกลับไปจนถึงหน้าห้องนาง 


 


 


บนหลังคาไกลออกไป องค์ชายสี่นอนพิงหลังคา สองมือหนุนหลังคอเป็นหมอนด้วยท่าทีสบายอารมณ์ มองเงาหลังเยี่ยเม่ยและจิ่วหุนด้วยท่าทางโดดเด่นสง่างาม 


 


 


อวี้เหว่ยมองใบหน้าด้านข้างของเตี้ยนเซี่ยอย่างงุนงง “เตี้ยนเซี่ย เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชี้ไปที่จิ่วหุน น้ำเสียงไพเราะตอบคล้ายไม่ใส่ใจว่า “เจ้าก็เห็นแล้วว่า ข้างกายนางมีเจ้าหนุ่มคนหนึ่ง ข้าเห็นเขาคือศัตรูหัวใจ เพื่อแสดงความพิเศษของเยี่ยน ก็ได้แต่ใช้วิธีเช่นนี้เพื่อดึงดูดความสนใจของนาง” 


 


 


อวี้เหว่ย “…?” เพื่อแสงความพิเศษ? ดึงดูดความสนใจ? 


 


 


ความจริงเขาอยากถามอีกหลายข้อ เตี้ยนเซี่ยท่านเคยไปจีบสตรีหรือไม่ 


 


 


เตี้ยนเซี่ยท่านมีปัญหาทางสมองหรือเปล่า 


 


 


เตี้ยนเซี่ยท่านอย่าได้ “พิเศษ”จนเกินเหตุๆได้ไหม? มีใครเขาขุดหลุมพรางให้ตัวเองแบบท่านบ้าง 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ทำเรื่องใดๆ ประเดี๋ยวประด๋าว ทำได้ไม่นานก็เลิก ไม่จริงจังตั้งใจ 

 

 

 


ตอนที่ 62

 

ยามนี้อวี้เหว่ยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาเหยียดปาก เอ่ยไปในทางเลวร้ายขึ้นอีกว่า “เตี้ยนเซี่ย ไฉนท่านไม่คิดบ้างว่า ตรงเข้าไปตบแม่นางผู้นั้นเลย ทำเช่นนี้ถึงดึงดูดความสนใจนางได้ ไม่แน่ว่านางยังจะบอกว่า ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยมีใครกล้าตบข้ามาก่อน ท่านก็ทำให้นางรู้สึกถึงความพิเศษได้สำเร็จ”  


 


 


ก็ไม่รู้ว่าเตี้ยนเซี่ยจริงจังหรือไม่ ไฉนเมื่อก่อนเขาไม่รู้เลยว่าเตี้ยนเซี่ย…เบาปัญญา 


 


 


เดิมก็นับเป็นประโยคประชดประชัน คิดไม่ถึงว่าเมื่อเอ่ยไปแล้ว เตี้ยนเซี่ยกลับมองเขาอย่างจริงจัง น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “คำพูดของเจ้า ไม่ใช่เยี่ยนไม่เคยคิด เพียงแต่เยี่ยนกำลังภายในล้ำเลิศ หากตบแม่นางเยี่ยเม่ยแล้วทำให้นางบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าดึงความสนใจไม่ได้ ซ้ำยังเป็นเพาะปมแค้นอีก”  


 


 


อวี้เหว่ยปากกว้างจนคางแทบไปจรดกับรองเท้า 


 


 


เตี้ยนเซี่ยเคยคิดถึงเรื่องตบหน้าจริงๆ ตบจนบาดเจ็บสาหัสก็เคยคิดมาแล้ว… 


 


 


อวี้เหว่ยกลั้นน้ำตาไว้ สายตาสอดส่องไปรอบๆ พลันรู้สึกว่าทนมองไม่ได้อีก คิดเงียบๆ ในใจ ยังดีที่เตี้ยนเซี่ยยังรู้ว่า การตบคนบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจดึงความสนใจได้ ทั้งยังเป็นการผูกความแค้น ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าเรื่องจะบานปลายไปไกลถึงขั้นไหน 


 


 


เห็นอวี้เหว่ยสีหน้าอมทุกข์ องค์ชายสี่เลิกคิ้วสูงอย่างสง่างาม กวาดสายตามองอวี้เหว่ย ถามเนิบๆ ว่า “ทำไมกัน”  


 


 


อวี้เหว่ยมองห้องของเยี่ยเม่ยที่ไม่ไกลออกไป เห็นเยี่ยเม่ยผลักประตูเปิดออก เขาพรูลมหายใจยาว 


 


 


 “ไม่มีอะไร” อวี้เหว่ยฟังประโยคนี้ของตนเองคิดว่า 


 


 


ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ เตี้ยนเซี่ยก็ทำเรื่องไปแล้ว เวลานี้พูดไปก็ไม่ทันอีก ได้แต่โทษที่ตัวเองโง่งมเกินไป เตี้ยนเซี่ยให้ไปจับงูก็จับ มองเตี้ยนเซี่ยทำร้ายตัวเองอย่างเต็มตา  เพียงคิดว่าเตี้ยนเซี่ยแกล้งแม่นางเยี่ยเม่ยเท่านั้น ใครจะคิดว่าเตี้ยนเซี่ยคิดเช่นนี้…  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมไม่เคยจีบสตรีมาก่อน แต่อย่างไรก็ไม่ถึงขั้นโง่งม เห็นการตอบสนองของอวี้เหว่ย เขาเริ่มสงสัยว่า ตนเองทำเกินไปหรือไม่ 


 


 


   …… 


 


 


เยี่ยเม่ยเปิดประตูออก 


 


 


จิ่วหุนยื่นมือรั้งตัวนางไว้ เส้นเสียงของเขายังคงต่ำเหมือนเคย เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าเข้าไปจับงูออกมาก่อน” 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไป นางไม่กลัวงูแน่นอน แต่เจ้าสิ่งนี้ก็น่าแขยงจริงๆ ไม่น่าเชยชมเลยสักน้อย จิ่วหุนช่วยจับออกไปก่อน ก็เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว 


 


 


นางพยักหน้า อนุญาตเสียงเย็นชา “ดี” 


 


 


จิ่วหุนสาวเท้ากว้างเข้าห้องเยี่ยเม่ย ส่วนนางรออยู่ด้านนอก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นเหตุการณ์ ดวงตาสีเขียวหรี่เล็กลงฉายแววไม่พอใจ อวี้เหว่ยยืนมองอยู่ด้านข้าง ถอนใจ “เตี้ยนเซี่ย ท่านดูสิ วิธีดึงดูดความสนใจของท่าน ใช้ไม่ค่อยได้ อย่าว่าแต่กำราบศัตรูหัวใจเลย ยังช่วยศัตรูหัวใจมีโอกาสเข้าห้องแม่นางเยี่ยเม่ยอย่างสง่าผ่าเผย” 


 


 


เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ สีหน้าสบายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หนักอึ้งลงทันที  


 


 


ในเวลานี้เอง 


 


 


จิ่วหุนจับงูทั้งหมดในห้อง เดินจากออกมา ครั้นมองงูพิษในมืออวี้เหว่ยรู้สึกหนังศีรษะชาวาบอยู่สักพัก งูพิษเช่นนี้ แม้บุรุษอกสามศอกอย่างเขาเห็นแล้วยังรู้สึกหวาดกลัว 


 


 


เตี้ยนเซี่ยถึงกับปล่อยงูพิษบนเตียงแม่นางเยี่ยเม่ย เพื่อดึงดูดความสนใจของนาง  


 


 


นี่ออกจะ…พิสดารจริงๆ 


 


 


เยี่ยเม่ยมองงูเห่าหลายตัวในมือเขา หัวใจเต้นกระตุก ยิ่งสงสัยว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนประสาทหรือเปล่า แค้นนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ 


 


 


จิ่วหุนมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปาก “จับหมดแล้ว ข้าตรวจดูไม่มีเหลือรอด อีกเดี๋ยวค่อยให้คนมาเปลี่ยนผ้าปูเตียงให้เจ้า” 


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ขอบคุณ” 


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของจิ่วหุนแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ในยามราตรีมองไม่ชัดมีเพียงเขาเองที่รู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้า เขาพยักหน้า เสียงเบาเอ่ย “ไม่เป็นไร” 


 


 


เขาหมุนกายเอางูไปทิ้ง สองเท้าก้าวออกว่องไวราวกับมีอะไรไล่ตามอยู่ด้านหลัง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นภาพนี้สีหน้ายิ่งหนักอึ้ง เพื่อชักนำให้เตี้ยนเซี่ยมีความคิดอยู่ในทางปกติ อวี้เหว่ยรีบเอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านก็เห็นแล้ว สุดท้ายเรื่องนี้ ยังทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยซาบซึ้งในตัวศัตรู ที่น่ากลัวกว่าคือ ไม่แน่ว่าในใจของแม่นางเยี่ยเม่ยจะตำหนิท่าน ภายหน้าท่านเปลี่ยนวิธีเถอะ” 


 


 


สิ้นเสียงเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ น้ำเสียงอ่อนโยน เอ่ยช้าๆ “อวี้เหว่ย วันนี้เจ้าพูดมากนัก” 


 


 


อวี้เหว่ยยังบ่นต่อ “เพราะการกระทำของท่าน ทำให้ข้าน้อยไม่อาจไม่พูด ข้าน้อยกลัวข้าน้อยไม่เอ่ยออกไป ภายหน้าท่านจะสะดุดล้มอย่างอนาถกว่านี้” 


 


 


อย่างไรเตี้ยนเซี่ยเก็บเขาไว้ข้างกาย ไม่สังหารเขาทิ้ง เขาจึงคิดว่าในใต้หล้านี้นอกจากตัวเองแล้ว ไม่มีใครกล้าบ่นเตี้ยนเซี่ย เขาจึงไม่กลัวที่เอ่ยออกไป  


 


 


แล้วก็เป็นจริง เขาพูดเช่นนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่ได้กำจัดเขาจริงๆ กลับแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง 


 


 


จากนั้นเขาเห็นบ่าวเข้าห้องแม่นางเยี่ยเม่ย เปลี่ยนผ้าปูเตียงแล้วคนเดินจากไป ก่อนเยี่ยเม่ยเข้าประตู ยังก่นด่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้ผีเข้าหรือไงก็ไม่รู้”  


 


 


จากนั้นนางก็เดินเข้าห้องไป 


 


 


หลังจากองค์ชายสี่สูดลมหายใจลึก ค่อยถอนใจออกมา วิจารณ์คำพูดของอวี้เหว่ย “เจ้าพูดถูก เยี่ยนกลับคิดไม่ถึงว่า แนวคิดของบุรุษและสตรีต่างกันถึงเพียงนี้”  


 


 


หากเป็นตัวเขาพบคนที่กล้ายั่วยุตนเป็นครั้งแรก ย่อมมีความสนใจไม่น้อย เขาพยายามคาดเดาความคิดนางแล้ว ทว่าคิดไม่ถึงคือเรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ 


 


 


หรือวิธีที่ตนใช้เกินเหตุไปจริง  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมุ่นคิ้วใช้ความคิด ลุกขึ้น จัดอาภรณ์ตนเองด้วยท่าทางสง่างาม เอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว วันนี้ถือว่าเจ้านั่นได้เปรียบ ให้เขาได้โอกาสก่อน แต่…ไม่ว่าอย่างไร เยี่ยนจะหาทางใหม่เพื่อดึงความสนใจของแม่นางเยี่ยเม่ย” 


 


 


อวี้เหว่ยถอนใจ ในขณะเดียวกันก็ตื่นเต้นเสียจนหัวใจแทบกระดอนออกมาจากปาก  กลัวว่าเตี้ยนเซี่ยของตนจะคิดวิธีที่ทำให้คนพูดไม่ออกอีก  


 


 


เตี้ยนเซี่ยเป็นคนควบคุมความรู้สึกได้ดี ทั้งยังคาดเดานิสัยคนได้เก่งกาจ ถนัดการทรมานใจคน วันนี้เป็นอะไรไปแล้ว…ทั้งสติปัญญา ทั้งอารมณ์ความรู้สึกล้วนไม่เหลือหลอ 


 


 


 “ไปเถอะ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้าวเท้าออก 


 


 


อวี้เหว่ยรีบตามไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยปากรายงาน “จริงสิ เตี้ยนเซี่ย คนที่ฮองเฮาส่งมาจับแม่นางเยี่ยเม่ย ถูกคนที่ท่านส่งไปไล่กลับไปหมดแล้ว ฮองเฮาไม่ส่งใครมาอีก ยังมีอีก…ที่ท่านให้แม่ทัพหลี่นำคนไปสังหารซือถูเฉียง ผ่านไปสองวันแล้ว…” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันมองเขา แววตาเย็นเยียบ ทอประกายเย็นชา 


 


 


อวี้เหว่ยรายงานาต่อ “ผ่านไปสองวันแล้ว ยังตามคนไม่พบ ได้ยินว่าซือถูเฟิงพานางหนีไปด้วยกัน แม่ทัพหลี่ไล่ตามไม่ทัน ภายหลังแม่ทัพหลี่ส่งคนไปค้นหา เพียงแต่…” 


 


 


เอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็ไม่เอ่ยต่ออีก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้วคล้ายไม่ใส่ใจ ถามว่า “ซือถูเฟิงหรือ” 


 


 


อวี้เหว่ยพยักหน้า “คือเขา ข้าน้อยคิดว่า ถึงแม้แม่ทัพหลี่ไม่กล้าสังหารซือถูเฉียง แต่ว่าต้องรู้ผลลัพธ์ของการขัดคำสั่งท่าน ทั้งยังรู้ว่าหากสุดท้ายหาคนไม่พบ ต้องถูกท่านจัดการแน่ ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า เรื่องนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดอยู่ที่ซือถูเฟิง ยังมีอีกข้าน้อยได้ข่าวลับมา ซือถูเฟิงเคยส่งคนล้อมแม่นางเยี่ยเม่ย”  

 

 

 


ตอนที่ 63

 

“อ้อ?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว ดวงตาสีเขียวเผยไอสังหารกระแสหนึ่ง 


 


 


อวี้เหว่ยเหลือบตามองใบหน้าด้านข้างของเขา เอ่ยปากอย่างระวังว่า “ข่าวสารจากหน่วยข่าวกรองบอกว่าวันนั้นซือถูเฟิงคิดทำร้ายแม่นางเยี่ยเม่ย บุรุษหนุ่มผู้นั้นชิงกระบี่ซือถูเฟิง ใช้กระบี่จี้คอเขา บีบให้พวกเขาถอยร่นไป!” 


 


 


คำพูดนี้เอ่ยออกมาได้ง่ายดายนัก 


 


 


ในวงล้อมของซือถูเฟิง มอบโอกาสให้จิ่วหุนเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามได้อย่างสมบูรณ์แบบ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว มุมปากคลี่ยิ้มอ่อนโยน ค่อยๆ เอ่ยว่า “ญาติผู้พี่ของเยี่ยนผู้นี้ นับวันยิ่งสร้างความแปลกใจให้เยี่ยนนัก มิน่าวันนั้นเขาถึงนำความเคลื่อนไหวของแม่นางเยี่ยเม่ยมาแจ้ง คาดว่าเขาสังหารแม่นางเยี่ยเม่ยไม่สำเร็จ จึงคิดยืมมือเยี่ยนสังหารนางแทน!”  


 


 


อวี้เหว่ยฟังแล้ว พยักหน้า “เตี้ยนเซี่ย น่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ!” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนใจ ลมกระแสหนึ่งพัดเส้นผมยาวทิ้งลงมาจากกวน[1]หยก จอนผมดำขลับกลุ่มหนึ่งถูกพัดปรกหน้า ยิ่งขลับความชั่วร้ายเย้ายวนใจบนใบหน้าเขา 


 


 


มุมปากเขาค่อยๆ ปรากฎรอยยิ้ม ทว่าชวนให้คนรู้สึกเพียงความชั่วร้ายเต็มเปี่ยมเท่านั้น ประดุจรอยยิ้มปีศาจจากยมโลกมืดมิด น้ำเสียงของเขาผ่อนคลาย เอ่ยแช่มช้าว่า “อวี้เหว่ย เยี่ยนมีเมตตาไปใช่หรือไม่ ญาติผู้พี่วางแผนทำร้ายแม่นางในดวงใจเยี่ยน ทั้งยังคิดยืมมือเยี่ยนสังหารสตรีที่เยี่ยนรักอีก เจ้าว่าโลกใบนี้ไฉนมีคนอำมหิตเช่นนี้” 


 


 


อวี้เหว่ยก้มหน้า “…” เตี้ยนเซี่ย ไม่ขอปิดบัง ในสายตาคนทั้งโลก ไม่มีใครอำมหิตเท่าท่านอีกแล้ว ส่วนคนที่รู้สึกว่าท่านมีเมตตา ใต้หล้านี้มีเพียงท่านผู้เดียวเท่านั้น 


 


 


ครั้นเห็นอวี้เหว่ยไม่ตอบ 


 


 


องค์ชายสี่ถอนใจอีกครั้ง จัดแขนเสื้อยาวของตนด้วยท่วงท่าน่ามอง ค่อยๆ เอ่ยว่า “ต้องเป็นเพราะเยี่ยนไร้เดียงสาเกินไป อุปนิสัยอ่อนแอ อ่อนแอจึงน่ารังแก ญาติผู้พี่ถึงทำร้ายจิตใจเยี่ยนเช่นนี้! ช่างทำให้เยี่ยนรู้สึกเศร้าสลดใจอย่างสุดซึ้ง เยี่ยนจะต้องตอบแทนเขาให้ดี ทำให้เขาเข้าใจว่าไม่อาจรังแกคนมีเมตตาเช่นนี้!” 


 


 


อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก เอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย อย่าแกล้งเสียใจไปเลย!” ซ้ำยังเศร้าสลดอย่างสุดซึ้งอีก! ไร้ยางอายไปแล้ว!  


 


 


ยังมีอีกท่านไร้เดียงสาอ่อนแอถึงขั้นถูกรังแกอยู่ตลอดเป็นเรื่องยามไหนกัน บ่าวไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย หรือเป็นเรื่องชาติปางก่อน บ่าวไม่ทันเข้าอยู่ด้วย ถึงได้ไม่รู้ความ  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา เอ่ยไม่ใส่ใจว่า “เจ้ามองความเศร้าสลดของเยี่ยนไม่ออก เพราะหลายปีนี้เยี่ยนถูกพวกเขาสะกดข่มมาตลอด คุ้นเคยกับการกักเก็บความโศกเศร้าไว้สุดใจ รอเจ้าเห็นจุดจบของญาติผู้พี่ เจ้าก็รู้ว่า การกระทำของเขาสร้างบาดแผลสาหัสเท่าไหร่ให้กับเยี่ยน ไฉนยามนี้เยี่ยนถึงได้เสียใจขั้นนี้!”  


 


 


อวี้เหว่ยอดใจไม่ไหวตำหนิออกมา “คิดจะเอาคืนผู้อื่นก็บอกมาตามตรง ไม่ต้องแต่งเรื่องเหลวไหลมากมายเช่นนี้!” 


 


 


หลายปีที่ผ่านมาได้รับความกดดัน นั่นไม่ใช่คนรอบกายเตี้ยนเซี่ยทั้งหลายหรอกเหรอ ตอนไหนกันที่เตี้ยนเซี่ยถูกผู้อื่นกดขี่  


 


 


เขาเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า มองอวี้เหว่ยอย่างชื่นชม กล่าว “ไม่เลว ล้วนเป็นวาจาเหลวไหล แต่ว่าทุกคนต่างชอบฟังคำเช่นนี้ไม่ใช่หรือไง เยี่ยนแค่ไหลไปตามกระแส เติมเต็มความต้องการของปุถุชน!” 


 


 


อวี้เหว่ยเงียบไป ไม่รู้จะต่อปากอย่างไรดี “ก็จริง! เทียบกับที่ท่านเอ่ยอย่างหยาบคายว่าจะจัดการซือถูเฟิง แต่งเรื่องว่าหลายปีมานี้ท่านถูกเขากดขี่รังแก ถึงได้คิดแก้แค้น ภายภาคหน้ายิ่งได้รับความเห็นชอบจากผู้คน!” 


 


 


  “ถูกแล้ว เหตุผลง่ายดายนัก คนส่วนมากชอบฟังคำลวงอันเสแสร้ง แต่ไม่ยินยอมเผชิญความจริงอันโจ่งแจ้ง นี่คือสัจธรรม ช่างน่าขันและเหลวไหลนัก” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนวิจารณ์อย่างสบายอารมณ์ เมื่อสิ้นเสียง เขาก็เอ่ยต่อด้วยเสียงน่าฟังว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ส่งข่าวไปให้เสด็จพ่อเถอะ!”  


 


 


อวี้เหว่ยค้อมเอว รอฟังคำของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่อ 


 


 


 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล่าว “ซือถูเฟิงเป็นถึงหนึ่งในแม่ทัพรักษาชายแดน ละเลยหน้าที่โดยมิได้รับอนุญาต หนีจากภารกิจโดยพลการ ตอนนี้ไม่รู้ชัดว่าอยู่ที่ใด เยี่ยนตามหานานแล้ว ก็ไม่ได้ข่าว เขาเป็นทหารหลบหนี ตามกฎหมายเป่ยเฉิน ทหารหนีทัพต้องประหาร หวังว่าเมื่อซือถูเฟิงหนีกลับไปเมืองหลวง เสด็จพ่อจะประหารเขาทันที!” 


 


 


อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก 


 


 


เตี้ยนเซี่ยรู้ทั้งรู้ว่าซือถูเฟิงอยู่ไหน กลับแสร้งเป็นไม่รู้… 


 


 


เขาก็อับจนคำพูด “เตี้ยนเซี่ย ฝ่าบาทต้องรู้แน่ว่า ท่านรู้ข่าวของซือถูเฟิง คำขอของท่าน…” 


 


 


 “แล้วจะทำไมเล่า” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลอกตามอง เอ่ยเนิบๆ  “เสร็จพ่อรู้แล้วเขากล้าไม่ทำตามหรือ ความสามารถถึงเป็นหลักประกันที่เข้มแข็งที่สุด อีกอย่างเยี่ยนบอกไปแล้ว ความจริงนั้นง่ายมาก ผู้คนเพียงต้องการเหตุผลที่ดูดีแต่เปลือกนอก แน่นอนว่าเสด็จพ่อสามารถใคร่ครวญถึงเหตุผลอื่น!” 


 


 


อวี้เหว่ยเข้าใจแล้ว ความสามารถและอารมณ์ของเตี้ยนเซี่ย ฝ่าบาทล้วนไม่กล้าขัดขืน 


 


 


อีกทั้งฝ่าบาทยังรู้ด้วยว่าเตี้ยนเซี่ยต้องการเอาชีวิตซือถูเฟิง ส่วนสาเหตุในการฆ่าคืออะไร ความจริงไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเตี้ยนเซี่ยจะฆ่าซือถูเฟิง ส่วนเหตุผลทหารหนีทัพ ก็นับเป็นข้ออ้างที่เตี้ยนเซี่ยยกให้กับฝ่าบาทก็เท่านั้น 


 


 


 “ขอรับ! ข้าน้อยจะรีบส่งจดหมายไปเดี๋ยวนี้!”  


 


 


   … 


 


 


 “จวิ้นอ๋องมาถึงชายแดนหลายวันแล้ว แต่พวกเราไม่มีความคืบหน้าเลยสักน้อย ทั้งหาความผิดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้สักน้อย….” เอ่ยถึงตอนนี้เป่ยเฉินเสียงนิ่งไปชั่วครู่ 


 


 


ความจริงความผิดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่น้อย เป็นต้นว่าข่มขู่ผู้ตรวจการทหาร มอบกระบี่พระราชทานให้แม่ทัพหลี่โดยพลการ ทั้งยังออกคำสั่งฆ่าซือถูเฉียง ทุกเรื่องล้วนใช้เป็นความผิดได้ทั้งนั้น 


 


 


แต่เขาเป็นคนกำเริบเสิบสานไร้กฎหมายเช่นนี้ ต่อให้มอบหลักฐานเอาผิดให้กับเสด็จพ่อ เสด็จพ่อก็ไม่อาจทำอะไรเจ้าปีศาจตนนั้นได้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียงปรับอารมณ์ของตน เอ่ยต่อ “เป็นเช่นนี้ต่อไป ข้ารู้สึกว่าการมาของพวกเราครั้งนี้นับว่าเสียเปล่าแล้ว!”  


 


 


เซี่ยโหวเฉินหัวเราะเบาๆ “เตี้ยนเซี่ย ไม่นับว่าเสียเปล่า! อย่างน้อยเรื่องที่ก่อนหน้านี้ท่านให้สองพี่น้องจ้านเทียนลอบสังหารองค์ชายสี่ ดูจากท่าทีของเขาในยามนี้ คล้ายไม่เอามาแก้แค้น อย่างน้อยในวันหน้าท่านก็ไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป!” 


 


 


เขาเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าเป่ยเฉินเสียงบัดเดี๋ยวซีดขาวบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำ ถึงเขาไม่ยอมรับ แต่เขาก็กังวลว่าเมื่อแผนร้ายไม่สำเร็จ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะสังหารเขาจริงๆ ทั้งยังหวาดกลัวอยู่นาน เซี่ยโหวเฉินกล่าวไม่ผิดเลย เพียงออกเอ่ยมาตรงๆ เช่นนี้ ทำให้เขากระอักกระอ่วน 


 


 


เซี่ยโหวเฉินมองความกระอักกระอ่วนของเขาออก เกลี้ยกล่อม “เตี้ยนเซี่ยมิต้องกังวล ความลำพองของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เพียงแค่เวลาชั่วคราวเท่านั้น เขากำเริบเสิบสาน ล่วงเกินคนมากมาย รอเขากลายเป็นเป้าหมายของทุกคนเมื่อไหร่ เขาย่อมไม่พบจุดจบที่ดี!” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงเลิกคิ้ว มองเซี่ยโหวเฉิน “ความหมายของท่านอ๋องคือ…” 


 


 


เซี่ยโหวเฉินหัวเราะเบาๆ กระซิบข้างหูเป่ยเฉินเสียงหลายคำ 


 


 


เป่ยเฉินเสียงยิ่งฟังเรียวคิ้วยิ่งขมวดแน่น กดเสียงต่ำลงเอ่ย “แบบนี้ได้ผลหรือ หากทำร้ายคนผู้นั้น…เรียกว่าเยี่ยเม่ยใช่ไหม ทำลายแผนการที่นางวางไว้กับต้ามั่ว ข้าคิดว่านางจะต้องลงแก้แค้นแน่!” 


 


 


เซี่ยโหวเฉินเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เตี้ยนเซี่ยยังกลัวสตรีนางหนึ่งแก้แค้นหรอกหรือ อีกอย่างนางจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้บงการเบื้องหลังคือท่าน” 


 


 


 


 


 


[1] เครื่องประดับสำหรับครอบมวยผมของจีน 

 

 

 


ตอนที่ 64

 

“ขอเพียงแผนการของนางล้มเหลว กระทั่งเกิดผลในทางตรงกันข้าม ทำให้สถานการณ์ศึกของพวกเราเสียเปรียบ จนพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เช่นนั้นคนที่รังเกียจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทั้งหมด ต้องก้าวออกมาในยามนี้ ขอร้องให้จัดการเขาเสีย อย่างไรเพราะว่าเขาเป็นคนยกตราพยัคฆ์ให้สตรีนางนั้น ถึงทำให้พวกเราพ่ายแพ้ เมื่อถึงเวลาต่อให้เป็นคนผู้นั้น ก็ต้องออกมา…” เซี่ยโหวเฉินเสนอด้วยรอยยิ้ม สายตาทอแววเจ้าเล่ห์


 


 


เป่ยเฉินเสียงสีหน้าหนักอึ้ง เอ่ยปาก “คนผู้นั้นเคยสัญญากับท่านพ่อจริงๆว่า หากการกระทำเหลวไหลของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นภัยคุกคามถึงดินแดนเป่ยเฉิน เขาจะออกมาหยุดยั้งเอง ทั้งยังฆ่าทิ้งโดยไม่เสียดาย หากเขายินยอมลงมือ ความสามารถของเขา…”


 


 


เป่ยเฉินเสียงสีหน้าทอประกายหวาดกลัว ความสามารถของคนผู้นั้นคล้ายกับเทพ


 


 


ไม่ช้าเป่ยเฉินเสียงสงบลง จ้องเซี่ยโหวเฉินเอ่ย “ไม่ว่าเขาจะฆ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้หรือไม่ ทว่าความจริงคือ ขอเพียงเขายินยอมลงมือ พวกเราถึงชนะ ความคิดของเจ้าไม่เลว แต่ข้าเป็นองค์ชายของเป่ยเฉิน เพื่อกำจัดศัตรูกลับก่อความวุ่นวายให้สถานการณ์ศึก ให้ศัตรูบุกเข้ามา ค่าตอบแทนนี้ออกจะ…”


 


 


เซี่ยโหวเฉินหัวเราะ เอ่ยช้าๆ “องค์ชายใหญ่ ทนเสียลูกไม่ได้ ก็ไม่อาจจับจิ้งจอก นี่เป็นเหตุผลที่ง่ายดายที่สุด หากเวลานี้ท่านยังมัวห่วงหน้าพะวงหลัง เมื่อพลาดโอกาสไป ภายหน้าก็ไม่มีแล้ว”


 


 


เขาเอ่ยคำนี้ออกมา แววตาเป่ยเฉินเสียงลุ่มลึก กำหมัดแน่น


 


 


เสียงต่ำลงกล่าวว่า “เจ้าพูดไม่ผิด หากต้องทำเช่นนี้จริงถึงส่งเขาลงนรกได้ ข้าก็ไร้ทางเลือกอื่น”


 


 


ระหว่างที่เอ่ย สายตาของเขาแน่วแน่


 


 


เป่ยเฉินเสียงหันมองที่ประตู ส่งเสียงดัง “ใครก็ได้”


 


 


สิ้นเสียง นายทหารผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก…


 


 


   ……


 


 


ราตรีกาลสายลมพัดแรง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยยืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาทอดยาวออกไปมองแม่น้ำที่อยู่ห่างไกลสายหนึ่ง


 


 


สายตานางมีความไม่สงบอยู่บ้าง ภาพในความทรงจำในอดีตฉายขึ้นมา


 


 


สตรีนางหนึ่งหน้าตาเหมือนกับเยี่ยเม่ยราวกับพิมพ์เดียว ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด จับข้อมือของนาง แค่นคำพูดออกมาทีละคำ “อาหรุ่ย อย่าเสียใจเลย เชื่อข้า ข้าจะไม่ตาย ข้าจะกลับมาแก้แค้น”


 


 


หลังจากนั้นนางคล้ายกับผีเสื้อสีแดงเลือด ตกลงในแม่น้ำ สีแดงค่อยๆ กระจายตัวในน้ำ ทิ่มแทงสายตาซือหม่าหรุ่ย


 


 


สายน้ำไหลพัดร่างของสตรีนางนั้นไป


 


 


 “อาอี้…” ซือหม่าหรุ่ยรีดเค้นคำพูดออกมาสองคำ จากนั้นคล้ายนางคิดอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยแววประชดประชัน เอ่ยเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ วันที่เจ้าตกลงในแม่น้ำ คนผู้นั้นเจ็บปวดเจียนตาย คุกเข่ากระอักเลือดหลายคำอยู่ริมน้ำ หลายปีมานี้เขาเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ อยู่ไม่สู้ตาย อาอี้ หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เห็นผลกรรมของคนผู้นั้น คงจะดีใจสิ…”


 


 


นางพูดจบ ก็สะกดเก็บความรู็สึกไป


 


 


เอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนพวกเขาหาศพพบ ข้าหวังว่าไม่ใช่เจ้า หากไม่ใช่เจ้า แล้วเจ้าไปอยู่ที่ไหนกันเล่า หากเจ้ายังไม่ตาย ไฉนหลายปีมานี้ถึงไม่กลับมา อาอี้ สี่ปีแล้ว เยี่ยเม่ย…เยี่ยเม่ยไม่ใช่เจ้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


หากไม่ใช่ ในโลกนี้ไฉนถึงมีคนที่หน้าตาเหมือนได้เช่นนี้


 


 


หากใช่ ไฉนอีกฝ่ายถึงจำนางไม่ได้เลยสักนิดเดียว คำพูดและการกระทำล้วนเปลี่ยนไปหมดสิ้น


 


 



 


 


หาก…หากเป็นจริง ไฉนอาอี้ถึงช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนนำทัพ


 


 


ระหว่างที่นางครุ่นคิด ด้านหลังพลันมีเสียงฝีเท้า


 


 


ซือหม่าหรุ่ยได้สติ หันกลับมอง พลันเห็นบุรุษหนุ่มหน้าตางดงาม เดินมาหานาง นั่นคือจิ่วหุนที่อยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย


 


 


นางสายตาวาววูบ มองจิ่วหุน “เจ้ามาหาข้า หรือว่า…นางให้มาหาข้า”


 


 


 “เจ้าหวังว่านางจะมาหาเจ้า?” จิ่วหุนมองนางเงียบๆ


 


 


บรรยากาศรอบด้านพลันตึงเครียดขึ้น สายตาของจิ่วหุนมีแววสังหาร


 


 


ซือหม่าหรุ่ยสัมผัสถึงกระแสพลังไม่เป็นมิตรจากร่างเขา นางชะงักไปชั่วครู่ พลันคลี่ยิ้ม “เจ้าวางใจ ข้าหาได้มีเจตนาร้ายกับนาง เจ้าสามารถเก็บไอสังหารได้แล้ว ถึงนางไม่ใช่สหายข้า อาศัยแค่นางหน้าตาราวกับสหายข้าราวกับพิมพ์เดียว ข้าก็ไม่ทำร้ายนาง”


 


 


น้ำเสียงของนางจริงใจมาก ไอสังหารจากร่างจิ่วหุนค่อยๆ ลดลง


 


 


เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าถูกยาพิษ”


 


 


เขาพูดคำสี่คำนี้ออกมา ซือหม่าหรุ่ยชะงักงัน กลับยิ้มออก “เจ้าอยากให้ข้าช่วย? แต่เมื่อครู่เจ้าคิดสังหารข้าเพื่อนาง ดูท่านางในใจเจ้ายังสำคัญกว่าตัวเจ้าเองอีก ใช่หรือไม่”


 


 


จิ่วหุนเงียบ ไม่เอ่ยวาจา


 


 


เห็นได้ชัดว่าซือหม่าหรุ่ยเดาใจเขาถูก เขาเองก็ไม่มีใจเปลี่ยนแปลงนิสัยไม่ชอบสนทนาของตนเอง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยออกท่องยุทธภพหลายปี ย่อมมองคนออก ไม่บีบให้อีกฝ่ายเอ่ยวาจา เพียงยิ้มกล่าวว่า “นางต้องมีวาสนามาก ถึงมีเจ้าอยู่ข้างกาย”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยจบ พลันเอ่ยต่อ “ยื่นมือมา ข้าจะจับชีพจรให้”


 


 


จิ่วหุนไม่เอ่ยวาจา ยื่นมือออกไปทันที


 


 


ซือหม่าหรุ่ยจับชีพจรอย่างละเอียดชั่วครู่ สายตาเปี่ยมรอยยิ้มค่อยๆ สงบนิ่ง มองตาจิ่วหุน งุนงง “เจ้าเป็นนักฆ่า?”


 


 


พิษนี้มีเพียงกลุ่มนักฆ่าที่โหดเ**้ยมที่สุดในแผ่นดิน ถึงจะใช้กับนักฆ่าในกลุ่มของตน


 


 


นางเคยพบครั้งหนึ่ง


 


 


เพียงแต่กลุ่มนักฆ่านี้ ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ทั้งสังหารคนดีไม่น้อย ดังนั้นถึงถูกฝ่ายธรรมในยุทธจักรรังเกียจ ซือหม่าหรุ่ยก็ไม่ชอบ


 


 


จิ่วหุนสัมผัสได้ว่านางไม่คิดร้าย เพียงเอ่ยว่า “ก่อนนี้ใช่ ตอนนี้ไม่ใช่”


 


 


คำพูดนี้ก็นับว่าคลี่คลายเหตุผลที่เขาช่วยนาง เพราะไม่ได้เป็นนักฆ่าอีกต่อไป ออกจากกลุ่มแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ได้ยาถอนพิษให้ตนอีก


 


 


ซือหม่าหรุ่ยนิ่งไปสักพัก สีหน้าเย็นชาค่อยๆ หายไป มองคนที่เลิกกระทำชั่วตรงหน้า นางเอ่ยเบาๆ “หากพี่บุญธรรมของข้าอยู่ที่นี่ ต้องเจ้ากี้เจ้าการลงมือช่วยชีวิตเจ้าเพื่อให้โอกาสคนแน่ พิษในกายเจ้า หาใช่ไร้หนทาง เพียงแต่ค่อนข้างตึงมือ”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยไป ก็ถอนมือที่จับชีพจรกลับ


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยต่อ “จำเป็นต้องใช้สมุนไพรหลายชนิด พิษนี้ถึงกำจัดได้หมด แต่มีหนึ่งในสองชนิดนั้นหายสาบสูญไปแล้ว เชื่อว่าเจ้าคงรู้ ยาถอนพิษต้องกินทุกครึ่งปี ครึ่งเดือนก่อนเจ้ากินไปแล้วหนึ่งเม็ด ดังนั้นเจ้าเหลือเวลาอีกห้าเดือน ส่วนข้ารับปากได้แค่จะช่วยเจ้าหาทางอย่างเต็มความสามารถ เพื่อหาสมุนไพรเหล่านั้น”


 


 


จิ่วหุนพยักหน้า ไม่เอ่ยขอบคุณสักคำก็หมุนตัวจากไป


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองเงาหลังของเขาที่ก้าวเท้ายาวจากไป ยิ้มส่ายหัว เอ่ยเสียงต่ำลง “ช่างเป็นคนแปลกประหลาดนัก มารยาทพื้นฐานรู้จักหรือไม่”


 


 


นางพลันรู้สึกสงสัย สภาพแวดล้อมที่เด็กคนนี้เคยอยู่เป็นเช่นไร กระทั่งมารยาทพื้นฐานระหว่างคนล้วนไม่เข้าใจ


 


 


ไม่รู้จักทักทาย ไม่รู้จักขอบคุณ ไม่รู้จักเสแสร้ง กระทั่งไม่รู้จักอยู่ร่วมกับผู้คน ทั้งไม่รู้วิธีการขอร้องให้คนช่วย


 


 


นางส่ายหน้า รั้งสายตากลับ มองลงไปใต้กำแพงเมือง คนผู้หนึ่งเดินเข้ามา นางตกตะลึง“ทำไมผู้มาถึงเป็นนาง…”


 


 


   ….


 


 


จิ่วหุนกลับมาที่หน้าประตูห้องเยี่ยเม่ย


 


 


ยืนพิงกำแพง หลับตาเฝ้าต่อไป แต่เมื่อยืนได้ไม่กี่วินาที เขาพลันเปิดตาขึ้น สัมผัสได้ว่าภายในห้องไม่มีลมหายใจของคน


 


 


ดวงตาเขาทอประกายเย็นเยียบ รีบผลักประตูห้องเยี่ยเม่ยเข้าไป


 


 


สาวเท้ากว้างเข้ามา มองไปด้านใน ห้องว่างเปล่า เดินไปถึงเตียงเยี่ยเม่ย คลำเตียงดู บนเตียงยังเหลือไออุ่น ดูท่านางเพิ่งออกไปไม่นาน


 


 


แต่คนเล่า


 


 


จิ่วหุนไม่ทันลังเล ออกจากห้องไปอย่างว่องไว…

 

 

 


ตอนที่ 65

 

ในห้องทุกอย่างเรียบร้อย ไม่เหมือนถูกคนขยับเขยื้อนมาก่อน ทั้งไม่มีกลิ่นยาสลบ ดังนั้นต้องไม่ใช่ถูกลักพาตัว เช่นนั้นนางไปที่ไหนได้


 


 


จิ่วหุนยิ่งร้อนใจ เวลานี้รู้สึกเสียใจที่ตนออกไปข้างนอกเมื่อครู่


 


 


 …


 


 


ความจริงเยี่ยเม่ยเตรียมตัวนอนแล้ว


 


 


แต่เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้เป็นวันแลกเปลี่ยน ยิ่งคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้อยู่ในเป่ยเฉินก็ไม่ใช่คนที่ทุกคนชื่นชอบ ไม่แน่เพื่อต่อกรกับเขา อาจมีคนเล่นงานนาง ดังนั้นต้องจับตาดูให้รัดกุม ถึงได้ฝืนลุกขึ้นจากเตียงอีก


 


 


จัดการเรื่องให้ถึงขั้นไม่มีความผิดพลาดสักน้อย กันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน


 


 


จากนั้น


 


 


ที่คิดไม่ถึงคือนางเพิ่งเดินถึงโรงคลัง ก็เห็นหลูเซียงฮั่วนำคนส่งเสบียงที่เตรียมเอาไว้ไปด้านนอกอย่างลับล่อ ยังมีคนขนเสบียงชุดใหม่เข้าไปด้านใน


 


 


บนต้นไม้ไม่ไกลออกไป


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนพิงบนกิ่งไม้ สองมือประสานเป็นหมอน ท่าทางสังเกตการณ์ จับตามองอย่างสบายอารมณ์


 


 


อวี้เหว่ยยืนอยู่ด้านล่าง


 


 


หากปีนกำแพงเข้ามา จากตำแหน่งนั้นยากพบเห็นร่องรอยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ว่าเยี่ยเม่ยเดินตรงดิ่งเข้ามาจากประตูใหญ่ ถึงได้บังเอิญพบเห็นอย่างชัดเจน


 


 


เสี้ยวนาทีที่นางเดินเข้ามามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน บุรุษหน้าตาหล่อเหลาชั่วร้ายคล้ายรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง


 


 


หันมองเยี่ยเม่ย ดวงตาสีเขียวคล้ายมีรอยยิ้ม


 


 


นี่ไม่ใช่การแสดงออกว่าร้อนตัว ดังนั้นตัดเรื่องเขาเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลัง


 


 


เยี่ยเม่ยยักไหล่ เดินไม่กี่ก้าวก็ไปถึงใต้ต้นไม้ กระโดดขึ้นไปบนกิ่ง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเสื้อผ้าของนาง ถามออกด้วยเสียงน่าฟัง “แม่นางเยี่ยเม่ย เสื้อผ้าที่ส่งไปให้ที่ห้อง เจ้าไม่ชอบหรือ”


 


 


เสื้อผ้าบนตัวนางยังเป็นเสื้อผ้าชุดเดิมของนาง


 


 


อีกทั้งเสื้อผ้าใหม่พวกนั้น สองวันนี้นางใส่ครั้งเดียว เพียงเพื่อใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าไปซัก อีกทั้งนางยังมัดชายเสื้อขึ้น ทำให้เสื้อผ้าสตรีขาดความงดงามอ่อนหวานไปหลายส่วน เพิ่มความห้าวหาญขึ้นแทน


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา ตอบเสียงเย็น “ชอบ แต่ไม่สะดวก”


 


 


เสื้อผ้าใหม่พวกนั้นงดงามมากจริงๆ เพียงแต่มีผ้าพลิ้วไหว ล้วนเป็นผ้าโปร่งบาง สวยก็ส่วนสวย แต่สำหรับสตรีที่ต้องการความคล่องแคล่วอย่างนาง เพียงใส่ในวันสบายๆ เท่านั้น หากใส่เสียทุกวันจะขัดขวางการทำงานนางได้


 


 


ระหว่างที่เขาเอ่ยเช่นนี้ หลูเซียงฮั่วขนเสบียงออกไปจนหมดแล้ว


 


 


เสบียงชุดใหม่ก็ขนเข้ามาเรียบร้อย หลูเซียงฮั่วเสร็จงานก็ทำความเคารพต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทั้งไม่เข้ามารบกวนพวกเขา โบกมือพาทหารทั้งหลายจากไป


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองพวกเขาทีหนึ่ง แล้วถอนสายตากลับ


 


 


เขาฟังคำของเยี่ยเม่ยแล้ว พยักหน้า “เยี่ยนไม่รอบคอบเอง เยี่ยนจะรีบจัดเตรียมเสื้อชุดให้แม่นางเยี่ยเม่ยอีก หวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่โกรธ”


 


 


ระหว่างที่เยี่ยเม่ยเอ่ย ก็มองการกระทำของพวกหลูเซียงฮั่ว เมื่อมองส่งคนจากไป เห็นท่าทีสบายๆ ของเขา นางก็ไม่ได้รีบร้อนถามถึงการกระทำของเขา


 


 


มองเขาพูดมาถึงตอนนี้ ในใจนางกลับรู้สึกดีขึ้นหลายส่วน เจ้าหนุ่มนี่ไม่เลวเลย หลังจากที่นางทอดทิ้งเสื้อผ้าของเขา ก็ไม่โกรธ ไม่บอกว่าความหวังดีของเขาถูกทำลายจนย่อยยับ กลับยอมรับคล้อยตาม


 


 


แสดงออกว่าจะไปเตรียมการทันที


 


 


บุรุษที่การควบคุมอารมณ์ได้ดี รู้จักเอาใจสตรีเช่นนี้ หาได้ไม่มาก


 


 


แต่…


 


 


จู่ๆ นางก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้น มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “ท่านช่วยอธิบายได้หรือไม่ เพราะอะไร…” ปล่อยงูพิษที่เตียงข้า


 


 


ยังไม่ทันเอ่ยจบ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอามือวางจรดริมฝีปาก ทำท่านิ้วส่งเสียงชู่ว์ เป็นสัญญาณให้เยี่ยเม่ยเงียบ


 


 


เกือบในเวลาเดียวกัน เยี่ยเม่ยก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เงียบลง สายตาคมมองออกไปนอกกำแพงเมือง


 


 


อวี้เหว่ยก็รู้สึกแปลกใจมาก มีร่างไหววูบ เงาร่างสีดำผ่านไป คนก็หลบซ่อนแล้ว


 


 


จากนั้นพวกเขามองเห็นคนสวมชุดดำหลายคน ปีนข้ามกำแพง คนพวกนั้นมองสำรวจไปรอบทิศ จากมุมมองของพวกเขา ยากมองเห็นเยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนบนต้นไม้


 


 


ด้วยเหตุนี้ครั้งแรกที่มองมาก็เข้าใจว่าไม่มีใคร


 


 


คนชุดดำผู้หนึ่งรู้สึกฉงน “ไฉนไม่มีใครสักคน”


 


 


 “ดูท่าจะมั่นอกมั่นใจมากสินะ อย่างไรก็ยังอยู่ในเมืองคงไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน จึงไม่มีคนเฝ้าสินะ แต่สำหรับพวกเราแล้วนี่เป็นเรื่องดี ปฏิบัติการปลอดภัยขึ้นมาก” คนชุดดำอีกคนพูดขึ้น


 


 


แต่เมื่อชายชุดดำที่เอ่ยปากก่อนฟังถึงตรงนี้แล้วกลับไม่วางใจ


 


 


เขาเลิกคิ้วสูง ระมัดระวังมองไปรอบด้าน เอ่ยปากเสียงนิ่งว่า “ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่พวกเรายังต้องระวังไว้ กันไม่ให้ติดกับ”


 


 


 “เจ้าพูดไม่ผิด” คำพูดนี้ได้รับคำยอมรับจากอีกคนหนึ่ง


 


 


เยี่ยเม่ยบนต้นไม้เกือบจามออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ระดับฝีมือนี้ นางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่จำเป็นต้องตั้งใจอำพรางกายก็สามารถหลบจากสายตาพวกเขา นางรู้สึกว่าผู้บงการเบื้องหลังส่งคนมีฝีมือระดับนี้มาช่างเป็นการลบหลู่พวกนาง


 


 


ส่วนคนชุดดำหลายคนนั้น ยังหลงคิดว่าตนปลอดภัย


 


 


คนชุดดำที่ยังไม่วางใจ ยังสั่งการอย่างตั้งใจ เขาเอ่ยปาก “พวกเจ้าสองคนคอยคุ้มกันอยู่ที่นี่ก่อน หากมีการเคลื่อนไหวอะไร บอกข้าในทันที พวกเราสี่คนเข้าไปด้านใน”


 


 


 “ได้”


 


 


พวกเขาวางแผนกันอย่างรวดเร็วภายใต้สายตาของเยี่ยเม่ย จากนั้นเข้าไปด้านใน


 


 


คนสองคนท่าทางจริงจัง เฝ้าหน้าประตูด้วยความระวังอย่างถึงที่สุด


 


 


คนชุดดำทั้งสี่เดินเข้าไปในโรงคลัง


 


 


คราวนี้เยี่ยเม่ยจามออกมาจริงๆ เพิ่งจามเสร็จ นางพลันรู้สึกถึงลมหายใจเป่ารดข้างหู น้ำเสียงแหบพร่าของบุรุษดังขึ้นเบาๆ “แม่นางเยี่ยเม่ยรู้สึกเบื่อใช่หรือไม่”


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำมีความยั่วยวนใจคน เสี้ยวขณะนั้นชวนให้รู้สึกคล้ายถูกงูตัวน้อยวิ่งเข้าสู่ร่างกาย ดึงดูดความปรารถนา ชั่วขณะนั้นทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา อารมณ์ง่วงหงาวหาวนอนพลันไม่เหลืออีก


 


 


ยังไม่ทันเอ่ยอะไร กลับรู้สึกว่าริมฝีปากของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปัดผ่านข้างหูนางอย่างแผ่วเบา


 


 


การกระทำหยอกเย้าเช่นนี้ทำให้นางหน้าแดงไปชั่วขณะ ตัวสั่นไปทั้งร่าง เกือบร่วงตกจากต้นไม้


 


 


ดีที่นางมีไหวพริบ คว้าจับกิ่งไม้ได้ไว ทั้งยังไม่ส่งเสียงออกมา


 


 


ทว่าคนกลับรู้สึกไม่ดีแล้ว หันหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


น้ำเสียงนางต่ำลง ทว่ากระแสเสียงเย็นเยียบ สายตาตักเตือน “ท่านคิดก่อเรื่อง? ขอเตือนท่านไว้ อย่าก่อเรื่อง หากท่านทำให้ข้าเสียเรื่อง เปิดเผยตัวต่อคนชุดดำที่ทั้งน่าสนุกและอ่อนด้อยพวกนี้ ทำข้าเสียหน้า ข้าจะไม่ปล่อยท่านแน่”


 


 


หากไม่ใช่เพราะการต่อยตีทำให้เกิดความเคลื่อนไหว คนชุดดำจะรู้ตัว อาศัยแค่เขาเอาริมฝีปากปัดผ่านใบหูนาง การกระทำหยาบโลนเช่นนี้ นางต้องซัดพัดใส่เขาแน่


 


 


คำนี้ตักเตือน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับคล้ายฟังไม่เข้าหู


 


 


เขาจ้องมองนางที่อยู่ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าขาวผ่องเจิดจรัส ยังมีสีแดงเรื่อบนใบหน้า เตือนด้วยเสียงน่าฟังว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าหน้าแดงแล้ว”


 


 


เขาเอ่ยมาเช่นนี้ เยี่ยเม่ยอยากหน้าเขียวขึ้นมาในทันที แต่ความกระอักกระอ่วนกลับทำให้ยิ่งแดงขึ้นแล้ว


 


 


นางไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับบุรุษเช่นนี้มาก่อน เสี้ยวเวลานี้เพียงรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง


 


 


เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์สูงส่งของตน นางแสร้งไม่เป็นอะไรเอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านมองผิดแล้ว อย่าทำเรื่องส่งผลกระทบต่อมิตรภาพของเรา”


 


 


พูดจบก็ไม่มองเขาอีก หันหน้าไปทางคนชุดดำที่เฝ้าประตูทั้งสองคน ผ่อนคลายความไม่เป็นตัวของตัวเอง


 


 


นางเอ่ยออกมา ริมฝีปากเขาคลี่ยิ้ม


 


 


กลับขยับเข้าใกล้นางอีก เยี่ยเม่ยคิดหันกลับไปมองว่าเขาจะทำอะไร


 


 


ทว่าคิดไม่ถึง ระหว่างหันหน้ากลับไป ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกัน คนทั้งสองชะงักนิ่งไปชั่วขณะ


 


 


ดวงตาสีเขียวของเขายิ้ม ในขณะที่นางตกตะลึง เขาขบริมฝีปากนางเสียดื้อๆ เพิ่มความลึกซึ้งของจูบ เวลานี้เยี่ยเม่ยตัวแข็งค้าง เบิกตากว้าง


 


 


ไม่ช้าได้ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นตรงริมฝีปากของนาง “แม่นางเยี่ยเม่ย ปากเจ้าช่างหวานนัก”

 

 

 


ตอนที่ 66

 

เยี่ยเม่ยได้สติกลับมา


 


 


สายตาเย็นชาปรากฏเพลิงโทสะ ไม่พูดอะไรอีก วาดมือกว้างตบหน้าเขาอย่างแรง


 


 


คล้ายกับว่าเขารู้ล่วงหน้า เบี่ยงกายหลบ ทำให้ฝ่ามือเยี่ยเม่ยตบที่อกเขาแทน


 


 


ถึงฝ่ามือนี้ของเยี่ยเม่ยไม่ทำให้เกิดเสียงดัง ทว่าลงมือไม่เบา ถึงขั้นทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


 


 


ไม่ต้องเปิดเสื้อออกดู เขาก็รู้ว่าอย่างน้อยคงจะเขียวช้ำแล้ว


 


 


อวี้เหว่ยที่หลบอยู่ในมุมอับหน้าอึ้ง ไม่เข้าใจว่านี่คือการพัฒนาประเภทไหน ที่ทำให้เขากลัวที่สุดคือ ฝ่ามือเมื่อครู่ของแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ใช่วิธีการ ‘ผู้อื่นใช้กำปั้นน้อยทุบหน้าอกท่าน’อย่างแน่นอน แต่เป็นการต่อยตีให้ตาย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมุมปาก กลับไม่โมโห ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายยังมีรอยยิ้มพอใจหลงเหลืออยู่หลายส่วน ค่อยๆ เอ่ยด้วยเสียงน่าฟัง “แม่นางเยี่ยเม่ย หากเมื่อครู่เยี่ยนไม่ระวัง ฝ่ามือนี้ตบเข้าที่หน้าเยี่ยน ยามนี้เยี่ยนคงจะ…”


 


 


 “บวมเป็นหัวหมูแล้ว” เยี่ยเม่ยรับคำต่อด้วยเสียงเย็นชา


 


 


นางยังคงเป็นคนมีความมั่นใจ หากฝ่ามือนี้ทำสำเร็จ ใบหน้าของเขาต้องบวมฉึ่ง กลายเป็นเยี่ยนหัวหมู”


 


 


อวี้เหว่ยเบือนหน้าหนี คิดไอออกมา แต่กลั้นไว้อย่างลำบาก ทำให้เขาอับอาย ในฐานะข้ารับใช้ผู้ภักดี เห็นเตี้ยนเซี่ยมอบจูบแรกออกไปแล้ว กลับได้รับฝ่ามือตอกมา เขากลับอยากหัวเราะมาก ความอยากหัวเราะนี้ ทำให้ใจของอวี้เหว่ยเกิดความรู้สึกผิดอย่างรุนแรง


 


 


องค์ชายสี่ฟังแล้ว กลับครุ่นคิดอย่างตั้งใจพักหนึ่ง จากนั้นลูบคางพยักหน้า เอ่ยเสียงน่าฟังว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยกล่าวไม่ผิดเลย ดูท่าเยี่ยนหลบสักหน่อยก็ถูกต้อง เพียงแต่เจ้าลงมือตบข้า ข้ากล้าเบี่ยงหน้าหลบ กลับไม่เบี่ยงกายหลบ อย่างไรเสียจิตใจของเยี่ยนที่มีต่อแม่นางเยี่ยเม่ย ให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นพยาน ไม่ว่าแม่นางจะตบข้า ฆ่าข้า ภายหน้าเยี่ยนจะไม่หลบอีก”


 


 


ในใจของเยี่ยเม่ยสะกดเพลิงโทสะในใจ ถึงตบเขาแล้ว ก็ยังไม่ดับหมด


 


 


นางฟังคำพูดของเขา หัวเราะเสียงเย็นชา “อ้อ? จริงหรือ ความจริงใจของท่านมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นพยาน อย่างนั้นท่านไม่ควรหลบถึงจะถูก”


 


 


เขาฟังประโยคนี้ กลับมองเยี่ยเม่ยอย่างจริงจัง


 


 


นัยน์ตาชั่วร้ายคู่นั้นมีแววครุ่นคิดและรอยยิ้ม เอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย รูปโฉมงดงามของเยี่ยนเป็นสมบัติหายากในใต้หล้า หากถูกแม่นางตบบวมแล้ว ภายหน้าอัปลักษณ์ เจ้าคงไม่ยินยอมปรายตามองเยี่ยนสักครั้ง?”


 


 


 “ดังนั้น?” สีหน้าของเยี่ยเม่ยไม่น่าดู น้ำเสียงก็ไม่ยินดี แววตายิ่งไม่ดีใหญ่


 


 


ทั้งร่างมีไอสังหารแผ่ออกมา…


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นดังนี้ ถอนใจ รีบเอ่ยอย่างเด็ดขาดและรู้ทันว่า “ดังนั้นหากแม่นางเยี่ยเม่ยต้องตบหน้าให้ได้ ถึงคลายโทสะ ตบก็พอแล้ว เยี่ยนยินยอมรับความโปรดปรานราวพายุฝนโหมกระหน่ำของแม่นาง”


 


 


อวี้เหว่ยกลอกตา มองท้องฟ้า


 


 


อ้อ


 


 


ตอนนี้ตบหน้าจนบวมเป่งเป็นหัวหมูไม่เรียกว่ามีความแค้นล้ำลึก แต่เป็นความโปรดปรานราวพายุฝนโหมกระหน่ำ


 


 


การรู้จักเอาตัวรอดของเขา ทำให้สีหน้าเยี่ยเม่ยพลันผ่อนคลายลง แต่ความรู้สึกเลวร้ายยังอยู่


 


 


ในขณะที่จะเอ่ยวาจา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า


 


 


นางรีบหันมองหน้าประตูโรงคลัง พวกเขาสองคนสนทนาเสียงเบามาก ประสาทสัมผัสของพวกคนชุดดำว่องไวไม่พอ ยากพบพวกนาง แต่ว่าฝีเท้าของพวกเขา อาศัยประสาทสัมผัสของนางกลับได้ยินชัดเจน


 


 


ความสามารถห่างไกลทำให้เกิดความรู้สึกเหนือกว่า


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยมองไป ไม่ช้าก็พบคนชุดดำอีกสี่คน เดินออกมาจากโรงคลัง


 


 


เรื่องราวเร่งด่วน ไม่อาจคำนึงถึงการกระทำหยาบช้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเมื่อครู่อีก นางมองเขา ถามด้วยสายตา จะออกไปหยุดยั้งพวกเขาไหม


 


 


กลับเห็นเขายิ้มน่ามอง ส่ายหน้า บอกว่าไม่ต้อง


 


 


เยี่ยเม่ยใช้ความคิด ก็รู้สึกว่าไม่ต้องรั้งไว้ ดังนั้นจึงมองส่งคนชุดดำทั้งหกจากไป


 


 


รอพวกเขาไปแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยกำหมัดเล็งต่อยเข้าที่จมูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


 “ตึง” เกิดเสียงดังขึ้น


 


 


หมัดต่อยถูกจมูกโด่งของเขาจริงๆ ทั้งยังมีเลือดไหลออกมา


 


 


เยี่ยเม่ยตะลึงงงไปชั่วครู่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่หลบ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากชายเสื้อ เช็ดเลือด สายตามีแววน้อยเนื้อต่ำใจ ในดวงตาคล้ายคลอด้วยน้ำตา น้ำเสียงน่าฟัง ยามนี้ฟังแล้วน่าสงสารเป็นอย่างมาก “โอ๊ย แม่นางเยี่ยเม่ย เจ็บมาก เจ็บเหลือเกิน”


 


 


เยี่ยเม่ย “…?”


 


 


นางยังไม่ทันเอ่ยอะไร เขากุมมือนางอย่างอ่อนโยน ถามด้วยอารมณ์รักลึกซึ้ง “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าเจ็บมือหรือไม่ เยี่ยนช่วยเจ้านวด”


 


 


เยี่ยเม่ยยิ่งตะลึงเข้าไปใหญ่


 


 


เดิมนางคิดว่า บุรุษผู้นี้ถูกตบหน้า ต้องต่อยตีกับนางแน่ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้


 


 


เห็นนางไม่พูดจา เขาช้อนตาขึ้นมองนาง น้ำเสียงยิ่งอ่อนโยน “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าหายโมโหหรือยัง หากยังก็ต่อยอีก”


 


 


คำพูดเป็นจริงเป็นจัง แต่แววตาน่าสงสารเหลือเกิน ขาดแต่ไม่เขียนบนใบหน้าว่า ‘หากเจ้ายังต่อยตีอีกข้าจะร้องไห้แล้วนะ’


 


 


เยี่ยเม่ยมีชีวิตอยู่มาถึงบัดนี้ จะทำอะไรก็ใช้ไม้แข็งงัดกับผู้อื่นอย่างตรงๆ ครั้นพบเหตุการณ์เช่นนี้ นางรับมือไม่ถูก


 


 


ในเวลานี้เอง


 


 


พลันเกิดไอสังหาร กระบี่ยาวเล่มหนึ่งพุ่งเข้าแผ่นหลังเยี่ยเม่ย นางรู้สึกถึงไอสังหาร ขณะหันกลับไปมอง


 


 


กลับพบว่าบุรุษที่เดิมแสดงความน่าสงสารเกินเปรียบ บ้องแบ๊วเกินใครเบื้องหน้าสีหน้าสุขุมลงในเวลานี้


 


 


ดวงตาชั่วร้ายของเขามองบุรุษหนุ่มชุดฟ้าที่พุ่งเข้ามา


 


 


ไม่รอเยี่ยเม่ยลงมือ เขาโบกชายเสื้อ ลมปราณสีแดงซัดบุรุษหนุ่มนั้นกระเด็นออกไปกว่าสามเมตร


 


 


เยี่ยเม่ยยังไม่ทันตอบสนอง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหายตัวไปจากเบื้องหน้านาง อยู่บนพื้นแล้ว เขาเดินเข้าหาบุรุษหนุ่มชุดฟ้า แววตาสนุกสนานทว่าอำมหิต คล้ายปีศาจจากขุมนรก เอ่ยว่า “คิดแตะต้องแม่นางเยี่ยเม่ย ความมั่นใจเกินเหตุนี้ เจ้าไม่รู้ที่ตายหรือ”


 


 


ปีศาจตนนี้ทำให้คนลมหายกระตุก ต่อให้เป็นเยี่ยเม่ยยังเลิกคิ้วสูง


 


 


ยากหาความเชื่อมโยงระหว่างท่าทางน่ารักของเขาเมื่อครู่กับท่าทางในเวลานี้


 


 


บุรุษหนุ่มผู้นั้นเงยหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สายตาปัดไปที่เยี่ยเม่ยอีกครั้ง กัดฟันเอ่ย “นางเผาคฤหาสน์สังหารน้องชายข้า วันนี้ข้าต้องฆ่านางเพื่อแก้แค้นให้น้องชายข้าให้ได้”


 


 


เยี่ยเม่ยสีหน้าเยือกเย็น


 


 


เพราะเรื่องของเด็กเหล่านั้น นางเผาเดียรัจฉานในคฤหาสน์ไปสี่ตัว คนผู้นี้มาเพราะเจ้าพวกนั้นหรือ


 


 


 “เยี่ยนไม่สนใจเหตุผลเจ้า” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนน้ำเสียงอ่อนโยน สิ้นเสียง เขาโบกมือขึ้น ดาบยาวจากพลังลมปราณปรากฎกลางมือ แววตาเย็นเยียบ เงาร่างไหววูบ


 


 


แสงมารสีแดงสว่างกลางอากาศ เขามือยก ระหว่างดาบขึ้นฟันลง ร่างของบุรุษหนุ่มถูกฟันขาดไปเช่นนี้


 


 


ร่างนั้นกลายเป็นชิ้น ตกสู่พื้นดิน เลือดคนนองพื้น สถานที่แห่งนี้คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด


 


 


สายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเย็นยะเยือก มุมปากยิ้มร้ายของปีศาจ เอ่ยว่า “ตายง่ายๆ เช่นนี้ เขาสบายเกินไปแล้ว อวี้เหว่ย เอาศพเขาไปแขวนบนกำแพง เยี่ยนจะให้คนทั้งหมดรับรู้ ไม่ว่าใครคิดทำร้ายแม่นางเยี่ยเม่ย ล้วนต้องพบจุดจบเช่นนี้”


 


 


 “ขอรับ” อวี้เหว่ยรีบลงมือทันที


 


 


อวี้เหว่ยเองก็ตกใจ น้อยครั้งที่เขาเห็นเตี้ยนเซี่ยสังหารคนอย่างง่ายๆ ปกติเตี้ยนเซี่ยมักค่อยๆ ทรมานจนตาย


 


 


ดูท่าคนคิดฆ่าแม่นางเยี่ยเม่ยทำให้เตี้ยนเซี่ยโมโหจริงๆแล้ว อารมณ์ชอบทรมานจิตใจคนของเตี้ยนเซี่ยยังไม่มี ลงมือสังหารคนทันที


 


 


เยี่ยเม่ยผู้เป็นเจ้าเรื่อง ในเหตุการณ์ทั้งหมดนี้นางยังไม่ทันเอ่ยสักประโยค แสดงความคิดเห็นสักคำ เขาก็จัดการเรื่องนี้แล้วเสร็จสิ้น


 


 


เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันมองเยี่ยเม่ย ไอสังหารคนเมื่อครู่หายไป ยามนี้กลายเป็นความรักลึกซึ้งอีกครั้ง ทั้งยังมีท่าทางน่าสงสารดั่งเดิม


 


 


ต่อหน้าคนอื่น เขาคือปีศาจที่ชอบทรมานใจคน


 


 


ต่อหน้านาง กลายเป็นลูกสุนัขแสนเชื่องเชื่อฟัง


 


 


เขาไม่สนใจเรื่องลอบสังหารชวนอารมณ์เสียเมื่อครู่ เดินมาถึงเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย น้ำเสียงเอาใจเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าหายโกรธหรือยัง หรือยังจะตีเยี่ยนอีก? ต้องให้เยี่ยนช่วยหาอาวุธให้เจ้าหรือไม่ จะได้ไม่เจ็บมือ”

 

 

 


ตอนที่ 67

 

เยี่ยเม่ย “…”


 


 


แทบเป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่ได้สัมผัสว่าไม่รู้จะทำอย่างไรเป็นยังไง


 


 


ถึงแม้นางจะแสดงออกว่าไม่ชอบทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ทว่าความจริงนางเป็นสตรีที่ชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง สำหรับบุรุษที่รูปโฉมงดงาม เชื่อฟัง ไม่ดื้อ ถนัดชื่นชมนางแล้ว…


 


 


นางไม่มีแรงต่อต้านจริงๆ


 


 


ส่วนอวี้เหว่ยที่อยู่ด้านข้าง แบกศพบุรุษหนุ่มเตรียมออกนอกประตูเมือง ได้ฟังคำเอาใจของเตี้ยนเซี่ย เท้าพลันชะงักละล้าละลังครู่หนึ่ง เพียงอยากหันกลับไปบอกเตี้ยนเซี่ยว่าภรรยาต้องเชื่อฟังสามี หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ต่อให้จีบแม่นางเยี่ยเม่ยได้แล้ว เตี้ยนเซี่ยยังเหลือฐานะในบ้านอีกหรือไง  


 


 


ช่างน่าเศร้าน่าถอนใจนัก


 


 


ช่างเถอะ อวี้เหว่ยอารมณ์เย็นลง นี่ก็ยังปกติเสียกว่าเตี้ยนเซี่ยโยนงูพิษไว้บนเตียงแม่นางเยี่ยเม่ย


 


 


ส่วนเยี่ยเม่ยสีหน้าแข็งขืนไปสักพัก มองเขาที่ถูกนางตีจนเลือดออก ตอนนี้เลือดกำเดาหยุดไหลแล้ว นางชักมือที่ถูกเขากุมไว้ออกมา


 


 


ฝืนบังคับให้ตนเองสงบลง อย่าได้ลุ่มหลงท่าทางเช่นนี้ของเขา ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์สูงส่งของนาง


 


 


ถัดมา นางหันมองประตูคลัง หาได้ตอบคำถามเขาไม่ เพียงถามด้วยเสียงนิ่งว่า “เข้าไปดูว่าพวกเขาเล่นลูกไม้อะไรดีหรือไม่”


 


 


คนชุดดำทั้งสี่คนเข้าไปแล้วต้องลงมือทำอะไรแน่


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า มองฝ่ามือว่างเปล่าหลังจากนางชักมือออก ก็ไม่พูดอะไร


 


 


เขาได้แต่หัวเราะ ถอนมือกลับด้วยท่วงท่าสง่างาม “แม่นางเยี่ยเม่ยบอกว่าจะดู อย่างนั้นก็ไปเถิด เยี่ยนเชื่อฟังเจ้า”


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพึงพอใจในความเชื่อฟังของเขา นางหมุนกายสาวเท้ากว้างๆ มุ่งเข้าคลัง


 


 


หลังจากเข้าไปแล้ว มองข้าวสารในห้องเหล่านั้น นางเปิดถุงข้าวออก ภายในยังมีข้าวอยู่ เพียงแต่จมูกของเยี่ยเม่ยได้กลิ่นไม่ปกติบางอย่าง แววตานางทอประกายเย็นเยียบ หันมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


เห็นเขายืนอยู่ด้านหลัง สองตาจ้องมองนาง สีหน้าชั่วร้ายเย้ายวนอย่างร้ายกาจ สายตาของเขาไม่ได้มองข้าวเหล่านั้นเลยสักน้อย


 


 


นี่ทำให้เยี่ยเม่ยที่เดิมอยากพูดอะไร ชะงักคำพูดติดอยู่ที่คอไปชั่วขณะ ในสมองฉุกคิดภาพที่พวกเขาจูบกันเมื่อครู่โดยไม่รู้ตัว สัมผัสยังคล้ายยังติดอยู่ที่ปาก ทำให้เยี่ยเม่ยเบือนหน้ากลับอย่างไม่เป็นธรรมชาติ


 


 


นางไม่มองเขาอีก กลับเอ่ยปากว่า “เหมือนข้าวจะถูกวางยาพิษแล้ว พวกเขาจงใจเข้ามาวางยา?”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองความไม่เป็นธรรมชาติของนางออก ทว่าไม่เปิดโปง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม กวาดตามองข้าวสารเหล่านั้น “ดูท่า จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ”


 


 


วางยาในนี้ไม่ฉลาดเอาเสียเลย นอกจากเป็นพิษที่ตรวจสอบได้ยาก


 


 


เยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสองคนที่ไม่มีวิชาแพทย์ติดตัว มีความรู้เพียงอย่างผิวเผิน ยังดูออกว่าข้าวสารถูกวางยาพิษ ผู้บงการวางยาย่อมไม่คิดวางยาฆ่าคน


 


 


เยี่ยเม่ยสีหน้าเคร่งขรึม รีบเอ่ยต่อ “เห็นได้ชัดว่าคนวางยา รู้ว่าข้าจะเอาข้าวไปแลกเปลี่ยนกับต้ามั่ว เขาจงใจวางยาที่พบได้ง่ายเช่นนี้ เป้าหมายคือทำให้ทหารต้ามั่วรู้ว่าข้าวสารของพวกเรามีปัญหาไม่อาจกิน เพื่อเป็นการทำลายแผนการของพวกเรา ”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ประเมินช้าๆ ว่า  “แม่นางเยี่ยเม่ยวิเคราะห์ได้ถูกต้อง”


 


 


เยี่ยเม่ยกล่าวต่อ “ท่านรู้ก่อนแล้วว่าจะมีคนลงมือกับข้าวของพวกเรา ดังนั้นจึงสั่งให้คนเปลี่ยนข้าวที่ข้าเตรียมไว้ก่อนหน้าออกไป?”


 


 


นางถามด้วยความฉงน


 


 


ตอนที่นางเข้ามา ก็เห็นพวกหลูเซียงฮั่วเปลี่ยนข้าวสารที่พวกเขาเตรียมไว้ในตอนแรกออกไปภายใต้การสังเกตการณ์ของเขา ข้าวใหม่พวกนี้คงเตรียมไว้สำหรับคนที่มาเล่นตุกติกในข้าว ดูสิพวกเขาคิดเล่นปา**่อะไร


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว จัดเสื้อผ้าของตนด้วยท่าทางน่ามอง ค่อยๆ เอ่ยว่า “ไม่ผิด ในโลกนี้คนมากมายวางแผนทำร้ายเยี่ยนที่มีเมตตา แต่คนที่กล้าก้าวออกมาตรงๆ กลับมีไม่มาก พวกเขากล้าแต่ลงมือลับหลัง นี่คือการแสดงออกว่าพวกไร้ความสามารถ ทั้งเป็นการพิสูจน์ความเจ้าเล่ห์โฉดชั่วของพวกเขา เยี่ยนย่อมทุกข์ระทม เพราะสาเหตุส่วนตัว ทำลายแผนการของแม่นางเยี่ยเม่ย จึงได้ลงมือวางแผนล่วงหน้าก่อนก้าวหนึ่ง”


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา เอ่ยเย็นชาว่า “ท่านดูไม่คล้ายคนเจ้าแผนการ”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มจาง เอ่ยไม่ใส่ใจว่า “ไม่ผิด เพราะเยี่ยนเกียจคร้าน ไม่ว่าสงครามจะชนะหรือแพ้ เยี่ยนถูกกับดักหรือไม่ เยี่ยนไม่ใส่ใจ เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ทำอะไรเยี่ยนไม่ได้”


 


 


พูดถึงตรงนี้ ท่าทางสบายๆ ของเขา พลันเปลี่ยนไป สายตาที่มองเยี่ยเม่ยมีอารมณ์ลึกซึ้งขึ้นหลายส่วน “แต่เพื่อแม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนยินยอมเปลี่ยนความคุ้นเคยของตน กันไม่ให้พวกเขาใช้ฝีมือชั่วร้าย ทำร้ายแม่นางเยี่ยเม่ย”


 


 


เยี่ยเม่ยฟังไป มองเห็นสายตาลึกซึ้งของเขา หัวใจพลันเต้นแรงขึ้น


 


 


แต่นางเป็นคนเย็นชา อย่างไรก็ไม่หวั่นไหวกับคนง่ายๆ ด้วยเหตุนี้นางเสียการควบคุมชั่วครู่ ก็ถอนสายตากลับมา


 


 


นางเอ่ยว่า “เมื่อคิดถึงพฤติกรรมหยาบช้าของท่านด้านนอกเมื่อครู่ เรื่องที่ท่านแอบช่วยเหลือข้า ข้าไม่ขอบคุณแล้ว ถือว่าเสมอกัน ส่วนฝ่ามือกับหมัดเมื่อครู่ถือเป็นดอกเบี้ย”


 


 


 “ใช่ ใช่ ใช่” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้าเชื่อฟัง น้ำเสียงน่าฟังกล่าวว่า ไม่กล้าให้แม่นางเยี่ยเม่ยเอ่ยคำขอบคุณ ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตการกระทำของเยี่ยน ล้วนเป็นเรื่องที่เยี่ยนสมควรทำ”


 


 


เขาเอ่ยวาจาประจบเอาใจ ทว่าไม่สูญเสียความสง่างามเกินคนของเขาเลยสักน้อย ระหว่างที่เอ่ยนั้นยังมีความสง่างามราวแมวเปอร์เซีย ชวนให้หลงใหลมาก


 


 


เยี่ยเม่ยมองท่าทางเอาใจของเขา นางยักไหล่ ถอนสายตากลับ “ข้าเองก็สงสัยว่าจะมีคนเล่นลูกไม้ตุกติก กลางคืนถึงได้ลุกขึ้นมาตรวจดู คิดไม่ถึงว่าท่านจะไวกว่าข้าก้าวหนึ่ง”


 


 


สิ้นเสียง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาพลันยื่นมาอยู่หน้านาง


 


 


ใบหน้าของทั้งสองชิดกันมาก ระยะห่างเพียงคืบเดียว เขายิ้มยั่วเย้า เอ่ยอย่างยินดี “แม่นางเยี่ยเม่ย พูดได้หรือไม่ว่าพวกเราใจเชื่อมถึงใจ? ต่างก็คิดได้ว่าจะมีคนแอบเล่นตุกติก?”


 


 


เยี่ยเม่ยยื่นมือข้างหนึ่งออกไปอย่างไร้อารมณ์ ผลักหน้าเขาออกโดยไม่อ่อนโยนสักน้อย เอ่ยว่า “บอกได้แต่ว่าข้าฉลาด ดูภาพลักษณ์ของท่านในสายตาทุกคนออก ส่วนท่านก็รู้ตัวดี รู้ว่าจะมีคนคิดทำร้ายข้าเพราะท่าน”


 


 


เขาถูกผลักออก ก็ไม่หงุดหงิด ฟังคำพูดของนาง มุมปากยิ่งยกยิ้มขึ้น ทั้งไม่ค้านความเห็นของนาง พยักหน้าติดต่อกัน “แม่นางเยี่ยเม่ยกล่าวได้ถูกต้อง ล้วนเป็นเพราะยามปกติคนไม่ชอบเยี่ยน เกือบทำร้ายแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว แม่นางอย่าได้โมโหเป็นอันขาดเชียว”


 


 


เขาประจบสอพลอเช่นนี้ ถึงขั้นที่เยี่ยเม่ยหมดปัญญาให้ใบหน้าเย็นชาเผชิญกับเขาอีกต่อไป


 


 


ถัดมาเยี่ยเม่ยยิ่งหมดคำพูด บุรุษผู้นี้ถึงกับทำหน้าน่าสงสารมองนาง เอ่ยด้วยเสียงชวนฟังว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย พวกเขาต่างไม่ชอบข้า สาเหตุต้องเป็นเพราะเยี่ยนมีเมตตาเกินไป เยี่ยนเหลือเพียงแม่นางเยี่ยเม่ยคนเดียวแล้ว แม่นางจะต้องดีกับเยี่ยนให้มาก”


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


บุรุษที่เหมือนปีศาจร้ายผู้นี้ บุรุษอำมหิตฆ่าคนไม่กระพริบตา…ยังจะบอกว่าเมตตาอีก?


 


 


แต่เมื่อเห็นท่าทางน้อยเนื้อน้อยใจของเขา รู้ทั้งรู้ว่าเสแสร้ง นางกลับอยากลูบหัวเขา นี่มันเรื่องอันใดกัน


 


 


นางแอบเอามือไพล่หลัง มือซ้ายคว้าข้อมือขวา ทำให้มือของตนอยู่ในการควบคุมไม่ยื่นออกไป


 


 


หลังจากสงบลงแล้ว ถามเรื่องสำคัญออกมาด้วยใบหน้าเย็นชา “ท่านคิดว่าใครทำ พวกเราควรรับมืออย่างไร”

 

 

 


ตอนที่ 68

 

ในเมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคาดการได้ว่ามีคนลอบกัดอยู่เบื้องหลัง มีความมั่นใจถึงขั้นว่าไม่จำเป็นต้องขัดขวางคนชุดดำพวกนั้น เช่นนั้นในใจเขาคงพอรู้ว่าใครเป็นคนทำ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองใบหน้าจริงจังของนาง เขาเก็บท่าทางน่าสงสาร เอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเจ้าลองเดาดู” 


 


 


แววตาเขาแฝงรอยยิ้ม มองเยี่ยเม่ย แสดงออกว่าเยี่ยเม่ยต้องเดาออก 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไปชั่วครู่ แค่นคำพูดออกมาสามคำ “เป่ยเฉินเสียง” 


 


 


ไม่รอให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยปาก เยี่ยเม่ยก็รีบเอ่ยต่อ “เห็นได้ชัดว่า ในราชสำนักเป่ยเฉินมีคนจำนวนไม่มากที่กล้าหาเรื่องท่าน พวกทหารเหล่านั้นเห็นท่านแล้ว ตกใจเสียแทบยืนไม่ติด อย่าได้พูดถึงมาหาเรื่องท่านเลย ดังนั้นคำอธิบายเดียวก็คือเป่ยเฉินเสียง เขาไม่ชอบท่าน ขาดก็แต่ไม่ได้เขียนไว้บนหน้าเท่านั้น ระหว่างพวกท่านมีปัญหาเรื่องบัลลังก์ฮ่องเต้” 


 


 


เยี่ยเม่ยวิเคราะห์ออกมาอย่างว่องไว 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ดวงตาทอรอยยิ้ม “แม่นางเยี่ยเม่ยวิเคราะห์ไม่ผิดเลย เสด็จพี่ใหญ่เป็นพวกความสามารถไม่พอ โง่เขลาเบาปัญญา จิตใจโหดเ**้ยม ชอบคิดว่าตัวเองฉลาด ดังนั้นเยี่ยนขอแนะนำว่าภายหน้า แม่นางเยี่ยเม่ยอย่าได้ข้องแวะกับเขา พฤติกรรมชั่วร้ายของเขา ไม่คู่ควรจะสนทนากับแม่นางเยี่ยเม่ยสักประโยค” 


 


 


ระหว่างที่เสนอให้นางอยู่ห่างบุรุษรูปงาม ในขณะเดียวกันเขาก็ถือโอกาสประจบไปด้วย 


 


 


อวี้เหว่ยที่เพิ่งเดินเข้ามา สีหน้าหมดคำพูด อีกทั้งยังอดกลอกตาไม่ได้ 


 


 


อวี้เหว่ยรู้สึกว่า ช่วงนี้เตี้ยนเซี่ยทำให้ตนแอบกลอกตาไปไม่น้อยแล้ว หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป จะมีสักวันไหมที่ไม่ทันระวังกลอกตาไปแล้ว กลอกกลับมาไม่ได้ เขากังวลจริง… 


 


 


เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนใช้ได้ พยักหน้าเห็นด้วย “ท่านพูดได้ไม่เลว เขาไม่คู่ควรสนทนากับข้าจริงๆ อย่างไรเสียเขาก็เป็นพี่ใหญ่ของท่าน ท่านเตรียมต่อกรเขาอย่างไร” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนครุ่นคิดชั่วครู่ มุมปากยิ้มยกอย่างชั่วร้าย เอ่ยด้วยเสียงน่าฟัง “ส่งข้าวสารที่มีพิษนั้นเข้าห้องครัว ห้ามมิให้คนในครัวเอ่ยมากความ จากนั้นส่งไปให้เสด็จพี่ใหญ่กิน แม่นางเยี่ยเม่ยเจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร” 


 


 


   …… 


 


 


นอกประตูเมือง 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองสตรีเบื้องหน้าด้วยสายตาแปลกใจ “เจ้ามาได้อย่างไร” 


 


 


ผู้มาก็คือซินเยว่เยี่ยน 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนสีหน้ายินดี “เจ้ามาแล้ว ข้ามาไม่ได้หรือไง คาดว่าเจ้ามาเพราะเรื่องพี่บุญธรรมเจ้า?” 


 


 


 “ไม่ผิด” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “ข้ารอคนอีกคนไปสืบข่าวที่ต้ามั่ว ข้าหลงคิดว่าคนที่มาก่อนจะเป็นจงรั่วปิง คิดไม่ถึงกลับเป็นเจ้า อย่างไรเสียข้าก็ดูออกว่าท่านไม่ชอบพี่บุญธรรม” 


 


 


สีหน้าซินเยว่เยี่ยนปรากฎความประดักประเดิด ลูบจมูก เอ่ยว่า “ก็เพราะว่าไม่ชอบ ตอนนี้เขาเป็นตายไม่ชัดเจน ยิ่งต้องตามหาเขา เช่นนี้ถึงจะถอนหมั้นได้ กันไม่ให้ผู้อื่นกล่าวหาว่าข้ายังไม่ทันแต่งงาน ก็เป็นดาวพิฆาตเขาตายแล้ว” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมุมปากกระตุก ไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรชั่วขณะ 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกลับมองประตูเมืองด้านหลัง “ไฉนเจ้าถึงมาหยุดอยู่ที่นี่ ตามหลักแล้วเจ้ามาถึงก่อน สมควรสืบข่าว ทั้งสมควรสืบข่าวเสร็จแล้วนิ?”  


 


 


นางเอ่ยออกมาเช่นนี้ ซือหม่าหรุ่ยค่อยอธิบายสาเหตุอย่างละเอียด 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนแตกตื่นจนหน้าซีด “เจ้าพูดถึงจงเจิ้งซีผู้นั้น?” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็รีบเงียบลง ราชวงศ์จงเจิ้งล่มสลายไปแล้ว คนของเป่ยเฉิน ไม่น่าอยากฟังชื่อของคนผู้นี้ 


 


 


ดีที่พวกนางอยู่ห่างไกล พวกองค์รักษ์ไม่ได้ยิน 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนทอดสายตาไปไกล ซือหม่าหรุ่ยตระหนักได้ คนทั้งสองเดินห่างออกไปอีก เพื่อหลบหูตาของเหล่าทหาร 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ามักรู้สึกว่าอาซียังไม่ตาย หากนางเป็นอาซีจริง…” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนพลันหน้าขรึมลง เสียงต่ำเอ่ย “บางทีนางคิดแก้แค้น” 


 


 


ใครต่างก็ไม่ลืม องค์หญิงที่ในปีนั้นได้รับคำขนานนามว่าเป็น ‘สมบัติล้ำค่าที่สวรรค์ประทานลงมายังโลกมนุษย์’ ก่อนตายนางทิ้งคำสาบานเลือดไว้ 


 


 


แม้กระทั่งฮ่องเต้เป่ยเฉินองค์ปัจจุบัน ในช่วงนั้นยังมักฝันร้าย ถูกคำอาฆาตของนางในปีนั้นทำให้ตกใจตื่น 


 


 


ทั้งยังมีช่วงหนึ่งนักพรตไม่น้อยล้วนทำนายว่าผู้ทำลายราชวงศ์เป่ยเฉินคือจงเจิ้งซี ทำเอาคนทั้งเมืองหลวงหวาดหวั่น ตามหาศพนางในแม่น้ำ เพราะคำพูดหลอกลวงประชาชนนั้น ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ประหารนักพรตทั้งหลาย 


 


 


สีหน้าของซือหม่าหรุ่ยโหดเ**้ยม “หากเป็นนางจริง นางอยากล้างแค้น ต่อให้เป็นตายข้าจะติดตามนาง นี่คือสิ่งที่ราชวงศ์เป่ยเฉินติดค้างตระกูลจงเจิ้ง”  


 


 


ซินเยว่เยี่ยนที่ปกติไม่จริงจัง เวลานี้กลับเคร่งเครียดขึ้นมา “หากนางเป็นจงเจิ้งซีจริงๆ เจ้าไม่อาจเอ่ยออกไป ไม่เช่นนั้นคนของเป่ยเฉิน ต้องไม่ปล่อยนางแน่ ฮ่องเต้ยินยอมสังหารคนผิด ไม่ยอมปล่อยผู้ต้องสงสัยรอดไปสักคนเดียว” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยชะงักไป ค่อยได้สติ กำหมัดแน่น “เจ้าพูดถูก” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนลูบคางตน “ทีนี้ข้าเริ่มสงสัยแล้วว่าแม่นางผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงทำให้เจ้าไม่เสียดายทุกสิ่ง ตอนนี้ข้ากำลังขาดแม่นางผู้เพียบพร้อมคนหนึ่ง…” 


 


 


 “เจ้าคิดทำอะไร” ซือหม่าหรุ่ยมองซินเยว่เยี่ยนอย่างป้องกัน “หรือเจ้าไม่ชอบพี่บุญธรรมข้า เพราะเจ้าชอบสตรี?” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนแทบล้มคะม่ำ “เจ้าคิดอะไรกัน น้องบุญธรรมของข้ากูเยว่อู๋เหิน เจ้าก็รู้เขามีนิสัยสันโดษ ไม่เห็นใครในสายตา ข้าจะช่วยเขาหาแม่นางผู้เพียบพร้อม คลี่คลายปัญหาใหญ่ในชีวิต ไม่ได้แล้ว แม่นางผู้นั้นจะเป็นอาซีของเจ้าหรือไม่ ข้าต้องพบให้ได้” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเอ่ย เดินหุนหันเข้าไปในเมือง 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบยื่นมือรั้งนางไว้ “เดี๋ยวก่อน นี่มันยามอะไร หากจะพบพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” 


 


 


 “ก็ได้” ซินเยว่เยี่ยนตอบรับ แล้วเอ่ยอย่างได้ใจว่า “ข้ามีคัมภีร์ฝึกวรยุทธ์ลับที่ขโมยมาจากอาจารย์ลุงเล่มหนึ่ง หากนางเหมาะสมกับการเป็นน้องสะใภ้ข้า ข้าจะมอบเคล็ดวิชาลับนี้ให้นาง ช่วยให้นางเป็นยอดฝีมือในยุทธจักร ทั้งยังช่วยประจบให้นางรู้สึกดีกับอู๋เหินด้วย” 


 


 


นี่กลับทำให้ซือหม่าหรุ่ยตกใจ “อาจารย์ลุงที่เจ้าว่า คงไม่ใช่…” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกระพริบตาปริบอย่างได้ใจ “ถูกแล้ว” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยสูดลมหายใจลึก มองอีกฝ่ายอย่างนับถือ “ของของเขาเจ้ายังกล้าขโมย แต่หากแม่นางเยี่ยเม่ยสามารถฝึกเคล็ดวิชาได้สำเร็จจริงๆ จะต้องเป็นยอดฝีมือแห่งยุคแน่นอน” 


 


 


 “ชื่อของนางคือเยี่ยเม่ยหรือ” ซินเยว่เยี่ยนมองซือหม่าหรุ่ย  


 


 


หมอเทวดาพยักหน้า “ไม่ผิด อย่างน้อยตอนนี้ก็ใช่ พรุ่งนี้นางจะไปต้ามั่ว แลกเปลี่ยนของกับจั่วอี้อ๋อง” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนวางแผน “เจ้าลองพูดกับนางให้พาข้าไปด้วย ข้าจะดูว่านางมีความสามารถเพียงไหน คู่ควรกับเคล็ดวิชาเล่มนี้ของข้าหรือไม่” 


 


 


 “ได้” ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้าตอบตรงไปตรงมา 


 


 


   …… 


 


 


อีกด้านหนึ่ง 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังความเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่มีต่อเป่ยเฉินเสียง พยักหน้า ตอบเสียงเย็นชาว่า “ดี” 


 


 


อย่างไรก็เป็นพี่ชายของเขา เขายังไม่กลัววางยาพิษสังหารเป่ยเฉินเสียง ก็ไม่ถึงคราวให้นางต้องกังวล 


 


 


เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เยี่ยเม่ยกลับลืมเรื่องที่เขาโยนงูพิษไว้บนเตียงนางไปเสียสนิท 


 


 


พรุ่งนี้ยังมีเรื่องสำคัญต้องทำ นางจามออกมา หมุนกายเตรียมจากไป “ข้าขอตัวไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ให้หลูเซียงฮั่วนำข้าวที่เปลี่ยนออกมาไปพบข้า” 


 


 


คิดไม่ถึงว่า นางเพิ่งก้าวไปได้สองก้าว 


 


 


น้ำเสียงน่าฟังของเขา ดังมาจากด้านหลังนางอย่างเย้ายวน “เจ้าจะนอนแล้ว คืนนี้แม่นางต้องการเยี่ยนปรนนิบัติด้วยหรือไม่” 

 

 

 


ตอนที่ 69

 

เยี่ยเม่ยหันมองเขา ถามว่า “ท่านคิดโผตัวเข้าอ้อมกอดข้าเหรอ” 


 


 


พวกนางสองคนรู้จักกันไม่นาน ตอนนี้นางอดแปลกใจไม่ได้ว่า เขาเป็นเช่นนี้กับสตรีที่น่าสนใจทุกคน หรือว่าเป็นกับนางเพียงคนเดียว 


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยใจเต้นตึกตัก  


 


 


นางเริ่มระแวงถึงปัญหาประเภทนี้ ก็มิใช่สถานการณ์ที่ดีนัก หรือนางเริ่มรู้สึกอะไรกับเขาขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


ดวงเนตรของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเจือความขบขัน ยิ้มอ่อนโยนเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย สำหรับสตรีที่ชื่นชอบ เยี่ยนย่อมอยากมอบทั้งกายและใจให้แก่นาง ความรักของบุรุษสตรีคือความปรารถนา เยี่ยนแค่ตรงกว่าคนทั่วไปเท่านั้น เรื่องประเภทนี้จำเป็นต้องปิดบังหรือ” 


 


 


อวี้เหว่ยแอบกลอกตามองท้องฟ้า เตี้ยนเซี่ยเริ่มเอ่ยเหตุผลบิดเบี้ยวอีกแล้ว พยายามล้างสมอง แม่นางผู้นั้นไม่มีตำแหน่งฐานะ จะแบกรับร่างกายและจิตใจท่านได้เหรอ 


 


 


เยี่ยเม่ยก็ไม่ใช่แม่นางทั่วไป นางไม่ต้องการฐานะที่ผู้อื่นมอบให้เพื่อพิสูจน์คุณค่าของตน โดยเฉพาะคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เลว ความรักฉันท์บุรุษสตรีเป็นเรื่องปกติอย่างที่สุด เพียงแต่… 


 


 


 “อ้อ” เยี่ยเม่ยพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ เอ่ยเสียงเย็นชา “ถึงท่านจะพูดมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ไม่จำเป็นต้องให้ท่านปรนนิบัติ อย่างน้อยในตอนนี้ข้าก็ยังไม่คาดหวังที่จะมีความรักกับท่าน” 


 


 


อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก…อะไรนะ แม่นางผู้นี้ถึงกับคิดว่าคำพูดของเตี้ยนเซี่ยมีเหตุผล 


 


 


ช่างเถอะ เวลานี้เขารู้สึกว่าเตี้ยนเซี่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยถึงเป็นคนประเภทเดียวกัน ตนติดตามเตี้ยนเซี่ยมาหลายปีล้วนเสียเปล่าแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาเย็นชา เอ่ยคำที่ต้องการพูดจบก็หมุนกายจากไป 


 


 


เห็นนางสงบนิ่ง ฝีเท้าว่องไว แต่นางแอบกลัว ว่าหากเดินช้าไปกว่านี้ บุรุษตรงหน้าจะดื้อดึงไปปรนนิบัติ เผชิญหน้ากับบุรุษที่รูปโฉมงดงามกว่าตน ถึงนางไม่ใช่คนเห็นแก่หน้าตา แต่สำหรับนางแล้วก็เป็นความยั่วยวนอย่างร้ายกาจ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำพูดนี้ กลับไม่กลัดกลุ้ม ทว่าหัวเราะออกมาเบาๆ มองส่งเยี่ยเม่ยจากไป 


 


 


รอจนเงาหลังของนางหายไป เสี้ยวนาทีถัดมา 


 


 


อวี้เหว่ยเห็นเตี้ยนเซี่ยของเขา ยื่นมือยาวลูบริมฝีปากของตนเอง 


 


 


อวี้เหว่ยพลันเข้าใจ ดูท่าเตี้ยนเซี่ยกำลังระลึกถึงจูบเมื่อครู่ เขาหน้าตาเฉยชาถามว่า “เตี้ยนเซี่ย จูบเดียวแลกทั้งฝ่ามือและกำปั้น ท่านว่าคุ้มหรือ” 


 


 


หลังเตี้ยนเซี่ยอายุแปดขวบ ก็ไม่มีใครคนใดกล้าลงมือกับเตี้ยนเซี่ยแล้ว 


 


 


โดยเฉพาะหมัดนั้น ต่อยตรงที่จมูก รุนแรงจนเห็นเลือด 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กวาดตามองแบบไม่ใส่ใจ ยิ้มช้าๆ “ใช้ชีวิตหนึ่งแลกมาก็คุ้มค่า” 


 


 


สิ้นเสียง เขาจากไปด้วยความยินดี 


 


 


อวี้เหว่ยหางตากระตุก… 


 


 


ช่างเถอะ ดูท่าถึงแม้เตี้ยนเซี่ยมอบจูบออกไปแล้วจะโดนต่อย แต่ตัวเขาเองยังคงพอใจ ลำพองใจ และดีใจมาก 


 


 


   …… 


 


 


เยี่ยเม่ยเดินออกจากโรงคลังไม่นานจิ่วหุนที่เดินมาอย่างร้อนรน 


 


 


หลังจากจิ่วหุนเห็นนางก็พรูลมหายใจออกมา 


 


 


เยี่ยเม่ยมองสีหน้าเขา ค่อยๆสงบลง จิตใจที่ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปลุกเร้าก่อตัวเป็นคลื่น ก็ค่อยๆ กลับมาสงบ  


 


 


นางมองจิ่วหุน เสียงเย็นชาถามว่า “เจ้าออกมาตามหาข้า?” 


 


 


จิ่วหุนพยักหน้า ไม่ส่งเสียง 


 


 


เยี่ยเม่ยรู้ว่าเขามีนิสัยไม่ชอบพูดจา เอ่ยต่อว่า “ข้าไปโรงคลัง ตอนออกจากห้องไม่เห็นเจ้า ก็เลยออกไป ข้าไม่เป็นไร พวกเรากลับเถอะ” 


 


 


นางเองก็ไม่ถามว่าเมื่อครู่เขาไปทำอะไร ตอนออกจากห้องไม่เห็นเขา แต่ละคนต่างมีชีวิตของตนเอง ต่อให้เขาตัดสินใจติดตามนาง นางก็เข้าใจว่าตนไม่มีคุณสมบัติไปถามการกระทำของผู้อื่น 


 


 


 “ดี” จิ่วหุนพยักหน้าเชื่อฟัง ไม่พูดมาก 


 


 


ถัดมา เขาเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับอวี้เหว่ยอย่างรวดเร็ว ทั้งสองเดินออกจากโรงคลังเช่นกัน 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ทันสังเกตสายตาของเขา หลังจากเขาเอ่ยคำว่า ‘ดี’ นางเดินออกไปก่อน เมื่อเดินไปได้หลายก้าว ค่อยพบว่าจิ่วหุนไม่ได้ตามมา 


 


 


จึงทำให้นางแปลกใจหันกลับไปมอง  


 


 


ต่อมาพบจิ่วหุนมองเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เห็นจิ่วหุนเช่นกัน 


 


 


สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกคิดไม่ตกที่สุดก็คือ บุรุษสองคนเมื่อพบกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างจ้องกันอยู่นานอย่างแปลกประหลาด 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองจิ่วหุน มุมปากน่ามองยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นไฉนมองแล้วถึงคล้ายรอยยิ้มเย็นชา 


 


 


จิ่วหุนจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พูดจา ทว่าสีหน้าแบบนั้น มองอย่างไรก็ชวนให้คนหนาวเหน็บ 


 


 


เวลานี้เยี่ยเม่ยรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง… 


 


 


นางถอยกลับไปสองก้าวอย่างหมดคำพูด มองจิ่วหุน ถามว่า “ท่านสองคนมีความแค้นอะไรกัน ไฉนพบหน้ากันแต่ละครั้งล้วนทำท่าจะชักดาบเข้าใส่กันตลอด?” 


 


 


คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางถามจบแล้ว 


 


 


จิ่วหุนพลันหันกลับ ส่งสายตาหานาง สายตาคล้ายสามีมองภรรยาคบชู้ เสียงต่ำถามว่า “เมื่อครู่เขาก็อยู่ในคลังด้วย?” 


 


 


 “เอ๋?” เยี่ยเม่ยไม่ทันตระหนักถึงสายตาแปลกประหลาดของเขาได้ในคราเดียว ตอบงุนงงว่า “ใช่แล้ว” 


 


 


น้อยครั้งที่นางมีช่วงเวลางุนงง สีหน้าแปลกประหลาดของจิ่วหุนนี้… 


 


 


จิ่วหุนฟังแล้วคล้ายจะโมโห 


 


 


ถัดมาเขาไม่ใส่ใจเยี่ยเม่ยสักน้อย สองมือกอดกระบี่ สาวเท้ายาวจากไป 


 


 


เยี่ยเม่ยเปลี่ยนจากงุนงงเป็นตะลึงงัน… 


 


 


ส่วนบุรุษที่เหมือนปีศาจไม่ไกลออกไปผู้นั้น มองแผ่นหลังจิ่วหุนที่เดือดดาลจากไป กลับอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ยิ้มทักทายให้เยี่ยเม่ยอย่างมีมารยาท 


 


 


เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว พยักหน้ารับ หมุนกายจากไปด้วยความมึนงง 


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเช่นนี้นางเข้าใจได้ อย่างไรเสียนางก็สมบูรณ์แบบเพียงนี้ โดดเด่นเช่นนี้ ช่างน่าหลงใหลปานนี้ เขาชอบนางก็เป็นเรื่องปกติ 


 


 


ส่วนจิ่วหุนเด็กคนนี้ เขาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องอะไร 


 


 


หรือว่าเด็กคนนี้หวงพี่สาว 


 


 


ก็จริง ถึงยามนี้เยี่ยเม่ยยังคาดเดาอายุของเจ้าหนุ่มจิ่วหุนที่สูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่เมื่อมองดวงหน้าบริสุทธ์ไร้เดียงสาของเขา นางก็ยังรู้สึกว่า… 


 


 


เขาเป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้น 


 


 


นางเดินกลับห้องตัวเองด้วยอารมณ์สับสนงุนงง 


 


 


เพิ่งถึงหน้าประตู ก็เห็นจิ่วหุนทำหน้าดุ นั่งยองอยู่ด้านหน้าประตู ท่าทางดูแล้วเหมือนน้อยใจคล้ายถูกคนแย่งขนมของโปรดไป 


 


 


เยี่ยเม่ยยิ้มมุมปากเล็กน้อย เดินไปถึงหน้าประตู ถามว่า “เจ้าเป็นอะไร” 


 


 


จิ่วหุนก้มหน้า ทั้งไม่ตอบ กลับเตือนเยี่ยเม่ย “เขาโยนงูพิษบนเตียงเจ้า” 


 


 


เยี่ยเม่ยหางตากระตุก 


 


 


ใช่แล้ว ทำไมนางถึงลืมเรื่องนี้ไปหมดสิ้น นางยังไม่ทันถามว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องการอะไรกันแน่  


 


 


นางพยักหน้าเอ่ยเสียงเย็น “ข้ารู้แล้ว บัญชีนี้ ช้าเร็วก็ต้องคิดกับเขา” 


 


 


จิ่วหุน เงยหน้ามองเยี่ยเม่ย ดวงตาที่ยามปกติเหมือนน้ำนิ่งสงบ ในเวลานี้ดูแล้วน่าสงสารเหลือประมาณ เอ่ยถามเสียงเบาอย่างช้าๆ “เจ้าไม่ชอบข้าแล้วหรือ” 


 


 


ท่าทางเช่นนี้น่ารักราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง 


 


 


การกระทำของเขาเหมือนกำลังถามนาง ‘เจ้ามีกระต่ายน้อยตัวอื่นอยู่นอกบ้านแล้วใช่ไหม’ 


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยใจเต้นกระตุก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่แกล้งทำเป็นน่าสงสารเชื่อฟังคนหนึ่งก็ทำให้คนยากจะต่อต้านแล้ว จิ่วหุนยังเป็นแค่เด็กน้อยน่ารักเป็นธรรมชาติ 


 


 


ทำไมช่วงนี้ใครๆ ก็ดูออกว่านางชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม่แข็ง 

 

 

 


ตอนที่ 70

 

เยี่ยเม่ยหัวใจเต้นตึกตักมองจิ่วหุน นางขมวดคิ้วแน่น กล่าวเสียงเย็นชา “ข้าชอบเจ้า”


 


 


ชอบเหมือนกับน้องชายเช่นนั้น


 


 


จิ่วหุนคงเข้าใจความหมายของนางสินะ?


 


 


นางเอ่ยประโยคนี้ออกมา สายตาจิ่วหุนพลันวาวโรจน์ คนทั้งคนอารมณ์ดีขึ้นมาก


 


 


จากนั้นเขาก็ก้มหน้าอีก น้ำเสียงเล็กราวสัตว์ตัวน้อยดังขึ้นอีกครั้ง “อย่างนั้น…ข้าถามเจ้าคำถามหนึ่งได้หรือไม่”


 


 


 “ถาม” สายตาเยี่ยเม่ยยังคงเย็นชาเหมือนเดิม


 


 


จิ่วหุนนิ่งไปสักครู่ เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้าชอบข้ามากกว่า หรือชอบเจ้าจอมประจบนั่นมากกว่า”


 


 


เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก


 


 


นางจ้องมองจิ่วหุนด้วยความไม่เข้าใจ สักพักค่อยถามว่า “อย่างนั้นเจ้าช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่า เจ้าจอมประจบที่หมายถึงคือ…?”


 


 


 “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน” เขาตอบกลับอย่างว่องไว


 


 


สิ้นประโยคนี้ เขาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มองเยี่ยเม่ยอีกครั้ง เน้นย้ำว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน”


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเจ้าจอมประจบ? ทำไมนางดูไม่ออกเอาเสียเลย?


 


 


ถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะถนัดยกยอนาง แต่ว่าก็เป็นคำพูดที่เอ่ยออกมาจากใจจริง ไม่นับว่าประจบกระมัง?


 


 


แต่ยามนี้เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญแล้ว นางนิ่งอึ้ง เอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าคิดว่าไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ”


 


 


ไม่มีเปรียบเทียบได้จริงๆ


 


 


คนทั้งสอง คนหนึ่งถนัดยกยอนาง อีกคนก็เชื่อฟังมาก


 


 


แบบนี้จะให้นางเปรียบเทียบสูงต่ำได้อย่างไร


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ เวลานี้จิ่วหุนพลันเข้าใจ


 


 


เขาไม่ดื้อดึง ทั้งไม่อาละวาด กลับพยักหน้าว่าง่าย “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปนอนเถอะ”


 


 


เห็นเขาเอ่ยประโยคนี้จบ สีหน้าก็ปกติดี เยี่ยเม่ยเองก็ง่วงแล้วจริงๆ นางพยักหน้าอย่างวางใจ ผลักประตูกลับเข้าไปนอน


 


 


จิ่วหุนมองนางเข้าห้องนอนแล้ว สายตามองไปทิศของห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แววตาแผ่ไอสังหาร


 


 


   ……


 


 


ในพระราชวัง ราชสำนักเป่ยเฉิน


 


 


ตำหนักฮองเฮา แม่ทัพนายหนึ่งคุกเข่ากลางโถง ใบหน้าเขาเหนื่อยล้า ทั้งยังตื่นเต้น


 


 


เขาก้มหน้าเอ่ยปากว่า “ฮองเฮา กระหม่อมทำให้พระองค์ทรงผิดหวังแล้ว”


 


 


สตรีผู้สูงศักดิ์ในตำแหน่งประธานพยักหน้าเล็กน้อย


 


 


เรียวคิ้วดวงตาของนางคล้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นอย่างมาก ทว่าภายในท่วงท่ากลับเผยความเย่อหยิ่ง ทั้งยังเผยความสูงส่งอย่างเป่ยเฉินเสียง


 


 


นางจ้องแม่ทัพผู้นั้น เอ่ยเสียงนิ่งว่า “ข้าได้รับข่าวว่าพวกเจ้าถูกล้อมไว้ มีคนตายหรือไม่”


 


 


 “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพผู้นั้นรีบก้มหัว เอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “กระหม่อมเห็นผู้นำทหารก็จำได้ว่าเขาคือแม่ทัพพิทักษ์ชายแดน เคยเป็นสหายร่วมรบกับกระหม่อม ดังนั้นเขาจึงบอกกระหม่อมว่า องค์ชายสี่สั่งให้ล้อมกระหม่อม หากกระหม่อมหนีไม่ต้องฆ่า หากไม่หนีก็…” 


 


 


ฮองเฮากวาดตามองแม่ทัพ ถามเสียงนิ่งว่า “ดังนั้นเจ้าจึงหนีมาแล้ว”


 


 


 “คือ…” หน้าผากของแม่ทัพมีเหงื่อเย็นเยียบ เขาไม่เข้าใจความคิดฮองเฮาไปชั่วขณะ จึงเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “กระหม่อมสมควรตาย ทว่าที่กระหม่อมทำเช่นนี้ก็เพื่อกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย ขอให้ฮองเฮาทรงประทานอภัยด้วย”


 


 


ฮองเฮานิ่งเงียบอยู่นาน ยกมือออกมานวดหว่างคิ้ว


 


 


หว่างคิ้วมีแววโทสะ กัดฟันเอ่ยว่า “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นไฉนถึงให้กำเนิดคนเช่นนี้ เขาเป็นดาวพิฆาตของข้าจริงๆ”


 


 


แม่ทัพผู้นั้นตัวสั่นงก ไม่กล้าเอ่ยวาจา


 


 


องค์ชายสี่คือปีศาจร้าย เป็นคนที่ใครต่อใครไม่กล้าเอ่ยชื่อเขาออกมาตรงๆ เพราะใครก็ไม่รู้ว่า หากพูดผิดไปสักประโยค หรือพูดเกินไปสักประโยค คำพูดถูกถ่ายทอดไปเข้าหูเขา จะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองรวมไปครอบครัวและสุสานบรรพบุรุษสิบแปดชั่วคน


 


 


ดังนั้นยามที่ฮองเฮาตรัสเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าเอ่ยขัด


 


 


ในเวลาเดียวกัน นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้าตำหนักมา ก้มหน้ารายงาน “ทูลฮองเฮา ท่านกั๋วจิ้ว[1]มาขอพบเพคะ”


 


 


สีหน้าของฮองเฮาพลันหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน มองแม่ทัพกลางห้องโถง ตรัสเสียงเย็นชาว่า “เจ้าถอยไปก่อน”


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพผู้นั้นยินดีที่ถูกปล่อยตัว รีบจากไปทันที


 


 


ถัดมาขุนนางบุ๋นสีหน้าเขียวคล้ำผู้หนึ่งเดินสาวเท้ากว้างเข้ามาภายในตำหนัก


 


 


หลังจากเข้ามาแล้ว เขาแสดงความเคารพก่อน “ถวายพระพรฮองเฮา ”


 


 


 “ท่านพี่ลุกขึ้นเถิด” ฮองเฮารีบลุกขึ้น พยุงตัวเขา


 


 


ซือถูจ้าวเป็นถึงกั๋วจิ้ว รวมทั้งเป็นเสนาบดีของราชสำนัก ยามนี้ไม่ไว้หน้าฮองเฮาเลยสักน้อย เขาลุกขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ฮองเฮา เรื่องนี้ท่านต้องมอบข้อสรุปให้กระหม่อม เฉียงเอ๋อเป็นบุตรสาวคนเดียวของตระกูลซือถูของเราในรุ่นนี้ ตั้งแต่เด็กได้รับความรักเอ็นดู ตระกูลเราฝากความหวังไว้กับนาง หวังว่านางจะเป็นมารดาแผ่นดินในภายหน้า แต่ยามนี้…”


 


 


 “เรื่องพวกนี้ข้าเข้าใจ ไฉนข้าจะไม่หวังให้วังหลังเป็นของตระกูลซือถูเราตลอดไป ท่านพี่อย่าเพิ่งโมโห” ฮองเฮารีบปลอบซือถูจ้าว


 


 


ซือถูจ้าวสีหน้าเขียวคล้ำ มองฮองเฮา “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ทหารที่เจ้าส่งไปสังหารนางสารเลวนั่น ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำให้หวาดกลัวกลับมาแล้ว ข้าได้รับข่าวลับว่า เฟิงเอ๋อพาเฉียงเอ๋อหนีไปแล้ว ไม่รู้ร่องรอย ส่วนคนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไล่จับพวกเขา ไม่แน่อาจไม่เหลือชีวิตรอดกลับมา ฮองเฮา ท่านก็เป็นคนของตระกูลซือถู เกิดเรื่องเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าท่านก็ไม่ได้รับประโยชน์”


 


 


ฮองเฮาเห็นเขาท่าทางโมโหโทโส เวลานี้นางก็เกิดโทสะบ้าง ตรัสเสียงสูง “ตอนนั้นข้าไม่เห็นด้วยให้เฉียงเอ๋อไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ชายแดน พี่ชายยังกดดันข้า บอกว่าเจ้าลูกทรพีนั่นเห็นแก่หน้าข้า ไม่ทำอะไรเฉียงเอ๋อ วันนี้เขาไม่ไว้หน้าข้า ทำให้เฉียงเอ๋อเป็นเช่นนี้ บัญชีนี้ต้องโทษพี่ชายหรือว่าข้า”


 


 


ฮองเฮาตรัสเช่นนี้ออกไป ซือถูจ้าวชะงักไปชั่วขณะ


 


 


ฮองเฮาเอ่ยต่อว่า “ข้าหวังว่าท่านพี่จะสนับสนุนเป่ยเฉินเสียงมาโดยตลอด ให้เขาขึ้นเป็นรัชทายาท แต่ท่านพี่ถูกคำของซือถูเฉียงยุยง มีใจสนับสนุนให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเจ้า วันนี้เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ นับเป็นความเขลาท่านพี่หรือไม่”


 


 


คราวนี้ซือถูจ้าวยิ่งพูดไม่ออก


 


 


ฮองเฮาสีหน้าเย็นชา “เดิมทีข้าคิดว่า หลังพวกเจ้าพ่อลูกได้รับบทเรียนว่าเจ้าลูกทรพีนั่นไม่คำนึงถึงความเป็นญาติมิตรก็จะคิดได้ ใครจะรู้เขาลงมือครั้งแรก ค่าตอบแทนก็ใหญ่หลวงขนาดนี้ สิ่งเหล่านี้อยู่ในการควบคุมของข้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ ซือถูจ้าวสูดลมหายใจลึก มองฮองเฮา “ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ข้าไม่มีทางปล่อยไปเช่นนี้ ฮองเฮา องค์ชายใหญ่กับองค์ชายสี่ล้วนเป็นลูกของท่าน ต่างก็เป็นหลานของข้า สำหรับข้าแล้วสนับสนุนใครก็เหมือนกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าย่อมต้องทำตามประสงค์ท่านสนับสนุนองค์ชายใหญ่ แต่…”


 


 


น้ำเสียงซือถูจ้าวสงบนิ่งลง “แต่เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรท่านต้องมีข้อสรุปให้ข้า ต่อให้ไม่อาจเอาชีวิตสตรีนางนั้น อย่างน้อยเจ้าก็ต้องรับประกันว่า นางจะไม่มีทางเป็นพระชายาองค์ชายสี่ ทั้งไม่อาจเป็นสะใภ้ตระกูลเป่ยเฉิน ภายหน้าพวกเราหาโอกาสฆ่านาง หากเจ้าไม่รับรอง อย่าโทษข้าผู้เป็นพี่ชายจะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์หันไปสนับสนุนองค์ชายรองกับองค์ชายสาม”


 


 


ฮองเฮาได้ฟังคำนี้ ใจเต้นกระตุก รีบมองซือถูจ้าว เอ่ยรับรองว่า “ท่านพี่วางใจ ท่านพี่ก็รู้ จะเอาชีวิตนางในตอนนี้เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ข้ารับรองว่า ขอเพียงข้ามีชีวิตอยู่วันหนึ่ง อย่างมากนางก็เป็นได้แค่อนุแสนต่ำต้อยในวังองค์ชายสี่เท่านั้น ตำแหน่งพระชายารองก็เป็นไปไม่ได้ นางต้องตาย ชีวิตต้อยต่ำของนางยังไม่มีค่าเท่ากับขาของเฉียงเอ๋อ”


 


 


 


 


[1] ตำแหน่งพี่เขยหรือน้องเขยฮ่องเต้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม