ความลับแห่งจินเหลียน ส่วน 4 ตอน 85-91
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 85 ความเป็นจริง
สีหน้าของจ่านอิ๋นพลันแปรเปลี่ยน ซีเหมินจินเหลียนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ก่อนที่เงาร่างที่คุ้นเคยจะค่อยๆ เดินลงมาอย่างเชื่องช้า
จ่านป๋ายเดินลงมาจากข้างบนบันไดทีละขั้น มองจากมุมสูง ท่าทางเชื่อมั่นน่าเคารพยำเกรงราวกับพระราชาทรงเสด็จ “คุณพ่อ ผมก็ยังไม่ตาย คุณก็ไม่ต้องรีบร้อนใช้ผมบีบบังคับคุณซีเหมินหรอก!”
สีหน้าของจ่านป๋ายขาวซีดเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแฝงซ่อนไว้อยู่ ครั้งนี้เขาแพ้อย่างราบคาบ จนเขายอมปล่อยวางทั้งหมด ขอแค่ได้อยู่กับซีเหมินจินเหลียนตลอดโดยไม่ห่างไปไหน ถึงแม้เธอจะแต่งงานกับคนอื่น ขอแค่เธอมีความสุข เรื่องทุกอย่างก็จะไม่เป็นไร แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ทั้งหมดต่างพลิกผัน
เขาเดินลงมาจากบันไดอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเดินไปข้างหน้าจ่านมู่ฮวาแล้วยิ้มขึ้น “ชั่วชีวิตนี้นายคงไม่เคยจีบผู้หญิงใช่ไหม? คงไม่เคยลิ้มรสชาติของการพ่ายแพ้สินะ แต่วันนี้นายจะได้สมหวัง” พูดพลางเขาก็หมุนตัวเดินไปข้างหน้าซีเหมินจินเหลียนแล้วจูงมือเธอมา “จินเหลียน พวกเรากลับบ้านกันเถอะครับ” เขากัดฟันเน้นย้ำคำว่า ‘กลับบ้าน’ สองคำนี้อย่างหนักแน่น
แขกในงานต่างรู้สึกมึนงง ซีเหมินจินเหลียนเพียงยิ้มเชิดมุมปาก นี่สิถึงเป็นจ่านป๋าย เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความลึกลับ นิสัยชัดเจน
หันกายเตรียมเดินออกไปข้างหน้าประตู ก็มองจ่านมู่ฮวาด้วยความเยาะเย้ย
แขกในงานทุกคนต่างไม่เข้าใจ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
จนกระทั่งเข้าไปนั่งบนรถแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย หันไปมองหน้าต่างของตระกูลจ่านที่มีแสงไฟส่องออกมาอย่างสว่างไสว ไม่รู้ว่าตอนนี้จ่านมู่ฮวาจะเป็นอย่างไร คงแปลกใจมากใช่ไหมล่ะ? ไม่ๆๆ ยังมีจ่านอิ๋น คุณพ่อที่จ่านป๋ายเกลียดชัง แก่แล้วยังทำตัวไม่น่าเคารพนับถือ คิดไม่ถึงว่าจะมาช่วยลูกเล่นเรื่องอะไรพรรค์นี้
“จ่านมู่ฮวาบ้าไปแล้วเหรอไงกัน?” ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่จ่านป๋ายที่เริ่มขับรถไปอย่างช้าๆ แล้วถามเขาว่า “เขาจะจัดการกับเรื่องคืนนี้ยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอก คนรวยมักจะหน้าหนา นี่ก็คงหนาพอแล้ว คุณพ่อคงจะบอกว่า นี่เป็นการทะเลาะทั่วไปของหนุ่มสาว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ส่วนแขกผู้มีเกียรติที่เหลือก็คิดเสียว่าเรื่องนี้เป็นฉากตลก เพื่อความบันเทิงก็แค่นั้น” จ่านป๋ายยิ้มออกมาเย็นยะเยือก
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็พูดขึ้นมา
“ผมไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่เคยมีความสุขเท่าวันนี้มาก่อนเลย!” จ่านป๋ายยิ้มพลางขับรถออกมาจากบ้านตระกูลจ่าน นี่เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เขาสามารถมีความสุขตอนอยู่ที่บ้านตระกูลจ่าน “จินเหลียน ขอบคุณนะครับ”
“คุณจะขอบคุณฉันทำไมกัน?” ซีเหมินถามอย่างสงสัย “สติเลอะเลือนไปแล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้เลอะเลือนนะ!” จ่านป๋านพูด “คุณไม่เพียงแต่ช่วยผมไว้ แต่ก็มีแค่คุณที่เห็นผมเป็นคน! ผมคิดไม่ถึงว่าคุณจะพูดกับคุณพ่อต่อหน้าแขกทุกคนว่าให้ปล่อยผม…”
“ก็คุณเป็นบอดี้การ์ดของฉัน เป็นคนของฉัน!” ซีเหมินจินเหลียนเบ้ปากแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่สนใจว่าจะเป็นใคร แต่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถกักตัวคุณได้ แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคุณพ่อของคุณก็ตาม แต่ไม่ว่าฉันจะคิดยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมจ่านมู่ฮวาถึงเล่นแบบนี้ ฉันคงดีเลิศไม่พอจนทำให้เขากล้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้นสินะ?”
สิ่งที่สำคัญก็คือ ถ้าหากสมองของจ่านมู่ฮวาบวมน้ำหรือเป็นบ้าก็แล้วไป แต่คนที่เป็นหัวหน้าตระกูลจ่านก็ไม่ควรจะไปเล่นบ้ากับลูกเช่นนั้น เล่นจนต้องใช้ลูกอีกคนมาบีบบังคับเธอ ถ้าหากต้องการอย่างนั้นจริงๆ คืนนี้คงไม่ได้ปล่อยให้เธอกลับอย่างง่ายๆ
ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าตอนที่เธอและจ่านป๋ายออกจากบ้านตระกูลหลินนั้น ยังมีรถอีกคันหายไปอย่างเงียบๆ ในความมืด
ฉินเฮ่านวดขมับที่ปวดตุบ เขานั่งอยูข้างหน้าต่างกระจกใสขนาดใหญ่ ในห้องไม่ได้เปิดไฟไว้ เห็นได้ชัดว่ามืดสนิท แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการมองเห็นของเขา ข้างหน้าไม่ไกลออกไปเป็นบ้านตระกูลจ่านที่มีแสงไฟสว่างไสว
“สำหรับคืนนี้ ชนแก้ว!” ฉินเฮ่ายกมือขึ้นมาเพื่อชนแก้วใส ดื่มไวน์แดงที่อยู่ในแก้วทั้งหมดรวดเดียว เรื่องนี้เหมือนจะยิ่งสนุกขึ้นแล้วสิ ส่วนเขาอยู่ในเกมนั้นหรืออยู่นอกเกมกันแน่นะ
ซีเหมินจินเหลียนลดหน้าต่างลงเพื่อสูดรับอากาศจากข้างนอก ความหนาวเย็นแผ่วเบาของฤดูใบไม้ร่วง นอกหน้าต่างมีแสงไฟและสามารถมองเห็นดวงจันทร์ที่ตระหง่านสูงส่งอยู่บนฟ้า ใกล้จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้วสินะ?
ขณะที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ เสียงมือถือก็ดังขึ้นมา เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์แปลก
เมื่อกดปุ่มรับ ปลายสายก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งส่งออกมา “ซีเหมินจินเหลียน”
“พูดอยู่ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนแปลกใจเล็กน้อย เสียงนี้ฟังดูค่อนข้างคุ้นเคย แต่ขณะเดียวกันเธอก็นึกไม่ออกว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร…
“รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” เสียงของผู้หญิงปลายสายดังขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนสงสัยอยู่นานถึงนึกออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร “หวังเซียงฉิน?” เธอถามออกไปอย่างลองเชิง เธอโทรมาหาตนเพราะอะไร?
“ใช่ ฉันเอง!” หวังเซียงฉินแสยะยิ้มพูด “คิดไม่ถึงล่ะสิว่าฉันมีเบอร์มือถือเธอได้ยังไง”
“ก็แปลกใจอยู่บ้าง” ซีเหมินจินเหลียนพูดเรียบๆ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะหลินเสวียนหลานมีเบอร์มือถือของเธอ ถ้าหากเธอถามเขาสักหน่อยก็น่าจะพอรู้ นี่ไม่ใช่ความลับอะไร
“คิดอยู่แล้วว่าเธอต้องรู้มาก่อนว่าลูกในท้องของฉันไม่ใช่ลูกของไอชั่วหลินเจิ้ง!” หวังเซียงฉินพูด
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่ว่าลูกในท้องของเธอจะเป็นใคร ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ เธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงใสซื่อไม่รู้อะไรคนหนึ่ง จะมาสนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้เพื่ออะไรกัน?
“เธอก็ไม่แปลกใจหรือว่าลูกคนนี้ของฉันเป็นลูกใคร?” ในมือถือมีเสียงหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่งของหวังเซียงฉินดังออกมา
“เด็กคนนั้นจะเป็นลูกใคร มันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับฉัน” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างเยือกเย็น ในขณะที่คิดจะตัดสาย กลับนึกไม่ถึงว่าหวังเซียงฉินจะพูดประโยคนี้ขึ้นมา มันทำให้เธอยิ่งสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
“เธอยังจำแฟนคนแรกของเธอได้ไหมล่ะ?” หวังเซียงฉินพูดจากระแทกแดกดัน
ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิด หวังหมิงเหยา? เธอเกือบจะลืมเขาไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมเมื่อได้ยินคำพูดของเธอที่ออกมาก็รู้สึกถึงความแปลกใจที่เข้ามาโจมตีในหัวใจ
“ฉันเคยเห็นเธอตอนอยู่ที่บ้านตระกูลหวัง!” หวังเซียงฉินพูดอีกครั้ง “ฉันเป็นญาติห่างๆ ของเขา แต่พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด…”
เรื่องที่เหลือทั้งหมดซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ยากที่จะคาดเดาอีก ไม่น่าล่ะตอนที่เธอถามว่าชู้ของหวังเซียงฉินคนนั้นเป็นใคร ไม่ว่าจะพูดอย่างไรจ่านป๋ายก็ไม่ยอมบอกเธอเลย ที่แท้เหตุผลก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ถึงว่าตอนที่เธอเจอหวังเซียงฉินครั้งแรก ทั้งสองก็ต่างรู้สึกไม่ถูกชะตากัน ที่แท้เรื่องนี้ก็มีเหตุผลคอยเชื่อมโยงกัน
หวังเซียงฉินและสวี่จวิ้นหลานแม่ของหวังหมิงเหยา เหมือนมีสิ่งที่คล้ายกันโดยไม่ต้องพูด ตัวท็อปทั้งนั้น!
“การปรากฏตัวของเธอมันทำลายทุกอย่างของฉัน! เป็นเพราะเธอ ที่ทำให้ฉันไม่เหลืออะไร…” น้ำเสียงของหวังเซียงฉินมีความอาฆาตแค้นอยู่ในนั้น
“ไม่มีใครทำอะไรให้เธอ มีแต่เธอที่ทำร้ายตัวเอง!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“เธอต้องได้ชดใช้ เธอทำให้ลูกของฉันต้องตาย ผู้ชายของฉันต้องจากไป! ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว…ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว!” หวังเซียงฉินพูดลนลานอย่างไม่มีสติ
ในมือถือ ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเสียงลมพัด เหมือนกับมีเสียงรบกวนดังเข้ามา เพียงไม่นานเธอได้ยินเสียงดังตุบ จากนั้นเธอก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย วินาทีนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิดปกติ รีบถามจ่านป๋ายว่า “เสี่ยวป๋าย คุณรู้ไหมว่าหวังเซียงฉินอยู่ที่โรงพยาบาลไหน”
“น่าจะเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด” จ่านป๋ายพูดขึ้นอย่างแปลกใจ ตอนที่ได้ยินเสียงในมือถือเมื่อสักครู่ เขาก็รู้แล้วว่าเรื่องบางเรื่องก็ปิดบังซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ แม้ว่าเธอจะออกมาจากเงาของรักแรกแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากจะให้เรื่องราวร้ายๆ ที่เคยผ่านไปกลับเข้ามาทำร้ายหัวใจเธออีกครั้ง โดยเฉพาะผู้ชายสารเลวคนนั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีลูกกับผู้หญิงคนนี้…
“เร็วเข้า พวกเราต้องไปดูที่โรงพยาบาล!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“จินเหลียน ช่างเธอเถอะครับ พวกเราอย่าไปสนใจผู้หญิงคนนั้นเลย อีกอย่างคุณกับหวังหมิงเหยาก็เลิกรากันไปตั้งนานแล้ว” จ่านป๋ายขมวดคิ้วปลอบประโลมเธอ อารมณ์ที่กำลังดีอยู่จู่ๆ ถูกผู้หญิงคนนี้ทำลายเสียหมด
“ไม่ใช่! ดูเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจแล้วพูดขึ้น เธอเกลียดหวังเซียงฉินมาก แต่ก็ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ความจริงถ้าเธอรักกับหลินเจิ้งดีๆ ชาตินี้คงคุ้มค่าแล้ว หลินเจิ้งยังรักเธอ แต่น่าเสียดาย! คนส่วนมากความสุขอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ แต่กลับไม่รู้จักรักษา
จ่านป๋ายถอนหายใจออกมา ก่อนจะรีบขับรถไปยังทางของโรงพยาบาลประจำจังหวัด เมื่อถึงโรงพยาบาลแล้วก็จอดรถที่หน้าประตูของโรงจอดรถ แล้วได้ยินเสียงรถตำรวจดังขึ้นมา จ่านป๋ายจูงมือซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไป
ไม่นานนักก็เห็นตำรวจไม่กี่คนรีบวิ่งร้อนรนไปข้างหน้า ภายในตึกของโรงพยาบาลข้างหน้ามีผู้คนล้อมรอบเป็นกลุ่มใหญ่
จ่านป๋ายขมวดคิ้ว พอดีกับที่เห็นคุณป้าคนหนึ่งออกมา จึงเข้าไปถามอย่างสงสัย “คุณป้าครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับ เวลานี้แล้วทำไมยังมีคนมามากมายแบบนี้”
“เฮ้อ…” เมื่อคุณป้าได้ยินคำถามก็ถอนหายใจพูดขึ้น “ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหมือนจะมีเรื่องสามีภรรยาทะเลาะกัน ผู้หญิงแท้งลูกห้าเดือน เธอก็ไม่อยากอยู่ต่อเลยกระโดดตึกลงมา เฮ้อ…”
“ตาย…ตายแล้วเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนตกใจเอามือปิดปากถาม
“คุณผู้หญิง คุณลองคิดดูสิ ตกลงมาจากตึกตั้งสูงขนาดนั้น อย่าพูดถึงคนเลย แม้แต่หินตกมาก็ยังแตก คุณผู้หญิงคุณอย่าเข้าไปดูเลย เดี๋ยวจะฝันร้ายเอาได้ เลือดนี้นองเต็มไปหมด…” คุณป้าพูดพลางก็เดินออกไปทางข้างนอก “ฉันคนขี้ขลาด ไม่กล้าดูหรอก!”
ซีเหมินจินเหลียนยืนนิ่งอย่างตกตะลึง ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ให้จ่านป๋ายเปิดเผยเรื่องที่หวังเซียงฉินและหวังหมิงเหยาเป็นชู้กันออกมา อย่างน้อยๆ ก็คงไม่ต้องทำร้ายสองชีวิตนั้น
จ่านป๋ายจูงมือเธอและเดินช้าๆ ไปทางปากประตู “จินเหลียน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณนะ หลินเจิ้งเองก็ไม่ได้โง่ แค่กระดาษใบเดียวไม่สามารถทำให้เป็นไฟขนาดนั้นได้หรอก ถึงตอนนี้จะไม่เกิดเรื่องขึ้น แต่ในอนาคตก็คงเก็บไว้ไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเดิมทีเธอเป็นคนมีศีลธรรมรู้ผิดรู้ชอบ แล้วทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ? ความจริงแล้วมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยบอกคุณมาตลอด… ”
“เรื่องอะไร” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“คนที่หวังเซียงฉินชอบคือหลินเสวียนหลาน หลายครั้งที่เธออ่อยเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ คนข้างๆ ที่อยู่รอบกายหลินเสวียนหลานทุกคน เธอก็รู้สึกอิจฉาริษยาทั้งนั้น เธอเลยเกลียดที่คุณปรากฏตัว นอกจากนี้เพราะว่าเธอไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับลู่เฟยอวี๋ เธอเลยถือว่าคุณเป็นศัตรู” จ่านป๋ายพูด เขาเคยหาข้อมูลทั้งหมดของซีเหมินจินเหลียน รวมถึงเรื่องที่ตัวเธอเองยังไม่เคยรู้มาก่อน เพียงแต่มันเป็นคำพูดที่ทำลายความรู้สึกคน เขาเลยปิดบังเธอมาตลอด ไม่อยากให้เธอรู้มันก็เท่านั้น
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 86 วันก่อนจัดแสดงสินค้าอัญมณี
ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา “ผู้ชายที่หน้าตาหล่อเกินไป ก็ยุ่งยากเหมือนกันนะ”
“ใช่ครับๆ” ประโยคนี้จ่านป๋ายเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เขาพยักหน้าพูดขึ้น “ถ้าเป็นผม ก็รู้สึกปลอดภัยกว่าใช่ไหม?”
“ไม่ใช่” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างไม่มีอารมณ์
จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เพียงแต่หัวเราะคิกคัก ระหว่างที่จะพูดอะไรขึ้นนั้น มือถือของซีเหมินจินเหลียนก็ส่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์ของหวังเซียงฉิน เช่นนั้นก็รู้สึกมึนงงไปหมด คนก็ตายไปแล้วแต่ทำไมยังโทรมาหาเธอได้ล่ะ?
จ่านป๋าย เมื่อเห็นสีหน้าผิดปกติของเธอแล้วก็ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“คือ…หวังเซียงฉิน…” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มฝืน
“น่าจะเป็นสายจากสถานีตำรวจโทรเข้ามา เพราะว่าก่อนที่เธอจะตาย เธอก็โทรมาหาคุณ ทางนั้นคงแค่อยากจะสอบปากคำก็เท่านั้น คุณรับเถอะครับ” จ่านป๋ายพูด
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าแล้วรับสายโทรศัพท์ และเรียบเรียงถ้อยคำเพื่อให้ปากคำแก่ตำรวจ เพราะว่าเธอคืนนี้อยู่ที่บ้านตระกูลจ่าน พยานที่อยู่จึงมีมาก อีกทั้งเธอยังไปสร้างข่าวอื้อฉาวมาแล้วอีก ทุกคนต่างก็รู้ สถานีตำรวจเลยตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบ เรื่องนี้ก็เลยจัดการไปเช่นนี้
ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายกลับมาถึงที่ย่านหลานกุ้ยด้วยกัน เมื่อได้เอนหลังนั่งพิงโซฟาตัวใหญ่ เธอถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลงมา เรื่องคืนนี้มันช่างเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ถึงจะทุบสมองออกมาก็คิดไม่ออกว่าจ่านมู่ฮวากำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่ เธอไม่เพอร์เฟคพอที่จะทำให้จ่านมู่ฮวาผู้ชายคนนั้นคิดจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นครั้งนั้นหวังหมิงเหยาคงจะไม่ทิ้งเธอไปหรอก
เมื่อคิดถึงหวังหมิงเหยาแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็คิดไปถึงหวังเซียงฉิน ถึงว่าทั้งสองคนดูจะไม่ค่อยถูกกัน แต่ที่แท้ก็มีเงื่อนงำอะไรซ่องอยู่ คนที่ใช้แซ่หวังมีมากมาย เธอจึงไม่เคยคิดมาก่อนว่าหวังเซียงฉินและหวังหมิงเหยาจะมีความสัมพันธ์กันทาเครือญาติกัน อีกทั้งยังทำเรื่องผิดศีลธรรมด้วยกันแบบนี้
“เสี่ยวป๋าย คุณว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของใคร หรือว่าเป็นความผิดของฉันอย่างนั้นเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอย่างสงสัย
จ่านป๋ายนิ่งอึ้ง ก่อนจะนั่งลงตรงโซฟาตรงกันข้ามกับเธอ ตระหนักคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดออกมาว่า “ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละครับ ชีวิตของคนเราก็เป็นแบบนี้ บางคนเลือกที่จะมีจุดจบแสนเศร้าสลด เหมือนแม่ของผมก็เช่นกัน”
“แม่ของคุณ?” ซีเหมินจินเหลียนยังคงไม่เข้าใจ แต่เริ่มนึกออกว่าเขาเคยพูดไว้ว่า คุณแม่ของเขาพาเงินทองเข้ามาแต่งงานกับบ้านตระกูลจ่าน แต่ผลสุดท้ายก็โดนทอดทิ้งให้เสียใจ ฐานะในบ้านตระกูลจ่านของจ่านป๋ายก็สามารถบอกได้อย่างดีว่า ตอนสุดท้ายแม่ของเขาก็ไม่เหลืออะไรเลย
“คุณแม่ของผมเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลป๋าย เป็นที่ภาคภูมิใจมาก” สายตาของจ่านป๋ายลึกซึ้ง พูดระบายในสิ่งที่เคยผ่านมา มันเป็นเรื่องยากที่จะมองย้อนกลับไปในอดีต “เมื่อคุณแม่แต่งงานกับคุณพ่อได้ไม่นาน แม่ก็รู้ว่าคุณพ่อมีผู้หญิงอื่นอยู่ข้างนอก ถ้าหากตอนนั้นแม่เลือกที่จะระบุความสัมพันธ์ บางทีเรื่องทุกอย่างอาจจะสามารถแก้ไขได้”
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะทนกับสามีที่ไม่ซื่อสัตย์ได้หรอกนะ” สำหรับผู้หญิงแล้ว ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจคุณแม่ของจ่านป๋าย
“ใช่แล้วครับ” จ่านป๋ายยิ้มออกมา “เรื่องก็เลยเศร้าสลดแบบที่เห็น ตั้งแต่คุณแม่รู้ว่าคุณพ่อเลี้ยงผู้หญิงคนอื่นอยู่นอกบ้านก็เริ่มหาเรื่องทะเลาะกับคุณพ่อ ทำให้ที่บ้านวุ่นวายไม่สงบสุข ถ้าหากอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เรื่องเป็นอย่างนั้น บางทีคุณพ่ออาจจะไม่ใส่ใจอะไร”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ผู้ชายนอกใจมีคนอื่น ผู้หญิงที่อยู่ที่บ้านทะเลาะเพราะอยากจะหย่า นั่นก็เป็นเรื่องปกติ แต่คุณแม่ของจ่านป๋ายเหมือนไม่ได้เลือกที่จะหย่า ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสถานการณ์เหมือนในวันนี้เกิดขึ้น
“ตอนเริ่มแรก คุณพ่อของผมทนกับเธอทุกวิถีทาง มักชอบตะคอกเธอ จนถึงสุดท้ายเธอก็ฆ่าแม่ของจ่านมู่ฮวาตาย คุณพ่อเลยค่อยๆ เขมือบสมบัติตระกูลป๋ายไปหมด ด้วยเหตุนี้เขาเลยปฏิบัติกับคุณแม่จากหน้ามือเป็นหลังมือ” จ่านป๋ายยิ้มฝืน
ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา นี่และเป็นความเคียดแค้นของจ่านมู่ฮวาและจ่านป๋าย ระหว่างสองคนนี้ขั้นกลางระหว่างการแก่งแย่งผู้สืบทอดทรัพย์สมบัติของตระกูล และยังแอบซ่อนความคาดแค้นเอาไว้ ถ้ามีโอกาสจ่านป๋ายคงไม่ใจอ่อน และคงจะทำจ่านมู่ฮวาให้ตายไปจากโลกนี้ ไม่สนใจว่าใครถูกใครผิด นี่เป็นเรื่องที่ห้ามยาก ถ้าไม่มีใครตายเสียก่อนก็ไม่หยุด
“จินเหลียน ผมแพ้แล้ว นับตั้งแต่ที่คุณช่วยชีวิตผมไว้คืนนั้น ความจริงผมแพ้อย่างราบคาบไปตั้งนานแล้ว” จ่านป๋ายถอนหายใจ “เดิมทีผมคิดว่าชีวิตนี้ผมจะไม่เหยียบเท้าเข้าไปในบ้านตระกูลจ่านอีก แต่เรื่องมันก็ยากที่จะคาดเดา”
“แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าคุณเป็นขโมย?” ซีเหมินจินเหลียนถาม “คุณแกล้งฉัน?”
“แต่ก่อนผมก็คือโจร ถ้าไม่มีคุณลุง บางทีอาจจะตายไปตั้งนานแล้วก็ได้ คงไม่มีคุณสมบัติที่จะไปแก่งแย่งกับจ่านมู่ฮวา แต่หลังจากที่คุณลุงตายได้ไม่นาน ผมก็แพ้ทุกอย่าง” จ่านป๋ายฝืนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาก็เป็นแค่ลูกในตระกูลป๋ายที่ไม่เหลืออะไรเลย หากไม่ได้มีการเพิ่มสินทรัพย์ในต่างประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บนโลกใบนี้เขาคงหาที่พักที่ปลอดภัยไม่ได้ หากไม่มีซีเหมินจินเหลียน ไม่เช่นนั้นเขาคงตายเป็นกระดูกอยู่ที่ข้างทางไปตั้งนานแล้ว…
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณคิดจะทำอย่างไรต่อไป” ซีเหมินจินเหลียนถามหยั่งเชิงคำถามที่อยู่ในใจ เขาจะกลับไปหรือเปล่า ไปเริ่มสงครามที่ไม่มีใครตายก็ไม่มีทางจบต่อ?
จ่านป๋ายยิ้ม “ถ้าหากคุณไม่ว่าอะไร ผมก็คิดที่จะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต!”
ซีเหมินจินเหลียนนิ่งอึ้ง หลังจากนั้นก็แกล้งด่าเป็นจริงแกมเล่นว่า “คุณฝันหวานไปแล้ว!”
จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นในใจก็เจ็บชา เขารู้ว่าเธอห่วงใยเขา แต่เธอไม่ได้เปิดใจตั้งแต่แรก ในใจของเธอมีพื้นที่ของหลินเสวียนหลานที่ยากจะขยับเขยื้อน หรือว่ายังมีคนอื่นอีก
“ดึกมากแล้ว รีบนอนพักผ่อนเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มแล้วเดินขึ้นไปด้านบน ไม่ได้ถามปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนนี่ต่อ ชีวิตคนเราก็มักจะยุ่งยากแบบนี้เสมอ ถ้าจะให้เธอเข้าใจในทุกๆ เรื่อง มันก็เหนื่อยเกินไป สู้ไม่คิดไปเลยเสียดีกว่า
หลินเสวียนหลานใช้อำนาจที่ยิ่งใหญ่ซื้อหุ้นของบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ที่อยู่ในมือของคนอื่นที่เหลือ จากนั้นบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ ส่วนผู้มีฝีมือในการแกะสลักหยกเหล่านั้นก็ยังเป็นคนชุดเดิม นำหยกชนิดเนื้อน้ำแข็งที่ซีเหมินจินเหลียนสะสมไว้ไปแกะสลักเพิ่ม เตรียมตัวสำหรับงานนิทรรศการแสดงสินค้าหยกที่จัดขึ้นสามปีครั้งโดยคลับหยก แล้วค่อยนำไปขึ้นบนเวทีอัญมณีโลกอีกครั้ง
เมื่อหวังเซียงฉินจากไปแล้ว หลินเจิ้งก็เปลี่ยนไป เขาย้ายออกจากบ้านตระกูลหลิน แล้วซื้อบ้านข้างนอกอยู่หนึ่งหลัง จากนั้นใช้ชีวิตเหมือนตัดขาดกับโลก
งานเลี้ยงคืนนั้นผ่านไป ซีเหมินจินเหลียนที่คิดว่าเดิมทีที่เธอทำให้จ่านมู่ฮวาอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าผู้คน เขาคงเกลียดเธอปางตาย แต่เรื่องกลับพลิกผันไม่เป็นตามคาด เช้าวันถัดมา จ่านมู่ฮวาโทรศัพท์มาหาเธอก่อน บอกว่าเขาเสียใจ และยังคงยืนยันอีกครั้งว่าเขาแค่ชอบเธอมากเกินไปเลยอยากจะขอเธอแต่งงานเท่านั้น
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ยิ้ม คำพูดไร้สาระนี้เก็บเอาไว้ให้เขาใช้ไปหยอดผู้หญิงคนอื่นดีกว่า!
ตั้งแต่ล้มเหลวกับความรักครั้งแรก เธอก็เข้าใจทุกอย่าง ความรัก ในความเป็นจริงมันก็เป็นเกมที่น่าตื่นเต้นของคนรวย แต่ถ้าคนทั่วไปสร้างมันก็เป็นครอบครัวและความรับผิดชอบร่วมกัน ทำงานอย่างหนักเพื่อต่อสู้ดิ้นรน
มีแค่คนรวยที่ไม่รู้จะทำอะไร ถึงได้เล่นเกมกับความรัก
จ่านมู่ฮวามาหาซีเหมินจินเหลียนอยู่หลายครั้ง ขอร่วมงานธุรกิจเพชรกับบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ ซีเหมินจินเหลียนลองถามหลินเสวียนหลานเกี่ยวกับราคาในการซื้อเพชรเมื่อก่อน ราคาที่จ่านมู่ฮวาให้มา ถือว่าต่ำกว่าราคาในตลาดถึงสองเท่าจริง หากมีเงินแล้วไม่ไขว่คว้า ถ้าอย่างนั้นก็เรียกว่าโง่แล้ว เธอไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดมือไปหรอก
แต่เรื่องทางธุรกิจทั้งหมด เธอยกให้หลินเสวียนหลานเป็นคนจัดการ ตอนนี้หลินเสวียนหลานกลายเป็นประธานของบริษัทจีนเหลียนจิวเวอรี่ไปแล้ว เธอแค่คุมหุ้น หนึ่งเพราะเธอไม่เข้าใจเชิงธุรกิจ สองเธอก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ สามคือเธอไม่ใช่คนที่ชอบเข้าสังคมสักเท่าไหร่
สำหรับการออกแบบอัญมณี หลินเสวียนหลานมีความคิดที่โดดเด่นแปลกใหม่อยู่เยอะทีเดียว แต่ก่อนบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่เดินบนเส้นทางที่อ่อนปวกเปียกคร่ำครึ ไม่มีใครยินยอมที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ของเขา ส่วนตอนนี้ซีเหมินจินเหลียนมีอำนาจในมือ ฉินเฮ่าคอยยุ่งกับธุรกิจในครอบครัวของตระกูลฉิน แน่นอนว่าไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ ส่วนจ่านป๋ายที่ชอบตามติดซีเหมินจินเหลียนข้างกายอยู่ทุกวันก็เป็นบอดี้การ์ดที่เหมาะสม เธอก็สามารถวางใจปล่อยให้เขาทำได้แล้ว
ซีเหมินจินเหลียนเห็นความคิดสร้างสรรค์ของเขาแล้วก็เห็นดีเห็นชอบ ซ้ำยังพูดว่าแบบของหยกมันโบราณคร่ำครึเกินไป น่าจะออกแบบใหม่ๆ มาบ้าง
เพราะว่างานนิทรรศการจัดแสดงสินค้าหยกใกล้จะมาถึง ถึงแม้จะมีเวลาเพียงแค่สามวัน แต่ความต้องการในการแสดงสินค้าต้องเป็นของชั้นดี ซีเหมินจินเหลียนใช้โอกาสนี้เปิดตลาด แค่คิดก็ใจเต้นแล้ว
หยกดอกบัวสีแดงเลือด ขลุ่ยหยกเนื้อแก้วสีเขียวสดชนิดโบราณ กำไลหยกสีฟ้า ราชาหยกสมหวัง หยกประกายดาวระยิบระยับ ต่างเตรียมพร้อมสำหรับการจัดแสดง ตอนที่ซีเหมินจินเหลียนมองเผชิญหน้ากับหยกราชางู ก็รู้สึกสงสัยไม่หาย
หยกก้อนนี้ เธอเคยเจียระไนอย่างพิถีพิถันมาก่อนแล้ว ตอนนี้ข้างในที่มีงูโบราณประหลาดอยู่ ดูแล้วเหมือนสิ่งมีชีวิตก็ไม่ปาน หยกชนิดนี้ถ้านำไปจัดแสดงสินค้าเมื่อไหร่ ระหว่างนั้นจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ เธอสามารถคาดเดาได้ แต่ก็กลัวที่จะนำมาซึ่งความยุ่งยาก จะนำไปจัดแสดงดีไหมนะ?
สุดท้ายเธอก็หาจ่านป๋ายเพื่อปรึกษา จ่านป๋ายบอกว่า สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีของที่มหัศจรรย์ ถึงอยากจะนำออกไปจัดแสดงก็ไม่เป็นไร เพราะงานนิทรรศการจัดแสดงสินค้าหยกนี้จัดโดยคลับหยก เป็นเส้นทางที่ดีในการนำหยกมาจัดแสดง คนธรรมดาไม่มีทางซื้อตั๋วเข้าชมงานที่แพงหูฉี่ขนาดนี้ได้หรอก ไม่สู้ลองใช้โอกาสนี้ดู? บางทีอาจจะมีคนสามารถเปิดเผยความลับของราชาหยกนี้ก็ได้
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เพียงแต่ใจเต้นแรงไม่หยุด ส่วนจ่านป๋ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
นอกจากนี้จ่านมู่ฮวาก็โทรมาบอกว่า ร้านค้าบางส่วนที่มาร่วมงานในนิทรรศการจัดแสดงหยกครั้งนี้ ต่างเล่นเกมเดิมพันหินใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น ถามเธอว่าสนใจที่จะเข้าร่วมหรือไม่
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกประหลาดใจ เดิมพันหินใหญ่? หรือจะเป็นเหมือนหินหยกพวกนั้นที่เถ้าแก่โจววางไว้หน้าประตู เลือกมาจากหินหยกส่วนที่เหลือแล้วเขียนราคาไปบนหินว่าเท่าไหร่? ให้คนเดิมพันเล่นๆ?
สุดท้ายพอซีเหมินจินเหลียนถามก็รู้ว่าคุณภาพไม่ต่างกัน แต่ไม่อยากให้ร้านเถ้าแกโจวเล่นง่ายๆ แบบนี้ การเดิมพันหินใหญ่ครั้งนี้น่าจะมีนักธุรกิจจากเจียหยางนำหินหยกมาเข้าร่วมเช่นกัน หรือจะพูดว่าผู้ร่วมงานสามารถพาหินหยกมาร่วมเดิมพันได้ จากนั้นคนที่เข้าใจในการเดิมพันหินของแต่ละที่เข้ามาเดิมพันแหล่งกำเนิด เดิมพันสี เดิมพันชนิด รายละเอียดหลักสำคัญ จ่านมู่ฮวาส่งแฟกซ์มาให้เธอแล้ว
ซีเหมินจินเหลียนดูกติกาการเล่นเกม ก็พบว่าประเด็นหลักอยู่ที่เดิมพันหิน นี่เป็นสิ่งที่พอจะดึงดูดความสนใจของนักธุรกิจได้อย่างดีไม่ใช่หรือ? เปิดแกะหยกชั้นดีที่นั้นเลย รวมไปถึงของเดิมพันมูลค่าสูง นี่เป็นสิ่งดึงดูดสายตาของคนทั้งโลกอีกวิธีหนึ่ง
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 87 สินค้าล็อตใหญ่
งานนิทรรศการจัดแสดงสินค้าหยกจัดขึ้นวันที่ห้าถึงวันทีแปดเดือนพฤศจิกายน เพราะว่าราคาของอัญมณีประเมินค่าไม่ได้ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงต้องเคร่งครัด ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายปรึกษากัน การจัดแสดงเครื่องประดับอัญมณีธรรมดาก็ช่างมันเถอะ นำไปวางไว้ที่ตู้เซฟของคลับก็ได้แล้ว ส่วนหยกชั้นดีเหล่านั้นนำกลับมาที่คฤหาสน์ของซีเหมินจินเหลียนน่าจะดีกว่า มีแต่บ้านของตัวเองเท่านั้นที่ซีเเหมินจินเหลียนถึงรู้สึกปลอดภัย
สำหรับหยกราชางูนั้น ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจครั้งสุดท้ายว่าจะนำมาจัดแสดงแค่หนึ่งวัน มีความสุขคนเดียวสู้มีความสุขกันหลายๆ คนไม่ได้ นอกจากนั้นเธออยากจะไขความลับของราชางู และยังมีราชาหยกที่พูดถึงกันในตำนานก้อนนั้นอีก
แม้ว่าเธอจะซื้อหุ้นบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ได้สำเร็จ แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ แม้หลินเสวียนหลานจะค้นหาบันทึกของสมัยก่อนมาดู แต่ก็ไม่พบเค้ามูลบันทึกเรื่องราวของราชาหยกสักนิดเลย
ส่วนราชาหยกก้อนนั้น ได้ยินมาว่าเป็นแค่หินหยกก้อนหนึ่ง จากที่ได้ยินมาก็ไม่ใช่หินหยกขนาดใหญ่มาก เป็นหินหยกที่ยังไม่ได้เปิดเจียระไนออกมา แล้วจะเรียกว่าราชาหยกได้อย่างไร ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ เธอรู้แค่หินหยกก้อนนั่นจะต้องมีความสัมพันธ์กับหยกราชางู แต่ไม่รู้ว่าคนที่รู้ดีอย่างผู้อาวุโสหูหายตัวไปไหน
เธอและจ่านป๋ายลองหาข้อมูลดูแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ทุกครั้งที่มองไปก็เห็นดวงตากลมโตในหยกราชางูคู่นั้นเบิกตาขึ้นกว้าง แสดงท่าทางไม่รู้ประสา ดูราวกับงูที่มีชีวิต ซีเหมินจินเหลียนก็มีความรู้สึกแปลกๆ ที่พูดออกมาไม่ออก
หลินเสวียนหลานจัดการวางแผนเรื่องคลับหยกหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็แค่นำเครื่องประดับหยกที่เตรียมไว้ รวมไปถึงหยกราชางูนั่นพกไปด้วยกันก็พอแล้ว
เวลาเก้าโมงเช้าเริ่มพิธีเปิดนิทรรศการอย่างเป็นทางการ ประมาณแปดโมงครึ่ง ทุกอย่างจะต้องเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่ตู้กระจกกันขโมยที่มีเครื่องประดับอยู่ข้างใน ภายใต้แสงไฟ ยิ่งส่องแสงเป็นประกรายแพรวพราวมากขึ้น ไม่นานจิตใจเธอก็แจ่มใสอย่างไม่รู้ตัว
เวลาเก้าโมงตรงพอดี เริ่มมีแขกเหรื่อเข้ามาอย่างสนอกสนใจ ซีเหมินจินเหลียนนำเรื่องทั้งหมดมอบให้หลินเสวียนหลานเป็นคนจัดการดูแล นี่เป็นผลลัพธ์ของผู้ชายหล่อ งานจัดแสดงสินค้าอัญมณีเพิ่งเริ่ม ตู้กระจกจัดแสดงสินค้าของบริษัทจินเหลียนต่างมีแขกผู้เยี่ยมชมรวมตัวกันอยู่ข้างหน้า สะใภ้คนรวยอายุน้อยใหญ่ให้ความสนใจอย่างมากไปที่เครื่องประดับหยกประกายดาวระยิบระยับ
ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายเจรจากันในเรื่องรายละเอียดของการเดิมพันหิน เพราะว่าการเดิมพันหินใหญ่จะจัดขึ้นในตอนกลางคืน โดยปกติแล้วการเดิมพันหินใหญ่มักจะเป็นคนที่เข้าใจในสายนี้ แขกธรรมดาไม่สามารถมาเยี่ยมชมตามอำเภอใจได้ แน่นอนถ้ามีคนคุ้นเคยแนะนำพาเข้าไป ก็สามารถไปชมดูได้ และไม่แน่ยังสามารถเดิมพันได้ด้วย
จ่านป๋ายนั่งพิงเข้ากับเก้าอี้ของโต๊ะทำงาน ทำความเข้าใจกับข้อความในแฟกซ์ที่อยู่ตรงหน้าแล้วขมวดคิ้ว “จินเหลียน การเดิมพันสี เดิมพันชนิดก็เหมือนกับพนันลูกเต๋าสูงต่ำหรือเปล่าครับ”
งานจัดแสดงอัญมณีเช่นนี้ นอกจากห้องจัดแสดงข้างหน้าแล้ว ด้านหลังก็มีห้องทำงานให้เช่าอย่างเหมาะสม เตรียมไว้สำหรับพักผ่อนหรือลูกค้าที่สนใจในอัญมณี อยากจะพูดคุยเจรจาเรื่องธุรกิจ
ร้านค้าที่มาจัดงานนิทรรศการแสดงสินค้าแต่ละแห่งล้วนเช่าห้อง จนถึงตอนนี้ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายก็นั่งอยู่ด้านหลังข้างในห้องทำงาน
“เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือลูกเต๋าพนันสูงต่ำ แต่นี่เป็นการเดิมพันสีกับแหล่งที่มา”
“ถ้าอย่างนั้นการเดิมพันหินใหญ่ตอนหลัง พวกเรายังจะเข้าร่วมอีกหรือเปล่า” จ่านป๋ายถาม
“ฉันขอคิดดูก่อนแล้วกัน” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ
การเดิมพันหินใหญ่ ความจริงแล้วก็เป็นการเตรียมหินหยกของแต่ล่ะร้านค้าทั้งหมดในครั้งนี้ จากนั้นค่อยเปิดต่อหน้า ลักษณะหินของใครดีสุด คนคนนั้นก็เป็นผู้ชนะในที่สุด
และในระหว่างนั้น ร้านค้าต่างๆ ก็สามารถลงของเดิมพันได้ ฝ่ายจัดงานจะทำตามร้านค้าที่พูดถึงลักษณะของผิวหิน แล้วเริ่มจำแนกชนิดเดิมพัน อันนี้เป็นเดิมพันลูกบอล เดิมพันม้าอะไรก็เถอะ ไม่มีอะไรแตกต่าง
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือผิวหยกของใครลักษณะดีที่สุดก็จะสามารถชนะในของเดิมพันที่ผู้เข้าร่วมงานทุ่มลงมา รวมไปถึงหินหยกนี่เป็นการเดิมพันที่มีคลาสอย่างแท้จริง
กติกาเดียวที่เล่นก็คือ หินหยกของผู้ร่วมเข้างานทั้งหมดจะต้องเป็นหินหยกที่เดิมพันทั้งตัว น้ำหนักไม่สามารถเกินสามสิบกิโลกรัม ไม่สามารถเปิดผิวเปลือกออกมาได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ยิ่งเพิ่มความยากเข้าไปอีก ร้านค้าทุกร้านหรือทุกคนที่เล่นการเดิมพันหินใหญ่ต้องเตรียมเงินหนึ่งล้านเป็นของเดิมพัน
ตอนที่จ่านป๋ายเห็นกติกานี้ก็ด่าไฟแล่บออกมาไม่หยุด นี่มันเหมือนเดิมพันทรัพย์สินแล้ว ไม่ใช่เดิมพันหินหยกที่ง่ายๆ เลย
“ได้ยินว่าทางเจียหยางนั้น สไตล์การเล่นแบบนี้เป็นที่นิยมแพร่หลาย” ซีเหมินจินเหลียนพูดอธิบาย
“การเดิมพันผีบ้าแบบนี้ ยังไงก็ไม่มีทางชนะแน่!” จ่านป๋ายถอนหายใจ
ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา ไม่เพียงแต่หัวเราะแห้งออกมา แต่ในตอนนี้เธอถือว่าเล่นพนันเก่งมาก
“คืนนี้พวกเราไปวางพนัน ไม่ต้องพาหินหยกไปเข้าร่วมเดิมพันหินใหญ่ วันสุดท้ายค่อยเข้าร่วม เพราะอย่างไรก็มีตั้งสามวัน เดิมพันหินก็จัดสามรอบ ลักษณะหินหยกที่ดูดีในมือตอนนี้ก็เหลือแค่ก้อนเดียว” ซีเหมินจินเหลียนพูด หินหยกสีแดงกุหลาบก้อนนั้นก็ถูกเธอเปิดออกมาแล้ว ทำเป็นเครื่องประดับออกมาร่วมจัดแสดงในนิทรรศการ ดังนั้นที่เหลือที่พอจะเข้าร่วมการเดิมพันหินใหญ่นั้น มีแค่หยกขนาดความใหญ่แค่ไข่ไก่เพียงก้อนเดียวเท่านั้น
เหตุผลที่ซีเหมินจินเหลียนลังเลก็คือ เธอยอมเห็นแก่ตัว ไม่อยากให้หยกก้อนนั้นเปิดตัวต่อหน้าใคร
“รอเดี๋ยวพวกเราไปดูเครื่องประดับอัญมณีของคนอื่นกัน!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ไปเรียนรู้อะไรสักหน่อย!”
“แน่นอนอยู่แล้ว รออีกเดี๋ยวค่อยไปดู ตอนนี้ยังเร็วเกินไป” จ่านป๋ายมองเวลา นี่เพิ่งประมาณสิบโมง
บนโต๊ะของห้องทำงาน จู่ๆ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จ่านป๋ายรีบวิ่งไปรับ เสียงของหลินเสวียนหลานฟังดูค่อนข้างลำบากใจ “คุณจ่าน ให้จินเหลียนมารับโทรศัพท์หน่อย”
“เกิดอะไรขึ้น” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ
“มีคุณนายท่านหนึ่ง เขาสนใจอยากจะซื้อหยกประกายดาว” หลินเสวียนหลานอธิบาย
จ่านป๋ายขมวดคิ้วไม่คลาย นอกจากราชางู หินหยกทั้งหมดที่จัดแสดงครั้งนี้นั้น มีเพียงหยกประกายดาวที่ไม่ขาย แต่กำไลประกายดาวระยิบระยับครั้งนี้ก็จัดแสดงแค่หนึ่งชิ้นเท่านั้น ยังมีอีกชิ้นที่ซีเหมินจินเหลียนสวมใส่ไว้ในข้อมือจนถึงตอนนี้ นี่เป็นเครื่องประดับส่วนตัวของเธอ ถ้าอยากจะได้เนื้อหยกก็ต้องสั่งจอง
เห็นได้ชัดว่าคุณนายท่านนี้ไม่ยินยอมซื้อเนื้อหยกประกายดาว ไม่เช่นนั้นหลินเสวียนหลานคงจัดการไม่ได้แบบนี้
“ผมจะลองออกไปดูก่อน บางทีอาจจะแค่มีคนตั้งใจมาสร้างความวุ่นวาย” จ่านป๋ายพูด
“มีคนอยากจะซื้อกำไลหยกประกายดาวเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนแอบได้ยินนิดหน่อยและขมวดคิ้วถาม
“ครับ” จ่านป๋ายพูดพลางเดินออกไปข้างนอก
“ฉันไปด้วย!” ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนเดินออกไปที่งานนิทรรศการข้างนอกด้วยกัน เป็นอย่างที่คิดไว้ ด้านหน้านิทรรศการของบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่มีผู้คนมากมายรุมล้อม พนักงานที่สุภาพเรียบร้อยของบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ทำตัวไม่ถูกจนไม่รู้จะทำยังไง ส่วนหลินเสวียนหลานก็กำลังพูดอธิบายแก่ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง
จ่านป๋ายจูงมือซีเหมินจินเหลียน พยายามแหวกว่ายข้ามผ่านฝูงคนที่เบียดเสียดกัน
“คุณเป็นประธานของบริษัท ทำไมพูดคำไหนไม่เป็นคำนั้น ถ้าอย่างนั้นก็หาคนมีความรับผิดชอบได้มา!” ผู้หญิงวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ซีเหมินจินเหลียนสงสัย นี่ไม่ใช่คนฮ่องกงแต่เป็นคนไต้หวัน
ข้างๆ ของผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นยังมีผู้ชายวัยกลางคนอยู่ด้วย ดูแล้วทั้งสองคนน่าจะมาด้วยกัน
“อีกอย่างสินค้าที่พวกคุณไม่ได้ขาย ทำไมถึงต้องเอามาจัดแสดง ในเมื่อจัดแสดง ถ้าอย่างนั้นก็เพื่อต้องการจะขายไม่ใช่เหรอ” ผู้หญิงวัยกลางคนพูดด้วยวาจาเสียดสี ดูถูกคน
หลินเสวียนหลานยิ้มอย่างขมขื่น “คุณผู้หญิงครับ นี่เป็นกำไลประกายดาวที่ประธานใหญ่ของบริษัทพวกเราเก็บเป็นของสะสมส่วนตัว เพราะอยากจะนำมาแสดงเลยจัดงานนิทรรศการขึ้น ถ้าหากคุณอยากได้เป็นเนื้อหินหยกประกายดาว พวกเราก็สามารถทำตามความต้องการ จัดทำสินค้าให้คุณได้”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เรียกประธานใหญ่ของบริษัทมาสิ พวกเราไม่ได้จะมาสร้างความวุ่นวาย แค่ชอบกำไลประกายดาวนี้จริงๆ จึงอยากจะซื้อก็เท่านั้น” ชายวัยกลางคนที่อารมณ์ดีหน่อยยิ้มพูดกับหลินเสวียนหลาน “ในเมื่อทำธุรกิจกัน เรื่องเงินก็ไม่เป็นปัญหา ทุกคนก็เจรจาดีๆ กันได้ อย่าเอาประโยคนี้มาทำให้ไม่มีค่าเลย”
“เกิดอะไรขึ้น” จ่านป๋ายเบียดฝูงชนเดินเข้ามาถาม
ชายหญิงวัยกลางคนทั้งสองคนหันมามองจ่านป๋ายแวบหนึ่ง แล้วคิดว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ กำลังคิดจะพูดขึ้นแต่สายตาหันไปมองที่ร่างของซีเหมินจินเหลียนเข้าเสียก่อน บนข้อมือของเธอกำลังสวมใส่กำไลประกายดาวอยู่วงหนึ่ง มัดผมรวบขึ้นและมีปิ่นปักผมชนิดเนื้อแก้วสีเขียวสด คอยส่องแสงเป็นเครื่องประดับบนหัว ทำให้เปิดเผยลำคอที่ขาวกระจ่างใส หยกที่สมบูรณ์แบบ ในเวลานี้ถูกแสดงออกมาอย่างเต็มความสามารถที่สุด
ชายหญิงวัยกลางคนเดิมทีคิดว่ากำไลประกายดาวอาจจะมีแค่หนึ่งวง เพราะหยกแบบนี้เจอได้แต่สั่งทำไม่ได้ มีเศษหยกที่เหลือถูกเจียระไนเป็นเนื้อหยกฝังแหวนขาย แถมกำไลก็กลายเป็นของเก็บสะสมส่วนตัว เขาเข้าใจคนที่รักหยก แน่นอนรู้ว่ามูลค่าของกำไลประกายดาวนี่เป็นสิ่งที่สามารถเป็นมรดกตกทอดได้
จนถึงตอนนี้ กำไลประกายดาวมีเป็นหนึ่งคู่ นี่ก็เป็นเรื่องที่เพอร์เฟ็คมาก
“คุณผู้หญิงท่านนี้คือ?” ชายวัยกลางคนถามหยั่งเชิง
“สวัสดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าโปรยยิ้ม “ทั้งสองท่านดูเหมือนจะเป็นคนรักหยกสินะคะ ถ้าอย่างนั้นลองเข้าไปดื่มชาแล้วค่อยๆ เจรจากันเถอะค่ะ”
หญิงวัยกลางคนมองไปสามีแล้วพยักหน้า “ตกลงค่ะ!”
จ่านป๋ายพาทั้งสองท่านเดินมาที่ห้องทำงานด้านหลัง เสิร์ฟชาให้เสร็จสรรพแล้วแบ่งที่นั่งแยกเป็นผู้ซื้อผู้ชาย หญิงวัยกลางคนเป็นคนเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน “ขอถามคุณผู้หญิงหน่อยได้หรือไม่ คุณเป็นเจ้าของบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ใช่หรือไม่”
“เรียกอย่างนั้นก็ได้ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
“เรื่องเป็นแบบนี้ คือพวกเราทั้งสองคนสามีภรรยาเป็นคนไต้หวัน งานอดิเรกทั่วไปก็คือสะสมหยก งานนิทรรศการที่สามปีมีหนึ่งครั้ง พวกเรามักจะมาเยี่ยมชมทุกครั้ง ครั้งนี้พวกเราสองสามีภรรยาอยากที่จะซื้อกำไลแสงดาวของบริษัทของคุณ”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ทั้งสองคงจะรู้แล้วว่ากำไลประกายดาวนี้เป็นกำไลที่ฉันสวมใส่เป็นประจำ ไม่ได้นำออกมาขาย ทั้งสองท่านก็ไม่สนใจชิ้นอื่นเลยหรือคะ ทางบริษัทเรายังมีหยกสีเลือด หยกสีแดงดอกกุหลาบ หยกสีเหลือง หยกสีฟ้า หรือถ้าอยากจะสั่งทำแบบพิเศษก็สามารถสั่งจองได้ หยกแสงดาวนอกจากกำไล สามารถสั่งจองเป็นจี้แหวน”
สายตาของผู้หญิงวัยกลางคน เห็นได้ชัดว่าผิดหวังมาก ซีเหมินจินเหลียนเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นเด็กสาวที่หน้าตาสะสวย ถ้าหากเป็นของสะสมของผู้ชายแค่เจียระไนอีกสักหน่อนราคาคงจะสูงขึ้น บางทีอาจจะซื้อไว้ แต่สำหรับเครื่องประดับของผู้หญิงสวย ถ้าอยากจะซื้อก็ง่าย แถมเธอยังดูออกว่า กำไลประกายดาววงนี้ ซีเหมินจินเหลียนคงไม่มีทางขายเป็นแน่ ถ้าเป็นเธอ เธอก็คงไม่อยากขายเช่นกัน นอกเสียจากวันไหนที่หิวจนไม่มีข้าวจะกิน…
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 88 นิทรรศการเครื่องประดับอัญมณี
“ไม่สามารถเจรจาได้จริงๆ เหรอครับ” ชายวัยกลางคนถามด้วยความผิดหวัง
“ทั้งสองท่านสามารถสั่งจองอย่างอื่นได้นะคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มขึ้น ระหว่างที่พูดนั้นเธอก็มองไปยังจ่านป๋าย
จ่านป๋ายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะรีบแนะนำสินค้าหยกที่โดดเด่นหลากหลายชนิดให้ทั้งสองคนทันที ทั้งสองคนเองก็มีความรู้สึกสนใจอยู่บ้าง เพราะอย่างไรก็ตามของที่เหมือนแสงดาวส่องแพรวพราวเช่นนั้นก็พบเจอได้ไม่มากนัก แถมเครื่องประดับหยกของบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ในงานจัดแสดงสินค้าครั้งนี้ นอกจากหยกประกายดาวแล้วก็ยังมีสินค้าดีๆ อย่างอื่นอีกมาก
แม้ว่าทั้งสองจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าก็ยังสั่งจองเครื่องประดับอื่นๆ อีกมูลค่ามหาศาล
แถมราชางูก้อนนั้น แน่นอนย่อมดึงดูดสายตาของแขกในงานให้เข้ามารุมล้อม เช่นเดียวกับจ่านป๋ายและซีเหมินจินเหลียน ผู้ชมในงานต่างอยากรู้ว่างูที่อยู่ในหยกก้อนนั้นมีชีวิตหรือว่ากลายเป็นหยกไปแล้ว
แม้กระทั่งมีคนเสนอความคิดเห็นขึ้นมาว่า นี่ก็อาจจะเป็นไปได้ที่งูนั้นจะเป็นหยกเช่นเดียวกัน? คำถามเดียวกันนี้ซีเหมินจินเหลียนก็อยากรู้ นี่ก็อาจจะเป็นหยกได้จริงๆ สินะ? แต่แน่นอนไม่มีใครสามารถตอบคำถามของเธอได้ ผู้ที่มามุ่งดูก็มองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา มีกำลังถึง มีความพอใจ ก็ย่อมสั่งจองสินค้าหยกได้เล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องประดับหยกของทางซีเหมินจินเหลียน บางอันก็เป็นเหมือนตำนาน แม้กระทั่งผู้ชมเหล่านี้เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็น
ยังมีคนเสนอความคิดเห็นขึ้นมาว่าทำไมมันช่างเป็นหยกที่งดงามไร้ที่ติแบบนี้ ดูแล้วไม่เหมือนของจริงเลย แน่นอนว่าในเมื่อมีสมาคมอัญมณีหยกเป็นเครื่องยืนยัน บวกกับมาแสดงในงานนิทรรศการหยกแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าที่จะถามถึงคำถามที่ไม่มีมารยาทแบบนี้ออกมาได้
เวลาใกล้เที่ยง พนักงานต่างพาลูกค้าเข้ามาสั่งจองเครื่องประดับด้วยความนอบน้อม ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายและอีกฝ่ายกำลังเจรจาเรื่องราคาและรูปแบบของเครื่องประดับต่างๆ การชำระเงินล่วงหน้ารายละเอียดการติดต่อ ยุ่งจนพูดอะไรมากไม่ได้ เธอจึงดีใจจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ บริษัทจิวเวอรี่ของตนเองอาศัยโอกาสการจัดนิทรรศการครั้งนี้ ถือเป็นการใช้โอกาสเปิดแบรนสินค้าไปในตัว
รวมไปถึงการที่บริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ที่ขายแต่ของดีมีคุณภาพ ทำให้ราคาย่อมสูงเป็นธรรมดา หากใช้คำพูดของหลินเสวียนหลาน นั่นก็เป็นเงินธุรกิจ มีเพียงพอให้กินไปได้หลายเดือนแม้กระทั่งเป็นหลายปี เพียงแค่การสั่งสินค้าในตอนเช้า ก็ทำให้ซีเหมินจินเหลียนยิ้มไปทั้งหน้าแล้ว ภายในสองสามเดือนนี้ เธอก็คงไม่ต้องกังวลในเรื่องประสิทธิภาพของบริษัทแล้ว
เวลาสิบเอ็ดโมงโดยประมาณ จู่ๆ จ่านมู่ฮวาก็มาร่วมยินดี ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เวลานี้เขามาทำอะไรกัน?
“จินเหลียน คุณไม่ออกไปเดินเล่นข้างนอกหน่อยหรือครับ” จ่านมู่ฮวาเลียนแบบจ่านป๋าย เรียกชื่อเธออย่างตรงๆ แม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะยืนยันกี่ครั้งให้เขาเปลี่ยน แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นอกจากนี้เพราะว่าผ่านการซื้อสินค้าเพชรจากเขา ทั้งสองคนก็ถือว่าเป็นผู้ร่วมธุรกิจด้วยกัน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแสดงให้เขาเห็นมากเกินไป
“จริงๆ ก็อยากจะออกไปดูอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ทางนี้กำลังเป็นไปได้ด้วยดี คิดว่าตอนบ่ายฉันค่อยไปดูก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมา พูดพลางลุกขึ้นยืนและรินชาหนึ่งถ้วยส่งให้จ่านมู่ฮวา
“ทางนี้ยังมีคุณมู่หรงและหลินเสวียนหลานอยู่ ไม่สู้คุณไปดูเครื่องประดับอัญมณีของคนอื่นบ้างไม่ดีกว่าหรือครับ อย่างน้อยๆ ก็ถือโอกาสนี้สำรวจสักรอบ?” จ่านมู่ฮวาเอ่ย
“นายคิดจะทำอะไร?” จ่านป๋ายพ่นลมหายใจออกมา เขาไม่เคยลืมว่าครั้งก่อนจ่านมู่ฮวาหลอกให้ซีเหมินจินเหลียนไปร่วมงานเลี้ยง ผลสุดท้ายกลับหลอกเธอให้ไปหมั้น อีกทั้งยังพาตัวเขาไปเป็นเครื่องมือ
“ฉันก็แค่อยากจะออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนจินเหลียนก็เท่านั้น เรื่องธุรกิจมีแกก็พอแล้ว จะว่าไปหากจินเหลียนต้องลงมือทำเองทุกอย่าง ถ้าอย่างนั้นจะมีแกไว้ทำไม?” จ่านมู่ฮวาพูด “ข้างนอกมีคนตั้งมากมาย คิดว่าฉันจะทำอะไรเธอได้อย่างนั้นเหรอ?”
จ่านป๋ายคิดว่าเขาทางนี้เดินไปไหนไม่ได้ อีกทั้งข้างนอกหลินเสวียนหลานก็ยังยุ่งอยู่ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ซีเหมินจินเหลียนมาร่วมงานนิทรรศการอัญมณีนี้ ถ้าไม่ให้เธอออกไปดูก็จะเกินไปหน่อย แม้ว่านิทรรศการจะจัดขึ้นเป็นเวลาสามวัน แต่ยังมีสินค้ามากมายที่อาจจะจัดตั้งแสดงเพียงแค่วันเดียว อย่างเช่นหยกราชางูของบริษัทเธอ
ถ้าหากผ่านวันนี้ไปแล้ว อาจจะไม่มีโอกาสได้ดูอีก
“จินเหลียน คุณออกไปดูข้างนอกเถอะครับ พวกเราควรจะต้องไปสำรวจสินค้าของคนอื่นบ้าง” จ่านป๋ายพูด
“โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันจะออกไปดูแล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกตื่นเต้น เธอยุ่งมาทั้งช่วงเช้า แม้ว่าธุรกิจจะไม่ใช่สิ่งที่เธอถนัด แต่ก็สามารถช่วยอยู่ข้างๆ ได้ จ่านป๋ายเองก็ไม่ได้วางใจที่จะปล่อยเธอให้ออกไปข้างนอกคนเดียว เพราะฉะนั้นทำได้แค่รอไปอย่างนั้น
“ไปกันเถอะครับ” จ่านมู่ฮวาทำหน้าตาเหมือนมีลับลมคมในก่อนมองไปทางจ่านป๋าย ทำท่าเชื้อเชิญให้ซีเหมินจินเหลียนเดินออกไปด้วยกัน
ที่หน้าประตูู เขาเบี่ยงตัวเล็กน้อยคอยมองหน้าตาหล่อเหลาของหลินเสวียนหลาน คนคนนี้หรือจะเป็นคนในใจของซีเหมินจินเหลียน? ดูแล้วน่าจะไม่ใช่นี่นา
“คุณเรียกฉันออกมาทำอะไร” เมื่อซีเหมินจินเหลียนเดินออกมาข้างนอกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “คงไม่ใช่แค่เดินดูนิทรรศการง่ายๆ แค่นั้นใช่ไหม?”
“ผมมีข่าวของราชาหยกมาบอก” จ่านมู่ฮวาพูด
“ห๊ะ…” ซีเหมินจินเหลียนสับสน เขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
“ผมคิดว่า คุณน่าจะสนใจหยกชิ้นนั้น” จ่านมู่ฮวาพูด พลางสายตาของเขาก็ช้อนขึ้นไปตกอยู่ที่ราชางูก้อนนั้นที่อยู่ไกลออกมา “หยกที่มีงูก้อนนั้น เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”
“ครั้งก่อนฉันไปซื้อหินหยกที่เจียหยาง เลยซื้อมาโดยไม่ได้ตั้งใจ” ซีเหมินจินเหลียนไม่บอกตำนานหยกราชางูให้เขารู้เด็ดขาด ยิ่งพูดยิ่งยุ่งยาก
“หยกก้อนนั้นดูแล้วเหมือนมีพลังชั่วร้ายอะไรบางอย่าง” จ่านมู่ฮวาส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เธอชอบหยกก้อนนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เธอก็ยอมรับว่าหยกก้อนนั้นดูมีพลังชั่วร้ายจริงๆ แน่นอนหยกราชางูก้อนนั้นมันเป็นหนึ่งในการจัดแสดงที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในนิทรรศการเครื่องประดับวันนี้
ซีเหมินจินเหลียนยืนอยู่ที่ตู้จัดนิทรรศการของบริษัทอัญมณีที่มาจากฮ่องกง มองดูเพชรที่เปล่งประกายอย่างพิถีพิถัน และสำรวจบริษัทอัญมณีนี้ คิดว่าน่าจะทำเพชรเป็นหลัก ส่วนอีกด้านก็มีจัดแสดงสินค้าหยก แต่แบบอย่างและชนิดค่อนข้างเก่าคร่ำครึ อีกทั้งหยกที่ดีที่สุดก็มีแค่หยกเนื้อแก้วสีเขียวสด
แต่ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกแปลกใจ เธอไม่ใช่คนที่เข้าใจเรื่องเพชร แต่เธอรู้ว่าเพชรดูจากความโปร่งใสสะอาดเป็นหลัก อย่างที่สองมองขนาดเล็กใหญ่และสีสัน
ราคาของเพชรมูลค่าสูงเหล่านั้น ภายใต้แสงไฟก็ส่องแสงระยิบระยับ แต่ดูแล้วเทียบไม่ได้กับเพชรที่สมบูรณ์แบบที่จ่านมู่ฮวาให้เธอหกเม็ดครั้งนั้นเลย
“จินเหลียน คุณดูนี่…” จ่านมู่ฮวาเรียกเธอ
ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปดู นั่นเป็นสร้อยข้อมือเส้นหนึ่ง ตรงกลางมีเพชรสีน้ำเงิน รอบๆ นั้นเป็นชุดของเพชรแตกละเอียด ลักษณะเป็นรูปหัวใจ ภายใต้แสงเพชรสีน้ำเงินส่องแสงพริบพรับยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าคุณได้ใส่คงต้องสวยแน่” จ่านมู่ฮวาพูด “หรือผมจะซื้อให้คุณดี?”
“เมื่อกี้คุณพูดว่า…หยกก้อนนั้น…” ซีเหมินจินเหลียนรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา สายตาจ้องไปที่ราคาของมัน เขาล้อเล่นอะไร ซื้อเพชรให้เธอเนี่ยนะ? เขาก็มีเงินเยอะเกินไปเหรอ? สิ่งที่เธอสนใจกว่านั้นคือราชาหยกต่างหาก
จ่านมู่ฮวาเห็นเช่นนั้นแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะจูงมือเธอไปที่มุมที่ไม่มีใครสังเกตเห็น พร้อมพูดขึ้นว่า “หลินเจิ้งและฉินซินมีความสัมพันธ์กันทางธุรกิจ ตอนนี้แม้ว่าบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่จะถูกคุณซื้อไว้ แต่ฉินซินไปหาหลินเจิ้ง แล้วรู้มาจากปากเขาว่า เมื่อยี่สิบปีก่อนคุณปู่หลินเคยแอบส่งหินหยกชุดหนึ่งลับๆ ไปเก็บที่เจียงหนาน… ”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 89 ไพลินถูกขโมย
ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง หลินเสวียเหวินเคยเก็บสะสมหยกที่เจียงหนานชุดหนึ่งมาถึงยี่สิบปี? หากเป็นอย่างนั้น ก็มีทางเป็นไปได้ว่าจนถึงตอนนี้ราชาหยกก้อนนั้นอาจจะอยู่ในนั้น? แต่นี่ก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากนัก ถ้าหากหลินเสวียเหวินเคยขนส่งชุดหยกไปที่เมืองเจียงหนานจริง ถ้าอย่างนั้นหยกชุดนั้นน่าจะเป็นลักษณะที่ดี ไม่เช่นนั้นหลินเสวียเหวินคงไม่มีทางที่จะขนไปเก็บสะสมไว้ที่เจียงหนานแน่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงเป็นปัญหาแล้ว ตอนที่หลินเสวียเหวินใกล้ตายเขาก็แบ่งมรดกไว้แล้ว ทุกอย่างถูกจัดการไว้อย่างสมเหตุสมผล แต่ทำไมในพินัยกรรมไม่กล่าวถึงหยกชุดนี้เลยล่ะ? หรือว่าหินหยกชุดนี้เขาก็ไม่คิดจะส่งต่อให้ลูกหลานของตระกูลหลิน?
ซีเหมินจินเหลียนเหม่อลอย ไม่ว่าคิดอย่างไรเธอก็ไม่เข้าใจ ความจริงนี่ก็อธิบายได้อย่างไม่ชัดเจนนัก บริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ที่ตกต่ำลง ทั้งหมดเป็นเพราะว่าไม่มีหินหยกชั้นดี และไม่มีเงินทุนเข้ามาลงทุนเพิ่ม ส่งผลให้บริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ต้องล้มละลายลงในชั่วพริบตาเดียว
ถ้าหากหลินเสวียเหวินเตรียมหินหยกลักษณะดีไว้ตั้งแต่แรกๆ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถนำทั้งหมดออกมาแล้วพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้แม้ว่ามีคนจะมาโจมตีบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่เท่าไหร่ สุดท้ายก็คงไม่สามารถทำอะไรได้…
นี่ก็เห็นได้ชัดๆ ว่าตั้งแต่หลินเสวียเหวินมีชีวิตจนกระทั่งตายจากไป เขาก็ไม่ได้พูดถึงหินหยกชุดนี้ที่ขนส่งไปยังเมืองเจียงหนานเลย
“แหล่งข่าวของคุณเชื่อได้แค่ไหน” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ถ้าเชื่อไม่ได้ ผมจะกล้าเอามาบอกคุณได้ยังไง?” จ่านมู่ฮวายิ้ม “ผมก็ไม่ใช่คนโรคจิต ที่อยากถูกคุณฟาดแส้เสียหน่อยนะ”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้ ก็ไม่เพียงหลุดหัวเราะออกมา แต่กลับพูดขึ้นอีกว่า “นี่คุณหาเรื่องใส่ตัวเองนะ ใครใช้ให้คุณเล่นไม่ดูตาม้าตาเรือล่ะ?”
“ผมหาเรื่องที่ไหนกัน” ใบหน้าของจ่านมู่ฮวาท่าทางเหมือนโดนกลั่นแกล้ง
ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่เพียงยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อกวาดสายตามองไปก็เห็นว่าอันที่จริงการจัดนิทรรศการเครื่องประดับทั้งหมดของแต่ละร้านมีความคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นหยกเจไดต์ เพชร พลอยไพลิน ทับทิม ไข่มุกหยกต่างๆ ขอแค่อยู่ภายใต้แสงไฟ อัญมณีพวกนี้ก็พร้อมเปล่งแสงระยิบระยับสาดส่องสายตา
“จินเหลียน พูดตามตรงแล้วผมไม่ดีตรงไหนเหรอ” จู่ๆ จ่านมู่ฮวาก็ถามขึ้นมา
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนยังไม่ทันได้ตั้งตัว เขาไม่ดีตรงไหนน่ะหรือ? ไม่ว่าอะไรเขาก็ดีทั้งหมด หน้าตาก็โดดเด่น ฐานะที่บ้านก็ร่ำรวย อีกทั้งไม่มีพิการเหมือนกับน้องชายเขา นับว่าเขาก็เป็นคนที่ดีมากๆ คนหนึ่งเลย
แต่สเป็คของเธอตั้งแต่แรก เธอไม่ได้ชอบคนแบบเขา และไม่รู้ว่าเพราะอะไร ภายในใจเธอก็รู้สึกว่าคนคนนี้อันตรายมาก
“คุณเป็นคนดีมาก” ซีเหมินจินเหลียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้น
“คุณชอบมู่หรงเหรอ?” จ่านมู่ฮวาถามคำถามที่เคยถามอีกครั้ง
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ตอบอะไรออกมา เธอชอบจ่านป๋ายหรือเปล่า? คำถามนี้แม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้ จ่านป๋ายบอกเองว่าเขาเป็นคนพิการ ในชีวิตนี้อยากแค่จะอยู่เคียงข้างเธอ แต่ดูจากการกระทำของเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้พิการเลย
เพียงแต่เรื่องนี้จะพูดอย่างไรดีล่ะ ผู้ชายดีๆ บางทีก็อาจจะเป็นคนบกพร่องได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากไม่ใช่เหรอ? ทั้งสองที่คบหากันในช่วงเวลานี้ ทำให้เธอรู้สึกได้ว่าเธอเห็นเขาเป็นคนของตัวเองแล้ว เพียงแต่เธอรู้ตัวดีว่า ในอนาคตถ้าหากจ่านป๋ายจะต้องแต่งงาน จ่านป๋ายก็ต้องจากเธอไปในที่สุด
“หลายๆ ครั้ง ฉันมองเขาเป็นพี่ชาย” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “เป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้”
จ่านมู่ฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความอีก เพียงแค่ถอนหายใจพูดว่า “จินเหลียน คุณน่าจะลองให้โอกาสตัวเอง และลองให้โอกาสคนอื่นดูบ้าง”
“ให้คุณน่ะเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนหันไปมองเขาแล้วถามว่า “คุณจ่านมู่ฮวา ความจริงแล้วพวกเราก็ไม่มีอะไรที่เหมาะสมกันเลย คุณไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลามากมายกับฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ชอบเสี่ยวป๋าย แต่ฉันก็ไม่สามารถชอบคุณได้ ผู้ชายอย่างคุณเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินไป ไม่ว่าใครที่ได้แต่งงานด้วยก็ไม่น่าจะโชคดีอะไร”
“อ้อ…” จ่านมู่ฮวาหัวเราะออกมาอย่างขนขื่น ความรู้สึกนั้นบางทีก็เป็นสิ่งที่สวยงาม และบางทีก็เป็นสิ่งที่ผิด
“อ๊ะ…” จู่ๆ สายตาของซีเหมินจินเหลียนก็สะดุดเข้ากับคนคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน
“มีอะไรเหรอ” จ่านมู่ฮวาถามขึ้นอย่างแปลกใจ พร้อมมองไปตามสายตาของเธอที่ตกไปอยู่ที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นรูปร่างหน้าตาจัดว่าสวยทีเดียว ผมสั้นสีทอง ใบหน้ารูปไข่ อายุน่าจะราวๆ สามสิบปี หน้าตาโดดเด่นกว่าใคร จัดอยู่ในประเภทสาวงามที่เติบโตเต็มที่คนหนึ่ง เธอสวมใส่เสื้อผ้าแฟชั่น กำลังยืนมองตู้เพชรของบริษัทหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่เคยเห็นเธอมาก่อนก็เท่านั้น” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น ทว่าในใจก็ยังคงคิดไม่หยุด จ่านป๋ายบอกว่าคนคนนี้เป็นหัวขโมยอัญมณีรายใหญ่ ทางที่ดีให้ระวังไว้ อย่าให้ผู้หญิงคนนี้ได้จับต้องของมีค่าเชียว
ทั้งสองเดินชมนิทรรศการจัดแสดงเครื่องประดับอัญมณีได้หนึ่งรอบ แน่นอนว่าสินค้าดีมีเยอะแยะมากมาย จ่านมู่ฮวาพยายามหาโอกาสที่จะซื้อให้เธอ แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับไม่ได้สนใจเขา ถึงเขาจะมีเงินก็ใช้ไม่หมด ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งเป็นเวลาพักผ่อน ห้องจัดนิทรรศการต้องการทำความสะอาด บริษัทจิวเวอรี่ทุกแห่งต่างนำสินค้าที่มาจัดแสดงไปเก็บไว้ในตู้เซฟข้างในที่ทางงานจัดไว้ให้ ของพวกนี้ราคามหาศาลนับไม่ถ้วน แม้ว่าจะยุ่งยากไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะละเลย
สินค้าที่จัดแสดงของซีเหมินจินเหลียนทั้งหมดมอบให้จ่านป๋ายเป็นคนดูแลจัดการเรื่องความปลอดภัย และเชิญเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาคุ้มกัน
เมื่อกวาดสายตามองดู บริษัทจิวเวอรี่ทุกที่ก็เป็นเช่นนี้ ภายในบริษัทจิวเวอรี่มีพนักงานที่คอยรับผิดชอบ นอกจากนั้นมีพนักงานรักษาความปลอดภัยมาคอยคุ้มกันเช่นกัน
แต่สิ่งที่ซีเหมินจินเหลียนคิดไม่ถึงก็คือ ภายใต้นโยบายป้องกันขโมยอย่างเข้มงวดยังเกิดเรื่องขึ้นได้
ตอนเที่ยงเมื่อเริ่มงานแสดงสินค้า บริษัทหวังต้าฝูจิวเวอรี่ของฮ่องกงกลับพบว่าพลอยไพลินของตนได้หายสาบสูญ ตอนนั้นเหตุการณ์วุ่นวายชุลมุน กลายเป็นข่าวที่น่าตกใจในเวลานั้น
ซีเหมินจินเหลียนเมื่อเห็นแล้วก็เริ่มเครียดกังวลขึ้นมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ของเราไม่มีอะไรหายไปใช่ไหม”
จ่านป๋ายลองตรวจสอบดูรอบหนึ่งแล้วส่ายหัว “ไม่มี”
“นอกจากบริษัทพวกเขาแล้วก็ไม่เห็นมีบริษัทไหนที่ของหาย คิดว่าน่าจะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในบริษัท” หลินเสวียนหลานพูดอยู่ข้างๆ
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้…ทำยังไงดีล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถามไม่หยุด “นี่คงจะไม่ส่งผลกระทบต่องานนิทรรศการหรอกใช่ไหม” วันนี้ตอนเช้าแค่ครึ่งวัน เธอก็ได้สินค้าล็อตใหญ่ถึงสามที่ ถ้าหากงานนิทรรศการไม่สามารถจัดต่อไปตามปกติได้ นี่คงเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
“เพียงแค่บริษัทของพวกเขาบริษัทเดียว ไม่น่าจะมีอะไรหรอก บริษัทอื่นเองก็ไม่น่าจะยอมเหมือนกัน” หลินเสวียนหลานพูด “งานนิทรรศการหยกไม่เหมือนกับงานนิทรรศการอื่นๆ ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้น ก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยจัดการอยู่ ไม่สามารถยกเลิกงานได้เพียงแค่บริษัทจิวเวอรี่แห่งหนึ่งมีสินค้าหาย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ในที่สุดก็ปล่อยสบายใจขึ้นบ้าง เพียงแต่คอยกำชับจ่านป๋ายและหลินเสวียนหลานว่าระวังให้มากเป็นพิเศษ อย่างไรก็กันไว้ดีกว่าแก้
เนื่องจากพลอยไพลินหนึ่งเม็ดหายไป ทั้งช่วงบ่ายงานนิทรรศการข้างในถึงได้ยิ่งเข้มงวดขึ้นกว่าเดิม ซีเหมินจินเหลียนนั่งอยู่ในห้องทำงาน แล้วคอยมองกล้องวงจรปิดผ่านทางคอมพิวเตอร์เพื่อดูสถานการณ์ข้างนอก พร้อมถอนหายใจออกมา ยังดีที่ช่วงบ่ายนี้ถือว่าปลอดภัยไม่มีปัญหาอะไร สำหรับบริษัทที่พลอยไพลินหายไป แน่นอนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยหาขโมยอยู่ เรื่องนี้จึงไม่ต้องกังวล
ในขณะที่งานนิทรรศการเครื่องประดับอัญมณีวันแรกใกล้จะสิ้นสุดลง ทางฝั่งซีเหมินจินเหลียนก็มีแขกที่ไม่รับเชิญเข้ามา…
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 90 วิกฤติ
เพราะฉะนั้นตอนที่ซีเหมินจินเหลียนเห็นเจียหยวนฮวาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เจียหยวนฮวามีฉายาว่าราชาแห่งนักเดิมพันหยก ในสายนี้เขามีผลกระทบต่างๆ เพราะฉะนั้นจนถึงตอนนี้เขาเลยไม่ได้เป็นคนของบริษัทจิวเวอรี่ที่ไหน
ความจริงแล้วคนที่อยากจะจ้างเขาให้มาทำงานในบริษัทจิวเวอรี่ก็มีอยู่ไม่น้อย แต่เจียหยวนฮวากลับปฏิเสธไปอย่างสุภาพ โดยปกติเขาก็แค่พนันหยกเป็นงานอดิเรก และก็แค่ผ่าหยกก็เท่านั้น
ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าเจียหยวนฮวาและผู้อาวุโสหูมีแหล่งความสัมพันธ์ต่อกัน และน่าจะเป็นเพราะว่าเหตุนี้เขาถึงไม่ยอมกลายเป็น “ดวงตา” ของนักเดิมพันหยกของบริษัทจิวเวอรี่ที่
“คุณซีเหมิน…” เจียหยวนฮวาจดจ้องไปที่ตู้กระจกที่มีหยกราชางูอยู่อย่างไม่ละสายตา ถึงแม้ว่าปากเขากำลังคุยกับซีเหมินจินเหลียนอยู่ แต่สายตาของเขาก็ไม่ได้ละออกจากหยกราชางูก้อนนั้นเลย
“ค่ะ คุณเจีย” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมา จุดประสงค์ในการมาของเจียหยวนฮวาครั้งนี้นั้นเธอรู้ดี แต่ในเมื่อเขาไม่พูด เธอก็ฉลาดที่จะเลือกปิดปากเงียบ
“หยกก้อนนี้…หยกก้อนนี้…” เจียหยวนฮวามองไปที่หยกราชางูที่อยู่ในตู้กระจกนั้น ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ
“ฉันตั้งชื่อให้มันว่า หยกราชางูค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดอธิบายขึ้น สำหรับลูกค้าที่สนใจหยกราชางูนั้น วันนี้ก็ไม่รู้ว่ามีกี่คนต่อกี่คน เธอก็เริ่มที่จะชินแล้ว
“หยกก้อนนี้ก็เป็นหินหยกที่โรงงานแปรรูป เป็นหินหยกที่คุณซื้อกลับไปผ่าหรือ?” เจียหยวนฮวาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนถามออกมา
“ใช่แล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ปิดบังอะไรเขา ได้แต่พยักหน้าออกมา
เจียหยวนฮวาไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแต่จ้องมองไปที่หยกราชางู ครั้งนั้นผู้อาวุโสหูเคยถามเขาว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา เขาจะเลือกหินหยกก้อนนั้นหรือไม่ ผลสุดท้ายเมื่อตนเองคิดดูดีๆ แล้วก็กล่าวว่าไม่น่าจะเลือกหินหยกก้อนนี้ เพราะว่าตอนนั้นภายในโรงงานแปรรูปยังมีหินหยกลักษณะดีกว่ามาก แล้วเขาจะไปเลือกหินหยกก้อนที่ไม่ดึงดูดสายตาเช่นนี้ไปทำไมกัน
เจียหยวนฮวาถูมือไปมา มองไปที่ซีเหมินจินเหลียนอย่างเกรงใจ แล้วถามออกไปว่า “คุณซีเหมิน ผมขอสัมผัสหินหยกก้อนนี้ได้ไหม”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ที่นี่คงไม่ได้ค่ะ ที่นี่เป็นห้องจัดนิทรรศการ ถ้าหากมีลูกค้าต้องการที่จะสัมผัส มันอาจจะวุ่นวายเกินไป แต่ถ้าหากคุณเจียหยวนอยากจะลองสัมผัสดูจริงๆ ค่อยไปบ้านฉันดีกว่าค่ะ”
“เรื่องนี้…ผมก็คิดจะถามคุณซีเหมินอยู่พอดีเลย” เจียหยวนฮวาพูด
“ฮะๆ!” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะออกมาน้อยๆ เจียหยวนฮวาไม่ใช่มาเพราะอยากจะสัมผัสราชาหยกหรอก เขาน่าจะมาเพราะผู้อาวุโสหูมากกว่า เพียงแต่ผู้อาวุโสหูไปไหน เรื่องนี้เธอก็ไม่รู้เลย
“คืนนี้คุณซีเหมินว่างไหมครับ” เจียหยวนฮวาถามขึ้น
“คุณเจียน่าจะรู้ว่าคืนนี้ที่คลับหยกยังมีกิจกรรมสุดพิเศษ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“อืม” เจียหยวนฮวาพยักหน้า “คืนนี้ผมก็จะมาดูเหมือนกัน”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ เจียหยวนฮวามีช่องทางมากมาย หาคนพาเขาเข้ามาไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ไม่ต้องทำให้เธอเป็นห่วงมาก
เวลาห้าโมงตรง งานนิทรรศการเครื่องประดับอัญมณีวันแรกก็จบลงด้วยดี นอกจากเรื่องของบริษัทหวังต้าฝูที่ทำไพลินสูญหายแล้ว ที่เหลือก็เป็นไปตามปกติ
จ่านมู่ฮวานัดซีเหมินจินเหลียนไปทานข้าว จ่านป๋ายเก็บสินค้าที่ใช้จัดแสดงราคาแพงเตรียมตัวส่งกลับไปที่บ้าน ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกไม่วางใจ จ่านป๋ายคิดดูแล้วอย่างน้อยๆ ก็ยังมีเขาอยู่ คิดว่าไม่น่าเกิดเรื่องอะไร เช่นนั้นจึงกำชับให้ซีเหมินจินเหลียนออกไปทานข้าว ส่วนตนก็นำราชางูและหยกราคาแพงกลับไปที่บ้าน
ซีเหมินจินเหลียนลากจ่านป๋ายไปที่ที่ไม่มีคนแล้วพูดขึ้นว่า “ระหว่างทางคุณก็ระวังด้วยนะ ถ้าหยกจะหายก็ช่างมัน แต่คุณจะเป็นอะไรไม่ได้นะ”
“คุณพูดอะไรของคุณครับ?” จ่านป๋ายยกยิ้ม “กลางวันแสกๆ แบบนี้จะมีคนมาปล้นขโมยได้ยังไงกัน การรักษาความปลอดภัยของเมืองเซี่ยงไฮ้ก็ถือว่าไม่เลวเลยนะ”
“แต่บริษัทหวังต้าฝูจิวเวอรี่นั่นก็ทำไพลินหายไปแล้วนะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดย้ำเตือนเขาขึ้น
“เรื่องนั้นผมมั่นใจว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต้องเป็นคนในก่อเรื่อง ถ้ามีขโมยเข้ามาขโมยอัญมณีจริงๆ ก็ไม่น่าจะตั้งเป้าไปที่ไพลินของพวกเขาสิ” จ่านป๋ายพูด
“ยังไงก็เถอะ คุณต้องระวังหน่อย ฉันคิดว่ามันต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่!” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว “เพราะวันนี้ฉันเห็นเพื่อนสายงานเดียวกันกับคุณที่เคยพูดถึง”
จ่านป๋ายขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขายังคงยิ้มและพูดปลอบใจเธอว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ นอกจากผมแล้วยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกตั้งหลายคนนะ จะว่าไปผมก็เป็นเจ้าพ่อในการขโมย หากอยากจะขโมยของของผม ก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้นหรอก”
“อืม คุณรีบกลับมานะ ฉันจะรอคุณ” ซีเหมินจินเหลียนพูดกำชับ
“ทั้งสองคนพูดความในใจกันเสร็จหรือยัง?” จ่านมู่ฮวาหัวเราะแล้วถามขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนขี้เกียจไปใส่ใจเขา เธอมองไปที่จ่านป๋ายและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนที่กำลังถือตู้เซฟสองใบเดินออกไป แล้วถอนหายใจออกมา
“คุณกำลังกังวลใจกับอะไรอยู่กันแน่?” จ่านมู่ฮวามองไปทางซีเหมินจินเหลียนและถามขึ้น
“ฉันเป็นห่วงอัญมณีของฉัน และเป็นห่วงเสี่ยวป๋าย” ซีเหมินจินเหลียนพูดออกไปตามความจริง
“ถ้าเป็นเรื่องนี้คุณต้องยิ่งวางใจเข้าไปใหญ่ อยากได้ชีวิตของมู่หรง นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” จ่านมู่ฮวาพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจ
หลินเสวียนหลานนำเครื่องประดับอัญมณีที่เหลือเก็บไว้ แล้วไปใส่ไว้ในตู้เซฟที่เช่ามา เมื่อเดินกลับมาก็ได้ยินใครกำลังพูดอยู่พอดี “เพราะอย่างนั้นหลายปีมานี้คุณก็เลยทำไม่สำเร็จสินะ?”
“เรื่องเลวร้ายอย่างการพยายามฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์แบบนี้ ทางที่ดีพวกคุณอย่ามาพูดต่อหน้าฉันจะดีกว่า” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา หมุนตัวกำลังเดินออกไปข้างนอก
“จินเหลียน คุณจะไปไหน” จ่านมู่ฮวารีบตามเธอไป
“ฉันจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก หรือว่าคุณจะกินลมอยู่ที่นี่?” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ผมเตรียมมื้อเย็นไว้ให้แล้ว” จ่านมู่ฮวาพูด
“ที่นี่น่ะหรือคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ใช่ ที่นี่” จ่านมู่ฮวาพูด “เหมือนผมจะเคยบอกคุณแล้วว่า คลับหยกเป็นบริษัทของผม”
“โอเค!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า หลินเสวียนหลานเองก็ขับรถเข้ามาแล้ว จ่านมู่ฮวาเลยไม่เกรงใจรีบขึ้นรถแล้วยิ้ม “ไปด้านหลังกันเถอะ”
“ที่นั่นน่าจะเป็นที่ดินส่วนบุคคลใช่ไหม” หลินเสวียนหลานขมวดคิ้วเล็กน้อยถาม
“ใช่” จ่านมู่ฮวาพยักหน้า
หลินเสวียนหลานเห็นท่าทางของซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ขัดขืนอะไร เลยขับรถอ้อมไปที่เขตจ่าน แล้วขับไปทางด้านหลัง ข้างหลังและด้านหน้าไม่เหมือนกัน ดูเหมือนจะเป็นบ้านสวนสไตล์ส่วนตัว
“ที่นี่ล่ะ” จ่านมู่ฮวาลงจากรถแล้วส่งมือไปประคองซีเหมินจินเหลียน แต่ถูกเธอกลอกตาใส่เลยทำได้แค่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ยังคงยิ้มแย้มมองเธออยู่เช่นเคย “จินเหลียน คุณว่าที่นี่เป็นยังไงบ้าง”
ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตามองไปรอบด้าน ตึกคฤหาสน์ของย่านหลานกุ้ยต่างสร้างขึ้นบนเนินเขา คิดว่าวิวทิวทัศน์ก็โดดเด่นแล้ว แต่ที่แห่งนี้มีทะเลสาบและเนินเขาที่สร้งขึ้นโดยฝีมือคนอยู่ สไตล์การก่อสร้างไม่เหมือนกับการก่อสร้างธรรมดา เป็นการใช้สถาปัตยกรรมสไตล์สวนย้อนยุคบวกกับการผสมผสานของสถาปัตยกรรมปัจจุบัน
“สวยมากเลย” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างเห็นด้วย นี่คือความในใจจากเธอ คนส่วนมากพยายามทำเพื่อพื้นที่หนึ่งร้อยกว่าตารางเมตรให้เหมือนกับกรงนกพิราบ ถ้าหากสามารถมีคฤหาสน์หลังเดี่ยวแบบนี้ได้ นั่นก็เป็นเรื่องที่มีความสุขชนิดหนึ่ง เช่นบ้านที่อยู่ตรงหน้านี่ ไม่ใช่ว่ามีเงินอย่างเดียวแล้วจะซื้อได้ ในเมืองเซี่ยงไฮ้แบบนี้ทุกอย่างล้วนมีมูลค่า
“เข้ามานั่งกันเถอะ ถ้าหากคุณชอบ ผมสามารถให้คุณหลังหนึ่ง รออีกเดี๋ยวคุณค่อยไปเลือกดู” จ่านมู่ฮวาพูดขึ้น ในขณะนั้นก็พาซีเหมินจินเหลียนและหลินเสวียนหลานเข้าไปข้างใน
ที่แห่งนี้มีข้อได้เปรียบ เมื่อเปิดหน้าต่างแล้วก็สามารถมองเห็นทะเลสาบและดอกหอมหมื่นลี้ได้ ภายในห้องโถงมีการเตรียมไวน์และอาหารเย็นสไตล์จีน แต่อาหารและเครื่องดื่มก็มีมากมายเหลือเกิน สำหรับคนเพียงแค่สามคน นี่ก็น่าจะเป็นการสิ้นเปลืองของจนเกินไป ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแบบนั้น
ส่วนจ่านมู่ฮวาเดิมทีก็ไม่ได้ตั้งใจจะเชิญหลินเสวียนหลานมาด้วย เพราะอย่างนั้นอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารจึงถูกเตรียมไว้แค่สองชุด เขาจึงรีบเร่งให้คนมาวางเพิ่ม
“ดูเหมือนว่าผมจะกลายเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญสินะ” หลินเสวียนหลานเหยียดยิ้มออกมา
“ถึงคุณไม่มา ก็น่าจะมีคนที่ไม่ได้รับเชิญมาอยู่ดี…” จ่านมู่ฮวายิ้ม
ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงบนเก้าอี้แกะสลัก เห็นจ่านมู่ฮวากำลังวุ่นวายเตรียมนู่นเตรียมนี่ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงจ่านป๋ายขึ้นมา เขาเองก็เป็นแบบนี้
เธอพลันรีบหยิบมือถือขึ้นมาจากในกระเป๋าแล้วโทรไปหาเขา
“เสี่ยวป๋าย…” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น “คุณเอาของส่งกลับไปแล้วมากินข้าวด้วยกันเถอะ แล้วตอนกลางคืนพวกเราค่อยไปดูเดิมพันหินด้วยกัน”
“จินเหลียน พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อยครับ!” เสียงของจ่านป๋ายไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ไพลินเม็ดนั้น อยู่กับผม” จ่านป๋ายพูดกระซิบ
“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามออกมาอย่างตกใจ “คุณว่าอะไรนะ” หรือว่านิสัยเก่าของจ่านป๋ายจะกลับมา เขาเป็นคนขโมยเหรอ? เธอไม่เคยลืมว่าจ่านป๋ายเป็นคนยอมรับเองว่าเขาเป็นขโมยที่เก่งกาจแค่ไหน
“ผมไม่ได้ทำ เพียงแต่ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นนิดหน่อย คุณไม่ต้องสนใจหรอก ผมจะรีบจัดการให้เรียบร้อยเอง!” จ่านป๋ายพูดแล้วรีบตัดสายไป
ซีเหมินจินเหลียนกุมมือถือไว้อยู่ ในใจก็ยิ่งเป็นกังวล ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้?
“ทำไมครับ น้องชายผมจะมากินข้าวด้วยกันหรือเปล่า” จ่านมู่ฮวาถาม
“น่าจะไม่มาแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจแล้วหยิบมือถือขึ้นมา เธอจะทำอย่างไรดี?
“ไม่มาก็ดี ผมจะได้สบายตาขึ้นบ้าง” จ่านมู่ฮวาพูด
“คุณทำอะไรกันแน่?” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็ถามขึ้น
“ผมสาบานได้ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” จ่านมู่ฮวายกสองมือขึ้นแล้วพูดขึ้น “ผมไม่ใช่คนเลวนะ”
ครั้งนี้แม้แต่หลินเสวียนหลานเองก็ยังทนดูต่อไปไม่ได้ แต่เมื่อเห็นตัวเขาเองพูดออกมาว่าไม่ใช่คนเลว เกรงว่าจะไม่ใช่คนดีอะไร
“เกิดอะไรขึ้นกับไพลินเม็ดนั้น?” ซีเหมินจินเหลียนถาม เธอพยายามฉุกคิดถึงไพลินเม็ดนั้น เพราะว่าตนเองมองอยู่หลายรอบ จ่านมู่ฮวาเลยบอกว่าจะซื้อให้เธอ ครั้งแรกที่บริษัทหวังต้าฝูจิวเวอรี่บอกว่าไพลินถูกขโมย เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าคงเป็นหนอนบ่อนไส้ในบริษัท หรือไม่ก็คงเป็นเพราะบริษัทนั้นโชคร้ายเอง แต่ตอนนี้เกรงว่าเรื่องนี้คงจะมีอะไรซ่อนเร้นอยู่
“ผมไม่รู้เรื่องไพลินอะไรนั่น!” จ่านมู่ฮวายกมือขึ้นบอกปัดอย่างไม่รู้เรื่อง “ถ้าหากคุณอยากได้ไพลิน ผมก็ซื้อให้คุณได้ อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น แม้แต่สี่อัญมณีขนาดใหญ่ในราชสำนักของจักรวรรดิมองโกลผมก็ให้คุณได้”
“ฉันก็สนใจสี่อัญมณีขนาดใหญ่ในราชสำนักของจักรวรรดิมองโกล เมื่อไหร่คุณจะพาฉันไปดูล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่มีอารมณ์จะมองเขา เธอไม่เชื่อว่าเขาจะมีกำลังในการหาสี่อัญมณีขนาดใหญ่ในราชสำนักของจักรวรรดิมองโกลมาได้ ถึงแม้จะมีเงินมันก็อีกเรื่อง อัญมณีบางชนิดก็ไม่ใช่แค่มีเงินก็ซื้อหามาได้ เช่นเดียวกับกำไลประกายดาวของเธอ ขอแค่เธอไม่ยินยอม ไม่ว่าใครก็ซื้อไม่ได้
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 91 เรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้
จ่านมู่ฮวาถามเธอด้วยรอยยิ้ม“คุณอยากได้จริงๆ น่ะเหรอ?”
“คุณคงไม่ได้แค่ขี้โม้หรอกใช่ไหม” หลินเสวียนหลานถามอย่างนิ่งเฉย
“มันก็ไม่ใช่แบบนั้น แม้ว่าจะยุ่งยากสักหน่อย แต่ผมก็หามาให้ได้ ถ้าหากว่าผมหาสี่อัญมณีขนาดใหญ่ในราชสำนักของจักรวรรดิมองโกลมาได้ คุณต้องรับปากว่าจะแต่งงานกับผมนะ!” จ่านมู่ฮวาพูดอย่างไม่อายปาก
“เหลวไหล!” ซีเหมินจินเหลียนด่าออกไออย่างไร้อารมณ์
“ถ้าคุณไม่ยอมแต่งงานกับผม แล้วทำไมผมจะต้องยอมเสี่ยงอันตรายไปหาอัญมณีนั่นมาให้คุณด้วยล่ะ?” จ่านมู่ฮวายิ้มพูดยืนกราน
“ทำไม่ได้ก็ยอมรับออกมาตรงๆ เถอะค่ะ” ครั้งนี้แม้แต่ซีเหมินจินเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะประเมินค่าเขาต่ำลง
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เสี่ยวป๋ายของคุณไปจัดการสิ” จ่านมู่ฮวายิ้ม “คุณอาจจะยังไม่รู้ เขาก็เป็นขโมยที่ฝีมือโดดเด่นเชียวนะ”
หลินเสวียนหลานกำลังแกะก้างปลาแมกเคอเรลออกอย่างระมัดระวัง ปลาแมกเคอเรลนี้แม้ว่ารสชาติจะสดอร่อย เนื้อสัมผัสนุ่มละเอียด แต่ก้างก็มีเยอะมาก เขาแกะก้างปลาออกอย่างพิถีพิถันแล้ววางลงในจานของซีเหมินจินเหลียน ก่อนจะพูดว่า “มีแค่ตัวเองที่เป็นขโมย ถึงจะเห็นคนอื่นเป็นขโมยเท่านั้นล่ะ”
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยถูกชะตากับจ่านป๋าย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนี้มถึงได้มาอยู่บ้านเดียวกันกับซีเหมินจินเหลียน แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขากับจ่านป๋ายก็เดินบนเส้นทางเดียวกัน เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องปกติที่จะช่วยเหลือคนในด้วยกัน
จ่านมู่ฮวาทำเพียงแค่ยิ้มแล้วไม่พูดถึงเรื่องก่อนหน้าอีก ซีเหมินจินเหลียนเองก็ขี้เกียจจะสนใจเขา แม้ว่าจะเป็นห่วงจ่านป๋าย แต่ก็เหมือนที่จ่านมู่ฮวาพูด เธอจะกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงจะรีบกลับไปตอนนี้ก็แค่สร้างปัญหาให้จ่านป๋ายเพิ่มเท่านั้น สู้ปล่อยเขาไปจัดการเรื่องนี้เองจะดีกว่า
มือถือดังขึ้นมาอย่างไม่รู้เวลา ซีเหมินจินเหลียนหยิบมือถือขึ้นมามอง คิดไม่ถึงว่าเป็นจ่านป๋าย ในใจก็ตื่นอกดีใจรีบกดรับ “จินเหลียน”
“อืม ฉันเองค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “คุณเป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นอะไรครับ คุณให้จ่านมู่ฮวามาคุยหน่อยสิ” จ่านป๋ายพูด
“อ้อ…โอเค” แม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะไม่เข้าใจว่าทำไมจ่านป๋ายอยากจะให้จ่านมู่ฮวามารับโทรศัพท์ แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความรีบส่งมือถือไปให้เขา
จ่านมู่ฮวาไม่เข้าใจ แต่ก็ยังรับมือถือมา “จ่านมู่ฮวา นายออกไปคุยข้างนอก ฉันคิดว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันยาว!”
“คุยเรื่องอะไร?” จ่านมู่ฮวาถามอย่างเกียจคร้าน “ฉันว่าพวกเราไม่มีอะไรที่ต้องคุยกัน”
“ถ้านายไม่ทำตาม อย่างนั้นฉันก็จะทำตามใจของฉัน ถึงเวลานั้นนายก็อย่าเสียใจแล้วกัน!” จ่านป๋ายพูดอย่างเยือกเย็น
จ่านมู่ฮวาลุกขึ้นยืนและมองซีเหมินจินเหลียนด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันตัวออกไปข้างนอก หลินเสวียนหลานมองร่างของเขาแล้วพูดขึ้นมาว่า “ผู้ชายรูปร่างแบบนี้…”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา คนอื่นอาจมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะพูดประโยคนั้น แต่หลินเสวียนหลานไม่ใช่ เพราะรูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่มีอะไรบกพร่อง
“จินเหลียน คุณหัวเราะอะไรครับ” หลินเสวียนหลานถาม
“คุณเองก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“อ้อ…” หลินเสวียนหลานยิ้ม “ตอนเด็ก คนอื่นๆ ต่างชมว่าผมรูปร่างหน้าตาดี ตอนนั้นผมก็คิดว่าเป็นคำชมจริงๆ ตอนนี้ถึงรู้ว่าบางครั้งการที่เกิดมาหล่อก็อาจจะไม่ใช่โชคดีเสมอไป”
ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ แต่จู่ๆ ก็นึกถึงหวังเซียงฉินขึ้นมา ทำให้ไม่พูดอะไรออกกไปอีก พอดีกับที่เวลานี้มีเสียงของจ่านมู่ฮวากัดฟันพูดกรอดผ่านหน้าต่างเข้ามา “จ่านมู่หรง แกมันแน่!” หลังจากนั้นเขาก็กดวางสาย ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองโทรไปหาใครด้วยเสียงกระซิบกระซาบ ไม่รู้ว่าพูดอะไร
แต่ซีเหมินจินเหลียนก็วางใจลงแล้ว ขอเพียงแค่จ่านป๋ายไม่เป็นอะไร เรื่องอื่นก็ล้วนไม่สำคัญ เงินหรือ? ถึงหายไปแต่ภายหลังก็สามารถหามาใหม่ได้ ขอแค่พลังพิเศษของเธอไม่ได้สูญหายไป การเดิมพันหยกก็ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีรายได้
ตอนที่จ่านมู่ฮวากลับเข้ามา ใบหน้าของเขาก็ยังคงมีรอยยิ้ม ก่อนจะนำมือถือส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียน เปิดขวดไวน์แดงแล้วพููดขึ้นว่า “ผู้หญิงจิบไวน์สักหน่อย จะเสริมเรื่องความงามนะครับ”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ปฏิเสธอะไร ดื่มแค่อึกเดียวแล้วก็วางลง มื้อเย็นนี้ช่างสมบูรณ์แบบ จ่านมู่ฮวาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อสักครู่อีก ซีเหมินจินเหลียนและหลินเสวียนหลานจึงไม่ได้ถามเขา
จนกระทั่งมื้อเย็นได้สิ้นสุดลง เด็กรับใช้ก็เข้ามาจัดการเก็บกวาดของแล้วเสิร์ฟชาและผลไม้ให้พวกเขา จ่านมู่ฮวายิ้มแล้วถามขึ้นว่า “คุณหลิน ขอโทษที่ต้องถามคำถามนี้ขึ้นมา แต่ผมได้ยินมาว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนบรรพบุรุษคุณเคยส่งหินหยกชุดหนึ่งไปที่เมืองเจียงหนาน?”
หลินเสวียนหลานคิ้วขมวดไม่หยุด วันที่ผ่านมานี้เขาเคยแอบได้ยินมาบ้าง แต่พอถามคุณพ่อแล้ว คุณพ่อกลับพูดอย่างคลุมเครือไม่ชัดเจนว่าไม่มีเรื่องนี้อยู่จริง เพราะว่าท่าทีที่คลุมเครือของคุณพ่อนั้น ทำให้เขายิ่งสงสัยมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเค้ามูล แต่คุณปู่ก็จากไปแล้ว ในพินัยกรรมนั่นก็ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องการขนหินหยกชุดนี้ไปที่เมืองเจียหยาง หรือว่าเรื่องนี้จะมีอะไรแอบซ่อนอยู่?
“ตอนนั้นผมยังเด็ก ก็เลยไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่” หลินเสวียนหลานคิดทบทวนแล้วส่ายหน้า
“คุณอาคุณน่าจะรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?” จ่านมู่ฮวาถามหยั่งเชิง
หลินเสวียนหลานส่ายหน้า นับตั้งแต่คุณปู่จากไป หวังเซียงฉินก็ตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดตึก หลินเจิ้งยังคงรักผู้หญิงคนนี้ ตอนนั้นเขาก็ยังรับไม่ได้ หลังจากงานศพของหวังเซียงฉินผ่านไป เขาก็ย้ายออกไปซื้อบ้านแถวนั้นไว้หลังหนึ่งเพื่อใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ส่วนเรื่องที่เหลือเขาไม่รู้อะไรอย่างชัดเจน
“คุณน่าจะรู้ หินหยกอันอื่นก็ช่างมันเถอะ แต่ราชาหยกก้อนนี้…” จ่านมู่ฮวาพูด “จินเหลียนสนใจมาก”
“ผมเองก็สนใจมาก” หลินเสวียนหลานขมวดคิ้วขึ้นมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน ซีเหมินจินเหลียนทำสีหน้าใส่เขา หลินเสวียนหลานก็รู้ได้ถึงความตั้งใจเลยพูดว่า “ถ้าหากคุณจ่านอยากรู้ ถามมาตรงๆ ก็ได้ ไม่ต้องใช้จินเหลียนมาเป็นข้ออ้างหรอกครับ ผู้หญิงมีไว้ให้เอาใจใส่ ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ผลประโยชน์”
จ่านมู่ฮวาก็ไม่ได้โกรธเคือง เขาได้แต่หัวเราะน้อยๆ แล้วพูดชื่นชมว่า “คนทั่วไปต่างบอกว่าคุณหลินเป็นคนสุภาพเรียบร้อย แต่ผมคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคำพูดคมคายเหมือนวันนี้”
“ความสุภาพอ่อนน้อม ก็ต้องเลือกผู้ปฏิบัติด้วย” หลินเสวียนหลานพูด “สำหรับคนที่ต้องการให้ครอบครัวของเราถูกทำลาย ผมก็คงแสดงความสุภาพด้วยไม่ได้”
“ดูท่าผมคงเสียแรงสู้เปล่าแล้วล่ะ สุดท้ายก็เสียเปรียบกว่าใคร ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ถ้าคุณต้องการที่จะโทษคุณไม่ควรโทษผม!” จ่านมู่ฮวาไม่ได้ปิดบังพูดความจริง
“หรือคุณจะให้ผมพูดขอบคุณคุณอย่างนั้นหรือ?” หลินเสวียนหลานพูดอย่างเยือกเย็น “คืนนั้น ผมก็เห็นอย่างชัดเจนแล้ว! เมื่อคุณปู่ตายตระกูลหลินก็ไม่มีอำนาจใดๆ ใครๆ ต่างก็อยากจะแบ่งผลประโยชน์ คุณอาผมเองก็สร้างความวุ่นวายในบ้าน ผลสุดท้ายก็เสียเปรียบคนนอก”
“คนนอกที่คุณพูด คงไม่ใช่จินเหลียนใช่ไหม?” จ่านมู่ฮวาเหลือบไปมองซีเหมินจินเหลียน
“คุณยังมีหน้ามาใส่ความคนอื่นได้อีกนะ” ซีเหมินจินเหลียนเย้ยหยัน ไม่ได้เอาคำพูดเขามาใส่ใจ
“คนนอกที่ผมพูดถึง ก็คือคุณ!” หลินเสวียนหลานพูด “บ้านตระกูลหลินของเราก็ติดค้างจินเหลียนอยู่ ตอนนี้ถือเป็นการคืนให้ ส่วนคุณก็เป็นพวกที่ชอบฉวยโอกาสลงมือตอนไฟติด!” พูดพลางเขาก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งว่า “จินเหลียน ผมมีธุระต้องกลับก่อน ตอนค่ำคงไม่ได้ไปเดิมพันหยกกับคุณด้วย” เขายังต้องเตรียมตัวสำหรับนิทรรศการในวันพรุ่งนี้ และยังมีธุรกิจตัวใหม่ของบริษัทที่เขาเป็นคนจัดการ นับได้ว่าค่อนข้างยุ่งจริงๆ
“โอเคค่ะ คุณก็ระวังตัวด้วย” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
เมื่อเห็นหลินเสวียนหลานเดินออกไปแล้ว จ่านมู่ฮวาก็ผ่อนลมหายใจแล้วค่อยๆ รินชาส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียนอย่างเอาอกเอาใจ “คุณลองชิมดู ชานี้เป็นชาฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ รสชาติไม่เลวเลย”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มหยันแล้วถาม “คุณทำให้เขาโกรธกลับไปทำไมกัน”
“เขาเป็นคนฉลาด” จ่านมู่ฮวาพูด “ไม่ใช่ผมไปทำให้เขาโกรธ แต่ถ้าเขายังอยู่ เรื่องบางเรื่องผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ผมเลี้ยงข้าวคุณ แน่นอนว่าก็ไม่เพียงแค่ต้องการที่จะอยู่ใกล้คุณเท่านั้น”
ข้อนี้ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รับปากที่จะมากินข้าวกับจ่านมู่ฮวา
“คุณพูดมาเถอะ ตอนนี้เขาไปแล้ว”
“คุณพ่อผมคิดจะให้ผมแต่งงานกับคุณ” จ่านมู่ฮวายิ้มน้อยๆ
ซีเหมินจินเหลียนหน้าขึ้นสีเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปด่าเขาว่า “สมองของคุณพ่อคุณมีปัญหาหรือยังไงกัน?” คุณสมบัติของเธอไม่ดีพอสำหรับจะแต่งงานเข้าครอบครัวใหญ่เช่นนั้นหรอก
“ไม่ใช่อย่างนั้น” จ่านมู่ฮวาไม่ได้สนใจวาจาเสียดสีของเธอ แต่กลับพูดไปอย่างอ่อนโยนว่า “คุณน่าจะรู้เรื่องศิษย์จากทางใต้ใช่ไหม?”
“รู้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยอมรับออกไปตรงๆ นี่ไม่ใช่คำถามที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ศิษย์จากทางใต้คำนี้มันช่างมีผลกระทบกับการใช้ชีวิตปกติของเธอ ในเมื่อหลบหลีกไม่ได้ เธอก็ต้องกล้าที่จะยอมรับ
จ่านมู่ฮวายิ้มและไม่นานก็พูดขึ้น “ผมก็เพิ่งได้ยินคุณพ่อพูดถึงในช่วงนี้ นี่ถือว่าเป็นสำนักที่เก่าแก่มาก”
“ฉันไม่ค่อยรู้จักสำนักทางใต้อะไรนั่น” ซีเหมินจินเหลียนพูดออกมา หรือว่าเธออาจจะเป็นศิษย์จากทางใต้ แต่เธอกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักทางใต้นี่เลย
“ผมเองก็ไม่ค่อยรู้” จ่านมู่ฮวาพูดต่อ “สำนักฝ่ายใต้ได้ยินมาว่าเริ่มจากปลายราชวงศ์ชิง เป็นที่นิยมแพร่หลายในคนจีน คุณน่าจะรู้ว่าตอนนั้นโลกกำลังวุ่นวาย ทำให้เกิดกลุ่มพรรคแตกแยกออกมามากมาย ทำให้สำนักฝ่ายใต้แตกแยกออกจากกัน เมื่อถึงในยุคแรกของการปลดปล่อย พรรคฝ่ายใต้เริ่มทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้ก็กลายเป็นแค่ตำนานไปแล้ว”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ความจริงสำนักฝ่ายใต้ตอนนี้กลายเป็นตำนานไปแล้ว
“ผมเคยได้ยินคุณพ่อพูดถึงการแบ่งพรรคของสำนักฝ่ายใต้ ได้ยินมาว่าแบ่งออกเป็นหลากหลายสายงาน แต่สายเลือดที่สืบทอดโดยตรงเคยได้ยินมาว่าศึกษาเรื่องการเดิมพันหยก” จ่านมู่ฮวาพูดต่อ
“เพราะอย่างนั้นไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้หยกเลยเริ่มเป็นประเด็นที่ผู้คนให้ความสนใจขึ้นมา?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “คุณพูดเหลวไหลอะไรกัน?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” จ่านมู่ฮวาส่ายหัวพูด “เดิมทีการเดิมพันหยกก็มีประวัติมายาวนานแล้ว เพียงแค่เพิ่งจะมานิยมมากในหลายปีนี้เท่านั้น ตอนแรกสายเลือดของผู้สืบทอดทางฝั่งใต้โดยตรงที่เดิมพันหยก ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์กำไรของหยก แต่เป็นเพราะมีเป้าหมายอื่น”
หินที่เหลือจากการปิดฟ้า! ซีเหมินจินเหลียนแอบพูดอยู่ในใจ แต่ปากดันพูดว่า “เป้าหมายอะไร”
“เพื่อหาหินที่เหลือจากการปิดฟ้าของเทพธิดา!” จ่านมู่ฮวาพูด
“ฉันเคยได้ยินผู้อาวุโสหูพูดถึงเรื่องหินปิดฟ้าของเทพธิดาเหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูด “แต่ฉันคิดว่า นี่เป็นเรื่องเล่าที่ไร้สาระ!”
“ตำนานนี้มีประวัติมายาวนาน แต่ไม่ได้แพร่หลาย เกรงว่าประธานของบริษัทจิวเวอรี่ต่างๆ ตอนนี้ก็ไม่รู้จักตำนานหินปิดฟ้าหรอก ส่วนพรรคฝ่ายใต้ใช้เวลาและกำลังทั้งหมดในการตามหาหินที่เหลือจากการปิดฟ้านี้ แต่ผมไม่เข้าใจ ถึงพวกเขาจะหาเจอแล้ว แล้วจะทำยังไงได้ อย่างมากสุดก็แค่เป็นหยกที่หายากเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้สู้เปิดบริษัทอัญมณีเดิมพันหินแล้วหารายได้ไม่ดีกว่าหรือ…” จ่านมู่ฮวาพูดวิเคราะห์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น