ความลับแห่งจินเหลียน ส่วน 4 ตอน 78-84

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 78 หยกอีกาดำ

 

 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคาดเดาอยู่สักพัก ผิวของหินหยกก้อนนี้แม้ว่าจะหนาไปสักหน่อย ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้เล็กนัก ถ้าหากตัดไปทำเครื่องประดับก็ยังสามารถทำตามใจของเธอที่อยากจะตัดได้ กำไล แหวน จนไปถึงปิ่นปักผม อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น 


 


 


การมาวันนี้ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยวเสียทีเดียว ซีเหมินจินเหลียนพึมพำกับตัวเองอยู่ในใจ แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อสักครู่เธออาศัยแสงแดดยามเช้าในการมองแสงกำเนิดหยก น่าจะไม่ใช่หยกสีแดงดอกกุหลาบก้อนนี้ หรือว่ายังมีอันอื่น? 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนดีใจอีกครั้ง แต่ก็รู้สึกกังวล เมื่อมองไปรอบๆ ข้างของหยกสีแดงกุหลาบก็เห็นหินหยกก้อนเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น 


 


 


สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาก็คือ หินหยกก้อนนี้ก็เล็กเกินไป เมื่อลองดูก็เห็นว่าขนาดเล็กเท่าไข่ไก่ ถึงแม้จะมีสีหยกปรากฏ แต่เกรงว่าคงพอแค่ถูๆ ไถๆ เจียระไนทำแหวนได้ไม่กี่วง หรือว่าเมื่อครู่นี้ที่เธอเห็นแสงหยก มันเป็นเพราะหินหยกก้อนเล็กที่สว่างไสวออกมาอย่างนั้นเหรอ? 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่เพียงแต่สงสัย แต่เธอก็หยิบหินหยกก้อนเล็กนั้นไว้ในมือ มันช่างมหัศจรรย์เกินไป ผิวเป็นสีดำเหมือนอีกา ดูแล้วคิดว่าเป็นก้นหม้อสีดำ สีดำไม่ได้เป็นสีที่สะดุดตานัก บวกกับขนาดที่สามารถมองข้ามผ่านได้ สำหรับจุดหยกและเส้นลายหยกนั้น? เธอก็แค่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น หยกก้อนนี้ก็เล็กจนมองไม่เห็นจุดหยกและเส้นลายหยกเลยแม้แต่น้อย 


 


 


แต่เมื่อซีเหมินจินเหลียนใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่านเข้าไปแล้ว สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป มุมปากแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ไม่น่าล่ะหินหยกเล็กขนาดนี้ก็สามารถกำเนิดแสงหยกภายใต้แสงแดดยามเช้าได้ มันก็พิเศษกว่าที่คิดไว้จริงๆ 


 


 


ร้านเถ้าแก่โจวถือว่าไม่ธรรมดาทีเดียว ทุกครั้งมักจะมีอะไรให้เธอกลับไปประหลาดใจได้เสมอ หินหยกสีแดงดอกกุหลาบก้อนนั้นเป็นกำไรมหาศาลของวันนี้ ส่วนหินหยกก้อนเล็กนี้จิตใจของเธอมันก็เรียกร้องไม่หยุด 


 


 


เพียงแค่ลองคิดกลับไปอีกที ตัวเธอก็เคยชนะเดิมพันที่ร้านเถ้าแก่โจวมาหลายครั้ง ถ้าหากจะบอกว่าเถ้าแก่โจวคงจะไม่ขูดรีดเธอมากเกินไป อย่างนั้นเถ้าแก่โจวก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นคนทำการค้าแล้ว หรือหากจะพูดไม่น่าฟังสักหน่อย หากเถ้าแก่โจวเกิดคิดที่จะไม่ขายหินหยกที่เธอสนใจ แล้วเธอจะทำอะไรเขาได้ ไม่ใช่อยากได้แล้วจะบีบบังคับให้เขาขายเสียหน่อย 


 


 


ขอแค่ภายหลัง เถ้าแก่โจวยอมเข้าเนื้อตัวเองสักหน่อย นำหินหยกที่ซีเหมินจินเหลียนสนใจทั้งหมดมาตัด ในนั้นก็มีแต่ความประหลาดใจ ยิ่งไปกว่านั้นซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าหินหยกส่วนมากที่ขายออกไป คงพยายามคิดหนทางที่จะทำให้นักเดิมพันได้เห็นแก่สายตา จากนั้น กำไรคงมากเป็นเท่าตัว ความตั้งใจของคนทำธุรกิจก็คือผลประโยชน์กำไร ส่วนวิธีที่จะทำคืออะไร ถึงแม้มันจะมีข้อเสีย แต่มันก็มีข้อดีในนั้นอยู่บ้าง 


 


 


หากอยากได้หินหยกที่เธอสนใจทั้งหมดมาครอบครอง เกรงว่าวันนี้เธอต้องคิดให้ดีก่อนเสียแล้ว 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิด เมื่อสมองทำงานก็เรียกจ่านป๋าย รีบนำหินหยกที่มีเนื้อหยกเปลือยอยู่ด้านนอกก้อนนั้นวางไว้ฝั่งนี้ จากนั้นตั้งใจเลือกหินหยกก้อนใหญ่มา เธอจำได้ว่าในนั้นมีก้อนหนึ่ง ที่ตรงกลางมีเส้นลายหยก แม้ว่าจะไม่ได้ดี แต่ก็เป็นหยกเนื้อน้ำแข็งสีเขียว เอาไปทำเป็นเครื่องประดับเกรดกลางก็พอหายากแล้ว 


 


 


หยกขนาดน้อยใหญ่มากมาย เวลาเพียงครู่เดียวซีเหมินจินเหลียนก็เลือกออกมาได้แปดก้อน เมื่อเสร็จแล้วถึงเรียกให้เถ้าแก่โจวเข้ามา 


 


 


เถ้าแก่โจวและลูกน้องอีกสองคนนอนเอนตัวอยู่ด้านนอกห้อง เมื่อได้ยินซีเหมินจินเหลียนเลือกที่เหมาะสมเสร็จแล้ว ก็รีบเดินเข้าไป 


 


 


“คุณซีเหมินยังคงดูสดใสดีนะครับ” เถ้าแก่โจวยิ้มกรุ่มกริ้ม 


 


 


“ฉันสดใสตรงไหนกันคะ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ “คุณดูสิคะ ฉันก็ยุ่งจนตาเป็นหมีแพนด้าแล้ว คิดว่าจะรีบกลับไปแล้วหาที่มาร์กหน้ามามาร์กสักหน่อย” 


 


 


เถ้าแก่โจวได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา พร้อมหยอกล้อจ่านป๋าย “ให้แฟนคุณซื้อให้สิครับ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ยิ้ม ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าจ่านป๋ายเป็นแฟนของเธอ เธอก็ขี้เกียจจะพูดให้มากความ มีบางครั้ง เพื่อที่จะหลบหลีกปัญหาที่ดูไร้สาระ เธอยังใช้โอกาสนี้ประกาศว่าจ่านป๋ายเป็นแฟนของเธอ… 


 


 


“อ้อ ฉันเอาเท่านี้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนสื่อไปทางหินหยกทั้งแปดที่เธอเลือกออกมาแล้วพูดขึ้น “เถ้าแก่โจว คุณเสนอราคามาได้เลยนะคะ” 


 


 


“คุณซีเหมินสายตาเฉียบคมจริงๆ นะครับ ลักษณะของหินหยกพวกนี้ก็ไม่เลวเลยทั้งนั้น!” เถ้าแก่โจวยิ้ม แต่ในใจได้แต่ก่นด่า นี่เป็นคนยังไงกันเนี่ย? อายุยังน้อยแต่ฉลาดขนาดนี้? หินหยกแปดก้อนนี้ เกรงว่าอย่างมากที่สุดก็มีแค่สองก้อนที่เธออยากจะซื้อ ส่วนที่เหลือเป็นแค่ตัวประกอบ แต่ปัญหาก็คือเขาจับไม่ได้ว่าซีเหมินจินเหลียนต้องการหินหยกก้อนไหนกันแน่ 


 


 


“ในเมื่อจะซื้อ ก็ต้องซื้อที่ลักษณะดีหน่อยสิคะ” ซีเหมินจินเหลียนตั้งใจพูด 


 


 


“นั่นสินะครับ” เถ้าแก่โจวพูด “หินหยกทั้งแปดก้อนนี้ขนาดไม่ได้เล็กมาก ลักษณะภายนอกก็ดูดี โอกาสที่จะเผยให้เห็นสีเขียวมีสูงมาก” 


 


 


เถ้าแก่โจวพูดประโยคนี้ แม้แต่จ่านป๋ายเองก็ยังรู้สึกอยากจะด่าคนขึ้นมา นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรอกเหรอไง ใครที่ซื้อหินหยก ก็ไม่ใช่ว่าอยากจะซื้อสีเขียวที่เห็นได้ชัดเหรอ? แม้ว่าจะแพ้เดิมพัน แต่เป้าหมายแรกก็คือเผยให้เห็นสีเขียวไม่ใช่หรืออย่างไรเล่า 


 


 


“เอาเถอะค่ะเถ้าแก่โจว นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราทำธุรกิจกัน คุณเสนอราคามาเถอะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดออก ความจริงเธอหวังไว้มากว่าเถ้าแก่โจวจะเป็นเหมือนครั้งที่แล้ว หินหยกไม่ขายตามสี แต่ขายตามน้ำหนัก เธอก็จะได้ไม่ต้องคิดกลอุบายเจ้าเล่ห์ออกมา 


 


 


“ยี่สิบล้านครับ” เถ้าแก่โจวชูสองนิ้วขึ้นมา 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยายามอดกลั้น ส่วนจ่านป๋ายมีความรู้สึกอยากจะเอามีดมาฆ่าคนเสียตรงนั้น นี่มันล้อเล่นอะไรกัน? ยี่สิบล้าน? กล้าพูดมาได้ไม่อายปาก 


 


 


“เถ้าแก่โจว คุณอย่าล้อเล่นเลยค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนสีหน้าบอกบุญไม่รับ 


 


 


“แน่นอนว่าผมไม่ได้ล้อเล่นครับ” เถ้าแก่โจวยิ้มอย่างมีเลศนัย 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองรอยยิ้มที่แอบแฝงของเขา ก็รู้สึกเกลียดจนอยากจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เถ้าแก่โจว คุณลดอีกไม่ได้เหรอคะ” 


 


 


“คุณซีเหมินครับ หินหยกทั้งแปดก้อนนี้เป็นหินหยกที่ดีที่สุดของพวกเราเลยนะครับ” เถ้าแก่โจวพูดขึ้น “คุณลองดูนี่สิ เนื้อหยกที่เปลือยออกมาข้างนอกก็เป็นเนื้อหยกจากธรรมชาติ ผมรับรองว่าต้องมีคนที่กระเป๋าหนักมาแย่งแน่ๆ” เขาพูดพลางมองไปที่หินหยกที่จ่านป๋ายสนใจ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ด่าพึมพำในใจ ก็แค่ผิวเท่านั้นล่ะที่ดี ข้างในก็เป็นหยกขี้หมา เขียวก็เขียวอยู่ แต่ความแวววาวย่ำแย่ ความโปร่งแสงก็ไม่ดี… 


 


 


“เถ้าแก่โจว ในเมื่อพูดแบบนี้ ถ้าหากฉันไม่เอาก้อนนี้ คุณจะลดให้หน่อยได้ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


เถ้าแก่โจวพูดขึ้นยิ้มๆ ด้วยท่าทางกระอัดกระอ่วน “แน่นอนอยู่แล้วครับ” 


 


 


“แล้วก้อนนี้ล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปทางก้อนที่ใหญ่ที่สุดแล้วถามขึ้น 


 


 


“ก้อนนี้ก็ไม่เล็กเลยนะครับ” เถ้าแก่โจวก้าวเดินไปที่ข้างหน้าของหินหยกก้อนนั้น ก่อนจะเอื้อมมือออกไปสัมผัส “ผิวสัมผัสก็ไม่เลว พื้นผิวนุ่มลื่น ถ้าหากขายแยกเดี่ยวๆ อย่างน้อยคงสักแปดล้าน” 


 


 


“แล้วก้อนนี้ล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเปลี่ยนเป็นอีกก้อน แล้วถามขึ้นอีกครั้ง ก้อนนี้เป็นเนื้อน้ำแข็งสีเขียว แม้ว่าสีจะไม่ได้ตรงตามมาตรฐาน แต่ก็ดีมาก ถ้าหากราคาของเถ้าแก่โจวไม่ได้เว่อร์เกินจริง เธอก็อาจจะยอมรับมันแล้วซื้อไป 


 


 


“ก้อนนี้แม้ว่าจะเล็กไปสักหน่อย แต่ว่าลักษณะดูไม่เลว อย่างน้อยๆ ก็สามล้านครับ” เถ้าแก่โจวบ่นพึมพำในใจ ตกลงเธอต้องการก้อนไหนกันแน่?  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 79 ของแถม

 

สามล้าน ซีเหมินจินเหลียนลอบถอนหายใจ ราคานี้เธอก็พอจะรับได้ ถ้าซื้อกลับไปก็ยังสามารถสร้างเงินได้อีก ราคาที่เถ้าแก่โจวเสนอมาในวันนี้ ก็ค่อนข้างสูงมากจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเธอมีของในใจเพิ่มมาอีกหนึ่ง วันนี้หินหยกที่เธอสนใจก็คงมีแค่ไม่กี่ชิ้น กลัวแต่ว่าเธอคงไม่สามารถซื้อกลับไปได้ทั้งหมด


 


 


“เถ้าแก่โจว คุณคิดจะเอาสินสอดทองหมั้นของฉันไปด้วยเลยใช่ไหมคะ ราคาตั้งสามล้านเชียว… ” ซีเหมินจินเหลียนร้องขึ้นอย่างตกใจ “คุณก็จะไม่ปล่อยให้ฉันมีชีวิตรอดเลยเหรอ?”


 


 


เถ้าแก่โจวได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก ความจริงแล้ววันนี้เขาก็รู้สึกได้ว่าราคาที่เขาเปิดมา มันก็สูงเกินไปจริงๆ แต่ใครให้เธอชนะเดิมพันหินหยกชั้นดีไปเล่า ถ้าจะให้เขาไม่เปิดราคาเกินจริงก็ยาก อายุปูนนี้แล้วใครจะไม่อยากมีเงินทองเยอะๆ กัน?


 


 


“ช่างเถอะค่ะ เถ้าแก่โจว ถ้าอย่างนั้นหินหยกลักษณะดีทั้งแปดพวกนั้น ฉันไม่เอาแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนมีสีหน้าเศร้าสลด “ฉันเลือกอันอื่นก็ได้ แล้วคุณให้ราคาถูกลงหน่อยเป็นอย่างไรคะ”


 


 


“ก็ได้ครับ” เถ้าแก่โจวยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก ในใจรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก หรือว่าหินหยกที่เธอสนใจไม่ได้อยู่ในแปดก้อนนี้? ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาคงเสียเปรียบมาก ไม่เพียงแต่เป็นคนเลว อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะคาดเดาถูกว่าเธอสนใจหยกก้อนไหนกันแน่


 


 


“หยกก้อนนี้ล่ะคะ” ในที่สุดซีเหมินจินเหลียนก็ชี้ไปที่หินหยกสีแดงดอกกุหลาบแล้วถามขึ้น


 


 


“อืม…ก้อนนี้เหรอครับ” เถ้าแก่โจวเดินเข้าไปดู ลักษณะไม่ได้ดูดีเท่าไหร่เลยนี่? แต่ในเมื่อเธอถาม เขาก็ต้องเพิ่มราคาเข้าหน่อย “หนึ่งล้านครับ”


 


 


“เถ้าแก่โจว คุณก็ใจร้ายเกินไปหรือเปล่า แค่หินหยกลักษณะแบบนี้ราคาก็ตั้งหนึ่งล้านเชียวเหรอ?” ครั้งนี้แม้แต่จ่านป๋ายก็ทนดูต่อไปไม่ได้


 


 


เถ้าแก่โจวยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “หินหยกก้อนนี้อย่างน้อยๆ ก็น่าจะหนักสักสามสี่สิบกิโล…” แต่แค่เหตุผลนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกพูดออกมาได้ยาก


 


 


“เถ้าแก่โจว” ซีเหมินจินเหลียนยกยิ้ม “ฉันไม่ใช่คนที่คุณจะมาโก่งราคายังไงก็ได้นะคะ ถ้าหากคุณอยากจะขายหินหยกจริงๆ ก็เสนอราคาที่มันสมเหตุสมผลหน่อยเถอะค่ะ ถ้าคุณยังเอาราคาแบบนี้ ฉันก็คงไม่ซื้อแล้ว”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา เห็นแบบนี้ถ้าคราวหน้าเจอสินค้าดีที่ร้านเถ้าแก่โจว คิดว่าคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว จากนั้นก็พูดขึ้น “ก้อนเมื่อครู่นี้ราคาสามล้าน ใช่ไหมคะ?”


 


 


“ใช่ครับ” เถ้าแก่โจวพยักหน้าพูด “คุณซีเหมิน หินหยกก้อนนี้ราคาสามล้าน ถือว่าไม่แพงแล้ว คุณดูนี่สิ ขนาดเท่านี้แล้วยังมีเส้นลายหยกอีก…” แต่ในขณะที่เขายังพูดไม่จบ เถ้าแก่โจวก็ค้นพบว่าบนหินก้อนนั้นไม่มีเส้นลายหยก มีเพียงแค่จุดหยกไม่กี่จุดเท่านั้น เช่นนั้นก็ได้แต่สงสัยอยู่ในใจ เมื่อก่อนเวลาเจรจาขายหินหยก เขาจะตรวจสอบอย่างละเอียดและรู้จักลักษณะเด่นของหินหยกทุกก้อน แม้กระทั่งแหล่งที่มา แต่หินหยกครั้งนี้ เมื่อมาถึงก็บอกซีเหมินจินเหลียนให้มาดูสินค้าเลย


 


 


เพราะว่าซีเหมินจินเหลียนชนะเดิมพันอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เถ้าแก่โจวเห็นเธอเป็นความหวัง จนคิดว่าขอแค่เธอถามเรื่องราคาหินหยก ถึงราคาสุดท้ายเธอจะไม่ยอมรับ เขาเองก็จะเก็บมันไว้ตัดเอง เพราะอย่างไรก็อาจจะเสียไปไม่เท่าไหร่


 


 


ปกติเขาก็พูดออกมาอย่างติดปาก คำพูดเมื่อสักครู่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงจุดหยกและเส้นลายหยกขึ้นมา แต่กลับพบว่าหินหยกก้อนนี้มันก็ไม่มีเส้นลายหยกเลย


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะออกมา ดูท่าเถ้าแก่โจวจะไปไม่เป็นเสียแล้ว


 


 


“เถ้าแก่โจว พวกเราก็ถือเป็นลูกค้าเก่าแก่กันแล้ว ฉันก็ไม่ได้อยากจะต่อราคาหรอกนะคะ แต่คุณก็คิดเอาเองเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ก้อนใหญ่นี้แล้วก็ก้อนเล็กนี่ รวมกันแล้วราคาสามล้านห้าแสนถูกไหมคะ”


 


 


“ใช่ครับ” เถ้าแก่โจวยืนกรานพยักหน้าเสียงแข็ง


 


 


“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่ต่อราคาแล้ว แต่คุณแถมก้อนเล็กนั่นให้ฉันเป็นอย่างไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนหยิบก้อนเล็กสีดำขึ้นมาจากพื้น หินหยกที่ขนาดเพียงแค่ไข่ไก่


 


 


 ถ้าแก่โจวขมวดคิ้ว เขาย่อมรู้ว่าราคาที่ตนเปิดมันสูงเกินกว่าความจริง ตามหลักแล้วคำขอร้องแค่เล็กน้อยของซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ได้เกินไป เพราะหินหยกก้อนนั้นก็มีขนาดแค่ไข่ไก่ ดูแล้วน่าจะเป็นหินหยกอีกาดำ มาจากโรงงานหมาเหมิง


 


 


“เถ้าแก่โจว คุณคงไม่ขี้งกขนาดนั้นหรอกใช่ไหม” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


 


เถ้าแก่โจวคิดแล้วคิดอีก บางทีเธออาจจะแค่อยากได้หินหยกก้อนเล็กเป็นของติดไม้ติดมือก็เท่านั้น ผู้หญิงเวลาซื้อของก็เป็นกันแบบนี้ ถึงจะไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็อยากได้ของแถมสักนิดสักหน่อยเพื่อความสบายใจ ภรรยาที่บ้านของเขาก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่เคยหาของแถมหรือต่อรองราคาสักหน่อย มันก็เหมือนการเสียเปรียบ


 


 


หินหยกสีดำอีกา เขาก็ไม่เห็นว่ามันจะมีราคาค่างวดอะไร ถ้าเขาเก็บเอาไว้ สุดท้ายก็คงกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น เดิมพันหินใหญ่ ห้าร้อยหยวนหนึ่งก้อนก็แค่นั้น


 


 


“ตกลงครับ” เถ้าแก่โจวตกลงรับปาก แต่สีหน้าแกล้งเป็นเจ็บปวด


 


 


ซีเหมินจินเหลียนที่เห็นก็อดไม่ได้ที่อยากจะหัวเราะ คนคนนี้เป็นยอดในการทำธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยคบค้าสมาคมกับนักธุรกิจขายหินหยก แต่พ่อค้าแบบนี้ก็ขูดรีดเกินไป เห็นได้ชัดว่าได้เปรียบแท้ๆ แต่ยังแกล้งทำเป็นเสียเปรียบยกใหญ่ ทำให้คนซื้อคิดว่าเขาเสียเปรียบ…


 


 


แม้ว่าฟ้าจะสว่างแล้ว แต่เพราะว่าธนาคารยังไม่เปิด เธอเลยไม่สามารถโอนเงินได้ ซีเหมินจินเหลียนกับเถ้าแก่โจวนัดแนะกันว่าจะไปกินข้าวเช้าก่อน แล้วรอจนกระทั่งเก้าโมงถึงค่อยไปโอนเงินพร้อมรับสินค้า เถ้าแก่โจวก็ตบปากรับคำ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านพร้อมกับจ่านป๋าย อยู่ที่ถนนโบราณแถวนั้นเพื่อหาร้านอาหารเล็กๆ กิน พวกเขาสั่งซาลาเปาและน้ำเต้าหู้ ก่อนจะกินอย่างช้าๆ จ่านป๋ายก็ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “หินหยกก้อนเล็กนั่น ลักษะเป็นยังไงเหรอครับ”


 


 


“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนที่กำลังดื่มน้ำเต้าหู้อยู่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็สงสัย เงยหน้าขึ้นมองเขา ทำไมเขาถึงถามแบบนี้นะ? ถึงอยากจะถาม เขาก็น่าจะถามถึงลักษณะของก้อนใหญ่เป็นอย่างไรไม่ใช่เหรอ 


 


 


“ผมถามคุณว่าหินที่ได้แถมมาก้อนนั้น ลักษณะเป็นยังไงครับ” จ่านป๋ายถาม


 


 


“อ้อ?” ซีเหมินจินเหลียนตกใจ


 


 


จ่านป๋ายเห็นท่าทางเช่นนั้นก็รู้ว่าเขาทายถูกแล้ว หินหยกก้อนอื่นซีเหมินจินเหลียนกลับไม่สนใจ แต่สิ่งที่เธอสนใจกลับเป็นหินหยกสีดำอีกาก้อนนั้น


 


 


“ดูแล้วลักษณะผิวไม่เลวเลย แต่ว่ารายละเอียดต้องรอผ่าออกมาก่อนถึงจะรู้ แต่หินหยกก้อนนั้นก็เล็กเกินไปหน่อย ถึงจะมีลักษณะหยกที่ดีแต่ก็คงทำอะไรมากไม่ได้” ซีเหมินจินเหลียนพูด


 


 


“จริงเหรอ” จ่านป๋ายถามเสียงสูงแล้วลากเสียงยาวขึ้น


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทางของเขาอย่างนั้นแล้วก็ยิ้ม “ก็ได้ ถ้าคุณไม่เชื่อ รอซื้อกลับไปแล้วไปเจียระไนดูก็จะรู้เอง แต่หินหยกก้อนนั้นทางที่ดีที่สุดใช้วิธีดั้งเดิมในการเจียระไนมันออกมาดีกว่า”


 


 


“วิธีดั้งเดิม?” จ่านป๋ายมองเธออย่างไม่เข้าใจ


 


 


“ก็คือการใช้หินลับมีด ใช้มือในการทำ ค่อยๆ ลับมันออกไป ไม่สามารถใช้เครื่องเจียระไนได้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม


 


 


“ทำไมครับ” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ


 


 


“คุณก็ลองคิดดูสิ หินหยกก้อนนั้นเล็กขนาดนั้น ถ้าหากใช้เครื่องเจียระไน ถึงข้างในจะมีหยก แต่ถูกคุณเจียระไนไป ไม่แน่ว่าอาจจะเจียระไนไปจนหมดเลยก็ได้…” ซีเหมินจินเหลียนอธิบาย


 


 


ความจริงการให้จ่านป่ายใช้วิธีแบบดั้งเดิมในการเจียระไนหิน เธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งให้เขาลำบาก แต่ว่าลักษณะเนื้อหยกข้างในของหินก้อนนั้นมันดีเกินไป ถ้าไม่ระวังอาจจะพังเป็นจันทร์ครึ่งเสี้ยวก็ได้ เธอคงรู้สึกเสียใจอย่างมากถ้าทำไม่ดี ส่วนฝีมือในการลับมีดของเธอสู้จ่านป๋ายไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้เขาจัดการลับกับมือไปเลย 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 80 งานศพและงานเลี้ยง

 

จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ว่าพลางหัวเราะ “อย่าว่าแต่ให้ผมใช้เครื่องเจียระไนเลย ถ้าคุณอยากจะให้ผมทุบ ผมก็ทุบออกมาให้คุณได้”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “พวกเราไม่สามารถทุบได้หรอก ได้ยินว่าคนที่เข้าใจในการเดิมพันบางคน ก็ทุบเหมือนทุบไข่ไก่ ทุบผิวให้แตกหลุดออกมา”


 


 


“ทุบได้จริงเหรอ?” จ่านป๋ายฟังแล้วก็สนใจอย่างมาก “หากมีเวลาพวกเราไปเรียนกันดีไหมครับ”


 


 


“ในอนาคตถ้าได้ไปพม่า พวกเราค่อยไปเรียนกันก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนพูด


 


 


“แน่นอนว่าต้องไปพม่า!” จ่านป๋ายยิ้ม “ถ้าไม่ไปเพื่อหยก พวกเราก็ไปเพื่อตามหาซากของหินที่เทพธิดาฝึก แล้วพวกเราค่อยไปดูกันสักรอบ”


 


 


“คุณก็ยังเชื่อเรื่องนี้อยู่หรือ” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


 


“เพียงแค่การก่อตัวของหยก แม้ว่านักธรณีวิทยาเหล่านั้นได้ให้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาบ้างแล้วก็ตาม แต่ถ้าใครมีความรู้ทางธรณีวิทยาก็จะรู้ว่าทฤษฎีเหล่านั้นมันยังขัดแย้งกันอยู่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็เชื่อตำนานเทพไม่ดีกว่าหรือ?” จ่านป๋ายพูด “ในเมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้ ผมก็ยิ่งอยากรู้ว่าหยกราชาเป็นอะไรกันแน่”


 


 


“ราชาหยก จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับราชางูแน่ๆ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “นอกจากนี้ถ้าหากฉันทายไม่ผิดล่ะก็ ตอนนั้นผู้อาวุโสหูคงไม่ได้สนใจราชาหยกมากนัก เพราะอย่างนั้นหลายปีนี้เขาเลยไม่ได้ไปหาเรื่องคุณปู่หลิน จนกระทั่งเมื่อเห็นราชางู ไม่รู้ว่าทำไมเลยคิดถึงราชาหยก เพราะอย่างนั้นจึง…”


 


 


“ผมก็คิดเหมือนกันกับคุณ จริงสิ วันนี้งานศพของหลินเสวียเหวินจะเริ่มขึ้นหลังเที่ยง คุณจะไปด้วยกันหรือเปล่าครับ” จ่านป๋ายถามขึ้น เมื่อวานหลินเสวียนหลานอุตส่าห์ตั้งใจโทรมาหา หวังว่าเขากับซีเหมินจินเหลียนจะสามารถไปร่วมงานศพของหลินเสวียเหวินได้


 


 


“แน่นอนสิ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า แม้ว่าหลินเจิ้งกับหวังเซียงฉินจะไม่น่าเคารพนับถือ แม้ว่าตระกูลหลินนอกจากหลินเสวียนหลานแล้วก็คงไม่มีใครต้อนรับพวกเขา แต่เธอก็ยังอยากไปร่วมงานศพของคุณปู่หลิน


 


 


เธอไม่สนว่าหลินเสวียเหวินจะเริ่มต้นตระกูลอย่างไร เขาจะขโมยหยกหรือว่ามีหนทางของเขา แต่คนคนนี้เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่น แค่เขามีลูกชายคนโตที่ดูแลภรรยาไม่ดี ไม่มีความกตัญญู มีลูกไม่รักดีอย่างหลินเจิ้งก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจ


 


 


เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอจนเวลาเก้าโมงเช้า ธนาคารก็เริ่มเปิด ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายก็ไปที่ร้านของเถ้าแก่โจวอีกครั้ง การโอนเงินสำเร็จด้วยดี พวกเขาเรียกรถมาคันหนึ่งให้นำหยกก้อนใหญ่ทั้งสองก้อนขนส่งไปที่คฤหาสน์ย่านหลานกุ้ยของจินเหลียน


 


 


สำหรับก้อนเล็กนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็ใส่เข้าในกระเป๋าตัวเองเลย ตอนที่อยู่ในมือเธอ เธอก็อดไม่ได้ที่จะใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่านอีกครั้ง ลักษณะของหินหยกก้อนนี้ทำให้เธอชื่นชอบอย่างไม่รู้ตัว


 


 


เมื่อกลับไปที่คฤหาสน์ของย่านหลานกุ้ยแล้ว ทั้งคู่ที่ยุ่งมาตลอดทั้งคืน ทำให้ซีเหมินจินเหลียนเกือบทนไม่ไหว เมื่อคิดว่าตอนบ่ายยังต้องไปร่วมงานศพของหลินเสวียเหวินอีก เธอจึงรีบกำชับจ่านป๋ายให้พักผ่อนสักหน่อย แล้วตอนบ่ายค่อยไปพร้อมกัน


 


 


 จ่านป๋ายไม่มีความคิดเห็นอะไรอยู่แล้ว แต่ในระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะขึ้นไปด้านบนนั้น เสียงมือถือก็ดังขึ้น ซีเหมินจินเหลียนหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นจ่านมู่ฮวา เขาโทรมาหาเธอทำไมกัน? เมื่อกดปุ่มตัดสายแล้วเธอก็ขว้างมือถือไปอีกทาง และนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา


 


 


เกือบไปแล้ว เธอเกือบลืมในสิ่งที่จ่านมู่ฮวาเคยพูดไว้ คืนนี้เขาจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงและให้เธอไปเป็นคู่ควงของเขา นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกัน? เธอกับเขาไม่ได้สนิทสนมกันสักหน่อย


 


 


“จินเหลียน คุณเป็นอะไรไป” จ่านป๋ายถามขึ้นอย่างแปลกใจ เธอเหนื่อยมาตลอดทั้งคืน หรือว่าจะเหนื่อยเกินหรือว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? คิดอย่างนั้นเขาก็เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผาก เห็นว่าก็ปกติดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่สีหน้าของซีเหมินจินเหลียนกลับดูไม่สู้ดีนัก


 


 


“พี่ชายของคุณ” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างไร้อารมณ์


 


 


“จ่านมู่ฮวา?” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว สำหรับคนนี้เขาก็หมดปัญญาจริงๆ


 


 


“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “ฉันจำได้ว่าคุณเคยพูดว่าวันนี้เป็นวันเกิดของคุณพ่อคุณ           ตอนกลางคืนบ้านของคุณจะมีงานเลี้ยง เขาเลยเชิญฉันให้เป็นคู่ควง”


 


 


“คุณจะไปสนใจเขาทำไมกันครับ” จ่านป๋ายยิ้มออกมา “ตอนกลางคืนพวกเราก็ไปเดินช้อปปิ้งกัน ดูสิว่าเขาจะทำอย่างไร”


 


 


“แต่คุณบอกว่า ประตูบ้านฉันถ้าถูกคนพังเข้ามามันจะระเบิดนี่” เพราะอย่างนั้นซีเหมินจินเหลียนจึงเป็นห่วงมาก “ถ้าหากเขามาแล้วเห็นประตูปิดอยู่ แล้วพังประตูเข้ามาจะทำอย่างไร?” ทำให้บ้านของเธอระเบิดยังเป็นเรื่องเล็ก แต่ของภายในห้องใต้ดินของเธอมีหยกตั้งมากมาย ถ้าระเบิดไปคงต้องเลวร้ายมากแน่ๆ


 


 


บางทีชีวิตนี้ เธอคงไม่สามารถรวบรวมหยกพวกนี้ได้แล้ว หยกฮกลกซิ่ว หยกสีผสม หยกสีเลือด หยกสีเหลือง หยกสีฟ้าอะไรนั่นต่างไม่สำคัญทั้งนั้น แต่หยกราชางูเป็นชีวิตจิตใจของเธอ จะไม่ยอมให้ได้รับความสูญเสียใดๆ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซีเหมินจินเหลียนนำหยกราชางูย้ายเขามาเป็นหยกสุดที่รักของเธอแล้ว…


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาพังเข้ามา!” จ่านป๋ายยิ้ม “อย่างมากก็แค่ระเบิดหน้าของเขา ไม่ถึงขั้นทำให้เขาตายหรอกครับ”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ กว่าจะได้สติกลับคืนมาได้ จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เองหรือ?


 


 


“คุณหมายความว่า ถ้าประตูถูกพังเข้ามาก็จะไม่ระเบิดทั้งคฤหาสน์ แต่จะระเบิดแค่คนสะเดาะกุญแจ?”


 


 


“แน่นอนสิ ถ้าระเบิดไปทั้งบ้าน แบบนั้นจะต้องหมดเงินกับค่าซ่อมแซมไปเท่าไหร่กัน คุณคิดว่าผมทำขีปนาวุธอย่างนั้นหรือครับ?” จ่านป๋านยิ้ม “ผมติดตั้งระเบิดบนตัวล็อคประตูอย่างระมัดระวัง ถ้าหากมีคนใช้แรงในการสะเดาะกุญแจ มันก็จะระเบิดใส่ แต่ก็ไม่ได้หนักหนารุนแรงอะไร แถมเจือปนไปด้วยแก๊สน้ำตานิดหน่อย อย่างมากที่สุดก็แค่ทำให้คนหมดสติไปชั่วคราว”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงโซฟาอย่างหมดแรง เพียงไม่นานสีหน้าก็เหมือนจะร้องไห้ออกมา “ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ฉันก็ไม่ควรให้เขาเข้ามาเลย”


 


 


“คุณคงไม่ได้คิดหรอกนะว่ามันจะระเบิดไปถึงทั่วคฤหาสน์ แบบนั้นเลยกังวลไม่หยุดแล้วเปิดประตูต้อนรับคนเลวเข้ามา?” จ่านป๋ายถาม


 


 


“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนมองเขาด้วยสายตาดุดัน แต่คิดไปมันก็น่าอายจริงๆ หน้าของเธอแดงก่ำ ก่อนจะหยิบกระเป๋าถือแล้วรีบเดินขึ้นไปด้านบน แต่เดินไปไม่ถึงครึ่งก็หันหลังกลับมาพูดอีกครั้ง “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณก็นอนที่ห้องรับแขกด้านล่างเถอะ เหอะ! ใครใช้ให้ติดตั้งระเบิดกัน!” พูดเสร็จเธอก็เดินขึ้นไปด้านบนต่อ


 


 


จ่านป๋ายหัวเราะออกมา เธอจะน่ารักเกินไปแล้ว ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเสียงหัวเราะของจ่านป๋ายแล้ว เมื่อถึงด้านบนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา


 


 


ลองคิดดูแล้วเธอเองก็เหมือนติดค้างจ่านมู่ฮวาอยู่ เพราะเขาเป็นคนปล่อยหลินเสวียน ไม่อย่างนั้นถ้าเขาลงมือขึ้นมาจริงๆ ไม่ยอมปล่อยหลินเสวียนหลาน ตอนนี้เธอจะมีรอยยิ้มได้อย่างไรกัน?


 


 


มือถือดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเสียงที่สง่างามของขลุ่ย ซีเหมินจินเหลียนมองดู ที่แท้ก็เป็นจ่านมู่ฮวา ครั้งนี้เธอถึงกดปุ่มรับสาย


 


 


“จินเหลียน…” เสียงในมือถือมีความกลัดกลุ้มและเกียจคร้าน


 


 


“ฉันเอง อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนทักทายแล้วแกล้งเป็นหาว


 


 


“อืม อรุณสวัสดิ์ครับ คืนนี้คุณว่างหรือเปล่า” จ่านมู่ฮวาถามอย่างสุภาพ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดขึ้น “กี่โมงคะ ตอนบ่ายฉันต้องไปงานศพของคุณปู่หลิน”


 


 


“ถ้าคุณว่าง ตอนหนึ่งทุ่มผมจะไปรับคุณ เป็นอย่างไรครับ” จ่านมู่ฮวาพูด “บางทีพวกเรายังสามารถเจรจาร่วมงานกันเรื่องเพชรได้นะ”


 


 


“งานเลี้ยงคืนนี้ จัดที่บ้านคุณใช่ไหม” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


 


“ครับ? คุณรู้ได้อย่างไร” จ่านมู่ฮวารู้สึกแปลกใจ


 


 


“อืม วันคล้ายวันเกิดครบรอบสินะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอีกรอบ


 


 


“ใช่แล้ว” จ่านมู่ฮวาไม่ถามอะไรเธออีก ในเมื่อเธอรู้ถึงขั้นนี้ แสดงว่าจ่านป๋ายเป็นคนบอก


 


 


“ถ้าอย่างนั้นตอนกลางคืนฉันกับจ่านป๋ายจะเข้าไปด้วยกัน คุณไม่ต้องมารับหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น ถึงจะไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเขา แต่เธอยอมไปกับจ่านป๋ายดีกว่าการที่ไปเป็นคู่ควงกับเขา


 


 


จ่านมู่ฮวากำลังจะพูดขึ้น แต่กลับได้ยินเสียงตู๊ดๆๆ กลับมา ซีเหมินจินเหลียนตัดสายเขาไปแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ให้จ่านป๋ายมาด้วย? นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร หรือเธอจะไม่รู้ว่าจ่านป๋ายและคุณพ่อไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ?


 


 


ซีเหมินจินเหลียนโยนมือถือไว้บนเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ในใจคิดอย่างขันๆ ว่า ตอนบ่ายเธอต้องไปร่วมงานศพ แต่ตอนกลางคืนกลับไปร่วมงานวันเกิด นี่ก็น่าตลกไปหรือเปล่า?


 


 


เมื่อคิดไปคิดมา ไม่ว่าจะเกิดหรือตายก็เพียงเท่านี้ ชีวิตคนมีหนทางการตายที่หลากหลายรูปแบบ ไม่สนว่าจะผ่านอะไรที่ยอดเยี่ยมมีสีสันขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ล้วนมีจุดจบเหมือนกัน


 


 


อากาศในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ตอนบ่ายอยู่ๆ ก็มีฝนเม็ดเล็กๆ โปรยปรายลงมา ซีเหมินจินเหลียนกางร่มคันเล็กลายดอกไม้ กระดูกขี้เถ้าของคุณปู่หลินถูกฝังเรียบร้อยแล้ว ญาติมิตรที่ไม่ค่อยสนิทต่างแยกย้ายกันไป เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลหลิน มีเพียงแต่ญาติสนิทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทหลินซื่อ จิวเวอรี่


 


 


ซีเหมินจินเหลียนบอกลาหลินเสวียนหลานด้วยคำพูดสุภาพ แต่หลินเสวียนหลานกลับให้เธอรอก่อน


 


 


เพียงไม่กี่วันที่ไม่ได้เจอกัน หลินเสวียนหลานที่รูปหล่อสง่างามก็ผอมลงไปเยอะมาก จนเห็นกระดูกได้ชัด ดูแล้วเหมือนจะแก่ขึ้นกว่าเก่า…


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายหามุมนั่งที่ไม่สะดุดสายตาใคร มองไปที่ญาติมิตรตระกูลหลินที่กำลังวุ่นวายกับการเจรจาเรื่องแบ่งทรัพย์สินมรดกอย่างเงียบๆ งานศพผ่านไปแล้ว ประเด็นสนทนานี้เลยไม่ได้ปิดบังต่อไป แถมยังต้องพูดให้กระจ่างกันทั่ว


 


 


ทุกคนย่อมรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ดี ถ้าหากไม่มีใครเพิ่มทุนเข้าไป เช่นนั้นก็เหลือแค่รอถูกซื้อหุ้น ถ้าอย่างนั้นหุ้นที่ถืออยู่ในมือมีเท่าไหร่ ก็เท่ากับว่าสามารถแลกเงินได้ตามเท่านั้น แต่หุ้นของบริษัทตระกูลหลินตกลงมาตลอด ถ้าไม่ตัดสินใจกันตอนนี้ บริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ก็อาจถูกประกาศว่าล้มละลาย แล้วพวกเขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย


 


 


“แบ่งกันเถอะ พี่ใหญ่ ตอนนี้คุณพ่อก็จากไปแล้ว พี่อายุมากที่สุด พี่ก็พูดอะไรหน่อยเถอะ!” หนึ่งในคนหนุ่มสาววัยเดียวกับหลินเจิ้งกำลังพูดคุยกับหลินเหวิน เผอิญมีบางประโยคที่ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเข้ามาในหู


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นเพื่อมองคนๆ นั้นอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่าภายในครอบครัวตระกูลหลินแบ่งเป็นสองฝ่ายล้อมรอบหลินเหวินและหลินเจิ้ง


 


 


 หลินเจิ้งโอบหวังเซียงฉินที่ท้องยื่นออกมา ด้วยสีหน้าเห็นได้ชัดว่ากำลังได้ใจ ไม่มีความรู้สึกโศกเศร้ากับการตายของคุณพ่อ


 


 


“ทุกท่าน กรุณาเงียบหน่อยครับ!” ภายในห้องรับแขก ไม่รู้ว่าหลินเสวียนหลานหาไมโครโฟนมาจากไหน เสียงไม่ดังนักแต่ก็ส่งไปทั่วทุกมุมของบ้าน 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 81 กลายเป็นคนโง่

ห้องรับแขกที่เดิมทีกำลังโกลาหลอยู่นั้นก็เงียบสงบลง ตอนนั้นหลินเจิ้งกำลังจดจ้องไปที่หลินเสวียนหลาน หวังเซียงฉินยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “แกมีสิทธิพูดในบ้านหลังนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” 


 


 


หลินเสวียนหลานมองไปที่หวังเซียงฉินแล้วพูดขึ้น “ผมไม่มีสิทธิพูดในตระกูลก็จริง แต่ทุกคนไม่อยากรู้พินัยกรรมของคุณปู่เหรอครับ?” 


 


 


ญาติที่เดิมทีรู้สึกมีความคิดเห็นโต้แย้งกับหลินเสวียนหลานทั้งหมดก็พากันเงียบเสียงลง ความจริงแล้วบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ก็ไม่มีอนาคตอะไรอีกแล้ว ถึงไม่ถูกซื้อหุ้นก็ต้องนำทุนเข้ามา แต่เวลานี้ใครจะยอมเป็นคนเสียเปรียบล่ะ? เพราะอย่างนั้นบรรดาญาติสนิทที่พากันถือหุ้นบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ทั้งหมด ใครจะวางใจได้ลงกัน 


 


 


สิ่งที่ไม่สบายใจมากไปกว่านั้นก็คือ ก่อนที่คุณปู่หลินจะตาย เขาได้ทิ้งพินัยกรรมเอาไว้ แน่นอนว่าต้องเขียนเกี่ยวกับอนาคตของบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ไว้อยู่แล้ว จะทำธุรกิจย่ำแย่ต่อไปอย่างนี้ หรือมีแผนการอื่น หรือจะบอกว่าความกังวลทั้งหมดของพวกเขาไม่มีค่า เพราะคุณปู่อาจเตรียมทุกอย่างก่อนที่เขาจะไม่มีชีวิตอยู่ไว้แล้ว 


 


 


สิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจมากสุดก็คือคุณปู่เอาหุ้นในมือให้ใครกันแน่? 


 


 


ทุกคนต่างรู้ ใครที่ได้รับหุ้นพวกนั้นในมือของคุณปู่ ใครคนนั้นก็เป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทหลินซื่อ จิวเวอรี่ ใครคนนั้นก็มีโอกาสในการตัดสินใจทุกอย่าง 


 


 


“ผมเชิญทนายจางมาที่นี่แล้ว” หลินเสวียนหลานพูดด้วยน้ำเสียงสม่ำเสมอ สายตามองไปที่คุณลุงคุณป้า และน้องๆ ทุกคน ที่ได้แต่ถอนหายใจ ตระกูลแบบนี้ จะทำเรื่องใหญ่ได้อย่างไร? งานศพคุณปู่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน แต่สิ่งที่พวกเขาคิดได้ก็แค่การแบ่งมรดก… 


 


 


ทนายจางอายุประมาณสี่สิบปี ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ย ตอนนี้แนบกระเป๋าเอกสารไว้ข้างตัว เดินเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นผู้คนแล้วก็พยักหน้าทักทายพูดว่า “ขอโทษครับ ขอโทษครับผมมาสายแล้ว” 


 


 


ญาติมิตรที่พบเห็นต่างไม่พูดอะไรออกมา มาช้าอย่างไรก็ดีกว่าไม่มา เพียงแต่สีหน้าของหลินเจิ้งไม่ได้สู้ดีนัก พูดได้ว่าสีหน้าของเขาย่ำแย่มาก 


 


 


“ทนายจาง ต้องรบกวนคุณแล้วครับ” หลินเสวียนหลานพูดขึ้น จากนั้นก็ส่งไมโครโฟนต่อให้เขา 


 


 


ทนายจางหยิบไมโครโฟนต่อจากเขา กระแอมในลำคอแล้วพูดขึ้นว่า “ทุกท่าน ตอนนี้นายท่านหลินก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ผมขอแสดงความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อย่างสุดซึ้ง แต่ผู้เสียชีวิตได้ก้าวเข้าสู่สวรรค์แล้ว ส่วนคนที่ยังอยู่อย่างเราต้องจัดการทุกอย่างให้ถูกต้อง เพื่อให้นายท่านตายตาหลับอย่างสงบสุข” 


 


 


จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็ยิ้มออกมา คำพูดเปิดงานศพก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น มักจะพูดแต่ประโยคนี้ แต่ทนายจางพูดแล้วกลับไม่ให้ถึงความรู้สึกที่น่าเชื่อถือเลย 


 


 


ภายในห้องรับแขกเงียบสงัดลง ทนายจางนำเอกสารหนึ่งชุดออกมาจากกระเป๋า 


 


 


ในใจของทุกคนก็คิดขึ้นมาได้ว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์สุดท้ายของทุกคน ทนายจางก็เข้าใจว่าทุกคนรู้สึกอย่างไรเลยยิ้มแล้วพูดว่า “ผมจะไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วนะครับ จะรีบประกาศพินัยกรรมที่นายท่านหลินเขียนไว้ ตามพินัยกรรมนายหลินระบุไว้ว่า หุ้นที่อยู่ภายใต้ชื่อเขาของบริษัทหลินชื่อจิวเวอรี่ รวมถึงคฤหาสน์ทั้งหมดมอบให้แก่หลินเสวียนหลานแต่เพียงผู้เดียว ส่วนของสะสมส่วนตัวของนายท่านมอบให้แก่หลินเซียนเอ๋อร์ไว้เป็นสินสอด…” 


 


 


“เป็นไปไม่ได้ มันต้องไม่ใช่แบบนี้!” หลินเจิ้งรีบลุกขึ้นมา ไม่จริง คุณพ่อจะยกมรดกทั้งหมดให้แก่        หลินเสวียนหลานคนเดียวได้อย่างไร แล้วเขาล่ะ? 


 


 


“คุณหลินเจิ้ง ช่วยสงบสติอารมณ์หน่อยครับ!” ทนายจางพูด “นี่เป็นพินัยกรรมที่นายท่านหลินเขียนเองกับมือ ถ้าคุณไม่พอใจผมเองก็จนปัญญา นอกจากนี้นายท่านหลินยังมีของบางอย่างที่จะให้คุณ คุณอย่าเพิ่งร้อนใจไป” 


 


 


คฤหาสน์และหุ้นทั้งหมดให้หลินเสวียนหลาน แล้วคุณพ่อยังจะมีมรดกอะไรเหลือไว้ให้เขาอีก?        สายตาอำมหิตราวกับงูพิษของหลินเจิ้งจ้องมองไปที่หลินเสวียนหลานอย่างดุดัน 


 


 


“คุณหลินเสวียนหลาน” ทนายจางส่งต่อเอกสารให้กับหลินเสวียนหลาน “นี่เป็นสิ่งที่นายท่านเขียนไว้ให้คุณเป็นการส่วนตัว ผมว่าคงไม่สะดวกนักถ้าเราจะประกาศกันต่อหน้าคนอื่นๆ แบบนี้” 


 


 


“มีอะไรที่ประกาศไม่ได้?” หวังเซียงฉินตะโกนขึ้นมา 


 


 


ทนายจางไม่ได้สนใจเธอ ก่อนจะยื่นเอกสารนั่นส่งให้กับหลินเสวียนหลาน หลินเสวียนหลานรู้สึกแปลกใจ ความจริงที่คุณปู่มอบหุ้นบริษัทและคฤหาสน์แก่เขา เขาก็รู้สึกคาดไม่ถึงแล้ว 


 


 


“คุณหลินเซียนเอ๋อร์อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ” ทนายจางถามขึ้น 


 


 


เหลียนเซียนเอ๋อร์สวมด้วยชุดสีขาวทั้งร่างดูเรียบง่าย แต่นั่นก็ยิ่งดูสง่างามมากขึ้น ความสวยของเธอดึงดูดผู้คน เมื่อได้ยินเช่นนั้นเดินไปที่ข้างหน้าทนายจางเพื่อทักทาย 


 


 


“นี่เป็นรายการสินสอดที่นายท่านทิ้งไว้ให้คุณ คุณดูเองดีกว่าครับ” ทนายจางพูด 


 


 


“ขอบคุณค่ะ” หลินเซียนเอ๋อร์ยิ้มมุมปากบางเบาแล้วรับมันไป คุณปู่ยังรักเธอ เธอเป็นเด็กผู้หญิง ไม่มีสิทธิ์ในการสืบทอดหุ้นของบริษัทมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่างน้อยคุณปู่ก็ได้ทิ้งสินสอดไว้ให้เธอ เมื่อคิดอย่างนี้แล้วเธอก็คิดถึงคุณปู่ที่แสนดีของเธอ อดไม่ได้ที่น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง  


 


 


หลินเสวียนหลานเปิดซองเอกสารซองนั้น ก่อนจะหยิบเอกสารขึ้นมาดู นี่ก็เป็นลายมือของคุณปู่จริงๆ เรื่องนี้ไม่ผิด แต่เนื้อหาข้างในมันทำให้เขารู้สึกอยากร้องไห้ แม้ว่าเขาเต็มใจที่จะทำตามพันธะสัญญานี้ แต่เธอไม่ได้ต้องการเขา…เมื่อคิดได้เท่านี้เขาก็เริ่มมองหาซีเหมินจินเหลียน 


 


 


ในมุมหนึ่งซีเหมินจินเหลียนกำลังพูดคุยอยู่กับจ่านป๋าย 


 


 


หลินเสวียนหลานถอนหายใจออกมา คุณปู่เลอะเลือนไปแล้ว เขามั่นใจในตัวหลานของตนเกินไป ข้างกายของซีเหมินจินเหลียนมีจ่านป๋ายอยู่ เกรงว่าคงไม่ได้ให้ใครคนอื่นง่ายๆ… 


 


 


เมื่อเหม่อลอยไปไกลเขาก็คิดถึงตอนนั้นที่เขาเคยไปเสี่ยงเซียมซีความรักที่หางโจว เซียมซีอธิบายว่าอย่างไรนะ? รอให้ถึงเวลาที่ดอกบัวสีทองแย้มบานหรือ… 


 


 


เวลาที่ดอกบัวสีทองแย้มบาน เขาเห็นแล้ว วันนั้นตอนกลางคืน เขาขับรถชนเธอ คืนวันนั้นรถของเขาชนเข้ากับวัตถุหนักอย่างจัง แต่ข้างทางตอนนั้นไม่มีของอะไรที่เสียหายจากการโดนชน คืนวันนั้นเขาเห็นดอกบัวสีทองเบ่งบาน… 


 


 


เขารู้ว่าเขาดื่มมากไป แต่ดอกบัวสีทองนั่นก็ลอยอยู่ตรงหน้าเขา ถึงเขาอยากจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่มันก็ยากที่จะลืมเช่นกัน 


 


 


“คุณหลินเจิ้ง นี่ให้คุณครับ” ทนายจางหยิบเอกสารชุดหนาหนึ่งชุดให้เขาเช่นกันแล้วส่งไปให้ 


 


 


“นี่คืออะไร” หลินเจิ้งสงสัย ตอนนี้แม้แต่ของสะสมของคุณพ่อยังให้หลินเซียนเอ๋อร์ หุ้นบริษัทและคฤหาสน์มอบให้หลินเสวียนหลานทั้งหมด เขาไม่รู้ว่าคุณพ่อมีของอะไรที่เหลือไว้ให้เขาอีก? ไหนจะการปรากฏตัวของทนายจาง ถ้าเขาไม่โผล่มา ไม่มีพินัยกรรมของคุณพ่อฉบับนี้ เรื่องทุกอย่างก็จะจัดการได้ง่ายขึ้น อย่างน้อยบริษัทก็ไม่ต้องตกไปอยู่ในมือของหลินเสวียนหลาน 


 


 


เขามองหลินเสวียนหลานด้วยความโกรธแค้น หลินเจิ้งรับเอกสารชุดนั้นมาจากมือทนายจาง เปิดมาและอ่านดูอย่างละเอียด 


 


 


“แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่านายท่านจะเหลืออะไรไว้ให้คุณ แต่นายท่านเคยพูดไว้ว่า เพราะสิ่งนี้คุณถึงไม่มีสิทธิคู่ควรที่จะได้รับหุ้นของบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่และอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด” ทนายจางใบหน้ายิ้มอย่างเดิม 


 


 


เพียงแต่ประโยคนี้ เมื่อหลินเจิ้งได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่ ในเอกสารข้างในมีอะไรบันทึกไว้ในนั้นกัน? 


 


 


จ่านป๋ายและซีเหมินจินเหลียนเองก็เตรียมรอฟัง “เรื่องสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็รู้ได้ในทันที เกรงว่าทนายจางคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร พินัยกรรมฉบับนี้ของคุณปู่หลินคงจะถูกใครทำอะไรมาก่อนแล้ว 


 


 


“คุณทำอะไร” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


“คุณทายสิครับ” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“อย่างมากคุณคงจะทำอะไรกับพินัยกรรมนั่น แล้วยังจะทำอะไรได้อีก?” ซีเหมินจินเหลียนพูด 


 


 


“คุณรู้แล้วยังจะถามผมทำไมอีก” จ่านป๋ายพูด 


 


 


นิ้วมือของหลินเจิ้งเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา สีหน้ายิ่งดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม เดิมทีใบหน้าที่พอจะไปวัดไปวาได้ตอนนี้มันบิดเบี้ยว เส้นเลือดสีเขียวรอบคอก็เหมือนจะแตก 


 


 


“ที่รัก พี่เป็นอะไรไปคะ” หวังเซียงฉินเห็นท่าทางของหลินเจิ้งผิดปกติ สิ่งที่เธอสนใจมากที่สุดคือ คุณพ่อตายแล้ว มรดกของพวกเขาจะแบ่งกันอย่างไร เธอที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่บนกองทองเสพสุขทั้งชาติ มันจะพอหรือไม่ แต่ดูจากท่าทีของหลินเจิ้งแล้ว เหมือนจะไม่ใช่อย่างที่คิดเอาไว้? 


 


 


มันก็ถูก หุ้นบริษัทและคฤหาสน์ก็ไปหมดแล้ว แล้วยังมีอะไรที่ให้เขาได้อีก? 


 


 


“ผู้หญิงไร้ยางอาย!” หวังเซียงฉินไม่ถามยังดีเสียกว่า พอถามขึ้นมาหลินเจิ้งก็ตะคอกเสียงด่ามาอย่างสุดเสียง 


 


 


คนที่อยู่ในสถานการณ์ต่างตกใจไปตามๆ กัน หันไปมองหวังเซียงฉินและหลินเจิ้ง 


 


 


 “ที่รัก พี่พูดอะไรกัน?” ต่อหน้าผู้คนมากมาย หวังเซียงฉินยังคงเก็บสีหน้าและความหน้าด้าน ถามออกไปอีกครั้ง “ใครกันที่ไร้ยางอาย? คุณพ่อไม่ได้ให้สมบัติพี่ แล้วพี่จะมาโมโหลงใส่ฉันทำไม” 


 


 


“นั่นเป็นเพราะว่าเธอเป็นผู้หญิงชั้นต่ำไร้ยางอาย!” หลินเจิ้งโกรธจัด พูดขณะที่ในมือของเขาขยำกระดาษด้วยความเคียดแค้นและขว้างมันไปใส่หน้าหวังเซียงฉิน หวังเซียงฉินถูกกระดาษปาใส่เข้าอย่างจัง ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่เข้าใจขึ้นมา นับตั้งแต่ที่เธอตั้งท้อง หลินเจิ้งก็คอยดูแลเอาใจใส่เธอดีมาโดยตลอด ไม่เคยโกรธหรือโมโหใส่เธอ ไม่สิๆ แม้แต่พูดเสียงดังเขายังไม่กล้า แต่วันนี้เธอถูกเขาทำให้ขายขี้หน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย มันทำให้เธอทั้งอายและโกรธจึงด่ากลับไปว่า “คุณเป็นบ้าอะไร วันนี้กินยาหรือยัง?” 


 


 


“คุณกล้าด่าผมเหรอ?” หลินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ใช้หลังมือฟาดไปที่ใบหู ตบหน้าของหวังเซียงฉินจนสะบัดไปอีกทาง จากนั้นก็ไม่รอให้หวังเซียงฉินเข้าใจ ใช้เท้าหนักๆ เหยียบไปที่ท้องน้อยๆ ของหวังเซียงฉิน 


 


 


หวังเซียงฉินหวีดร้องออกมาอย่างทรมาน ก่อนที่ล้มไปนอนที่พื้น มือทั้งสองข้างกุมท้องไว้เจ็บปวดไปทั้งตัว 


 


 


“น้องรอง นี่แกทำอะไรลงไป?” หลินเหวินเดินเข้ามาอยากจะพูดปลอบ 


 


 


“พี่ใหญ่ พี่ถอยออกไป เมื่อก่อนผมมันโง่เอง ไม่ยอมฟังคำเตือนของพี่ กลับไปเชื่อใจผู้หญิงคนนี้ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าเด็กในท้องของเธอเป็นลูกของชู้ที่ไหนก็ไม่รู้!” หลินเจิ้งพูดขึ้นเสียงดัง 


 


 


“คุณ…คุณพูดอะไร?” หวังเซียงฉินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ สายตาตรงหน้ามืดดำไปหมด ภายในท้องเจ็บรวดร้าวมาก… 


 


 


หลินเจิ้งยังคิดที่จะกระทำการป่าเถื่อนต่อไป แต่ยังดีที่ถูกหลินเหวินจับเขาไว้ ส่วนผู้หญิงที่มีอยู่กี่คนก็รีบมาพยุงหวังเซียงฉินขึ้น เห็นว่าทั้งตัวเธอเต็มไปด้วยคราบเลือด 


 


 


“คุณพ่อได้ทิ้งจดหมายก่อนตายเอาไว้ รวมถึงผลรับรองที่ออกโดยโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ ผมไม่มีทางที่จะมีลูกได้ แล้วเด็กในท้องของผู้หญิงคนนี้จะมาจากไหน? คุณกล้าที่จะเลี้ยงผู้ชายข้างนอกลับหลังผม คุณเห็นผมเป็นตัวอะไร?” หลินเจิ้งสั่นเทาไปทั้งตัว ตนเป็นเด็กในกำมือให้เธอหลอกใช้ คิดไม่ถึงว่าลูกในท้องของเธอจะเป็นลูกของคนอื่น ส่วนตนกลายเป็นคนโง่เง่า!   

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 82 ดอกกล้วยไม้และเพชร

 

ฉากความโกลาหลครั้งนี้ก็ได้จบลงแล้ว สุดท้ายหวังเซียงฉินก็ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล ส่วนเด็กในท้อง ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าคงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ในใจรู้สึกเสียใจเช่นกัน อย่างน้อยๆ เด็กในท้องก็ไม่รู้เรื่องอะไร แต่ยิ่งเกลียดชายชู้สารเลวคนนั้น… 


 


 


ในระหว่างทางกลับบ้านซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจ จึงถามออกไปว่า “ชายชู้ของหวังเซียงฉินเป็นใครกัน” 


 


 


ทางฝั่งตระกูลหลินเรื่องราวทุกอย่างก็ได้คลี่คลายลงแล้ว หลินเสวียนหลานเริ่มซื้อหุ้นในมือจากญาติที่เหลือ ขอแค่มีเงินเรื่องทุกอย่างก็ง่ายขึ้น หากเป็นตามที่จ่านป๋ายเคยพูดไว้ อย่างมากสุดหนึ่งเดือนพวกเขาจะสามารถซื้อหุ้นบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ได้ทั้งหมด 


 


 


จ่านป๋ายตกตะลึง คำถามนี้ซีเหมินจินเหลียนเคยถามเขามาแล้วครั้งหนึ่ง เขาเลยพูดออกไปอย่างส่งๆ คิดไม่ถึงว่าวันนี้เธอยังจะถามขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ไม่ว่าอย่างไรในอนาคตก็ต้องรู้ แต่เขาก็ยังไม่อยากที่จะบอกเธอ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นสีหน้าเขาผิดปกติไป เช่นนั้นก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น เลยถามออกไปว่า “คุณเป็นอะไรไป” 


 


 


“ไม่…ไม่ได้เป็นอะไร…” จ่านป๋ายรีบพูดออกมา “จินเหลียน พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลยนะครับ ชู้ของผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไร เราจะไปสนใจคนแบบนั้นทำไมกัน” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วในใจก็ยิ่งรู้สึกสงสัย แต่ทำได้เพียงพยักหน้าตอบ “ช่างเถอะ” แต่ในใจก็เริ่มคาดเดาไปต่างๆ นานา หรือว่าเธอจะรู้จักชู้ของหวังเซียงฉิน? ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นใครกัน ทำไมจ่านป๋ายถึงได้อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมบอกเธอ หรือว่าจะเป็นหลินเสวียนหลาน? 


 


 


ไม่น่าใช่? หลินเสวียนหลานน่ะหรือจะสนใจหวังเซียงฉิน 


 


 


“จินเหลียน คุณเป็นอะไรไปครับ” แม้ว่าจ่านป๋ายจะขับรถอยู่ แต่เขาก็คอยมองสังเกตเธอ เมื่อเห็นสีหน้าของเธอแสดงท่าทีแปลกๆ ออกมาเขาก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัย 


 


 


“หลินเสวียนหลานเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนพูดชื่อที่สงสัยอยู่ในใจขึ้นมา 


 


 


“หา!” จ่านป๋ายรู้สึกมึนงงก่อนจะหัวเราะออกมา “คุณคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย ถ้าหลินเสวียนหลานรู้เข้าเขาจะโกรธก็คงไม่แปลก เขาจะไปชอบผู้หญิงแบบนั้นได้ยังไงกันครับ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นเป็นใครล่ะ ทำไมคุณถึงต้องปิดบังฉันด้วย” ซีเหมินจินเหลียนถาม “หรือว่าจะเป็นคุณ?” 


 


 


“ผม?” จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี ทำไมเธอถึงพยายามถามคำถามนี้ให้ได้นะ 


 


 


“คุณไม่พูดก็ดีอยู่หรอก แต่พอคุณพูดขึ้นมาฉันก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ ในเมื่อไม่ใช่พวกคุณ แล้วทำไมถึงบอกฉันไม่ได้ล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


“เรื่องนี้” จ่านป๋ายลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่อยากบอกเธออยู่ดี จึงได้แต่ยิ้ม “ครั้งหน้าคุณก็ลองถามหลินเสวียนหลานดูเถอะครับ ผมไม่บอกหรอก!” 


 


 


“เหอะ!” ซีเหมินจินเหลียนหันหน้าไปอีกทางแล้วพูด “คืนนี้ฉันจะไม่ให้คุณกินข้าว!” 


 


 


จ่านป๋ายเห็นท่าทางของเธอที่กำลังงอนเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกดีหัวเราะออกมา 


 


 


“กี่โมงแล้วคะ” ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่นอกหน้าต่าง เห็นสีของท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง 


 


 


“น่าจะประมาณหกโมงครึ่งครับ ไม่ต้องรีบร้อน ยังเร็วเกินไปที่จะกินข้าว ถ้าอย่างนั้นพวกเราหาข้าวกินข้างทางแล้วค่อยกลับไปดีไหม” จ่านป๋ายพูด  


 


 


ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวพูด “กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นไปบ้านคุณกัน!” 


 


 


“คุณว่าอะไรนะ?” จ่านป๋ายเกือบจะเหยียบคันเร่งผิดเป็นเบรก ก่อนจะถามอย่างตกใจ 


 


 


“ฉันบอกว่าพวกเรากลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นค่อยไปกินข้าวที่บ้านคุณกัน คุณบอกไม่ใช่เหรอว่าวันนี้เป็นวันเกิดของคุณพ่อคุณ?” ซีเหมินจินเหลียนพูด “เป็นอะไรไป จะไม่ต้อนรับฉันเข้าบ้านคุณเหรอ?” 


 


 


“ทำไม?” จ่านป๋ายพยายามออกแรงควบคุมพวงมาลัย จู่ๆ ก็รู้สึกว่ากระดูกนิ้วมือที่กดไปนั้นเจ็บขึ้นมา 


 


 


“เรื่องครั้งนั้นฉันติดค้างจ่านมู่ฮวาไว้ วันนี้เขานัดฉันให้ไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านของคุณ เพราะฉะนั้นฉันเลยรับปากเขาไปแล้ว อีกสักพักคุณไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม ฉันไม่อยากเป็นคู่ควงของเขา แต่จะยอมเป็นคู่ควงของคุณ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม 


 


 


จ่านป๋ายเดิมทีที่อยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อฟังประโยคสุดท้ายแล้วในใจก็มีแรงกระตุ้นขึ้นมาพร้อมพยักหน้าพูด “ตกลงครับ ผมจะไปเป็นเพื่อนคุณ”  


 


 


ถ้าหากตนไม่ไป ก็กลัวจะเสียเปรียบจ่านมู่ฮวา เท่าที่เขารู้มาปกติจ่านมู่ฮวาไม่เคยพาผู้หญิงกลับบ้าน แม้ว่าข้างนอกเขาจะมีผู้หญิงมาติดพันมากมายก็ตาม… 


 


 


“ฉันจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านบน คุณก็เลือกชุดสำหรับงานเลี้ยงแล้วเปลี่ยนเสีย ฉันจะใส่สีฟ้า…” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม พูดพลางรีบขึ้นไปด้านบน 


 


 


จ่านป๋ายเห็นสีหน้าที่ดูมีความสุขของเธอแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา จ่านมู่ฮวา ร้ายกาจนัก! ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนพูดมาแบบนี้ เขาก็ต้องรีบกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เลือกชุดสูทสีน้ำเงิน มองไปที่กระจกพลางผูกเนคไท อดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้มออกมา  


 


 


ซีเหมินจินเหลียนปกติไม่ชอบแต่งหน้า แต่เมื่อออกงานเลี้ยงแบบนี้ เธอก็ขอแต่งหน้าอ่อนๆ แล้วสวมใส่เดรสสีฟ้า ยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินลงมาด้านล่าง เมื่อเห็นจ่านป๋ายเปลี่ยนเป็นชุดสูทก็ยิ้มออกมา “เสี่ยวป๋าย นึกไม่ถึงเลยว่าคุณใส่ชุดสูทแล้วจะดูดีขนาดนี้!” 


 


 


“หมายความว่า ตอนที่ผมไม่ใส่ชุดสูทผมดูไม่ดีเหรอครับ?” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“ฉันไม่ชอบผู้ชายหน้าหวานอย่างจ่านมู่ฮวาคนนั้น…” ซีเหมินจินเหลียนพูด “มองแล้วไม่มีความรู้สึกปลอดภัยเลย คุณคิดดูสิผู้ชายอายุอย่างเขา จะสวยขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกัน” 


 


 


จ่านป๋ายส่ายหน้า ความคิดของผู้หญิง คุณคิดทั้งชาติก็ไม่มีทางเข้าใจหรอก 


 


 


“จินเหลียน แล้วคุณชอบผู้ชายแบบไหนเหรอ” จ่านป๋ายถามหยั่งเชิงเธอ 


 


 


“หืม…” ซีเหมินจินเหลียนเหลือบมองไปที่เขาแล้วพูดขึ้น “คุณรู้แล้วยังจะถามไปทำไมอีก” 


 


 


จ่านป๋ายไม่เข้าใจ แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดก็มีแต่ความคลุมเครือ จู่ๆ ก็นึกถึงเพลงๆ หนึ่งที่ร้องว่ายังไงนะ ‘จิตใจของผู้หญิง ทางที่ดีที่สุดอย่าไปทายเลย’ 


 


 


ประตูทางเข้าของบ้านตระกูลจ่าน ซีเหมินจินเหลียนได้เห็นแล้วก็รู้สึกตกใจในความหรูหรายิ่งใหญ่ แม้ว่าเธอจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่ดี เธอคล้องแขนจ่านป๋ายแล้วพูดว่า “เสี่ยวป๋าย ฉันเพิ่งรู้ว่าฉันยังเป็นคนจนอยู่” 


 


 


“อย่างนั้นหรือครับ?” จ่านป๋ายพูดอย่างไม่แปลกใจ “ทำบ้านเสียใหญ่โต แต่บ้านก็ยังไม่เหมือนบ้าน!” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะหึหึ จ่านป๋ายคล้องมือเธอไว้เแล้วเดินเข้าไปประตูด้วยกัน 


 


 


“คุณซีเหมิน คุณมาแล้ว ผมรอคุณตั้งนาน” เมื่อเดินถึงปากประตู จ่านมู่ฮวาที่ใส่ชุดสูทสีขาวทั้งตัวก็เดินออกมา เอื้อมมือไปลากเธอและจ่านป๋ายให้ออกจากกันพร้อมยิ้มขึ้น “ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า สายตาของผมก็คอยเฝ้ารออยู่ที่หน้าประตู กลัวว่าคุณจะไม่มา” 


 


 


“ฉันดูเป็นคนผิดคำพูดขนาดนั้นเลยหรือคะ?” ซีเหมินจินเหลียนพูด ในขณะที่พยายามหลีกหนีอย่างรวดเร็วและรักษาระยะห่างจากจ่านมู่ฮวา 


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้ว!” จ่านมู่ฮวายิ้ม “คุณซีเหมิน งานเลี้ยงยังไม่เริ่มเลย ผมพาคุณไปเยี่ยมชมบ้านของพวกเราก่อนดีไหมครับ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหันหน้าไปมองจ่านป๋าย ต้องการปฏิเสธ แต่อยู่ๆ จ่านมู่ฮวาก็พูดออกมาว่า “มู่หรง คุณพ่อรอพบแกอยู่ที่ห้องสมุด แกไปเองเถอะ” 


 


 


จ่านป๋ายไม่เข้าใจ คุณพ่อจะรอเขาอยู่ที่ห้องสมุดเพื่ออะไรกัน แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมา? 


 


 


“ตอนเช้าคุณซีเหมินบอกฉันแล้วว่าจะมาพร้อมกันกับแก ฉันก็แค่รายงานคุณพ่อไป” จ่านมู่ฮวารีบอธิบาย 


 


 


จ่านป๋ายพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับซีเหมินจินเหลียน “คุณเที่ยวเล่นรอบบ้านไปก่อน อีกสักพักผมจะกลับมา” พูดพลางตนเองก็เดินเข้าไปข้างใน เดินผ่านฉากกั้นอันใหญ่ในห้องรับแขกอย่างคุ้นเคยแล้วรีบขึ้นไปยังด้านบน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นเงาของเขาหายไปก็ได้แต่ถอนหายใจ ที่นี่เป็นบ้านของเขา แต่ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่ามีอันตรายอยู่ในนั้น? 


 


 


“คุณซีเหมิน เชิญครับ!” ท่าทางของจ่านมู่ฮวาดูสุภาพอ่อนน้อม เชื้อชวนซีเหมินจินเหลียนให้เข้าไป ภายในห้องรับแขกด้านล่างมีแขกที่นั่งรวมตัวอยู่ด้วยกันบ้างแล้ว พูดสนทนาหัวข้อต่างๆ ที่สนใจ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกำลังหาที่นั่งเพื่อรอจ่านป๋ายอยู่พอดี เธอรับปากกับจ่านมู่ฮวาว่าจะมาร่วมงานเลี้ยงนี้ แต่เธอไม่ได้รับปากว่าจะเป็นคู่ควงของเขา รอให้จ่านป๋ายกลับมา เธอจะอยู่ในงานต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยรีบกลับไป คนพวกนี้เธอไม่รู้จักสักคน ดูแล้วน่าจะเป็นญาติมิตรเพื่อนสนิทของตระกูลจ่าน 


 


 


“ไปเถอะ ผมจะพาคุณไปนั่งด้านบน คิดดูแล้วที่นี่คุณก็ไม่มีเพื่อนที่รู้จัก ถ้าจะนั่งเฉยๆ ก็กลัวจะเบื่อเสียก่อน รอให้งานเลี้ยงเริ่ม ผมจะไม่รบกวนคุณแล้ว!” จ่านมู่ฮวายิ้ม 


 


 


 “ก็ได้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเขาพูดอย่างนั้นแล้วก็ปฏิเสธไม่ลง เดินขึ้นไปด้านบนพร้อมกันกับเขา 


 


 


“คิดว่าที่นี่เป็นอย่างไรบ้างครับ” จ่านมู่ฮวามองเธอด้วยความมั่นใจ ขอแค่เป็นผู้หญิง ย่อมที่จะชอบห้องนี้ที่เขาตกแต่งอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ 


 


 


“คุณรวบรวมดอกกล้วยไม้มากมายมาจากที่ไหนกัน” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องอบอุ่น มีกระจกโปร่งใสเป็นผนัง มีดอกกล้วยไม้พันธุ์หายากที่ไม่เคยได้ยิน เรียงรายอยู่หลายกระถางสร้างความสดใส 


 


 


“ชอบสินะครับ?” จ่านมู่ฮวาพูดในขณะที่พาเธอเข้าไป ชี้ไปที่เก้าอี้แล้วพูด “นั่งเถอะ” 


 


 


“บ้านของคุณก็มีอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ นะคะ กลัวว่าห้องดอกไม้นี้ ค่าใช้จ่ายคงนับไม่ถ้วนใช่ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนนั่งลงบนเก้าอี้ นี่เป็นงานอดิเรกของคนรวยและคนที่ไม่มีอะไรจะทำ คนธรรมดาทำไม่ได้หรอก ส่วนคนที่ไม่มีเวลาก็คงคิดไม่ถึงว่าจะทำอะไรแบบนี้ 


 


 


จ่านมู่ฮวาเห็นเธอชอบก็รู้สึกดีใจยิ้มแล้วพูดว่า “ค่าใช้จ่ายช่างมันเถอะครับ แต่การรวบรวมความหลากหลายของดอกกล้วยไม้นี่สิ ทำให้ผมยุ่งยากพอสมควร” 


 


 


“คุณชอบดอกกล้วยไม้หรือ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ 


 


 


“ครับ หรือว่าคุณไม่ชอบ?” จ่านมู่ฮวาถามกลับ 


 


 


“สวยมาก” ซีเหมินจินเหลียนพูด “เพียงแต่…” 


 


 


“แต่อะไรเหรอ” จ่านมู่ฮวาถามอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


“ดอกกล้วยไม้ที่อยู่ในห้องเหล่านี้ มันก็ดูมีมูลค่าเกินไป เทียบไม่ได้กับดอกไม้ที่อยู่ตามธรรมชาติ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น เมื่อก่อนตอนที่เธอเคยอยู่ที่บ้านเก่า บนภูเขาสามารถเห็นกล้วยไม้ป่า สีของมันสดใส เปรียบเทียบไม่ได้กับดอกกล้วยไม้ชั้นดีที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าดอกกล้วยไม้นั้นจะเป็นแค่พันธุ์ธรรมดา… 


 


 


“สิ่งของมากมายไม่อาจจะดีพร้อมไปได้ทั้งคู่ ชีวิตคนเราก็เท่านี้” จ่านมู่ฮวายิ้ม ไม่สนใจที่จะพูดจาแอบพูดกระทบซีเหมินจินเหลียน 


 


 


 “ครั้งก่อนคุณพูดว่า จะเจรจาการร่วมงานในเรื่องเพชร?” ซีเหมินจินเหลียนไม่อยากถกเถียงเรื่องดอกกล้วยไม้กับเขา เลยรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าหากคุณอยากจะซื้อ ก็มาจองสินค้าที่ผมได้ ผมรับรองว่าจะให้ราคาคุณต่ำกว่าในตลาดถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ สำหรับคุณภาพ คุณสามารถหาคนที่เข้าใจมาดูสินค้าก่อนได้แล้วค่อยจอง รับสินค้าไปก่อนแล้วค่อยจ่ายเงิน” จ่านมู่ฮวาพูด 


 


 


“มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยหรือ” ซีเหมินจินเหลียนแม้ว่าจะไม่เข้าใจในเรื่องของธุรกิจ แต่ตรรกะในเรื่องของการเสียเปรียบเธอก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหัวแสดงถึงความไม่เชื่อ 


 


 


ในขณะที่จ่านมู่ฮวากำลังจะพูดอะไรขึ้นนั้น เขาก็เห็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนพลีคนหนึ่ง สวมใส่เสื้อเหมือนกับคนดูแลบ้านเดินมาที่ปากประตูของห้องดอกไม้แล้วผายมือขึ้น “คุณชาย คุณท่านเรียกให้คุณไปหาครับ” 


 


 


จ่านมู่ฮวาขมวดคิ้วขึ้น เมื่อเห็นคนดูแลบ้านทำสีหน้าใส่เขา ไม่นานก็เข้าใจจึงรีบพยักหน้า “มาดูแลเสิร์ฟชาผลไม้ต้อนรับคุณซีเหมินด้วย เดี๋ยวผมไปเดี๋ยวนี้”  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 83 เป้าหมายอยู่ที่ไหน?

 

จ่านมู่ฮวาและซีเหมินจินเหลียนพูดคุยกันอีกนิดหน่อย ซีเหมินจินเหลียนก็ยิ้มขึ้น “คุณไปจัดการธุระของคุณเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันนั่งรอได้” ในนี้มีดอกกล้วยไม้มากมาย เธอสามารถเดินชมได้สักรอบ เมื่อครู่นี้ที่พูดถึงกล้วยไม้ป่าก็เพราะอยากจะดูถูกจ่านมู่ฮวาเฉยๆ แต่ในใจของเธอก็ชอบดอกกล้วยไม้พันธุ์ดีมากกว่าเหมือนกัน 


 


 


จะว่าไปวันนี้ก็เป็นวันเกิดของคุณพ่อจ่านมู่ฮวา เมื่อเป็นลูกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะยืดเยื้อนั่งคุยอยู่กับเธออยู่ที่นี่ เขาควรจะไปห้องรับแขกข้างในเพื่อทักทายแขกทุกคน 


 


 


เมื่อจ่านมู่ฮวาเดินออกไปแล้ว เขาก็ถามว่า “มีเรื่องอะไร” 


 


 


“คุณหนูจางมาแล้ว กำลังตามหาคุณชายอยู่ครับ” ผู้จัดการบ้านร่างอ้วนพลีวัยกลางคนกระซิบพูดขึ้น “ผมคงเรียนเธอไม่ได้ว่าคุณกำลังอยู่กับคุณหนูท่านนี้” 


 


 


“ก็ให้เธอไปคุยเล่นกับมู่หงก่อนสิ บอกว่าผมไม่ว่าง!” จ่านมู่ฮวาขมวดคิ้ว จางต่งเอ๋อร์ตอนนี้เป็นดาราที่กำลังโด่งดังอยู่ในโทรทัศน์ ทั้งคู่เคยพบกันที่งานเลี้ยงโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง จ่านมู่ฮวากลับรู้สึกเฉยๆ เขาพบเจอผู้หญิงสวยมาก็มากมาย ทำให้เขามีภูมิคุ้มกันกับสาวสวยมาตั้งแต่แรก แต่สำหรับผู้หญิงสวยที่เข้ามาหาเขาเอง เขาก็ไม่สนใจหากจะเล่นกับความรู้สึกของเธอ 


 


 


“คุณชาย คุณไปดูหน่อยเถอะครับ ดูเหมือนคุณหนูจางจะอารมณ์ร้อนอยู่นะครับ” ผู้จัดการบ้านอ้วนวัยกลางคนพูด 


 


 


จ่านมู่ฮวาได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “คุณช่วยผมดูแลคุณซีเหมินด้วย ผมไปเดี๋ยวเดียวแล้วจะกลับมา อย่าให้ใครมารังแกเธอล่ะ!” 


 


 


สายตาของผู้ดูแลบ้านร่างอ้วนฉายความแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็รีบพยักหน้าพูดขึ้น “คุณชายวางใจได้ครับ” 


 


 


เมื่อจ่านมู่ฮวาเพิ่งเดินออกไป ผู้จัดการบ้านร่างอ้วนวัยกลางคนก็เดินเข้ามาเสิร์ฟชาผลไม้และของหวานให้กับซีเหมินจินเหลียนและดูแลต้อนรับเธอ “คุณซีเหมิน ถ้าหากมีเรื่องอะไร เรียกใช้ผมได้ตลอดนะครับ ข้างนอกมีคนคอยเฝ้าอยู่” 


 


 


“อ่อ…ไม่เป็นไรค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยังรู้สึกไม่คุ้นเคยกับความหรูหราของคฤหาสน์แบบนี้ เมื่อมองชายอ้วนผู้ดูแลบ้านถอยหลังเดินออกไปแล้ว เธอก็นั่งพิงบนเก้าอี้อย่างขี้เกียจ ชื่นชมดอกกล้วยไม้ในห้องทั้งหมด  


 


 


เวลาสามสิบนาทีผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ความอดทนของซีเหมินจินเหลียนนับว่าไม่เลวนัก แต่อย่างไรเธอก็ยังรู้สึกเบื่ออยู่ดี ทำไมจ่านป๋ายถึงยังไม่มาอีกนะ? งานเลี้ยงที่น่าเบื่อแบบนี้ เมื่อไหร่ถึงจะเริ่ม 


 


 


ในระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังรู้สึกเบื่ออยู่พอดีนั้น จู่ๆ ที่ด้านนอกก็มีเสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้นมา ไม่นานประตูกระจกก็ถูกผลักเข้ามา คนแรกเป็นเด็กผู้หญิงที่สวมใส่ชุดเดรสสีแดง หน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ แต่สายตาของซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ตกไปอยู่ที่เด็กผู้หญิงคนนั้น แต่เป็นคนด้านหลังที่สวมใส่เดรสกระโปรงยาวสีดำ ผมยาวสลวยที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทัดดอกกล้วยไม้สีม่วงไว้ข้างหู ท่าทางสวยสง่างาม 


 


 


สายตาของซีเหมินจินเหลียนตกไปอยู่บนหน้าตาที่แสนเพอร์เฟคของเธอ ในใจรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เด็กผู้หญิงคนนี้ก็สวยจริงๆ แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแต่เธอก็ยังรู้สึกใจเต้น ถ้าหากเป็นผู้ชายคงไม่ต้องพูดถึงเลย 


 


 


โดยเฉพาะดวงตากลมโตคู่นั้นที่มาพร้อมกับขนตางอนยาว มีเธออยู่เด็กผู้หญิงที่เหลือก็เป็นได้แค่ตัวประกอบเท่านั้น เหมือนกับดวงดาวล้อมรอบดวงจันทร์ก็ไม่ปาน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเองก็ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นท่ามกลางผู้คน ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยมาก่อน อย่างหลินเซียนเอ๋อร์น้องสาวของหลินเสวียนหลาน แม้ว่านิสัยจะร้ายไปสักหน่อย แต่ใบหน้ารูปไข่ก็ไร้ผู้ใดเปรียบได้ อวิ๋นเจียลูกพี่ลูกน้องของฉินเฮ่าเองก็ยิ่งเป็นผู้หญิงสวยที่หาตัวจับได้ยาก แต่ว่าพวกเธอก็สู้ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ที่ทำให้คนรู้สึกไม่กล้าสบตามองเข้าไปตรงๆ ไม่ได้อย่างน่าประหลาด 


 


 


“สวยมากเลย” ซีเหมินจินเหลียนหาคำมานิยามสามคำได้เจอ  


 


 


“คุณเป็นใครคะ” คนที่ถูกมองก็รู้สึกประหลาดใจ เด็กผู้หญิงคนแรกเลยถามขึ้นมาก่อน 


 


 


“ซีเหมินจินเหลียนค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนบอกชื่อของตัวเองออกไปตรงๆ ความสนใจที่เหลือตกไปอยู่ที่พวกเธอทั้งสองคน ดูแล้วน่าจะอายุราวยี่สิบปี สวยสดใส คนทางซ้ายใบหน้ากลม น่ารักสดใสเป็นธรรมชาติ ส่วนคนด้านขวาใบหน้าเรียวยาว หน้าตาขาวใสสวยสง่า 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่แอบถอนหายใจ คนที่มีเงินก็ไม่เหมือนกัน แม้แต่ลูกสาวก็ต้องสวยกว่าลูกสาวของคนธรรมดา แต่ละคนก็มีการศึกษาและหน้าตาที่ดี นี่เป็นข้อดีที่เหนือกว่าคนอื่นสินะ? 


 


 


 คิดไปก็ถูก กษัตริย์ในอดีตก็มักจะเลือกผู้หญิงที่สวยก่อนเป็นอันดับแรก และหลังจากการสืบทอดหลายชั่วอายุต่อมา ถึงแม้ว่าตอนแรกจะเฉยๆ แต่ต่อมามันก็ได้รับผลกระทบจากยีนพันธุกรรม องค์ชายและองค์หญิงเธอเป็นคนที่เพียบพร้อมรูปโฉมสง่างาม คนมีเงินก็เป็นเช่นนี้ เมื่อมีเงินก็อยากได้ภรรยาที่สวยจากนั้นก็มีลูกที่น่ารัก… 


 


 


“ทำไมเธอถึงมาอยู่ห้องดอกไม้ของพี่ชายฉันได้ อ้อ ฉันคือจ่านมู่หง!” เด็กผู้หญิงคนแรกพูดขึ้น 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า จ่านมู่หงน่าจะเป็นน้องสาวของจ่านมู่ฮวา ดูจากสายตาที่มีความคล้ายคลึงกันแล้ว แต่หน้าตายังไม่โดดเด่นเท่ากับจ่านมู่ฮวา 


 


 


“จ่านมู่ฮวาพาฉันเข้ามา” ซีเหมินจินเหลียนพูด 


 


 


เด็กผู้หญิงสวยส่งสายตามองอย่างประหลาดใจ ก่อนจะกวาดมองไปที่ซีเหมินจินเหลียนตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนจ่านมู่หงก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยิ้มถามขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ คุณซีเหมินก็นั่งเถอะ พวกเรามาดูดอกกล้วยไม้กัน คุณซีเหมินพอจะมีความรู้เรื่องดอกกล้วยไม้หรือเปล่า” 


 


 


“ไม่ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า เธอแทบจะแยกชนิดของพันธุ์ดอกกล้วยไม้ไม่ออกด้วยซ้ำ ว่ามีแหล่งกำเนิดมาจากที่ไหน และมีชื่อเรียกว่าอะไร เธอแค่รู้สึกว่าสวยก็เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ไม่มีอะไรที่สำคัญ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นทำไมพี่มู่ฮวาถึงพาเธอเข้ามาดูดอกกล้วยไม้ได้” เด็กผู้หญิงหน้าเรียวยาวถามอย่างสงสัย 


 


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนปัดมืออย่างเบื่อหน่าย จ่านมู่ฮวามีท่าทางแปลกๆ แต่ประโยคนี้เธอไม่กล้าพูดออกมา 


 


 


“คุณดูนี่สิ นี่เป็นเอื้องกะเรกะร่อน” จ่านมู่หงเดินไปข้างๆ ซีเหมินจินเหลียนและชี้ไปทางดอกกล้วยไม้สีเขียวดอกเล็กแล้วยิ้ม 


 


 


“เป็นกล้วยไม้พันธุ์ดีอย่างที่คิด หรูหราตามที่เห็น” เด็กผู้หญิงสุดสวยปริปากพูดขึ้น เสียงก็น่าฟัง 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพูดจากใจ แม้ว่าจะเป็นดอกกล้วยไม้พันธุ์ดีแต่ก็เทียบไม่ได้กับความสวยในตัวเธอ เด็กผู้หญิงคนนี้สวยจริงๆ ถึงจะนั่งอยู่บนเก้าอี้แต่สายตาของเธอก็ยังอยู่ที่เด็กผู้หญิงสวยๆ คนนั้น ชื่นชมอย่างละเอียดก็สงสัยว่าทำไมเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงได้ดูหน้าตาคุ้นๆ? เธอรับประกันได้ว่าเธอไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มาก่อน ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ลืมง่ายๆ 


 


 


“คุณซีเหมิน ขอโทษทีที่ทำให้คุณรอนานนะครับ” จ่านมู่ฮวาปรากฏตัวขึ้น เขาผลักประตูกระจกเข้ามาด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย แต่เมื่อสายตาของเขาหันไปเห็นเด็กผู้หญิงทั้งสองคนนั่นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย 


 


 


“มู่ฮวา คุณไปไหนมาคะ” เด็กผู้หญิงสวยคนนั้นเรียกด้วยความสนิทสนม จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปคล้องแขนจ่านมู่ฮวาเอาไว้ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาทั้งคู่ ชายหล่อหญิงสวยช่างเหมาะสมอย่างไร้ที่ติ มีความสุขใจจริงๆ  


 


 


แต่ไม่มีเวลาให้ซีเหมินจินเหลียนได้ชื่นชมนาน จ่านมู่ฮวาก็รีบขยับตัวออกจากผู้หญิงสวยคนนั้น ปฏิกิริยาดูรุนแรงไปหน่อย 


 


 


“มู่หง ใครให้เธอเข้ามาในห้องดอกไม้นี่?” จ่านมู่ฮวาถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนที่กำลังมองอยู่ไม่เพียงแต่ขมวดคิ้ว น้องสาวของตัวเองแท้ๆ ทำไมถึงได้โกรธขนาดนี้นะ? ส่วนจ่านมู่หงเห็นได้ชัดว่ากลัวจ่านมู่ฮวา เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น ปากเล็กๆ ก็พูดออกมา “ฉันพาพี่สาวมาดูดอกกล้วยไม้” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็ดูต่อไปเถอะ!” จ่านมู่ฮวาแค่นเสียงออกมา ในน้ำเสียงมีความระแคะระคายและหันไปพูดกับซีเหมินจินเหลียนว่า “พวกเราไปหาที่อื่นนั่งกันเถอะครับ” 


 


 


“แล้วเสี่ยวป๋ายล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกว่าจ่านมู่ฮวาเป็นคนที่เข้าถึงยาก น้องสาวพาเพื่อนมาชมดอกกล้วยไม้ของเขาแต่ทำไมถึงได้ดูเหมือนทำผิดขนาดนั้น? 


 


 


เสี่ยวป๋ายๆ ในใจของเธอก็คิดถึงแต่จ่านมู่หรงคนนั้น จ่านมู่ฮวาคิดเจ็บแค้นอยู่ในใจแต่ก็อธิบายว่า “คุณพ่อมีเรื่องที่จะคุยกับเขา คงไม่เสร็จเร็วขนาดนั้น งานเลี้ยงจะเริ่มแล้วพวกเราออกไปดูข้างนอกกันเถอะครับ?” 


 


 


 “ฉันไม่ไปค่ะ ฉันจะรอเสี่ยวป๋าย” ซีเหมินจินเหลียนนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง คิดจะหาข้ออ้างให้เธอไปร่วมงานเลี้ยงกับเขาสินะ เธอจะรอให้เสี่ยวป๋ายมาแล้วก็จะบอกลาแล้วจากไป นี่ก็ถือว่ามาร่วมงานแล้วไม่ได้ผิดคำสัญญาอะไร 


 


 


จ่านมู่ฮวาไม่รู้จะทำอย่างไรกับเธอดี ส่วนผู้หญิงสุดสวยและจ่านมู่หงก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ยังคงอยู่ในห้องแต่ก็ถามว่า “คุณคงจะไม่นั่งรอที่นี่ไปตลอดหรอกใช่ไหม?” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นจะให้ไปรอที่ไหน” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถาม 


 


 


“คุณรับปากกับผมว่าวันนี้คุณจะมาเป็นคู่เต้นรำของผม” จ่านมู่ฮวายิ้ม “คุณจะรอเขาไปเพื่ออะไร?” 


 


 


สีหน้าของเด็กผู้หญิงคนสวยเปลี่ยนไป สายตามองไปที่ซีเหมินจินเหลียนอย่างเยือกเย็น ซีเหมินจินเหลียนมองเด็กผู้หญิงสุดสวยคนนั้นอย่างแปลกใจแล้วยิ้ม “คุณมีคู่เต้นรำที่เหมาะสมที่สุดอยู่แล้ว” 


 


 


“คุณซีเหมิน นั่นเป็นเรื่องของผม คุณรับปากกับผมแล้วจะกลับคำไม่ได้!” จ่านมู่ฮวายิ้มแล้วเดินไปข้างหน้าเธอ ลากเก้าอี้มานั่งแล้วพูด “คุณดูนี่ เพื่อที่จะได้เข้ากับคุณ ผมเลยเปลี่ยนเสื้อสูท” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนถึงเริ่มฉุกคิดได้ว่า จ่านมู่ฮวาเปลี่ยนเป็นเสื้อสูทสีน้ำเงินจริง กับชุดเดรสสีน้ำเงินของเธอดูเข้ากันเป็นอย่างดี แต่มันก็ไม่ได้บ่งบอกว่าคนจะเข้ากันด้วย 


 


 


“คุณจ่านมู่ฮวา ฉันไปรับปากคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะเป็นคู่เต้นรำด้วย? ฉันจำได้ว่าวันนั้นมีแต่คุณที่พูดเองอยู่คนเดียว” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ยิ่งไปกว่านั้น คุณผู้หญิงคนนี้สวยขนาดนี้ เธอน่าจะคู่ควรที่จะเป็นคู่เต้นรำของคุณมากกว่าฉัน” 


 


 


พูดพลางเธอก็ลุกขึ้นยืนมองไปที่จ่านมู่หง “คุณหนูจ่าน…” 


 


 


จ่านมู่หงที่ฟังอย่างมึนงงอยู่ตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาปฏิเสธพี่ชายของเธอ เป็นไปได้อย่างไรกัน? เมื่อได้ยินซีเหมินจินเหลียนเรียกเธอ เธอก็ตอบกลับไปตามสัญชาตญาณ 


 


 


“คุณหนูจ่าน ขอถามหน่อยได้ไหมคะว่าห้องสมุดของบ้านไปทางไหน หรือไม่ก็รบกวนคุณช่วยไปบอกจ่านมู่หรงพี่รองของคุณว่าฉันรอเขาอยู่ได้ไหม” ซีเหมินจินเหลียนพูด ดูแล้วจ่านมู่ฮวากำลังปกปิดเธอ ตั้งใจเอาจ่านป๋ายออกไป 


 


 


“พี่รองกลับมาแล้วเหรอ?” จ่านมู่หงตกใจมาก 


 


 


“เขากลับบ้านมาเป็นเพื่อนกับคุณซีเหมิน เธอไปดูเถอะ ให้เขามาห้องดอกไม้” จ่านมู่ฮวาพูดอย่างเหนื่อยหน่ายใจ 


 


 


“อ๋อ…ได้ค่ะ!” จ่านมู่หงได้ยินเช่นนั้นก็รับปากแล้วเดินหันหน้ารีบวิ่งไปข้างนอก 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนั่งลงอีกครั้ง ในใจได้แต่สงสัย จ่านมู่ฮวาคนนี้ต้องการที่จะทำอะไรกันแน่? งานเลี้ยงแบบนี้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้เธอมาร่วมเสียด้วยซ้ำ? แล้วไม่ใช่ว่าตัวเองจะไม่มีคู่ควงเสียหน่อย มีผู้หญิงสวยขนาดนี้มาตามติดเขา ทำไมยังไม่พอใจอีก? 


 


 


อยากจะหาคู่ควง เขาเลยโกหก? แต่ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่เข้าใจ เขาจะทำไปเพื่ออะไรกัน จ่านป๋ายหรือ? หรือว่าเป้าหมายของเขาคือจ่านป๋าย  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 84 ฉากตลก

 

“งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว คุณซีเหมิน พวกเราลงไปรอจ่านมู่หรงที่ห้องรับแขกด้านล่างกันเถอะครับ” จ่านมู่ฮวายิ้ม 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดดูแล้วก็พยักหน้าตอบรับ จะให้นั่งอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่อง โดยเฉพาะข้างๆ ยังมีผู้หญิงสวยไม่อยากจะเชื่ออยู่คนหนึ่ง ถ้ามีเธออยู่ผู้หญิงคนอื่นคงตกไปเป็นตัวประกอบอย่างไม่รู้ตัว ก็เหมือนใบไม้ที่เป็นส่วนประกอบของดอกกล้วยไม้เช่นกัน… 


 


 


จ่านมู่ฮวาอยากเป็นเหมือนจ่านป๋ายบ้าง ที่ได้คล้องแขนเธออย่างสนิทคุ้นเคย แต่ถูกซีเหมินจินเหลียนเขม็งตาเข้าใส่ เสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากด้านหลัง ซีเหมินจินเหลียนก็หันหน้ากลับไปดู เห็นผู้หญิงสวยคนนั้นกำลังยิ้มอยู่พอดี 


 


 


“พี่สาว!” เด็กผู้หญิงสวยคนนั้นรีบก้าวเท้าเดินขึ้นมาข้างๆ ซีเหมินจินเหลียนแล้วคล้องแขนเธอไว้ “พี่ซีเหมินใช่ไหม? ฉันชื่อจางต่งเอ๋อร์!” 


 


 


“จางต่งเอ๋อร์?” ซีเหมินจินเหลียนกำลังลับสน ไม่นานก็เข้าใจได้ ไม่น่าล่ะเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงได้คุ้นหน้าคุ้นตานัก ที่แท้เธอก็เป็นดาราผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในละครตอนนี้ เมื่อดูอย่างพินิจพิเคราะห์ออร่าของเธอมีมากกว่าในจอโทรทัศน์เสียอีก 


 


 


“คุณหนูจาง คุณสวยจริงๆ ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะพูดชมเธอ “สวยกว่าในโทรทัศน์อีก” 


 


 


“พี่ก็สวยมากเหมือนกัน” จางต่งเอ๋อร์หัวเราะ “พี่เป็นผู้หญิงที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอเลย” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา “เป็นเพราะฉันปฏิเสธจ่านมู่ฮวาเหรอ?” 


 


 


ความคิดของเธอถูกเผยออกมาจนได้ เพียงไม่นานหน้าก็แดงก่ำพูดว่า “พี่สาวอย่าได้ใส่ใจเลย” 


 


 


“ผู้ชายที่หน้าตาสวยคนนี้พึ่งพาอะไรไม่ได้หรอก” ซีเหมินจินเหลียนพูด “เธอระวังเขาไว้สักหน่อย” 


 


 


จางต่งเอ๋อร์รู้ว่าจ่านมู่ฮวาอยู่ด้านหลัง แต่ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกระซิบพูดว่า “พูดไปแล้วพี่สาวบางทีอาจจะไม่เชื่อ เห็นฉันเป็นอะไรกัน? ถ้าพูดให้ดีก็คือดาราละคร แต่ถ้าพูดให้ไม่น่าฟังก็คือ ผลลัพธ์ที่ได้ในการจีบแสวงหาของคุณชายที่ร่ำรวย แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงของเขายังไงกัน?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองใบหน้าที่สวยงามสมบูรณ์แบบของจางต่งเอ๋อร์แล้วยิ้ม “เธอก็อย่าเพิ่งดูถูกตัวเองเกินไป จริงสิ ถ้ามีโอกาส ฉันอยากจะเชิญเธอมาถ่ายโฆษณา!” 


 


 


จางต่งเอ๋อร์ตกตะลึง เดิมทีเธอคิดว่าซีเหมินจินเหลียนและจ่านมู่ฮวาจะเหมือนกัน มาจากตระกูลร่ำรวยไม่รู้จักความทุกข์ยากของมนุษย์ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะทำธุรกิจด้วย? เธอเป็นผู้หญิงเข้มแข็งสายสตรองอย่างนั้นหรือ นั่นมันก็ดูเป็นไปไม่ได้เลย? เธอดูเหมือนขาดความเข้มแข็งและความรุนแรงที่ผู้หญิงที่เข้มแข็งธรรมดาควรจะมี 


 


 


เธออ่อนโยนแถมดูคลาสสิค เหมือนกับหญิงสาวที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง! แม้เธอจะไม่สามารถทำให้คนตกตะลึงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น แต่เธอก็ยังคงสวยงาม แม้กระทั่งจางต่งเอ๋อร์เองก็ยังรู้สึกอิจฉาผู้หญิงแบบเธอ บางทีเธอน่าจะได้พบเจอผู้ชายที่รักเธอจริง ไม่เหมือนกับตนเองที่เป็นได้แค่ดอกไม้สวยในแจกัน…  


 


 


“จินเหลียน ผมก็ดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” จ่านมู่ฮวาบ่นอยู่ด้านหลังเธอ  


 


 


“คุณจ่านมู่ฮวา พวกเราไม่ได้สนิทกัน คุณเรียกฉันว่าคุณซีเหมินเถอะค่ะ” แม้แต่หันหลังไปมองเขาเธอยังไม่ทำ 


 


 


จ่านมู่ฮวายิ้มออกมาอย่างขมขื่น ในระหว่างที่กำลังเดินลงบันไดนั้น เขาก็รีบชิงเดินมาข้างหน้า 


 


 


ห้องรับแขกที่หรูหราในบ้านตระกูลจ่าน มีแสงไฟประดับประดาตระการตา ในห้องรับแขกมีแขกมากมายอยู่เต็มไปหมด บรรยากาศดูคึกคักเหลือเกิน เมื่อซีเหมินจินเหลียนและจางต่งเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นก็ตกเป็นเป้าสายตาในงานไปอย่างไม่รู้ตัวแล้ว แน่นอนว่าซีเหมินจินเหลียนเองก็รู้ว่า สายตาของคนในงานจะต้องจับจ้องไปที่จางต่งเอ๋อร์ นี่เป็นสิ่งที่คนสวยสมควรได้รับ! 


 


 


เพราะฉะนั้นเธอเลยหยุดฝีเท้าลงอยู่กับที่ จางต่งเอ๋อร์ก็รู้เจตนาดีจึงยิ้มออกมาแผ่วเบา ท่าทางการแสดงออกของซุปเปอร์สตาร์ปรากฏเด่นชัด ค่อยๆ ยกชายกระโปรงยาวและเดินลงบันไดไป 


 


 


จ่านมู่ฮวาหยุดฝีเท้าลงรอซีเหมินจินเหลียน ภายในห้องรับแขกมีชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปี สวมใส่ชุดกังฟูยาวสีฟ้าน้ำทะเล สายตาของซีเหมินจินเหลียนตกไปอยู่ที่ชายวัยกลางคนคนนั้น ในใจก็รู้สึกแปลกๆ คนคนนี้น่าจะเป็นคุณพ่อของจ่านมู่ฮวาและจ่านป๋ายใช่ไหมนะ? ไม่ต้องแนะนำตัว แค่เธอดูจากรูปร่างหน้าตาของพวกเขาก็พอจะดูออกได้ 


 


 


ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จมักจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ภายในตัวของเขาแสดงให้เห็นแบบนั้น แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของซีเหมินจินเหลียนไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นชุดกังฟูยาวสีฟ้าน้ำทะเลนั่น 


 


 


สไตล์การสวมใส่ชุดกังฟู ทำไมเธอถึงได้ดูแล้วก็เหมือนกับที่ผู้อาวุโสหูสวมใส่เลย 


 


 


แน่นอนว่าชุดกังฟูที่เจ้าของบ้านตระกูลจ่านอย่างจ่านอิ๋นสวมใส่นั้น ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือหรือเนื้อผ้าก็ต่างสมบูรณ์แบบ ไม่เหมือนกับของผู้อาวุโสผู้นั้น 


 


 


“ทุกท่าน สวัสดีครับ!” จ่านอิ๋นจับไมโครโฟนส่งเสียงไปทั่วห้องรับแขก ทำให้ห้องที่กำลังจอแจอยู่นั้นได้เงียบลง “ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกรียติมาร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของคนแก่อย่างผม แต่ว่าวันนี้ไม่ใช่แค่วันเกิดของผมแค่อย่างเดียว” 


 


 


จ่านอิ๋นหยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดขึ้นต่อว่า “แต่วันนี้ยังเป็นวันหมั้นของลูกชายตระกูลจ่าน จ่านมู่ฮวา” 


 


 


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงกระซิบกระซาบก็ค่อยๆ ดังขึ้นภายในห้องรับแขก จางต่งเอ๋อร์ที่เดินมาถึงด้านล่างก็ได้เปลี่ยนสีหน้า คืนนี้จ่านมู่ฮวาจะหมั้นหรือ ทำไมเธอถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด? จ่านมู่ฮวาจะหมั้นกับใครกัน หรือว่าจะเป็นเธอ? จางต่งเอ๋อร์เงยหน้าแล้วมองไปที่ซีเหมินจินเหลียนอย่างสับสน 


 


 


ทางด้านซีเหมินจินเหลียนเองก็ตกใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จ่านมู่ฮวาจะหมั้น? เขาล้อเล่นอะไรกัน บอกว่าไม่มีคู่เต้นรำ? เลยนัดเธอมาเป็นคู่เต้นรำด้วย? ถ้ารู้อย่างนี้เธอไม่สมควรมาตั้งแต่แรก แล้วเสี่ยวป๋ายล่ะ? ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตาไปรอบด้านก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของจ่านป๋าย ในใจก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ทำไมจ่านป๋ายยังไม่มาอีกนะ เขาบอกว่าจะไปหาคุณพ่อไม่ใช่หรอกเหรอ แต่ตอนนี้คุณพ่อของเขาก็อยู่ที่ห้องรับแขกแล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาจะไปไหนได้? 


 


 


จ่านป๋ายไม่ใช่คนที่จะไม่รอเธอ แล้วรีบออกไปแบบนี้ 


 


 


“เพื่อนจ่าน นี่มันก็ใจร้ายเกินไปหน่อยนะ หลานมู่ฮวาจะหมั้นทั้งที ทำไมนายถึงไม่บอกฉันก่อนสักคำล่ะ ลุงอย่างฉันก็เลยไม่ได้เตรียมแม้แต่ของขวัญอวยพรเลย นี่คงไม่ได้ล้อหลานมู่ฮวาเล่นหรอกใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนที่อายุราวๆ กับจ่านอิ๋นพูดขึ้นมาเสียงดัง 


 


 


“ใช่ๆ!” ในห้องรับแขกก็มีเสียงดังขึ้นมาสมทบ คนส่วนมากให้ความสนใจว่าคู่หมั้นของจ่านมู่ฮวาเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้นก็ช่างโชคดีเหลือเกิน หลังจากนี้ก็สามารถนอนอยู่บนกองทองเป็นสะใภ้ได้อย่างสบายไม่ใช่หรือ? 


 


 


“เด็กสมัยนี้ ก็ชอบความตื่นเต้นกันทั้งนั้น!” จ่านอิ๋นทอดถอนใจออดมา 


 


 


“คุณชายจ่าน ไม่ทราบว่าลูกสาวตระกูลไหนหรือที่เป็นผู้โชคดีคนนั้น” ในที่สุดก๋มีแขกผู้มีเกียรติที่สนิทสนมของจ่านอิ๋นถามขึ้นมา คำถามนี้เป็นคำถามที่ทุกคนเองกำลังสงสัย 


 


 


จ่านอิ๋นเงยหน้าขึ้น ก่อนที่สายตาจะจ้องมองไปยังซีเหมินจินเหลียนที่กำลังเดินมาได้ครึ่งทางแล้วยิ้ม “มู่ฮวา แกไม่พาคุณหนูซีเหมินลงมาล่ะ มัวรออะไรอยู่? เป็นอะไรไป หรือว่าคราวนี้เกิดอายขึ้นมาแล้ว?” 


 


 


“คุณพ่อ ผมกำลังไปครับ” จ่านมู่ฮวายืนอยู่ข้างๆ ซีเหมินจินเหลียน เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วเขาก็เอื้อมมือไปคล้องแขนซีเหมินจินเหลียนไว้เพื่อพาเธอเดินลงบันได 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง แม้กระทั่งเดินมาถึงข้างล่างก็รู้สึกว่าตัวเองตกไปเป็นเป้าสายตาแล้ว เพียงไม่นานก็เรียกสติกลับคืนมาได้ ก่อนจะออกแรงสะบัดข้อมือจากจ่านมู่ฮวา “จ่านมู่ฮวา นี่คุณเล่นอะไรอยู่ ใครรับปากว่าจะหมั้นกับคุณ?” 


 


 


เสียงของซีเหมินจินเหลียนไม่ดังนัก แต่ก็พอทำให้แขกในงานได้ยินกันทั้งหมด เพียงไม่นานทุกคนต่างก็พากันซุบซิบ 


 


 


“ลูกสะใภ้ของผมคงงอนน่ะครับ” แววตาของจ่านอิ๋นปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ไม่เป็นไร หนูจินเหลียนมานี่เถอะ ถ้ามู่ฮวาแกล้งอะไรหนูก็บอกฉันได้ ฉันจะไม่ปล่อยเขาไปแน่” 


 


 


เมื่อแขกในงานได้ยินเช่นนั้นก็พากันหัวเราะชอบใจ คิดว่าซีเหมินจินเหลียนกับจ่านมู่ฮวากำลังงอนง้อกันตามประสา ไม่ถือสาอะไรกับสิ่งที่เธอพูด แม้กระทั่งมีคนที่สนิทสนมกับจ่านอิ๋นแซวขึ้นมาว่า “ดูสิ ยังไม่ทันได้เข้าบ้าน คุณพ่อก็ออกโรงปกป้องเสียแล้ว ฮ่าๆๆ…” 


 


 


แขกในงานยิ่งหัวเราะคิกคักไม่หยุด ซีเหมินจินเหลียนที่เดิมทีหน้าซีดขาวก็เริ่มมีสีเลือดฝาดแดงขึ้นเล็กน้อย ในใจโกรธสุดขีด จ่านป๋ายล่ะ? ทำไมเขายังไม่มาอีก  


 


 


ไม่ๆๆ เธอต้องใจเย็นไว้ก่อน ใจเย็นไว้! เธอไม่มีทางยอมให้งานหมั้นนี้เป็นจริงได้เด็ดขาด หายใจเข้าลึกๆ ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปหาจ่านอิ๋น ก่อนจะหยิบไมโครโฟนมา พร้อมเคาะเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “ทุกท่าน โปรดเงียบสักครู่ค่ะ!” 


 


 


ในห้องรับแขกที่เดิมทีวุ่นวาย ตอนนี้ก็กลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนจับไมโครโฟนแล้วมองไปที่จ่านมู่ฮวา “ฉันและจ่านมู่ฮวาไม่ได้สนิทกัน และไม่ได้มีงานหมั้นอย่างที่พูด ฉันไม่ยอมรับการหมั้นครั้งนี้ คุณท่านจ่านคะ เชิญคุณปล่อยตัวจ่านมู่หรงออกมาเถอะค่ะ ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้!” เธออยากไปจากที่นี่ แต่เธอต้องพาจ่านป๋ายกลับไปด้วยกัน คืนนี้มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง 


 


 


คนในงานพากันซุบซิบ คิดไม่ถึงยังมีคนที่กล้าปฏิเสธจ่านมู่ฮวาด้วย? ตระกูลจ่านกำลังเล่นอะไรกันอยู่ 


 


 


“หนูจินเหลียนช่วยสงบสติอารมณ์ลงก่อนเถอะ” จ่านอิ๋นไม่ได้โกรธอะไร ก่อนจะยิ้มออกมา “เรื่องมู่หรงเดี๋ยวเขาก็มา ขอแค่หนูไม่ปฏิเสธงานหมั้นในคืนนี้ หนูลองดูสิ แขกในงานมีตั้งมากมาย หนูจะทำให้ตระกูลจ่านเสียหน้าไม่ได้ หนูก็เหมือนกันถูกไหม? ยิ่งไปกว่านั้นลูกชายของฉันก็หน้าตาโดดเด่นกว่าใคร การงานก็เพียบพร้อม สิ่งที่หายากก็คือเขาเห็นหนูเป็นรักครั้งแรก ส่วนตระกูลจ่านก็มีฐานะมั่นคง รับรองว่าไม่ทำให้หนูขายขี้หน้าแน่นอน”  


 


 


“ฉันคิดว่าเรื่องทั้งหมดในคืนนี้เป็นแค่เรื่องตลกค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนสีหน้าไม่พอใจ นี่ล้อเล่นอะไรกันอยู่ เธอกับจ่านมู่ฮวาจะหมั้นกันเนี่ยนะ? ตระกูลจ่านคิดจะทำอะไรกันแน่ เธอเคยเจอจ่านมู่ฮวาแค่สองครั้ง อีกทั้งสองฝ่ายยังเป็นศัตรูกันอีก จนถึงตอนนี้เป็นการเจอครั้งที่สาม คิดไม่ถึงว่าจะต้องหมั้นกับเขา ส่วนเธอคนที่เป็นต้นเรื่องกลับไม่รู้อะไรเลยสักนิด 


 


 


แน่นอนว่าเธอไม่เห็นด้วยกับเรื่องตลกนี้ คิดเสียว่าเป็นฉากตลกให้คนดูแล้วกัน ตอนนี้เธอแค่อยากจะพาจ่านป๋ายออกไปด้วยกัน 


 


 


“หนูซีเหมิน เรื่องในคืนนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าหากหนูอยากจะเจอมู่หรงอีก!” ประโยคสุดท้ายจ่านอิ๋นใช้เสียงระดับที่พวกเขาทั้งสองได้ยินกันแค่สองคนแล้วกัดฟันพูด 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนออกแรงกำมือไว้แน่น ในใจรู้สึกโดดเดี่ยวไม่มีที่พึ่งพิง จ่านอิ๋นเป็นคนที่ชอบบีบบังคับคน จ่านป๋ายก็เป็นลูกของเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้จ่านป๋ายมาบีบบังคับเธอ ให้เธอแต่งงานกับจ่านมู่ฮวา แต่เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจ่านมู่ฮวาจะรักเธอ โดยไม่คิดอะไรทั้งนั้น เพียงแค่อยากให้เธอแต่งงานเข้ามาในตระกูลจ่าน 


 


 


ปัญหาก็คือจ่านอิ๋นเป็นหัวหน้าตระกูลจ่าน คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเรื่องวุ่นวายกับลูกด้วย? แต่ว่าเธอจะทำอย่างไรดี เล่นตามน้ำชั่วคราวไปก่อนหรือจะทิ้งจ่านป๋ายแล้วหนีไป? 


 


 


ตอนนั้นเองผู้ชายร่างอ้วนที่เป็นผู้ดูแลบ้านรีบเดินเข้ามาอย่างร้อนรนและเดินไปที่ข้างๆ จ่านอิ๋นพร้อมกระซิบข้างหู 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม