จารใจรัก 40.1-47

ตอนที่ 40-1

 

ผิ่นจู๋นำคนยกถังไม้ขนาดใหญ่สองใบเข้ามาหลังฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้าไปในห้องแล้ว ข้างในบรรจุน้ำอุ่น บนผิวน้ำโรยด้วยกลีบดอกไม้ เมื่อวางถังไม้หลังฉากกั้นเรียบร้อยแล้ว ผิ่นเหยียนก็ยกน้ำขิงเข้ามาวางบนโต๊ะสองถ้วย 


 


 


           เมื่อทำงานทุกอย่างเสร็จสิ้น ไม่เห็นว่าฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวามีคำสั่งอื่นจึงกลับออกไปพร้อมปิดประตูให้ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาถอดเสื้อคลุมตัวนอกพาดไว้กับราวแขวน ก่อนหันกลับมาบอกฉินเจิง “ดื่มน้ำขิงก่อนเถอะ” 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าก่อนนั่งลงตรงโต๊ะ 


 


 


           เซี่ยฟางหวานั่งลงตาม สองมือประคองถ้วยน้ำขิงขึ้นมาดื่มทีละอึก 


 


 


           ฉินเจิงไม่ได้รีบดื่มทันที หากแต่นิ่งมองนาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาสัมผัสได้ถึงสายตาเขาที่ไม่ยอมละจากไปเสียทีก็เงยหน้ามอง ก่อนเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ” 


 


 


           ฉินเจิงส่ายหน้า ละสายตากลับมาแล้วยกน้ำขิงขึ้นดื่ม 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นเขาไม่บอกก็ไม่ได้ซักไซ้เอาความ 


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ฉินเจิงที่ดื่มน้ำขิงไปครึ่งถ้วยก็ถามขึ้น “เคล็ดวิชาแช่แข็งเรียนมาจากเขาไร้นามหรือ” 


 


 


           “ไม่ใช่” เซี่ยฟางหวาชะงักไปก่อนส่ายหน้าตอบ 


 


 


           “หืม” ฉินเจิงมองนาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาดื่มน้ำขิงหมดแล้ว แม้น้ำขิงค่อนข้างร้อน ทว่านางกลับดื่มรวดเดียวจนเม็ดเหงื่อชั้นบางซึมออกมาอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยตอบ “เคล็ดวิชาแช่แข็งเป็นสิ่งที่ข้าอ่านเจอจากตำราในตู้หนังสือท่านแม่ หลังได้กลับมาเกิดใหม่นางก็ตายไปแล้ว ดังนั้นถือว่าข้าเรียนรู้ด้วยตัวเองกระมัง” 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้ารับ 


 


 


           “มีอะไรหรือ เจ้าคิดว่ามีตรงไหนผิดปกติ” เซี่ยฟางหวาถาม 


 


 


           ฉินเจิงดื่มน้ำขิงจนหมดแล้ววางถ้วยลง ก่อนส่ายหน้าตอบ “ไม่ได้คิดว่าผิดปกติ แค่อยากรู้ก็เลยถามเท่านั้น” พูดจบก็ดึงมือนางลุกขึ้น “ไปอาบน้ำกันเถอะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหน้าแดง แต่ยังคงเดินตามเขาไปหลังฉากกั้นด้วยกัน 


 


 


           หลังฉากกั้นหาได้จุดตะเกียงเพิ่มเติม หากแต่อาศัยแสงสลัวจากห้องชั้นในส่องมายังหลังฉากกั้น 


 


 


           ฉินเจิงปลดอาภรณ์ออกเชื่องช้า รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าเซี่ยฟางหวาลงไปแช่น้ำก่อนแล้ว มีเพียงต้นคอระหงเท่านั้นที่พ้นเหนือผิวน้ำ เขาพลันยิ้มออกมา “เคลื่อนไหวว่องไวนัก” 


 


 


           เซี่ยฟางหวากระแอม เบือนหน้าหลบเขา 


 


 


           ฉินเจิงถอดอาภรณ์จนหมด ไม่ได้ลงไปในถังของตนเอง หากแต่ข้ามมายังถังที่เซี่ยฟางหวาแช่น้ำอยู่ 


 


 


           “เจ้า…” เซี่ยฟางหวาตกใจ อุทานเสียงต่ำขึ้น  


 


 


           “ชู่ว” ฉินเจิงเลื่อนฝ่ามือมาปิดปากนาง เมื่อลงมาแช่น้ำเต็มตัวแล้วก็กอดเรือนร่างอันนุ่มลื่นของนาง พลางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่อยากอาบน้ำเอง คิดว่าเจ้าก็คงเหนื่อยแล้วเช่นกัน ดังนั้นมิสู้อาบด้วยกันดีกว่า เจ้าช่วยข้าอาบ ข้าช่วยเจ้าอาบ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาถูกเขาปิดปากเอาไว้ ใบหน้าแดงซ่านจนพูดไม่ออก 


 


 


           ฉินเจิงปล่อยมือออก โอบกอดนางไว้หัวเราะขึ้นเล็กน้อย “เราแต่งงานและร่วมหอกันมาหลายวันแล้ว เจ้าคงไม่ได้ยังอายอยู่จนถึงตอนนี้หรอกนะ” 


 


 


           “ถ้าตัวเจ้าเองยังไม่อาย แล้วข้าจะอายอะไร” มองเขาแวบหนึ่งก็ย้อนถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ 


 


 


           ฉินเจิงหันใบหน้านางกลับมา ก่อนประกบริมฝีปากลงไป 


 


 


           เดิมทีน้ำในถังไม้อุ่นกำลังดี เมื่อแช่ร่วมกันสองคนก็ยิ่งทวีความร้อนแรงเพิ่มขึ้น ทั้งเพราะเพิ่งดื่มน้ำขิงมา เซี่ยฟางหวาจึงรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังร้อนแผดเผา นางนึกอยากผลักฉินเจิงออกทว่าทำไม่ลง กลับยื่นมือโอบรั้งต้นคอเขาแทน 


 


 


           ฉินเจิงหายใจติดขัด ฝ่ามือที่โอบนางรัดแน่นขึ้น ทวีความลึกซึ้งกับรสจูบนี้ 


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเซี่ยฟางหวาเริ่มหายใจไม่ทันฉินเจิงก็ละริมฝีปากออก โน้มศีรษะซบลงบนไหล่นาง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ยังมีแรงอาบน้ำให้ข้าหรือไม่ ถ้าไม่มีแรงแล้วก็กลับไปนอนกันเถอะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหอบหายใจพักหนึ่ง ก่อนยกมือทุบเขา 


 


 


           “ดูท่ายังมีแรงเหลือ” ฉินเจิงแย้มยิ้มบาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาวักน้ำใส่ตัวเขา ก่อนถูแผ่นหลังให้แผ่วเบา 


 


 


           ฉินเจิงนิ่งพักหนึ่ง ก่อนขยับฝ่ามือวักน้ำแบบเดียวกัน แล้วถูแผ่นหลังให้เซี่ยฟางหวา 


 


 


           “เช่นนี้ต้องตายแน่” ผ่านไปครู่หนึ่งฉินเจิงก็ถอนหายใจออกมา  


 


 


           “หือ” เซี่ยฟางหวาขยี้กลีบดอกไม้ด้วยปลายนิ้ว ถูไล่จากบริเวณเอวลดต่ำลงไป 


 


 


           ฉินเจิงคว้ามือนาง ทันนั้นก็เร่งพลังแผ่วเบาโยนนางไปยังถังไม้ด้านข้าง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาร่วงตกลงไปในถังน้ำใบนั้น เนิ่นนานกว่าจะตั้งสติได้ หันมามองฉินเจิง “เจ้าทำอะไร ไม่อยากให้ข้าถูตรงนั้นหรือ หรืออยากเปลี่ยนที่” 


 


 


           “ไม่กล้าให้เจ้าถูแล้ว” ฉินเจิงหลับตาลง ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา “ถ้าเจ้าถูต่อไปข้าต้องตายแน่” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เข้าใจ 


 


 


           ฉินเจิงเปิดเปลือกตา ทันนั้นก็ยื่นข้อมือไปนวดไล้นาง ถังน้ำสองใบเดิมทีวางอยู่ใกล้กันมาก เพียงเขายื่นมือก็สัมผัสกายเซี่ยฟางหวาได้ แค่วักน้ำใส่แผ่วเบาเซี่ยฟางหวาก็ตัวแข็งทันที หนีสัมผัสเขา ก่อนมองด้วยสายตาพร่างพราว เขาถอนหายใจออกมา “เป็นเช่นนี้ เข้าใจหรือยัง หากยังอาบน้ำด้วยกันต่อข้าคงทนไม่ไหว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวารู้แจ้งทันที เบือนหน้าหนีแล้วกระซิบขึ้นด้วยความอาย “เจ้าหาเหาใส่หัวเอง” 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า ต้องโทษตัวเขาเองที่หาเหาใส่หัวเป็นฝ่ายเข้ามาในถังไม้ก่อน เขาหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ส่งเสียงใดขึ้นอีก 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขา หลังฉากกั้นมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย เขาเอนกายพิงถังไม้ นิ่งสงบดุจภาพวาดอันงดงาม หัวใจนางที่เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะค่อยๆ สงบลง เลียนแบบท่วงท่าพิงถังไม้เช่นเขา เงยศีรษะเล็กน้อยแล้วหลับตาลงบ้าง 


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหรือเงียบสงัดเกินไปกันแน่ เซี่ยฟางหวาเข้าสู่นิทราไปแล้ว 


 


 


           ฉินเจิงลืมตามองนาง ก่อนขยับมุมปากแย้มยิ้มเล็กน้อย เขาแช่น้ำต่ออีกพักหนึ่งก่อนลุกออกมา บรรจงช้อนตัวเซี่ยฟางหวาขึ้นจากน้ำมาอุ้มแนบอก ก่อนดึงผ้าไหมผืนใหญ่มาห่อหุ้มตัวนางไว้ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาขยับตัวราวกับจะตื่นขึ้นมา 


 


 


           “ไม่ต้องอาบน้ำแล้ว นอนเถอะ” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเบา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่งเสียง “อืม” ตอบก่อนซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกเขา ปล่อยให้เขาซับหยดน้ำบนกายให้แห้งสนิท นอนหลับต่ออย่างสงบใจ 


 


 


           ฉินเจิงวางเซี่ยฟางหวาลงบนเตียงก่อนเช็ดตัวเองให้แห้งสนิทเช่นกัน จากนั้นก็ขึ้นเตียงแล้วดึงนางเข้ามากอด 


 


 


           เซี่ยฟางหวาซุกเข้าหาแผ่นอกเขา พึมพำขึ้นก่อนผล็อยหลับไป 


 


 


           แม้เสียงนางเบามาก แต่ฉินเจิงก็ได้ยินคำที่นางพึมพำขึ้นชัดเจน หัวใจเขาสั่นโครมครามชั่วขณะหนึ่ง ผินหน้ามองพบว่านางหลับสบายไปแล้ว เขานิ่งมองนางเนิ่นนานก่อนโน้มใบหน้าลงมาจุมพิตบนกลีบปากนางแผ่วเบาแล้วหลับตาลงบ้าง 


 


 


           นางบอกว่า ‘หมดห่วงแล้ว’ 


 


 


           หมดห่วง… 


 


 


           นึกไม่ถึงเลยว่าจะบอกว่าหมดห่วงแล้ว… 


 


 


           ฝนยังคงตกหนักมากดังเดิม ยิ่งทำให้ภายในห้องเงียบสงัดมากขึ้น เงียบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกแผ่วเบาของสตรีในอ้อมกอด 


 


 


           ผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งเสียงตีบอกเวลายามจื่อดังขึ้น ฉินเจิงถึงค่อยผล็อยหลับไป 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเมื่อรู้สึกตัวก็ลืมตาขึ้นเชื่องช้า ผินหน้ามองพบว่าฉินเจิงยังหลับอยู่ ท้องฟ้าภายนอกมืดครึ้มหากแต่คล้ายกับสว่างแล้ว เพียงแต่ฝนยังคงตกหนักดังเดิมทำให้ไม่รู้เวลา 


 


 


           นางขยับกายพบว่ามีเหงื่อเย็นตามลำตัว เอื้อมมือข้างหนึ่งแกะฝ่ามือฉินเจิงออก พอรับรู้ได้ว่าเขานิ่วหน้าก็กระซิบข้างหู “เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ ข้าจะลุกไปดื่มน้ำ” 


 


 


           ฉินเจิงคลายสีหน้าแล้วนอนต่อ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า ย่างเท้าลงจากเตียงแผ่วเบา สวมเสื้อผ้าแล้วเดินมาที่โต๊ะเพื่อรินน้ำอุ่นจากกาก่อนเดินมาหยุดที่ริมหน้าต่างพลางดื่มน้ำ 


 


 


           ฝนครั้งนี้ตกหนักมาก วันนี้ไม่ได้ตกเบากว่าเมื่อวานแม้แต่น้อย หากยังตกหนักเช่นนี้ไปอีกวันสองวันและตกต่อไป เกรงว่าบางพื้นที่ต้องเกิดอุทกภัยเป็นแน่ 


 


 


           นางดื่มน้ำในแก้วจนหมด หันกลับมามองที่เตียง ฉินเจิงยังคงนอนหลับอยู่ใต้ผืนม่าน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยราวกับไม่ค่อยสบายตัวนัก ทว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา 


 


 


           นางยืนมองเขาเนิ่นนานผ่านม่านกั้นที่ริมหน้าต่าง วางแก้วลงแล้วแต่งตัวให้เรียบร้อย จากนั้นก็ถือร่มพลางเปิดประตูเดินออกมาแผ่วเบา 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินเสียงก็รีบเดินมาหา ยังไม่ทันอ้าปากเซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น “เบาเสียงหน่อย เขายังหลับอยู่” 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบพยักหน้า ลดน้ำเสียงต่ำลง “คุณหนู ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เหตุใดท่านถึงตื่นเช้าเช่นนี้” 


 


 


           “นอนไม่หลับแล้ว” เซี่ยฟางหวามองดอกเหมยกระจัดกระจายบนพื้นเนื่องจากถูกฝนห่าใหญ่โหมกระหน่ำใส่ พักหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ชิงเกอส่งข่าวกลับมาหรือยัง” 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้า ซื่อฮว่าหยิบกระดาษจากใต้แขนเสื้อมาส่งให้เซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเปิดอ่าน ข้างในมีข้อความแถวหนึ่ง เมื่ออ่านจบแล้วก็ทำลายทิ้งจนกลายเป็นเศษผง จากนั้นก็ยื่นมือออกมานอกร่ม ทันทีที่เม็ดฝนกระทบฝ่ามือก็ชะล้างเศษผงบนมือนางจนหมดไป นางชักมือกลับมาแล้วเอ่ยบอกทั้งสอง “ข้าจะไปห้องหนังสือ พวกเจ้าส่งข่าวบอกชิงเกอด้วย” พูดจบก็เรียกซื่อฮว่าเข้ามา 


 


 


           ซื่อฮว่าก้าวขึ้นมา เซี่ยฟางหวากระซิบบอกข้อความข้างใบหู ซื่อฮว่ารีบพยักหน้ารับทราบ 


 


 


           เซี่ยฟางหวากางร่มเดินไปยังห้องหนังสือเล็ก 


 


 


           เมื่อมาถึงห้องหนังสือเล็ก ผลักบานประตูเข้าไปก็เห็นภาพวาดภาพนั้นที่ถูกแขวนไว้บนผนัง นางนิ่งมองพักหนึ่งแล้ววางร่มลง ปิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน 


 


 


           สมัยที่นางเคยเป็นทิงอิน ห้องหนังสือแห่งนี้ค่อนข้างโล่งอย่างเห็นได้ชัด ยามนี้นางออกเรือนเข้ามาแล้ว ภายในสินเดิมมีหนังสือที่นำติดมาด้วยไม่น้อย ทั้งหมดถูกจัดวางเพื่อเติมเต็มให้ห้องหนังสือเล็กแห่งนี้ ยามนี้จึงแออัดจนไม่เหลือที่ว่าง 


 


 


           นางเดินเลียบไปตามชั้นวางหนังสือ กวาดตามองหนังสือแต่ละเล่ม กระทั่งเดินมาถึงชั้นหนังสือแถวที่สามก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากข้างในสุด 


 


 


           เล่มนี้คือพงศาวดารบันทึกท่องเที่ยวพิสดาร 


 


 


           ปกหนังสือค่อนข้างเก่า หน้ากระดาษเหลืองซีดไปแล้ว ดูจากภายนอกไม่แตกต่างอันใดกับหนังสือทั่วไป ทว่าเมื่อเปิดอ่าน ทุกหน้าล้วนมีคนเขียนคำติชมเพิ่มเติมเอาไว้ ผู้ที่เขียนคำติชมใช้ลายมืดหวัด แต่ละหน้าคล้ายกับอ่านจบแล้วค่อยลากพู่กันเขียนอย่างไม่ใส่ใจ ทว่ากลับติชมได้เฉียบแหลมตรงไปตรงมา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพิงผนังอ่านหนังสือเล่มนี้ทีละหน้า 


 


 


           หน้าแล้วหน้าเล่าผ่านไป 


 


 


           ขณะอ่านมาได้ครึ่งเล่ม ประตูห้องก็ถูกคนผลักออกจากภายนอก นางได้ยินการเคลื่อนไหวก็เงยหน้ามอง พบว่าฉินเจิงยืนอยู่หน้าประตูกำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาไม่ได้กางร่มมาด้วยทำให้เสื้อผ้าและเส้นผมเปียกฝนเล็กน้อย ราวกับเพราะรีบมา ลมหายใจจึงค่อนข้างหอบกระชั้น 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขาแล้วคลี่ยิ้มบางก่อน “ตื่นแล้วหรือ” จากนั้นก็ขมวดคิ้วใส่ “ทำไมไม่กางร่มมา” 


 


 


           ฉินเจิงปิดประตูแล้วตรงมาหานาง ใบหน้ายังคงบึ้งตึงเหมือนเดิม “เจ้าลุกลงจากเตียงเงียบเชียบ เหตุใดถึงไม่ปลุกข้า” 


 


 


           “เมื่อคืนเจ้าน่าจะนอนดึก ข้าตื่นมาแล้วนอนต่อไม่หลับ เห็นว่าเจ้ายังหลับอยู่จึงไม่อยากปลุกเจ้า เลยมาหาหนังสืออ่านที่นี่แทน” เซี่ยฟางหวาวางหนังสือลง ปัดหยดน้ำที่เกาะบนตัวและเส้นผมเขาออก ส่วนที่นางปัดผ่านซับหยดน้ำจนแห้งสนิททันที 


 


 


           “หาหนังสือใดมาอ่าน” สีหน้าฉินเจิงปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อย 


 


 


           “เล่มนี้” เซี่ยฟางหวาส่งให้เขา 


 


 


           ฉินเจิงมองแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เม้มปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “หนังสือมีตั้งมากมาย เหตุใดถึงได้หยิบเล่มนี้มาอ่าน” 


 


 


           เซี่ยฟางหวายิ้มตอบ “ข้าก็แค่มองหาไปเรื่อยๆ มองไปมองมาก็เจอเล่มนี้เข้า พอเห็นว่าข้างในเจ้าเขียนคำวิจารณ์ติชมเอาไว้จึงหยิบออกมาอ่าน” หยุดชั่วครู่แล้วถามขึ้น “เจ้าติชมไว้ตั้งแต่เมื่อไร” 


 


 


           “หลายปีก่อนกระมัง” ฉินเจิงครุ่นคิด 


 


 


           “กี่ปีก่อนกันแน่เล่า” เซี่ยฟางหวาซักถามต่อ 


 


 


           “จำไม่ได้แล้ว” ฉินเจิงฉวยหนังสือในมือนางมาวางลง “ตรงนี้อากาศเย็น เจ้าสวมเสื้อผ้าบางขนาดนี้ กลับกันเถอะ” 


 


 


           “เอาเล่มนี้ไปด้วย” เซี่ยฟางหวาหยิบหนังสือขึ้นมาใหม่ เห็นว่าเขามองมาก็ยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ต้องไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกแล้ว ข้าเองก็ว่างมาก จะได้อ่านหนังสือฆ่าเวลา” 


 


 


           “เจ้ายังต้องเย็บเสื้อผ้าให้ข้าอีก” ฉินเจิงไม่ว่าอะไรกับหนังสือที่นางถืออยู่ จูงมือนางเดินออกไป 


 


 


           “วางใจได้ เพียงพอให้เจ้าสวมใส่แน่นอน” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม 


 


 


           เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ฉินเจิงกางร่มให้ตนเองกับเซี่ยฟางหวา จากนั้นก็ออกมาจากห้องหนังสือเล็ก 


 


 


           เมื่อกลับมาถึงห้อง ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยกน้ำสะอาดเข้ามาให้ทั้งคู่ได้ล้างหน้าล้างตา เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยดีแล้ว ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ยกอาหารเข้ามาให้ พอทั้งคู่ทานมื้อเช้าร่วมกันเสร็จ เซี่ยฟางหวาจะอ่านหนังสือ ฉินเจิงกลับแย่งหนังสือนางมาแล้วลากนางไปเย็บเสื้อผ้าต่อ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาจนปัญญา จำต้องจับผ้าดิ้นเงินดิ้นทองพร้อมเข็มกับด้าย โดยมีฉินเจิงเป็นผู้ช่วยด้านข้าง

 

 

 


ตอนที่ 40-2

 

ช่วงเช้าผ่านไปโดยไม่รู้ตัว 


 


 


           ตกบ่าย ชุนหลานมาเชิญทั้งคู่ไปทานมื้อกลางวันที่เรือนหลัก ทั้งคู่กางร่มออกจากเรือนลั่วเหมย 


 


 


           เดินผ่านศาลาริมทะเลสาบมรกต พบว่าน้ำในทะเลสาบสูงขึ้นหนึ่งจั้ง หากยังสูงเพิ่มอีกหนึ่งจั้งก็แทบจะเสมอกับระดับพื้นดินแล้ว 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองฝนที่ยังไม่ยอมหยุดตกแล้วเอ่ยขึ้น “สังเกตสภาพท้องฟ้าแล้ว เกรงว่าฝนครั้งนี้จะยังตกติดต่อกันอีกสองวันสองคืน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าหลายพื้นที่ต้องเกิดอุทกภัยเป็นแน่” 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า 


 


 


           ทั้งคู่เดินมาถึงเรือนหลัก อิงชินอ๋องกับพระชายานั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว อิงชินอ๋องมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก สีหน้าของพระชายาก็ย่ำแย่เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นทั้งคู่มาถึง พระชายาอิงชินอ๋องก็เรียกทั้งสองมากินข้าว 


 


 


           “ท่านแม่ เป็นอะไรไป ทะเลาะกันอีกแล้วรึ” ฉินเจิงนั่งลงแล้วถามขึ้น 


 


 


           “พ่อเจ้าเป็นห่วงบ้านเมืองกับประชาชน เห็นฝนตกหนักถึงเพียงนี้ก็นอนไม่หลับทั้งคืน พลอยทำให้ข้านอนไม่หลับไปด้วย เช้ามาก็คิดจะเข้าวังหลวงแต่ข้าห้ามไว้ พอเขาไม่มีความสุข ข้าที่เป็นคนกลางก็อารมณ์เสียไปด้วย” พระชายาแค่นหัวเราะขึ้นมา ถลึงตามองอิงชินอ๋อง  


 


 


           “ท่านอายุปูนนี้แล้ว บุกไปวังหลวงก็ทำอันใดไม่ได้ หรือว่าจะวิ่งไปขุดลอกคูคลองแทน” ฉินเจิงหัวเราะเยาะก่อนกล่าวกับอิงชินอ๋อง  


 


 


           “ข้าอายุปูนนี้แล้วก็ยังแข็งแรง ออกไปขุดลอกคูคลองยังได้” อิงชินอ๋องตอบ 


 


 


           “ถึงท่านไปขุดลอกคูคลอง แต่ท่านเข้าใจเรื่องนี้หรือ จะขุดลอกได้หรือไม่” ฉินเจิงย้อนถาม 


 


 


           อิงชินอ๋องหน้าหงาย แต่ยังคงกล่าวต่อ “แต่มวลน้ำมากเช่นนี้ ประชากรในหนานฉินไม่รู้เท่าไรกำลังประสบความลำบากเพราะถูกน้ำท่วม ที่นามากน้อยเพิ่งจะหว่านเมล็ดลงไป หากถูกน้ำท่วมขัง เช่นนั้นฤดูเก็บเกี่ยวปีนี้คงย่ำแย่ หากราษฎรลำบากยากแค้นจนต้องย้ายถิ่นกันออกไป กิจการบ้านเมืองต้องชะลอลงเป็นแน่ จะเป็นการดีได้อย่างไร” 


 


 


           “กังวลเกินเหตุจริงด้วย” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “เรื่องพวกนี้ควรเป็นเสด็จอาที่ต้องกังวล หากท่านกังวลใจแทน เดิมทีเป็นท่านอ๋องแต่กลับกังวลงานของเสด็จอา ข้าว่าท่านควรฆ่าตัวตายเสียตอนนี้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีอายุยืนยาว” 


 


 


           “เจ้า…” อิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป โมโหขึ้นว่า “พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า” 


 


 


           “ข้าพูดผิดรึ” ฉินเจิงมองเขาก่อนตักน้ำแกงไก่ให้เซี่ยฟางหวาแล้วเลื่อนมาวางตรงหน้านาง จากนั้นก็กล่าวกับอิงชินอ๋อง “ข้าว่าท่านอย่ากังวลไปเลย เสด็จอาแค่ทรงแกล้งประชวร” 


 


 


           “อะไรนะ” อิงชินอ๋องผงะตกใจ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องก็ตกใจเช่นกัน รีบถามขึ้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” 


 


 


           ฉินเจิงมองเซี่ยฟางหวา ไม่เอ่ยคำใดอีก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาจนปัญญา ทุกครั้งที่ฉินเจิงมองนางเช่นนี้มักจะผลักเรื่องทั้งหมดให้นางเป็นฝ่ายพูดแทน ไม่รู้ว่าเขาขี้เกียจพูดให้เปลืองน้ำลายหรือนางค่อนข้างมีทักษะการพูดโน้มน้าวกันแน่ นางเผชิญหน้ากับสายตาของทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้น “ตอนไปทำพิธียกน้ำชาขอบคุณที่วังหลวงวันนั้น ข้าได้สังเกตสีหน้าของฝ่าบาท และมั่นใจว่าพระองค์ทรงแกล้งประชวรเป็นแน่” 


 


 


           “เพราะเหตุใด” อิงชินอ๋องชะงัก 


 


 


           “เป็นไปได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่ว่า…” พระชายามองเซี่ยฟางหวา “ยาห่อนั้น…” 


 


 


           “ฝ่าบาททรงประชวรจริง แต่อาการประชวรของพระองค์ไม่ถึงขั้นกำเริบไวเช่นนี้ ตอนนั้นข้าบอกกับท่านว่าวินิจฉัยจากกากยานั้นน่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสองปี แต่ท่านไม่คิดว่าอาการประชวรกำเริบกะทันหันไปหรือ เพียงพริบตาก็ราวกับทนไม่ไหวแล้ว” เซี่ยฟางหวากล่าว “ก่อนหน้านั้นท่านก็ทราบว่าข้ามิได้พบฝ่าบาทบ่อย จึงไม่มีโอกาสได้สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ตอนพิธียกน้ำชาขอบคุณข้าถึงได้สังเกตเห็นว่าพระองค์ทรงประชวรจริงๆ แต่อาการในตอนนี้ต่างจากโรคที่พระองค์ประชวร มองไม่เห็นถึงความอับเฉาบนสีหน้า คล้ายกับเสวยโอสถชนิดหนึ่งเข้าไปเพื่อสร้างโรคขึ้น” 


 


 


           “เจ้าแน่ใจหรือ” อิงชินอ๋องถามขึ้น 


 


 


           เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “วิชาแพทย์ของข้าแม้ไม่เข้าขั้นเซียน แต่ก็มองออกว่าใครบ้างแกล้งป่วยต่อหน้าข้า” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “อย่างไรข้าก็เคยแกล้งป่วยมาก่อน” 


 


 


           อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็พูดไม่ออก 


 


 


           “พระองค์จะทำอันใดกันแน่” พระชายาอิงชินอ๋องโมโห 


 


 


           “ดังนั้นท่านแกล้งป่วยอยู่บ้านอย่างเชื่อฟังเถอะ หากแกล้งต่อไปไม่ได้ ข้าก็ไม่ลังเลที่จะให้นางเขียนใบสั่งยาทำให้ท่านป่วยจริงๆ จะได้ไม่ต้องทรมานตัวเองและทรมานท่านแม่ให้ว้าวุ่นใจด้วย” ฉินเจิงกล่าว 


 


 


           “ข้าเห็นด้วย” พระชายาอิงชินอ๋องสมทบ “หวาเอ๋อร์ ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วก็เขียนใบสั่งยาให้เขา ข้ายอมเฝ้าดูแลเขาข้างเตียงดีกว่าต้องทะเลาะกับเขาจนปวดหัว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวายิ้ม ไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           อิงชินอ๋องเงียบลงพักหนึ่งก่อนถอนหายใจออกมา “ที่ผ่านมาข้าคิดไปเองว่ารู้จักฝ่าบาทดีแล้ว แต่ตอนนี้นับวันก็ยิ่งไม่รู้จัก” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ช่างเถอะ ให้ข้าป่วยจริงก็ดี” 


 


 


           ครั้งนี้พระชายาไม่ได้กล่าววาจากระตุ้นเขาอีก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นว่าฉินเจิงกินข้าวต่อโดยไม่สะทกสะท้าน นางจึงกินข้าวเงียบๆ เช่นกัน 


 


 


           หลังกินข้าวเสร็จ อิงชินอ๋องกลับเป็นฝ่ายทวงขึ้นเอง “หวาเอ๋อร์ เขียนใบสั่งยาให้ข้าเถอะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองพระชายาอิงชินอ๋องแวบหนึ่ง พบว่าขอบตานางคล้ำเล็กน้อย จึงมองไปยังฉินเจิงก็พบว่าเขาไม่ได้คัดค้าน นางพยักหน้ารับ หยิบขวดหยกจากอกเสื้อมาส่งให้เขา “ในนี้มียาอยู่สิบเม็ด สามวันกินครั้งหนึ่งก็พอจะทำให้ท่านป่วยหนึ่งเดือน ยาชนิดนี้ค่อนข้างรุนแรงอยู่บ้าง หากไม่ใช่หมอที่มีวิชาแพทย์ขั้นสูงย่อมตรวจไม่เจอ และในหนึ่งวันท่านจะนอนหลับมากกว่าปกติ นอกจากนั้นก็ไม่มีอันตรายใด” 


 


 


           “ข้าคอยดูเจ้ากินยาเอง” พระชายาอิงชินอ๋องยื่นมือรับแทน 


 


 


           อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา 


 


 


           “เจ้าลองคิดดูสิ ตอนนี้เจ้ายังขยับตัวได้ แต่หากหนึ่งร้อยปีหลังจากนี้เล่า บ้านเมืองหนานฉินเป็นเช่นไร เจ้ายังดูแลไหวอีกหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา “ส่วนเรื่องกังวลใจให้เป็นหน้าที่ของฝ่าบาทเถอะ เจ้าไม่ต้องคิดแทนแล้ว” 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาคิดว่าอิงชินอ๋องเป็นท่านอ๋องที่ดีคนหนึ่งสำหรับบ้านเมืองหนานฉิน หากไม่ใช่เพราะเขาขาเป๋มาโดยกำเนิด ราชบัลลังก์นี้ตกเป็นของเขา หนานฉินคงไม่กลายเป็นอย่างทุกวันนี้ภายใต้การปกครองของเขาเป็นแน่ 


 


 


           ความจริงฝ่าบาทยังมีชีวิตอยู่ได้อีกสองปี โรคยังไม่ทันกำเริบกลับกระตุ้นอาการก่อนกำหนด ไม่รู้ว่าทรงคิดสิ่งใดอยู่ แต่พินิจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งต่อหน้าและลับหลัง หากไม่ได้พุ่งเป้ามาที่จวนจงหย่งโหว ก็พุ่งเป้ามาที่จวนอิงชินอ๋อง 


 


 


           อิงชินอ๋องมีอิสระในราชสำนักมามากกว่าครึ่งชีวิต เขาทำเพื่อบ้านเมืองหนานฉินเท่านั้น ทั้งไม่ใช่คนโง่เขลาแต่อย่างใด ยามนี้ได้ยินว่าฝ่าบาททรงแกล้งประชวร ด้วยความที่ตนทำอันใดไม่ได้ จึงได้แต่ต้องทำให้ตัวเองล้มป่วยจริงๆ 


 


 


           ตลอดครึ่งชีวิตมานี้ เป็นไปได้ว่าเขาไม่เคยแกล้งป่วยมาก่อน และไม่เคยคิดร้ายกับใคร 


 


 


           เดิมทีนางไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่ออิงชินอ๋องมากนัก ยามนี้อดไม่ได้ที่จะให้ความเคารพนับถือเขา ราชบัลลังก์ควรเป็นของเขาชัดเจน สวรรค์ประทานฐานะร่ำรวยมีเกียรติเทียมฟ้ามาให้เขาตั้งแต่เกิด ทว่ากลับไม่มอบโชคชะตาการเป็นฮ่องเต้ให้เขา ที่ผ่านมาเขาต้องก้าวเดินแต่ละก้าวมาอย่างไม่ง่ายนัก 


 


 


           นางมองไปยังฉินเจิง ลอบคิดว่าสำหรับฉินเจิงแล้วก็คงให้ความเคารพต่อบิดาไม่น้อยไปกว่าใครกระมัง ต่อให้เขาเห็นฉินห้าวสำคัญกว่า แต่เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพราะฉินเจิงหลงระเริงและดื้อรั้นหัวแข็งมากเกินไป ส่วนฉินห้าวกระทำได้ดีกว่าหากมองแต่ภายนอก 


 


 


           นึกถึงฉินห้าว นางก็ถามขึ้น “พี่ใหญ่เล่า ช่วงนี้ไม่เห็นเขาเลย” 


 


 


           “ฉินห้าวน่ะหรือ พ่อเจ้าอยากให้เขาคิดให้มากกว่านี้ ต่อมาจึงสั่งลงโทษให้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน คุกเข่าไปได้หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ล้มป่วย ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่สวนจื่อจิง” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           “กลับกันเถอะ” ฉินเจิงลุกขึ้น ดึงมือเซี่ยฟางหวาเตรียมตัวกลับเรือน 


 


 


           หากแต่เวลานี้ เสียงของสี่ซุ่นก็ดังขึ้นมาจากข้างนอก “ท่านอ๋องน้อย ผู้ติดตามรัชทายาทมาหาขอรับ บอกว่าขอให้ท่านกับพระชายาน้อยกลับไปที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกอีกรอบ” 


 


 


           “บอกเขาว่าไม่ไป” ฉินเจิงยกมือไล่ 


 


 


           “ผู้ติดตามรัชทายาทบอกว่า เมื่อคืนค่ายใหญ่เขาตะวันตกมีคนตายเพิ่มอีกหนึ่งศพ คนผู้นั้นคือใต้เท้าหานจากกรมอาญา เขาเสียชีวิตบนเตียงของตัวเอง ขุนนางชันสูตรศพตรวจพิสูจน์มิได้เช่นเดียวกัน” สี่ซุ่นรีบ 


 


 


กล่าวต่อ  


 


 


           ฉินเจิงหรี่ตาลง ยื่นมือแหวกม่านมองไปยังข้างนอก “หานซู่ตายแล้ว?” 


 


 


           สี่ซุ่นกางร่มอยู่ น้ำฝนคล้ายกับกระทบลงบนร่มแล้วกระเซ็นลงพื้น เขาพยักหน้าตอบ “ผู้ติดตาม 


 


 


รัชทายาทบอกมาเช่นนี้ ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดข้อความอีกประโยคหนึ่ง บอกว่าเรื่องที่ท่านอ๋องน้อยพูด 


 


 


เมื่อวานเขายอมตกลงแล้ว คดีที่ค่ายทหาร คดีหมอหลวงซุน ยังมีการเสียชีวิตของใต้เท้าหานวันนี้ คดีทั้งหมดขอมอบให้ท่านอ๋องน้อยเพียงผู้เดียว โดยมีกรมอาญาและศาลต้าหลี่คอยช่วยเหลือ ทั้งมีอำนาจตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ขอรับ”

 

 

 


ตอนที่ 41-1

 

ฉินอวี้ยอมตกลงแล้ว! 


 


 


           เพราะเหตุใดกัน 


 


 


           เพราะหานซู่เสียชีวิตอย่างเงียบเชียบหรือ 


 


 


           เมื่อวานยังกระโดดโลดเต้นได้อยู่เลยแท้ๆ เหตุใดวันนี้ถึงเสียชีวิตลงได้ ทั้งยังเสียชีวิตบนเตียงในห้องพักตนเองที่ค่ายทหารอีก มิหนำซ้ำขุนนางชันสูตรศพก็พิสูจน์ศพไม่ได้เช่นเดียวกัน 


 


 


           เซี่ยฟางหวาผินหน้ามองฉินเจิง 


 


 


           “กลับไปบอกว่าข้ากับพระชายาน้อยจะไปค่ายทหารประเดี๋ยวนี้” ใบหน้าฉินเจิงเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย 


 


 


           สี่ซุ่นรีบขานรับ กางร่มวิ่งออกไปด้วยความรีบร้อน 


 


 


           “เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร! หมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานต่างเป็นขุนนางใหญ่มียศในราชสำนัก นึกไม่ถึงว่าจะถูกสังหารเช่นนี้ ใครเป็นผู้ลงมืออย่างโหดเ**้ยมลับหลังกันแน่” อิงชินอ๋องตบโต๊ะ 


 


 


           “ท่านร้อนรนอันใด” พระชายากระตุกแขนอิงชินอ๋อง “นั่งลงเดี๋ยวนี้” 


 


 


           อิงชินอ๋องขึงตามองพระชายา 


 


 


           “ฝ่าบาทยังทรงประทับอยู่ที่วังหลวง รัชทายาทก็ประทับที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกอย่างปลอดภัยดี ตอนนี้ในเมื่อเขาเรียกเจิงเอ๋อร์กับหวาเอ๋อร์ไปก็ปล่อยให้พวกเขาจัดการเถอะ” พระชายาอิงชินอ๋องพูดจบก็กำชับ 


 


 


เซี่ยฟางหวากับฉินเจิง “ถ้าพวกเจ้าจะไปก็ระวังตัวด้วย นำองครักษ์ลับไปมากหน่อย” 


 


 


           “ท่านแม่วางใจเถิด” เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ 


 


 


           “เสียดายใต้เท้าหานผู้ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร” พระชายาอิงชินอ๋องเสียดาย “นึกไม่ถึงว่าจะมีจุดจบเช่นนี้” 


 


 


           ฉินเจิงเผยสีหน้าเย็นยะเยือก จูงมือเซี่ยฟางหวาเดินกางร่มออกไป 


 


 


           ซื่อฮว่า ซื่อม่อ และอวี้จั๋วตามทั้งคู่ออกไปทันที 


 


 


           การไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวมาก ดังนั้นฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาจึงตรงไปยังประตูจวนทันที สี่ซุ่นสั่งคนเตรียมรถม้าเอาไว้พร้อมแล้ว ทั้งคู่ก้าวขึ้นรถม้า ซื่อฮว่า ซื่อม่อ และอวี้จั๋วนั่งข้างหน้าดังเดิม ก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนออกจากจวนอิงชินอ๋อง 


 


 


           รถม้าแล่นมาถึงประตูเมืองโดยราบรื่น พบรถม้าจวนเสนาบดีฝ่ายขวาจอดรออยู่ตรงนั้นแล้ว 


 


 


           “จะไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกใช่หรือไม่ ข้าก็จะไปด้วย” หลี่มู่ชิงยื่นศีรษะออกมา  


 


 


           อวี้จั๋วหันมาบอกฉินเจิงซึ่งอยู่ข้างใน “ท่านพี่ คุณชายหลี่บอกว่าจะไปค่ายทหารด้วย” 


 


 


           “เขาได้ข่าวเร็วนัก ไปด้วยกันเถอะ” ฉินเจิงผงกศีรษะอนุญาต 


 


 


           อวี้จั๋วส่งสัญญาณมือบอกผู้ติดตามที่เป็นคนขับรถม้าของหลี่มู่ชิงก่อนเคลื่อนตัวนำออกไปก่อน รถม้าของหลี่มู่ชิงแล่นตามมาข้างหลัง 


 


 


           หลังรถม้าทั้งสองคันออกจากเมืองก็ตรงไปบนถนนทางการ มุ่งหน้าสู่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก 


 


 


           เนื่องจากฝนตกหนักมาตลอดหนึ่งวันสองคืน ตอนนี้ยังคงตกหนักไม่หยุด ถนนทางการไร้ผู้คนสัญจร ดังนั้นแม้จะแล่นฝ่าสายฝน แต่รถม้าสองคันก็วิ่งเหยียบแอ่งน้ำด้วยความเร็วมาก 


 


 


           ครึ่งชั่วยามถัดมาก็เข้าสู่เส้นทางบนเขา 


 


 


           ขณะมาถึงจุดที่พบกับกลไกลศิลายักษ์เมื่อวาน อวี้จั๋ว ซื่อฮว่า และซื่อม่อต่างตื่นตัว เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวรอบทิศทางเป็นพิเศษ ทว่าก็ไม่เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น แล่นผ่านไปได้ราบรื่น 


 


 


           ขณะมาถึงจุดที่พบฝูงหมาป่าล้อมโจมตีก็ไม่เกิดเหตุการณ์ใดเช่นกัน ผ่านไปได้ราบรื่นเหมือนกัน 


 


 


           กระทั่งมาถึงค่ายใหญ่เขาตะวันตก การเดินทางราบรื่นไร้อุปสรรคขัดขวาง 


 


 


           “วันนี้น่าแปลกนัก ไม่มีการลอบสังหารเลย” เมื่อเห็นค่ายทหารเบื้องหน้า อวี้จั๋วก็กระซิบบอกซื่อฮว่ากับซื่อม่อ  


 


 


           “แล้วไม่ดีหรือ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อถลึงตามอง 


 


 


           “ไม่ใช่ไม่ดี แต่แค่ผิดปกติ” อวี้จั๋วเกาศีรษะ 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อนึกถึงกระดาษแผ่นนั้นที่ชิงเกอส่งกลับมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ลอบมองเข้าไปในรถม้าแวบหนึ่ง ไม่ส่งเสียงใดขึ้นอีก 


 


 


           รถม้าหยุดลงหน้าประตูค่ายทหาร 


 


 


           ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อวานที่เซี่ยฟางหวามาถึงแล้วถูกปิดประตูไม่รับแขกถึงครึ่งชั่วยาม หากแต่ประตูค่ายถูกเปิดทิ้งไว้ มีนายทหารชั้นสูงพร้อมด้วยทหารอีกหลายคนรออยู่ข้างหน้า เมื่อเห็นว่าฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวามาแล้วก็ก้าวขึ้นมาทันที “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย” 


 


 


           ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาลงจากรถ มองเข้าไปข้างในแวบหนึ่ง บรรยากาศในค่ายสงบมาก แต่กลับนำมาซึ่งความรู้สึกเงียบสงัดท่ามกลางฝนห่าใหญ่ มิใช่ความเข้มงวดแบบทุกที หากแต่เป็นความเงียบสงัด นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเท่าไรนัก 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน 


 


 


           นายทหารชั้นสูงเห็นหลี่มู่ชิงที่ลงรถตามมาทีหลังก็อ้าปากกล่าว “องค์รัชทายาททรงเชิญมาแค่ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อย คุณชายหลี่…” 


 


 


           “เขามาสืบคดีร่วมกับข้า” ฉินเจิงตอบโดยที่ไม่หันกลับมามอง 


 


 


           นายทหารชั้นสูงเงียบทันที รีบเชื้อเชิญหลี่มู่ชิงเข้าไปข้างใน 


 


 


           หลี่มู่ชิงส่งยิ้มรับ กางร่มเดินตามฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้าไปข้างในพร้อมกัน 


 


 


           ประตูค่ายค่อยๆ ปิดลงทันทีที่ทั้งสามเข้าไปแล้ว 


 


 


           เดินผ่านลานฝึกซ้อมมาถึงตำหนักค่ายก็พบอู๋เฉวียนยื่นรออยู่หน้าทางเข้าแล้ว เมื่อเห็นฉินเจิงกับ 


 


 


เซี่ยฟางหวามาถึงก็รีบคำนับ “ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย ในที่สุดพวกท่านก็มาเสียที” พูดจบก็คำนับให้ 


 


 


หลี่มู่ชิงอีกหน “คุณชายหลี่ก็มาด้วย” 


 


 


           หลี่มู่ชิงยิ้มรับ 


 


 


           ฉินเจิงมองอู๋เฉวียนแวบหนึ่ง เขารีบหลีกทางให้ “องค์รัชทายาทกำลังรออยู่ข้างใน น่าเวทนาใต้เท้าหาน มิทราบว่าเกิดอันใดขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะเสียชีวิตอย่างเงียบเชียบเช่นนี้ พระชายาน้อยรีบเข้าไปตรวจดูเถิด” 


 


 


           ฉินเจิงจูงมือเซี่ยฟางหวาเดินเข้าไป 


 


 


           ข้างในตำหนัก ฉินอวี้ เสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหว และผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางต่างอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา 


 


 


           ฉินอวี้มีสีหน้าไม่ค่อยดีนักเมื่อเทียบกับเมื่อวาน เรียกได้ว่าย่ำแย่มาก เมื่อเห็นฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวามาถึงก็ลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าหานยังอยู่ในห้องที่เขาพักอาศัย” 


 


 


           “เจ้าบัญชาการอยู่ในค่ายแท้ๆ นึกไม่ถึงว่ายังมีคนตายโดยไม่รู้ตัวอีก ออกจะน่าขำไปหน่อยหรือไม่” ฉินเจิงปรายตามองแล้วแสยะยิ้ม  


 


 


           “เมื่อคืนข้าไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดทั้งนั้น” ฉินอวี้เม้มปาก 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย เรื่องนี้กระหม่อมเป็นพยานได้ เมื่อคืนกระหม่อมนอนนอกห้ององค์รัชทายาท ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดเลยเช่นกัน” อู๋เฉวียนรีบเอ่ยขึ้น “เสนาบดีฝ่ายซ้ายและท่านโหวต่างพักขนาบข้างห้ององค์ 


 


 


รัชทายาท ใต้เท้าหานพักถัดจากห้องของท่านโหว” 


 


 


           หย่งคังโหวก็มีสีหน้าไม่น่ามองเช่นกัน เรียกได้ว่าซีดเผือด “ข้าเป็นห่วงฮูหยินที่จวน เมื่อคืนจึงหลับๆ ตื่นๆ ทว่าก็ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดจากห้องใต้เท้าหานเลย หากแต่พอตื่นขึ้นมา เขาก็ตายไปแล้ว” พูดจบก็รู้สึกหวาดผวา “น่าตกใจยิ่งนัก” 


 


 


           “แล้วใครนอนข้างห้องใต้เท้าหาน” ฉินเจิงถามอีก 


 


 


           “เรียนท่านอ๋องน้อย ข้าเองขอรับ” นายทหารชั้นสูงที่นำทางฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้ามาเอ่ยขึ้น 


 


 


           ฉินเจิงมองมาที่เขาก่อนพยักหน้า 


 


 


           อู๋เฉวียนนำทางฉินเจิงไปยังห้องที่หานซู่พักอาศัย หน้าประตูห้องมีองครักษ์หลายนายเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นฉินเจิงกับฉินอวี้มาถึงก็รีบหลีกทางให้ 


 


 


           ฉินเจิงเดินนำเข้าไปก่อน 


 


 


           เซี่ยฟางหวาข้ามธรณีประตูตามฉินเจิงเข้าไป ภาพเบื้องหน้าเป็นห้องพักทั่วไป ม่านที่เตียงถูกเลิกแขวนไว้ เผยให้เห็นหานซู่นอนสิ้นใจอยู่บนเตียงหลังใหญ่ 


 


 


           ฉินเจิงเดินมาที่หน้าเตียง พินิจมองหานซู่ถี่ถ้วน ก่อนหันมามองเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาสำรวจมองหานซู่ เขาคล้ายกำลังนอนหลับ ทว่าไม่หายใจและตายไปแล้ว สีหน้าเหมือนกับตอนมีชีวิตอยู่ ไม่พบความผิดปกติใดแม้แต่น้อย นางเอ่ยบอกฉินเจิง “พลิกตัวเขา” 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า ตวัดมือแผ่วเบาพลิกตัวหานซู่ 


 


 


           เขานอนโดยไม่ถอดเสื้อออก บริเวณอาภรณ์มีรอยยับย่นเล็กน้อย 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองพักหนึ่งก่อนตรวจชีพจรหานซู่ พักใหญ่ต่อมาก็ไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           “เกิดอันใดขึ้น หรือเขาถูกวิชาหนอนพิษจงเหมือนหลูอี้” ฉินอวี้ถาม 


 


 


           “ไม่ใช่” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           “ข้าเห็นว่าสีหน้าเขาตอนเสียชีวิตไม่แตกต่างจากหลูอี้ เหตุใดถึงไม่ใช่วิชาหนอนพิษจง เช่นนั้นเขาตายด้วยสาเหตุใด” ฉินอวี้มึนงง  


 


 


           “เขาถูกเข็มแทงบริเวณหัวใจจากข้างหลัง ทะลวงหัวใจในเข็มเดียว” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “เข็ม? สังเกตได้จากส่วนใด” ฉินอวี้หรี่ตาลง  


 


 


           “น่าจะเป็นเข็มที่เล็กมาก ถ้าตอนนี้เจ้าใช้พลังภายในดูดแผ่นหลังเขา น่าจะดูดเข็มเล่มนั้นออกมาจากหัวใจได้” เซี่ยฟางหวาผละตัวออกจากหน้าเตียงแล้วเอ่ยบอกฉินอวี้  


 


 


           “เมื่อครู่ขุนนางชันสูตรศพมาตรวจสอบ ทุกส่วนบนตัวใต้เท้าหานล้วนตรวจสอบดูหมดแล้ว หากมีเข็มที่ว่าจริงก็น่าจะเจอแล้ว” ฉินอวี้สงสัย  


 


 


           “ต้องเป็นคนที่มีวิทยายุทธ์สูงมาก มีพลังภายในดีมาก มีวิธีการใช้เข็มว่องไว หากเป็นเข็มขนาดเล็กมากก็อาจไม่ทิ้งปลายเข็มให้มองเห็นโดยง่าย” เซี่ยฟางหวาดึงฉินเจิงหลบมาด้านข้าง “หากไม่เชื่อ เจ้ามีวิทยายุทธ์ ตอนนี้ก็ลองลงมือพิสูจน์ได้ว่าข้าพูดจริงหรือไม่” 


 


 


ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนแหวกเสื้อบริเวณหลังหานซู่ออก 


 


 


           ทุกคนตวัดตามองตาม แผ่นหลังหานซู่เกลี้ยงเกลา ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ มองไม่เห็นเข็มที่ว่านั่นเลย

 

 

 


ตอนที่ 41-2

 

ฉินอวี้สำรวจมองพักหนึ่ง จากนั้นก็ชี้ตำแหน่งหัวใจจากข้างหลังพลางถามเซี่ยฟางหวา “ตรงนี้หรือ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           ฉินอวี้วางมือทาบลงบนตำแหน่งนั้นโดยเว้นระยะห่างครึ่งฉื่อ จากนั้นก็รวบรวมพลังภายใน ส่งแรงดึงดูดไปยังตำแหน่งหัวใจของหานซู่ 


 


 


           ทุกคนจับตามองแผ่นหลังหานซู่และมือของฉินอวี้ไม่วางตา 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่งก็มีเข็มขนาดเล็กมากค่อยๆ ถูกดึงขึ้นมาจากแผ่นหลังหานซู่จริงดังที่นางบอก ทุกคนพากันอุทานด้วยความตกใจ 


 


 


           ฉินอวี้มีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาดูดเข็มขนาดเล็กมากมาวางบนฝ่ามือ จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วหยิบขึ้นมามอง เข็มเล่มนี้มีขนาดเล็กอย่างยิ่ง หากตกลงบนพื้น คนสายตาดีใช้เวลาหาครึ่งวันก็ยากจะหาเจอ เขามองเซี่ยฟางหวา “เจ้าแค่สังเกตสีหน้าใต้เท้าหานกับตรวจชีพจร มั่นใจได้อย่างไรว่ามีเข็มขนาดเล็กเช่นนี้อยู่” 


 


 


           หลังทุกคนหายตกใจแล้วก็มองเซี่ยฟางหวาด้วยความสงสัย 


 


 


           “ข้าตรวจชีพจรใต้เท้าหานจึงรู้ว่าเขาตายเพราะหัวใจหยุดเต้น แต่บนตัวเขาไม่มีบริเวณใดถูกแทง เช่นนั้นก็มีแค่ตำแหน่งหัวใจแล้วที่ถูกบางสิ่งฝังเอาไว้ และเขาไม่ได้ตายในทันทีเป็นแน่ ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าน่าจะมีบางสิ่งโจมตีหัวใจเขาโดยตรง แต่เขาไม่ได้บาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นก็มีเพียงสิ่งนี้ที่เป็นไปได้ นั่นคือถูกของแหลมคมทะลวงผ่านหัวใจ ของแหลมคมที่ว่ามองไม่เห็นจากภายนอก ดังนั้นจะยังเป็นสิ่งใดได้อีก ก็น่าจะเป็นเข็มขนาดเล็กมาก” เซี่ยฟางหวาอธิบาย “ดังนั้นข้าจึงเดาว่าน่าจะเป็นเข็ม” 


 


 


           “มีเหตุผล” ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           “พระชายาน้อย เหตุใดถึงบอกว่าใต้เท้าหานถูกเข็มปักหัวใจแล้วไม่ตายในทันที วิชาแพทย์ตรวจสอบได้ถึงขั้นนี้เลยหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้น  


 


 


           “วิชาแพทย์ข้าแม้ไม่เลว แต่ไม่อาจตรวจสอบได้ลึกซึ้งขนาดนั้น เพียงแต่ขณะใช้วิชาแพทย์ตรวจสอบ ยังไตร่ตรองถึงสภาพแวดล้อมและเบาะแสที่หลงเหลือบนตัวใต้เท้าหานด้วย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า  


 


 


           “เบาะแสใด” ฉินอวี้ถาม 


 


 


           “เมื่อคืนใต้เท้าหานน่าจะลุกมาเปิดหน้าต่าง” เซี่ยฟางหวาจับอาภรณ์บนตัวใต้เท้าหานแล้วเอ่ยขึ้น  


 


 


           “หืม” ฉินอวี้ชะงักไป 


 


 


           “เป็นไปไม่ได้ ข้าพักข้างห้องเขา ใต้เท้าหานไม่เคลื่อนไหวตลอดทั้งคืน” หย่งคังโหวรีบกล่าวทันที  


 


 


           “ท่านโหวแน่ใจหรือว่าไม่มีการเคลื่อนไหว” เซี่ยฟางหวาหันมามองหย่งคังโหว “แม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีเลยหรือ” 


 


 


           หย่งคังโหวอึกอัก ครุ่นคิดถี่ถ้วน หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าลำบากใจ “ข้าแค่ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใด แต่หากแม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีนั้น เรื่องนี้…ไม่กล้ารับประกัน” 


 


 


           “โครงสร้างบ้านพักและตำหนักในค่ายหนาแน่นมาก หากไม่ใช่การเคลื่อนไหวใหญ่ คนผู้หนึ่งลุกจากเตียง เปิดหน้าต่าง เสียงเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย หากห้องข้างเคียงไม่ได้ตั้งใจฟังเป็นพิเศษหรือรวบรวมสมาธิฟังย่อมยากจะได้ยิน” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเรียบ  


 


 


           “ก็จริง” หย่งคังโหวคิดว่ามีเหตุผล 


 


 


           “เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าเขาลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างกลางดึก” ฉินอวี้สงสัย 


 


 


           “เพราะเขานอนทั้งที่ยังสวมเสื้อ รอยจีบบนเสื้อผ้าไม่ได้ยับจากการนอนทั้งหมด หากแต่เพราะเปียกฝน เมื่อคืนฝนตกหนักมาก เขาไม่น่าจะออกมาจากห้อง มิฉะนั้นคงไม่เปียกน้ำฝนและอมความชื้นแค่เล็กน้อยเป็นแน่ เขาน่าจะลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างกลางดึก สายลมพัดเอาน้ำฝนสาดเข้ามาในเวลาไม่นานนัก ผ้าไหมเนื้อดีที่เขาสวมอยู่จึงเปียกละอองน้ำฝนจนชื้น ทำให้เกิดรอยยับย่นดังตอนนี้ โดยเฉพาะเวลาลูบเสื้อผ้าเขาจะรู้สึกได้ถึงความฝืด” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “จริงด้วย” ฉินอวี้ลองยื่นมือไปลูบ 


 


 


           “เหตุใดเขาต้องลุกมาเปิดหน้าต่างกลางดึก” หย่งคังโหวแปลกใจ 


 


 


           “เรื่องนี้ต้องถามว่ากลางดึกเมื่อคืนเกิดเรื่องใดที่ไม่มีใครทราบหรือไม่ ตรงนอกหน้าต่างห้องเขา มิฉะนั้นฝนตกหนักถึงเพียงนั้น เหตุใดใต้เท้าหานต้องเปิดหน้าต่างตอนกลางดึกด้วย” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “เจ้าพอทราบหรือไม่ว่าเขาเปิดหน้าต่างยามใด และเสียชีวิตยามใด” สีหน้าฉินอวี้ไม่น่ามอง 


 


 


           “ราวยามจื่อ*[1]” เซี่ยฟางหวาตอบ “หลังเขาเปิดหน้าต่าง คงใช้เวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา จุดนี้คาดการณ์จากระดับความเปียกชื้นบนเสื้อผ้าเขา หลังจากนั้นเขาน่าหันหลังกลับมาหยิบบางสิ่งหรือจะทำบางอย่าง ไม่ได้รีบปิดหน้าต่างทันที ดังนั้นจังหวะที่เขาหันหลังจึงมีคนใช้เข็มโจมตีเขาจากข้างหลัง” 


 


 


           “ในเมื่อถูกเข็มปัก เขาน่าจะร้องอุทานขึ้นบ้าง หากไม่ส่งเสียงอุทานก็น่าจะตายทันที แต่ก็ควรเสียชีวิตตรงที่เดิม ไม่ควรกลับมานอนบนเตียงได้ อีกอย่างตื่นเช้ามาถึงเพิ่งถูกพบว่าเขาตายแล้ว” ฉินอวี้ขมวดคิ้ว  


 


 


           “ปัญหานี้อยู่ที่เข็มบนมือเจ้าแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ “เพราะเข็มมีขนาดเล็กมาก หากถูกผู้มีวิทยายุทธ์ขั้นสูงอัดพลังภายในแล้วโจมตีใส่กะทันหัน ใต้เท้าหานซึ่งไม่มีวิทยายุทธ์ แม้ถูกเข็มขนาดเล็กปักเข้าใส่ก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น หลังหายเจ็บแล้วก็กลับไปทำอย่างอื่นได้ตามปกติ ดังนั้นจึงปิดหน้าต่างแล้วค่อยกลับไปนอนบนเตียงย่อมทำได้เช่นกัน” 


 


 


           ทุกคนฟังแล้วก็ทอดถอนใจ 


 


 


           “ข้าไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดเลยแม้แต่น้อย เพราะข้าอยู่ที่นี่ ในตำหนักหลังนี้ ข้างนอกมีองครักษ์ลับของข้าเฝ้าอยู่ราวหนึ่งร้อยคน พร้อมด้วยทหารอีกห้าร้อยนาย” ฉินอวี้หันมามองฉินเจิง  


 


 


           “เช่นนั้นคงเป็นคนที่อยู่ใกล้ตำหนักหลังนี้ หรือไม่ก็อยู่ที่นี่เป็นทุนเดิม หรือไม่ก็เฝ้าตำหนักแห่งนี้อยู่” ฉินเจิงกล่าว “ถึงอย่างไรเข็มเล่มนี้ก็ไม่มีหลักฐานมายืนยัน ใต้เท้าหานไม่ได้ตายเพราะวิชาหนอนพิษจงด้วย” 


 


 


           ฉินอวี้เม้มปากแล้วพยักหน้า 


 


 


           “ถึงแม้ใต้เท้าหานได้ยินเสียงนอกหน้าต่าง เขาเปิดหน้าต่างออกไปดูแวบหนึ่งก็น่าจะรีบปิดทันที แต่เขาไม่รีบปิดหน้าต่าง กลับหันหลังไปทำอะไร” หย่งคังโหวแปลกใจ  


 


 


           เซี่ยฟางหวาสังเกตรอบห้อง ข้าวของเครื่องใช้ถูกวางเป็นระเบียบ 


 


 


           เวลานี้หลี่มู่ชิงเอ่ยขึ้น “หากใต้เท้าหานได้ยินการเคลื่อนไหวแล้วลุกขึ้นมากลางดึกก็น่าจะหาตะเกียงก่อน หลังจุดตะเกียงก็เปิดหน้าต่าง จากนั้นเป็นไปได้ว่าไฟดับลงฉับพลัน เขาจึงหันหลังไปจุดตะเกียงใหม่ เวลานี้เองที่มีคนลงมือใช้เข็มสังหารเขา ต่อมาก็เป็นอย่างที่พระชายาน้อยบอก เขาอาจจะรู้สึกเจ็บที่หลังครู่หนึ่ง แค่หวาดผวาเล็กน้อยแต่ไม่พบสิ่งใด ด้วยเหตุนี้จึงปิดหน้าต่าง ดับไฟแล้วกลับไปนอน” 


 


 


           “มีเหตุผล คนจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ในห้องบอกว่า มีเพียงตะเกียงที่ถูกย้ายที่ ไม่วางอยู่ในตำแหน่งเดิม” ฉินอวี้พยักหน้า  


 


 


           “แต่ใต้เท้าหานได้ยินการเคลื่อนไหวใดกันแน่ ข้าอยู่ห้องข้างๆ เหตุใดถึงไม่ได้ยินเลย” หย่งคังโหวเอ่ยขึ้น 


 


 


           “หากท่านได้ยินเสียง คนที่ตายคงเป็นท่านแทน” ฉินเจิงตอบ 


 


 


           หย่งคังโหวตกใจจนหน้าซีด สีหน้าเปลี่ยนไปทันที 


 


 


           “ที่แท้ท่านโหวก็กล้าหาญถึงเพียงนี้” ฉินเจิงชำเลืองมองหย่งคังโหวก่อนเดินมายังริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออกแล้วมองออกไปข้างนอก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเดินตามฉินเจิงมาที่ริมหน้าต่าง ข้างนอกไม่มีสิ่งใดบดบังทัศนวิสัย หากแต่เป็นพื้นที่กว้างโล่งหรือเรียกได้ว่าบริเวณข้างหน้าบ้านพักต่างเป็นที่โล่ง แม้แต่ต้นไม้บังสักต้นก็หาไม่ 


 


 


           ฉินเจิงมองแวบหนึ่งแล้วหันมาหัวเราะเยาะใส่ฉินอวี้ “สังหารคนภายใต้การเฝ้ายามขององครักษ์ลับร้อยคนและทหารห้าร้อยนายได้ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งนี้อีก เจ้าว่าจะเล็ดลอดสายตาองครักษ์ลับไปได้หรือไม่” 


 


 


           ฉินอวี้เผยสีหน้าเยือกเย็น ไม่พูดจา 


 


 


           “คดีพวกนี้ เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะยกให้ข้าสะสาง” ฉินเจิงเลิกคิ้วถาม 


 


 


           ฉินอวี้เงียบลงพักหนึ่งก่อนพยักหน้า 


 


 


           “เจ้าคิดดีแล้วนะ อย่ามาเสียใจทีหลัง” ฉินเจิงปิดหน้าต่าง กั้นละอองน้ำฝนจากข้างนอก 


 


 


           “ข้างกายเจ้ามีหมอเทวดา นอกจากมีวิชาแพทย์พิษ ยังมีฝีมือพิสูจน์ศพได้ดีกว่าขุนนางชันสูตรศพ ทั้งฉลาดกล้าหาญ มีสติปัญญายอดเยี่ยมกว่าใคร คดีพวกนี้แม้มอบให้ผู้อื่น หากผู้นั้นสะสางไม่ได้ก็เกรงว่าจะต้องขอให้เจ้ากับนางช่วยเหลืออยู่ดี ถ้าเชิญเจ้ามาไม่ได้ก็คงต้องหยุดพักเอาไว้ก่อน แต่คดีพวกนี้ไม่อาจหยุดพักไว้ก่อนได้ จำต้องคลี่คลายโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะตอนนี้สูญเสียใต้เท้าหานจากกรมอาญาไปแล้วด้วย หากคดีไม่ถูกคลี่คลาย เหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้นที่ค่ายทหาร เช่นนั้นทหารสามแสนนายคงอยู่ไม่เป็นสุข คอยหวาดระแวงตลอดเวลา ถ้าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอีก ผลลัพธ์คงไม่อาจจินตนาการ” ฉินอวี้มองเซี่ยฟางหวาแล้วเอ่ยขึ้น  


 


 


           “เจ้าเข้าใจก็ดี” ฉินเจิงกล่าวเสียงเย็น “ในเมื่อมอบให้ข้าแล้ว ห้ามผู้ใดแทรกแซงทั้งนั้น รวมถึงเจ้าด้วย” 


 


 


           “ฝนครั้งนี้ตกหนักมาก ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ขณะข้าอยู่ที่ค่ายทหารก็ได้รับเอกสารราชด่วนที่ถูกส่งมาจากทุกพื้นที่ กองพะเนินเต็มไปหมด” ฉินอวี้กล่าวขึ้น “ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจะให้นิ่งดูดายได้อย่างไร ลำดับต่อไปข้าต้องจัดการเรื่องภัยพิบัติ ไม่มีเวลามายุ่งเรื่องคดี มอบให้เจ้าดีที่สุดแล้ว” 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ องครักษ์ลับร้อยนายที่คอยคุ้มครองเจ้าตอนนี้ต้องอยู่ที่นี่ทั้งหมด นอกจากนี้ก็รวบรวมรายชื่อทั้งหมดมาด้วย ทุกคนที่เจ้านำมาด้วยต่างต้องอยู่ที่นี่ก่อน” พูดจบก็กล่าวเพิ่ม “รวมถึงเยว่ลั่วและอู๋กงกงด้วย” 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย เมื่อคืนกระหม่อมอยู่เฝ้าองค์รัชทายาททั้งคืน หากท่านไม่ปล่อยข้ากลับไป ผู้ใดจะปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทเล่า” อู๋เฉวียนตกใจ  


 


 


           “เจ้าไม่อยู่ตั้งสองวันแล้ว เสด็จอายังทรงสบายดี ถึงไม่มีเจ้า เสด็จอาย่อมมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้”  


 


 


ฉินเจิงมองเขา 


 


 


           อู๋เฉวียนรีบมองไปยังฉินอวี้ “รัชทายาท เช่นนั้นท่านจะกลับเมืองเช่นไร ไม่มีใครคอยคุ้มครองข้างกายได้อย่างไรเล่า…” 


 


 


           “คนของข้าจะไปส่งเขาเอง” ฉินเจิงมองฉินอวี้ “กล้าหรือไม่” 


 


 


           “เหตุใดต้องไม่กล้า” ฉินอวี้เลิกคิ้วก่อนสั่งงานอู๋เฉวียน “เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน พอข้ากลับถึงเมืองแล้วจะบอกเสด็จพ่อเอง” พูดจบก็กล่าวเสริม “ทุกคนที่ข้านำมาด้วย รวมถึงเยว่ลั่วจะอยู่ที่นี่” 


 


 


           อู๋เฉวียนเงียบ 


 


 


           ฉินอวี้หันหลังเดินออกไป 


 


 


           “ชิงเหยียน คุ้มครองรัชทายาทกลับเมืองหลวง ระหว่างนี้เจ้าย้ายไปติดตามองค์รัชทายาทก่อน” ฉินเจิงดีดนิ้วแล้วออกคำสั่ง  


 


 


           “ขอรับ!” ชิงเหยียนรีบขานรับ 


 


 


 


 


 


*ยามจื่อ หรือ ช่วงเวลาประมาณ 23:00 น. – 01.00 น.

 

 

 


ตอนที่ 42-1

 

ฉินอวี้บอกว่ากลับก็กลับทันที เขากางร่มออกจากตำหนักในค่ายอย่างรวดเร็ว 


 


 


           ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่คาดคิดว่ารัชทายาทจะมอบคดีนี้ให้ท่านอ๋องน้อยเจิง ความหวาดกลัวบังเกิดขึ้นในใจ พวกเขารีบตามออกไป “รัชทายาท ท่านกลับไปทั้งแบบนี้ แล้วท่านอ๋องน้อยเจิง…” 


 


 


           ฉินอวี้หยุดเท้าแล้วหันกลับมามอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบาเกินไป “ข้าเติบโตมาพร้อมท่านอ๋องน้อย เขามีนิสัยอย่างไรข้าย่อมรู้ดีที่สุด หากมอบคดีนี้ให้ผู้อื่นจัดการบางทีอาจไร้ความคืบหน้า แต่ถ้ามอบให้เขาจัดการจะต้องได้ความคืบหน้าโดยเร็วเป็นแน่ ความจริงจะเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง” 


 


 


           ผู้อาวุโสทุกท่านต่างผวา 


 


 


           “การตายของหลูอี้ไม่เหลือแม้แต่ศพหรือโครงกระดูก เชื่อเถอะว่ามอบให้เขาจัดการแล้วจะต้องให้คำอธิบายต่อตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของพวกท่านได้แน่” ฉินอวี้เอ่ยทิ้งท้ายก่อนหันหลังกลับ มีเพียงเขาคนเดียวที่เดินไปยังประตูค่าย 


 


 


           ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางมองหน้ากัน จู่ๆ ฝนก็ตกเทกระหน่ำขึ้นมาอีกหน ทุกคนต่างย้อนกลับเข้าไปในห้อง เพียงเวลาแค่ครู่เดียวก็ทำเอาเนื้อตัวเปียกฝน 


 


 


           หลังทุกคนกลับเข้ามาก็ไม่แม้แต่จะปัดน้ำฝนที่เกาะตามตัวออก หากแต่เอ่ยกับเสนาบดีฝ่ายซ้าย 


 


 


ัดการบหน้านานความคืบหน้านานหลูหย่ง “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านว่า…” 


 


 


           หลูหย่งมองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “น้าอาทุกท่านไม่ได้อาศัยในเมืองหลวงนานแล้ว จะไม่รู้จักท่านอ๋องน้อยเจิงย่อมเป็นเรื่องปกติ ท่านอ๋องน้อยเจิงแม้ชอบเหยียดหยามดูถูกคนอย่างไม่ยี่หระ แต่เมื่อตั้งใจกระทำสิ่งใดแล้วมักทำได้ดีมาก ดังนั้นน้าอาทุกท่านวางใจเถิด เขาต้องมอบความยุติธรรมให้หลูอี้ได้แน่นอน” 


 


 


           ผู้อาวุโสทุกท่านได้ยินเช่นนั้นก็เงียบลง 


 


 


           ฉินเจิงเดินออกจากห้องพักหานซู่มายังโถงตำหนัก สั่งงานนายทหารนายหนึ่ง “ไปนำตัวหลี่อวิ๋นมา” 


 


 


           นายทหารนายนั้นขานรับแล้วรีบออกไป 


 


 


           “หากข้าอยากให้หลี่อวิ๋นพูดความจริง แต่ไม่ได้พูดตอนที่เขากำลังมีสติอยู่ หากแต่อยู่ในสภาพที่สติไม่ชัดแจ้ง ล้วงเอาความจริงออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เจ้ามีวิธีการใดหรือไม่ อย่างเช่นตัวยาบางชนิด” ฉินเจิงหันมาถามเซี่ยฟางหวาด้วยเสียงทุ้มต่ำ  


 


 


           “มียาตัวหนึ่ง แต่ข้าไม่ได้นำติดตัวมาด้วย หากเขียนใบสั่งยาไปต้ม เกรงว่าจะต้องใช้เวลานานมาก”  


 


 


เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดครู่หนึ่ง  


 


 


           “ไม่มีวิธีอื่นแล้ว?” ฉินเจิงถาม “ไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้” 


 


 


           “มีวิธีหนึ่ง” เซี่ยฟางหวาไตร่ตรองพักหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้าใช้วิชาสะกดจิตได้ เป็นวิชาที่เรียนมาจากเขาไร้นาม แม้ไม่ได้เชี่ยวชาญมาก แต่หากใช้เสาะหาก้นบึ้งหัวใจของหลี่อวิ๋น น่าจะพอใช้การได้” 


 


 


           “ดี เช่นนั้นก็ใช้วิชาสะกดจิตนี้” ฉินเจิงบอก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหว หลี่มู่ชิง ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง รวมถึงนายทหารระดับสูงในกองทัพเห็นว่าฉินเจิงกระซิบกระซาบกับเซี่ยฟางหวา ในใจต่างพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าพวกเขาจะคลี่คลายคดีนี้อย่างไร 


 


 


           ไม่นานก็มีคนนำตัวหลี่อวิ๋นเข้ามา 


 


 


           เมื่อหลี่อวิ๋นปรากฎตัวขึ้น เซี่ยฟางหวาสำรวจมองเขาอย่างถี่ถ้วน พบว่าเขามีรูปลักษณ์หล่อเหลา โครงใบหน้าเยือกเย็นแข็งกระด้าง สภาพร่างกายมองปราดเดียวก็รู้ว่าแข็งแรงมาก เป็นคุณสมบัติที่ดีสำหรับการเข้ามาฝึกวิทยายุทธ์ในกองทัพ แต่เนื่องจากถูกคุมขังสองวัน ดังนั้นใบหน้าเขาแม้แข็งกระด้าง แต่มีความซึมเซาบ้างเล็กน้อย สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง 


 


 


           “หลี่อวิ๋น เจ้าบอกมาว่าเหตุใดถึงต้องสังหารหลูอี้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางกระโดดขึ้นมา ยกมือชี้หน้าหลี่อวิ๋น 


 


 


           “ข้าไม่ได้สังหารเขา!” หลี่อวิ๋นชะงักเท้า มองไปยังผู้อาวุโสคนนั้น ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง  


 


 


           “มีคนเห็นกับตา เจ้ายังจะเถียงข้างๆ คูๆ อีกรึ” ผู้อาวุโสคนเดิมโมโหจนหน้ามืด “บอกความจริงมา เจ้าใช้วิชาหนอนพิษจงได้ใช่หรือไม่” 


 


 


           “ข้าใช้วิชาหนอนพิษจงอะไรนั่นไม่ได้ และไม่ได้สังหารเขา” หลี่อวิ๋นยืนยัน 


 


 


           ผู้อาวุโสคนเดิมยกมือขึ้นหมายจะทำร้ายเขา 


 


 


           “มีท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยสืบคดีนี้แล้ว สุดท้ายหลี่อวิ๋นเป็นผู้สังหารหรือไม่ ความจริงจะต้องปรากฏแน่นอน ท่านกระโดดออกมาเช่นนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” หย่งคังโหวก้าวออกมาขวางผู้อาวุโสคนนั้น  


 


 


           “ใครบ้างไม่รู้ว่าท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยและจวนหย่งคังโหวของท่านมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ใครไม่รู้บ้างว่าหลี่อวิ๋นคนนี้เป็นหลานชายตระกูลมารดาของฮูหยินท่าน ตอนนี้ท่านโหวกำลังปกป้องผู้ต้องหาอยู่หรือ” ผู้อาวุโสคนเดิมเอ่ยขึ้น 


 


 


           “ท่าน…” หย่งคังโหวถลึงตาด้วยความโกรธ 


 


 


           ฉินเจิงแค่นหัวเราะเยาะขึ้นมา มองไปยังผู้อาวุโสคนนั้นแล้วเอ่ยขึ้น “ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง…” หยุดชั่วครู่แล้วเลิกคิ้วยียวน “กำลังกลัวหรือ กลัวว่าข้าจะสืบเจอว่าความจริงแล้วคนในตระกูลทำร้ายกันเองน่ะ” 


 


 


           ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของเราสูญเสียหลายชายคนหนึ่งไป ย่อมอยากจะจัดการฆาตกรด้วยน้ำมือตัวเองเป็นธรรมดา ท่านกุเรื่องใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้มีเจตนาใด” คนหนึ่งทั้งตกใจทั้งโกรธขึ้นมา  


 


 


           “เขาอาจไม่ใช่ฆาตกร” ฉินเจิงบอก 


 


 


           “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนหลูอี้ตายก็ตายตรงหน้าเขา หรือจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขาแม้แต่น้อยรึ” ผู้อาวุโสคนเดิมเอ่ยขึ้น 


 


 


           “ใต้เท้าหานก็สิ้นใจโดยไม่รู้ตัวที่นี่ ทุกคนที่อาศัยในตำหนักใหญ่นี้และทุกคนที่อยู่ใกล้ตำหนักต่างต้องสงสัยด้วยกันทั้งสิ้น หรือจะไม่รอให้ความจริงกระจ่าง ให้ข้าสังหารคนพวกนี้ไปเลยดีหรือไม่” ฉินเจิงมองเขา 


 


 


           ผู้อาวุโสคนนั้นหน้าหงาย 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้าย มิน่าตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของพวกท่านถึงด้อยลงทุกวัน ที่แท้ผู้กำหนดความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยในตระกูลนั้นหน้ามืดตาลาย จิตใจและสติปัญญาผิดปกติเช่นนี้” ฉินเจิงมองไปยังเสนาบดีฝ่ายซ้าย 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็โมโหขึ้นบ้างเช่นกัน หันกลับไปบอกผู้อาวุโสเหล่านั้น “น้าอาทุกท่านอย่าเพิ่งวู่วาม นี่โชคดีที่เป็นโถงตำหนักในค่ายทหาร ไม่ใช่ห้องโถงในกรมอาญาหรือศาลต้าหลี่ มิฉะนั้นคงไม่ปล่อยให้ผู้ใดโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้” 


 


 


           ผู้อาวุโสคนนั้นเงียบลง ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง 


 


 


           เพราะเขาโวยวายขึ้น บรรยากาศในตำหนักจึงตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย 


 


 


           “หลี่อวิ๋น เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้สังหารหลูอี้” ฉินเจิงพินิจมองหลี่อวิ๋นตั้งแต่หัวจดเท้าก่อนเอ่ยขึ้น  


 


 


           “เรียนท่านอ๋องน้อย ข้าไม่ได้สังหารเขา” หลี่อวิ๋นตอบ 


 


 


           “เจ้าพอจำเหตุการณ์วันนั้นได้หรือไม่” ฉินเจิงถาม 


 


 


           “วันนั้นข้าจำได้ว่าไม่ต้องเข้าเวรตอนกลางคืนจึงเข้านอนแต่หัววัน ทว่าพอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ที่ลานฝึกซ้อม พร้อมกับหลูอี้ตายอยู่เบื้องหน้าแล้ว หลังจากนั้นทหารตรวจตรากลางคืนก็บอกว่าข้าสังหารหลูอี้ ต่อมาก็นำข้าไปคุมขัง” หลี่อวิ๋นส่ายหน้า ก่อนพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น  


 


 


           “หลังเจ้าถูกคุมตัวไปขัง มีใครติดต่อกับเจ้าหรือไม่” ฉินเจิงถามอีก 


 


 


           “วันนั้นหลังจากท่านอ๋องน้อยกับองค์รัชทายาทมาสอบสวนครั้งหนึ่งก็ไม่มีใครมาพบข้าอีกเลย สองวันนี้ล้วนถูกขังในคุกมืด นอกจากคนในคุกมืด ข้าก็ไม่ได้พบใครอีก” หลี่อวิ๋นครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า  


 


 


           ฉินเจิงผงกศีรษะ “หมายความว่าตัวเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ลานฝึกซ้อมได้อย่างไร ไม่รู้ว่าหลูอี้ตายอย่างไร ถูกต้องหรือไม่” 


 


 


           หลี่อวิ๋นพยักหน้าตอบ 


 


 


           “ดี เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง” ฉินเจิงชี้มายังคนข้างกาย “พระชายาน้อยรู้วิชาแพทย์ นางทำให้เจ้าพูดความจริงขณะเจ้ากำลังหลับได้ หรือก็คือสิ่งที่เจ้าพูดออกมาตอนนี้ หากไม่ตรงกับสิ่งที่เจ้าพูดระหว่างหลับ เจ้าคงรู้ผลลัพธ์ดี” 


 


 


           หลี่อวิ๋นมองไปยังเซี่ยฟางหวา 


 


 


           “กล่าวกันว่าวิญญูชนไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด หากเจ้าไม่ได้สังหารใครจริงๆ เช่นนั้นวิชาแพทย์ของข้าจะคืนความบริสุทธิ์ให้เจ้า” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย  


 


 


           “ได้” หลี่อวิ๋นรีบตอบ “ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยโปรดตัดสินด้วย ข้าพูดความจริงทั้งหมด ไม่ได้สังหารใครอย่างแน่นอน” 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า 


 


 


           “ต้องทำอย่างไรข้าถึงจะหลับ” หลี่อวิ๋นถาม 


 


 


           “เจ้าลงไปนอนบนพื้นก็พอ ข้าจะทำให้เจ้าหลับเอง” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           หลี่อวิ๋นได้ยินเช่นนั้นก็รีบลงไปนอนบนพื้นแล้วหลับตาลง 


 


 


           “ลืมตามองข้า” เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นเดินมาหาก่อนบอกเขา  


 


 


           หลี่อวิ๋นรีบลืมตาขึ้น 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองตาเขาเช่นกัน เอ่ยพูดกับเขาแผ่วเบา ขณะเดียวกันก็ถ่ายพลังรวบรวมลมปราณ แผ่ครอบคลุมบนหว่างคิ้วเขา 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง หลี่อวิ๋นราวกับทนความง่วงไม่ไหว ปิดเปลือกตาลงแช่มช้า 


 


 


           ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็เข้าสู่นิทราไปด้วยความสงบ

 

 

 


ตอนที่ 42-2

 

“เท่านี้เองหรือ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางทนไม่ไหว “พระชายาน้อย ท่านอย่าเห็นว่าพวกเราไม่รู้วิชาแพทย์จึงตบตาตามใจชอบเพื่อให้เขาพ้นโทษนะ” 


 


 


           “ท่านจะลองออกมาชกเตะเขาตามใจชอบก็ได้ หากทำให้เขาตื่นขึ้นมาหรือใช้วิธีการอื่นที่พิสูจน์ได้ว่าข้าโกหก เช่นนั้นข้าจะไปเสียตอนนี้ ไม่แทรกแซงเรื่องคดีนี้อีกเลย” เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นยืน มองไปยังผู้อาวุโสคนนั้น  


 


 


           สิ้นเสียงผู้อาวุโสคนนั้นก็ก้าวออกมา ชกเตะหลี่อวิ๋นอยู่พักหนึ่ง ทว่าหลี่อวิ๋นกลับนิ่งไม่ไหวติง หลับสนิทดังเดิม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจนได้ยินชัดเจน 


 


 


           “พวกท่านก็มาร่วมด้วยได้” เซี่ยฟางหวาบอกกับผู้อาวุโสที่เหลือ 


 


 


           ผู้อาวุโสทั้งหมดมองหน้ากัน บางคนเตะตีหลี่อวิ๋น บางคนฉุดเขาลุกขึ้น ไม่ว่ากระทำเช่นไรเขาก็ไม่แม้แต่จะรู้สึกตัว ยังคงหลับลึกดังเดิม 


 


 


           “เอาล่ะ พอได้แล้วกระมัง” เซี่ยฟางหวาเห็นผู้อาวุโสเตะตีพักหนึ่งแล้วยังไม่พอใจ ราวกับจะชักกระบี่ออกมาแทงหลี่อวิ๋นด้วยจึงเอ่ยขึ้น 


 


 


           “ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเป็นตระกูลใหญ่อันสง่าผ่าเผย นึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสในตระกูลจะแสดงพฤติกรรมรุนแรงเช่นนี้ ชวนให้รู้สึกว่าตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไร้ค่ายิ่ง” หย่งคังโหวนั่งไม่ติดเช่นกัน ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ  


 


 


           “น้าอาทุกท่านพอได้แล้ว!” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน 


 


 


           ผู้อาวุโสทุกท่านได้แต่หยุดแล้วหอบหายใจด้วยใบหน้าดำทะมึน 


 


 


           “เริ่มถามเขาเถอะ” ฉินเจิงกวาดตามองก่อนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย 


 


 


           “หลี่อวิ๋น เจ้าเป็นคนสังหารหลูอี้ใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาขยับเข้าใกล้หลี่อวิ๋น เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา  


 


 


           “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้สังหารเขา” หลี่อวิ๋นตอบเสียงเรียบ 


 


 


           “เจ้ากับหลูอี้มีเรื่องบาดหมางกันหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถามอีก 


 


 


           “ไม่มี” น้ำเสียงของหลี่อวิ๋นยังคงเรียบเฉย 


 


 


           “คืนแรกที่ฝนตกหนักเจ้าทำอะไรอยู่” เซี่ยฟางหวาถามอีก 


 


 


           “ไม่ใช่เวรของข้า จึงกลับไปนอนที่ห้อง” หลี่อวิ๋นตอบ 


 


 


           “กลางดึกเล่า เจ้าทำอะไรไปบ้างหรือไม่” เซี่ยฟางหวาซักไซ้ 


 


 


           “กลางดึก…” หลี่อวิ๋นงุนงง “ไม่ได้ทำอะไร” 


 


 


           “เจ้าลองนึกดูให้ดี คืนวันนั้นหลังยามจื่อ เจ้าออกจากห้องไปยังลานฝึกซ้อมได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวาถามอีก “เจ้าไปพบกับหลูอี้ได้อย่างไร” 


 


 


           หลี่อวิ๋นราวกับจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิด ผ่านไปครู่หนึ่งเหงื่อก็เริ่มซึมบนหน้าผาก ก่อนที่เหงื่อเม็ดใหญ่จะไหลหยดตกลงมา 


 


 


           “นึกออกหรือยัง” เซี่ยฟางหวาถามอีก 


 


 


           หลี่อวิ๋นพลันสะดุ้งโหยง ลมหายใจคล้ายกับหยุดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นก็พูดเสียงดังด้วยความหวาดกลัว “เป็นหลูอี้ หลูอี้กระโดดเข้ามาจากหน้าต่างหมายจะสังหารข้า นึกไม่ถึงเลยว่าข้า…ข้าจะสู้เขาไม่ได้ จากนั้น…จากนั้น…” เขาเค้นแรงคิด “ต่อมาเขาก็ตีข้าจนสลบไป ข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็อยู่ที่ลานฝึกซ้อมแล้ว ทหารตรวจตรากลางคืนบอกว่าข้าสังหารคนไปแล้ว…” 


 


 


           “หลังจากนั้นเล่า” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง 


 


 


           “จากนั้นทุกคนก็ตกใจกันใหญ่ ก่อนคุมตัวข้าไปขัง อยู่ในคุกมืดตลอดมา…” น้ำเสียงของหลี่อวิ๋นกลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง  


 


 


           “เขาเพ้อเจ้ออะไร หลูอี้จะกระโดดไปสังหารเขาในห้องได้อย่างไรกัน เหลวไหล!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตะโกนขึ้น 


 


 


           ฉินเจิงเหลือบมองด้วยสายตาเย็นยะเยือกซึ่งแฝงไปด้วยจิตสังหารทันที 


 


 


           ผู้อาวุโสคนนั้นเงียบลงทันควัน 


 


 


           “ถามเรื่องอื่นได้หรือไม่” ฉินเจิงถามอีก 


 


 


           “ถ้าอยากถามอะไร เจ้าก็ถามเขาเสียตอนนี้” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           “ในหัวใจเจ้า หลูอี้ที่ถูกเจ้าสังหารไปเป็นคนอย่างไร” ฉินเจิงครุ่นคิดก่อนเอ่ยถามหลี่อวิ๋น  


 


 


           “ข้าไม่ได้สังหารหลูอี้ เขาต่างหากที่จะสังหารข้า” หลี่อวิ๋นแย้งเสียงดัง 


 


 


           “เอาล่ะ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ได้สังหารหลูอี้ เช่นนั้นเจ้าตอบมาว่าหลูอี้เป็นคนอย่างไร” ฉินเจิงถามย้ำ 


 


 


           “หลูอี้…” หลี่อวิ๋นราวกับจมดิ่งไปในห้วงความคิดอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบด้วยความดูถูก “ขี้ขลาด ขี้กลัว อ่อนแอ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง” 


 


 


           “คนไม่มีอะไรดีเช่นนี้ เหตุใดตอนจะสังหารเจ้า เจ้าถึงสู้เขาไม่ได้” ฉินเจิงถามอีก 


 


 


           “ข้ามิทราบว่าเพราะเหตุใด เขามีวิทยายุทธ์แค่เบื้องต้นแท้ๆ ทว่าคืนนั้นกลับร้ายกาจมาก ข้าสู้ไม่ได้” หลี่อวิ๋นราวกับจมอยู่กับความไม่เข้าใจ 


 


 


           ฉินเจิงไม่ถามต่อ โบกมือให้เซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาตวัดฝ่ามือแผ่วเบา รวบรวมพลังภายใน หมอกสีทะมึนที่แผ่ครอบคลุมเหนือหว่างคิ้วเขาเมื่อก่อนหน้านี้ถูกนางถอนออกมา นางสะกิดตัวหลี่อวิ๋น เขาค่อยๆ ได้สติตื่นขึ้นมา 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย” เขาตื่นขึ้นมาพลางมองรอบข้างด้วยความมึนงง ผ่านไปครู่หนึ่งราวกับนึกขึ้นได้จึงมองไปยังฉินเจิง  


 


 


           ฉินเจิงทำมือให้เขาลุกขึ้นยืน 


 


 


           หลี่อวิ๋นลุกขึ้นนั่ง ยังไม่ทันลุกขึ้นยืนก็ล้มกลับลงไป ราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว 


 


 


           “พระชายาน้อยใช้วิชาแพทย์สอบสวนดูแล้ว เจ้าไม่ได้สังหารหลูอี้จริง กลับเป็นหลูอี้ที่บุกไปสังหารเจ้าที่ห้องตอนกลางดึก” ฉินเจิงมองเขา  


 


 


           หลี่อวิ๋นอุทาน “หา” ขึ้นคล้ายไม่อยากเชื่อ “ข้าไม่มีความแค้นกับเขา…” 


 


 


           “เมื่อครู่ตอนเจ้าหลับสนิทพูดไว้เช่นนี้” ฉินเจิงบอก “ส่วนเหตุใดหลูอี้ถึงสังหารเจ้า…” เขามองไปยัง 


 


 


เซี่ยฟางหวา “เจ้าคิดว่าอย่างไร” 


 


 


           “หลูอี้ถูกวิชาหนอนพิษจงควบคุม ถูกคนใช้วิชาหนอนพิษจงควบคุมอีกต่อหนึ่งเสมือนหุ่นเชิดที่ถูกควบคุม ผู้ใช้วิชาหนอนพิษจงอยากให้เขาทำสิ่งใด เขาก็จะทำสิ่งนั้น ดังนั้นกลางดึกคืนนั้น หลูอี้ซึ่งถูกควบคุมด้วยวิชาหนอนพิษจงจะเป็นฝ่ายบุกไปสังหารหลี่อวิ๋นในห้องแทนก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้” เซี่ยฟางหวาตอบ  


 


 


           “เหลวไหล!” ผู้อาวุโสโมโห “กลายเป็นหลูอี้หลานชายข้าสังหารคนอื่นได้อย่างไรกัน เหลวไหลทั้งเพ!” 


 


 


           “สุดท้ายเป็นเรื่องเหลวไหลหรือไม่แค่ตรวจสอบดูก็ทราบแล้ว ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางท่านนี้คงมีตำแหน่งสูงในตระกูล วิชาแพทย์ของข้าไม่แบ่งเพศและอายุ หากท่านไม่เชื่อว่าหลี่อวิ๋นพูดความจริงหลังหลับไป เช่นนั้นก็นอนลงให้ข้าลองถามสิ่งที่อยู่ในใจท่านได้” เซี่ยฟางหวาพลันหันไปมองผู้อาวุโสคนนั้น  


 


 


           ผู้อาวุโสคนนั้นตกใจ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที 


 


 


           “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้สนใจความลับตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางถึงเพียงนั้นหรอก สนเพียงคดีนี้เท่านั้น” เซี่ยฟางหวายิ้ม 


 


 


           “พระชายาน้อย ข้าไม่รู้ว่าท่านใช้อุบายใด แต่ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของข้าเป็นผู้เสียหาย ยามนี้ท่านกลับดำเป็นขาวขึ้นที่นี่ ไม่กลัวว่าหากเผยแพร่ออกไป ประชาชนใต้หล้าจะกล่าวหาว่าท่านใช้วาทะปีศาจสะกดผู้อื่น เป็นปีศาจสาวที่คอยรังแกชาวบ้านรึ” ผู้อาวุโสคนนั้นหวาดกลัว  


 


 


           “สิ่งที่ข้าใช้คือวิชาแพทย์ หากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางหาผู้ที่มีวิชาแพทย์ดีกว่าข้าได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องลำบากเองเช่นนี้” เซี่ยฟางหวายิ้มเย็น “ข้าไม่รู้ว่าการใช้วิชาแพทย์สอบสวนคดีนั้นกลายเป็นปีศาจสาวตั้งแต่เมื่อไร ท่านช่างให้เกียรติข้าเหลือเกิน” 


 


 


           “ใครก็ได้!” ฉินเจิงพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น 


 


 


           ทหารสองคนรีบเดินเข้ามา 


 


 


           “จับผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไว้” ฉินเจิงออกคำสั่ง “ข้าก็อยากรู้นักว่าพวกเขาเที่ยวก่อกวนไปทั่ว สุดท้ายแล้วเกี่ยวของกับการสังหารหลูอี้หรือไม่” 


 


 


           “ขอรับ!” ทั้งสองรีบก้าวขึ้นมา 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย ท่านทำเช่นนี้มิได้!” เสนาบดีฝ่ายซ้ายลุกขึ้นยืนทันที  


 


 


           “หืม เสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่าข้าทำเช่นนี้ไม่ได้ แล้วทำเช่นไรได้” ฉินเจิงหรี่ตาลง “ถ้าผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่มีปัญหา ข้าย่อมคืนความเป็นธรรมให้พวกเขา แต่หากมีปัญหาล่ะก็ เช่นนั้นตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่อาจพ้นโทษแน่นอน” 


 


 


           “เพราะหลูอี้ตายไป พวกเขาเสียใจถึงได้เป็นเช่นนี้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวขึ้น 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านอยู่ในราชสำนักมานานเท่าไรแล้ว คนแบบใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็น ข้าเกิดมาในเมืองหลวง เติบโตขึ้นที่วังหลวง คนแบบใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็น แค่หลานชายคนหนึ่งตายไป ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางจำต้องกัดหลี่อวิ๋นไม่ปล่อยเชียวหรือ พิสูจน์ได้แล้วว่าเป็นวิชาหนอนพิษจงแท้ๆ กลับเอาแต่กล่าวหาว่าเขาเป็นคนสังหาร หมายจะให้เขาตายเพื่อชดใช้ให้ได้ ความจริงแล้วคิดจะทำสิ่งใดลับหลังกันแน่ หากท่านไม่มีส่วนรู้เห็นก็รอดตัวไป แต่หากท่านรู้เห็นด้วยล่ะก็ แม้ท่านเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่เมื่อข้าสืบสวนจนความจริงปรากฏแล้วก็ย่อมได้รับโทษด้วยเช่นกัน เข้าใจหรือยัง” ฉินเจิงยิ้มเย็น  


 


 


           “ท่าน…” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมีสีหน้าดำทะมึน เอ่ยคำใดไม่ออก 


 


 


           “ให้พวกเขาพูดความจริงระหว่างหลับ เจ้าทำได้หรือไม่” ฉินเจิงหันมาถามเซี่ยฟางหวา 


 


 


           “ทำได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           “เช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ!” ฉินเจิงยกมือ 


 


 


           “หากไม่ใช่ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางที่ทำร้ายกันเอง ท่านอ๋องน้อย ท่านจะทำเช่นไร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้นอีก “ตอนนี้ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางแม้ไม่เหมือนก่อน แต่ก็เป็นตระกูลใหญ่อันสง่าผ่าเผย” 


 


 


           “หากไม่ใช่พวกเขาที่ทำร้ายกันเอง ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่พวกเขาด่าพระชายาของข้าว่าเป็นปีศาจสาว มิฉะนั้น…” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเย็น 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองฉินเจิงที่กำลังแผ่จิตสังหารต่อผู้อาวุโสที่ถูกกดลงบนพื้น ทราบดีว่าพวกเขายั่วโทสะฉินเจิงด้วยการต่อว่าเซี่ยฟางหวา เดิมเขาคิดจะห้ามฉินเจิงก็เงียบลงทันที 


 


 


           ผู้อาวุโสถูกกดลงบนพื้นทีละคน เซี่ยฟางหวาเดินออกมา ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาสะกดจิตกับพวกเขา 


 


 


           ภายในตำหนักนอกจากเสียงของนางก็เงียบสงัดไร้เสียงใดรบกวน 


 


 


           “เรียบร้อยแล้ว ถามได้เลย” ผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็บอกฉินเจิง  


 


 


           “หลูอี้ถูกวิชาหนอนพิษจงได้อย่างไร” ฉินเจิงลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มถามขึ้น 


 


 


           “วะ…วิชาหนอนพิษจงอะไรกัน…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหวาดกลัว 


 


 


           “การใช้หนอนตัวเล็กควบคุมจิตใจผู้อื่น” ฉินเจิงอธิบาย 


 


 


           “หนอนตัวเล็ก…หนอนตัวเล็ก…” ผู้อาวุโสคนนั้นคล้ายต่อต้าน ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “หลูอี้เป็นขยะไร้ค่าของตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง ตายไปก็ดี…ขอเพียงเจ้ารับปากพวกเราว่าจะกระชากหลูหย่งลงจากตำแหน่ง สนับสนุนลูกหลานในตระกูลข้าให้มีอนาคตแทน…พวกเราจะร่วมมือกับเจ้า…” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายหลูหย่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที 


 


 


           “ร่วมมือกับใคร ร่วมมืออะไรกัน” ฉินเจิงถามอีก 


 


 


           “ร่วมมือ…ร่วมมือ…” คนผู้นั้นต่อต้าน พูดไปแค่ไม่กี่ครั้งก็ไม่เอ่ยคำใดขึ้นอีก 


 


 


           ฉินเจิงจ้องมองเขาแล้วถามอีกครั้ง 


 


 


           ผู้อาวุโสคนนั้นพลันยกขาถีบกลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนที่ลมหายใจจะขาดช่วงไป สิ้นใจลงทันที


 

 

 


ตอนที่ 43

 

 เซี่ยฟางหวามีสีหน้าเปลี่ยนไป ก้าวขึ้นมาตรวจชีพจรให้ผู้อาวุโสคนนั้น 


 


 


           ทว่าเมื่อนางเดินเข้ามาใกล้ก็พบว่าผู้อาวุโสคนนั้นตายไปแล้ว 


 


 


           “เขาตายแล้ว!” นางเงยหน้าบอกฉินเจิง  


 


 


           “เพราะเหตุใด” ฉินเจิงหรี่ตาลง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาตอบ “โดยปกติวิชาสะกดจิตที่ข้าใช้ไม่อาจคร่าชีวิตคนได้” พูดจบ นางก็มองไปยังหลี่อวิ๋นที่ยังอยู่ดี “ถึงแม้อายุมากแล้วก็ทำคนตายไม่ได้ เว้นเสียแต่…” 


 


 


           “เว้นแต่อันใด” 


 


 


           “เว้นแต่ชื่อของคนผู้นั้นกับเรื่องนี้เป็นความลับที่ไม่อาจบอกได้ ขณะต่อต้านก็เค้นสมองคิดหาทางแทบตาย พอลมหายใจขาดช่วงจึงสิ้นลม” เซี่ยฟางหวามองเขาแล้วเอ่ยตอบ  


 


 


           ฉินเจิงเลิกคิ้ว 


 


 


           “เขาพูดจาและมีสีหน้าหวาดกลัว แสดงให้เห็นถึงความกลัวในก้นบึ้งหัวใจ ผลของการบอกความจริงเกรงว่าจะยุ่งยากกว่าความตาย” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก มองไปยังผู้อาวุโสที่สิ้นใจบนพื้น  


 


 


           ฉินเจิงแค่นหัวเราะขึ้นมา “ข้าอยากรู้นักว่าใต้หล้ายังมีเรื่องใดน่ากลัวกว่าความตายอีก” พูดจบก็ก้าวออกมาหาผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งก่อนเอ่ยถามขึ้น “ตอบข้ามาว่าใครรับปากพวกเจ้า ขอเพียงลากหลูหย่งลงจากตำแหน่งได้ก็จะสนับสนุนลูกหลานที่มีความสามารถในตระกูลเจ้าขึ้นไปแทน?” 


 


 


           “คือ…คือ…คือ…” ผู้อาวุโสคนนั้นอ้าปากพะงาบ 


 


 


           เนิ่นนานก็ไม่ยอมกล่าวออกมา หน้าผากกลับมีเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมา สีหน้าเริ่มหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม 


 


 


           “ถ้าไม่ยอมหยุด คนผู้นี้ต้องตายตามไปด้วยเป็นแน่” เซี่ยฟางหวารีบเอ่ยขึ้น 


 


 


           “ตายก็ตาย!” ใบหน้าฉินเจิงเคร่งขรึม กระชากคอเสื้อผู้อาวุโสคนนั้นขึ้นมา “บอกมาว่าใคร หากเจ้าไม่บอก ข้าจะตัดสินว่าตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของพวกเจ้าวางแผนร้ายลับหลัง มีความผิดฐานปลุกปั่นค่ายทหาร ต้องประหารตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเก้าชั่วโคตร!” 


 


 


           “อย่า…” น้ำเสียงผู้อาวุโสคนนั้นสั่นเครือด้วยความกลัว 


 


 


           “บอกมา!” ฉินเจิงมองด้วยแววตาดุดัน 


 


 


           “คือ…ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร…” ผู้อาวุโสคนนั้นหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม “เขาร้ายกาจมาก สวมอาภรณ์สีดำปกปิดใบหน้าจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง บนตัวเขามีโถหนึ่งใบ ข้างในมีหนอนตัวเล็กอยู่ ขอเพียงวางบนตัวใครก็ตาม จะทำให้คนผู้นั้นกระทำในสิ่งที่เขาต้องการได้…” 


 


 


           “เขามาหาตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเมื่อไร” ฉินเจิงไม่ผ่อนมือที่จับคอเสื้อเขา 


 


 


           “เมื่อ…เมื่อปีก่อน…” ผู้อาวุโสคนนั้นตอบ 


 


 


           “ตอนไหนของปีก่อน” ฉินเจิงถามอีก 


 


 


           “ตอนนี้ของปีก่อน…” ผู้อาวุโสคนนั้นตอบอีก 


 


 


           “ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร นึกไม่ถึงว่าจะกล้าตัดอนาคตของคนทั้งตระกูล?” ฉินเจิงถามขึ้นอีก 


 


 


            “หลูหย่งเป็นจิ้งจอกตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่อง ตอนนั้นเพื่อตำแหน่งเสนาบดีของเขา ตระกูลต้องลำบากเพื่อเขาเท่าไร แต่เขาเล่า ที่ผ่านมาได้ให้อะไรกับตระกูลบ้าง ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเหลือต้นตระกูล กลับยังเหยียบไหล่คนตระกูลเดียวกันอีก เพลิดเพลินกับความร่ำรวยมีเกียรติ…” ผู้อาวุโสคนนั้นตอบ 


 


 


           “นี่ต้องถามว่าที่ผ่านมาตระกูลอยากให้ข้าทำสิ่งใด ข้ารับเงินเดือนจากผู้ใดย่อมต้องจงรักภักดีต่อผู้นั้น ต้องเห็นบ้านเมืองมาก่อนครอบครัว แต่ผู้อาวุโสในตระกูลเล่า อยากให้ข้าใช้อำนาจเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตน ไม่รู้จักพอดั่งงูร้ายหมายกลืนช้าง หลายปีมานี้ข้าให้การดูแลไปมากแล้ว หากไม่มีการดูแลจากข้า ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางคงเ**่ยวเฉาไร้อนาคตขึ้นทุกวัน ล่มสลายไปตั้งนานแล้ว” เสนาบดีฝ่ายซ้ายหลูหย่งซึ่งอยู่ด้านข้างทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายร้อนตัวเกินไปแล้ว” ฉินเจิงผินหน้ามองหลูหย่งพลางเอ่ยเสียงเรียบ  


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายหน้าหงาย ใบหน้าเขียวคล้ำไม่เอ่ยคำใดอีก 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองหลูหย่งแวบหนึ่ง คิดในใจว่าวันนี้ความขัดแย้งระหว่างเขาผู้เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางถูกเปิดโปงขึ้นแล้ว ดูท่าคงไม่อาจไกล่เกลี่ยได้อีก มิฉะนั้นผู้อาวุโสเหล่านี้คงไม่คิดอยากเหยียบย่ำหลูหย่งและแสวงหาทางเลือกอื่น ร่วมมือกับคนอื่นลับหลัง สร้างแผนการร้ายนี้ขึ้น นับว่าเขาเสื่อมเสียเกียรติจนสิ้นแล้ว 


 


 


           “ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่เสียดายหากต้องแลกด้วยชีวิตของคนในตระกูลเพื่อลากเสนาบดีฝ่ายซ้ายลงจากตำแหน่งรึ” ฉินเจิงเลิกคิ้ว “ชีวิตคนในตระกูล เทียบไม่ได้กับตำแหน่งของเสนาบดีฝ่ายซ้าย?” 


 


 


           “คนผู้นั้นบอกว่าไม่มีทางพลาดโดยเด็ดขาด…” ผู้อาวุโสคนนั้นส่ายหน้า  


 


 


           “ไม่มีทางพลาดโดยเด็ดขาด” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “เหตุใดต้องเชื่อเขา แค่หนอนในโถที่เขามีอยู่รึ” 


 


 


           ผู้อาวุโสคนนั้นได้ยินคำว่าหนอนก็แสดงความหวาดกลัวขึ้นมาฉับพลันราวกับไม่อยากพูดต่ออีกแล้ว 


 


 


           “ถ้าไม่พูดข้าก็จะตัดสินโทษตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางด้วยการประหารทั้งตระกูล เสนาบดีฝ่ายซ้ายยังคงดำรงตำแหน่งเดิมอันสูงส่ง ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย” ฉินเจิงเพิ่มแรงกระชากคอเสื้อเขา 


 


 


           “ข้า…ข้าเชื่อเขา…เพราะ…เพราะว่า…” คนผู้นั้นยกขาถีบกลางอากาศก่อนที่เสียงจะขาดหายไป 


 


 


           ฉินเจิงปล่อยมือ มองไปยังเซี่ยฟางหวา 


 


 


           “ตายแล้ว” เซี่ยฟางหวามองแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


           ทุกคนทอดถอนใจขึ้นมาเมื่อตายไปอีกหนึ่งศพ 


 


 


           ครั้งนี้ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางมาด้วยกันห้าคน ยามนี้ตายไปแล้วสองคน บนพื้นยังเหลืออีกสามคน 


 


 


           “ถึงตายแล้วก็ต้องตรวจสอบ!” ฉินเจิงกระชากคอเสื้อผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง “เหตุใดถึงเชื่อว่าเขาจะลากเสนาบดีฝ่ายซ้ายลงจากตำแหน่งได้ ทั้งให้ผลประโยชน์อย่างที่ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางต้องการ? ถ้าไม่ตอบ ข้าจะสังหารเจ้าเสียตอนนี้” 


 


 


           “อย่าสังหารข้า…” คนผู้นั้นหวาดกลัว 


 


 


           “ไม่สังหารก็ย่อมได้ พูดมา” ฉินเจิงบีบบังคับ 


 


 


           “ข้าพูด…พูด…ยอมพูดแล้ว…” ผู้อาวุโสคนนั้นต่อต้านพักหนึ่ง ก่อนถีบอากาศแล้วตายไปอีกคนเช่นกัน 


 


 


           ฉินเจิงย่นหัวคิ้ว ปล่อยมือลงด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก 


 


 


           ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดขึ้นภายในโถงตำหนัก แม้เป็นฤดูร้อน ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บ 


 


 


           “วันนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันแน่ที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้ถึงขั้นนี้” ฉินเจิงเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อผู้อาวุโสอีกคน เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา  


 


 


           “เดาว่าถึงสองคนนี้ต้องตายก็คงไม่ยอมบอก มิสู้วกไปถามเรื่องอื่นแทนดีกว่า” เซี่ยฟางหวายกมือห้ามแล้วเอ่ยเสียงเบา  


 


 


           ฉินเจิงมองนาง 


 


 


           “อย่างเช่นคดีหมอหลวงซุนถูกสังหาร กลไกศิลายักษ์ ฝูงหมาป่าล้อมโจมตี และคดีการตายของใต้เท้าหาน” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “หมอหลวงซุนถูกเจ้าสังหารใช่หรือไม่” 


 


 


           “ไม่ใช่” ผู้อาวุโสส่ายหน้า 


 


 


           “นอกจากส่งหลูอี้มาที่ค่ายทหาร ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางยังทำสิ่งใดไปอีกบ้าง” ฉินเจิงถามอีก 


 


 


           “รอจนกว่าหลูอี้ตาย พอตายไปแล้วตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางจะหาแพะมารับผิด” ผู้อาวุโสตอบ 


 


 


           “ยังมีหรือไม่” ฉินเจิงมีสีหน้าเยือกเย็น 


 


 


           “ไม่…ไม่มีแล้ว…” ผู้อาวุโสตอบ 


 


 


           ฉินเจิงมองไปยังเซี่ยฟางหวา 


 


 


           “คงได้เท่านี้ ปล่อยให้พวกเขาทั้งห้าตายหมดไม่ได้ เว้นสองคนนี้ไว้เถอะ” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้ารับ ผละตัวออกแล้วยืนขึ้น ก่อนมองไปยังเสนาบดีฝ่ายซ้าย “เสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่าเรื่องนี้ควรจัดการเช่นไร” 


 


 


           “ในเมื่อการตายของหลูอี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลี่อวิ๋น หลี่อวิ๋นก็ควรถูกปล่อยตัว แต่คดีการตายของหมอหลวงซุน กลไกศิลายักษ์ ฝูงหมาป่าล้อมโจมตี และคดีการตายของใต้เท้าหาน ผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใครย่อมต้องตรวจสอบให้กระจ่าง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายหลูหย่งสงบลงแล้วในยามนี้ เขาประสานมือตอบฉินเจิง  


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่าลำดับต่อไปจะตรวจสอบเช่นนี้หรือ ถึงอย่างไรยามนี้ก็เกี่ยวข้องกับท่านด้วยแล้ว” ฉินเจิงพยักหน้า  


 


 


           “องค์รัชทายาททรงมอบอำนาจในการสืบคดีนี้ให้ท่านอ๋องน้อยทั้งหมด ท่านอ๋องน้อยอยากสืบเช่นไรก็สืบเช่นนั้น หากมีจุดใดที่ต้องการความร่วมมือจากข้า ข้าย่อมทุ่มสุดความสามารถ” สีหน้าของเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ค่อยดีนัก  


 


 


           “ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง…” ฉินเจิงเดินไปสองก้าวแล้วหันกลับมา “สองคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ประเดี๋ยวตื่นขึ้นมาแล้วก็ยกให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายจัดการแล้วกัน ส่วนอีกสามคนที่ตายไปแล้ว ท่านก็จัดการรวมไปด้วย” 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยตัดสินถูกแล้ว ถึงอย่างไรตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางก็มีบรรพบุรุษเดียวกัน ข้าควรหลีกเลี่ยงการเป็นที่สงสัย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกล่าว  


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ต้องเลี่ยง ทำผิดก็ว่าไปตามผิดถึงเป็นการจงรักภักดีต่อบ้านเมือง คดีนี้ก็ไม่ใช่เพราะวิชาสะกดจิตถึงจะทำให้เขาพวกเขาพูดความจริงออกมา พอจะเชื่อมโยงได้คร่าวๆ แล้ว ต้องรอให้ตรวจสอบคดีทั้งหมดจนกระจ่างแจ้งก่อน เมื่อความจริงปรากฏแล้วค่อยยื่นสาส์นต่อเสด็จอาเพื่อขอลดโทษ” ฉินเจิงยิ้ม  


 


 


           “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยกน้าอาทุกท่านให้ข้าจัดการเถอะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายผงกศีรษะ 


 


 


           ฉินเจิงเห็นว่าเขาเห็นด้วยก็บอกเซี่ยฟางหวา “ปลุกสองคนที่เหลือขึ้นมาเถอะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ก่อนปลุกผู้อาวุโสที่ยังมีชีวิตอยู่ขึ้นมา 


 


 


           หลังผู้อาวุโสสองคนนั้นตื่นขึ้นมาก็มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง จากนั้นก็มองหน้ากัน ก่อนมองไปยังผู้อาวุโสอีกสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ทันใดนั้นก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวขึ้น “พวกเจ้า…พวกเจ้าทำอะไรกับพวกข้า” 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่อธิบายเถอะ!” ฉินเจิงจูงมือเซี่ยฟางหวาเดินออกไป 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย!” ผู้อาวุโสตะโกนขึ้น 


 


 


           ฉินเจิงแสร้งไม่ได้ยิน กางร่มพาเซี่ยฟางหวาออกจากตำหนัก 


 


 


           “เราไปดูตรงนั้นกัน” เมื่อมาถึงนอกตำหนัก เขาก็ชี้ไปยังจุดหนึ่ง  


 


 


           เซี่ยฟางหวามองตามนิ้วเขา พบว่าเป็นใต้หน้าต่างห้องที่หานซู่พักอาศัย นางพยักหน้าแล้วเดินตามไป 


 


 


           ทั้งคู่มาถึงใต้หน้าต่าง มองไล่ไปตามกำแพงริมหน้าต่างพักหนึ่ง 


 


 


           “เห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่” ฉินเจิงถาม 


 


 


           “ไม่มีร่องรอยใดเลย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           “องครักษ์ลับร้อยคนที่ฉินอวี้วางกำลังไว้ เจ้ามีวิธีใดสืบหาตัวหรือไม่” ฉินเจิงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ  


 


 


           “องครักษ์ลับได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจึงมีจิตใจและสติปัญญาไม่เหมือนคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นองครักษ์ลับราชสำนักก็แข็งแกร่งกว่าองครักษ์ลับในจวนทั่วไปด้วย ทั้งต้านวิชาจำพวกสะกดจิตได้ วิชาสะกดจิตใช้กับพวกเขาไม่ได้ผล ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งร้อยคน…” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น  


 


 


           “ไม่ต้องใช้วิชาสะกดจิตของเจ้าแล้ว เปลืองแรงเปล่า” ฉินเจิงเอ่ยขัด 


 


 


           “เช่นนั้นเรียกองครักษ์ลับพวกนั้นมาก่อนดีกว่า เราลองประเมินดูรอบหนึ่ง” เซี่ยฟางหวามองเขา  


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าก่อนตะโกนเสียงเบา “เยว่ลั่ว” 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย!” เยว่ลั่วขานรับแล้วปรากฏตัวขึ้นข้างหลังฉินเจิง 


 


 


           “เรียกองครักษ์ลับหนึ่งร้อยคนนั้นมา” ฉินเจิงออกคำสั่ง 


 


 


           เยว่ลั่วปรายตามองรอบทิศก่อนพยักหน้า เพียงดีดนิ้วแผ่วเบา บุรุษชุดดำหนึ่งร้อยคนก็ปรากฏตัวขึ้นรอบทิศทาง ทั้งหมดสวมอาภรณ์สีดำปกปิดใบหน้า เหลือไว้เพียงดวงตาสองข้างเท่านั้น 


 


 


           “เมื่อคืนพวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ เห็นว่ามีคนใช้เข็มสังหารหานซู่หน้าเตียงบ้างหรือไม่” ฉินเจิงกางร่ม มองพวกเขาผ่านม่านสายฝน  


 


 


           “ไม่เห็นขอรับ” ทั้งหนึ่งร้อยคนส่ายหน้าตอบเป็นเสียงเดียวกัน 


 


 


           “ถ้าไม่มี แล้วเข็มมาจากที่ใดกัน” ฉินเจิงเลิกคิ้ว 


 


 


           หนึ่งร้อยคนส่ายหน้าพร้อมเพรียงกัน 


 


 


           “เมื่อคืนเจ้าก็อยู่ด้วยใช่ไหม?” ฉินเจิงมองเยว่ลั่ว 


 


 


           “เรียนท่านอ๋องน้อย เมื่อคืนข้าก็อยู่ด้วย แต่ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดจากห้องใต้เท้าหานเลยจริงๆ” เยว่ลั่วผงกศีรษะ ไม่เข้าใจเช่นกัน  


 


 


           ฉินเจิงกวาดตามองทั้งร้อยคน จากนั้นก็หันกลับมาสั่งงาน “ใครก็ได้ ไปเรียกทหารที่เข้าเวรเฝ้ารอบตำหนักแห่งนี้เมื่อคืนมาเข้าแถว” 


 


 


           มีคนขานรับแล้วรีบออกไป 


 


 


           ไม่นาน ทหารห้าร้อยนายก็ทยอยออกมายืนเข้าแถว 


 


 


           ฉินเจิงจูงมือเซี่ยฟางหวาใต้คันร่ม เดินไปยังทหารห้าร้อยนาย สำรวจผ่านไปแถวแล้วแถวเล่า 


 


 


           เมื่อเดินดูทหารทั้งหมดครบรอบหนึ่งแล้วก็หันกลับมาให้สัญญาณหัวหน้า “แยกย้ายได้!” 


 


 


           หัวหน้านำทหารห้าร้อยนายแยกย้ายออกไป 


 


 


           ฉินเจิงยืนมององครักษ์ลับหนึ่งร้อยคนกลางสายฝนอีกพักใหญ่ ก่อนยกมือสั่งเยว่ลั่ว “พวกเจ้าก็แยกย้ายได้” 


 


 


           เยว่ลั่วตวัดฝ่ามือ หนึ่งร้อยคนนั้นแยกย้ายกันไปทันที เขากลับยังอยู่ที่เดิมแล้วเอ่ยบอกฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อย องครักษ์ลับหนึ่งร้อยคนมีหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยให้องค์รัชทายาท รับคำสั่งจากรัชทายาทเพียงผู้เดียว และติดตามรัชทายาทมาตั้งแต่เด็ก การตายของใต้เท้าหานไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นแน่” 


 


 


           “เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามา ใครกันที่หลบสายตาขององครักษ์ลับหนึ่งร้อยคนและทหารห้าร้อยนายไปได้ แล้วทำการสังหารใต้เท้าหานอย่างเงียบเชียบ” ฉินเจิงมองเขา 


 


 


           เยว่ลั่วมองไปยังห้องพักของหานซู่ ฝนยังคงตกหนักเหมือนเดิม เขาคาดเดาไม่ได้ชั่วขณะ 


 


 


           “กลางดึกฝนตกหนักถึงเพียงนี้ แม้ไม่มีฝนฟ้าคะนอง ถึงอย่างไรก็มีเสียงฝนคอยกลบ ดังนั้นถ้าเป็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยย่อมไม่ได้ยิน” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้น “เพียงแต่หากปัญหาไม่ได้อยู่ที่องครักษ์ลับหนึ่งร้อยคน…” หยุดชั่วครู่แล้วแค่นหัวเราะขึ้นมา “เข็มที่ปักหัวใจใต้เท้าหานจากข้างหลังนั้นย่อมไม่อาจเข้าไปเองได้” 


 


 


           ยามนี้หลี่มู่ชิงก็กางร่มเดินออกมา “บางที ใช่พวกเราไตร่ตรองผิดจุดหรือไม่” 


 


 


           “หือ” ฉินเจิงมองเขา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาก็มองไปยังเขา 


 


 


           “ใต้เท้าหานเปิดหน้าต่างมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปิดหน้าต่างลงแล้วกลับไปนอน แต่หากสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฆาตกรอยากให้คิดเช่นนั้น บางทีคำตอบอาจต้องไปหาที่ห้องพักใต้เท้าหาน อย่างเช่นห้องลับ หรือกลไกอื่นๆ” หลี่มู่ชิงตอบ 


 


 


           “มีเหตุผล” ฉินเจิงพยักหน้า “องครักษ์ลับหนึ่งร้อยคนเป็นคนของฉินอวี้ ไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆ แน่” 


 


 


           “ถูกต้อง บางทีข้าอาจวิเคราะห์ผิด แม้คาดการณ์ได้ว่าใต้เท้าหานเปิดหน้าต่าง เสื้อผ้าจึงเปียกชื้น ก็ไม่แน่ว่าจะถูกเข็มสังหารในเวลานั้น” เซี่ยฟางหวาบอกฉินเจิง “เรากลับไปดูที่ห้องใต้เท้าหานอีกรอบเถอะ” 


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าแล้วเอ่ยบอกเยว่ลั่ว “เจ้าก็ตามมาด้วย” 


 


 


           “ขอรับ!” เย่วลั่วผงกศีรษะ 


 


 


           ทั้งหมดกลับไปยังตำหนักในค่ายอีกครั้ง 


 


 


           เมื่อเข้ามาข้างใน ผู้อาวุโสที่ตายไปทั้งสามคนถูกคลุมด้วยผ้าสีดำแล้ว นอกจากนี้ผู้อาวุโสอีกสองคนที่เหลืออยู่ก็คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าสิ้นหวัง ร้องไห้อ้อนวอนต่อเสนาบดีฝ่ายซ้าย เสนาบดีฝ่ายซ้ายในตอนนี้มีสีหน้าไม่น่ามองยิ่ง 


 


 


           ฉินเจิงปรายตามองโดยไม่เอ่ยคำใด จูงมือเซี่ยฟางหวาตรงไปยังห้องพักของหานซู่ 


 


 


           เมื่อมาถึงห้องพักหานซู่ ฉินเจิงก็เอ่ยบอกเยว่ลั่ว “ย้ายศพใต้เท้าหานลงจากเตียงก่อน ตรวจสอบให้ทั่ว” 


 


 


           เยว่ลั่วพยักหน้าก่อนย้ายศพหานซู่ลงมาวางข้างล่าง จากนั้นก็เริ่มตรวจสอบห้องนี้ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไปร่วมกับเยว่ลั่วด้วย ตั้งแต่เตียง ผนังห้อง จนถึงพื้น กระทั่งย้ายเตียงหลังใหญ่ออก เครื่องเรือนทั้งหมดในห้องต่างตรวจสอบหมดแล้วรอบหนึ่ง ทว่ายังไม่พบเบาะแสใดแม้แต่น้อย 


 


 


           ฉินเจิงมีสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


           “น่าแปลกใจยิ่งนัก” หลี่มู่ชิงเองก็สงสัย 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเดินมาหยุดที่ริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างหน้าพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “การสังหารคนต้องมีแรงจูงใจ มีคนสังหารใต้เท้าหาน แล้วแรงจูงใจคือสิ่งใด” 


 


 


           ฉินเจิงพลันหรี่ตาลง 


 


 


           “อย่างเช่นหมอหลวงซุนถูกสังหาร ข้าถูกขัดขวาง ทั้งหมดก็เพราะศพหลูอี้จึงอยากทำลายหลักฐาน เมื่อพิสูจน์ศพไม่ได้ก็ใส่ร้ายตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น แล้วเป้าหมายที่ใส่ร้ายตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้นเล่า ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางรบเร้าเพื่อต้องการให้ชดใช้ด้วยชีวิต พอเป็นเรื่องใหญ่แล้วจะลากเสนาบดีฝ่ายซ้ายลงจากตำแหน่งได้อย่างไรเล่า นอกจากนี้ ใต้เท้าหานเล่า แม้รัชทายาทบอกว่ามอบคดีนี้ให้ใต้เท้าหานจัดการ แต่ใต้เท้าหานยังไม่ได้เริ่มสืบคดีเลย เหตุใดถึงโดนสังหารได้” เซี่ยฟางหวาพูดต่อ  


 


 


           ฉินเจิงย่นหัวคิ้วไตร่ตรองตาม 


 


 


           หลี่มู่ชิงครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าหานมีเหตุผลที่ต้องตายแน่นอน ดังนั้นจึงทำการสังหารเขา” 

 

 

 


ตอนที่ 44-1

 

 


หานซู่มีเหตุผลใดต้องตาย


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่ได้รู้จักใต้เท้าหานจากกรมอาญาท่านนี้มากนัก รู้เพียงแค่เขาเป็นขุนนางมายี่สิบปี เป็นคนสุจริตเที่ยงธรรม ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด คดีอาญาใดๆ ก็ตามที่เขารับผิดชอบมักปิดลงได้อย่างว่องไว ชื่อเสียงไม่เคยต้องแปดเปื้อนเพราะทำคดีใดๆ มาก่อน


 


 


           หากแต่ครั้งนี้นึกไม่ถึงว่าจะต้องสิ้นใจลงอย่างเงียบเชียบในค่ายทหาร


 


 


           และยังเกิดขึ้นภายใต้ฉินอวี้อยู่บัญชาการค่ายทหารด้วย


 


 


           เข็มเล่มหนึ่งปักทะลวงหัวใจจากข้างหลัง เขาลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างกลางดึก ทว่าสายลับหนึ่งร้อยคนและทหารห้าร้อยนายกลับไม่มีใครสังเกตเห็น เป็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงอย่างยิ่ง


 


 


           “เขามีเหตุผลใดต้องตาย” ฉินเจิงหันไปมองหลี่มู่ชิง


 


 


           “เมื่อวานหมอหลวงซุนเสียชีวิตนอกเมืองหลวงห้าลี้ ขุนนางจิงจ้าวอิ่นนำกำลังคนไป ข้ากลัวว่าพระชายาน้อยจะเดือดร้อนจึงไปที่กรมอาญา บังเอิญพบใต้เท้าหานที่กรมอาญาพอดี ด้วยเหตุนี้จึงนำคนไปพร้อมกับข้า หลังพบศพหมอหลวงซุน เขาก็บอกว่าฝ่าบาททรงกำลังพักรักษาตัว ไม่ควรทรงงานหนัก รัชทายาทดูแลบ้านเมือง ทว่าตอนนั้นกลับอยู่ที่ค่ายทหาร หมอหลวงซุนไม่ใช่ขุนนางทั่วไป อีกทั้งเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ค่ายทหาร ดังนั้นจึงเดินทางมาเพื่อรายงานรัชทายาท” หลี่มู่ชิงครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเข้ม


 


 


           “หลังจากนั้นเขาก็ตาย” ฉินเจิงกล่าวต่อ


 


 


           “ข้ากับเจ้าและพระชายาน้อยเดินทางกลับพร้อมกัน ต้องทำความเข้าใจเหตุการณ์หลังจากนั้นก่อน” หลี่มู่ชิงกล่าว “ถึงอย่างไรหลังพวกเรากลับไป กว่าจะกลางดึกก็ยังเหลือเวลาอีกสักพักใหญ่”


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าก่อนเรียกอู๋เฉวียนมา “อู๋กงกง เมื่อวานหลังเรากลับไปแล้ว ใต้เท้าหานทำอะไรไปบ้าง”


 


 


           “เรียนท่านอ๋องน้อย กระหม่อมอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทตลอดเวลา หลังท่านกับพระชายาน้อย และคุณชายหลี่กลับไป เนื่องจากฟ้ามืดแล้ว รัชทายาทจึงรับสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน กระหม่อมย่อมตามไปรับใช้รัชทายาทด้วย” อู๋เฉวียนครุ่นคิดก่อนกล่าวขออภัย


 


 


           “ไปตามหย่งคังโหวกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายมา” ฉินเจิงพยักหน้ารับ


 


 


           อู๋เฉวียนขานรับแล้วเดินออกไป ไม่นานหย่งคังโหวกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็เดินเข้ามา สีหน้าหย่งคังโหวผ่อนคลายลงมาก ย่อมเป็นเพราะหลี่อวิ๋นคือผู้บริสุทธิ์ เขาคงส่งข่าวบอกฮูหยินของตนแล้ว สภาพจิตใจจึงดีขึ้นไม่น้อย เสนาบดีฝ่ายซ้ายกลับแตกต่างจากหย่งคังโหว เขามีสีหน้าเคร่งขรึม ย่อมเป็นเพราะไม่คิดว่าเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง ยกก้อนหินทุบเท้าตัวเองโดยแท้


 


 


           “เมื่อวานหลังเรากลับไป ใต้เท้าหานทำอะไรบ้าง หรือพวกท่านทำอะไรบ้าง” ฉินเจิงพูด


 


 


           “เมื่อวานหลังองค์รัชทายาทมีรับสั่งให้พักผ่อน ฝ่าบาทก็กลับไปยังตำหนักบรรทมของตัวเอง ส่วนข้าเพราะเป็นห่วงฮูหยิน ทั้งไม่มีกระจิตกระใจจะอยู่สนทนาต่อจึงกลับห้อง แต่เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับใต้เท้าหานคล้ายนั่งพูดคุยด้วยกัน” หย่งคังโหวมองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแวบหนึ่ง และเป็นฝ่ายตอบขึ้นก่อน


 


 


           ฉินเจิงหันไปมองเสนาบดีฝ่ายซ้าย


 


 


           “ข้าสอบถามการตายของหมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานครู่หนึ่ง แต่พูดคุยกันได้ไม่กี่ประโยค พวกน้าอาก็มาหาข้า ข้าจึงหยุดบทสนทนากับเขาแล้วแยกย้ายกันไป” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่ดีนัก


 


 


           “นายท่านเสนาบดีจำได้หรือไม่ว่าพูดอันใดกับใต้เท้าหานบ้าง” หลี่มู่ชิงรีบเอ่ยขึ้น


 


 


           “ไม่มีอะไรมาก บอกเพียงตอนที่เขากับคุณชายหลี่ออกจากเมือง บังเอิญพบครอบครัวจวนหมอหลวงซุนพอดี เล่าได้ไม่นานก็ไม่ได้เล่าต่อ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายครุ่นคิดก่อนเอ่ยตอบ


 


 


           “ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่มู่ชิงโพล่งขึ้น


 


 


           “เจ้าเข้าใจอะไร” ฉินเจิงหันไปมองหลี่มู่ชิง


 


 


           “ตอนนี้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว มิหนำซ้ำฝนตกหนักเช่นนี้ยิ่งไม่ควรปล่อยศพไว้ที่นี่นาน นำศพใต้เท้าหานกลับเมืองก่อนดีกว่า นอกจากนี้ บางส่วนของคดีจำต้องขอความร่วมมือจากกรมอาญาและศาลต้าหลี่ถึงจะสืบสวนได้” หลี่มู่ชิงหันกลับมามองฉินเจิงแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


           ฉินเจิงผงกศีรษะ “มีเหตุผล” พูดจบก็ยกมือสั่งอู๋เฉวียน “ออกคำสั่งไปว่าให้เก็บข้าวของและตรวจสอบให้ดี เราจะพาใต้เท้าหานกลับเมือง”


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย หากพวกเรากลับเมืองกันหมด แล้วที่นี่…” อู๋เฉวียนชะงัก


 


 


           “ที่นี่ทำไม” ฉินเจิงถาม


 


 


           “ค่ายทหารอย่างไรเล่า หากทหารสามแสนนายเสียขวัญ…” อู๋เฉวียนตอบ


 


 


           “ตอนนี้ข้ามีหน้าที่สืบคดี ไม่ใช่ปกครองค่ายทหาร” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “แค่ความวุ่นวายเล็กน้อยเท่านั้นเอง ค่ายทหารควรเป็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น”


 


 


           “แต่หากเกิดเรื่องขึ้นอีก ถึงอย่างไรก็เป็นวิชาหนอนพิษจง ออกจะน่าตกใจ…” อู๋เฉวียนกังวล


 


 


           “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อยู่ดูแลที่นี่แล้วกัน” ฉินเจิงบอก


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย ท่านอย่าล้อเล่นกับกระหม่อมเลย กระหม่อมมีความสามารถนี้ที่ไหนกันเล่า” อู๋เฉวียนรีบกล่าวด้วยความหวาดกลัว


 


 


           “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หุบปากไปเสีย” ฉินเจิงชำเลืองมอง


 


 


           อู๋เฉวียนปิดปากทันที ก่อนวิ่งออกไปเก็บข้าวของตามคำสั่ง


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับหย่งคังโหวไม่มีความเห็นใดกับการออกจากค่ายทหาร ใต้เท้าหานค้างแค่หนึ่งคืนก็เสียชีวิตลง พวกเขาย่อมไม่กล้าค้างเป็นคืนที่สองแล้ว


 


 


           โดยเฉพาะหย่งคังโหวที่กล่าวบอกฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อย เหตุใดผู้อยู่เบื้องหลังถึงบงการหลูอี้ให้ไปพบ


 


 


หลี่อวิ๋น หลี่อวิ๋นคือกุญแจสำคัญ ตามความเห็นของข้า คิดว่าไม่ควรปล่อยหลี่อวิ๋นไว้ที่ค่ายทหารแล้ว”


 


 


           “อืม นับแต่วันนี้หลี่อวิ๋นมาติดตามข้าแล้วกัน” ฉินเจิงเอ่ยขึ้น


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย” หย่งคังโหวตกใจ


 


 


           ฉินเจิงผินหน้าไปมอง “หรือท่านโหวไม่เต็มใจ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “หากให้ท่านพาเขากลับจวนไปก็ย่อมได้ แต่ท่านมั่นใจนะว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยเขาได้”


 


 


           “เอาตามท่านอ๋องน้อยว่าดีแล้ว หลี่อวิ๋นเพิ่งจะพ้นเคราะห์มาได้ ต้องพึ่งพาท่านอ๋องน้อย” หย่งคังโหวอึ้ง พอฉุกคิดขึ้นได้ก็รีบกล่าว


 


 


           ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอแผ่วเบา


 


 


           ครึ่งชั่วยามถัดมาก็เก็บข้าวของทุกอย่างเรียบร้อย หานซู่ถูกบรรจุไว้ในรถที่ปิดผนึก นอกจากนี้ผู้อาวุโสสามท่านจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางก็ถูกบรรจุไว้ในรถเช่นเดียวกัน ส่วนผู้อาวุโสอีกสองท่านถูกผู้คุ้มกันสองคนคุมตัวขึ้นรถ เสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหว และอู๋เฉวียนก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถด้วย


 


 


           แม้หลี่มู่ชิงนั่งรถม้าตนเองมา แต่ตอนกลับเมืองนั้นขึ้นมานั่งเบียดบนรถม้าของฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวา


 


 


           “เจ้าพบสิ่งใดแล้วใช่หรือไม่” เมื่อออกจากค่ายทหารมาได้ระยะหนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็มองหลี่มู่ชิงแล้วเอ่ยถามขึ้น


 


 


           ฉินเจิงก็มองไปยังหลี่มู่ชิงเช่นกัน


 


 


           “ข้าคิดว่าการตายของใต้เท้าหานน่าจะเกี่ยวข้องกับหมอหลวงซุน” หลี่มู่ชิงพยักหน้า


 


 


           “หมอหลวงซุน?” เซี่ยฟางหวาสงสัย


 


 


           “เจ้าอย่าลืมว่าใต้เท้าหานดูแลกรมอาญามาหลายปี มีความรู้สึกไวต่อการทำคดีอย่างมาก เขาจะต้องพบสิ่งใดแล้วแน่นอน ส่วนเสนาบดีฝ่ายซ้ายคุยกับเขาเรื่องการตายของหมอหลวงซุน ทว่าคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค ก็ถูกผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางมาขัดจังหวะ พอดีกับช่วงที่เอ่ยถึงครอบครัวหมอหลวงซุน” หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ


 


 


           “วันนั้นเจ้ามาพร้อมกับคนของกรมอาญา” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “ถูกต้อง ดังนั้นพอกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าคงมองข้ามบางสิ่งไป” หลี่มู่ชิงบอก


 


 


           “สิ่งใด” ฉินเจิงถาม


 


 


           “ครอบครัวหมอหลวงซุน หลังทราบว่าหมอหลวงซุนตาย ตอนนี้มานึกดูแล้วลูกสะใภ้ทั้งสองคนของเขา คนหนึ่งร้องไห้จริง อีกคนหนึ่งแกล้งร้องไห้” หลี่มู่ชิงตอบ


 


 


           “หือ” ฉินเจิงเลิกคิ้ว


 


 


           “ตอนนี้นึกทบทวนดูแล้วได้ความเช่นนี้” หลี่มู่ชิงบอก “แต่เพราะตอนนั้นข้าไม่ได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับครอบครัวหมอหลวงซุน ดังนั้นจึงไม่ได้ฟังอย่างถี่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นฝนก็ตกหนักมาก ฮูหยินทั้งสองท่านต่างอยู่บนรถม้า ดังนั้นจึงแยกไม่ออกว่าใครร้องไห้จริง ใครแกล้งร้องไห้”


 


 


           “ดังนั้นเจ้าจึงแนะนำว่า ในเมื่อหาสาเหตุการตายของใต้เท้าหานที่ค่ายทหารไม่เจอ เช่นนั้นก็กลับเมืองไปหาจากตัวหมอหลวงซุนแทน” ฉินเจิงถาม


 


 


           “อืม ข้าหมายความเช่นนี้” หลี่มู่ชิงตอบ


 


 


           “ตอนนั้นเจ้าบอกว่าคนขับรถฆ่าตัวตาย” ฉินเจิงหันไปมองเซี่ยฟางหวา


 


 


           “ใช่แล้ว หมอหลวงซุนถูกสังหาร แต่คนขับรถฆ่าตัวตาย” เซี่ยฟางหวายืนยัน “ดังนั้นปัญหาต้องอยู่ที่คนขับรถแน่นอน”


 


 


           “ตอนนี้คนขับรถที่ฆ่าตัวตายนั่นเล่า” ฉินเจิงถาม


 


 


           “ใต้เท้าหานส่งคนนำกลับไปที่กรมอาญาแล้ว น่าจะเก็บไว้ที่ห้องพักศพ” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           “หลังกลับไปแล้วก็เริ่มตรวจสอบจากจวนหมอหลวงซุนแล้วกัน” ฉินเจิงยิ้มเย็น “ข้าอยากรู้นักว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใครถึงคิดการใหญ่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเช่นนี้”


 


 


           “ฝ่าบาททรงแลกทุกสิ่งเพื่อบ้านเมือง คงไม่นึกอยากทำลายมันก่อนสวรรคตเป็นแน่” เซี่ยฟางหวาไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น


 


 


           ฉินเจิงพลันเหนื่อยล้าขึ้นบ้าง ตอบ “อืม” แผ่วเบา


 


 


           “ตั้งแต่เหตุเพลิงไหม้วัดฝ่าฝอซื่อ มีคนลอบสังหารเจ้า ศพไต้ซืออู๋ว่างก็ถูกวิชาหนอนพิษจงแล้วอันตรธานหายไป หลายเดือนผ่านไปก็พบว่าหลูอี้ถูกวิชาหนอนพิษจงอีก เหตุการณ์พวกนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเผ่าภูตผี” เซี่ยฟางหวากล่าว


 


 


           “เผ่าภูตผี…” ใบหน้าฉินเจิงมืดครึ้มลง


 


 


           “เผ่าภูตผีลือกันว่าถูกทำลายสิ้นไปแล้ว แต่ดูท่าหาได้เป็นเช่นนั้น นอกจากพวกเราที่รู้เรื่องนี้ ยังมีคนไม่รู้ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ตลอดเวลาที่ผ่านมาคิดจะทำอะไรกันแน่” เซี่ยฟางหวามองเขาแล้วเม้มปาก


 


 


           “ต้องตรวจสอบได้กระจ่างแน่” ฉินเจิงเลื่อนมือมากุมมือนาง


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก


 


 


           ฝนตกหนักตลอดสามวันทำให้เดินทางลำบาก บางแห่งกลายเป็นแม่น้ำ ม้าจำต้องแล่นลุยน้ำไป


 


 


           ฝนเทลงมาราวกับจะไม่หยุดตกในเวลาอันใกล้นี้

 

 

 


ตอนที่ 44-2

 

เมื่อกลับมาถึงเมืองโดยราบรื่นก็เย็นมากแล้ว ฉินเจิงเอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา “ข้ากับมู่ชิงจะไปจวนของใต้เท้าหานเพื่อส่งศพก่อน จากนั้นค่อยไปจวนหมอหลวงซุน เจ้าไม่ต้องไปแล้ว กลับจวนไปก่อนเถิด”


 


 


           “ข้าไม่เหนื่อย” เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           “หากต้องพึ่งภรรยาทุกเรื่อง ข้าคงไร้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด” ฉินเจิงบอก


 


 


           เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้มออกมา


 


 


           “เจ้าเป็นคนประเภทที่กลัวว่าภรรยาจะเหนือกว่าหรือ” หลี่มู่ชิงมองฉินเจิง


 


 


           “ลงไปแล้ว! รถม้าคันนี้ส่งนางกลับจวน เราเปลี่ยนไปนั่งรถของเจ้า” ฉินเจิงชำเลืองมองเขา


 


 


           “ก็ได้” หลี่มู่ชิงกะพริบตามองเซี่ยฟางหวาก่อนกระโดดลงจากรถ


 


 


           เซี่ยฟางหวารั้งแขนเสื้อของฉินเจิงเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าต้องกลับจวนไวหน่อย”


 


 


           “อืม” ฉินเจิงพยักหน้าแล้วกระโดดลงจากรถเช่นกัน


 


 


           ฉินเจิงเอ่ยสั่งงานอวี้จั๋วนอกรถ รถม้าปลีกตัวออกจากขบวน มุ่งหน้าไปยังจวนอิงชินอ๋อง


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่งซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็เข้ามาข้างในรถแทน เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวาเสียงเบา “คุณหนู ท่านอ๋องน้อยขึ้นรถม้าของคุณชายหลี่เพื่อนำศพใต้เท้าหานไปยังจวนหานก่อน ส่วนผู้อาวุโสสองท่านนั้นถูกคุมตัวไปยังคุกที่กรมอาญา เสนาบดีฝ่ายซ้ายนำศพผู้อาวุโสสามท่านกลับจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหวก็กลับจวนไปแล้วเช่นกัน อู๋กงกงก็กลับวังแล้ว”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “หลี่อวิ๋นคนนั้นขี่ม้าตามอยู่ข้างหลัง เขาจะกลับจวนไปพร้อมเราด้วย เมื่อครู่ท่านอ๋องน้อยสั่งงานไว้ว่า เมื่อกลับถึงจวนแล้วให้ท่านจัดแจงให้เขาพักในเรือนที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนลั่วเหมย” ซื่อฮว่ากล่าวอีก


 


 


           เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ


 


 


           รถม้ากลับมาถึงจวนอิงชินอ๋องอย่างปลอดภัย


 


 


           เห็นชัดว่าสี่ซุ่นทราบข่าวก่อนแล้ว เมื่อรถม้าหยุดลงเขาก็เดินออกมาต้อนรับทันที “พระชายาน้อย ท่านกลับมาแล้วหรือ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วชี้ไปข้างหลัง “นี่คือหลี่อวิ๋น ท่านอ๋องน้อยบอกว่าให้เขาพักที่จวนเราก่อนชั่วคราว ลุงสี่ซุ่นจัดหาที่พักให้เขาด้วย แต่ให้อยู่ใกล้กับเรือนลั่วเหมยหน่อย”


 


 


           “ได้เลยขอรับ” สี่ซุ่นพินิจมองหลี่อวิ๋นอย่างละเอียดแล้วรีบพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวต่อ “พระชายาทราบว่าท่านกลับมาจึงกำลังรออยู่ขอรับ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วกางร่มเข้าไปในเรือนชั้นใน


 


 


           เมื่อมาถึงเรือนหลัก ข้ามธรณีประตูเข้าไป พระชายาอิงชินอ๋องกำลังรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นนางมาถึงก็รีบเดินมากุมมือนาง “เจิงเอ๋อร์ไม่กลับมาด้วยหรือ”


 


 


           “เจ้าค่ะ เขากับคุณชายหลี่ไปส่งใต้เท้าหานก่อน จากนั้นก็ไปตรวจสอบที่จวนหมอหลวงซุนต่อ คงกลับมาดึกสักหน่อย” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           “ใต้เท้าหานตายอย่างไร ตรวจสอบได้หรือยัง” พระชายาอิงชินอ๋องดึงนางนั่งลงแล้วไล่ถาม


 


 


           “ถูกเข็มปักทะลวงหัวใจจากข้างหลัง แต่ยังสืบไม่ได้ว่าฆาตกรเป็นใคร” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           “แค่เข็มก็สังหารคนได้รึ” พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ “ฆาตกรสังหารใต้เท้าหานอย่างไร”


 


 


           “ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้า” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           “เจ้ากับเจิงเอ๋อร์ ยังมีเจ้าหลี่จากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาต่างฉลาดหลักแหลมแท้ๆ นึกไม่ถึงว่ายังตรวจสอบไม่ได้ว่าใต้เท้าหานถูกสังหารอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องย่นหัวคิ้วมองเซี่ยฟางหวา


 


 


           “ข้าตรวจสอบได้แค่ว่าตายเพราะถูกเข็มที่อัดด้วยพลังภายในจากผู้มีวิทยายุทธ์สูง แต่ใครเป็นคนสังหารนั้นยังตรวจสอบไม่ได้ ห้องพักและนอกหน้าต่างที่ใต้เท้าหานอาศัยล้วนไม่พบร่องรอยใด แม้แต่เตียงที่เขาใช้นอนหลับก็ย้ายออกมาตรวจสอบดูแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึม “แรกเริ่มหมอหลวงซุนถูกสังหารก่อน ต่อมาก็ใต้เท้าหาน ราชสำนักสูญเสียขุนนางไปสองคนในเวลาชั่วพริบตา ทั้งยังเป็นขุนนางตำแหน่งสำคัญอีก กลับหาตัวฆาตกรไม่ได้เช่นนี้ น่ากังวลใจยิ่งนัก” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “หลี่อวิ๋นคนนั้นเล่า”


 


 


           เซี่ยฟางหวาเล่าเรื่องที่ใช้วิชาสะกดจิตกับหลี่อวิ๋นและผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางให้ฟัง


 


 


           “วิชาสะกดจิต?” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป กุมมือเซี่ยฟางหวาแน่นขึ้น “หวาเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าเจ้าใช้วิชาสะกดจิตหรือ ถึงทำให้หลี่อวิ๋นกับตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางพูดความจริง”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบ


 


 


           “สองวันนี้ที่เจ้าตรวจสอบคดีจะต้องหลุดเผยความจริงไปเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะถูกล่วงรู้ไปไม่น้อย โดยเฉพาะวิชาสะกดจิตนี้” พระชายาอิงชินอ๋องเผยความกลุ้มใจทันที


 


 


           “ท่านแม่รู้จักวิชาสะกดจิตนี้ด้วยหรือ” เซี่ยฟางหวามองนาง


 


 


           “ข้ารู้ว่ามีตำราโบราณเล่มหนึ่ง ฟังว่าเป็นตำราที่รวบรวมเคล็ดวิชาทั่วใต้หล้า หนึ่งในนั้นคือวิชาสะกดจิตนี้ ฟังว่าตำราเล่มนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ที่เขาไร้นาม ส่วนหนึ่งอยู่ที่วังหลวง อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่จวนจงหย่งโหว” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า


 


 


           เซี่ยฟางหวาชะงัก


 


 


           “หวาเอ๋อร์ หลายปีที่เจ้าไม่อยู่ในจวน จนถึงตอนนี้มีใครรู้บ้าง” พระชายาอิงชินอ๋องกุมมือนาง


 


 


           “นอกจากคนในครอบครัวจากสองจวน น่าจะมีหลี่มู่ชิงกับฉินอวี้” เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด


 


 


           “ต่อไปเจ้าต้องระวังหน่อย เป็นที่สะดุดตาเกินไปแล้ว สิ่งที่คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวทำได้ แม้แต่หมอหลวงซุนหรือขุนนางชันสูตรศพทั้งหมดในเมืองยังทำไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องดีนัก” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา


 


 


           “ท่านแม่วางใจเถิด ข้ารู้ขอบเขตดี” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วลดเสียงลง “ส่วนของเขาไร้นาม เจ้าได้มันไปแล้วใช่หรือไม่”


 


 


           “ได้มาแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ “นอกจากส่วนของเขาไร้นาม ยังมีส่วนของวังหลวง แม้ข้าไม่ได้มันมาแต่ก็อ่านดูแล้ว”


 


 


           “เท่ากับว่าเจ้าได้มันมาครบทั้งสามส่วนแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องถาม


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องเงียบลงพักหนึ่ง ก่อนถอนหายใจออกมา “คงเป็นลิขิตสวรรค์”


 


 


           เซี่ยฟางหวามองนาง


 


 


           “ฟังว่าตำราเล่มนี้เผยแพร่มาจากเผ่าภูตผี ได้รับการขนานนามว่าเป็นสมบัติที่สืบทอดกันของเผ่าภูตผี และเป็นรากฐานของเผ่าภูตผีด้วย พันปีก่อนเผ่าภูตผียังไม่เป็นที่รู้จัก มักใช้ชีวิตอย่างฤๅษี กระทั่งหลายร้อยปีก่อนมีคนจากเผ่าภูตผีเริ่มไปมาหาสู่กับชาวโลก ดังนั้นจึงค่อยๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้น” พระชายาอิงชินอ๋องเล่าให้ฟัง “เผ่าภูตผีมีเลือดที่สามารถเยียวยาสรรพชีวิตได้ ยังมีวิชาคำสาปที่แตกต่างจากคนทั่วไป มันร้ายกาจมาก ในสายตาของคนทั่วไปคงพอจินตนาการได้”


 


 


           เซี่ยฟางหวาฟังเงียบๆ


 


 


           “บนแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ มนุษย์แม้มีพอวิทยายุทธ์และพลังภายใน แต่กลับเป็นเพียงคนธรรมดาสำหรับผู้มีสายเลือดเผ่าภูตผี เจ้าว่าการมีเผ่าพันธุ์เช่นนี้อยู่ หากประมุขจากทุกดินแดนทราบถึงความร้ายกาจของมันจะทำเช่นไร” พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง


 


 


           “แย่งชิง หรือไม่ก็ทำลาย” เซี่ยฟางหวารีบตอบ


 


 


           “ใช่แล้ว หากใช้ประโยชน์จากมันได้ก็แย่งชิงมาครอบครอง แต่หากใช่ไม่ได้ก็แค่ทำลายทิ้ง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “ถึงอย่างไรเผ่าภูตผีก็เป็นเผ่าเล็กๆ ที่หายหน้าไปจากใต้หล้ามายาวนาน ไม่มีเจตนาแย่งชิงดินแดน ทั้งรักษาไว้ไม่ได้ หากไม่ยอมกลายเป็นเครื่องมือสร้างประโยชน์ก็ต้องทำลายทิ้ง”


 


 


           “ท่านแม่หมายความว่า การที่เผ่าภูตผีถูกทำลายนั้น ไม่ใช่เคราะห์หรือลิขิตสวรรค์ แต่เป็นฝีมือมนุษย์” หัวใจของเซี่ยฟางหวาชาวาบ


 


 


           “ลิขิตสวรรค์เป็นชะตาที่กำหนดไว้ เผ่าภูตผีทำกรรมเช่นไร ประมุขจากทุกดินแดนทำกรรมเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้นตอบแทน ทั้งหมดย่อมเป็นไปตามผลของการกระทำ จะบอกว่าไม่ใช่เคราะห์หรือลิขิตสวรรค์ได้อย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบลง


 


 


           “เจ้ามีสายเลือดเผ่าภูตผีไหลเวียนอยู่ในกาย ทั้งยังล่วงรู้เนื้อหาในตำรานั้นครบทั้งสามส่วนอีก” พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจ “หวาเอ๋อร์ ข้าหวังเพียงแค่เจ้ากับเจิงเอ๋อร์ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข เจ้าต้องระวังทุกย่างก้าว”


 


 


           “ท่านแม่อย่ากังวลไปเลย ข้าจะระวัง” เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ


 


 


           “ตั้งแต่เหตุเพลิงไหม้วัดฝ่าฝอซื่อ จนถึงคดีลอบสังหารที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตอนนี้ แสดงให้เห็นว่าฆาตกรผู้อยู่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความลับ ความโหดเ**้ยม และมีศักยภาพมาก” พระชายาอิงชินอ๋องลูบหลังมือนาง “ทั้งยังไม่รู้ว่าฝ่าบาทคิดจะทำสิ่งใดกันแน่อีก ตอนนี้เจิงเอ๋อร์สืบสวนคดีนี้อย่างโจ่งแจ้ง ด้วยนิสัยของเขาที่บางครั้งก็ไม่สนใจอะไร แต่หากสนใจขึ้นมาแล้วก็จะสืบจนถึงที่สุดจนกว่าความจริงจะปรากฏ ดังนั้นอนาคตเป็นเช่นไร หนทางข้างหน้ายังไร้ที่สิ้นสุด บอกแน่นอนไม่ได้”


 


 


           “ท่านพ่อเล่า” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “พอเขากินยาที่เจ้าให้แล้วก็หลับไปแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “พอผ่านไปช่วงหนึ่ง รอดูสถานการณ์ก่อน หากเขาถอนตัวออกมาได้ก็ย่อมดีมาก”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ทั้งสองพูดคุยเรื่อยเปื่อยต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นเซี่ยฟางหวาก็ออกจากเรือนหลัก กลับไปยังเรือนลั่วเหมย

 

 

 


ตอนที่ 45

 

เซี่ยฟางหวาเพิ่งกลับมาถึงเรือนลั่วเหมย เข้ามาในห้องพร้อมทั้งเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสบายๆ แทน ทันใดนั้นสี่ซุ่นก็มารายงานว่าเยี่ยนหลันมาหา


 


 


           เซี่ยฟางหวามองฟ้า แม้ฟ้ายังไม่มืดสนิทแต่ก็เย็นมากแล้ว หย่งคังโหวเองก็กลับจวนไปแล้วด้วย แล้วเยี่ยนหลันมาทำอันใดกัน นางเอ่ยบอก “เชิญท่านหญิงน้อยเยี่ยนมาที่นี่”


 


 


           สี่ซุ่นขานรับแล้วรีบออกไป


 


 


           ไม่นานเยี่ยนหลันก็กางร่มมายังเรือนลั่วเหมย


 


 


           เซี่ยฟางหวารอนางในห้องรับรอง เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน สีหน้าก็ไม่ค่อยดีนัก จึงรีบเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น ฮูหยินป่วยอีกแล้วหรือ มีอาการแพ้ท้อง?”


 


 


           “ไม่ใช่แม่ข้า” เยี่ยนหลันวางร่มลงแล้วมองนาง “ท่านพ่อกลับจวนมาแล้ว พอท่านแม่ทราบว่าพี่


 


 


หลี่อวิ๋นปลอดภัยดีก็โล่งใจ ทราบว่าท่านอ๋องน้อยนำพี่หลี่อวิ๋นกลับจวนอิงชินอ๋อง เดิมคิดอยากให้ข้าพานางมาขอบคุณเจ้ากับท่านอ๋องน้อย แต่ข้ากลับรีบมาก่อนด้วยเรื่องอื่น”


 


 


           “เรื่องใด” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “จินเยี่ยน เกิดเรื่องกับนางแล้ว” เยี่ยนหลันตอบ


 


 


           “จินเยี่ยนไปยังอารามลี่อวิ๋นนอกเมืองร้อยลี้แล้วไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้น” เซี่ยฟางหวาตกใจ


 


 


           “ฟังว่าตั้งแต่บ่ายเมื่อวานก็หลับตลอดมา จนถึงเที่ยงวันนี้เขย่าตัวนางเช่นไรก็ไม่ยอมตื่น เด็กรับใช้กับสาวใช้ที่ติดตามนางไปด้วยจึงหวาดกลัวขึ้นมา รีบส่งข่าวกลับมาที่เมืองหลวง จวนองค์หญิงใหญ่ในยามนี้วุ่นวายมาก เจ้าก็รู้ว่าองค์หญิงใหญ่รักจินเยี่ยนมาก หากนางเป็นอะไรขึ้นมา องค์หญิงใหญ่คงไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว” เยี่ยนหลันตอบ “ข้าทราบข่าวจึงจะไปหานางที่อารามลี่อวิ๋นกับองค์หญิงใหญ่ด้วย แต่นึกขึ้นได้ว่าตัวข้าไม่รู้วิชาแพทย์ ถึงไปก็ได้แต่เยี่ยมอาการนาง ทำประโยชน์ใดไม่ได้ นึกขึ้นได้อีกว่าเจ้ากลับเมืองมาแล้วจึงรีบมาหา ถึงอย่างไรหมอหลวงซุนก็ตายไปแล้ว ยามนี้ไม่มีหมอหลวงคนใดมีฝีมือดีไปกว่านี้”


 


 


           “ข่าวส่งกลับมาตั้งแต่เมื่อไร” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “เมื่อครู่นี้เอง คนของจวนองค์หญิงใหญ่กำลังเตรียมรถม้าออกเดินทาง” เยี่ยนหลันตอบ


 


 


           เซี่ยฟางหวานึกถึงวันที่นางเข้าไปรอออกเรือนในวังหลวง จินเยี่ยนกับเยี่ยนหลันไม่สนว่ามีวัตถุประสงค์ใด แต่ก็ยอมเข้าวังหลวงมาอยู่กับนางเพื่อกวนน้ำขุ่นนี้ด้วยกัน เพื่ออยู่รอออกเรือนเป็นเพื่อนนาง สองวันนั้นมีพวกนางอยู่ข้างกาย นางจึงสงบใจลงได้มาก วันนี้เกิดเรื่องขึ้นกับจินเยี่ยน เยี่ยนหลันมาหานาง นางย่อมไม่อาจนิ่งดูดายไม่ให้ความช่วยเหลือได้


 


 


           “เจ้าพูดถูก ข้ามีวิชาแพทย์ บางทีอาจช่วยอะไรได้บ้าง หากนั่งรถม้าไปคงล่าช้ากว่าเดิม เราขี่ม้าไปกันดีกว่า” นางพยักหน้ารับ


 


 


           “เจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เราจะได้ออกเดินทางทันที” เยี่ยนหลันรีบพยักหน้า


 


 


           “พวกเจ้าไปบอกท่านแม่ด้วยว่า ข้าจะไปอารามลี่อวิ๋นกับท่านหญิงน้อยเยี่ยน นอกจากนี้ส่งอวี้จั๋วไปยังจวนหานเพื่อบอกท่านอ๋องน้อย แล้วบอกให้สี่ซุ่นเตรียมม้าด้วย” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ ก่อนสั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อ


 


 


           “เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบออกไปทันที


 


 


           เซี่ยฟางหวาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง


 


 


           ผิ่นจู๋ทราบเรื่องก็เข้ามาข้างใน เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวาเสียงเบา “คุณหนู ให้พวกเราแปดคนไปกับท่านด้วยเถิด ซื่อจื่อให้พวกเราทั้งแปดคุ้มครองท่าน นอกจากซื่อฮว่ากับซื่อม่อ พวกเราทุกคนก็ว่างงานอยู่ในจวนทุกวัน ตอนนี้เย็นมากแล้ว ทั้งฝนตกหนักถึงเพียงนี้อีก หากต้องเดินทางไปนอกเมืองร้อยลี้ พวกบ่าวไม่สบายใจ”


 


 


           “พวกเจ้าได้ฝึกค่ายกลและวิชากระบี่ด้วยกันแปดคนมาตั้งแต่เด็กใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดก่อนถามขึ้น


 


 


           “เจ้าค่ะ” ผิ่นจู๋รีบตอบ “แม้วิทยายุทธ์ของเราแปดคนไม่ได้สูง แต่เมื่อรวมเข้าด้วยกัน เทียบกับชิงเกอที่มีฝีมือสูงแล้วอาจจะเป็นคู่ต่อสู้ได้”


 


 


           “ดี พวกเจ้าไปเก็บของ สวมเสื้อกันฝนด้วย แล้วก็หาเสื้อกันฝนมาให้ท่านหญิงน้อยเยี่ยนที่อยู่ข้างนอกด้วยตัวหนึ่ง ติดตามข้าไปด้วยกันเถอะ” เซี่ยฟางหวาตอบตกลง


 


 


           ผิ่นจู๋รีบขานรับด้วยความดีใจ ก่อนวิ่งกลับออกไป


 


 


           เซี่ยฟางหวาเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ผ้าไหมคล่องตัว ทั้งตรวจสอบขวดยาที่มักนำติดตัวไปด้วยก่อนเดินออกมาจากห้อง


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยให้เจ้าไปหรือ” เยี่ยนหลันมองนาง


 


 


           “น่าจะให้ไป” เซี่ยฟางหวายิ้ม


 


 


           “ถึงอย่างไรฟ้าก็มืดแล้ว ต้องเดินทางตอนกลางคืน ทั้งฝนตกหนักขนาดนี้…” เยี่ยนหลันมองท้องฟ้า


 


 


           “ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวาหยิบมุกเรืองแสงกลางคืนออกมาสองเม็ด ยื่นเม็ดหนึ่งให้เยี่ยนหลัน


 


 


           “มีสิ่งนี้ก็ดี ต่อให้ฝนตกหนักกว่านี้มันก็ยังส่องแสงได้ ไม่ต้องกลัวฝน” เยี่ยนหลันรับมุกเรืองแสงมา


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           พวกผิ่นจู๋ก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน นางนำเสื้อกันฝนออกมา เซี่ยฟางหวาบอกให้เยี่ยนหลันสวมไว้


 


 


           “เป็นเจ้าที่ไตร่ตรองรอบด้าน ข้ามัวแต่รีบร้อน” เยี่ยนหลันเองก็ไม่เกรงใจ สวมพลางพูดพลาง


 


 


           เซี่ยฟางหวาสวมเสื้อกันฝนเรียบร้อยแล้ว ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็กลับมารายงาน “คุณหนู พระชายาบอกว่าถ้าท่านจะไปนางก็ไม่ห้าม แต่ท่านต้องนำผู้คุ้มกันไปด้วยมากหน่อย นางเตรียมผู้คุ้มกันให้ท่านแล้วสองร้อยคน บอกว่าให้ท่านนำไปด้วย มิฉะนั้นฝนตกหนักทั้งฟ้ามืดสนิท ช่วงนี้เมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้นมากมาย นางไม่วางใจ”


 


 


           “ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “อวี้จั๋วไปรายงานท่านอ๋องน้อยแล้ว เรารอให้ท่านอ๋องน้อยตอบกลับแล้วค่อยออกเดินทางเถิด” ซื่อฮว่าบอกอีก


 


 


           “พวกเจ้าไปแต่งตัว เราจะออกไปรอที่หน้าประตูจวนก่อน” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้า รีบไปสวมเสื้อกันฝนพร้อมเตรียมข้าวของให้เรียบร้อย จากนั้นก็ออกจากเรือนลั่วเหมย


 


 


           เยี่ยนหลันหันกลับมามองแวบหนึ่ง สาวใช้ทั้งแปดตามมาด้วย นางได้เห็นเหตุการณ์วันสมรสของฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาวันนั้นแล้ว ทราบดีว่าทั้งแปดต่างมีวิทยายุทธ์


 


 


           ออกจากเรือนลั่วเหมยมาถึงหน้าประตูใหญ่ อวี้จั๋วก็กลับมาด้วยความรีบร้อนพอดี เขาเอ่ยบอกอย่างทั้งหายใจไม่ทัน “พี่สะใภ้ ท่านพี่อนุญาตแล้ว บอกว่าให้ข้าไปกับท่านด้วย นอกจากนี้เยว่ลั่วจะนำสายลับหนึ่งร้อยคนของรัชทายาทคุ้มกันท่านไปด้วยกัน”


 


 


           “เยว่ลั่วกับสายลับหนึ่งร้อยคนของรัชทายาท?” เซี่ยฟางหวาชะงัก


 


 


           อวี้จั๋วพยักหน้า “ท่านพี่บอกว่า ถึงอย่างไรท่านหญิงจินเยี่ยนก็เป็นคนในราชสกุล ยามนี้เกิดเรื่องขึ้น องค์รัชทายาทก็น่าจะไม่ยอมอยู่เฉยเช่นกัน” พูดจบก็ชี้ไปข้างหลัง “เยว่ลั่วตามมาแล้ว”


 


 


           เขาเพิ่งพูดจบ เยว่ลั่วก็ขานรับพร้อมปรากฏกายขึ้นก่อนความเคารพเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย!”


 


 


           “เจ้ารายงานรัชทายาทให้ทราบหรือยัง” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “ตอนทราบข่าวนั้นได้ส่งข่าวกลับไปบอกแล้ว ตอนนี้องค์รัชทายาทมอบพวกข้าให้ท่านอ๋องน้อย ย่อมต้องฟังคำสั่งท่านอ๋องน้อยทุกอย่าง” เยว่ลั่วตอบ


 


 


           “ดี!” เซี่ยฟางหวายกมือให้สัญญาณ


 


 


           เยว่ลั่วเร้นกายหายไปในความมืด


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่งสัญญาณให้เยี่ยนหลันขึ้นม้า


 


 


           เดิมทีเยี่ยนหลันค่อนข้างกลัวกับการเดินทางไปนอกเมืองร้อยลี้ตอนกลางคืนท่ามกลางฝนตกหนักเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นว่าเซี่ยฟางหวานำสาวใช้ประจำตัวทั้งแปดไปด้วย มิหนำซ้ำพระชายาอิงชินอ๋องยังส่งผู้คุ้มกันฝีมือดีประจำจวนอีกสองร้อยคนมาด้วย ยังมีสายลับอันดับหนึ่งประจำกายองค์รัชทายาทและสายลับหนึ่งร้อยคนติดตามอยู่ในที่มืด นางพลันรู้สึกไร้ความหวาดกลัว สูดหายใจเต็มปอดแล้วกระโดดขึ้นม้า


 


 


           เยี่ยนหลันมีทักษะขี่ม้าไม่เลว ดังนั้นทั้งหมดจึงออกจากจวนอิงชินอ๋องอย่างรวดเร็ว


 


 


           ม้าสองตัวเพิ่งแล่นออกมาจากถนน ก็พบม้าอีกตัวหนึ่งมาขวางทางไว้


 


 


           เซี่ยฟางหวาพินิจดูแล้วนึกไม่ถึงว่าเป็นเซี่ยอวิ๋นหลาน นางดึงเชือกแล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พี่อวิ๋นหลาน ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานสวมอาภรณ์ผ้าไหมแบบเดียวกัน สวมทับด้วยเสื้อกันฝน เห็นได้ชัดว่ามารออยู่พักหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวาก็กวาดตามองทุกคนข้างหลังนางก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าได้ข่าวว่าเจ้าจะไปอารามลี่อวิ๋น ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”


 


 


           เซี่ยฟางหวาชะงัก เข้าใจวัตถุประสงค์ที่เขามารออยู่ตรงนี้ทันที รีบเอ่ยขึ้น “ท่านร่างกายไม่แข็งแรง ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ หากตากอากาศเย็น…”


 


 


           “ร่างกายข้าขอเพียงคำสาปเผาใจไม่กำเริบก็ไม่มีปัญหา ฉินเจิงไม่ไปด้วย เจ้าไปคนเดียวข้าไม่ค่อยวางใจนัก” เซี่ยอวิ๋นหลานบอก


 


 


           “เช่นนั้นก็ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           เยี่ยนหลันพินิจมองเซี่ยอวิ๋นหลาน ก่อนขยับเข้าใกล้เซี่ยฟางหวาแล้วกระซิบว่า “มีคนเป็นห่วงเจ้าเยอะแยะ ตั้งแต่ท่านพี่ออกจากบ้านไปก็ไม่มีใครสนใจข้าแล้ว”


 


 


           “จวนหย่งคังโหวก็มีต้นตระกูลเดียวกัน เพียงแต่เจ้ากับพวกเขาไม่สนิทกันเท่านั้นเอง” เซี่ยฟางหวายิ้ม


 


 


           “ก็จริง ที่ผ่านมาข้าวางตัวสูงส่งใช้อำนาจมากเกินไป หลายครั้งก็อวดดีในฐานะตนเอง ไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ท่านพ่อท่านแม่ก็รักข้า ดังนั้นหลังท่านพี่ออกจากบ้าน ข้าถึงพบว่าไม่มีใครสนใจข้าเลย” เยี่ยนหลันถอนหายใจออกมา


 


 


           “พี่ชายเจ้าต้องกลับมาแน่” เซี่ยฟางหวายกมือปลอบ


 


 


           เยี่ยนหลันพยักหน้า


 


 


           ฝนตกหนักทำให้บนถนนไร้ผู้คนสัญจร เซี่ยฟางหวา เซี่ยอวิ๋นหลาน และเยี่ยนหลันขี่ม้า ข้างหลังตามมาด้วยพวกซื่อฮว่าทั้งแปดคน ตามมาด้วยผู้คุ้มกันสองร้อยนายรั้งท้าย


 


 


           ผ่านประตูเมืองมาก็วิ่งไปบนถนนทางการ มุ่งหน้าสู่อารามลี่อวิ๋น


 


 


           หลังเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ก็มองเห็นขบวนคนและม้าอยู่เบื้องหน้า


 


 


           “รีบร้อนเดินทางเหมือนกัน น่าจะเป็นขบวนของจวนองค์หญิงใหญ่” เยี่ยนหลันเอ่ยขึ้น


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ไล่ตามขบวนเบื้องหน้าจนทัน เยี่ยนหลันดึงเชือกแล้วตะโกนขึ้น “ข้างหน้าใช่องค์หญิงใหญ่หรือไม่”


 


 


           “ผู้ใด” หลังนางตะโกนจบ หัวหน้าผู้คุ้มกันขบวนก็ตอบรับทันที


 


 


           “เซี่ยฟางหวากับเยี่ยนหลัน ฟังว่าท่านหญิงจินเยี่ยนล้มป่วยที่อารามลี่อวิ๋น เราก็จะไปเยี่ยมดูอาการด้วย” เยี่ยนหลันตะโกนตอบ


 


 


           หัวหน้าผู้คุ้มกันได้ยิน ทั้งพินิจมองฝ่าสายฝนก็มองออกว่าเป็นเยี่ยนหลัน เซี่ยฟางหวา และเซี่ย


 


 


อวิ๋นหลาน จากนั้นก็เดินไปรายงานยังรถม้าซึ่งอยู่ตรงกลาง


 


 


           ม่านรถม้าถูกเลิกออกจากภายใน พร้อมด้วยใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ยื่นออกมา ออกคำสั่งกับเขา “หลีกทางให้ หยุดขบวนก่อน ให้พวกนางมาข้างหน้า”


 


 


           หัวหน้าผู้คุ้มกันยกมือให้สัญญาณเปิดทาง


 


 


           เซี่ยฟางหวากับเยี่ยนหลันขี่ม้ามาข้างหน้า


 


 


           “ท่านป้า!” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้นก่อน


 


 


           “องค์หญิงใหญ่!” เยี่ยนหลันสมทบ


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานก็เข้ามาคำนับเช่นกัน


 


 


           “พวกเจ้าบอกว่าจะไปหาเยี่ยนเอ๋อร์ที่อารามลี่อวิ๋นด้วยหรือ” องค์หญิงใหญ่คงร้อนใจเหมือนถูกไฟลน ดังนั้นจึงมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก


 


 


           เยี่ยนหลันบอกเรื่องที่นางทราบข่าวจึงไปหาเซี่ยฟางหวา จากนั้นก็พูดต่อ “เราสามคนมีไมตรีต่อกัน ทราบว่าจินเยี่ยนล้มป่วย ประจวบเหมาะที่พระชายาน้อยมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม ดังนั้นคิดว่าไม่ควรล่าช้า จึงจะตามไปดูอาการด้วย”


 


 


           องค์หญิงใหญ่ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเซี่ยฟางหวามีวิชาแพทย์ จึงรีบเอ่ยขึ้น “จริงด้วย ท่าทางข้าคงยุ่งจนหลงลืมไป ยังให้คนไปตามหมอหลวงที่สำนักหมอหลวง” พูดจบก็กล่าวต่อ “ขอบใจพวกเจ้ามาก รีบเดินทางกันเถอะ!”


 


 


           “ท่านป้า ขบวนของท่านเคลื่อนตัวได้ค่อนข้างช้า พวกเราจะล่วงหน้าไปก่อน” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           “ใครก็ได้ จูงม้ามาให้ข้าตัวหนึ่ง ข้าก็จะขี่ม้าไปด้วย” องค์หญิงใหญ่ตะโกนขึ้นทันที


 


 


           “องค์หญิง ร่างกายท่าน…นั่งรถไปดีว่า” เยี่ยนหลันรีบห้าม


 


 


           “ตอนข้ายังเยาว์วัยก็มีทักษะขี่ม้ายิงธนูไม่แพ้พวกเจ้า เพียงแต่หลายปีนี้ไม่ต้องเดินทาง อีกอย่างระยะทางแค่หนึ่งร้อยลี้ข้าทนไหวอยู่แล้ว” องค์หญิงใหญ่บอก


 


 


           เยี่ยนหลันไม่เอ่ยคำใดอีก


 


 


           มีคนจูงม้ามา องค์หญิงใหญ่สวมเสื้อกันฝนบนรถม้า จากนั้นก็เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา “ไปกันเถอะ”


 


 


           “พวกเจ้ามาขนาบท่านป้า คอยคุ้มครองนาง” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะแล้วมองพวกซื่อฮว่าแวบหนึ่ง


 


 


           “เจ้าค่ะ คุณหนู” ทั้งแปดขานรับ


 


 


           เซี่ยฟางหวา เยี่ยนหลัน และเซี่ยอวิ๋นหลานนำหน้า องค์หญิงใหญ่อยู่ข้างหลังทั้งสาม พวกซื่อฮว่าแปดคนคอยคุ้มครององค์หญิงใหญ่ขนาบซ้ายขวา ส่วนผู้คุ้มกันจากทั้งสองจวนที่เหลืออยู่รั้งท้าย


 


 


           ขบวนหลายร้อยคนเคลื่อนตัวไปอย่างอึกทึกครึกโครม


 


 


           เดินทางไปได้หนึ่งชั่วยาม ยามกลางคืน ฟ้ามืดมิด ทั้งฝนกระหน่ำเทลงมา ถนนทางการเต็มไปด้วยน้ำท่วมขัง เดินทางลำบากอย่างยิ่ง


 


 


           เซี่ยฟางหวา เยี่ยนหลัน และเซี่ยอวิ๋นหลานถือมุกเรืองแสงอย่างต่อเนื่อง


 


 


           รอบด้านสว่างไสวเสมือนตอนกลางวันทันที


 


 


           เดินทางไปได้อีกครึ่งชั่วยามก็พ้นเขตถนนทางการ เข้าสู่เส้นทางภูเขา


 


 


           เนื่องจากฝนตกหนักมาสองวันสองคืน เส้นทางภูเขาจึงไม่สะดวกอย่างยิ่ง เศษหินกลิ้งไถลลงมา ม้าหยุดลังเลไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยความลำบาก


 


 


           “เจ้าเคยไปอารามลี่อวิ๋นหรือไม่” เซี่ยฟางหวาประเมินเส้นทางภูเขาข้างหน้าก่อนเอ่ยถามเยี่ยนหลัน


 


 


           เยี่ยนหลันส่ายหน้า


 


 


           “จากตรงนี้ไปยังอารามลี่อวิ๋นยังเหลือระยะทางอีกสามสิบลี้ เป็นเส้นทางภูเขาทั้งหมด ทั้งขรุขระและสูงชัน บางจุดพอจะให้แค่รถกับม้าเคลื่อนผ่าน ถึงเวลาจำเป็นดูท่าเราคงต้องลงเดินเท้า” เซี่ยอวิ๋นหลานเอ่ยขึ้น


 


 


           “หลายวันก่อนตอนมาส่งเยี่ยนเอ๋อร์ เนื่องจากอากาศปลอดโปร่งแจ่มใส ไม่ได้ลำบากเช่นนี้ ความจริงยังมีอารามอื่นที่ดีกว่าอารามลี่อวิ๋น แต่นางอยากได้สถานที่ที่เงียบสงบจึงเลือกอารามลี่อวิ๋น เมื่อเส้นทางสัญจรไม่สะดวก ผู้คนที่ไปอารามลี่อวิ๋นจึงน้อยตาม” องค์หญิงใหญ่เอ่ยต่อ


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           เดินทางไปได้อีกระยะหนึ่ง ยิ่งมุ่งไปข้างหน้าก็ยิ่งลำบากจริงดังคาด กีบเท้าม้าเหยียบลงบนหินเปียกน้ำจึงลื่นมาก ครึ่งชั่วยามถัดมาจึงได้แต่ต้องลงเดินเท้า


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่มีปัญหากับการเดินบนเส้นทางเช่นนี้ เยี่ยนหลันเองก็ยังไหว ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับทนไม่ไหวแล้ว


 


 


           “ท่านป้า ท่านขึ้นไปขี่ม้าดีกว่า! ข้าจะให้สาวใช้สองคนมาช่วยจูงม้าเอง” หลังเดินเท้าไปได้ระยะหนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น


 


 


           องค์หญิงใหญ่พยักหน้ารับ ซื่อฮว่ากับซื่อม่อจูงม้าให้นาง


 


 


           แม้เป็นเส้นทางภูเขาสามสิบลี้ หากเป็นตอนกลางวันที่อากาศปลอดโปร่ง แค่ครึ่งชั่วยามต้องไปถึงแล้วเป็นแน่ แต่เนื่องจากฝ่าสายฝนโหมกระหน่ำ ทั้งยังเดินทางกลางคืนและต้องดูแลองค์หญิงใหญ่ ต้องเดินทางถึงสองชั่วยามกว่าจะมาถึงจุดพักอารามลี่อวิ๋น


 


 


           ตลอดการเดินทางแม้ลำบาก แต่โชคดีที่มาถึงโดยราบรื่น


 


 


           ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เรือนพักในอารามลี่อวิ๋นจุดโคมสว่าง จากตีนเขามองไปยังยอดเขาเห็นว่าอารามลี่อวิ๋นตั้งอยู่ในตำแหน่งส่วนเว้ากลางภูเขา นับว่าเป็นอารามแม่ชีขนาดไม่ใหญ่นัก จึงมีเรือนพักแค่ไม่กี่หลัง


 


 


           ทุกคนปล่อยเชือกแล้วเดินเท้าขึ้นภูเขาแทน เมื่อมาถึงประตูอารามลี่อวิ๋นก็เคาะประตู


 


 


           เคาะไปเพียงครู่หนึ่งก็มีคนรีบมาเปิดให้ เป็นบุรุษแต่งกายด้วยชุดเด็กรับใช้ เมื่อเห็นองค์หญิงใหญ่ก็ดีใจ “องค์หญิง ท่านมาแล้วหรือ”


 


 


           “รีบพาพวกเราไปหาท่านหญิง” องค์หญิงใหญ่แม้มีแรงใจแต่ไร้เรี่ยวแรง ยกมือสั่งงาน


 


 


           คนผู้นั้นรีบนำทาง


 


 


           หลังเข้ามาในอารามก็มีแม่ชีออกมาต้อนรับ บอกกับองค์หญิงใหญ่ว่าหลายวันก่อนที่ท่านหญิงจินเยี่ยนมาถึงทุกอย่างยังเป็นไปด้วยดี ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตั้งแต่บ่ายเมื่อวานก็ไม่ยอมตื่น ตอนเช้านึกว่านางแค่คัดคัมภีร์จนเหนื่อย ดังนั้นจึงไม่เข้าไปปลุกนาง กระทั่งตอนเที่ยงก็ยังไม่ตื่นจึงร้อนใจ หากแต่พอไปปลุกแล้วก็ไม่ตื่นจึงรีบส่งข่าวบอกจวนองค์หญิงใหญ่


 


 


           “ตอนนี้เล่า” องค์หญิงใหญ่รีบถาม           


 


 


           “นางยังหลับอยู่เลยเพคะ” แม่ชีตอบ


 


 


           องค์หญิงใหญ่ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม ตั้งแต่บ่ายเมื่อวานกระทั่งกลางดึกวันนี้ หากเป็นคนธรรมดาย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะหลับนานถึงเพียงนี้


 


 


           ทั้งหมดมายังเรือนพักโดยมีแม่ชีนำทาง เข้าไปยังห้องกลางที่ตั้งหันไปทางทิศเหนือด้วยความรีบร้อน


 


 


           ข้างในจุดโคมสว่าง สาวใช้ประจำตัวจินเยี่ยนเฝ้าอยู่ทั่วห้อง


 


 


           องค์หญิงใหญ่ข้ามธรณีประตูเข้าไปก่อน เซี่ยฟางหวากับเยี่ยนหลันตามเข้าไปทีหลัง เซี่ยอวิ๋นหลานไม่สะดวกเข้าไปจึงหยุดเท้าอยู่ที่ห้องโถงชั้นนอก

 

 

 


ตอนที่ 46

 

จินเยี่ยนกำลังนอนหลับสนิทบนเตียงภายในห้อง


 


 


           องค์หญิงใหญ่โผเข้าหาหน้าเตียง ยื่นมือเขย่าตัวนาง ตะโกนเรียกด้วยความร้อนใจ “เยี่ยนเอ๋อร์! แม่มาแล้ว รีบตื่นขึ้นมาสิ!”


 


 


           จินเยี่ยนยังคงหลับสนิท ไม่ส่งเสียงใด


 


 


           องค์หญิงใหญ่ตะโกนอีกพักหนึ่ง ทว่าจินเยี่ยนยังคงหลับสนิทดังเดิม นางจึงหันกลับมามองเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย เร็วเข้าเถอะ ตรวจดูว่านางเป็นอะไรกันแน่”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าก่อนก้าวออกมา พินิจมองจินเยี่ยนตั้งแต่หัวจดเท้า แล้วค่อยตรวจชีพจรให้นาง


 


 


           “ตั้งแต่หลังจากทานมื้อกลางวันเมื่อวาน ท่านหญิงบอกว่าง่วงนอน บ่าวคิดว่าท่านหญิงเพิ่งมาถึงอารามลี่อวิ๋นจึงยังปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมมิได้ ดังนั้นจึงมิกล้ารบกวน ปล่อยให้นางนอนหลับไป ตกเย็นข้าแวะมาดูครั้งหนึ่ง พบว่าท่านหญิงยังหลับสนิทจึงมิกล้ารบกวน เช้าวันนี้ท่านหญิงก็ยังคงหลับอยู่ ข้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเชิญแม่ชีในอารามที่พอมีวิชาแพทย์มาตรวจดู หลังแม่ชีตรวจอาการเสร็จก็บอกว่าท่านหญิงไม่คล้ายกับล้มป่วย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น บ่าวรออีกพักหนึ่งจนไม่กล้ารอต่อไปแล้ว จึงส่งข่าวกลับไปบอกที่จวน” สาวใช้ประจำกายจินเยี่ยนคนหนึ่งเอ่ยเสียงแผ่วด้วยเบ้าตาแดงก่ำ


 


 


           นางพูดจบก็คุกเข่าลงกับพื้น ขอโทษขอโพยต่อองค์หญิงใหญ่ สะอื้นกล่าวว่า “องค์หญิง โปรดลงโทษบ่าวด้วยเถิด เป็นบ่าวเองที่มิได้ดูแลท่านหญิงให้ดี”


 


 


           “เจ้าลุกขึ้นมาก่อน ให้พระชายาน้อยตรวจดูว่าท่านหญิงเป็นอะไรกันแน่ หากเป็นเพราะเจ้าดูแลไม่ทั่วถึงจริงๆ ข้าย่อมไม่ให้อภัยเจ้าแน่” องค์หญิงใหญ่ในยามนี้มัวแต่มองเซี่ยฟางหวา ภายในใจทั้งกังวลทั้งร้อนใจ ยกมือกล่าวขึ้น


 


 


           “เจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นรีบลุกขึ้นยืน


 


 


           เซี่ยฟางหวาตรวจชีพจรดูพักหนึ่ง ก่อนเม้มปากพลางผละมือออกเชื่องช้า


 


 


           “เยี่ยนเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง ป่วยเป็นโรคใด พอจะวินิจฉัยได้หรือไม่” องค์หญิงใหญ่มองนางด้วยความกลุ้มใจ ก่อนรีบเอ่ยขึ้น


 


 


           เซี่ยฟางหวาตวัดตามององค์หญิงใหญ่แวบหนึ่ง มองเห็นท่าทางของผู้เป็นมารดาที่ร้อนใจและเป็นกังวลต่อบุตรสาวของตนเองในสายตาทั้งหมด ราวกับขอเพียงนางเอ่ยถ้อยคำในทางลบออกมา องค์หญิงใหญ่ก็พร้อมจะเป็นลมล้มพับได้ตลอดเวลา นางจึงพยักหน้ารับ


 


 


           องค์หญิงใหญ่ดีใจ “เจ้ารู้อาการป่วยของนางแล้วหรือ” หลังจากนั้นเมื่อเห็นว่าสีหน้านางไม่ค่อยดีนักก็สลัดความดีใจทิ้งไป จับมือนางด้วยความร้อนรน “นาง…ป่วยเป็นอะไร รักษาได้หรือไม่”


 


 


           “หรือว่า…รักษายาก” เยี่ยนหลันที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เริ่มร้อนรนตาม


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “นางฝันร้ายจึงตื่นจากความฝันไม่ได้ ข้ามีวิธีช่วยปลุกนาง” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อ “และก็ไม่ได้ยากมากนัก”


 


 


           “เช่นนั้นเจ้ารีบช่วยนางเถอะ” องค์หญิงใหญ่โล่งใจทันที


 


 


           “ในเมื่อไม่ได้ยากมาก แล้วเจ้า…” เยี่ยนหลันมองเซี่ยฟางหวา สัมผัสได้ว่าสีหน้านางย่ำแย่มาก


 


 


           “จำต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง และต้องการความช่วยเหลือจากพี่อวิ๋นหลานด้วย” เซี่ยฟางหวาบอก “ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ควรเข้ามาในหอนอนของสตรี”


 


 


           “เรื่องนี้ไม่สำคัญอะไร ขอเพียงช่วยเยี่ยนเอ๋อร์ได้ก็พอแล้ว” องค์หญิงใหญ่รีบบอก


 


 


           “ในเมื่อท่านป้าไม่ขัดข้อง เช่นนั้นก็ตามพี่อวิ๋นหลานเข้ามาเถิด แต่พวกท่านต้องออกไปรอข้างนอก ตอนข้าช่วยท่านหญิงนั้นต้องการความเงียบสงบไร้เสียงรบกวน” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           “ได้ เราออกไปรอข้างนอกกันเถอะ!” องค์หญิงใหญ่รีบหันหลังเดินออกไป


 


 


           “ไม่ต้องให้ข้าคอยช่วยเหลือจริงหรือ ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก” เยี่ยนหลันมองเซี่ยฟางหวาก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ


 


 


           “ไม่ต้องให้เจ้าช่วยหรอก พอเจ้าออกไปข้างนอกแล้วก็ช่วยข้าเฝ้าห้องนี้ไว้ก็พอ อย่าให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาโดยเด็ดขาด” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           “ได้ เช่นนั้นเจ้าช่วยนางให้เต็มที่ ข้าจะเฝ้าข้างนอกไว้เอง” เยี่ยนหลันเดินออกไป


 


 


           ไม่นานทุกคนก็พากันออกไปรอข้างนอก


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินองค์หญิงใหญ่พูดคุยกับเซี่ยอวิ๋นหลานข้างนอกเพื่อขอให้เขาเข้ามาช่วยข้างใน เซี่ยอวิ๋นหลานลังเลครู่หนึ่งก่อนตกปากรับคำ ไม่นานก็เดินเข้ามาในห้อง ปิดประตูให้สนิทแล้วเดินมาหาเซี่ยฟางหวา ก่อนเอ่ยถามนางเสียงเบา “ให้ข้าทำสิ่งใด”


 


 


           “พี่อวิ๋นหลาน นางต้องคำสาปเข้าฝัน ขณะเดียวกันยังโดนวิชาสะกดจิตด้วย” ใบหน้าเซี่ยฟางหวาไม่น่ามองยิ่ง


 


 


           “คำสาปเข้าฝันนี้ข้าเคยได้ยินจ้าวเคอพูดถึงอยู่บ้าง มันเป็นคำสาปชั้นต่ำแบบหนึ่งของเผ่าภูตผี เมื่อผู้ใช้คำสาปร่ายใส่ขณะนอนหลับก็จะสร้างความฝันของนางได้ตามใจชอบ ส่วนวิชาสะกดจิต ข้ากลับไม่เคยรู้มาก่อน” เซี่ยอวิ๋นหลานชะงัก รีบมองนางทันที


 


 


           “มีตำราโบราณเล่มหนึ่งรวบรวมเคล็ดวิชาทุกแขนงในใต้หล้า หนึ่งในนั้นคือวิชาสะกดจิตนี้ ตำราเล่มนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ที่เขาไร้นาม ส่วนหนึ่งอยู่ที่วังหลวง อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่จวนจงหย่งโหว ข้าได้มันมาโดยบังเอิญและเรียนวิชาสะกดจิตในนั้นมา” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           “ข้าเคยได้ยินตำราเล่มนี้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าได้อ่านมันแล้ว” เซี่ยอวิ๋นหลานตกใจ


 


 


           “คำสาปเข้าฝันนี้น่าจะใกล้เคียงกับวิชาล่อลวงที่ฉีอวิ๋นเสวี่ยใช้กับหลี่มู่ชิง เพียงใช้เลือดของเราก็น่าจะถอนได้” เซี่ยฟางหวาหันกลับมามองจินเยี่ยนบนเตียง เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ


 


 


           “มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่” เซี่ยอวิ๋นหลานถามขึ้น


 


 


           “ข้าคิดว่าที่จินเยี่ยนต้องคำสาปเข้าฝันและโดนวิชาสะกดจิต น่าจะเป็นแผนของผู้อยู่เบื้องหลังใช้เพื่อหยั่งเชิงข้า และเพื่อยืนยันบางอย่างด้วยเช่นกัน” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานมองนาง ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นฉับพลัน


 


 


           “หากเราถอนคำสาปเข้าฝันได้ก็เป็นการยืนยันฐานะของเรา หากแก้วิชาสะกดจิตนี้อีก ก็ยืนยันได้ว่าตำราเล่มนั้นตกอยู่ในมือข้าแล้ว” เซี่ยฟางหวากล่าว “ดูท่าต้องการโจมตีฐานะของเราโดยตรง”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานฟังจบก็เม้มปากแน่น เงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นจะช่วยหรือไม่”


 


 


           “จินเยี่ยนใช่ว่าจะนิสัยไม่ดี ตอนนั้นหากไม่ได้นาง ฉินเจิงคงเกิดเรื่องเพราะพิษกามารมณ์แล้ว ข้าติดค้างน้ำใจนางครั้งหนึ่ง อีกอย่างวันสมรสนางก็เข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนข้า ถึงแม้มาด้วยเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อไมตรีของระหว่างพี่น้องก็ตาม แต่สำหรับข้าแล้วก็ถือเป็นน้ำใจ ในเมื่อข้าช่วยนางได้ย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย” เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมา


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้า


 


 


           “อีกอย่างข้าก็อยากรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใคร คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ ทั้งคดีหลูอี้โดนวิชาหนอนพิษจงที่ค่ายทหาร หมอหลวงซุนถูกสังหาร กลไกศิลายักษ์ ฝูงหมาป่าล้อมโจมตี และใต้เท้าหานถูกเข็มสังหาร ยิ่งไปกว่านั้นยังสืบสาวไปถึงเหตุเพลิงไหม้ที่วัดฝ่าฝอซื่อและศพอู๋ว่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย คดีเหล่านี้ต่างมีส่วนเชื่อมโยงกันที่แยกไม่ได้” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเถอะ ฐานะของเราจะถูกเปิดโปงก็เปิดโปงไป ไม่กลัวผู้อยู่เบื้องหลังคนนั้นอยู่แล้ว” เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้า


 


 


           “พี่อวิ๋นหลาน ข้าเรียกท่านมาก็เพราะอยากให้เราตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม บางทีหลังจากวันนี้ไป อนาคตต้องเกิดปัญหามากกว่านี้แน่” เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย


 


 


           “ข้าไม่กลัว” เซี่ยอวิ๋นหลานบีบไหล่นาง


 


 


           “เราถอนคำสาปเข้าฝันให้นางก่อน จากนั้นข้าค่อยแก้วิชาสะกดจิตให้นาง” เซี่ยฟางหวาอุ่นใจขึ้นบ้าง


 


 


           “ได้!” เซี่ยอวิ๋นหลานผงกศีรษะ


 


 


           เซี่ยฟางหวาหยิบกริชออกมาจากอกเสื้อ กรีดลงบนฝ่ามือแผ่วเบา จากนั้นก็เผยอริมฝีปากจินเยี่ยนออกแล้วป้อนเลือดเข้าไป ขณะเดียวกันก็ส่งกริชให้เซี่ยอวิ๋นหลาน


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานรับกริชมากรีดฝ่ามือแผ่วเบา ผสมเลือดเข้ากับเลือดของเซี่ยฟางหวา หยดเข้าสู่โพรงปากของจินเยี่ยน


 


 


           หลังหยดเลือดลงไปประมาณห้าหกหยด เซี่ยฟางหวาคิดว่าพอเพียงแล้วก็กดฝ่ามือ


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานก็ผละมือออกเช่นกัน


 


 


           เซี่ยฟางหวาเก็บกริชเข้าอกเสื้อ ก่อนเริ่มแก้วิชาสะกดจิตให้จินเยี่ยน


 


 


           วิชาสะกดจิตนั้นสิ้นเปลืองพลังมาก อีกอย่างเซี่ยฟางหวาก็ใช้วิชาสะกดจิตกับผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเมื่อช่วงกลางวัน จากนั้นก็เร่งเดินทางกลับจวน ยังไม่ทันได้พักผ่อนดีก็ต้องมุ่งหน้ามายังอารามลี่อวิ๋นต่อ ด้วยความเหนื่อยล้านี้ทำให้แก้วิชาสะกดจิตได้ช้าลง


 


 


           เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปเต็มๆ นางถึงแก้วิชาสะกดจิตได้สมบูรณ์ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อเปียกชื้น ร่างกายโซเซเล็กน้อย


 


 


           “เป็นอย่างไรบ้าง” เซี่ยอวิ๋นหลานรีบมาพยุงนาง


 


 


           “ยังไหว” เซี่ยฟางหวาตอบด้วยความอ่อนแรง


 


 


           “นางจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร” เซี่ยอวิ๋นหลานถาม “ข้าพยุงเจ้าไปนั่งพักก่อนดีกว่า”


 


 


           “ประเดี๋ยวก็ตื่นแล้ว” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           นางเพิ่งพูดจบ จินเยี่ยนซึ่งอยู่บนเตียงก็ตื่นขึ้นมา นางลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวากับเซี่ยอวิ๋นหลานยืนอยู่ริมหน้าต่างก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แรกเริ่มคงคิดว่าตาฝาด นางจึงปิดตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่ เมื่อเห็นทั้งสองยังอยู่ที่เดิมก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เซี่ยฟางหวา พวกเจ้า…มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


           เพราะหลับนานเกินไป ลำคอจึงแห้งผาก


 


 


           เซี่ยฟางหวาตอบนาง “ท่านหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อ “ส่วนเพราะเหตุใดนั้น ตอนนี้ข้าไม่มีแรงแล้ว ให้องค์หญิงใหญ่มาเล่าให้ท่านฟังเถอะ”


 


 


           “แม่ข้า?” จินเยี่ยนตกใจ


 


 


           “อืม ท่านป้าก็มาด้วย ตอนนี้ยังอยู่ที่อารามลี่อวิ๋น” เซี่ยฟางหวาพูดจบก็เอ่ยบอกเซี่ยอวิ๋นหลาน “พี่


 


 


อวิ๋นหลาน ท่านออกไปก่อนเถอะ บอกองค์หญิงใหญ่ว่าท่านหญิงจินเยี่ยนตื่นแล้ว ให้พวกนางเข้ามาได้”


 


 


           “แล้วเจ้า…” เซี่ยอวิ๋นหลานมองนาง


 


 


           “ข้าพักสักครู่ก็หายแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานเห็นว่านางหน้าซีด ทั้งมีเหงื่อเต็มตัว สภาพดูอ่อนแรงอย่างยิ่งจึงเอ่ยขึ้น “นำเสื้อผ้ามาด้วยหรือไม่ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           “ข้านำเสื้อผ้ามามาก ทั้งมีชุดใหม่ด้วย ประเดี๋ยวจะให้น้องฟางหวาไปเปลี่ยน” จินเยี่ยนแม้ไม่เข้าใจสถานการณ์แต่ก็นับว่ายังควบคุมสติได้ นางลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า มองเซี่ยฟางหวาแล้วเอ่ยบอก


 


 


           เซี่ยอวิ๋นหลานได้ยินเช่นนั้นก็ผงกศีรษะก่อนเดินออกไป


 


 


           เขาเพิ่งออกไป องค์หญิงใหญ่กับเยี่ยนหลันที่รออยู่ข้างนอกก็รีบซักถามทันที พอทราบว่าจินเยี่ยนตื่นแล้วก็รีบเข้ามาในห้อง


 


 


           “ลูกแม่ เจ้าปลอดภัยแล้ว แม่ตกใจแทบแย่” องค์หญิงใหญ่เดินมาที่เตียงแล้วรั้งจินเยี่ยนมากอด


 


 


           จินเยี่ยนปล่อยให้นางกอดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ข้าเป็นอะไรไปกันแน่ ตอนนี้ยามใดแล้ว ท่านกับน้องฟางหวา…” หยุดชั่วครู่ เมื่อเห็นเยี่ยนหลันมาด้วยก็กล่าวต่อ “ยังมีเยี่ยนหลัน พวกเจ้ามาได้อย่างไร”


 


 


           องค์หญิงใหญ่รีบเล่าเรื่องที่นางหลับไปเป็นเวลานาน เมื่อส่งข่าวกลับมาก็รีบมาหา ระหว่างทางได้พบเซี่ยฟางหวากับเยี่ยนหลันพอดี พูดจบก็เอ่ยขึ้น “ลำบากพระชายาน้อยแล้วที่ต้องช่วยปลุกเจ้า”


 


 


           “ข้าฝันร้ายได้อย่างไร” จินเยี่ยนไม่เข้าใจ


 


 


           “เจ้าหลับไปนานเช่นนี้ ฝันเรื่องใดหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “ฝัน…” จินเยี่ยนก้มหน้านึก ทันใดนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ครู่ต่อมาก็หน้าซีดขาว เอ่ยขึ้นด้วยตัวสั่นระริกเล็กน้อย “ฝันถึงของบางสิ่ง…” พูดจบก็พึมพำเสียงเบา “ที่แท้เป็นความฝัน…”


 


 


           “เจ้าฝันถึงอะไร” องค์หญิงใหญ่รีบถาม


 


 


           สีหน้าของจินเยี่ยนย่ำแย่มาก สักพักต่อมาก็เปลี่ยนเรื่อง “น้องฟางหวาช่วยข้าจนเหงื่อท่วมตัวแล้ว” พูดจบก็สั่งงานสาวใช้ประจำกาย “รีบไปนำเสื้อผ้าใหม่ที่ข้ายังไม่เคยสวมใส่มาให้นางเปลี่ยน”

 

 

 


ตอนที่ 47

 

สาวใช้ของจินเยี่ยนรีบไปนำชุดกระโปรงใหม่เอี่ยมที่จินเยี่ยนยังไม่เคยสวมใส่มายื่นให้เซี่ยฟางหวา


 


 


           เซี่ยฟางหวาเองก็หาได้เกรงใจไม่ หันหลังเดินไปยังหลังฉากกั้นเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที


 


 


           องค์หญิงใหญ่ย่อมมิได้ใส่ใจกับความฝันของจินเยี่ยนนัก นางแค่ตระหนกตกใจ ขอเพียงบุตรสาวปลอดภัยดีนางก็สบายใจแล้ว


 


 


           เซี่ยฟางหวาเดินออกมาจากหลังฉากกั้น หย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง


 


 


           “วันนี้ลำบากเจ้าแล้ว ช่วยนางคงเสียแรงไปมาก” องค์หญิงใหญ่กับจินเยี่ยนพูดคุยกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมามองเซี่ยฟางหวาด้วยความซาบซึ้งใจยิ่ง “ป้าจะจดจำน้ำใจเจ้าไว้”


 


 


           “ท่านป้าเกรงใจไปแล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้ม “ไม่ต้องเอ่ยว่าจวนอิงชินอ๋องกับจวนองค์หญิงใหญ่นั้นเป็นญาติกัน ถึงแม้เพียงเอ่ยถึงท่านหญิงจินเยี่ยนผู้นี้ ด้วยไมตรีจิตระหว่างนางกับข้า ข้าก็ย่อมต้องช่วยเหลืออยู่ดี”


 


 


           “ได้ เจ้าพูดถึงขนาดนี้ป้าก็ไม่ขอบคุณแล้ว” องค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าลำบากมาทั้งวันคงเหนื่อยแย่แล้ว อารามลี่อวิ๋นแห่งนี้แม้มีขนาดเล็ก แต่ก็พอรองรับคนได้จำนวนหนึ่ง ยังเหลืออีกหลายชั่วยามกว่าฟ้าจะสาง เราพักที่นี่กันหนึ่งคืนแล้วกัน”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ


 


 


           “ท่านแม่ ให้น้องเยี่ยนหลันกับน้องฟางหวาพักที่นี่เถอะ แล้วท่านไปพักห้องข้างๆ แทน” จินเยี่ยนบอก


 


 


           “ได้ คุณชายอวิ๋นหลานก็อุตส่าห์ลำบากมา ข้าจะออกไปจัดแจงที่พักให้” องค์หญิงใหญ่พูดจบก็เดินออกไป


 


 


           ภายในห้องจึงเหลือแค่เซี่ยฟางหวา จินเยี่ยน และเยี่ยนหลันสามคน


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อกับสาวใช้ของจินเยี่ยนพักอยู่ในห้องชั้นนอก


 


 


           “ฟางหวา เจ้าไหวหรือไม่” เยี่ยนหลันเห็นว่าจินเยี่ยนปลอดภัยดีแล้ว เซี่ยฟางหวากลับดูอ่อนแรงถึงที่สุดจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง


 


 


           “เสียกำลังภายในและเรี่ยวแรงไปเล็กน้อย พักสองชั่วยามก็ดีขึ้นแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           “เช่นนั้นเจ้ารีบขึ้นมานอนพักเถอะ” จินเยี่ยนกระโดดลงจากเตียง “ข้าหลับไปนานถึงเพียงนี้ ควรลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายสักหน่อย”


 


 


           เซี่ยฟางหวาก็ไม่ได้เกรงใจ ขึ้นไปนอนบนเตียงทันที


 


 


           เยี่ยนหลันก็ขึ้นมาเบียดบนเตียงกับนางเช่นกัน ก่อนใช้มือทุบท่อนขาคลายความเมื่อยพลางบ่นจินเยี่ยนอุบอิบ “ท่านฝันร้ายได้อย่างไรกัน ท่านไม่รู้หรือว่าข้างนอกฝนตกหนักมาสองสามวันแล้ว ถนนที่ใช้เดินทางมาอารามลี่อวิ๋นก็ลำบากมาก มีถนนสิบกว่าเส้นที่เราต้องลงเดินเท้าแทน เท้าข้าขึ้นตุ่มไปหมดแล้ว”


 


 


           “ขอโทษ ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว ทั้งยังต้องลำบากอีก” จินเยี่ยนรินน้ำอุ่นยื่นให้เซี่ยฟางหวากับ


 


 


เยี่ยนหลัน


 


 


           เซี่ยฟางหวากับเยี่ยนหลันเองก็กระหายน้ำมากจึงรับแก้วน้ำมาดื่มอย่างไม่เกรงใจ


 


 


           จินเยี่ยนรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ดื่มไปสองอึกก็เอ่ยขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าไม่เคยฝันร้ายมาก่อน เหตุใดจู่ๆ ถึงฝันร้ายได้เล่า ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”


 


 


           “ท่านลองนึกดูให้ดี ตอนบ่ายเมื่อวานได้พบปะใครบ้างหรือว่าของสิ่งใด ไม่ก็เกิดเรื่องใดขึ้น ที่ทำให้หลังจากนั้นท่านรู้สึกง่วงนอน” เซี่ยฟางหวามองนาง


 


 


           จินเยี่ยนครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่มีหรอก หลังทานมื้อกลางวันเสร็จก็รู้สึกง่วงจึงหลับไป”


 


 


           “ท่านกินอะไรเป็นมื้อกลางวัน พอจำได้หรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “เป็นอาหารเจในอาราม” จินเยี่ยนนึก


 


 


           “อารามลี่อวิ๋นแห่งนี้มีกันกี่คน มาจากไหนกันบ้าง” เซี่ยฟางหวาถามอีก


 


 


           “อารามลี่อวิ๋นแห่งนี้มีกันอยู่ไม่เกินสิบกว่าคน มีเจ้าอารามอาวุโสหนึ่งรูป แม่ชีอาวุโสอีกสี่รูป ทั้งห้ารูปนี้เส้นผมล้วนเป็นสีขาวหมดแล้ว ส่วนที่เหลือฟังว่าบางคนมาอยู่เพราะหลังออกเรือนไปก็ไม่เป็นที่ยอมรับในบ้านสามีจึงมาบวชเป็นแม่ชีแทน บางคนก็เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เติบโตมาในอารามลี่อวิ๋นแห่งนี้ อายุน้อยสุดอยู่ที่สิบสองขวบ” จินเยี่ยนตอบ “ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่กี่วัน นอกจากได้สวดมนต์กับเจ้าอารามอาวุโส คนอื่นๆ ก็ได้พบหน้าแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “อารามลี่อวิ๋นอยู่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ แล้วดำรงชีวิตอยู่อย่างไร”


 


 


           “ฟังว่ามีที่นาอยู่หลายหมู่ พวกแม่ชีจะทำไร่ไถนาด้วยตัวเอง นอกจากนี้ก็มีคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยมาปฏิบัติธรรมเป็นเวลาสั้นๆ เหมือนอย่างข้าด้วย เราก็จะช่วยบริจาคพวกธูปเทียน ตะเกียงน้ำมัน และเงินทองให้” จินเยี่ยนตอบ


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ


 


 


           “เจ้าบอกว่าข้าฝันร้าย เกิดอันใดขึ้นกันแน่ มีคนอยากทำร้ายข้าใช่หรือไม่” จินเยี่ยนมองนาง


 


 


           “ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าฝันถึงสิ่งใด” เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ หากแต่ถามกลับ


 


 


           เดิมทีจินเยี่ยนมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย ได้ยินเช่นนี้ก็หน้าซีด


 


 


           “เป็นฝันน่ากลัวรึหรือว่ายากจะเอ่ย” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           เยี่ยนหลันก็มองจินเยี่ยนด้วยความใคร่รู้ ก่อนโพล่งขึ้น “ท่านต้องฝันถึงรัชทายาทเป็นแน่”


 


 


           “เจ้ารู้ได้อย่างไร” จินเยี่ยนสะดุ้ง


 


 


           “ข้าเดาเอา ผู้ที่ท่านคะนึงหาอยู่ในใจก็คือรัชทายาท เมื่อยังคิดถึงอยู่ก็ย่อมต้องฝันถึง” เยี่ยนหลันตอบ “ยิ่งไปกว่านั้น แม้ปากท่านบอกว่าลืมเขาไปแล้ว แต่ความคะนึงหาอันยาวนานนี้ มีหรือจะลืมได้ในเวลาไม่กี่วัน”


 


 


           “ข้าฝันถึงพี่อวี้อย่างที่เจ้าบอกนั่นแหละ” จินเยี่ยนก้มหน้าลง


 


 


           “ฝันว่าอะไร” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “ฝันว่าเขามาสู่ขอข้า เราได้สมรสกัน” จินเยี่ยนลังเลครู่หนึ่งก่อนยอมบอก


 


 


           “มิน่าท่านถึงไม่ยอมตื่น” เยี่ยนหลันถอนใจ


 


 


           “ฝันถึงแค่เรื่องนี้หรือ ยังฝันถึงเรื่องใดอีกบ้าง เหตุใดพอนึกถึงความฝันนั้นแล้วท่านถึงได้ดูหวาดกลัวยิ่งนัก” เซี่ยฟางหวามองนาง


 


 


           จินเยี่ยนตวัดตามองนาง กัดริมฝีปากครู่หนึ่ง “ฝันว่าเขาสังหารข้าในวันสมรส เจ้าสาวคนใหม่ถูกเปลี่ยนเป็นเจ้าแทน”


 


 


            เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง


 


 


           “ท่านฝันเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เยี่ยนหลันเองก็ตกใจ


 


 


           ใบหน้าของจินเยี่ยนยิ่งซีดลง


 


 


           “เมื่อครูท่านป้าอยู่ด้วย ข้ากลัวว่านางจะเป็นกังวลจึงไม่ได้บอกอาการป่วยของเจ้าละเอียด” เซี่ยฟางหวามองนางแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


           จินเยี่ยนมึนงง


 


 


           “ความฝันที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีคนร่ายคำสาปเข้าฝัน ปั้นเรื่องให้ความฝันของเจ้า ความจริงแล้วมันไม่ใช่ฝันร้าย แต่เจ้าถูกคนร่ายคำสาปเข้าฝันใส่” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           “คำสาปเข้าฝันคืออะไร” จินเยี่ยนสงสัย


 


 


           “เป็นวิชาคำสาประดับต่ำของเผ่าภูตผี” เซี่ยฟางหวาอธิบาย “คำสาปนี้ไม่ได้ใช้หนอนพิษจงเป็นตัวนำพา แต่ใช้ยากล่อมประสาทเป็นสื่อกลาง หลังเจ้าถูกยากล่อมประสาท คนผู้นั้นก็ฉวยโอกาสนี้สบตาเจ้า ใช้เลือดของเจ้าร่ายคำสาปลงไป พอควบคุมความคิดของเจ้าได้ก็เท่ากับว่าควบคุมความฝันของเจ้าได้เช่นกัน”


 


 


           จินเยี่ยนตกตะลึง


 


 


           “ดังนั้นเจ้าลองคิดให้ดีว่า หลังเจ้าทานมื้อกลางวันแล้วรู้สึกผิดปกติทันทีหรือไม่ หรือพบใครบ้างก่อนจะหลับไป นอกจากนี้ นิ้วกลางของเจ้าเป็นแผลใช่หรือไม่ ไปได้แผลมาได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวากล่าว


 


 


           จินเยี่ยนก้มหน้ามองนิ้วกลางของตนเองทันที พบว่ามีแผลเล็กๆ อยู่จริง นางตัวสั่นระริกขึ้นมา


 


 


           “มีแผลเล็กๆ อยู่จริงหรือ” เยี่ยนหลันเรียกจินเยี่ยนมา “ท่านมานี่หน่อย ข้าขอดูให้ชัด”


 


 


           จินเยี่ยนเดินมาข้างเตียง ยื่นนิ้วให้เยี่ยนหลันดู


 


 


           “นิ้วกลางมีแผลอยู่จริงด้วย” เยี่ยนหลันตกใจ “นี่ท่านถูกผู้ใดลอบทำร้ายกัน แล้วท่านไม่มีภาพความทรงจำอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อยหรือ”


 


 


           จินเยี่ยนเงียบ จ้องมองจุดหนึ่งราวกับกำลังทบทวนความทรงจำ พักใหญ่ต่อมาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก “ข้าจำได้ว่าเมื่อวานข้าอยู่คัดคัมภีร์ในที่พักของเจ้าอารามอาวุโส ต่อมาก็ทานมื้อกลางวันร่วมกับเจ้าอาราม หลังทานเสร็จก็รู้สึกง่วง ข้าจึงกลับออกมา ระหว่างทางได้พบคนอื่นอยู่บ้าง แต่พบใครไปนั้นข้าจำไม่ได้”


 


 


           “ท่านจำไม่ได้ แล้วสาวใช้ท่านเล่า” เยี่ยนหลันถาม


 


 


           “เจ้าหมายถึงหลิงเซียง? ข้าจะเรียกนางเข้ามาถาม” จินเยี่ยนพูดจบก็ตะโกนเรียก


 


 


           หลิงเซียงได้ยินเสียงเรียกก็รีบเดินเข้ามา คุกเข่าลงกับพื้น “ท่านหญิง ท่านมีคำสั่งใดหรือเจ้าคะ”


 


 


           “ข้าถามเจ้า นิ้วมือข้ามีแผลได้อย่างไร” จินเยี่ยนถาม


 


 


           หลิงเซียงครุ่นคิดแล้วเอ่ยตอบ “ตอนกลับจากที่พักเจ้าอารามอาวุโส ท่านค้ำกรอบประตูครู่หนึ่ง ต่อมาก็เห็นว่าปลายนิ้วท่านมีเลือดออกจึงทำแผลให้ ท่านบอกว่าแผลเล็กน้อยมิใช่ปัญหาใหญ่ ข้าเห็นว่าแผลนั้นมิได้ใหญ่มากเช่นกันจึงปล่อยเลยตามเลย” พูดจบก็เอ่ยถาม “ท่านหญิง ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ”


 


 


           “คล้ายกับมีเรื่องเช่นนี้” จินเยี่ยนบอก


 


 


           เยี่ยนหลันมองเซี่ยฟางหวา


 


 


           “บนกรอบประตูมีสิ่งใดอยู่ เหตุใดถึงบาดนิ้วเอาได้” เซี่ยฟางหวาเอ่ยถามหลิงเซียง


 


 


           “บนกรอบประตูมิได้มีสิ่งใด น่าจะเป็นเศษไม้เจ้าค่ะ ถึงอย่างไรอารามลี่อวิ๋นแห่งนี้ก็ควรบูรณะใหม่ได้แล้ว” หลิงเซียงตอบ “ตอนที่ปลายนิ้วของท่านหญิงมีเลือดออก ข้าได้มองกรอบประตูนั้นถี่ถ้วนแล้ว”


 


 


           “เช่นนั้นหลังพวกเจ้าออกจากที่พักเจ้าอาราม ได้พบผู้ใดหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถามอีก


 


 


           “ได้พบผู้คนบ้างประปราย แต่เป็นผู้ใดนั้นบ่าวจำมิได้ ถึงอย่างไรฝนก็ตกหนักมาก” หลิงเซียงตอบ


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           จินเยี่ยนเห็นว่านางไม่มีเรื่องใดจะถามแล้วก็ยกมือไล่หลิงเซียงออกไป


 


 


           “เจ้าอารามอาวุโสรูปนั้นมีปัญหาใช่หรือไม่ ในเมื่อเจ้าอยู่ทานมื้อกลางวันที่ที่พักของนาง ยากล่อมประสาทที่ว่าก็น่าจะเป็นฝีมือนาง” เยี่ยนหลันสันนิษฐาน


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่พูดจา


 


 


           “เจ้าอารามอาวุโสรูปนั้นเล่า ตั้งแต่เรามาถึงก็ยังไม่เห็นนางเลย ต้องมีปัญหาเป็นแน่” เยี่ยนหลันบอก


 


 


           “เจ้าอารามอาวุโสใจบุญสุนทาน ไม่คล้ายผู้กระทำสิ่งชั่วร้าย อีกอย่างแม่ข้าก็บริจาคเครื่องธูปเทียนให้มากมาย แล้วเหตุใดนางต้องวางแผนทำร้ายข้าด้วย” จินเยี่ยนมองเซี่ยฟางหวาด้วยความสงสัย


 


 


           “ตอนนี้น่าจะคุมตัวเจ้าอารามอาวุโสไว้ก่อน” เยี่ยนหลันเสนอ “มนุษย์รู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่แน่ว่าความใจบุญสุนทานเช่นนี้อาจเป็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอกไว้ตบตาผู้อื่น เนื้อแท้แล้วกลับมีจิตใจชั่วช้า”


 


 


           “น้องฟางหวา เจ้าคิดสิ่งใดอยู่” จินเยี่ยนมองไปยังเซี่ยฟางหวา


 


 


           “ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เถอะ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


           “หากนางหนีไปคืนนี้เล่า” เยี่ยนหลันถาม “ใครจะรอให้ถูกจับเหมือนคนโง่กัน”


 


 


           “จะหนีไปไหนได้ เรานำคนขึ้นเขามาด้วยมากถึงเพียงนี้ ก็แค่แม่ชีอาวุโสผมขาวเท่านั้นเอง” เซี่ยฟางหวาล้มตัวนอน เอ่ยบอกเยี่ยนหลันด้วยความเหนื่อยล้า “เจ้าไม่เหนื่อยหรือ นอนกันเถอะ”


 


 


           “เหนื่อยสิ” เยี่ยนหลันเบ้ปาก “แต่ใครทำร้ายจินเยี่ยนกันแน่ เหตุใดถึงต้องร่ายคำสาปเข้าฝันที่เจ้าบอกกับนาง แถมยังลากรัชทายาทกับเจ้ามาอีกเกี่ยวข้อง ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก”


 


 


           “คนที่รู้ว่าข้าชอบพี่อวี้มีมาก และมีหลายคนที่รู้ว่าเขาชอบน้องฟางหวาเช่นกัน แต่ร่ายคำสาปเข้าฝันกับข้านั้นเพื่อจุดประสงค์ใด หรืออยากได้สิ่งใดจากตัวข้า” จินเยี่ยนเองก็สงสัยเช่นกัน


 


 


           “ไม่ใช่อยากได้สิ่งใดจากตัวท่าน แต่เพื่อล่อข้ามาที่อารามลี่อวิ๋นและต้องการบางสิ่งจากตัวข้า” เซี่ยฟางหวาเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


           จินเยี่ยนผงะตกใจ


 


 


           “เป็นเช่นนี้” เยี่ยนหลันเองก็ตกใจเช่นกัน


 


 


           “ตอนที่จวนองค์หญิงใหญ่เพิ่งทราบข่าว เจ้าก็ทราบข่าวแล้วเช่นกัน ได้ข่าวมาอย่างไร” เซี่ยฟางหวาพลันถามเยี่ยนหลัน


 


 


           “เป็นพ่อข้าที่ทราบข่าว หลังเขากลับมาจากค่ายใหญ่เขาตะวันตก ข้ากำลังอยู่กับท่านแม่พอดี มีคนมารายงานข่าวกับเขา ข้าย่อมได้รู้ไปด้วย” เยี่ยนหลันตอบ


 


 


           “เช่นนั้นเจ้าก็นึกขึ้นได้ว่าควรมาหาข้าเพื่อไปอารามลี่อวิ๋นด้วยกันหรือ” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           เยี่ยนหลันเกาศีรษะ “พอข้าทราบข่าวก็อยากมาที่อารามลี่อวิ๋นพร้อมกับองค์หญิงใหญ่ แต่ท่านแม่ห้ามไว้ บอกว่าฝนตกหนักถึงเพียงนี้ อีกอย่างข้าก็ไม่รู้วิชาแพทย์ ถึงตามไปด้วยก็ยิ่งวุ่นวายเปล่าๆ ข้าจึงนึกถึงเจ้าขึ้นมา ทราบว่าเจ้ากลับจวนมาแล้วจึงมาหาเจ้า” หยุดชั่วครู่แล้วเน้นย้ำด้วยความมั่นใจ “ข้านึกขึ้นได้เองว่าจะมาหาเจ้าเพื่อไปอารามลี่อวิ๋นด้วยกัน”


 


 


           “ดูท่าทั้งเมืองหลวง จวนใหญ่ต่างๆ ค่ายใหญ่เขาตะวันตก รวมถึงอารามลี่อวิ๋นเล็กๆ แห่งนี้ต่างเต็มไปด้วยสายสอดแนม ผู้อยู่เบื้องหลังคงอ่านใจคนได้อย่างแม่นยำมาก ทุกก้าวคือแผนการ” เซี่ยฟางหวาผุดยิ้มขึ้น


 


 


           “หมายความว่าอย่างไร” เยี่ยนหลันมองเซี่ยฟางหวา “ในจวนข้ามีหนอนบ่อนไส้รึ”


 


 


           “น่ากลัวว่าจะไม่ใช่แค่จวนหย่งคังโหว ยังมีจวนองค์หญิงใหญ่และจวนจงหย่งโหวด้วย” เซี่ยฟางหวาคิด เซี่ยอวิ๋นหลานบังเอิญมารอนางบนถนนที่ต้องผ่านพอดี เขามาด้วยก็ประจวบเหมาะที่จะผสมเลือดเป็นหนึ่งเดียวกับนางเพื่อช่วยปลุกจินเยี่ยนให้ตื่นขึ้นได้ ช่างเกี่ยวโยงต่อกันเป็นทอดๆ โดยแท้


 


 


           “หลายวันนี้หมอหลวงซุนถูกสังหาร ใต้เท้าหานก็ถูกสังหารเช่นกัน ในเมื่อตั้งใจล่อเจ้ามาที่นี่ ถ้าพวกเราอยู่ที่นี่ต่อคงไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่” เยี่ยนหลันรู้สึกกลัวขึ้นมา


 


 


           “ตอนนี้รู้จักความกลัวแล้วหรือ” เซี่ยฟางหวาส่งยิ้มให้นาง “นอนให้สบายใจเถอะ อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่เกิดอันใดขึ้นหรอก”


 


 


           เยี่ยนหลันสบายใจขึ้นเล็กน้อย “มีคนต้องการโจมตีเจ้า ยอมอ้อมไปอ้อมมาถึงเพียงนี้เชียว” นางมองไปยังจินเยี่ยน “แม้แต่นางที่มาอยู่ในสถานที่ห่างไกลความเจริญอย่างอารามลี่อวิ๋นยังถูกใช้ประโยชน์ไปด้วย”


 


 


           “น้ำใจคนคือจุดอ่อน ผู้อยู่เบื้องหลังต้องรู้จักความสัมพันธ์ในจวนใหญ่ต่างๆ ดีเป็นแน่ ทั้งฉลาดหลักแหลมในการตบตาผู้คนอย่างมาก คาดเดาใจคนได้เป็นอย่างดี” เซี่ยฟางหวาหลับตาลง “รู้ว่าเจ้าต้องไปหาข้าเป็นแน่ และรู้ว่าข้าต้องมาอย่างแน่นอน”


 


 


           เยี่ยนหลันรู้สึกเย็นยะเยือกด้วยความกลัว มองไปยังจินเยี่ยน


 


 


           “ใช่พี่อวี้หรือไม่ พี่อวี้เขาเพื่อเจ้าแล้ว…” จินเยี่ยนเองก็หน้าซีดขาวเช่นกัน


 


 


           “ไม่ใช่เขา” เซี่ยฟางหวายืนยัน


 


 


           “เช่นนั้นเป็น…” จินเยี่ยนไม่นึกว่าเซี่ยฟางหวาจะมั่นใจเช่นนี้ นางรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ


 


 


           “ต้องสืบหาให้กระจ่าง” เซี่ยฟางหวาไม่อยากคาดเดาแล้วเช่นกัน


 


 


           จินเยี่ยนเงียบลง


 


 


           เซี่ยฟางหวาเหนื่อยมากแล้ว ไม่นานก็ผล็อยหลับไป


 


 


           จินเยี่ยนเองก็เหนื่อยมากเช่นกัน แม้จะมีความกลัวอยู่บ้าง แต่หลังเซี่ยฟางหวาหลับไป นางเองก็หลับตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน


 


 


           จินเยี่ยนนอนมาเยอะเกินไปจึงไร้ซึ่งความง่วง นางนั่งกอดผ้าห่มริมขอบเตียง ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังนางออกจากเมืองหลวงมายังอารามลี่อวิ๋นอย่างละเอียด คิดอยู่เนิ่นนานก็ไม่ทราบสาเหตุ เห็นว่าฟ้าสว่างแล้วจึงหลับตาลง


 


 


           เช้าวันที่สอง ฝนยังคงตกหนักไม่หยุด


 


 


           เซี่ยฟางหวาตื่นขึ้นมาพบว่าเยี่ยนหลันกับจินเยี่ยนยังหลับอยู่ นางสวมเสื้อตัวบางคลุมทับแล้วลงจากเตียง ก่อนเดินออกมาจากประตูห้อง


 


 


           พวกซื่อฮว่าก็ตื่นแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นนางเดินออกมาก็รีบเข้ามาหา พร้อมกระซิบเสียงเบา “คุณหนู


 


 


องค์หญิงใหญ่นำคนไปยังที่พักเจ้าอารามอาวุโสตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อครู่บ่าวได้ข่าวว่าเจ้าอารามอาวุโสเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับโดยไม่แปลกใจเท่าไรนัก “นอกจากนาง ยังมีใครตายอีกหรือไม่”


 


 


           “ยังมีแม่ชีน้อยอีกหนึ่งรูปเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา


 


 


           “ตายอย่างไร” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “ที่พักของเจ้าอารามอาวุโสสร้างมานานแล้ว ฟังว่าฝนตกหนักจนต้านทานไม่อยู่ ที่พักครึ่งหลังพังถล่มลงมาทับเจ้าอารามอาวุโสจนตาย ทั้งยังทับแม่ชีน้อยที่อยู่เฝ้ายามตอนกลางคืนด้วย” ซื่อฮว่าตอบ


 


 


           “เราไปดูกันเถอะ” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           “ลมบนเขาแรงมาก เกรงว่าร่มคงกางไม่อยู่”  ซื่อฮว่ารีบนำเสื้อกันฝนมาคลุมให้นาง


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วเดินออกมา ขณะเดียวกันก็ถามขึ้น “พี่อวิ๋นหลานเล่า”


 


 


           “ไปยังที่พักของเจ้าอารามอาวุโสแล้วเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าตอบ


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่พูดมากความอีก ส่วนซื่อฮว่านำทางไปยังที่พักของเจ้าอารามอาวุโส

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม