ความลับแห่งจินเหลียน ส่วน 4 ตอน 74-77
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 74 พินัยกรรม
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นแล้วหัวใจก็เต้นแรง แต่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เรื่องนี้เธอไม่เคยรู้มาก่อน แล้วทำไมจ่านมู่ฮวาที่ไม่ได้อยู่ในวงการเครื่องประดับถึงได้รู้รายละเอียดขนาดนี้?
ราวกับจ่านมู่ฮวาดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ผมเป็นเจ้าของคลับหยก งานนิทรรศการหยกเกือบทุกครั้งคลับหยกล้วนเป็นผู้จัดงาน และเป็นที่มาของคลับหยกด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องส่วนมากผมย่อมที่จะรู้”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ จ่านมู่ฮวาจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ถ้าหากคุณซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินได้สำเร็จ ผมว่าคุณก็จำเป็นต้องเข้าร่วมงานนิทรรศการหยกครั้งนี้นะ”
“ขอบคุณ” ซีเหมินจินเหลียนขอบคุณ บัตรวีไอพีของคลับหยกใบนี้เธอจะรับมันไว้ แต่ว่าถ้าหากไปเข้าร่วมในงานนิทรรศการจริงๆ เธอก็ต้องจ่ายค่าเช่าสถานที่ราคาสูงด้วยเหมือนกัน นั่นก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือในการทำธุรกิจ เพราะฉะนั้นสำหรับความคิดนี้ของจ่านมู่ฮวา เธอไม่ได้มีข้อโต้แย้งใดๆ
“อันนี้ผมก็ให้คุณ” จ่านมู่ฮวามองเป็นนัยไปทางกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะและยิ้มขึ้น “คุณจะไม่ลองเปิดมันดูสักหน่อยหรือครับ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันไม่ต้องการของของคุณ” ซีเหมินจินเหลียนรีบปฏิเสธทันควัน บัตรวีไอพีของคลับหยก เธอจะรับมันไว้ แต่ของอย่างอื่นเธอไม่ต้องการ
แต่จ่านมู่ฮวาเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาเปิดกล่องออกมาและยื่นไปตรงหน้าของเธอแล้วยิ้ม “นี่เป็นของที่ นายพลคาร์ลให้ผม คุณรู้หรือเปล่าว่าภูมิภาคแอฟริกาใต้อุดมไปด้วยเพชรและเขามีเหมืองเพชรหลายแห่งที่นั่น”
ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตามองดูเพชรทั้งหกเม็ดในกล่อง ลักษณะไม่ได้เล็กมาก แต่ถึงจะเล็กแต่เกรงว่าน่าจะสักสองกะรัตได้ หนึ่งในนั้นมีเม็ดที่เป็นสีแดงดอกกุหลาบถูกเจียระไนเป็นรูปหัวใจ ดูแปลกใหม่กว่าใคร อีกทั้งยังเป็นเพชรแท้ๆ ที่ยังไม่ได้ผ่านการจัดใส่ในเครื่องประดับ เธอหยิบขึ้นมาถือไว้ในมือหนึ่งเม็ด และส่องมันไปมา เพชรนั้นก็ดูราวกับดาวหกดวงที่ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ
นอกจากนี้ยังมีอีกเม็ดที่เป็นสีเขียวของใบหญ้า เป็นสีเพชรที่หาพบได้ยาก ส่วนอีกเม็ดเป็นสีฟ้า ส่วนที่เหลืออีกสามเม็ดล้วนเป็นสีแดงเลือด แม้ว่าจะไม่ใช่สีแดงเลือดตามตำนาน แต่ก็ดูไม่เลวเลย สายตาของเธอมองเห็นถึงความบริสุทธิ์สูงสุดในตัวเพชร…
“ฉันไม่รับไว้ดีกว่า” ซีเหมินจินเหลียนรีบนำเพชรสีดอกกุหลาบแดงเก็บไว้ในกล่องกำมะหยีตามเดิม ก่อนจะเลื่อนมันไปข้างหน้าจ่านมู่ฮวา “อย่างที่คุณพูด ไม่มีสีอัญมณีไหนในโลกจะเทียบเท่ากับเสน่ห์ของสีหยกได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นฉันก็มีหยกชั้นดีแล้ว ฉันไม่ต้องการเพชรเพิ่มหรอกค่ะ ขอบคุณเจตนาที่ดีของคุณ”
“ผมอุตส่าห์ปล่อยหลินเสวียนหลานแล้ว อย่างน้อยๆ คุณก็ไม่ควรจะปฏิเสธนะครับ” จ่านมู่ฮวาพูด “เมื่อสักครู่ผมบอกไว้ว่าถ้าผมปล่อยเขา คุณจะต้องรับปากคำขอร้องของผมอย่างหนึ่ง”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรต่อ จริงอยู่ที่เขาเคยพูดไว้ แต่เธอเองก็ไม่ได้รับปาก
“คำขอร้องของผมก็ง่ายดายมาก วันมะรืนนี้ผมต้องไปงานเลี้ยงที่หนึ่ง แล้วผมยังขาดคู่ควงอยู่พอดี” จ่านมู่ฮวาพูด
“ฉันไม่ไปหรอกค่ะ และก็จะไม่ยอมเป็นคู่ควงของคุณด้วย” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ คนอย่างเขานี่น่ะหรือจะขาดคู่ควง? ล้อเล่นอะไรกัน
“วันมะรืนนี้ผมจะมารับคุณ อย่างไรคุณจะต้องไปแน่ๆ” จ่านมู่ฮวาพูดจบก็หยิบเสื้อของตัวเองขึ้นพาดตัว ปิดบังรอยคราบเลือดที่อยู่บนเสื้อเชิ้ต ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังนอกประตู
ซีเหมินจินเหลียนเห็นเขาพูดเองเออเองก็ขี้เกียจใส่ใจ จนกระทั่งเขาเดินไปถึงหน้าประตูแล้ว จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นว่า “ของของคุณ…”
“ไม่มีใครที่ไหนที่ให้ของไปแล้วเอากลับคืนมาหรอกนะครับ” จ่านมู่ฮวาหยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตูแล้วยิ้มขึ้น “ในอนาคตถ้าบริษัทจิวเวอรี่ของคุณอยากได้เพชรไปเป็นของตกแต่ง ก็ติดต่อผมมาได้เลยนะ อย่างน้อยราคาของผมก็ถูกกว่าในตลาดหลายเท่า”
ซีเหมินจินเหลียนยกสองมือขึ้นกอดเข่าขดตัวอยู่บนโซฟา สายตามองไปที่กล่องกำมะหยีที่วางอยู่บนโต๊ะ ข้างในมีเพชรจำนวนหกเม็ด จ่านมู่ฮวากลับไปแล้ว เธอรู้ว่าเขาพูดไม่ผิด เครื่องประดับจากหยกส่วนมากมักจะต้องมีเพชรเป็นองค์ประกอบด้วย ถ้าเธออยากจะเล่นเองก็แล้วไป แต่ถ้าหากในอนาคตเธอซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินได้แล้ว เธอจะหาซื้อวัตถุดิบอีกชิ้นมาประดับหยกได้อย่างไร นี่ก็เป็นปัญหาแล้ว
ถ้าหากไปหาบริษัทรับขายเพชรที่อื่น เธอคงได้ล้มละลายจนหมดสิ้นแน่
จ่านมู่ฮวามีเพื่อนที่มีเหมืองเพชร ถ้าหากซื้อเพชรมาจากแอฟริกาใต้โดยตรง ระหว่างกลางคงลดช่องทางลงได้บ้าง แต่จิตใต้สำนึกของเธอมักจะคิดเสมอว่าคนคนนี้ดูอันตรายเกินไป ถึงเธอจะใช้เชือกมามัดตัวเขาไว้ แต่เธอก็ยังไม่รู้สึกถึงความปลอดภัย จนกระทั่งเขาจากไป
เธอเอนกายพิงโซฟา ก่อนจะโทรไปหาจ่านป๋ายอีกครั้ง ครั้งนี้จ่านป๋ายไม่ได้ปิดเครื่อง เขาบอกเธอว่าถึงเรื่องจะมีปัญหานิดหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ให้เธอวางใจได้ ในเวลานั้นเขาก็หาหลักฐานที่เพียงพอว่าหลินเสวียนหลานโดนใส่ร้าย
ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอนหายใจยกใหญ่ ไม่เป็นอะไรก็ดีไป…
ประมาณเจ็ดโมงเช้าของวันถัดมา จ่านป๋ายกลับมาถึงย่านหลานกุ้ย คฤหาสน์ของซีเหมินจินเหลียน เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาก็เห็นซีเหมินจินเหลียนที่ขดตัวอยู่บนโซฟา ท่าทางคล้ายกับแมวที่ชอบนอนขดตัวเป็นก้อน
“จินเหลียน จินเหลียน…” จ่านป๋ายถอนหายใจ เรียกเธออย่างแผ่วเบา “ทำไมคุณไม่กลับไปนอนที่ห้องตัวเองอีกแล้วล่ะครับ” พูดพลาง สายตาเขาก็ตกไปอยู่ที่กล่องกำมะหยีที่วางอยู่บนโต๊ะ ภายในกล่องมีเพชรอยู่ทั้งหมดหกเม็ด ข้างๆ กล่องมีบัตรวีไอพีของคลับหยก เมื่อเขากวาดสายตามองไปโดยรอบก็เห็นเชือกหนึ่งเส้นวางกองอยู่บนพื้น แล้วยังมีเข็มขัดที่ดูแล้วถูกถอดออกอย่างรุนแรง…
จ่านมู่ฮวา?
จ่านป๋ายตกใจ นี่เขาไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม
“คุณกลับมาแล้วเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนขยี้ตาที่กำลังสะลึมสะลือ มองใบหน้าที่คุ้นเคยของจ่านป๋าย แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในที่สุดเธอก็วางใจลงได้เสียที
“จินเหลียน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม” จ่านป๋ายนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร คุณ…กับพี่หลินเป็นยังไงบ้าง” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น ได้ยินว่าพวกเขาถูกกุมขังไว้ที่สถานีตำรวจ เธอก็รู้สึกเป็นห่วงพวกเขาจริงๆ
“พวกผมไม่เป็นอะไร ว่าแต่…จ่านมู่ฮวาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?” จ่านป๋ายเอ่ยถาม นิสัยของจ่านมู่ฮวานั้นเขาเข้าใจเป็นอย่างดี คนคนนี้ใจคอคับแคบ ชอบแก้แค้น ครั้งก่อนที่คลับหยก ซีเหมินจินเหลียนใช้นางพญางูขาวจัดการเขา เขาคงไม่ได้เคียดแค้นเธอหรอกนะ? เมื่อคืนถือโอกาสที่เขาไม่อยู่ เข้ามาหาซีเหมินจินเหลียนถึงในบ้าน เกรงว่าจะไม่ได้มีเจตนาดีอะไรแน่
ซีเหมินจินเหลียนเห็นเขากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เธอเองก็อารมณ์ดีขึ้นมา “ทำไมคุณไม่ถามว่าฉันทำอะไรเขาบ้าง”
จ่านป๋ายไม่เข้าใจ ก่อนจะมองไปที่เชือกและแส้ ในใจได้แต่ครุ่นคิดว่าจ่านมู่ฮวาหน้าตาสวยงาม จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็เหมือนกับ ต่างชอบของสวยงามทั้งนั้น หรือว่าเธอจะกินจ่านมู่ฮวาจนเรียบ แล้วยังปล้นเขาอีก?
“จินเหลียน คุณทำอะไรเขาอย่างนั้นหรือ” จ่านป๋ายถามลองเชิงเธอ
“ค่ะ” ซีเหมินจินเอียงคอแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ ว่า “เขาเป็นคนเลวร้ายมาก คิดไม่ถึงว่าจะยอมเล่นฉากซาดิสม์จริงๆ แต่เสียดายที่ไม่มีผู้ชม ฉันจับเขามัดไว้แล้วก็ตีไปหลายครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าดูเหมือนเขาจะชอบอะไรแบบนี้…”
จ่านป๋ายฟังจนตาโตอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะตีจ่านมู่ฮวา? นี่…มันไร้สาระยิ่งกว่าตำนานใดๆ เสียอีก แต่ในใจของเขาก็เข้าใจดีว่าซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดโกหก
“เขามีงานอดิเรกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” จ่านป๋ายหัวเราะ “เป็นมาโซคิสม์เนี่ยนะ?”
ซีเหมินจินเหลียนไม่เพียงแต่หัวเราะไม่หยุด แต่เมื่อเธอเห็นจ่านป๋ายปลอดภัยดี และรู้ว่าหลินเสวียนหลานไม่เป็นอะไร จิตใจเธอก็เบ่งบานขึ้นมา รู้สึกว่าจัดการกับจ่านมู่ฮวาไปหนึ่งฉากมันช่างทำให้สุขภาพจิตสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเสียจริง
“เขาบอกว่างานนิทรรศการหยกที่มีขึ้นสามปีครั้งจะจัดที่คลับหยก ในนั้นจะมีการเดิมพันหยกอยู่ ฉันว่าพวกเราน่าจะลองไปเข้าร่วมนะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว” จ่านป๋ายพยักหน้า “นี่เป็นการเปิดตลาดหยกขั้นแรกของพวกเรา แล้วทำไมจะไม่ไปเข้าร่วมล่ะครับ แต่ว่าพวกเราต้องซื้อหุ้นตระกูลหลินให้ได้เสียก่อน”
“ตระกูลหลินทางนั้นว่าอย่างไรบ้าง” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ประเด็นหลักของตระกูลหลินตอนนี้คือทนายจางคนนั้น” จ่านป๋ายพูด “ขอแค่หาตัวเขาให้พบ หาพินัยกรรมที่หลินเสวียเหวินทิ้งเอาไว้ ทุกอย่างก็จะจัดการได้อย่างราบรื่น
“แต่ว่าเขาอยู่ที่ไหนกัน” ซีเหมินจินเหลียนถาม “อีกอย่าง ตกลงคุณปู่หลินตายอย่างไรกันแน่”
“ผมสงสัยว่าน่าจะเป็นฝีมือวางยาของหลินเจิ้ง” จ่านป๋ายพูด “เขาก็ทำไปเพื่อมรดกแล้วก็หยกราชาก้อนนั้น”
“เวรกรรมจริงๆ นรกต้องการตัวเขาแน่” ซีเหมินจินเหลียนพูด อย่างไรหลินเสวียเหวินก็เป็นพ่อแท้ๆ ของเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะวางยาพ่อของตัวเอง เมื่อคิดเหม่อลอยไปไกล เธอก็คิดถึงตัวเอง ตั้งแต่เล็กจนโต เธอยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่ของตนเป็นใครกันแน่
“หลินเสวียเหวินทิ้งพินัยกรรมชุดนั้นไว้ที่บ้าน แน่นอนว่าต้องอยู่ที่หลินเจิ้งแน่ และผมยังสงสัยอีกว่าหลินเสวียนหลานคงจะได้เป็นผู้สืบทอดมรดก เรื่องนี้เลยทำให้หลินเจิ้งไปร่วมมือกับฉินซินเพื่อวางยา ถ้าหากเมื่อคืนไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น บางทีหลินเสวียนหลานก็อาจถูกพวกเขาทำร้ายไปแล้ว” จ่านป๋ายพูดต่อ
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า จ่านมู่ฮวาเคยบอกไว้ว่ารอให้หลินเสวียนหลานมีชีวิตไปได้ถึงคืนวันนี้แล้วค่อยว่ากัน
“ราชาหยกนั่น คืออะไรกันแน่” ซีเหมินจินเหลียนถาม
จ่านป๋ายส่ายหน้า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหยกก้อนนั้นเป็นอะไร แต่รับรองได้ว่าราชาหยกก้อนนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์อะไรกับหนกราชางูอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้หลินเสวียเหวินตายแล้ว ผู้อาวุโสหูก็ยังหายตัวไปอีก ถ้าหากอยากจะรู้ความลับระหว่างราชาหยกและราชางู เกรงว่าคงจะไม่มีหนทาง
“ผู้อาวุโสหูคนนั้นก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน” จ่านป๋ายถอนหายใจออกมา ผู้อาวุโสคนนี้ช่างลึกลับเกินคาด มีแต้ฟ้าเท่านั้นถึงจะรู้
“มีข่าวคราวของทนายจางบ้างไหม” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“มีครับ” จ่านป๋ายตอบ
“เขาอยู่ที่ไหน” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอย่างสงสัย
“ถ้าหากผมวิเคราะห์ไว้ไม่ผิด น่าจะเป็นคนที่ฉินซินจับไว้ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าฉินซินมีประโยชน์อะไรที่จะต้องร่วมมือ เขากับฉินเฮ่าหาเรื่องกันไปมา นั่นก็เป็นเรื่องที่ตระกูลของเขา ไม่จำเป็นต้องลากตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไหนจะจ่านมู่ฮวาอีก เขาก็ไม่ได้ไม่มีเงิน…” จ่านป๋ายขมวดคิ้วพูด จ่านมู่ฮวาไม่เหมือนเขา แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาจ่านป๋ายก็หาเงินมาได้ไม่น้อย แต่ทรัพย์สมบัติของเขาล้วนอยู่ที่ต่างประเทศทั้งหมด ส่วนจ่านมู่ฮวาเป็นเพราะได้รับมรดกตกทอด ถึงมีเงินเพิ่มขึ้น เขาจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องโผล่มายุ่งเรื่องธุรกิจเครื่องประดับ
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา กำไรของธุรกิจเครื่องประดับสูงก็จริง แต่คงไม่ได้ถึงขนาดทำให้ฉินซินและจ่านมู่ฮวาสนใจได้ เป้าหมายของพวกเขาน่าจะเป็นราชาหยกมากกว่า ถึงตอนนี้แล้วเรื่องราชาหยก หลินเจิ้งคงรู้ข้อมูลอะไรเพิ่มขึ้นในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้
ตอนนี้เองเสียงมือถือก็ดังขึ้น ซีเหมินจินเหลียนหยิบขึ้นมาดู กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นสายจากร้านของเถ้าแก่โจว เธอจึงรีบกดปุ่มรับทันที “คุณซีเหมินหรือเปล่าครับ? อรุณสวัสดิ์ คืนนี้ทางผมมีหินหยกขนเข้ามา ไม่รู้ว่าคุณซีเหมินจินเหลียนสนใจจะมาดูไหม” เสียงของเถ้าแก่โจวถ่ายทอดมาทางโทรศัพท์
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 75 แหล่งสินค้าของเถ้าแก่โจว (1)
ครั้งแรกที่ซีเหมินจินเหลียนเดิมพันหยกก็คือที่ร้านเถ้าแก่โจว อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกในการเดิมพันที่กอบโกยเงินมาได้อย่างมหาศาล เปอร์เซ็นต์การปรากฏสีเขียวให้เห็นของร้านเถ้าแก่โจวก็มีสูงมาก
รวมถึงหยกสีแดงลายทองคำก้อนนั้นก็ได้มาจากการเดิมพันจากร้านเขาเช่นกัน เดิมทีซีเหมินจินเหลียนคิดว่า ถ้าอยากจะขายหินหยกก็ต้องหาหยกที่มีคุณภาพสูงน้ำงาม แต่เมื่อกลับมาจากเจียหยาง เธอถึงได้รู้ว่า ถึงจะอยู่ในงานประมูลหยกที่เจียหยาง แต่หยกเนื้อแก้วก็หาพบได้ยาก การที่เธอสามารถเดิมพันได้หยกเนื้องามๆ มา นอกจากจะต้องอาศัยความสามารถในการมองทะลุผ่านแล้ว ยังต้องพึ่งพาดวงล้วนๆ
ไม่เช่นนั้นถ้าหากหินหยกมีแต่หินล้วนๆ หรืออาจจะมีเผยให้เห็นสีเขียวบ้าง แต่สีไม่มีคุณภาพก็ไม่เรียกว่าเป็นของชั้นดี ถึงจะเดิมพันชนะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าภูมิใจ
ตอนอยู่ที่เจียหยาง ร้านที่ออกมาจำหน่ายหยกก็ถูกเธอแสกนมาหมดแล้ว แต่เธอยังไม่เคยเจอหยกแดงลายทองคำลักษณะดีแบบนั้นอีกเลย อีกทั้งยังหาหยกแก้วโบราณสีเขียวสดไม่เจอ
เพราะอย่างนั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เถ้าแก่โจวพูดแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็รีบพูดขึ้นอย่างดีใจว่า “ฉันไปแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ไม่ทราบว่ากี่โมงคะ”
“อาจจะดึกไปสักหน่อยนะครับ น่าจะประมาณสักตีหนึ่งได้” เถ้าแก่โจวพูดขึ้น “ผมยังนัดคนอื่นๆ อีกสองสามคนมาดูสินค้าด้วย ถ้าหากคุณซีเหมินคิดว่าดึกไป พรุ่งนี้ค่อยมาดูก็ได้นะครับ”
ซีเหมินจินเหลียนก่นด่าเงียบๆ อยู่ในใจว่า ถ้ารอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยไป ก็ไม่เท่ากับว่าดูของเหลือจากคนอื่นอย่างนั้นเหรอ? แม้ว่าจะพึ่งความสามารถพิเศษ แต่เธอก็มีโอกาสที่จะได้แต่ของเหลือจากคนอื่น แต่ว่าถ้าสามารถแย่งได้ต่อหน้าคนอื่น มันก็ดีกว่าเก็บของเหลือไม่ใช่หรืออย่างไร
“ไม่ดึกค่ะ อย่างนั้นตอนตีหนึ่ง ฉันจะไปตรงตามเวลานะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ดีเลยครับ ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่รบกวนคุณแล้ว!” เถ้าแก่โจวพูดขึ้นด้วยความเกรงใจ ก่อนจะตัดสายไป
ซีเหมินจินเหลียนโยนมือถือไปไว้อีกฝั่ง เตรียมตัวจะกลับห้องขึ้นไปนอน ช่วงนี้วันเวลาของเธอสลับสับเปลี่ยนกันไปหมด เธอมักจะชอบนอนตอนกลางวันแล้วตื่นตอนกลางคืน
“เสี่ยวป๋าย ถ้าคุณไม่มีอะไรก็นอนพักผ่อนสักหน่อยเถอะ ประมาณตีหนึ่ง พวกเราจะไปดูสินค้าที่ร้านเถ้าแก่โจวกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ผมต้องไปหาทนายจาง ไม่อย่างนั้นเรื่องการซื้อหุ้นของบริษัทตระกูลหลินจะมีปัญหา” จ่านป๋ายส่ายหัวแล้วพูดขึ้น เขาไม่ได้มีชีวิตที่ดี เดิมทีแค่อยากจะซื้อหุ้นของบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ เล่นหยก แล้วใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอะไรกับซีเหมินจินเหลียนเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้ดูจะยิ่งยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ แค่เพียงอยากจะซื้อหุ้นตระกูลหลิน แต่ก็ยังสามารถสร้างคดีความวุ่นวายเอาชีวิตคนได้…
ซีเหมินจินเหลียนเกาะราวบันไดไว้ เตรียมจะขึ้นไปชั้นบน แต่ทันใดนั้นในใจของเธอก็เหมือนกับมีแสงสว่างวาบขึ้นมา “ไม่ต้องหาแล้ว ฉันรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“เขาอยู่ที่ไหนครับ?” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ
“คลับหยก!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
จ่านป๋ายนิ่งอึ้ง แต่เพียงไม่นานก็เข้าใจ ทนายจางคนนั้นคงถูกฉินซินและจ่านมู่ฮวาเก็บซ่อนตัวเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นสถานที่ที่ดีที่สุดก็ย่อมเป็นคลับหยก
“คุณให้ฉินเฮ่าไปหาคนที่ฉินซินก็ได้แล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือเป็นการตอบแทนคุณปู่หลินแล้ว แน่นอนว่าถ้าหาทนายจางไม่เจอ นอกจากนี้ยังมีวิธีที่จะทำให้หลินเจิ้งสับสนได้”
จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้น จู่ๆ ก็ปรบมือดีใจ “จินเหลียน คุณนี่ฉลาดจริงๆ ขอแค่ทำให้หลินเจิ้งรู้ว่าลูกในท้องของหวังเซียงฉินไม่ใช่ลูกของเขา เขาคงจะต้องสับสนวุ่นวายแน่”
ซีเหมินจินเหลียนวางคางพาดกับราวบันได ก่อนจะยิ้มออกมา ดูราวกับอยู่ในห้วงของความรัก
“ผู้หญิงอย่างหวังเซียงฉินนั่น ปากคงเก็บความลับอะไรไว้ไม่อยู่แน่ ถ้าหากหลินเจิ้งรู้ว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของเขา เขาคงจะปฏิบัติต่อเธอหน้ามือเป็นหลังมือ เรื่องที่เหลือก็คงจะจัดการง่ายขึ้น ขอแค่ข้อมูลของคุณไม่ผิดว่าหลินเจิ้งเป็นคนวางยาจริงๆ” ซีเหมินจินเหลียนพูดวิเคราะห์ขึ้น เพราะจ่านมู่ฮวาบอกเธอว่าเขาใช้ให้สถานีตำรวจกุมจับหลินเสวียนหลานเมื่อวาน เธอเลยได้ผลสรุปออกมา
“แต่ในระหว่างที่เด็กในท้องยังไม่ได้คลอดออกมา ถ้าหากอยากจะพิสูจน์ว่าในท้องนั่นเป็นลูกของหลินเจิ้งจริงหรือเปล่า คงมีปัญหานิดหน่อย”จ่านป๋ายขมวดคิ้ว
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มกว้างและพูดขึ้นว่า “ทำไมวันนี้คุณถึงได้เลอะเลือนขนาดนี้นะ พวกเราไม่จำเป็นต้องยืนยันเรื่องของเด็ก ถึงแม้จะเป็นลูกของหลินเจิ้งจริงก็ไม่เห็นเป็นไร ขอเพียงแค่หาชู้ของหวังเซียงฉินได้ก็พอ…แต่ว่าฉันก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง หลินเจิ้งปฏิบัติต่อหวังซียงฉินดีขนาดไหนนั่นไม่ต้องพูดถึงเลย อีกอย่างหลินเจิ้งก็สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นจะต้องหาเรื่องใส่ตัวอีกนะ?” เธอพูดมาถึงตอนนี้ ใบหน้าก็เริ่มซับสีแดงอ่อนๆ ขึ้นมา
“ผมได้ยินมาว่า เรื่องนั้นหลินเจิ้งไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่” จ่านป๋ายฝืนยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“อ่อ…” ซีเหมินจินเหลียนเองก็รู้สึกอึดอัด เธอไม่สนใจจ่านป๋ายอีก หันหลังขึ้นไปด้านบน พระเจ้า! เธอแค่เด็กผู้หญิงบริสุทธิ์คนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะมาหารือเกี่ยวกับปัญหานี้กับผู้ชาย
จ่านป๋ายมองไปที่เงาด้านหลังของเธอแล้วยิ้มออกมา ความจริงซีเหมินจินเหลียนนั้นฉลาดมาก สิ่งที่ซับซ้อนเช่นนี้เธอก็ใช้วิธีการที่ง่ายที่สุดในการแก้ไขปัญหา แต่ตัวของเธอเอง มันช่างใสซื่อบริสุทธิ์เกินไป
ตอนนี้ก็นับว่าเธอเฉลียวฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยมแล้ว นับว่าโตขึ้นแล้วสินะ?
เมื่อคิดถึงซีเหมินจินเหลียนที่ใบหน้าเป็นสีแดงระเรื่อ ดูราวกับผมสตรอเบอรี่ที่สุกเต็มที่ มันก็ช่างเป็นเสน่ห์ที่แสนเย้ายวน จ่านป๋ายอดไม่ได้ที่จะใจเต้นเร็ว เขาโทรไปหาฉินเฮ่าให้เขาไปหาคนจากฉินซิน ส่วนเขาจะมีหนทางอย่างไร จะหาเจอหรือเปล่า นั่นก็ค่อยว่ากัน
จากนั้นเขาก็ต่อสายหาหลินเสวียนหลาน อธิบายเรื่องหวังเซียงฉินให้เขาฟังสั้นๆ รวมถึงเรื่องชู้รักของเธอคนนั้นด้วย หลินเสวียนหลานที่อยู่ปลายสายของโทรศัพท์นั้นดูสงบนิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ในน้ำเสียงเหนื่อยล้าอยู่บ้างนั้นมีความเรียบนิ่งที่ทำให้คนใจสั่น
“รู้แล้ว ผมรู้แล้วว่าต้องทำยังไง พรุ่งนี้จะฝังคุณปู่ ผมหวังว่าคุณกับจินเหลียนจะมาร่วมในพิธีฝังศพ”
หลินเสวียนหลานพูดขึ้น เมื่อผ่านพ้นเรื่องเมื่อคืนไป เกรงว่าเขาคงไม่ใช่คุณชายหลินที่สุภาพอ่อนโยนอีกต่อไปแล้วสินะ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ผมรอฟังข่าวดีจากคุณ” จ่านป๋ายวางสายแล้วปิดประตู เขาเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อพักผ่อนสักหน่อย กลางคืนค่อยไปเดิมพันหินเป็นเพื่อนกับซีเหมินจินเหลียน ในเมื่อพรุ่งนี้หลินเสวียเหวินจะถูกฝัง ถ้าอย่างนั่นก็หมายความว่าหลินเสวียนหลานจะสามารถจัดการทุกอย่างได้ภายในวันพรุ่งนี้ หลังจากผ่านพ้นวันที่ยากลำบาก เขาก็ได้ผ่อนคลายใจลง
สำหรับเรื่องราชาหยก จ่านป๋ายยังรู้สึกใจเต้นแรง แต่รอให้ฝังหลินเสวียเหวินให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นจะให้หลินเสวียนหลานตรวจสอบบัญชีเริ่มแรกของตระกูลหลิน บางทีอาจจะมีอะไรคืบหน้า
หลินเสวียเหวินไม่ใช่ผู้อาวุโสหู เขาคงจะไม่ได้ซ่อนหยกชั้นดีเอาไว้ในมือโดยไม่ได้ทำอะไรแน่ ในเมื่อเขาชดใช้ไม่ได้ สิ่งที่มีความเป็นไปได้ก็คือราชาหยกนั่นน่าจะถูกขายออกไปแล้ว
ค่ำคืนได้เข้ามาปกคลุมพื้นที่อีกครั้ง ปกคลุมแสงไฟในยามค่ำคืนจนหมดสิ้น
ซีเหมินจินเหลียนพิงกายเข้ากับโซฟา พลิกหนังสือพิมพ์ในช่วงสองวันนี้อย่างเกียจคร้าน สายตายังคงตกไปอยู่ที่กล่องกำมะหยีบนโต๊ะ ข้างในกล่องนั่นมีเพชรหกสีที่มูลค่ามหาศาล ถามอย่างสงสัยว่า “เสี่ยวป๋าย พรุ่งนี้จ่านมู่ฮวาจะไปร่วมงานเลี้ยงอะไรเหรอ”
“ครับ?” จ่านป๋ายมึนงง ไม่นานถึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าหากผมจำไม่ผิด เหมือนพรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดของคุณพ่อ”
“เหมือน?” ซีเหมินจินเหลียนฝืนยิ้มออกมา แม้แต่วันเกิดคุณพ่อของเขายังจำไม่ได้ เขาก็เป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่กลับไปด้วยเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามหยั่งเชิงขึ้น
“กลับไปทำไมครับ ผมก็ถูกไล่ออกจากบ้านเรียบร้อยแล้ว” จ่านป๋ายพูด “พูดไปคุณอาจจะไม่เชื่อ คุณแม่ของผมพกทรัพย์สมบัติติดตัวเข้ามาแต่งงาน และเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณพ่อ แต่กับผม เขาก็ไม่อยากจะเจอด้วยซ้ำ”
ซีเหมินจินเหลียนหลุบตาลง ก่อนจะร้อง “อ้อ” ออกมาเบาๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมากมายเหมือนกัน จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็มีเมียน้อยอยู่ข้างนอก ทรัพย์สมบัติถูกครอบครอง ภรรยาตามกฎหมายก็ตกกระป๋องสินะ?
“จ่านมู่ฮวากับคุณเป็นพี่น้องคนละแม่ใช่ไหม” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น
จ่านป๋ายพยักหน้า นี่ก็เป็นคำถามที่ไม่ต้องสงสัยเลย ทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“พ่อของคุณชอบเขามากกว่าเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามอีกครั้ง
“ครับ…” จ่านป๋ายพยักหน้าอีกครั้ง ธุรกิจมรดกตกทอดมากมาย ตอนนี้ก็เป็นชื่อของจ่านมู่ฮวาทั้งหมด ผู้ชายคนนั้นไม่เพียงแต่มีลักษณะที่ดี แต่ยังมีความสามารถทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง นิสัยก็กล้าได้กล้าเสีย
“เขาอายุเท่าไหร่” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น เมื่อคิดถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาแล้ว เธอก็รู้สึกสงสัยขึ้น อายุเขาก็คงไม่น้อยแล้ว แต่รูปร่างหน้าตากลับดูเหมือนเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปด
“เขาเกิดปีเดียวกันกับผม แต่แค่แก่กว่าผมสองเดือน!” จ่านป๋ายพูด
“ฉันก็รู้นะว่าคุณอายุเท่าไหร่” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นยิ้มๆ
“ผมเหมือน ดูเหมือนจะราวๆ ยี่สิบแปดนะ” จ่านป๋ายยิ้ม
ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะเสียงแข็ง ใบหน้าของจ่านมู่ฮวานั่นก็หลอกลวงเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเขาจะอายุยี่สิบแปดแล้ว หน้าตาของเขาราวกับเด็กอายุสิบแปด แต่ปัญหาก็คือ ตอนที่คุณแม่ของจ่านป๋ายยังไม่ได้แต่งงานเข้ามา คุณพ่อของเขาก็รับเลี้ยงผู้หญิงอื่นตั้งหลายคน ไม่เช่นนั้นจ่านมู่ฮวาคงไม่แก่กว่าจ่านป๋าย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นเรื่องน่าเศร้า คุณพ่อของจ่านป๋ายมองเห็นแค่ทรัพย์สมบัติในตัวของคุณแม่จ่านป๋าย เมื่อรอให้ครอบครองทรัพย์สมบัติไปจนหมดก็ทอดทิ้งเธอ แม้กระทั่งลูกก็ไม่ต้องการ ไม่เช่นนั้นจ่านป๋ายคงไม่ถูกทำร้ายจนเลือดเต็มตัว แล้วมาหลบที่ข้างในรถของเธอจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแบบนั้น…
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่เพราะคุณแม่ของจ่านป๋ายทำให้เธอคิดถึงตัวเองขึ้นมา พร้อมถอนหายใจอ่อนแรง ผู้หญิงพอไม่มีเงินก็มักจะถูกคนดูถูก ถ้าผู้หญิงมีเงินแล้วมองคนผิด นั่นก็ไม่เหลืออะไรเหมือนกัน
ลุกขึ้นมาจากโซฟา ซีเหมินจินเหลียนก็เดินลงไปที่ห้องใต้ดิน “ฉันจะทำแท่นหยกนำโชค ปัดเป่าความโชคร้าย ถ้าตีหนึ่งแล้วคุณค่อยมาเรียกฉันนะ”
“ตกลงครับ” จ่านป๋ายหยักหน้าและเดินตามเธอลงไปที่ห้องใต้ดิน ในระหว่างที่กำลังเบื่อไม่มีอะไรทำนั้น เขาก็ใช้โอกาสนี้ทำการทดลองหยกราชางู
เพราะว่าซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธไม่ให้เขาใช้ไฟฟ้าทดสอบราชางู เขาจึงได้แต่ทำผ่านกระจกใส มองหยกไร้สีเท่านั้น
เวลาตีหนึ่งพอดี ทั้งคู่ก็เตรียมตัวออกจากย่านหลานกุ้ย ขับรถไปที่ถนนโบราณที่เป็นที่ตั้งของร้านเถ้าแก่โจว
พวกเขาเคาะประตูร้านของเถ้าแก่โจว เถ้าแก่โจวก็ยังคงเหมือนเดิม เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนแล้วก็ยิ้มออกมา “ทั้งสองท่านมาเร็วไปหน่อยนะครับ รถยังมาไม่ถึงเลย พวกคุณน่าจะรู้ว่าถ้าอยากจะขนย้ายของในเมืองเซี่ยงไฮ้ มันก็ออกจะยุ่งยากสักหน่อย”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าลง แน่นอนว่าเธอรู้ดี หลายครั้งที่อยากจะขนสินค้าเข้ามาในเมือง มักจะเลยเที่ยงคืนตลอด โดยปกติในเมืองจะไม่อนุญาตให้รถขนส่งขนาดใหญ่เข้ามา แถมยังมีการควบคุมเวลาที่เข้มงวด
“เชิญทั้งสองท่านเข้ามานั่งก่อนครับ” เถ้าแก่โจวพูดขึ้นอย่างเกรงใจ พลางเดินนำทั้งสองคนเข้าไปข้างใน
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 76 แหล่งสินค้าของเถ้าแก่โจว (2)
เถ้าแก่โจวเดินพาเขาทั้งคู่เข้าไปอย่างนอบน้อม จากนั้นก็มีลูกน้องเดินเข้ามาเสิร์ฟชา เถ้าแก่โจวมองจ่านป๋ายด้วยความแปลกใจ ในใจรู้สึกสงสัย เดิมทีคิดว่าเธอและหลินเสวียนหลานเป็นคู่รักกัน แต่ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนแฟนแล้วล่ะ? เมื่อคิดถึงหลินเสวียนหลาน เถ้าแก่โจวก็เหมือนคิดขึ้นได้ว่าเขาลืมโทรไปหาเขาเพื่อบอกให้มาดูสินค้า
แต่เมืองอย่างเซี่ยงไฮ้นี้ หากจะบอกว่าใหญ่ก็ใหญ่ บอกว่าเล็กก็เล็ก หลินเสวียเหวินตายลงอย่างกะทันหัน ทำให้บริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ราวกับแกว่งไปมาในลมและฝน มีข่าวลือมาอีกว่าหลินเสวียเหวินตายจากอุบัติเหตุ และหลินเสวียนหลานก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายในครั้งนี้ เรื่องนี้เถ้าแก่โจวย่อมได้ยินมาบ้าง ในสถานการณ์แบบนี้ถึงแม้เขาจะโทรไปหาหลินเสวียนหลาน แต่เกรงว่าเขาคงจะไม่มีกระจิตกระใจมาดูหินหยกกระมัง
“เชิญทั้งสองท่านนั่งก่อนครับ รถน่าใกล้จะมาถึงแล้ว” เถ้าแก่โจวยิ้มทักทายอย่างมีมารยาท
“ไม่มีคนอื่นมาดูสินค้าเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าภายในร้านของเถ้าแก่โจวมีเพียงเธอและจ่านป๋ายสองคน จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างสงสัย เธอยังจำได้ว่าครั้งก่อนที่หลินเสวียนหลานพาเธอมาดูสินค้า ที่นี่ก็คึกคักมาก
“ผมก็บอกคุณซีเหมินคนแรกเลยครับ” เถ้าแก่โจวยิ้มกรุ้มกริ่ม “หากจะให้ทุกคนมาดูสินค้าพร้อมกันมันก็จะดูวุ่นวายไป คุณว่าอย่างนั้นไหม”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา จริงอย่างที่เขาว่า ปกติแล้วทุกคนก็ไม่สามารถดูสินค้าพร้อมกันได้จริงๆ สินะ ไม่อย่างนั้นถ้าหากลูกค้าทั้งสองคนเกิดชอบหินหยกชิ้นเดียวกันพร้อมๆ กัน อาจจะทำให้มีปัญหาในการต่อรองราคาได้ แม้ว่าเถ้าแก่โจวดูจะเสียเปรียบ แต่ถ้าหากชื่อเสียงเสียหาย มันก็ไม่คุ้มกับการสูญเสีย ทำธุรกิจต้องใช้ความน่าเชื่อถือ เพื่อที่อยากจะอยู่นานๆ หน่อย
ส่วนเหตุที่เถ้าแก่โจวบอกเธอคนแรก เธอก็ย่อมรู้ดี เพราะครั้งก่อนเธอเคยผ่าหยกแดงลายทองคำ หยกสีเขียวสดเนื้อแก้วที่ร้านเถ้าแก่โจว การเดิมพันสายนี้มักจะเน้นประสบการณ์และวิสัยทัศน์ แต่ก็เหมือนอาชีพอื่นๆ ที่ย่อมมักจะเคารพคนที่โดดเด่นและทำผลงานได้ดีกว่า เถ้าแก่โจวคงคิดไว้ว่าซีเหมินจินเหลียนคงเดิมพันหยกชิ้นดีๆ จากร้านเขาได้อีกครั้ง
ในระหว่างที่สามคนกำลังนั่งเบื่ออยู่นั้น บทสนทนาก็หนีไม่พ้นเรื่องของหินหยกและเครื่องประดับหยก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ซีเหมินจินเหลียนรอนาน เมื่อเวลาผ่านไปประมาณยี่สิบนาที เธอก็ได้ยินเสียงรถยนต์ดังเข้ามา เถ้าแก่โจวทักทายนิดหน่อย ก่อนจะรีบพาลูกน้องสองคนตามไปเอาของข้างนอก
จ่านป๋ายได้ยินเสียงจากลานด้านหลังร้านแทรกเข้ามา ก็พูดขึ้นว่า “ลูกน้องที่นี่ก็ดีจริงๆ นะครับ ดึกดื่นแบบนี้แล้วยังทำงานต่ออีก”
“ลูกน้องที่นี่ก็ดีมากจริงๆ” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา เมื่อก่อนเธอเคยได้ยินหลินเสวียนหลานพูดว่า ในปีปีหนึ่งเถ้าแก่โจวก็ขนสินค้าเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง เวลาที่เหลือลูกน้องพวกนี้ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว “ถึงจะยุ่งก็ยุ่งแค่วันสองวันเท่านั้นล่ะ”
“อ๊ะ…” จ่านป๋ายรู้สึกแปลกแปลกใจ “จินเหลียน คุณลองมาดูนี่สิครับ”
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกเหมือนมีข่าวดี จึงรีบเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่างด้านหลัง แล้วมองไปด้านนอก ที่ด้านนอกนั้นมีลานเล็กๆ ด้านหลังเป็นที่วางกองหินหยกของเถ้าแก่โจว จนถึงตอนนี้ก็เห็นลูกน้องสองคนกำลังทำตามคำสั่งของเถ้าแก่โจว ใช้เครนไฟฟ้าขนย้ายหินหยกก้อนใหญ่ลงมา ที่เหลือส่วนมากจะเป็นหินก้อนเล็กธรรมดา ที่ใช้แค่คนคนเดียวขนก็ได้แล้ว
หินหยกแม้ว่าจะเป็นหิน แต่กระบวนการขนย้ายก็แตกต่างไปจากหินที่ใช้ก่อสร้างโดยสิ้นเชิง มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหินลักษณะภายนอกที่น่าเกลียดเหล่านี้ ในนั้นจะซ่อนหยกที่มีคุณค่าอยู่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นกระบวนการขนย้ายจึงต้องระวังมากเป็นพิเศษ
นอกจากลูกน้องสองคนของร้านเถ้าแก่โจวแล้ว ยังมีผู้ชายท่าทางกำยำใช้แรงงานอีกห้าคน ขนย้ายหินหยกพวกนี้อย่างมีระเบียบ
“คุณดูอะไรอยู่เหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอย่างสงสัย
“ผู้ชายห้าคนนั้น” จ่านป๋ายกระซิบ
ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่ผู้ชายทั้งห้าคน ดูแล้วอายุน่าจะราวๆ ยี่สิบหรือสามสิบปี หน้าตาหยาบกร้าน ร่างกายเป็นชายกำยำ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เป็นผู้ชายบึกบึนทั้งนั้น ไม่ใช่คนหล่อสักหน่อย มีอะไรน่าดูกัน”
จ่านป๋ายได้ยินแล้วหัวเราะ ถึงค่อยๆ อธิบายให้เธอฟัง “คุณอย่าดูถูกผู้ชายห้าคนนั้นเชียวนะครับ แม้ว่าพวกเขาจะกำลังขนย้ายหินหยก แต่ดูทักษะของเขาแล้วก็รวดเร็วและดูมีความคล่องแคล่ว ไม่เหมือนคนธรรมดาเลย”
“พวกเขาเป็นใครกันเหรอ” สัญชาตญาณของเธอถามออกมาโดยไม่ต้องคิด
“เหมือนกับ…” จ่านป๋ายยิ้มแล้วส่ายหัว ความจริงแล้วคนพวกนี้จะมีที่มาอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาทั้งสิ้น เขาเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นถึงถามขึ้น “คุณคงจะรู้แหล่งที่มาของหินหยกจากร้านเถ้าแก่โจวใช่ไหมครับ”
“เมื่อก่อนเหมือนเคยได้ยินที่หลินเสวียนหลานพูดว่า น่าจะถูกลักลอบมาจากพม่า” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรการลักลอบก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี ในใจของเธอมักจะมีความรู้สึกคัดค้าน
จ่านป๋ายสับสน ลักลอบเข้ามา? ตอนนี้ก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ทหารฝั่งพม่าเข้มงวดอย่างยิ่งเกี่ยวกับหินหยก ถ้าหากจับคนที่ลักลอบได้ นี่คงไม่ใช่แค่ถูกจำคุก แม้กระทั่งโทษหนักอาจจะถึงขั้นประหารชีวิต เพราะอย่างนั้นการลักลอบนำเข้าหยกก็ค่อยๆ ยากขึ้นเรื่อยๆ
มิน่าล่ะห้าคนนั้นดูแล้วก็ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป จ่านป๋ายครุ่นคิดอยู่ในใจ หรือเป็นทหารจากพม่า? แล้วทำเกี่ยวกับหินหยกเสียเอง ก่อนจะยักยอกเงินเพื่อผลประโยชน์สักหน่อย นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ถ้าหากเป็นทหารของพม่า แล้วร่วมมือกับพ่อค้าที่นี่เพื่อลักลอบขนหยกจริง ก็น่าจะเป็นที่เจียหยางหรือไม่ก็พิงโจวแถวนั้นสิ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขนย้ายมาไกลถึงเซี่ยงไฮ้นี่นา? จ่านป๋ายตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ในใจด้วยความสงสัย
“ฉันได้ยินมาว่าตอนที่เถ้าแก่โจวยังเป็นวัยรุ่น เขาก็เป็นนักเดิมพันที่ตรงไปตรงมา แต่สุดท้ายก็แพ้เดิมพัน จนทรัพย์สินในบ้านก็สูญหายไปจนหมด หลังจากนั้นก็ได้เพื่อนๆ ช่วยเหลือเอาไว้ ถึงได้เปิดร้านหินหยกเล็กๆ ขึ้นมา ตัวเขาเองยังมีสายตาที่ดี แต่ฉันได้ยินว่าเขาบอกว่าพิงโจวและเจียหยางมีการแข่งขันสูง ทำธุรกิจไม่ดีเท่าเมืองเซี่ยงไฮ้”
จ่านป๋ายฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก แถวเจียหยาง พิงโจว เถิงชง การเดิมพันหินเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เกือบทุกครัวเรือนประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหินหยก ไม่ว่าจะเป็นการแกะสลัก การเจียระไนหรืออื่นๆ หยางเหม่ยเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเมืองแห่งหยก ส่วนที่เซี่ยงไฮ้ คนทั่วไปอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเดิมพันหยกคืออะไร แต่ในเซี่ยงไฮ้ก็มีบริษัทจิวเวอรี่ใหญ่ๆ อยู่ที่นี่ ตราบใดที่ผู้ค้ามีส่วนร่วมในธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องประดับหยก การเดิมพันหินก็เป็นช่องทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ร้านเถ้าแก่โจวก็เลยเลือกทำกิจการที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ถือว่าเลือกทำเลได้อย่างเยี่ยมยอดจริงๆ
เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สินค้าหินหยกทั้งหมดที่อยู่บนรถก็ถูกขนย้ายไปที่โกดังของเถ้าแก่โจว เถ้าแก่โจวและทั้งห้าคนทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง พูดสิ่งที่ซีเหมินจินเหลียนฟังไม่เข้าใจ เธอคิดว่าน่าจะเป็นภาษาพม่า
“จินเหลียน คนพวกนี้ไม่ใช่คนพม่าครับ” จ่านป๋ายขมวดคิ้วแล้วกระซิบพูดขึ้น เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ถ้าหากเมื่อครู่นี้เป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้เขายิ่งมีข้อสงสัยเพิ่มมากขึ้น
“ไม่ใช่คนพม่า?” ซีเหมินจินเหลียนแปลกใจเช่นกัน
จ่านป๋ายพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ฟังจากสำเนียงที่พูดแล้ว น่าจะเป็นแถบลาวครับ”
“ลาวหรือคะ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ่งสงสัยมากขึ้น
จ่านป๋ายพูด “ผมเคยไปที่นั่นมาครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะฟังไม่ออกว่าพวกเขาพูดอะไร แต่สำเนียงแบบนี้คิดว่าไม่น่าผิดครับ”
ซีเหมินจินเหลียนรู้ดีว่าสถานที่อย่างประเทศลาวนั้น มันไม่สามารถใช้คำธรรมดาคำหนึ่งมาอธิบายความวุ่นวายได้ ชื่อสถานที่เรียกว่าสามเหลี่ยมทองคำ ที่นั่นเป็นที่ของสามพรมแดน ที่นั่นมีกิจกรรมทุกชนิดที่ผิดกฎหมาย หรือว่าเถ้าแก่โจวจะไปมีความสัมพันธ์กับพวกเขา?
แต่สามเหลี่ยมทองคำก็ตั้งอยู่ที่พรมแดนลาว พม่าและไทย หินหยกของเถ้าแก่โจวอาจจะขนย้ายมาจากทางนั้น? แต่ว่าเขตตรวจชายแดนของแต่ละที่ เมื่อเห็นสินค้าของพวกเขาก็น่าจะตรวจสอบเข้มงวดขึ้นสิ? ผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มกับสิ่งที่รับ
แต่ถ้าคนเหล่านี้เป็นหนึ่งในกองกำลังส่วนตัวของสามเหลี่ยมทองคำสักฝั่งหนึ่ง จ่านป๋ายก็ยิ่งแปลกใจ ร้านหินหยกเล็กๆ ของเถ้าแก่โจวจะมีปัญญาไปเลี้ยงพวกเขาได้อย่างไรกัน แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขา พวกเขาแค่มาซื้อหินหยกเท่านั้น
ไม่ช้ารถขนของที่บรรทุกชายกำยำทั้งห้าคนก็ค่อยๆ หายจากไปท่ามกลางแสงคืน
เถ้าแก่โจวผลักประตูเดินเข้ามายิ้ม “ทั้งสองท่านคงรอนานแล้ว ไปดูสินค้ากันเลยไหมครับ?”
“ดีเลยค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
“เถ้าแก่โจว สินค้าที่มาครั้งนี้ไม่น้อยเลยนะครับ” จ่านป๋ายถามหยั่งเชิงเขา
“ใช่ครับ” เถ้าแก่โจวพยักหน้า “สินค้ารอบนี้มากกว่าเก่าเยอะหน่อย คุณภาพก็ดี หวังว่าทั้งสองท่านจะเลือกหาสิ่งที่ชอบได้นะครับ”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ครั้งนี้มีหินหยกเท่าไหร่เหรอคะ”
“คุณซีเหมินดูเอาเองเถอะครับ” เถ้าแก่โจวพูดในขณะที่เดินพาทั้งสองมาถึงที่ในโกดังด้านหลัง
ซีเหมินจินเหลียนใช้สายตากวาดมอง นี่ก็เป็นจำนวนไม่น้อยเลย มีทั้งขนาดเล็กทั้งขนาดใหญ่ ดูรวมๆ แล้วหินหยกน่าจะประมาณร้อยกว่าชิ้นได้ อีกทั้งเถ้าแก่โจวก็ไม่ได้แยกชนิดออกมาอย่างชัดเจน ถึงเวลาที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษในการมองเห็นของเธอแล้ว หินหยกตั้งมากมายแบบนี้ ถ้าจะใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่านทั้งหมดก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเลือกหินหยกแค่ลักษณะภายนอกดูดี เผยให้เห็นสีเขียวชัดหน่อยก็น่าจะโอเค
“ทั้งสองท่านค่อยๆ ดูเถอะครับ ดูเสร็จแล้วค่อยเรียกผมก็ได้” เถ้าแก่โจวยิ้มทั้งตาแล้วพูดขึ้น เขาขอตัวก่อนจะเดินออกไป ลูกน้องของเขาทั้งสองคนก็เดินตามออกไปด้วย
คนส่วนมากเวลาเดิมพันหินมักจะมีลักษณะผิดแปลกอยู่บ้าง เวลามองสินค้าไม่ชอบให้ใครเดินมารบกวน เพราะอย่างนั้นเถ้าแก่โจวจึงรีบพาลูกน้องทั้งหมดเดินออกไป
แม้ว่าจ่านป๋ายจะเคยติดตามซีเหมินจินเหลียนเข้าร่วมงานประมูลที่เจียหยางมาก่อน แต่สำหรับการเดิมพันหิน เขาก็ยังยากที่จะเข้าใจ เมื่อเห็นทั้งห้องที่กองเต็มไปด้วยหิน อีกทั้งทั้งหมดก็เป็นหินที่ได้มาจากการเดิมพันก็ยิ่งตาลาย เขาสัมผัสก้อนนี้ทีอย่างสงสัย ก่อนจะไปสัมผัสก้อนนั้นอีกครั้ง ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ทำไมผมดูแล้วก็รู้สึกว่ามันจะเหมือนกันทุกก้อนเลยล่ะ”
ความจริงซีเหมินจินเหลียนก็อยากจะพูดว่าเท่าที่เธอดูมาเกือบทั้งหมดแล้ว นี่ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างไปจากหินก่อสร้างธรรมดา แต่เมื่อได้เห็นหินหยกตั้งมากมายในเวลาสั้นๆ เธอก็ยังคงตื่นเต้นดีใจไม่หาย
การเล่นเดิมพัน ถึงจะเป็นการโกง แต่ก็ทำให้คนเสพติด
“จินเหลียน คุณรีบมาดูนี่สิครับ!” จู่ๆ จ่านป๋ายก็ส่งเสียงร้องเรียกขึ้น “คุณดูสิว่าผมเจออะไร?”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินเข้าไปหา เห็นจ่านป๋ายคุกเข่าลงกับพื้น มองไปที่หินหยกที่มีขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่งของลูกฟุตบอล ลักษณะพื้นผิวของมันเป็นสีเหลืองแกมน้ำตาลธรรมดา แต่หินหยกก้อนนั้นกลับเผยให้เห็นเนื้อหยกออกมาข้างนอก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสีเขียวมรกตที่ใสบริสุทธิ์ ไม่น่าล่ะเขาถึงดีอกดีใจ
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 77 หยกสีแดงกุหลาบ
ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่ลักษณะผิวภายนอกของหินหยกและคาดเดาว่าน่าจะเป็นหยกชนิดผิวบาง จัดอยู่ในรูปแบบเโบราณคลาสสิค มีโอกาสเผยให้เห็นสีเขียวสูง แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นสีเขียวอันตรายได้เหมือนกัน หลอกว่าด้านนอกมีสีเขียวเยอะ แต่พอข้างในอาจจะไม่มีเลยก็ได้ อีกทั้งลักษณะของหินหยกแบบนี้เท่ากับเป็นการเดิมพันครึ่งหนึ่ง เถ้าแก่โจวไม่ใช่คนโง่ ราคาต้องยุ่งยากขึ้นแน่ๆ
แน่นอนว่าเป้าหมายของซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ใช่แค่หินหยกก้อนนี้ นอกจากนี้พอสินค้าของเถ้าแก่โจวมาถึงรอบนี้ เขาก็บอกกับเธอเป็นคนแรก ถ้าหากจะพูดให้ดีหน่อยก็คงเป็นเพราะเขาเห็นว่าสายตาของเธอเฉียบคม แต่ถ้าพูดแย่สักหน่อยก็คือ ความจริงแล้วเขาก็แค่อยากจะใช้สายตาของเธอในการแสกนสินค้าก่อนก็เท่านั้น
ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ถ้าเธอเจอสินค้าที่ถูกใจเมื่อไหร่ เถ้าแก่โจวคงขึ้นราคาสูงแน่ หยกชิ้นนี้กลับกลายเป็นของในการอำพรางชั้นดี เมื่อคิดถึงเท่านี้ซีเหมินจินเหลียนก็ยิ้มออกมา รับหินหยกก้อนนั้นมาจากมือของจ่านป๋าย ก่อนจะมองดูอย่างละเอียด บนหินหยกมีลายเส้นหยกที่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ จุดสีเขียวก็มีน้อย อีกทั้งยังไม่ได้รวมตัวกันอย่างแน่นหนา แต่ลักษณะแบบนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
มือขวาสัมผัสไปที่หินหยกสีเหลืองแกมน้ำตาลก้อนนั้น ความร้อนแทรกซึมผ่านเข้าไป หลายวันที่ผ่านมาเธอใช้ความสามารถของตัวเองจนค่อนข้างชำนาญ เพียงไม่นานผิวของหยกสีเหลืองแกมน้ำตาลก็ได้จางหายไปในดวงตาของเธอ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตากลับเป็นสีเขียวเข้ม แต่สีเขียวนี่มองอย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ
ซีเหมินจินเหลียนแอบอุทานอยู่ในใจ หินหยกก้อนนี้ไม่ใช่สีเขียวอันตราย ความจริงแล้วเป็นสีเขียวสดที่หายากด้วยซ้ำ แต่เสียดายที่ความโปร่งแสงไม่ดีเท่าไหร่นัก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหยกขี้หมา คุณภาพเลวร้ายที่สุด หินหยกทั้งก้อนดูแล้วไม่มีส่วนประกอบของน้ำเลยแม้แต่น้อย ถ้าพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือมีความเหมือนภาพในสมัยก่อนที่เธอเคยเห็น ดูคล้ายกับขี้หมาตากแห้งท่ามกลางทุ่งหญ้าในชนบท…
แต่ลักษณะหินหยกภายนอกดูอย่างไรมันก็หลอกลวงเกินไป เนื้อหยกเปลือยข้างนอก นึกไม่ถึงว่าเป็นคริสตัลโปร่งแสง แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นเป็นเนื้อแก้ว แต่ก็เป็นระหว่างเนื้อแก้วและเนื้อน้ำแข็ง ความโปร่งแสงยิ่งไม่ต้องพูดถึง สว่างสดใสชุ่มฉ่ำ ราวกับต้นหญ้าอ่อนในฤดูใบไม้ผลิ ที่เพิ่งได้รับความชุ่มชื้นจากฝนฤดูใบไม้ผลิ
“วางไว้ข้างๆ ก่อนเถอะ รอเถ้าแก่โจวเปิดราคาไม่สูงเกินจริงแล้วพวกเราค่อยซื้อ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“โอเคครับ” จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ตนเองก็สนใจเห็นหินหยกก้อนนี้เพราะลักษณะพื้นผิวดูดี เกรงว่าลักษณะน่าจะไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่เช่นนั้นถึงแม้จะแพงขนาดไหน เธอก็คงไม่ลังเลที่จะซื้อ อุตส่าห์หาโอกาสเสนอความคิดเห็นแล้วเชียว คิดไม่ถึงว่าจะล้มเหลวเสียได้ จ่านป๋ายเดินตรงไปที่ระเบียงของประตูอย่างว่าง่ายก่อนจะนั่งลง ให้ซีเหมินจินเหลียนเลือกหินหยกอย่างสบายใจ ไม่ไปรบกวนเธออีก
ซีเหมินจินเหลียนมองจ่านป๋ายที่เดินออกไปแล้วและมองไปรอบด้าน ตอนที่เถ้าแก่โจววางกองหินหยกลงนั้น ถึงแม้จะไม่ได้แยกประเภทหินไว้ให้ แต่หินหยกก้อนใหญ่ก็ถูกวางกองไว้ที่ตรงกลาง
ก้อนใหญ่ที่สุดตรงกลางก้อนนั้น ดูแล้วน่าจะสักประมาณหนึ่งตันครึ่ง ผิวหินชั้นนอกมีสีขาวอมเทาที่หายาก ซีเหมินจินเหลียนจะมองแค่ผิวหินอย่างเดียวก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าหินหยกก้อนนี้เป็นอย่างไร แหล่งผลิตมาจากที่ไหน แต่เธอก็พอประเมินได้อยู่ กลัวว่าหยกก้อนนี้ก็ยังเป็นหยกชนิดผิวบาง จัดอยู่ในสไตล์เก่าแก่โบราณคลาสสิก
ของในร้านเถ้าแก่โจว สินค้าชนิดผิวเบาบางก็มีมากเหมือนกัน
นอกจากนี้ก็มีแค่หินหยกชนิดผิวบาง น้ำหนักไม่เท่ากัน เริ่มจากไม่กี่กิโลไปจนถึงหลายร้อยกิโล จนกระทั่งไปถึงตันก็มี
ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ลักษณะของหินหยกก้อนนี้ไม่เลวเลย ผิวเปลือกเป็นสีเทาอมขาว ตรงกลางมีจุดหยกที่หนาแน่น แต่กลับไม่มีลายเส้นหยก
เธอหยิบไฟฉายออกมาจากกระเป๋าแล้วส่องเข้าไปดู ผิวนั้นไม่ได้หนา จนสามารถพูดได้ว่ามันบางมาก! เมื่อมองผ่านแสงของไฟฉาย เธอก็สามารถเห็นสีเขียวที่ซ่อนอยู่ข้างใน
เมื่อใช้มือสัมผัสเข้าไป ผิวสัมผัสก็นุ่มลื่น ถ้าหากมีสีเขียวปรากฏลักษณะน่าจะไม่เลว ซีเหมินจินเหลียนคิดในใจ แม้ว่าเธออยากที่จะหาพวกที่สีสันและลักษณะหลากหลาย หยกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโรแมนติก แต่เมื่อคิดว่าต้องมีของในบริษัทจิวเวอรี่เป็นของตัวเอง หินหยกระดับชั้นกลางไปจนถึงชั้นสูง เธอก็ต้องมีสำรองไว้ให้มาก
ของดี แน่นอนว่ายิ่งมีเยอะก็ยิ่งดี ไม่มีใครรังเกียจที่ตัวเองจะมีหยกมากเกินไป
มือขวาสัมผัสลงไปด้านบน ความร้อนแผ่เข้าไปในหินหยก เปลือกที่เดิมทีคลุมหินหยกไว้อีกชั้นก็เหมือนกับเสื้อคลุมอาบน้ำของหญิงสาว ที่ค่อยๆ หลุดออกไป เผยให้เห็นเนื้อน้ำแข็งสีเขียว และความมันวาวของหยกสีเขียวทั้งแผ่น
แต่น่าเสียดาย มีสีมรกตที่อยู่ใกล้ๆ จุดสีเขียวสวยสง่าอยู่ที่เดียว ที่เหลือก็เป็นหินสีขาวล้วน มันก็ดูแย่มาก
“สีเขียวติดเปลือกที่ชอบหลวงหลอกคน” ซีเหมินจินเหลียนก่นด่าไม่หยุดอยู่ในใจ การเดิมพันสายนี้ สิ่งที่น่ากลัวก็คือสีเขียวติดเปลือก ลักษณะผิวภายนอกดูดีเกินไป แต่ที่จริงมีสีเขียวติดเปลือกอยู่ในนั้น ผลลของมันทำให้นักเดิมพันยัดเงินลงไป แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้เดิมพันจนไม่เหลือแม้แต่ที่ซุกหัวนอน
ซีเหมินจินเหลียนเคยได้ยินมาว่าผู้เชี่ยวชาญนักเดิมพันหินส่วนมาก มักเคยมีประสบการณ์ผิดพลาดกับสีเขียวติดเปลือกมาทั้งนั้น เพราะว่าหินหยกหนึ่งก้อน ถ้าหากลักษณะผิวไม่ได้ดีมาก เจ้าของสินค้าก็คงไม่ถึงกับเพิ่มราคา แม้ว่าเจ้าของคิดว่าเก็บไว้ก่อน รอให้ราคาดีแล้วค่อยขายออกไป แต่ผู้ซื้อก็ไม่ได้เห็นแค่การหลอกหลวงผิวเผินแล้วจะซื้อ
แต่สีเขียวติดเปลือกนี่ก็จริงๆ ในเวลาเดียวกันมันทำให้เจ้าของสินค้าส่วนมากขึ้นราคา ส่วนผู้ซื้อก็ทุ่มทุนไม่ยอมแพ้
ซีเหมินจินเหลียนสัมผัสไปที่หินหยกก้อนใหญ่ก้อนนั้น ในใจครุ่นคิดว่าจะซื้อดีหรือไม่ จากนั้นค่อยขายให้กับคนที่มาซื้อต่อ เผื่อจะทำกำไรได้สักหน่อย? แต่เมื่อย้อนคิดดูอีกทีแล้ว ถ้าทำอย่างนี้มันก็ดูจิตใจโหดร้ายเกินไป ตอนนั้นที่เธอหลอกลวงหลินเจิ้ง ก็เป็นเพราะเขาหาเรื่องใส่ตัวก่อน อีกอย่างตอนนั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร ตอนที่เห็นหวังเซียงฉินก็รู้สึกเกลียดแบบบอกไม่ถูก หรือจะเป็นเพราะว่าเธอแซ่หวัง?
สำหรับหินหยกสีเขียวติดเปลือกก้อนนี้ เธอจะปล่อยมันไปก็แล้วกัน แต่ถ้าราคาของเถ้าแก่โจวเปิดมาไม่สูงเกินจริง เธอก็อาจจะยอมเป็นคนเสียเปรียบซื้อไป แบบนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ข้างๆ กันนั้นยังมีหินหยกอีกห้าหกก้อน น้ำหนักราวๆ สามสี่ร้อยกิโลกรัม ขนาดถือว่าใหญ่ใช้ได้ ส่วนลักษณะที่เผยให้เห็นก็ดูไม่เลวเลย ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกเลื่อมใสในตัวเถ้าแก่โจวอยู่บ้าง หินหยกที่ดูลักษณะดีพวกนี้ เขาไปหามาจากที่ไหนกันนะ?
แต่ผลที่ได้จากการใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่านไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้
เธอปล่อยวางกับการค้นหาหินหยกขนาดใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา ความจริงเธอชอบหินหยกขนาดใหญ่เสียมากกว่า นักแกะสลักหยกส่วนมากมักจะอิงตามหินหยกที่ถูกเปิดออกมา แล้วถึงค่อยเจียระไนแกะสลักเป็นเครื่องประดับหรือของประดับตกแต่งต่างๆ แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับชอบที่ตัวเองอยากจะแกะสลักอะไร แล้วมีหินหยกขนาดใหญ่รอให้เธอเลือกใช้มากกว่า
เพราะอย่างนั้นทุกครั้งเวลาดูสินค้า เธอก็ชอบพุ่งตรงไปที่หินหยกขนาดใหญ่ก่อนเสมอ
แต่เมื่อซีเหมินจินเหลียนอยู่ที่โกดังข้างในของร้านเถ้าแก่โจว ทั่วบริเวณทั้งหมดก็ไม่เห็นมีอะไร คิดไม่ถึงเลยว่าจะเลือกหินหยกที่พึงพอใจไม่ได้ เธอได้แต่ถอนหายใจออกมาไม่หยุด หยกชั้นดีจำเป็นต้องรอคอยจริงๆ ถึงแม้จะมีความสามารถในการมองทะลุผ่าน แต่เธอก็แค่มีข้อได้เปรียบมากกว่าคนอื่นแค่นิดหน่อยเท่านั้น ถ้าอยากจะหาหยกชั้นดีมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยจริงๆ
แสงแดดยามเช้าอ่อนๆ สะท้อนผ่านเข้ามาทางหน้าต่างแล้วตกกระทบไปอยู่ที่หินหยก ซีเหมินจินเหลียนดับไฟฉายในมือก่อนจะหาวออกมา ในระหว่างที่กำลังจะล้มเลิกนั้น เธอก็หยิบหินหยกไม่กี่ชิ้นขึ้นมาอย่างสุ่มๆ เพื่อจะเอาไปขายทำกำไรต่อ จากนั้นก็กลับไปนอน แต่เวลานี้สายตาของเธอก็บังเอิญเห็นพื้นผิวที่หยกว่ามีแสง…
มีแสงอย่างนั้นเหรอ?
ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง เมื่อใดที่มีปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น แสดงว่าจะมีหยกชั้นดีเผยให้เห็น อย่างเช่นหยกสีเลือดในตำนาน เธอไม่เพียงแต่สั่นสะเทือนทางจิตใจ แต่รีบเดินเข้าไปดูหินหยกก้อนนั้น ผิวสีแดงแกมเหลือง สีไม่ได้สะดุดตา หากวางไว้ท่ามกลางหินหยกอื่นๆ จะต้องถูกมองข้ามอย่างแน่นอน
ซีเหมินจินเหลียนคาดคะเนในน้ำหนัก คิดว่าน่าจะประมาณสามสี่สิบกิโลกรัมได้ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่
เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว จุดหยกและเส้นลายหยกไม่มีทั้งสิ้น ถ้าวางไว้ต่อหน้าคนส่วนมาก คงจะเป็นแค่หินไร้ค่า แต่เมื่อมีประสบการณ์จากการมองหมอกในครั้งนั้น เธอก็ดูอย่างละเอียดอีกครั้ง เป็นอย่างที่คิดไว้ ผิวด้านบนซ่อนแผ่นหมอกสีแดงไว้จางๆ เมื่อยื่นมือไปสัมผัสผิวก็นุ่มลื่นกว่าปกติ ในใจได้แต่ด่าตัวเองที่สะเพร่า ผิวที่ละเอียดอ่อนและชุ่มชื้นเช่นนี้ เธอก็เกือบจะพลาดโอกาสไปแล้ว
หรือว่านี่จะเป็นหยกสีแดง? หรือไม่ก็หยกม่วงดอกไลแอคเหมือนครั้งนั้น?
โดยปกติแล้วถ้ามีหมอกสีแดงคงจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากสองสิ่งนี้ เธอไม่สนใจมันแล้ว ตอนนี้ฟ้าใกล้จะสว่าง เธอต้องรีบดูให้เสร็จแล้วกลับไปนอน ซีเหมินจินเหลียนคิดแล้วก่อนจะใช้มือขวาสัมผัสลงไปตรงๆ
ผิวสีแดงแกมเหลืองก็ได้หายไปจากสายตาของเธอ ข้างในมีหินสีขาวหนาแน่นมาคั่นไว้ น่าจะลึกประมาณสามเซนติเมตร
ซีเหมินจินเหลียนอึ้งนิ่งอยู่นาน ในใจมีแต่ความสงสัย แหล่งกำเนิดแสง แน่นอนว่าเป็นแสงในตัวของหยกเอง กั้นด้วยผิวที่หนา แสงของหยกไม่น่าจะสะท้อนออกมาได้ ตอนนั้นผิวของหยกสีเลือดก็ไม่ได้หนา ไม่สิ ผิวของหยกสีเลือดหนาบางไม่สม่ำเสมอกัน เพราะอย่างนั้นทำให้แหล่งกำเนิดแสงทะลุผ่านมาได้
ตามที่ผู้อาวุโสเคยพูดไว้ ตอนนี้คนที่เข้าใจในแสงของหยกดูมีน้อยมาก น้อยมากจริงๆ คนส่วนมากใช้แต่อุปกรณ์สมัยนี้ ไฟฉายและแว่นขยาย แต่ละเลยในดวงตาที่ดีของตนเอง
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าแสงยามเช้าที่จะเข้ามา ซีเหมินจินเหลียนก็คงไม่ได้ใส่ใจในหินหยกก้อนนี้ แต่สีของหยกกลับทำให้เธอคาดไม่ถึง
เป็นหยกสีแดง แต่ไม่ใช่หยกสีแดงสดธรรมดา และไม่ใช่หยกสีแดงไฟ อีกทั้งไม่ใช่หยกสีเลือดที่ทำให้ผู้พบเห็นตกใจ และไม่ใช่ม่วงดอกไลแอค…
แต่เป็นสีแดงดอกกุหลาบที่ให้กลิ่นอายถึงความโรแมนติกของยุโรป แต่ว่าเป็นสีตรงกลางระหว่างสีแดงสว่างและสีม่วงดอกไลแอค สดใสกระจ่างตา ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งความรัก ราวกับคนรักที่สวยงาม ผิวของหยกนุ่มลื่นมาก ลักษณะข้างในแน่นอนว่าไม่มีอะไรที่ไม่ดี ความโปร่งแสงสูง ความมันวาวเต็มเปี่ยม แม้ว่าจะเทียบกับคริสตัลใสบริสุทธิ์อย่างราชางูไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นหยกเนื้อแก้วระดับดี
ซีเหมินจินเหลียนมองแค่แวบเดียวก็หลงรักเข้าแล้ว อีกทั้งเมื่อวิเคราะห์ดูจากลักษณะของผิวภายนอก นี่น่าจะเป็นโรงงานต่ามู่ข่าน ได้ยินว่าโรงงานต่ามู่ข่านอุดมไปด้วยหยกสีแดง ชื่อเสียงเป็นไปตามที่คิดไว้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น