บัลลังก์พญาหงส์ 405-411

บทที่ 405 เสนอแนะ

 

ตอนที่คังอ๋องเดินทางไปถึงพระราชวังฤดูร้อน โหราจารย์ก็ส่งผลลัพธ์ที่คำนวณออกมาทางม้าเร็วเช่นกัน


การคำนวณครั้งนี้ของโหราจารย์มีจุดประสงค์เรื่องฤดูแล้งของเมือเหอเป่ย ผลลัพธ์ที่คำนวณออกมาคือลมแล้งได้รวมตัวกัน เกรงว่าจะเกิดเหตุแล้งครั้งใหญ่ หากวางแผนให้เร็วและสวดมนต์ขอพร แม้ว่าจะช่วยผ่อนผันได้ แต่ว่าสถานการณ์ที่ลุล่วงไปแล้วกลับไม่มีจุดให้เปลี่ยนแปลง พืชพันธ์ในฤดูกาลนี้ยังคงไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ เกรงว่าจะต้องไร้ซึ่งผลเก็บเกี่ยวเสียแล้ว


การวิเคราะห์ของโหราจารย์ค่อนข้างตรง อย่างน้อยภายในสิบครั้งก็มีเก้าครั้งที่ถูกต้อง ดังนั้นพูดได้ว่า ถึงแม้ผลลัพธ์จากการคำนวณครั้งนี้จะเชื่อไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็เชื่อได้มากกว่าครึ่ง


จากความหมายของโหราจารย์ การขอฝนถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถล่าช้าได้ เพื่อแสดงถึงความจริงใจ ฮ่องเต้ที่ถือว่าตนเองเป็นโอรสสวรรค์ก็ควรต้องรีบกลับเมืองหลวงไปขอฝนด้วยตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะทำให้สวรรค์เห็นใจและบรรลุจุดประสงค์ของการขอฝน


ฮ่องเต้ที่อ่านสาสน์ม้าเร็วก็นิ่งคิดไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็โยนฎีกานี้ให้หลี่เย่ “เจ้ารอง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”


หลี่เย่เปิดฎีกาดูครั้งหนึ่ง นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ลูกคิดว่าข้อเสนอของโหราจารย์ดีมากพ่ะย่ะค่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้หากว่าขอฝนสำเร็จ บารมีของเสด็จพ่อก็จะเพิ่มมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”


“ไทเฮาป่วยเช่นนั้น ข้าไม่วางใจ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเอนหลังพิงเก้าอี้ แล้วออกแรงนวดหว่างคิ้ว ในใจคิดว่า อาการของอี๋เฟยยามนี้ไม่เหมาะให้มาทนทรมานอีก คงไม่ดีหากทิ้งให้นางอยู่ที่นี่คนเดียว


แน่นอนว่าหลี่เย่ไม่รู้ความคิดของฮ่องเต้ นึกแค่ว่าฮ่องเต้เป็นห่วงไทเฮาจริงๆ จึงถอนใจออกมา “พระอาการของไทเฮาช่างน่ากังวลจริงพ่ะย่ะค่ะ แต่อย่างไรแล้วแคว้นก็สำคัญที่สุด จากสถาการณ์เวลานี้ การขอฝนเป็นเรื่องจำเป็น แม้แต่ในเมืองหลวงก็ไม่มีฝนตกมาเกือบสองเดือนแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าเรื่องน้ำเพื่อการบริโภคก็คงจะเป็นปัญหาเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”


แต่เดิมที่ตั้งของเมืองหลวงก็ค่อนไปทางเหนือ ไม่ใช่ด้านใต้ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ หากแห้งแล้งแล้วก็ยากที่จะจัดการ


ฮ่องเต้นิ่งเงียบไม่พูดจา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


หลี่เย่เห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าฮ่องเต้ไม่ยินยอมกลับไป คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากพูดว่า “อากาศร้อนถึงเพียงนี้ เสด็จพ่อกลับไปทนทรมานก็ถือว่าไม่เหมาะ แต่การขอฝนก็เป็นเรื่องจำเป็น ไม่สู้หาวิธีได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้นิ่งเงียบด้วยประหลาดใจ มองดูหลี่เย่ด้วยความคาดหวังหลายส่วน “วิธีได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายอย่างไรกัน? เจ้าบอกให้ข้าให้ฟังหน่อยซี”


“ไม่สู้ให้พี่ใหญ่ไปขอฝนแทนเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วพูดวิธีนี้ด้วยความขัดเขินเล็กน้อย “พี่ใหญ่เป็นลูกคนโตของชายาเอก ฐานะสูงส่งเพียงใดไม่ต้องพูดถึง ไปทำพิธีขอฝนแทนเสด็จพ่อก็ถือว่าสมเหตุสมผลพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้กลับขมวดคิ้วแน่น จ้องหลี่เย่อยู่พักใหญ่ “เจ้าคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”


“ลูกคิดได้แค่วิธีนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ถอนใจออกมา แล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด “ลูกโง่เง่านัก ไม่สามารถผ่อนความกังวลให้เสด็จพ่อได้”


ฮ่องเต้สะบัดมือไปมา ท่าทีดูผ่อนคลายลง “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ใครจะคิดว่าปีนี้ข้าจะเกิดอยากมาตากอากาศหลบร้อน แล้วอากาศก็ดันแห้งแล้งเอาตอนนี้! นี่ถือว่าเป็นเรื่องจนปัญญาจริงๆ”


หลี่เย่ยืนอยู่ฝั่งหนึ่งไม่พูดไม่จา เรื่องนี้เขาทำได้เพียงพูดเสนอเท่านั้น หากเกลี่ยกล่อมต่อไปก็ถือว่าไม่เหมาะสมแล้ว


สามีองค์หญิงแปดและถาวจิ้งผิงที่ยืนอยู่ข้างหลี่เย่ก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาเช่นกัน


กลายเป็นฮ่องเต้ที่นึกถึงสองคนนี้ได้ ยิ้มและถามว่า “สามีองค์หญิงแปด จิ้งผิง พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”


สามีองค์หญิงแปดมองหลี่เย่วูบหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “กระหม่อมคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีพ่ะย่ะค่ะ”


ถาวจิ้งผิงเองก็แทรกขึ้นมา “ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นคังอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นตวนชินอ๋อง อู่อ๋องและจวงอ๋องก็ได้ทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้เป็นองค์ชายเจ็ดก็รับหน้าที่นี้ได้พ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้เป็นมังกรสวรรค์ที่แท้จริง ลูกชายของฮ่องเต้ย่อมต้องเป็นมังกร ในเมื่อเป็นมังกรก็สูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”


ที่จริงถาวจิ้งผิงพูดเช่นนี้ก็ถือว่าพูดแทนหลี่เย่แล้ว นี่เป็นการเตือนฮ่องเต้ ท่านดู ตวนอ๋องเองก็ไม่เลว เลือกเขาเถิด


ฮ่องเต้อมยิ้มมองถาวจิ้งผิง ในใจคิดว่า สมแล้วที่เป็นน้องชายของภรรยา คำพูดคำจาล้วนเอนเอียงไปที่ตวนชินอ๋องทั้งหมด ทว่านิสัยนี้ของเขาก็ดีมาก ไม่ได้มีการหลบๆ ซ่อนๆ อ้อมไปอ้อมมา กลับจริงใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งพอพูดไปแล้ว เขาก็เป็นน้องชายของภรรยาตวนชินอ๋อง จะพูดแทนตวนชินอ๋องก็ถือเป็นเรื่องสมควร คนครอบครัวเดียวกันจะตีให้กระดูกหักอย่างไรก็ยังมีเส้นเอ็นที่เชื่อมต่อกันอยู่


ถาวจิ้งผิงเห็นท่าทางจับสังเกตของฮ่องเต้ก็ทำตัวนิ่งสงบ ไม่ได้แสดงท่าทีกักเก็บอารมณ์เลยแม้แต่น้อย นี่ยิ่งทำให้ฮ่องเต้คิดว่าเขาใช้ได้เลยทีเดียว


แต่เห็นได้ชัดว่าอย่างไรตวนชินอ๋องก็ไม่เหมาะสม ในใจของฮ่องเต้คิดขึ้นมา พอคิดไปคิดมาแล้วก็นึกถึงคำพูดเหล่านั้นของอี๋เฟย แล้วใจก็อ่อนลงพูดว่า “ให้คังอ๋องนำองค์ชายเจ็ดไปทำพิธีขอฝนด้วยกันเถิด”


หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดเสริมอีกว่า “ให้อู่อ๋องและจวงอ๋องตามไปด้วยกัน นี่ก็เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจของข้า แต่ตวนชินอ๋องเจ้าไม่จำเป็นต้องไป ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี ไม่เหมาะเดินทางไปมา”


หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็ยิ้มอย่างชมเชย “เสด็จพ่อช่างรอบคอบเสียเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ ลูกรอบคอบได้ไม่เท่ากับเสด็จพ่อแม้แต่เสี้ยวเดียว”


ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ก็ใจกระตุก ใช่แล้ว เจ้ารองเพิ่งได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับราชสำนักก็เมื่อสองปีนี้ ตนเองกลับเข้าใจเขาผิด เกรงว่าเขาคงไม่ได้คิดถึงทางนั้นแม้แต่น้อย


เมื่อคิดเช่นนี้ท่าทีของฮ่องเต้ก็ดูเป็นมิตรขึ้นมาหลายเท่า ยิ้มพลางเอ่ยชมขึ้นมา “เจ้าคิดได้ว่าให้คนไปแทนข้าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อย่างอื่นก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป พอประสบการณ์เยอะ เรียนจนรู้แน่นอนว่าก็ต้องค่อยๆ คิดไปเดี๋ยวก็รอบคอบเอง”


หลี่เย่เอ่ยออกมาอย่างเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ”


เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องที่คังอ๋องต้องพาบรรดาน้องชายกลับไปเมืองหลวงเพื่อประกอบพิธีขอฝนก็จบลง แต่น่าเสียดายที่คังอ๋องเพิ่งจะเดินทางมาถึงพระราชฐาน แม้แต่**บข้าวของยังไม่ทันได้เปิดออกมาก็ถูกฮ่องเต้เรียกพบ จากนั้นถึงได้รู้ว่าเขาจะต้องกลับไปยังเมืองหลวง


ภายในช่วงเวลาสั้นๆ คังอ๋องก็เกิดอาการงุนงง แต่อย่างไรแล้วเขาไม่กล้าแสดงท่าทีไม่ยินยอมออกมา เพียงแค่รับเรื่องนี้อย่างนบนอบ “น้อมรับความเชื่อใจจากเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะต้องทำเรื่องนี้ให้ดีเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และกำชับอีกว่า “เวลาที่ขอฝนจะต้องแสดงความจริงใจออกมา อย่าได้ท่องมั่วซั่วเด็ดขาด”


คังอ๋องได้ยินเช่นนี้ก็คิดว่าฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับตนเอง ตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา รับปากเสียงหลง


ฮ่องเต้ก็พอใจกับท่าทางของคังอ๋อง คิดว่าอย่างไรแล้วก็เป็นลูกชายของตน จึงถอนใจออกมา “เจ้าเป็นพี่ใหญ่ จะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้บรรดาน้องชายเห็นซี” จากนั้นก็พูดเรื่องอื่นอีก ความหมายของคำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นการเอ่ยเตือนคังอ๋องให้อยู่ห่างจากจวนเหิงกั๋วกงให้มาก


คังอ๋องรู้ความหมายฝง ในใจคิดว่าเหมือนกับที่เสด็จแม่คาดการณ์เอาไว้ จึงรีบฉวยโอกาสนี้คุกเข่าลงบนพื้นแสดงความในใจของตนเองออกมา ไม่จำเป็นต้องพูด แน่นอนว่าต้องผลักเอาความรับผิดชอบทั้งหมดไว้ที่เหิงกั๋วกง พูดแค่ว่าตนเองไม่รู้เรื่องและสารภาพผิดด้วยตนเอง โขกหัวขอความเห็นใจให้ฮ่องเต้ให้อภัย


ไม่ว่าฮ่องเต้จะเชื่อหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วท่าทีของฮ่องเต้ก็ยินดีเบิกบาน แล้วรั้งตัวคังอ๋องให้ร่วมโต๊ะอาหารกับตน


ข่าวแพร่กระจายไปถึงทางด้านไทเฮา ไทเฮาก็หัวเราะออกมา “เป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างไรก็เป็นพ่อลูก จะเอะอะโวยวายเช่นนั้นก็ไม่ได้น่าดูนัก พูดไปสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่เกิดจากญาติสายนอกทั้งนั้น”


ถาวจวินหลันยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็หัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน เอาถ้วยชาที่เย็นลงแล้วส่งขึ้นไป “มิใช่อย่างนั้นหรือเพคะ? ตอนนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว ไทเฮาจะต้องมีพระอาการดีขึ้นเร็ววันนะเพคะ ดูบรรดาลูกหลานสมัครสมานสามัคคีกัน ให้พวกเขาแสดงความกตัญญูต่อท่านถึงจะถูก”


ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มให้จางหมัวหมัว “เจ้าฟังคำพูดของนางเข้า ฟังแล้วเหมือนคนกินน้ำตาลเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น ข้าก็คิดว่าซวนเอ๋อร์เหมือนใคร ที่แท้ก็เหมือนนางนี่เอง”


แม้ว่าซวนเอ๋อร์จะยังอายุน้อย แต่ก็เป็นคนปากหวาน และด้วยเรื่องนี้จึงทำให้ได้รับความรักความเอ็นดูจากคนส่วนใหญ่


“เมื่อวานนี้ซวนเอ๋อร์ยังโวยวายจะมากับข้าอยู่เลยเพคะ ยังดีที่เกลี่ยกล่อมได้ ไทเฮาต้องแข็งแรงขึ้น ข้าจะได้พาซวนเอ๋อร์เข้ามาทำความเคารพพระองค์มิใช่หรืออย่างไรเพคะ?” เมื่อมีคนเอ่ยชมลูกชายของตนเอง คนเป็นแม่จะไม่ดีใจได้อย่างไร? นางเม้มปากคลี่ยิ้ม และยกถ้วยยาขึ้นสูงอีกเล็กน้อย ไทเฮาเสวยโอสถยาก กว่าจะเสวยโอสถได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่


อย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ไทเฮาคิดว่ายาขมและพูดว่า “ดื่มยากเย็นเช่นนี้ กินเข้าไปแล้วก็ไม่เห็นผล ปล่อยไปเถิด”


ถาวจวินหลันและจางหมัวหมัวกล่อมอยู่ครู่หนึ่ง ไทเฮาถึงยอมเสวย แล้วนางก็เอาของว่างให้ไทเฮาชิ้นหนึ่งเพื่อล้างปาก กำจัดรสชาติยาที่เหลือ เท่านี้ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์


ไทเฮากลืนของว่างลงไป ก่อนถามจางหมัวหมัวว่า “รสชาติของว่างวันนี้ใช้ได้เลยทีเดียว เปรี้ยวๆ หวานๆ ชวนให้อยากอาหาร เป็นของว่างอะไรอย่างนั้นหรือ?”


“เป็นขนมมะขามเพคะ ช่วงนี้อากาศร้อน พระองค์ไม่อยากอาหาร ชายารองตวนชินอ๋องเป็นคนทำและนำมาเองเพคะ” จางหมัวหมัวอมยิ้มมองถาวจวินหลัน แอบพูดเยินยอแทนนางเล็กน้อย


ไทเฮาประหลาดใจ มองไปทางถาวจวินหลัน พยักหน้าพลางชื่นชมว่า “เจ้าถือว่ามีใจแล้ว”


“หม่อมฉันไม่ได้ทำเพื่ออย่างอื่นเลยเพคะ ขอแค่พระองค์มีอาการดีขึ้น ซวนเอ๋อร์และท่านอ๋องก็จะดีใจ หม่อมฉันเองก็พอใจแล้ว” ถาวจวินหลันยิ้มพลางอธิบาย ไม่ได้พูดคำพูดที่เลี่ยนมากเกินไป ในใจของนางเข้าใจดี แม้ไทเฮาจะบอกว่าไม่ได้รังเกียจนางจริง แต่ถ้าบอกว่าไม่มีความรู้สึกห่างเหินหรืออึดอัดเลยก็ถือว่าเป็นเรื่องโกหก


ไทเฮายิ้ม กลับดูจริงใจมากขึ้น “เจ้าช่างจริงใจนัก”


เมื่อใกล้ถึงเวลาทานอาหารกลางวัน ไทเฮาก็ใช้ข้ออ้างเรื่องกลับไปดูแลซวนเอ๋อร์เพื่อไล่นางกลับไป


ถาวจวินหลันเพิ่งก้าวเท้าเดินออกไป ไทเฮาก็พูดกับจางหมัวหมัวว่า “เจ้าไปเชิญฮ่องเต้มาร่วมโต๊ะอาหารเป็นเพื่อนข้าเถิด”


จางหมัวหมัวคิดว่าไทเฮาเริ่มอยากอาหาร จึงยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง พูดระรัวว่า “ดูท่าทางของว่างจะได้ผลจริง พรุ่งนี้ให้ชายารองตวนชินอ๋องเอามามากเสียหน่อย ฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้คงจะดีใจอย่างแน่นอนเพคะ”


ไทเฮาไม่อธิบาย เพียงแค่อมยิ้มน้อยๆ พูดเร่งว่า “รีบไปเชิญฮ่องเต้มาเถิด แล้วค่อยไปกำชับห้องเครื่องให้ทำอาหารที่ฮ่องเต้ชอบทาน แล้วพวกอาหารเรียกน้ำย่อยก็ทำบ้างสองสามอย่าง อากาศร้อนใครก็ไม่อยากอาหารทั้งนั้น”


จางหมัวหมัวรีบเร่งจากไป ไทเฮาหลับตาลงเพื่อพักผ่อนชั่วครู่ แต่แม้ว่าดวงตาจะหรี่ลงแต่หัวสมองกลับแจ่มแจ้งชัดเจนอย่างมาก แม้ว่าหลายวันมานี้นางจะป่วย สติไม่ได้ค่อยดีนัก แต่มีเรื่องอะไรบ้างที่นางไม่รู้เรื่อง? แค่นางไม่อยากเข้าไปยุ่งก็เท่านั้น แน่นอนว่านางเองไม่มีแรงไปยุ่งเกี่ยวด้วยเช่นกัน


เมื่อคิดถึงคำพูดของถาวจวินหลัน ไทเฮาก็ยิ้มกว้าง ถือว่าชาญฉลาดมากนัก หากนางเป็นชายาเอกของหลี่เย่ ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่น่าเสียดาย…

บทที่ 406 เข้าใจผิด

 

เมื่อฮ่องเต้ได้ยินว่าไทเฮาเริ่มอยากอาหารแล้ว เขาพลันรู้สึกยินดี พูดรัวว่า “ดี ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปหาเดี๋ยวนี้! บอกห้องเครื่องให้ทำอาหารโปรดของไทเฮามาสองสามอย่าง!”


ไทเฮาล้มป่วยนอนติดเตียงกว่าครึ่งเดือนแล้ว ฉับพลันวันนี้ก็มีท่าทีแจ่มใสกว่าเดิมเล็กน้อย ฮ่องเต้จะไม่ดีใจได้อย่างไร?


พอฮ่องเต้เสด็จไปถึงวังของไทเฮาด้วยความดีใจแล้ว กลับไม่เห็นว่าท่าทีของไทเฮาดีขึ้นจากเดิมมากนัก ฉับพลันนั้นเองความยินดีก็เปลี่ยนเป็นกังวล “ไทเฮารู้สึกอย่างไรบ้าง? ทุกวันนี้ยังเสวยโอสถตามเวลาอยู่หรือไม่?”


ไทเฮายิ้มเล็กน้อย ท่าทีซูบเซียว “กินยาไปก็ยังเหมือนเดิม นี่คงเพราะแก่ไร้ประโยชน์แล้ว ต่อให้เคี้ยวหลินจือหรือโสมเข้าไปก็ไม่เห็นผลอะไร จะไปโทษหมอหลวงก็ไม่ได้” เนื่องด้วยอาการไทเฮาไม่ดีขึ้น ฮ่องเต้จึงลงโทษหมอหลวงไปแล้วสองคน ยามนี้นางรู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถโทษหมอหลวงได้


ฮ่องเต้กลับไม่ชอบใจคำพูดนี้ของไทเฮา หน้าดำคล้ำไม่ยอมรับ “ไทเฮาแก่ตรงไหนกัน? ไทเฮายามนี้นี้อยู่ในวัยกลางคน จากที่ข้าดูแล้วเห็นได้ชัดว่าบรรดาหมอหลวงเหล่านั้นไม่ยอมงัดฝีมือที่แท้จริงออกมาใช้!”


“เจ้าดูซี ไรผมของเจ้าก็เป็นสีขาวแล้ว ไฉนเลยข้าจะไม่แก่อีก?” ไทเฮายิ้ม เอื้อมมือให้ฮ่องเต้ประคองตนเองเอาไว้ “วันนี้รู้สึกดีขึ้น เจ้าประคองข้าเดินรอบห้องสักสองรอบซี”


ฮ่องเต้รีบประคองไทเฮาคนละข้างกับขันทีเป่าฉวน ท่าทีของฮ่องเต้ดูเศร้าหมองเล็กน้อย


หลังจากเดินอยู่ครู่หนึ่งไทเฮาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย ฮ่องเต้สังเกตเห็นก็ไม่อยากให้ไทเฮาต้องเหนื่อยอีก รีบประคองไทเฮานั่งลง แล้วให้คนรีบจัดโต๊ะอาหาร ไทเฮาและฮ่องเต้นั่งตรงข้ามกัน บนโต๊ะนั้นมีอาหารเจ็ดแปดอย่างว่างเต็มโต๊ะ เมื่อมองดูแล้วก็มีอาหารกว่าเจ็ดอย่างที่ฮ่องเต้โปรดเสวย


ฮ่องเต้สังเกตเห็นก็เจ็บปวดใจ ด้วยถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทตั้งแต่เด็ก เขาถูกอบรมสั่งสอนว่าไม่ให้ลำเอียง แม้แต่อาหารเองก็เป็นไปตามหลักการเดียวกัน ด้วยป้องกันไม่ให้มีคนวางยา ดังนั้นถ้าไม่ใช่เพราะว่าใส่ใจเขาตลอดเวลาก็จะไม่มีทางรู้ความชอบของเขาได้ มีเพียงทุกครั้งที่อยู่ทานอาหารกับไทเฮาเท่านั้นถึงเห็นอาหารที่เขาชอบทานอยู่เสมอ


อีกทั้งเห็นสภาพไทเฮาเช่นนี้ เขาก็พลอยคิดไปถึงภาพเหตุการณ์สมัยเด็ก ยิ่งชวนให้ไม่สบายใจ


เขาคีบเป็ดสมุนไพรที่ถูกตุ๋นจนเละขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วเอาไปวางไว้ที่ถ้วยของไทเฮา เสียงของฮ่องเต้ดูผิดปกติเล็กน้อย “ไทเฮาลองชิมดู ข้าคิดว่าอันนี้รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว”


จางหมัวหมัวกลับเตือนเสียงเบา “ตอนนี้กระเพาะไทเฮาไม่ค่อยดีเพคะ เสวยเนื้อสัตว์เยอะไม่ได้ ชิมแค่คำเดียวก็ต้องหยุดเสวยแล้วเพคะ”


“ข้าให้จิ้งเฟยไปจัดการเรื่องพิธีแล้ว คิดว่าไทเฮาจะต้องหายดีในเร็ววันเป็นแน่” แต่เดิมนั้นไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ฮ่องเต้กลับคิดว่าเป็นวิธีใดก็ได้ ขอเพียงแค่ไทเฮาอาการดีขึ้น เขาก็ยินยอมทั้งหมด


แม่ลูกสองคนค่อยๆ ทานอาหารกลางวันจนเสร็จ จางหมัวหมัวประคองไทเฮาให้เอนตัวที่เตียงอ่อน พลางยิ้มและพูดว่า “วันนี้ไทเฮาเสวยพระกายาหารมากกว่าเมื่อวาน เห็นได้ว่าของว่างของชายารองตวนอ๋องได้ผลนะเพคะ!”


ไทเฮายิ้มแต่ไม่พูด กลับเป็นฮ่องเต้ที่ถามออกมาด้วยความแปลกใจ “ของว่างอะไรกัน?”


จางหมัวหมัวเล่าเรื่องที่ถาวจวินหลันทำของว่างให้กับไทเฮาว่า “ตวนอ๋องช่างกตัญญูนัก ชายารองตวนอ๋องก็กตัญญูเช่นกัน ไทเฮาจะต้องดีขึ้นเพราะความกตัญญูของหลานๆ นะเพคะ”


ไทเฮาหัวเราะพลางพูดขึ้นมาว่า “ข้าเองก็อยาก แต่ถาวซื่อช่างเป็นคนดีเสียจริง มิน่าซวนเอ๋อร์ถึงได้โตมาดีเช่นนั้น และไม่แปลกใจที่ตวนอ๋องจะโปรดปรานนางมากเสียหน่อย ต่อให้เป็นข้าในตอนนี้ก็ชอบนางมากขึ้น ในบรรดาหลานสะใภ้ทั้งหลาย ก็มีเพียงนางที่ใส่ใจหญิงชราอย่างข้าเป็นพิเศษ”


คำพูดของไทเฮานี้ไม่ได้หมายความว่าอย่างอื่น แต่ฮ่องเต้กลับอดคิดไม่ได้ ใช่แล้วพระชายาคังอ๋องนั้นเป็นหลานสะใภ้คนโตก็ไม่เห็นว่าจะมาทำความเคารพไทเฮาทุกวันเป็นประจำ กลับเป็นชายารองของเจ้ารองคนนี้ที่ไปๆ มาๆ ในวังหลวง ส่วนพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องนั้นก็เข้าวังน้อยครั้ง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมืองหลวงเข้าวังยุ่งยากก็จริง แต่ตอนนี้อยู่ที่พระราชฐาน ไทเฮาก็ล้มป่วยอยู่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีคนอื่นมาดูแลปรนนิบัติทุกวัน


พระชายาคังอ๋องไม่ต้องพูดถึง ปกติแล้วฮองเฮาก็เข้ากับไทเฮาไม่ค่อยได้ พระชายาคังอ๋องตกอยู่ตรงกลางก็ทำอะไรมากไม่ได้ อีกทั้งอาการเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ของเด็กสาวสองสามคนในจวนคังอ๋องอีก พระชายาคังอ๋องก็ถือว่าไม่มีแรงทำอย่างอื่นจริงๆ อีกอย่างครั้งนี้ก็ไม่ได้ตามคังอ๋องมาที่พระราชฐานด้วย


แต่เมื่อพูดไปแล้ว ชายารองตวนชินอ๋องก็ไม่ใช่ว่าต้องดูแลลูกหญิงชายหรืออย่างไรกัน? แต่ก็ยังหาเวลามาดูแลใส่ใจไทเฮาได้มิใช่หรือ? เห็นได้ว่าเป็นเพียงแค่มีใจหรือไม่มีใจเท่านั้นเอง ความคิดของพระชายาคังอ๋องนั้นต่อให้มีเวลาว่างทั้งวันก็ไม่เห็นว่าจะมานั่งคิดสิ่งต่างๆ แทนไทเฮา


ดังนั้นจึงพูดได้ว่าพอได้ยินคำพูดนี้ของไทเฮาแล้ว ฮ่องเต้ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจต่อบรรดาลูกชายทั้งหลาย ยกเว้นหลี่เย่


ไทเฮาในพูดเสริมอีกว่า “สุดท้ายแล้วก็เพราะว่าข้าเอ็นดูเขามาตั้งแต่เด็กจนโต ตอนนี้ถึงได้กตัญญูมากกว่าคนอื่นๆ”


ได้ยินดังนั้นอารมณ์ของฮ่องเต้ยิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิม เพราะว่าไทเฮาเอ็นดูเจ้ารอง ถึงทำให้ลูกชายคนอื่นไม่กตัญญูต่อไทเฮา นี่ถูกต้องหรืออย่างไร? ไม่ต้องพูดถึงว่าไทเฮาลำเอียงรักเจ้ารองมากกว่า ต่อให้ไทเฮาไม่เอ็นดูพวกเขาอย่างไรนี่ก็เป็นท่านย่าของพวกเขา ปฏิบัติเช่นนี้ต่อย่าของตัวเองถือว่าอกตัญญู!


“ได้ยินว่าหลายวันก่อนนี้เจ้าดุกล่าวตวนชินอ๋องเพราะว่าถาวซื่อ? เกิดอะไรขึ้นอีก?” ไทเฮายิ้มพูด ท่าทีเป็นธรรมชาติ “หรือเกิดเรื่องเข้าใจผิดขึ้นอย่างนั้นหรือ? ข้าดูแล้วถาวซื่อไม่ได้เหมือนคนที่ทำตัวไม่เหมาะสม”


ฮ่องเต้ดูประหม่าเล็กน้อย คิดจะกลบเรื่องนี้ไป “ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญ เพียงแค่มีคนพูดว่าตั้งแต่ที่เจ้ารองได้รับการแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ถาวซื่อก็ยิ่งโอ้อวดหยิ่งทะนง จึงได้เอ่ยเตือนเล็กน้อย ไม่ถือว่าดุกล่าว”


ไทเฮาขมวดคิ้วในทันที ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้หลุดไป “โอ้อวดหยิ่งทะนง? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เพราะว่าถาวซื่อมาเสแสร้งแกล้งทำต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ?”


ไทเฮาใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้ก็มีท่าทีโมโหขึ้นมา ฮ่องเต้รีบเอ่ยพูดว่า “ไทเฮาโปรดอย่าใจร้อน เรื่องเป็นเช่นนี้ วันนั้นอี๋เฟยหกล้ม ที่จริงแล้วชายารองตวนชินอ๋องก็อยู่แต่ไม่ยอมเข้าไปช่วย รอจนเจ้าแปดเจ้าเก้ามาแล้วถึงเข้าไปพร้อมกัน แต่กลับมีท่าทีเบื่อหน่ายและเย่อหยิ่ง อี๋เฟยมาร้องไห้กับข้าอยู่ทีหนึ่ง อีกทั้งได้ยินว่าถาวซื่อคนนั้นเป็นคนจิตใจเ**้ยมโหด บ่าวไพร่ทำผิดเพียงเล็กน้อยก็ลากออกไปตีให้ตาย กำเริบเสิบสานมากนัก ข้ากลัวว่านางจะสอนซวนเอ๋อร์จนเสียคนหรือขัดขวางเจ้ารอง”


ไทเฮาตกใจเป็นอย่างมาก “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? เหตุใดข้าไม่รู้เรื่องนี้? เรื่องอี๋เฟยหกล้มนั้นเจ้าได้ยินมาอีกทีหนึ่ง หรือว่ามีคนพบเห็นกับตาจริงๆ? ข้าดูแล้วถาวซื่อไม่เหมือนคนเช่นนั้น ส่วนการตีบ่าวไพร่จนตายนั้น…”


ไทเฮาขมวดคิ้วไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างพิจารณา “สุดท้ายก็เป็นบ่าวไพร่ที่ทำผิด ไม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียหมด”


ในตอนนี้ขันทีเป่าฉวนก็พูดแทรกขึ้นมา “เรื่องนี้ข้าน้อยพอรู้อยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ”


สิ้นเสียงขันทีเป่าฉวน ฮ่องเต้กับไทเฮาก็หันมองเขาทันที ฮ่องเต้ยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิม “เจ้ารู้เรื่องอย่างนั้นหรือ?” เขารู้สึกสงสัย ขันทีเป่าฉวนรู้เรื่องในจวนตวนชินอ๋องได้อย่างไรกัน? เพราะว่ากระจายไปจนทุกคนรู้กันทั่ว หรือว่า…


ขันทีเป่าฉวนแสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาสงสัยของฮ่องเต้ เพียงแค่ยิ้มและอธิบายว่า “ฮ่องเต้ทรงไม่ทราบว่าบ่าวที่ถูกโบยตีจนเสียชีวิตนั้นเป็นคนของจวนเพ่ยหยางโหวคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเป็นคนของวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ ไม่ต้องเอ่ยถึงจวนเพ่ยหยางโหว พูดถึงแค่คนในวังของพวกเรา วันนั้นตวนชินอ๋องได้รับบาดเจ็บจนต้องพักอยู่ที่วังหลวงกว่าครึ่งเดือน วันที่ออกจากวังหลวงไปเพราะว่าวังหลวงให้รถม้าไปส่งตวนชินอ๋องกลับจวน ระหว่างทางที่กลับจวนนั้นรถม้าของจวนเพ่ยหยางโหวทำให้รถม้าที่ตวนชินอ๋องนั่งมาตกใจ ที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือขันทีที่บังคับรถม้านั้นรักตัวกลัวตาย ทิ้งรถและวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปเองพ่ะย่ะค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตวนชินอ๋องมีบุญบารมี ผลลัพธ์ที่นั่งในรถม้าไร้คนขับก็พอจะคาดเดาได้ แม้จะเป็นเช่นนั้นบาดแผลที่มือของตวนชินอ๋องก็ยังเปิด ที่โชคดีก็คือบาดแผลที่ขาไม่ได้มีปัญหาอะไรพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นเกรงว่าคงจะพิการเป็นแน่”


สิ้นเสียง ในห้องพลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่ไทเฮาถึงค่อยๆ พูดด้วยความโมโห “บ่าวไพร่เช่นนี้ควรตีให้ตายไปเลย!”


ฮ่องเต้มีสีหน้าไม่ดี นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”


“เรื่องนี้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ชายารองตวนชินอ๋องคิดอยากจะตีให้ตายด้วยตนเอง ในตอนนั้นได้ส่งคนเข้าวังหลวงมาถามขันทีที่คอยดูแลธุระ และเพราะว่าเป็นเช่นนั้นบ่าวถึงได้รู้เรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่ด้วยไม่ใช่เรื่องใหญ่จึงไม่ได้รายงานฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเป่าฉวนอธิบายต่อไป


ฮ่องเต้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก็ถือว่าเป็นการกำจัดความสงสัยในใจของตน


ไทเฮามองฮ่องเต้อย่างคาดโทษทีหนึ่ง พูดกล่าวโทษว่า “เรื่องนี้ฮ่องเต้ลำเอียงฟังความข้างเดียว ส่วนเรื่องที่อี๋เฟยหกล้มนั้น พวกนางกลับมาและบอกข้าว่าถาวซื่อไม่ได้บังเอิญพบอี๋เฟย เรื่องนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


โชคดีที่ตอนนั้นถาวจวินหลันใช้เหตุผลเช่นนี้มาปิดบัง จึงกลายเป็นเหตุผลให้ไทเฮาสงสัยเรื่องนี้แล้ว


ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” จากนั้นสีหน้าก็ขรึมลง “เป่าฉวน เจ้าลองไปถามดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าอยากจะรู้นักว่าใครที่พูดจาเลอะเทอะ?”


ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า “ควรสืบให้ชัดเจน แม้ว่าถาวซื่อจะเป็นชายารอง แต่อย่างไรก็เป็นแม่แท้ๆ ของซวนเอ๋อร์และยังเป็นคนดูแลจวนตวนชินอ๋องตอนนี้ หากเสียหน้าเพราะเรื่องนี้ ต่อจากนี้คงจะส่งผลกระทบไม่น้อยเลยทีเดียว”


ไทเฮาพูดอย่างสง่าผ่าเผย จริงใจไม่ปิดบัง ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกผิดขึ้นมาหลายส่วน ตอนที่เขาว่ากล่าวหลี่เย่กลับไม่เคยคิดมากเช่นนี้มาก่อน รู้สึกเพียงแค่ว่าถาวซื่อก็เป็นเพียงแค่อนุภรรยาเท่านั้น ไม่ว่าจะกักขังหรือฆ่าให้ตายก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่างมากก็หาคนมาเปลี่ยนให้หลี่เย่ดีหน่อยก็เท่านั้นเอง


ไทเฮาไม่ได้ต้องการคำตอบทันที แล้วให้ฮ่องเต้กลับไปเพราะรู้สึกเหนื่อย


พอฮ่องเต้กลับไปแล้ว จางหมัวหมัวก็ประคองไทเฮาให้ไปพักผ่อนบนเตียง อดพูดเย้าไม่ได้ว่า “คราวนี้ไทเฮาช่วยเหลือชายารองถาวมากเลยนะเพคะ”


ไทเฮายิ้ม พูดออกมาช้าๆ “เจ้าว่าที่ถาวซื่อกระตือรือร้นเช่นนั้นเพื่ออะไรกัน? ถ้าบอกว่านางกตัญญูกับข้าจริง ก็เห็นว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด นางปรนนิบัติข้าด้วยใจเช่นนี้ก็เพียงแค่ต้องการเรียกร้องศักดิ์ศรีกลับมาเท่านั้น นางเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรจะต้องเริ่มทำจากตรงไหน อีกทั้งดูจากความผูกพันธ์ที่นางมีต่อเย่เอ๋อร์แล้ว ข้าช่วยเหลือนางก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยหน้าของเย่เอ๋อร์ก็จะได้ดูสดใสมากขึ้น อีกทั้งอี๋เฟยเองก็จะยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว” 

 

 


บทที่ 407 แผนการที่ดี

 

ตอนอาหารเย็น ฮ่องเต้ได้รับคำรายงานจากขันทีเป่าฉวน นิ่งไปนานแล้วถึงกำชับว่า “วันนี้ไปที่วังของจิ้งเฟย ทางอี๋เฟยก็ให้ดูแลครรภ์ให้ดี ข้ามีเวลาว่างแล้วจะไปเยี่ยม อีกอย่างข้าจำได้ว่าของบรรณาการปีนี้มีเพชรขนาดเท่าไข่ห่านอยู่ เอาไปมอบให้ชายารองตวนชินอ๋องเสีย และมอบไข่มุกตะวันออกให้อีกหนึ่งกระบุง”


นี่ถือเป็นรางวัลที่ล้ำค่าเต็มไปด้วยราคา แค่พูดถึงเพชรที่มีขนาดเท่าไข่ห่านชิ้นนั้นก็ถือว่าเป็นของล้ำค่าในบรรดาของล้ำค่า เพชรนั้นไม่ใช่ของที่ผลิตในแคว้น ล้วนนำเข้ามาจากเมืองขึ้นทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเทียบกับอัญมณีอย่างอื่นและด้วยความใหญ่ของเพชรก็จะยิ่งล้ำค่ามากยิ่งขึ้น


ขันทีเป่าฉวนแอบคิดว่า เจ้านายที่พอมีหน้ามีตาในวังหลวงนั้นคาดหวังเฝ้ามองเพชรเม็ดนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ฮ่องเต้เก็บเอาไว้ไม่เคยประทานให้ใคร แต่ตอนนี้กลับคิดไม่ถึงว่าจะประทานให้กับชายารองตวนชินอ๋อง หากเรื่องนี้กระจายออกไปไม่รู้ว่าจะทำให้คนอื่นคิดอิจฉามากเท่าไร  อีกทั้งไข่มุกตะวันออกหนึ่งกระบุงก็น่าอิจฉาเช่นกัน ไข่มุกตะวันออกตอนนี้ผลิตได้น้อยจำนวนจำกัด ปีนี้ที่คัดเลือกออกมาได้ก็มีเพียงไม่กี่กระบุงเท่านั้น ตอนนี้ฮ่องเต้กลับประทานให้หนึ่งกระบุงเลยทีเดียว…


แต่แอบปาดเหงื่อเย็นแทนถาวจวินหลันก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขันทีเป่าฉวนก็ยังยิ้มและนำของรางวัลทั้งหมดไปส่งให้ถาวจวินหลัน


ขันทีเป่าฉวนตั้งใจนำไปมอบให้ตอนกลางวันของวันรุ่งขึ้น และยังไปอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่อีกด้วย ที่แอบแฝงอยู่นั้นก็คือความตั้งใจของฮ่องเต้


อย่างไรก่อนหน้าที่กล่าวโทษถาวจวินหลันและยังว่ากล่าวหลี่เย่ ฮ่องเต้คิดจะกู้ศักดิ์ศรีของหลี่เย่ด้วยการกระทำนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นพูดได้ว่าขันทีเป่าฉวนรู้ใจความคิดของฮ่องเต้อย่างแท้จริง


เมื่อได้รับของพระราชทานถาวจวินหลันก็แปลกใจอย่างมาก รีบหันไปมองหลี่เย่วูบหนึ่งตามสันชาตญาณด้วยคิดว่าเป็นเพราะตัวเขา ใครจะรู้ว่าหลี่เย่กลับไม่รู้เรื่องเช่นกัน


สุดท้ายแล้วก็เป็นขันทีเป่าฉวนที่คลายความสงสัยให้พวกเขา “นี่เป็นของรางวัลที่ฮ่องเต้ประทานให้ชายารองถาวด้วยตั้งใจดูแลไทเฮาเต็มที่ ชายารองถาวคงไม่ทราบ ไทเฮาชื่นชมท่านต่อหน้าฮ่องเต้เสียยกใหญ่”


ถาวจวินหลันและหลี่เย่เข้าใจได้ในฉับพลัน


ถาวจวินหลันรู้สึกซาบซึ้งต่อไทเฮาอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็รู้ได้ว่าที่ไทเฮาทำเช่นนี้เหตุผลส่วนใหญ่แล้วก็เพราะหลี่เย่


ดังนั้นนางจึงยิ้มและพูดกับขันทีเป่าฉวนว่า “เป็นเรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้ว แม้ว่าข้าจะไม่กล้าน้อมรับคำว่าหลานสะใภ้ แต่นั่นเป็นเสด็จย่าของท่านอ๋อง ข้าจะแสดงความกตัญญูย่าของตัวเองก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา”


ขันทีเป่าฉวนหัวเราะและพูดว่า “คำพูดนี้บ่าวจะต้องนำไปถ่ายทอดถึงฮ่องเต้แน่ขอรับ แต่ในเมื่อฮ่องเต้ประทานรางวัลให้ชายารองถาว ถ้าเช่นนั้นย่อมเหมาะสมจะรับรางวัลชิ้นนี้ขอรับ”


หลี่เย่รั้งตัวขันทีเป่าฉวนให้ร่วมรับประทานอาหาร แล้วถึงได้สั่งให้คนส่งขันทีเป่าฉวนกลับวังหลวงไป


รอจนส่งขันทีเป่าฉวนกลับไปแล้ว หลี่เย่และถาวจวินหลันถึงได้ไปดูรางวัลที่ฮ่องเต้ประทานมาให้พร้อมกัน


ถาวจวินหลันเป็นคนมองของออก รู้ว่าไข่มุกตะวันออกนั้นล้ำค่า และยิ่งเห็นว่าไข่มุกตะวันออกแต่ละเม็ดนั้นกลมอย่างมาก ขนาดเล็กใหญ่ก็ใกล้เคียงกัน ก่อนทอดถทอนใจเอ่ยว่า “ตอนนี้ด้านนอกอยากจะซื้อยังยาก คิดไม่ถึงว่าจะได้มามากขนาดนี้ เอามาฝังใส่ปิ่นก็ดี เอามาทำสร้อยข้อมือก็ดี พอใช้อีกเยอะเลย”


หลี่เย่มองวูบหนึ่ง ยิ้มพลางแนะนำว่า “ไม่สู้ไปทำเป็นปิ่นดอกไม้คู่หนึ่ง หรือต่างหู และส่วนที่เหลือก็เอาไปฝังไว้ที่รองเท้าหรือจะเอามาทำเป็นกระดุมก็ดีมากเช่นเดียวกัน”


“ข้าคงไม่คิดเอาไปทำเป็นรองเท้า เสียดแทงสายตามากเกินไป กระดุมก็เช่นกัน ไม่สู้เอาไปทำปิ่นดอกไม้คู่หนึ่งกับต่างหูอีกคู่ ที่เหลือก็เอาไปแบ่งให้องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้า และยังมีจิ้งหลิงและคนอื่นๆ อีก แบ่งกันไปคนละเม็ดสองเม็ด ไม่บังคับว่าจะต้องเอาไปทำตุ้มหูหรือจะเก็บไว้ปักรองเท้าก็ตามใจแล้วเพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มพลางส่ายหน้า และนั่งวางแผนอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หัวเราะและพูดว่า “ยังฝังไว้บนรองเท้าของหมิงจูคู่หนึ่งได้ เข้ากับชื่อของนางพอดีเพคะ”


ที่คิดว่าทิ่มแทงสายตามากเกินไปนั้นเพราะนางเป็นแค่ชายารอง ไม่ดีถ้าจะข้ามหน้าข้ามตามากเกินไป ถ้านางเป็นชายาเอกตวนชินอ๋อง ไม่จำเป็นต้องให้หลี่เย่พูดนางก็กล้าทำเช่นนั้น ต่อให้ฮ่องเต้ไม่ประทานมาให้นางก็ต้องไปไขว่คว้าหามาสองสามเม็ด เพื่อแสดงถึงหน้าตาและตัวตนมิใช่หรืออย่างไร?


แต่ในเมื่อเป็นชายารอง นางก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมกับฐานะของนาง จักให้คนเอาเรื่องนี้ไปติฉินนินทาพูดว่านางไม่รู้ความไม่ได้


แม้นหลี่เย่จะรู้สึกว่าถาวจวินหลันไม่ต้องระมัดระวังเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของนาง เขาจึงไม่ได้พูดกล่อมต่อไป เพียงแค่หยิบเพชรที่มีขนาดเท่าไข่ห่านเม็ดนั้นขึ้นมา หัวเราะและพูดว่า “ชิ้นนี้ให้ช่างเอาไปขัดเสียหน่อย และเอามาทำเป็นปิ่นปักผมก็ดี หรือจะเอาไปฝังในมงกุฎดอกไม้ หากเจ้าคิดว่าทิ่มแทงสายตามากเกินไปก็ให้คนตัดแบ่งเป็นหลายๆ ชิ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ใหญ่พอ”


ได้ยินคำเย้าแหย่ของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็อดกรอกตามองเขาไม่ได้ “ท่านคิดว่าข้าตาไม่มีแววหรือ? อัญมณีของพวกนี้ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งล้ำค่า หากข้าตัดแบ่งจริงก็ถือว่าทำลายของล้ำค่าจากสวรรค์นะเพคะ! ชิ้นนี้ข้าจะเก็บไว้ให้หมิงจูเป็นของติดตัวตอนออกเรือนเพคะ”


“อะไรกัน ข้าตวนชินอ๋องหรือว่าแม้แต่ของติดกายตอนออกเรือนของลูกสาวจะเตรียมให้ไม่ได้เลย? รอจนหมิงจูออกเรือนนั้นข้าจะให้มงกุฎหงส์ฝังอัญมณีห้าสีกับนาง” หลี่เย่พูดด้วยแฝงปณิธานแก่กล้าเอาไว้ “ถึงตอนนั้น อัญมณีชิ้นใหญ่ขนาดนี้คงจะมีไม่ต่ำกว่าชิ้นหนึ่งเป็นแน่!”


ถาวจวินหลันอดเม้มริมฝีปากหัวเราะไม่ได้ “เกรงว่าตอนที่เจ้าบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้า ยังไม่ทันได้มองหน้าตาหมิงจูให้ชัดก็คงสายตาเลอะเลือนเพราะแสงประกายของอัญมณีเหล่านี้แล้ว!”


หลี่เย่คิดภาพตามก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้


หลังจากที่สามีภรรยาทั้งสองคนพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดจุดประสงค์ที่ฮ่องเต้ประทานของรางวัลเหล่านี้มาให้


ถาวจวินหลันหัวเราะและพูดว่า “ไทเฮาต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องนี้เพราะท่านแล้ว วันพรุ่งนี้ท่านควรไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮานะเพคะ”


หลี่เย่ย่อมต้องเข้าใจว่าไทเฮาทำเพื่อตนเอง จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ “ไทเฮาใส่ใจข้ามากที่สุดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” และก็พูดอีกว่า “แต่เสด็จพ่อใช้ชื่อของเจ้ามาทำให้ข้ามีหน้ามีตา ดูแล้วเหมือนรู้ว่าใส่ร้ายเจ้าอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้เกรงว่าทางด้านอี๋เฟยคงถูกทำเย็นชาใส่เป็นแน่”


ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น “เมื่อเป็นเช่นนี้ อีกทั้งผลลัพธ์ของการทำพิธีในวันพรุ่งนี้ เกรงว่าอี๋เฟยคงจะไม่เพียงแค่ถูกทำเย็นชาใส่ง่ายๆ เท่านั้น ต่อจากนี้ไม่มีนางมาคอยเป่าหูฮ่องเต้ คังอ๋องคงจะได้รับผลกระทบไม่น้อยเลยทีเดียว”


ผ่านไปครู่หนึ่งถาวจวินหลันก็คิดถึงหลี่เย่เสนอให้คังอ๋องไปทำพิธีขอฝนแทนฮ่องเต้ ก็ยิ้มให้หลี่เย่อีก “ท่านก็ช่างดีเสียจริง เอาขวากหนามโยนให้คังอ๋อง กว่าคังอ๋องและฮองเฮาจะรู้เรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะแค้นท่านมากเพียงใด”


หลี่เย่ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ “กลัวอะไร? ไม่ช้าก็เร็วจะต้องฉีกหน้าสะสางบัญชีกันอยู่ดี ว่าไป หรือว่าข้าทำเช่นนี้แล้ว คังอ๋องกับฮองเฮาจะไม่คิดแค้นข้าแล้ว? นี่เป็นโอกาสที่ดีข้าจะพลาดไปได้อย่างไรกัน?”


“โชคดีที่ท่านคิดแผนการนี้ได้” ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม รู้สึกว่าแผนการนี้ของหลี่เย่ช่างโหดเ**้ยมเสียจริง


แต่แรกก็เป็นเช่นนั้น ครั้งนี้ไม่ว่าจะขอฝนสำเร็จหรือไม่ เกรงว่าคังอ๋องก็คงไม่ได้รับผลประโยชน์เป็นแน่


ลองคิดดู คังอ๋องขอฝนไม่สำเร็จคนอื่นจะพูดเช่นไร? จะต้องบอกว่าคังอ๋องไม่จริงใจพอ ไม่มีความสามารถทำให้สวรรค์เห็นใจ จนไม่อาจทำให้ฝนตกลงมาจากท้องฟ้าได้ ฮ่องเต้จะพอใจหรืออย่างไรกัน? แน่นอนว่าต้องไม่พอใจ แม้ว่าจะไม่เอ่ยออกมาแต่ในใจคงโทษว่าคังอ๋องทำงานไม่ได้เรื่อง


แต่หากขอฝนสำเร็จ เช่นนั้นฮ่องเต้จะต้องสงสัยคังอ๋อง ตั้งแต่อดีตเรื่องการขอฝนนี้ล้วนเป็นฮ่องเต้ออกโรงด้วยตนเอง ฮ่องเต้เป็นใคร? เป็นมังกรสวรรค์ที่แท้จริง! ในตอนนี้คังอ๋องที่เป็นองค์ชายเล็กๆ สามารถขอฝนได้สำเร็จ เช่นนั้นก็หมายความว่าคังอ๋องถึงจะเป็นมังกรสวรรค์ที่แท้จริง? ถึงเวลานั้นถ้าหากโหมไฟให้แรงขึ้น ข่าวลือกระจายขึ้นมา คังอ๋องก็เหมือนว่าถูกมัดขึ้นไปเผาอยู่บนกองไฟแล้ว


ดีที่ตอนนี้คังอ๋องยังไม่รู้ตัว ด้วยคิดเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ย่อมกลับมายังเมืองหลวงอย่างว่าง่ายและดีใจเป็นอย่างยิ่ง


หากเปลี่ยนเป็นคนที่เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย คงไม่เพียงไม่รับเรื่องนี้ แม้ว่ารับแล้วก็คงจะคิดหาวิธีปฏิเสธไป


หลี่เย่ยิ้มเล็กน้อยแต่กลับส่ายหน้า “พอคังอ๋องกลับมาถึงเมืองหลวง ทางด้านฮองเฮาจะต้องรู้เรื่องนี้เป็นแน่ ฮองเฮาจะให้คังอ๋องจัดการเรื่องนี้อย่างไร ในตอนนี้ยังรู้ไม่แน่ชัด ไม่แน่ว่าฮองเฮาไม่อยากให้คังอ๋องเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไรก็ไม่ดีทั้งนั้น”


ถาวจวินหลันมองไปยังหลี่เย่ รับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เกรงว่าท่านคงคิดถึงเรื่องนี้ไว้นานแล้ว หากฮองเฮาไม่ยอมให้คังอ๋องเข้าร่วมเรื่องนี้จริง ไม่ว่าจะใช้เหตุผลอะไรฮ่องเต้ก็จะต้องรู้สึกว่าคังอ๋องตั้งใจหลีกเลี่ยงเรื่องนี้เป็นแน่ ถึงตอนนั้นในใจก็คงไม่พอใจเหมือนกันไม่ใช่หรืออย่างไร?”


หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง มองดูถาวจวินหลันและพูดว่า “คนที่รู้จักข้าคงมีเพียงจวินหลันคนเดียว” ในใจนั้นกลับรู้สึกเสียดายขึ้นมาอีกครั้ง หากไหวพริบและความรอบรู้ของถาวจวินหลันเกิดกับผู้ชาย ไม่ต้องพูดว่าถึงตำแหน่งราชการ ต่อให้แต่งตั้งอ๋องรับตำแหน่งขุนนางก็ถือว่าคุ้มค่า


แต่ภรรยาของตนเองมีไหวพริบและความรอบรู้เช่นนี้ ไม่เพียงแค่ทำให้เขาพอใจเพราะมีคนชื่นชมเท่านั้นและยิ่งพึงพอใจอย่างมาก อย่างไรพอดูทั่วเมืองหลวงนั้นจะหาผู้หญิงมาเทียบกับถาวจวินหลันได้สักกี่คน? จะเอาชายาเอกของพี่น้องทั้งหลายมาพูดก็ได้จะมีใครบ้างที่เทียบกับถาวจวินหลันได้? ไม่มีแม้แต่คนเดียว


แน่นอนว่านี่ไม่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของถาวจวินหลัน ตอนเด็กๆ นั้นได้รับการสั่งสอนแบบบุตรสาวตระกุลสูงส่ง กฎเกณฑ์มารยาทที่ควรจะมีนั้นก็ไม่หกหาย และเรื่องจัดการเรือนในอย่างไรก็รับรู้และได้เห็นเป็นประจำตั้งแต่ยังเด็ก ของเหล่านี้เมื่อมีแล้วก็ย่อมไม่ได้แตกต่างอะไรกับชายาเอกคนอื่นมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือความยากลำบากที่ถาวจวินหลันเคยได้รับมาก่อนตอนอยู่ในวังหลวง เห็นเรื่องมากมายตั้งเท่าไร?


เมื่อมีประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เมื่อเทียบนางกับพระชายาคนอื่นก็จะมีความนิ่งขรึมและรู้จักกาลเทศะเพิ่มมากขึ้น และยังมีแววตาชาญฉลาดที่มองภาพสถานการณ์ออก และความมั่นใจที่มีต่อคนอื่น


วันรุ่งขึ้นเพราะว่าต้องทำพิธี ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮา แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่ไป หลี่เย่ ฮ่องเต้ องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็อยู่ด้วย


พระสนมสองสามคนที่พอมีหน้ามีตาในวังหลวงนั้นก็อยู่เช่นเดียวกัน นอกจากแค่อี๋เฟยเท่านั้น เพราะนางตั้งครรภ์ฮ่องเต้จึงไม่ยอมให้นางมาสัมผัสเรื่องพิธีมนต์ดำอะไรเหล่านี้


ดูจากแค่เรื่องนี้ก็เห็นได้ถึงความสำคัญที่ฮ่องเต้มีต่ออี๋เฟย


หมอเจ้าพิธีที่เชิญมานั้นเป็นแม่หมอที่มีชื่อเสียง คนผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังในบรรดาประชาชน ได้ยินว่าเป็นคนที่มีความสามารถ ถนัดเรื่องการดูอาการเจ็บป่วยแปลกประหลาดมากที่สุดและอาการป่วยเช่นนี้ของไทเฮาก็ได้ยินมาว่าหายดีไปหลายคนแล้ว


ถาวจวินหลันไม่เคยพบเจอเรื่องพิธีเช่นนี้มาก่อน จึงสนใจเป็นอย่างมาก 

 

 


บทที่ 408 แพะรับบาป

 

​พอพูดขึ้นมาแล้วก็แปลกนัก ตอนที่แม่หมอคนนั้นทำพิธีก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นดู เพียงแค่ขอห้องหนึ่งในเรือนพักของไทเฮาเท่านั้น และให้คนเอาผ้าไปบังช่องตามประตูหน้าต่างเอาไว้ ไม่อนุญาตให้แสงสาดเข้ามาแม้แต่น้อย คนที่คอยช่วยเหลือก็ไม่ใช้คนแปลกหน้า เพียงแค่ใช้ลูกศิษย์ของนางสองคนเท่านั้น


ลูกศิษย์สองคนนั้นก็แปลกประหลาด คนหนึ่งตาบอดตั้งแต่เกิด ส่วนอีกคนหนึ่งก็หูหนวกตั้งแต่เกิด ที่จริงแล้วแม่หมอคนนั้นก็ไม่ปกตินัก ทั้งร่างนั้นให้ความรู้สึกหมองมัว ดวงตาก็เหมือนมีฝ้าบางๆ บดบังอยู่ชั้นหนึ่ง ไม่ได้สว่างสดใส


เพราะแม่หมอพูดว่าฐานะของไทเฮาสูงส่ง ดังนั้นของบรรณาการที่เตรียมมาย่อมต้องล้ำค่าเป็นพิเศษ สัตว์บรรณาการสามอย่างไม่จำเป็นต้องพูดถึง ผลหมากรากไม้ต้องใช้เก้าชนิด โต๊ะพิธีก็ต้องใช้ไม้หลิวและไม้ไหวมาทำชั่วคราว สุดท้ายแล้วก็ใช้ต้นท้อร้อยปีสลักเป็นหยกสมปรารถนาคู่หนึ่งวางไว้บนเตียงของไทเฮา


แน่นอนว่าไม่เพียงเท่านี้ แล้วยังต้องการอัญมณีบูชาแปดอย่างของสำนักพุทธ ยังดีที่ในห้องเก็บของส่วนตัวของไทเฮามีของเหล่านี้ไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่ถึงขั้นตาบอดคลำทาง


เพราะว่าไม่อนุญาตให้คนอื่นอยู่ดู ดังนั้นถาวจวินหลันและผู้หญิงคนอื่นจึงนั่งพูดคุยกับไทเฮาอยู่ในห้อง ส่วนฮ่องเต้และผู้ชายคนอื่นกลับนั่งดื่มชาอยู่ห้องด้านนอก


การรอคอยมักยาวนาน แม่หมอและลูกศิษย์สามคนนั้นเก็บตัวอยู่ในห้องไม่รู้ว่ากำลังยุ่งวุ่นวายกับอะไรอยู่ แต่กลับมีเสียงแปลกประหลาดดังออกมาไม่น้อย บางครั้งก็มีเสียงร้องสูงและเสียงสวดคาถาออกมา แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจทั้งนั้น ส่วนเสียงแปลกประหลาดนั้นฟังแล้วก็ให้รู้สึกว่าไม่ใช่เสียงของมนุษย์


ตัวของไทเฮาเองก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา


จิ้งเฟยกลับสงบนิ่งไม่กระวนวายยิ้มและปลอบไทเฮาว่า “ไทเฮาไม่ต้องกังวลไปเพคะ คนนี้มีความสามารถมากทีเดียว หม่อมฉันตามหานางก็เพราะว่านางมีชื่อเสียงโด่งดัง ได้ยินว่าช่วยคนมาไม่น้อยเลยเพคะ”


ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็มั่นใจขึ้นมาไม่น้อย


กวนผินที่อยู่ข้างๆ และจิ้งเฟยไม่ค่อยลงลอยกันเท่าไร ยิ้มเบิกบานพูดแทรกขึ้นมาว่า “แต่อย่างไรก็น่าหวาดหวั่นเกินไปเสียหน่อย เวลานักพรตนักบวชที่ถูกต้องตามหลักทำพิธีไฉนเลยจะน่ากลัวเช่นนี้? คงไม่ถึงขั้นที่ทำให้คนไม่กล้าดูเช่นนี้”


จิ้งเฟยแค่นหัวเราะ “ทุกฝ่ายทุกสำนักมีใครบ้างไม่มีความลับเป็นของตนเอง? อีกทั้งเดิมก็เป็นวิชาลับ คนปกติจะดูไม่ได้ ไม่เพียงแค่ให้พิธีล่มได้ง่ายขึ้นเท่านั้น และยิ่งทำให้สิ่งของเหล่านั้นเข้าหาตนเอง แม่หมอทำเพราะหวังดีต่อพวกเรา ไม่ว่าอย่างไรก็เพียงแค่มีผลก็ดีแล้ว”


ไทเฮาทนฟังเรื่องพวกนี้ไม่ไหว จึงพูดว่า “พอได้แล้ว เงียบเสีย เสียงดังจนข้าปวดหัวไปหมด”


จิ้งเฟยและกวนผิงทำได้แค่เงียบปากลง


ถาวจวินหลันอดก้มหน้าครุ่นคิดไม่ได้ จากวิธีการพูดของจิ้งเฟย เกรงว่าแม่หมอคนนั้นไม่ใช่เทพเซียนที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเสียเท่าไร เป็นแม่มดหมอผีก็ไม่อาจรู้ได้ หรืออาจจะเพราะว่าเก็บงำความลึกลับถึงได้มีเจตนาสร้างความลี้ลับซับซ้อนหลอกให้คนสับสน?


ตอนที่กำลังวิเคราะห์อยู่ก็ได้ยินเสียงนางกำนัลรายงานมาจากด้านนอก “แม่หมอออกมาแล้วเพคะ!”


เพราะว่าขันทีเป็นคนธาตุหยิน ไม่ถือว่าเป็นชายและหญิง ดังนั้นแม่หมอจึงไม่อนุญาตให้ขันทีอยู่บริเวณใกล้เคียง ตอนนี้ที่เหลืออยู่ในวังจึงมีเพียงนางกำนัลหญิงเท่านั้น


ไทเฮานิ่งไปครู่หนึ่ง “เรียกให้เขาเข้ามาพูดคุย”


ความหมายก็คือทางนี้ต้องการถามคำถาม


เมื่อแม่หมอเดินเข้ามา ฮ่องเต้และคนอื่นๆ ก็ตามเข้ามาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ต้องฟังว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่อย่างไรก็ถือเป็นวัตถุประสงค์ของการทำพิธี


แม่หมอยังไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย มองจากที่ไกลๆ ก็เห็นว่ามีสีสันแปลกประหลาด สีมืดครึ้ม แต่บางครั้งก็มีสีอื่นประกายออกมา พอเดินเข้ามาใกล้และตั้งใจมองให้ดีถาวจวินหลันถึงได้เข้าใจ นี่ไม่ใช่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าธรรมดา แต่เป็นชุดขนนกที่เกิดจากการร้อยขนนกเข้าด้วยกัน


ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีตัวอย่างที่คนเอาขนนกมาร้อยเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเสื้อขน แต่เสื้อขนเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเลือกเอาขนนกที่มีสีสันหลากหลาย แต่เสื้อขนนกของแม่หมอคนนี้กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นขนนกสีเข้มทั้งนั้น มีเพียงแค่บางตำแหน่งที่สีสว่างขึ้นเล็กน้อย


ใบหน้าของแม่หมอไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร บวกกับดวงตาที่แสนพิเศษคู่นั้น จนทำให้ทั้งร่างนั้นยิ่งดูมืดมนจนคนไม่กล้าจ้องมองนางแม้แต่น้อย


ไทเฮากวาดตามองแค่เพียงครั้งเดียวก็ขมวดคิ้ว แต่เมื่อคิดว่าสุดท้ายก็เป็นเพราะลูกหลานกตัญญูคิดกังวลถึงได้คิดใช้วิธีเช่นนี้ จึงเก็บอารมณ์ของตนกลับไป


ใครจะคิดว่าแม่หมอคนนั้นกลับเป็นคนที่มีความสามารถ เพียงแค่พริบตาเดียวก็มองความคิดของไทเฮาออก เอ่ยปากถามฉับพลันทันทีว่า “ไทเฮาไม่เชื่อแม่หมอชราอย่างข้าหรือเพคะ?”


ไทเฮาไร้ซึ่งคำพูด


กวนผินคิดว่านี่เป็นโอกาสให้นางแสดงออก จึงตะโกนออกมาเสียงดังอย่างอาจหาญ “กล้านัก พบไทเฮาแล้วยังไม่รีบคุกเข่าทำความเคารพอีกอย่างนั้นหรือ?”


แม่หมอคนนั้นกลับไม่ได้ทำเรื่องผิดนอกกรอบ ทำความเคารพตามกฎเกณฑ์มารยาท แต่กลับเอ่ยคำถามเดิมออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้ แต่กลับให้คนรู้สึกได้ถึงความหัวแข็งเป็นอย่างมาก จำต้องให้ไทเฮาตอบออกมาเท่านั้น


ไทเฮาอดทนนั่งคิดตอบ “ไม่ว่าข้าจะเชื่อหรือไม่ ขอเพียงแค่เจ้ามีความสามารถจริงแล้วยังต้องกลัวข้าสงสัยไปทำไม?”


แม่หมอคนนั้นได้ยิน ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเอ่ย “เป็นเช่นนั้นจริงเพคะ เป็นข้าที่หัวดื้อไป”


จิ้งเฟยเริ่มรู้สึกขายหน้า จึงรีบถามว่า “การทำพิธีคราวนี้หาสาเหตุที่ไทเฮาประชวรมานานได้แล้วหรือไม่? แล้วมีวิธีกำจัดหรือไม่?”


พอจิ้งเฟยถามเช่นนี้ ฉับพลันนั้นสายตาแฝงแววสอบถามของทุกคนก็มองไปยังแม่หมอคนนั้น


ปฏิกิริยาของฮ่องเต้ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เพราะว่าเป็นลูกชาย และปกติแล้วแม่ลูกก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ความใส่ใจและห่วงใยที่ฮ่องเต้มีต่อไทเฮานั้นพูดได้ว่าจริงใจมากที่สุดในบรรดาคนที่อยู่ ณ ที่นี้ แน่นอนว่าก็ไม่ได้หมายความว่าหลี่เย่ไม่จริงใจหรือไม่เป็นห่วง แต่ว่าการแสดงออกของเขาไม่ได้ชัดเจนเท่าฮ่องเต้ก็เท่านั้นเอง


หากแสดงออกชัดเจนเกินกว่าฮ่องเต้ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรืออย่างไรกัน?


แม่หมอคนนั้นพยักหน้า “ค้นพบสาเหตุแล้วเพคะ วิธีก็ง่ายมากเลยทีเดียว แต่ต้องดูว่าพวกท่านจะทำหรือไม่”


แม่หมอพูดอย่างมั่นใจ ต่อให้ใช้แค่ตามองก็สัมผัสถึงความมั่นใจของนางได้ ถาวจวินหลันสบายใจอย่างบอกไม่ถูก จึงรู้สึกว่าอาการประชวรของไทเฮาจะต้องหายดีเป็นแน่


ไม่รอให้จิ้งเฟยถาม ฮ่องเต้ก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “เจ้าพูดมาว่าเป็นวิธีอย่างไร? ขอเพียงแค่รักษาไทเฮาได้ ข้าจะมอบทองพันแท่งเป็นรางวัลให้เจ้า!”


แม่หมอคนนั้นกลับส่ายหน้า “ข้าเป็นคนเล่นของ ไม่อาจรับของล้ำค่าได้ ขอเพียงแค่เงินประทังชีวิตก็พอแล้วเพคะ ข้าขอเพียงเรื่องเดียว พอถึงวันที่เกิดมหันตภัยขึ้น ก็ให้ฮ่องเต้เห็นใจและประคับประคองประชาชน อย่าได้ทำให้แผ่นดินที่ยิ่งใหญ่นี้กลายเป็นขุมนรกบนผืนดิน!”


คนผู้นี้เอ่ยปากมาก็เป็นคำว่ามหันตภัยแล้ว ทำให้ฮ่องเต้มีสีหน้าหมองคล้ำลงไปในทันใด แต่เมื่อคิดถึงว่าไทเฮาไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ก็ยังว่ากล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าเลิกพูดจาเลอะเทอะ จะมีมหันตภัยได้อย่างไร? ข้าได้ให้คนไปทำพิธีขอฝนแล้ว ไม่นานก็จะมีฝนตกหนักจะต้องผ่อนผันเรื่องความแห้งแล้งได้อย่างแน่นอน!”


แม่หมอคนนั้นหลุบตาลงมองปลายเท้า พูดออกมาเรียบๆ “ทำไมฮ่องเต้จะต้องตื่นตระหนกเช่นนั้นด้วยเพคะ? ข้าก็เพียงแค่พูดสมมติเท่านั้น เวลาที่ควรจะมาก็ต้องมาอยู่ดี ถ้าจะไม่เกิดจริงก็คงไม่เกิดเพราะคำพูดของข้าเพียงคนเดียวหรอกเพคะ”


เมื่อพูดเช่นนี้ก็ทำให้ฮ่องเต้พูดไม่ออก แม้ว่าในใจจะโมโห แต่ใบหน้าและคำพูดก็ยังต้องใจกว้าง “ดี ถ้าเช่นนั้นข้ารับปากเจ้าแล้วอย่างไร? พวกเขาเป็นพสกนิกรของข้า ข้าย่อมเห็นใจพวกเขา ไม่ละเลยชีวิตของพวกเขาเป็นแน่!” หยุดไปครู่หนึ่งก็รีบเร่งว่า “เจ้ารีบพูดวิธีของเจ้าออกมา จะได้ทำให้ไทเฮาหายในเร็ววัน”


“ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชฐานมีผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นเป็นหญิงมีครรภ์ เป็นชะตาของนางที่ขัดกับไทเฮา ถึงทำให้ไทเฮาเป็นเช่นนี้” แม่หมอคนนั้นชี้นิ้วไปที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ปากก็เอ่ยพูดออกมา


คนทั้งหมดล้วนตกใจ ถาวจวินหลันเองก็เสแสร้งแกล้งทำเช่นกัน แต่ในใจของนางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าหญิงมีครรภ์ที่บอกนั้นคือใคร


กลับเป็นไทเฮาที่มองฮ่องเต้ “หรือว่ามีนางสนมคนไหนตั้งครรภ์อีกอย่างนั้นหรือ?”


ฮ่องเต้แม้ว่าจะมีสีหน้าเขียวคล้ำ หลังจากที่มาพระราชฐานแล้ว เขาก็ไปหาบรรดาสนมทั้งหลายน้อยครั้ง ส่วนใหญ่แล้วก็จะไปพักที่วังของอี๋เฟย เขาเองก็อยากจะคิดว่าเป็นคนอื่นที่ตั้งครรภ์ แต่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือกลับมีเพียงอี๋เฟยพักอยู่คนเดียวเท่านั้น!


“ถ้าเช่นนั้นหญิงมีครรภ์คนนั้นเพิ่งจะมีครรภ์หรือ?” ในใจของจิ้งเฟยกระตุกวูบ เหมือนจะจับอะไรบางอย่างได้ ในตอนนั้นในใจก็เกิดความลิงโลดขึ้นมา แต่ก็ยังต้องกดความยินดีนี้เอาไว้ และถามแม่หมออีกครั้ง


แม่หมอส่ายหัว “ข้าลองถอดจิตไปดูแล้ว ดูท่าทางมีอายุครรภ์แปดเดือนได้แล้ว”


อายุครรภ์แปดเดือน? ใช่แล้ว ในท้องของอี๋เฟยก็เหมือนกับครรภ์อายุแปดเดือนจริงๆ


“เป็นเด็กที่ดวงชะตาขัดกับไทเฮาหรือว่าผู้หญิงคนนั้นที่ชะตาขัดกับไทเฮา?” จิ้งเฟยรีบถามออกมา


“เป็นผู้หญิงคนนั้น แต่การตั้งครรภ์นั้นส่งผลให้นางมีอำนาจมากขึ้น เพิ่มอำนาจดวงให้กับนาง ยิ่งครรภ์ใหญ่มากเพียงใด นางก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น และยิ่งขัดกับดวงชะตาของไทเฮามากขึ้น” แม่หมอคนนั้นอธิบายอย่างมีเหตุมีผล และยังพูดกล่อมทุกคนได้


“แต่ก่อนนี้ในวังหลวงไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมพอมาถึงพระราชฐานแล้วถึงได้เกิดขัดกันขึ้นมากะทันหัน?” ฮ่องเต้เริ่มสงสัย อีกคนเป็นแม่แท้ๆ อีกคนเป็นอนุภรรยาและลูก อยากให้เขาเชื่อนั้นย่อมไม่ง่าย


แม่หมอคนนั้นส่ายหน้า อธิบายต่อไป “ภายในวังมีลมมังกรของฮ่องเต้หลายสมัยหลงเหลืออยู่ และยังมีดาวจักรพรรดิส่องประกาย อีกทั้งสถานที่พักของไทเฮาในตอนนั้นก็มีคนอยู่จำนวนมาก และยังได้รับความนับถือ ดังนั้นย่อมต้องไม่กลัวเรื่องเช่นนี้เป็นแน่ แน่นอนว่าพอดึงดันกับฝ่ายตรงข้ามได้ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่ตอนนี้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่และยังขาดแสงส่องประกายของดาวจักรพรรดิ และบวกกับคนไม่เยอะมากพอ แต่ฝ่ายตรงข้ามนั้นกลับมีพลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  ไทเฮาถึงได้ถดถอยลงทุกวัน”


คำอธิบายเช่นนี้ก็ถือว่าพอไปได้ นับว่าสมเหตุสมผล อย่างน้อยหากนางไม่รู้มาก่อนว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ เกรงว่านางคงเชื่อคำพูดนี้เป็นแน่


“ถ้าเช่นนั้นวิธีแก้ไขเล่า?” จิ้งเฟยถามขึ้นมา น้ำเสียงแฝงความตื่นเต้นและยินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของคนอื่นอยู่ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอี๋เฟยยังจะได้ประโยชน์อีกหรือไร? แน่นอนว่าไม่มีทางได้รับประโยชน์ใดๆ อย่างแน่นอน


ถาวจวินหลันหลุบตาลง ในใจคิดว่า ตั้งแต่เมื่อไรกันที่จะงีบนอนแล้วมีหมอนมายื่นให้ถึงที่? นี่อย่างไรเล่า จะต้องรู้ว่าที่จิ้งเฟยแสดงออกอย่างร้อนรนเช่นนี้ ต่อจากนี้ไปหากไม่สงสัยจิ้งเฟยแล้วจะไปสงสัยใคร?


ดังนั้นพูดได้ว่าต่อให้โยนความผิดนี้ให้จิ้งเฟยเป็นแพะรับบาป ก็โทษได้แค่การแสดงออกของนางในวันนี้แล้ว


จะต้องรู้ว่าฮ่องเต้ยามนี้แสดงความหงุดหงิดใจชัดเจนแล้ว


แม่หมอคนนั้นส่ายหน้า “คงไม่สามารถทำเรื่องที่โหดเ**้ยมไร้มนุษยธรรมได้ เพียงแค่แยกกันเท่านั้น และนำหญิงมีครรภ์คนนั้นไปกักไว้ที่สถานที่ห่างไกล และเอายันต์ไปแขวนไว้ที่สี่มุมของเรือน ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว แต่ทางที่ดีที่สุดคือให้ออกห่างมากที่สุดเท่าที่ทำได้”


วิธีนี้ค่อนข้างสะดวก แค่เพียงพาอี๋เฟยไปเก็บตัวไว้เท่านั้น


“ถ้าเช่นนั้นจำต้องทำถึงเมื่อไร?” จิ้งเฟยถามขึ้นมาอีก


“อย่างน้อยก็หลังจากที่คลอด” แม่หมอคนนั้นกล่าว


ทุกคนหันไปมองฮ่องเต้ 

 

 


บทที่ 409 ไม่ห่าง

 

​อี๋เฟยย่อมเทียบกับไทเฮาไม่ได้ ต่อให้ในใจของฮ่องเต้จะให้ความสำคัญกับอี๋เฟยมากกว่าก็ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นฮ่องเต้ หากกล้าทำเรื่องที่อกตัญญูเช่นนี้ก็ต้องได้รับเสียงดุด่าว่ากล่าวจากคนทั่วทั้งใต้หล้าเช่นกัน


ดังนั้นอี๋เฟยจึงถูกกักตัว ตราบจนหลังคลอด


แต่ถาวจวินหลันรู้สึกว่ารอจนถึงตอนนั้นจริง หากว่าอี๋เฟยอยากได้รับความรักความโปรดปรานจากฮ่องเต้อีกก็ยากดั่งปีนสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว


พูดไปก็ถือว่าแปลกประหลาด หลังจากที่ผ่านพิธีในครั้งนี้ไปแล้วนั้นไทเฮาก็ค่อยๆ ดีขึ้น ถาวจวินหลันไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะผลงานของหมอหลวงหรือพิธีนั้นกันแน่ หรือว่าจะมีผลจากทั้งสองฝ่าย?


และในขณะเดียวกันก็มีข่าวแพร่กระจายมาจากเมืองหลวง ระหว่างทางที่คังอ๋องกลับวังหลวงก็ถูกลอบทำร้าย


เมื่อถาวจวินหลันได้ยินข่าวนี้ก็พาลคิดไปว่านี่คือแผนที่ฮองเฮาตั้งใจเอามาใช้ปะทะกับเรื่องนี้ ในเมื่อคังอ๋องถูกลอบทำร้าย เช่นนั้นย่อมต้องไปจัดการเรื่องการขอฝนไม่ทันเป็นแน่


แต่ข่าวต่อจากนั้นกลับเกินความคาดหมายของนาง


คังอ๋องถูกลอบทำร้ายแต่ยังคงฝืนจะไปขอฝนต่อเช่นเดิม และด้วยแสงอาทิตย์แรงเกินไป อีกทั้งมีบาดแผลถึงได้เป็นลมสลบไปบนลานพิธี


ในสถานการณ์เช่นนี้คังอ๋องยังคงยืนกรานจัดการพิธีขอฝนให้เสร็จก่อน ถึงค่อยให้หมอหลวงมาตรวจชีพจรของตนเอง แล้วให้คนกลับไปพักผ่อน ได้ยินมาว่าบาดแผลของคังอ๋องแยกออกจากกัน เลือดแทบจะย้อมเสื้อผ้าไปทั้งหมด ท่าทางเช่นนั้นน่าหวาดหวั่นและนับถือ


เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อเสียงของคังอ๋องที่ซบเซาลงไปก็กลับขึ้นมาโด่งดังอีกครั้ง การกระทำเช่นนี้แพร่กระจายไปท่ามกลางบรรดาประชาชนที่กระวนกระวาย ฉับพลันความเคารพของประชาชนที่มีต่อคังอ๋องก็เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเดิมคังอ๋องก็เป็นลูกชายคนโตจากชายาเอก ดังนั้นในบรรดาคนธรรมดาก็เริ่มมีเสียงพูดคุยขึ้นมา บอกว่าร่างกายของคังอ๋องมีไอมังกร มีแววของความเป็นผู้นำอย่างแน่นอน


และในขณะเดียวกันก็มีขุนนางฝ่ายบุ๋นจำนวนไม่น้อยพูดให้แต่งตั้งคังอ๋องเป็นรัชทายาท และพูดว่ามีเพียงคังอ๋องคนเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวเลือกรัชทายาทที่ดีที่สุด


ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา “ดูท่าทางครั้งนี้เรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทจะไม่สามารถยืดเยื้อออกไปได้อีกแล้ว”


ท่าทางของหลี่เย่ก็ดูไม่ดีนัก พยักหน้าแค่นหัวเราะพลางพูดว่า “สุดท้ายแล้วก็ประเมินความอำมหิตของฮองเฮาต่ำเกินไป เพื่อตำแหน่งรัชทายาท นางสามารถลงมือกับลูกชายของตนได้ลงคอ”


เห็นได้ว่าหลี่เย่ยังคงคิดว่านี่เป็นแผนการของฮองเฮา ไม่ว่าคังอ๋องถูกลอยทำร้ายหรือว่าไปทำพิธีขอฝนทั้งที่บาดเจ็บล้วนเป็นเหมือนกันหมด


แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นแผนการหรือลิขิตสวรรค์ การกระทำเช่นนี้ก็เห็นผลมากนัก


พอเห็นหลี่เย่มีท่าทีหงุดหงิด ในใจของถาวจวินหลันก็เข้าใจว่าเขาคงรู้สึกว่าตัวเขาเองทำให้เกิดสถานการณ์เช่นวันนี้ หรือที่บอกว่าตอนงีบหลับมีคนยื่นหมอนมาให้นั้น และหลี่เย่ก็เป็นคนที่ยื่นหมอนไปให้เอง ตั้งใจเอาไปขัดขาคังอ๋อง แต่ใครจะรู้ว่าแค่พริบตาเดียวก็กลายเป็นการสร้างโอกาสให้ฝ่ายตรงข้าม


ถาวจวินหลันเอื้อมมือไปจับมือของหลี่เย่เอาไว้ เกาฝ่ามือของเขาเบาๆ พูดอย่างหยอกล้อว่า “ต่อให้เขาเป็นรัชทายาทจริง แต่อย่างไรก็ยังไม่ได้ครอบครองตำแหน่งนั้นท่านจะกลัวอะไร? แบบนี้ไม่เหมือนกับหลี่เย่ที่ข้ารู้จักเลย”


หลี่เย่หัวเราะขมขื่น “เรื่องมาถึงตรงนี้ ก็ไม่มีวิธีแล้วจริงๆ หากเขาได้เป็นรัชทายาทเมื่อไร แล้วจะลากเขาลงมาได้ง่ายหรืออย่างไรกัน?”


“ท่านกลัวหรือ?” ถาวจวินหลันถามเสียงเบา เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ทำท่าทีหาเรื่อง “ข้าคิดว่าตวนชินอ๋องหลี่เย่จะไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น”


หลี่เย่ไม่พูดอะไรออกมา เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเขาเริ่มสิ้นหวังแล้วจริงๆ


“ยังคงมีโอกาสอยู่ไม่ใช่หรืออย่างไร? จะยากลำบากแล้วอย่างไรกัน? น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันก็กร่อน มีความอดทนและมุมานะบากบั่นย่อมประสบผลความสำเร็จ” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ พลางให้กำลังใจหลี่เย่ น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนน้ำค้างในฤดูใบไม้ผลิ “หากเป็นแต่ก่อนท่านก็ยังสามารถสละสิทธิ์ยอมแพ้ได้ แต่ว่าตอนนี้…คิดถึงข้า คิดถึงซวนเอ๋อร์ คิดถึงหมิงจู ข้าไม่มีทางให้ท่านยอมแพ้เศร้าโศกเป็นแน่ หลี่เย่ ท่านจะต้องตั้งสติให้ดี ข้าอยู่ข้างหลังท่านตลอดเวลา สามัคคีคือพลัง ข้าเชื่อใจท่าน”


คำพูดนี้มีผลต่อแรงฮึดสู้ของหลี่เย่ แต่ไหนแต่ไรมาถาวจวินหลันก็ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งอะไร และไม่เคยขออะไรจากเขามาก่อน คำพูดในวันนี้กลับแสดงด้านที่นางหลบซ่อนเอาไว้ออกมา โดยเฉพาะสองประโยคสุดท้ายแทบจะทำให้เขาอดใจสั่นไม่ได้


ที่จริงแล้วก่อนที่จะมาพูดสิ่งเหล่านี้กับถาวจวินหลัน เขาก็ได้พูดเรื่องนี้กับพรรคพวกที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นมาแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกว่าโอกาสช่างริบหรี่และน่าหดหู่ท้อแท้


มีเพียงถาวจวินหลันที่พูดอย่างหนักแน่นเช่นนี้ นางเชื่อใจเขา นางสนับสนุนเขา นางรู้สึกว่ายังมีโอกาสอยู่


นี่เปรียบได้กับคนที่ตกลงไปในหลุมดำหาทางออกไม่ได้จนรู้สึกสิ้นหวัง แต่ทันใดนั้นก็เห็นแสงสว่างอยู่ข้างหน้า ความรู้สึกเช่นนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้


ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง รอยยิ้มบางๆ หรือว่าดวงตาเปี่ยมด้วยความหนักแน่นมั่นใจคู่นั้น ต่างก็เหมือนกับน้ำทิพย์ใสที่ไหลรินเข้าไปในใจของหลี่เย่ ฉับพลันนั้นร่างของเขาก็สั่นสะท้าน


หลี่เย่พลิกมือจับมือของถาวจวินหลันเอาไว้แทน ยิ้มอย่างอบอุ่น “ใช่แล้ว กลับเป็นข้าเสียเองที่ตกใจไปเอง” แม้ว่าจะถึงเวลาเข้าตาจน เขาเองก็ไม่มีสิทธิที่จะสละสิทธิ์ยอมแพ้ เป็นเขาที่ลากถาวจวินหลันเข้ามาในวังวนดำมืดนี้ หากเขาสละสิทธิ์ ถาวจวินหลันจะทำเช่นไร?


เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็รู้ว่าหลี่เย่ได้ออกมาจากทางตันแล้ว จึงหัวเราะออกมาด้วยความสบายใจ “นี่ถูกต้องแล้ว นี่ถึงเป็นตวนอ๋องที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ เย็นชา ไร้ที่ติของข้า” จะต้องไม่สนใจเรื่องอะไร ไม่กลัวอะไรแม้แต่น้อย


ถาวจวินหลันเอนตัวไปพิงบ่าของหลี่เย่ พูดเสียงอ่อนหวาน “ขอเพียงแค่มีท่านอยู่ ข้าก็ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น”


หลี่เย่ยิ้ม ไม่ได้ส่งเสียงออกมา แต่ในใจคิดว่า ที่จริงแล้วเขาควรเป็นคนพูดคำพูดนี้มากกว่า


วันรุ่งขึ้นหลี่เย่เองก็ส่งฎีกาเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาท แน่นอนว่าต้องขอแทนคังอ๋อง


ฮ่องเต้มองฎีกาย่อมต้องรู้สึกโมโห เขวี้ยงฎีกาออกไปตรงเท้าของหลี่เย่ในทันใด “แม้แต่เจ้าก็ทำตามพวกเด็กไม่รู้ประสีประสาด้วยหรืออย่างไรกัน!”


เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่ยินยอมแต่งตั้งรัชทายาท แม้ว่าจะไม่มีใครรู้เหตุผล แต่ท่าทีนั้นก็เห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก


หลี่เย่ก้มหน้าลง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้อธิบายออกมาช้าๆ “การกระทำในครั้งนี้ของพี่ใหญ่ทำให้ซาบซึ้งทั้งสวรรค์และพื้นดิน เมื่อวานนี้ที่เมืองหลวงฝนตก แม้แต่ที่พระราชฐานวันนี้ก็เริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝนแล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ น้ำฝนก็จะต้องใกล้ตกลงมาแล้วเป็นแน่ และพี่ใหญ่เป็นทั้งลูกของชายาเอกและเป็นลูกคนโต ก็ยิ่งถูกต้องตามทำนองคลองธรรมมากไปอีกพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้จิตใจของประชาชนเอนเอียง หากเสด็จพ่อยังจะเก็บเรื่องนี้ต่อไปเกรงว่าจะก่อให้เกิดคำว่ากล่าว และหลายปีมานี้พี่ใหญ่ก็ขยันขันแข็งอย่างมาก ย่อมรับผิดชอบงานใหญ่ได้พ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้แค่นหัวเราะติดต่อกัน “จิตใจของประชาชนเอนเอียงอย่างนั้นหรือ! เป็นทั้งลูกของชายาเอกและเป็นลูกคนโตอย่างนั้นหรือ! รับผิดชอบงานใหญ่ได้อย่างนั้นหรือ! ข้ากลับไม่รู้ว่าเจ้าเป็นน้องชายแสนดีที่ทำคุณทดแทนแค้น!”


คำพูดของฮ่องเต้แฝงนัยลึกซึ้ง และผิดหวังอยู่หลายส่วน


หลี่เย่ก้มหน้าลง คำพูดของฮ่องเต้ทำให้เขานึงถึงเรื่องที่ฮองเฮาและคังอ๋องแอบปฏิบัติต่อเขา ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็แทบจะสะกดกลั้นความแค้นเอาไว้ไม่ไหว


แต่เขาก็กดความโกรธแค้นนี้เอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สมองกลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง เขาได้สติกลับมาทันที ฮ่องเต้พูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร? ฮ่องเต้พูดเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ารู้อะไรมาบ้าง มิเช่นนั้นคงไม่พูดออกมาอย่างนี้


ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาใหม่นั้น ความอบอุ่นบนใบหน้าของหลี่เย่ก็ค่อยๆ เย็นเยียบลง แทบจะกัดฟันพูดออกมา “ในใจของลูกนั้นถ้าจะบอกไม่มีความแค้นเลยย่อมต้องเป็นเรื่องโกหก แต่คิดแค้นไปนั่นก็เป็นพี่ใหญ่ของลูก อีกทั้งลูกก็ไม่ได้พูดแทนพี่ใหญ่ แต่เพื่อเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”


“เพื่อข้า?” ฮ่องเต้เลิกคิ้วเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ไม่ควรยื่นฎีกานี้มา”


“แต่ถ้าไม่ยื่นฎีกานี้ ลูกก็จะทำได้แค่มองเสด็จพ่อจมอยู่ในคำว่ากล่าวของประชาชน ตอนนี้ลูกรู้สึกเสียดายอย่างมาก ไม่ควรที่จะยื่นข้อเสนอเช่นนั้น! ในตอนนี้ไม่เพียงแค่จิตใจของประชาชนเอนเอียงเท่านั้น ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบรรดาปัญญาชนก็ทยอยส่งฎีกามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทางด้านเหิงกั๋วกงก็มีความตั้งใจเช่นนี้ จะต้องฉวยโอกาสบีบบังคับเป็นแน่ เสด็จพ่อ ซินพานถูกลอบทำร้ายไม่รู้ร่องรอย นายทหารนำทัพที่ได้มีความสำคัญในราชสำนักส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับจวนเหิงกั๋วกงทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรแล้วก็ไม่สามารถแตกหักได้ มิเช่นนั้นการรบบริเวณชายแดนจะทำเช่นไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ? หาก…จะทำเช่นไร?” หลี่เย่พูดไปพลางคุกเข่าโขกหัวลงไปอย่างแรง “ดังนั้น ลูกจึงจำต้องยื่นฎีกานี้พ่ะย่ะค่ะ!”


ฮ่องเต้มองแผ่นหลังของหลี่เย่นิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงถอนหายใจออกมา “ช่างเถิดๆ”


แต่การกระทำนี้สุดท้ายแล้วหมายความว่าอะไร ฮ่องเต้กลับไม่ได้พูดออกมา เพียงแค่หลี่เย่ถอยออกไป


หลี่เย่ออกมาจากตำหนักใหญ่ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอกดำ ถอนหายใจออกมายาวๆ เรื่องที่ควรทำเขาก็ทำหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่รอเท่านั้น


ที่เขาทำเมื่อครู่นี้ก็ถือว่าเป็นการแสดงความแค้นของตนเองต่อหน้าฮ่องเต้ แน่นอนว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้คาดหวังว่าจะได้เห็น


เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ถือว่าได้แสดงความจริงออกมาต่อฮ่องเต้แล้ว เขาเองก็ไม่มีทางไปถึงได้ยื่นฎีกา หากเลือกได้ เขาเองก็จะไม่ทำเช่นนี้


และที่เขาพูดเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการป้ายยาจวนเหิงกั๋วกงและฮองเฮาต่อหน้าฮ่องเต้


ในขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนฮ่องเต้ จวนเหิงกั๋วกงนั้นถือสิทธิอำนาจทางการทหารมากเกินไป หากบีบคั้นมากเกินไปจนคิดปล้นวังก็ย่อมทำได้ ถ้าแตกหักความสัมพันธ์และถูกบังคับให้แต่งตั้งรัชทายาท ไม่สู้ว่าเสนอตัวเสียหน่อย เหลือที่ให้ตนเองถึงจะดี


คิดถึงของว่างที่ถาวจวินหลันทำเอาไว้รอเขาให้กลับไป หลี่เย่ก็โยนเรื่องกวนใจทั้งหมดลง ยิ้มกว้างพลางรีบเร่งฝีเท้าเดินทางกลับจวน


กลับเป็นฮ่องเต้ที่ปิดประตูไม่รู้ว่าพูดอะไรกับขันทีเป่าฉวน


สุดท้ายแล้วขันทีเป่าฉวนก็ขี่ม้านำของประทานและคนไปที่จวนคังอ๋องในวังหลวง ดูอาการบาดเจ็บของคังอ๋อง และยังถ่ายทอดพระราชโองการของฮ่องเต้ “รอจนคังอ๋องรักษาบาดแผลจนหายดีแล้ว ถึงจะจัดงานแต่งตั้งได้ ดังนั้นคังอ๋องจะต้องรักษาสุขภาพให้ดีถึงจะถูกต้อง อย่าได้ปล่อยปละละเลย รอจนบาดแผลหายดีแล้วต่อจากนี้ไปก็จะแบ่งเบาภาระของฮ่องเต้ได้ดีมากขึ้นขอรับ”


ความหมายที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดนี้นั้นแน่นอนว่ารู้ได้โดยไม่ต้องพูด หลังจากที่คังอ๋องได้ยินแล้วนั้น ความรื่นเริงยินดีบนใบหน้าก็ปิดบังเอาไว้ไม่มิด


คังอ๋องมอบถุงเงินให้ขันทีเป่าฉวนเป็นจำนวนมาก ขันทีเป่าฉวนเอ่ยขอบคุณอย่างเคารพ จากการะทำของขันทีเป่าฉวนนั้นคังอ๋องก็น้อมรับด้วยความสบายใจ ไม่มีท่าทีถ่อมตัวในยามปกติแม้แต่น้อย


ขันทีเป่าฉวนเก็บท่าทางนั้นในสายตา แต่ใบหน้านั้นกลับยิ้มอย่างเคารพยำเกรงมากกว่าเคย ตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามเป็นองค์รัชทายาทแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องไว้หน้าคนแก่เฒ่าอย่างเขา


หลังจากที่ออกมาจวนคังอ๋องแล้วนั้น ขันทีเป่าฉวนก็ยิ้มเยาะ เอียงหน้าหันไปพูดกับลูกศิษย์ของตน “เจ้าจะต้องเข้าใจหลักการหนึ่ง เรื่องดีหรือความสุขไม่ได้คงอยู่เสมอไป ไม่ถึงนาทีสุดท้ายก็อย่าได้รีบสรุปเรื่องราว”


ลูกศิษย์น้อยยามนี้เพิ่งจะอายุสิบสองเท่านั้น ฟังแล้วก็ยังคงมึนงง


ขันทีเป่าฉวนยิ้ม “กลับไปเจ้าพอมีเวลาว่างก็ไปใฝ่หาความรู้จากศิษย์พี่ของเจ้าบ้าง” ตอนนี้ศิษย์คนเล็กเป็นลูกศิษย์คนที่สองของขันทีเป่าฉวน ศิษย์คนโตเป็นใครกลับไม่มีใครรู้ ขันทีเป่าฉวนไม่เคยบอกใครมาก่อน มีเพียงแค่ครูศิษย์สามคนเท่านั้นที่รู้


ศิษย์คนเล็กพยักหน้าอย่างมึนงง “อาการบาดเจ็บของศิษย์พี่ยังไม่หายดี คราวที่แล้วไปเยี่ยมยังทำได้แค่นอนอยู่เลยขอรับ” 

 

 


บทที่ 410 แนะนำ

 

​ตอนที่คังอ๋องดีอกดีใจเพราะคำพูดประโยคนั้นของฮ่องเต้ หลี่เย่กลับใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ทุกวันเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป นอกจากทุกวันตอนเช้าจะไปช่วยฮ่องเต้จัดการเรื่องในราชสำนักบางอย่างแล้ว เขาก็กลับจวนมาใช้เวลาอยู่กับถาวจวินหลัน คนหนึ่งช่วยสอนหนังสือให้ซวนเอ๋อร์ อีกคนหนึ่งทำงานเย็บปักถักร้อย


ภาพเช่นนี้กลับเข้าตาฮ่องเต้เป็นพิเศษ และยิ่งเห็นเขาสำคัญมากขึ้น


ฝนตกหลายวันติดต่อกัน และก็ตกไม่เบาเลยทีเดียว เหมือนกับว่าเอาน้ำฝนจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้มาตกทีเดียวพร้อมกัน เช่นนี้ก็สร้างความลำบากให้กับทุกคน แม้จะบอกว่าไม่ร้อนอบอ้าวอีกแล้ว แค่ก็ต้องเพิ่มชุดอีกตัวหนึ่งอย่างจำใจ อีกทั้งฝนตกนานเกินไปห้องก็มักจะอับชื้น ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่มหรือว่าผ้าม่าน ก็เริ่มชื้นขึ้นมาบ้างแล้ว


ด้วยสภาพภูมิประเทศ จึงมีเรือนจำนวนไม่น้อยที่น้ำขัง วันนี้กู่อวี้จือก็จำต้องย้ายเรือนเช่นกัน


ถาวจวินหลันคิดไม่ตกเล็กน้อย “ซวนเอ๋อร์ดื้อเกินไปแล้ว ทุกวันจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลายชุดนัก ตอนนี้ฝนตกตากผ้าก็ไม่ค่อยแห้ง เกรงว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาจะไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่แล้ว” ความเป็นจริงตอนนี้นางสั่งให้คนทำเสื้อผ้าแบบหามรุ่งหามค่ำแล้ว ไม่เพียงแค่ซวนเอ๋อร์ แล้วยังมีของหมิงจูและหลี่เย่อีก ไม่ขอให้สวยงาม ขอแค่เพียงเอาไว้เปลี่ยนซักได้เท่านั้น รูปแบบของการปักเย็บก็ไม่ต้องมากพิธีนัก


ต่อให้เป็นเช่นนี้นางก็ยังคงเป็นกังวล อย่างไรซะผ้าก็มีจำกัด  แต่ฝนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดตกเมื่อไร


ถาวจวินหลันจึงทำได้แค่ติดวิธีหนึ่ง ให้คนไปขนถ่านมาจากเมืองหลวงสักสองสามคันรถ เหมือนกับที่โรงซักล้าง ด้วยตากผ้าไม่แห้ง จึงทำได้แค่ค่อยๆ อบจนแห้งเท่านั้น


แต่เพราะว่าฝนตกหนักเกินไป ต่อให้ใช้กระดาษมันมาอุดบังรูเอาไว้อย่างละเอียด ก็ยังคงเปียกชื้นไปกว่าครึ่งอยู่ดี ยังดีที่ไม่ได้ให้คนใช้ เพียงแค่นำมาอบเสื้อผ้าเท่านั้น แม้ว่าจะมีกลิ่นควัน แต่หลังจากนั้นมาอบหอมก็จะดีขึ้น


ฝนหนักเช่นนี้ อาการประชวรของของไทเฮาเพิ่งจะดีขึ้น อาการปวดเมื่อยตามข้อเข่าก็ตามมาติดๆ ถาวจวินหลันเลือกถ่านที่ดีหน่อยส่งไปให้ ให้คนจัดการอบเครื่องนอนและเสื้อผ้าของไทเฮาทั้งหมด และเตรียมเตาผิงมืออันเล็ก เอาไว้ลดความเจ็บป่วยจากอาการป่วยเมื่อยข้อกระดูก


สุดท้ายวิธีนี้ก็ให้ไทเฮาผ่อนคลายไปเล็กน้อย


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝนหนักเช่นนี้ ไทเฮาเองก็กังวลเป็นอย่างมาก


ถาวจวินหลันทำได้แค่พูดกล่อม “กังวลไปก็ไร้ประโยชน์เพคะ สวรรค์อยากให้ฝนตก ผู้ใดก็ขัดขวางไม่ได้ ถ้าหากว่าท่านเป็นอะไรไปอีก เกรงว่าฮ่องเต้คงจะไม่สบายใจมากขึ้นนะเพคะ”


“เรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทได้ข้อสรุปแล้วหรือยัง?” ฉับพลันไทเฮาก็ถามอย่างไม่มีต้นไม่มีปลายเหตุ


ถาวจวินหลันอึ้งไป จากนั้นก็ก้มหน้าส่งเสียง “อืม” ออกมาเบาๆ


“ท้ายสุดแล้วอำนาจของญาติสายนอกก็ยังใหญ่” ไทเฮาหัวเราะเยาะ จากนั้นก็ดึงสายตาที่มองทอดไปยังม่านฝนนอกหน้าต่างมาทางถาวจวินหลัน “ตวนอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ยินว่าเขายื่นฎีกาด้วย กล่อมฮ่องเต้ให้แต่งตั้งรัชทายาทอย่างนั้นหรือ?”


ถาวจวินหลันพยักหน้า ไม่ปิดบังไทเฮา “ท่านอ๋องเสนอฎีกาเพคะ อย่างไรแล้วถ้าจะต้องต่อสู้กันเยี่ยงสัตว์ ไม่สู้ไปตามน้ำแล้วค่อยหาโอกาสอีกครั้งเพคะ”


“เขาทำดีมาก” ไทเฮายกยิ้มขึ้นมา ส่งเสียงหัวเราะที่แฝงความชื่นชมออกมา “ท้ายสุดแล้วคนที่เป็นพ่อคน ก็ทำเรื่องอะไรหนักแน่นกว่านัก”


ถาวจวินหลันยิ้มในทันใด “หากท่านอ๋องได้ยินคำพูดนี้คงจะต้องดีใจแน่นอนเพคะ”


“เจ้าเองก็ต้องเตือนเขาบ่อยๆ อย่าได้หมดอาลัยตายยากเพราะความตกต่ำเพียงชั่วครู่” ตอนที่ไทเฮาพูดนั้นได้แฝงนัยที่ลึกซึ้งเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด


“เพคะ หม่อมฉันจะจดจำไว้ให้แม่น” ถาวจวินหลันรับคำอย่างหนักแน่น ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ไทเฮาปฏิบัติเช่นนี้ต่อหลี่เย่แทบไม่มีอะไรจะให้พูด ด้วยเป็นย่าของทุกคน บางทีอาจจะทำได้ไม่ดีนัก อย่างไรก็ลำเอียงมากเกินไปเสียหน่อย แต่สำหรับหลี่เย่กลับดีจนไม่สามารถดีไปได้มากกว่านี้แล้ว


“ใจของเจ้าต้องคิดแน่ว่าข้าลำเอียง” ไทเฮาเหมือนมีวิชาอ่านใจอย่างไรอย่างนั้น


ถาวจวินหลันยิ้ม “ใจคนเรานั้นเอียงมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยมีคนที่อยู่ตรงกลางมาตลอดไม่ใช่หรืออย่างไร? ต่อให้เป็นท่านอ๋องก็ต้องรักและเอ็นดูซวนเอ๋อร์และหมิงจูมากกว่าเสียหน่อย คนอื่นคิดว่าท่านอ๋องลำเอียง แต่สำหรับซวนเอ๋อร์และหมิงจูแล้วกลับถือเป็นเรื่องดี”


“ที่จริงแล้วแม่ของเย่เอ๋อร์ก็เติบโตมาจากในวังหลวง พูดได้ว่านางและฮ่องเต้เป็นเหมือนเพื่อนสมัยเด็ก แต่เดิมข้าคิดเอาไว้ว่าจะเลี้ยงดูนางดั่งองค์หญิง โตขึ้นก็ให้ออกเรือนไป แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะอยากแต่งงานกับนางให้ได้ แต่ว่าตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนได้เลือกพระชายาองค์รัชทายาทเอาไว้แล้ว สุดท้ายจึงเป็นได้แค่ชายารองเท่านั้น” ย้อนกลับไปคิดเรื่องในอดีต สีหน้าของไทเฮาก็เหม่อลอย จากนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ ถึงได้มีท่าทีเยาะเย้ยอยู่บางส่วน


“เพื่อเรื่องนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนและข้าเคยทะเลาะกันครั้งหนึ่ง และเป็นในตอนนั้นที่ตระกูลกู่เริ่มกดหัวฮ่องเต้องค์ก่อน จุดประสงค์ก็เพราะไม่อยากให้ญาติฝ่ายหญิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับราชสำนัก” ร่องรอยเยาะเย้ยบนริมฝีปากของไทเฮายิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ “ยังดีที่คนในตระกูลกู่มีน้อย ข้าเองก็ไม่ยอมให้พวกเขาไปแก่งแย่งชิงดีทรัพย์สมบัติคะคานกันเรื่องอำนาจ จึงได้ผลักเรือไปตามน้ำ แต่คิดไม่ถึงว่ากลายเป็นการทำร้ายแม่ของเย่เอ๋อร์”


ได้ยินไทเฮาพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็พอคาดเดาอะไรบางอย่างออก เห็นได้ชัดว่า ในตอนนั้นเพราะว่าตระกูลกู่ล่มสลาย ฮองเฮาถึงได้กล้าลงมือกับหลี่เย่และแม่ของหลี่เย่อย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่เช่นนั้น นี่ก็เป็นเหตุผลที่ไทเฮามีกำลังแต่ไม่มีแรง


“เพราะว่าตอนแรกตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทเกือบจะหลุดลอยไป ฮองเฮาถึงได้คิดแค้นเรื่องนี้มาโดยตลอด” ไทเฮาหัวเราะเยาะ “เห็นได้ว่าผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งต่างก็หนีไม่พ้นคำว่าริษยา แต่น่าเสียดายของที่ไม่ได้เป็นของนางจะแย่งไปอย่างไรก็ไร้ประโยชน์”


ดังนั้นฮ่องเต้จึงปฏิบัติต่อฮองเฮาเหมือนมีอะไรกั้นกลางอยู่ตลอดเวลา ถาวจวินหลันเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย


“แม่ของเย่เอ๋อร์เป็นลูกสาวคนโตของชายาเอกคนเดียวของพี่ข้า และพี่สะใภ้ของข้าก็เป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทชิดเชื้อเพียงคนเดียวของข้าสมัยยังเป็นสาว” ไทเฮารำลึกความหลัง “นางเป็นคนรู้ความตั้งแต่เด็ก และรู้ว่าต้องกล่อมรัชทายาทให้พัฒนา แต่สิ่งเดียวเลยคือใจอ่อนเกินไป ไม่โหดเ**้ยมพอ ไม่มีแผนการ มิเช่นนั้นก็คงไม่มีจุดจบเช่นนั้นเป็นแน่”


ด้วยไม่มีแผนการ ดังนั้นหลี่เย่ถึงได้ถูกพิษโดยง่าย และถูกกลั่นแกล้งจนถึงขั้นนั้น


“เย่เอ๋อร์ไม่ใช่แค่เพียงหลานแท้ๆ ของข้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนลูกของลูกสาวข้าด้วย เจ้าว่าเช่นนี้ข้าจะไม่ลำเอียงเอ็นดูเขามากกว่าได้อย่างไร? ร่างกายของนางมีสายเลือดตระกูลกู่ของข้า เขาและข้าก็มีสายเลือดที่เหนียวแน่นกันมากกว่าอยู่แล้ว ข้าทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะว่าตระกูลกู่หรืออย่างไรกัน?”


คำพูดนี้ของไทเฮาตรงไปตรงมา และยิ่งกระตุ้นจิตใจคน


ถาวจวินหลันคิดในใจ ถ้าหากว่าเป็นตนเองก็ย่อมต้องเอ็นดูหลี่เย่มากกว่า ยิ่งหวังให้หลี่เย่ได้ครอบครองสมบัติใหญ่


“แต่น่าเสียดายที่ข้าแก่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขาได้ก็มีจำกัด” ไทเฮาถอนหายใจออกมา


ถาวจวินหลันรีบพูดว่า “เหตุใดไทเฮาต้องตรัสเช่นนี้ด้วยเล่าเพคะ? ขอเพียงแค่ไทเฮาสบายดี ท่านอ๋องและข้าก็พอใจแล้ว” อีกทั้งเรื่องเหล่านั้นที่ไทเฮาช่วยหลี่เย่ มีอะไรบ้างที่ไม่เกิดผลขึ้นในเวลาที่สำคัญ?


คังอ๋องไม่ได้เป็นคนหลักแหลมมากนัก ใจก็ไม่โหดเ**้ยมพอ ที่ผ่านมานี้เชื่อฟังฮองเฮาจนเคยชิน ไทเฮาเหลือบมองถาวจวินหลันอย่างแฝงนัย หลุบตาพูดว่า “เรื่องนี้ อาจจะนำไปใช้ได้บ้าง”


ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าไทเฮากำลังแนะนำตนเองอยู่ หรืออาจจะเป็นการแนะนำหลี่เย่ จึงรีบแสดงออกว่าตนเองจำได้แล้ว


ไทเฮาพูดเยอะเช่นนี้ก็เริ่มเหนื่อย จึงให้ถาวจวินหลันออกไป


พอถาวจวินหลันกลับไปแล้ว นางก็เล่าเรื่องที่ไทเฮาพูดวันนี้ให้หลี่เย่ฟัง


หลังจากหลี่เย่ได้ยินแล้ว นานทีเดียวถึงได้สติ ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างตะลึง “ข้าต้องไม่ให้น้ำใจของไทเฮาครั้งนี้เสียเปล่าเป็นแน่”


ถาวจวินหลันให้กำลังใจเขาอีกครั้ง ในใจกลับครุ่นคิดคำพูดสุดท้ายของไทเฮา ไทเฮาบอกว่านำไปใช้ได้บ้าง ถ้าเช่นนั้นต้องนำไปใช้อย่างไร?


ไม่รอให้ถาวจวินหลันเข้าใจ ข่าวคราวทางด้านเหอเป่ยที่ฝนตกไม่หยุดก็แพร่กระจายมาถึงเมืองหลวง


ฮ่องเต้ย่อมนั่งไม่ติดที่ สั่งการออกไปติดต่อกัน “กลับเมืองหลวง” ในตอนนี้ฝนตกหนัก ไม่จำเป็นต้องหลบร้อนแล้ว แต่ถ้าหากว่ารั้งอยู่ต่อไปก็จะทำให้ประชาชนคิดว่าเขาฮ่องเต้คนนี้ทำงานไม่สมหน้าที่


ถาวจวินหลันคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว **บทั้งหลายก็จัดการเก็บเอาไว้เรียบร้อย วันรุ่งขึ้นก็ตามขบวนเสด็จของฮ่องเต้กลับเมืองหลวง ด้วยถนนเป็นบ่อเป็นโคลน ดังนั้นคราวนี้อี๋เฟยจึงไม่ได้ตามกลับไปเมืองหลวงด้วย


ไทเฮากลับตามไปด้วยกัน “ข้ากระดูกเหนียวเช่นนี้ ไม่เป็นไรแน่นอน อีกอย่างกลับไปยังที่คุ้นเคยย่อมสบายใจขึ้น”


ฮ่องเต้สั่งให้เดินทางช้าๆ ไม่อาจให้ไทเฮาเหน็ดเหนื่อยได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แต่เดิมเส้นทางที่ใช้เวลาแค่วันเดียวก็ต้องใช้เวลาไปสามวันเต็มๆ


วันที่สามหลังจากที่เข้าประตูเมืองหลวงไปแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างผ่อนคลายลงเล็กน้อย


รอจนกลับไปยังเรือนเฉินเซียงแล้ว นางก็อดพุ่งเข้าไปในเตียงนุ่มนอนอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้ นั่งรถม้ามาหลายวัน กินนอนอยู่บนรถม้าตลอด ไม่ต้องพูดเลยว่ารู้สึกอย่างไร


หลี่เย่กลับไม่ได้กลับจวนมาพร้อมนาง แต่เข้าไปในวังหลวงพร้อมฮ่องเต้


ถาวจวินหลันพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสั่งให้ห้องครัวทำน้ำแกงขิงเอาไว้ ทำอาหารร้อนน้ำแกงร้อน ตอนที่อยู่บนรถม้านั้นแม้จะบอกว่าได้กินกับข้าวกับปลา แต่ฝนตกขนาดนั้น เวลายกมาก็เย็นหมดแล้ว ที่สำคัญก็คือเป็นอาหารง่ายๆ ทั้งนั้น รสชาติก็ธรรมดา นางทนรับไม่ไหวจริงๆ


ทางด้านเจียงอวี้เหลียนกลับส่งคนมาถามว่าจะให้คืนสมุดบัญชีเมื่อไร


ถาวจวินหลันเอ่ยปากพูดตามสบาย “ส่งมาตอนนี้เลยเถิด ข้าเองก็มีเวลาดู” ดูสมุดบัญชีนั้นเป็นเรื่องรอง ฟังคำรายงานของบรรดาสะใภ้ที่ดูแลจวนเหล่านั้นถึงเป็นเรื่องจริง


นางอยากรู้ว่าตอนที่นางไม่อยู่ในจวนนั้นเจียงอวี้เหลียนทำอะไรบ้าง มีเล่นตุกติกอะไรหรือไม่


คำพูดนี้ถูกถ่ายทอดไปยังเรือนชิวอี๋ เจียงอวี้เหลียนได้ยินก็แค่นหัวเราะในทันใด “ช่างเป็นถาวซื่อที่ฉลาดเสียเหลือเกิน ข้ารู้อยู่แล้วว่านางไม่ไว้ใจข้า กลัวว่าข้าจะเข้าไปขัดขวาง? หึ มองข้าสูงเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้น”


เจียงอวี้เหลียนให้คนนำสมุดบัญชีส่งไปให้อย่างรวดเร็ว


ถาวจวินหลันตรวจสอบอย่างละเอียดก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร และคำรายงานของบรรดาสะใภ้ที่ดูแลจวนก็ไม่ได้มีความผิดปกติ ฉับพลันนั้นนางก็อึดอัดใจ หรือว่าเจียงอวี้เหลียนจะเป็นคนดีแล้วอย่างนั้นหรือ? ช่างน่าประหลาดเสียจริง


แต่สุดท้ายแล้วก็มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่ดูแลเรือนของหลิวซื่อรายงานข่าวหนึ่งว่า เจียงอวี้เหลียนไปที่เรือนของหลิวซื่อ


เจียงอวี้เหลียนไปที่เรือนของหลิวซื่อทำไม? ถาวจวินหลันขมวดคิ้วทันที บ่าวรับใช้เพียงแค่เฝ้าอยู่นอกประตู ย่อมไม่รู้รายละเอียดเป็นแน่ แต่ก็ได้ยินมาว่าเจียงอวี้เหลียนเหมือนจะพูดคุยกับหลิวซื่ออยู่ครู่หนึ่ง


เมื่อเป็นเช่นนี้ถาวจวินหลันก็เริ่มสงสัยทันที 

 

 


บทที่ 411 ทดสอบ

 

​สุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนพูดอะไรกับหลิวซื่อก็ไม่มีคนรู้ ถาวจวินหลันมากเพียงใดก็ทำได้แค่เพียงปล่อยไป


วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันไปที่จวนเพ่ยหยางโหว


ในตอนนี้เมื่อเห็นว่าคังอ๋องจะกลายเป็นรัชทายาท จวนเพ่ยหยางโหวที่ได้แตกความสัมพันธ์กับจวนเหิงกั๋วกงย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีเป็นแน่ ถ้าหากว่าจวนเพ่ยหยางโหวเอนเอียงไปทางฮองเฮาอีกครั้งก็ไม่ดีต่อหลี่เย่


แม้จะบอกว่าตอนนี้จวนเพ่ยหยางโหวยังไม่ได้ลุกขึ้นมาทำอะไร แต่ก็เป็นเพียงเรื่องไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน


ตอนที่ถาวจวินหลันเข้าไปในจวนเพ่ยหยางโหว กลับเป็นกังวลจนแทบจะผ่านประตูเข้าไปไม่ได้ หรือว่าเข้าไปได้แล้วก็ไม่ได้พบ ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริงเรื่องจะต้องไม่ดีเป็นแน่


ยังดีที่ความกังวลนี้ไม่ได้กลายเป็นความจริง นางยังคงเข้าไปพบกับเพ่ยหยางโหวฮูหยินในจวนได้อย่างสะดวกสบายไม่ถูกขัดขวาง


แต่ระยะเวลาหนึ่งที่ไม่ได้พบกัน เพ่ยหยางโหวฮูหยินกลับซูบผอมลงไปมาก เมื่อเห็นว่าถาวจวินหลันมองนางอย่างพิจารณา เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็คลี่ยิ้มออกมา “ช่วงนี้สบายดีหรือไม่?”


คำพูดนี้ของเพ่ยหยางโหวเหมือนดาบสองคม


ถาวจวินหลันยิ้มอย่างเปิดเผย “สบายดีเจ้าค่ะ ทำไมหรือ ฮูหยินไม่สบายหรืออย่างไรเจ้าคะ?”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินนิ่งไป จากนั้นก็หัวเราะเฝื่อนๆ “ก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี ตอนนี้จวนเหิงกั๋วกงได้เสนอมาแล้ว ว่าให้ลูกที่เกิดจากอนุภรรยาแต่งงานกับเฝินหยางโหว”


นี่เป็นกิ่งไม้ที่จวนเหิงกั๋วกงโยนมาให้ ถ้าหากว่าจวนเพ่ยหยางโหวกล้าตอบรับเรื่องนี้ เช่นนั้นต่อไปทั้งสองตระกูลก็จะกลายเป็นญาติเกี่ยวดองกันและพันธมิตร แต่ถ้าไม่ยอมรับ คาดว่าคำตอบก็คงจะรู้ได้โดยไม่ต้องพูดออกมาด้วยซ้ำไป


ถาวจวินหันเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจนัก จวนเพ่ยหยางโหวมีความสามารถในการดึงทุกฝ่ายเข้ามาร่วมเป็นพวกได้ ถ้าไม่ใช่เพราะอำนาจของจวนเพ่ยหยางโหวเองไม่ได้เป็นกระดูกที่เคี้ยวง่ายถึงเพียงนั้นก็เกรงว่าในตอนนี้คงล่มสลายไปนานแล้ว


ด้วยวิธีการของฮองเฮาและเหิงกั๋วกงย่อมไม่อนุญาตให้จวนเพ่ยหยางโหวหักหลังตนเอง


“ถ้าเช่นนั้นความคิดของฮูหยินเล่าเจ้าคะ?” ถาวจวินหลันจิบชา ถามออกมาช้าๆ


เพ่ยหยางโหวฮูหยินกลับถามถาวจวินหลันแทน “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”


ถาวจวินหลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มมองไปที่เพ่ยหยาวโหวฮูหยินอย่างบริสุทธิ์ใจ “ถ้าข้าเป็นฮูหยินก็คงไม่กล้าตอบรับเรื่องนี้ ลูกที่เกิดจากอนุภรรยาแม้ว่าจะไม่มีค่าอะไรแต่ก็ไม่ควรผลักนางเข้ากองไฟ วันนี้พวกเขากล้าบีบบังคับคนเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นรอจนวันหนึ่งมีอำนาจแข็งแกร่งมากขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไรเล่าเจ้าคะ? ตอนนี้จวนเพ่ยหยางโหวยังรักษาตนเองเอาไว้ได้ แต่วันข้างหน้าเล่า?”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่พูดไม่จา แต่ท่าทีคล้ายจะคล้อยตามเล็กน้อย


ถาวจวินหลันเหลือบมอง รู้ว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินยังคงลังเลไม่ได้ตัดสินใจเป็นแน่ จึงผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดว่า “ฮูหยินเป็นคนฉลาด ย่อมต้องรู้ว่าอะไรคือฝูงนกหมด ธนูก็ถูกเก็บ* เลี่ยงตายในดงสุนัข” คังอ๋องเชื่อฟังฮองเฮามากเกินไป แน่นอนว่าไม่ใช่ผู้นำที่ดี


“แต่ศักดิ์ศรีของรัชทายาท…” ใบหน้าของเพ่ยหยางฮูหยินแฝงแววสงสัย


ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ไม่ต้องพูดว่าตอนนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เพียงแค่พูดถึงว่าต่อให้เป็นองค์รัชทายาท อนาคตก็ไม่มีใครรับรองได้ อีกทั้งปัดเรื่องพวกนี้ออกไปไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่พูดว่าฮูหยินรู้สึกว่าควรจะสวามิภักดิ์หรือไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ”


คำพูดที่ควรพูดก็ได้เอ่ยออกไปหมดแล้ว จุดประสงค์ที่นางมาก็เพื่อเอาท่าทีของจวนตวนชินอ๋องมาบอกจวนเพ่ยหยางโหว บอกจวนเพ่ยหยางโหวว่าพวกเขาไม่ได้ยอมแพ้เพราะว่าตกจากอันดับรัชทายาท ทำเช่นนี้ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับจวนเพ่ยหยางโหว อย่างไรแล้วถ้าจวนเพ่ยหยางโหวคิดว่าพวกเขายอมแพ้แล้วจวนเพ่ยหยางโหวจะยึดมั่นต่อไปได้อย่างไร?


มองดูท่าทียังไม่ค่อยเชื่อของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ถาวจวินหลันก็ทำได้แค่อัดหมัดหนักเข้าไปอีก “จวนเหิงกั๋วกงบีบบังคับเช่นนี้ ในใจของฮ่องเต้คงจะไม่สบายใจแน่นอน แม้ว่าตำแหน่งรัชทายาทจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่จวนเหิงกั๋วกงก็ไม่มีทางได้ผลประโยชน์อะไรเป็นแน่”


ขอแค่ไม่มีการข่มขู่จากจวนเหิงกั๋วกง จวนเพ่ยหยางโหวย่อมไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว


เพ่ยหยางโหวฮูหยินเหลือบมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “นี่ก็ถูก นอนขวางเตียงแล้วจะให้คนอื่นนอนด้วยได้อย่างไร?” แม้ว่าวันข้างหน้าคังอ๋องจะได้ครอบครองสมบัติมหาศาลจริง แต่คนที่ต้องลงมือด้วยคนแรกก็คือจวนเหิงกั๋วกงเช่นกัน ไม่มีอย่างอื่น เหตุผลมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น อำนาจบาตรใหญ่


ถ้าอยากเอาอำนาจมาไว้ในมือของตนเอง เช่นนั้นย่อมไม่สามารถปล่อยให้จวนเหิงกั๋วกงทำตัวใหญ่โตได้อีกต่อไป


ถาวจวินหลันพยักหน้า หัวเราะและพูดว่า “เหตุผลเช่นนี้ ในใจของฮูหยินรู้ดีอยู่แล้วเจ้าค่ะ” เมื่อได้พูดคุยกันแล้ว นางกลับไม่ค่อยกังวลว่าจวนเพ่ยหยางโหวจะทำเรื่องที่มีผลเสียต่อหลี่เย่


จวนเพ่ยหยางโหวยังมองแผนออกอย่างที่คาดเอาไว้


ถาวจวินหลันไม่ได้พูดเรื่องกู่ลิ่งจือขึ้นมา เรื่องเช่นนี้ถ้าหากว่าจวนเพ่ยหยางโหวเอนเอียงก็ย่อมต้องเปิดเผยออกมาบ้าง ไม่มีก็ปล่อยไปเช่นนั้น หรือหากนางเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็จะดูมีท่าทีบีบบังคับเร่งรัดเกินไปเสียหน่อย อาจจะทำให้คนรู้สึกไม่พอใจได้


พูดคุยสนทนากันอีกครู่หนึ่ง รอจนร่วมรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นขอตัวลา เวลานี้ก็ใกล้ถึงเวลานอนกลางวันแล้ว ร่างกายไม่มีค่อยมีเรี่ยวแรงนัก รั้งตัวอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย


เพ่ยหยางโหวฮูหยินลุกขึ้นไปส่งถึงประตูรอง ยิ้มและพูดว่า “เจ้าดูว่าเจ้าพอมีเวลาว่างเมื่อไร พาข้าไปดูกู่ลิ่งจือหน่อยเถิด”


ถาวจวินหลันมองเพ่ยหยางโหวฮูหยินอย่างประหลาดใจ ใจรู้ว่าเกิดผลแล้ว จึงรีบรับคำว่า “เพียงแค่ดูว่าฮูหยินจะมีเวลาว่างเมื่อไรเจ้าค่ะ”


“กู่ลิ่งจือนั้นยังมีหน้าที่ราชการต้องทำ ย่อมต้องดูเขา” เพ่ยหยางโหวฮูหยินยิ้มแล้วแล้วพูดออกมาถาวจวินหลันก็ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน “ก็ถูกเจ้าค่ะ ผู้ชายอย่างพวกเขาเทียบกับผู้หญิงอย่างเราก็ไม่ได้ว่างนัก”


เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นถาวจวินหลันก็เล่าเรื่องนี้ให้หลี่เย่ฟัง “แม้ว่าจะเป็นลูกของอนุภรรยา แต่การศึกษาเลี้ยงดูก็ยังพอไปได้ อีกทั้งดูจากฐานอำนาจของจวนเพ่ยหยางโหวต่อจากนี้ไปจะต้องพุ่งขึ้นข้างหน้าอีกอย่างแน่นอน ก็ถือว่าเกาะคนมีคุณสมบัติสูงกว่าแล้ว”


หลี่เย่กลับมีท่าทีไม่รู้สึกรู้สา “ก็ไม่ได้ถือว่าเกาะคนมีคุณสมบัติสูงกว่า รอจนเจ้าได้พบกู่ลิ่งจือเจ้าก็จะรู้เอง ถึงตอนนั้นเกรงว่าทางด้านคุณหนูเพ่ยหยางโหวคงจะตอบตกลงเป็นแน่”


ได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็เข้าใจทันที เกรงว่าตัวของกู่ลิ่งจือเองก็คงมีจุดที่เด่นกว่าคนอื่นทั่วไป อีกทั้งแววตาการมองคนของหลี่เย่ก็แม่นยำมาโดยตลอด อีกทั้งยังสูงมากอีกด้วย กู่ลิ่งจือเข้าตาเขาได้ แน่นอนว่าไม่ต้องธรรมดา


ถ้าหากว่าการแต่งงานครั้งนี้สำเร็จก็จะถือว่าเป็นเรื่องดี อย่างน้อยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาหลายตระกูลก็ยิ่งสนิทสนมมากขึ้นอีกเล็กน้อย ต่อไปเมื่อต้องการถ่ายทอดคำพูดก็จะง่ายมากขึ้น อย่างไรสมาชิกผู้หญิงในหลายตระกูลนี้ล้วนมีความสัมพันธ์เครือญาติ จะมารวมตัวกันบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้


ด้วยต้องให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้พบหน้า ดังนั้นหลี่เย่จึงจัดงานประลองกลอนขึ้นมา เชิญถาวจิ้งผิง เฉินฟู่ กู่ลิ่งจือและยังมีคนที่พอมีความสามารถจำนวนหนึ่งมาร่วมงาน ท่ามกลางคนพวกนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่อายุพอๆ กับเฉินฟู่และถาวจิ้งผิง


วันที่จัดงานเลี้ยง เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็พาลูกสาวของอนุภรรยาสองคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาร่วมงานด้วย ไปนั่งรวมกับสมาชิกผู้หญิงคนอื่นบริเวณหลังผ้าม่าน เพื่อดูนักปราชญ์นักกลอนปะทะบทกลอนกัน


รอจนถึงตอนที่กู่ลิ่งจือออกมา ฉับพลันนั้นถาวจวินหลันก็เข้าใจว่าทำไมหลี่เย่ถึงมั่นใจมากถึงขนาดนั้น จึงอดเอ่ยชื่นชมในใจไม่ได้ ช่างเป็นชายหนุ่มที่หน้าตางดงามเสียเหลือเกิน!


พอเทียบหน้าตาของกู่ลิ่งจือกับหลี่เย่แล้วก็แทบจะไม่แพ้กันเลยแม้แต่น้อย หลี่เย่มีเสน่ห์ที่ทั้งอบอุ่นโดดเด่นและยังเย็นชา ส่วนกู่ลิ่งจือกลับมีเสน่ห์ที่ความสดใสเยี่ยงดวงอาทิตย์ มีทั้งความคมเข้มเช่นชายชาตรี แต่ไม่ได้ดูแข็งกระด้างแม้แต่น้อย อีกทั้งบรรยากาศอบอุ่นที่สะท้อนออกมารางๆ ก็ให้คนแทบจะดึงสายตาออกมาไม่ได้


ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมองเพ่ยหยางโหวฮูหยินและน้องสาวบุญธรรมของนางทั้งสองคน


เพ่ยหยางโหวฮูหยินย่อมต้องมองด้วยสายตาคัดกรองลูกเขย แต่น้องสาวบุญธรรมทั้งสองคนกลับหน้าแดง ทั้งสองคนอายุเท่ากัน หน้าตาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใครเลือกกู่ลิ่งจือก็ล้วนเหมาะสมทั้งนั้น


ถาวจวินหลันมองท่าทางของทั้งสามคนก็รู้ว่าต้องสำเร็จ จึงแค่เยินยอชื่นชมแนะนำมากขึ้นเท่านั้น ตั้งใจมองบรรดาผู้ชายที่กำลังพูดคุยปรึกษากัน เอ่ยปากเล่ากลอน


ท้ายสุดแล้วก็ล้วนเป็นคนมีความสามารถที่ออกมาจากการสอบจอหงวนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการอ้างอิงจากตำรับตำรา หรือว่าเป็นบทกลอนที่เอ่ยออกมาเอง ล้วนแต่เลิศเลออย่างไม่ต้องพูดถึง


แต่ถาวจวินหลันกลับสนใจไปที่ร่างของหลี่เย่มากกว่า ก่อนหน้านี้เพราะหลี่เย่พูดไม่ได้จึงไม่เคยมาร่วมงานประเภทนี้ ตอนนี้พูดได้แล้วย่อมต้องแสดงออกมาบ้าง อีกทั้งถ้าอยากให้คนอื่นเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดใจ หลี่เย่ก็ยิ่งต้องแสดงความสามารถมากมายออกมา


หลายปีมานี้ที่ถาวจวินหลันรู้จักหลี่เย่ ตอนที่อยู่ในวังหลวงก็รู้ว่าความสามารถของหลี่เย่มีไม่น้อย แม้จะบอกว่าตอนนี้ไม่คุ้นตาแต่ก็โดดเด่นอย่างมาก ไม่ได้ดูมีท่าทีเขินอายหวาดกลัวแม้แต่น้อย จิตใจเบิกบานเต็มอิ่มจนคนแทบจะย้ายสายตาไปไหนไม่ได้


รอจนถึงเวลาสมควรแล้ว ถาวจวินหลันถึงพาสมาชิกผู้หญิงถอยออกไปจากทางประตูเล็ก รอจนภายในสวนจัดแต่งชั้นกระถางต้นฝ้าย และทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้หันไปมองเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ยักคิ้วหลิ่วตา


เพ่ยหยางโหวฮูหยินกลับไม่พูดไม่จา เพียงแค่อมยิ้มมองหญิงสาวทั้งสองคน เห็นเพียงทั้งสองคนก้มหน้าลง เขินอายจนใบหน้าแดงเถือก


ถาวจวินหลันกลับเริ่มเป็นกังวลเล็กน้อย ถ้าหากว่าทั้งสองคนนี้ต่างก็ถูกใจกู่ลิ่งจือ เช่นนั้นจะทำอย่างไร?


อยู่ต่อหน้าหญิงสาวย่อมไม่มีใครพูดเรื่องนี้ ถาวจวินหลันหัวเราะหาหัวข้อสนทนาเพื่อดึงความสนใจของทุกคนให้มาร่วมพูดคุย แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพียงเรื่องงานปักเท่านั้น เนื้อผ้า เครื่องประดับต่างๆนานา หรือจะพูดคุยเรื่องซุบซิบที่ไม่ได้รุนแรงอะไร


พอทานอาหารกลางวันไปแล้ว ทางด้านนั้นก็ประพันธ์กลอนกันขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ขาดไม่ได้ที่จะคัดลอกมาให้สมาชิกผู้หญิงได้ชื่นชม


เฉินฟู่เป็นคนที่มีพรสวรรค์แท้จริง ทุกคนต่างเสนอให้เขาเป็นคนเริ่มหัวกลอน กู่ลิ่งจือตามมาเป็นอันดับที่สอง ต่อไปก็คือถาวจิ้งผิง ทั้งสามคนนี้เป็นผู้นำทั้งสามอันดับ


ส่วนหลี่เย่นั้น แม้จะบอกว่าไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ก็ถือว่าพอถูๆ ไถๆ ไปได้


แต่ถาวจวินหลันรู้สึกว่าหลี่เย่ตั้งใจทำ อย่างไรเขาเองก็ไม่ใช้ความสามารถทางศิลป์ทำมาหากิน และวันนี้ตัวละครหลักก็ไม่ใช่เขา จึงไม่จำเป็นต้องทำตัวโดดเด่น


แน่นอนว่านอกจากสามอันดับแรกแล้วก็มีไม่น้อยที่โดดเด่น พออ่านแล้วก็ชวนให้รู้สึกว่ามีกลิ่นหอมลอยอบอวลไปทั่ว


ทุกคนผลัดกันดูคนละรอบแล้วเอามาประเมินพูดคุยกัน หยอกล้อสนุกสนานกันอยู่ครู่หนึ่งจนถึงเวลาบ่ายถึงแยกย้ายกันไป


อย่างไรสมาชิกผู้หญิงก็ไม่เหมือนผู้ชาย ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ร่วมทานข้าวเย็น แต่ทางด้านแขกผู้ชายนั้นได้ยินว่าเรียกคณะละคนมาคณะหนึ่งเพื่อสร้างความสนุกสนาน อีกทั้งในจวนก็มีนางรำอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปกันใหญ่


หลังจากถาวจวินหลันทานข้าวเย็นแล้วก็เอ่ยถาม พอได้ยินว่ายังไม่แยกกันก็ให้ห้องครัวไปเตรียมน้ำแกงสร่างเมาเอาไว้ก่อน รอจนหลี่เย่กลับมาแล้วจะได้ดื่มได้ แต่บรรดาแขกเหรื่อรอจนงานเลิกนั้นก็สามารถดื่มถ้วยหนึ่งแล้วค่อยกลับไปได้


งานเลี้ยงครั้งนี้มีจนถึงตกดึกถึงได้จบลง ถาวจวินหลันไม่ได้ให้คนไปเร่งรัด นักวิชาการชอบดื่มเหล้าไปพูดคุยไป ย่อมต้องกินเวลาอยู่แล้ว


รอจนหลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันสูดดมกลิ่นก็ไม่ได้กลิ่นเหล้ามากนัก แต่กลับได้กลิ่นหอมกระแสหนึ่งแทน จึงหัวเราะและพูดว่า “หรือว่านักวิชาการเหล่านี้จะดื่มน้ำหมึกกันแน่เพคะ?”


หลี่เย่หัวเราะเสียงดัง เอื้อมมือมาจับมือของนางเอาไว้ พูดว่า “มาเถิด เจ้ามาดมก็จะรู้ว่าข้าดื่มน้ำหมึกหรือไม่”


*ฝูงนกหมด ธนูก็ถูกเก็บ (鸟尽弓藏) หมายความว่าเมื่อเรื่องเสร็จแล้วก็ถีบหัวคนที่เคยช่วยทิ้ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม