ความลับแห่งจินเหลียน ส่วนที่ 4 ตอนที่ 67-73

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 67 ชัยชนะ

 

“ตามที่พี่ต้องการ!” ฉินเฮ่าพยักหน้า 


 


 


ไม่นานผู้ดูแลของคลับระดับสูงชั้นดีก็เข้ามาเพื่อเป็นพยานพิสูจน์ว่าคาสิโนชิปของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้นถึงห้าร้อยล้านดอลล่า 


 


 


“การพนันรอบนี้ จะสามารถริบคาสิโนชิบจากฝ่ายที่แพ้ได้ คุณผู้หญิงคุณผู้ชายสามารถวางเดิมพันได้ตลอดระหว่างนั้น และสามารถเพิ่มคาสิโนชิบได้ทุกเมื่อ” เจ้ามือพูดด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด แต่ก็มีความเหมือนหุ่นยนต์ ฟังแล้วราวกับเหมือนโลหะหลอมอยู่ 


 


 


ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น เพิ่มเดิมพัน การพนันแบบนี้ไม่มีใครยอมเพิ่มเดิมพันง่ายๆ หรอก 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่ฉินเฮ่า ถ้าหากเขาแพ้จะเป็นอย่างไร จ่านป๋ายยังคงใบหน้าเรียบเฉย ไม่พูดไม่จาสักคำ เมื่อไม่มีใครคัดค้าน ดังนั้นการพนันก็เริ่มต้นขึ้น 


 


 


เหนือความคาดหมายของซีเหมินจินเหลียน ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงนั้น คิดไม่ถึงว่าเธอจะหยิบไพ่ดีๆ ไม่ได้เลยสักครั้ง โชคของเธอราวกับจำกัดให้แค่ทดลองเล่นกับฉินเฮ่าเมื่อสักครู่เท่านั้น 


 


 


ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ดวงของจ่านป๋ายและฉินเฮ่าเหมือนไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก พวกเขาแพ้ไปไม่น้อย ส่วนเธอก็คอยจับตามองดูจ่านมู่ฮวากับซาโต้อิจิโร่ แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสองคนนี้ไม่ได้ขยับมือขยับไม้อะไร ฉินซินยิ่งไม่ได้เล่นอะไรตุกติก 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ถ้าหากเพียงแค่พึ่งดวงแล้วแพ้ไปห้าร้อยล้านดอลล่า เธอคงร้องไม่ออกแน่ แม้ว่าคนที่แพ้จะไม่ใช่เงินของเธอ… 


 


 


“คุณซีเหมิน ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ คุณก็จะไม่เดิมพันเพิ่มเหรอครับ” ฉินซินเหลือบไปมองจ่านมู่ฮวาแวบหนึ่ง แล้วก็มองไปที่ซีเหมินจินเหลียนแล้วพูดขึ้น 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกำลังมองไพ่หงายที่ถูกวางลงสามใบ รวมถึงไพ่ต่ำที่อยู่ในมือตัวเองอีกสองใบ ในไพ่หงายสามใบที่เผยให้เห็นนั้น แบ่งเป็นเอซโพแดง เก้าโพดำและเก้าข้าวหลามตัด แต่ไพ่ที่ต่ำสุดในมือเธอกลับเป็นแปดโพดำและแจ็คโพดำ 


 


 


บนโต๊ะพนันถ้าหากยังปรากฏไพ่โพดำอีกสองใบ เธอก็สามารถเก็บเป็นกลุ่มไพ่โพดำได้ แต่ถ้าอยากได้ไพ่โพดำแล้วเรียงกันด้วยความเป็นไปได้คงมีไม่มาก 


 


 


ไม่สนใจในคำท้าทายของฉินซิน ซีเหมินจินเหลียนใช้มือสัมผัสไปที่โต๊ะ แล้วส่งพลังในการมองทะลุผ่านออกไป ไพ่น้อยสุดของจ่านป๋ายเป็นเอซโพดำและเอซดอกจิก ถ้ารวมกับไพ่หงายสามใบสามารถรวมกลุ่มเป็นเอซสามใบ บวกกับแต้มเก้าอีกคู่จะกลายฟูลเฮาส์ ไม่น่าล่ะที่เขาลงเดิมพันเพิ่มไป 


 


 


ฉินเฮ่าน่าเวทนามาก ใบหนึ่งเป็นสี่ดอกจิก ส่วนอีกใบเป็นหกโพดำ สับไพ่อย่างไรก็ไม่เป็นประโยชน์ 


 


 


แต่ในระหว่างใช้ความสามารถในการทองทะลุผ่านกับฉินซิน ซีเหมินจินเหลียนก็อึ้งอยู่นาน คิดไม่ถึงว่ามือของเขาก็มีไพ่ที่แย่ทั้งชุด แต่ยังคงเดิมพันตามไป ใบหนึ่งเป็นห้าโพดำ อีกใบเป็นเอซข้าวหลามตัด… 


 


 


ภายในไพ่หงาย ไม่สามารถปรากฏเอซได้แล้ว ซีเหมินจินเหลียนเหลือบมองจ่านป๋าย ถ้าอย่างนี้เขาไม่สามารถนำเอซมารวมกันได้สี่ใบ 


 


 


ส่วนซาโต้อิจิโร่คนนั้น ทำให้ซีเหมินจินเหลียนเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก ในมือหยิบได้แต้มสิบทั้งสองใบ แบ่งเป็นข้าวหลามตัดกับโพแดง 


 


 


ส่วนจ่านมู่ฮวาคนสวยคนนั้นไพ่ต่ำก็คือไพ่เหมือนกันทั้งสองใบ แบ่งเป็นเก้าดอกจิกและควีนข้าวหลามตัด 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามใช้ความสามารถในการมองทะลุไปที่ไพ่ที่เจ้ามือเก็บไว้อยู่ ถ้าหากไพ่ที่ลงไปมีโพดำเพิ่มสองใบ เธอก็จะฟูลเฮ้าส์ได้ แน่นอนถ้ามีแต้มเก้าโผล่มา จ่านมู่ฮวาคงรวมไพ่แต้มเก้าทั้งสี่ใบ รอบนี้เขาคงชนะไปอย่างสวยงาม 


 


 


ความสามารถในการมองทะลุผ่านไปถึงไพ่ที่เจ้ามือเก็บไว้อยู่ เธอก็เห็นอย่างชัดเจน ซีเหมินจินเหลียนหยุดคิดทบทวนในใจ ก่อนจะโยนคาสิโนชิปจำนวนสามสิบล้านออกไป 


 


 


“ในที่สุดคุณซีเหมินก็วางเดิมพันเพิ่มแล้ว” จ่านมู่ฮวายิ้ม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราเพิ่มอย่างอื่นอีกไหมครับ” 


 


 


“เพิ่มเป็น sm อีกสักรอบดีไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอ่อน “คุณจ่านสวยขนาดนี้ น่าจะโชว์ทุนอะไรสักหน่อย” 


 


 


จ่านมู่ฮวาเองก็ไม่ได้โกรธอะไร “พวกเราเดิมพันอย่างอื่นกันเถอะครับ” 


 


 


“คุณอยากจะเดิมพันอะไรล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น “ฉันคิดไม่ออก หรือคุณยังมีอะไรที่คุ้มค่าในการวางเดิมพันอีก?” 


 


 


“เดิมพันตัวผมเป็นอย่างไร” จ่านมู่ฮวายังกล้าพูดอย่างไม่อายปาก “ดูน่าสนุกไหมล่ะครับ ผู้หญิงผู้ชายเหมือนกัน ในเมื่อคุณซีเหมินเมื่อสักครู่ชมผม แสดงว่ายังพอสนใจตัวผมอยู่บ้าง ถ้าอย่างนั้นคุณอยากจะเดิมพันดูสักตั้งไหม” 


 


 


จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกว่า ตระกูลจ่านนั้นมีแต่คนที่สติไม่สมประกอบ จ่านมู่ฮวาคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร 


 


 


“เดิมพันอย่างไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มถาม 


 


 


“ถ้าหากผมชนะในรอบนี้ คุณซีเหมินต้องสละตัวเองมาแต่งงานกับผม แต่ถ้าผมแพ้ ผมก็เป็นคนของคุณแล้ว คุณจะทำอย่างไรกับผมก็ได้” จ่านมู่ฮวาพูด “แต่ไม่รู้ว่าคุณซีเหมินกล้าเดิมพันหรือเปล่าครับ?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเบิกตากว้างมองเขา คนคนนี้เธอก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี ถ้าเธอชนะ จ่านมู่ฮวาคงคอยหนีบัญชีที่ค้างไว้แน่ แต่ถ้าเธอแพ้เธอต้องแต่งกับเขา? แน่นอนเธอสามารถคิดทบทวนได้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นหาทางออกไม่ได้ จ่านมู่ฮวาคงหาข้ออ้างที่ชาญฉลาดมาหาเรื่องเธอ 


 


 


จ่านป๋ายเงยหน้ามองจ่านมู่ฮวา ในสายตามีแววพิฆาตเกิดขึ้น 


 


 


ส่วนซีเหมินจินเหลียนได้แต่คิดวุ่นวายไปมา ถึงค่อยพูดขึ้นว่า “ดูแล้วฉันเหมือนจะหมดหนทางเลือกสินะคะ ถ้าแพ้ก็ยังต้องแต่งงานกับสามีคนสวยอย่างคุณ? ยังมีอำนาจและเงิน? ถ้าชนะฉันก็ยังขายคุณได้ แต่เมื่อสักครู่เหมือนคุณจ่านจะบอกว่า การเดิมพันคนบางครั้งก็มีความเสี่ยงไม่ใช่เหรอคะ” 


 


 


“นี่ก็ไม่นับว่าเป็นการเดิมพันคนครับ” จ่านมู่ฮวายิ้มจนดูน่าหลงใหล 


 


 


“ตกลงค่ะ ฉันเห็นว่าคุณสวยหรอกนะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า 


 


 


เพราะว่าพวกเขามีการวางเดิมพันที่พิเศษ ยิ่งทำให้ผู้คนที่เหลือสนใจ จ่านป๋ายเลยวางเดิมเพิ่มพันอีกครั้ง ฉินซินก็เพิ่มตามเข้าไป ส่วนซาโต้อิจิโร่ไม่ต้องพูดถึงต่างวางเดิมพันกันอย่างต่อเนื่อง 


 


 


เจ้ามือเริ่มแจกไพ่ ไพ่หงายใบที่สี่ถูกวางลงไว้บนโต๊ะ ซีเหมินจินเหลียนยกมุมปากยิ้มอย่างพอใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสิบโพดำ 


 


 


ตาขวาของซาโต้อิจิโร่กระตุกขึ้น แต่สติไม่ได้แตกกระเจิง 


 


 


ในใจของซีเหมินจินเหลียนรู้สึกกดดันอยู่บ้าง ไพ่ใบสุดท้าย แม้ว่าเธอจะเห็นแล้ว แต่การพนันบนโต๊ะวันนี้ ช่างฝีมือระดับเซียนทั้งนั้น ถ้าหากจ่านมู่ฮวานำไพ่ใบนั้นเปลี่ยนเป็นเก้า เขาก็เป็นผู้ชนะที่มีไพ่สูงสุด ในขณะนั้นถ้าไพ่ต่ำมีเลขสิบ ผู้ที่จะชนะก็คือซาโต้อิจิโร่… 


 


 


“คุณผู้หญิงคุณผู้ชาย เชิญวางเดิมพันได้” เจ้ามือป่าวประกาศด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก 


 


 


เมื่อถึงตาฉินซิน ซีเหมินจินเหลียนที่เดิมทีคิดว่าเขาจะเปิดไพ่ไม่เล่นด้วยแล้ว แต่เหนือคาดหมายเขากลับลงคาสิโนชิปทั้งหมดลงไป จากนั้นก็กระแอมไอออกมาอย่างเกียจคร้าน “เวลาดึกแล้ว ผู้แพ้กลับบ้านไปนอน” ประโยคนี้ ช่างกระแทกใจนักพนันเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


ซาโต้อิจิโร่เมื่อได้ยินคำพูดไร้สาระเมื่อครู่ก็นำคาสิโนชิบขึ้นมาด้านบน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหยิบกระจกและลิปสติกออกมาจากในกระเป๋า เริ่มมองกระจกและทาลิปอย่างตั้งใจ 


 


 


“คุณซีเหมิน ถึงตาคุณแล้วครับ” ฉินซินยิ้ม 


 


 


“อ่อ…” ซีเหมินจินเหลียนรีบพูด “พวกคุณต่างก็ลงเดิมพันใหญ่เลยนะคะ จะเล่นเดิมพันทรัพย์สินในบ้านจริงๆ เหรอคะ” เธอพูดพลางนิ้วมือแกว่งลิปสติกโยนไปมา แท่งลิปสติกสีแดงก็ล่องลอยออกไป มันเกือบตกไปอยู่ยังไพ่ที่ถูกเก็บไว้ที่ด้านหน้าเจ้ามือ… 


 


 


“ขอโทษค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนทำเป็นหลุดมือ ก่อนจะแกล้งทำเป็นขอโทษ 


 


 


เจ้ามือที่เดิมทีหน้าตายราวกับหุ่นยนต์ เพียงไม่นานก็ได้เปลี่ยนสีหน้า ส่วนซาโต้อิจิโร่และจ่านมู่ฮวาก็เช่นกัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู 


 


 


ลิปสติกสีที่ซีเหมินจินเหลียนเลือกเป็นสีแดงสด ราวกับกลีบดอกท้อ เมื่อตกไปอยู่ยังไพ่ที่ถูกเก็บไว้ด้านบน… 


 


 


ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะมีความสามารถในการเปลี่ยนสลับของ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนไพ่ใบนั้นออกไปได้ นี่เป็นไพ่โรคจิตใบหนึ่ง ที่ถูกทำสัญลักษณ์ไว้บนไพ่ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรก่อนจะรีบเก็บลิปสติกเข้าไปในกระเป๋าแล้วยิ้มออกมา “ในเมื่อทุกคนต่างทุ่มเทขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ลงให้หมดเถอะ!” พูดพลางนำคาสิโนชิปของตัวเองผลักออกไปตรงกลาง 


 


 


จ่านป๋ายแม้กระทั่งวาจาก็คร้านที่จะพูดขึ้น นำคาสิโนชิปทั้งหมดผลักไปตรงกลาง 


 


 


เจ้ามือที่เดิมทีสีหน้าตายด้าน จนถึงตอนนี้ยิ่งเหมือนหุ่นยนต์เข้าไปทุกที ไพ่หงายใบสุดท้ายก็เปิดเผยอยู่บนโต๊ะ เจ็ดโพดำหนึ่งใบทิ่มแทงสายตา 


 


 


เมื่อสักครู่ทุกคนต่างนำคาสิโนชิปขึ้นไปบนโต๊ะ แต่ตอนนี้เหมือนไม่มีอะไรให้พูด 


 


 


ไพ่หงายห้าใบบนโต๊ะ  แบ่งเป็นเจ็ดโพดำ เก้าโพดำ เก้าข้าวหลามตัด สิบโพดำ เอซโพแดง 


 


 


“คุณผู้หญิง คุณผู้ชาย ถ้าไม่เพิ่มเดิมพัน อย่างนั้นก็ลงไพ่กันมาเลยครับ” เจ้ามือหุ่นยนต์พูด 


 


 


ฉินซินพูดถอนหายใจและนำไพ่แจกลงไปบนโต๊ะ เอซสองใบ ไม่ต่ำแล้ว 


 


 


ตาขวาของซาโต้อิจิโร่กระตุกขึ้นอีกครั้ง นำไพ่ที่อยู่ในมือสาดลงไป รอบนี้เขาไม่มีความจำเป็นที่จะแพ้ สิบสองใบเสริมกับไพ่สิบโพดำหนึ่งใบและเก้าสองใบ เขาสามารถทำเป็นฟูลเฮ้าส์ได้เหมือนกัน… 


 


 


“ผมเหมือนจะแพ้แล้ว แต่ขอแค่ชนะคุณซีเหมินก็พอ!” จ่านมู่ฮวาเปิดไพ่ตัวเองทั้งสองใบออกมา เก้าสองคู่ บนโต๊ะยังมีไพ่เก้าอีกใบ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ยิ้ม ฉินเฮ่ามองจ่านป๋าย รอบนี้มีผลต่อทรัพย์สินที่บ้านเขา ถ้าหากจ่านป๋ายแพ้ คืนนี้เขาก็ไม่เหลืออะไร 


 


 


จ่านป๋ายนวดขมับของตัวเองแล้ววางไพ่สองใบลงไป เอซสองคู่ บวกกับบนโต๊ะที่มีไพ่เอซอีกหนึ่งใบและเก้าอีกสองใบ เขาก็สามารถทำเป็นฟูลเฮ้าส์ได้เหมือนกัน เพียงแต่แค่สูงกว่าซาโต้อิจิโร่หน่อย 


 


 


“น้องรัก คืนนี้แกก็ดวงดีเหลือเกินนะ” จ่านมู่ฮวาปรบมือ สายตาลอบไปมองที่ซีเหมินจินเหลียน 


 


 


ขอแค่เขาชนะเธอ รอบนี้ เขาถึงจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เหลือไม่สำคัญอะไรแล้ว 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเปิดไพ่สองใบออกแล้วส่งไป แปดโพดำแจ็คโพดำ มองแล้วเหมือนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับไพ่ที่อยู่บนโต๊ะ แต่สามารถเรียงเลขได้… 


 


 


จ่านมู่ฮวาที่เดิมทีใบหน้าขาวอยู่แล้วก็ยิ่งขาวซีดเข้าไปใหญ่ นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน? ส่วนฉินเฮ่าได้แต่หัวเราะออกมา คืนนี้เขาก็ได้รับมาไม่น้อยเลย 


 


 


ฉินซินใช้แรงในการบีบกำปั้น ควบคุมตัวที่สั่นระริก ซาโต้อิจิโร่มองไปที่ซีเหมินจินเหลียน เป็นไปได้อย่างไร ก่อนที่ไม่ได้เปิดไพ่กัน พวกเขาได้วางเดิมพัน ความจริงฉินซินใช้ให้เจ้ามือพยายามเปลี่ยนไพ่หงายใบสุดท้าย 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นเก้าหรือสิบ พวกเขาทางนี้ต่างเป็นผู้ชนะ แต่ซีเหมินจินเหลียนเอาลิปสติกลอยไปติด เพื่อทำสัญลักษณ์ไว้ ถึงจะมีความสามารถก็ไม่สามารถขยับได้ 


 


 


เจ้ามือไม่ได้โง่ เพียงแค่แจกไพ่ด้วยความซื่อสัตย์ จ่านมู่ฮวาและซาโต้อิจิโร่ก็ไม่สามารถเล่นโกงอะไร เพียงแค่นั่งมองอย่างนิ่งๆ… 


 


 


“เหมือนว่าฉันจะชนะแล้วนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนหมุนตัวไปมองฉินเฮ่าแล้วยิ้ม “พี่ฉินคะ คุณต้องเลี้ยงนะ!” 


 


 


“แน่นอนๆ” ฉินเฮ่ายิ้มอย่างดีใจแล้วพยักหน้า “เมื่อไหร่คุณว่าง ผมจะเลี้ยงเองเป็นอย่างไรครับ” 


 


 


“ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้เลยค่ะ รบกวนพี่ฉินเชิญผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาที่นี่เลย พวกเรามาชม sm กันสักรอบให้ประจักษ์ตา!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มกระตุกมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์แล้วมองไปที่จ่านมู่ฮวา  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 68 นี่เพิ่งแค่เริ่มต้น

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สายตาของทุกคนก็จับจ้องมองไปที่จ่านมู่ฮวา ในเวลานี้ซีเหมินจินเหลียนก็หันไปหาหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญในการสอนของคลับนี้  แน่นอนว่าในครั้งนี้บุคคลทั่วไปไม่สามารถที่จะเข้าร่วมได้ เพียงแค่อยากจะให้จ่านมู่ฮวาเห็นดีก็เท่านั้น 


 


 


อย่าพูดถึงเธอตอนนี้ที่ชนะในการนัดพนันรอบนี้เลย ถึงจะนัดกันอีกสักรอบ จ่านมู่ฮวาก็ต้องติดค้างเธออีกครั้งแน่ 


 


 


แต่ทุกคนรู้ดีว่าอย่าพูดถึงคนอวดเก่งอย่างจ่านมู่ฮวาเลย ถึงแม้จะเป็นผู้ชายธรรมดาก็คงไม่ยอมมาเล่น sm แบบนี้ ทหารฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ 


 


 


“คุณซีเหมิน คุณไม่ได้คิดจะเล่นจริงๆ หรอกใช่ไหมครับ” จ่านมู่ฮวาหันไปมองจ่านป๋าย ก่อนจะเดินไปตรงหน้าเธอ เพราะว่าซีเหมินจินเหลียนนั่งอยู่ เขาเลยย่อตัวยื่นมือไปจับผมที่อยู่ตรงหน้าผากข้างหน้าเธอ “ความจริงแล้ว ถ้าหากคุณซีเหมินอยากจะเล่นจริงๆ ผมก็ไม่สนใจถ้าหากคุณจะลงมือเอง” 


 


 


เพียะ! เสียงนั้นดังขึ้นอย่างชัดเจน จ่านมู่ฮวาเห็นเงาสีขาวที่ด้านหน้าของตัวเอง ได้แต่หลบหลีกอย่างร้อนรน แต่ด้วยความเร็วของเงาขาวนั้น ความเร็วของเขาก็ไม่อาจต้านทานได้ หลบที่หน้าได้ แต่เงาขาวก็ได้ตีหนักหน่วงไปที่คอของเขาแทน ความปวดแสบปวดร้อนกำลังแผดเผาคอสีขาวกระจ่างใสของเขา… 


 


 


จ่านมู่ฮวายื่นมือไปลูบไล้ตรงบริเวณนั้น ผิวที่คอจะเป็นผิวที่นุ่มกว่าตรงอื่นเป็นธรรมดา ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามีรอยช้ำเลือด ในตอนนี้เขาถึงเห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ทำร้ายเขาเป็นของเล่นอะไรกันแน่ มือขวาของซีเหมินจินเหลียนมีงูสีขาวพันรัดไว้ งูสีขาตัวเล็กที่นุ่มนิ่ม… 


 


 


 งูที่ตัวเล็กกระจิดริดแค่นี้ คิดไม่ถึงว่าจะมีแรงมหาศาลขนาดนี้ ภายใต้การโจมตีนั่น ถ้าหากโดนที่ใบหน้า เกรงว่าผิวที่หน้าคงจะต้องเจ็บสาหัสไม่เบา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหลบหลีกอย่างรวดเร็ว คืนนี้คงต้องเจ็บปวดรวดร้าวแน่ 


 


 


จ่านป๋ายยิ้มเยาะอย่างสะใจ พร้อมมองไปที่จ่านมู่ฮวา เขาเข้าใจเขาดี ตามนิสัยของเขาคงไม่อดทนกับเรื่องน่าอับอายแบบนี้แน่ 


 


 


แต่เหนือความคาดเดาของเขา สายตาของจ่านมู่ฮวาเป็นประกาย จากนั้นก็ลูบไล้ไปที่รอยแผล เหมือนจะมองซีเหมินจินเหลียนด้วยความสงสัย… 


 


 


เป็นเพราะเธอผิดปกติ หรือว่าตนเองผิดปกติกันแน่? ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนสามารถปฏิเสธเขาได้ เรื่องนี้เขามั่นใจเป็นอย่างมาก ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะที่บ้าน เสริมสร้างกับสไตล์ที่เป็นที่ต้องการ ไม่ว่าเขาอยากได้ผู้หญิงแบบไหน เขาก็ไม่ต้องใช้แม้กระทั่งเงิน แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ได้เห็นการมีตัวตนของเขา อยู่ๆ ก็จัดการเขาเสียอย่างนั้น 


 


 


“ผิวนี่ก็ไม่เลวเลย เมื่อมีรอยฟาดแบบนี้แล้วยิ่งสวยเข้าไปใหญ่” ซีเหมินจินเหลียนสางผมไปมา ก่อนจะหัวเราะขึ้น “คุณจ่านคะ ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็ควรเริ่มได้แล้วนะคะ ฉันรอดูอยู่นะ” 


 


 


ถึงแม้ฉินซินจะแพ้เดิมพันจนหมดตัว แต่เวลานี้เขากลับมีความคิดที่น่าสนใจ คุณชายของตระกูลจ่าน ถ้าหากให้คนมาจัดฉากการแสดงจริงๆ หึๆ… 


 


 


เขาก็ไม่รู้ว่านี่มันเป็นความคิดอะไรกัน แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่ทำไมเขาก็ยังยิ้มเยาะเมื่อคิดถึงผิวของจ่านมู่ฮวาที่ดูดีเช่นนั้น 


 


 


จ่านป๋ายมีความรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขามองย้ำไปที่จ่านมู่ฮวาอยู่หลายรอบ 


 


 


“คุณซีเหมิน เรามาทำข้อตกลงกันสักหน่อยเป็นอย่างไรครับ?” จ่านมู่ฮวาสัมผัสไปที่รอยแผลบนคอของเขาแล้วย่นคิ้ว “วันนี้ผมเหนื่อยมากจริงๆ เดิมพันของคุณผมขอติดไว้คราวหลังได้ไหม” 


 


 


“หรือคุณจ่านอยากจะใช้เวลาเตรียมตัวให้ดี พอคัดค้านไม่ได้ ก็เลยเลือกที่จะเสพสุขดีกว่า อย่างนั้นหรือคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเสียดสีเขา 


 


 


“คงจะเป็นอย่างนั้นครับ” จ่านมู่ฮวายิ้ม “คุณซีเหมินคงไม่เคยเห็นการแสดงจริงๆ สินะครับ บางทีคุณควรจะรู้สึกสักหน่อย ผมก็ตื่นเต้นที่จะถูกคุณสั่งสอน” 


 


 


จ่านป๋ายงงงัน ฉินเฮ่าก็ยังคงไม่ได้สติ นี่เป็นคำพูดที่จ่านมู่ฮวาพูดออกมาอย่างนั้นหรือ? 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เมื่อฉันมีเวลาแล้วค่อยมาทำความรู้จักกับโชว์ของจริง ให้ผู้เชี่ยวชาญของที่นี่สอนสักรอบหน่อย จากนั้นจัดการคุณเสร็จ แล้วค่อยขายการแสดงให้กับที่นี้ คุณหน้าตาสวย ค่าแสดงคงไม่น้อย อนาคตฉันก็คอยพึ่งค่าตั๋ว ก็คงไม่อดตายแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางยืนขึ้น ต้องการที่จะให้จ่านมู่ฮวามาแสดง นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เธอก็หาคำปลอบใจเล็กน้อย อย่างน้อยก็ได้สั่งสอนเขาสักหน่อย 


 


 


“เสี่ยวป๋าย พวกเรากลับกันเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนหันหน้าไปคุยกับจ่านป๋าย 


 


 


“ก็ดีครับ ตอนนี้เวลาก็จะเช้าแล้ว พวกเราสมควรกลับกันได้แล้ว” จ่านป๋ายลุกขึ้นยืนแล้วคล้องแขนซีเหมินจินเหลียนไว้พร้อมคุยกับจ่านมู่ฮวา “พี่ พี่ก็พักผ่อนเร็วๆ หน่อยเถอะ นอนดึกเกินไปจะทำให้ผิวไม่ดี ถ้าหากแก่แล้ว พี่ก็คงไม่มีอะไรที่ดูดีแล้วล่ะ” 


 


 


สายตาของจ่านมู่ฮวาจ้องมองเขาอย่างอาฆาตแค้น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขายินดีที่จะพนันและยอมรับในการพ่ายแพ้ ถึงแม้ว่าอยากจะปฏิเสธ แต่วันนี้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเอ่ยปากออกมาท่ามกลางสถานที่แบบนี้ 


 


 


“พี่ฉิน คุณอย่าลืมเก็บของเดิมพันมาด้วยนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนหันหลังมองไปที่ฉินเฮ่าแล้วยิ้ม โปรยเสน่ห์แพรวพราวออกมา 


 


 


ฉินเฮ่ามองอย่างตกตะลึง ส่วนจ่านมู่ฮวาและฉินซินก็สับสนเช่นกัน ครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้น เธอก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงได้ขนาดนี้ แต่เมื่อยิ่งมองเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากจะมองต่อไป 


 


 


“พี่ใหญ่ ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนี้ ผมขอให้พี่นำทรัพย์สมบัติที่อยู่ในชื่อพี่โอนมาเป็นชื่อผมด้วยนะ!” ฉินเฮ่าพูดออกไป 


 


 


ภายในห้องหรูหราที่ถูกจองไว้ ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ฉินซินและจ่านมู่ฮวา 


 


 


จ่านมู่ฮวาอดไม่ได้ที่จะลูบไล้ไปที่รอยแผลบนคอของเขา ก่อนจะถามขึ้น “เป็นยังไงบ้าง”    


 


 


“ผมได้รับข้อมูลมาแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อย” ฉินซินยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น ไม่รู้สึกว่าตัวเองแพ้ย่อยยับในการพนันครั้งนี้ แต่กลับเป็นการเพิ่มความมั่นใจเข้าไปอีก 


 


 


“แต่ผมหวังว่าเรื่องทุกอย่างจะเป็นอย่างที่คิดไว้ ผมก็มองคนไม่ผิด ไม่อย่างนั้นคงต้องสูญเสียหนักแน่ๆ ผมน่ะไม่มีอะไรต้องเสีย ก็แค่แพ้ให้กับการแสดงฉากหนึ่งเท่านั้น แต่คุณหต้องสูญเสียทรัพย์สินไป” จ่านมู่ฮวายิ้มอ่อน 


 


 


“ซีเหมินจินเหลียนนั่น…” ฉินซินถามอย่างสงสัย 


 


 


“ผมสนใจเธอ คุณอย่าได้แตะต้องเชียว” จ่านมู่ฮวาพูดออกไปตามตรง ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนที่เคยปฏิเสธเขามาก่อน ความรู้สึกนี้มันก็ช่างแปลกใหม่ท้าทาย  


 


 


“ผู้หญิงที่สวยมีตั้งมากมาย ผมไม่สนใจหรอกนะ!” ฉินซินยิ้มอ่อน รอยยิ้มมีแต่ความเจ้าเล่ห์แอบแฝง “ผู้หญิงสวยมักมีพิษร้าย คุณก็ควรระวังไว้หน่อยเถอะ” 


 


 


จ่านมู่ฮวารู้สึกว่าบาดแผลที่คอของเขาค่อยๆ รู้สึกเจ็บมากขึ้น ในใจก็มีความรู้สึกเจ็บปวดจี๊ดๆ ความรู้สึกนี้ก็ช่างน่ามหัศจรรย์ 


 


 


“ถึงจะมีพิษ แต่ผมก็เจอมาเยอะแล้ว!” จ่านมู่ฮวายิ้มอ่อน 


 


 


“อย่างนั้นก็ดี ผมฝากให้คุณช่วยจัดการด้วยแล้วกัน!” ฉินซินยิ้ม “คืนพรุ่งนี้ คุณอาจจะได้ในสิ่งที่ขอไว้ แน่นอนตัวขัดขวางปัญหาก็คือน้องของคุณ ถ้าจัดการเขาได้ แพนโดร่าคนนั้นอาจจะยอมรับคุณก็ได้?” 


 


 


“พิชัยสงครามบทที่สามสิบหก กล่าวไว้ว่าต้องทำให้เสือออกจากถ้ำ!” จ่านมู่ฮวาพูด 


 


 


“น้องชายของผมคนนั้น สองสามวันนี้คงจะยุ่งกับการเตรียมตัวรับของบริษัทของผม คงไม่มีเวลามาสนใจคนรอบข้าง เรื่องของตระกูลหลินก็ยุ่งมาสักพักหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณต้องการ พรุ่งนี้ก็เริ่มได้เลย สิ่งที่คุณมีคือเวลา” ฉินซินยิ้มอย่างพึงพอใจ 


 


 


จ่านมู่ฮวาหยิบแก้วของตัวเองแล้วรินไวน์แดงใส่แก้ว รินกระดกหนึ่งช็อต 


 


 


ที่บานประตูมีเสียงเคาะเสียงหนึ่งดังขึ้น ฉินซินจึงพูดว่า “เข้ามา!” 


 


 


ชายรูปร่างอ้วนวัยกลางคน เดินนอบน้อมเข้ามาด้วยเคารพ ในมือมีโถเขย่าลูกเต๋าอยู่ 


 


 


“เป็นยังไงบ้าง” ฉินซินถาม 


 


 


“คุณชาย คุณดูนี่สิครับ” ชายอ้วนวัยกลางคนเปิดโถเขย่าออกมา ภายในยังคงว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ชายอ้วนวัยกลางคนนำโถเขย่าลูกเต๋ามาแล้วส่งไปให้ 


 


 


ฉินซินมองดูแวบหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ 


 


 


“เป็นอะไรไปเหรอ” จ่านมู่ฮวาถามขึ้นด้วยความสงสัย 


 


 


“คุณดูเอาเองแล้วกัน!” ฉินซินโยนโถเขย่าไป จ่านมู่ฮวารับมาไว้ในมือ พลิกไปมาอย่างละเอียด ที่ข้างในด้านบนสุดของโถเขย่าลูกเต๋า มีลูกเต๋าสามลูกเต๋าอยู่ในนั้น ลูกเต๋าเหล่านี้ราวกับตายฝังตัวอยู่ในโถลูกเต๋า ถ้าพูดให้ถูกก็คือลูกเต๋าสามลูกได้รวมตัวไปเป็นหนึ่งเดียวกับโถเขย่าแล้ว ถ้าหากไม่สังเกตดูก็ดูไม่ออก 


 


 


“เธอทำได้ยังไงกัน?” จ่านมู่ฮวาถามอย่างสงสัย 


 


 


“คุณถามผม แล้วผมจะไปถามใครล่ะ” ฉินซินถอนหายใจแล้วพูดกับชายอ้วนวัยกลางคน “ผู้ที่เข้าใจใจคน คุณน่าจะรู้ว่าควรทำยังไง?” 


 


 


ชายอ้วนวัยกลางคนมีเหงื่อไหลซึมออกมา ได้แต่รีบร้อนพยักหน้าพร้อมโค้งคำนับแล้วเดินจากไป 


 


 


“ตอนนั้นเวลาก็รวดเร็วมาก “จ่านมู่ฮวายังคงเล่นแก้วคริสตัลอย่างสนอกสนใจ ครุ่นคิดคาดเดาถึงความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้ 


 


 


มือถือของฉินซินมีเสียงดังขึ้นมา ฉินซินหยิบมือถือขึ้นมาและยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดกับจ่านมู่ฮวา “ถึงเวลานี้แล้ว!” พร้อมกดปุ่มรับ 


 


 


เสียงในโทรศัพท์ จ่านมู่ฮวาแอบฟังไม่กี่คำ แต่ก็ยังคงไม่ชัดเจนกระจ่างหู แต่ฉินซินขมวดคิ้วค่อยๆ ลึกขึ้น  


 


 


“รู้แล้ว!” ฉินซินรีบวางสาย  


 


 


“เป็นอะไรไป เรื่องไม่เป็นตามที่คิด?” จ่านมู่ฮวาพิงเก้าอี้แล้วเล่นแก้วคริสตัล 


 


 


“ผู้อาวุโสหูหายตัวไป พวกเรายังไม่ได้จัดการ!” ฉินซินพูด 


 


 


จ่านมู่ฮวาลุกขึ้นยืน ผู้อาวุโสหูหายตัวไปดื้อๆ? โชคดีเขาไม่ได้เชื่อฉินซินทั้งหมด แถมยังเตรียมแผนสำรองไว้ ซีเหมินจินเหลียนสามารถชนะการพนันในวันนี้ ในใจเขาก็คิดแต่ความเป็นไปไม่ได้  ซีเหมินจินเหลียนเก่งกาจขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นแล้วผู้อาวุโสหูที่ลึกลับคนนั้น? 


 


 


การหายตัวไป บางครั้งก็อาจเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็ดีกว่าอายุแก่ปูนนี้แล้วต้องตกไปอยู่ในมือของฉินซิน ทำให้เขาไหวตัวทันก้าวไปก่อนหนึ่งก้าวนั่นล่ะดีแล้ว การพนันที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น 


 


 


“ทุกอย่างยังคงทำตามแผนเดิม หาราชาหยกให้เจอ!” ฉินซินยิ้ม หายแต่ไม่ได้แปลว่าจะหมดหวัง ขอแค่เขายังไม่ตาย เขาก็ไม่รีบร้อน ขอแค่เขาคอยสะกดรอยตาม จับตามองดูซีเหมินจินเหลียน เขาก็ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ปรากฏตัว 


 


 


“ทางฝั่งตระกูลหลินก็เริ่มแล้ว ถ้าอยากจะหยุดเรื่องทั้งหมดคงไม่ทันแล้ว!” จ่านมู่ฮวารินไวน์แดงลงแก้วตัวเองอีกครั้งกระดกเข้าไปในปาก เขาหมุนตัวอย่างมีคลาส “ชายชราหลินคนนั้น น่าจะอยู่ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงหรอก” 


 


 


…      


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเหนื่อยมาก เพราะฉะนั้นเธอกลับไปยังย่านหลานกุ้ยก็อาบน้ำรีบเข้านอน ส่วนนางพญางูขาวก็ไม่ต้องทำให้เธอกลัดกลุ้มกังวลใจ มันรีบเลื้อยไปที่ต้นไม้สีขาวที่อยู่ในสวนดอกไม้แล้วอยู่บนนั้น ใช้ชีวิตอยู่ในสวนอย่างมีความสุข 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนอนถึงบ่ายสองของวันถัดไป เป็นเพราะจ่านป๋ายเรียกเธอถึงได้ตื่นขึ้นมา 


 


 


“หลินเสวียเหวินตายแล้ว ตอนนี้หลินเสวียนหลานคงลำบากหน่อย…”  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 69 หายตัว

 

ซีเหมินจินเหลียนนวดขมับที่กำลังปวดตุบๆ ผลลัพธ์ของการใช้ความสามารถในการทะลุมองผ่าน ทำให้เธอเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก พอได้ฟังสักพัก เธอจึงอึ้งนิ่งอยู่นานถึงถามออกไป “คุณว่าอะไรนะ ใครตาย?” 


 


 


“หลินเสวียเหวินครับ” จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น 


 


 


“คุณปู่หลินตายแล้ว?” ในที่สุดซีเหมินจินเหลียนก็ได้สติกลับมา นี่เป็นไปไม่ได้? ทำไมเรื่องถึงได้เกิดขึ้นเร็วขนาดนี้กัน ครั้งก่อนที่คุณปู่หลินอยากจะเจอเธอ แม้ว่าร่างกายไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่ แต่สติก็ยังครบถ้วน ไม่น่าจะต้องมาตายอย่างกะทันหันขนาดนี้ แม้ว่าแก่แล้วอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ในสักวัน แต่ร่างกายอย่างคุณปู่หลิน ก็น่าจะยังมีชีวิตต่อไปได้อีก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร 


 


 


แม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะเคยคิดมาก่อนว่าถ้าหากได้รับการรักษาอย่างดี เขาคงฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงอย่างไม่มีปัญหา แต่ทำไมพอพูดว่าตายก็จะมาตายง่ายๆ แบบนี้ล่ะ 


 


 


“คุณปู่หลินโดนวางยาครับ” จ่านป๋ายเห็นถึงความสงสัยของเธอแล้วจึงพูดอธิบายขึ้น 


 


 


“โดนวางยา?” ซีเหมินจินเหลียนยิ่งแปลกใจมากเข้าไปอีก อยู่ดีๆ ทำไมเขาถึงได้โดนวางยาได้กัน 


 


 


“เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนนิดหน่อยน่ะ” จ่านป๋ายเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี “ตอนนี้หลินเจิ้งยืนยันว่าหลินเสวียนหลานเป็นคนวางยาหลินเสวียเหวินจนตาย ตระกูลหลินทั้งบ้านกำลังยุ่งวุ่นวายไปหมด” 


 


 


“แล้วหลินเสวียนหลานเป็นอะไรไหม” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น 


 


 


“เรื่องนี้ตระกูลหลินไม่ได้แจ้งความ” จ่านป๋ายพูด “หลินเสวียนหลานจึงไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เรื่องที่เป็นปัญหาก็คือสิทธิ์ในการเป็นผู้สืบทอดทายาทของตระกูลหลิน จนถึงตอนนี้ก็ยังวุ่นวายอยู่เลย” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดแล้วขมวดคิ้ว “ราชาหยกก้อนนั้น…” 


 


 


“จินเหลียน ผมสงสัยในการตายของชายชราหลิน ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชาหยกนั่น” จ่านป๋านพูด “หลินเสวียนหลานคงโดนกลั่นแกล้ง แต่ต้องมีคนวางพิษแน่ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นใครกัน” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เธอสามารถซื้อหุ้นของบริษัทตระกูลหลินได้ แต่ไม่สามารถไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่บ้านของเขา ราชาหยกก้อนนี้เป็นหยกอะไรกันแน่? 


 


 


“ไม่ได้ ฉันอยากจะโทรไปถามผู้อาวุโสหูว่าราชาหยกนี่เป็นอะไรกันแน่” ซีเหมินจินเหลียนรีบลุกขึ้นเข้าไปในห้องน้ำ แล้วหวีผมล้างหน้าอย่างเร่งรีบ ก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์โทรไปหาผู้อาวุโสหู 


 


 


ในโทรศัพท์มีเสียงอัตโนมัติดังขึ้นมาว่า [เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…] 


 


 


“ผู้อาวุโสหูปิดเครื่อง” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว 


 


 


“ผมลองโทรไปแล้วครับ” จ่านป๋ายส่ายหน้า “มือถือก็ปิดตลอด ผมว่า…ผมจะไปดูสักหน่อย” 


 


 


“คุณรอฉันสักครู่นะ ฉันขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วพวกเราไปด้วยกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูด 


 


 


“ตกลงครับ” จ่านป๋ายพยักหน้า ก่อนจะออกมาจากห้องนอนของซีเหมินจินเหลียน ซีเหมินจินเหลียนเลือกเสื้อยืดธรรมดาตัวหนึ่ง และกางเกงยีนส์หลวมสบาย แล้วมัดผมขึ้นไปลวกๆ 


 


 


ทั้งคู่ออกนอกประตู จ่านป๋ายคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี อีกทั้งเขายังรู้ว่าผู้อาวุโสหูพักอยู่ในย่านหลานกุ้ยใกล้ๆ กัน เขาซื้อบ้านสไตล์เก่าแก่พักอยู่หลังหนึ่ง 


 


 


แต่เมื่อทั้งคู่มาถึงหน้าประตูบ้าน กลับเห็นว่าประตูใหญ่ถูกล็อคเอาไว้ ผู้อาวุโสหูไม่ได้อยู่บ้าน 


 


 


จ่านป๋ายหยิบกุญแจไปเสียบไว้ที่แม่กุญแจ ก่อนจะมีเสียงก๊อกแก็กดังขึ้น เพียงไม่นานแม่กุญแจก็เปิดออกโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ซีเหมินจินเหลียนที่กำลังมองอยู่ตาก็เบิกกว้างขึ้น 


 


 


“พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ” จ่านป๋ายพูด 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน เธอถึงค้นพบว่าทำไมจ่านป๋ายถึงพูดว่า ทั้งหมดในนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปธรรมดาจะเล่นได้ เป็นจริงอย่างที่ว่า ของเล่นโบราณจริงๆ เช่นนี้ ไม่ใช่แค่คนรวยมีเงินธรรมดาก็จะสามารถเล่นได้ 


 


 


เครื่องลายครามก็ถูกจัดวางไว้ตามทางอย่างไม่คิดอะไร ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ก็สื่อถึงความหรูหราในตัวของเจ้าของ ผู้อาวุโสหูไม่ใช่คนมีเงินธรรมดาจริงๆ 


 


 


จ่านป๋ายและซีเหมินจินเหลียนเดินดูรอบบ้านหนึ่งรอบ โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ราวกับเข้าบ้านของตัวเอง ไม่ว่าซีเหมินจินเหลียนจะคิดอย่างไรก็เหมือนว่าตัวเองเป็นโจรขึ้นบ้าน แต่เหนือความคาดหมายของพวกเขาทั้งคู่คือภายในบ้าน ไม่ว่าอะไรก็มีทั้งหมด แต่ยกเว้นหยก อย่าพูดถึงหินหยกเลย ขนาดของประดับตกแต่งจากหยกหรือเครื่องประดับจากหยกยังไม่มีเลยสักชิ้น… 


 


 


“ผู้อาวุโสคนนี้ดูแล้วคงไม่ชอบหยก” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูด 


 


 


“สิ่งที่เขาต้องการหา มีแค่หินที่หลงเหลือจากการปิดฟ้าเท่านั้น” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาบางๆ ผู้อาวุโสคนนี้ก็ช่างประหลาดเสียจริง 


 


 


“ผู้อาวุโสหูคงจะรีบไปมาก” จ่านป๋ายเดินไปรอบบ้าน จากนั้นก็สรุปผลออกมา 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพูด “เสี่ยวป๋าย พวกเราก็รีบหน่อยดีกว่า ฉันก็คิดตลอดเลยว่าพวกเราก็ดูเหมือนโจร” 


 


 


จ่านป๋ายได้แค่ยิ้มและส่ายหน้า “ถ้าเป็นโจรก็ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ สิครับ จะเหมือนพวกเราที่เข้าบ้านทางประตูแบบเปิดเผยอย่างนี้ได้ยังไงกัน” 


 


 


เมื่อออกจากบ้านของผู้อาวุโสหูแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็คิดแล้วคิดอีก ก่อนจะโทรศัพท์ไปหาผู้อาวุโสเจีย ในมือถือมีเสียงของเจียหยวนฮวาดังสดใสขึ้นมา “สวัสดีครับคุณซีเหมิน อาจารย์ของผมเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ เธอโทรไปหาเจียหยวนฮวาก็เพื่อที่อยากจะถามเจียหยวนฮวาว่าผู้อาวุโสหูไปไหน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเปิดปาก เจียหยวนฮวาก็พูดออกมาเช่นนี้ 


 


 


“ผู้อาวุโสเจีย” ซีเหมินจินเหลียนท่าทางลังเลคิดอยู่ว่าจะบอกเขาดีหรือไม่ว่าผู้อาวุโสหูหายตัวไป 


 


 


“มีอะไรหรือครับ” เจียหยวนฮวาถามขึ้นอย่างสงสัย “หรือว่าผู้มีพระคุณมาทำให้คุณลำบากใจ? คุณซีเหมิน อาจารย์ของผมนิสัยอาจจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่ก็ขอให้คุณเปิดใจเยอะๆ ใจเย็นๆ สักหน่อยนะ” สัญชาตญาณของเขาบอกว่า ผู้อาวุโสหูคงไปทำอะไรให้ซีเหมินจินเหลียนไม่พอใจ ซีเหมินจินเหลียนจึงโทรหาเขา… 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นเจียหยวนฮวาก็เข้าใจตัวเองดี ภายในวงการนักเดิมหยกเขาก็ถือว่ามีชื่อเสียง หากซีเหมินจินเหลียนอยากจะอยู่สายนี้ต่อไป เธอก็คงไม่อยากจะไปขัดใจผู้อาวุโสหู 


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เรื่องเป็นอย่างนี้…” ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี ไม่แน่ผู้อาวุโสหูอาจมีเรื่องให้ทำให้ออกนอกบ้านไป แล้วบังเอิญโทรศัพท์แบตหมดพอดี ถ้าหากตนตกใจกระวนกระวายไปก่อน เกรงว่าคงเป็นเรื่องตลกแน่ “ฉันมีเรื่องจะคุยกับผู้อาวุโสหูนิดหน่อยน่ะค่ะ แต่มือถือของเขาก็ปิดเครื่องตลอดเวลา ฉันก็เลยมาหาเขาที่บ้าน แต่ก็ไม่เจอ เดิมทีก็คิดจะถามคุณว่าคุณรู้ไหมว่าเขาไปไหน…” 


 


 


เจียหยวนฮวาที่อยู่ปลายสายยังคงงงงันแล้วพูดต่อไปว่า “คุณซีเหมิน ตอนที่ผู้มีพระคุณไปจากที่นี่ เขาก็ไปเมืองเซี่ยงไฮ้เพื่อหาคุณ” 


 


 


“ฉันรู้ค่ะ เขามาหาฉันแล้ว ฉันเลยแค่อยากจะถามคุณว่าตอนที่เขาอยู่เมืองเซี่ยงไฮ้ เขามีเพื่อนสนิทที่ไหนบ้างหรือเปล่า” ซีเหมินจินเหลียนถาม ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของเธอจึงรู้สึกไม่สงบสุข 


 


 


“ไม่มีครับ เท่าที่ผมเคยรู้ตอนที่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ผู้มีพระคุณก็ไม่มีเพื่อนหรือญาติสนิทที่ไหน” เจียหยวนฮวาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ผู้มีพระคุณทั้งชีวิตตัวคนเดียวตลอด ไม่ได้แต่งงาน ถึงแม้จะมีเพื่อนสนิทเก่าแก่ แต่ก็เกรงว่าคงตายจากไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้คงจะมีคนมาหาเขาบ้าง” 


 


 


“โอเคค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราค่อยคุยกันนะคะ” ในใจของซีเหมินจินเหลียนไม่สบายใจทวีคูณเพิ่มขึ้น พูดพลางเตรียมตัวกดวางสาย 


 


 


“เดี๋ยวก่อนครับ!” ปลายสายมีเสียงของเจียหยวนฮวาส่งมา 


 


 


“คะ…” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น “ผู้อาวุโสเจียยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอคะ” 


 


 


“ถ้าหากได้ข่าวของผู้มีพระคุณเพิ่มเติม รบกวนคุณซีเหมินช่วยโทรมาหาผมด้วยนะครับ” เจียหยวนฮวาพูด “คุณก็รู้ว่านิสัยของชายชราท่านนี้แปลกๆ ผมไม่อยากโทรไปรบกวนเขา…” 


 


 


“ตกลงค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนรับปากและวางสายไป 


 


 


“ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสหูหายไปไหนกันแน่?” 


 


 


“ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ความรู้สึกของผู้หญิงช่างแม่นยำ ทำให้เธอรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรไม่ถูกต้อง 


 


 


“พวกเรากลับกันก่อนเถอะครับ ตอนกลางคืนผมนัดหลินเสวียนหลานออกมาเพื่อถามเรื่องตระกูลหลิน คุณว่าการที่อยู่ๆ ชายชราหลินก็มาตายจากไปแบบนี้ อีกทั้งยังเป็นการตายแบบไม่คาดคิด ส่วนผู้อาวุโสหูก็มาเพราะราชาหยก แล้วอยู่ๆ ก็หายตัวไป นี่มันก็จะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่า” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปแจ้งความดีไหม” ซีเหมินจินเหลียนพูดแนะนำ 


 


 


“ไม่ได้นะครับ” จ่านป๋ายส่ายหน้า “พวกเราจะไปแจ้งความกันยังไง เรื่องของตระกูลหลิน ตระกูลหลินคงรีบปิดเรื่องแทบไม่ทัน ตัวพวกเขาเองคงไม่ไปแจ้งความหรอก ส่วนผู้อาวุโสหู ตัวเขาก็แปลกอยู่แล้ว คุณว่าถ้าเราแจ้งความไปซี้ซั่ว ถ้าหากมีเรื่องเกิดขึ้นจริงก็แล้วไป แต่ถ้าเขาไม่เป็นไร เขาแค่ออกไปเที่ยวข้างนอก อย่างนั้นเท่ากับว่าพวกเราแจ้งความเท็จ รบกวนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่นะครับ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ความจริงพวกเขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจผู้อาวุโสหูเท่าไหร่นัก ส่วนเจียหยวนฮวาก็พอเข้าใจว่า ถ้าหากเขามีเพื่อนอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ แต่ก็น่าจะตายจากไปนานหมดแล้ว พวกเขาไปแจ้งความแบบนี้คงจะถูกคนหัวเราะเยาะจนฟันร่วงก็คงไม่แปลก 


 


 


“ตอนกลางคืนฉันจะไปบ้านตระกูลหลินกับคุณด้วย” ซีเหมินจินเหลียนพูด 


 


 


“อย่าดีกว่าครับ” จ่านป๋ายขับรถอย่างช้าๆ 


 


 


“ทำไมล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


“ตอนกลางคืนผมจะไปดูห้องที่ชายชราหลินเคยอยู่ ให้หลินเสวียนหลานนำทาง คุณไม่ต้องไปหรอก ผมคิดว่าการตายของชายชราหลินไม่ใช่แค่เรื่องการแย่งชิงมรดกง่ายๆ แบบนั้นแน่” จ่านป๋ายอธิบาย “ถ้าคุณไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก อีกอย่างหลินเจิ้งก็ไม่ใช่คนที่ปล่อยเรื่องผ่านง่ายๆ คงไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่” 


 


 


“คุณว่าใครเป็นคนวางยาคุณปู่หลินกัน” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


จ่านป๋ายครุ่นคิดชั่วครู่ก็พูดออกมา “เรื่องนี้ก็พูดยากครับ ตอนนี้ไม่ว่าใครก็เป็นไปได้ทั้งนั้น รวมถึงหลินเสวียนหลานด้วย” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอได้แต่ถอนหายใจ จ่านป๋ายคิดแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ถ้าหากผู้อาวุโสหูไม่ได้มาเพราะเรื่องราชาหยก เรื่องนี้ก็คงจะง่ายขึ้นมาหน่อย แต่ถ้าหากมาเพราะราชาหยกจริงๆ ก็ยุ่งยากแล้ว!” 


 


 


“คุณว่ายังไงนะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่เคยพบเจอเรื่องราวที่ซับซ้อนขนาดนี้  


 


 


“คุณลองคิดดูสิครับ ถ้าหากผู้อาวุโสหูไม่ได้มาเพราะราชาหยก แต่มาเพียงเพราะแค่หยกราชางูนั่น ถ้าอย่างนั้นการที่เขามาเมืองเซี่ยงไฮ้ก็แค่บังเอิญเจอหลินเสวียนหลานเท่านั้น แล้วเลยพูดเรื่องทวงหนี้ แต่ก็แค่ไม่คิดอะไร แต่ถ้าหากมาเพราะราชาหยก อย่างนั้นทำไมหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่อยากได้ราชาหยกเลย แต่ตอนนี้อยู่ๆ ก็มาอยากได้กันล่ะ” จ่านป๋ายวิเคราะห์ 


 


 


“เพราะว่า ราชางู?” ซีเหมินจินเหลียนพูดด้วยเสียงตกใจ 


 


 


“ใช่!” จ่านป๋ายพยักหน้า “ถ้าหากเมื่อก่อนเขาไม่ได้ตามเรื่องราชาหยก แต่ตอนนี้อยู่ๆ กลับมาอยากได้ แถมไม่ได้อยากได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นราชาหยกก้อนนั้นคงมีความสัมพันธ์อะไรสักอย่างเกี่ยวข้องกับหยกราชางู” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดแล้วคิดอีก ถึงพูดขึ้นว่า “ฉินเฮ่าก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่านั่นก็เป็นแค่หินหยกก้อนหนึ่ง? หินหยกที่ยังไม่ได้เปิดออก แล้วทำไมถึงถูกเรียกว่าเป็นราชาหยกได้? ใครกล้ารับรองว่าลักษณะข้างในของมันจะดี แล้วเป็นหยกแน่ๆ หรือว่าเป็นหยกชั้นดี? มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหินก้อนนี้มีคุณค่าเป็นเช่นไร” 


 


 


“คำถามนี้ เกรงว่านอกจากผู้อาวุโสหู ก็คงมีเพียงแค่หลินเสวียเหวินที่ได้ตายไปแล้วเท่านั้นถึงจะรู้” จ่านป๋ายพูดอย่างปลงใจ  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 70 หญิงสวยกับหยกงาม

 

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ครอบงำแสงไฟที่ถูกประดับไว้ในเมืองใหญ่แห่งความลุ่มหลง ซีเหมินจินเหลียนยืนอยู่ที่ข้างหน้าหน้าต่าง คฤหาสน์ในย่านหลานกุ้ยต่างอยู่บนเนินเขา เธอยืนอยู่ที่หน้าต่างของชั้นสอง ทำให้สามารถมองเห็นไปได้ไกลแสนไกล 


 


 


การมองเห็นแสงไฟทั้งแถบนั้น สามารถสะท้อนทำให้จิตใจของเธอสงบลงได้ 


 


 


จ่านป๋ายออกไปแล้ว คืนนี้ท่ามกลางคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ เหลือเพียงแต่เธอที่เคว้งคว้างอย่างเงียบเหงาอยู่คนเดียว แต่เธอไม่มีโอกาสที่จะได้ลิ้มลองความโดดเดี่ยวอ้างว้าง เวลานี้ซีเหมินจินเหลียนร้อนรนใจเหลือเกิน 


 


 


เธอไม่ได้เป็นกังวลเรื่องจ่านป๋าย ถึงแม้ตระกูลหลินจะหาจ่านป๋ายเจอ แต่ก็คงไม่ทำอะไรเขา ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากชายชราหลินตายเพราะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เวลานี้พวกเขาคงปิดอะไรไม่ทัน คงจะไม่พยายามทำเรื่องอะไรเพิ่มอีก 


 


 


แม้แต่ตัวของซีเหมินจินเหลียนเองก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเธอกำลังกังวลใจกับอะไรอยู่กันแน่ 


 


 


ราชาหยก? ราชางู? 


 


 


ตามที่ฉินเฉ่าเคยอธิบายไว้ ตอนแรกหลินเสวียเหวินขโมยของไปจากผู้อาวุโสหู ไม่ใช่แค่หยกฮกลกซิ่วที่ทำการเจียระไนหินแล้ว แต่ยังมีหินหยกที่ยังไม่ได้เจียระไนอีกก้อนหนึ่ง แถมก้อนนี้ถึงเรียกว่าราชาหยกที่รัก 


 


 


ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหูหรือตัวหลินเสวียเหวินเอง พวกเขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องราชาหยกให้เธอฟัง แม้กระทั่งหลินเสวียนหลานก็อาจจะไม่รู้ว่ามีราชาหยกอยู่จริง ถ้าอย่างนั้นหยกก้อนนี้เปิดเจียระไนออกมาแล้วหรือยัง แล้วลักษณะเป็นอย่างไร หรือจะเป็นเหมือนราชางูที่ทำให้คนครุ่นคิดว้าวุ่นไปหมด? 


 


 


โทรศัพท์ส่งเสียงดังขึ้น ซีเหมินจินเหลียนรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ โดยปกติคนส่วนมากมักจะโทรมาทางมือถือ แต่เวลานี้เป็นใครกันที่โทรหาเธอด้วยเบอร์บ้าน 


 


 


เมื่อรับสายก็มีเสียงจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ “คุณซีเหมินหรือเปล่าครับ? มีเพื่อนของคุณที่ชื่อจ่านมู่ฮวา เขาอยากจะขอพบคุณครับ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนตกใจ เมื่อเริ่มย้ายมาอยู่ที่ย่านหลานกุ้ยแรกๆ เธอก็ไม่คุ้นชินเวลาที่ต้องเจอกับแขกเป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมักจะโทรมาถามเธอก่อนตลอด เพราะอย่างนั้นเธอจึงกำชับกับเจ้าหน้าที่ไว้ว่า ถ้าหากมีใครมาหาเธออีกก็ไม่ต้องโทรเข้ามา ให้พวกเขาเข้ามาได้เลย เพราะว่าคนที่มาหาเธอ ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน… 


 


 


แต่นับตั้งแต่ที่จินอ้ายหัวและหลิงซูฟางมาบ้านเธอครั้งนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็มีอารมณ์ทำตัวไม่ถูก เพราะฉะนั้นเธอจึงแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกครั้งว่าถ้ามีแขกมาหาให้โทรเข้ามาแจ้งเธอสักหน่อยจะดีที่สุด 


 


 


จ่านมู่ฮวาอย่างนั้นเหรอ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสับสน ผู้ชายที่หน้าสวยคนนั้น พี่ชายของจ่านป๋าย? แต่เมื่อมองจากภายนอกก็ดูไม่เหมือนกันเลยสักนิด จ่านมู่ฮวาดูแล้วเหมือนจะมีอายุแค่สิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเท่านั้น ให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่แววตาของเขาบางครั้งก็มีเงามืดดำครอบงำอยู่ มักจะทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว 


 


 


เขาก็เป็นผู้ชายที่สวยและอันตรายคนหนึ่ง! 


 


 


“ไม่ต้องให้เข้ามาค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธไป ดึกดื่นแบบนี้แล้ว อีกทั้งเธอก็อยู่ตัวคนเดียว แล้วจะให้ผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอันตรายเข้ามาในบ้านเธอได้อย่างไรกัน นั่นมันก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ชาญฉลาดเลย 


 


 


เมื่อวางสายโทรศัพท์แล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ยืนเหม่อลอยอยู่ข้างหน้าหน้าต่างต่อไป 


 


 


เวลาผ่านไปประมาณห้านาที มือถือของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง เธอหยิบมือถือขึ้นมาด้วยความสงสัยและสับสนในเบอร์แปลกที่โทรเข้ามา 


 


 


“สวัสดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนกดรับสาย 


 


 


“ผมเอง! ผมอยู่หน้าบ้านของคุณแล้ว” เสียงของจ่านมู่ฮวาดังเข้ามาผ่านมือถือ 


 


 


“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นฟังไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร? เธออุตส่าห์บอกไปแล้วว่าไม่พบเขา 


 


 


จ่านมู่ฮวาคาดเดาความคิดในใจของเธอได้ จึงได้แต่ยิ้มหัวเราะ “ผมให้เช็คกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปน่ะ เพื่อทำสัญญาพิเศษกับเขา พรุ่งนี้เขาสามารถไปเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่บริษัทผมได้ เงินเดือนเพิ่มขึ้นเท่าตัว แน่นอนว่าเขาต้องยอมปล่อยผมเข้ามาอยู่แล้ว ฮ่าๆ อายุเท่านั้น แม้ว่าเงินจะไม่ใช่ปัจจัยของทุกสิ่ง แต่เรื่องทุกเรื่องก็ใช้เงินมาแก้ไขปัญหาได้ คุณซีเหมิน คุณจะเปิดประตูด้วยตัวเองดีๆ หรือจะให้ผมพังประตูเข้าไปครับ?” 


 


 


“คุณมันหน้าไม่อาย!” ซีเหมินจินเหลียนด่าเขาไปหนึ่งประโยค พร้อมวางมือถือไปอีกฝั่ง 


 


 


เธอไม่รู้ว่าจ่านมู่ฮวาให้เงินเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปเท่าไหร่ แต่เธอก็เข้าใจว่าถ้าหากอยากจะซื้อตัวรปภ.คนหนึ่ง นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร โดยเฉพาะคนแบบเขา 


 


 


พังประตู? จ่านป๋ายเคยพูดว่า ถ้าทำไม่ดีก็อาจจะระเบิดได้… 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดได้เท่านี้ก็ตกใจขึ้น เธอยังไม่อยากตายนะ และก็ยังไม่อยากตายด้วยการถูกเผาไหม้อยู่ในบ้านหลังนี้ 


 


 


เช่นนั้นเธอจึงรีบหยิบมือถือขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนกระวนกระวายใจโทรไปหาเบอร์เมื่อสักครู่ ในมือถือมีเสียงเจ้าเล่ห์ของจ่านมู่ฮวาส่งเข้ามาว่า “คุณอย่าพูดจาไร้สาระอย่างเช่นว่าคุณไม่ได้อยู่บ้านนะครับ” 


 


 


“คุณต่างหากที่ไร้สาระ!” ซีเหมินจินเหลียนด่า “คุณอย่าพังประตูนะ เดี๋ยวฉันลงไป” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบหน่อยนะครับ ผมกำลังเตรียมตัวอยู่เลย!” จ่านมู่ฮวาหัวเราะ 


 


 


“คุณรอฉัน!แป็บนึง” ซีเหมินจินเหลียนร้อนรนใจวิ่งลงมาจากด้านบน แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหยิบมีดผลไม้ที่พึ่งซื้อมาซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อ กันไว้เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าหากผู้ชายคนนี้พูดๆ แล้วกลับไปก็โอเค แต่ถ้าไม่ใช่เธอก็จะทำเขาให้เหมือนกับกระทำงูของเด็กผู้ชายข้างบ้าน ปักมีดลงบนตัวเขาสักเล่ม 


 


 


เมื่อเดินมาเปิดประตูข้างหน้าแล้ว ในใจของซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่เสียใจ นี่มันก็เหมือนกับปล่อยให้จิ้งจอกเข้าบ้านชัดๆ 


 


 


จ่านมู่ฮวาสวมใส่เสื้อคลุมสีขาว ในมือโอบอุ้มดอกกุหลาบสีแดงสดเอาไว้ เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนเขาก็ได้ใจนำดอกไม้ที่อยู่ในมือส่งต่อให้เธอแล้วยิ้ม “นี่ให้คุณครับ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเหลือบไปมองดอกกุหลาบแวบหนึ่ง ก่อนจะมองไปที่จ่านมู่ฮวาอีกครั้ง พร้อมส่ายหน้า “คุณมาที่นี่ทำไม ฉันไม่ต้อนรับคุณหรอกนะ” 


 


 


“คุณจะให้ผมพูดข้างนอกตรงนี้เหรอ?” จ่านมู่ฮวาไม่มีความสำนึกผิดใดๆ เลยสักนิด เขาเดินผ่านซีเหมินจินเหลียนเข้าไปข้างใน “คุณตกแต่งที่นี่ได้สวยไม่เบาเลย สไตล์คลาสสิค คุณผู้หญิงคนสวย ผมสามารถไปเยี่ยมชมห้องนอนของคุณได้ไหมครับ” 


 


 


“ไสหัวไปให้พ้น!” ซีเหมินจินเหลียนสะบัดประตูอย่างแรง สีหน้าโกรธจัด เขายังมีหน้ากล้าพูดประโยคแบบนี้อีก อยากจะขอเยี่ยมชมห้องนอนเธออย่างนั้นเหรอ? 


 


 


“อารมณ์รุนแรงจังเลยนะ” จ่านมู่ฮวายิ้มด้วยสีหน้าเช่นเดิม มองไปรอบด้านแล้วเห็นฝั่งหนึ่ง ที่มีดอกคาลล่าลิลลีสีขาวอยู่ในแจกัน เขานำดอกไม้พวกนั้นทิ้งลงไปในถังขยะ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบที่ถือเอาไว้เข้าไปปักใส่ในแจกันแทน และยิ้มถาม “ใครให้ดอกไม้นี้กับคุณเหรอ ดูไม่มีระดับเลย?” 


 


 


“ฉันไม่ชอบดอกกุหลาบ” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างหมดอารมณ์ 


 


 


“ผมรู้ คุณชอบดอกบัว” จ่านมู่ฮวาพูดพลางมองสำรวจห้องโดยรอบ จากนั้นก็เจตนาถามขึ้นว่า “น้องชายผมไม่อยู่เหรอ” 


 


 


“รู้แล้วยังจะถามอีก!” ซีเหมินจินเหลียนกล้าเดิมพันเลยว่าเขาก็รู้ว่าจ่านป๋ายไม่อยู่ถึงได้มาที่นี่ 


 


 


“ฮ่าๆ คุณนี่ฉลาดจริงๆ นะ!” จ่านมู่ฮวาเดินมาถึงโซฟาแล้วนั่งลงไขว่ห้าง “ถ้าเขาอยู่ ผมคงไม่มาหาคุณหรอก ผมจะบอกอะไรให้ ตอนนี้ตระกูลหลินก็วุ่นวายมาก” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนใจเต้นแรง ก่อนถามออกไป “เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลิน” 


 


 


จ่านมู่ฮวาเพียงแต่หัวเราะอย่างเดียวไม่ยอมพูด ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกเกลียดเขาจนตัวสั่นไปหมด แล้ว เธอรู้สึกเป็นห่วงจ่านป๋ายเล็กน้อย จึงรีบคว้ามือถือโทรไปหาเขา แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ มือถือของเขากลับปิดเครื่องเสียอย่างนั้น… 


 


 


ขณะที่กำลังคิดจะโทรไปหาหลินเสวียนหลาน แต่เขาเองก็ปิดเครื่องเช่นกัน สีหน้าของซีเหมินจินเหลียนบอกบุญไม่รับ เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูผิดสังเกตบนใบหน้าของจ่านมู่ฮวา ในใจก็ได้แต่กังวลไม่หยุด ถามอย่างสงสัยว่า “คุณทำอะไรไป?” 


 


 


“ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลย” จ่านมู่ฮวาแกล้งทำเป็นโบกมืออย่างไม่รู้ความ เขาไม่ได้ทำอะไรจริงๆ “ผมแค่อยากจะจีบคุณ หรือนี่มันก็ผิดด้วยเหรอ?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนโกรธจนขบฟันแน่น ในใจไม่ได้กังวลห่วงแค่จ่านป๋าย แต่ยังมีหลินเสวียนหลานอีกคน 


 


 


เธอเดินช้าๆ ไปข้างหน้าจ่านมู่ฮวาแล้วคว้ามีดผลไม้ออกมา พร้อมพูดจาดุดันขึ้น “คุณบอกฉันมาดีๆ เถอะ ไม่อย่างนั้นมีดเล่มเล็กของฉันมันก็คมไม่น้อยเลย” 


 


 


จ่านมู่ฮวาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาไม่แม้แต่ขยับเขยื้อนร่างกายเลยสักนิด มุมปากเหลือแต่รอยยิ้มจางๆ “ผมไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ผมแค่เอาดอกกุหลาบมาจีบคุณเท่านั้น…” 


 


 


“เกิดอะไรขึ้นกับบ้านตระกูลหลิน?” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


“ผมได้ยินว่าชายชราหลินตายแล้ว” จ่านมู่ฮวาตอบตามความจริง “คุณก็เอามีดถอยไปหน่อย ผมไม่หนีไปไหนหรอก” 


 


 


“ฉันรู้แล้วว่าคุณปู่หลินตายแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนมีความเคลือบแคลงใจ หลินเสวียเหวินเป็นคนสูงส่งโด่งดังคนหนึ่ง แต่ไม่ได้มีจุดจบที่ดี “ฉันถามคุณว่าเสี่ยวป๋ายเป็นอะไร” 


 


 


“เสี่ยวป๋าย?” จ่านมู่ฮวาสับสนพร้อมยิ้ม “มู่หรงน่ะเหรอ” 


 


 


“ไร้สาระ!” ซีเหมินจินเหลียนด่าอย่างหมดอารมณ์ 


 


 


“มู่หรงไม่เป็นอะไรหรอก ถึงแม้ผมจะอยากให้มันตายก็เถอะ!” จ่านมู่ฮวาพูดความจริง 


 


 


“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนถูกทำให้โกรธไม่หยุด นี่เขาพูดอะไรของเขากัน? อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ นะ 


 


 


 “คุณให้ผมพูดความจริง ผมก็พูดความจริงแล้วไง ดูสิว่าผมเป็นเด็กดีขนาดไหน” จ่านมู่ฮวาทำเป็นหน้าตาใสซื่อไม่รู้เรื่อง เมื่อเสริมกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็เกือบจะทนไม่ไหว 


 


 


“ตระกูลหลินเองเหมือนจะมีคนแจ้งความไปแล้ว บอกว่าชายชราหลินตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ” จ่านมู่ฮวาถูกสะกดด้วยแววตาพิฆาตของซีเหมินจินเหลียนที่คอยจับจ้องอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกที่ดีเผยขึ้นมาหรืออย่างไร จู่ๆ เขาถึงได้พูดออกมา 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรต่อ คิดไม่ถึงว่าคนในตระกูลหลินจะมีคนแจ้งความด้วย? เรื่องยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ แต่เรื่องนี้จะโยงให้หลินเสวียนหลานกับจ่านป๋ายเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปล่า ถ้าหากไปถึงตำรวจ เธอก็ยิ่งไม่รู้จะทำอย่างไร 


 


 


“คุณไม่ต้องเป็นห่วงมู่หรงหรอก มันไม่เป็นไรแน่ ถ้าหากเรื่องเล็กๆ แค่นี้มันยังจัดการไม่ได้ มันก็คงตายไปตั้งนานแล้วล่ะ” จ่านมู่ฮวาพูดขึ้นอีกครั้ง 


 


 


สำหรับคำพูดตรงไปตรงมา โผงผางของเขา ซีเหมินจินเหลียนกลับรู้สึกสงสัย “พวกคุณเป็นพี่น้องแท้ๆ ทำไมคุณถึงได้เกลียดเขาขนาดนั้น?” 


 


 


สำหรับคำถามนี้ จ่านมู่ฮวาหันหน้าไปทางอื่นไม่ตอบอะไร 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเก็บมีดผลไม้แล้วนั่งลงบนโซฟา “ตระกูลหลินยังมีปัญหาอะไรอีก” 


 


 


“ราชาหยกคืออะไร” จ่านมู่ฮวาถาม 


 


 


“ที่แท้คุณก็มาเพราะอยากจะถามเรื่องนี้?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างเยือกเย็น เดิมทีเธอก็นึกว่าเป็นเพราะเสน่ห์ที่ล้นหลามของเธอ แต่ที่แท้สิ่งที่รักเป็นหยกงาม ไม่ใช่หญิงสวย 


 


 


“คงจะอย่างนั้น!” จ่านมู่ฮวายิ้ม 


 


 


“ฉันไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำว่าราชาหยกคืออะไร” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มขึ้นมา ขอแค่จ่านป๋ายและหลินเสวียนหลานไม่เป็นอะไร อย่างอื่นเธอไม่เกรงกลัวจ่านมู่ฮวา 


 


 


ผู้ชายแบบเขา คงจะไม่ถึงขั้นที่เห็นผู้หญิงแล้วกระหายอยากพุ่งเข้าใส่ 


 


 


“ผู้อาวุโสหูคนนั้น เป็นคุณปู่ของคุณจริงๆ อย่างนั้นเหรอ” จ่านมู่ฮวาถามอย่างสงสัย 


 


 


“ถ้าหากฉันจำไม่ผิด เหมือนคุณจะติดค้าง sm กับฉันอยู่ฉากหนึ่ง” ซีเหมินจินเหลียนรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ผู้อาวุโสหูกับเธอจะมีความสัมพันธ์กันอย่างไรแล้วเกี่ยวอะไรกับเขากัน ทำไมเธอต้องบอกเขาด้วย  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 71 ผู้ชายหายนะ

 

จู่ๆ จ่านมู่ฮวาก็รู้สึกว่าน่าขันอยู่บ้าง “คุณนี่ก็จำได้แต่ sm สินะ?” 


 


 


“ก็นั่นเป็นของเดิมพันของผู้ชนะอย่างฉันนี่คะ เหมือนอย่างคุณตอนนี้ก็เหมือนเป็นของฉันทั้งหมด!” ซีเหมินจินเหลียนพูด


 


 


“ว่าไปแล้วก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้น” จ่านมู่ฮวาหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ดูเข้าใจกว่าเด็กน้อยน่ารักไม่ซุกซน เขามองไปซีเหมินจินเหลียนอีกครั้ง เหมือนว่าตัวเธอกำลังกลั่นแกล้งตัวเขาอยู่ก็ไม่ปาน


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าฉันอยากจะทำอะไรกับคุณก็ได้ไม่ใช่เหรอ” ซีเหมินจินเหลียนก็ยิ้มกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน รอยยิ้มท่าทางเช่นนี้เหมือนกับเด็กน้อยแสนน่ารัก


 


 


“คุณจะทำอะไรกับผม” จ่านมู่ฮวาต่อประเด็นต่อจากเธอ


 


 


“ฉันจะจับคุณมัดเอาไว้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มด้วยท่าทางราวกับผู้บริสุทธิ์                            “จากนั้นก็ใช้แส้ เทียน…”


 


 


 “คุณจะเล่น sm จริงๆ น่ะเหรอ” จ่านมู่ฮวาหัวเราะ ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของเขาถึงกลับรอคอยขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ


 


 


“จริงสิ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า สายตาเริ่มมองหาเชือก   


 


 


“ถ้าหากคุณอยากจะเล่นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยทำให้คุณมีความสุขแล้วกัน!” จ่านมู่ฮวายิ้ม


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเมื่อเห็นเขาท่าทางไม่เดือดร้อนทุกข์ใจ อีกทั้งยังมีท่าทางว่านอนสอนง่าย ก็พลันนึกถึงความโหดร้ายอำมหิตของคนคนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ภาพของจ่านป๋ายที่โชกไปด้วยโลหิตที่เธอพบเจอในครั้งแรกปรากฏขึ้นมา ทำให้เธอต้องกัดฟันแน่น แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันจะไปหาเชือก” พอพูดจบเธอก็ตรงไปที่ห้องใต้ดิน แล้วนำเชือกที่อยู่ที่ประตูออกมา เชือกนี้เตรียมไว้สำหรับเวลาขนย้ายหินหยก แต่ตอนนี้มันช่างเป็นประโยชน์จริงๆ


 


 


“คุณมานี่” ซีเหมินจินเหลียนยกยิ้มขึ้นด้วยสายตายั่วยวนเรียกให้จ่านมู่ฮวาเข้ามา


 


 


จ่านมู่ฮวารู้สึกคาดไม่ถึง เธอยังมีเชือกด้วยหรือ? อีกทั้งดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่แค่ของตกแต่งธรรมดาๆ หรือว่าเธอจะมีงานอดิเรกแบบนี้จริงๆ?   


 


 


“คุณไปเอาเชือกมาจากที่ไหน” จ่านมู่ฮวาถามอย่างสงสัย


 


 


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ในระหว่างที่จ่านป๋ายยังไม่กลับมา เธอจะมัดคนคนนี้ไว้เสียก่อน ตนเองจะได้ปลอดภัยเพิ่มขึ้น แต่จะมัดไว้ที่ไหนดีล่ะ โซฟาหรือ? อันนั้นก็ดูจะนิ่มไป ไม่มีประโยชน์อะไร หรือว่าจะเก้าอี้ดี? แต่นั่นก็เบาไปหน่อย


 


 


เพียงไม่นานสายตาของซีเหมินจินเหลียนก็ตกไปอยู่ที่ราวบันได ราวบันไดนั่นทำด้วยวัสดุไม้ น่าจะแข็งแรงพอ แต่เขาจะยอมเล่นด้วยเหรอ?


 


 


จ่านมู่ฮวามองตามสายตาของเธอไปและมองราวบันไดอยู่หลายครั้ง “คุณคิดจะผูกผมไว้ตรงนั้นเหรอ นี่คุณมีงานอดิเรกแบบนี้จริงๆ สินะ”  


 


 


“คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มถาม “ถ้าหากคุณไม่เต็มใจที่จะเล่น คุณก็ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย”


 


 


“ได้” จ่านมู่ฮวายิ้ม แต่ว่าเชือกนี้ก็ดูไม่ได้อันตรายอะไร เขาจะยอมให้เธอมัดสักรอบก็ได้ คิดอย่างนั้นก่อนจะเดินไปที่ราวบันไดข้างหน้าอย่างว่าง่าน เธอจะให้เขาเล่นอย่างไรเขาก็จะเล่นตามน้ำไป…


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกประหลาดในใจอยู่บ้าง ผู้ชายคนนี้ก็บ้าไปแล้วหรืออย่างไร? คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมให้ความร่วมมือกับเธอจริงๆ ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าเธอถือเชือกเตรียมมัดเขาไว้อยู่? ความจริงแล้วเธอก็แค่อยากหาข้ออ้างที่จะไล่เขากลับไปก็แค่นั้น คนคนนี้น่ากลัวเกินไป ไม่รู้ว่าใครบอกว่าภายนอกเหมือนยิ้มด้วยท่าทางบริสุทธิ์สดใสไม่ทำร้ายใคร นั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัวกว่าใคร…


 


 


“คุณอยากจะให้ฉันมัดจริงๆ อย่างนั้นเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย


 


 


“แน่นอนสิ ผมยอมรับในผลการพนัน ในเมื่อแพ้ผมก็ต้องถูกคุณจัดการ ตอนนั้นคนก็เยอะเกินไป ผมเลยรู้สึกอายนิดหน่อย คุณดูสิวันนี้โอกาสดีขนาดไหน มีแค่เราสองคน จะเล่นอะไรก็ได้!” จ่านมู่ฮวายิ้ม “มาเถอะ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดพึมพำในใจ นี่นายหาเรื่องเองนะ!


 


 


เพราะว่าจ่านมู่ฮวารูปร่างสูงเพรียว ซีเหมินจินเหลียนคาดเดาอยู่พักหนึ่ง อย่างน้อยเขาน่าจะสูงสักหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ขณะนั้นเธอก็เดินขึ้นไปบนบันไดขั้นที่เจ็ดแปด จากนั้นเทียบความสูงกันแล้วนำเชือกมาพันรอบราวบันไดก่อนหนึ่งรอบ จ่านมู่ฮวาก็ให้ความร่วมมือเดินเข้าไปอย่างดี หันหลังให้ราวบันไดและยื่นมือออกมา ให้เธอนำมือเขาไปมัดผูกติดกับราวบันได ปากก็ตั้งใจพูดว่า “คุณซีเหมิน คุณผูกเป็นหรือเปล่า ให้ผมสอนคุณหรือดีไหม?”


 


 


“ตอนเด็กฉันต้องเลี้ยงหมู ฉันก็ผูกมันจนดิ้นไม่หลุดเลยล่ะ นับประสาอะไรกับคุณกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางใช้มือออกแรงในการดึงเชือกมัดให้แน่น


 


 


จ่านมู่ฮวาไม่มีปฏิกิริยาขัดขวางต่อต้านใดๆ เชือกเส้นใหญ่หยาบกำลังรัดแผ่นกล้ามเนื้อที่เขาดูแลรักษาอยู่ทุกวัน เจ็บจนเขาต้องเปล่งเสียง “อือ” ออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่สนใจเขา แต่กลับออกแรงมัดให้แน่นไปกว่าเดิม เมื่อมัดเขาเสร็จแล้ว เธอเองก็รู้สึกมีความปลอดภัยขึ้นมา เชือกมัดรอบข้อมือของเขาอยู่หลายรอบ เมื่อรัดแน่นแล้วผูกปม เธอเชื่อมั่นว่า ถึงจะเป็นหมูก็คิดฟุ้งซ่านถ้าอยากจะหลุดออกไป


 


 


เมื่อมัดจ่านมู่ฮวาไว้อย่างแน่นหนา เธอก็ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ เดินจากบันไดเพื่อลงมาข้างล่าง แล้วมองผลงานของตัวเองที่ทำให้ยิ้มไม่หุบ


 


 


จ่านมู่ฮวาทดสอบอยู่หลายครั้ง เชือกก็มัดแน่นพอสมควร อีกทั้งความสูงก็เอาชีวิตคนได้ เขาจำเป็นต้องยืดปลายเท้าไปถึงจะแตะพื้นถึง นี่เหมือนเป็นการมีชีวิตเพื่อการรับโทษจริงๆ น้ำหนักในตัวเกือบทั้งหมดขึ้นอยู่กับเชือกและแขน ส่วนเชือกรัดแน่นมาก


 


 


“ฉันมัดแน่นใช่ไหมล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนเดินไปที่เขาข้างหน้าแล้วถามขึ้น


 


 


“อืม! ไม่เลวนี่ ฝีมือชำนาญดี คุณเล่นบ่อยเหรอ” จ่านมู่ฮวาถาม “มู่หรงก็ชอบถูกคุณมัดเหรอ ผมไม่รู้ว่าเขามีงานอดิเรกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”   


 


 


“เขาไม่ได้โรคจิตเหมือนคุณหรอกนะ!” ซีเหมินจินเหลียนแค่นเสียงเหอะออกมา ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่ห้องครัว


 


 


“นี่ คุณจะไปไหนน่ะ” จ่านมู่ฮวาถาม


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้สนใจเขา เธอเดินไปห้องครัวตักน้ำเย็นหนึ่งขันเข้ามา จ่านมู่ฮวายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ผมยังไม่ได้สลบไปสักหน่อย คุณไม่ต้องเอาน้ำเย็นมาสาดผมก็ได้”


 


 


“ใครเป็นคนกำหนดว่าถ้าคุณยังไม่สลบแล้วฉันจะเอาน้ำเย็นมาสาดคุณไม่ได้?” ซีเหมินจินเหลียนถาม พูดพลางใช้น้ำเย็นหนึ่งขันสาดไปที่เชือกที่มัดมือของเขาไว้ แน่นอนมันทำให้จ่านมู่ฮวาเปียกทั้งหัวและหน้าไปด้วย


 


 


สีหน้าของจ่านมู่ฮวาดูอยากร้องออกมาเต็มที่ ตัวเองให้ความร่วมมือที่จะให้เธอมัด แน่นอนว่าจะพูดอะไรออกไปไม่ได้แล้ว แค่คิดไม่ถึงว่าเธอจะรู้จักการใช้น้ำเย็นทำให้เชือกหนักขึ้น นี่มันก็เกินไปหน่อยหรือเปล่า เชือกนี้เป็นเชือกป่าน ถ้าหากโดนน้ำก็จะพองออก เดิมทีที่มัดแน่นอยู่แล้ว ถ้าเชือกพองออกอีก เขาคงทนไม่ได้แน่…  


 


 


เมื่อเห็นจ่านมู่ฮวาเปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำ ซีเหมินจินเหลียนก็กลั้นขำไม่ได้อีกต่อไป พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


 


 


“ไม่เลวจริงๆ ฉันก็อายุขนาดนี้แล้ว แต่ยังไม่เคยถูกใครจับมัดมาก่อน” คิดไม่ถึงว่าจ่านมู่ฮวายังคงยิ้มอยู่


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสงสัยอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้เขาก็โรคจิตจริงๆ เหรอไง? ถ้าเป็นคนปกติ ใครจะยอมถูกจับมัดกัน แต่คนคนนี้กลับหาเรื่องใส่ตัว ในเมื่อเขามาถึงที่ เธอก็จะเอาเปรียบเขาไม่ได้


 


 


“นี่ คุณซีเหมิน…จินเหลียน…คุณ…ปลดเข็มขัดหนังของผมทำไม? พวกเราบอกว่าเล่นกัน ไม่ใช่เล่น…นี่…ถอดแบบนี้ไม่ได้นะ คุณทำอย่างนี้มันจะยิ่งแน่นเข้าไปใหญ่…” จ่านมู่ฮวามองซีเหมินจินเหลียนที่กำลังถอดเข็มขัดของเขาอยู่ด้วยท่าทางงุ่มง่าม แวบหนึ่งก็คิดอย่างโง่เขลา เธอคงไม่ได้อยากได้เขาจริงๆ หรอกนะ?


 


 


ชั่วชีวิตของจ่านมู่ฮวาช่ำชองกับเรื่องผู้หญิงมามาก แต่ก็ยังไม่เคยถูกใครมาเบ่งอำนาจใหญ่เช่นนี้มากก่อน แต่ทำไมเขาถึงกลับรู้สึกรอคอยอย่างบอกไม่ถูกนะ?


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนิ่งอึ้งไปเกือบสามนาที งงงันที่ไม่ได้ถอดเข็มขัดของจ่านมู่ฮวาออกมาสักที อีกทั้งเขายังร้องแหกปากอยู่นั่น ทำให้เธอหน้าแดงหูแดงไปหมด มือไม้พัลวันพันมั่วทำตัวไม่ถูก ถอดไม่ออก…เข็มขัดบ้าอะไร แข็งแรงชะมัด


 


 


“คุณเงียบปากหน่อยเถอะ!” ซีเหมินจินเหลียนยอมปล่อยวางเรื่องการใช้วิธีธรรมดาในการปลดเข็มขัดออก


 


 


จ่านมู่ฮวาปิดปากลงอย่างว่าง่าย ไม่พูดอะไรต่อไปอีก ซีเหมินจินเหลียนค้นหาไปทั่วห้อง จากนั้นเธอก็เดินไปที่ห้องครัวอีกครั้ง ก่อนจะออกมาพร้อมกับกรรไกรแหลมคมที่เพิ่มขึ้นมาในมือ


 


 


“คุณ…คุณจะทำอะไร?” จ่านมู่ฮวาตกใจหนักมาก เดี๋ยวก็จะปลดเข็มขัด เดี๋ยวก็หยิบกรรไกรมา เธอคงไม่ได้…จะตัดเขานะหรอกนะ? “คุณอย่าเข้ามานะ!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเดินไปข้างหน้าเขา ก่อนจะใช้กรรไกรตัดเข็มขัดออกไป จากนั้นนำสายเข็มขัดหนังออกมา…


 


 


จ่านมู่ฮวามองเธอด้วยความสงสัย เข็มขัดนี่เขาเป็นคนซื้อ ราคามูลค่ามหาศาล แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือเธอจะเอาเข็มขัดเขาไปตัดทำอะไร เข็มขัดนี้ไม่ได้ไปขัดขวางการทำงานของเธอสักหน่อย?


 


 


“ตอนนี้ พวกเราสามารถเล่นกันได้สักรอบแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนนำเข็มขัดมาถือไว้ในมือ ทดสอบความสัมผัส ไม่เลวเลย จ่านมู่ฮวาคงไม่ได้ใช้เข็มขัดเลียนแบบของเล่นกิ๊กก๊อกใช่ไหม นี่น่าจะเป็นหนังแท้สินะ


 


 


ในที่สุดจ่านมู่ฮวาก็เข้าใจสักทีว่าซีเหมินจินเหลียนถอดเข็มขัดของเขาด้วยจุดประสงค์อะไร เธอไม่ได้ต้องการเขา แต่แค่อยากหาแส้เท่านั้น


 


 


“คุณจ่านมู่ฮวา คุณมาหาฉันเพราะเรื่องอะไรกันแน่” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


 


“ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอไง?” จ่านมู่ฮวายิ้มกลบเกลื่อน


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้สนใจ เธอยกเข็มขัดที่ใช้แทนแส้ชั่วคราว ก่อนจะฟาดลงไปที่ร่างกายของเขาอย่างไม่มีเยื่อใย ผู้ชายคนนี้ดูแล้วเหมือนไม่เคยถูกสั่งสอน  


 


 


เพียะ! เสียงดังอย่างชัดเจน เข็มขัดฟาดลงไปที่ลำตัวของจ่านมู่ฮวาอย่างหนัก จ่านมู่ฮวาเจ็บปวดจนต้องออกแรงกำหมัด กัดฟันเพื่อกลบเกลื่อนเสียงร้องของตัวเองไม่ให้แหกปากขึ้นมา แรงข้อมือของเธอมีพลังมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก โดนครั้งหนึ่งก็รู้สึกทนรับได้ยาก


 


 


“อย่าฟาดมาทีหน้าผมก็พอ” จ่านมู่ฮวารีบชิงพูดขึ้น


 


 


“ฉันจะตีคุณให้ตาย อนาคตจะได้อ่อยผู้หญิงไม่ติด” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ “ไม่มีใครเคยบอกคุณเลยหรือไงว่าคุณมันคือหายนะ?”


 


 


“หืม…” จ่านมู่ฮวาไม่เข้าใจ หายนะอย่างนั้นเหรอ?


 


 


“โอเค ถ้าไม่อยากจะถูกมัดแบบนี้ คุณก็บอกฉันมาเสียดีๆ ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่กันแน่” ซีเหมินจินเหลียนถาม เธอไม่เชื่อว่าเธอจะมีมนตร์เสน่ห์แพรวพราวขนาดนั้น ที่จะทำให้ผู้ชายหายนะอย่างจ่านมู่ฮวามาจีบเธอ ผู้ชายอย่างเขาน่าจะถูกผู้หญิงตามจีบมาตลอด รูปร่างที่งดงาม โปรไฟล์ที่บ้านก็ดี ผู้หญิงส่วนมากแทบอยากจะโผบินสยายปีกแห่กันมาเป็นลูกสะใภ้ตระกูลนี้


 


 


จ่านมู่ฮวาไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามาทำอะไร สำหรับคำถามนี้จะให้เขาตอบอย่างไร?


 


 


ซีเหมินจินเหลียนก็รู้ว่าเขาน่าจะไม่ตอบง่ายๆ คนบางคน…ขาดการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เกิด แล้วมีสมองที่วิปริต คิดถึงตอนนั้นที่จ่านป๋ายทั้งตัวโชกไปด้วยเลือดนั่น เธอก็คิดว่าการมัดเขาแค่นี้ก็ถือว่าน้อยไป ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เหมือนเป็นคนเรียกร้องอยากได้เอง   


 


 


“ผมไม่ตอบ มันก็ทำให้คุณใช้โอกาสนี้มัดผมไม่ใช่เหรอไง?” จ่านมู่ฮวายิ้มอย่างมีเลศนัย 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 72 แส้

 

“คุณนี่มันไม่มีใครสั่งใครสอน!” ซีเหมินจินเหลียนด่าท้อ ปากก็พูดไป ส่วนมือก็ถือแส้หนังพร้อมที่จะฟาดเขาตลิดเวลา


 


 


จ่านมู่ฮวาร้องโอดครวญออกมาอย่างเจ็บปวด แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา ซีเหมินจินเหลียนนับเงียบๆ อยู่ในใจ จำได้ว่าในโทรทัศน์ตีเหมือนไม่ตีก็ไปถึงหนึ่งร้อยรอบ ฟาดเขาไปแค่สิบกว่ารอบคงจะไม่น่ามีปัญหาอะไร? แต่ระหว่างที่เธอนับไปถึงสามสิบ คิ้วก็ขมวดขึ้นอย่างสงสัย


 


 


เดิมทีจ่านมู่ฮวาสวมใส่ชุดสูทสีขาว ตอนที่เข้ามาเขาได้ถอดวางไว้ที่โซฟา ตอนนี้ชุดที่เขาสวมใส่เป็นเสื้อเชิ้ตลายทางสีขาว แต่ตอนนี้เสื่อเชิ้ตนั้นได้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดอย่างน่าสลดใจ


 


 


แม้ว่าซีเหมินจินเหลียนคิดมาตลอดว่าตอนนั้นไม่รู้ว่าใครทำให้จ่านป๋ายอาการเจ็บสาหัสขนาดนั้น ถ้ามีโอกาส เธอจะเอาคืนให้สาสมกับคนชั่วคนนั้นอย่างแน่นอน แต่วันนี้คนชั่วคนนั้นยอมให้เธอมัด แม้ว่าอารมณ์โกรธจะพลุ่งพล่าน แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตีเขาจนตายไม่ใช่หรืออย่างไร?


 


 


“จ่านมู่ฮวา คุณยังไม่ตายใช่ไหม?” ซีเหมินจินเหลียนยั้งมือไว้ เมื่อเห็นจ่านมู่ฮวาก้มหน้าลงก็รีบถามขึ้น ในใจได้แต่สงสัย คงไม่ใช่ว่าเขาทนกับการตีแค่นี้ไม่ได้หรอกนะ? ถ้าหากทำให้คนตายในบ้านนี้ นั่นก็คงเป็นเรื่องใหญ่แน่…   


 


 


“ผมยังไม่ตาย…” จ่านมู่ฮวาเงยหน้าขึ้นมา ส่งแววตาทำให้ซีเหมินจินเหลียนดวงตาโตอย่างวิตกกังวลขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ มีความรู้สึกลังเลขึ้น ตีเธอก็ตีแล้ว ด่าเธอก็ไม่รู้จะด่าเขาอย่างไรดี เพราะพวกเขาไม่ได้สนิทสนมกัน


 


 


เธอนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก สองมือกุมเข่าแล้ววางคางลงไป มองยังผู้ชายคนที่ถูกเธอมัดไว้ที่ราวบันได…


 


 


ปล่อยเขาก็น่าจะอันตรายเกินไป แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง


 


 


ทำไมจ่านป๋ายยังไม่กลับมาอีกนะ? ในใจของซีเหมินจินเหลียนคิดแต่เรื่องของจ่านป๋าย ถ้าเขาอยู่เรื่องก็คงจัดการง่ายขึ้น เธอคิดพลางควานหามือถือเริ่มโทรไปหาเขาอีกครั้ง


 


 


มือถือของเขายังคงปิดอยู่ เมื่อโทรไปหาหลินเสวียนหลานก็ปิดเครื่องเช่นกัน มองเวลาไปมาก็ถึงสี่ทุ่มแล้ว…


 


 


“ถ้าหากมู่หรงกลับมา ผมคงไม่นั่งนิ่งๆ ให้คุณมัดด้วยเชือกแบบนี้หรอก” จ่านมู่ฮวามองไปทางซีเหมินจินเหลียนแล้วยิ้ม “เขาเกลียดผมเข้ากระดูก เขาคงสบโอกาสที่ผมกำลังอ่อนแอจัดการผมให้ตายซะ!”


 


 


“ถ้าเป็นฉัน ฉันก็เกลียดคุณ!” ซีเหมินจินเหลียนทำเสียงเหอะ แล้วคิดไปถึงสภาพที่จ่านป๋ายเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดสดอีกครั้ง


 


 


จ่านมู่ฮวาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณคิดจะมัดผมไว้นานขนาดไหน”


 


 


“รอจนกว่าเสี่ยวป๋ายจะกลับมา หรือไม่ก็คุณรีบไสหัวไปตั้งแต่ตอนนี้!” ซีเหมินจินเหลียนรีบพูดด้วยวาจาเฉียบคม ในระหว่างที่จ่านป๋ายยังไม่กลับมา เธอจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ คนคนนี้อันตรายเกินไป นอกเสียจากเขาตกลงว่าจะออกไปจากที่นี่


 


 


“จริงๆ ผมอยากจะเลี้ยงข้าวเย็นคุณ คุณหิวหรือเปล่า” จ่านมู่ฮวาถาม


 


 


“หิว…” ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินข้าว


 


 


จ่านมู่ฮวาคิดอะไรขึ้นมาได้ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ แล้วค่อยกลับมามัดผมต่อดีไหม?”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนจับโทรศัพท์อีกครั้ง จ่านมู่ฮวาเลยพูดว่า “คุณไม่ต้องโทรไปแล้ว ผมบอกแล้วว่าเขาไม่น่าจะกลับมา ก็ไม่กลับมา”


 


 


“คุณทำอะไรเขา” ซีเหมินจินเหลียนดีดตัวเองขึ้นมาจากโซฟา แล้วหยิบแส้นั่นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเดินไปข้างหน้าเขา ถ้าหากเขาไม่พูด เธอคงต้องเล่นเกมบีบบังคับเขาสักตา


 


 


“หลินเสวียเหวินตายแล้ว คุณคงรู้เรื่องนี้สินะ?” จ่านมู่ฮวาพูด


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เรื่องนี้เธอย่อมรู้เรื่อง จ่านมู่ฮวาจึงพูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณก็น่าจะรู้ว่าการตายของชายชราหลินมันผิดปกติ?”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “ได้ยินมาว่าเขาถูกวางยาพิษ”


 


 


“อืม เดิมทีเรื่องนี้ตระกูลหลินตั้งใจจะปิดบังไว้ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ หลินเจิ้งก็ไปแจ้งความ จากนั้นหลักฐานต่างๆ บ่งชี้ไปทางหลินเสวียนหลาน ทางตำรวจก็คิดว่าเป็นคดีเจตนาฆ่า เพราะฉะนั้นคืนนี้เลยจับเขาขังไว้” จ่านมู่ฮวาพูดขึ้น


 


 


ซีเหมินจินเหลียนถือแส้ไว้ในมืออย่างแน่นหนา คิดไม่ถึงว่าหลินเสวียนหลานจะถูกตำรวจกุมขังไว้? คนอย่างเขาจะทนกับความยากลำบากแบบนี้ได้อย่างไรกัน


 


 


“เขาอยู่ที่สถานีตำรวจ มือถือเลยถูกยึดไว้ก่อน ไม่ว่าคุณจะโทรไปหาเขายังไงก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนน้องรักของผมคนนั้น ที่ทำให้ผมกล้ามาหาคุณถึงที่นี้ ผมเลยให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับเขา!” จ่านมู่ฮวายิ้มอ่อน เดิมทีหน้าตาหล่อเหลาไร้พิษภัยก็ได้แสดงถึงความชั่วร้ายผ่านให้เห็น


 


 


“คุณทำอะไรกันแน่?” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยน้ำเสียงอึมครึม ในใจเธอมีลางสังหรณ์บางอย่าง กลัวว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้น


 


 


“ผมก็แค่บอกตำรวจว่าคืนนี้เขาจะไปที่ห้องชายชราหลินเพื่อเผาทำลายหลักฐาน” จ่านมู่ฮวายิ้ม “คุณซีเหมิน คุณว่าถ้าหากตำรวจไม่ได้โง่ จะวางกับดักรอให้เขากระโดดหรือไม่ล่ะครับ?”


 


 


“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่รู้จะควบคุมอารมณ์โกรธที่อยู่ในตัวเช่นไร ในมือที่กำลังถือแส้อยู่นั้นก็ได้ฟาดลงไปที่ร่างของเขาอีกครั้ง


 


 


ถ้าหากเมื่อครู่นี้ซีเหมินจินเหลียนเพียงแค่เล่นเท่านั้น เวลานี้ถึงเรียกว่าลงมือของจริง รอยเข็มขัดฟาดลงไปที่ลำตัวของเขาพร้อมคราบเลือดแดงสดคละเคล้ากัน


 


 


จ่านมู่ฮวายังอดกลั้นที่จะไม่ปล่อยเสียงออกมา แต่เขาที่ถูกตีไปตั้งสามสิบสี่สิบที เลยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด


 


 


“ร้องสิ! ฉันคิดว่าคุณจะไม่กลัวเจ็บเสียอีก!” ซีเหมินจินเหลียนโกรธจัด   


 


 


“แน่นอนว่าผมกลัวเจ็บ แต่คุณตีผม ผมยังรู้สึกชอบ” จ่านมู่ฮวาสูดลมหายใจเข้าอย่างลึกๆ


 


 


“คุณมันคนชั้นต่ำ!” ซีเหมินจินเหลียนด่าทอ พูดไปในมือก็กำแส้ไว้ อดไม่ได้ที่จะฟาดเขาต่อไป


 


 


“จินเหลียน คุณซีเหมิน…อย่าตีเลย…ผม…โอ๊ย…อย่าตีเลย…” จ่านมู่ฮวาถูกตีไปเพิ่มอีกสิบกว่าครั้ง รู้สึกเจ็บปวดทรมานจริงๆ อดใจไม่ได้ที่จะปริปากอ้อนวอนขอชีวิต แต่ความโกรธที่แผ่รังสีล้อมรอบตัวเธอ ทำให้เธอเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา


 


 


ฟาดตีเขาเพิ่มอีกยี่สิบสามสิบรอบ ซีเหมินจินเหลียนเห็นตอนแรกที่เขายังพูดจาโอ้อวด แต่ตอนท้ายสักประโยคก็ไม่ลั่นออกมา และไม่มีเสียงคัดค้านใดๆ ลองนับครั้งทั้งหมดเหมือนเธอจะตีเขาไปร้อยรอบเห็นจะได้ ถ้าตีอีกสภาพคงไม่ใช่คนแน่ อีกทั้งมือของเธอเองก็เจ็บแสบปวดร้อนไปหมด…


 


 


เธอยั้งมือไว้แล้วยืนข้างหน้าจ่านมู่ฮวา ก่อนจะยื่นมือไปตบหน้าเขาและถามว่า “นี่ คุณยังโอเคอยู่หรือเปล่า”


 


 


แต่เห็นใบหน้าของจ่านมู่ฮวาซีดเผือด ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ขณะนั้นในใจของซีเหมินจินเหลียนก็ตกใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าเขาจะตายไปจริงๆ หรอกนะ? คิดพลางรีบยื่นมือไปทดสอบลมหายใจที่จมูกของเขา นับว่ายังดีอยู่ เพียงแต่แค่หายใจอ่อนแรง เธอรีบขึ้นบันไดไปแกะเชือกออก ในใจยังรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง นี่เธอคงจะไม่ได้ฆ่าเขาตายหรอกนะ?


 


 


เมื่อเชือกถูกปลดออก ร่างกายของจ่านมู่ฮวาก็ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวอีก ร่างของเขาอ่อนแรงจนร่วงลงไปอยู่ที่พื้น


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรีบวิ่งไปที่ห้องครัว จ่านมู่ฮวากลับลืมตาขึ้นมาด้วยความสงสัย แอบมองเงาด้านหลังของเธอที่กำลังลนลาน จากนั้นก็รีบปิดตาเพื่อแกล้งตายต่อไป


 


 


ไม่นานความรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นๆ ถูกสาดเข้าที่ใบหน้า แต่จ่านมู่ฮวาตั้งใจจะแกล้งให้เธอตกใจ เลยได้แต่ทำเป็นหลับตาเหมือนคนใกล้ตาย


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นใบหน้าเขาที่ถูกสาดด้วยน้ำเย็นแล้ว แต่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ในละครโทรทัศน์ไม่ใช่ว่าแค่สาดน้ำเย็นก็ตื่นแล้วหรอกเหรอ? นี่จะทำอย่างไรดี เขาคงไม่ตายหรอกนะ?


 


 


“นี่! จ่านมู่ฮวา จ่านมู่ฮวา!” ซีเหมินจินเหลียนตบเข้าที่ใบหน้าเขาเบาๆ เรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน “คุณอย่าแกล้งตายทำให้ฉันตกใจนะ!”


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นจ่านมู่ฮวาก็ยังไม่กระดิกตัว ประจวบเหมาะกับเวลานี้ที่มีเสียงมือถือดังขึ้นมาพอดี ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้ว เสียงมือถือนี่เหมือนไม่ใช่ของตน…


 


 


เธอมองโซฟาที่มีเสื้อสูทของจ่านมู่ฮวา เธอก็รู้สึกกลัวรีบวิ่งไปดู ก่อนจะคว้าหามือถือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ดูไปมาเบอร์นี้ เธอก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้ ให้เธอคิดเธอก็คิดไม่ออกว่าเป็นเบอร์ของใคร…


 


 


“คุณซีเหมิน รบกวนคุณช่วยหยิบมือถือผมมาด้วยครับ” ด้านหลังมีเสียงของจ่านมู่ฮวาดังขึ้น


 


 


ซีเหมินจินเหลียนสับสน แต่ก็เรียกสติกลับคืนมาได้ รู้สึกตัวว่าตนเองถูกหลอกเข้าแล้ว แต่เมื่อคิดถึงเมื่อสักครู่ที่เล่นไปพอสมควร เขาและจ่านป๋ายไม่ถูกกัน ใส่ร้ายหลินเสวียนหลาน แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจ เธอเกลียดเขามันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เขาถูกมัดไว้แล้วยังโดนแซ่ฟาด มันก็เกินไปหน่อย


 


 


เธอนำมือถือยื่นไปหาจ่านมู่ฮวา จ่านมู่ฮวารู้สึกว่ามือทั้งสองข้างด้านชาไปหมด เมื่อสักครู่ที่ถูกเชือกมัดไว้แน่นคงจะทำให้เลือดไม่เดิน แต่เมื่อแกะเชือกออกแล้วก็รู้สึกว่าข้อมือเหมือนถูกเข็มมีดหลายเล่มปักเข้าใส่ เกือบจะกดปุ่มมือถือไม่ได้ เขากดปุ่มรับด้วยความยากลำบาก


 


 


ซีเหมินจินเหลียนก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะไปนั่งเอนตัวที่โซฟามองจ่านมู่ฮวาที่นั่งลงอยู่ที่พื้น และกดรับมือถืออย่างอ่อนแรง


 


 


ไม่นาน จ่านมู่ฮวาก็ได้ปริปากพูดประโยคไม่กี่ประโยคออกมาอย่างเรียบเย็น “รู้แล้ว!” จากนั้นก็กดปุ่มตัดสายไป


 


 


จ่านมู่ฮวารีบลุกขึ้นมาจากพื้น เขาเดินไปที่ตรงกลางห้องรับแขกและเอนตัวนั่งลงที่โซฟา ถามเธอว่า “โกรธเหรอ”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า คนที่สมควรโกรธ น่าจะเป็นเขา ไม่ใช่เธอ! เธอเพียงแค่หมดแรงเท่านั้น…


 


 


“คุณเป็นห่วงมู่หรง?” จ่านมู่ฮวาถาม


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เธอก็รู้สึกเป็นห่วงเขามากจริงๆ และยังกังวลใจกับหลินเสวียนหลานที่ถูกกุมขังไว้ที่สถานีตำรวจ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง


 


 


“คุณวางใจได้ พวกเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมีหน้ามีตา ในระหว่างที่ยังไม่มีการตัดสินคดี ใครก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเขาหรอก ส่วนคุณก็น่าจะเชื่อใจในตัวจ่านมู่หรง ถ้าหากเขายังจัดการกับเรื่องเล็กๆ แบบนี้ไม่ได้ เขาคงตายไปนานแล้ว ไม่ต้องให้ใครจัดการหรอก ผมนี่แหละที่อยากได้ชีวิตเขามาตั้งนานแล้ว” จ่านมู่ฮวาแสยะยิ้ม รับรู้ได้ว่าเธอเป็นห่วงจ่านป๋ายอย่างไม่มีเหตุผล


 


 


“ฉันรู้ว่าเขาจะไม่เป็นอะไร แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงเขา” ซีเหมินจินเหลียนพูดความจริง


 


 


จ่านมู่ฮวากระตุกมุมปากขึ้นด้วยท่าทีมีลับลมคมในพร้อมส่ายหัว “คุณรักเขาแล้ว?”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไร รักเหรอ? คงไม่แปลกสินะ? รู้จักกันมาตั้งนาน อย่าพูดถึงคนเลย ถึงจะเป็นสัตว์ก็มีความรู้สึก เพียงไม่นานเธอก็คิดได้ว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาหาจ่านมู่ฮวาเมื่อสักครู่เป็นเบอร์ของใคร…

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 73 ยุคเจริญรุ่งเรืองของหยก

จ่านมู่ฮวาลองถามขึ้นว่า “ครั้งนั้นเป็นเพราะคุณช่วยเขาไว้ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นคุณก็น่าจะรู้ว่าเขามีโอกาสที่จะพิการ…”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกอยากจะจู่โจมเขาอีกรอบ คำถามนี้เธอรู้ดี จ่านป๋ายอาจจะมีโอกาสเป็นผู้พิการ ส่วนคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ก็เป็นผู้ชายสารเลวหน้าสวยที่อยู่ตรงหน้า จ่านป๋ายพูดเองว่าเขาเป็นคนไม่สมประกอบ


 


 


แต่ตอนนั้นเหตุผลหลักที่ซีเหมินจินเหลียนยอมให้เขามาอยู่ด้วยกันก็เพราะว่าเขาอาจจะพิการ และคงไม่ได้สร้างความอันตรายให้แก่เธอ


 


 


จ่านมู่ฮวาคลึงข้อมือของตนที่มีรอยช้ำสีเขียวของแส้อยู่ “ถ้าคุณรักเขา นั่นมันก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา สายเมื่อสักครู่ที่โทรมาคิดไม่ถึงว่าจะเป็นจินอ้ายกั๋ว ถึงว่าเธอถึงรู้สึกคุ้นเบอร์อย่างบอกไม่ถูก ในเมื่อเป็นอย่างนี้แสดงว่าจ่านมู่ฮวาก็เคยค้นหาอาการบาดเจ็บของจ่ายป๋าย? แต่จินอ้ายกั๋วบอกว่าจ่านป๋ายอาจจะมีโอกาสฟื้นกลับมาเป็นปกติ


 


 


ในเมื่อเป็นอย่างนี้ จ่านมู่ฮวาก็คงจะยังแน่ใจไม่ได้ เขาเพียงแค่ทดสอบจิตใจเธอเท่านั้นสินะ?


 


 


“ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะว่าเสี่ยวป๋ายอยู่ที่นี่ คุณคงไม่มาเหลียวตามองฉันหรอกใช่ไหม” ซีเหมินจินเหลียนพูดจากระแทกแดกดัน


 


 


จ่านมู่ฮวาพยักหน้าพูด “ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่นับจากนี้เป็นต้นไป มันไม่เหมือนกัน”


 


 


“มีอะไรที่ไม่เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ผู้ชายอย่างคุณ ยังมีผู้หญิงที่ไม่ต้องการคุณด้วยเหรอ”


 


 


“นั่นก็จริง แต่คุณกลับไม่สนใจผม” จ่านมู่ฮวายิ้ม “บางครั้งผู้ชายก็ชอบหาเรื่อง คิดว่ามาถึงหน้าประตูก็มักจะเป็นของไม่ดีมีตำหนิ ส่วนของที่คว้ามาไม่ได้กลับดีที่สุด ส่วนผมก็เป็นเช่นนั้น ถูกคุณตีตั้งหลายรอบ แต่คิดไม่ถึงว่าจะรู้สึกใจเต้นแรง


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสับสน ผู้ชายมากมายต่างก็เป็นแบบนี้ สำหรับของที่หาง่ายก็มักคิดว่าเป็นของไม่ตื่นเต้นท้าทาย ส่วนของที่ได้มายากหน่อยมักจะเป็นของดี แต่คนที่พูดเปิดอกหมดอย่างจ่านมู่ฮวาก็มีน้อย


 


 


“นี่คุณกำลังสารภาพรักกับฉัน?” ซีเหมินจินเหลียนพูด


 


 


“ผู้หญิงสวยกับหยกงาม ผมก็ชอบทั้งหมด ผู้หญิงแปลกๆ อย่างคุณ ชั่วชีวิตนี้ผมไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน” จ่านมู่ฮวาพูดขึ้น “อีกทั้งคุณยังมีหยก ที่คนมากมายไม่เคยได้พบเจอมาก่อน…”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกระตุกมุมปากยิ้มขึ้นอย่างจนปัญญา ที่คนส่วนมากมองมักจะไม่ใช่ความเป็นตัวเธอ แต่เป็นหยกทั้งหลายที่เธอมีไว้ในครอบครอง รวมไปถึงความสามารถพิเศษในการเดิมหยกของเธอ ถ้าหากไม่มีสิ่งพวกนี้ อย่าพูดถึงผู้ชายอย่างจ่านมู่ฮวา ฉินเฮ่าหรือหลินเสวียนหลานเลย แม้แต่หวังหมิงเหยาผู้ชายคนนั้นก็ยังทิ้งเธอ


 


 


ถ้าสักวันหนึ่งที่ซีเหมินจินเหลียนสูญเสียหยกทั้งหมดไป ถึงเธอจะหิวตายอยู่ข้างถนน ก็คงไม่มีใครที่จะมาชายตามองเธอ


 


 


“คุณซีเหมิน คุณจะลองพิจารณาสักหน่อยได้ไหม ยอมให้ผมจีบเถอะนะ?” จ่านมู่ฮวาใช้โอกาสนี้เข้าใกล้เธอ ก่อนจะยิ้มด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว ยอมให้เขาจีบเหรอ? นั่นมันก็เป็นเรื่องที่บ้าบอมาก


 


 


“คุณซีเหมิน คุณก็น่าจะรู้ว่าในตระกูลจ่านตำแหน่งของมู่หรงสู้ผมไม่ได้สักนิด ถึงกระทั่งคุณพ่อเคยประกาศว่าเขาไม่มีสิทธิ์คู่ควรที่จะเป็นทายาทสืบทอดของตระกูล ยิ่งไปกว่านั้นเขาอาจจะพิการ ส่วนฉินเฮ่าก็มีลูกพี่ลูกน้องสาวโรคจิตตามติดอยู่ ดูจากลักษณะภายนอกแล้วเขาก็หน้าตาดูธรรมดา ไม่คู่ควรที่จะพูดถึง ส่วนหลินเสวียนหลานนั่นก็ไม่เลวเลย แต่ก็เอาเถอะ รอให้เขารอดผ่านคืนนี้ไปได้แล้วค่อยพูดกัน” จ่านมู่ฮวาพูดเหมือนเรื่องไม่ได้ใหญ่โตอะไร


 


 


“คุณว่ายังไงนะ?” ซีเหมินจินเหลียนตกใจยกใหญ่ ประโยคก่อนหน้านี้เธออาจจะไม่ได้ใส่ใจ เธอกับ  จ่านป๋ายอยู่ด้วยกันมานาน ถึงแม้จะเป็นคนพิการแล้วจะทำไม? ส่วนฉินเฮ่าเป็นเพื่อนที่ดีของเธอเสมอ และไม่ได้คัดค้านกับการที่เขาจะจีบเธอ…


 


 


ก่อนหน้าที่เธอยังไม่ได้เดิมพันหยก ฉินเฮ่าเคยโทรมาหา วิดีโอคอล บอกกับเธอซึ่งๆ หน้าถึงความรู้สึกที่เขามีให้เธออย่างสุดซึ้ง ในเรื่องนี้ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ต่อต้านเขา อย่างน้อยที่เขามาก็ไม่ใช่เพราะเรื่องหยกอย่างเดียว


 


 


ส่วนหลินเสวียนหลาน ผู้ชายคนที่พาเธอเข้ามาในโลกแห่งการเดิมพัน…


 


 


ในใจของเธอก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก และยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ในเวลาที่เธอไม่รู้จะพึ่งใคร เป็นเขาที่คอยให้ความหวังแก่เธอ…


 


 


ถ้าหากคืนวันนั้น เธอไม่ได้เจอกับหลินเสวียนหลาน แล้วตอนนี้เธอจะเป็นยังไง? ซีเหมินจินเหลียนไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลย


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก” จ่านมู่ฮวาเอนตัวพิงโซฟา ก้มหน้ามองคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนเป็นจุดบนเสื้อขาวลายตารางของเขา แล้วยิ้มจางๆ


 


 


“คุณ…คุณจะทำอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างตกใจ


 


 


“ผมเป็นคนดี” จ่านมู่ฮวาพูดอย่างไร้เดียงสา “คนที่ทำเรื่องเลวคือฉินซิน ผมมาเตือนคุณด้วยความปรารถนาดีนะ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคุณยังจะมามัดผมแบบนี้…”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นมาจากโซฟา แล้วเดินไปที่ราวบันไดข้างหน้า หยิบเชือกที่อยู่บนพื้นขึ้นมา เดินไปที่ข้างๆ ของจ่านมู่ฮวาแล้วส่งเชือกยื่นไปให้เขาแล้วพูด “ถ้าอย่างนั้นคุณก็มัดฉันแล้วตีสักรอบ แล้วเราหายกัน”


 


 


จ่านมู่ฮวามองไปที่เธอ ไม่นานก็หัวเราะออกมา “คุณนี่ก็น่ารักจริงๆ! ขอแค่คุณรับปากคำขอร้องจากผม ตอนนี้ผมจะปล่อยหลินเสวียนหลาน แต่ผมไม่รับรองว่าอนาคตจะไม่ลงมือกับเขา…หรือพูดว่าฉินซินจะไม่ลงมือเขาอีก เป็นอย่างไร?”


 


 


“หลินเสวียนหลานอยู่ในมือคุณ?” ซีเหมินจินเหลียนกัดฟันถาม เมื่อครู่นี้เธอน่าจะตีเขาให้หนักหน่อย


 


 


จ่านมู่ฮวาพยักหน้าลง ซีเหมินจินเหลียนจึงถามขึ้นว่า “จะพิสูจน์ได้อย่างไร”


 


 


จ่านมู่ฮวาคว้ามือถือมาแล้วโทรไปที่เบอร์หนึ่ง เพียงไม่นานก็มีคนรับ “เหล่าเลี่ยวเหรอ? ให้หลินเสวียนหลานพูดสายหน่อย…”


 


 


ไม่นาน จ่านมู่ฮวาก็นำมือถือส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียน ซีเหมินจินเหลียนรับมา ภายในมือถือมีเสียงของหลินเสวียนหลานส่งเข้ามา “ฮัลโหล…”


 


 


“พี่หลิน ฉันเองค่ะ!” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกอยากร้องไห้ แม้แต่น้ำเสียงก็ยังสั่นคลอน ทำไมเรื่องถึงได้กลายเป็นแบบนี้


 


 


“จินเหลียน ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร แต่คุณปู่ตายแล้ว มีเรื่องขึ้นนิดหน่อย…” หลินเสวียนหลานยังพูดไม่ทันจบก็มีคนมาแย่งมือถือไปจากเขา เธอพอจะได้ยินเสียงวุ่นวายอยู่บ้าง


 


 


จ่านมู่ฮวายื่นมือมา ซีเหมินจินเหลียนส่งมือถือให้เขาอย่างงงๆ จ่านมู่ฮวายิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วรับมือถือมาแล้วพูดต่อว่า “เหล่าเลี่ยวไว้หน้าน้องชายที่รักของผมด้วย แล้วปล่อยหลินเสวียนหลานเสีย”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองแต่เขา ในมือถือยังมีเสียงซ่อนเร้นดังขึ้น แต่เธอได้ยินไม่ชัดเจน


 


 


“วางใจได้ ทางฉินซินยังมีผม!” จ่านมู่ฮวาพูดเสร็จก็วางสายไป


 


 


“คนผมก็ปล่อยแล้ว อีกสักพักคุณลองโทรไปหาถามเรื่องความปลอดภัยของเขาได้ คุณซีเหมิน ตอนนี้พวกเรามาพูดเรื่องอะไรสักหน่อยดีไหม?” จ่านมู่ฮวาพูด


 


 


“เดี๋ยวค่อยพูด! ฉันต้องการแน่ใจว่าหลินเสวียนหลานปลอดภัยดี” ซีเหมินจินเหลียนพูด


 


 


“ได้สิ” จ่านมู่ฮวาพยักหน้าอย่างสุภาพบุรุษ


 


 


เวลาผ่านไปประมาณห้านาที มือถือของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขึ้น ซีเหมินจินเหลียนหยิบขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นเบอร์ของจ่านป๋าย เช่นนั้นก็พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดขึ้น “เสี่ยวป๋าย คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”


 


 


“ผมไม่เป็นไรครับ หลินเสวียนหลานก็ปลอดภัยดี ตอนนี้พวกเรากำลังกลับบ้านตระกูลหลิน ก่อนหลินเสวียเหวินจะตาย เขาได้ทิ้งของเอาไว้ ของนี้ไม่เพียงแต่กระทบกับการแบ่งทรัพย์สมบัติในตระกูล แต่ยังมีผลต่อสาเหตุการตายของเขาอย่างแท้จริงด้วย แต่ผู้ดูแลอย่างทนายจางกลับหายตัวไป…” เสียงของจ่านป๋ายถ่ายทอดมาทางมือถือ


 


 


“หา! แล้วทนายจางคนนั้นไปไหน” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย พูดพลางอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองยังจ่านมู่ฮวา


 


 


“ผมว่า ผมเริ่มรู้ปมของเรื่องแล้ว คุณรีบพักผ่อนก่อนเถอะ ผมน่าจะกลับไปพรุ่งนี้ จินเหลียน…คุณเป็นยังไงบ้างครับ” จ่านมู่ฮวารู้สึกว่าน้ำเสียงของซีเหมินจินเหลียนมีความผิดแปลกต่างจากเดิม


 


 


“มะ…ไม่เป็นไร…จ่านมู่ฮวาอยู่กับฉันที่นี่…” ซีเหมินจินเหลียนพูด


 


 


“คุณว่ายังไงนะ?” จ่านป๋ายถามอย่างตกใจ


 


 


“ฉันไม่เป็นอะไร ฉันจะรอคุณกลับมา!” ซีเหมินจินเหลียนพูดแล้วตัดสายโทรศัพท์ไป


 


 


จ่านมู่ฮวาหยิบกล่องกำมะยีมาจากกระเป๋าเสื้อสูท นอกจากนั้นยังมีบัตรวีไอพีส่งไปให้ “ผมให้คุณ”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตามองไปที่บัตรวีไอพีนั่น เป็นบัตรคลับหยกวีไอพี ตัวอักษรสีเขียวเหมือนหยกชนิดแก้วสีเขียวสด คลับหยกระดับสูงมีการใช้จ่ายมหาศาล เธอจะเอาบัตรนี้ไปทำอะไรกัน


 


 


“ฉันไม่ต้องการ และคงไม่ได้ใช้” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว


 


 


“นิทรรศการและการแสดงสินค้าจากเครื่องประดับหยกหนึ่งครั้งในรอบสามปี จัดงานที่คลับหยกนั่น นอกจากนั้นยังมีการเดิมพันหยกด้วย” จ่านมู่ฮวายิ้มมุมปาก “ผมคิดว่าคุณคงไม่อยากพลาดโอกาสนี้หรอกใช่ไหม? รอคุณซื้อหุ้นตระกูลหลินให้เสร็จก็ใช้โอกาสนี้จัดนิทรรศการหยก จากนั้นก็เปิดตลาด หยกของตระกูลหลินตอนนี้ ไม่มีการแข่งขันในตลาดเลย”


 


 


“งานนิทรรศการทำไมถึงยังมีการเดิมพันหยกด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนรับบัตรมาแล้วถามขึ้น


 


 


“ตลาดเครื่องประดับภายในประเทศ ความจริงแล้วหลักๆ ก็เป็นหยก หยกมีสีสันหลากหลาย เปรียบเทียบกับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่ตลาดของหยกยังค่อนข้างหดหู่ใจอยู่ คุณรู้สาเหตุหรือเปล่า?” จ่านมู่ฮวาถาม หยกของคนจีนไม่มีหนทางที่จะตีตลาดต่างชาติได้ ตรงกันข้ามเพชรยังมาแย่งตลาดในจีนมากกว่า


 


 


คนส่วนมากแต่งงานก็มักจะซื้อแหวนเพชรเป็นของหมั้น น้อยคนนักที่จะซื้อหยก


 


 


“ตลาดหยกเลยไม่เป็นที่นิยม” ซีเหมินจินเหลียนยังพอรู้ถึงข้อเสียของตลาดหยก “คนส่วนมากไม่เข้าใจในหยก ซื้อไปด้วยเงินก้อนใหญ่ แต่สุดท้ายก็ได้ของปลอมกลับมา”


 


 


 จ่านมู่ฮวาพยักหน้า “นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ส่วนอีกข้อก็คือหยกที่ดีจะหายากเสียยิ่งกว่าเพชร หยกมีแหล่งกำเนิดแค่ที่พม่า แต่มาเจริญรุ่งเรืองที่จีน การเดิมพันสายนี้ เพราะว่ามันมีผลกำไรมหาศาลอยู่ในตัว ทำให้คนนับไม่ถ้วนยอมที่จะเสียสละทุ่มทน เพราะฉะนั้นนิทรรศการหยกที่จะจัดขึ้นในรอบสามปีนี้ ไม่เพียงแต่จัดแสดงสินค้าหยกเท่านั้น แต่เบื้องหลังยังมีการเดิมพันหยก หยกทุกชิ้นต่างมีลักษณะต่างกัน ในนั้นต่างมีแต่ความท้าทาย แม้แต่งานประมูลในพม่า ก็ไม่อาจเทียบได้”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจดี ตอนที่อยู่ที่เจียหยาง เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับการเดิมพันตัด เดิมพันแหล่งกำเนิดของหยก เดิมพันสี และการเดิมพันต่างๆ มากมายในนั้น  เกรงว่าการเดิมพันในนิทรรศการหยกนี้ คงจะมีการเดิมพันอย่างอื่นที่เพิ่มขึ้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม