ความลับแห่งจินเหลียน ส่วน 4 ตอน 60.2-66

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 60 - 2 ตัวประกัน

 

ซีเหมินจินเหลียนเดินออกไปส่งเขา เห็นผู้อาวุโสหูอายุปูนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะขับรถฮัมเมอร์ ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่เพียงแต่ประหลาดเท่านั้น แถมยังมีความโรคจิตเล็กน้อย คิดว่าตัวเองเป็นหลานสาวยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่ชอบขายคน… 


 


เมื่อส่งผู้อาวุโสหูเสร็จแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็เดินกลับเข้ามา เมื่อเห็นว่าที่พื้นกองไปด้วยทุเรียน ก็เริ่มปวดหัวจี๊ดขึ้นมา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจ่านป๋ายเกลียดกลิ่นทุเรียนเป็นอย่างมาก แต่ถ้าจะเอามันไปทิ้งเธอก็รู้สึกเสียดาย อีกอย่างเธอก็ยังชอบกินทุเรียนอยู่ไม่น้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเสียดายของ 


 


“จินเหลียน ทุเรียนพวกนี้จะทำยังไงกับมันดีครับ” จ่านป๋ายถาม 


 


“เก็บไว้กินเองสักสองลูก ส่วนที่เหลือแล้วแต่คุณก็แล้วกัน!” ซีเหมินจินเหลียนพูด เพราะยังไงเธอก็คงกินคนเดียวไม่หมดแน่ ถึงทุเรียนจะอร่อยอย่างไร แต่ถ้ากินเยอะก็อาจจะทำให้ร้อนในได้ 


 


“สิ่งนี้มันกินได้จริงๆ เหรอ” จ่านป๋ายส่ายหัว โอเค ถึงแม้เขาจะเกลียดกลิ่นของทุเรียน แต่ในเมื่อเธอชอบก็ตามใจเธอแล้วกัน แต่ส่วนที่เหลือจะจัดการกับมันอย่างไรดี? ถึงกระนั้นจ่านป๋ายก็ใช้กระสอบป่านใส่ทุเรียนเข้าไปแล้วนำไปไว้กระโปรงหลังรถ จากนั้นก็ขับรถออกไป ทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนเป็นคดีร่องรอยการฆาตกรรมก็ไม่รู้… 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายขนย้ายทุเรียนออกไปแล้ว ตนเองก็นั่งลงพิงโซฟาอย่างเหม่อลอย หินที่เหลือจากการที่เทพธิดาปิดฟ้า มันจะเป็นหินลักษณะไหนกันนะ 


 


ห้าสี หรือเจ็ดสี? หรือว่าจะเป็นสิบสี? 


 


เอาเถอะ ถึงจะเป็นหยกมีหลายสี แต่นั่นก็เป็นแค่หยกเท่านั้น มากสุดก็แค่มูลค่าไม่เท่ากัน มันจะมีอะไรที่น่าแปลกกันล่ะ เมื่อหันไปมองยังหินราชางูที่วางไว้บนโต๊ะไม้ ซีเหมินจินเหลียนก็เหม่อลอยอีกครั้ง ในใจหาคำตอบไม่ได้สักทีว่าทำไมต้องเป็นงู 


 


แม้ว่าในหยกจะปรากฏไดโนเสาร์ที่น่ากลัวอยู่ในนั้น เธอก็ยังคงรู้สึกไม่มีอะไรที่น่าตื่นใจ เพราะว่าโลกนี้มีร่องรอยของซากฟอสซิลไดโนเสาร์กลายเป็นหินตั้งมากมาย 


 


แต่การที่ข้างในหยกมีงูที่เหมือนมีชีวิตอยู่นี่น่ะสิ เธอไม่สามารถเข้าใจได้จนถึงตอนนี้ ไหนจะเรื่องที่ผู้อาวุโสพูดเกี่ยวกับเทพธิดาหน้าเป็นคนลำตัวเป็นงูอีก… 


 


งูบ้าอะไรหน้าเหมือนคนแต่ตัวเป็นงู! ซีเหมินจินเหลียนพึมพำด่าอยู่ในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอดูถูกความคิดสร้างสรรค์ในตำนานเทพอะไรพวกนี้ ทำไมถึงได้เขียนบรรพบุรุษของคนให้กลายเป็นหน้าคนแต่มีลำตัวเป็นงูได้นะ? 


 


ท่าทางของจ่านป๋ายรีบร้อนกลับมาหลังจากที่จัดการกับปัญหาเรื่องทุเรียนเสร็จ เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนจึงรีบพูดขึ้นว่า “จินเหลียน พวกเรารีบไปกันก่อนที่จะเย็นเถอะครับ” 


 


“ไปทำอะไร” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างไม่เข้าใจ 


 


“ไปที่ตลาดฮวาเหนี่ยวไง” จ่านป๋ายรีบพูด “คุณคงไม่ได้ลืมไปแล้วหรอกนะ?” 


 


ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งนึกขึ้นได้ ตอนเช้าพวกเขาทั้งคู่คุยกันว่าอยากจะทดลองว่างูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือว่ากลายเป็นหยกไปแล้ว แต่ก็กลัวว่าถ้ากระแสไฟสูงเกินไปอาจจะทำให้งูที่อยู่ในหยกตายได้ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงตั้งใจจะไปซื้องูเลี้ยงมาทดลองดูก่อน  


 


“โอเค ไปดูกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น การจะทดลองว่างูในหยกตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ไม่ใช่ปัญหา แต่เธอยังติดค้างเด็กผู้ชายที่เลี้ยงงูอยู่ข้างบ้านนั่น แม้ว่าเขาจะพูดว่าไม่ต้องการการชดใช้ แต่ซีเหมินจินเหลียนก็คิดว่าซื้อกลับไปให้เขาน่าจะสบายใจกว่า 


 


เด็กคนนั้นเลี้ยงงูมาตั้งสองปี แต่กลับถูกเธอใช้มีดปลิดชีวิตมันอย่างนั้น ก็รู้สึกว่าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี 


 


“ไปกันเถอะ” จ่านป๋ายเรียกให้ซีเหมินจินเหลียนออกมาข้างนอก 


 


 “คุณจัดการกับทุเรียนพวกนั้นยังไง” นั่งอยู่บนรถอย่างซีเหมินจินเหลียนถามเขาขึ้นมา จมูกของเธอยังคงรู้สึกได้ถึงร่องรอยของกลิ่นทุเรียนอ่อนๆ 


 


“ผมให้ยามในหมู่บ้านของเราไป เขาดีใจมากเลยนะ เลยไม่ได้ทิ้งไป ผมกลัวว่าคุณจะบอกว่าผมสิ้นเปลือง” จ่านป๋ายพูด “ผมจัดการได้ดีเลยใช่ไหมล่ะ” 


 


“ดี…” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาสาธยายความดีของตัวเองให้ฟัง “เสี่ยวป๋าย คุณไปติดตั้งอะไรที่บ้านฉันเพื่ออะไรกัน” ในที่สุดเธอก็ถามคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ 


 


“ผมไม่ได้ทำนะ!” จ่านป๋ายรีบพูดปฏิเสธออกมา 


 


“ถ้าอย่างนั้นคุณแอบฟังฉันกับผู้อาวุโสหูคุยกันได้ยังไง” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย เธอไม่ได้ใส่ใจ การที่เขามีงานอดิเรกพิเศษแปลกๆ มันเป็นเรื่องที่เธอคุ้นชินแล้ว 


 


“ผมก็แค่ติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้เพื่อกันขโมย วันนี้ก็เลยใช้โน๊ตบุ๊คเชื่อมต่อกับระบบของกล้องวงจรปิดเพื่อดู ผมไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหูคนนี้จะทำอะไร เขาก็ดูแปลกประหลาดเกินไป ปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ได้ ต้องคอยระวัง แล้วผมก็ไม่ใช่คนโง่นะ การที่เขาเอาทุเรียนกองหนึ่งมานั้นก็หมายความว่าไม่อยากให้ผมฟัง แต่เทคโนโลยีของเขาไม่ได้ทันสมัย อย่าพูดถึงจะให้ผมออกไปเลย ถึงผมจะอยู่ในที่ที่ไกลจากบ้าน ผมก็รู้ได้ เขาปิดผมไม่ได้หรอก”  


 


“หึๆ…” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “เขายังเชื่อตลอดว่าหยกนั่นมาจากเทพธิดาฝึกหิน” 


 


จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไม่พูดจา “จินเหลียน แล้วคุณเชื่อไหมหรือเปล่าครับ” 


 


“เรื่องนี้จะให้ฉันพูดยังไงดีล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “ฉันยอมที่จะเชื่อว่าหยกเกิดจากการรวมตัวของเปลือกไข่จะยังดีเสียกว่า ไม่ต้องมีความสัมพันธ์กับตำนานเทพอะไรนั่น แต่สิ่งที่ผู้อาวุโสหูพูดก็ดูมีเค้าโครงอยู่ ฉันก็มีส่วนที่เชื่ออยู่บ้าง แต่ปัญหาก็คือหยกพวกนี้มีประวัติมานาน แต่ทำไมฉันไม่เคยเห็นตำนานอะไรเกี่ยวกับพวกมันเลย?” 


 


“เป็นเพราะอย่างนี้ไงครับ ผมก็เลยเชื่อคำพูดของผู้อาวุโสหูอยู่บ้างเหมือนกัน!” 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม เชื่อแล้วจะยังไง? ถึงแม้ว่าหยกนี้จะมาจากการฝึกหินที่หลงเหลือ แล้วจะอย่างไร หาเจอหินหยกที่เหลือแล้วจะเป็นอย่างไรเหรอ มันก็แค่ปัญหาในเรื่องของมูลค่าหยกก็เท่านั้น 


 


เครื่องประดับอัญมณีมักจะมาคู่กับตำนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าในตำนานนี้มันก็ดูจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล 


 


 “จินเหลียน ผมคิดหาหนทางอะไรดีๆ ได้แล้ว หนทางที่จะเผยแพร่ตีตลาดต่างชาติในอนาคต” จ่านป๋ายยิ้ม 


 


“หินที่เหลือจากการปิดฟ้า?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างเบาบาง 


 


“ใช่ครับ!” จ่านป๋ายพูด “คนเรามักจะไม่สนใจความจริงแท้ในตำนาน ขอแค่มีเรื่องราวทำให้คนรู้สึกประทับใจก็พอ นอกจากนี้เรื่องเทพธิดาสร้างคน เรื่องการเล่นหินมาปิดฟ้า ต่างเป็นเรื่องที่เราต่างรู้จักกัน แม้กระทั่งต่างประเทศยังตีพิมพ์ออกมาตั้งหลายภาษา ถ้าอยากจะเผยแพร่มันก็ง่ายขึ้นเยอะ” 


 


“นี่นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว” ซีเหมินจินเหลียนพูดเอ่ยชมออกมา พร้อมพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการใช้วิธีนี้ 


 


“ถึงเวลานั้น ค่อยนำหินราชางูของคุณออกมาแสดง อยากจะปกปิดชื่อเสียงก็ยากแล้ว!” จ่านป๋ายพูด 


 


“หินราชางู?” ซีเหมินจินเหลียนเงียบไปอยู่ชั่วครู่ถึงได้พูดออกมา “ตอนนี้อย่าเพิ่งกระโตกกระตากอะไรจะดีเสียกว่า ของสิ่งนั้นมีพลังชั่วร้ายเกินไป อีกทั้งยังมีความแปลกกว่าสิ่งอื่น ฉันกลัวว่าอาจจะนำเรื่องยุ่งยากตามมาอีกมาก จริงสิ งานประมูลวันนี้ตอนกลางคืน คุณเตรียมตัวพร้อมแล้วยัง” 


 


“งานประมูลไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก” จ่านป๋ายถาม “มันไม่มีอะไรมากไปกว่าราคาสูงและต่ำ” เขารู้ความคิดของซีเหมินจินเหลียน หินราชางูก้อนนั้นเป็นที่ดึงดูดสายตาของคน ข้างในของหยกก้อนนั้นมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่ที่มีผิวเหมือนมนุษย์ 


 


ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป คงจะมีปัญหาตามมาอีกมาก 


 


เพราะอย่างนั้นถ้าหากไม่มีอำนาจชื่อเสียง เขาก็จะไม่ปล่อยประกาศออกไปง่ายๆ ขนาดเขายังสงสัยมากว่างูในหยกก้อนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือว่ากลายเป็นหยกไปแล้วกันแน่ แล้วคนอื่นๆ ล่ะจะคิดยังไง? 


 


“ไม่มีปัญหาก็ดีแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม ไม่ได้ถามอะไรต่อไป 


 


แต่จ่านป๋ายก็เอ่ยปากถามเธออีกครั้ง “จินเหลียน คุณเคยเห็นสิ่งมีชีวิตในหยกบ้างหรือเปล่าครับ” 


 


“ไม่เคย” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า เธอมักจะรู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในหยกช่างแปลกประหลาดหนัก เธอเคยเข้าเยี่ยมชมฟอสซิลไดโนเสาร์ สิ่งมีชีวิตที่กลายเป็นฟอสซิล เธอยอมรับมันได้ แต่การที่กลายเป็นหยก เธอรู้สึกว่ามันค่อนข้างเหลือเชื่อ 


 


“ผมเคยมีโอกาสได้เจอครั้งหนึ่ง” จ่านป๋ายถาม “แต่ว่ามันไม่ได้น่าดูอะไรหรอก” 


 


“คุณเคยเห็นสิ่งมีชีวิตอะไรที่กลายเป็นหยกเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นมาอย่างสงสัย “กลายเป็นหยกแล้วน่าจะสวยสิ?” 


 


“เป็นคนน่ะ…” จ่านป๋ายส่ายหัวพูด “ผมเคยเห็นที่ต่างประเทศมีคนที่เคยสะสมเป็นของส่วนตัว ของที่น่ากลัว ไม่ได้น่าดูเหมือนงูตัวนั้น ที่เหมือนมีชีวิตอยู่…” 


 


“คุณพูดจาไร้สาระอะไรกัน คนจะกลายเป็นหยกได้ยังไง?” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างไม่เชื่อ 


 


“เป็นเรื่องจริงนะ!” จ่านป๋ายอธิบาย “คุณไม่รู้เหรอว่าในสมัยโบราณเมื่อผู้ที่ร่ำรวยและมีเกียรติเสียชีวิต พวกเขาทั้งหมดจะถูกฝังหยกเข้าไปตามช่องหรือรูของร่างกายทั้งเก้า จากนั้นนำร่างไปฝังใต้ดิน ภายใต้เงื่อนไขพิเศษบางอย่าง อาจทำให้ศพกลายเป็นหยกได้…” 


 


“คุณอย่าพูดเรื่องน่ากลัวแบบนี้สิ ฉันกลัวนะ!” ซีเหมินจินเหลียนไม่มีอารมณ์มองเขา เขาตั้งใจจะทำให้ตกใจหรืออย่างไรกัน! 


 


จ่านป๋ายส่ายหน้า ไม่พูดอะไรออกมา ความจริงเขาอยากจะยืนยันว่างูตัวนี้ไม่ได้กลายเป็นหยก ไม่ว่ามันจะไม่มีชีวิต มันเป็นสิ่งที่แปลกและไร้เหตุผล 


 


รถขับมาจอดอยู่ที่ประตูทางเข้าของตลาดฮวาเหนี่ยว จ่านป๋ายเดินนำซีเหมินจินเหลียนเข้าไป เดินไปตามทางในที่สุดก็หาร้านที่ขายงูเลี้ยงเจออยู่สองร้าน เมื่อเห็นลวดลายสีเขียวที่เลื้อยไปมาในตู้กระจก ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าขนลุกขนพองขึ้นมา เธอไม่ได้กลัวงู แต่เธอก็เหมือนผู้หญิงทั่วไป ที่รังเกียจสัตว์ที่น่าเกลียดแบบนั้น… 


 


 เจ้าของร้านทักทายพวกเขาอย่างอ่อนน้อม “ทั้งสองท่านอยากจะซื้อสัตว์เลี้ยงแบบไหนหรือครับ”  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 61 งูหยก

 

 


 


จ่านป๋ายกวาดสายตาไปยังงูที่ขดอยู่ รวมไปถึงงูที่เลื้อยตัวไปมาหลากหลายชนิด “เลือกตัวที่ถูกก็พอ” เพราะอย่างไรก็แค่ซื้อกลับไปเป็นของทดลองเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่ต้องซื้อของแพงเลย 


 


“ทำไมล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นมามองเขา เธอกำลังสำรวจงูหลากชนิด แยกเป็นงูมีพิษและไม่มีพิษ เมื่อได้ยินสิ่งนี้สัญชาตญาณก็ถามตัวเองออกมา เธอต้องชดใช้งูให้กับเด็กผู้ชายข้างบ้าน ถ้างูที่ถูกเกินไปก็กลัวว่าจะไม่ดี 


 


ระหว่างที่จ่านป๋ายกำลังจะตอบคำ ไม่นานนักโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพร้อมขมวดคิ้วแล้วก็เดินออกไปคุยข้างนอก    


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มแล้วเริ่มเลือกงูต่อไป 


 


“คุณผู้หญิงชอบแบบไหนครับ เคยเลี้ยงมาก่อนหรือเปล่า” เจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ “ถ้ายังไม่เคยเลี้ยง ก็ลองเลือกเป็นแบบไม่มีพิษดูไหมครับ เลี้ยงง่ายดี” 


 


สายตาของซีเหมินจินเหลียนตกไปอยู่ที่งูตัวเล็กขนาดประมาณนิ้วมือ ลำตัวสีแดงดำคั่นกลางสลับกัน “งูตัวนี้มีพิษหรือเปล่าคะ” ตามที่เธอคาดคะเนไว้ นี่น่าจะเป็นงูปล้องฉนวนหัวสามเหลี่ยม ดวงตาหรี่เล็ก… 


 


“นี่เป็นงูปล้องฉนวนครับ” เจ้าของร้านพูด “ถ้าคุณผู้หญิงรู้เรื่องเกี่ยวกับงู ก็น่าจะรู้ว่างูตัวนี้มีพิษ แต่เพราะว่ามีลำตัวที่เป็นสีแดงสด อย่างนั้นจึงนิยมเลี้ยงกันมาก ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีคนฝึกเลี้ยงให้งูชนิดนี้ไม่มีพิษ ถ้าหากคุณผู้หญิงชอบ จะเอาไปเลี้ยงเล่นก็ได้นะครับ” 


 


“เถ้าแก่ ที่นี่ก็มีงูที่มีพิษด้วยหรือคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น ในใจรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก หรือว่างูมีพิษก็สามารถเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงามได้? 


 


“มีอยู่แล้วล่ะครับ” เจ้าของร้านพยักหน้าพูด “แต่ถ้าหากคุณผู้หญิงอยากจะซื้องูที่มีพิษ เราต้องขอสำเนาบัตรประชาชนด้วยนะครับ ทำการเซ็นสัญญากับที่ร้านของเรา ไม่อย่างนั้นถ้าหากมีอุบัติเหตุเสียหายเกิดขึ้น ร้านเล็กๆ อย่างเราก็ไม่อาจรับผิดชอบได้” 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจ “ฉันไม่ได้อยากจะซื้องูมีพิษหรอกค่ะ แค่อยากจะขอดูสักหน่อย” 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็โอเคครับ คุณผู้หญิงเชิญตามผมมาเลยครับ!” เจ้าของร้านพูดพลางผลักประตูข้างในให้เปิดออก 


 


เมื่อบานประตูถูกเปิดออก ก็เห็นงูหลามขนาดใหญ่กำลังชูหัวขึ้นมาอย่างสนิทสนมให้กับเจ้าของร้าน 


 


เถ้าแก่รีบไปเอาน้ำมาให้มันดื่มแล้วพูดว่า “เจ้าดำ หลบไป อย่าทำให้ลูกค้าตกใจ” อีกทางก็หันไปอธิบายกับซีเหมินจินเหลียนว่า “คุณผู้หญิงไม่ต้องกลัวนะครับ นี่เป็นสัตว์เลี้ยง ชื่อว่าเจ้าดำ นิสัยอบอุ่นน่ารัก คุณดูนี่สิครับ” เขาพูดพลางยื่นมือไปสัมผัสที่หัวของงูตัวนั่น 


 


ภายในห้องเล็กๆ มีตู้กระจกวางเรียงรายกันเป็นแถว มีเพียงแค่งูตัวหนึ่งที่ภายในตู้ติดกระดาษเขียนชื่องูกับแหล่งกำเนิดของมัน นอกนั้นไม่มีอะไรพิเศษกว่าอันอื่น เป็นงูพิษทั้งหมด  


 


สายตาของซีเหมินจินเหลียนมองไปที่ตู้กระจกด้านหลังอยู่นาน งูตัวนี้ไม่ได้มีลักษณะพิเศษอะไร สีของมันเป็นสีขาว อีกทั้งยังเป็นสีขาวที่หาได้ยาก เธอเดินไปที่ตู้กระจกข้างหน้า สายตามองจ้องไปที่งูตัวนั้นอย่างสงบนิ่ง 


 


เดิมทีงูสีขาวที่อยู่ในตู้กระจกใสนั้นขดตัวเงียบๆ อยู่ที่มุมตู้ แต่เมื่อเห็นคนแปลกหน้ามันก็ยกตัวแผ่แม่เบี้ยมากระแทกตู้กระจก ซีเหมินจินเหลียนเห็นอย่างชัดเจนว่าที่ลำคอของมันมีสีชมพูอมแดง จากนั้นเธอก็ตะลึงค้างอยู่นาน ในใจได้แต่คิดสงสัย รู้สึกตกใจเล็กน้อย… 


 


ทำไมงูตัวนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้? 


 


“นี่เป็นงูอะไรหรือคะ” ที่ตู้กระจกไม่ได้ติดชื่อเอาไว้ ซีเหมินจินเหลียนจึงจงใจถามออกไป แต่เธอกล้ารับรองว่าถึงแม้ว่าเจ้าของร้านจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขายงู แต่เขาก็ไม่มีทางรู้ประวัติความเป็นมาของงูตัวนี้แน่ 


 


“ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับว่างูตัวนี้เป็นงูอะไร” เป็นอย่างที่คิดไว้ เถ้าแก่ส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีชายแก่ท่านหนึ่งให้ผมมา ผมดูแล้วเห็นว่าสีมันสวยดีก็เลยเก็บมันไว้ คุณผู้หญิง งูตัวนี้เป็นงูที่มีพิษร้ายอย่างเห็นได้ชัด ไม่เคยมีใครเคยเลี้ยงมันมาก่อน มันดุร้ายมาก ถ้าหากคุณอยากจะเลี้ยง อย่าเลือกงูชนิดนี้เลยครับ เพราะงูตัวนี้มีพิษร้ายกาจมาก” เถ้าแก่ตักเตือนด้วยความเต็มใจ 


 


“รู้ได้อย่างไรหรือคะว่างูตัวนี้มีพิษ?” ซีเหมินจินเหลียนหันไปถามเขา 


 


“เอ่อ อย่างนี้ครับ…” เถ้าแก่ยิ้มแย้มตอบ “งูตัวนี้มีหัวสามเหลี่ยม ไหนจะหางที่แหลมคมอีก แม้ว่าสีจะซีดไปสักหน่อย แต่มันก็บ่งบอกถึงว่ามันมีพิษ” 


 


“เถ้าแก่ คุณลองเสนอราคามาเถอะค่ะ ฉันอยากได้งูตัวนี้” ซีเหมินจินเหลียนมุ่งมั่นในการตอบ 


 


“คุณผู้หญิงอยากจะซื้องูตัวนี้จริงๆ หรือครับ?” เถ้าแก่ถามด้วยความสงสัย แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักประวัติความเป็นมาของงูตัวนี้ แต่เมื่อเห็นงูแปลกประหลาดตัวนี้หาพบได้น้อย โดยเฉพาะการที่มีลำตัวขาวผ่องเป็นยองใย ราวกับหยกสีขาว! 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า พอดีกับที่จ่านป๋ายกำลังเดินเข้ามา เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงถามว่า “จินเหลียน คุณเลือกได้แล้วหรือครับ?” 


 


“อืม ฉันจะเอาตัวนี้!” ซีเหมินจินเหลียนชี้ให้เขารู้ว่าเป็นงูตัวที่อยู่ในกระจกนี้ 


 


“เท่าที่ผมดู ผมว่างูตัวนี้ดุร้ายมากเลยนะ” จ่านป๋ายก็มีความสงสัยว่าทำไมงูตัวนี้ถึงเป็นสีขาวล้วนทั้งตัว? 


 


“ผมก็พยายามโน้มน้าวคุณผู้หญิงไม่ให้ซื้องูตัวนี้อยู่ครับ พวกเราไม่อยากให้ลูกค้าซื้องูที่มีพิษไป”เถ้าแก่พยักหน้าเห็นด้วย 


 


“ฉันตัดสินใจแล้วค่ะว่าจะเอาตัวนี้” ซีเหมินจินเหลียนยืนหยัดมุ่งมันในความต้องการของตน 


 


“ก็ได้ครับ” จ่านป๋ายถอนหายใจ แค่ซื้องูมาทดลอง ต้องซื้อขนาดนี้เลยหรือ  


 


“เถ้าแก่ คุณเสนอราคามาได้เลยนะครับ” 


 


“สองแสนหยวนครับ!” เจ้าของร้านพูดออกมา 


 


“อะไรนะครับ?” สายตาของจ่านป๋ายแสดงความตกตะลึงออกมา ก็แค่งูตัวหนึ่ง ไม่ได้ทำมาจากทองสักหน่อย ทำไมราคาถึงได้ก้าวกระโดดไปถึงสองแสนล่ะ? 


 


“ราคานี้เป็นราคาบอกขาดแล้วครับ ถ้าหากคุณทั้งสองไม่อยากซื้อ ถ้าอย่างนั้นลองเปลี่ยนมาดูงูชนิดอื่นดีไหมครับ” เถ้าแก่หันไปสบตาแล้วพูด 


 


“ตกลงค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตบปากรับคำ “เสี่ยวป๋าย คุณไปกดเงิน เดี๋ยวฉันรอที่นี่” 


 


จ่านป๋ายยังคงไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นสายตาที่ซีเหมินจินเหลียนส่งมาให้เขาแล้ว ไม่นานเขาก็รับรู้ได้ในความหมายของเธอ งูตัวนี้คงมากกว่าสองแสนสินะ?    


 


ในระหว่างที่รอจ่านป๋ายไปกดเงิน เถ้าแก่ก็ได้ถามเธออย่างสงสัย “คุณผู้หญิง คุณบอกผมได้ไหมครับว่างูตัวนี้เป็นงูอะไร” 


 


 “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า เธอไม่รู้จริงๆ ว่างูตัวนี้เป็นงูชนิดไหน เธอรู้แค่ว่าเจ้าของเดิมของงูตัวนี้เป็นใครก็แค่นั้น… 


 


“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงยืนยันที่จะซื้อล่ะครับ?” เถ้าแก่ถามด้วยความสงสัย ราคาที่เขาเปิดขายเป็นราคาที่สูงเกินมาตรฐาน แต่คิดไม่ถึงว่าซีเหมินจินเหลียนยังจะซื้ออีก เพราะอย่างนั้นก็ทำให้เขารู้สึกเสียดายอยู่บ้าง บางทีงูตัวนี้อาจจะมีราคาแพง? 


 


จ่านป๋ายกลับมาจากการถอนเงินสดที่ธนาคาร แล้วส่งไปให้เถ้าแก่ร้าน เถ้าแก่ไม่ได้พูดอะไรหยิบถุงมือหนังแล้วเปิดตู้กระจกนั่นออกมาคว้างูตัวนั้นใส่ตู้กระจกเล็กๆ ให้กับซีเหมินจินเหลียน 


 


ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ไม่ต้องใส่ตู้กระจกแล้วค่ะ การที่เอามันมาไว้ในกระจก ก็เป็นการทรมานนางพญางูขาวมากไปแล้ว…” 


 


นางพญางูขาว? จ่านป๋ายไม่เข้าใจ ซีเหมินจินเหลียนจับไปที่งูตัวนั้นอย่างเบามือแล้วพูดว่า “นางพญางูขาว ทำไมเจ้าของของแก ยอมขายแกซะแล้วล่ะ” 


 


งูขาวดมกลิ่นตัวซีเหมินจินเหลียน จากนั้นก็เลื้อยมาคล้องข้อมือเธอราวกับคนรู้จักเก่าแก่ก็ไม่ปาน แนบพิงตัวเธออย่างอบอุ่น 


 


“จินเหลียน งูตัวนี้?” จ่านป๋ายคิ้วขมวด ถามด้วยความแปลกใจอย่างพูดไม่ออก 


 


เถ้าแก่รู้สึกเสียดายจนแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองทิ้ง พระเจ้า งูที่ถูกคนเลี้ยงมานานถึงสิบห้าปี คิดไม่ถึงว่าจะตัวโตเท่านี้…งูตัวนี้ไม่ได้เข้าถึงคนง่าย เขาเลยขายไปถึงสองแสน 


 


ซีเหมินจินเหลียนหยิบกระดาษปากกาเขียนที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง แล้วส่งไปให้เถ้าแก่         “ถ้าหากเจ้าของงูตัวนี้กลับมาอีก รบกวนคุณช่วยบอกเขาด้วยนะคะว่านางพญางูขาวอยู่ที่ฉัน แล้วก็งูปล้องฉนวนนั่นฉันก็เอาด้วยค่ะ รบกวนคุณส่งไปที่ย่านหลานกุ้ยทีนะคะ” 


 


เถ้าแก่ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็ตกปากรับคำ ไม่พูดอะไรต่อ จ่านป๋ายได้แต่ส่ายหน้าไม่เข้าใจ สองคนเดินออกจากตลาดฮวาเหนี่ยว ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่งูสีขาวที่รัดข้อมือเธอไว้อย่างอบอุ่นแล้วถอนหายใจออกมา 


 


“จินเหลียน เจ้าของงูตัวนี้เป็นใครเหรอครับ” จ่านป๋ายขับรถช้าๆ แล้วถามเธอขึ้น 


 


“ตอนนั้นฉันยังเด็ก” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “เพราะอย่างนั้นเรื่องต่างๆ มากมายฉันก็มักจะคิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ว่าตอนนี้ฉันก็ค่อยๆ รู้ว่ายังมีเรื่องอีกมากที่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด อย่างเช่นเรื่องของคุณย่าและอาจารย์ของฉัน เมื่อสิบห้าปีก่อน ฉันก็เคยเจองูตัวนี้ เจ้าของของมันนำมันมา แล้วพักอยู่ที่บ้านเราเกือบครึ่งปี เพราะอย่างนั้นฉันกับมันเลยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี 


 


“แล้วเจ้าของงูตัวนี้ เขาเป็นใครกันครับ” จ่านป๋ายรู้สึกว่าเรื่องราวชักจะน่าสนใจขึ้นแล้ว 


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันหวังว่าจะพบเจอเขา บางทีฉันอาจจะได้รู้ในสิ่งที่ฉันอยากรู้ก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนอย่างอ่อนแรง  


 


หรือว่าจะมีตำนานเล่นหินปิดฟ้าอยู่จริง? 


 


บางทีเธอน่าจะไปถามผู้อาวุโสให้ชัดเจน หินที่เหลือจากการเล่นหินปิดฟ้ามีเวทมนตร์อะไรเกิดขึ้นกันแน่ หรือว่าไม่ใช่หยกธรรมดาๆ? 


 


“จินเหลียน คุณเริ่มเชื่อคำพูดไร้สาระของผู้อาวุโสหูแล้วใช่ไหม” จู่ๆ จ่านป๋ายก็ถามเธอขึ้น 


 


“ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันแค่อยากซื้อหยก หาเงิน ใช้ชีวิตดีๆ แต่ถ้าหากมีพรหมลิขิตได้เจอบรรพบุรุษเข้าจริงๆ ฉันก็ไม่อยากจะพลาดโอกาสไป” 


 


“งานประมูลน่าจะเสร็จตอนประมาณสามทุ่ม พวกเราน่าจะไปถึงทัน!” จ่านป๋ายตัดบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น แล้วถอนหายใจออกมา “บางทีพวกเราน่าจะลองไปดูที่พม่า” 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เธอก็อยากจะไปลองดูที่พม่าเหมือนกัน หรือเธอควรจะไปหาผู้อาวุโสหูเพื่อสอบถามเขาให้ชัดเจน… 


 


“ตอนนี้เวลายังไม่เท่าไหร่ งานประมูลน่าจะเพิ่งเริ่ม” ซีเหมินจินเหลียนพูด 


 


“ผมไม่ได้รีบไปงานประมูลครับ ผมแค่จะบอกว่า…เราก็ไปที่ที่สนุกๆ กัน” จ่านป๋ายพูดขึ้น   


 


“ที่ที่สนุก?” ซีเหมินจินเหลียนสงสัย 


 


“ฉินเฮ่าก็แพ้ราบคาบไปสิบล้านดอลล่าแล้ว!” จ่านป๋ายหัวเราะเยาะสะใจ 


 


“หา?” ซีเหมินจินเหลียนสติยังคงเลื่อนลอย “เขาก็เล่นพนันเงินเหรอ?” 


 


“เดิมพันชีวิตครับ!” จ่านป๋ายขมวดคิ้วเข้าหากัน “ผมเคยบอกคุณแล้ว ธุรกิจตระกูลของเขามีผลกระทบกับคนรอบข้าง พนันสักครั้งก็ไม่ได้เสียหายอะไร คืนนี้ที่เขาเล่นใหญ่ก็เทียบกับว่าเขากำลังเล่นเป็นเพื่อนแขกก็เท่านั่น” 


 


“พนันเงินยังไม่สำเร็จเลยเนี่ยนะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างหมดอารมณ์ “มีเรื่องให้ทำตั้งเยอะแยะมากมาย แต่เขามาเล่นอะไรแบบนี้เนี่ยนะ?” 


 


 “ไปงานประมูลกันก่อนเถอะครับ เราไปดูสักหน่อย จินเหลียน โลกนี้ก็เป็นแบบนี้ล่ะ คนยอมตายเพราะเงินทอง นกยอมตายเพราะหาอาหาร พนันเงิน เดิมพันหยก ไม่ใช่อย่างนี้หรอกเหรอครับ?” จ่านป๋ายยิ้มหัวเราะ น้ำเสียงปล่อยวาง เรื่องที่ดำมืด ซีเหมินจินเหลียนไม่เคยพูดถึง แต่ตอนนี้เขาอยากจะสอนเธอให้รู้สักหน่อย 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 62 คลับหยก

 

งานประมูลจิ่นติงก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา ดูจากข้างนอกคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เพียงแต่ครั้งนี้จ่านป๋ายไม่ได้ถูกคนกันไว้หน้าประตู นอกจากนี้เขายังจองที่นั่งโซนวีไอพีไว้ด้วย


 


เขาพาซีเหมินจินเหลียนเดินเข้ามานั่งด้านใน ทั้งคู่ไม่มีอะไรที่อยากจะซื้อ ได้แต่เปิดสมุดอัลบั้มรูปสินค้าที่มีไว้ในการประมูลเปิดไปมาอย่างเบื่อหน่าย


 


“จินเหลียน คุณลองดูสิครับทับทิมเม็ดนี้งานดีมากเลย อีกเดี๋ยวผมช่วยคุณประมูลดีไหม?” จ่านป๋ายยื่นรูปภาพในอัลบั้มส่งไปให้เธอดู


 


ซีเหมินจินเหลียนรับขึ้นมาดู ที่แท้ก็เป็นทับทิมเนื้อดีอย่างที่คิด ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กจนเกินไป เป็นสีแดงสดอย่างที่เธอชอบ ดูจากข้อมูลที่เขียนบอกไว้เป็นพลอยทับทิม ไม่น่าจะเป็นของปลอม เพราะราคาเริ่มต้นอยู่ที่สามแสน


 


“สวยใช่ไหมครับ?” จ่านป๋ายยิ้มถาม “สามารถสวมใส่กับแหวนก็ได้ เป็นไงครับ”


 


“ฉันว่าราคาสูงไปหน่อย” แม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะรู้สึกชอบอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉันคาดเดางบแล้ว ช่วงนี้งบประมาณการหมุนเวียนเงินของพวกเราไม่ได้คล่องมากนัก ของพวกนี้เราค่อยซื้อทีหลังเถอะ”


 


“แต่งูของคุณก็ราคาตั้งสองแสนนะครับ!” จ่านป๋ายยิ้มเฝื่อน


 


“นั่นเป็นผู้อาวุโสของฉันค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มพลางลูบไล้สัมผัสงูขาวที่กำลังพันรัดอยู่ที่ข้อมือพร้อมยิ้ม “คุณอย่าดูถูกมันนะ มันก็เรียบร้อยและน่ารักมากเลย”


 


“ผมรู้แล้วล่ะครับ” จ่านป๋ายพยักหน้า แต่ก็ยังมีความกังวลใจกับงูตัวนี้ ถ้าหากไม่ระวังแล้วมันเกิดกัดซีเหมินจินเหลียนเข้าจะทำอย่างไร? เมื่อมองงูที่พันรัดอยู่กับข้อมือของเธอแล้ว เขาก็ไม่รู้จะพูดถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาดเช่นนี้อย่างไรดี


 


ต้องรีบหาเจ้าของงูให้เจอ จะได้ให้เขาเอางูตัวนี้ไปอย่างโดยเร็ว


 


“ถ้าหากเจอเจ้าของนางพญางูขาว บางทีพวกเราก็อาจจะรู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหินราชางูนี่ก็ได้ เพราะเขาก็เป็นเซียนงูเลยนะ”


 


“อืม” จ่านป๋ายก็เข้าใจ เป้าหมายที่ซีเหมินจินเหลียนซื้องูตัวนั้นมาก็เป็นเพราะว่าเจ้าของงูที่ลึกลับคนนั้น แต่เขาคิดอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าของงูท่านนี้จู่ๆ ถึงยอมขายงูที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งหลายปี? โดยปกติสัตว์เลี้ยงที่ถูกเลี้ยงมานานกับเจ้าของจะมีความรู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ราวกับลูกของตนอย่างไรอย่างนั้น นอกจากเจ้าของจะหมดหนทางอับจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ยินยอมที่จะขายออกไปแน่


 


แม้กระทั่งบางคน ยอมให้ตัวเองตาย แต่ไม่ยอมให้สัตว์เลี้ยงของตนต้องทุกข์ยาก


 


เพราะอย่างนั้นเขายิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เรื่องที่ทำให้คนมีงานอดิเรกแปลกๆ ที่เลี้ยงงูไว้หลายปีจนต้องขายงูทิ้งไป


 


“เสี่ยวป๋าย คุณช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านขายสัตว์เลี้ยงนั่นให้ฉันหน่อยได้ไหมว่านางพญางูขาวถูกขายให้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วใครเป็นคนขายให้” ซีเหมินจินเหลียนสงสัยอยู่ตั้งนาน สุดท้ายตัดสินใจว่าเรื่องบางเรื่องมักจะต้องใช้วิธีผิดแปลกจากปกติบ้างสักหน่อย


 


จ่านป๋ายพยักหน้าตอบรับ ความจริงแล้วถึงซีเหมินจินเหลียนจะไม่พูดออกมา แต่เขาก็คิดจะทำอยู่แล้ว งูที่ถูกคนเลี้ยงมาสิบห้าปี แต่คิดไม่ถึงว่าจะตัวโตแค่นี้? มันก็ช่างผิดกฎธรรมชาติ


 


หยกสองแบบของซีเหมินจินเหลียนอยู่ด้านหลังงานทั้งนั้น ในนั้นมีขลุ่ยหยกที่ลอกเลียนแบบในพระราชวัง สดใสเงาวาวทำให้ผู้คนที่พบเห็นเก็บอาการใจเย็นไว้ไม่ลง


 


ภายใต้แสงไฟ หยกพวกนี้ยิ่งมีออร่าเพิ่มชัดขึ้นไปอีก เนื้องามที่เย็นลื่น เสริมเข้ากับหยกชนิดแก้วสีเขียวสด ความเปล่งประกายเต็มเปี่ยม ความใสวาวเหลือล้น


 


ราคาประมูลเริ่มต้นเริ่มแค่ห้าสิบล้าน แต่เพียงไม่นานราคาของขลุ่ยหยกก็พุ่งขึ้นสูงถึงแปดสิบสองล้านแล้ว ซีเหมินจินเหลียนสังเกตคนที่ให้ราคาเหล่านั้น คนพวกนี้ก็กระเป๋าหนักจริงๆ


 


“จินเหลียน คุณวางใจเถอะครับ อีกเดี๋ยวผมจะไปหาข้อมูลของลูกค้าพวกนั้นออกมาให้” จ่านป๋ายกระซิบพูด   


 


“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกงันงง “ไม่ใช่ว่าในงานประมูล ไม่สามารถจดบันทึกประวัติข้อมูลของลูกค้าได้หรอกเหรอ”


 


“นั่นเป็นแค่การพูดสำหรับคนภายนอกก็แค่นั้น!” จ่านป๋ายยิ้มแย้ม การพูดลักษณะนี้ย่อมเป็นการหลอกคน แม้ว่าจะมีลูกค้าบางคนที่อยากจะปิดบังตัวตนของตัวเอง จึงใช้ฉายาแทน แต่ถ้าหากจะค้นหาก็ยังคงมีร่องรอยอยู่


 


ถัดมาก็เป็นหยกดอกบัวสีเลือดที่ซีเหมินจินเหลียนเป็นคนแกะสลัก ดอกบัวสีเลือดนั่นถูกจ่านป๋ายตั้งฉายาว่าเป็นดอกบัวสีแดงแห่งไฟนรก ภายใต้แสงไฟหยกสีเลือดสีสันสดใส ดอกใหญ่เล็กช่างงดงามเหมือนกับดอกบัวสีแดง สีสดราวกับเลือด แต่ดูบางทีก็คล้ายกับไฟที่กำลังแผดเผา


 


ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่หกสิบล้าน เสียงถูกถ่ายทอดมาจากพิธีกรในงาน จากนั้นมีคนเริ่มแย่งต่อรองราคาประมูล


 


คิดไม่ถึงว่าราคาหลังเริ่มต้นจะสูงหลิ่วเกินคาด อีกทั้งยังเกินความคาดหมายที่ซีเหมินจินเหลียนคิดไว้ ไม่นานราคาก็เกินร้อยล้าน ฝ่ายที่แข่งกันอยู่สองฝ่าย เธอได้เพ่งเล็งสนใจ หนึ่งในนั้นมีผู้หญิงวัยกลางคนอยู่คนหนึ่ง ส่วนอีกคนฟังจากสำเนียงแล้วน่าจะเป็นชาวต่างชาติ เมื่อได้เห็นถึงทักษะการม้วนลิ้นที่ฟังออก


 


เพียงไม่นานหยกดอกบัวสีเลือดถูกคนที่ม้วนลิ้นคนนั้นประมูลไปด้วยราคาสูงถึงหนึ่งร้อยยี่สิบล้าน เมื่อได้รู้ว่ารายรับสูงขนาดนี้ ซีเหมินจินเหลียนเบิกตากว้างขึ้นมา


 


เธอก็แค่คิดคร่าวๆ ไว้กับจ่านป๋าย จากนั้นราคาเริ่มประมูลก็ให้จ่านป๋ายเป็นคนคิด แต่คิดไม่ถึงว่าราคาประมูลจะสูงถึงขนาดนี้


 


“จินเหลียน หยกสีเลือดของคุณ ถ้าไม่มีความจำเป็น ตอนนี้ก็เพิ่งขายทอดตลาดเลยนะครับ” จ่านป๋ายเห็นเช่นนั้น หน้าตายิ้มแย้มไม่หุบแล้วพูดแซวเธอ


 


“ฉันจะเก็บไว้ก่อน รอให้ราคาดีแล้วค่อยปล่อยออก!” ซีเหมินจินเหลียนพูด


 


จ่านป๋ายพยักหน้า “สิ่งของที่หายากก็เลยแพง ขอแค่หยกสีเลือดของคุณไม่ได้ถูกส่งออกไปให้ตลาดในจำนวนมาก นั่นก็ถือว่าเป็นของล้ำค่าแล้ว บางคนชอบสะสม ก็เลยชอบหาของที่หายากหน่อยมาเก็บไว้ ยิ่งมีน้อยเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูงเท่านั้น หยกดอกบัวสีเลือดแห่งไฟนรกของคุณ ถ้าขายออกไปในราคาสูงถึงหนึ่งร้อยยี่สิบล้าน เรียกได้ว่าสูงกว่าขลุ่ยหยกหลายเท่าตัว นั่นเป็นเพราะว่าหยกชนิดแก้วสีเขียวถึงจะหายาก แต่ก็ยังหาง่ายกว่าหยกสีเลือด”


 


ตรรกะแบบนี้ ซีเหมินจินเหลียนย่อมเข้าใจเป็นธรรมดา แต่เธอก็ยังคิดว่ายากอยู่ดี เพราะในมือไม่ได้มีเงินหมุนเวียนมาก วิธีที่ให้เธอเลือกก็มีแค่หนทางเดียวเท่านั้นก็คือทำสินค้าหยกแปรรูปออกมาขายเพื่อรับเงินก้อนใหญ่ที่จะเข้ามา


 


“ไปเถอะ พวกเราไปดูฉินเฮ่ากันครับ” จ่านป๋ายลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือซีเหมินจินเหลียนเดินออกไปที่ประตูข้างๆ


 


เมื่อทั้งคู่เดินไปที่โรงจอดรถ โทรศัพท์ของจ่านป๋ายก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


ในระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนรอจ่ายป๋ายโทรศัพท์ เธอก็หันไปเห็นผู้หญิงสวยวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบห้าปี ผมสั้นดัดลอนคล้องกระเป๋าถือกำลังเดินเข้ามาในโรงจอดรถ


 


เมื่อเห็นว่าซีเหมินจินเหลียนกำลังมองเธออยู่ สายตาของหญิงคนนั้นก็จ้องมองมาที่เธอ จากนั้นก็ขับรถออกไปจากที่จอดรถ ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จักยี่ห้อของรถคันนั้น แต่เธอรับรู้ได้ว่าผู้หญิงสวยคนนั้นน่าจะอยากได้ดอกบัวสีแดงเป็นอย่างมาก   


 


“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” จ่านป๋ายรู้สึกสงสัย สายตายังคงจ้องถนนที่เต็มคลุ้งไปด้วยฝุ่นควันจากรถ


 


“คุณรู้จักเขาเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย


 


จ่านป๋ายพยักหน้าลง จากนั้นจูงมือเธอขึ้นรถ “ปกติเธออยู่ที่ยุโรป แต่ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ?”


 


ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยในใจรู้สึกสงสัย “เพื่อนร่วมสายงานของคุณเหรอคะ”


 


 


จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้น จากที่ถอยรถอยู่ดีๆ ก็เกือบจะชนกำแพงเข้าให้ “จะพูดอย่างนั้นก็ได้ ว่าแต่คุณเดาถูกได้ยังไงกัน?”


 


“สีหน้าของคุณเมื่อกี้ก็แปลกมากจริงๆ” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะออกมา “หญิงนักย่องเบาเหรอ?”


 


“ไม่ใช่ครับ เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปลดล็อคกุญแจ” จ่านป๋ายยิ้ม เขาและเธอไม่ได้มีการรู้จักคบค้ากันมากนัก แต่ก็ถือว่ารู้จักกันบ้าง ซีเหมินจินเหลียนพูดแบบนี้ เขาก็ทำได้แค่ยอมรับ โดยทั่วไปเขาจะร่วมงานกับคนอื่นน้อยมาก แต่กับเธอเขาเคยร่วมมาแล้วครั้งหนึ่ง


 


“เก่งกว่าคุณอีกเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


“ฮะๆ…” จ่านป๋ายหัวเราะอย่างได้ใจ “ฝีมือของผม ดีที่สุดในสายนี้แล้วล่ะครับ”


 


“ขี้โม้!” ซีเหมินจินเหลียนด่าออกมายิ้มๆ


 


“ไปหาฉินเฮ่าก่อนเถอะครับ จินเหลียน ถ้าหากคืนนี้พวกเราโชคดี เราคงมีเงินเพียงพอที่จะซื้อหุ้นตระกูลหลินทั้งหมดแล้วล่ะครับ!” จ่านป๋ายพูด


 


“คุณ…หมายความว่ายังไง?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย


 


“เดี๋ยวคุณไปก็รู้เอง!” จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีเลศนัย


 


ซีเหมินจินเหลียนก่นด่าออกมาประโยคหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ สถานที่ห่างจากงานประมูลไม่ไกลมาก จ่านป๋ายพาเธอไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า ‘คลับหยก’


 


 พนักงานบริการเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว จ่านป๋ายส่งกุญแจไปให้แล้วคล้องแขนซีเหมินจินเหลียนไว้ เดินเข้าไปข้างใน


 


เมื่อครู่นี้ตอนที่เดินเข้ามา ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้สังเกตว่าที่แห่งนี้ไม่ได้แตกต่างจากที่ไหน ในเมื่อเป็นคลับ แต่ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม มีแต่ความเงียบสงัด


 


มีคนมาต้อนรับแล้วยิ้มแย้มพูด “คุณผู้ชาย”


 


“จองไว้ชั้นบนห้องวีไอพี!” จ่านป๋ายส่งบัตรไปให้


 


คนที่มาต้อนรับเบิกตากว้างขึ้น จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “คุณผู้ชายครับ วันนี้ชั้นบนห้องวีไอพีมีคนจองไว้แล้วครับ”


 


“ผมรู้ ก็ผมเป็นคนจองเอง” จ่านป๋ายถาม


 


“ครับ ถ้าอย่างนั้นคุณผู้ชายเชิญตามมาทางนี้” คนต้อนรับไม่พูดจาไร้สาระต่อไป พูดพลางพาทั้งคู่เข้าไปข้างใน จากนั้นนำทั้งคู่เข้าไปที่ลิฟต์ ลิฟต์ถูกเปิดออกมารอให้ทั้งคู่เดินเข้าไป


 


“ที่นี่เป็นที่แบบไหนกันแน่” ภายในลิฟต์ข้างใน ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย


 


“ถ้าพูดให้ดีหน่อยก็เป็นคลับระดับดี แต่ถ้าพูดไม่ดีก็คือ…” จ่านป๋ายยิ้มแห้ง


 


ซีเหมินจินเหลียนถึงจะโง่อย่างไร แต่ก็รู้ถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ “ฉินเฮ่านัดคุณมาทำอะไรที่นี่?”


 


“เรื่องยุ่งยากเล็กน้อยในบ้านของเขาน่ะ” ความจริงจ่านป๋ายก็พูดได้อย่างไม่เต็มปากว่าสถานการณ์เป็นยังไง แต่เขารู้นิดหน่อยว่าฉินเฮ่าแพ้ไม่ได้


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง เรื่องของตระกูลฉิน แต่เรียกจ่านป๋ายมาเพื่ออะไรกัน สิ่งที่ไม่เข้าใจกว่านั้นก็คือ จ่านป๋ายจะพาเธอมาทำไม?


 


ระหว่างรอให้ลิฟต์เปิดออก ซีเหมินจินเหลียนก็มาถึงชั้นบนที่มีโคมไฟแชนเดอเรียคริสตัลแขวนไว้อยู่ มีพนักงานต้อนรับมาคอยรอพร้อมทักทาย จ่านป๋ายคล้องแขนเธอแล้วพาเดินไปที่ทางเดิน มุ่งหน้าไปยังประตูไม้เก่าคลาสสิค


 


ซีเหมินจินเหลียนยังคงตกใจกับการตกแต่งของคลับที่นี่ เมื่อพนักงานต้อนรับพาทั้งคู่มาที่หน้าประตู ก็ได้ผลักประตูตรงหน้าแล้วยืนเคารพอยู่อีกฝั่ง


 


“จ่านมู่หรง ถ้าคุณยังไม่มาอีก เรื่องของพวกเราก็จะล้มเลิกให้หมด” ฉินเฮ่าเมื่อเห็นจ่านป๋ายก็พูดขึ้นมา พร้อมถอนหายใจยกใหญ่


 


จ่านป๋ายเดินเข้ามาพร้อมกับซีเหมินจินเหลียน ที่นี่น่าจะเป็นห้องพักผ่อนระดับวีไอพี ฉินเฮ่านั่งพิงโซฟาอยู่คนเดียว เมื่อเห็นทั้งคู่ได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นรีบกำชับกับพนักงาน “เตรียมของกินมาหน่อย บอกฉินซินว่า สี่ทุ่มครึ่งค่อยเริ่ม!”


 


พนักงานต้อนรับรับทราบแล้วเดินออกไปพลางปิดประตูอย่างสนิท จ่านป๋ายหยิบกล้วยบนโต๊ะขึ้นมาลูกหนึ่งแล้วส่งให้ซีเหมินจินเหลียน พร้อมคุยกับฉินเฮ่าว่า “พวกเรายังไม่ได้กินข้าว ก็รีบมาที่นี่เลย…” 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 63 ได้ยินหยกราชาครั้งแรก

 

ฉินเฮ่าถอนหายใจออกมาพร้อมมองจ่านป๋าย “แล้วคุณคิดว่าผมกินข้าวเย็นแล้วเหรอไง”


 


“ให้ตายเถอะ!” จ่านป๋ายอดไม่ได้ที่จะด่าออกมาด้วยความโมโห “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่ ผมก็บอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง?”


 


“คุณคิดว่าผมอยากเหรอ?” ฉินเฉ่าพูดพลางมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน ก่อนจะกลืนคำพูดที่เหลือลงไป


 


จ่านป๋ายก็มองไปที่ซีเหมินจินเหลียนเช่นกัน ทำให้ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกทำตัวไม่ถูก


 


“เขาใช้จินเหลียนมาขู่คุณ?” จ่านป๋ายถาม


 


ฉินเฮ่าพยักหน้า จ่านป๋ายจึงถอนหายใจ ก่อนส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “เห็นไหมล่ะ เมื่อก่อนผมเคยบอกคุณว่าให้ใช้หลิงซูฟางคนนั้นมาแทน ตอนนี้เห็นไหม ผมเตือนคุณแล้ว เรื่องเหม็นเน่าซุบซิบของพวกคุณ ทางที่ดีอย่าลากจินเหลียนเข้าไปเกี่ยวด้วย”


 


“คุณคิดว่าผมอยากเหรอ?” ฉินเฮ่าหันไปมองซีเหมินจินเหลียนพร้อมถอนหายใจออกอย่างแผ่วเบา “ผมก็ไม่อยากเป็นอย่างนี้ แต่ว่าเขาพูดแล้ว ถ้าหากวันนี้ผมปฏิเสธนัดพนันไป พรุ่งนี้เขาจะถือช่อดอกไม้ไปตามจีบซีเหมินจินเหลียน ป่าวประกาศต่อหน้าผู้สื่อข่าวอย่างเป็นทางการ!”


 


“ฉันกลายเป็นคนเนื้อหอมไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ซีเหมินจินเหลียนวางเปลือกกล้วยที่อยู่ในมือแล้วพูดขึ้น “ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เห็นว่าจะมีใครมาตามจีบฉันเลย”


 


จ่านป๋ายมีบางประโยคที่ไม่กล้าพูดออกมา คุณค่าของผู้หญิง บางทีก็มาจากการที่ผู้ชายจีบ ถ้าหากฉินเฮ่าไม่จีบซีเหมินจินเหลียน ถ้าหากเขาไม่จีบเธอ ถึงซีเหมินจินเหลียนจะสวยขนาดไหน ฉินเฮ่าก็คงไม่ชายตามองเธอ แต่ตอนนี้ในเมื่อเขาจีบเธอแล้ว อีกทั้งเขายังเป็นคนที่พักอยู่ด้วยกันกับเธอ ฉินซินทำเพื่อประโยชน์บางอย่าง ไม่ว่าจะด้วยความสงสัยหรือเพราะว่าอยากจะเอาชนะ การที่ตามจีบเธอเลยเป็นเรื่องธรรมดา


 


ฉินเฮ่าถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ฉินซินตามจีบซีเหมินจินเหลียน แน่นอนว่าต้องมีเจตนาที่ไม่ดี ใครๆ ก็รู้ เพราะอย่างนั้นเขาเลยต้องระวังการมาของฉินซิน ทำได้แค่รับปากที่จะเล่นพนันครั้งนี้


 


ฉินซินมั่นใจเป็นอย่างมากว่าเขาจะต้องตอบตกลง เพราะฉะนั้นเลยเชิญคนมีฝีมือมา เอาเรื่องราวยุ่งยากทั้งหมดมาวางไว้ที่โต๊ะพนันเพื่อจัดการเรื่องให้จบสิ้น


 


“เดี๋ยวพี่ชายของคุณก็มาแล้ว คุณอยากจะเปลี่ยนเสื้อสักหน่อยไหม?” ฉินเฮ่ามองจ่านป๋าย


 


“ไม่ต้องหรอก เขาจะมาที่นี่ทำไมกัน” จ่านป๋ายถาม


 


“ฉินซินโทรไปหาเขา เรื่องมันก็ง่ายแค่นี้ล่ะ!” ฉินเฮ่าพูด “หลินเจิ้งไม่รู้ว่าจะพบฉินซินได้ยังไง คิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้วิธีนี้”


 


“เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหลินเจิ้งเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนพูดขัดขึ้นมา เรื่องวันนี้เธอยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ


 


“จ่านมู่หรง ข้อมูลของคุณผิดพลาด หรือว่าคุณไม่เคยใส่ใจผู้อาวุโสหูคนนี้ คิดว่าเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยไม่ได้ใส่ใจสินะ คุณรู้ไหม ตอนนั้นหลินเสวียเหวินขโมยหยกหนึ่งชิ้นของเขาไป แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ผมได้ยินมาว่าผู้อาวุโสต้องการไม่ใช่หยกฮกลกซิ่ว แต่เป็นหยกที่ยังไม่ได้ทำการเปิดหิน” ฉินเฮ่าพูด


 


จ่านป๋ายพยักหน้า “ผมรู้ เพียงแต่ไม่ได้ใส่ใจก็เท่านั้น มันก็แค่หยกก้อนหนึ่งไม่ใช่เหรอ?” เขาไม่ได้ใส่ใจหยกก้อนนั้นจริงๆ ภายในห้องใต้ดินของซีเหมินจินเหลียนมีหยกชั้นดีมากมาย หยกธรรมดาเขาไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ


 


เขาไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสหูยังจะมีหยกเนื้องามอีก ห้าสี หรือเจ็ดสีอย่างนั้นเหรอ?


 


นั่นแล้วจะทำไม ซีเหมินจินเหลียนมีหยกสีแดงทอง หยกประกายดาว หยกราชางู ไหนจะหยกชั้นดีอีกมากมาย หยิบสุ่มๆ ออกมาสักชิ้นก็น่าจะทำให้คนตกใจจนตะลึงไม่หยุดแล้ว นอกเสียจากผู้อาวุโสหูจะหาหินปิดฟ้าที่หลงเหลืออยู่เจอ เขาจะยังตื่นเต้นสักหน่อย


 


“ได้ยินมาว่านั่นเป็นหยกราชา!” ฉินเฮ่าพูด “หลินเจิ้งก็แค่พูดสิ่งนี้โน้มน้าวฉินซินให้อยู่ฝั่งเดียวกันกับเขา”


 


“หยกสีเหลือง[1]?” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจ หยกสีเหลือง เธอก็มีนี่?


 


“ไม่ใช่ ผมหมายถึงหยกราชา!” ฉินเฮ่าอธิบาย


 


“นั่นเป็นหยกอะไรกันแน่?” จ่านป๋ายชะงักถามด้วยความสนใจ ราชาแห่งหยกอย่างนั้นเหรอ? ถ้าหากตระกูลหลินมีของที่ดีขนาดนี้ แล้วทำไมถึงตกอยู่ในสถานะลำบาก ถอนตัวไม่ขึ้นขนาดนี้ล่ะ? หรือจะพูดว่าของแบบนี้มีแค่ใช้สะสมเป็นมรดกของบ้านเท่านั้น ไม่ได้จะเอาไปขาย เพราะอย่างนั้นถ้าตระกูลหลินไม่ได้ตกที่นั่งลำบากขนาดนั้น คงจะไม่งัดมันออกมา?


 


ตระกูลหลินยังไม่ถึงขั้นขนาดตกอับ เรื่องนี้จ่านป๋ายกับฉินเฮ่าเข้าใจเป็นอย่างดี


 


“รายละเอียดที่ว่าเป็นหยกชนิดอะไร บางทีอาจจะมีแค่ผู้อาวุโสหูกับหลินเสวียเหวินเท่านั้นที่รู้ดีแก่ใจ แต่ฉินซินก็นึกสนุก อยากจะมาทำลายโอกาสของผม ผมไม่ปล่อยผ่านไปแน่ แถมเขายังนัดจ่านมู่ฮวามาอีก ถ้าหากคืนนี้ผมแพ้หมดตัว กลัวว่าชีวิตน้อยๆ ก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว แต่คุณกับจ่านมู่ฮวา ตั้งแต่เด็กก็เป็นเหมือนน้ำกับไฟ เขาก็คงไม่อยากปล่อยคุณไปเหมือนกัน ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่าพูดถึงพวกเราร่วมมือกันซื้อหุ้นตระกูลหลินเลย จินเหลียนจะดูแลตัวเองได้ไหมนี่ก็เป็นปัญหา” ฉินเฮ่าพูด


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ดูแลตัวเอง? นั่นจะมีปัญหาอะไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เธอมีนางพญางูขาว แต่ในเมืองใหญ่โตชอบวัตถุนิยม หัวใจคนดูเหมือนจะซับซ้อนมากกว่าสิ่งอื่นใด


 


แม้ว่าฉินเฮ่าจะพยายามเข้ามาใกล้ตัวเธอ ตอนแรกก็แค่ตั้งใจจะเล่นสนุก แต่เมื่อค้นพบถึงผลประโยชน์ก็ได้มาร่วมมือกัน แม้กระทั่งตามจีบเธอ แต่นั่นมันก็ไร้สาระ เธอไม่เคยคิดเป็นเรื่องจริง


 


“การเดิมพันหยกที่พิเศษกว่าใครของจินเหลียน ทำให้คนมากมายรู้สึกอิจฉา!” จ่านป๋ายพูดความจริงออกมา


 


 ซีเหมินจินเหลียนหลุบตาลง ไม่พูดจาอะไร ตามหลักการแล้ว ถ้าหากมีห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของกำไรน่าจะหมดหนทางจนต้องใช้วิธีเสี่ยงอันตราย ถ้ามีร้อยละหนึ่งร้อยของกำไรก็จะใช้วิธีฝ่าฝืนกฎหมายต่างๆ ถ้ามีสามร้อยเปอร์เซ็นต์ของความเสี่ยง อาจจะยอมเสี่ยงจนเอาตัวเองไปแขวนคอ


 


ดังนั้นถ้ามีสามพันเปอร์เซ็นต์ของกำไร นั่นหมายความว่าความโลภของมนุษย์ สามารถทำอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลและขัดต่อศีลธรรมของมนุษย์?


 


ส่วนผลกำไรของการเดิมพันหินสายนี้ใหญ่โตนัก เธอได้เห็นอย่างชัดเจนว่า เริ่มจากตอนแรกที่เธอไม่มีชื่อเสียง จนถึงตอนนี้ที่มีมูลค่าถึงหลายร้อยล้าน แต่เพียงไม่กี่เดือนสั้นๆ ใครจะคิดว่าจะเป็นเป้าสายตาขนาดนี้ เรื่องตบตีทะเลาะกันเล็กน้อย แน่นอนย่อมไม่ดึงดูดความสนใจอื่นๆ แต่ถ้าเมื่อต้องการซื้อหุ้นบริษัทเครื่องประดับที่มีโครงร่างต้นแบบอยู่แล้ว ยิ่งดึงดูดความสนใจของทุกฝ่ายและความโลภเป็นปกติ


 


 “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราจะทำยังไงกันดี?” ซีเหมินจินเหลียนถาม แม้ว่าฉินเฮ่าไม่พูด แต่เธอแอบรู้สึกได้ว่าการพนันวันนี้ต้องมีอะไรเงื่อนงำอยู่ด้านหลังแน่


 


“ในกระดูกของพวกเรามีความกล้าหาญที่จะพนัน เพราะฉะนั้น ผมจะพนัน!” ฉินเฮ่าพูด


 


“คืนนี้พนันอะไร?” จ่านป๋ายถาม


 


 “พวกเราทั้งสองฝ่ายต่างลงเงินหนึ่งร้อยล้านดอลล่า ระหว่างนั้นก็สามารถเพิ่มได้…” ฉินเฮ่าพูด        “ครั้งแรกพนันไพ่นกกระจอก ผมแพ้ไปยี่สิบล้านแล้ว…”


 


“คนที่เล่นไพ่นกกระจอกไม่เป็น ก็แย่น่ะสิ!” ซีเหมินจินเหลียนพึมพำ เธออยู่ในข่ายที่เล่นไพ่นกกระจอกไม่เป็น


 


“รอบที่สองคืออะไร” จ่านป๋ายถาม


 


“ทอยลูกเต๋า!” ฉินเฮ่าพูด “สุดท้ายก็คือเกมไพ่โป๊กเกอร์ พอจบแล้ว รอบที่สองจะเริ่มตอนสี่ทุ่มครึ่ง”


 


 “ฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร” จ่านป๋ายถามขึ้นอีกครั้ง ฉินซินไม่สันทัดในการเล่นพนัน การที่เขานัดเล่นพนัน ก็แปลว่าเขาเชิญผู้มีฝีมือมา


 


“ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนญี่ปุ่นที่ได้รับฉายาว่าเป็นราชาแห่งการพนัน ผมไม่รู้จักหรอก” ฉินเฮ่าพูด


 


 “ทำไมถึงคิดวิธีแบบนี้ได้?” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอย่างสงสัย เธอรู้ว่าฉินเฮ่าและฉินซินแก่งแย่งมรดกกัน แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายทั้งคู่จะไม่แข่งเรื่องความสามารถในธุรกิจการค้า แต่เป็นการดวลกันในเรื่องใครจะเป็นที่สุดในการพนัน


 


 “อย่างอื่นยุ่งยากเกินไป ตระกูลพวกเราช่วงนี้วุ่นวายมาก ฉินซินต้องการเงิน เพราะฉะนั้นเขาอยากจะได้เงินจากผม ส่วนจ่านมู่ฮวาอยากจะมาหาเรื่องเขา ยิ่งเพิ่มเชื้อเพลิงเข้าไปอีก อย่างไรก็ตามตอนนี้มันก็ยุ่งเหยิงไปหมด” ฉินเฮ่าอธิบายแต่ที่สำคัญกว่านั้น เขาไม่ได้บอกว่ามันเกี่ยวกับซีเหมินจินเหลียน…


 


“ความหมายของคุณคือ รอบที่สองให้ผมเล่นแทนคุณ?” จ่านป๋ายถาม


 


“ใช่ รอบที่สองคือการฟังลูกเต๋า นี่ก็ไม่ใช่ความสามารถพิเศษของคุณเหรอ?” ฉินเฮ่าพูด


 


เดิมทีเขาก็ไม่ได้รู้สึกหัวร้อนอะไร เลยรับปากการพนันฉินซินไปส่งเดช แต่ตอนฉินซินนำรูปซีเหมินจินเหลียนมาวางไว้ที่ตรงหน้าเขา พร้อมบอกเขาว่าถ้าหากเขาไม่ตบปากรับคำท้าการพนันครั้งนี้ เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะไปจีบซีเหมินจินเหลียน และไม่มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดตระกูลฉินต่อไป…


 


ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ เธอไม่เข้าใจการพนัน ทำไมไม่ใช่การเดิมพันหยกนะ ถ้าเป็นการเดิมพันหยก ถ้าอย่างนั้นเธอก็มีแต่ชนะ ไม่มีทางแพ้หรอก


 


พนักงานต้อนรับมาเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม จ่านป๋ายเปิดขวดไวน์แดง แล้วถามซีเหมินจินเหลียนว่าเธอจะลองชิมดูไหม ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าลง


 


“ดื่มไวน์แดงสักจิบ ก็สามารถช่วยเรื่องความงามได้นะครับ” ฉินเฮ่าพูดพลางยิ้มอย่างแผ่วเบา “คุณก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ความจริงก็เรื่องแค่นี้เอง เรื่องนี้สำหรับผมแล้วไม่ใช่ครั้งแรก เขาก็อยากได้เงินของผม ชีวิตของผมหลายครั้งแล้ว” เขาดูออกว่าซีเหมินจินเหลียนเองก็เครียดกังวล ไม่อย่างนั้นเธอไม่ต้องการไวน์แดงมาผ่อนคลายอารมณ์หรอก


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไร เคยได้ยินว่าคุณปู่ของฉินเฮ่าถูกคนอื่นฆ่าที่บ้าน เรื่องที่น่าแปลกเช่นนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นบ้านคนธรรมดาคงทำตัวไม่ถูกวุ่นวายพักใหญ่ แต่ในตระกูลเขากลับเงียบสงบเหลือเกิน จะให้คิดยังไงดีล่ะ?


 


 หรือว่านี่จะเป็นความเลือดเย็นของตระกูลคนรวย? ซีเหมินจินเหลียนหันไปมองจ่านป๋ายแล้วถามว่า “เสี่ยวป๋าย ครั้งก่อนคนที่ทำให้คุณบาดเจ็บ ก็คือพี่ของคุณหรือเปล่า”


 


มือที่เดิมทีถือแก้วไวน์เอาไว้ของจ่ายป๋ายก็อดไม่ได้ที่จะมือสั่นเล็กน้อย เธอแค่ใสซื่อไปหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะโง่ มันก็แค่เรื่องที่เธอไม่เคยได้พบเจอมาก่อนก็เท่านั้น…


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่จำเป็นต้องรอให้เขาตอบ นี่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว เพื่อผลประโยชน์ พี่น้องต่างทำลายความรู้สึกกัน เรื่องแบบนี้ก็มีมาตั้งแต่อดีตแล้ว นี่เป็นเรื่องที่พบเจอได้บ่อย


 


อาหารเต็มโต๊ะนั้น ทั้งสามคนกินไม่ได้รู้รสอะไร ซีเหมินจินเหลียนกำลังคิดว่าถ้าหากเป้าหมายในการมาเมืองเซี่ยงไฮ้ของผู้อาวุโสหูไม่ใช่เพราะว่าเรื่องของหินราชางูอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่าเรื่องที่ก่อนหน้านี้หลินเสวียเหวินขโมยหยกของเขาไป ถ้าอย่างนั้นหยกก้อนนี้ที่เป็นหยกราชา จะมีลักษณะเป็นอย่างไรกันนะ?


 


จากที่ฉินเฮ่าพูดเมื่อสักครู่ หยกก้อนนั้นน่าจะไม่ได้ใหญ่มาก เลยมีคุณสมบัติทำให้ผู้อาวุโสรู้สึกหวงแหนเป็นพิเศษ น่าจะไม่ใช่ของธรรมดา ไม่เช่นนั้นหลินเจิ้งคงไม่ใช้สิ่งนี้พูดกระตุ้นฉินซิน


 


เดิมทีเธอคิดว่าอยากจะเดิมพันหินเพื่อหาเงินเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้ชีวิตที่ร่ำรวย แต่ตอนนี้ล่ะ? คุณธรรมของผู้ที่ร่ำเรียนหนังสือมาได้ลดน้อยถอยลงไปเมื่อเทียบกับคนในอดีต


 


เดิมพันหยก เดิมพันชีวิต…เดิมพันไม่รู้จักจบ!


 


 


[1] หยกสีเหลือง ในภาษาจีนคำว่าสีเหลืองกับคำว่าราชาเป็นคำพ้องเสียงกัน 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 64 เดิมพันคน

 

เวลาสี่ทุ่มยี่สิบนาที มีพนักงานเดินเข้ามาเชิญฉินเฮ่าไป


 


ห้องหรูหราขนาดใหญ่ เป็นธรรมดาที่ทุกอย่างถูกเตรียมตัวไว้อย่างเหมาะสม โต๊ะกลมที่ขนาดใหญ่นั้นมีคนนั่งอยู่สามคน หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งแต่งกายดูดี ลักษณะคล้ายชายหนุ่มที่สง่างาม เขาเข้ามาทักทายซีเหมินจินเหลียนก่อนเป็นอันดับแรก “คุณคงเป็นซีเหมินจินเหลียนคนสวยสินะครับ?”


 


“คุณคือ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ ชื่อเสียงของเธอโด่งดังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?


 


“น้องของผมคงไม่เคยแนะนำผมให้คุณฟังเลยสินะครับ ผมแซ่ฉินครับ!” ฉินซินยิ้ม


 


ฉินเฮ่าเงยหน้าขึ้นไปมองเขาถึงค่อยพูดว่า “จินเหลียน ผมจะแนะนำให้คุณรู้จัก คนนี้เป็นพี่ชายของผมชื่อฉินซิน ส่วนด้านนั้นเป็นราชานักพนันจากญี่ปุ่น คุณซาโต้อิจิโร่” เขาโค้งคำนับให้กับซีเหมินจินเหลียน “คุณซีเหมิน!”


 


ซีเหมินจินเหลียนฉีกยิ้มเบาบาง นับเป็นการกล่าวทักทาย สายตาตกไปอยู่ที่ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง หน้าตาธรรมดา แม้แต่การแต่งกายยังเรียบง่าย ตามความรู้สึกแล้วคนนี้น่าจะเป็นคนจีน แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อซีเหมินจินเหลียนเห็นเขาคนนี้แล้วรู้สึกถึงความกดดันขึ้นมา


 


ตั้งแต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยมีความรู้สึกผิดแปลกแบบนี้มาก่อน เธออยากจะรู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร


 


แต่เห็นได้ชัดเจนว่าฉินเฮ่าก็ไม่รู้จักคนๆ นี้เช่นกัน ได้แต่มองเขา ฉินซินยิ้มพร้อมพูดว่า “คุณซีเหมิน ผมจะแนะนำให้รู้จักครับ ท่านนี้คืออาจารย์จง”


 


“ผมจงขุยครับ” ผู้ชายวัยกลางคนเผยยิ้มออกมา สายตาของเขาเฉียบคมเหมือนใบมีด มองไปที่ใบหน้าของซีเหมินจินเหลียน จากนั้นก็กวาดตามองทั้งตัว ก่อนจะย้ายไปมองจ่านป๋าย


 


“นี่เป็นเพื่อนของผม คุณซีเหมินจินเหลียนและคุณจ่านมู่หรง!” ฉินเฮ่าแนะนำพวกเขาทั้งคู่


 


คิดไม่ถึงว่าแซ่จงคนนั้นจะชื่อขุย? ถ้าหากไม่ได้มีสถานที่มาขัด ซีเหมินจินเหลียนคงอยากถามมากว่าเขาสามารถจับผีได้หรือเปล่า ชื่อนี้มีความน่าสงสัยนิดหน่อย


 


“คุณชายมู่หรง แน่นอนว่าผมต้องรู้จักอยู่แล้ว” ฉินซินยิ้มพลางเดินเข้ามา ยื่นมืออย่างสนิทสนมไปพาดไว้ที่ไหล่ของจ่านป๋าย “คุณชายมู่หรงยิ่งอยู่ยิ่งทำตัวง่ายๆ สบายไปวันๆ นะครับ ไม่เหมือนกับผมที่ยุ่งตั้งแต่เช้ายันดึก”


 


จ่านป๋ายยิ้มอ่อน “เป็นเพราะคุณปล่อยวางอำนาจชื่อเสียงไม่ได้ต่างหากล่ะ คิดๆ ไปก็สามปีแล้วสินะที่พวกเราไม่ได้เจอกัน”


 


“ใช่แล้ว แต่ว่าผมก็มีความสงสัยอยู่บ้างว่าคุณชายมู่หรงกลายเป็นบอดี้การ์ดของคุณซีเหมินได้ยังไงกัน?” ฉินซินขมวดคิ้วหันไปมองซีเหมินจินเหลียน


 


 ซีเหมินจินเหลียนได้แค่มองเขาแล้วลากเก้าอี้ไม้แกะสลักนั่งลงไป สำหรับฉินซิน เธอไม่ได้เกลียดอะไรเขา เพราะสนใจแต่หน้าที่อย่างเดียว เพียงแค่อำนาจชื่อเสียงเท่านั้น เลยใช้ชีวิตยุ่งเหยิงไปวันๆ แบบนั้น


 


ตั้งแต่ที่เธอก้าวเท้าย่างกรายเข้ามาในห้องวีไอพีนี้ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็เหมือนเข้าใจอะไรได้ ทำไมคนมากมายถึงยอมที่จะแก่งแย่งชิงดีชื่อเสียงผลประโยชน์กันนัก? ไม่มีเงิน ชีวิตในชาตินี้เธอคงไม่สามารถเข้ามาในคลับแบบนี้ได้ ชาตินี้คงไม่สามารถนั่งร่วมโต๊ะกับคนเหล่านี้


 


“ได้เป็นบอดี้การ์ดให้คนสวย นั่นเป็นเกียรติของผมแล้ว!” ข้างหูของซีเหมินจินเหลียน มีเสียงของจ่านป๋ายแทรกเข้ามา


 


“จริงสินะ” ฉินซินยิ้ม


 


“ขอโทษที่ผมมาสายไปหน่อย” เสียงที่ระรื่นหูดังขึ้นมาจากประตู


 


ซีเหมินจินเหลียนหันหน้าไปมองอย่างอึ้งๆ แต่ในขณะนั้นเธอก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความหลงใหล ผู้ชายคนหนึ่งจำเป็นต้องหล่อขนาดนี้เลยหรือ?


 


เธอยอมรับว่าหลินเสวียนหลานก็ถือว่าเป็นผู้ชายหล่อเหลาแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้เหมือนจะหล่อกว่าเขาสีกหน่อย รูปร่างสูงสง่า ชุดที่ตัดเย็บอย่างละเอียด เส้นด้ายที่ประณีต ทำให้ขับรูปร่างอันสมบูรณ์แบบในตัวของเขา จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตากลมโต เสริมด้วยผิวขาวใสราวกับเด็ก รอยยิ้มที่สุภาพนุ่มนวล


 


ผู้ชายคนนี้เหมือนกับจ่านป๋าย เวลายิ้มดูสุภาพอ่อนโยน! ซีเหมินจินเหลียนคิดในใจ แต่ขณะนั้นก็รู้แล้วว่าคนนี้เป็นใคร เขาก็คือจ่านมู่ฮวา พี่ชายของจ่านป๋าย…


 


เพียงแต่ลักษณะภายนอกของเขาดูมีความเจ้าเล่ห์หลอกลวงมากกว่า ดูแล้วเหมือนจ่านป๋ายจะเป็นพี่เสียมากกว่า


 


“มู่หรง ทำไมแกก็อยู่ที่นี่ด้วย?” สายตาของจ่านมู่ฮวาตกไปที่จ่านป๋าย พร้อมเจตนาถามออกมา


 


จ่านป๋ายหัวเราะน้อยๆ “ฉันแค่มาเป็นเพื่อนคุณซีเหมิน ดูอะไรสนุกๆ นะ”


 


มุมปากของซีเหมินจินเหลียนยกขึ้นอย่างมีเลศนัย ฉินเฮ่าก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ฉินซินยุ่งกับการแนะนำตัวให้ทุกคนรู้จักกัน เมื่อแนะนำถึงซีเหมินจินเหลียน แววตาของจ่านมู่ฮวาก็เปล่งประกายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด


 


“ในเมื่อมาครบกันทุกคนแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราก็มาเริ่มกันเถอะ!” ฉินซินพูดพลางตบมือสองที


 


ข้างนอกมีพนักงานสองคนมาเตรียมอุปกรณ์การเล่นพนัน เมื่อสักครู่เกือบจะเครียดเกินไป แต่ตอนนี้ซีเหมินจินเหลียนก็คลายความกังวลลงแล้ว คาสิโนชิป เธอก็เคยเห็นก็แต่ในโทรทัศน์ พอตอนนี้มาเห็นด้วยตาตัวเองก็รู้สึกตื่นเต้นและสนใจขึ้นมา


 


“จะเล่นยังไง” ฉินเฮ่าถาม


 


“ลูกเต๋านี่ ตั้งแต่อดีตต่างมีกฎของมัน วิธีการเล่นค่อนข้างซับซ้อน แต่ฉันว่าพวกเราเล่นแบบวิธีง่ายๆ กันดีกว่า นายคิดว่ายังไง?” ฉินซินถาม


 


“ทายสูงต่ำ?” ฉินเฮ่าขมวดคิ้วถาม


 


“ใช่!” ฉินซินยิ้ม “วิธีที่ง่ายที่สุด บางครั้งอาจจะยากที่สุด ทั้งสองฝ่ายต่างทอยลูกเต๋าสามครั้ง แล้วฝ่ายตรงข้ามคาดเดา วางเงินอย่างต่ำสิบล้าน ถ้าหากเห็นความเป็นไปได้ อยากจะเพิ่มเงินก็ได้ พวกเราไม่ต้องใช้คนมาช่วยหรอก ทอยกันเอง ฉันก็ไม่ไว้ใจคนพวกนี้ เป็นยังไง?”


 


“ยุติธรรมดี!” ฉินเฮ่าพยักหน้า “ในเมื่อนายเป็นพี่ ครั้งแรกนายทอยก่อน ฉันจะทายเอง!”


 


“ตกลง!” ฉินซินพยักหน้า นำของทุกอย่างวางไว้บนโต๊ะ ในเวลาเดียวกันพนักงานก็เคลื่อนย้ายโต๊ะพนันมาโดยเฉพาะ ฉินเฮ่ามองไปยังจ่านป๋าย


 


จ่ายป๋ายรู้ในเจตนาของเขา จึงเดินไปตรวจตราอย่างละเอียดอีกรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ จึงพยักหน้ามองไปที่เขา ฉายาของฝ่ายตรงข้ามเป็นราชาแห่งการพนันญี่ปุ่น เขาก็เดินเข้าไปตรวจเช็คความเรียบร้อยอีกรอบเช่นกัน จากนั้นเขาคนนั้นคว้าโถใส่ลูกเต๋าขึ้นมาเขย่าเพื่อทอย


 


ลูกเต๋าสามลูก โถที่ทำมาจากกระบอกไม้ไผ่เปิดให้เห็นเลข สไตล์คลาสสิคสื่อให้เห็นถึงความเรียบง่ายหรูหรา ยากที่จะคาดเดา การเล่นชนิดนี้ไม่รู้ว่าเคยทำให้คนมากมายเท่าไหร่ล้มละลายลงไปบ้าง


 


การเล่นประเภทนี้ ซีเหมินจินเหลียนเคยเห็นในโทรทัศน์มาก่อน เดิมทีเธอคิดว่านี่เป็นการนำเสนอของในประวัติศาสตร์ คิดไม่ถึงว่าจะมาอยู่ตรงหน้าของเธอ


 


จ่านป๋ายหลับตาลงรวบรวมสมาธิในการฟังเสียงของลูกเต๋าที่กระทบกระแทก


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย วิธีที่เขาใช้ในการทอยลูกเต๋าช่างธรรมดา มันเหมือนคนธรรมดาที่ธรรมดาสุดๆ แล้ว เขาแค่หยิบขึ้นมาเขย่าแล้วทอยลงไปไม่ได้ใช้วิธีที่ซับซ้อนเหมือนในโทรทัศน์


 


โถเขย่าลูกเต๋าถูกวางไว้อยู่บนโต๊ะ สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่จ่านป๋าย


 


ซีเหมินจินเหลียนจ้องมองไปที่กระป๋องใส่ลูกเต๋า ใจเต้นแรง เธอนั่งข้างโต๊ะ ถ้าหากยื่นมือไปสัมผัสที่โต๊ะ คงจะได้ใช้ความสามารถในการมองทะลุและสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในโถเขย่าเป็นเลขอะไร เมื่อคิดได้เช่นนั้นใจของเธอก็เต้นแรงไม่หยุด


 


จ่านป๋ายเบิกตาขึ้นหยิบคาสิโนชิปพร้อมโยนออกไป “สิบสี่แต้ม สูง!”


 


เพื่อความยุติธรรม แน่นอนว่าจะไม่ใช่ซาโต้อิจิโร่ที่เป็นคนเปิดโถเขย่าลูกเต๋า และไม่สามารถใช้คนที่อยู่ในทีมของทั้งสองฝ่ายมาช่วยเปิด เพราะฉะนั้นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ย่อมตกไปอยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญของคลับหยกนี่


 


ผู้เชี่ยวชาญเดินเข้ามาพับแขนเสื่อขึ้น ก่อนแบมือให้ทุกคนดู เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้นำสิ่งใดติดมากับตัว ถึงเริ่มยื่นมือไปจับโถเขย่าลูกเต๋านั่น


 


ลูกเต๋าสามลูก วางอยู่บนจานเซรามิกสีขาวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


 


สองอันเป็นหนึ่ง อีกอันเป็นสอง รวมกันเป็นสี่ ซีเหมินจินเหลียนและฉินเฮ่ามองไปที่จ่านป๋ายอย่างสงสัย ถึงจะฟังผิด แต่ก็ไม่น่าจะผิดพลาดจนเห็นได้ชัดขนาดนี้?


 


จ่านป๋ายหัวใจเต้นแรงมองไปที่ซาโต้อิจิโร่แต่ไม่ได้ส่งเสียงอะไร


 


ตานี้ไม่ต้องพูด ฉินเฮ่าแพ้แล้ว ครั้งต่อไปเป็นตาที่จ่านป๋ายต้องเขย่าลูกเต๋า ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ซาโต้อิจิโร่ที่เป็นคนทายลูกเต๋า แต่เปลี่ยนเป็นชายลึกลับอย่างอาจารย์จง


 


จ่านป๋ายไม่ได้ใช้กลวิธีซับซ้อนอะไร เขย่าอย่างพอดีแล้ววางไปบนโต๊ะ


 


จงขุยจ้องไปที่โถเขย่าลูกเต๋าแล้วโยนเงินยี่สิบล้านไป “สิบสองแต้ม!”


 


ไม่ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญมาเปิดกระป๋อง สีหน้าของจ่านป๋ายก็ไม่สู้ดีนัก อย่างน้อยใจเขารู้ดีกว่าใครว่าอาจารย์จงคนนี้ทายถูกแล้ว


 


รอบแรกคิดรวมกันแล้ว ฉินเฮ่าก็แพ้ไปสามสิบล้าน ฉินซินยิ้มอย่างพอใจ แต่สีหน้าของฉินเฮ่าและจ่านป๋ายไม่สู้ดีอย่างเห็นได้ชัด


 


ครั้งที่สองเริ่มขึ้น ยังคงเป็นซาโต้อิจิโร่ที่เตรียมตัวในการเขย่าลูกเต๋าในโถ ในขณะที่จ่านป๋ายเตรียมตัวจะฟัง ซีเหมินจินเหลียนก็พูดแทรกออกมา “เดี๋ยวก่อนค่ะ”


 


“มีอะไรหรือครับ คุณผู้หญิงคนสวย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ฉินซินถามขึ้นยิ้มๆ


 


“เสี่ยวป๋าย ฉันขอลอง” ซีเหมินจินเหลียนพูด


 


“เอ่อ..” จ่านป๋ายและฉินเฮ่าไม่เข้าใจ เปลี่ยนให้เธอเล่น? นี่ก็ได้เหรอ?


 


“จินเหลียน นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ” ฉินเฮ่าพูด ถ้าเป็นการพนันธรรมดา ซีเหมินจินเหลียนอยากจะเล่น เขาคงยินดีเป็นอย่างมาก แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาและพี่ชายของเขาพนันกันด้วยชีวิตนะ


 


“ฉันรู้ค่ะ ถ้าหากฉันแพ้ เดี๋ยวฉันชดใช้เอง!” แววตาของซีเหมินจินเหลียนส่องประกายวิบวับ ช่างเป็นเสน่ห์ที่บรรยายออกมาด้วยคำพูดได้ยาก ทำให้คนที่พบเห็นปฏิเสธออกมาไม่ได้


 


“ฉินเฮ่า ให้จินเหลียนลองเถอะ” จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็ถอยหลังก้าวหนึ่งเพื่อสละตำแหน่งให้เธอ ในใจก็นึกถึงงูที่ถูกเธอจ้องมองอยู่บนพื้น…


 


“คุณซีเหมินอยากจะลองเล่นดูเหรอครับ” ฉินซินหัวเราะ “ถ้าครั้งนี้คุณเล่นแทนน้องชายผมก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ เดิมทีก็พูดกันไว้แล้วว่าทั้งสองฝ่ายสามารถเชิญเพื่อนมาได้ แต่ว่า คุณซีเหมินสนใจอยากจะเพิ่มของเดิมพันไหมครับ”


 


“คุณอยากจะพนันยังไงคะ” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถาม


 


“เดิมพันด้วยเขา!” จู่ๆ ฉินซินก็ชี้ไปที่จ่านป๋าย “ถ้าผมชนะ คุณซีเหมินต้องให้บอดี้การ์ดคนนี้กับผม เป็นยังไงครับ?”


 


“แล้วถ้าคุณแพ้ล่ะคะ คุณจะให้จ่านมู่ฮวามาชดใช้กับฉันไหม?” ซีเหมินจินเหลียนพูดไปทางจ่านมู่ฮวา “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีงานอดิเรกพิเศษอะไร แต่เขาก็หล่อเหลาเอาการ ถ้าเอาไปขายคงจะคืนกำไรมาได้บ้าง” พูดพลางเจตนามองไปที่จ่านมู่ฮวา ถ้าหากอยากจะชนะคนคนนี้ เธอคงต้องพูดโจมตีเขาไม่หยุด คิดไม่ถึงว่าฉินซินจะใช้วิธีนี้ มันทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ


 


แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย จ่านมู่ฮวาไม่ได้โกรธอะไร


 


“คุณซีเหมินสนใจในตัวผมเหรอครับ?” จ่านมู่ฮวายิ้มอย่างอ่อนโยน “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ผมก็ไม่ได้รังเกียจที่จะเป็นของเดิมพัน แต่พวกเราน่าจะเปลี่ยนวิธีการเล่นสักหน่อย เพราะเป็นการพนันคน มันมีความเสี่ยงสูง” 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 65 กลหลอกลวง

 

ซีเหมินจินเหลียนหันไปมองจ่านป๋าย เธอไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ความจริงเขาก็ไม่นับว่าเป็น    บอดี้การ์ดของเธอ เพราะอย่างนั้นเธอต้องการถามความเห็นของเขา นี่เป็นการให้เกียรติขั้นเบื้องต้น


 


“จินเหลียน คุณพนันกับเขาก็ได้ครับ” จ่านป๋ายจับมือเธอแล้วกระซิบพูด “ผมเชื่อใจคุณ”


 


“คุณวางใจได้ ฉันไม่มีทางยอมแพ้แล้วปล่อยคุณไปให้คนอื่นหรอก” ซีเหมินจินเหลียนเผยรอยยิ้มแล้วมองไปทางจ่านมู่ฮวา “คุณจะพนันยังไง”


 


“นี่มันสถานที่มีระดับ แน่นอนว่าย่อมมีของเล่นที่ที่อื่นไม่มี อย่างเช่น sm?” ตอนที่จ่านมู่ฮวาพูดประโยคนี้คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน มองไปที่จ่านป๋ายแวบหนึ่ง เขาไม่ได้อยากได้ชีวิตของเขา แต่ถ้ามีโอกาสเขาอยากจะหาทางกลั่นแกล้งทำให้เขาอับอายเขาสักครั้ง


 


“sm?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย เธอไม่เคยแตะต้องของประเภทนี้มาก่อน แต่เธอจำได้ว่าจ่านป๋ายเคยพูดถึงเรื่องนี้ครั้งหนึ่งตอนที่อยากจะให้เธอยิ้ม เลยพอเข้าใจอยู่บ้างว่ามันคืออะไร เหลือบไปมองหน้าตาหล่อเหลาของจ่านมู่ฮวาแล้วพูดออกมา “ถ้าหากคุณเล่น มันคงจะสนุกแน่”


 


“sm ปกติรอบหนึ่งจะใช้เวลาเล่นสองชั่วโมง ที่นี่มีอาจารย์ระดับสูงอยู่ ถ้าใครแพ้ คืนนี้ก็เล่นที่นี่สักรอบ ให้ทุกคนได้เห็น ประจักษ์แก่สายตาเป็นยังไง” จ่านมู่ฮวาไม่ได้ถูกซีเหมินจินเหลียนยั่วยุให้โกรธ แต่ได้แต่ยิ้ม


 


“ตกลง หวังว่าถ้าคุณแพ้แล้วจะไม่เสียใจทีหลังแล้วกัน!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “ถ้าคนหล่อแบบคุณ เล่น sm ส่วนฉันคอยรับค่าตั๋วผ่านทางคงร่ำรวยแน่ๆ”


 


“ดีครับ!” จ่านมู่ฮวาดีดนิ้วอย่างสบายใจ จากนั้นถอยหลังมองไปที่ดวงตาของจ่านป๋ายราวกับงูพิษก็ไม่ปาน แค่วันนี้ เขาอยากให้จ่านมู่หรงรู้ว่าตายดีกว่าการมีชีวิตอยู่


 


เขาอยากหลบ ก็ควรจะหลบหลีกไปอย่างเงียบๆ คิดไม่ถึงว่าจะกล้ามาโผล่ตรงหน้าเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือการไม่เคารพกฎอยู่นอกกรอบ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำให้เขารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเสียใจ


 


“คุณซีเหมิน ของเดิมพันนี้ไม่เลวเลยใช่ไหม?” ฉินซินพูด


 


“อีกเดี๋ยวถ้าฉันชนะ แล้วจ่านมู่ฮวาคิดจะหนี คุณต้องชดใช้นะคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “แม้ว่าคุณไม่ได้หล่อเท่าเขา แต่ก็พอจะไปวัดไปวาได้”


 


ฉินซินพยายามระงับความโกรธ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา แล้วถอยหลังไปสองก้าว พูดกระซิบกับซาโต้อิจิโร่อยู่หลายประโยค


 


ซาโต้อิจิโร่พยักหน้า แล้วเดินไปที่โต๊ะข้างหน้า ซีเหมินจินเหลียนนั่งลงบนเก้าอี้ ฉินเฮ่ากังวลใจเล็กน้อย แพ้เงินยังโอเค แต่ของเดิมพันครั้งนี้มีความพิเศษอยู่ในตัว


 


ซาโต้อิจิโร่เริ่มเขย่าโถลูกเต๋า ซีเหมินจินเหลียนก้มใบหน้าสวยลงเล็กน้อย รวบรวมสติจดจ่อ…


 


ลูกเต๋าอยู่ในโถเขย่า กระทบกระแทกด้วยเสียงที่รื่นหูน่าฟัง ซีเหมินจินเหลียนใช้มือขวาวางลงไปบนโต๊ะ พลังงานความร้อนที่ไหลออกผ่าน ทั้งหมดค่อยๆ กระจ่างชัดในใจของเธอ


 


ซาโต้อิจิโร่นำโถเขย่าวางไว้บนโต๊ะแล้วปล่อยมือลงพร้อมถอยหลังไปสองก้าว ลูกเต๋าทั้งสามลูกต่างปรากฏเป็นเลขหกสีแดง


 


สิบแปดแต้ม ตองสาม สูง!


 


ซีเหมินจินเหลียนแอบคิดอยู่ในใจ แต่หลังจากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วเป็นปมเล็กน้อย ลางสังหรณ์ไม่ค่อยจะดีนัก ได้แต่คิดเหม่อลอยในใจ ไม่ถูกสิ ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เมื่อสักครู่จ่านป๋ายไม่น่าจะแพ้


 


ถ้าจ่านป๋ายไม่สามารถแยกเลขแต้มของลูกเต๋าได้อย่างแม่นยำ เขาคงไม่กล้าเล่นการพนันครั้งนี้แทนฉินเฮ่า มันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง


 


“คุณซีเหมิน โอเคไหมครับ?” มีเสียงฉินซินที่เร่งรัดผ่านเข้ามาข้างหูของเธอ


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไร เธอรวบรวมสมาธิทั้งหมด แม้ว่าของเล่นแบบนี้ เธอจะเคยทดลองเล่นในบ้านตัวเองแค่หนึ่งครั้ง แต่ครั้งนี้เธอต้องยอมเสี่ยงลองดูสักตั้ง


 


“คุณซีเหมิน ถ้าคุณแยกแต้มไม่ออกก็ลองเดามั่วมาก็ได้ บางครั้งถ้าคนเราดวงดี แม้แต่กำแพงก็ฉุดไม่อยู่หรอกครับ” จ่านมู่ฮวาพูดออกมาอย่างเยาะเย้ย


 


“จินเหลียน…” จ่านป๋ายเป็นห่วงเธอ


 


ซีเหมินจินเหลียนลืมตาก่อนจะเงยหน้าขึ้น สีหน้าเริ่มซีดเซียว บนหัวมีผุดด้วยเหงือเม็ดเล็กๆ มองไปที่จ่านป๋ายและฉินเฮ่าด้วยสายตาเจ็บปวด


 


“สามสิบล้าน ศูนย์แต้ม ต่ำ!” ซีเหมินจินเหลียนโยนคาสิโนชิปออกไปแล้วพูดอย่างอาจหาญ เสียงดังฟังชัด เมื่อพูดประโยคนี้จบ เธอก็พร้อมรับผลที่จะตามมา ถอนหายใจเฮือกใหญ่


 


จ่านมู่ฮวาและฉินซินสบตามองกันอย่างไม่เข้าใจ ฉินซินยิ้มออกมาก่อน “คุณซีเหมินล้อเล่นอะไรกันครับ ลูกเต๋านี้แต้มน้อยสุดก็คือหนึ่ง เมื่อมาคิดรวมกันสามลูกอย่างน้อยก็สามแต้ม นี่ก็ไม่มีทางรวมเป็นศูนย์แต้มได้?”


 


“ฉันก็คิดแบบนั้นค่ะ แต่โลกนี้มีเรื่องมหัศจรรย์ตั้งมากมาย คุณซาโต้ว่าไหมล่ะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


ซาโต้อิจิโร่ไม่ได้ตอบคำถามเธอ ข้างๆ คนนั้นที่ฉายาเป็นครูจับผีอย่างคุณจงขุยก็สีหน้าไม่สู้ดีนัก สีหน้าของเขาแย่กว่าเธออยู่มาก


 


“คุณซีเหมิน คุณน่าจะรู้นะครับว่าถ้าคุณแพ้ มู่หรงต้องเล่น SM หึๆ…” ฉินซินมองไปยังจ่านป๋าย


 


“ฉันรู้ค่ะ และถ้าหากคุณแพ้ก็ถึงตาที่คุณชายจ่านมู่ฮวาจะเล่นแล้ว ฉันคงจะดีใจที่ได้เห็นคนหล่อเล่น SM เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างเบาบางคุยกับเจ้ามือไพ่ “เปิดเถอะค่ะ”


 


เจ้ามือมองไปที่ฉินซิน ฉินซินพยักหน้าลง เจ้ามือไพ่เดินไปที่โต๊ะข้างหน้า แล้วแบมือให้ทั้งสองฝ่ายดูอีกครั้ง ถึงค่อยยื่นมือขึ้นไปเปิดโถเขย่า


 


ทันใดนั้นก็มีแสงเงินวิบวับ พร้อมกับเสียงของเจ้ามือร้องดังขึ้นอย่างเจ็บปวด เขากุมข้อมือแล้วถอยหลังขณะนั้นลูกเต๋าทั้งสามลูกก็ค่อยๆ กลิ้งหล่นลงมาบนโต๊ะกระแทกสายตา


 


“เจ้ามือคะ ทีหลังถ้าหากพกอะไรมา อย่าให้ฉันเห็นจะดีที่สุดค่ะ ขอโทษจริงๆ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวพร้อมมองไปที่เหรียญหนึ่งหยวนบนโต๊ะ รอบที่แล้วเธอก็สงสัยในตัวเจ้ามือ เพราะเธอคิดว่าจ่านป๋ายไม่น่าจะทำพลาด


 


แต่ฝีมือของเจ้ามือช่างแยบยล สิ่งนี้ถ้าไม่จับซึ่งๆ หน้า ภายหลังก็กลัวว่าพูดไปจะไม่เกิดประโยชน์ แม้กระทั้งเธอที่ไม่เข้าใจการพนันเงินยังเข้าใจถึงเรื่องนี้


 


จ่านป๋ายและฉินเฮ่าเองต่างก็รู้ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน ได้แต่รับความเสียเปรียบอย่างเงียบๆ รอบนี้พวกเขาก็จับตาดูอย่างดี แต่ฝีมือของเจ้ามือยังคงเฉียบขาด ดูไม่ออกถึงรอยรั่ว ซีเหมินจินเหลียนในตอนเด็กเคยเห็นคนเล่นมายากลมาก่อน นั่นเหมือนกับการใช้มือแบบธรรมดา แต่ความจริงเป็นการอำพรางสายตา


 


“พี่ใหญ่ พี่โกงผม?” ฉินเฮ่าสีหน้าดำทะมึน


 


“น้องรอง นี่มันเป็นการเข้าใจผิด!” ฉินซินยังคงยิ้มอย่างนุ่มนวล จากนั้นสายตาจดจ้องไปที่เจ้ามือคนนั้นอย่างอำมหิต ในใจได้แต่สงสัยไม่หยุด ซีเหมินจินเหลียนคงจะโยนเหรียญหยวนออกไปสักเหรียญ คิดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถขนาดนั้น? ผู้หญิงคนนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย


 


แววตาของจ่านป๋ายก็จ้องไปยังเหรียญที่อยู่บนโต๊ะเช่นกัน สมองยังคงคิดถึงงูตัวนั้นที่ตายอยู่ที่พื้น ถ้าหากวันนี้ในมือของเธอมีมีดผลไม้ เมื่อสักครู่มือของเจ้ามือควรเละไปแล้ว คงไม่มีทางได้ทำงานนี้ต่อไปแน่


 


เจ้ามือผู้โชคร้ายคนนั้น ไม่ช้าสีหน้าก็อึมครึม ถูกคนจับมาแฉได้ ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่ฉินซินแล้วยิ้ม “คุณฉิน รอบนี้พวกเราต่างเพิ่มของเดิมพัน ถ้าอย่างนั้นคุณมาเปิดมันดีไหมคะ?”


 


“ก็ได้ครับ” ฉินซินยิ้มแล้วเดินไปข้างหน้า ยื่นมือไปเปิดโถเขย่านั่น


 


ภายในโถเขย่าว่างเปล่า ไม่มีอะไร เดิมทีมีลูกเต๋าอยู่สามลูก แต่ตอนนี้กลับลอยหายไปไหนแล้ว


 


“พี่ใหญ่ ผมอยากรู้เหลือเกิน ว่ารอบนี้จะเป็นยังไง” ฉินเฮ่ามองไปที่โถเขย่านั้น พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น


 


“ไม่มีลูกเต๋า แน่นอนว่าย่อมเป็นแต้มศูนย์ รอบนี้ฉันชนะแล้วใช่ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “คุณซาโต้ก็ชอบล้อเล่นจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใส่ลูกเต๋าในโถเขย่า ไม่ว่าฉันจะทายสูงหรือต่ำก็แพ้ทั้งนั้น!” พูดพลางเธอก็ส่ายหัว


 


“พี่ใหญ่ พี่เล่นขี้โกง?” ฉินเฮ่าถาม


 


“นี่เป็นเทคนิคการพนันอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้ถือว่าเป็นการโกง!” ซาโต้อิจิโร่พูดอธิบายด้วยภาษาจีน อย่างอื่นค่อยว่ากัน แต่เขาเป็นถึงราชานักพนันแห่งญี่ปุ่น ถ้าหากขี้โกง ภายหลังเขาคงอยู่ในวงการนี้ไม่รอดแน่ “แต่ไม่ว่าอย่างไร คุณซีเหมินก็ทายถูกแล้ว!”


 


ภายในโถเขย่าไม่มีลูกเต๋า เขาเข้าใจกว่าใครทั้งนั้น ตอนนี้มีลูกเต๋าสามลูก แต่กลับไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด ซีเหมินจินเหลียนนั่งอยู่ตลอด ไม่ได้ขยับไปไหน ส่วนจ่านป๋ายและฉินเฮ่าก็นั่งอยู่ข้างๆ เธอ ไม่ได้แตะต้องโถเขย่า ถ้าอยากจะเปิดโถเขย่า แต่ไม่มีเจ้ามือที่ประสบความสำเร็จ นำเหรียญติดตัว ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้


 


เหรียญหนึ่งหยวนธรรมดา ตอนนี้ยังถูกวางไว้นิ่งๆ อยู่บนโต๊ะ ไม่สามารถบรรยายอะไรได้


 


ลูกเต๋าสามลูก อยู่ๆ ก็หายไป ถึงจะมีกำลังภายในอย่างในตำนาน ที่ทำให้ลูกเต๋าแตกหายไป ก็น่าจะมีร่องรอยผุยผงหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ในโถเขย่านี่ไม่มีอะไรหลงเหลือเลย


 


“พูดแบบนี้ รอบนี้ฉันก็ไม่เพียงแต่ชนะสามสิบล้าน แต่ยังชนะคุณจ่านมู่ฮวาใน sm ด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มจนตาหยี มองไปยังหน้าที่ซีดเผือดของจ่านมู่ฮวา ดีใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ได้เงินจากการเดิมพัน แต่ก็สามารถช่วยให้จ่านป๋ายปลดปล่อยอารมณ์ขึ้นมาได้ เธอไม่ได้เสียเวลาในการเล่น


 


ฉินเฮ่าไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนฉินซินกำชับคนให้เปลี่ยนโถเขย่าและลูกเต๋า เพื่อเล่นตาต่อไปที่ยังไม่เสร็จ


 


ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนขึ้นมา หาข้ออ้างบอกว่าไปห้องน้ำ แล้วให้จ่านป๋ายเล่นต่อไป ระหว่างที่ไปก็ไม่ลืมกระซิบพูดกับจ่านป๋าย “คุณช่วยฉันดูพี่ชายคุณให้หน่อย อย่าให้เขาแอบหนีไปได้ล่ะ เฮ้อ พูดตามตรง เขาสวยเหลือเกิน”


 


 บอกว่าผู้ชายสวย นี่ก็เป็นคำชมจริงๆ หรือแค่ประชดประชัน


 


จ่านป๋ายพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี ที่แท้เธอก็ไม่เหมือนคนทั่วไป…


 


ซีเหมินจินเหลียนเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างมือ แล้วส่องกระจกบานใหญ่เพื่อทำการจัดทรงผม น้ำเย็นมักจะเรียกสติให้คืนกลับมาหน่อย เรียกความสามารถในการมองทะลุผ่านออกมาช่างเหนื่อยเหลือเกิน…


 


เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นฉินเฮ่ากำลังยืนรอเธออยู่ที่ทางเดิน พร้อมถามเธออย่างห่วงใย “จินเหลียน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”


 


“ไม่เป็นไรค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว เธอรู้สึกไม่ค่อยดี ท่านอาจารย์จงขุยคนนั้น คงไม่น่าจะมีความสามารถในการจับผีหรอกนะ


 


เป็นอย่างที่คิด ถัดไปอีกสามรอบ จ่านป๋ายกับจงขุยคนนั้น และซาโต้โอจิโร่ต่างเสมอกัน สุดท้ายคิดรวมกัน ฉินเฮ่ายังชนะไปอีกสิบล้าน เพราะมีตาหนึ่งที่จ่านป๋ายเพิ่มของเดิมพันไป


 


การพนันไฮโลลูกเต๋า พวกเขาถือว่าเป็นฝ่ายผู้ชนะ ต่อไปยังมีไพ่โป๊กเกอร์ ทั้งสองฝ่ายตกลงไว้ว่าจะพักก่อนครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยเริ่มเล่นต่อ ถึงเวลาพักจ่านป๋ายก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “จินเหลียน คุณทำให้ลูกเต๋าที่อยู่ในโถเขย่าหายไปไหนกัน?” เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าซาโต้อิจิโร่เป็นคนนำลูกเต๋าใส่เข้าไปในโถเขย่า ถึงจะมีฝีมือระดับสูงแค่ไหน ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนลูกเต๋าที่อยู่ข้างหน้าของเขาได้ เพราะฉะนั้น เขาสงสัยเป็นอย่างมาก…


 


อีกอย่างเขาก็ยังมั่นใจว่า ครั้งแรกเจ้ามือไม่ได้ขยับไม้ขยับมือเลย วิธีขโมยแบบนี้ปิดเขาไม่มิดหรอก และเขาก็ไม่ได้ฟังแต้มผิดด้วยน่าจะเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามโกง แต่เขาก็ไม่ได้เห็นรอยโหว่อะไร 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 66 เดิมพันทรัพย์สินในบ้าน

 

ซีเหมินจินเหลียนมองไปยังจ่านป๋ายแล้วยิ้ม “ได้ยินมาว่าลูกเต๋าของคุณเป็นผู้ชาย” 


 


“หา?” จ่านป๋ายและฉินเฮ่าต่างตกตะลึง แต่ไม่ทันไรก็หัวเราะออกมา ลูกเต๋านี้มีการแบ่งแยกหญิงชายด้วยหรือ 


 


“จากนั้นพวกเขาวิ่งไปหาลูกเต๋าผู้หญิงที่สวยๆ แล้ว” ซีเหมินจินเหลียนยังคงพยายามพูดจาไร้สาระต่อไป 


 


หลังจากที่จ่านป๋ายและฉินเฮ่าสับสนอยู่สักพัก พวกเขาก็ยิ้มกว้างออกมา ในเมื่อเธอพูดออกมาอย่างนี้ นั่นก็หมายความว่าเธอไม่ได้เตรียมตัวที่จะพูดความจริง แต่จ่านป๋ายกลับคิดถึงคำถามอีกอย่างออก คำถามนี้เขาอดไม่ได้ที่อยากจะรู้ “จินเหลียน คุณเคยฝึกวิทยายุทธ์มาก่อนหรือครับ” 


 


เหรียญเมื่อสักครู่นี้ เล็งเป้าไม่ได้แม่นธรรมดา แต่มันยังทำให้ผู้ชายคนหนึ่งร้องออกมาอย่างโหยหวนในทันใด ดูแล้วพลังน่าจะเต็มเปี่ยม 


 


“คุณคงอ่านนิยายกำลังภายในจนเสพติดไปแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างหมดอารมณ์ 


 


“ถ้าอย่างนั้นที่เหรียญของคุณมาอย่างรวดเร็ว มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน” ดวงตาของฉินเฮ่าเบิกกว้าง พร้อมถามขึ้นด้วยความสงสัย 


 


“ตอนเด็กๆ ฉันเคยเล่นสงครามปาโคลนกับคนอื่น ทุกครั้งฉันมักจะแพ้ ความแม่นของฉันมักจะไม่ดีเท่าไหร่” ซีเหมินจินเหลียนกลับรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ความแม่นยำของเธอไม่ได้นับว่าดีมากนัก เพราะว่าตั้งแต่เด็กเธอมักจะถูกเพื่อนปาโคลนใส่หัวของตน ลับหลังพวกเขาเธอก็มาฝึกความแม่นยำจนดีขึ้น นับแต่เล็กเรียนเทคนิคการแกะสลัก ข้อมือเลยมีแรงกว่าผู้หญิงทั่วไปเป็นธรรมดา ข้อนี้เธอยอมรับ แต่ถ้าพูดว่าเธอเคยฝึกวิทยายุทธ์มา มันคงจะดูเกินจริงไปสักนิด 


 


“ไม่ใช่การแสดงที่ดีเท่าไหร่ มันน่าหวาดกลัวจริงๆ!” จ่านป๋ายยิ้ม ถ้าหากงูตัวนั้นไม่ได้ถูกเธอเสียบคาพื้น แต่ถูกแค่มีดปักคาเฉยๆ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะแม่นยำหรือทักษะพลัง นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าข่มขวัญคนเหลือเกิน รวมถึงความรวดเร็ว แม้แต่เขายังสามารถรับรองว่า ถึงจะเป็นคน ถ้าเจอมีดเล่มนั้นของซีเหมินจินเหลียนเข้าไป ก็อาจคร่าชีวิตคนได้เช่นกัน… 


 


“เสี่ยวป๋าย อะไรคือ sm เหรอ” แม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะรู้ว่า sm ไม่ใช่สิ่งของ และสามารถคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าเป็นอะไร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา 


 


เมื่อฉินเฮ่าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกลนลานหันไปมองจ่านป๋าย จ่านป๋ายไม่ได้สนใจ เขาเข้าไปใกล้ตัวเธอแล้วกระซิบข้างหูหลายประโยค 


 


ซีเหมินจินเหลียนเดิมทีที่หน้าขาวอยู่แล้ว ใบหูทั้งสองข้างก็มีสีแดงระเรื่อทันใด พร้อมกระทืบเท้าไปทางจ่านป๋ายแล้วด่าออกมาว่า “โรคจิต!” 


 


“คุณถามผมเองนะครับ” จ่านป๋ายกระโดดหลบหลีก 


 


ซีเหมินจินเหลียนเอียงคอ พลางคิดว่า “เขาช่างสวยเหลือเกิน! ถ้าหากเล่น sm คงจะดูดีไม่เบา แต่ว่า…เขาจะเล่นหรือเปล่านะ แม้ว่าเธอยังไม่รู้ว่าตระกูลจ่านทำอะไร แต่ว่าจ่านมู่ฮวาก็เป็นคนมีชื่อเสียง มีหน้าตา ถ้าให้เขาเล่นสิ่งที่น่าละอายแบบนี้ เรียกได้ว่ายังแรงกว่าการฆ่าเขาทั้งเป็น 


 


หรือว่าการที่เขาเสนอของเดิมพันแบบนี้ จิตสำนึกของคนคนนี้ก็ไม่ได้มีเจตนาที่ดีอะไร 


 


“ผมคิดว่าโอกาสเป็นไปได้ที่เขาจะทำตาสัญญาในการวางเดิมพันมีน้อย!” ฉินเฮ่ายิ้มออกมาเบาบาง รอบนี้เขาเรียกได้ว่าชนะ แต่มันเป็นแค่การเริ่มต้นของรอบใหญ่เท่านั้น ซึ่งก็คือไพ่โป๊กเกอร์… 


 


“หรือว่าฉันจะเสียเวลาเปล่าๆ?” ซีเหมินจินเหลียนแบะปาก สีหน้าลำบากใจ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอยากจะชนะจ่านมู่ฮวา เธอคงไม่ต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้หรอก การนำความสามารถออกมาใช้ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกเลย… 


 


“ถึงตอนนี้จะไม่ทำตามสัญญา แต่ในอนาคตคงมีสักวัน ผมจะทำให้เขาเล่น sm สักครั้ง!” จ่านป๋ายยิ้มปลอบใจซีเหมินจินเหลียน “ไม่ต้องร้อนใจไป พวกเราค่อยๆ เล่น” 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรต่อไป “ไพ่โป๊กเกอร์คืออะไรเหรอคะ” 


 


“คุณเคยเล่นไฟฟ์ การ์ด สตัด ไหมครับ” จ่านป๋ายถาม 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดไปมาแล้วพยักหน้า “เมื่อก่อนที่โรงเรียนเคยเดิมพันอาหารเช้า ฉันแพ้ทุกครั้ง…” ความจริง เธอพอจะรู้กติกาในการเล่นเกมอยู่บ้าง เพราะเคยเห็นพวกรุ่นน้องที่หอเคยเล่นกัน 


 


“อันนี้ก็คล้ายๆ กับกัน กฎกติกาการเล่นคล้ายๆ กัน สำคัญก็คือไพ่ที่ต่ำสองใบ” จ่านป๋ายอธิบาย 


 


ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าหากอันนี้เหมือนกับไฟฟ์-การ์ด สตัด สิ่งที่สำคัญก็คือไพ่ต่ำ ถ้าอย่างนั้นถ้าใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่าน เธอก็น่าจะเป็นผู้ชนะได้ แต่เธอจำเป็นต้องรู้กฎกติกาขั้นพื้นฐาน… 


 


“เล่นไพ่โป๊กเกอร์สักสำรับ แล้วคุณก็อธิบายกติกาให้จินเหลียนฟังสักหน่อยเถอะ” ฉินเฮ่าพูด 


 


“อืม ก็ได้” จ่านป๋ายพยักหน้า พร้อมกำชับสั่งให้พนักงานนำไพ่โป๊กเกอร์มาหนึ่งสำรับ ก่อนจะนำไพ่โป๊กเกอร์ออกมาแล้วพูด “ความจริงง่ายมาก ผมบอกเพียงนิดเดียว คุณก็เข้าใจแล้ว” 


 


แต่เดิมการเล่นการพนันหลายชนิดมักจะไม่ยากมาก แถมยังเล่นง่ายจนติดมือ เพราะฉะนั้นซีเหมินจินเหลียนได้แต่ฟังจ่านป๋ายพูดอธิบายอีกรอบก็พอจะเข้าใจเค้าโครงการเล่น จากนั้นจ่านป๋ายเป็นเจ้ามือแจกไพ่ ซีเหมินจินเหลียนและฉินเฮ่าเล่นกันหลายรอบ 


 


เวลาผ่านไปไม่นาน ฉินเฮ่าก็มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ “นี่ยังจะเล่นอีกเหรอ ดวงของผมก็กุดขนาดนี้แล้ว จ่านมู่หรง นายคงไม่ได้ตั้งใจที่จะส่งไพ่ให้กับจินเหลียนใช่ไหม” 


 


“ผมไม่ได้ทำอะไรกับไพ่เลย!” จ่านป๋ายส่ายหน้า 


 


“จินเหลียน ฝั่งพวกเรามีแค่สามคน อีกเดี๋ยวคงต้องเล่นจริงแล้ว คุณต้องจำกติกาขั้นพื้นฐานให้ดี ถ้าไม่ได้ก็เพิ่มไพ่!” จ่านป๋ายกำชับอีกรอบ 


 


“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า 


 


ฉินเฮ่าถอนหายใจออกมา ไพ่โป๊กเกอร์ เขาเล่นไม่ได้ดีมาก แต่ได้ยินว่าจ่านป๋ายเก่งกาจ ครั้งนี้ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เขาแล้ว ไม่เช่นนั้นฉินซินตอนที่เสนอการพนันครั้งนี้ คงไม่โทรเรียกจ่านป๋ายให้มาหาอย่างเร่งด่วนแบบนี้ 


 


ครึ่งชั่วโมงในการพัก ไม่นานก็ผ่านไป พวกเขากลับไปยังห้องเมื่อสักครู่อีกครั้ง 


 


เกินกว่าที่ซีเหมินจินเหลียนคาดหมายไว้ คิดไม่ถึงว่าจงขุยคนนั้นไปแล้ว เขาไม่ได้อยู่ต่อ นี่ทำให้เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เป็นอย่างที่ฉินเฮ่าคาดเดาไว้ ทั้งสองฝ่ายต่างมีสองถึงสามคน ใครที่คาสิโนชิบหมดถือว่าการพนันรอบนี้สิ้นสุดลง 


 


ฝ่ายตรงข้ามสามคน แน่นอนว่าเป็นซาโต้อิจิโร่ ฉินซินและจ่านมู่ฮวา 


 


ซีเหมินจินเหลียน จ่านป๋ายและฉินเฮ่าต่างนับจำนวนคน อย่างน้อยจำนวนคนไม่ได้แพ้กับฝ่ายตรงข้าม 


 


“น้องรัก พวกเราจะวางเดิมพันเพิ่มไหม” ฉินซินยิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน 


 


“พี่น่าจะรู้ว่าผมไม่ออกเงินแล้ว พี่คงจะไม่อยากได้เดิมพันด้วยชีวิตหรอกใช่ไหม” ฉินเฮ่าพูดอย่างเยือกเย็น “พี่น่าจะหาเงินสดไม่ได้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ” ถ้าหากให้เวลาพวกเขา พวกเขาอาจจะมีเวลาหาเงินสดมาเล่น แต่เวลานี้ถ้าอยากจะหาเงินสดก้อนใหญ่ออกมา เกรงว่าน่าจะยาก 


 


“ไม่ๆๆ จะเดิมพันชีวิตทำไมล่ะ” ฉินซินส่ายหัวยิ้ม “พวกเราเดิมพันเป็นทรัพย์สินในบ้าน ใช้รายชื่อสมบัติในบ้านมาเล่น แกก็น่าจะรู้ว่าการเล่นครั้งนี้เป็นการตัดสินดวงชะตาระหว่างพวกเราสองคน ถ้าใครแพ้ ต่อจากนี้ก็ออกจากตระกูลนี้ไปเถอะ!” 


 


ฉินเฮ่าประเมินสถานการณ์คร่าวๆ ในตอนนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอยู่ไม่คลาย โอกาสในการแพ้มีถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าหากไม่พนัน เขาก็อาจจะแพ้เหมือนกัน 


 


ฉินซินอยู่ตระกูลฉินทำธุรกิจมานาน ทรัพย์สมบัติของตัวเองคงมีเป็นสองเท่าหรือมากกว่านั้น ถ้าจะชนะการพนันครั้งนี้ก็คงหมดหนทางที่จะขยับรากเหง้าของเขา แต่ถ้าตนแพ้ ก็คงเป็นอย่างที่เขาพูด ทำได้แค่ออกจากตระกูลนี้ไป และตระกูลฉินก็คงไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไป… 


 


 คนที่ชอบโจมตีไม่มีที่สิ้นสุดอย่างฉินซินใช้โอกาสนี้ในการรวบรัดเอาชีวิตเขา ถอยหลังก็ไม่มีหนทาง แน่นอนได้แต่ก้าวเท้ามาในวงพนัน! 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม