เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 41-58

 41 ฉันเป็นผู้ชายของหลินเช่อ

 


หลินเช่อมองหน้าพ่อตัวเอง “พ่อคะ นี่หนูกลายเป็นคนไม่ดีไปได้ยังไงกันคะในเมื่อหนูไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับข่าวลือนั่นสักหน่อย” 


 


 


“ถ้าแกบริสุทธิ์ใจจริงละก็ แกยังสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ด้วยการไปขอโทษบ้านตระกูลเฉิงซะ พวกเขายังคงหาผู้หญิงคนใหม่มาแต่งงานด้วยไม่ได้” หันไฉ่อิงขอตายซะดีกว่าที่จะยอมให้หลินลี่แต่งกับบ้านนั้น ส่วนหลินโหย่วไฉก็เฝ้าแต่หวั่นใจว่าทางตระกูลเฉิงจะเอาทรัพย์สมบัติมหาศาลนั้นไปยกให้ใครอื่นเสียก่อน ความคิดนี้ทำให้เขาวิตกไม่น้อยเลยทีเดียว 


 


 


หลินเช่อไม่อยากจะเชื่อเลย เธอมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาเย้ยหยัน เธอไม่คิดเลยว่าผู้เป็นบิดายังคงคิดถึงเรื่องนี้ไม่เว้นวาง 


 


 


“พ่อคะ อย่าคิดถึงเรื่องนี้อีกเลยค่ะ ไม่ใช่หนูไม่อยากแต่งนะคะ อันที่จริงหนูมีแฟนแล้วเพราะฉะนั้นหนูจะไม่ยอมแต่งงานกับคนอื่นเป็นอันขาด” หลินเช่อไม่ได้บอกออกไปว่าเธอแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ เพียงแค่บอกว่ามีแฟนเท่านั้น 


 


 


หลินโหย่วไฉตกใจยิ่งนัก เขามองหน้าเธออย่างไม่เชื่อถือ “แกพูดจริงรึ” 


 


 


หลินเช่อหัวเราะ “หนูจะโกหกเรื่องแบบนี้ทำไมละคะ” 


 


 


“กู้จิ้งอวี่งั้นรึ” 


 


 


“ไม่ใช่หรอกค่ะ นั่นเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น” 


 


 


สายตาของหลินโหย่วไฉมีแววผิดหวัง มันก็คงเป็นไปไม่ได้จริงๆ ผู้หญิงอย่างหลินเช่อจะไปเตะตาต้องใจคนอย่างกู้จิ้งอวี่ได้อย่างไรกัน 


 


 


หลินโหย่วไฉพ่นลมใส่เยาะๆ “แกอย่าได้มีหน้าพาแฟนหนุ่มจิ๊กโก๋ของแกเข้ามาที่บ้านเป็นอันขาด ฉันจะบอกให้ แล้วก็อย่าโดนเขาหลอกด้วยล่ะ ฉันไม่เห็นว่าทางตระกูลเฉิงจะมีอะไรเลวร้ายตรงไหน ถ้าแกแต่งงานเข้าบ้านนั้นไป แกจะได้เป็นคุณผู้หญิงในทุกที่ที่แกไป ได้ใช้ชีวิตดีๆ มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ แก…” 


 


 


“ถ้าพ่ออยากได้เงินของพวกนั้นนัก ทำไมไม่ส่งคุณแม่เลี้ยงไปแต่งงานเสียแทนละคะ หนูเป็นลูกพ่อนะ แต่พ่อกลับอยากจะขายหนู พ่อ…” 


 


 


หลินเช่อเสียใจรุนแรง เธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมเธอต้องเกิดมาในครอบครัวนี้ด้วย 


 


 


หลินโหย่วไฉหน้าเสีย หันไฉ่อิงบังเอิญได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของหลินเช่อเข้า 


 


 


“หลินเช่อ นี่แกพูดจาแบบนี้ได้ยังไง ฉันยอมให้แกมาร่วมงานหมั้นแล้วก็ปฏิบัติกับแกเหมือนคนในครอบครัว แกกล้าดียังไงมาพูดจากับฉันกับพ่อแกแบบนี้น่ะ” 


 


 


หลินเช่อยิ้มเยาะ “คุณรู้ดีนี่คะว่าคุณยอมให้ฉันมาร่วมงานเพราะอะไร ถึงยังไงฉันก็มีแฟนแล้ว ฉันไม่คิดว่าตระกูลเฉิงจะยังเต็มใจรับฉันเป็นสะใภ้หรอกค่ะ ขอให้พวกคุณล้มเลิกความคิดนี้กันซะเถอะนะคะ” 


 


 


หน้าของหันไฉ่อิงแดงก่ำ “แกมันผู้หญิงไร้ยางอาย! ฉันรู้ดี แกก็เสนอตัวให้เขาไปทั่วนั่นแหละ ทำมาปากดีบอกว่ามีแฟนแล้ว ภูมิใจนักหรือไงที่ได้เที่ยวอวดใครต่อใครว่าตัวเองใจง่ายแค่ไหนน่ะ แก…” 


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ยังคงดูผิดในสายตาของอีกฝ่ายอยู่นั่นเอง 


 


 


ถ้าเธอหนีกลับเสียตอนนี้ พวกเขาก็คงพูดอีกนั่นแหละว่าเธอไม่ให้เกียรติครอบครัว 


 


 


หรือถ้าเธอทำตัวดีๆ มาร่วมงาน พวกเขาก็คงหนีไม่พ้นพูดว่าเธอขี้อวด 


 


 


หลินเช่อหมุนตัวและออกไปจากตรงนั้นทันที 


 


 


แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณกำลังจะบังคับให้หลินเช่อแต่งงานกับคนอื่นงั้นเหรอ” 


 


 


เสียงนั่น… 


 


 


เสียงที่ทุ้มลึก แหบพร่า และเจือไปด้วยความรู้สึก 


 


 


หลินเช่อหันกลับมาและเธอก็ได้เห็นกู้จิ้งเจ๋อยืนอยู่ทางด้านหลัง เขาอยู่ในสูทดำสนิทและกำลังเดินเข้ามาหา 


 


 


ร่างสูงของเขาฉายรัศมีราวกับองค์กษัตริย์กำลังเสด็จมา ดวงตานิ่งสนิทไม่ไหวติงจนยากที่จะมีใครหยั่งถึงความรู้สึกภายในได้ 


 


 


หลินเช่อที่กำลังนั่งอยู่บนรถวีลแชร์ รู้สึกได้ถึงมือเขาที่เอื้อมมาผลักรถเข็นอย่างแทบไม่ต้องออกแรง 


 


 


หลินเช่อไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะมาที่นี่ 


 


 


ไม่มีใครคาดคิดทั้งนั้นนั่นแหละ 


 


 


หลินเช่อไม่ได้บอกเขาด้วยซ้ำว่าเธอจะมางานหมั้นนี้ 


 


 


ถึงอย่างไรเธอกับเขาก็แต่งงานกันแค่เพียงในนาม เธอไม่อยากให้เขาต้องมาเดือดร้อนกับธุระส่วนตัวใดๆ ของเธอ 


 


 


หลินเช่อเงยหน้าขึ้นสบสายตาลึกล้ำของเขา ดวงตาสีเข้มนั้นดูราวกับจะจ้องลึกเข้ามาในตัวเธอ กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองหลินโหย่วไฉและหันไฉ่อิงด้วยสีหน้ารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง 


 


 


หันไฉ่อิงถลึงตาจ้องกู้จิ้งเจ๋อก่อนจะตวัดเสียงถามอย่างหยาบคายว่า “แกเป็นใครมาจากไหนกัน” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองหันไฉ่อิงอย่างไม่ใส่ใจ เสียงของเขาเย็นยะเยือก และถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามสะกดเอาไว้อย่างสุดกำลัง แต่เสียงนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยความเชือดเฉือนรุนแรง “นี่แม่เลี้ยงของเธอเหรอ” เขาก้มหน้าลงถามหลินเช่อ ไม่แยแสหันไฉ่อิงแม้แต่น้อย 


 


 


หลินเช่อมองหันไฉ่อิงแล้วตอบว่า “อืม” 


 


 


หันไฉ่อิงยกนิ้วขึ้นชี้หน้ากู้จิ้งเจ๋ออย่างโกรธเกรี้ยว “อ้อ แกคงจะเป็นไอ้แฟนจิ๊กโก๋ของหลินเช่อล่ะสิ ใช่มั้ยล่ะ” 


 


 


“ใครปล่อยให้แกเข้ามาที่นี่” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจับวีลแชร์เอาไว้และมองหันไฉ่อิง ก่อนจะตอบโดยไม่กะพริบตาว่า “นี่เป็นงานฉลองหมั้น แน่นอนว่าคนในครอบครัวจะต้องมาร่วมงาน ในเมื่อคุณเชิญหลินเช่อ ฉันก็ต้องมาด้วยไม่ใช่เหรอ” 


 


 


หลินเช่อคิดว่าหันไฉ่อิงคงจะไม่รู้ว่ากู้จิ้งเจ๋อเป็นใครอย่างแน่นอน 


 


 


แม้แต่ตัวเธอเองยังไม่เคยจินตนาการไว้เลยด้วยซ้ำว่าจะมีบุรุษที่สมบูรณ์พร้อมเช่นนี้อยู่จริงๆ ข้อแรก เขาเป็นยอดชายผู้เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง สูงส่งเกินกว่าที่คนอย่างเธอจะเอื้อมถึงต่อให้พยายามแค่ไหนก็ตามที ข้อสอง ถึงแม้ว่านักข่าวจะพยายามแอบถ่ายภาพเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ กู้จิ้งเจ๋อมักจะถูกแวดล้อมด้วยบอดี้การ์ดจำนวนมากที่คอยปกป้องเขา และไม่ปล่อยให้มีภาพถ่ายหลุดรอดออกไปได้เลย 


 


 


เป็นบุคคลที่ยากจะเข้าใจยิ่งนัก ผู้คนเคยได้ยินเกี่ยวกับเขา แต่ไม่เคยมีใครเห็นเขา 


 


 


หันไฉ่อิงพิจารณาดูกู้จิ้งเจ๋ออย่างเต็มตาอีกครั้ง หมอนี่หน้าตาไม่เลว หรือว่าจะเป็นดาราเหมือนกันล่ะนี่ 


 


 


หันไฉ่อิงพ่นลมพรืดแล้วพูดว่า “แกเป็นใครกันจะมาอ้างว่าเป็นคนในครอบครัว ถ้าแกอยากจะแต่งงานและพานังหลินเช่อนั่นไปอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ควรจะมาขออนุญาตจากเราเสียก่อน ซึ่งบอกได้เลยว่าเราไม่มีทางยกให้แน่” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบสั้นๆ ปราศจากความรู้สึกใดในน้ำเสียง “ฉันไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตหากต้องการจะแต่งงานกับใคร” 


 


 


“เฮอะ ทำตัวโอหังเกินไปแล้วนะ แม่นี่เป็นคนของตระกูลหลิน และหล่อนก็เป็นลูกสาวของเรา ไม่ใช่ผู้หญิงราคาถูกที่แกจะมาคว้าตัวไปเมื่อไหร่ก็ได้ ไหนลองบอกมาก่อนซิ ว่าแกทำมาหากินอะไร ได้เงินเดือนละเท่าไหร่ มีบ้านช่องอยู่หรือเปล่า” 


 


 


“เป็นคนเมืองนี้รึเปล่า มีรถมั้ย” 


 


 


“แล้วนี่เตรียมสินสอดไว้ให้เราเท่าไหร่ ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าสินสอดอย่างต่ำๆ ต้องหนึ่งล้านหยวน ถ้าไม่มีปัญญาก็อย่าฝันว่าจะได้แต่งงานกับหล่อนเลย หล่อนกินนอนอยู่ที่นี่มาตั้งกี่ปี แถมยังได้ใช้ชื่อคุณหนูหลินอีกต่างหาก… ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทั้งนั้น ไม่ใช่ของฟรี” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อทวนคำ “หนึ่งล้านหยวนรึ” 


 


 


หันไฉ่อิงถาม “แล้วจะทำไมล่ะ มีปัญญาหรือเปล่า ถ้าไม่มีปัญญาก็ไสหัวไปซะ” 


 


 


เมื่อมาถึงตรงนี้ หลินโหย่วไฉเข้ามาดึงหันไฉ่อิงจากทางด้านหลัง เขามองกู้จิ้งเจ๋อด้วยแววตาตื่นเต้น ราวกับอยากจะประจบเอาใจ และพูดว่า “คุณเป็นแฟนของหลินเช่อจริงๆ น่ะหรือ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหลินเช่อที่กำลังกัดริมฝีปากและมองดูเขาท่าทีอายๆ 


 


 


ดวงตาของเขาโชนแสงเป็นประกายระยิบเหมือนทะเลสาบยามสะท้อนแสงดวงดาว เขาขยับตัวเล็กน้อย 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “ใช่” 


 


 


หลินโหย่วไฉหัวเราะ “หลินเช่อนี่ก็ไม่ยอมบอกเราสักนิดว่ามีแฟน เธอน่าจะบอกเราให้เร็วกว่านี้หน่อย” 


42  เธอเป็นภรรยาของฉัน

 


หลินเช่อตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมองหลินโหย่วไฉที่อยู่ๆ ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนท่าทีไปอย่างสิ้นเชิง 


 


 


นี่พ่อของเธอกำลังพยายามจะทำอะไรน่ะ ทำไมอยู่ๆ ก็ทำตัวแบบนี้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังคงมองหลินโหย่วไฉด้วยท่าทางรังเกียจ “เราเพิ่งคบหากัน ฉันก็เลยไม่ได้เร่งร้อนที่จะมาเยี่ยมเยือนที่บ้านของเธอ” 


 


 


“อ้อ แต่เรายินดีต้อนรับคุณเสมอนะครับ! ยิ่งเร็วยิ่งดี” หลินโหย่วไฉหัวเราะเสียงดัง “พวกเราน่ะเป็นห่วงหลินเช่อมาตลอด เธอยังเด็กแล้วก็ยังไม่ประสีประสา อีกหน่อยเธอคงเข้าใจว่าที่เราทำทุกอย่างก็เพราะหวังดีกับเธอ ตอนนี้เธอมีคุณคอยช่วยดูแลแล้ว” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงแล้วจับมือของหลินเช่ออย่างอ่อนโยน 


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดเรียบๆ ว่า “หลินเช่อเป็นผู้หญิงที่ใสซื่อที่สุด น่ารักที่สุด แล้วก็ยังเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่ฉันเคยพบ การได้อยู่กับเธอทำให้ฉันมีความสุข และการได้ดูแลเธอก็เป็นหน้าที่ของฉัน” 


 


 


หัวใจหลินเช่อสะดุดเล็กน้อย 


 


 


เธอเงยหน้ามองชายหนุ่ม เธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะช่วยเหลือเธอในแบบนี้ 


 


 


หลินเช่อซาบซึ้งใจอย่างที่สุด ไม่เคยมีใครดีกับเธอแบบนี้มาก่อนเลย 


 


 


หลินโหย่วไฉมองดูกู้จิ้งเจ๋อ ท่าทีของเขากลายเป็นพินอบพิเทาอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


หันไฉ่อิงไม่สบอารมณ์นักเมื่อเห็นสามีของตัวเองทำอ่อนน้อมถ่อมตนกับเจ้าจิ๊กโก๋นี่ มันเป็นไปได้ยังไงกัน 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเริ่มเข็นวีลแชร์ของหลินเช่อ “ขาของหลินเช่อได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์ แผลยังไม่หายสนิทดี และเธอควรจะได้พักมากๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้วละก็ ฉันจะขอพาเธอกลับบ้านละ” 


 


 


หลินโหย่วไฉรีบตอบทันที “ได้เลย ได้เลยครับ เชิญเถอะ มาทางด้านนี้เลย” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปรายสายตาเหยียดหยันไปทางหันไฉ่อิงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะผลักรถของหลินเช่อออกไป มารดาเลี้ยงของหญิงสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ 


 


 


นี่มันอะไรกัน กล้าดียังไงถึงทำท่ายโสโอหังแบบนี้ต่อหน้าเธอ 


 


 


ห่างออกไปจากจุดเกิดเหตุ ฉินชิงมองดูหลินเช่อที่ออกจากงานเลี้ยงไปพร้อมบุรุษรูปงามทว่าเย็นชาผู้นั้น หัวใจเขาก็สั่นระรัว 


 


 


หมอนั่นเป็นใครกัน 


 


 


ฉินชิงพยายามพินิจดูผู้ชายที่อยู่กับหลินเช่ออย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง 


 


 


ด้วยสีหน้าฉายแววสงสัย ฉินชิงเดินเข้ามาสมทบและได้ยินหันไฉ่อิงที่กำลังอาละวาดด่ากราดหลินโหย่วไฉอยู่ว่า “นี่คุณทำบ้าอะไรกัน ทำไมถึงไปทำท่าพินอบพิเทาไอ้จิ๊กโก๋นั่นขนาดนั้น แทบจะไปหมอบแทนเท้ามันอยู่แล้ว” 


 


 


หันไฉ่อิงรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างหนัก 


 


 


หลินเซี่ยงเทียนถลึงตาใส่หันไฉ่อิง “เขาไม่ใช่คนธรรมดา” 


 


 


หันไฉ่อิงเถียงกลับ “ก็ดูดีอยู่หรอก แต่ฉินชิงเองก็ดูดีเหมือนกันแถมยังรวยกว่าด้วย” 


 


 


หลินโหย่วไฉตวัดเสียง “นี่เธอไม่ได้สังเกตแหวนที่เขาใส่ติดนิ้วอยู่นั่นเลยรึไง แหวนนั่นไม่ใช่ของที่จะเห็นคนทั่วไปใส่กันหรอกนะ” 


 


 


“เหอะ มันก็แค่แหวน เป็นผู้ชายแท้ๆ จะมาใส่เครื่องประดับทำไมกัน” หันไฉ่อิงยังไม่คลายความขุ่นเคือง 


 


 


หลินโหย่วไฉตอบ “เธอไม่รู้อะไร ฉันเคยเห็นคนใส่แหวนนั่นมาก่อน เขาใส่มันออกทีวีเลยละ” 


 


 


“ใครกัน ดาราคนไหนเรอะ” หันไฉ่อิงสงสัย ในเมื่อได้ออกทีวี ก็คงไม่พ้นต้องเป็นดาราแน่ๆ 


 


 


หลินโหย่วไฉหรี่ตา “ท่านประธานาธิบดี” 


 


 


หันไฉ่อิงอ้าปากค้างเมื่อโพล่งออกมาเสียงดังว่า “เป็นไปไม่ได้ คุณเสียสติไปแล้วรึไง คุณคงจะตาฝาดไปแน่ๆ” 


 


 


ฉินชิงที่เดินเข้ามาถึงทางด้านหลังพอดี และได้ยินการเอ่ยถึงแหวนของประธานาธิบดี เขาก็รีบถามอย่างเคร่งเครียดว่า “คุณลุง คุณป้าครับ นี่กำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ท่านประธานาธิบดีต้องสวมแหวนอยู่แล้ว เพราะท่านเป็นคนรักครอบครัว ท่านก็เลยสวมแหวนเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของครอบครัว และก็สวมเป็นปกติอยู่ทุกที่ที่ไป แต่นี่…แต่นี่ ผู้ชายคนนี้” 


 


 


เขาเป็นคนตระกูลกู้งั้นหรือ 


 


 


จนกระทั่งวันนี้ ก็มีคนตระกูลกู้เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่เคยมีใครถ่ายภาพได้ และนั่นก็คือบุรุษผู้แสนลึกลับ กู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


“อย่าบอกนะครับว่าผู้ชายที่เข็นรถของหลินเช่อออกไปคือกู้จิ้งเจ๋อ” 


 


 


ประโยคนั้นทำเอาทุกคนพากันเงียบงัน 


 


 


“ฉันมั่นใจเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยละ” หลินโหย่วไฉที่ตอนนี้มั่นใจยิ่งกว่าเดิมหลังจากได้ยินคำพูดของฉินชิง 


 


 


แต่หันไฉ่อิงยังคงเชื่อไม่ลง “เป็นไปไม่ได้ เธอสองคนคิดมากเกินไปแล้ว ดูนังหลินเช่อสิว่าหล่อนเละเทะแค่ไหน หล่อนจะไปคว้าผู้ชายคนสำคัญขนาดนั้นมาได้ยังไงกัน จะคิดเข้าข้างหล่อนกันมากเกินไปแล้วนะ” 


 


 


หันไฉ่อิงปฏิเสธที่จะเชื่อ มันเป็นไปไม่ได้ 


 


 


ลูกสาวคนสวยอย่างหลินลี่ได้แต่งงานกับฉินชิงก็ทำเอาหลายคนริษยาตาร้อนมากแล้ว 


 


 


แล้วทำไมนังผู้หญิงสำส่อนอย่างหลินเช่อถึงไปคว้าเอาผู้ชายที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากขนาดนั้นได้ 


 


 


เธอยอมตายเสียดีกว่าที่จะเชื่อว่ามันเป็นความจริง 


 


 


ฉินชิงเองก็สับสนไม่แพ้กัน “ถ้างั้น…พวกเขารู้จักกันได้ยังไงล่ะครับ” 


 


 


หันไฉ่อิงรีบตอบโดยไว “เหอะ ต่อให้เป็นเขาจริง เขาก็คงแค่คิดอยากเล่นสนุกกับนังหลินเช่อนั่นละมั้ง เดี๋ยวนี้หล่อนหน้าหนาแล้วนี่ ไปคว้าผู้ชายอย่างกู้จิ้งเจ๋อ เดี๋ยวก็ไปคว้าผู้ชายคนใหม่อีกนั่นแหละ คงเห็นหลินลี่แต่งงาน ก็เลยเต็มใจพลีกายตัวเองให้ได้เงิน นี่คุณยังจะคิดเข้าข้างนังนั่นอยู่อีกเหรอ โหย่วไฉ เมื่อไหร่แม่นั่นจะหยุดทำตัวแบบนี้ซะที หล่อนไม่ได้แค่ไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นเท่านั้น แต่สร้างความเดือดร้อนให้เราด้วยนะ” 


 


 


หันไฉ่อิงยืดตัวตรง ตอนนี้ความโกรธของเธอจวนเจียนจะปะทุได้เหมือนดอกไม้ไฟอยู่แล้ว 


 


 


ขณะที่ฉินชิงนิ่งฟังคำพูดของหันไฉ่อิง เขาก็หันมองตามไปยังทิศที่ชายคนนั้นและหลินเช่อจากไป 


 


 


ผู้คนต่างพากันจับตามองทั้งหลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อด้วยความสงสัย 


 


 


คำถามและความใคร่รู้ดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ 


 


 


“คนที่ออกไปกับหลินเช่อเป็นใครกัน” 


 


 


“ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องของเขาเลย แต่เขาหล่อมากเลยนะ” 


 


 


“ดวงตาเขามีเสน่ห์เหลือเกิน ฉันคิดว่าเขาหล่อกว่าเจ้าบ่าวซะอีก” 


 


 


หลินลี่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น แต่เมื่อได้ยินคนพูดว่ามีคนหล่อกว่าเจ้าบ่าวของเธอ หลินลี่ก็รีบหันขวับมาทันที 


 


 


นังหลินเช่อมากับผู้ชายคนนั้นเหรอ 


 


 


เจ็บใจที่สุด 


 


 


นังหลินเช่อต้องมาที่นี่เพราะมีเป้าหมายแอบแฝงแน่ๆ หล่อนมาที่นี่เพื่อขโมยซีนเธอชัดๆ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังคงเข็นรถวีลแชร์ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจุดที่ผู้คนเริ่มบางตา 


 


 


แล้วหลินเช่อก็ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก เธอเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มแล้วถามว่า “คุณมาที่นี่ได้ยังไงกันคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “นี่เป็นงานของครอบครัวนี่ ในฐานะสามีของเธอ ฉันก็ต้องมาด้วย ไม่ใช่รึไง” 


 


 


ทางด้านหลัง เขายังคงเห็นร่างของฉินชิงอยู่ลิบๆ 


 


 


ในหัวใจกู้จิ้งเจ๋อ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหลินเช่อถึงได้ชอบพอผู้ชายคนนั้นนักหนา ก็แค่ไอ้หนุ่มหน้าสวยคนหนึ่งเท่านั้น 


 


 


หรือว่าหลินเช่อจะชอบผู้ชายแบบนี้ 


 


 


ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นโดยไม่รู้ตัว 


 


 


หลินเช่อตอบว่า “ก็แค่งานหมั้นของพี่สาวฉันเท่านั้นเองค่ะ” 


 


 


“แล้วก็เป็นงานหมั้นของผู้ชายที่เธอแอบชอบด้วย” เขาต่อให้ 


 


 


หลินเช่อรีบบอกโดยไม่ลังเลว่า “นี่ มันไม่ใช่แบบนั้นนะคะ” 


 


 


“ชื่อฉินชิงใช่รึเปล่า” กู้จิ้งเจ๋อมองหน้า 


 


 


หน้าเธอสลดลงเล็กน้อย ก่อนจะยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก “เรื่องในอดีตน่ะค่ะ” 


 


 


“ถ้าเป็นอย่างนั้น ในฐานะสามีของเธอ ฉันก็ควรจะได้มางานเลี้ยงนี่กับเธอด้วย” 


 


 


หลินเช่อพูดเบาๆ “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกค่ะ…” 


 


 


“ไม่เป็นไร ฉันเป็นสามีของเธอ” กู้จิ้งเจ๋อเข็นรถเธอเข้าไปในบริเวณจัดเลี้ยง 


 


 


หลินเช่อร้องขึ้นว่า “ก็แค่ในทะเบียนเท่านั้นแหละ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูด “สำหรับช่วงเวลาที่เรายังไม่ได้หย่ากัน เธอจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานเป็นภรรยาของฉัน ตามกฎหมายและศีลธรรม เธอเป็นภรรยาของฉัน เพราะฉะนั้นฉันก็ควรจะมาที่นี่กับเธอด้วย” 


 


 


หลินเช่อเงยหน้า คำพูดนั้นส่งให้เธอรู้สึกอุ่นวาบและอิ่มเอมขึ้นมาเต็มหัวใจ 


43 ชุดฉันมันพันกันน่ะ

 


หลินเช่อมองเห็นนักข่าวที่พากันขยับตัว 


 


 


“พวกนักข่าวมากันแล้วค่ะ ไม่ได้การล่ะ ฉันต้องรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย ตอนนี้มีพวกนักข่าวอยู่รอบตัวไปหมดแล้ว” หลินเช่อยังด้อยประสบการณ์ในเรื่องนี้ เธอไม่รู้ว่าจะรับมือกับบรรดานักข่าวอย่างไร เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร แล้วก็ยังกลัวอีกว่าจะพูดอะไรผิดๆ ออกไปและส่งผลกระทบกับอาชีพการงานของตัวเองเข้า 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้นว่า “เราเข้าไปหลบกันข้างในก็ได้ ไปเถอะ” 


 


 


ชายหนุ่มพูดพลางหันไปส่งสัญญาณให้คนของเขาก้าวเข้ามาจัดการ 


 


 


และภายใต้การป้องกันของบรรดาบอดี้การ์ด หนุ่มสาวทั้งสองก็หายลึกเข้าไปในตัวโรงแรม 


 


 


หลินเช่อโล่งอกที่ไม่มีนักข่าวคนใดตามเข้ามา “โชคดีจังค่ะ เราสลัดหลุดแล้ว ไม่งั้นละก็ไม่รู้จะทำยังไงนะคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อได้แต่มองอีกฝ่ายเงียบๆ และคิดว่า หากโรงแรมแห่งนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้ธุรกิจของตระกูลกู้และไม่ได้ถูกแวดล้อมด้วยคนของเขาเองแบบนี้แล้วละก็ เธอคงไม่มีวันหนีนักข่าวพวกนั้นได้พ้นแน่ ไม่ใช่ว่าพวกนักข่าวไม่ตามมาหรอก พวกเขาถูกกันเอาไว้ต่างหากล่ะ 


 


 


ไม่ช้า ทั้งสองก็ได้ห้องพักในโรงแรม 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอกว่า “ฉันขอให้พนักงานเอาอาหารขึ้นมาให้แล้ว เธอควรจะกินอะไรสักหน่อย” 


 


 


“เยี่ยมไปเลยค่ะ กู้จิ้งเจ๋อ คุณนี่แสนดีจัง” เธอเงยหน้ามองเขา สีหน้าระบายไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้ดีว่าเธอทำประจบไปอย่างนั้นเอง แต่เขาก็อดพอใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้ 


 


 


“ในเมื่อรู้แล้วว่าฉันดีอย่างนี้ ต่อไปก็ทำตัวดีๆ กับฉันหน่อยสิ” เขาบอกพลางเลื่อนถาดอาหารมาตรงหน้าให้เธอ 


 


 


การนั่งอยู่บนวีลแชร์ทำให้ไม่ค่อยสะดวกนัก กู้จิ้งเจ๋อจึงขยับถาดอาหารให้เข้าไปใกล้ๆ เธอเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้ายินดี 


 


 


หลินเช่อรับประทานอาหารได้สองสามคำ โทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเดินไปรับสาย 


 


 


ที่ปลายสาย เสียงพนักงานรักษาความปลอดภัยดังขึ้นว่า “ท่านครับ หลินโหย่วไฉกำลังตามหาตัวท่านครับ เราหยุดเขาไว้แล้ว” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองหญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉยปราศจากความรู้สึก “อืม” 


 


 


เมื่อวางสาย เขาก็เห็นหลินเช่อกำลังขยับตัวยุกยิกพลางดึงทึ้งเสื้อผ้าตัวเองไปพลาง จนเขาต้องเอ่ยปากถามขึ้นว่า “เป็นอะไรเหรอ” 


 


 


หลินเช่อพยายามแก้ปมริบบิ้นที่ผูกอยู่ด้านหลังของชุดแต่ก็ไม่สำเร็จ จนเจ้าตัวบ่นงึมงำด้วยความหงุดหงิดว่า “ฉันว่าด้านหลังของชุดฉันมันพันกันอยู่น่ะค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้าแล้วเดินเข้ามาหา “เอาเถอะ เธอนี่ทั้งซื่อบื้อแถมยังซุ่มซ่ามแบบนี้ ฉันจะช่วยดูให้ก็แล้วกัน” 


 


 


หลินเช่อยอมแพ้ “ก็ได้ค่ะ พ่อคนฉลาด” 


 


 


เขาบอก “ดูสิว่าเธอโง่แค่ไหน” 


 


 


เขาขยับเข้ามาดูใกล้ๆ และพบว่าริบบิ้นนั้นเข้าไปพันอยู่กับวีลแชร์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหลินเช่อถึงจัดการกับมันไม่ได้ 


 


 


เขาดึงมันออกมาแล้วพูดว่า “ใครเขาใช้ให้เธอเลือกชุดที่สวมยากๆ แบบนี้กันล่ะ” 


 


 


หลินเช่อรู้สึกถึงมือใหญ่ของเขาที่กำลังขยับไปมา บางครั้งก็แตะโดนผิวเนื้อที่หลังของเธอ ทำให้หญิงสาวยากที่จะควบคุมตัวเอง 


 


 


แต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร และพ่นลมพรืดออกจมูกพลางพูดว่า “มันเป็นงานฉลองหมั้นนะคะ จะให้ฉันแต่งตัวธรรมดาได้ยังไงล่ะ แถมตอนนี้ฉันยังเป็นภรรยาคุณด้วย ฉันก็ต้องช่วยรักษาหน้าคุณสิ เห็นชุดนี่มั้ยคะ บริษัทฉันอุตส่าห์ให้ยืมมาเชียวนะ ของแบรนด์เนมด้วยล่ะ” 


 


 


หน้าของกู้จิ้งเจ๋อเปลี่ยนสี “ถ้าเธอไม่มีเสื้อผ้าใส่มางาน ฉันซื้อให้ก็ได้ ทำไมต้องไปยืมบริษัทด้วย” 


 


 


“ก็มันยุ่งยากนี่คะ” 


 


 


“เพราะว่ายุ่งยากหรือเพราะเธอไม่อยากบอกฉันว่าจะมางานหมั้นของผู้ชายที่ตัวเองแอบชอบกันแน่” นิ้วของกู้จิ้งเจ๋อหนักแรงขึ้นทันที ยิ่งเขาคิดว่าเธอมุ่งมั่นที่จะมางานเลี้ยงนี่ให้ได้แค่ไหน เขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น 


 


 


หลินเช่อเริ่มเจ็บหลัง เธอหันไปแว้ดใส่เขาอย่างโกรธๆ ว่า “นี่ ถ้าคุณไม่อยากช่วยก็ไม่ต้องช่วย ฉันเจ็บนะ” 


 


 


“ขอโทษที ฉันลืมตัวไป” ตัวเขาก็สับสนกับความคิดของตัวเองไม่น้อย จึงก้มหน้าก้มตาพยายามคลายปมริบบิ้นให้เธอต่อไปด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น 


 


 


หลินเช่อเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนักว่า “ทำไมคุณถึงก้มต่ำขนาดนั้นละคะ อาการป่วยของคุณกำเริบหรือเปล่าน่ะ” 


 


 


เธอจำได้ว่าเขาเคยบอกว่า ถ้าหากเขาเข้าใกล้ผู้หญิงมากเกินไป เขาจะมีอาการต่อต้านหลายอย่างตามมาทั้งอาเจียนแล้วก็ผื่นคัน 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสงสัย “ทำไมถึงจะกำเริบล่ะ” 


 


 


“ฉันไม่กลัวที่จะแตะต้องตัวเธอแล้วต้องป่วยหรอกนะ” 


 


 


“ฉันไม่ทำตัวเองขายหน้าต่อหน้าเธอหรอกน่า” กู้จิ้งเจ๋อพูดต่อ “พูดถึงขายหน้า เธอเองก็ทำเรื่องน่าขายหน้าไปตั้งเยอะตั้งแยะนี่” 


 


 


หลินเช่อทำตาเขียวใส่ “ด้วยความยินดีค่ะ” 


 


 


ใช่สิ เธอน่ะทั้งวางยา ทั้งทำเรื่องน่าอาย แถมยังเมาแอ๋ต่อหน้าเขา 


 


 


เขาก็เห็นมาหมดทุกอย่างแล้วจริงๆ นั่นแหละ 


 


 


หลินเช่อคิดว่าโม่ฮุ่ยหลิงคงไม่เคยทำอะไรแบบนี้แน่ๆ 


 


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขารักหล่อนไม่ใช่เธอ ผู้หญิงที่ดีควรจะรักษาระยะห่างจากผู้ชาย ที่สำคัญก็คือควรจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดี ไม่อย่างนั้นจะมีผู้ชายที่ไหนมารักกันเล่า ใช่มั้ย 


 


 


โดยเฉพาะผู้ชายอย่างกู้จิ้งเจ๋อ ด้วยสถานะอย่างเขา คงจะเคยพบหน้าค่าตาผู้หญิงสวยสง่ามาแล้วนับไม่ถ้วนแน่ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองซิปของชุดราตรีด้วยสีหน้าครุ่นคิด มันเข้าไปติดกับเนื้อผ้าจนยากที่จะรูดออกได้ 


 


 


เขาพยายามจัดการเจ้าซิปนั่นอย่างหนัก และก็อดสังเกตไม่ได้ว่าในขณะที่ตัวเองกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่นั้น เขากำลังอยู่ใกล้ลำคอขาวผ่องนวลเนียนของเธอแค่ไหน ชุดที่เธอสวมอยู่ขยับไปมาในขณะที่แสงไฟนุ่มๆ ส่องสว่างเข้ามาจากทางด้านหน้า 


 


 


เขาจำได้ว่าเธอเคยบอกเขาว่า หน้าอกเธอนั้นรูปทรงเหมือนลูกพีช 


 


 


เมื่อลองมองดู มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เสียด้วยแฮะ 


 


 


แม้เนื้อผ้าสีน้ำเงินจะปกปิดหน้าอกหน้าใจส่วนใหญ่เอาไว้ แต่ครึ่งบนของเนินอกนั้นก็ยังคงโผล่พ้นชุดขึ้นมาให้แลเห็นได้ถนัด แถมยังขยับไปมาน้อยๆ อีกด้วย 


 


 


จากมุมของเขา ชายหนุ่มได้เห็นแผ่นหลังเปลือยเกือบทั้งหมดของเธอ ผิวของเธอทั้งนุ่มนิ่มและเรียบเนียน แทบจะปราศจากรูขุมขนใดๆ เว้นแต่เส้นขนอ่อนบางเพียงเล็กน้อยที่ทำให้แลดูเหมือนผิวเด็กอ่อน… 


 


 


ในลำคอรู้สึกร้อนผะผ่าว เขาพยายามเบือนสายตาหนีแต่ก็ยังคงอดรู้สึกไม่ได้อยู่นั่นเอง 


 


 


ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายเท่าไหร่ มือไม้เขาก็ยิ่งเงอะงะขึ้นเท่านั้น 


 


 


ด้วยหมดความอดทนที่จะแก้ปมริบบิ้น 


 


 


เขาตะโกนดังลั่นว่า “ให้ตายสิ มันไม่ยอมออก!” 


 


 


ด้วยการดึงอย่างสุดแรงเพียงครั้งเดียว ชุดสวยก็ส่งเสียงดังแคว่ก 


 


 


และขาดกระจุย 


 


 


หลินเช่อไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เธอประคองชุดเอาไว้และเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเงียบๆ ทั้งโมโหและร้องตะโกนเสียงหลง เธอรู้สึกได้ถึงลมเย็นจากแอร์คอนดิชันที่เป่ามาโดยผิวเปลือยของตัวเอง มันทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่ค่อยดีนัก “คุณทำอะไรลงไปน่ะ กู้จิ้งเจ๋อ แบบนี้เรียกว่าช่วยเหรอคะ” 


 


 


ชายหนุ่มเองก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน หูเขาแดงก่ำด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี 


 


 


เนื้อผ้าส่วนใหญ่ลื่นหลุดลงจากตัว เผยให้เป็นเรือนร่างของหลินเช่อที่ยิ่งดูน่าหลงใหลขึ้นไปกว่าเดิม ร่างของเธอดูเหมือนจะขาวโพลนกระจ่างใสอยู่ในแสงไฟ เส้นผมละเอียดนุ่มเหมือนเด็กน้อยเกินกว่าที่ใครจะต้านทานความเย้ายวนนี้ได้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหัวใจกระตุกเหมือนมีคนเข้ามาเขย่า 


 


 


เธอหันขวับมา สายตาคมกริบเหมือนมีดจ้องเป๋งที่เขา “ชุดนี่พังหมดแล้ว คุณรู้รึเปล่าคะว่ามันแพงขนาดไหน” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบกลับไปอย่างโกรธๆ ว่า “ฉันจะใช้คืนให้” 


 


 


“ฮึ ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นแหละ!” 


 


 


เขาจ้องหน้าเธอแล้วหันไปคว้าโทรศัพท์ 


 


 


“ส่งชุดราตรีขึ้นมาให้ชุดหนึ่ง ขนาดเท่าตัวภรรยาฉัน” กู้จิ้งเจ๋อพูดพลางมองดูหลินเช่อที่ดวงตากลมโตของเธอยังคงจ้องหน้าเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ มือก็รั้งชุดเอาไว้ หน้าอกของเธอที่อวบอัดนั้น ยิ่งดูใหญ่ขึ้นไปอีกเมื่อสองมือเล็กๆ นั่นคอยประคองมันเอาไว้ 


 


 


สายตาของกู้จิ้งเจ๋อดูจะเตลิดไปไกลเมื่อมองดูเธอ หญิงสาวนิ่วหน้าแล้วหันหนี 


 


 


แย่ที่สุด 


 


 


หลินเช่อไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากเคลื่อนวีลแชร์ของตัวเองเข้าไปในห้องน้ำ 


 


 


เธอเจอเสื้อคลุมอาบน้ำจึงหยิบมาสวม


44 ชุดฉันมันพันกันน่ะ

 


หลินเช่อมองเห็นนักข่าวที่พากันขยับตัว 


 


 


“พวกนักข่าวมากันแล้วค่ะ ไม่ได้การล่ะ ฉันต้องรีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย ตอนนี้มีพวกนักข่าวอยู่รอบตัวไปหมดแล้ว” หลินเช่อยังด้อยประสบการณ์ในเรื่องนี้ เธอไม่รู้ว่าจะรับมือกับบรรดานักข่าวอย่างไร เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร แล้วก็ยังกลัวอีกว่าจะพูดอะไรผิดๆ ออกไปและส่งผลกระทบกับอาชีพการงานของตัวเองเข้า 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้นว่า “เราเข้าไปหลบกันข้างในก็ได้ ไปเถอะ” 


 


 


ชายหนุ่มพูดพลางหันไปส่งสัญญาณให้คนของเขาก้าวเข้ามาจัดการ 


 


 


และภายใต้การป้องกันของบรรดาบอดี้การ์ด หนุ่มสาวทั้งสองก็หายลึกเข้าไปในตัวโรงแรม 


 


 


หลินเช่อโล่งอกที่ไม่มีนักข่าวคนใดตามเข้ามา “โชคดีจังค่ะ เราสลัดหลุดแล้ว ไม่งั้นละก็ไม่รู้จะทำยังไงนะคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อได้แต่มองอีกฝ่ายเงียบๆ และคิดว่า หากโรงแรมแห่งนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้ธุรกิจของตระกูลกู้และไม่ได้ถูกแวดล้อมด้วยคนของเขาเองแบบนี้แล้วละก็ เธอคงไม่มีวันหนีนักข่าวพวกนั้นได้พ้นแน่ ไม่ใช่ว่าพวกนักข่าวไม่ตามมาหรอก พวกเขาถูกกันเอาไว้ต่างหากล่ะ 


 


 


ไม่ช้า ทั้งสองก็ได้ห้องพักในโรงแรม 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอกว่า “ฉันขอให้พนักงานเอาอาหารขึ้นมาให้แล้ว เธอควรจะกินอะไรสักหน่อย” 


 


 


“เยี่ยมไปเลยค่ะ กู้จิ้งเจ๋อ คุณนี่แสนดีจัง” เธอเงยหน้ามองเขา สีหน้าระบายไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้ดีว่าเธอทำประจบไปอย่างนั้นเอง แต่เขาก็อดพอใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้ 


 


 


“ในเมื่อรู้แล้วว่าฉันดีอย่างนี้ ต่อไปก็ทำตัวดีๆ กับฉันหน่อยสิ” เขาบอกพลางเลื่อนถาดอาหารมาตรงหน้าให้เธอ 


 


 


การนั่งอยู่บนวีลแชร์ทำให้ไม่ค่อยสะดวกนัก กู้จิ้งเจ๋อจึงขยับถาดอาหารให้เข้าไปใกล้ๆ เธอเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้ายินดี 


 


 


หลินเช่อรับประทานอาหารได้สองสามคำ โทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเดินไปรับสาย 


 


 


ที่ปลายสาย เสียงพนักงานรักษาความปลอดภัยดังขึ้นว่า “ท่านครับ หลินโหย่วไฉกำลังตามหาตัวท่านครับ เราหยุดเขาไว้แล้ว” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองหญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉยปราศจากความรู้สึก “อืม” 


 


 


เมื่อวางสาย เขาก็เห็นหลินเช่อกำลังขยับตัวยุกยิกพลางดึงทึ้งเสื้อผ้าตัวเองไปพลาง จนเขาต้องเอ่ยปากถามขึ้นว่า “เป็นอะไรเหรอ” 


 


 


หลินเช่อพยายามแก้ปมริบบิ้นที่ผูกอยู่ด้านหลังของชุดแต่ก็ไม่สำเร็จ จนเจ้าตัวบ่นงึมงำด้วยความหงุดหงิดว่า “ฉันว่าด้านหลังของชุดฉันมันพันกันอยู่น่ะค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้าแล้วเดินเข้ามาหา “เอาเถอะ เธอนี่ทั้งซื่อบื้อแถมยังซุ่มซ่ามแบบนี้ ฉันจะช่วยดูให้ก็แล้วกัน” 


 


 


หลินเช่อยอมแพ้ “ก็ได้ค่ะ พ่อคนฉลาด” 


 


 


เขาบอก “ดูสิว่าเธอโง่แค่ไหน” 


 


 


เขาขยับเข้ามาดูใกล้ๆ และพบว่าริบบิ้นนั้นเข้าไปพันอยู่กับวีลแชร์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหลินเช่อถึงจัดการกับมันไม่ได้ 


 


 


เขาดึงมันออกมาแล้วพูดว่า “ใครเขาใช้ให้เธอเลือกชุดที่สวมยากๆ แบบนี้กันล่ะ” 


 


 


หลินเช่อรู้สึกถึงมือใหญ่ของเขาที่กำลังขยับไปมา บางครั้งก็แตะโดนผิวเนื้อที่หลังของเธอ ทำให้หญิงสาวยากที่จะควบคุมตัวเอง 


 


 


แต่ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร และพ่นลมพรืดออกจมูกพลางพูดว่า “มันเป็นงานฉลองหมั้นนะคะ จะให้ฉันแต่งตัวธรรมดาได้ยังไงล่ะ แถมตอนนี้ฉันยังเป็นภรรยาคุณด้วย ฉันก็ต้องช่วยรักษาหน้าคุณสิ เห็นชุดนี่มั้ยคะ บริษัทฉันอุตส่าห์ให้ยืมมาเชียวนะ ของแบรนด์เนมด้วยล่ะ” 


 


 


หน้าของกู้จิ้งเจ๋อเปลี่ยนสี “ถ้าเธอไม่มีเสื้อผ้าใส่มางาน ฉันซื้อให้ก็ได้ ทำไมต้องไปยืมบริษัทด้วย” 


 


 


“ก็มันยุ่งยากนี่คะ” 


 


 


“เพราะว่ายุ่งยากหรือเพราะเธอไม่อยากบอกฉันว่าจะมางานหมั้นของผู้ชายที่ตัวเองแอบชอบกันแน่” นิ้วของกู้จิ้งเจ๋อหนักแรงขึ้นทันที ยิ่งเขาคิดว่าเธอมุ่งมั่นที่จะมางานเลี้ยงนี่ให้ได้แค่ไหน เขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น 


 


 


หลินเช่อเริ่มเจ็บหลัง เธอหันไปแว้ดใส่เขาอย่างโกรธๆ ว่า “นี่ ถ้าคุณไม่อยากช่วยก็ไม่ต้องช่วย ฉันเจ็บนะ” 


 


 


“ขอโทษที ฉันลืมตัวไป” ตัวเขาก็สับสนกับความคิดของตัวเองไม่น้อย จึงก้มหน้าก้มตาพยายามคลายปมริบบิ้นให้เธอต่อไปด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น 


 


 


หลินเช่อเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจนักว่า “ทำไมคุณถึงก้มต่ำขนาดนั้นละคะ อาการป่วยของคุณกำเริบหรือเปล่าน่ะ” 


 


 


เธอจำได้ว่าเขาเคยบอกว่า ถ้าหากเขาเข้าใกล้ผู้หญิงมากเกินไป เขาจะมีอาการต่อต้านหลายอย่างตามมาทั้งอาเจียนแล้วก็ผื่นคัน 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสงสัย “ทำไมถึงจะกำเริบล่ะ” 


 


 


“ฉันไม่กลัวที่จะแตะต้องตัวเธอแล้วต้องป่วยหรอกนะ” 


 


 


“ฉันไม่ทำตัวเองขายหน้าต่อหน้าเธอหรอกน่า” กู้จิ้งเจ๋อพูดต่อ “พูดถึงขายหน้า เธอเองก็ทำเรื่องน่าขายหน้าไปตั้งเยอะตั้งแยะนี่” 


 


 


หลินเช่อทำตาเขียวใส่ “ด้วยความยินดีค่ะ” 


 


 


ใช่สิ เธอน่ะทั้งวางยา ทั้งทำเรื่องน่าอาย แถมยังเมาแอ๋ต่อหน้าเขา 


 


 


เขาก็เห็นมาหมดทุกอย่างแล้วจริงๆ นั่นแหละ 


 


 


หลินเช่อคิดว่าโม่ฮุ่ยหลิงคงไม่เคยทำอะไรแบบนี้แน่ๆ 


 


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขารักหล่อนไม่ใช่เธอ ผู้หญิงที่ดีควรจะรักษาระยะห่างจากผู้ชาย ที่สำคัญก็คือควรจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดี ไม่อย่างนั้นจะมีผู้ชายที่ไหนมารักกันเล่า ใช่มั้ย 


 


 


โดยเฉพาะผู้ชายอย่างกู้จิ้งเจ๋อ ด้วยสถานะอย่างเขา คงจะเคยพบหน้าค่าตาผู้หญิงสวยสง่ามาแล้วนับไม่ถ้วนแน่ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองซิปของชุดราตรีด้วยสีหน้าครุ่นคิด มันเข้าไปติดกับเนื้อผ้าจนยากที่จะรูดออกได้ 


 


 


เขาพยายามจัดการเจ้าซิปนั่นอย่างหนัก และก็อดสังเกตไม่ได้ว่าในขณะที่ตัวเองกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่นั้น เขากำลังอยู่ใกล้ลำคอขาวผ่องนวลเนียนของเธอแค่ไหน ชุดที่เธอสวมอยู่ขยับไปมาในขณะที่แสงไฟนุ่มๆ ส่องสว่างเข้ามาจากทางด้านหน้า 


 


 


เขาจำได้ว่าเธอเคยบอกเขาว่า หน้าอกเธอนั้นรูปทรงเหมือนลูกพีช 


 


 


เมื่อลองมองดู มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เสียด้วยแฮะ 


 


 


แม้เนื้อผ้าสีน้ำเงินจะปกปิดหน้าอกหน้าใจส่วนใหญ่เอาไว้ แต่ครึ่งบนของเนินอกนั้นก็ยังคงโผล่พ้นชุดขึ้นมาให้แลเห็นได้ถนัด แถมยังขยับไปมาน้อยๆ อีกด้วย 


 


 


จากมุมของเขา ชายหนุ่มได้เห็นแผ่นหลังเปลือยเกือบทั้งหมดของเธอ ผิวของเธอทั้งนุ่มนิ่มและเรียบเนียน แทบจะปราศจากรูขุมขนใดๆ เว้นแต่เส้นขนอ่อนบางเพียงเล็กน้อยที่ทำให้แลดูเหมือนผิวเด็กอ่อน… 


 


 


ในลำคอรู้สึกร้อนผะผ่าว เขาพยายามเบือนสายตาหนีแต่ก็ยังคงอดรู้สึกไม่ได้อยู่นั่นเอง 


 


 


ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายเท่าไหร่ มือไม้เขาก็ยิ่งเงอะงะขึ้นเท่านั้น 


 


 


ด้วยหมดความอดทนที่จะแก้ปมริบบิ้น 


 


 


เขาตะโกนดังลั่นว่า “ให้ตายสิ มันไม่ยอมออก!” 


 


 


ด้วยการดึงอย่างสุดแรงเพียงครั้งเดียว ชุดสวยก็ส่งเสียงดังแคว่ก 


 


 


และขาดกระจุย 


 


 


หลินเช่อไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น เธอประคองชุดเอาไว้และเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเงียบๆ ทั้งโมโหและร้องตะโกนเสียงหลง เธอรู้สึกได้ถึงลมเย็นจากแอร์คอนดิชันที่เป่ามาโดยผิวเปลือยของตัวเอง มันทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่ค่อยดีนัก “คุณทำอะไรลงไปน่ะ กู้จิ้งเจ๋อ แบบนี้เรียกว่าช่วยเหรอคะ” 


 


 


ชายหนุ่มเองก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน หูเขาแดงก่ำด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี 


 


 


เนื้อผ้าส่วนใหญ่ลื่นหลุดลงจากตัว เผยให้เป็นเรือนร่างของหลินเช่อที่ยิ่งดูน่าหลงใหลขึ้นไปกว่าเดิม ร่างของเธอดูเหมือนจะขาวโพลนกระจ่างใสอยู่ในแสงไฟ เส้นผมละเอียดนุ่มเหมือนเด็กน้อยเกินกว่าที่ใครจะต้านทานความเย้ายวนนี้ได้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหัวใจกระตุกเหมือนมีคนเข้ามาเขย่า 


 


 


เธอหันขวับมา สายตาคมกริบเหมือนมีดจ้องเป๋งที่เขา “ชุดนี่พังหมดแล้ว คุณรู้รึเปล่าคะว่ามันแพงขนาดไหน” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบกลับไปอย่างโกรธๆ ว่า “ฉันจะใช้คืนให้” 


 


 


“ฮึ ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นแหละ!” 


 


 


เขาจ้องหน้าเธอแล้วหันไปคว้าโทรศัพท์ 


 


 


“ส่งชุดราตรีขึ้นมาให้ชุดหนึ่ง ขนาดเท่าตัวภรรยาฉัน” กู้จิ้งเจ๋อพูดพลางมองดูหลินเช่อที่ดวงตากลมโตของเธอยังคงจ้องหน้าเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ มือก็รั้งชุดเอาไว้ หน้าอกของเธอที่อวบอัดนั้น ยิ่งดูใหญ่ขึ้นไปอีกเมื่อสองมือเล็กๆ นั่นคอยประคองมันเอาไว้ 


 


 


สายตาของกู้จิ้งเจ๋อดูจะเตลิดไปไกลเมื่อมองดูเธอ หญิงสาวนิ่วหน้าแล้วหันหนี 


 


 


แย่ที่สุด 


 


 


หลินเช่อไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากเคลื่อนวีลแชร์ของตัวเองเข้าไปในห้องน้ำ 


 


 


เธอเจอเสื้อคลุมอาบน้ำจึงหยิบมาสวม


 

 

 


ตอนที่ 45

 

โรงแรมมันให้บรรยากาศที่แตกต่างไปนะ

 


กู้จิ้งเจ๋อพูดว่า “เดี๋ยวก็ได้ทำน้ำลายยืดใส่ชุดหมดพอดี” 


 


 


หลินเช่อหัวเราะแล้วยกนิ้วขึ้นเช็ดมุมปาก ก่อนจะตอบว่า “ฉันไม่ได้น้ำลายยืดสักหน่อย” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเธอ “จะช่วยทำตัวให้เป็นผู้หญิงหน่อยไม่ได้หรือไงนะ” 


 


 


หลินเช่อเงยหน้าขึ้น “ฉันทำตัวไม่เป็นผู้หญิงตรงไหนกันคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อทับถมต่อไปอีก “ทำเหมือนพวกหิวเงิน” 


 


 


หลินเช่อพ่นลมพรืด เธอไม่สะเทือนหรอก แถมยังทำท่าลูบไล้ชุดไปมาด้วยท่าทีละโมบหนักขึ้นไปอีก “ทำไมล่ะคะ ฉันทำตัวเสแสร้งต่อหน้าคนอื่นได้ก็จริง แต่ฉันไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าคุณนี่นา ถ้าฉันทำตัวดีกว่านี้ ขี้อาย น่าสงสาร แล้วก็ดูดีมีระดับกว่านี้ มันจะทำให้คุณตกหลุมรักฉันหรือไงกัน” เธอถามพลางมองเขาด้วยสีหน้าเคืองๆ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อทำตาขวางใส่ 


 


 


บางทีคงเป็นเพราะความที่ไม่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากันนี่แหละ ก็เลยทำให้ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่เขาจะต้องเกลียดเธอ 


 


 


หลินเช่อเดินเข้าไปในห้องน้ำ กระหายอยากจะลองสวมชุดเต็มที ก่อนจะกลับออกมาในชุดเดรสสีเหลืองพลิ้ว ดูสดใส บริสุทธิ์ สว่างไสวราวกับแสงอาทิตย์ 


 


 


สายตาของกู้จิ้งเจ๋อเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นว่าหญิงสาวดูเปลี่ยนไปแค่ไหน 


 


 


หลินเช่อหมุนตัวช้าๆ ทำให้กระโปรงที่สวมบานพลิ้วเหมือนดอกไม้ และตัวเธอดูสดใสเหมือนดวงตะวัน 


 


 


หญิงสาวถามว่า “ฉันดูเป็นยังไงบ้างคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ก็เหมาะดี” 


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อก็บอกว่า “เสื้อผ้าแพงๆ นี่มันแตกต่างไปเลยจริงๆ นะคะเนี่ย” 


 


 


เธอทิ้งตัวกลับลงไปนั่งบนวีลแชร์อย่างพอใจ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกลับคิดในใจว่า ซื่อบื้อจริงๆ เขาอุตส่าห์ชมขนาดนี้ แต่ยัยนี่กลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยสักนิดงั้นเหรอ 


 


 


แต่ก็เป็นยัยบื้อที่น่ารักเหลือเกิน 


 


 


ไม่ช้า กู้จิ้งเจ๋อก็เข็นรถวีลแชร์ของเธอออกจากห้อง แล้วทั้งสองก็พากันออกจากโรงแรม 


 


 


หลินเช่ออดพูดขึ้นไม่ได้ “โรงแรมดีนะคะเนี่ย คงจะแพงน่าดูใช่มั้ยคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบโดยไม่มองอีกฝ่าย “เป็นโรงแรมของตระกูลกู้ เราไม่ต้องจ่ายหรอก” 


 


 


หลินเช่อรีบหันหลังขวับกลับมามองห้องโถงที่โอ่อ่าใหญ่โตทันที มันต้องมีบอกสิว่ากี่ดาวกัน 


 


 


“ห้าดาวเหรอคะ” 


 


 


“เจ็ดสินะ” หลินเช่อแก้คำพูดตัวเอง “จะโรงแรมไหนของตระกูลกู้ก็ล้วนเป็นโรงแรมเจ็ดดาวทั้งนั้น” 


 


 


หญิงสาวชักเสียดายที่ไม่ได้พักอยู่ให้นานกว่านี้หน่อย 


 


 


“ว้า! คุณน่าจะบอกฉันให้เร็วกว่านี้ ฉันไม่เคยนอนโรงแรมหรูๆ แบบนี้มาก่อนเลย อย่างน้อยฉันก็น่าจะได้ลองนอนสักคืน ถึงยังไงก็นอนฟรีนี่นะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “ถ้าอยากนอน เราหันหลังกลับตอนนี้ก็ได้นะ” 


 


 


ก็น่าคิดอยู่หรอก เธอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วถามว่า “ถ้าเรากลับไป แปลว่าเราจะกลับเข้าไปด้วยกันเหรอคะ” 


 


 


“ฉันไม่คุ้นกับการนอนโรงแรมน่ะ มันไม่ปลอดภัย” 


 


 


“เฮ้ จะเป็นไปได้ยังไงกัน คุณเองก็นอนโรงแรมในคืนแรกที่ฉันได้เจอคุณนี่นา” ไม่งั้นตอนนั้นเธอจะวางยาเขาได้ยังไงเล่า 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันไปมองด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ 


 


 


ก็ใช่น่ะสิ เพราะใครบางคนนั่นแหละที่ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าโรงแรมไม่ใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป ไม่ว่าจะได้รับการดูแลป้องกันอย่างแน่นหนาแค่ไหนก็ตาม 


 


 


“อืม ก็ตั้งแต่ครั้งนั้น ฉันก็ไม่ได้นอนค้างที่โรงแรมอีกเลย” เขาพูดพลางกวาดตามองเธอ 


 


 


“…” หลินเช่อหัวเราะแห้งๆ 


 


 


เป็นเพราะเธอนี่เอง 


 


 


หญิงสาวแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “แต่ตอนนี้คุณจะนอนค้างในโรงแรมกับฉันนี่คะ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วละ เรามีความสัมพันธ์กันอย่างถูกต้องตามกฎหมายนะคะ อยู่บ้านกับอยู่โรงแรมนี่มันได้ประสบการณ์ต่างกันนะคะ” เธอขยับตัวมาพิงซบเขาอย่างประจบ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงมอง “จะมานอนโรงแรมทำไมในเมื่อเรามีบ้านของเราเอง” 


 


 


หลินเช่อกลอกตา “พวกคู่แต่งงานแก่ๆ เขาก็อยากจะมีเรื่องตื่นเต้นในชีวิตบ้างน่ะสิคะ คุณไม่คิดว่าโรงแรมน่ะเต็มไปด้วยพลังแล้วก็ความลึกลับบ้างเหรอ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองริมฝีปากอิ่มเต็มของอีกฝ่าย ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยชีวิตชีวา น้ำเสียงชี้ชวนเต็มที่ จนทำเอาหัวใจเขาอดสั่นไม่ได้ 


 


 


สายตาของเขาเลื่อนไปจับจ้องที่หน้าอกเธอโดยไม่ตั้งใจ 


 


 


รอยแยกน้อยๆ บนชุดนั่นเผยให้เห็นเนินอกนุ่มนิ่ม 


 


 


เจ้าตัวไม่ได้สำเหนียกเลยสักนิดว่ามันดูเย้ายวนตาแค่ไหน 


 


 


เขาขมวดคิ้วแล้วผลักหลินเช่อออก “ไม่ล่ะ” 


 


 


“ก็ได้ งั้นบนรถก็คงใช้ได้เหมือนกัน ที่จริงแล้วน่าจะตื่นเต้นกว่าด้วยซ้ำ พื้นที่ก็จำกัด แถมยังมีคนเดินผ่านไปมาข้างนอก เสี่ยงที่จะมีคนมาเห็นว่ากำลังทำอะไรกันอยู่…” 


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อนึกอยากจะแหวกดูในหัวเธอนัก ว่าทำไมถึงมีแต่เรื่องไร้สาระเต็มไปหมดอย่างนี้ 


 


 


แต่เมื่อเห็นหญิงสาวหรี่ตาด้วยความตื่นเต้น ริมฝีปากเขาก็ชักจะแห้งผากขึ้นมา 


 


 


พนักงานขับรถที่ยืนอยู่ด้านหน้าโรงแรมมองเห็นสองหนุ่มสาวที่กำลังมองดูกันและกัน กระแสความร้อนแรงแห่งสายตานั้นราวกับจะลุกเป็นไฟ ทำเอาเขานึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่กันแน่ 


 


 


สองคนนั่นวางแผนที่จะทำอะไรกันที่นี่หรือเปล่านะ 


 


 


เขายืนเห็นอยู่ตำตา แล้วเขาก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน… 


 


 


แต่ยังไงเสีย ไม่ว่าคนทั้งคู่จะทำอะไร เขาก็เป็นเพียงพนักงานขับรถเท่านั้น เขาได้รับการฝึกอบรมมาอย่างเข้มงวด และจะไม่ปริปากพูดอะไรออกไปทั้งสิ้น 


 


 


จะว่าไป อันที่จริงแล้วเขาไม่อยากจะเห็นอะไรหรอก… 


 


 


โชคดีที่กู้จิ้งเจ๋อเพียงแต่เอื้อมมือไปผลักหลินเช่อ และบอกเธออย่างตะกุกตะกักว่าเสื้อของเธอเผยอเปิดอยู่เท่านั้น 


 


 


หลินเช่อยิ้มแล้วพูดล้อๆ ว่า “นี่กู้จิ้งเจ๋อ ทำไมคุณหน้าแดงอย่างนั้นละคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตวัดสายตามองใส่ให้เธอหยุดพูด 


 


 


หลินเช่อหัวเราะดังลั่นแล้วพูดต่อไปว่า “โว้ว นี่คุณอายเหรอคะเนี่ย กู้จิ้งเจ๋อ ใครจะไปคิดว่าคุณจะมีมุมน่ารักแบบนี้ด้วยน่ะ” 


 


 


“หุบปากน่า” 


 


 


“อย่าบอกนะว่าคุณไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับคุณหนูโม่น่ะ” เธอกระตุกแขนเขา 


 


 


ใบหน้าของกู้จิ้งเจ๋อยิ่งบึ้งตึงหนัก “เธอคิดว่าคนอื่นเขาจะทำตัวไม่มียางอายเหมือนเธองั้นเหรอ” 


 


 


หลินเช่อหุบปากทันควัน ถึงยังไง คุณหนูโม่ก็แสนดีที่สุดงั้นสินะ 


 


 


สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อหม่นลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงโม่ฮุ่ยหลิง 


 


 


หลินเช่อสังเกตเห็นและกระตุกแขนเขาพลางอ้อนว่า “เอาน่า อย่าโกรธไปเลยนะคะ ฉันล้อเล่นหรอกน่า” 


 


 


ในขณะที่โน้มตัวพิงร่างเขา เธอก็ถอนหายใจยาวและบอกว่า “ฉันรู้ดีหรอกน่าว่าคุณกับคุณหนูโม่รักกันแค่ไหนน่ะ ถึงตอนนี้พวกคุณจะยังอยู่ด้วยกันไม่ได้ เธอรอคุณอยู่ แต่คุณกลับกอดเธอไว้ในอ้อมแขนไม่ได้ โอย ช่างเป็นรักต้องห้ามอะไรอย่างนี้… พอฉันลองมานึกดูแล้วนะคะ ฉันเห็นใจคุณหนูโม่จริงๆ นะ เธอคงจะคิดถึงคุณทุกวันแน่เลยค่ะ” 


 


 


สีหน้ากู้จิ้งเจ๋อยิ่งหม่นหมองหนักขึ้นไปอีก 


 


 


หลินเช่อดูจะไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดอะไรออกมา “คุณเองก็เหมือนกันนะคะ คุณควรจะไปใช้เวลาอยู่กับคุณหนูโม่เวลาที่คุณมีเวลาว่างแทนที่จะมาตามหาฉันแบบนี้ ตอนนี้คุณควรจะได้นั่งดินเนอร์ใต้แสงเทียนอยู่กับเธอมากกว่านะคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าอีกฝ่าย “ช่างคิดเหลือเกินนะ” 


 


 


บางทีเธอน่าจะได้รางวัล ‘ภรรยาดีเด่น’ ละมั้ง 


 


 


“แต่แน่นอนค่ะว่าในเมื่อเราอยู่ด้วยกัน ฉันก็มีหน้าที่ต้องช่วยคุณแบ่งเบาภาระ คุณสามารถเล่าให้ฉันฟังได้ทุกเรื่องที่ทำให้คุณไม่สบายใจนะคะ ฉันจะช่วยคุณคลายความกังวลแล้วก็ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ฉันจะได้ไม่ต้องมานั่งเห็นคุณหน้าบูดทุกวันไงล่ะคะ ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็จะได้มีความสุขไปด้วย วินวินด้วยกันทั้งสองฝ่ายจริงมั้ยคะ” 


 


 


“ไม่จำเป็นหรอก ถ้าฉันอยากได้ที่ปรึกษา ฉันไปหาพวกมืออาชีพก็ได้” 


 


 


“อา แต่พวกมืออาชีพนั่นเขาคิดเงินนี่นา ไหนๆ ตอนนี้ฉันก็ใช้เงินคุณตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว คุณก็น่าจะทำให้ตัวเองไม่ต้องเสียเงินเปล่าสิคะ อย่าห่วงไปเลยน่ะ คุณทำเหมือนฉันเป็นหมอประจำตัวคุณได้เลย 


 


 


“…” 


 


 


หลินเช่อพูดต่อไปไม่หยุด “นี่ฉันจริงจังนะคะ อ้อ จริงสิ คุณหมอเฉินไงล่ะ คุณต้องจ่ายเท่าไหร่คะเวลาที่เรียกตัวเขามาที่บ้านน่ะ” 


 


 


หลินเช่อคิดว่าคนเป็นหมอซึ่งมีทักษะมากกว่าเธอ คงจะทำได้เงินได้ราวเดือนละหมื่นหยวนละมัง เมื่อพิจารณาจากฐานะของกู้จิ้งเจ๋อแล้ว 


 


 


ชายหนุ่มตอบเรียบๆ ว่า “สามสิบล้านหยวนต่อปี” 


 


 


“…” 


 


 


หลินเช่อร้องลั่น “โอ๊ย ที่รักคะ คุณจ้างฉันแทนก็ได้ จริงๆ นะ ค่าตัวฉันไม่แพงขนาดนั้นหรอก แล้วฉันก็พร้อมดูแลตลอดไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ด้วย ฉันจะรักษาความลับของคุณเป็นอย่างดี ฉันมีความรับผิดชอบ แถมเรายังเป็นสามีภรรยากันอีกต่างหาก ยังไงเลือดก็ต้องข้นกว่าน้ำใช่มั้ยล่ะ!” 

 

 

 


ตอนที่ 46

 

เธอกลายเป็นดาวเด่นของบริษัทไปแล้ว

 


คำว่า ‘ที่รัก’ ทำเอาชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แต่เมื่อหันมาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความละโมบของหลินเช่อแล้ว เขาก็กลับเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเงินสินะ ผู้หญิงคนนี้ เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวไร้เกียรติแบบนี้เสียทีนะ 


 


 


“ฉันพูดจริงนะคะ ฉันจะไม่ปริปากบอกใครทั้งนั้นต่อให้คุณจะไปลอบวางเพลิงหรือฆาตกรรมใครก็ตาม ถึงยังไงเราก็ลงเรือลำเดียวกันนี่นา จริงมั้ยคะ” หลินเช่อเนื้อเต้นทีเดียว 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองเธอ “ตอนนี้ฉันรู้สึกอยากจะบีบคอใครบางคนให้ตายมาก แต่เพราะกฎหมายและศีลธรรม ฉันก็เลยทำไม่ได้” 


 


 


“หือ คุณจะใช้ความรุนแรงแบบนี้ไม่ได้นะคะ แล้วใครกันที่ทำให้คุณอยากทำแบบนั้นล่ะเนี่ย” 


 


 


เขากวาดตามองไปทั่วร่างเธอ 


 


 


ไม่ว่าหลินเช่อจะซื่อบื้อแค่ไหนก็สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


เป็นเธอนั่นเอง… 


 


 


เธอรู้ดีว่าการมีตัวตนอยู่ของเธอทำให้เขาและโม่ฮุ่ยหลิงไม่อาจที่จะได้อยู่ร่วมกัน แต่ก็ไม่เห็นจะต้องคิดร้ายถึงขนาดจะฆ่าแกงเธออย่างนี้เลยนี่นา 


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ ทำไมคุณถึงอยากจะรีบฆ่าฉันทั้งๆ ที่มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยแบบนี้คะ ลองคิดดูนะ ถ้าคุณฆ่าฉันตอนนี้ ทุกอย่างก็จะไม่สามารถหวนคืนมาได้อีก คุณจะกลายเป็นฆาตกร แต่ถ้าเรายอมอยู่ร่วมกันอย่างสันติตอนนี้ อีกหน่อยฉันก็จะไปตามทางของฉัน ส่วนคุณก็จะได้ไปตามทางของคุณในอีกไม่กี่ปีเท่านั้น แล้วคุณกับคุณหนูโม่ก็จะได้ครองรักกันอย่างมีความสุข แบบนั้นไม่เข้าท่ากว่าเหรอคะ ไม่เห็นต้องทำให้เรื่องมันยากเลยนี่นา จริงมั้ยคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหันไปมองด้านหน้า เป็นการบอกคนขับให้เร่งความเร็วยิ่งขึ้นอีก 


 


 


ถ้าขืนยังทนคุยกับหลินเช่อในรถแคบๆ นี่ต่อไปอีกละ ความงี่เง่าของเธออาจจะทำให้เขาสติแตกได้ 


 


 


เมื่อถึงบ้าน กู้จิ้งเจ๋อก็รีบลงจากรถ เขาหันไปมองหลินเช่อที่พยายามตะเกียกตะกายเพื่อออกจากตัวรถ ในขณะที่คนขับกุลีกุจอช่วยขนวีลแชร์ของเธอลงมา ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนที่จะบังคับตัวเองให้สงบใจลง และเดินกลับมาช่วยเธอ 


 


 


ในคืนนั้น หลินเช่อนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องและอ่านรายงานข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานเลี้ยงฉลองหมั้นของหลินลี่ 


 


 


จากข่าวที่เห็น มันเป็นงานเลี้ยงที่น่าทึ่งและชวนให้ริษยามากทีเดียว 


 


 


หลินเช่ออ่านคอมเมนต์ด้านล่างที่พากันชื่นชมว่าหลินลี่นั้นสวยแค่ไหน และสามีของเธอหล่อเหลาเพียงใด 


 


 


หญิงสาวทอดถอนใจแล้วกดปิดคอมเมนต์ ทิ้งตัวลงนอนและเข้าไปเช็กเวยป๋อของตัวเอง 


 


 


ในเวยป๋อมักเต็มไปด้วยเรื่องพูดคุยถกเถียงกันเต็มไปหมดเป็นปกติอยู่แล้ว หลินเช่อกดปิดหัวข้อ จนกระทั่งไปเห็นโพสต์ล่าสุดที่ยาวและแอ็กทีฟอยู่จนดูผิดสังเกตเป็นพิเศษเข้า 


 


 


เธอกดเปิดมันขึ้นมาอ่าน… 


 


 


โพสต์นั้นเป็นข้อความที่ระบุว่า [ถึงแม้ฉันจะไม่คิดว่าเธอคู่ควรกับกู้จิ้งอวี่ แต่ในเมื่อเขาชอบเธอ เพราะฉะนั้นพวกเราในฐานะขนนกของหยู พวกเราขออวยพรให้ก็แล้วกัน] 


 


 


ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าบรรดาแฟนคลับของกู้จิ้งอวี่จะเรียกตัวเองว่าขนนกของอวี่ 


 


 


หลินเช่อนึกสงสัย หมายความว่ายังไงที่บอกว่าเขาชอบเธอน่ะ… 


 


 


อีกคอมเมนต์หนึ่งที่ตามมาเขียนว่า [นี่พวกเขาคบกันจริงๆ เหรอ ยินดีด้วยนะ] 


 


 


[ได้โปรดดีกับจิ้งอวี่ของเราด้วยนะ เขาเป็นคนดีแล้วก็ทำงานหนัก อย่าทำให้เขาเสียใจล่ะ] 


 


 


ขณะที่หลินเช่อไล่อ่านไปเรื่อยๆ นั้น เธอก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง จนกระทั่งอวี๋หมินหมิ่นโทรเข้ามานั่นแหละ 


 


 


ทันทีที่หลินเช่อรับสาย เธอก็ได้ยินเสียงอวี๋หมินหมิ่นยิงคำถามเข้าใส่ทันที [หลินเช่อ เกิดอะไรขึ้นน่ะ เธอคบกับกู้จิ้งอวี่เหรอ] 


 


 


“ใครคบกับใครนะคะ” หลินเจิ๋อจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


[กู้จิ้งอวี่โพสต์ลงในเวยป๋อ เธอไม่เห็นหรือไง] 


 


 


แน่ละว่าเธอไม่เห็น 


 


 


[ทุกคนกำลังคลั่งกันใหญ่แล้ว ดูที่เขาพิมพ์สิ มันเหมือนกับเขากำลังประกาศความสัมพันธ์กับเธอแล้วก็บอกทุกคนให้เลิกยุ่งกับเธอซะที ฉันว่า…] 


 


 


หลินเช่อรีบบอก “ขอฉันดูก่อนนะคะ…” 


 


 


เธอรีบวางสาย แล้วเปิดดูเวยป๋อของกู้จิ้งอวี่ทันที 


 


 


นั่นไงล่ะ เธอเห็นข้อความยาวเหยียดที่เพิ่งโพสต์ไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ 


 


 


เขาเขียนว่า [ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ผมเป็นคนที่ทำงานหนักและทุ่มเทอย่างสุดตัวเสมอ ผมกลัวที่จะทำให้แฟนๆ ของผม บริษัทของผม เพื่อนและครอบครัวทุกคนที่คอยสนับสนุนผมต้องผิดหวัง ผมไม่เคยเลยที่จะใช้ชีวิตเพื่อตัวผมเอง แต่ตอนนี้ผมปรารถนาที่จะได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง และด้วยเหตุนี้ผมหวังว่าพวกคุณทุกคนจะช่วยเป็นกำลังใจให้เรา…] 


 


 


หลินเช่อเลื่อนลงมาอ่านคอมเมนต์ด้านล่างของโพสต์ต่อในทันที 


 


 


บางคนที่เข้ามาอ่านก็พิมพ์ว่า [กู้จิ้งอวี่ผู้น่าสงสาร เรามาช่วยเป็นกำลังใจให้เขากันเถอะนะ] 


 


 


[การได้เห็นจิ้งอวี่ต้องทรมานใจแบบนี้ทำให้ฉันหัวใจสลายมาก ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจยังไง ฉันก็จะเชื่อใจและสนับสนุนคุณเสมอค่ะ] 


 


 


[ดาราก็เป็นคนเหมือนเรานะ พวกเขาก็ต้องการความเป็นส่วนตัวเหมือนกัน เราจะติดตามผลงานของคุณต่อไปตราบใดที่คุณยังทำได้ดี ไม่ว่าคุณจะเลือกที่จะอยู่กับใคร เราก็จะสนับสนุนคุณเสมอค่ะ] 


 


 


หลินเช่อรู้สึกเหมือนจะคลั่งให้ได้ 


 


 


ทั้งเว็บไซต์ข่าวซุบซิบและเวยป๋อต่างก็ตีพิมพ์ข่าวที่ว่านี้และบอกว่า [ข้อความของกู้จิ้งอวี่กำลังบอกใบ้ถึงการประกาศความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนักแสดงสาวหลินเช่อ] 


 


 


งานหมั้นของหลินลี่ที่เมื่อครู่ยังได้รับการพูดถึงเต็มไปหมดถูกข่าวใหญ่นี้ผลักจนลงไปอยู่เกือบตอนท้ายของหน้าเว็บแล้ว 


 


 


หน้าผากของหลินเช่อย่นเป็นรอยอย่างท้อแท้ เธอรู้สึกสิ้นหวังจริงๆ 


 


 


หลินเช่อเลิกอ่านคอมเมนต์ในเวยป๋อเมื่อได้เห็นข้อความแสดงความเกลียดชัง แม้ว่าแฟนๆ ส่วนใหญ่จะพูดถึงเธออย่างสุภาพเพราะกู้จิ้งอวี่ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ตั้งตารอให้เขาทิ้งเธอซะ 


 


 


นี่เธอไม่ได้คบกับเขาด้วยซ้ำ เธอจะถูกเขาทิ้งได้ยังไงกันยะ 


 


 


วันต่อมา หลินเช่อรีบพุ่งเข้าไปที่บริษัท 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองดูเธอแล้วพูดว่า “ตอนนี้เธอไม่ต้องทำอะไรแล้วละ ทางบริษัทเราจัดการทุกอย่างแล้ว ตอนนี้เธอควรจะอยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรเลยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เรื่องยุ่งหนักกว่าเก่า” 


 


 


หลินเช่อตอบเบาๆ “ฉันเองก็ไม่มีอะไรจะพูดหรอกค่ะ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะพูดอะไรได้ มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ นี่กู้จิ้งอวี่เขาพยายามจะกำจัดฉันหรือยังไงคะเนี่ย” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นนึกกังวลว่าอีกฝ่ายจะยอมรับว่าเป็นฝ่ายสร้างเรื่องนี้ขึ้นเองเพื่อเรียกร้องความสนใจ ซึ่งนั่นจะทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปอีก 


 


 


ดาราหน้าใหม่ที่เริ่มจะมีชื่อเสียงทั้งหลายมักเจอกับปัญหานี้ด้วยกันทั้งนั้น พวกเขาอยากจะโด่งดังแบบชั่วข้ามคืน และทันทีที่มีโอกาสจะได้เป็นข่าว พวกเขาก็จะยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียง ไม่จะด้วยวิธีการที่ฉ้อฉลหรือแยบยลยังไงก็ตาม 


 


 


แต่ดูเหมือนว่าหลินเช่อจะไม่ได้มีความตั้งใจเช่นนั้น เธอดูไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยจริงๆ อวี๋หมินหมิ่นเชื่อว่าหญิงสาวไม่ได้มีส่วนรู้เห็นใดในเรื่องนี้ 


 


 


เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล อวี๋หมินหมิ่นยิ้มให้หลินเช่ออย่างสบายใจ “มันเป็นเรื่องดีออกนี่ เห็นมั้ย ทุกคนต่างก็สนับสนุนเธอกับกู้จิ้งอวี่กันทั้งนั้น” 


 


 


“ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือระหว่างเรามันไม่มีอะไรทั้งนั้นค่ะ แล้วนี่พวกเขาจะมาสนับสนุนเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นคิดว่าหญิงสาวตรงหน้าช่างใสซื่อเสียนี่กระไร เจ้าหล่อนไม่มีเจตนาแอบซ่อนใดๆ ทั้งสิ้น 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นนึกชื่นชมหลินเช่อมากขึ้นไปอีก เธอลูบไหล่หญิงสาวแล้วปลอบว่า “กู้จิ้งอวี่อาจจะช่วยเธออยู่ก็ได้นะ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกู้จิ้งอวี่ล้วนรับรองได้ว่าจะต้องกลายเป็นข่าวดังระเบิดทั้งนั้น ลองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในงานหมั้นของหลินลี่สิ มันกลายเป็นข่าวพาดหัวก็จริง แต่สุดท้ายก็ตกกระป๋องไปทันที เงินทองที่ทุ่มเทจัดงานลงไปจมหายไปหมดเลย ฉันว่าตอนนี้หลินลี่น่าจะแทบอยากกระอักเลือดแล้ว” 


 


 


หลินเช่อถอนใจ เธอไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับข่าวอื้อฉาวแบบนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นเธอควรจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบริษัทจะดีกว่า 


 


 


นักแสดงโนเนมสองสามคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างพากันมองดูอวี๋หมินหมิ่นที่เดินพาหลินเช่อออกไปส่งยังหน้าประตูด้วยสายตาแสดงความชิงชัง 


 


 


“ใครจะไปคิดล่ะว่าหล่อนจะดังได้อย่างนี้” 


 


 


“ช่าย ดูเหมือนตอนนี้หล่อนจะกลายเป็นคนสำคัญของบริษัทไปซะแล้ว” 


 


 


“นี่กู้จิ้งอวี่เขามองเห็นอะไรในตัวหล่อนกันนะ” 


 


 


“บางทีมันก็ต้องดิ้นรนกันเพื่อให้อยู่รอดแหละเนอะ” ทุกคนต่างพากันซุบซิบนินทาด้วยเจตนาอันร้ายกาจ 

 

 

 


ตอนที่ 47

 

กู้จิ้งอวี่บอกว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน

 


เมื่อกลายเป็นข่าวใหญ่ หลินเช่อก็รู้สึกได้ว่าทุกคนต่างพากันจ้องมองมาที่เธอเมื่อไปถึงกองถ่าย 


 


 


เมื่อเห็นหลินเช่อมาถึง ผู้กำกับฟู่ก็รีบร้องเรียกว่า “อา คุณนายกู้มาแล้ว” 


 


 


หลินเช่อหัวเสียทันที “คุณนายกู้อะไรกันคะ” 


 


 


“ก็กู้จิ้งอวี่เพิ่งยอมรับว่าเธอเป็นภรรยาของเขาไม่ใช่เรอะ งั้นเธอก็ต้องเป็นคุณนายกู้สิ” 


 


 


“บ้าบอที่สุด! ไม่อะไรเป็นความจริงเลยจนนิดเดียว กรุณาระวังคำพูดด้วยนะคะ มีนักข่าวอยู่ทั่วไปหมด” 


 


 


นักข่าวนั้นอยู่ในทุกที่จริง ถ้าพวกเขาบังเอิญได้ยินคำพูดนี้เข้าละก็ หลินเช่อไม่กล้าคิดเลยว่าพาดหัวข่าวของวันรุ่งขึ้นจะถูกเขียนว่าอย่างไร ทีมงานในกองถ่ายทั้งหมดต่างก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอและกู้จิ้งอวี่แล้วเช่นกัน 


 


 


ไม่ว่าเธอจะเพียรแก้ตัวแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด 


 


 


ผู้กำกับฟู่เชื้อเชิญเธอให้นั่งเก้าอี้ “มาเถอะ มา จะให้คุณนายกู้นั่งเก้าอี้ตัวเล็กอย่างนี้ได้ยังไง นี่มันสำหรับพวกนักแสดงท้ายแถว เราควรเตรียมเก้าอี้ที่เหมาะสมเอาไว้ให้เธอสิ มาเถอะ มานั่งตรงนี้ นี่เก้าอี้ของเธอ” 


 


 


หลินเช่อนึกอยากจะชกหน้าเขาเป็นกำลัง “นี่คุณกำลังพยายามหาเรื่องให้ฉันลำบากเหรอคะ” 


 


 


คนในกองถ่ายนั้นมีการแบ่งชั้นวรรณะกันไว้อย่างชัดเจน นักแสดงตัวเล็กๆ อย่างหลินเช่อไม่ควรจะทำอะไรที่เป็นการเรียกร้องความสนใจ โซฟาตัวใหญ่นุ่มสบายนี้จะถูกจัดเอาไว้ให้กับดาราเบอร์ใหญ่ๆ เท่านั้น หลินเช่อเองก็พอใจกับเก้าอี้พับที่เธอนั่งอยู่เป็นประจำ 


 


 


แต่ผู้กำกับฟู่หัวเราะเสียงดังแล้วบอกว่า “นี่เป็นคำสั่งผู้กำกับนะ มีใครกล้าขัดบ้าง เอาเถอะน่า หลินเช่อ หัดทำตัวให้ชินได้แล้ว ตอนนี้เธอเกือบจะเป็นข่าวดังกว่าเฝ่ยหรานอยู่แล้ว เธอไม่ใช่นักแสดงเล็กๆ อีกแล้วนะ” 


 


 


“…” ผู้กำกับฟู่พูดพลางบังคับให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ 


 


 


หลินเช่ออดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้เมื่อทรุดตัวลงนั่ง นี่มันสบายกว่าเก้าอี้พับจริงๆ เสียด้วยสิ 


 


 


การต้องรอเข้าฉากเป็นเรื่องน่าเบื่อก็จริง แต่เมื่อได้นั่งบนเก้าอี้แสนสบายอย่างนี้ อะไรๆ ก็แตกต่างไปจากเดิม 


 


 


นักแสดงที่อยู่ระดับเดียวกันกับหลินเช่อมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างและเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ เธอมองไปทางหลินเช่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแววริษยา 


 


 


แย่ที่สุดที่กลายเป็นหลินเช่อที่กู้จิ้งอวี่เลือกที่จะสนใจ 


 


 


ในตอนแรกเธอคิดว่าหลินเช่อเป็นคนจงใจสร้างเรื่องราวทั้งหมดนี้ขึ้น แต่พอมาตอนนี้ที่กู้จิ้งอวี่เป็นฝ่ายออกมายอมรับเสียเองก็ไม่มีใครจะสามารถพูดอะไรได้อีก 


 


 


พวกเธอคงบอกได้แต่เพียงว่า หลินเช่อนั้นเป็นผู้หญิงที่โชคดี 


 


 


และแล้วกู้จิ้งอวี่ก็มาถึงกองถ่าย 


 


 


เขาเห็นหลินเช่อกำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ จึงเดินเข้ามาหาเธอโดยไม่สนใจฟังคำทัดทานของผู้จัดการส่วนตัวแต่อย่างใด 


 


 


สายตาทุกคู่พากันมองตามคู่รักใหม่ที่แตกต่างกันราวกับคนละขั้ว 


 


 


หลินเช่อได้ยินเสียงบางอย่างจึงยันตัวขึ้นนั่ง แล้วเธอก็ได้เห็นกู้จิ้งอวี่ส่งยิ้มร้ายๆ มาให้ แถมยังกล้าดีเดินมาหาเธอแบบนี้อีก หญิงสาวนึกอยากชกเข้าขึ้นมาติดหมัดทีเดียว 


 


 


“เฮ้ มาเร็วดีนี่” เขาทักทายพร้อมรอยยิ้ม 


 


 


หลินเช่อลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “กู้จิ้งอวี่ คุณ…ที่คุณโพสต์ในเวยป๋อหมายถึงอะไร” 


 


 


กู้จิ้งอวี่ยกมือขึ้นทำท่าไร้เดียงสา “ฉันโพสต์อะไรเหรอ” 


 


 


“คุณโพสต์อะไรงั้นรึ ก็คุณเป็นคนโพสต์เองในข้อความล่าสุดทั้งไอ้เรื่องความเหงา ทั้งเรื่องขาดอิสรภาพ ทั้งเรื่อง…” 


 


 


“อ้อ เรื่องนั้นนั่นเอง คือว่า…มันก็เป็นแค่โพสต์ตามปกติในเวยป๋อเท่านั้นแหละ ก็แค่ระบายความรู้สึกเพื่อเรียกร้องความเห็นใจไงล่ะ” กู้จิ้งอวี่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้และทิ้งตัวลงนั่ง 


 


 


หลินเช่อกระโดดผึง ขึ้นเสียงใส่เขาเต็มที่ “คุณ คุณ คุณนี่มัน นั่นน่ะเรียกปกติของคุณเหรอคะ คุณไม่เห็นข่าวหรือไงกัน” 


 


 


“ฉันเห็นแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นมองหลินเช่อที่ดูเหมือนกำลังจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความโกรธ เขาคิดว่าเธอดูน่ารักดี 


 


 


อย่างที่เธอคิดจริงๆ เขาตั้งใจโพสต์ข้อความนั่น 


 


 


กู้จิ้งอวี่พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เธอก็รู้ว่าพวกนักข่าวชอบจินตนาการกันไปเอง จะให้ฉันทำยังไงได้ ดูสิ ฉันไม่ได้เอ่ยชื่อเธอด้วยซ้ำ พวกเขายังเอาไปโยงให้เกี่ยวกับเธอได้เลย ฉันไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับคนรักเลยสักนิด นักข่าวก็ยังอุตส่าห์คิดว่าเป็นเรื่องนั้นจนได้ แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ” 


 


 


“…” หลินเช่อมองหน้าตาที่ทำทีเหมือนทองไม่รู้ร้อนของกู้จิ้งอวี่ เห็นแล้วอยากจะฉีกปากเขาออกมานัก 


 


 


จริงอยู่ที่เขาไม่ได้เอ่ยชื่อเธอ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ออกไปตรงๆ แต่…โพสต์ในเวยป๋อนั่นก็โจ่งแจ้งเสียเหลือเกิน ถ้าจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจโพสต์ก็คงเป็นเรื่องโกหก 


 


 


“ถ้าเป็นแบบนั้น คุณก็ต้องลบโพสต์ในเวยป๋อนั่นซะ” หลินเช่อสั่งเสียงเฉียบขาด 


 


 


กู้จิ้งอวี่ยิ้มแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ “ก็ได้ งั้นฉันจะบอกว่าเพราะหลินเช่อไม่ต้องการให้เราสองคนถูกเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นฉันก็เลยจะลบโพสต์นั่นทิ้งซะ” 


 


 


“ให้ตายสิ!” 


 


 


“ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอกเหรอ” 


 


 


“คะ คะ คุณ…” หลินเช่อถึงกับพูดไม่ออก แม้จะโกรธเขาแทบคลั่งแต่เธอก็ไม่รู้จะเอาชนะเขาได้ยังไง 


 


 


ใครกันนะที่บอกว่ากู้จิ้งอวี่เป็นยอดชาย หมอนี่เป็นจอมน่ารำคาญสิ้นดีต่างหาก 


 


 


ในขณะเดียวกันนั้นเอง… 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังคงไม่รับรู้ถึงข่าวอื้อฉาวระหว่างภรรยาของตัวเองกับชายอื่น 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงโทรมาหาเขาแต่เช้า 


 


 


เธออยากเจอเขา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมาถึงหน้าประตูบ้านของโม่ฮุ่ยหลิง หญิงสาวเปิดประตูรับเขาพร้อมแววตาเศร้าสลดในดวงตา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจึงถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงตอบ “ทำไมคุณถึงหายหน้าไปตั้งสองวันละคะ” 


 


 


“ฉัน…” กู้จิ้งเจ๋ออึกอัก “ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองหมั้นที่บ้านของหลินเช่อน่ะ” 


 


 


“อะไรนะคะ” โม่ฮุ่ยหลิงเริ่มเดือดปุดๆ “นี่คุณไม่สนใจฉันเพราะว่าไปกับเจ้าหล่อนนั่นเหรอคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกได้ถึงสุ้มเสียงอันชิงชังของโม่ฮุ่ยหลิงที่มีต่อหลินเช่อ 


 


 


ชายหนุ่มนิ่วหน้าและพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้จะพอใจนักว่า “ฮุ่ยหลิง มันไม่ใช่ความผิดของเขา ฉันต้องแต่งงานกับเขา แล้วก็เป็นเพราะฉันเองที่ทำให้เขาถูกบังคับให้ต้องแต่งงานในครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน” 


 


 


หัวใจของโม่ฮุ่ยหลิงเจ็บแปลบเมื่อเงยหน้าขึ้นมองกู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


เธอรู้ดีว่าเผลอตัวอาละวาดและพูดสิ่งที่ไม่รื่นหูออกไป 


 


 


หญิงสาวจึงบุ้ยปาก แล้วดึงแขนเสื้อชายหนุ่มก่อนจะพูดว่า “แต่ฉันไม่ชอบหล่อนเลยนี่คะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้ดีว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะรู้สึกเช่นนี้ จึงปลอบใจว่า “ฉันรู้ ฉันเพียงแค่อยากจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของฉันเอง อย่าไปตำหนิเขาเลย” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเม้มปากแน่นเมื่อหันไปมองอีกฝ่าย “เวลาที่คุณแก้ตัวแทนแม่นั่นแบบนี้ ฉันยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่” 


 


 


“ฉัน…” 


 


 


“จิ้งเจ๋อคะ ฉันเหงา เวลาที่ฉันอยู่คนเดียวฉันก็เฝ้าแต่คิดถึงแต่ภาพคุณและแม่นั่นอยู่ด้วยกัน ได้แต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เราสองคนต้องการมาโดยตลอด ได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบและมีความสุข คุณรู้ไหมคะว่าฉันรู้สึกยังไง ฉันอดคิดถึงภาพนั้นไม่ได้หรอกค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกเจ็บหนึบขึ้นมาในหัวใจ 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงพูดต่อไป “ตั้งแต่ที่คุณเริ่มล้มป่วย เราสองคนก็ยังคงอยู่ด้วยกัน แต่ครอบครัวคุณไม่เคยยอมรับเราเลย ฉันเองก็ต้องรับแรงกดดันมากมายนะคะ คุณรู้หรือเปล่า” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้ดีว่าเธอเองก็อดทนเพื่อเขามาไม่น้อย 


 


 


น้ำตาของโม่ฮุ่ยหลิงไหลพรากลงอาบแก้มเมื่อเธอยังคงพูดต่อไป “คุณเดินเล่นไปที่วิลล่าเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจ “ได้สิ” 


 


 


ทั้งสองขับรถไปยังวิลล่าริมแม่น้ำ 


 


 


วิลล่าแห่งนี้เป็นของกู้จิ้งเจ๋อเอง ทิวทัศน์งดงามและวิลล่าไม้หลังใหญ่ก่อให้เกิดภาพที่ดูแล้วชวนอบอุ่นหัวใจ 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาก เธอถอดเสื้อโค้ตออกขณะที่นั่งมองกู้จิ้งเจ๋อเก็บรวบรวมฟืนเพื่อนำไปใส่เตาผิง กลิ่นหอมของไม้สน และการได้นั่งดูหนังด้วยกัน เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขโดยแท้ 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงมองดูกู้จิ้งเจ๋อที่กำลังคุกเข่าลงเพื่อเก็บรวบรวมไม้ฟืนอย่างตั้งใจ แลเห็นกล้ามเนื้อที่ท่อนแขนสุดเซ็กซี่ชวนมอง เธอไม่อาจถอนสายตาไปจากเขาได้เลย 

 

 

 


ตอนที่ 48

 

ฉันต้องกลับไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย

 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองและได้เห็นโม่ฮุ่ยหลิงที่กำลังนอนทอดกายด้วยท่วงท่าอันเย้ายวน 


 


 


แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก ถึงอย่างไรเขาและเธอก็เติบโตเป็นเพื่อนเล่นมาด้วยกัน สนิทสนมใกล้ชิดกันเกินกว่าที่จะรู้สึกรู้สา 


 


 


แต่เป็นเพราะหน้าอกหน้าใจของโม่ฮุ่ยหลิงที่ดูจะชูชันราวกับเนินเขาอย่างผิดสังเกตยามที่เธอนอนราบลงไปนั่นแหละที่สะดุดตาเขาเข้า 


 


 


เป็นหน้าอกที่ใหญ่ แต่ดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย 


 


 


เขาไม่เคยสังเกตเรื่องนี้มาก่อน แต่ทันใดนั้นคำพูดของหลินเช่อก็แวบเข้ามาในหัว 


 


 


‘หน้าอกปลอมน่ะดูง่ายจะตายไปค่ะ มันจะพุ่งชูชันอยู่อย่างนั้นต่อให้นอนลงก็เถอะ’ 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงไปทำหน้าอกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน 


 


 


เขาจำไม่ได้เลยว่าเธอเคยพูดถึงเรื่องนี้ 


 


 


อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ได้ต่อต้านกับการที่ผู้หญิงจะทำศัลยกรรมความงาม ตราบใดที่เจ้าตัวรู้สึกพอใจ เขาก็ไม่ได้เดือดร้อน 


 


 


ถึงอย่างไรความอยากสวยอยากงามก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ 


 


 


แต่เขากลับไม่เคยได้ยินโม่ฮุ่ยหลิงพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย 


 


 


ความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นทำให้เขาถามเธอออกไปว่า “ฮุ่ยหลิง เธอไปทำศัลยกรรมมาเมื่อไหร่กัน” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงผุดลุกขึ้นทันที เธอเผลอก้มลงมองหน้าอก พลางยกมือขึ้นจับคางตัวเอง 


 


 


เธอไปทำศัลยกรรมมาสองสามแห่งจริงๆ นั่นแหละ 


 


 


ศัลยกรรมความงามทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อยากให้กู้จิ้งเจ๋อรู้อยู่ดี 


 


 


เธอแอบไปทำมาอย่างเงียบๆ แต่ละครั้งเธอจะหาโอกาสไปต่างประเทศสักพักและกลับมาเมื่อแผลหายสนิทดี 


 


 


ผู้ชายอย่างกู้จิ้งเจ๋อนั้นงานยุ่งเกินกว่าจะสังเกตเห็นเรื่องแบบนี้ ปกติแล้วเขาไม่เคยถามคำถามประเภทนี้เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งตอนนี้… 


 


 


“ฉัน…ฉันเปล่านะ ทำไมอยู่ๆ มาถามแบบนี้ล่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองหญิงสาว และรู้สึกว่าเขาไม่อาจทนมองเธอต่อไปได้อีก “ไม่มีอะไรหรอก แค่ถามดูเท่านั้นแหละ” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงก้มลงมองหน้าอกและคิดว่ามันก็ควรจะดูเป็นธรรมชาติดีสิ แน่ละ ก็ในเมื่อเธอยอมจ่ายเงินแพงที่สุดเพื่อให้ได้วัสดุที่ดีที่สุดและหมอมือฉมังที่สุด หน้าอกคัพซีนี่ไม่ใช่ของถูกๆ เลยนะ 


 


 


ไม่คิดเลยว่ากู้จิ้งเจ๋อจะดูออก เธอฉีกยิ้มแล้วรีบพูดว่า “เนื้อตัวฉันทั้งหมดนี่ของแท้ทั้งนั้นนะคะ ฉันไม่เคยทำอะไรกับมันเลยสักนิด คุณคงคิดว่ามันดูสมบูรณ์แบบเกินไปละสิถึงได้คิดว่าฉันไปทำศัลยกรรมมาใช่ไหมละคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มยังไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี “ใช่ รูปร่างเธอสวยมาก” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงตอบ “แต่แน่นอนค่ะ ว่าฉันดูแลเอาใจใส่รูปร่างตัวเองเป็นอย่างดี ทั้งเล่นโยคะแล้วก็คอยระมัดระวังอย่างดีที่สุด ทุกคนคิดว่าที่ผิวฉันสวยใสแบบนี้ รูปร่างก็สมบูรณ์แบบอย่างนี้ ต้องขอบคุณความสวยที่ได้มาจากแม่ของฉันน่ะค่ะ ฉันเหมือนท่านมาก ก็เลยได้สืบทอดความงามนี้มาด้วย คุณว่าฉันสวยไหมละคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธอแล้วยิ้ม “ใช่ เธอสวยมาก” 


 


 


แต่ถึงกระนั้น เมื่อมองใบหน้าของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็อดคิดว่ามันน่าประหลาดไม่ได้ ถ้าโม่ฮุ่ย 


 


 


หลิงเหมือนแม่ของเธอกินแล้วก็ แต่ก็ควรจะมีตาชั้นเดียว ไม่ใช่ดวงตากลมโตสองชั้นแบบนี้ ที่สำคัญที่สุด คางของเธอนั้นเรียวแหลมเกินไป ทั้งที่แม่ของเธอสวยแบบผู้หญิงที่มีใบหน้ากลมแป้น 


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อก็เก็บความคิดนั้นไว้กับตัวเอง เขามองดูโม่ฮุ่ยหลิงอีกครั้ง ผิวของเธอนั้นก็สวยดีหรอก แต่… 


 


 


ผิวของหลินเช่อนั้นผุดผ่องและนุ่มเนียนกว่ามาก 


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด ผิวเนียนใสราวกับกระเบื้องของหลินเช่อจึงผุดขึ้นมาในความคิด 


 


 


ผิวของเธอนั้นขาวกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ทั่วไป 


 


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะผิวที่ขาวเกินไปของเธอนั่นเอง ที่ทำให้ใบหน้าของเธอดูไม่ค่อยโดดเด่นนัก การมองดูเธอจึงเหมือนกับการมองดูตุ๊กตากระเบื้องที่แสนบอบบาง 


 


 


“จิ้งเจ๋อคะ ฉันกำลังพูดกับคุณอยู่นะ นี่คิดอะไรอยู่เหรอคะ” โม่ฮุ่ยหลิงร้องถามเสียงดังและลุกขึ้นนั่งอย่างหัวเสีย 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยืนขึ้นและตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่กำลังคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องทุ่มเทขนาดนั้นก็ได้ ฉันชอบเธอไม่ใช่เพราะว่าเธอผอม แต่ไม่ว่าเธอจะดูเป็นยังไง ฉันก็คิดว่าเธอดูสวยเสมออยู่นั่นเอง” 


 


 


เขายังคงจำได้ดีเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เธอเป็นฝ่ายเดินมะงุมมะงาหราเข้ามาหาเขาในชุดเจ้าหญิงน้อย และบอกกับเขาว่า ‘พี่จิ้งเจ๋อคะ ไม่มีใครอยากเล่นกับพี่ ฉันจะเล่นกับพี่เอง’ 


 


 


นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็บอกตัวเองว่า เขาจะต้องดีกับเธอ 


 


 


แต่เมื่อมองดูโม่ฮุ่ยหลิงตอนนี้ ชายหนุ่มก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าหลินเช่อนั้นพูดถูก 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงจะต้องไปทำอะไรกับหน้าอกของเธอมาสักอย่างแน่ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเข้าใจดีว่าทุกคนต่างก็มีความงามตามแบบฉบับอุดมคติของตัวเอง บางทีที่เธอไม่ยอมบอกเขา อาจเป็นเพราะเธออยากจะเชื่อว่ารูปร่างของเธอเป็นของธรรมชาติและเป็นของขวัญที่ได้ประทานมาจากพระเจ้า แต่กู้จิ้งเจ๋อไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้น 


 


 


เขาสนใจแค่ความจริงที่ว่าโม่ฮุ่ยหลิงโกหกเขาต่างหาก 


 


 


แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้เปิดโปงเธอ 


 


 


เขาเชื่อว่าเธอคงจะมีเหตุผลของเธอนั่นแหละ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจึงเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาจัดการกับเตาผิงจนเสร็จเรียบร้อย แต่เพราะอากาศที่ชื้นเกินไปทำให้ฟืนติดไฟได้ไม่ดีนัก แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็รู้สึกดีไปกับบรรยากาศ 


 


 


ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟา กู้จิ้งเจ๋อเปิดโทรทัศน์และหยิบรีโมตขึ้นมาถือเอาไว้ ขณะที่กำลังพยายามเปลี่ยนช่องเพื่อหาหนังดูนั่นเอง เขาก็ได้เห็นข่าวซีรีส์เรื่องใหม่ปรากฏอยู่บนจอ 


 


 


“หลังจากที่กู้จิ้งอวี่บอกใบ้เรื่องความสัมพันธ์ไปแล้ว ก็ยังไม่มีความเห็นเพิ่มเติมใดๆ จากทีมงานซีรีส์อีก และความพยายามที่จะจัดการกับเรื่องนี้ของทางกองถ่ายก็ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะสืบข้อเท็จจริง กู้จิ้งอวี่นั้นไม่เคยตกเป็นข่าวลือกับนักแสดงสาวคนไหนเลย ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเฝ้าลุ้นความสัมพันธ์ครั้งนี้ด้วยความรู้สึกยินดีทีเดียวครับ” 


 


 


แล้วบนจอโทรทัศน์ก็ปรากฏเป็นภาพของกู้จิ้งอวี่และหลินเช่อคู่กัน 


 


 


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทำไมกู้จิ้งอวี่ถึงไปมีข่าวพัวพันกับยัยหลินเช่อได้” 


 


 


คำถามนั้นทำให้สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อยิ่งเคร่งเครียดถมึงทึง 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายและคิดว่าเขากำลังโกรธ เธอจึงรีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงใส่ไฟว่า “แม่หลินเช่อนี่ไร้ยางอายสิ้นดีเลยนะคะ หล่อนเข้าไปยุ่งกับน้องชายคุณได้ยังไงกันเนี่ย หน้าไม่อายสิ้นดี” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขัดขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลินเช่อ” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงฟังแล้วจึงถามต่อไปเบาๆ ว่า “ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกนะคะ แล้วอย่างนี้จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับหล่อนได้ยังไงกันล่ะ” 


 


 


“ฉันเชื่อว่าหลินเช่อไม่ใช่คนแบบนั้น” กู้จิ้งเจ๋อยืนกรานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงพ่นลมออกจมูกอย่างเยาะหยัน “คุณเชื่อหล่อนด้วยเหรอคะ ช่างไร้เดียงสาอะไรอย่างนี้ ฉันเคยเห็นผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้าแบบเธอมามากมาย ผู้หญิงพวกนี้ยอมทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน ยิ่งพวกที่อยู่ในวงการบันเทิงแล้วละก็” 


 


 


“พอที!” กู้จิ้งเจ๋อผุดลุกขึ้นทันที 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงถึงกับผงะ 


 


 


ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืนตามเขา หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเต็มที่เมื่อร้องตะโกนออกไปว่า “คุณตะคอกฉันเหรอคะ กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณตะคอกใส่ฉันเพราะผู้หญิงคนนี้งั้นเหรอคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนิ่งไปชั่วครู่และหันมามองโม่ฮุ่ยหลิง “ไม่ใช่เพราะหลินเช่อหรอก กู้จิ้งอวี่เองก็อยู่ในวงการบันเทิงเหมือนกัน และเขาก็ไม่ใช่คนแบบนั้นด้วย มันจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ๆ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตัดสินใจที่จะกลับทันที เขาคว้าเสื้อโค้ตแล้วบอกว่า “ฉันจะต้องกลับไปจัดการกับเรื่องนี้” 


 


 


“คุณจะไปตอนนี้เลยหรือคะ…” โม่ฮุ่ยหลิงถามด้วยความไม่พอใจ “ไหนคุณบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนฉันไงล่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ฮุ่ยหลิง ข่าวนี้จะสร้างปัญหาใหญ่ถ้ามีคนได้เห็นเข้า จะเป็นการดีกว่าที่ฉันจะรีบกลับไปจัดการมันซะให้เรียบร้อย” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงขบฟันแน่น เขาก็พูดถูกจริงๆ นั่นแหละ แต่เธอก็กระทืบเท้าปึงปัง “ฉันไม่สนหรอก คุณจะต้องชดเชยให้ฉันนะคะ กว่าจะได้เจอคุณก็ยากเย็นแทบแย่ แล้วมาตอนนี้คุณยังจะรีบกลับอีก” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจ เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเอาอกเอาใจเธอ จึงได้แต่ยิ้มอย่างปลอบประโลมและตอบว่า “โอเค แล้วฉันจะชดเชยให้เธอเอง” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงฝืนใจฉีกยิ้มออกมาได้ แม้ว่าลึกๆ ในใจแล้ว เธออยากจะบีบคอหลินเช่อตายคามือก็ตาม 

 

 

 


ตอนที่ 49

 

เราใช้วิธีที่ง่ายกว่านั้นก็ได้นี่

 


ไม่ช้ากู้จิ้งเจ๋อก็มาถึงบ้าน 


 


 


ฉินเฮ่านั้นยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว ทันทีที่กู้จิ้งเจ๋อหันกลับมา คนสนิทก็รีบรายงานด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านครับ เรื่องมันเริ่มมาจากโพสต์เวยป๋อของนายน้อยสามครับ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บอกอะไรชัดเจน แต่พวกนักข่าวก็พากันเดาไปว่านายน้อยที่สามกำลัง…เอ่อ กำลัง…” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันขวับมาทันที “กำลังอะไร” 


 


 


“กำลังสารภาพรักกับคุณผู้หญิงครับ” 


 


 


หมอนั่นต้องล้อเล่นแน่ นี่มันตลกสิ้นดี  


 


 


ใบหน้าของกู้จิ้งเจ๋อเคร่งเครียดขึ้นทันตา 


 


 


คิ้วของเขาขมวดแน่นเหมือนเสื้อผ้าที่ยับย่น หน้าตาบ่งบอกความไม่สบอารมณ์มากขึ้นทุกขณะ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเห็นคอมเมนต์อีกยาวเป็นหางว่าวที่ใต้โพสต์เวยป๋อของกู้จิ้งอวี่ 


 


 


[ฉันว่าดูๆ ไปพวกเขาก็เหมาะสมกันดี ถ้าคบกันจริงก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นเถอะ] 


 


 


[หลินเช่อคนนี้ก็ดูสวยไม่หยอกนะ อย่างน้อยหน้าตาเธอก็แตกต่างจากพวกดาราดังส่วนใหญ่ น่ารักไม่เลวเลย] 


 


 


[ตราบใดที่เป็นการตัดสินใจของกู้จิ้งอวี่ พวกเราก็ยอมรับทั้งนั้น ยินดีด้วยที่คบกัน ขอให้รักกันนานๆ นะจ๊ะ] 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปิดโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเขาหม่นทะมึนเหมือนท้องฟ้าเวลามีพายุ ดูน่าพรั่นพรึงจนมีใครกล้าสบตาด้วยตรงๆ 


 


 


“ท่านครับ…” 


 


 


“ฉันคิดว่าพวกนายจัดการข่าวของนายน้อยสามเรียบร้อยหมดแล้วซะอีก!” 


 


 


ฉินเฮ่ารู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นชื้นที่ซึมขึ้นมาทั่วแผ่นหลัง “ท่านครับ เราจัดการแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นายน้อยสามออกมาประกาศความสัมพันธ์ตรงๆ แบบนี้ พวกสื่อซุบซิบก็เลยเอาไปเล่นข่าวกันต่อน่ะครับ” 


 


 


“ความสัมพันธ์งั้นรึ” สายตาของกู้จิ้งเจ๋อเย็นชาน่ากลัว 


 


 


ฉินเฮ่ารู้ดีว่าตัวเองพลาดไปที่พูดแบบนั้น เขารีบแก้ทันที “แน่นอนครับว่าพวกนักข่าวไม่รู้ว่านายน้อยสามเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดต่อ 


 


 


เขาคลึงหัวคิ้วแล้วเริ่มออกเดินเข้าไปในตัวบ้าน 


 


 


หลินเช่อยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น 


 


 


เธอเพิ่งกลับจากกองถ่าย เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าทั้งกายและใจ เจ้าตัวจึงลงมือทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพื่อปลอบประโลมตัวเองอยู่ในครัว 


 


 


เธอเพิ่งทำอาหารเสร็จพอดีเมื่อได้ยินเสียงประตู 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกลับมาถึงบ้านแล้ว 


 


 


หลินเช่อถือบะหมี่ชามโตไว้ในมือ หน้าตามีความสุขยิ่งนัก เธอคาดผ้ากันเปื้อนสีเหลืองผืนเล็กขลิบริมด้วยลูกไม้ ดูน่ารักน่าใคร่ สดใสไม่แพ้รอยยิ้มอบอุ่นที่คลี่แย้มอยู่บนดวงหน้าเรียวเล็กนั่น 


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ กลับมาแล้วเหรอคะ” เธอยิ้มพลางรีบวางชามอาหารที่ร้อนจนทำให้นิ้วเจ้าตัวเกือบพองลง ยกนิ้วขึ้นจับใบหูไว้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองชามบะหมี่แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฉันหิวเหมือนกันนะ” 


 


 


“อ้อ เหรอคะ” หลินเช่อมองหน้าเขาแล้วบอกว่า “จะให้ฉันทำเผื่อสักชามมั้ยละคะ” 


 


 


“ก็ดี” ชายหนุ่มวางเสื้อโค้ตในมือลงอย่างไม่สนใจอะไร ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง 


 


 


หลินเช่อทำปากยื่น ช่างไม่มีพิธีรีตองเอาเสียเล้ย 


 


 


เธอหันกลับไปทางครัว คว้ามีดขึ้นมาแล้วจัดแจงหั่นผัก แฮม และตอกไข่ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองตาม และเกิดความรู้สึกถึงช่วงเวลาอันอบอุ่นนี้ที่เขาได้มีกับหลินเช่อ 


 


 


เหมือนครอบครัวทั่วไป ที่สามีนั่งประจำโต๊ะและคอยภรรยาที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว 


 


 


กลิ่นอาหารหอมฟุ้งไปทั่วห้อง หลินเช่อประคองชามบะหมี่สองชามมาวางลงบนโต๊ะอาหาร กู้จิ้งเจ๋อก้มลงมองแล้วถามว่า “ทำไมชามของเธอถึงเส้นบะหมี่กับผักมากกว่าฉันล่ะ” 


 


 


“…” หลินเช่อเถียงกลับ “มันก็ไม่ได้มากขนาดนั้นสักหน่อยนะคะ” 


 


 


โดยไม่พูดอะไรอีก กู้จิ้งเจ๋อเอื้อมมือออกไปฉวยชามของอีกฝ่ายมา “ฉันจะกินชามเธอ” 


 


 


“เฮ้…” หลินเช่อพยายามจะห้าม แต่กู้จิ้งเจ๋อลงมือคีบบะหมี่เข้าปากไปเสียแล้ว 


 


 


หลินเช่อก้มหน้างุด “ชามนั้นฉันกินไปหน่อยนึงแล้วนะคะ” 


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นจ้องเธอ 


 


 


สายตานั้นทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นสุขนัก หญิงสาวจึงรีบโบกไม้โบกมือแล้วบอกว่า “ทำไมล่ะ ไม่ใช่ว่าฉันจะบังคับให้คุณกินสักหน่อย คุณนั่นแหละเรื่องมากเอง” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเอื้อมมือมาหยิบชามของเธอ แล้วตักบะหมี่คำโตเข้าปาก 


 


 


“เฮ้ กู้จิ้งเจ๋อ คุณนี่…” 


 


 


“คนเป็นสามีภรรยากันมันก็ต้องทำทุกอย่างให้ยุติธรรมสิ จริงมั้ย” เขาว่า 


 


 


หลินเช่อชักโมโห “ฉันไม่ได้หยาบคายเหมือนคุณนี่! ไม่ใช่ว่าฉันตั้งใจจะแอบกินชามนั้นก่อนสักหน่อย!” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเชิดหน้า ทำท่าเยาะหยัน 


 


 


หลินเช่อกลอกตา เธอยิ้มกว้างแล้วบอกว่า “แบบนี้เหมือนแลกน้ำลายกันเลยนะคะ คุณกินชามฉัน ฉันก็กินชามคุณ ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่เนอะ” 


 


 


“…” สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อเริ่มเปลี่ยนไป ทำไมคำพูดแบบนี้ถึงทำให้เขาอุ่นวาบอยู่ลึกๆ ข้างในได้นะ 


 


 


หลินเช่อยังพูดต่อไปไม่หยุด “อันที่จริง การแลกเปลี่ยนน้ำลายกันนี่เป็นเรื่องดีต่อสุขภาพนะคะ มันช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เราก็ป้องกันไม่ให้เราเป็นหวัดด้วย มาเถอะค่ะ มากินกันต่อเร้ว” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อทำเสียงฮึดฮัดพลางมองหน้าอีกฝ่าย “ถ้ามันดีขนาดนั้น ก็ยังมีอีกวิธีที่สามารถแลกเปลี่ยนน้ำลายกันได้โดยตรงนะ ไอ้แลกกันกินแบบนี้มันออกจะยุ่งยากมากไปหน่อย” 


 


 


“หือ” หลินเช่อมองเขาด้วยความฉงน 


 


 


ดวงตาดำสนิทคู่นั่นเลื่อนมาจับจ้องยังริมฝีปากอิ่มเต็มที่ดูแวววาวอยู่ในแสงไฟ 


 


 


หลินเช่อรู้สึกได้ เธอเข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร 


 


 


ใบหน้าของเธอแดงก่ำจนต้องยกมือขึ้นปิด นึกคำพูดใดไม่ออกทั้งสิ้น 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูหญิงสาวที่กำลังยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะคำพูดของตัวเองแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างพึงใจ 


 


 


แต่เขาก็ยังไม่อาจละสายตาจากริมฝีปากของเธอได้ 


 


 


จนกระทั่งรู้สึกว่าหลินเช่อกำลังจับตามองเขา ชายหนุ่มจึงเสมองไปเสียอีกทาง 


 


 


หลินเช่อพ่นลมพรืดแล้วกระแทกตัวลงนั่ง กู้จิ้งเจ๋อมองอีกฝ่ายที่กำลังลงมือรับประทานอาหาร “หลินเช่อ เธอมีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังหรือเปล่า” 


 


 


เมื่อเห็นเธอยังมีอารมณ์ทำอาหารแบบนี้ กู้จิ้งเจ๋อก็อดโมโหขึ้นมาตงิดๆ ไม่ได้เหมือนกัน 


 


 


หลินเช่อถามกลับ “เรื่องอะไรเหรอคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังสงวนท่าที “อย่างพวกข่าวลือหรือข่าวซุบซิบอะไรทำนองนั้น” 


 


 


หลินเช่อชะงัก “อา เรื่องนั้นเอง มันก็แค่ข่าวลือน่ะค่ะ…ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน คุณอยากจะบอกกู้จิ้งอวี่เรื่องของเราไหมคะ เรื่องมันจะได้…” 


 


 


“กู้จิ้งอวี่เป็นตัวปัญหาของครอบครัว ถ้าเขารู้เรื่องนี้ เขาอาจจะประกาศให้คนทั้งโลกได้รู้ เธออยากให้ทุกคนรู้เรื่องของเรางั้นเหรอ” 


 


 


“อา…ไม่ละค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าโดยแรง 


 


 


จะบ้ารึ ให้เธอประกาศว่าแต่งงานกับกู้จิ้งเจ๋อออกไปตอนนี้เนี่ยนะ ลำพังแค่ข่าวลือตอนนี้ก็อื้อฉาวไปถึงไหนแล้ว ถ้ายังมีเรื่องนี้อีกเธอยังจะเป็นนักแสดงต่อไปได้ยังไง 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าหญิงสาวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ถึงแม้ว่าอยากจะปฏิเสธ แต่ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจอยู่นิดๆ 


 


 


“นี่เธอไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเราขนาดนั้นเชียวเหรอ” เขาถาม 


 


 


หลินเช่อตอบ “ก็แน่สิคะ ถึงยังไงเราก็ต้องหย่ากันไม่ช้าก็เร็ว แล้วหลังจากนั้นฉันก็อาจจะได้แต่งงานใหม่ แล้วฉันก็ยังอยากจะทำงานแสดงอยู่ ทางบริษัทของฉันไม่รู้เรื่องที่ฉันแต่งงาน สัญญาของฉันระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามฉันแต่งงานภายในเวลาสามปีนี้ นี่ฉันก็ละเมิดข้อตกลงไปแล้ว” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจ้องมองเธอนิ่งนาน ก่อนจะก้มหน้าลงคีบบะหมี่รับประทานต่อ 


 


 


เขาถามอีกว่า “ถึงแม้ว่าเธอจะไม่อยากเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเรา แต่เธอก็ไม่ควรที่จะมีข่าวลือกับกู้จิ้งอวี่แบบนี้นะ จริงมั้ย” 


 


 


“เรื่องนี้…ฉันรับประกันกับคุณได้เลยค่ะ ว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยจริงๆ เรื่องนี้…” เธอไม่รู้เหมือนกันว่ากู้จิ้งอวี่เกิดบ้าคลั่งอะไรขึ้นมาถึงได้โพสต์ข้อความทำนองนี้ออกไป 


 


 


เธอรู้สึกได้ว่ากู้จิ้งอวี่เป็นประเภทหัวขบถ แม้ว่าตัวเขาจะไม่มีข่าวลืออะไร และยังอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างเคร่งครัดจากต้นสังกัด แต่เขาก็ยังอุตส่าห์สร้างข่าวลือขึ้นมาเองได้อยู่ดี 


 


 


“ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือกู้จิ้งอวี่ทั้งนั้น ฉันไม่รู้อะไรด้วยเลยนะคะ” เธอไม่รู้จะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ฉันรู้ว่าเขาเป็นพวกดื้อด้าน แต่เขาก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผลเหมือนกัน เธอได้บอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมาหรือเปล่า ว่าเธอไม่ชอบที่เขาทำแบบนี้ ฉันเชื่อว่าเขาจะต้องเคารพความคิดของเธอ” 


 


 


“ฉันบอกนะคะ แต่เขาก็ยังไม่ยอมลบโพสต์ในเวยป๋อนั่นอยู่ดี” หลินเช่อวิงวอนให้เขาลบมันจริงๆ นะ แต่กู้จิ้งอวี่ก็ยังเล่นเอาเถิดกับเธอและไม่สนใจคำร้องขอของเธอเลย 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดต่อไป “เธอต้องปฏิเสธเขาไปตรงๆ อย่าปล่อยให้เขารังแกเธอได้ ถ้าเธอไม่รู้จะจัดการยังไง ฉันจะช่วยเธอเอง” 


 


 


“หือ” 


 


 


ชายหนุ่มพูดต่อ “เอาโทรศัพท์ของเธอมาสิ ฉันจะช่วยเธอส่งข้อความหาเขาเอง” 


 


 


ชายหนุ่มยื่นมือออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความรู้สึกใด 

 

 

 


ตอนที่ 50

 

 นี่เธอตกหลุมรักฉันตั้งแต่แรกเจอเหรอ

 


หลินเช่อมองสีหน้าเอาจริงเอาจังของอีกฝ่าย บางทีเรื่องนี้มันอาจจะมากเกินไปสำหรับกู้จิ้งเจ๋อจนทำให้เขาโกรธจัดก็ได้


 


 


เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ไม่อยากที่จะส่งให้อีกฝ่ายเลย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาคว้ามันไปจากมือเธอทันที


 


 


“เฮ้ คุณจะทำอะไรน่ะ” หลินเช่อถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอรู้สึกไม่ดีเลยที่เขาฉวยโทรศัพท์ของเธอไปแบบนั้น


 


 


เธอคว้ามันกลับมาอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่มีเบอร์เขาหรอกค่ะ เราแค่ส่งข้อความหากันในวีแชทเท่านั้นเอง”


 


 


เธอถือโทรศัพท์ เปิดแอปพลิเคชันวีแชท แล้วพูดต่อไปว่า “ฉันพิมพ์หาเขาเองก็ได้น่า”


 


 


ว่าแล้วหลินเช่อก็พยายามคิดถึงข้อความที่จะส่งหากู้จิ้งอวี่ [กู้จิ้งอวี่คะ ฉันคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่คุณจะหลอกลวงคนดูของคุณแบบนั้น โพสต์ในเวยป๋อของคุณทำให้ใครต่อใครพากันเข้าใจผิด แฟนๆ ของคุณพากันคิดว่าคุณกำลังมีความรัก ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลยสักนิด ฉันคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าคุณจะบอกความจริงไปซะ]


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วขณะที่หลินเช่อก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความ เธอพิมพ์ แล้วก็หยุด แล้วก็ทำหน้าตาเคร่งเครียด แล้วก็ลบ แล้วก็พิมพ์ ประเดี๋ยวก็มีท่าทีลังเล จนเขาต้องคว้าโทรศัพท์คืนมาอย่างหมดความอดทน


 


 


“เฮ้ คุณจะทำอะไรน่ะ” เธอร้อง เมื่อเห็นกู้จิ้งเจ๋อเลิกคิ้วเมื่ออ่านข้อความที่เธอพิมพ์เอาไว้


 


 


“นี่เรียกว่าการปฏิเสธงั้นเหรอ นี่เค้าเรียกว่าหารือต่างหากล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อมองหน้า


 


 


“ก็มัน…” เธอไม่อยากจะใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไปนี่นา ถ้าเธอเกิดทำให้กู้จิ้งอวี่ไม่พอใจขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าอนาคตในวงการของเธอจะเป็นยังไงต่อ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพ่นลมพรืดแล้วพูดว่า “ฉันจะช่วยเธอเขียนเอง”


 


 


“คุณ…”


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าเขาไม่มีทางใช้คำพูดดีๆ แน่ จึงพยายามหาทางคว้าโทรศัพท์คืนมาอย่างรวดเร็ว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยืนแล้วชูแขนขึ้นสูง


 


 


หลินเช่อที่ตัวเล็กกว่ากระโดดเหยงๆ พยายามที่จะคว้าโทรศัพท์ให้ถึง


 


 


แต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่งอย่างสบายใจและรีบพิมพ์อย่างว่องไวว่า [กู้จิ้งอวี่ อันที่จริงฉันแต่งงานแล้วค่ะ ฉันรักสามีของฉันมาก การกระทำของคุณทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังทำให้เขาผิดหวัง เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าโพสต์ข้อความอะไรที่จะทำให้คนเข้าใจผิดจนกลายเป็นข่าวลือแบบนี้อีกเลยนะคะ เห็นแก่เราทั้งคู่]


 


 


หลินเช่อมองเห็นเขาพิมพ์ข้อความยาวเป็นย่อหน้าทีเดียว แต่ตัวหนังสือก็เบลอเกินกว่าที่เธอจะอ่านออกเป็นถ้อยคำได้


 


 


หญิงสาวยิ่งวิตกจริตหนัง เธอร้องออกไปว่า “กู้จิ้งเจ๋อ เอาคืนมานะ เดี๋ยวฉันทำเองน่า คุณไม่ต้องช่วยหรอก”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่ฟัง แถมยังกระหน่ำพิมพ์ต่อไปไม่ยอมหยุด


 


 


และทันทีที่เขากดปุ่ม ‘ส่ง’ ข้อความ กู้จิ้งอวี่ก็ตอบกลับมาทันที


 


 


มันเขียนว่า [นี่เธออุตส่าห์ลงทุนโกหกว่าแต่งงานแล้วเพื่อพยายามที่จะหลบเลี่ยงฉันเลยเหรอ]


 


 


ริมฝีปากของกู้จิ้งเจ๋อบิดโค้งเป็นรอยยิ้ม [คุณอยากให้ฉันเอาทะเบียนสมรสให้ดูมั้ยล่ะ ฉันแต่งงานแล้วจริงๆ และการที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับคุณมันทำให้ฉันขยะแขยงมาก]


 


 


[ขยะแขยงงั้นเหรอ นี่ฉันทำอะไรไม่ดีตรงไหนเธอถึงได้เกลียดฉัน ฉันคิดว่าเธอเคยบอกว่าเธอนับถือฉันมากในฐานะรุ่นพี่ไม่ใช่เหรอ]


 


 


นี่เธอบอกกู้จิ้งอวี่ไปแบบนั้นจริงๆ น่ะเหรอ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อได้แต่ถอนหายใจและพิมพ์ตอบไป [คำพูดพวกนั้นเป็นแค่คำชื่นชมที่ฉันมีต่อคุณเท่านั้น ฉันคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจนะคะ และในเมื่อคุณเป็นคนลากฉันลงมาเจอกับเรื่องยุ่งยากพวกนี้ อย่าบอกนะคะว่าเป็นเพราะคุณชอบฉันจริงๆ น่ะ]


 


 


[ในเมื่อเธอถามแบบนี้ ฉันก็ต้องบอกว่าฉันชอบเธอจริงๆ]


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋ออยากอาเจียนเป็นกำลัง


 


 


เจ้ากู้จิ้งอวี่นี่รนหาที่ตายชัดๆ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบสวนกลับไปทันทีว่า [ขอโทษด้วยค่ะ คุณไม่ใช่สเป็กฉัน ฉันชอบผู้ชายแบบสามีของฉัน ผู้ชายที่ทำให้ฉันรู้สึกมั่นคงปลอดภัย นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเขา มันก็กลายเป็นรักแรกพบ ฉันต้องแต่งงานกับเขาให้ได้ ฉันไม่มีสายตาไว้สำหรับมองผู้ชายคนไหนอีก โดยเฉพาะผู้ชายแนวจิ๊กโก๋อย่างคุณ]


 


 


เขากดส่งข้อความ ในขณะที่หลินเช่อไต่ขึ้นมาบนโต๊ะด้านหลัง แขนเธอเอื้อมออกมาเกี่ยวรอบคอ และตัวก็ปีนขึ้นมาอยู่บนหลังของเขา พยายามไขว่คว้าโทรศัพท์เอาคืน


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ เอาโทรศัพท์ฉันคืนมานะ!” เธอตะโกนลั่นๆ พลางดึงทึ้งแขนเขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังไม่เสร็จภารกิจ เขาอยากเห็นคำตอบของกู้จิ้งอวี่ก่อน แต่ก็รู้สึกได้ว่าหลินเช่อนั้นร้อนรนจนทนไม่ไหวอีกแล้ว เธอกัดเขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเจ็บวาบ…


 


 


ยัยผู้หญิงปัญญาอ่อนนี่กัดเขาจริงๆ!


 


 


ชายหนุ่มร้องลั่นแล้วปล่อยโทรศัพท์หลุดจากมือ มันตกลงบนพื้นเสียงดังสนั่น


 


 


หลินเช่อร้อง “กู้จิ้งเจ๋อ ฉันจะฆ่าคุณ!”


 


 


เขารู้สึกได้ว่าเธอกำลังจะหล่น และก็นึกขึ้นได้ว่าขาของเธอเพิ่งจะหายดี ไวเท่าความคิด เขาเอื้อมมือออกไปรับขาทั้งสองข้างของเธอทางด้านหลังไว้ทันที


 


 


หลินเช่อเพิ่งจะเลิกใช้วีลแชร์ได้ไม่กี่วัน แต่เธอยังต้องค่อยๆ เดินอยู่ นี่หล่อนลืมเจ็บไปแล้วหรือไงนะ


 


 


เขาแบกเธอเอาไว้บนหลัง ไม่ยอมให้เธอขยับตัว “ระวังหน่อยสิ นี่ถ้าหล่นลงไปจะเป็นยังไง”


 


 


หลินเช่อนั้นมัวแต่สาละวนมองหาโทรศัพท์ ไม่ได้สนใจฟัง


 


 


เธอไม่รู้ตัวเลยว่าสร้อยคอของเธอที่สวมอยู่กำลังเสียดสีกับแผ่นหลังเขา และหน้าอกของเธอก็กำลังเบียดอยู่กับเนื้อตัวของเขา


 


 


มันรู้สึกได้ชัดเจนเลย…


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ…”


 


 


“อย่าขยับนะ! ใจเย็นๆ!” ร่างกายของกู้จิ้งเจ๋อเริ่มร้อนผ่าวขึ้นทุกที เขารู้สึกเหมือนเนื้อตัวกำลังหดเกร็งไปหมด


 


 


“ไม่ ฉันไม่ยอมอยู่เฉย! กู้จิ้งเจ๋อ คุณไม่มีสิทธิ์มาคว้าโทรศัพท์ฉันไปแล้วทำตกพื้นแบบนี้นะ…คุณต้องซื้อใช้ฉัน!” เธอเอ็ดตะโร แขนเธอยังเกี่ยวอยู่รอบคอเขา กู้จิ้งเจ๋อไม่อาจห้ามร่างกายตัวเองไม่ให้สั่นสะท้านได้ ราวกับว่ามันรู้สึกตัว…


 


 


หลินเช่อกอดรัดแนบแน่นอยู่ มือเขาก็ประคองอยู่ที่บั้นท้ายของเธอ ไหล่เขาเกร็งเครียดไปหมด หน้าอกเธอเบียดเสียดอยู่กับหลังเขา ใบหน้าเธอก็คลอเคลียอยู่ใกล้แก้มเขา อยู่ที่หลังใบหูนี่เอง ใกล้จนเธอได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ระเหยออกมาจากต้นคอของเขาได้


 


 


หลินเช่อปล่อยแขนทันที พลางกระแอมกระไอด้วยความอึดอัด


 


 


เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้…


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปล่อยมือจากเธอในที่สุด จนกระทั่งหญิงสาวลงมายืนอยู่บนพื้นได้ กระอักกระอ่วนจนไม่กล้าสบตาเขา


 


 


หัวใจของกู้จิ้งเจ๋อที่เต้นรัวแรงในตอนแรก ค่อยๆ บรรเทาอาการลงและดีขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งเป็นปกติในที่สุด เขาจึงเงยหน้ามองผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า นึกอยากจะบีบคอเธอเสียให้ตายคามือ


 


 


หลินเช่ออับอายอย่างหนัก เธอยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากกายเขาบนตัวเธอ


 


 


มันทั้งรุ่มร้อนและแตกต่างจากร่างกายผู้หญิงเหลือเกิน


 


 


ความรู้สึกนั้นยังอ้อยอิ่งไม่อยู่คลาย


 


 


และแล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์ของเธอตกอยู่บนพื้น เธอรีบความมันขึ้นมาสำรวจดู


 


 


หน้าจอนั้นแตกร้าวเป็นรอย


 


 


เธอเงยหน้าขึ้น แล้วกรี๊ดใส่ “กู้จิ้งเจ๋อ คุณต้องชดใช้ให้ฉัน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันไปมองอย่างไม่ใส่ใจ และพ่นลมใส่เมื่อเหลือบเห็นหน้าจอโทรศัพท์พังๆ


 


 


เธอรีบเปิดดูวีแชทเพื่ออ่านข้อความตอบกลับจากกู้จิ้งอวี่


 


 


[ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าที่ฉันทำจะทำให้เธอไม่พอใจ ฉันจะไม่กวนใจเธออีก]


 


 


ข้อความบรรทัดต่อมาเขียนว่า [แล้วก็ ฉันไม่ใช่พวกจิ๊กโก๋นะ]


 


 


“…” หลินเช่ออยากร้องไห้


 


 


เธอเลื่อนอ่านข้อความที่กู้จิ้งเจ๋อส่งไป ก่อนจะหันมาแว้ดใส่เขาว่า “กู้จิ้งเจ๋อ ฉันไม่ใช่คนไร้ยางอายเหมือนคุณนะ ฉันไม่ได้รักคุณตั้งแต่แรกพบสักหน่อย!”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นเธอวางยาฉันทำไมล่ะ ไม่ใช่เพื่อให้ฉันขึ้นเตียงกับเธอหรอกเรอะ”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อพูดอะไรไม่ออก


 


 


เธอทำได้เพียงแต่ตรึกตรองดูว่าเธอได้ทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินกู้จิ้งอวี่ไปหรือไม่ และเธอจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อต้องไปถ่ายซีรีส์ในครั้งหน้าหรือออกงานโปรโมทด้วยกันกับเขา นี่ยังไม่นับเรื่องอิทธิพลอันมหาศาลของกู้จิ้งอวี่อีกนะ ถ้าเขาอยากจะเอาคืนเธอละก็ หลินเช่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปในอนาคตข้างหน้าได้อย่างไร

 

 

 


ตอนที่ 51

 

อย่าพูดแบบนี้กับผู้ชายคนไหน

 


“นี่พูดให้มันชัดๆ เลยนะ ฉันอยากวางยากู้จิ้งอวี่ต่างหาก ไม่ใช่คุณ!” หลินเช่อยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ


 


 


หญิงสาวไม่ทันสังเกตเห็นว่าคำพูดนั้นทำให้ใบหน้าของกู้จิ้งเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึกจนดูราวกับก้อนหิน


 


 


“ลองพูดอีกครั้งสิ!” กู้จิ้งเจ๋อบอกด้วยน้ำเสียงเข้มข้น


 


 


หลินเช่อรู้สึกได้ถึงสุ้มเสียงที่ไม่เหมือนเดิมของอีกฝ่าย เธอหันกลับมา แล้วก็ได้เห็นใบหน้าถมึงทึงและเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็งนั้นกำลังขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นทุกขณะ


 


 


หลินเช่อเริ่มตระหนก


 


 


จริงสิ ที่เธอพูดถึงนั่นมันน้องชายเขานี่นา ไม่ว่าเธอจะวางยาใครก็คงไม่เข้าท่าสำหรับเขาทั้งนั้นนั่นแหละ


 


 


หลินเช่อรีบพูดว่า “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะวางยาเขา ฉันแค่ได้ยินจากคนอื่นมาว่ายานั่นจะทำให้หลับไป ฉันก็เลยวางแผนว่าจะแอบถ่ายรูปสักสองสามรูปแล้วค่อยออกมา ใครจะไปรู้ละว่าฉันจะกลายเป็นเหยื่อซะเอง แล้วคุณก็กลายเป็นพวกหื่นกามทันทีหลังจากที่กินยานั่นเข้าไป…”


 


 


หื่นกามงั้นเหรอ


 


 


ใบหน้าของกู้จิ้งเจ๋อค่อยคลายความขึงเครียดลง


 


 


ถึงแม้เขาจะยังโกรธอยู่ที่เธออยากวางยากู้จิ้งอวี่ แต่คำพูดนั้นของหลินเช่อก็ทำให้ความโกรธของเขามลายลงอย่างน่าประหลาด


 


 


ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ แล้วบอกว่า “หื่นมากเลยงั้นเหรอ”


 


 


หลินเช่อตกใจอีกรอบ ปากที่อ้าค้างเผยให้เห็นไรฟันเรียบขาวเป็นระเบียบ “เอ่อ คือ…”


 


 


ความรู้สึกของความเป็นเพศชายที่ชัดเจนและรุนแรงค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ หลินเช่อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกต้อนจนมุม หญิงสาวสัมผัสได้ว่ากู้จิ้งเจ๋อกำลังขยับใกล้เข้ามาทุกทีและทุกที


 


 


เธอรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่เคล้าเคลียอยู่ข้างแก้ม


 


 


นิ้วยาวของเขาแตะลงที่ปลายคางของเธอ ขณะที่เขาก้มหน้าลงมองและส่งรอยยิ้มเยาะๆ ให้


 


 


หลินเช่อรีบบอก “ใช่ค่ะ ก็ตอนนั้นคุณหื่นสุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอคะ นี่เป็นคำชมนะ…ก็อย่างที่รู้กันนั่นแหละว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาก็จริง แต่…”


 


 


สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อเปลี่ยนไปอีกครั้ง


 


 


ยัยบื้อนี่


 


 


หล่อนไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาจริงๆ ว่าควรพูดจายังไง


 


 


หลินเช่อยังถามต่อ “คุณจะมาโกรธเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้นะคะ หรือว่ายังมีอย่างอื่นอีก นี่โรคคุณกำเริบหรือเปล่าคะ”


 


 


เธอสังเกตเห็นว่าสายตาของเขาดูแปลกไป มันร้อนแรงราวกับไฟราวกับสามารถแผดเผาใครก็ตามที่เขาจ้องมองให้มอดไหม้ไปได้


 


 


เขาเหมือนถูกผีสิง ดวงตาดำสนิทของกู้จิ้งเจ๋อเลื่อนลงมาตามเรือนร่างเธอ เขาก้มหน้าลง มองดูริมฝีปากที่กำลังขยับของหลินเช่อ ลิ้นของเธอดูบอบบางและน่ารักน่าใคร่ ริมฝีปากนั้นแดงก่ำอย่างคนมีสุขภาพดี ผิวใสกระจ่าง


 


 


หลินเช่อมองอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะหลุดลอยหายไปในห้วงความคิดของตัวเอง เธอรู้สึกราวกับกำลังถูกดึงดูดเข้าไปหาเขา เท้าของเธอยืนนิ่งสนิทติดพื้น ไม่อยากเคลื่อนที่ไปไหน ยิ่งคิดว่าอยากจะหนีไป เธอก็ยิ่งขยับตัวไม่ได้


 


 


ปลายนิ้วกร้านของเขาแตะลงบนริมฝีปากเธอเบาๆ จ้องลึกเข้ามาในดวงตาสว่างสดใสเป็นประกายแล้วพูดว่า “ฉันจะบอกอะไรให้ เธอจะเที่ยวไปพูดกับผู้ชายว่าเขาเป็นพวกหื่นกามแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”


 


 


“หือ”


 


 


“ต่อให้มันเป็นความจริงก็ตาม”


 


 


“…”


 


 


“มันจะทำให้เขาเข้าใจเธอผิดได้ง่ายๆ รู้รึเปล่า”


 


 


“อืม…”


 


 


เขาแตะริมฝีปากลงจูบอย่างแผ่วเบา


 


 


ริมฝีปากของหลินเช่อชาหนึบจนแทบไร้ความรู้สึก เธอรีบผลักเขาออกไปแล้วหันหน้ามาทำเสียงฟึดฟัดใส่ก่อนที่จะวิ่งหลบเข้าไปในห้อง


 


 


หญิงสาวปิดประตูตามหลัง พยายามทำใจให้สงบ


 


 


เมื่อนึกถึงภาพความมีเสน่ห์เย้ายวนของกู้จิ้งเจ๋อเมื่อกี้นี้แล้ว หัวใจของเธอแทบจะหลุดโลดออกมาจากอก


 


 


นี่เขาไม่รู้หรือไงว่าการยั่วเย้าของผู้ชายมันอันตรายถึงตายได้เลยนะ


 


 


ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าความรู้สึกของเธอจะกลับเป็นปกติได้


 


 


วันต่อมา


 


 


หลินเช่อต้องถ่ายทำหลายๆ ฉากที่สำคัญของตัวเอง ทีมงานพยายามเร่งมือทำงานเพื่อให้ทันเวลาออกอากาศ เพราะซีรีส์เรื่องนี้จะต้องทำให้เรตติ้งของสถานีดีขึ้นได้อย่างแน่นอน


 


 


ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องถ่ายทำอย่างหนักหลายวันติดกัน


 


 


เธอมองเห็นกู้จิ้งอวี่ที่เดินเข้ามาในกองถ่ายแต่ไกล แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เธอก็รู้สึกผิดเกินกว่าที่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อกู้จิ้งอวี่สังเกตเห็นเธอเข้า เขาก็ส่งยิ้มให้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


หัวใจหลินเช่อเต้นแรงเมื่อเธอนั่งอยู่ในที่ของตัวเอง หญิงสาวกำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพอดีเมื่อเธอได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือศีรษะ “นี่ เธอเป็นอะไรไปน่ะ นี่ไม่อยากเห็นหน้าฉันแล้วงั้นเหรอ”


 


 


หลินเช่อแทบสำลักน้ำ เธอเงยหน้าขึ้นมองกู้จิ้งอวี่ “ฉัน…ฉัน…ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ”


 


 


กู้จิ้งอวี่มองเห็นความรู้สึกผิดที่ระบายอยู่ทั่วใบหน้าอีกฝ่าย เขาพินิจดูเธอก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งและเอ่ยว่า “นี่ เธอแต่งงานแล้วจริงๆ เหรอ เธอดูไม่เหมือนผู้หญิงแต่งงานแล้วเลยสักนิด ออกจะยังเด็กขนาดนี้”


 


 


หลินเช่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนและข้อความบ้าบอที่อีตากู้จิ้งเจ๋อเป็นคนส่งไป เธอเกลียดเขาชะมัด แต่ก็ทำได้เพียงตอบออกไปด้วยความรู้สึกผิดว่า “ขอโทษด้วยค่ะ เมื่อวานฉันอารมณ์ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ก็เลยทำให้พูดอะไรไม่ดีออกไปทั้งที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ ฉันรู้สึกแย่มากจริงๆ แต่ฉันแต่งงานแล้วค่ะ แล้วฉันก็ไม่คิดว่าอายุจะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการแต่งงานด้วย ฉันคิดว่ามันขึ้นอยู่กับการที่เราได้เจอคนที่ใช่หรือเปล่าต่างหาก”


 


 


กู้จิ้งอวี่ลังเลเล็กน้อย เขามองดูหญิงสาวแล้วถอนหายใจก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ ฉันจะไม่ทำให้เธอต้องลำบากใจอีก ขอให้เธอโชคดี แต่ฉันไม่ใช่จิ๊กโก๋จริงๆ นะ”


 


 


“…” หลินเช่อสั่นหัวทันที “ไม่ค่ะ ไม่ คุณไม่ใช่แน่ๆ”


 


 


กู้จิ้งอวี่ขมวดคิ้วแล้วถามต่อไป “งั้นก็เป็นเพราะว่าฉันไม่ใช่สเป็กเธอล่ะสินะ เธอถึงทำเป็นมองไม่เห็นฉันแบบนั้น”


 


 


“ฉัน…มันเป็นเพราะว่า…ฉันแต่งงานแล้วน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นฉันก็เลยไม่สนใจมองผู้ชายคนไหนอีก ฉันนับถือและชื่นชมคุณมากเลยนะคะ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น คุณเป็นเหมือน…เป็นเหมือนพ่อของฉันน่ะค่ะ คุณเป็นคนที่ฉันยกย่องมาก จริงๆ นะคะ” หลินเช่อไม่อยากจะทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่เขามีต่อเธอต้องถูกทำลายไป หญิงสาวจึงพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะทำให้เขาพอใจและไม่โกรธเธอด้วยเรื่องนี้


 


 


เมื่อได้เห็นท่าทีชื่นชมที่เสแสร้งจนออกนอกหน้าของหลินเช่อแล้ว กู้จิ้งอวี่คิดว่ามันทั้งน่าขำและน่าเอ็นดูไปพร้อมกัน เขาจึงทำได้แค่ส่ายหัวเงียบๆ


 


 


“ฉันไม่อยากเป็นพ่อเธอ!” กู้จิ้งอวี่ว่า “สบายใจได้ ฉันจะลบโพสต์ในเวยป๋อนั่นเอง แล้วฉันก็จะไม่พูดถึงมันอีก เธอจะได้ไม่ต้องคอยหลบหน้าฉันเพราะเรื่องนี้ แต่ถึงยังไงฉันก็ยังอดสงสัยเรื่องสามีของเธอไม่ได้ ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนถึงได้ทำให้เธอตกหลุมรักเขาได้อย่างนี้ เขาคงจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เป็นคนที่มั่นคงมากจนเธอกล้าที่จะแต่งงานด้วยตั้งแต่ยังอายุแค่นี้สินะ”


 


 


“…” หลินเช่อคิดในใจ ก็ไปถามพี่ชายคุณเอาเองสิ ว่าทำไมถึงกล้าชมตัวเองอย่างหน้าไม่อายแบบนั้นได้


 


 


พอลองคิดๆ ดูแล้ว กู้จิ้งอวี่ออกจะดูเป็นผู้ใหญ่แล้วก็มั่นคงยิ่งกว่ากู้จิ้งเจ๋อด้วยซ้ำ


 


 


“ไม่ได้มีอะไรยอดเยี่ยมขนาดนั้นหรอกค่ะ อีกหน่อยคุณก็คงได้พบเขาเอง”


 


 


“โอเค…” กู้จิ้งอวี่แตะไหล่เธอแล้วยิ้มให้


 


 


หลังจากนั้นกู้จิ้งอวี่ก็ลบโพสต์ในเวยป๋อของเขา จากนั้นบริษัทก็ออกแถลงการณ์ตามมาทีหลังโดยบอกว่านั่นไม่ใช่การสารภาพรักแต่อย่างใด เป็นแค่เพียงการแสดงความรู้สึกและความคิดส่วนตัวเท่านั้น กู้จิ้งอวี่และหลินเช่อเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและหวังว่าสาธารณชนจะไม่ทำลายมิตรภาพของคนทั้งคู่

 

 

 


ตอนที่ 52

 

ถอดกางเกงเธอออก แล้วให้ฉันดูหน่อย

 


ปฏิกิริยาของโลกภายนอกที่มีต่อเหตุการณ์นี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ บางคนก็ยินดีที่ได้เห็นหลินเช่อต้องหน้าแตกเพราะกู้จิ้งอวี่ปฏิเสธข่าวรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างเธอกับเขา แต่อีกกลุ่มหนึ่งกลับรู้สึกว่าถึงแม้กู้จิ้งอวี่จะบอกว่าพวกเขาไม่ได้ออกเดตกัน แต่เขาก็บอกว่าหลินเช่อเป็นเพื่อนที่ดีและในอดีตที่ผ่านมา ถ้าหากมีใครก็ตามที่ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากกู้จิ้งอวี่ด้วยการสร้างกระแสข่าวลือขึ้นมาแบบนี้ละก็ ดาราคนดังจะจัดการเอาคืนอย่างสาสมชนิดไร้ความปรานีเลยทีเดียว แต่ครั้งนี้กู้จิ้งอวี่กลับทำเพียงปฏิเสธอย่างนุ่มนวลและไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการแก้แค้นหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย 


 


 


เมื่อทำงานเสร็จ หลินเช่อก็กลับบ้าน เธอเห็นกู้จิ้งเจ๋อกำลังนั่งตัวตรงแน่วขณะทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ 


 


 


ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะสามารถรักษาบุคลิกท่วงท่าทุกอย่างของตัวเองให้ตัวตรงเป็นสง่าอยู่ได้ตลอดเวลา 


 


 


แต่ก็เพราะท่าทางขึงขังแน่วแน่แบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้เขาดูเร้าใจเหลือร้าย 


 


 


เมื่อหลินเช่อเดินเข้าไปในห้อง เธอก็ชะงัก สายตาเหลือบมองนิ้วมือของกู้จิ้งเจ๋อที่กำลังเคาะแป้นคอมพิวเตอร์ มันเรียวยาวจนน่าจะไปพลิ้วไหวอยู่บนคีย์เปียโน ดูอ่อนช้อยเหมือนนักบัลเลต์ผู้ช่ำชอง 


 


 


หญิงสาวเหมือนถูกสะกดให้มองภาพนั้นจนไม่อาจถอนสายตาได้ มีคนบอกว่าผู้ชายจะดูดีที่สุดเวลาที่พวกเขากำลังจริงจังกับอะไรสักอย่าง ความหล่อเหลานั้นยิ่งเพิ่มเป็นอีกหลายเท่าทวีเมื่อผู้ชายคนนั้นหล่อวายร้ายอยู่แล้วอย่างกู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและเห็นหลินเช่อยืนอยู่ที่ประตู เขาก็ร้องบอกไปว่า “มายืนบื้ออะไรของเธออยู่น่ะ หลินเช่อ” 


 


 


แล้วหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูพลางคิดอะไรอยู่ในหัวก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเพิ่งรู้สึกตัว 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนึกในใจ เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่ไหนที่ทำตัวประหลาดแบบนี้เลย 


 


 


แต่พอเขาเลื่อนไปเจอหน้าเว็บเพจหนึ่งที่ตัวเองเปิดเอาไว้ในคอมพิวเตอร์ กำลังเสนอข่าวที่ว่ากู้จิ้งอวี่ออกมาปฏิเสธความสัมพันธ์รักๆ ใคร่ๆ กับหลินเช่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มุมปากของกู้จิ้งเจ๋อก็อดยกขึ้นนิดๆ เป็นรอยยิ้มไม่ได้ เมื่อเหลียวกลับไปมองหลินเช่อ เธอก็ยิ่งดูสวยสะดุดตาน่ามองมากขึ้นไปอีก 


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงส่งยิ้มและโบกมือให้เธอ “อย่ามัวแต่ยืนงงอยู่นั่นเลย เข้ามานี่สิ” เขากดปิดหน้าเว็บเพจแล้วร้องบอกเธอ 


 


 


หลินเช่อยิ้มอายๆ เธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเอาแต่ยืนจ้องผู้ชายจนไร้สติแบบนี้ได้ หูเธอร้อนแดงด้วยความขัดเขิน และตอนนี้เธอก็ไม่กล้าสบตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันล้ำลึกของเขาอีกต่างหาก เธอรีบพูดขึ้นโดยเร็วเพื่อกลบเกลื่อนว่า “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อยน่ะค่ะ ขอเข้าไปพักก่อนนะคะ” 


 


 


“ไม่สบายเหรอ” กู้จิ้งเจ๋อนิ่วหน้าทันที รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนหน้าในตอนแรกหายวับไปทันตา 


 


 


เมื่อเห็นหลินเช่อทำท่าจะเดินเข้าห้องไป เขาก็รีบเดินตามไปติดๆ “เกิดอะไรขึ้น หลินเช่อ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” 


 


 


เมื่อเห็นกู้จิ้งเจ๋อตรงรี่เข้ามา หลินเช่อก็ยิ่งตระหนกหนักขึ้นไปอีก เธอละล่ำละลักบอกว่า “ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่…ฉันน่าจะเหนื่อยมากเท่านั้นเองค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินตามเธอเข้ามาจนถึงในห้องนอน เขามองหน้าเธอแล้วซักไซ้ต่อไปอีก “เป็นเพราะแผลที่ขาเธอยังไม่หายสนิทดีหรือเปล่า” 


 


 


แม้ว่าจะผ่านเวลามาพักใหญ่แล้ว แต่ช่วงนี้หลินเช่อก็ทำงานค่อนข้างหนัก เธอออกไปถ่ายซีรีส์ทุกวันจนมืดค่ำ กลับถึงบ้านก็ดึกดื่น ถึงแม้ว่าแผลจะไม่ใหญ่นัก แต่มันก็เกิดขึ้นตรงจุดสำคัญของร่างกาย 


 


 


“ถอดกางเกงออกสิ ให้ฉันดูหน่อย ว่าแผลเธอมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า” โดยไม่รอให้เธอได้มีโอกาสตอบ เขาย่อตัวลงทันทีและเริ่มที่จะลงมือจัดการกับกางเกงเธอ 


 


 


นอกเหนือจากเวลาที่เธอต้องไปร่วมงานหรือต้องสวมใส่ชุดที่ใช้ในการแสดงแล้ว หลินเช่อชอบที่จะใส่แค่กางเกงยีนธรรมดาและรองเท้าผ้าใบเวลาออกไปไหนต่อไหน และตอนนี้กางเกงยีนที่เธอสวมบนตัวนั้น ทำให้เป็นการยากที่จะบอกว่าแผลที่ขาของเธอมีความผิดปกติอะไรหรือไม่ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเองก็ไม่ได้คิดถึงอะไรอื่น เขาเพียงแค่ขอให้เธอถอดกางเกงออกเพราะกังวลเรื่องแผลเท่านั้น 


 


 


แต่หลินเช่อเองกลับหน้าแดงก่ำ และแดงลามลงไปตลอดทั้งลำคอ 


 


 


ถอดกางเกงเหรอ…ต่อหน้าผู้ชายตัวโตอย่างเขาเนี่ยนะ… 


 


 


ฝ่ายกู้จิ้งเจ๋อเมื่อเห็นหลินเช่อยืนนิ่งไม่ขยับอยู่เป็นนาน เขาก็เริ่มที่จะลงมือช่วยปลดกางเกงของเธอออกด้วยตัวเอง 


 


 


“เร็วเข้าสิ ถอดออกหน่อย ฉันจะได้ดูแผล” ขณะที่พูด มือใหญ่ก็เริ่มคลำเปะปะไปทั่ว เขาคว้าขอบกางเกงของเธอและเริ่มที่จะดึงมันลงมา 


 


 


หลินเช่อเริ่มสติแตก 


 


 


เธอรีบคว้ามือเขาไว้ทันที ใบหน้าแดงก่ำ และร้องตะโกนว่า “กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณจะบ้าหรือคะ ฉัน…ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ คุณจะให้ฉันถอดกางเกงทำไมกัน” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเถียง “จะไม่ให้ฉันดูได้ยังไง ถ้าเธอไม่สบายก็บอกฉันสิ แผลที่เส้นเลือดใหญ่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ” 


 


 


แต่เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เขาก็ได้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่แดงจัดตลอดทั้งหน้าของหลินเช่อเข้า 


 


 


ในชั่วขณะนั้น ใบหน้าเล็กๆ ของหลินเช่อก็เหมือนผลมะเขือเทศที่สุกงอมจวนเจียนจะแตกเต็มทีราวกับมีใครไปบีบเข้า 


 


 


ตอนนั้นเองที่กู้จิ้งเจ๋อเพิ่งรู้สึกตัวว่า มือของเขาที่เธอจับอยู่กำลังจะดึงกางเกงของเธอลงมา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหน้าถอดสีและเปลี่ยนเป็นความขัดเขินในทันที 


 


 


“ถอดมันออกละกัน ฉันแค่อยากจะดูแผลหน่อยเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำอย่างอื่น เธอจะกังวลอะไรล่ะ” ” เขาพูดพลางพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าเขินอายของตัวเอง 


 


 


ลมหายใจของหลินเช่อติดอยู่ในลำคอ เธอมองหน้าเขาแล้วพูดว่า “ต่อให้เป็นแบบนั้น ฉันก็ถอดกางเกงไม่ได้อยู่ดีค่ะ…ฉันไม่ได้ใส่อะไรไว้ข้างในนั้น!” 


 


 


“เฮ้ นี่ฉันเป็นสามีเธอนะ ให้ฉันดูจะเป็นไรไปล่ะ ก่อนหน้านี้เธอก็พูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าไม่มีอะไรที่ฉันไม่เคยเห็นน่ะ” 


 


 


“คุณ…” 


 


 


“เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ เธอไม่ได้ใส่อะไรไว้ข้างในนั้นงั้นเหรอ” คำพูดนี้ทำให้กู้จิ้งเจ๋อเริ่มได้สติ เขาขมวดคิ้วเร็วพลัน นี่คงไม่ได้หมายความว่า ข้างใต้นั่น…นั่น… 


 


 


หน้าของหลินเช่อร้อนแดงอีกครั้ง “เปล่าค่ะ ฉันกำลังจะบอกว่า…ฉันใส่แค่กางเกงในเท่านั้น!” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองกางเกงยีนของอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มหมดความอดทน “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แปลว่าตรงส่วนที่ควรจะมีอะไรปกปิดก็มีอะไรปกปิดไว้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ฉันไม่ควรเห็นสิ นี่เธอคิดว่าฉันอยากจะดูขาเธอนักหรือไง” 


 


 


หลินเช่อชักโมโห “ถ้าคุณไม่ได้อยากดูก็ลืมมันไปซะเถอะค่ะ ฉันก็ไม่ได้ขอให้คุณดูสักหน่อย อีกอย่าง มันไม่ใช่เพราะแผลที่ขาของฉัน ฉันแค่เหนื่อยเท่านั้นเอง คุณช่วยออกไปแล้วก็ปล่อยให้ฉันนอนพักสักหน่อยได้มั้ยคะ คืนนี้ฉันไม่อยากให้คุณนอนด้วย คุณรบกวนจนฉันนอนหลับไม่ค่อยสนิทเลย” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธอด้วยความงุนงง “ฉันไม่ได้กรนสักหน่อย แถมยังนอนเรียบร้อยกว่าเธอตั้งเยอะ ฉันจะไปรบกวนเธอได้ยังไงกัน” 


 


 


การมีคุณนอนอยู่ด้วยนั่นแหละที่มันรบกวน 


 


 


“สรุปสั้นๆ ก็คือ…คืนนี้ฉันขอนอนคนเดียวได้มั้ยคะ ถ้าเราแยกห้องกันนอนบ้างเป็นครั้งคราว ฉันว่าครอบครัวของคุณก็คงไม่ว่าอะไรหรอก ไม่ใช่ว่าคู่แต่งงานทุกคู่จะต้องนอนห้องเดียวกันทุกวันสักหน่อยนี่” 


 


 


ถึงแม้กู้จิ้งเจ๋อจะรู้สึกว่ามันฟังดูแปลกอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นท่าทีเป็นกังวลของหลินเช่อแล้ว เขาก็คิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะเธอยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับการอยู่ร่วมกับเขา ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาคงมีสาเหตุบางอย่างให้เธอรู้สึกอึดอัดจนต้องระเบิดออกมาในวันนี้เพราะความเหนื่อยล้าจากการทำงาน 


 


 


ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับ “ก็ได้ ถ้าเธอต้องการอย่างนั้น ฉันจะออกไปนอนข้างนอกคืนนี้ เธอจะได้พักให้สบาย” 


 


 


หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินกู้จิ้งเจ๋อตอบเช่นนั้น เขาเดินเข้ามาหยิบผ้าห่มแล้วออกจากห้องไป 


 


 


ให้ตายเถอะ 


 


 


หลินเช่อทิ้งตัวลงบนเตียง พลางนึกในใจว่า กู้จิ้งเจ๋อนี่ร้ายกาจ ร้ายกาจที่สุด!  


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะเธอมาถึงช่วงอายุที่ไม่อาจควบคุมฮอร์โมนใดๆ ในตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว เพราะแบบนี้เวลาที่ประจันหน้ากับกู้จิ้งเจ๋อ เธอถึงได้เต็มไปด้วยความกระหายต้องการเขา หน้าของเธอแดงก่ำ และหัวใจของเธอก็เต้นรัวแรงอย่างปราศจากเหตุผล 


 


 


โชคดีที่ในอีกสองสามวันต่อมา เธอวุ่นวายอยู่กับตารางการทำงานจนแทบไม่ได้หยุดพักและใช้เวลาอยู่กับทีมงานที่กองถ่ายมากกว่าที่บ้าน จึงไม่มีเวลาใส่ใจปัญหาที่เกิดระหว่างเธอและกู้จิ้งเจ๋อนัก 


 


 


ในที่สุดการถ่ายทำก็สิ้นสุดลง 


 


 


กู้จิ้งอวี่ประกาศอย่างใจกว้างว่าเขาจะขอจัดงานเลี้ยงให้ทุกคนได้ร่วมสนุกพร้อมหน้ากันที่โรงแรม จะไม่มีใครกลับบ้านจนกว่าจะเมา และถ้าใครเมาพับจนกลับไม่ไหว ก็สามารถพักค้างที่โรงแรมได้เลย พูดสั้นๆ ก็คือ ทุกคนสามารถสนุกกันได้อย่างสุดเหวี่ยงนั่นเอง 


 


 


ด้วยเหตุนี้ หลินเช่อจึงขอให้อวี๋หมินหมิ่นไปร่วมงานปาร์ตี้เป็นเพื่อน เพื่อที่จะได้สนุกด้วยกัน 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นคิดทบทวนอยู่ในใจว่าถ้าเธอไปร่วมงานนี้ด้วย เธอก็อาจจะมีโอกาสได้เข้าหาผู้กำกับและคนสำคัญอื่นๆ ในวงการได้อีกมากมาย ด้วยเหตุนี้เธอจึงตอบตกลงอย่างยินดีในทันที 


 


 


ระหว่างการเดินทางไปร่วมงาน อวี๋หมินหมิ่นเป็นคนขับรถ เธอหันมาพูดกับหลินเช่อว่า “นี่ถ้าอีกหน่อยเธอดังขึ้นมา เราจะเปลี่ยนไปใช้รถตู้สำหรับดารากันแล้วนะ” 


 


 


ตอนนี้หลินเช่อยังเป็นเพียงนักแสดงเล็กๆ เท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงรถตู้ประจำตำแหน่ง เธอไม่มีแม้กระทั่งรถยนต์ของตัวเองด้วยซ้ำ 


 


 


หลินเช่อนึกขอบคุณอวี๋หมินหมิ่นที่เป็นคนคอยขับรถไปรับส่งเธอในทุกที่ ไม่ว่าจะด้วยธุระปะปังเรื่องใดก็ตาม 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพูดต่อไปว่า “สถานที่ที่กู้จิ้งอวี่ใช้จัดงานดูเหมือนจะเป็นคลับเฮาส์ของตระกูลกู้นะ ฉันละอยากรู้จังว่าเราจะมีโอกาสได้เจอกู้จิ้งเจ๋อหรือคนสำคัญระดับนั้นบ้างหรือเปล่า” 


 


 


“อุ๊บ…” หลินเช่อแทบสำลัก 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นถาม “เธอเป็นอะไรไปน่ะ” 


 


 


หลินเช่อตอบ “พี่จะอยากเจอกู้จิ้งเจ๋อไปทำไมหรือคะ” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอก “ก็เผื่อจะได้มีโอกาสประจบเขาบ้างสักหน่อยไงล่ะ พี่อวี๋ของเธอน่ะชอบสังสรรค์กับคนมีเงินที่สุดเลย ยิ่งถ้ามีโอกาสดีๆ แบบนี้ ฉันยิ่งไม่ยอมพลาดแน่”


 

 

 


ตอนที่ 53

 

ปาร์ตี้ปิดกล้อง

 


หลินเช่อมองหน้าอวี๋หมินหมิ่นอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรดี 


 


 


หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่กับอวี๋หมินหมิ่นมาหลายปี เธอรู้สึกว่าถึงแม้อวี๋หมินหมิ่นจะชอบทำตัวหัวสูง แต่เธอก็ไม่ใช่คนไม่น่าคบหาแต่อย่างใด 


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะพวกเธอทั้งสองคนต่างก็เปิดเผยอุปนิสัยที่แท้จริงของตัวเองกันออกมาอย่างตรงไปตรงมา เธอรู้สึกว่าอวี๋หมินหมิ่นไม่เสแสร้งแล้วก็ไม่เคยคิดจะแก้ตัวที่เธอเองเป็นคนแบบนี้ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่ใช่คนน่ารำคาญ 


 


 


และถึงแม้ว่าที่ผ่านมาอวี๋หมินหมิ่นจะไม่ได้ดูแลเธอเป็นอย่างดีเท่าไหร่นัก แต่หล่อนก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีกับหลินเช่อด้วยเช่นกัน มันเป็นเพราะว่าหลินเช่อเป็นเพียงนักแสดงเล็กๆ ที่ยังไม่มีชื่อเสียง ทำให้อวี๋หมินหมิ่นไม่ได้มีโอกาสที่จะช่วยเหลือดูแลเธอสักเท่าไหร่นัก แต่มาตอนนี้ หลินเช่อได้ชื่อว่าเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่อวี๋หมินหมิ่นจะได้เริ่มเข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอทั้งสองจึงพัฒนาขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก 


 


 


ไม่ช้าพวกเธอก็มาถึงคลับเฮาส์ของกู้จิ้งอวี่ 


 


 


จากด้านนอก พวกเธอก็รู้ได้ว่านี่ไม่ใช่คลับเฮาส์ธรรมดาทั่วไป แต่มันดูเหมือนรีสอร์ตคลับเฮาส์ที่อัดแน่นไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกชนิดเต็มอัตรา ที่ชั้นใต้ดินนั้นเป็นคลับสำหรับความบันเทิง ส่วนเหนือพื้นดินเป็นโรงแรม พวกเธอสามารถกิน ร้อง เต้น เล่นเกม และไปที่บาร์เครื่องดื่มได้พร้อมกันในที่เดียว 


 


 


เมื่อมองจากด้านนอก ตึกสูงหลังนั้นกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ทำให้แลดูให้ความรู้สึกของความหรูหรามีระดับเป็นอย่างมาก 


 


 


บรรดาคนจากทีมงานกองถ่ายต่างพากันทยอยมาถึงครั้งละสองสามคน พวกเขาต่างแสดงความยินดีแก่กันและร่วมฉลองการปิดกล้องถ่ายทำซีรี่ส์โทรทัศน์เรื่องนี้ 


 


 


หลินเช่อพาอวี๋หมินหมิ่นเข้าไปหาที่นั่งตรงบริเวณที่มีคนไม่แออัดจนเกินไปนัก ทั้งสองนั่งพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ตามสบาย ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าผู้คนรอบข้างเริ่มส่งเสียงอื้ออึงดังไปทั่ว เพราะการมาถึงของกู้จิ้งอวี่นั่นเอง 


 


 


หลินเช่อรีบยกแขนขึ้นและร่วมผสมโรงตบมือไปด้วย เธอเห็นกู้จิ้งอวี่กำลังเที่ยวทักทายคนอื่นๆ ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเธอ 


 


 


สีหน้าของหลินเช่อเต็มไปด้วยความสับสนไม่แน่ใจ เธอเฝ้ามองกู้จิ้งอวี่และอดรู้สึกแปลกนิดๆ ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงเดินมาหาและนั่งลงข้างเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ 


 


 


หลินเช่อถามว่า “ทำไมคุณถึงมานั่งตรงนี้ละคะ” 


 


 


มีการจัดเตรียมที่นั่งพิเศษเอาไว้ให้สำหรับนักแสดงนำและบุคคลสำคัญในทีมถ่ายทำ แล้วนี่เขาจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไมกัน 


 


 


กู้จิ้งอวี่มองหน้าเธอ “ก็ตรงนี้มันเงียบดีนี่ ฉันชอบที่เงียบๆ ทำไมเหรอ” 


 


 


“…” ก็ได้ ถ้าชอบก็ตามใจเถอะ 


 


 


เป็นครั้งแรกที่อวี๋หมินหมิ่นได้นั่งใกล้ชิดกับดาราระดับซูเปอร์สตาร์ เธอจึงไม่อาจระงับท่าทีตื่นเต้นกระสับกระส่ายเอาไว้ได้ ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีดาราดังๆ มาร่วมงานมากมาย แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นดาราดังตัวท็อปแบบนี้ 


 


 


กู้จิ้งอวี่หันมาเห็นอวี๋หมินหมิ่น เขาเอียงคอทักทายและส่งยิ้มให้ทำเอาอวี๋หมินหมิ่นมีสีหน้าปลื้มปริ่มเป็นที่สุดและรีบฉีกยิ้มตอบกลับไป 


 


 


ดาราคนดังเหลือบมองหญิงสาวข้างตัวแล้วเริ่มต้นบทสนทนากับหลินเช่อต่อ ทำเอาหญิงสาวไม่อาจปฏิเสธได้หรือบ่ายเบี่ยงได้แม้ว่าจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม 


 


 


ตอนแรกเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก แต่เมื่อได้เห็นสายตาแปลกๆ หลายคู่ที่พากันมองตรงมาทางเธอเข้า หลินเช่อก็อดที่จะรู้สึกอายขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ เธออยากจะลุกหนีไปเต็มที 


 


 


เมื่อหลินลี่ก้าวเข้ามาในงาน เธอกวาดตามองเพียงครั้งเดียวก็เห็นกู้จิ้งอวี่ที่กำลังนั่งอยู่ข้างหลินเช่อ 


 


 


เป็นเรื่องยากที่จะมองไม่เห็นหลินเช่อ เพราะทุกคนต่างก็พากันจับจ้องมาที่เธอกันเป็นตาเดียว แถมยังพูดคุยซุบซิบกันอย่างออกรสจนเป็นที่สะดุดสายตาอย่างมาก 


 


 


เธอคิดถึงงานเลี้ยงฉลองหมั้นของตัวเองที่ตระเตรียมมาเป็นอย่างดีจนเธอคิดว่าจะสามารถทำให้ตัวเองได้กลายเป็นข่าวดังไปอีกหลายวันให้ใครต่อใครได้พูดถึงด้วยความอิจฉา เป็นเพราะข้อความเพียงแค่โพสต์เดียวของกู้จิ้งอวี่เท่านั้นที่ทำให้หลินเช่อได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้เต็มๆ หลินลี่คิดแล้วก็รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาในหัวอกทีเดียว 


 


 


แล้วยิ่งระยะนี้นังหลินเช่อก็ยังจะทำตัวยโสโอหังใหญ่แล้ว! ไม่ว่าหล่อนจะไปที่ไหน ก็เอาแต่คอยทำตัวเรียกร้องความสนใจไม่หยุด 


 


 


เมื่อมู่เฝ่ยหรานมาถึงงาน ทุกคนก็เริ่มหันไปแสดงความยินดีกับเธอ 


 


 


หลินเช่อมองดูมู่เฝ่ยหรานด้วยความอิจฉาแล้วกล่าวว่า “ถ้าฉันได้เป็นนักแสดงมีบารมีอย่างพี่เฝ่ยหรานบ้างสักวันก็คงจะเยี่ยมไปเลยนะคะ” 


 


 


ด้านหลังของมู่เฝ่ยหรานคือบรรดาผู้ช่วยส่วนตัวและเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่ติดตามเธอมาด้วย เมื่อเข้ามาอยู่ในงาน ทุกคนก็รับรู้ได้ถึงการขยับตัวไปในทุกที่ของเธอ 


 


 


กู้จิ้งอวี่เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองตามหลินเช่อ เขายิ้มและบอกว่า “สักวันเธอก็จะได้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” 


 


 


หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่าย “คุณก็พูดไปเรื่อยนะคะ กว่าจะถึงวันนั้นคงอีกนานมากเลยละ” 


 


 


“เชื่อในตัวเองสิ ความสำเร็จทุกอย่างล้วนต้องค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าว เมื่อก่อนนี้ มู่เฝ่ยหรานเองก็เป็นหญิงสาวยากจนที่ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อข้าวกินด้วยซ้ำ ตัวหล่อนเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีวันนี้ได้” 


 


 


“จริงเหรอคะ พี่เฝ่ยหรานเนี่ยนะจะเคยมีชีวิตแบบนั้นด้วย” 


 


 


“แน่นอนสิ มีใครเป็นดาราดังมาตั้งแต่เกิดบ้างเล่า” 


 


 


มีสิ! ก็พวกคนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดทั้งหลายไงล่ะ หลินเช่อเหลือบตามองกู้จิ้งอวี่ ทั้งเขาและกู้จิ้งเจ๋อนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเทพบุตรมาจุติก็ว่าได้ เป็นที่อิจฉาของใครต่อใครมาตั้งแต่เกิด 


 


 


กู้จิ้งอวี่เหมือนจะอ่านความคิดอีกฝ่ายได้ เขาจึงยิ้มและพูดว่า “เธอคิดว่าขอแค่มีข้าวให้กินตอนเด็กๆ แค่นั้นก็คงมีความสุขแล้วละสินะ ไม่ว่าใครก็มีปัญหาของตัวเองกันทั้งนั้นนั่นแหละ สมาชิกตระกูลกู้ก็เหมือนกัน ในขณะที่เราได้เสพสุขกับทรัพย์สินเงินทองทั้งหลาย เราก็ต้องแบกรับภาระต่างๆ เอาไว้เต็มสองบ่าด้วย เพราะแบบนี้ไงฉันถึงไม่ขอกลับไปอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลกู้อีก แล้วดูฉันตอนนี้สิ ทั้งอิสระแล้วก็เสรีออกจะตาย จริงมั้ยล่ะ” 


 


 


นี่กู้จิ้งเจ๋ออก็มีปัญหากับเขาด้วยงั้นเหรอ 


 


 


ก็คงจะจริงนั่นแหละ พอลองคิดดูแล้ว เธอก็รู้ได้ตั้งแต่ความจริงข้อแรกที่ว่าเขาจำเป็นที่จะต้องยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ปรารถนาเลย 


 


 


ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเห็นใจกู้จิ้งเจ๋อ ถึงแม้ว่าเขาจะดีพร้อมทุกอย่างแต่กลับต้องล้มป่วยด้วยโรคประหลาด และชีวิตที่อิจฉาของเขาต้องกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะว่าหลินเช่อ 


 


 


“เฮ้ นี่ฉันกำลังพูดกับเธออยู่นะ เธอคิดถึงใครอยู่น่ะ” เมื่อเห็นเธอมีท่าทีใจลอย กู้จิ้งอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะบีบจมูกเธอเบาๆ 


 


 


“โอ๊ย เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้คิดถึงใครทั้งนั้นนั่นแหละ” หลินเช่อรีบตอบอย่างรู้สึกผิดกับตัวเอง 


 


 


ที่งานเลี้ยงฉลองปิดกล้องนี้ ทุกคนต่างก็มีความสุขและสนุกสนานกันอย่างสุดเหวี่ยง เพราะหลังจากการถ่ายทำที่เสร็จสิ้นลงแล้ว ทุกคนจะได้พัก ในระหว่างที่การทำงานในขั้นตอนหลังจากนั้นจะเริ่มขึ้น และเมื่อเริ่มซีรีส์เริ่มออกอากาศ ทุกคนก็จะต้องมารวมตัวอีกครั้งเพื่อช่วยกันประชาสัมพันธ์และออกงานอีเวนต์เพื่อเดินสายโปรโมตต่อไป 


 


 


ทุกคนต่างพากันดื่มชนิดหัวราน้ำ หลินเช่อเองไม่ใช่คนคอแข็งเท่าไหร่ เมื่อเธอเดินกลับมาจากการไปเข้าห้องน้ำ เธอก็พบว่าทุกคนพากันหายหน้าไปหมด 


 


 


แม้แต่อวี๋หมินหมิ่นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย 


 


 


หลินเช่อจึงนั่งดื่มต่อเพียงลำพังคนเดียว จนกระทั่งเธอได้ยินใครบางคนพูดขึ้นทางด้านหลังว่า “ท่านประธานาธิบดีมาที่นี่จริงๆ นะ” 


 


 


“ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นคลับเฮาส์ของตระกูลกู้นี่เนอะ ท่านประธานาธิบดีจะมาที่คลับเฮาส์ของครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” 


 


 


“ที่นี่ไม่ได้เป็นของกู้จิ้งเจ๋อหรอกเหรอ” 


 


 


“พวกเขาเป็นพี่น้องกันนี่ ทำไมจะต้องมาแบ่งว่าของใครเป็นของใครด้วยล่ะ เมื่อกี้เธอไม่เห็นหรอกเหรอ ดูเหมือนว่าเขาจะมาค้างคืนที่โรงแรมข้างบนนั่น ตอนนี้ก็เลยมีการเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยแล้วก็ห้ามคนเข้าออกด้วย” 


 


 


ในจังหวะนั้นเอง กู้จิ้งอวี่ก็เดินกลับมาพอดี หลินเช่อรีบดึงเขาให้นั่งลงข้างตัวแล้วถามว่า “เมื่อกี้พวกเขาบอกว่าท่านประธานาธิบดีเพิ่งมาถึงเหรอคะ เขาเป็นพี่ชายคนโตของครอบครัวคุณใช่หรือเปล่า” 


 


 


กู้จิ้งอวี่พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “ใช่ เขามาแล้วมันแปลกอะไรเหรอ” 


 


 


“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ…ครอบครัวของคุณนี่…พี่น้องแต่ละคนต่างก็เป็นคนสำคัญกันทั้งนั้นเลย” 


 


 


“แล้วเธอชอบหรือเปล่าล่ะ ถ้าเธอชอบ เธอจะเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลกู้ก็ได้นะ ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ฉันรับประกันได้ว่าเธอจะรู้สึกถึงชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมแบบสุดๆ เลยละ” กู้จิ้งอวี่พูดพลางยิ้มกริ่ม 


 


 


หลินเช่อนึกกลัวว่าจะถูกจับได้ เธอจึงก้มหน้างุด พลางคิดอยู่ในใจด้วยความอายว่า ตอนนี้เธอเองก็ถือว่าเป็นสมาชิกของตระกูลกู้เข้าไปครึ่งหนึ่งแล้วละนะ… 


 


 


กู้จิ้งหมิงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาได้สามปีแล้ว คะแนนนิยมของเขานับว่าเป็นไปด้วยดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็จะมีกลุ่มคนคอยไปรวมตัวกันติดตามไปให้กำลังใจในทุกที่ 


 


 


หลินเช่อมองเห็นผู้คนพากันวิ่งออกไปเพื่อดูประธานาธิบดี เธอจึงได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้ และรีบหันไปถามกู้จิ้งอวี่อย่างร้อนใจ “แล้วนี่พี่อวี๋หายไปไหนเสียละคะ” 


 


 


“พี่อวี๋เหรอ ผู้จัดการของเธอใช่มั้ย ไม่รู้เหมือนกัน แต่จากที่ฉันเห็นเมื่อกี้ดูเหมือนว่าหล่อนจะเมานะ เห็นหล่อนเดินโงนๆ เงนๆ ออกไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย” กู้จิ้งอวี่เลิกคิ้วแล้วถามต่อ “อ้อ ถ้าหล่อนขึ้นไปข้างบนแล้วบังเอิญไปเจอประธานาธิบดีเข้าละก็ หล่อนได้หมดสนุกแน่ รับรอง” 


 


 


“…” หลินเช่อได้แต่เฝ้าพะวงอยู่ในใจ พี่อวี๋คงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกน่า 

 

 

 


ตอนที่ 54

 

มานี่แล้วนวดให้ฉันหน่อยสิ

 


หลินเช่อมองหน้ากู้จิ้งอวี่ “ท่านประธานาธิบดีเป็นคนยังไงคะ ดีหรือร้าย” 


 


 


ในเมื่อกู้จิ้งหมิงเป็นพี่ชายเขา หลินเช่อก็คิดว่าเขาน่าจะรู้สิ 


 


 


กู้จิ้งอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วตอบว่า “อืม เธอลองคิดดูสิ ถ้าเขาสามารถพาตัวเองขึ้นมาเป็นถึงประธานาธิบดีได้ละก็ เขาจะเป็นคนธรรมดาได้ยังไงล่ะ จริงมั้ย หัวใจของหมอนี่เย็นชาพอๆ กับหน้าตานั่นแหละ เขาเป็นหมาป่าจอมชั่วร้ายที่ทำทุกอย่างได้เพื่ออำนาจ!” 


 


 


“หา” หลินเช่อรู้สึกช็อกสนิท ก็ท่านประธานาธิบดีที่เธอเห็นในทีวีดูออกจะใจดี 


 


 


กู้จิ้งอวี่มองหน้าอีกฝ่ายแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น บางทีหลินเช่อก็ซื่อบื้อเอามากๆ 


 


 


“โอเค ฉันแกล้งหยอกเธอเล่นน่ะ อันที่จริงเขาก็เป็นคนปกติธรรมดานี่แหละ แต่ออกจะรักสันโดษมากหน่อย อืม เแล้วก็ยังเป็นคนแปลกๆ อยู่สักนิด ออกจะรับมือยากอยู่สักหน่อย เข้ากับคนก็ยาก แถมยัง…” 


 


 


“ฉันเห็นคนตระกูลกู้ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด…” นี่เขาไม่เหมือนกู้จิ้งเจ๋อหรอกเหรอ 


 


 


“เฮ้ เธอหมายความว่ายังไงที่บอกว่าพวกเราทุกคนน่ะ อย่างฉันนี่เข้ากับคนยากตรงไหนกัน” 


 


 


“อ้อ เปล่าค่ะ เปล่า…” หลินเช่อพูดผิดพูดถูกพลางหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน 


 


 


หลินเช่อพยายามโทรหาอวี๋หมินหมิ่นแต่ก็ไม่มีคนรับสาย เมื่อเธอลองโทรดูอีกครั้ง โทรศัพท์นั้นก็ปิดเครื่องไปเสียแล้ว 


 


 


หลินเช่อเริ่มนั่งไม่ติดที่ เธอไม่มีทางเลือกอื่น หญิงสาวลุกขึ้นและเดินไปดูก่อนจะได้รู้ว่าประตูทางเข้าถูกล็อกเรียบร้อยแล้ว หลินเช่อครุ่นคิดขณะเดินกลับมานั่งที่เดิมว่า อวี๋หมินหมิ่นเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หล่อนคงไม่หลงทางหรอกน่า 


 


 


เมื่อกลับถึงบ้าน เธอรีบกวาดสายตามองหากู้จิ้งเจ๋อ ถึงแม้ว่าระยะนี้เธอพยายามเลี่ยงที่จะไม่เจอหน้าเขา แต่ครั้งนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม 


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับท่านประธานาธิบดีเป็นยังไงคะ” หลินเช่อรีบถามทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันไปมอง “เราเป็นพี่น้องกัน เธอคิดว่ายังไงล่ะ” 


 


 


หลินเช่อรีบเล่าด้วยความร้อนใจ “ผู้จัดการของฉันหายตัวไปตั้งแต่มื้อกลางวัน หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ฉันอยากขอให้คุณช่วยตามหาให้หน่อยได้มั้ยคะ อาจจะลองถามท่านประธานาธิบดีดูว่าเธอเข้าไปที่นั่นบ้างหรือเปล่า เพราะการรักษาความปลอดภัยแน่นหนามากจนฉันหาทางเข้าไปในนั้นไม่ได้เลยค่ะ ฉันเกรงว่าเธออาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้ายจนอาจจะถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไปน่ะค่ะ” 


 


 


ปัญหาคือเรื่องนี้นี่เอง 


 


 


พักนี้เขามัวแต่ยุ่งกับงาน แต่การได้เห็นหน้าหลินเช่อก็ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่า เขาไม่ได้เจอหน้าเธอมาสองสามวันแล้ว 


 


 


ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขากลับถึงบ้าน เธอก็จะต้องยังไม่กลับหรือไม่ก็นอนค้างที่กองถ่าย พอวันต่อมาเธอก็จะรีบออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ พอมาคิดดูดีๆ แล้ว ดูเหมือนเธอจะงานยุ่งกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถาม “ช่วงนี้เธอดูยุ่งจังเลยนะ” 


 


 


หลินเช่อชะงัก หันไปมองสีหน้าเรียบเฉยและสายตาที่มองมาเหมือนจะรู้ดีของอีกฝ่าย เหมือนเขาจะจับพิรุธได้อย่างนั้นแหละ เธอไม่กล้าบอกหรอกว่าเธอจงใจหลบหน้าเขาน่ะ 


 


 


หลินเช่อทำทีเป็นถูซอกหู “อ้อ ใช่ค่ะ ช่วงนี้ฉันยุ่งๆ กับการถ่ายทำแล้วก็เตรียมงานโปรโมตน่ะ ทำไมเหรอคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อวางมือลงบนโต๊ะแล้วยันตัวลุกขึ้น จ้องหน้าหญิงสาวตรงๆ “นี่เธอกำลังขอความช่วยเหลือฉันอยู่ใช่มั้ย” 


 


 


หลินเช่อพยักหน้า “ใช่ค่ะ” 


 


 


“ถ้าฉันช่วยเธอ แล้วเธอจะตอบแทนฉันยังไงล่ะ” 


 


 


หลินเช่อพ่นลมพรืดแล้วตอบว่า “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงละคะ คุณจะซื้ออะไรก็ได้ทุกอย่างที่คุณต้องการอยู่แล้วนี่ ฉันไม่มีปัญญาหาอะไรให้คุณได้หรอกค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วพยักพเยิดเรียกเธอให้เข้ามาใกล้ๆ 


 


 


หลินเช่อก้มหน้ารับแล้วเดินก้าวเข้าไปหา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถาม “เธอนวดเป็นมั้ย” 


 


 


“หือ ไม่เป็นค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้ว “นี่เธอทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เป็นภรรยาภาษาอะไรกันเนี่ย” 


 


 


“ใครจะไปรู้ล่ะว่าการเป็นภรรยา ฉันจะต้องทำได้หลายอย่างขนาดนี้น่ะ…” หลินเช่อบ่นอุบอิบ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “แน่ละสิ ไม่งั้นจะมีภรรยาทำไมกันล่ะ” 


 


 


“ก็เอาไว้ช่วยคุณใช้เงินไงล่ะ คุณน่ะหาเงินได้มากเกินไปรู้มั้ย ถ้าคุณไม่ใช้เงินเลยแบบนี้แล้วเมื่อไหร่ถึงจะใช้หมดล่ะ” คนเป็นภรรยาตอบอย่างภาคภูมิ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าภรรยา “ฉันรู้ว่าเธอจะต้องตอบอะไรไร้สาระแบบนี้แน่ มานี่สิ มานวดไหล่ให้ฉันหน่อย แล้วลองขอร้องฉันดีๆ บางทีฉันอาจจะยอมช่วยเธอก็ได้” 


 


 


หลินเช่อหันไปมองสีหน้ายโสของชายหนุ่มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงชิงชังหนัก “คุณนี่มันนายทุนหน้าเลือดชัดๆ มาขูดรีดกดขี่เอากับคนจนๆ อย่างฉัน” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อว่า “แน่ละสิ! นี่ถือว่ายุติธรรมแล้วนะ เพราะฉันต้องโทรหากู้จิ้งหมิงที่เป็นถึงประธานาธิบดี เธอคิดว่าคนทั่วไปสามารถทำอะไรแบบนี้ได้งั้นเหรอ” 


 


 


เขาทำเสียงราวกับเป็นเรื่องใหญ่โตทีเดียว นี่พวกเขาเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือไงนะ 


 


 


หลินเช่อทำเสียงพ่นลมพรืดใหญ่ แต่เมื่อได้เห็นกู้จิ้งเจ๋อทำเอียงคอรอท่าที่จะรับบริการจากเธอ หญิงสาวก็ทำได้เพียงแค่บังคับตัวเองให้เดินอ้อมไปด้านหลังของเขา 


 


 


เธอวางมือลงบนไหล่เขา 


 


 


ช่วงไหล่ของกู้จิ้งเจ๋อนั้นทั้งกว้างทั้งใหญ่ เมื่อเลื่อนมือไปบนเนื้อผ้า เธอก็สัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อข้างใต้นั้นและใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกดเฟ้นลงไป 


 


 


โดยไม่ทันระวังตัว กู้จิ้งเจ๋อกลับถอดเสื้อเชิ้ตออกเสียอย่างนั้น เผยให้เห็นร่างกายที่ได้สัดส่วนอันสมบูรณ์ ช่วงลำตัวที่เป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวนั่นทำเอาคนมองเลือดกำเดาแทบไหลได้เลยทีเดียว 


 


 


หัวใจของหลินเช่อเริ่มเต้นผะผ่าว แม้ตาจะจับจ้องอยู่ที่ด้านหลังของศีรษะ แต่ว่าความคิดเธอกลับเลื่อนลอยไปไกล 


 


 


เธอนึกสงสัยว่าเขาใช้แชมพูอะไร เส้นผมถึงทั้งดำทั้งหนา สะอาดและกลิ่นหอมขนาดนี้ 


 


 


พูดตามตรงเถอะ ผู้ชายคนนี้ดูดีไม่ว่าจะมองจากมุมไหนจริงๆ 


 


 


แม้แต่หลังศีรษะแบบนี้ยังดูดีเลย 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดขึ้น “เอ้านวดต่อสิ หยุดทำไมล่ะ” 


 


 


หลินเช่อหลุดจากภวังค์ นี่แค่เห็นด้านหลังของหัวเขาก็ทำเอาเธอเป็นไปได้ขนาดนี้เชียวเหรอ 


 


 


หญิงสาวรีบนวดต่อและพูดว่า “ไหล่คุณตึงจัง ช่วงนี้งานเยอะเหรอคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ก็ใช่น่ะสิ ในฐานะสามี ฉันต้องแบกรับภาระของทุกคนในครอบครัวเอาไว้นะ จะไม่ให้หลังขดหลังแข็งขนาดนี้ได้ยังไงล่ะ” 


 


 


หลินเช่อหัวเราะออกมาเสียงดัง 


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อได้ยินเธอหัวเราะ เขาก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย 


 


 


มือเล็กๆ ของเธอแทบไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ เมื่อเจ้าตัวพยายามกดลงไป เขาก็รู้สึกได้แหละว่าเธอพยายามอย่างสุดแรงแล้ว ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยให้เขาได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับทำให้เขายิ่งรู้สึกแข็งตึงยิ่งกว่าเดิม 


 


 


เพราะมือเล็กๆ ไร้เรี่ยวแรงนั่นแหละ ทำให้เขารู้สึกแบบนี้ 


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากให้เธอหยุด แรงบีบเฟ้นเบาๆ แบบนี้ทำให้คนถูกนวดยิ้มออกมาและบอกว่า “เอาละ ในเมื่อเธอมีความจริงใจ ไหนส่งโทรศัพท์ฉันมาซิ” 


 


 


เมื่อเห็นกู้จิ้งเจ๋อยอมแล้ว หลินเช่อก็รีบส่งโทรศัพท์ให้โดยเร็ว 


 


 


เขาต่อสายแต่ไม่ติด 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบ่นพึมพำ “คงจะยุ่งอยู่” 


 


 


หน้าเล็กๆ ของหลินเช่อมีแววสลด 


 


 


เมื่อได้เห็นสีหน้าเป็นกังวลของเธอ เขาก็ไม่อยากทำให้เธอไม่สบายใจ “เดี๋ยวฉันลองโทรหาเลขาเขาก็แล้วกัน” 


 


 


“อา จริงเหรอคะ คุณใจดีจังค่ะ กู้จิ้งเจ๋อ” คนได้ยินหน้าบานขึ้นมาทันควัน 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้ม เขาหยิบโทรศัพท์แล้วลองต่อสายใหม่อีกครั้ง 


 


 


คราวนี้ติดแล้ว 


 


 


“ฉันโทรหาท่านประธานาธิบดีไม่ติดน่ะ เขายุ่งอยู่เหรอ” 


 


 


ใครบางคนจากปลายสายตอบกลับมาเบาๆ ว่า “คุณชายรอง ท่านประธานาธิบดีเข้านอนแล้วครับ” 


 


 


“นอนแล้วเหรอ” 


 


 


“ใช่ครับ” 


 


 


“อ้อ โอเค งั้นช่วยเช็กให้หน่อยสิว่าวันนี้พวกนายมีใครจับตัวผู้หญิงเมาได้บ้างมั้ย” 


 


 


“ไม่มีนะครับ คุณชายรอง” 


 


 


“งั้นก็ดี ฝากความคิดถึงให้ท่านประธานาธิบดีด้วยนะ” 


 


 


“ครับคุณชายรอง ผมจะรีบแจ้งให้ท่านทราบเป็นเรื่องแรกพรุ่งนี้เลย มีอะไรให้ช่วยอีกมั้ยครับท่าน” 


 


 


“แค่นี้แหละ” 


 


 


เขาวางโทรศัพท์และหันมาหาหลินเช่อผู้ซึ่งกำลังจดจ่อรอฟัง และบอกว่า “พวกเขาไม่ได้จับตัวใครไว้เลยนะวันนี้ สบายใจเถอะ ผู้จัดการของเธอคงจะกลับบ้านไปแล้วละ” 


 


 


หลินเช่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ฉันละกลัวแทบแย่แน่ะค่ะ คิดว่าฉันคงจบเห่แน่ถ้าเธอไปทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินท่านประธานาธิบดีเข้าน่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหัวเราะ “นี่เธอกลายเป็นยัยขี้กลัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทีกับฉันเห็นกล้าไปหมด แต่กลับมากลัวประธานาธิบดีเนี่ยนะ” 

 

 

 


ตอนที่ 55

 

 เขากัดริมฝีปากของเธอ

 


หลินเช่อรีบแย้งทันควัน “ฉันกล้าไปทำอะไรคุณตอนไหนกันคะ” 


 


 


“เธอวางยาฉัน…เธอไม่คิดว่าตัวเองโชคดีบ้างเหรอที่ยังได้ยืนอยู่ต่อหน้าฉันแบบนี้น่ะ” กู้จิ้งเจ๋อเลิกคิ้วถาม 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนึกตกใจที่ตัวเองยังคงพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เลิก 


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าเขาหมายความว่าอะไร ใบหน้าเธอแดงซ่าน “ฉัน… เราก็ไม่รู้กันหรอกค่ะว่าใครกันแน่ที่เป็นคนโชคร้ายน่ะ! ฉันก็อยู่ของฉันดีๆ ก่อนที่จะต้องมาสูญเสียอิสรภาพแล้วก็กลายเป็นภรรยาในทะเบียนสมรสของใครก็ไม่รู้แบบนี้ แถมฉันยังต้องเผชิญหน้ากับคุณแล้วก็ทนอารมณ์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของคุณอยู่ทุกวันอีกต่างหากนะ!” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหน้าถอดสี 


 


 


เธอยังคงรู้สึกผิด 


 


 


จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเข้ามา ชายหนุ่มก้มลงมองใบหน้าเล็กๆ ของเธอ เอื้อมมือออกมาเชยคางเรียวเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไหนลองพูดอีกทีซิ” 


 


 


ลมหายใจของเขามีกลิ่นโคโลญจน์กรุ่นปะปนยามที่ก้มลงมาใกล้ หลินเช่อนึกกลัว รู้สึกได้ถึงมืออุ่นของเขา เธอหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ปราศจากความรู้สึกไม่อาจอ่านออกได้ว่าคิดอะไรอยู่ หลินเช่อตัวแข็ง ริมฝีปากของเขาอยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง ถ้าเธอขยับตัวอีกเพียงนิดเดียวก็จะสัมผัสโดนมันอย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


หลินเช่อรีบหันหน้าหนี “ถอยออกไปสิ คุณเข้ามาใกล้ไปแล้ว นี่ มันร้อนนะ” 


 


 


หน้าเธอร้อนผ่าวไปหมดและไม่อาจทนยืนอยู่แบบนี้ได้อีกต่อไป หญิงสาวยกเท้าขึ้นแล้วกระแทกลงบนฝ่าเท้าอีกฝ่าย จากนั้นก็หลบออกมาด้านข้างและออกวิ่งลิ่วโดยไม่หันกลับมามอง 


 


 


“โอ๊ย…” กู้จิ้งเจ๋อสะดุ้งด้วยความเจ็บปวด 


 


 


ยัยหลินเช่อนี่… กระทืบลงมาเสียเต็มแรงเลยเชียว 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วมองตามหลัง “ทำดีนี่ หลินเช่อ พอใช้ประโยชน์ฉันเสร็จแล้วก็เขี่ยทิ้งเลยนะ” 


 


 


หลินเช่อทำเป็นหูทวนลม เธอวิ่งเข้าห้องแล้วปิดประตูดังโครม 


 


 


เธอสูดลมหายใจเข้าลึกและยกมือขึ้นลูบอก 


 


 


อีตาหัวหน้าแก๊งผีทะเลนั่นมากระตุ้นอารมณ์เธออีกแล้ว 


 


 


ใจคอเธอยังไม่ทันสงบดีก็ได้ยินเสียงกู้จิ้งเจ๋อตะโกนแว่วๆ จากข้างนอก 


 


 


งานเขายังไม่เสร็จก็จริง แต่ลองได้หาเรื่องกับหลินเช่อแล้ว เขาก็สงบอารมณ์ลงไม่ได้เช่นกัน ชายหนุ่มเดินดุ่มๆ ตามมาถึงหน้าห้องนอน 


 


 


แต่คนอยู่ในห้องไม่ยอมให้เข้าง่ายๆ เธอเอนตัวพิงประตูไว้แล้วรีบกดล็อกก่อนจะร้องบอกว่า “คุณไปนอนห้องอื่นก็ได้นี่คะ” 


 


 


พอได้ยินอีกฝ่ายบอกอย่างนั้น กู้จิ้งเจ๋อก็ตอบเสียงอ่อยว่า “ทำไมฉันจะต้องไปนอนห้องอื่นด้วยล่ะ” 


 


 


“อย่างกับคุณไม่เคยนอนมาก่อนงั้นแหละ คืนนี้ฉันเหนื่อยมาก ฉันไม่อยากให้คุณมากวนนี่นา” 


 


 


อันที่จริงเธอเริ่มจะชินกับการนอนคนเดียวแล้ว 


 


 


ชายหนุ่มตอบ “นี่มันห้องนอนฉันนะ ฉันนอนที่นี่ได้ถ้าฉันอยากจะนอน เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลย” 


 


 


“ไม่ ฉันเพิ่งทำให้คุณโกรธอยู่เมื่อกี้ ใครจะรู้ว่าคุณจะทำอะไรฉันหรือเปล่า” หลินเช่อพยายามหาข้ออ้างที่จะไม่ยอมให้เขาเข้ามา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อโมโหปึงปัง “ตอนนี้เธอยิ่งทำให้ฉันโกรธหนักกว่าเดิมอีกนะ” 


 


 


“ก็ในเมื่อคุณโกรธแล้ว จะโกรธเพิ่มอีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไรนี่คะ” 


 


 


“ก็ได้ หลินเช่อ เธอไม่กลัวว่าฉันจะแก้แค้นสินะ ฉันจะไม่ยอมให้ซีรีส์ของเธอได้ออกอากาศ แล้วบริษัทของเธอก็จะไล่เธอออกเงียบๆ …” 


 


 


“อะไรนะ” หลินเช่อแตกตื่น “กู้จิ้งเจ๋อ คุณนี่มันไร้เหตุผลสิ้นดีเลย เราสัญญากันแล้วนี่ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของอีกฝ่ายหลังแต่งงานกันน่ะ” 


 


 


“เรื่องไร้เหตุผลกว่านี้ฉันก็ทำมาแล้ว อย่าลืมสิว่าฉันมันนายทุนหน้าเลือด” กู้จิ้งเจ๋อทำเสียงเยาะๆ 


 


 


หลินเช่อครุ่นคิดแล้วค่อยๆ แง้มประตูให้เปิดออก 


 


 


เธอไม่ทันคิดเลยว่ากู้จิ้งเจ๋อจะใช้ฝ่ามือใหญ่หนาของเขาผลักประตูผัวะเข้ามาทันที หลินเช่อเซถอยหลังไปสองสามก้าว ด้วยความตกใจ กู้จิ้งเจ๋อเอื้อมแขนออกมาคว้าเอวเธอ ช่วยรั้งเธอไว้ไม่ให้ล้มลงกองกับพื้น 


 


 


หลินเช่อร้องด้วยความตกใจ ก่อนจะพบว่าใบหน้าของตัวเองเกือบจะชนเข้ากับของชายหนุ่ม เธอรู้สึกเหมือนว่าใบหน้าตัวเองกำลังถูกเผาด้วยความร้อนเมื่อมองไปยังริมฝีปากสวยได้รูปของอีกฝ่าย เสียงของเธอแหบพร่าและไม่อาจเอ่ยคำพูดใดออกมาได้แม้แต่คำเดียว 


 


 


เธอรีบผลักเขาออกห่างด้วยความตกใจ กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วและคว้าข้อมือเธอไว้ 


 


 


เขาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาแม้ว่าเธอจะพยายามอย่างหนักที่จะไม่มองตอบ เขารั้งร่างเธอให้เงยขึ้นด้วยความโมโหและถามว่า “หลินเช่อ เธอเป็นอะไรไปน่ะ ทำไมฉันรู้สึกว่าพักนี้เธอพยายามจะหลบหน้าฉัน” 


 


 


หญิงสาวนิ่งอึ้งไป 


 


 


นี่เขารู้ด้วยเหรอ 


 


 


“ฉัน…ฉันไม่ได้หลบหน้าคุณสักหน่อย” เธอพยายามดิ้นรนออกจากการเกาะกุม 


 


 


มือของกู้จิ้งเจ๋อยิ่งกระชับแน่นเข้า “ไม่ได้หลบเหรอ งั้นทำไมถึงไม่มองหน้าฉัน แถมยังไล่ฉันไปนอนที่อื่นอีกต่างหาก” 


 


 


หลินเช่อหันขวับมา “เปล่านะ คุณนั่นแหละคิดมากไปเอง” 


 


 


เขารั้งเธอให้หันมาหา นิ้วยาวของเขาจับแก้มและบังคับหน้าเธอให้มองตรงมาที่เขา 


 


 


“งั้นก็มองตาฉัน แล้วพูดใหม่อีกทีสิว่าเธอไม่ได้หลบหน้าฉัน” 


 


 


หลินเช่อเงยหน้าขึ้น มองลึกเข้าไปในดวงตาอันลึกล้ำคู่นั้น ปากของเธอขยับแต่ไม่มีคำใดหลุดออกมา 


 


 


เพราะความจริงก็คือเธอพยายามจะหลบหน้าเขามาโดยตลอด เพราะทุกครั้งที่เธอเห็นเขา เธอรู้สึกเหมือนเนื้อตัวมันร้อนผ่าวไปหมดน่ะสิ 


 


 


หญิงสาวรีบพูด “ฉันไม่ได้หลบหน้าคุณจริงๆ ค่ะ ปล่อยฉันเถอะ” เธอปลดข้อมือตัวเองออกจากการเกาะกุม 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ่งหัวเสียหนัก เมื่อเขาเห็นหลินเช่อหมุนตัวหนี ชายหนุ่มก็ยิ่งตามติดและถามว่า “เธอเป็นอะไรไปน่ะ หลินเช่อ” 


 


 


“คุณหมายความว่ายังไงคะ ฉันเป็นอะไร ไม่มีอะไรสักหน่อย แค่ช่วงนี้ฉันงานยุ่งก็เท่านั้น” 


 


 


“งั้นทำไมถึงไม่ยอมคุยกับฉันล่ะ” เขาไม่ยอมเชื่อง่ายๆ 


 


 


“เพราะว่าฉัน…รู้สึกอึดอัดที่ต้องนอนร่วมห้องกับคุณน่ะสิคะ อีกอย่าง การแต่งงานของเราก็เป็นแค่ละครตบตา ถ้าจะมีใครถาม เราก็แค่บอกว่าช่วงเวลาสวีตหวานมันหมดลงแล้ว และเราสองคนก็งานยุ่งมาก บางครั้งเราก็เลยนอนแยกห้องกัน ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติสักหน่อยนี่คะ” 


 


 


“หลินเช่อ…” กู้จิ้งเจ๋อเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา “นี่เธอหลบหน้าฉันเพราะเธอไปตกหลุมรักคนอื่นหรือเปล่า” 


 


 


ชายหนุ่มไม่เข้าใจท่าทีของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปเลย 


 


 


หลินเช่อตัวแข็ง 


 


 


เธอไม่ได้คิดถึงอะไรไกลตัวพรรค์นั้นเลยด้วยซ้ำ 


 


 


แต่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเอง หลินเช่อก็เลยรับลูกตามน้ำเสียเลย “มันไม่ใช่ว่าฉันไปชอบคนอื่นหรอกค่ะ แต่ฉันอีกหน่อยไม่ช้าก็เร็วฉันก็ต้องมีแฟน ฉันอาจจะต้องสงวนเนื้อตัวเอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อจะได้ไม่สูญเสียวัยสาวดีๆ ไปน่ะค่ะ” 


 


 


เธอคิด ก็เวลานี้นี่แหละที่เธอควรจะมีแฟนเสียที ตั้งแต่โตมา เธอไม่เคยชอบหรือใกล้ชิดผู้ชายคนไหนนอกจากฉินชิงเลย 


 


 


แต่เมื่อมองดูกู้จิ้งเจ๋อ เธอกลับรู้สึกซาบซ่านไปทั้งตัว 


 


 


ที่เธอกลายเป็นคนคลั่งผู้ชายแบบนี้คงเป็นเพราะฮอร์โมนทั้งหลายสินะ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งเมื่อมองดูริมฝีปากที่กำลังขยับขึ้นลงของหลินเช่อ อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเร้าอารมณ์ขึ้นมา 


 


 


ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว 


 


 


มือข้างหนึ่งของเขาจับไหล่เธอไว้ ส่วนมืออีกข้างรองไว้ที่ด้านหลังศีรษะของเธอ แล้วเขาก็ก้มลงไป ขบริมฝีปากแดงก่ำนั่น 


 


 


ลิ้นเขากวาดไปบนริมฝีปากคู่นั้นและสอดแทรกเข้าไปในปากเธอชนิดที่แทบไม่ทันรู้สึกตัว 


 


 


หลินเช่อตกตะลึง เธอรู้สึกได้ถึงปลายลิ้นเย็นลื่นที่รุกรานเข้ามา จนเธอตัวแข็งขยับไม่ได้ไปชั่วขณะ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อดูดดื่มเอาจิตและวิญญาณของเธอไปเมื่อเขาดูดกลืนลิ้นเธอ ดึงมันเข้ามาอยู่ในปากเขา แล้วริมฝีปากทั้งสองก็ประกบเข้าหากัน 

 

 

 


ตอนที่ 56

 

ฉันไม่ต้องการให้เธอมีแฟน

 


หลินเช่อพยายามจะหลบเลี่ยง แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงมือของเขาข้างหนึ่งที่ผลักเธอออกไปจนติดกำแพง ร่างเธอแนบติดกับผนังห้องเย็นเฉียบ ร่างแข็งแรงของกู้จิ้งเจ๋อเบียดพิงอยู่กับร่างเธอ มือข้างหนึ่งของเขากำลังสอดลอดเข้ามาใต้เสื้อผ้า


 


 


เมื่อเนื้อต้องเนื้อ หลินเช่อก็รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวของฝ่ามือใหญ่


 


 


ร่างของเธอเริ่มสั่นระริก รู้สึกถึงปลายนิ้วกร้านที่ปาดไล้ไปบนผิวของเธอ ทิ้งไว้เพียงความไหวระริ้วระคนหวาดหวั่นจากสัมผัสนั้น


 


 


ชายกระโปรงชุดของเธอถูกเลิกขึ้นมาสูงกว่าครึ่งทางแล้ว มือเขาเลื่อนไหลคลำคลึงไปตามส่วนเว้าโค้งของเรือนร่าง แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น


 


 


ชายหนุ่มสบถเบาๆ กับเสียงขัดจังหวะอันน่าโมโหนี้


 


 


รสชาติของเธอยังติดอยู่บนริมฝีปากเขา ชายหนุ่มเลียริมฝีปากด้วยความรู้สึกละห้อยโหยหา ไม่มีความชิงชังรังเกียจใดเลย กลับกลายเป็นความต้องการปรารถนาอันท่วมท้นเสียอย่างนั้น


 


 


สายตาของหลินเช่อพร่ามัว พวงแก้มสองข้างแดงก่ำ


 


 


เขาปล่อยมือจากเธอ มือเขายังร้อนผ่าวและชุ่มด้วยเหงื่อ หลังจากเหลือบมองหลินเช่อ เขาก็หันไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโดยเร็ว


 


 


เป็นสายจากเลขาของกู้จิ้งหมิงนั่นเอง


 


 


“มีอะไร”


 


 


[คุณชายรองครับ เราเพิ่งได้รับแจ้งว่าเมื่อคืนนี้มีผู้หญิงบุกรุกเข้ามาจริงๆ คุณชายรู้จักเธอหรือเปล่าครับ]


 


 


“รู้จัก หล่อนชื่ออวี๋หมินหมิ่น”


 


 


[ใช่เธอเลย คุณชายรอง ไม่ต้องกังวลนะครับ เธอถูกส่งตัวกลับไปแล้วตามคำสั่งของท่านประธานาธิบดี ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยดีแล้วละครับ]


 


 


“ดีแล้ว ขอบใจมาก”


 


 


[ไม่จำเป็นต้องมากพิธีกับผมหรอกครับคุณชายรอง ท่านประธานาธิบดีฝากความระลึกมาถึงคุณชายกับคุณผู้หญิงด้วยนะครับ ท่านจะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลกู้ในอีกสองสามวัน ท่านหวังว่าจะมีโอกาสได้พบกับคุณผู้หญิงด้วย]


 


 


“อย่างงั้นเหรอ ตกลง เขาจะได้พบเธอแน่ๆ” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลินเช่อที่ยังคงยืนเสื้อผ้าหลุดลุ่ยอยู่ที่เดิม


 


 


เขาวางสายโทรศัพท์แล้วหันไปหาหลินเช่อ [ผู้จัดการของเธอปลอดภัยดี]


 


 


เธอมองหน้าเขา


 


 


บนใบหน้าของชายหนุ่มมิได้เหลือร่องรอยความรู้สึกใดๆ ของเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายังคงพูดกับเธอและมองหน้าเธอด้วยสายตาใสสว่างเป็นปกติ


 


 


แต่เธอกลับจดจำอารมณ์รัญจวนที่เขาทิ้งเอาไว้บนผิวกายเธอก่อนหน้านี้ได้อย่างชัดเจน


 


 


โทสะของหญิงสาวปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอไม่อยากจะสนใจอะไรอีกแล้วและฆ่าเขาซะให้ตายคามือ


 


 


เธอกระทืบเท้าปึงปังและตะโกนใส่หน้าเขาว่า “ออกไปให้พ้นเลยนะ คนขี้โกง!”


 


 


“…”


 


 


ก่อนที่กู้จิ้งเจ๋อจะทันรู้ตัว หลินเช่อก็พุ่งพรวดเข้ามาถึง กำปั้นน้อยๆ ของเธอระดมทุบลงบนร่างเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจ็บอะไรนัก แต่ก็น่าหงุดหงิดทีเดียว


 


 


ชายหนุ่มได้แต่ถอยหนีพลางมองดูอีกฝ่ายที่กำลังบ้าระห่ำไม่วางตา แม้ว่าเขาจะจัดการหยุดร่างผอมบางตรงหน้าลงได้ไม่ยากเย็น แต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น


 


 


แต่กลับยอมถูกผลักจนกลับออกมาอยู่นอกห้องในที่สุด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดขึ้น “หลินเช่อ นี่เธอทำอะไรน่ะ” เขาคว้าข้อมือเธอไว้ แก้มของเธอแดงซ่านร้อนผ่าวไปหมด


 


 


เธอจ้องหน้าเขาด้วยดวงตาเขียวปั้ดขุ่นเคือง “คนขี้โกง ออกไปเลยนะ!”


 


 


“ขี้โกงงั้นเหรอ” เขานิ่วหน้า “เธอเป็นภรรยาฉัน เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ฉันทำก็เป็นเรื่องถูกกฎหมาย ไม่ใช่หรือไง”


 


 


“…” หลินเช่อถึงกับพูดไม่ออก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังพูดต่อไปอีก “แล้วนี่เธอจะหาแฟนใหม่ยังไงล่ะ โกหกเขาไปว่ายังไม่แต่งงานงั้นเหรอ”


 


 


“ฉัน…” หลินเช่อก็แค่คิดเท่านั้น เธอยังไม่ได้ทำจริงๆ สักหน่อย แต่จะให้บอกออกไปตอนนี้ได้ยังไงล่ะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจ้องหน้าเธอด้วยดวงตาดำสนิทล้ำลึก และพูดด้วยเสียงเข้มข้นว่า “ฉันไม่อนุญาตให้เธอมีแฟนตอนนี้”


 


 


หัวใจหลินเช่อกระตุก


 


 


เขาพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูเธอ สีหน้าเคร่งขรึมของเขาดูจะยิ่งบึ้งตึงขึ้นไปอีกเมื่อพูดต่อไปว่า “เพราะฉะนั้นขอให้เธอล้มเลิกความคิดนี้เสียจะเป็นการดีกว่า”


 


 


หลินเช่อทำท่าจะพูด แต่กู้จิ้งเจ๋อเข้ามาประชิดตัวอย่างรวดเร็ว “แต่ถ้าเธออยากจะลองดูให้ได้ ฉันก็ขอแนะนำว่าอย่าพยายามยั่วโมโหฉันอีกจะดีกว่า”


 


 


แนวกรามของใบหน้านั้นเกร็งแน่น เมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้ เธอรู้สึกได้ถึงความคุกคามที่เกิดขึ้นในทันที ทำเอาหัวใจของหลินเช่อเต้นระรัวแรงอยู่ในอก


 


 


เธอกวาดตามองไปทั่วทุกทิศ ก่อนจะตัดสินใจผลักเขาสุดแรงเกิด


 


 


“อย่าคิดว่าจะเข้ามาทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้แบบนี้ได้อีกนะ เชอะ”


 


 


เมื่อพูดจบ เธอก็ปิดประตูดังโครม


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถูกขังเอาไว้นอกห้องอีกครั้ง เขามองประตูห้องนอนที่ปิดสนิทแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก


 


 


ถูกภรรยาปิดประตูทิ้งไว้นอกห้องนอนเนี่ยนะ


 


 


“หลินเช่อ… เธอรอก่อนเถอะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคำรามงึมงำกับประตูห้อง


 


 


เมื่อเขาเห็นสาวใช้เดินผ่านมา ชายหนุ่มก็แกล้งทำหน้าตาย ก่อนจะเดินไปยังห้องนอนแขก คิดใจในว่าทนนอนที่นี่สักคืนก็คงได้ละมั้ง


 


 


หลินเช่อนอนอยู่บนเตียง ยังคงรู้สึกถึงความผ่าวร้อนบนผิวหน้า เธอพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาไม่อาจข่มตาหลับได้ลง


 


 


ในขณะเดียวกัน ที่ห้องนอนอีกห้อง ถึงแม้กู้จิ้งเจ๋อจะต้องทนลำบากนอนโซฟามานาน และตอนนี้เขาก็ได้มีโอกาสนอนบนเตียงนอนใหญ่แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอย่างที่คิด


 


 


หลินเช่อที่อยู่ในห้องนอนนั้น จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ล่องลอยอยู่ในอากาศ มันเหมือนเป็นกลิ่นที่อวลออกมาจากตัวเธอ เหมือนกลิ่นอายตัวของผู้หญิง


 


 


แต่ในห้องนี้กลับมีเพียงกลิ่นสะอาดสะอ้านของผ้าห่มเท่านั้น ถึงแม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้แย่ แต่มันก็ยังคงทำให้เขาอึดอัดอยู่ดีนั่นเอง


 


 


ชายหนุ่มผงกหัวขึ้น สัญชาตญาณของเขาอยากจะลุกไปแอบดูยัยคนที่มีท่านอนแย่ที่สุดดูสักหน่อย แต่ก็ได้เห็นแค่เพียงผนังห้องเท่านั้น เขาไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแบบนี้เลย เขานอนอยู่แบบนั้นเนิ่นนานแค่ไหนก็ไม่รู้ได้จนกระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด


 


 


วันต่อมา


 


 


การถ่ายทำซีรีส์สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อย หลินเช่อต้องไปที่บริษัทเพื่อประชุมนัดหมายแผนงานต่างๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคต


 


 


เธอมาถึงบริษัทก่อนเวลาด้วยความสุขสดชื่น เมื่อได้เห็นสีหน้าเซื่องซึมของอวี๋หมินหมิ่น หญิงสาวก็รีบเดินเข้าไปทักทาย “พี่อวี๋คะ เมื่อวานพี่เป็นยังไงบ้างน่ะ อยู่ๆ ก็หายตัวไปกลางคันแบบนั้น”


 


 


สีหน้าของอวี๋หมินหมิ่นมีแววของความละอายวูบขึ้นมา เธอเงยหน้าแล้วตอบว่า “เมื่อวานฉันดื่มหนักไปหน่อยน่ะ”


 


 


หลินเช่อถามต่อ “ฉันให้คนไปถามหาพี่ พวกเขาบอกว่าพี่บุกเข้าไปในเขตหวงห้ามของท่านประธานาธิบดี แล้วทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ยคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นรวบผมพลางตอบ “ตอนที่ฉันไปถึงที่นั่น ท่านประธานาธิบดียังมาไม่ถึงนะ ฉันก็เลยไม่รู้ว่าเขากันพื้นที่นั้นไว้ไม่ให้เข้าในตอนหลัง โชคดีที่ไม่เกิดเหตุอะไรขึ้น แล้วพวกเขาก็ส่งฉันกลับบ้าน”


 


 


“แค่นั้นเหรอคะ ดีแล้วละค่ะ ดูเหมือนท่านประธานาธิบดีจะเป็นคนดีทีเดียวนะคะ” หลินเช่อว่า


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยักไหล่โดยไม่แสดงความเห็นแต่อย่างใด ท่าทางเธอยังดูอิดโรยอยู่มาก


 


 


หลินเช่อพูด “หลังจากนี้คงจะเป็นเรื่องงานโปรโมตสินะคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ “ใช่ พวกเขาพยายามจะออกฉายให้ได้ในช่วงวันหยุดกลางฤดูร้อนน่ะ ถึงแม้ว่างานถ่ายทำจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ไอ้ที่วุ่นวายจริงๆ คือหลังจากนี้ต่างหาก เธอต้องเตรียมตัวไว้ให้ดีนะ บริษัทอาจจะจัดให้เธอไปฝึกฝนทักษะการพูดแล้วก็เพิ่มพูนประสบการณ์ไว้สักหน่อย เผื่อว่าเธอจะต้องให้สัมภาษณ์นักข่าว ถ้าเธอได้ออกข่าวโปรโมตคู่กับกู้จิ้งอวี่ละก็ ถึงตอนนั้นพวกนักข่าวจะต้องให้ความสนใจแล้วก็ซักถามกันมากแน่ๆ เธอจะโพล่งออกไปโดยไม่คิดหรือพูดอะไรผิดๆ ไม่ได้หรอกนะ”


 


 


หลินเช่อแปลกใจ “ฉันต้องให้สัมภาษณ์ด้วยเหรอคะ”


 


 


หญิงสาวคิด เธอเป็นเพียงนักแสดงเล็กๆ และไม่เคยให้สัมภาษณ์นักข่าวเป็นเรื่องเป็นราวมาก่อน


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ “แน่ละสิ เธอเป็นตัวละครหลักของเรื่องนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ดารานำก็เถอะ แต่เธอก็ได้ปรากฏตัวอยู่หลายฉากทีเดียว อีกอย่าง ข่าวของเธอกับกู้จิ้งอวี่จะต้องกลายเป็นพาดหัวข่าวแน่นอนอยู่แล้ว”


 


 


หลินเช่อรู้สึกกระอักกระอ่วน เธอได้ตกเป็นข่าวพาดหัวทั้งที่ยังไม่มีผลงานออกมาด้วยซ้ำ หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเธอควรจะดีใจหรือเสียใจกับเรื่องนี้ดี

 

 

 


ตอนที่ 57

 

 แม่สาวนี่น่ารักดีนะ

 


ในไม่ช้างานโปรโมตแรกก็มาถึง


 


 


กู้จิ้งอวี่มาร่วมงานพร้อมกับหลินเช่อ ภายในงาน หลินเช่อมองเห็นหลินลี่ที่มาร่วมโปรโมตซีรีส์ด้วยแต่ไกล หล่อนสาวเท้ายาวเดินตรงเข้ามาหาเธอและกู้จิ้งอวี่ บรรดาผู้ช่วยและเจ้าหน้าที่ส่วนตัวชักแถวตามหลังมาเป็นพรวนทำให้หลินลี่ดูโดดเด่นเป็นสง่าอย่างมาก


 


 


หลินเช่อกำลังนั่งอยู่ในห้องแต่งตัวรวม เมื่อเธอเห็นหลินลี่ หญิงสาวก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “แล้วนั่นเขาไม่มาแต่งหน้าเหรอ จะออกไปไหนล่ะนั่น”


 


 


ช่างแต่งหน้ามองหลินลี่ที่เดินผ่านไปอย่างไม่แยแสแล้วยิ้มก่อนจะตอบว่า “เขาจะไปที่ห้องแต่งตัวส่วนตัวน่ะสิ เขามีช่างภาพมือหนึ่งมาแต่งหน้าให้ เขาจะมาใช้ห้องนี้กับเราทำไมล่ะจ๊ะ”


 


 


“โอ้…” หลินเช่อเข้าใจในที่สุด หลินลี่เป็นดาราดังนี่นะ แน่ละว่าหล่อนแตกต่างจากพวกเธอที่เป็นเพียงนักแสดงหน้าใหม่ที่ยังไม่มีใครรู้จัก


 


 


ทางด้านหลัง นักแสดงโนเนมอีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ว่า “หล่อนก็ไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นหรอก ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำตัวยิ่งใหญ่เปล่งรัศมีเทียบชั้นมู่เฝ่ยหรานแบบนี้ก็ไม่รู้”


 


 


ช่างแต่งหน้าที่กำลังลงคอนทัวร์หน้าให้หลินเช่ออธิบายต่อ “ถึงยังไงหลินลี่ก็ไม่ใช่ดาราธรรมดา พื้นเพครอบครัวเขาร่ำรวยใช่ย่อย แถมยังเป็นว่าที่คุณนายของตระกูลฉินอีกต่างหาก มีเงินขนาดนี้ก็ไม่แปลกหรอกที่จะไปไหนมาไหนแบบไม่ธรรมดาน่ะ”


 


 


หลินเช่อคิดว่าตลกดีทีเดียว เธอและหลินลี่ต่างก็เป็นสมาชิกของตระกูลหลินเหมือนกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กลับไม่มีใครรู้เรื่องนี้


 


 


เพราะตระกูลหลินยังคงพยายามเลี่ยงที่จะเปิดเผยสถานะของหลินเช่อที่เป็นเพียงลูกสาวนอกสมรส เธอเป็นเพียงคนไม่สำคัญในบ้านหลังนั้น ออกจะเป็นที่ชิงชังรังเกียจเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเธอก็เข้าใจดีว่าทำไมถึงไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน


 


 


โชคดีที่หลินเช่อเองก็ไม่ได้แคร์อะไรกับเรื่องนี้เหมือนกัน


 


 


และเธอก็คิดว่ามันคงจะฟังดูเหมือนเรื่องหลอกลวง ถ้าเธอและหลินลี่มาร่วมกันโปรโมตซีรีส์เรื่องนี้ในฐานะพี่สาวและน้องสาว


 


 


เมื่อแต่งหน้าเสร็จแล้วก็รู้สึกสบายอารมณ์ เธอจึงหันไปเปิดดูในเวยป๋อ


 


 


ภาพสำหรับโปรโมตซีรีส์ชุดแรกถูกปล่อยออกไปแล้ว โปสเตอร์ของตัวละครทุกตัวถูกถ่ายออกมาอย่างสวยงาม และนำไปอัปโหลดไว้ในช่องทางข่าวสารต่างๆ รวมถึงหน้าเพจเวยป๋อเพื่อโฆษณา


 


 


หลินเช่อเห็นคอมเมนต์ใต้ภาพ บางคอมเมนต์ก็ไม่มีอคติ พวกเขาเห็นโปสเตอร์ของหลินเช่อแล้วก็คิดว่าเธอสวยดี แต่ก็มีบางคนที่ติดจะมุ่งร้ายและคอมเมนต์เอาไว้ว่า [หล่อนขี้เหร่เป็นบ้าเลย] หรือไม่ก็พูดในทำนองว่า [หล่อนไม่เหมาะกับตัวละครตัวนี้เลยสักนิด] [จมูกนั่นทำมาชัดๆ] [หล่อนไปกรีดตาที่โรงพยาบาลไหนนะ ทำไมถึงออกมาเหมือนคนนั้นเลย หรือว่าจะเป็นหมอคนเดียวกัน]


 


 


เมื่อได้เห็นคอมเมนต์เหล่านี้ หลินเช่อก็ชักจะมีน้ำโหขึ้นมา เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ ขณะถือโทรศัพท์ไว้ในมือว่า “พวกเขามาบอกว่าฉันทำศัลยกรรมพลาสติกได้ไงน่ะ ฉันออกจะดูเป็นธรรมชาติทั้งตัวขนาดนี้”


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นถามช่างแต่งหน้า “ฉันดูเหมือนทำศัลยกรรมมาเหรอคะ แน่ล่ะ ใครก็อยากทำทั้งนั้น แต่ก่อนอื่นมันต้องมีเงินมั้ยล่ะ นี่เพิ่งจะได้บทใหญ่ครั้งแรก ฉันจะไปหาเงินจากไหนมาทำหน้ากัน”


 


 


ช่างแต่งหน้าระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น แม่หลินเช่อคนนี้ตลกจริง


 


 


อวี๋หมินหมิ่นที่กำลังนั่งกินอะไรอยู่ข้างๆ และรอคิวแต่งหน้าของตัวเองเช่นกันพูดขึ้นว่า “เอาน่า มีดาราเปิดตัวใหม่คนไหนบ้างที่ไม่โดนด่าน่ะ อีกอย่าง ศัลยกรรมพลาสติกเดี๋ยวนี้หาทำง่ายออกจะตายไป แต่ฉันก็ไม่เข้าใจเลยนะว่าทำไมพวกเขาถึงบอกว่าจมูกของเธอเป็นของปลอมน่ะ มันบี้ออกอย่างนั้น ถ้าเธอเสียเงินทำมาก็คงจะเป็นโรงพยาบาลที่ฝีมือแย่เอามากๆ เชียวล่ะ”


 


 


หลินเช่อหันขวับแล้วโอดครวญ “มันก็ไม่ได้บี้ขนาดนั้นหรอกนะคะ…”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นไม่สนใจและหันไปบอกช่างแต่งหน้าว่า “ลงคอนทัวร์จมูกเธออีกหน่อยสิ มันบี้ไป น่าเกลียดด้วย”


 


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันสนุกสนานอยู่นั้น กู้จิ้งอวี่ที่ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากห้องแต่งตัว ก็อดไม่ได้ที่จะโผล่เข้ามาดู


 


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่เหรอ” เขาหันไปถามใครบางคน


 


 


“หลินเช่อน่ะครับ” ผู้จัดการของเขาตอบ “เธอเป็นคนช่างพูดช่างคุยในทุกที่ที่เธอไป แถมคุยเก่งซะด้วย เป็นคนอัธยาศัยดี ทำตัวง่ายๆ แต่บุคลิกของเธอก็ไม่เลวทีเดียว ก็เลยทำให้คนเข้ามาคุยกับเธอง่ายๆ แล้วเธอก็ไม่ทำตัวยโสหัวสูงด้วย”


 


 


กู้จิ้งอวี่ยิ้มเมื่อหันไปทางคนที่กำลังพูดถึง เขามองหลินเช่อด้วยสายตามีความหมายก่อนจะเดินตรงเข้าไปหา


 


 


“คุยอะไรกันสนุกใหญ่เลย” กู้จิ้งอวี่ถามขึ้น


 


 


กลุ่มช่างแต่งหน้าและนักแสดงที่ล้อมวงกันอยู่ต่างพากันขยับตัวถอยห่างเมื่อเห็นกู้จิ้งอวี่ แต่แล้วพวกเขาก็ได้เห็นว่าดาราหนุ่มกำลังอารมณ์ดีทีเดียว ดังนั้นเมื่อกู้จิ้งอวี่ทิ้งตัวลงนั่ง ทุกคนจึงค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง


 


 


กู้จิ้งอวี่มองหลินเช่อ “ฉันได้ยินเสียงหัวเราะแต่ไกลเลย เสียงเธอน่ะดังมากเลยนะ”


 


 


หลังจากคุ้นเคยกับกู้จิ้งอวี่แล้ว หลินเช่อก็ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนเข้าหายากเหมือนที่ใครต่อใครพูดอีกต่อไป เธอกลับคิดว่าเขาไม่เสแสร้งดีด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงพูดคุยกับเขาด้วยท่าทีสบายๆ “คุณไม่ชอบเสียงดังเหรอคะ ถ้าไม่ชอบงั้นก็ไปที่ห้องส่วนตัวสิคะ ทำไมดาราดังๆ อย่างคุณถึงได้มารวมกลุ่มกับพวกเราแบบนี้ล่ะ”


 


 


“เฮ้ นี่จะไม่ต้อนรับกันสักนิดเลยเหรอ นี่เธอไม่เห็นหรือไงว่าใครๆ เขาก็ตีฆ้องร้องป่าวอยากเชิญฉันเข้าไปร่วมวงด้วยทั้งนั้นน่ะ”


 


 


บรรดาผู้คนในห้องพากันมองคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันด้วยท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย


 


 


ใครกันนะที่บอกว่าคนอย่างกู้จิ้งอวี่จะไม่พูดคุยกับนักแสดงคนอื่นที่ร่วมงานกัน นี่เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นกันเองเอามากๆ


 


 


ส่วนคนที่พอจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองก็ยิ่งแปลกใจหนักขึ้นไปกว่า เพราะพวกเขารู้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างกู้จิ้งอวี่และหลินเช่อนั้นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็นข่าว หนำซ้ำคนทั้งคู่ยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแบบนี้


 


 


เมื่อหลินลี่ออกมาจากห้องแต่งตัว เธอก็ได้เห็นคนทั้งสองนั่งอยู่ตรงกลางวงล้อมรอบด้วยคนอื่นๆ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องอะไร ถึงได้ทำให้ใครต่อใครที่ใช้ห้องแต่งตัวร่วมด้วยดูจะรื่นรมย์อารมณ์ดีกันอย่างมาก เพราะทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานและเสียงพูดคุยร่าเริง


 


 


หลินลี่พ่นลมออกทางจมูกอย่างเหยียดหยามคนอื่น “นังหลินเช่อนี่ให้ท่าเขาไปทั่วเลยนะ”


 


 


ผู้ช่วยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเธอจึงพลอยผสมโรงไปด้วยว่า “แหม ก็คนทั่วไปเขาไม่ได้มีข้อได้เปรียบอย่างพี่นี่คะ แม่นั่นไม่ได้มีทั้งเงินและอำนาจ พื้นเพครอบครัวก็ไร้หัวนอนปลายเท้า แถมยังไม่ได้มีคู่หมั้นทั้งหล่อทั้งรวยอย่างคุณชายสามอีก ก็แน่ล่ะว่าหล่อนจะต้องพึ่งพาความสามารถในการยั่วยวนผู้ชายเพื่อที่จะไต่เต้าทางสังคมแบบนี้ละค่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดถูกหู หลินลี่จึงรู้สึกสบอารมณ์ขึ้นอย่างมาก


 


 


“อันที่จริงคนอย่างฉันน่ะ ไม่มาเสียเวลาโอภาปราศรัยกับคนแปลกหน้าด้วยซ้ำ” คนพวกนั้นไม่ได้มีค่ามากพอที่เธอจะเสียเวลาด้วยนี่นา


 


 


แต่การได้เห็นกู้จิ้งอวี่สนิทสนมกับหล่อนแบบนี้ หลินลี่ก็อดรู้สึกริษยาขึ้นมาไม่ได้อยู่เหมือนกัน


 


 


ไม่ช้าทุกคนก็เริ่มออกไปให้สัมภาษณ์ด้านหน้าตามคิวที่จัดเอาไว้


 


 


และที่คาดไม่ถึง เมื่อกู้จิ้งอวี่ออกไปให้สัมภาษณ์ เขากลับลากเอาหลินเช่อติดมือออกไปด้วย


 


 


หญิงสาวลังเลในทีแรก แต่เมื่อเห็นบรรดานักข่าวดูจะยินดีกับเรื่องนี้ แถมยังพยายามเกลี้ยกล่อมคนทั้งคู่ให้ยอมให้สัมภาษณ์คู่กัน เธอก็ยอมแต่โดยดี


 


 


หลินเช่อยืนข้างกู้จิ้งอวี่ มองดูบรรดานักข่าวจำนวนคับคั่งที่แวดล้อมพวกเขาอยู่พร้อมด้วยไมโครโฟน เธอมองดูพวกเขาคนแล้วคนเล่า ทำเอาเธอเริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาทันที


 


 


เมื่อสองสามเดือนก่อนหน้า เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันหนึ่งเธอจะได้มายืนอยู่ในแสงไฟและให้สัมภาษณ์แบบนี้


 


 


แต่ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน โลกของเธอดูจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเลยทีเดียว


 


 


นักข่าวคนหนึ่งยิงคำถามอย่างดุดันมาจากด้านล่าง เขามองดูหลินเช่อแล้วถามออกมาตรงๆ ว่า “หลินเช่อ คุณรู้สึกยังไงบ้างที่ตกเป็นข่าวจับคู่กับกู้จิ้งอวี่ก่อนหน้านี้”


 


 


หลินเช่อไม่คิดเลยว่าจะถูกถามตรงๆ แบบนี้ เจ้าตัวจึงนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นครู่


 


 


แต่ข้างตัวเธอนั้น กู้จิ้งอวี่กลับคว้าไมโครโฟนไปตอบเสียเองว่า “เธอรู้สึกดีมากเลยละครับ เพราะถึงยังไงการได้ตกเป็นข่าวลือกับผู้ชายหล่อๆ อย่างผมก็นับว่าเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติอย่างมาก”


 


 


หลินเช่อเงยหน้ามองเขาอย่างรู้สึกขอบคุณ กู้จิ้งอวี่ส่งยิ้มปลอบใจราวกับจะบอกว่าเธอสามารถเชื่อใจเขาได้ในทุกเรื่อง


 


 


นักข่าวยังขยี้ถามต่อ “หลินเช่อ พวกคุณไปนัดเจอกันเป็นการส่วนตัวบ้างหรือเปล่า”


 


 


กู้จิ้งอวี่จับไมค์อีกรอบแล้วตอบว่า “นี่เราสามารถนัดเจอกันได้ด้วยเหรอครับ โอ๊ย ขอบคุณทุกคนมากเลย เพราะตอนนี้เราไม่กล้าแม้แต่จะนัดเจอกันฉันเพื่อนแล้ว ผมอุตส่าห์หาเพื่อนได้อย่างยากลำบากขนาดนี้ พวกคุณน่าจะเลิกสร้างปัญหาให้ผมได้แล้วนะครับ”


 


 


ทุกคนต่างพากันหัวเราะเสียงดังลั่นกับคำตำหนิแบบหยิกแกมหยอกของเขา


 


 


หลินเช่อรู้สึกว่ากู้จิ้งอวี่รับมือกับการสัมภาษณ์ได้ดีจริงๆ ทุกครั้งที่นักข่าวถามอะไร เขาจะสามารถเปลี่ยนประเด็นได้อย่างแนบเนียนเสมอ เขาทำให้การสัมภาษณ์น่าสนใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องคอยตอบบรรดาคำถามเกี่ยวกับข่าวซุบซิบทั้งหลายที่เขาไม่อยากตอบให้มากจนเกินไปด้วย

 

 

 


ตอนที่ 58

 

กู้จิ้งเจ๋อโกรธจัด

 


นักข่าวเริ่มรู้สึกได้ กู้จิ้งอวี่กำลังพยายามปกป้องนักแสดงหญิงคนนี้อยู่


 


 


พวกเขาจึงหันไปหาหลินเช่อ “หลินเช่อ คุณเพิ่งจะมีผลงานใหญ่เป็นครั้งแรกก็มีโอกาสได้รู้จักรุ่นพี่ดีๆ แบบนี้แล้ว รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมั้ยครับ”


 


 


คราวนี้กู้จิ้งอวี่ไม่สามารถเบี่ยงประเด็นจากคำถามที่ว่าได้


 


 


หลินเช่อยิ้มและรีบตอบอย่างรวดเร็วว่า “แน่นอนค่ะ พี่กู้จิ้งอวี่ดีกับฉันมาก เขาช่วยแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการแสดงให้ฉันมากมายเลยละค่ะ”


 


 


กู้จิ้งอวี่หันมาถาม “ถ้างั้นเธอจะตอบแทนฉันยังไงล่ะ”


 


 


“หือ ตอบแทนเหรอคะ” หลินเช่อไม่คิดว่าเขาจะหาทางเบี่ยงประเด็นแบบนี้ “ฉันจะตอบแทนพี่ได้ยังไงละคะ”


 


 


กู้จิ้งอวี่ตอบ “เธอก็ควรจะเลี้ยงข้าวฉันไม่ใช่เหรอ”


 


 


“…”


 


 


บรรดานักข่าวพากันนั่งไม่ติด “พวกคุณสองคนไปกินข้าวด้วยกันด้วยเหรอครับ”


 


 


“ก็เธอควรจะเลี้ยงข้าวผมใช่มั้ยล่ะ”


 


 


นักข่าวขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก หลินเช่อนึกอยากบีบคอกู้จิ้งอวี่แต่ก็ทำได้เพียงบังคับตัวเองให้พูดออกไปว่า “ใช่ค่ะ แน่นอนเลย ฉันจะเลี้ยงเองนะคะ”


 


 


กู้จิ้งอวี่หัวเราะ “ช่างเถอะ เงินเดือนเธอน่ะน้อยนิดแค่นั้น ถ้าต้องเลี้ยงข้าวฉัน เดี๋ยวเธอคงได้กินแกลบแน่ ฉันล้อเล่นน่ะ ยัยโง่เอ๊ย เธอไม่ต้องยอมตามไปซะทุกเรื่องหรอกนะ”


 


 


“…” หลินเช่อหน้าเสีย นักข่าวพากันหัวเราะ


 


 


ในที่สุดการสัมภาษณ์ก็จบลง กู้จิ้งอวี่ลูบไหล่เธอพลางยิ้มแล้วพูดว่า “เธอยังอ่อนหัดนัก พยายามฝึกเข้าล่ะ!”


 


 


หลินเช่อคิดในใจ ก็ถ้าคุณไม่เข้ามาวุ่นวายไปซะทุกคำถาม ฉันก็คงทำได้ดีกว่านี้แหละย่ะ


 


 


ไม่ช้าอวี๋หมินหมิ่นก็เข้ามาสมทบ เธอยิ้มแล้วร้องว่า “ทำได้ไม่เลวเลยนะ กู้จิ้งอวี่ดูแลเธอดีมากทีเดียววันนี้ ทั้งชวนคุยทั้งหยอกล้อ”


 


 


หลินเช่อถาม “เขาไม่ควรจะล้อฉันเหรอคะ”


 


 


“แน่นอนว่าเขาทำได้ แต่คนอย่างกู้จิ้งอวี่น่ะไม่เคยพูดจาเล่นหัวกับนักแสดงคนไหนหรอกนะ เขาชอบอยู่กับพวกผู้ชายมากกว่า แล้วก็ไม่เคยปรายตามองผู้หญิงเลยด้วย เพราะแบบนี้คนถึงคิดว่าเขาเป็นเกย์กันไงล่ะ”


 


 


“อา…”


 


 


วันต่อมาหลังจากการสัมภาษณ์ หลินเช่อไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะตกเป็นข่าวพาดหัวกับกู้จิ้งอวี่อีกครั้งหนึ่ง


 


 


คราวนี้เป็นเพราะท่าทีปกป้องที่กู้จิ้งอวี่มีต่อเธอ บรรดาเนื้อหาข่าวจึงพากันชื่นชมเธอกันยกใหญ่


 


 


อีกด้านหนึ่ง หลินลี่กำลังอ่านข่าวของตัวเองและก็ต้องโมโหเจียนคลั่งทีเดียว


 


 


รูปภาพขนาดใหญ่ของกู้จิ้งอวี่และหลินเช่อนั้นขึ้นพาดเต็มหน้า ในขณะที่ของเธอเป็นเพียงรูปเล็กๆ อยู่ที่มุมหนึ่งเท่านั้น


 


 


เธออุตส่าห์ลงทุนสวมกระโปรงแบรนด์เนมราคาแพงลิบเพื่อที่จะได้ดูสวยเตะตาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ข่าวกลับเป็นชื่อหลินเช่อตัวเท่าบ้าน แถมพวกนักข่าวยังเขียนสั้นๆ แค่ว่าหลินลี่ก็ร่วมแสดงในเรื่องนี้ด้วย


 


 


แค่เนี้ย!


 


 


หลินลี่หัวฟัดหัวเหวี่ยง เธอปาหนังสือพิมพ์ลงพื้น


 


 


นอกจากเธอแล้ว หันไฉ่อิงเองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าเรื่องราวจะออกมาแบบนี้ หล่อนพูดขึ้นว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมนังหลินเช่อนั่นถึงได้มีอำนาจมากขนาดนี้” เมื่อได้อ่านข่าวของลูกสาวที่มีให้เห็นเพียงไม่กี่บรรทัดในเนื้อหา หันไฉ่อิงก็ยิ่งเดือด “หลินเช่อจะต้องตั้งใจกันลูกไว้ไม่ให้เห็นแน่ๆ”


 


 


ใบหน้าของหลินลี่แดงก่ำด้วยโทสะ “นังหลินเช่อ…รอก่อนเถอะ ฮึ!”


 


 


ในขณะเดียวกันที่บ้านตระกูลกู้ อยู่ๆ หลินเช่อก็จามยกใหญ่


 


 


สาวใช้คนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาหา “คุณผู้หญิงคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ แอร์เปิดแรงเกินไปหรือเปล่า”


 


 


“ไม่มีอะไรๆ” หลินเช่อยิ้มแล้วลุกขึ้นพร้อมหนังสือพิมพ์ในมือ กู้จิ้งเจ๋อกลับถึงบ้านแล้ว เธอมองเขาด้วยสีหน้าดีอกดีใจและบอกว่า “ฉันเป็นข่าวพาดหัวด้วยแหละ จากงานโปรโมตซีรีส์น่ะค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้างปากแทบถึงหูจึงเดินเข้ามาหาและรับหนังสือพิมพ์ไปดู เขาเห็นภาพของเธอและกู้จิ้งอวี่ยืนคู่กัน


 


 


หลินเช่อเล่าต่อ “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ได้เห็นตัวเองเป็นข่าวพาดหัวแบบนี้น่ะ”


 


 


เขากำหนังสือพิมพ์แน่นและถามเบาๆ ว่า “แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกนี่”


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าเขาหมายถึงข่าวลือก่อนหน้านี้ “มันไม่เหมือนกันนี่คะ นั่นน่ะแค่ข่าวลือ แต่ครั้งนี้มันเป็นเพราะงานของฉัน ฉันได้อยู่ในข่าวในฐานะนักแสดงเลยนะ มันแตกต่างกันนะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้น “ดูเหมือนว่ากู้จิ้งอวี่จะดูแลเธอดีทีเดียวนะ”


 


 


เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น เธอก็พยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ “ใช่ค่ะ ใช่ กู้จิ้งอวี่ดูแลฉันดีมากๆ เลยล่ะ พี่อวี๋ยังบอกเลยว่าปกติเขาไม่เป็นแบบนี้ ใครจะไปคิดละคะว่าความจริงแล้วเขาก็เป็นคนดีเหมือนกัน แถมยังเก่งแล้วก็มีประสบการณ์ในการรับมือการสัมภาษณ์มากๆ ด้วยนะคะ ไม่มีคำถามไหนที่ทำเขาจนมุมได้เลย ฉันไม่รู้เลยนะคะว่าเขาไม่ได้เก่งแค่การแสดงอย่างเดียวแต่ยังเก่งเรื่องตั้งรับนักข่าวด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้ดังขนาดนี้”


 


 


“…” หน้ากู้จิ้งเจ๋อเริ่มเปลี่ยนสี


 


 


หลินเช่อไม่ทันสังเกตจึงยังคงเล่าต่อไปด้วยความตื่นเต้นและสีหน้าชื่นชม


 


 


กู้จิ้งเจ๋อลุกพรวดพราดขึ้น ปัดหนังสือพิมพ์ลงจากโต๊ะ


 


 


“เฮ้ นี่คุณโยนหนังสือพิมพ์ฉันทิ้งเหรอคะ” หลินเช่อเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่พอใจ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหยุดแล้วหันไปสั่งสาวใช้ “ตั้งแต่พรุ่งนี้ สั่งยกเลิกรับหนังสือพิมพ์บันเทิงไร้สาระพวกนี้ซะด้วย”


 


 


“ได้ค่ะ”


 


 


“อะไรนะ” หลินเช่อยืนขึ้น “กู้จิ้งเจ๋อ ทำไมละคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบโดยไม่หันมามอง “ฉันไม่ชอบที่เธอไปทำระริกระรี้แบบนั้น”


 


 


หลินเช่อโกรธจนหน้าชา “คุณ…กู้จิ้งเจ๋อ คุณมันอคติ การแสดงไม่ใช่เรื่องทำตัวระริกระรี้นะคะ มันคือศิลปะต่างหาก! คุณไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหมือนถูกจี้จุด เขาหันขวับมาทันที ตาดำของเขาวาววับอยู่ในดวงตาสุดจะเย็นชาคู่นั้น เขาพูดเสียงยะเยือกว่า “ศิลปะก็คือการขายเรือนร่างของเธอด้วย”


 


 


“คุณ…” หลินเช่อยิ่งเดือดดาล “นายทุน คนโลภ ใจร้อน ไร้การศึกษา ไร้วัฒนธรรม! ตัวคุณน่ะมันมีแต่กลิ่นเงิน!”


 


 


มุมปากของกู้จิ้งเจ๋อกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขาหัวเราะแล้วตวัดสายตามองเธอ “อย่าลืมสิว่าเธอเองก็กำลังกินกำลังใช้เงินของฉันอยู่น่ะ”


 


 


หลินเช่อยืนนิ่งขณะที่กู้จิ้งเจ๋อโบกมือเรียกฉินเฮ่าเข้ามา


 


 


เขาพูดเรียบๆ ว่า “จัดการยกเลิกข่าวบันเทิงพวกนี้ไปให้หมด ขยะพวกนี้จะทำให้พวกเด็กๆ เสียคน เก็บเอาไว้ก็มีแต่จะสร้างปัญหา ถ้ายกเลิกเรียบร้อยแล้วก็ให้เอาข่าวเศรษฐกิจมาใส่แทน!”


 


 


“ครับท่าน” ฉินเฮ่ามองสีหน้าเย็นชาของกู้จิ้งเจ๋อก่อนจะชำเลืองดูหลินเช่อแล้วถอยออกจากห้องไปเงียบๆ


 


 


หลินเช่อยกนิ้วอันสั่นเทาชี้หน้าอีกฝ่าย “คุณ…คุณมันจอมบงการชัดๆ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มเยาะ เขาก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้องไป


 


 


หลินเช่อมองด้านหลังของชายหนุ่ม แล้วกระแทกตัวลงนั่งด้วยความโมโห ปีกจมูกบานด้วยแรงโทสะขณะมองดูหนังสือพิมพ์ที่ถูกโยนลงพื้นห้อง


 


 


อีตาบ้ากู้จิ้งเจ๋อ


 


 


นี่เขาหาว่าเธอทำตัวระริกระรี้แถมยังใส่ความว่าเธอจะทำให้เด็กเสียคนอีกต่างหาก


 


 


จริงอยู่ว่าพวกนักแสดงทั้งหลายก็มักโดนเข้าใจผิดแบบนี้บ่อยๆ โดยเฉพาะคนประเภทนายทุนอย่างเขาที่เชื่อว่านักแสดงคืออาชีพไร้ความหมาย


 


 


นักแสดงอาจจะถูกมองเกินจริงและถูกใครต่อใครดูหมิ่นอยู่บ้าง


 


 


แต่เธอไม่คิดเลยว่ากู้จิ้งเจ๋อเองก็จะคิดแบบนี้ด้วยเหมือนกัน


 


 


หมอนี่ช่างเป็นคนที่เน่าเฟะจนถึงแก่นเลยทีเดียว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม