กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 4 ตอนที่ 6-10

 ตอนที่ 6 ข้าอยากฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด ทันทีที่เฟิงอิ๋นได้อ่านรายงานเล่มนี้ เขาก็คิดแผนการไว้ในหัวเรียบร้อย ถึงจุดนี้ เขาคำนวณแล้วด้วยซ้ำว่าจะได้ชื่อเสียงและคะแนนด้านวิชาการเพราะสิ่งนี้เท่าไร เขาเตรียมการทั้งหมดเอาไว้หมดแล้ว ทว่าผู้อาวุโสห้าทำเพียงเหยียดยิ้มให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักผู้เก่งกาจของนาง


“ศิษย์พี่ นี่ท่านคิดจะขโมยผลงานด้านวิชาการของหวังลู่ซึ่งๆ หน้างั้นหรือ”


เฟิงอิ๋นตื่นตระหนก จากนั้นก็กล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ศิษย์น้องหญิง เจ้าพูดเหลวไหลอะไรเช่นนี้ คนเราจะขโมยความสำเร็จด้านวิชาการของคนอื่นได้อย่างไร”


“อย่าพล่ามใส่ข้าหน่อยเลย พวกผู้บำเพ็ญเซียนที่ชอบอวดอ้างตัวว่าเป็นปราชญ์เป็นพวกที่หน้าไม่อายที่สุดแล้ว ขโมยความคิดน่ะไม่เท่าไร ต่อให้เป็นเรื่องเที่ยวผู้หญิงท่านก็ยังทำได้ ข้าพูดถูกไหม ตาแก่จากสำนักเซิ่งจิงที่โด่งดังเรื่องคลั่งไคล้นักบวชผมขาวคนนั้น ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งถูกจับเพราะไปเที่ยวหอนางโลมที่แคว้นเมฆาแล้วชักดาบมิใช่หรือ ข้าว่าท่านเองก็ไม่ต่างจากเขาเท่าไรหรอก”


เฟิงอิ๋นจวนเจียนจะเศร้าใจ “ศิษย์น้องหญิง เจ้าเองก็รู้จักข้าดี ข้าบำเพ็ญเซียนมาหลายสิบปี แม้จะไม่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นปราชญ์ แต่ข้าไม่เคยทำอะไรเช่นที่เจ้าพูดสักนิด ไม่ต้องถึงขั้นว่าชักดาบไม่ชักดาบ แค่เรื่องระหว่างหญิงชายข้าก็ไม่ยุ่งแล้ว ข้าบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นที่สุด!”


ศิษย์น้องห้าส่งสายตาชิงชังไปยังอีกฝ่าย “โอ้ เช่นนั้นเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็คงเป็นพยานชั้นเยี่ยมเลยสินะ”


เฟิงอิ๋นรีบเปลี่ยนหัวข้อในทันที “…ศิษย์น้องหญิง คุณค่าของรายงานที่หวังลู่เขียนขึ้นมามันยิ่งใหญ่มากเกินกว่าที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจากสำนักกระบี่วิญญาณจะรับผิดชอบได้เพียงลำพัง หากเขาจะส่งรายงานนี้ไปให้คณะกรรมการการศึกษาด้วยชื่อของตนเอง ก็จะถูกพวกหนูจอมฉวยโอกาสฮุบไปในทันที ถึงตอนนั้นรายงานที่ต้องหลั่งเหงื่อเขียนมานี้จะถูกเรียกว่าเรื่องเพ้อฝันและประเมินว่าเป็นงานไร้สาระ และด้วยจิตเมตตาของคณะกรรมการการศึกษาเหล่านั้น อย่างมากเจ้าเด็กนั่นก็จะได้ชื่อเสียงด้านวิชาการสิบคะแนน ได้คะแนนด้านวิชาการอีกร้อยคะแนน ทว่าสองสามเดือนให้หลัง หลังจากที่คนพวกนั้นอ่านรายงานเล่มนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาก็จะตีพิมพ์หัวข้อนี้ด้วยชื่อของพวกเขาเอง แถมไม่อ้างอิงที่มาของงานชิ้นนั้นด้วย มันจะกลายเป็นผลงานพวกเขาไปโดยสมบูรณ์ อย่าบอกเชียวนะว่าเจ้าไม่เคยเห็นเรื่องทำนองนี้มาก่อน”


ศิษย์น้องห้ายังคงยิ้มเหยียดต่อ “สมาชิกคณะกรรมการการศึกษาเฟิงกล่าววิจารณ์ตนเองได้ดียิ่งนัก”


เฟิงอิ๋นกล่าวอย่างฉุนเฉียว “หากข้าเป็นพวกเดียวกับพวกหนูสารเลวนั่น ผลงานการตีพิมพ์ในแต่ละปีของข้าจะน้อยกว่าพวกเขาตลอดได้อย่างไร!”


ทันทีที่พูดจบ ชายชราก็นิ่งอึ้งไปเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของหวังอู่ค่อยๆ มีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้น “อ้อ พักนี้ศิษย์พี่เป็นกังวลเรื่องผลงานตีพิมพ์ที่มีให้คณะกรรมการการศึกษา มิน่าถึงคิดจะขโมยผลงานของศิษย์ในสำนัก”


เฟิงอิ๋นตะโกนอย่างอับอาย “เจ้าจะพูดเรื่องขโมยอะไรนักหนา!?ใช่ว่าปีศาจขี้เกียจอย่างเจ้าจะสนใจเรื่องบทความพวกนี้สักหน่อย ดังนั้นข้าจึงต้องทำเอง เจ้าคิดว่าเขียนงานสักชิ้นมันง่ายนักหรืออย่างไร! อีกอย่างข้าใส่ชื่อของสำนักลงในบทความนี้ ไม่ได้คิดหาประโยชน์ใส่ตัวสักหน่อย!”


“เหลวไหลทั้งเพ ท่านเป็นเจ้าสำนัก! ไม่ใช่ว่าสำนักได้ท่านก็ได้ด้วยหรอกหรือ!? ท่านหอบบทความสวะๆ จากคณะกรรมการการศึกษากลับมาเป็นปึกๆ ทุกปี ทว่านอกจากท่านแล้ว มีใครใส่ใจอ่านมันบ้าง!”


“เหลวไหล ไม่มีใครใส่ใจอ่านกองสวะนั่นก็จริง แต่พอหลังจากข้านำมาตรวจทานเสียใหม่ คนในสำนักก็เอาไปอ่านกันอย่างแพร่หลาย ข้าทำงานหนักเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเจ้า แต่ดูท่าแล้วคงยังดีไม่พอสินะ!?”


“ชิ ขโมยผลงานหน้าด้านๆ ไม่รู้จักละอาย ศิษย์พี่ ท่านนี่สมควรเป็นเจ้าสำนักจริงๆ นั่นแหละ”


เฟิงอิ๋นพยายามแก้ต่างให้ตัวเองอยู่เป็นพักใหญ่ แต่อย่างไรเสีย คนที่เขาต้องต่อปากต่อคำด้วยคือศิษย์น้องห้าผู้หน้าทนแถมไม่มียางอาย หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งเขาก็ยิ้มออกมา “เอาล่ะ ข้าขี้เกียจเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องกับคนขี้เกียจอย่างเจ้าแล้ว เจ้าอยากจะให้ผลประโยชน์กับหวังลู่ใช่หรือเปล่า ตอนแรกข้าไม่มั่นใจในเขานักหรอก… ดูขั้นตบะของเขาเป็นตัวอย่างสิ จนถึงตอนนี้เขาน่าจะพร้อมฝึกพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์แล้วใช่ไหม”


หวังอู่ลังเล “เขาต้องการเวลาอีกหนึ่งปี ตอนนี้ระดับของกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์และเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาดีกว่าที่ข้าคาดเอาไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิชาจิตเซียนไร้ลักษณ์และพลังวิญญาณขั้นปฐม การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ตลอดหนึ่งปีนี้ส่งผลเหนือความคาดหมายกว่าที่ข้าคิดมาก ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดก็มีเพียงพลังอิทธิฤทธิ์และขั้นตบะ ดังนั้นตอนนี้ยังฝึกไม่ได้”


“ข้าได้ยินเรื่องขั้นตบะมาจากศิษย์น้องรองเหมือนกัน ทันทีที่วิชาไร้ลักษณ์ทะลุแก่นวิญญาณนภาเข้าไปได้ เขาจะเก่งกาจขึ้นหลายเท่าตัว ทว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่สะสมเอาไว้ก่อนหน้าไปเกือบหมด ดังนั้นเจ้าคงต้องค่อยๆ ฝึกฝนเขาไปอีกหนึ่งปี สร้างรากฐานที่ดี เมื่อเขาบรรลุถึงขั้นฝึกปราณระดับห้า ข้าจะเปิดประตูแดนปรลัยให้เขา”


หวังอู่สนอกสนใจขึ้นมาทันที “ประตูแดนปรลัย? ท่านยอมเปิดประตูแดนปรลัยจริงๆ หรือ”


“มันไม่ใช่เรื่องยอมหรือไม่ยอม แต่ตอนนี้ข้ายังไม่มั่นใจนัก ดังนั้นข้าจึงไม่อยากเร่งรีบเปิดประตูที่นั่นเพื่อให้ศิษย์เข้าไปฝึกฝน ทว่าเจ้าว่าเหยาเอ๋อร์ไปอยู่ที่แห่งใดกันเล่าระหว่างการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์หนึ่งปีที่ผ่านมา”


ครั้งนี้แม้แต่หวังอู่ก็ตกใจไม่น้อย “นี่ ท่านคงไม่โหดร้ายปานนั้นหรอกน่า”


“ด้วยคุณสมบัติของเหยาเอ๋อร์ ตราบใดที่นางไม่ไปด้านตะวันตกของภูเขาฝั่งตะวันตก นางย่อมไม่เจออันตรายใดๆ สามเดือนก่อนนางบาดเจ็บหนักจึงต้องกลับมาที่นี่ แต่นางก็สามารถบรรลุแก่นของเพลงกระบี่ได้แล้ว… อย่างไรเสีย ข้าก็ได้ทำสิ่งที่โหดร้ายไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ข้าก็แค่อยากรู้ว่าศิษย์น้องไม่คิดจะยอมแพ้จริงหรือ”


หวังอู่คำราม “เหลวไหล มีอะไรให้ไม่ยอมแพ้กัน”


——


อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่กลับขึ้นเขามาได้หนึ่งสัปดาห์ หวังลู่ก็สบายอกสบายใจเสียจนรู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างเบากว่าที่เคยเป็น


สัปดาห์ที่ผ่านมา เหล่าผู้อาวุโสยุ่งอยู่กับการอ่านรายงานอยู่ที่หอนภาสวรรค์ ส่วนอาจารย์ของเขาอยู่ที่หอประกายดาวเจ้าสำนักทำในสิ่งที่มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ เขาไม่เห็นแม้เงาของนางมานานหลายวัน เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายต่างก็ได้พักฟื้นบรรเทาความเคร่งเครียด ดังนั้นบรรยากาศในสำนักจึงเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย แม้แต่การฝึกบำเพ็ญเซียนก็ยังเป็นการฝึกรูปแบบเดิม นอกจากการหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าตัวเพื่อกระตุ้นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ต้องทำทุกวันแล้ว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่สำหรับเขา


สิ่งที่ควรค่าที่จะกล่าวถึงก็คือมีศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงบางคนมาเยี่ยมเยียนเขา อย่างเหวินเป่านี่ไม่จำเป็นต้องพูด ส่วนเยวี่ยซินเหยามาเยี่ยมเขาครั้งหนึ่ง นางไม่ได้กล่าวอะไรมากนักนอกจากขอบคุณที่หวังลู่ช่วยเปิดหูเปิดตาให้นางยามที่อยู่ในประเทศต้าหมิง


ตอนที่อยู่ในประเทศต้าหมิง นางได้ติดตามรองเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักภูมิปัญญาอยู่หลายวัน ลงนามในเอกสารจำนวนมาก คัดลอกบทความอีกไม่น้อย นางได้มารู้ทีหลังว่าบางชิ้นเป็นเอกสารสำคัญที่สำนักภูมิปัญญาใช้สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียน ในฐานะศิษย์ของหนึ่งในห้าสำนักวิเศษ ลายมือชื่อของนางในฐานะพยานที่อยู่บนเอกสารสมัครเป็นสมาชิกของสำนักภูมิปัญญาถือว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ดังนั้นหากจะกล่าวว่านางมีส่วนช่วยสำนักภูมิปัญญาก็ไม่ถือว่าเกินไปนัก ทว่านางกลับรู้สึกขอบคุณหวังลู่ที่ให้นางได้มีส่วนในเหตุอัศจรรย์เช่นนี้ด้วย


“ต่อให้ไม่ใช่ข้า ศิษย์พี่ก็คงหาคนอื่นทำแทนได้… ทว่าข้ารู้สึกขอบคุณที่ศิษย์พี่ยอมให้ข้าลงนามเอกสารพวกนั้น”


ในเมื่อนางปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเช่นนี้ หวังลู่จึงอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายส่งสัญญาณให้เขารับนางเป็นภรรยาลับหรือเปล่า ทว่าหลังจากกล่าวขอบคุณเรียบร้อยแล้ว เยวี่ยซินเหยาก็บอกลาและจากไป แล้วไม่เคยกลับมาเยี่ยมเขาอีกเลย


นอกจากนั้นยังมีแขกที่น่าสนใจอีกคน คนคนนั้นคือหวังจง เมื่อหนึ่งปีก่อนเขาเดินทางขึ้นเหนือไปกับจูฉิน และแยกย้ายกันไปในครึ่งปีหลัง หลังจากได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมาย การออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ตลอดหนึ่งปีนี้ทำให้นิสัยของเขาสงบลงอย่างมาก เมื่อได้พบหวังลู่อีกครั้ง ดูเหมือนว่ามีคำพูดนับไม่ถ้วนที่หวังจงอยากจะพูดออกมา แต่สุดท้ายแล้วคำพูดที่หลุดออกจากปากมีเพียงคำขอโทษขณะที่ยื่นเถาบุปผาโลหิตล้ำค่ามาให้


หวังลู่รับเถาบุปผาโลหิตมา ทว่าในใจกลับคิดสงสัย ระดับของเถาบุปผาโลหิตนี้ไม่ถือว่าสูง เป็นเพียงหญ้าวิญญาณระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ได้แปลว่ามูลค่าของมันจะต่ำ เถาบุปผาโลหิตเองไม่ได้มีพลังปราณฟ้าดินมากมาย แต่เป็นวัตถุดิบชั้นยอดในการทำโอสถวิญญาณหรือวัตถุวิญญาณ คุณค่าของมันเทียบเท่ากับหญ้าเซียน ทว่าสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของเถาบุปผาโลหิตช่างผิดธรรมดา มันไม่ขึ้นบนเขาเมฆาครามด้วยซ้ำ ดังนั้นหวังลู่จึงคิดไม่ออกว่าหวังจงได้สิ่งนี้มาจากไหน


การมาเยี่ยมของหวังจงมีความหมายต่อหวังลู่ไม่น้อย ทว่าหลังจากที่ได้รับเถาบุปผาโลหิต หวังลู่ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อีก อย่างไรเสียหลายปีที่ผ่านมา หวังจงเป็นเพียงเด็กรับใช้ของเขาไม่ใช่ชู้รัก ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงไม่ได้ลึกซึ้งมาตั้งแต่แรก หวังลู่ไม่ได้เก็บเรื่องที่หวังจงเนรคุณเอามาใส่ใจ ดังนั้นแม้อีกฝ่ายจะเข้ามาในห้วงความคิด มันก็ส่งผลต่อเขาเพียงน้อยนิด


นอกจากเยวี่ยซินเหยาและหวังจงแล้ว คนสุดท้ายที่มีค่าควรเอ่ยถึงก็คืออาย่า แม่ครัวชาวตะวันตกจากยอดเขาเร้นลับ


อาย่าอาศัยอยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้นได้หลายปีแล้ว นางจึงมีคนรู้จักและสหายจำนวนไม่น้อย การได้เจอหรือไม่ได้เจอพวกเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรสำหรับนาง ทว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาหลังจากที่หวังลู่ลงเขาไป อาย่ากลับไปรู้สึกไม่คุ้นชินสักที อาหารที่ขายไม่ออกในโรงอาหารบนยอดเขาเร้นลับยิ่งขายไม่ออกเข้าไปใหญ่! สิ่งนี้ทำให้นางตระหนักได้ว่าหวังลู่สำคัญกับการบริหารจัดการในโรงอาหารยิ่งนัก ดังนั้นเมื่อเห็นว่าลูกค้าเก่าแก่คนสำคัญกลับขึ้นเขามาแล้ว นางจึงตั้งใจนำอาหารรายการใหม่เต็มหม้อใหญ่มาเยี่ยมเขา ผลก็คือนางถูกหวังลู่ไล่กลับไปเกือบจะในทันที


นอกจากจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แล้ว เด็กหนุ่มก็ใช้เวลาที่เหลือทั้งสัปดาห์อย่างสุขสบาย พอสิ้นสัปดาห์ หวังอู่ก็กลับมาจากยอดเขาประกายดาว นำบทเรียนในการบำเพ็ญเซียนบทใหม่ในชีวิตมาให้หวังลู่


รูปแบบการเรียนของยอดเขาไร้ลักษณ์นั้นไม่เหมือนใคร เมื่อได้เห็นศิษย์ของตน ผู้เป็นอาจารย์ก็เพ่งพินิจอีกฝ่ายจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “บอกมาซิว่าเจ้าอยากเรียนอะไร”


หวังลู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กระบี่กระจ่างใจ”


หวังอู่อารมณ์ขึ้นในทันที “กระบี่กระจ่างใจเฮงซวยอะไรนั่นมีดีที่ตรงไหนกัน เหตุใดเจ้าจึงคิดอยากเรียน”


หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ได้ข่าวว่าศิษย์น้องหลิวหลีจากยอดเขากระจ่างใจเต๊ะท่าวางโตไปทั่วเพราะมีวิชากระบี่กระจ่างใจ ข้าก็เลยอยากเรียนบ้าง”


หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาบนภูเขา เขาได้ยินบทสนทนาคล้ายๆ กับที่ได้ยินในโรงเตี๊ยมตระกูลหรู และได้รับรู้ความเป็นตำนานของศิษย์ผู้สืบทอดหลิวหลีผู้นี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังรับรู้เรื่องวิชากระบี่กระจ่างใจได้กระจ่างยิ่งกว่า หลักของวิชาที่เรียกว่ากระบี่กระจ่างใจคือการฝึกการบำเพ็ญเซียนที่ไม่เหมือนใครเพื่อทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมไปกระตุ้นการบำเพ็ญเซียนทั้งระบบ ผลที่ได้ก็คือพลังวิญญาณขั้นปฐม พลังอิทธิฤทธิ์ ร่างกาย รวมถึงอาวุธวิเศษในตัวจะอยู่ในสภาวะกระจ่างใส


สภาวะกระจ่างใสคืออะไร เรื่องนี้นั้นลึกลับเสียยิ่งกว่าลึกลับ เป็นแนวคิดที่ไม่อาจพรรณนาได้ แต่หากให้พูดอย่างไม่มีอคติ มันคือการที่พลังปราณของกระบี่เฉียบคมขึ้นและไม่อาจหยุดยั้งได้ ทันทีที่ปล่อยกระบี่ออกไป มันจะสามารถพุ่งตรงเจาะทะลวงจุดสำคัญของอีกฝ่ายจนด้านหน้าและด้านหลังกระจ่างใสขึ้นมา นี่คือความหมายของคำว่ากระจ่างในกระบี่กระจ่างใจ


ที่หุบเขาเมฆาโลหิต หลิวหลีสังหารปีศาจได้สิบสองตัว ในตอนนั้นนางยังไม่บรรลุถึงขั้นสร้างฐาน แต่สามารถใช้พลังได้อย่างน่าสะพรึงกลัว กระบี่กระบวนท่าแรกเจาะทะลวงปีศาจขั้นพิสุทธิ์ที่แข็งแกร่งได้ถึงสามร่าง! จากนั้นนางก็ปล่อยเพลงกระบี่แสนดุดันออกมาต่อเนื่องถึงสิบห้ากระบวนท่า แต่ละกระบวนท่าเจาะผ่านร่างปีศาจนภาโลหิตตัวหนึ่งและทะลวงไปยังตัวถัดๆ ไป หลังจากที่จุดสำคัญบนร่างถูกเจาะทะลวงสิ้น บาดแผลก็จะลุกเป็นไฟ สุดท้ายแล้วหุบเขานภาโลหิตก็กลายเป็นนรกอเวจี ปีศาจเก่าแก่ชื่อดังทั้งสิบสองตัวไม่เหลือแม้แต่เศษซากโครงกระดูกด้วยซ้ำ


จากการคำนวณตามวิธีจัดระดับขั้นต่อสู้ของหวังลู่แล้ว ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลิวหลีอยู่ที่ขั้นพิสุทธิ์ระดับแปด ดังนั้นการเอาชนะปีศาจทั้งสิบสองได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าละอายแต่อย่างใด นอกจากปีศาจทั้งสิบสองจะไม่มีดีอะไรแล้ว วิชาบำเพ็ญเซียนของพวกมันก็ไม่ได้เลิศเลอ ทำให้ความแข็งแกร่งของพวกมันต่ำกว่าที่ควรเป็นหนึ่งถึงสองระดับ ทว่าการเอาชนะพวกมันได้ในคราเดียวโดยที่ไม่บาดเจ็บเลยถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง


กุญแจสำคัญของชัยชนะครั้งนี้อยู่ที่เพลงกระบี่กระจ่างใจอันดุดันของหลิวหลี ความคมของกระบี่จัดได้ว่าไร้เทียมทานเพราะมันสามารถทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ ทันทีที่นางชิงความได้เปรียบด้วยการโจมตีพวกมันอย่างไม่ทันตั้งตัว พวกมันก็ล้มคว่ำในทันที และจากการที่นางสังหารพวกมันได้ต่อเนื่องกัน นางจึงได้รับการบันทึกว่าสังหารปีศาจสิบสองตัวได้ในคราวเดียว สิ่งที่วิเศษยิ่งกว่านั้นก็คือ หลิวหลีเพิ่งเรียนวิชากระบี่กระจ่างใจได้เพียงขั้นแรกเท่านั้น


เมื่อเขาได้ยินเรื่องชัยชนะนี้ หวังลู่ก็คิดในใจว่าวิชากระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาสุดยอดในด้านการตั้งรับ หากเข้าคู่กับกระบี่กระจ่างใจที่ยอดเยี่ยมด้านโจมตี เช่นนั้นเขาย่อมเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่สามารถเต๊ะท่าวางมาดเย่อหยิ่งโอหังได้ถึงสองเท่า ซึ่งเข้ากับบุคลิกของเขาได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อหวังอู่ถามเขาจึงเลือกวิชากระบี่กระจ่างใจ


ผลก็คือ ผู้เป็นอาจารย์เขม็งมองเขาเงียบๆ อยู่เป็นเวลานานจากนั้นก็เอ่ยวาจาที่ขับไล่ความกระหายในการเรียนวิชากระบี่กระจ่างใจไปจนสิ้น


“หากเรียนวิชานั้น เจ้าจะโง่ลงอย่างแน่นอน”


……………………………………


ตอนที่ 7 ข้าอยากฝึกวิชาพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจทำให้โง่ลงรึ”


แม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าหวังอู่ไม่ได้พูดพล่อยๆ แต่ฟังดูก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี


“เช่นนั้น…ศิษย์พี่หลิวหลีจะทำอย่างไรหากต้องสู้กับศัตรูตัวฉกาจแต่ความฉลาดกลับมีไม่พอ นางไม่ประเคนศีรษะตัวเองลงบนจานเงินหรอกหรือ”


“…”


“หนำซ้ำท่านลุงสี่ก็ดูฉลาดเฉลียวไม่น้อย น้ำมูกไม่ย้อย น้ำลายไม่ไหล แปลว่าเขายังเรียนรู้วิชากระบี่กระจ่างใจไม่พองั้นหรือ”


คำอธิบายของหวังอู่ต่อคำถามเหล่านี้ก็คือ ไม่ใช่ว่าการฝึกวิชาเพลงกระบี่กระจ่างใจจะก่อให้เกิดความเสียหายทางจิตใจ แต่วิธีบำเพ็ญเซียนพลังวิญญาณขั้นปฐมที่ไม่เหมือนใครต่างหากที่ส่งผลต่อวิธีคิดของคนผู้นั้น หลิวหลีไม่ได้เกิดมาโง่เง่า ความจริงแล้ว นางสามารถคำนวณผลลัพธ์ของตัวเลขมหาศาลได้เร็วราวกะพริบตา ทว่าการฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจทำให้ความคิดของนางบริสุทธิ์กระจ่างใส ราวหญิงสาวที่อยู่หลังฉากกั้นที่ไม่เคยรู้จักเรื่องรักเรื่องใคร่เลยในชีวิต หนำซ้ำนางจะถูกกักอยู่ในสภาวะนั้นไปตลอด หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ศิษย์แห่งสำนักกระบี่วิญญาณต่างก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก มีเพียงหลิวหลีที่ยังคงหัวเราะหรือหยอกล้อสิ่งต่างๆ อย่างมีความสุขราวกับเด็กที่อยู่ในร่างผู้ใหญ่


ความจริงนี่อาจเป็นธรรมชาติของหลิวหลีตั้งแต่แรก และในการฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจนั้น อาจพูดได้ว่านางเลือกเส้นทางนี้มาตั้งแต่แรก ต่างจากโจวหมิงผู้เป็นอาจารย์ของนาง แม้ผู้อาวุโสสี่จะฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจเช่นเดียวกัน ทว่าประสบการณ์อันข่มขื่นในช่วงต้นของชีวิตทำให้จิตใจของเขาไม่อาจบริสุทธิ์กระจ่างใสได้ทั้งหมด สิ่งนี้เองทำให้เขาไม่อาจสำเร็จวิชากระบี่กระจ่างใจขั้นสูงสุดได้ ทว่าสุดท้ายหากมองว่าสมองของเขายังทำงานได้อย่างสมบูรณ์อยู่ จะเรียกได้ว่าในสิ่งเลวยังมีเรื่องดีอยู่ก็ไม่ผิดนัก


“ส่วนเจ้าน่ะ แค่ชั่ววินาทีเดียว เจ้าก็คิดโน่นนี่มากมายเป็นร้อยอย่างๆ แล้ว ดังนั้นเจ้าจึงไม่เหมาะที่จะเรียนวิชากระบี่กระจ่างใจ แต่ถ้าเจ้ายังยืนกราน ข้าจะสอนให้ก็ได้ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเจ้าอาจจะได้ดีทั้งด้านรุกไล่ด้านตั้งรับ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าจะป่วยทางจิตด้วยเช่นกัน สรุปแล้วเจ้าจะเอาอย่างไรก็ว่ามา”


หวังลู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในใจเขาปรารถนาอยากจะมีสภาวะจิตเช่นนั้นบ้าง หากเขากลายเป็นทรราชทรงพลังที่วางท่าโอหังคงจะแจ่มแจ๋วดีไม่น้อย แต่หากเขากลายเป็นอย่างหลิวหลี ที่เปลี่ยนรายงานการออกเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เป็นบันทึกประจำวันเรื่องอาหาร… มันก็ไม่คุ้มกันสักนิด


มีคำกล่าวตั้งแต่โบร่ำโบราณที่ว่า มีเพียงคนขี้เหนียวที่จะร่ำรวย


และหวังลู่ก็เป็นคนกระเหม็ดกระแหม่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยในเรื่องที่เกี่ยวกับสติปัญญา แม้มันสมองของชายหนุ่มผู้นี้จะเกินธรรมดาในสายตาของใครหลายๆ คน และการเสียมันไปสักนิดหน่อยอาจไม่ทำให้แตกต่างแต่อย่างใด แต่หวังลู่ก็ปฏิเสธที่จะเสี่ยงแม้เพียงนิดเดียว


“เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าไม่เอากระบี่กระจ่างใจแล้ว เจ้าจะเรียนอะไรเล่า”


หวังลู่มีคำตอบเรียบร้อยแล้ว “กระบี่กระจ่างใจฉบับปรับปรุง ที่ไม่ลดความฉลาดของข้าลง”


หวังอู่มองแรงใส่ศิษย์ของนาง “ศิษย์ของข้าเอ๋ย ในเมื่อเจ้าหลักแหลมนัก จะสำเร็จการศึกษาตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้นะ”


“สำเร็จการศึกษาทั้งที่ยังเรียนอยู่เนี่ยนะ” ——


หลังเย้าแหย่กันจบแล้ว ทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างก็มุ่งสู่แก่นของเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว


“ออกไปเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์มาหนึ่งปี เจ้ามีความคิดอย่างไรเรื่องการบำเพ็ญเซียนบ้าง”


หวังลู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “วิชาไร้ลักษณ์สุดยอดไปเลย”


ตอนที่เขาบริหารสำนักภูมิปัญญาในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ในช่วงแรกๆ ที่ค่อนข้างวิกฤตนั้น วิชาไร้ลักษณ์เป็นหัวใจหลักในการจัดการหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อควบรวมสำนักเจ็ดดารา วิชาไร้ลักษณ์ของหวังลู่ถูกใช้จนถึงขีดสุดและสร้างชัยชนะที่แสนอัศจรรย์ให้


“แต่มันยุ่งยากเกินไป”


เมื่อได้ยินคำบ่นจากหวังลู่ ผู้เป็นอาจารย์กลับยิ้มออกมา “บอกข้าสิ ส่วนไหนของมันยุ่งยาก”


“นอกจากจะโดนหวดเอาๆ แล้ว ต่อให้มองจากมุมด้านตั้งรับอย่างเดียว การถูกกันออกในขณะต่อสู้เหมือนว่าตัวเองเป็นแค่ผู้บัญชาการรบน่ะน่าอายจะตายไป”


นี่คือข้อสรุปของหวังลู่หลังจากที่เขาได้ต่อสู้ในการศึกไม่ว่าเล็กหรือใหญ่มานับร้อยๆ ครั้งในฐานะสมาชิกอันดับหนึ่งของสำนักภูมิปัญญา


วิชาไร้ลักษณ์ยอดเยี่ยมด้านการตั้งรับ ดังนั้นในสนามรบ แม้ทุกคนจะเล็งเป้ามาที่เขา แต่เขาไม่เคยคิดห่วงความปลอดภัยของตัวเองแม้แต่น้อย ทว่าภายหลังศัตรูของเขาก็ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด จึงเพิกเฉยหวังลู่และหันไปโจมตีผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแทน แม้วิชาไร้ลักษณ์ของหวังลู่จะน่าเกรงขามเพียงใดแต่เขาก็ไม่อาจช่วยชีวิตคนอื่นๆ ได้ ดังนั้นในสงครามการขยับขยายอำนาจ เขาต้องสูญเสียลูกน้องที่อาจหาญและมีความสามารถไปมากมาย


“โอ้โฮแฮะ แปลว่าเจ้าก็มีอารมณ์รักใคร่เหมือนกันสินะ”


หวังลู่แทบจะกระอักเลือดออกมา “ผู้หญิงอย่างท่านมีร่องอกลึกเสียเปล่า แต่สมองกลับตื้นเขินจนมันหล่นกระจายไปทั่วถนนหมดแล้ว! มองยังไงถึงบอกข้ามีอารมณ์รักใคร่”


ผู้เป็นอาจารย์ผงะ “เจ้าก็อายุสิบห้าแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่วัยรุ่นอย่างเจ้าจะมีอารมณ์อย่างว่า หรือเป็นเพราะปีที่ผ่านมาเจ้าดื่มโอสถปนเปื้อนโลหะหนักมากเสียจนไร้สมรรถภาพไปเสียแล้ว”


หวังลู่ตบโต๊ะ “มาลองเองเลยไหมว่าข้าไร้หรือไม่ไร้กันแน่!”


“โฮะๆ กับอาจารย์ตัวเองก็ไม่คิดละเว้น แต่กลับไม่ยอมรับว่าตัวเองมีอารมณ์”


“…ได้ ข้ามีอารมณ์ก็ได้ แล้วท่านจะทำอย่างไรกับมันเล่า”


ทว่าเขากลับเห็นว่าสีหน้าของผู้เป็นอาจารย์จริงจังขึ้น “เช่นนั้นก็ดี มันแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังมีอารมณ์และความปรารถนาอยู่ ยังคงเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น ไม่ตะแบงบำเพ็ญเซียนจนกลายเป็นเพียงไม้ผุพังไร้ค่า เดี๋ยวนี้มีคนโง่จำนวนไม้น้อยที่คิดว่าเส้นทางบำเพ็ญเซียนที่ยาวไกลต้องฝ่าฟันไปให้ได้ด้วยตัวคนเดียว พวกเขาจึงเอาแต่บำเพ็ญเซียนจนไร้ซึ่งมนุษยธรรม แต่กลับภาคภูมิว่าตนเป็นยอดเซียนที่ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ความรู้สึก คนพวกนั้นสารเลวเกินจะทน เมื่อเทียบกันแล้ว ข้าว่าทฤษฎีผู้เบิกทางล้านคนยังน่าสนใจยิ่งกว่า”


หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อาจารย์ ท่านสนใจจะเข้าร่วมด้วยไหมเล่า”


ผู้เป็นอาจารย์ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายและอธิบายต่อ วิชาไร้ลักษณ์เป็นวิชาอันดับหนึ่งในการรักษาชีวิต ไม่เพียงรับประกันชีวิตของตัวเอง มันยังรับรองชีวิตผู้อื่นด้วย นี่เป็นเรื่องธรรมดา หาไม่แล้วหากเจ้าทำตัวเป็นเต่าที่แกล้งตาย เมียกับลูกสาวของเจ้าก็จะถูกพาตัวไปแทน หากต้องโดนลบหลู่ถึงเพียงนั้น แล้วความหมายของชีวิตจะเหลืออะไรเล่า”


หวังลู่หัวเราะ “มีชีวิตอยู่ทั้งที่ถูกสวมเขานั้นแย่ยิ่งกว่าตายเสียอีก… เช่นนั้นแล้วอาจารย์จะสอนอะไรเล่า”


หวังอู่ชี้ไปที่ถ้วยชาบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ พวกเขา “ทุบมันสิ”


หวังลู่ตวัดกระบี่แห่งเขาคุนไปที่ถ้วยชาอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนที่กระบี่จะสัมผัสถูกถ้วยชา พลังที่มองไม่เห็นก็สกัดมันเอาไว้ก่อน พลังที่มองไม่เห็นนี้รุนแรงเสียจนหวังลู่ได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะออกมาจากแขนขวา กระดูกแขนเขาหักแน่แล้ว!


ตั้งแต่ต้นจนจบผู้เป็นอาจารย์นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ที่ห่างจากถ้วยชาอย่างน้อยหนึ่งจิ้ง ทั้งยังไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงนิด


“นี่มันอะไร”


หวังลู่ใช้แขนซ้ายถือกระบี่ไว้ มองไปยังถ้วยชาอย่างฉงนขณะทำเป็นไม่สนใจแขนข้างขวาที่หัก


“พลังปราณตามธรรมชาติของกระบี่ไร้ลักษณ์… ใช่ ข้ารู้ชื่อมันฟังดูไม่เจ๋ง แต่หากเจ้าอยากแก้ชื่อมัน เจ้าก็ต้องพัฒนามันให้ดีขึ้นก่อน อย่างที่เจ้าเห็น สิ่งนี้ไม่มีอะไรลึกลับ โดยพื้นฐานแล้ว มันก็แค่พลังปราณของกระบี่ไร้ลักษณ์ที่แผ่ออกไปภายนอก ซึ่งช่วยผลักเกราะป้องกันออกไปนอกร่างกาย จะว่าไปสิ่งนี้ก็เหมือนกระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์สามฉื่อ แต่ระยะของมันกว้างไกลกว่า”


หวังลู่ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เปิดปากถาม “อาจารย์ ท่านแผ่มันออกไปทั่วห้องได้ไหม”


ผู้เป็นอาจารย์พยักหน้าและพยักเพยิดให้หวังลู่ลองพิสูจน์ดูเองได้เต็มที่ แทนที่จะใช้กระบี่แห่งเขาคุน เขากลับหยิบยันต์อสุนีบาตรออกมา จากนั้นก็โปรยมันขึ้นจนมันระเบิดเป็นเปลวเพลิงและสายฟ้าที่พลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ไม่อาจทำได้อยู่ที่กลางห้อง อึดใจถัดมามันก็ดับไป ตั้งแต่ต้นผู้เป็นอาจารย์ยังคงนั่งไขว่ห้างอยู่ที่เก้าอี้ของตน ไม่ร่ายตราสัญลักษณ์และไม่หยิบกระบี่ไม้ไผ่มรกตคู่มือออกมาด้วย ทว่าขณะอยู่ในท่านั่ง นางก็สามารถปล่อยพลังปราณของกระบี่ให้แผ่ออกมารอบห้องจนกลายเป็นสนามพลังทรงพลานุภาพได้


“น่าสนใจไม่เบา ตกลง ข้าเรียนสิ่งนี้แหละ!”


หวังลู่พออกพอใจกับผลที่เห็นไม่น้อย แต่แล้วเขาก็เห็นผู้เป็นอาจารย์สลับขาข้างที่ไขว้ห้างไว้จากนั้นก็พูดอย่างร่าเริง “เจ้าอยากเรียนงั้นหรือ แต่โชคร้ายไปหน่อยที่เจ้าเรียนไม่ได้”


“…”


“พื้นฐานของเจ้าอ่อนด้อยเกินไป แม้เจ้าจะสามารถแผ่พลังปราณของกระบี่ออกไปได้ก็จริง แต่ด้วยตบะขั้นฝึกปราณระดับหกของเจ้า มันยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอมากนัก เจ้าจึงยังฝึกวิชาพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์นี้ไม่ได้ ดังนั้นในหนึ่งปีต่อจากนี้ เจ้าจะต้องตั้งใจบำเพ็ญเซียน อย่างน้อยก็ต้องพัฒนาพลังอิทธิฤทธิ์ ไม่ต้องมาก แต่ต้องบรรลุขั้นฝึกปราณระดับห้าให้ได้เสียก่อน จากนั้นเราค่อยมาคุยกันใหม่”


“ขั้นฝึกปราณระดับห้างั้นหรือ ได้” ——


ฤดูใบไม้ผลิแปรเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ร่วง หนึ่งปีต่อมา ซึ่งเป็นปีที่สี่บนภูเขาของหวังลู่ ในที่สุดเขาก็บรรลุขั้นฝึกปราณระดับห้า และพร้อมที่จะได้รับการฝึกบำเพ็ญเซียนในขั้นต่อไป


ขั้นฝึกปราณระดับห้าอยู่ตรงกึ่งกลางในทั้งหมดเก้าระดับ ตัวมันเองไม่ได้มีความหมายหรือสลักสำคัญอะไร มันก็แค่สำนักกระบี่วิญญาณต้องการให้ศิษย์ของตนมีพื้นฐานที่หนักแน่น ก็เท่านั้น สำนักอื่นๆ อาจเลือกความเร็วมากกว่าปริมาณ และให้ศิษย์ผ่านเก้าระดับนี้ไปอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งมั่นบรรลุขั้นสร้างฐานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


ทว่าหวังลู่ผู้ที่ฝึกวิชาไร้ลักษณ์ รู้ว่าเมื่อบรรลุถึงขั้นฝึกปราณระดับห้าหมายถึงเขาฝึกโครงร่างของวิชาไร้ลักษณ์สำเร็จแล้ว และสามารถผ่านไปเรียนสิ่งใหม่ได้


วิชาไร้ลักษณ์นั้นต่างจากวิชาอื่นๆ…นี่คือสิ่งที่เขารู้สึกอย่างชัดแจ้งยามที่ลงเขาเพื่อไปเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ตลอดหนึ่งปี เพราะในปีนั้นเขาได้เผชิญกับวิชามากมาย พบเจอผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณนับไม่ถ้วน และจากสถานการณ์ที่คนเหล่านั้นต้องเผชิญ หวังลู่ก็สังเกตความแตกต่างและสรุปออกมาได้ตามนี้ วิชาไร้ลักษณ์ที่อาจารย์สั่งสอนเขานั้นพิเศษมาก ตบะขั้นฝึกปราณห้าระดับแรกคือการวางรากฐาน และจุดประสงค์ของมันก็ชัดเจน หากจะอธิบายด้วยการสร้างบ้าน สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไปแล้วนั้น ตบะขั้นฝึกปราณทั้งเก้าระดับก็ไม่ต่างอะไรจากการขุดดิน ตระเตรียมไม้ ลงมือสร้างบ้าน จากนั้นก็ขยับขยายตัวบ้านจนกลายเป็นคฤหาสน์ ซึ่งก็คือวิหารหยกของผู้บำเพ็ญเซียนนั่นเอง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของขั้นสร้างฐาน ส่วนอาคม จิตเซียนและสิ่งอื่นๆ ก็เหมือนกับการสร้างห้องเล็กๆ ภายในคฤหาสน์ คฤหาสน์ก็คือแก่นวิชาของผู้บำเพ็ญเซียน ภายใต้โครงสร้างนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ พวกเขาจะสร้างห้องขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กก็ไม่ผิดจะย้ายฉากกั้นจะตกแต่งภายในก็สามารถทำได้ตามใจชอบ


ทว่าวิชาไร้ลักษณ์ไม่อาจมีอิสระถึงเพียงนั้นได้ โครงสร้างภายในของคฤหาสน์นั้นถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้น… ดังนั้นที่อาจารย์ของเขาเคยโม้ว่าสามารถสอนวิชากระบี่กระจ่างใจให้เขาได้ก็เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ โครงร่างของวิชาไร้ลักษณ์ไม่อาจผสานเข้ากับวิชาอื่นได้ มันเป็นดั่งคุกปิดตาย โชคร้ายที่ในตอนนี้ ความรู้ในการบำเพ็ญเซียนของหวังลู่ยังไม่เพียงพอที่จะหลบหลีออกจากคุกดังกล่าวได้


ขณะเดียวกัน หลังจากบรรลุขั้นฝึกปราณระดับห้า หวังลู่ก็สามารถใช้วิชาสังเกตภายในตรวจดูโครงสร้างพื้นฐานของวิชาไร้ลักษณ์ได้


วิชากระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ วิชาจิตเซียนไร้ลักษณ์ วิชาเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ เนื้อหาจำนวนไม่น้อยของวิชาไร้ลักษณ์ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงสร้างรวม โครงสร้างนี้ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่สองสามช่อง แต่เนื้อหาจะเป็นอะไรยังไม่รู้ ส่วนพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์นั้นกินพื้นที่เล็กน้อยเท่านั้น


เมื่อเป็นเช่นนั้น หวังลู่จึงสันนิษฐานเอาว่าเขาน่าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองเดือนในการบรรลุวิชาพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ ทว่าขณะกำลังใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อยู่นั้น เขาก็ถูกอาจารย์เรียกตัวไปยังหอชมพู


หวังลู่รู้สึกยินดียิ่งนัก แต่แล้วเขาก็คิดขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งบรรลุขั้นฝึกปราณระดับห้า แถมนี่ก็ไม่ใช่ความสำเร็จใหญ่หลวงอะไร อีกทั้งยังไม่ใช่สถิติโลกด้วยซ้ำ เช่นนั้นเหตุใดอาจารย์ของเขาจึงต้องอยากสร้างความบันเทิงให้ด้วยการชวนไปชมระบำหน้าตักที่หอชมพูด้วยเล่า


เมื่อหวังลู่ไปถึงด้านหน้าหอชมพูบนยอดเขาสระวิญญาณ เขาก็เห็นผู้เป็นอาจารย์ยิ้มมีเลศนัยอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า


“เข้ามาสิเสี่ยวลู่”


เสี่ยวลู่!? ทันใดนั้นหวังลู่ก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง เขาชักเท้ากลับสองก้าวในทันที จากนั้นก็ชักกระบี่แห่งเขาคุนออกมา “เจ้าปีศาจ เจ้าเป็นใคร บังอาจปลอมตัวเป็นอาจารย์ของข้าเชียวหรือ”


แทนที่จะถอยหนี ผู้เป็นอาจารย์กลับสืบเท้ามาด้านหน้า รอยยิ้มของนางสว่างไสวกว่าเดิม


“เจ้าเด็กโง่ กะแล้วว่าเจ้าจะต้องวิ่งหนี”


อึดใจถัดมา หวังลู่รู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับตนราวกับว่ากำลังตกลงไปในอุโมงค์ยาวเหยียด และนางหญิงสารเลวนั่นก็ยืนยิ้มหวานอยู่ที่ปากอุโมงค์นั่นเอง


“ขอให้ท่องเที่ยวอย่างหรรษาและป่าเถื่อนน้า~”


………………………………


ตอนที่ 8 ที่รัก มาลงชามของข้าให้ไว (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ปราศจากแสงไฟ ปราศจากสายลม ความมืดไร้ขอบเขตกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างทั้งใกล้และไกล ราวกับว่าทั้งโลกตกลงไปในขวดน้ำหมึกไร้ก้น หลอมรวมอยู่ในความเงียบงันชั่วนิรันดร์กาล


ที่นี่คือแดนปรลัย ณ ภูเขาฝั่งตะวันตก ใต้กระแสน้ำทมิฬ


ณ แดนปรลัยที่อยู่ตรงเชิงเขาฝั่งตะวันตก ทุกๆ สิบวันจะต้องมีวันหนึ่งที่กระแสน้ำทมิฬพัดท่วมขึ้นมา ภายใต้กระแสน้ำทมิฬนั้นทุกสรรพสิ่งจะถูกคร่าชีวิตไป ใต้โดมสีครามบนสรวงสวรรค์เหนือพื้นดิน สิ่งมีชีวิตทั้งมวลจะถูกล้างบาปโดยไม่อาจหลีกหนีได้


สิ่งมีชีวิตเกาะกลุ่มกันอยู่ที่ใต้พื้นดินในภูเขา รวมถึงแม่น้ำและทะเลสาบ รอคอยให้กระแสน้ำทมิฬสิ้นสุดลง


ณ ถ้ำไร้ชื่อที่ภูเขาฝั่งตะวันตก ผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มกวัดแกว่งกระบี่ในมือ ยืนเฝ้าปากทางถ้ำอยู่ ปลายของกระบี่หน้าตาเรียบๆ ชี้ตรงไปด้านหน้า ด้านหนึ่งหันไปยังปากถ้ำ อีกด้านแทงอยู่บนกระแสน้ำทมิฬที่ดำเข้มเหมือนน้ำหมึก


อึดใจถัดมา แขนที่ถือกระบี่ไว้ก็เริ่มสั่น เสียง ‘ฮัม’ ดังออกมาจากกระบี่ ราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตร้องคำรามอยู่ใต้กระแสน้ำทมิฬ ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นจึงถอนกระบี่และหันหลังกลับ


กระแสน้ำทมิฬกระจายตัว พยายามติดตามผู้บำเพ็ญเซียนเข้าไปในถ้ำ ทว่าแสงสว่างจากไฟภายในถ้ำนั้นเจิดจ้าไม่น้อย สะท้อนคมกระบี่ของผู้บำเพ็ญเซียนจนเปล่งประกาย กระแสน้ำทมิฬลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะถอนตัวจากถ้ำนั้นไป


เมื่อเห็นดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนก็วางกระบี่ลง ย้ายสายตาไปจับจ้องเปลวไฟสีทองที่อยู่ภายในถ้ำ เปลวไฟที่ว่าไม่ได้มาจากถ่านหรือน้ำมัน แต่เป็นเศษหยกแวววาว เปลวไฟจากเศษหยกขนาดเท่ากำปั้นสามารถป้องกันกระแสน้ำทมิฬได้หลายชั่วโมง และในถ้ำนี้มีหยกดังกล่าวอยู่สองสามก้อน


“แต่เราเก็บหยกเรืองแสงจากแถวนี้มาหมดแล้ว พอกระแสน้ำทมิฬในครั้งนี้สิ้นสุดลง เราจะต้องไปต่อ”


ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นพูด เงียบไปพักหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ความจริงข้าว่าข้าพุ่งตัวออกไปได้”


เสียงของเขาเงียบลงเมื่อกระบี่ส่งเสียงฮึมฮัมออกมา จากนั้นเสียงเย็นๆ ของหญิงสาวก็ดังเข้ามาในหู “ถ้าเจ้าไม่อยากตาย ก็อย่าเสี่ยงหาเรื่อง ทำไมถึงไม่เข้าใจนะ”


“เจ้าพูดอย่างกับว่าในภูเขาฝั่งตะวันตกนี้ข้าไม่เคยเสี่ยงหาเรื่องเช่นนั้นแหละ สุดท้ายแล้วข้าก็ยังมีชีวิตอยู่”


“เจ้าเสียแขนซ้ายไปแล้ว ยังคิดปากดีอยู่อีกหรือ”


“ใช่ ข้าเสียแขนไปข้างหนึ่ง จึงไม่อาจชัก ‘กระบี่’ ในแดนปรลัยได้สะดวก ดังนั้นหลังจากนี้ข้าคงต้องพึ่งท่านให้ใช้ปากให้แล้ว”


เสียงฮึมฮัมของกระบี่เปลี่ยนเป็นเสียงเสียดสีของเหล็กในทันที ทำให้ทั้งหยกเรืองแสงและเปลวไฟที่โชติช่วงสั่นสะท้านขึ้น ผู้บำเพ็ญเซียนกล่าวขอโทษอย่างฉับพลัน “พี่หญิงสารทอาภา พี่หญิงสารทอาภา ข้าผิดไปแล้ว อย่ากรี๊ดใส่ข้าเลยนะ”


กระบี่ยังคงส่งเสียงครืดคราดอยู่ ทว่าก็ค่อยๆ เบาลง แต่เสียงของหญิงสาวยังคงโกรธเกรี้ยวและอัดอั้น “ยกเท้าเจ้าออกเดี๋ยวนี้”


ผู้บำเพ็ญเซียนรีบยกเท้าที่เพิ่งเหยียบลงบนกระบี่ออก จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าขอโทษ ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างข้ามันไวไปหน่อย”


“เจ้าน่ะไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นใครที่อยู่ในแดนปรลัยแล้วร่าเริงอย่างเจ้ามาก่อน”


“คุณสมบัติพื้นฐานของนักผจญภัยมืออาชีพก็คือการมองโลกในแง่ดี”


พูดจบ ผู้บำเพ็ญเซียนก็นั่งลงเงียบๆ พลางเอาตัวพิงกำแพงหิน จากนั้นก็เริ่มโคจรลมหายใจตามวิธีที่เรียนมา


แน่นอนว่าชายผู้นี้ย่อมเป็นหวังลู่และสารทอาภา จิตวิญญาณของกระบี่แห่งเขาคุน แม้อาณาจักเก้าแคว้นจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ผู้บำเพ็ญเซียนที่ยืดอกอย่างภูมิใจว่าตัวเองคือนักผจญภัยมืออาชีพก็น่าจะมีเพียงชายหนุ่มผู้นี้คนเดียวเท่านั้น


ตอนนี้หวังลู่ใช้เวลาอยู่ในภูเขาฝั่งตะวันตกมามากกว่าสามร้อยคืนแล้ว


เมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน อาจารย์ของเขาล่อเขาให้มายังแดนปรลัยโดยไม่บอกเหตุผลทั้งยังไม่มีคำอธิบาย ทว่าในฐานะที่เป็นอาจารย์และศิษย์แห่งยอดเขาไร้ลักษณ์ พวกเขาจึงเข้าใจกันดีโดยไม่จำเป็นต้องมีการอธิบายใดๆ


เขารู้ว่าสิ่งนี้คล้ายคลึงกับการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์เพราะมันเกิดขึ้นตอนที่เขาเพิ่งบรรลุตบะขั้นฝึกปราณระดับห้าและพร้อมที่จะฝึกพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ ปกติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือกลยุทธ์ใดของวิชาไร้ลักษณ์ เขามักต้องเรียนรู้ด้วยวิธีพิสดารพันลึกอยู่แล้ว และนี่อาจเป็นวิธีแปลกๆ ในการเรียนอีกวิธีหนึ่งที่ผู้เป็นอาจารย์จัดหามาให้ก็ได้


ทันทีที่ร่วงลงมาจากปากทางเข้าของแดนปรลัย หวังลู่ก็ไม่แปลกใจที่พบจดหมายฉบับหนึ่งในย่ามสีเหลืองหม่นของตน เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเอามาใส่ไว้ตั้งแต่เมื่อไร


หวังอู่ไม่ได้เขียนอะไรมากในจดหมาย ไม่แน่ว่านางอาจขี้เกียจเปลืองน้ำหมึกก็เป็นได้ นางเพียงบอกว่าที่แห่งนี้คือแดนปรลัย เป็นสถานที่ที่เขาสามารถบำเพ็ญเซียนได้ การจะเอาชีวิตรอดในนี้ เขาต้องใส่ใจจุดที่ระบุไว้ด้านล่างนี้ ทว่าแม้แต่จุดเหล่านั้นนางก็ไม่ได้ลงรายละเอียดมาให้ นางไม่ได้เขียนถึงเรื่องสำคัญอย่างหยกเรืองแสงด้วยซ้ำ ทั้งยังเพียงแค่กล่าวลอยๆ ถึงกระแสน้ำทมิฬด้วยซ้ำ


ทว่าสำหรับนักผจญภัยมืออาชีพอย่างหวังลู่ ข้อมูลเพียงเท่านี้จากหวังอู่ก็นับว่าเพียงพอ เพียงเท่านี้หวังลู่ก็เข้าใจดินแดนปรลัยนี้ได้เป็นอย่างดี


ความเข้าใจนี้เกิดจากการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เมื่อปีก่อน การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนั้นบังคับให้ศิษย์ตั้งแต่ขั้นสร้างฐานลงไปเข้าร่วมทุกคน ในครั้งนั้น ศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามคนยังมีตบะต่ำกว่าขั้นสร้างฐาน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลงจากเขาร่วมเดินทางไปด้วย


ทว่าพอถึงวันออกเดินทาง ศิษย์ผู้สืบทอดที่ลงจากเขาไปมีเพียงหวังลู่และหลิวหลีเท่านั้น ในการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ครั้งนั้น หลิวหลีบรรลุตบะขั้นสร้างฐาน หนำซ้ำการต่อสู้ในหุบเขาเมฆาโลหิตของนางก็โด่งดังไปทั่วโลก ส่วนหวังลู่ได้ก่อตั้งสำนักภูมิปัญญาที่มีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคนขึ้น แม้สิ่งที่เขาทำไม่อาจปิดเงียบไปได้ตลอดกาล แต่ก็มีหลายคนที่ชื่นชมความสามารถของเขา ความสำเร็จที่ได้จากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของทั้งคู่ทำให้ใครหลายคนถอนหายใจด้วยความชื่นชมต่อศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสอง ทว่าในบรรดาศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามคนของสำนัก คนที่มีชื่อเสียงมากกว่าใครย่อมไม่พ้นจูซือเหยา ศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสำนัก ทว่านางกลับไม่ได้เข้าร่วมการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนั้น


ด้วยการตระเตรียมการเป็นพิเศษ ปีนั้นจูซือเหยาได้ไปยังแดนปรลัย แม้ต่อมานางจะได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องกลับสำนัก ทว่าก็สามารถบำเพ็ญเซียนได้จนบรรลุถึงแก่นกระบี่ แก่นกระบี่แท้จริงแล้วคืออะไร มันก็คือแก่นของขั้นพิสุทธิ์นั่นเอง ภายในหนึ่งปี จากขั้นฝึกปราณช่วงปลายสู่แก่นกระบี่ แม้จะไม่ใช่เรื่องที่มหัศจรรย์พันลึกอะไร แต่นางก็พัฒนาล้ำหน้าเกินศิษย์อีกสองคนไปหลายขั้น ภายหลังมีผู้รู้มาว่า ในแดนปรลัยนั้น จูซือเหยาได้สังหารราชาซากศพปรลัยภายใต้กระแสน้ำทมิฬในภูเขาฝั่งตะวันตกได้หนึ่งตัวจนบรรลุแก่นของกระบี่…


แล้วราชาซากศพปรลัยคืออะไร หากถามคำถามนี้กับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ พวกเขาอาจไม่สามารถตอบคำถามได้ ทว่าในตำราของสำนักกระบี่วิญญาณ บันทึกที่เกี่ยวข้องกับมันถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน


แม้แต่ราชาซากศพปรลัยตัวที่อ่อนแอที่สุดก็ยังแข็งแกร่งพอๆ กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกน ทว่าจูซือเหยาสามารถสังหารพวกมันได้หนึ่งตัวท่ามกลางกระแสน้ำที่มืดสนิท แม้ในรายละเอียดปลีกย่อยจะมีเรื่องบังเอิญไม่น้อย และแม้ความแข็งแกร่งของจูซือเหยาจะยังไม่อาจเทียบได้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกนแม้จะบรรลุแก่นกระบี่แล้วก็ตาม แต่เมื่อเทียบกันแล้ว บันทึกชัยชนะที่หลิวหลีมีต่อปีศาจสิบสองตัวในหุบเขาเมฆาโลหิตก็ถือว่าจืดชืดไปเลยทีเดียว


พอได้ยินเรื่องซุบซิบนี้ หวังลู่ย่อมอยากเข้าไปสำรวจแดนปรลัยและกระแสน้ำทมิฬเป็นธรรมดา สถานที่ที่เรียกว่าแดนปรลัยตั้งอยู่ทางตะวันตกของอาณาจักรเก้าแคว้น มันไม่ได้อยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งในอาณาจักรเก้าแคว้น แต่กินพื้นที่ขนาดมหาศาลในแผ่นดิน ตำนานเล่าขานกันว่า ก่อนกลียุคมันเคยเป็นอาณาเขตของสำนักมารมาก่อน จากนั้นพลังปราณฟ้าดินกลับผกผันอย่างรุนแรง ทำให้สำนักมารไม่อาจอยู่รอดต่อไปได้ ทว่าในการต่อสู้กันครั้งสุดท้าย ปีศาจโบราณหลายสิบตัวที่ใกล้จะบรรลุเซียนอยู่ร่อมร่อเกิดสติวิปลาส พลิกแผ่นดินขนาดเท่าแคว้แคว้นหนึ่งคว่ำลง จับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในบริเวณนั้นโยนทิ้งจนกระทั่งไม่มีใครเหลือรอด ไอปีศาจแผ่ปกคลุมทั้งดินแดน ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นแดนปรลัย หลังจากผ่านพ้นไปหลายพันปี ดินแดนนี้ก็ไม่อาจพัฒนาขึ้นมาได้ หนำซ้ำสัตว์ประหลดและสิ่งมีชีวิตจากแดนปรลัยยังชอบออกมาสร้างความเดือนร้อนบ่อยๆ หลังจากที่พวกมันถูกกำราบให้กลับไปยังที่เดิม ดินแดนแห่งนี้ก็ถูกผนึกปิดตายและตัดขาดจากอาณาจักรเก้าแคว้น


สุดท้ายแล้ว กุญแจของผนึกก็ตกมาสู่มือของสำนักกระบี่วิญญาณ แน่นอนว่าในทางภูมิศาสตร์ แดนปรลัยอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรเก้าแคว้น ดังนั้นจึงเป็นปกติที่สำนักกระบี่วิญญาณจะมีหน้าที่ดูแลที่นี่ ในฐานะหนึ่งในห้าวิเศษของอาณาจักรเก้าแคว้น สำนักกระบี่วิญญาณยินดีที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแล


‘พรมแดน’ แห่งนี้ ภายหลังผู้คนต่างก็คิดว่าสำนักกระบี่วิญญาณได้ปิดตายสถานที่นี้เอาไว้ ทว่าไม่มีใครรู้ว่าผู้คนในสำนักกระบี่วิญญาณนั้นค่อนข้างกระตือรือร้นและเริ่มพยายามพัฒนาแดนปรลัยขึ้นมาใหม่


………………………………………..


ตอนที่ 8 ที่รัก มาลงชามของข้าให้ไว (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


แน่นอนว่าสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนานั้นเพิ่งจะมีขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หนำซ้ำพื้นที่ที่พวกเขาพยายามจะพัฒนาก็น้อยนิดมาก ตอนนี้มันถูกจำกัดอยู่เพียงภูเขาฝั่งตะวันตกเท่านั้น และเป็นเพียงการระบุลักษณะทางภูมิศาสตร์ของที่นี่ลงในแผนที่ ดังนั้นจึงยังไม่มีการพัฒนาที่เป็นจริงเป็นจังอะไรนัก… ทว่าเพียงแค่ทำแผนที่ของภูเขาตะวันตกเพียงอย่างเดียวก็อาจเรียกได้ว่า ‘ขุดเจอขุมทรัพย์มหาศาล’ แล้วก็เป็นได้


ตัวอย่างเช่น กระแสน้ำทมิฬ พอกระแสน้ำทมิฬพัดขึ้นมา โลกก็จะเปลี่ยนไป ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดภายใต้กระแสน้ำนั้นจะมีชีวิตรอดได้ ทว่าภายใต้กระแสน้ำทมิฬนั้น ไม่ได้มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น วิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ตายไปยังอยู่ที่นั่น เช่น ราชาซากศพปรลัยและวิญญาณอื่นๆ ที่สร้างความวุ่นวายอยู่ในกระแสน้ำทมิฬนั้น


วิญญาณปรลัยเหล่านี้แตกต่างจากวิญญาณที่อยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้นหรือแม้แต่วิญญาณในทวีปฝั่งตะวันตก ในร่างของพวกมันมีพลังงานแห่งปฐมกลียุคซึ่งคล้ายคลึงกับแท่นบูชาปฐมกลียุคของหวังลู่อยู่ และหากวิญญาณพวกนั้นถูกผู้บำเพ็ญเซียนฆ่า ผู้บำเพ็ญเซียนจะได้รับพลังปฐมกลียุคจากร่างของวิญญาณเหล่านั้น แต่เพราะตัวตนที่วุ่นวายไร้ระเบียบ สิ่งที่ได้รับจะไม่ตายตัวทั้งยังไม่คงที่ ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจะได้วัตถุวิญญาณที่พิเศษไม่เหมือนใครหรือ สิ่งไม่คาดคิดหายากอื่นๆ… อย่างน้อยจูซือเหยาก็สามารถบรรลุแก่นของกระบี่ได้ทันทีที่สังหารราชาซากศพปรลัยเพียงแค่ตัวเดียว


เขาสันนิษฐานเอาว่าที่อาจารย์ส่งเขามายังแดนปรลัยนี้น่าจะเป็นเพราะพลังปฐมกลียุคเหล่านี้ เขาไม่รู้ว่าพลังนี้กับวิชาไร้ลักษณ์เกี่ยวข้องกันหรือไม่เพราะผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้บอกไว้ หนำซ้ำยังไม่อาจเดาสุ่มเอาเองได้ ทว่าเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา เพราะไม่ช้าก็เร็วเขาย่อมได้รู้แน่


ดังนั้นสามร้อยวันจึงผ่านไปรวดเร็วราวกะพริบตา


เป็นเรื่องยากลำบากเหลือแสนที่จะเอาชีวิตรอดในแดนปรลัย แม้แต่ในภูเขาฝั่งตะวันตกที่ได้รับการพัฒนาบ้างแล้วจากสำนักกระบี่วิญญาณ สัตว์ประหลาดที่อยู่ที่นี่แข็งแกร่งเกินกว่าจะขับไล่ออกไป ดังนั้นจึงยังมีสัตว์ประหลาดจำนวนไม่น้อยเดินเร่ร่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ หนำซ้ำพวกมันยังแข็งแกร่งกว่าเหล่าปีศาจในยอดเขาเมฆาครามหลายเท่านัก แม้หวังลู่เองจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อครั้งที่เขาไปสั่งสมประสบการณ์ที่เขาเมฆาครามสิบเท่าร้อยเท่า ดังนั้นในแดนปรลัยแห่งนี้ หลายครั้งที่หวังลู่ต้องยึดกฎการเอาตัวรอด คือทำตัวเงียบๆ และซ่อนตัวให้มิดชิดเข้าไว้


เมื่อถึงเวลาที่กระแสน้ำทมิฬพัดมา เมื่อนั้นก็คือฝันร้าย ไม่ต้องพูดถึงวิญญาณปรลัยนับไม่ถ้วนที่อยู่ในกระแสน้ำทมิฬ แม้แต่ตัวกระแสน้ำทมิฬเองก็มีพิษร้ายแรงจนสามารถคร่าชีวิตผู้บำเพ็ญเซียนได้ในพริบตา แม้จะมีวิชาไร้ลักษณ์ กระดูกไร้ลักษณ์และร่างกายกำยำแข็งแรงเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน แต่เมื่อยามที่กระแสน้ำทมิฬพัดขึ้นมา หวังลู่ก็ยังรู้สึกหายใจไม่ออกและเวียนศีรษะยิ่งนัก


หากต้องการมีชีวิตรอดจากกระแสน้ำทมิฬ ก็ต้องซ่อนตัวอยู่ตามพื้นดินภายในภูเขา หรือก้นทะเลสาบและก้นแม่น้ำ ถึงกระนั้นสถานที่เหล่านี้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ เพราะนอกจากสถานที่เหล่านั้นจะมี ‘ผู้ครอบครอง’ ดั้งเดิมอยู่แล้ว กระแสน้ำทมิฬเองก็สามารถแทรกซึมเข้าไปตามร่องหินได้ ความจริงตอนที่เขาเผชิญกับกระแสน้ำทมิฬเป็นครั้งแรกหลังจากที่มาถึงแดนปรลัย หวังลู่ก็ถูกเหล่าวิญญาณปรลัยกักตัวอยู่ในถ้ำ


หากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่น หรือแม้แต่หลิวหลีเอง การถูกกักอยู่ในถ้ำก็เหมือนต้องเผชิญกับทางตัน อย่างไรเสียแม้ว่ากระบี่กระจ่างใจของนางจะทรงพลังเพียงใด แต่นางจะเอาผ้าห่มออกมาคลุมตัวให้พ้นจากกระแสน้ำทมิฬหรืออย่างไร และนอกจากจะไม่สามารถสลัดพ้นการโอบล้อมของกระแสน้ำทมิฬได้แล้ว นางยังไม่อาจยืดหยัดต่อสู้ได้ทั้งวันทั้งคืนอีกด้วย ทว่าวิชาไร้ลักษณ์ทำให้หวังลู่มีโอกาสเล็กน้อยในการรอด เขาใช้กระบี่เขาคุนปิดปากถ้ำด้วยเพลงกระบี่ตั้งรับกระบี่สามฉื่อ เหมือนชายที่ปิดช่องแคบเพื่อให้ให้ชายอีกนับหมื่นคนผ่านเข้าไปได้


เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาไม่อาจทำอันตรายศัตรูได้ แต่ไม่ว่าพวกมันจะทรงพลังเพียงใด ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้เช่นกัน ตอนแรกมีภูตปีเน่าเหม็นสูงไม่เกินเข่าหลายสิบตัวพยายามเจาะทะลุเข้ามา จากนั้นก็มีโครงกระดูกสีขาวซีดหลายโครงพยายามทะลวงเข้ามา ต่อมาก็เป็นลูกไฟ ผีดิบ… พวกมันทั้งหมดไม่อาจผ่านปากถ้ำเข้ามาได้เพียงแม้คืบเดียว แล้วหากซึมผ่านก้อนหินเข้ามาเล่า ดินแดนแห่งนี้ปนเปื้อนกระแสน้ำทมิฬมานับพันๆ ปี หินของที่นี่จึงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก… หลังจากนั้นเหล่าวิญญาณที่เกิดจากกระแสน้ำทมิฬก็ค่อยๆ รวมตัวกันจนดูคล้ายภูเขาซากศพและทะเลเลือด ทว่าพอเห็นดังนั้น หวังลู่ก็เอาแต่ยิ้มย่องและใช้เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ปกป้องปากทางเข้าต่อไป พละกำลังของเขาดูไม่หมดไม่สิ้น มากยิ่งกว่าวิญญาณไม่เหน็ดเหนื่อยเหล่านี้เสียอีก บางครั้งพวกมันก็ทำให้เขาได้แผล ทว่าแผลก็แทบจะหายสนิทในทันที โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย


จนกระทั่งสุดท้ายแล้วมีปีศาจขนาดเท่าเนินเขาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ทันทีที่ได้เห็นมัน หวังลู่ก็เหยียดยิ้มอยู่ในใจพลางคิดว่าปีศาจตัวใหญ่เบ้อเริ่มจะเข้ามาในถ้ำๆ แห่งนี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกันเขาก็ตั้งสมาธิจดจ่อที่มัน เตรียมพร้อมรอรับการโจมตีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


ทันใดนั้นแขนซ้ายของเขาก็หายไป


กลายเป็นว่าเจ้าปีศาจขนาดเท่าเนินเขานั้นเป็นเพียงตัวล่อ ผู้ร้ายตัวจริงค่อยๆ ซึมผ่านรอยแยกของหินมาในร่างของวิญญาณหมอกโปร่งใส วิญญาณหมอกสามารถทำตัวโปร่งใสจนแทบมองไม่เห็น และภายในกระบวนท่าเดียวมันก็ตัดแขนซ้ายของหวังลู่ออก หวังลู่ไม่ผงะแม้แต่น้อย เขาตวัดแขนขวาโปรยยันต์อัสนีบาตนับร้อยชิ้นออกมาซึ่งช่วยขับไช่วิญญาณหมอกไปได้ในทันที


ในขณะเดียวกัน ปีศาจขนาดเท่าเนินเขาก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทว่าหลังจากก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง มันก็ลังเล และเลือกที่จะล่าถอยไป


เหล่าภูเขาซากศพและทะเลเลือดต่างก็ล่าถอยไปพร้อมกันในทันทีไม่ต่างจากกระแสน้ำ ไม่กี่นาทีต่อมาพวกมันก็หายหน้าไปกันหมด หลังจากนั้นไม่นาน แสงอาทิตย์ก็สาดส่องลงมากระแสน้ำทมิฬล่าถอยไป… หวังลู่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้อีกหนึ่งวันแล้ว


ต่อมาหวังลู่ก็พบหยกเรืองแสงสองสามก้อนจาก ‘ซาก’ ของปีศาจหมอกที่อยู่ภายในถ้ำ เหตุใดปีศาจหมอกไร้รูปร่างจึงทิ้งหยกที่เรืองแสงแจ่มชัดขนาดนี้ไว้ได้หลังจากที่ตายไป นี่อาจจะเป็นความลับของพลังปฐมกลียุคก็เป็นได้ หลังจากมีหยกเรืองแสง หวังลู่ก็สามารถผ่านเหตุการณ์กระแสน้ำทมิฬไปได้อีกหลายครั้ง ภายหลังเมื่อมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น เขาก็พบสถานที่ดีๆ ที่เหล่าปีศาจไม่อาจแทรกซึมมาตามช่องว่างของก้อนหินได้ง่ายๆ อีกหลายที่ เขายังได้พบหยกเรืองแสงอีกเป็นจำนวนมากในภูเขาฝั่งตะวันตก ทำให้กระแสน้ำทมิฬไม่อาจทำอันตรายเขาได้อีก อย่างไรก็ตาม หลายครั้งภายใต้ม่านแห่งรัตติกาล เขาจะแอบย่องออกไปจากถ้ำและใช้วิธีต่างๆ ฆ่าปีศาจสักสองสามตัวเพื่อเอาวัตถุวิเศษกลับมา


หลังจากผ่านการเอาตัวรอดมาสามร้อยกว่าวัน ความแข็งแกร่งของหวังลู่ก็บรรลุถึงช่วงปลาย หนึ่งปีก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งทะลวงสู่ขั้นฝึกปราณระดับห้า แต่มาตอนนี้เขาบรรลุถึงขั้นต่อไปได้แล้ว หนำซ้ำที่น่าพอใจยิ่งกว่าคือ เขายังมีช่องว่างให้พัฒนาอีกมาก ส่วนด้านกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ จิตเซียนไร้ลักษณ์ และวิชาอื่นๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าพวกมันส่งเสริมกันได้อย่างดีเยี่ยม


ส่วนแขนซ้ายที่หายไปนั้น หวังลู่ไม่ใส่แม้แต่น้อย


อย่างไรเสีย แขนอีกข้างก็เพียงพอให้เขาทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำได้อยู่แล้ว… หนำซ้ำ การเสียงแขนไปหนึ่งข้างแลกกับการเอาตัวรอดจากกระแสน้ำทมิฬครั้งแรก ซึ่งเป็นจุดที่ยากที่สุดในการท่องเที่ยวเอาตัวรอดครั้งนี้ ถือว่าเป็นการสังเวยที่ราคาถูกมาก เพราะเมื่อเขากลับไปยังสำนัก เขาสามารถขอให้ผู้อาวุโสช่วยปลูกแขนกลับคืนมาได้ แม้แต่ตอนนี้ ด้วยระดับของกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ที่เขามีอยู่ การจะปลูกแขนด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพียงแค่ว่าพลังอิทธิฤทธิ์ที่ต้องใช้ในการปลูกแขนนั้นมากเสียจนเขาจะต้องอ่อนแรงไปอีกสิบวัน และในแดนปรลัยแห่งนี้ สิบวันของการอ่อนแอก็เท่ากับความตาย


ภายใต้แรงกดดันของกระแสน้ำทมิฬ หยกเรืองแสงก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง ทว่ากระแสน้ำทมิฬที่อยู่ภายนอกก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน อย่างมากที่สุดก็อาจกินเวลาอีกหกเค่อ หวังลู่ขี้เกียจเกินจะหยิบหยกเรืองแสงก้อนใหม่ออกมา เขาจึงคว้ากระบี่ขึ้นมาเตรียมจะปิดปากทางเข้าถ้ำ


ทว่าทันทีที่เขาฉวยกระบี่ได้ บางอย่างที่มีขนาดเล็กจิ๋วก็พุ่งพรวดเข้ามาในถ้ำ มันรวดเร็วปานสายฟ้าแตกต่างจากวิญญาณที่อยู่ในกระแสน้ำทมิฬเหล่านั้น ขนาดหวังลู่เองก็ไม่ทันได้ตั้งรับ


ทว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่ทันคาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เมื่อมีไฟจากหยกเรืองแสง วิญญาณหน้าไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ยกเว้นราชาซากศพปรลัยที่กล้าโจมตีซึ่งๆ หน้า ทว่าราชาซากศพปรลัยหรือเหล่าวิญญาณระดับสูงนั้นไม่เคยมากล้ำกรายในสถานที่ที่หวังลู่เลือกแล้วเป็นอย่างดี… เช่นนั้นแล้ว เจ้าสิ่งเล็กๆ ที่ไม่เกรงกลัวแสงจากหยกเรืองแสงนั้นคืออะไรกันแน่เล่า


เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ เขาก็ต้องประหลาดใจไม่น้อย เจ้าสิ่งเล็กๆ ที่ว่านี้แท้จริงคือสุนัขพันธุ์ทางขนด่างหลากสีตัวจ้อย ระยำแท้ มีสุนัขอยู่ในแดนปรลัยจริงๆ หรือนี่!


สิ่งที่ดูแปลกตาส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นปีศาจ ดังนั้นหวังลู่จึงวางกระบี่ลงอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็หยิบหม้อใบเล็กออกมาจากย่ามสีเหลืองหม่น ตามด้วยชามกระเบื้อง กระบวย ตะเกียบคู่หนึ่ง และเครื่องปรุงรส เขาวางหม้อเหล็กไว้บนหยกเรืองแสง จากนั้นก็หยิบชามกระเบื้องขึ้นมาและพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “มามะเจ้าเพื่อนยาก มาลงชามของข้าเสียดีๆ”


………………………………………………


ตอนที่ 9 สิ่งที่อร่อยที่สุดในโลก

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากมีชีวิตรอดอยู่ในแดนปรลัยมามากกว่าสามร้อยวัน หวังลู่ก็ค่อยๆ ใช้ชีวิตได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เขายังวางแผนว่าหากกระแสน้ำทมิฬในรอบนี้จบลงแล้ว จะสำรวจลึกเข้าไปทางตะวันตกที่ที่กระแสน้ำทมิฬรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ เขาต้องการทดสอบขีดจำกัดของตนเองและขยายมันออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้


สิ่งที่ส่งผลต่อหวังลู่มากที่สุดคือสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายของสถานที่แห่งนี้ มันทำให้เขาไม่มีอาหารกินและไม่มีเสื้อผ้าใส่ ในภูเขาฝั่งตะวันตกที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต นอกจากก้อนหินและโขดหินแล้ว บางครั้งเขาก็พบต้นไม้ดอกไม้แปลกตาบ้าง ทว่าหากพินิจจากการที่พวกมันชุ่มฉ่ำน้ำจากกระแสน้ำทมิฬมาเนิ่นนาน หวังลู่ก็ไม่คิดว่าการใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทดสอบความต้านทานพิษของตนจะเป็นเรื่องคุ้มค่า ดังนั้นเกือบปีมานี้ เขาจึงอยู่ใภาวะอดอาหาร นานๆ ครั้งจึงยอมกินเสบียงที่เตรียมมาในย่ามสีเหลืองหม่น ซึ่งเขาถือว่าเป็นงานฉลองที่หาได้ยากสักที… นั่นเพราะอาจารย์ของเขาลวงเขามายังแดนปรลัยนี้โดยไม่ทันตั้งตัว ไม่เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยเขาย่อมเตรียมอาหารมื้อหรูหราสักสิบชุดรวมถึงสุราเซียนติดตัวมาด้วย


หลังจากเผชิญกับภาวะเช่นนี้มามากกว่าสามร้อยวัน หวังลู่ก็คิดว่าเขาน่าจะกินแหงนมองดาราของอาย่าได้จนไม่เหลือคราบ ความหิวและกระหายของเขาเกินขีดจำกัดไปแล้ว และในเวลาที่เขารู้สึกหิวโหยเป็นที่สุดนี่เอง เจ้าสุนัขลายด่างตัวจ้อยก็โผล่มาตรงหน้าพอดี


สวรรค์ประทานชัดๆ แม้ตามธรรมเนียมแล้ว ดำมาก่อน เหลืองมาที่สอง ด่างมาที่สามและขาวมาที่สี แม้สุนัขลายด่างจะอยู่เพียงอับดับสาม แต่เวลาเช่นนี้ใครจะมามัวใส่ใจเรื่องธรรมเนียมกันเล่า


หลังจากที่หวังลู่หยิบภาชนะต่างๆ ขึ้นมาแล้ว เขาก็พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน ทำเอาเจ้าสุนัขพันทางตัวน้อยตกใจ ดวงตากลมของมันจ้องมองหม้อและชามในมือของหวังลู่อยู่พักใหญ่ ทั้งยังเห็นประกายวิบวับในดวงตาของหวังลู่อีกด้วย ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นตามสัญชาตญาณสัตว์ทำให้มันถอยหลังไปสองสามก้าวในทันที


ทว่าพื้นที่ภายในถ้ำไม่ได้กว้างนัก หากมันยังถอยหลังต่อ มันย่อมไปถึงปากถ้ำอย่างแน่นอน และบังเอิญว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่กระแสน้ำทมิฬรุนแรงมากที่สุด แม้กระแสน้ำทมิฬจะไหลอย่างเงียบเชียบเกือบตลอดทั้งวัน ทว่าผู้ที่สามารถรอดชีวิตในสถานที่แห่งนี้ได้ย่อมรู้ดีว่าความรุนแรงของมันจะเพิ่มขึ้นสูงสุดก่อนรุ่งสาง


สุนัขตัวน้อยหลบหนีวิญญาณร้ายในกระแสน้ำทมิฬเข้ามา และตอนนี้มันอยู่ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าจะกลับออกไปหากระแสน้ำทมิฬที่หวังชีวิตมันดีหรือไม่


ประกายแปลกๆ ในดวงตาของหวังลู่ที่ถือชามอยู่ทำให้ลูกสุนัขตัวจ้อยกลัวจนขนลุกขนชัน เมื่อเห็นดังนั้นหวังลู่ก็สบถอยู่ในใจ เจ้าหมาโง่ ไม่อยากโดดเข้ามาในชามของข้าหรือไร หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยิบซาลาเปาไส้เนื้อออกจากย่ามสีเหลืองหม่นและโยนไปทางอีกฝ่าย


ซาลาเปาไส้เนื้อลูกนั้นนอนนิ่งอยู่ในย่ามสีเหลืองหม่นมานานกว่าหนึ่งปี เขาแอบหยิบมันมาจากโรงเตี๊ยมตระกูลหรูเมื่อนานมาแล้ว ฝีมือการทำอาหารของเถ้าแก่เนี้ยนับว่ายอดเยี่ยม แต่ตอนที่เขามาที่แดนปรลัย เขาเอาอาหารดีๆ ติดตัวมาไม่กี่อย่าง เกือบปีมานี้ เขาไม่คิดหยิบมันขึ้นมากิน ทว่าตอนนี้เขากลับหยิบมันออกมาให้สุนัขเสียอย่างนั้น


ถึงกระนั้นเจ้าสุนัขตัวน้อยกลับไม่ไหวติง เมื่อเห็นหวังลู่หยิบซาลาเปาไส้เนื้อออกมา กลิ่นหอมของมันราวกับเป็นอาคมสะกดให้อีกฝ่ายกลายเป็นหิน ผลก็คือซาลาเปาไส้เนื้อพุ่งใส่หน้าของเจ้าสุนัขเต็มๆ และตกลงไปที่พื้นใกล้ๆ ตีนของมัน


เจ้าสุนัขพันทางตัวจ้อยเพ่งพิศซาลาเปาไส้เนื้อ จากนั้นก็ย้ายสายตากลับไปมองหวังลู่ที่ยังคงถือชามกระเบื้องอยู่


เจ้าลูกสุนัขยกมุมปากขึ้นราวกับกำลังฉีกยิ้ม จากนั้นก็เต๊ะท่ากลืนซาลาเปาไส้เนื้อเข้าไปคำใหญ่ ไม่สนสักนิดว่าอีกฝ่ายจะวางยาในซาลาเปาลูกนี้หรือไม่ ราวกับจะโอ้อวดพลังน้ำย่อยของตัวเอง เจ้าสุนัขตัวจ้อยนี้ก็อดอยากไม่น้อย ดังนั้นหลังจากกินซาลาเปาไส้เนื้อเข้าไป มันก็หอนออกมาอย่างยินดี และทันทีที่มันเปิดตาขึ้น มันก็เห็นซาลาเปาไส้เนื้ออีกลูกนอนนิ่งอยู่ไม่ไกล


เจ้าลูกสุนัขไม่ใคร่ครวญให้มากความ มันพุ่งตัวเข้ามาเคี้ยวกลืนซาลาเปาจนหมดภายในไม่กี่คำ ความรู้สึกหิวโหยที่ไม่สิ้นสุดเริ่มกระเตืองขึ้นเล็กน้อย… มันเงยหน้าขึ้นและเห็นซาลาเปาไส้เนื้ออีกลูกวางอยู่ด้านหน้า


สุดท้ายแล้วหวังลู่ก็หยิบซาลาเปาไส้เนื้อจากย่ามสีเหลืองหม่นออกมาให้ลูกสุนัขกินถึงห้าลูก ทว่ามันไม่ใช่การลงทุนที่เสียเปล่า เพราะเจ้าสุนัขขยับเข้าใกล้หม้อที่ตั้งอยู่บนหยกเรืองแสงมากขึ้นเรื่อยๆ หวังลู่โยนซาลาเปาไส้เนื้อลูกสุดท้ายลงในหม้อ เจ้าสุนัขพันทางตัวจ้อยไม่ทันได้คิดอะไร จึงกระโดดลงหม้อตามซาลาเปาไป


ทันทีที่อีกฝ่ายลงไปในหม้อเรียบร้อย หวังลู่ก็ปิดฝาหม้ออย่างไร้ความปรานี


“โฮ่งๆ!”


เจ้าสุนัขตัวน้อยพยายามดิ้นเพื่อจะออกมา แน่นอนว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กนี้ไม่อยากกลายเป็นเนื้อตุ๋นกลิ่นหอมอยู่ในหม้อนี่ ทว่าหม้อเล็กๆ ที่ทำขึ้นในสำนักกระบี่วิญญาณก็ช่างพิเศษเหลือล้ำ ไม่ง่ายเลยที่จะออกมาจากในนั้นได้


หวังลู่ใช้แขนข้างที่เหลือกดฝาหม้อให้แน่นขึ้น ขณะยื่นเท้าข้างหนึ่งไปยังขวดเครื่องปรุง ทั้งยังเป่าพลังปราณออกมากระตุ้นให้หยกเรืองแสงเผาไหม้รุนแรงยิ่งขึ้น


“โฮ่งๆ!”


เสียงเห่าของเจ้าสุนัขเกรี้ยวกราดมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันฝาหม้อก็สั่นสะท้านราวกับว่าจวนเจียนจะระเบิด ทันใดนั้นหวังลู่ก็รู้สึกเจ็บราวถูกเข็มตำเข้าที่มือข้างที่กดปิดฝาหม้อลงไป


ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าสุนัจตัวจ้อยจะทรงพลังถึงเพียงนี้ แม้แต่เครื่องมือวิเศษระดับห้าอย่างหม้อใบน้อยนี้ยังถูกเหวี่ยงไปมา… ทว่าหวังลู่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะจับเจ้าสุนัขตุ๋นเป็นเนื้ออันโอชะ เขาจึงไม่ต้องการให้มันมีโอกาสหลบหนีได้เพียงนิด ดังนั้นเขาจึงปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาเพื่อยุติการดิ้นรนของอีกฝ่าย


แน่นอนว่าเจ้าสุนัขตัวน้อยนี่ไม่ใช่สุนัขธรรมดา มันดิ้นรนไปมาอยู่ในหม้อด้วยพลังมหาศาล การชนแต่ละครั้งหนักหน่วงจนเกิดรอยปริเล็กๆ ราวกับมีเข็มทะลวงเข้าไปทำลายโครงสร้างของหม้อ ทางด้านหวังลู่เองก็ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้พลังการชนของอีกฝ่ายทำให้หม้อแตกหัก


แม้เขาจะเป็นศิษย์ชั้นแนวหน้าของสำนักกระบี่วิญญาณ แต่ก็ไม่ได้เป็นพหูสูตในทุกด้าน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องการหลอมวัตถุสักเท่าไร ทำให้ไม่อาจซ่อมแซมอุปกรณ์วิเศษระดับห้านี้ได้ ทางเดียวที่จะทำได้ก็คือป้องกันไม่ให้สิ่งนี้เสียหายแม้แต่น้อย


นี่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับหวังลู่ ตอนการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์เมื่อครั้งก่อน เขาได้เรียนรู้ในสนามรบนับครั้งไม่ถ้วน และในการเอาตัวรอดในแดนปรลัยเกือบหนึ่งปีมานี้ หวังลู่ได้เผชิญกับกองภูเขาซากศพและทะเลเลือดที่หมายจะสังหารเขามาแล้ว ทว่าแต่ละครั้งเขาใช้กระบี่ในการจัดการพวกมัน ไม่เคยใช้พลังอิทธิฤทธิ์โดยตรงเลยสักหน จุดเด่นของเขาคือเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์และกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ ส่วนพลังอิทธิฤทธิ์นั้นคือจุดด้อย ทว่าครั้งนี้วรยุทธ์อันแข็งแกร่งของเขานั้นไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้กระบี่ย่างเนื้อ ดังนั้นหวังลู่จึงจำต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์เพื่อจัดการสุนัขตัวนี้


ไม่ใช่เรื่องยากของผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ที่จะปลดปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมา ทว่าวิชาไร้ลักษณ์ทำให้หวังลู่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ พลังอิทธิฤทธิ์ในรูปแบบของเหลวสีทองที่กลั่นจากพลังปราณฟ้าดินผ่านกระดูกกระบี่สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ก็ต่อเมื่อใช้ร่วมกับกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์เท่านั้น ทว่าเมื่อมันถูกปลดปล่อยออกมานอกร่าง มันจะระเหยไปอย่างรวดเร็วราวกองทัพที่ชนะศึก หากใช้เป็นพลังปราณเพื่อกระตุ้นไฟนั้นยังพอไหว แต่ยากยิ่งที่จะปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของพลังได้ ตอนนี้เขาปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์โดยตรงไปที่หม้อใบเล็กนั่น ซึ่งหากพูดอย่างเข้มงวดแล้วมันไม่ใช่เป็นการปลดปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาจริงๆ ทว่าก็ยังยากที่จะรับมือกับการต่อต้านของเจ้าสุนัขนั่น ทุกครั้งที่พลังอิทธิฤทธิ์ของเขาแผ่ไปทั่วผนังด้านในของหม้อ มันก็จะกระจายตัวไปยังผนังอีกด้าน และส่งคืนพลังที่เหลือมายังผนังด้านใน


นั่นเป็นเพราะพลังอิทธิฤทธิ์ของเขายังไม่หนาแน่นมากพอ… ทว่าด้วยขั้นวิชาไร้ลักษณ์ที่เป็นอยู่ของเขา ทำให้เขายังมีพลังไม่พอที่จะควบแน่นมัน วิชาที่ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนี้ยอดเยี่ยมในด้านการป้องกัน แต่เมื่อใดที่พลังอิทธิฤทธิ์ถูกส่งออกมายังภายนอก มันก็จะเป็นอิสระและไม่อาจควบคุมได้ เว้นแต่ในภายภาคหน้าหากพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาแข็งแกร่งขึ้นเขาก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมในการควบรวมพลังอิทธิฤทธิ์ภายนอกร่างกายได้ ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าปีไหนเดือนไหนที่เขาจะทำเช่นนั้นได้


ดังนั้นเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง การดิ้นรนของเจ้าสุนัขก็ดูจะรุนแรงยิ่งขึ้น ตอนที่มันเข้ามาในถ้ำใหม่ๆ มันอยู่ในสภาพที่ลำบากและเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ทว่าหลังจากที่ได้กินซาลาเปาไส้เนื้อไปห้าลูก พลังวังชาของมันก็กลับคืนมาอีกครั้ง มันใช้พลังที่ได้มานี้วิ่งชนหม้อซ้ายทีขวาทีไปทั่ว ทว่าในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ หวังลู่ก็ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือเขาจะควบรวมพลังอิทธิฤทธิ์จากที่ใต้ฐานก่อนที่จะปลดปล่อยออกมา แรงเฉื่อยจะทำให้พลังปราณรวมตัวกันอยู่นอกร่างกายได้ในระยะเวลาหนึ่ง และหากเขากะเวลาในการออกแรงได้ถูกต้อง เขาก็จะยังรับมือได้อยู่


แน่นอนว่าการควบรวมพลังอิทธิฤทธิ์ที่ภายใน การปลดปล่อยมันออกมา และการกะเวลาอย่างแม่นยำนั้นต้องการชุดความรู้ที่ซับซ้อน โชคดีที่สติปัญญาของหวังลู่นั้นสูงอย่างน่าทึ่ง และเขาก็ค้นพบรูปแบบการตั้งรับที่ได้ผลอย่างรวดเร็วจนทำให้เจ้าสุนัขไม่อาจออกมาได้แม้มันจะพยายามขนาดไหนก็ตาม


ผ่านไปครู่หนึ่ง หยกเรืองแสงก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง หวังลู่เหยียดขาออกพลิกด้านของหยกเพื่อให้มันเปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง


จู่ๆ เจ้าสุนัขที่อยู่ในหม้อก็ยิ่งรับมือยากขึ้นไปอีก การขยับและไฟที่ร้อนแรงทำให้มันยิ่งดิ้นแรงมากขึ้น ทว่าหวังลู่กลับได้กลยุทธ์ใหม่ เขาเคลื่อนย้ายพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างแบบเดียวกับที่จะใช้เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ก่อนจะปลดปล่อยมาสู่ภายนอก แม้ขอบเขตในการป้องกันจะไม่มาก แต่แรงป้องกันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดังนั้นระหว่างที่เผชิญหน้ากันอยู่นี้เอง ไม่เป็นโชคดีของหวังลู่ ก็ถือว่าเป็นโชคร้ายของเจ้าสุนัข การดิ้นรนจะออกมาของมันถูกขัดขวางได้สำเร็จทุกครั้ง


“ฮ่าๆ เอาเลย ดิ้นเลยซี่ ยิ่งเจ้าดิ้นเท่าไรท่านลุงของเจ้าคนนี้ก็ยิ่งสำราญใจมากเท่านั้น ข้าชอบให้สิ่งเล็กๆ ที่อยู่ใต้ร่างข้าส่งเสียงครวญครางอยู่แล้ว”


เมื่อเห็นว่าอีกไม่นานเขาต้องได้เนื้อตุ๋นอันโอชะแน่ หวังลู่ก็อดดีอกดีใจในชัยชนะไม่ได้


ทว่าอึดใจถัดมา…


“เจ้าสารเลว ปล่อยข้านะ!”


“อะไรวะนั่น!?”


เสียงที่ดังขึ้นในหูทำให้หวังลู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ จังหวะนั้นเอง ความหนาแน่นของพลังอิทธิฤทธิ์ที่เขาใช้ปิดฝาหม้อไว้ก็ลดลงไปเล็กน้อย เจ้าลูกสุนัขนั้นคล่องแคล่วว่องไวและฉวยโอกาสนี้กระโดดออกมาจากหม้อ น้ำซุปที่กระฉอกออกมาส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย


หม้อเล็กๆ นี้วิเศษยิ่งนัก มันสามารถทำความสะอาดอาหารภายในหม้ออีกทั้งยังปรุงรสได้ด้วยตัวเอง เลือดที่อยู่บนขนของเจ้าสุนัขถูกเช็ดออกจนเกลี้ยงเกลา แต่น้ำซีอิ๊ว เมล็ดผักชีและเครื่องปรุงอื่นๆ กลับทำมันเลอะเทอะไม่เบา


ภายในดวงตาที่ตื่นตระหนกของหวังลู่ฉายภาพเจ้าลูกสุนัขกำลังสะบัดขนอย่างขะมักเขม้น ทำให้น้ำซุปบนตัวกระจายไปทั่วถ้ำ จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นส่งเสียงหอนอย่างโกรธเคือง


“เจ้าสารเลวโรคจิตนี้คิดจะกินข้าจริงๆ รึ”


หวังลู่แทบไม่เชื่อหู “สุนัขอย่างเจ้าพูดได้ด้วยหรือ”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าสุนัขตัวน้อยก็จ้องเขม็งอย่างไม่เชื่อสายตา แต่เพียงชั่วครู่มันก็ลืมความโกรธและคุยโวออกมา “แค่พูดได้มันวิเศษตรงไหนกัน ข้านี่ร้องเพลงได้ด้วยซ้ำ”


“ว้าว ข้าไม่เคยได้ยินสุนัขร้องเพลงมาก่อน ทำไมไม่ลองร้องให้ฟังหน่อยล่ะ”


เจ้าสุนัขตัวจ้อยภูมิอกภูมิใจยิ่งกว่าเดิม “โฮ่ง ฮู้ โฮ่ง ฮ่า ฮู้ว โบร๋ว”


“ไม่เลวๆ เจ้าร้องเพลงได้จริงๆ ด้วย เป็นสุนัขที่นับว่าหาได้ยากยิ่ง”


“ฮึ่ม ฮึ่ม” เจ้าสุนัขตัวน้อยเชิดหน้ายืดอก ภูมิใจในตัวเองยิ่งนัก จนลืมไปเสียสิ้นว่าก่อนหน้านี้ตนนั้นถูกโยนลงหม้อเพื่อต้มเป็นเนื้อตุ๋นกลิ่นหอม


“สุนัขที่วิเศษอย่างเจ้า รสชาติย่อมเป็นหนึ่งไม่ซ้ำใครแน่” ขณะพูดหวังลู่ก็หยิบหม้อใบเล็กขึ้นมาและเดินเข้าหาเจ้าสุนัขตัวน้อย พร้อมที่จะจับหัวของมันขึ้นมา


เจ้าลูกสุนัขกลัวมากจนขนลุกขนชัน “เจ้ายังอยากกินข้าอยู่เรอะ”


“เหลวไหล ข้าเสียซาลาเปาไส้เนื้อไปตั้งห้าลูก จะไม่คิดคืนทุนได้อย่างไร เจ้าเองก็กินซาลาเปาข้าไปตั้งห้าลูก จะตอบแทนข้าอย่างไรไหนพูดซิ”


เจ้าลูกสุนัขตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย หวังลู่ก็นึกแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ “ดูท่าเจ้าจะเป็นนักกิน รู้ไหมว่าอะไรที่อร่อยที่สุดในโลก”


เจ้าสุนัขตัวน้อยตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอนว่าต้องเป็นเนื้อ”


“เนื้ออะไรเล่า”


“เอ่อ…” เจ้าลูกสุนัขเอียงคอพยายามนึกถึงเนื้อชนิดต่างๆ ที่มันเคยกินเข้าไป ความจริงแล้วก็มีไม่มากนักหรอก หลังจากใคร่ครวญอยู่นาน มันก็ตอบอย่างลังเล “เนื้อวัว?”


“งี่เง่า” หวังลู่เมินเฉยต่อคำตอบของอีกฝ่าย “ดูท่าว่าพวกเร่ร่อนอย่างเจ้าจะมีประสบการณ์จำกัด เจ้าไม่รู้จักรสชาติของเนื้อที่แท้จริง ข้าจะบอกให้นะ ผิวสัมผัสของเนื้อจริงๆ นั้นจะนุ่มมาก ทั้งสดทั้งแน่นทั้งชุ่มฉ่ำ หลักจากถูกปรุงอย่างพิถีพิถัน สีและความมันของมันจะเข้มขึ้น กลิ่นก็หอมยั่วจมูก และรสชาติก็อร่อยล้ำ พอเนื้อนั้นเข้าปาก มันหนึบแต่ไม่เหนียว นุ่มแต่ไม่เลี่ยน”


เมื่อได้ฟังหวังลู่บรรยาย น้ำลายก็พลันไหลท่วมปากของเจ้าลูกสุนัข “เช่นนั้นเนื้อชนิดใดจึงอร่อยได้เพียงนั้นเล่า”


“เนื้อสุนัข”


“บรู๋ว?”


หวังลู่ชี้ไปที่เจ้าลูกสุนัข “เนื้อที่อยู่บนตัวเจ้าไงเล่า”


“บ บรู๋ว?”


รอยยิ้มของหวังลู่ชั่วร้ายผิดธรรมดา “เจ้าคิดว่าอย่างไร ลองเนื้อมาก็ตั้งมากมาย แต่เจ้ายังไม่เคยลองเนื้อสุนัขใช่ไหม”


“บ บรู๋ว…”


“เกิดมาไม่เคยได้ลิ้มลองเนื้อสุนัข ชีวิตเจ้านี่ช่างสูญเปล่าจริงๆ จะบอกให้ว่าทันทีที่เจ้าได้กินเนื้อหวานฉ่ำนี้น่ะนะ ต่อให้เพียงคำเดียวก็เถอะ เจ้าจะรู้สึกว่าเนื้อชนิดอื่นช่างไร้รสชาติ เมื่อเทียบกับอาหารที่ดีที่สุดที่เจ้าเคยกิน เนื้อสุนัขอร่อยกว่าเป็นล้านเท่า เจ้าอธิบายรสชาติของมันด้วยคำเพียงคำเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นหากเจ้าไม่เคยลิ้มลองด้วยตัวเอง เจ้าก็ไม่มีวันเข้าใจรสชาติของมันได้”


“แบ๊ก”


“โชคดีที่ข้ามีหม้อ มีชาม มีเครื่องปรุง แถมข้าว่าฝีมือปรุงอาหารของข้าก็ดีงามไม่น้อย เช่นนั้น… เจ้าอยากลิ้มลองเนื้อดีๆ ด้วยกันไหมเล่า”


“…” เจ้าลูกสุนัขตัวแข็งทื่ออยู่นานสองนาน สีหน้าของมันดูราวกับว่ากำลังสองจิตสองใจเหมือนมีศึกใหญ่กำลังต่อสู้อยู่ในใจ


ผ่านไปครู่ใหญ่ หลังจากที่ต่อสู้อย่างดุเดือดแล้ว เจ้าสุนัขตัวจ้อยก็ค่อยๆ ยกขาหลังข้างหนึ่งขึ้นและยัดเข้าไปในปาก…


คิก หวังลู่ไม่อาจกลั้นขำได้อีกต่อไป


เจ้าลูกสุนัขนี่ช่างตลกจริงๆ


………………………………………………….


ตอนที่ 10.1 มีปฏิกิริยาตอบสนองทรงพลังอยู่ข้างหน้า ทรงพลังและรุนแรงไม่น้อย (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


สุดท้ายแล้วหวังลู่ก็ไม่ได้กินเจ้าสุนัขโง่นั่น


เขาไม่อยากกินเพราะกลัวว่าหากกินมันเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อสติปัญญาของเขา


ก่อนหน้านี้ หวังลู่ใช้คำพูดป้อยออวดอ้างว่าเนื้อสุนัขเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดในโลก… ความจริงแล้ว แม้กลิ่นของมันจะหอมไม่เบา แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า ก็เหมือนกับหญิงสาวบนเวทีประกวดนางงามนั่นละ ยากเกินไปที่จะตัดสินได้ว่าใครควรจะเป็นที่หนึ่งหรือที่สอง ทว่าไม่น่าเชื่อที่เจ้าสุนัขโง่จะเชื่อถึงขนาดที่พยายามกัดตัวเองเข้าจริงๆ ซึ่งดูน่าจะเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว…


ดังนั้นหวังลู่จึงตัดสินใจได้ว่าสติปัญญาของเจ้าสุนัขนี่คงอยู่ในระดับเดียวกับศิษย์พี่หญิงหลิวหลีเป็นแน่ เช่นนั้นแล้วไม่เสี่ยงกินจะดีที่สุด


ส่วนซาลาเปาไส้เนื้อห้าลูกก่อนหน้านั้น… เหอะ สิ่งที่เสียไปไม่อาจหวนคืน ไปแล้วไปลับไม่กลับมา เขาอุตส่าห์เก็บรักษาพวกมันไว้เกือบปี สุดท้ายแล้วก็ต้องเสียเปล่าทั้งนั้น


ความจริงตอนที่เจ้าสุนัขเริ่มพูดออกมา หวังลู่ก็เลิกล้มความคิดที่จะกินเนื้อของเจ้านี่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่กินเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญา การกินสัตว์อื่นย่อมเพิ่มพลังงานให้แก่เขาอย่างแน่แท้ หากเป็นบนเขาเมฆาคราม หวังลู่ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงความคิดแน่ ทว่าแทนที่จะกินเนื้อของมัน สุนัขพูดได้นั้นมีมูลค่าสูงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย


แม้ว่าหน้าตาของเจ้านี่จะไม่โดดเด่น แต่ในเมื่อมันสามารถวิ่งผ่านกระแสน้ำทมิฬมาได้ มันย่อมต้องรู้มีความลับมหาศาลเป็นแน่ และในเมื่อมันพูดได้ ก็ควรจะลวงให้มันคายข้อมูลออกมาแทนที่จะกินมันจะดีกว่า


ดังนั้น…


“เจ้าเป็นใคร”


“โฮ่ง?”


“มาจากไหน”


“บรู๋ว?”


“เกิดที่นี่หรือ”


“แบ๊ก?”


“แม่เจ้าชื่ออะไร”


“โฮ่งๆ”


“ระยำ ทำไมเจ้าไม่ตอบ”


“เหนื่อยเกินอ่ะ โบร๋ว”


ดังนั้น หวังลู่จึงได้รู้ว่าการที่จะให้เจ้าสุนัขโง่นี่พูดภาษามนุษย์ออกมาเป็นเรื่องยากลำบากไม้น้อย หากไม่ใช่เพราะมันเกือบถูกตุ๋นเป็นเนื้อตุ๋นกลิ่นหอมในหม้อเมื่อคืนก่อนละก็ มันคงไม่คิดจะพูดออกมาเป็นแน่ ดังนั้นหวังลู่จึงเริ่มคิดที่จะเรียนภาษาสุนัขเพื่อเอาไว้สื่อสารกับมัน


และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ หลังจากที่หวังลู่ใช้ซาลาเปาอีกสองสามลูกล่อหลอกให้อีกฝ่ายพูด เขาก็พบว่าเจ้าสุนัขหน้าโง่ตัวนี้นั้นหน้าโง่อย่างแท้จริง แม้ว่ามันจะพูดภาษามนุษย์หรือร้องเพลงได้อย่างไพเราะ แต่สวรรค์ทรงโปรด มันกลับจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครหรือมาจากไหน ตอนที่หวังลู่พยายามเค้นให้มันตอบ มันก็เริ่มเห่าอย่างร้อนรนและทิ้งตัวลงเกลือกกลิ้งกับพื้น แสดงท่าทางให้เห็นว่าอดีตของมันนั้นเหลือทนเกินกว่าจะจดจำ


หลังจากทอดถอนใจว่าปัญญาของเจ้าสุนัขนั้นต่ำเตี้ยเกินจะเยียวยา หวังลู่ก็หยิบหม้อ ชาม และเครื่องปรุงออกมาเพื่อเตรียมอาหารอีกครั้ง เจ้าสุนัขมีท่าตกตะลึง “เจ้าจะกินอะไรน่ะ”


“ข้าจะเลี้ยงเนื้อสุนัขเจ้าเอง ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจไป”


แม้เจ้าสุนัขตัวนี้จะเบาปัญญาเพียงใด มันก็รู้ดีว่าตัวเลือกมีเพียงข้อเดียว นั่นคือลองกินเนื้อสุนัขไม่ก็รักษาชีวิตตัวเองไว้ มันรีบส่ายหัวในทันที “ข้าไม่อยากกิน”


“งั้นข้ากินคนเดียวก็ได้”


“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเจ้ายังยืนกรานจะกินข้าอยู่ได้ เราไม่ใช้สหายกันรึ”


หวังลู่มองอย่างประหลาดใจ “ข้าไปเป็นเพื่อนกับสุนัขอย่างเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่”


เจ้าลูกสุนัขงุนงง “ข้ากินซาลาเปาไส้เนื้อของเจ้าไปแล้ว แปลว่าเป็นสหายกันชั่วชีวิต”


“พล่ามอะไรเนี่ย เจ้ากินซาลาเปาไส้เนื้อของข้าไป แปลว่าเจ้าติดหนี้ข้าต่างหาก”


เจ้าสุนัขพันทางตัวจ้อยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืดอกขึ้นแสดงท่าทีจงรักภักดีเต็มขั้น “ท่านพูดถูก ข้ากินซาลาเปาของท่าน แปลว่าข้าได้รับความกรุณาจากท่าน ดังนั้นจากนี้ไป ข้าจะเป็นน้องชายผู้ซื่อสัตย์ ท่านสั่งให้ทำอะไรข้าจะทำทั้งนั้น”


หวังลู่ก่นด่าเจ้าสุนัขโง่เง่าอยู่ในใจ ทว่าแม้มันจะหน้าโง่แต่ก็จงรักภักดีสูงและดูเชื่อใจมนุษย์ ซาลาเปาไส้เนื้อห้าลูกซื้อสุนัขได้จริงๆ


“ก็ดี งั้นเข้ามาในชามของข้าเสียดีๆ”


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หวังลู่ก็ได้สหายร่วมการเดินทางเอาตัวรอดในแดนปรลัยแห่งนี้


เมื่อพิจารณาจากระดับสติปัญญาของเจ้าสุนัขนี่ เห็นได้ชัดว่ามันก็ไม่เหมาะที่จะกิน ในเมื่อเขากินมันไม่ได้ จึงทำได้เพียงเก็บไว้เป็นสัตว์เลี้ยง แม้เจ้าสุนัขหน้าโง่นี่จะพูดและร้องเพลงได้ แต่เวลาส่วนใหญ่มันก็แทบไม่ต่างจากสุนัขทึ่มๆ ตัวอื่น หลังจากที่มันนับเขาเป็นเจ้านาย ก็มักจะวิ่งพัวพันรอบตัว กระโดดไปรอบถ้ำ กระดิกหางดิ๊กๆ ยิ้มโง่ๆ แสดงความพออกพอใจขณะรอคอยซาลาเปาลูกใหม่จากหวังลู่อยู่เงียบๆ… ในฐานะสัตว์เลี้ยงสมองกลวง เจ้านี่ถือว่าทำได้ไม่เลว


วันแล้ววันเล่าผ่านไป และเพียงชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว ชายหนุ่มและสุนัขเผชิญกับกระแสน้ำทมิฬ จัดการเหล่าวิญญาณที่มาวนเวียนอยู่หน้าถ้ำ และออกเดินสำรวจอยู่ในภูเขาฝั่งตกวันตกด้วยกัน… วันทั้งวันพวกเขาไม่ได้พูดจากันมากนัก ทว่าหวังลู่ก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับเจ้าสุนัขหน้าโง่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ


แน่นอนว่าเจ้าสุนัขนี่ย่อมไม่ใช่สุนัขธรรมดา เพราะสุนัขธรรมดาไม่มีทางโง่เง่าได้ถึงเพียงนี้ คำอ้างที่มันบอกว่าจำไม่ได้ว่ามาจากไหนหรือตัวมันเองชื่ออะไรล้วนเป็นไม่ใช่คำลวง เจ้าสุนัขนี่จำไม่ได้จริงๆ… ความจริงแล้วมันจำได้เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสองสามเดือนก่อนหน้านี้เท่านั้น ซึ่งก็คือตอนที่จู่ๆ มันก็มาปรากฏตัวที่แดนปรลัยแห่งนี้ ด้วยสัญชาตญาณสัตว์ มันพยายามหลีกหนีจากอันตรายรอบด้าน เลี่ยงเหล่าสัตว์ประหลาดทรงพลังที่ล่าสิ่งที่ตัวเล็กและอ่อนแอกว่า ยามที่กระแสน้ำทมิฬมาเยือน มันก็เรียนรู้จากสัตว์ประหลาดอื่นๆ ที่คู้ร่างอยู่ในถ้ำ


ไม่นานมานี้ กระแสน้ำทมิฬซึมทะลุเข้ามายังถ้ำที่มันอาศัยอยู่ เจ้าสุนัขตระหนักถึง


มหันตภัยที่คืบคลานเข้ามา จึงไม่รอให้เหล่าวิญญาณเข้ามาในถ้ำ มันรีบวิ่งออกมาจากถ้ำ หัวซุกหัวซุนอยู่ในความมืดอย่างหมดหวัง และมันก็เจอถ้ำของหวังลู่ด้วยความบังเอิญอย่างที่สุด ทั้งยังเกือบจะกลายเป็นเนื้อตุ๋นกลิ่นหอมอยู่ในหม้อด้วยซ้ำ


นอกจากนี้เจ้าสุนัขตัวนี้ยังทรงพลังกว่าสุนัขทั่วไป แม้มันจะสูงแค่เพียงหนึ่งฉื่อ แต่ความแข็งแกร่ง ความเร็วโดยเฉพาะชุดฟันของมันนั้นเทียบเท่าได้กับเสือไม่ก็สุนัขป่า ไม่สิ แม้แต่เหล่าสัตว์ที่ดุร้ายเหล่านั้นอาจถูกกัดจนถึงตายในรอบที่สองหรือสามหากต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสุนัขนี่เข้า


เจ้าพันทางตัวจ้อยนี่อาจจะตัวเล็กและซื่อบื้อ แต่หากจัดระดับตามมาตรฐานของสำนักกระบี่วิญญาณ มันจะจัดอยู่ในสัตว์ร้ายขั้นสูงระดับสอง หนำซ้ำนี่ยังไม่นับรวมความสามารถพิเศษอื่นๆ ที่เจ้าพันทางตัวนี้อาจมีด้วยซ้ำ


สัตว์ประหลาดทั่วไปมักจะมีความสามารถพิเศษที่เป็นข้อได้เปรียบในการเอาตัวรอด อย่างวานรหินและวานรไม้ที่หวังลู่เจอที่เขาเมฆาครามนั้นก็มีผิวหนังหนาผิดธรรมดา ส่วนวานรผีนั้นเก่งกาจด้านลวงตาและร่ายมนต์ เจ้าสุนัขหน้าโง่นี้จำความสามารถของมันไม่ได้ สองวันแรกที่พวกเขาออกสำรวจด้วยกัน หวังลู่รับรู้ได้เพียงข้อเดียว คือมันมีระบบย่อยอาหารที่เป็นเลิศสุดๆ


แดนปรลัยนั้นไร้อาหาร แม้เนื้อของสัตว์ประหลาดบางชนิดจะดูไม่มีพิษมีภัย แต่หวังลู่ก็ไม่คิดกินมันเพื่อทดสอบความสามารถในการต้านพิษของร่างกายตนเอง… ทว่าเจ้าพันทางนี่กลับกินเนื้อเหล่านั้นอย่างมีความสุข


วันนี้หวังลู่และเจ้าสุนัขหน้าโง่ร่วมแรงกันออกสังหารสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ได้ตัวหนึ่ง หวังลู่ใช้เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์เป็นอาวุธ ขณะที่เจ้าสุนัขหน้าโง่ใช้เขี้ยวคมๆ ฉีกคอของฝ่ายตรงข้าม หลังจากนั้นซากของสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็ย่อยสลายอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียงสสารข้นๆ กึ่งน้ำกึ่งของแข็งซึ่งส่งกลิ่นเหม็นอย่างหนัก


หวังลู่คิดในใจว่ากองอุจจาระยังน่าจะกินได้กว่ากองสสารนี่ ทว่าน้ำลายของเจ้าสุนัขหน้าโง่กลับไหลย้อยท่วมปาก มันพุ่งเข้าไปกัดกินสสารกองนั้นอย่างรวดเร็ว


“เจ้ากินของพรรค์นั้นด้วยเรอะ… ตัวตนจริงๆ ของเจ้าคือเชื้อรารึเปล่าเนี่ย”


“โบร๋ว?”


“ช่างเถอะๆ… รีบๆ กินเข้า”


……………………………………………..


ตอนที่ 10 มีปฏิกิริยาตอบสนองทรงพลังอยู่ข้างหน้า ทรงพลังและรุนแรงไม่น้อย (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่ออิ่มหนำแล้ว เจ้าลูกสุนัขก็เกลือกกลิ้งบนพื้นอย่างสุขใจ ขณะเดียวกันหวังลู่ก็เริ่มแทะซาลาเปาไส้เนื้อไม่กี่ลูกที่เหลืออยู่อย่างหดหู่ พลางนึกถึงของอร่อยทุกชนิดที่บนยอดเขากระบี่วิญญาณ


เมื่อรู้สึกว่าหวังลู่นิ่งเงียบอย่างน่ากลัว เจ้าสุนัขก็หยุดเล่น มันเงยหน้าขึ้นแล้วถาม “ท่านไม่มีความสุขหรือ”


หวังลู่ปาซาลาเปาที่เหลือใส่หน้าเจ้าสุนัขทันที “กินของพรรค์นี้อยู่ทุกวันใครจะมีความสุขกัน”


เจ้าลูกสุนัขเอียงคอ เค้นสมองน้อยๆ ของมันอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจกับอารมณ์ของผู้เป็นนาย ผ่านไปพักหนึ่งมันก็เอ่ยขึ้น “หากท่านอยากกินละก็ ข้ารู้จักของอร่อยๆ อยู่”


“หืม?”


“ก่อนหน้านั้นข้าก็คิดอยากกิน แต่เอาชนะเจ้านั่นไม่ได้ ก็เลยอด… เจ้านั่นถือเป็นของชั้นเลิศ คงจะแจ๋วไม่น้อยหากได้กิน เจ้านั่นมันดีจริงๆ นะ ข้าได้กลิ่นของมัน กลิ่นมันแตกต่างจากตัวอื่นมากๆ” คำพูดของเจ้าลูกสุนัขฟังดูสับสน มันไม่อาจสื่อในสิ่งที่ต้องการจะสื่อได้ดีนัก จึงทำได้เพียงทำหน้าเศร้าสร้อย ทว่าระหว่างที่พูดคุย สีหน้าทึ่มทื่อของเจ้าสุนัขก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายและหิวกระหายแทน


เจ้าลูกสุนัขเลียปากแล้วเอ่ยถาม “ท่านอยากกินเจ้านั่นรึเปล่า”


หวังลู่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นเผยให้เห็นฟันเรียงราย


“แหงล่ะ”


สามวันต่อมา กระแสน้ำทมิฬก็พัดเข้าท่วมภูเขาฝั่งตะวันตกเหมือนอย่างเคย


คืนก่อนหน้านั้น เหล่าปีศาจบนภูเขาต่างก็พากันซ่อนตัวอย่างหวาดกลัวอยู่ใต้ดิน การแทรกซึมของกระแสน้ำทมิฬมีอยู่ทุกที่ สัตว์ประหลาดไม่รู้อิโหน่อิเหน่สองสามตัวต่างตกตะลึงที่ได้เห็นว่ากระแสน้ำทมิฬตามพวกมันเข้าไปถึงที่ซ่อนตัว จากนั้นพวกมันก็ถูกวิญญาณร้ายกลืนกินจนไม่เหลือแม้กระทั่งโครงกระดูก ส่วนบนดินนั้นเล่า แม้แต่สัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุดในภูเขาฝั่งตะวันตกก็ไม่กล้าโผล่หน้าขึ้นมาบนดินขณะที่กระแสน้ำทมิฬยังอยู่ ที่นั่นไม่ใช่สถานที่ที่สิ่งมีชีวิตจะสามารถอยู่ได้


ทว่า ณ สถานที่ต้องห้ามของเหล่าสัตว์ประหลาด ชายหนุ่มหนึ่งคนและสุนัขหนึ่งตัวยืนอยู่บนเนินเขาอย่างเงียบเชียบราวกับเป็นรูปสลักหินสองก้อน ปล่อยให้ความมืดมิดเข้าปกคลุมพวกเขา


แน่นอนว่าชายหนุ่มและสุนัขที่ว่านี้ย่อมคือหวังลู่และสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขา เมื่อสามวันก่อน เจ้าสุนัขหน้าโง่บอกหวังลู่ว่ามีบางสิ่งที่ดีเยี่ยมคู่ควรแก่การกิน หวังลู่ไม่ได้ถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร และหลังจากนั้นก็ไม่พยายามจะสื่อสารกับเจ้าสุนัขด้วย สามวันต่อมา เมื่อใกล้เวลาที่กระแสน้ำทมิฬจะมาเยือน แทนที่จะกลับไปยังถ้ำ พวกเขากลับปีนขึ้นมาบนเนินเขาเล็กๆ แทน


อาหารที่เจ้าพันทางบอกแน่นอนว่าย่อมเป็นหนึ่งในวิญญาณร้ายที่อยู่ในกระแสน้ำทมิฬ และเป็นตัวที่แข็งแกร่งไม่น้อยเลย แม้ค่าความแข็งแกร่งของวิญญาณร้ายนี่จะยังคงเป็นปริศนา แต่พลังปฐมกลียุคของมันย่อมทรงพลังไม่เบา พูดอีกอย่างก็คือ สิ่งที่พวกเขาจะได้รับหลังสังหารวิญญาณร้ายนี่ได้ย่อมเป็นของคุณภาพเยี่ยม ในฐานะพวกกินแล้วชิ่ง เจ้าสุนัขหน้าโง่ย่อมมีสัญชาตญาณที่เฉียบคมเรื่องอาหาร จมูกของมันย่อมแยกแยกได้ว่าสิ่งใดน่าอร่อยสิ่งใดไม่ควรกินได้อย่างดีเยี่ยม


ตอนกระแสน้ำทมิฬไหล่ท่วมเมื่อคราวก่อน มีวิญญาณร้ายสองสามตนรี่เข้ามาในถ้ำของพวกเขา แววตาของเจ้าสุนัขลุกโชนขึ้นในทันที มันปรี่เข้าขย้ำกลุ่มลูกไฟจนตาย ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดลูกไฟที่ไร้ร่างกายถึงตายเพราะถูกสุนัขกัดได้ เจ้าลูกไฟเหล่านี้ระเบิดและทิ้งหยกเรืองแสงไว้หลายก้อน


ส่วนสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ เจ้าสุนัขกลับไม่มีท่าทีสนใจ ต่อมาด้วยคำสั่งของหวังลู่ มันจึงยอมร่วมมือกัดเหล่าสัตว์ประหลาดทีละตัว แต่เจ้าพวกนี้กลับไม่ทิ้งของมีค่าอะไรสักชิ้น ทว่าเรื่องดีก็คือมันทำให้เขาตระหนักได้ว่าอย่างน้อยวิญญาณร้ายที่ว่าน่ากินนั้นย่อมต้องดีกว่าพวกลูกไฟหลายหมื่นเท่าเป็นแน่


หากวัดจากระดับสติปัญญาของเจ้าสุนัข หวังลู่ก็ได้แต่สงสัยว่ามันจะเข้าใจคำว่าหนึ่งหมื่นหรือไม่ ทว่าสิ่งที่มันมองว่าดีงามย่อมต้องดีงามไม่ผิดแน่


และสิ่งดีงามที่ว่านั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในกระแสน้ำทมิฬ ดังนั้นหากจะสังหารมัน พวกเขาก็จำเป็นต้องลุยเข้าไปในกระแสน้ำทมิฬและมองหามัน


นี่ไม่ใช่ภารกิจฆ่าตัวตาย แม้หวังลู่จะเสียแขนไปจากการถูกกระแสน้ำทมิฬจู่โจมหลังจากที่เขามายังแดนปรลัยได้ไม่นาน แต่เกือบหนึ่งปี ทุกสิ่งย่อมไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน แม้เขาจะยังไม่อาจต้านทานส่วนที่น่าปวดหัวที่สุดของกระแสน้ำทมิฬ ซึ่งก็คือพิษของมันได้อย่างสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ด้วยวิธีพิเศษ เขาสามารถเพิกเฉยมันได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ตอนที่เขากวัดแกว่งกระบี่ พลังการตั้งรับของเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์กลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากที่เคยเป็นมาเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เมื่อได้รับการ ‘ล้างบาป’ จากกระแสน้ำทมิฬอยู่หลายสิบครั้ง หวังลู่ก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับสิ่งมีชีวิตที่สิ้นหวังจำนวนนับไม่ถ้วนในความมืดมิดนี้ เมื่อกระแสน้ำทมิฬมาถึง รอบตัวจะไร้แสงไร้เสียง แม้จะมีกองทัพโครงกระดูกขนาดใหญ่เดินเคลื่อนพลอยู่บนภูเขา แต่พวกมันกลับไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย ทำให้ไม่สามารถตรวจจับมันได้ ทว่าการต่อสู้หลายต่อหลายครั้งในปีนี้ทำให้ประสาทสัมผัสของหวังลู่เฉียบคมขึ้นมาก โดยเฉพาะตอนที่เขาอยู่กลางกระแสน้ำทมิฬที่มีวิญญาณร้ายรายล้อม เขาสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณเหล่านั้นได้อย่างกระจ่างชัด


ดังนั้นเหล่าวิญญาณจึงไม่ใช่สิ่งลี้ลับสำหรับเขาอีกต่อไป ความจริงแล้วเขาไม่รู้สึกกลัวพวกมันแม้แต่น้อย


เมื่อแสงสว่างสุดท้ายบนโลกถูกความมืดมิดกลืนกิน หวังลู่ก็หลับตาลง ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณที่ทะยานเข้ามาในทันที เขารู้ว่าเวลามาถึงแล้ว


“เจ้าตูบ นำทางไป”


“โฮ่ง”


ในความมืดมิด เสียงเห่าของเจ้าสุนัขหน้าโง่นั้นแจ่มชัดเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ดังพอๆ กันคือเสียงเอ็ดของหวังลู่


“เจ้าตูบหน้าโง่ พูดสิไม่ใช่เห่า”


“ไปทางซ้าย”


ชายหนุ่มและสุนัขพากันเคลื่อนตัวไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว เนินเขาเล็กๆ ที่หวังลู่เลือกอย่างรอบคอบตั้งอยู่ที่ใจกลางของภูเขาฝั่งตะวันตก จากจุดนั้น พวกเขาสามารถไปได้ทั่วทุกสารทิศ เมื่ออาหารที่ว่านั่นปรากฏตัวขึ้นภายในกระแสน้ำทมิฬ จากบนเนินเขา ทั้งสองจะสามารถรุดไปตัวมันได้รวดเร็วที่สุด


ระหว่างที่ลงจากเขา พวกเขาเจอฝูงลูกไฟนับไม่ถ้วน ทว่าหวังลู่ก็ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์กระบี่แห่งเขาคุนสำแดงวิชาตั้งรับกระบี่สามฉื่อ ทำให้สามารถกันเหล่าวิญญาณให้อยู่นอกรัศมีการตั้งรับได้ไม่ว่าวิญญาณเหล่านั้นจะมีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างก็ตาม


เจ้าสุนัขหน้าโง่เดินอย่างสบายอกสบายใจอยู่ในรัศมีการตั้งรับ มันเห่าขึ้นจากนั้นก็ทำจมูกฟุดฟิด “ข้างหน้า มันอยู่ข้างหน้า”


กลิ่นของสิ่งที่อร่อยที่สุดในกระแสน้ำทมิฬฝังแน่นอยู่ในพื้นที่ความทรงจำที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยของเจ้าสุนัขหน้าโง่ ทำให้มันไม่อาจลืมเลือนได้ เมื่อรับรู้ได้ว่าของอร่อยนั้นอยู่ไม่ไกล เจ้าสุนัขตัวจ้อยก็กระดิกหางอย่างบ้าคลั่งก่อนจะเดินนำหวังลู่ไปยังทิศทางของอาหาร


ในขณะเดียวกัน วิญญาณร้ายมากมายต่างมารวมตัวกันมากขึ้น คงจะนานมากแล้วที่พวกมันไม่ได้พบเจอกับผู้ท้าทายที่กล้าหาญกลางกระแสน้ำทมิฬเช่นนี้ ดังนั้นวิญญาณที่อยู่รายรอบต่างก็ถูกพวกเขาดึงดูดเข้ามาใกล้ ทว่าแม้พวกมันจะรวมตัวกันราวกับว่าเป็นภูเขาซากศพและทะเลเลือด แต่ก็ไม่มีใครเจาะทะลวงการตั้งรับของกระบี่สามฉื่อเข้ามาได้ เหล่าวิญญาณพุ่งเข้าชนอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์สะท้อนออกไปในทันที พวกมันได้แต่ร้องโหยหวนไร้เสียงออกมา หากเป็นเมื่อก่อน เหตุการณ์เพียงเท่านี้ก็อาจเพียงพอที่จะทำให้หวังลู่หวาดกลัว แต่คราวนี้สิ่งที่เขาเห็นกลับกลายเป็นเพียงเรื่องตลก


เจ้าสุนัขทึ่มหัวเราะอ้าปากกว้าง “ฮ่าๆๆ อ่อน อ่อนจริงๆ”


หวังลู่ดุอีกฝ่ายเสียงเย็น “อย่ามัวใช้สมองน้อยนิดของเจ้าไปกับเรื่องพวกนี้ ตั้งใจนำทางก็พอ”


ตอนนี้หวังลู่ยังสามารถสกัดการโจมตีทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นเป็นเพราะเหล่าวิญญาณร้ายที่ทรงพลังของกระแสน้ำทมิฬยังไม่ปรากฎตัวออกมา ทว่าเวลาในการล่าของพวกเขามีไม่มากนัก หลังจากที่หวังลู่พูดเตือนสติเจ้าสุนัขโง่ มันก็เงียบปากลงและกลับไปตั้งอกตั้งใจดมกลิ่น ไม่นานมันก็ระบุตำแหน่งของอาหารสุดโอชาได้


“ตรงหน้าเรา กลิ่นของมันทรงพลังและรุนแรงมาก”


พูดจบ เจ้าสุนัขพันทางตัวจ้อยก็รีบวิ่งไปข้างหน้าพร้อมน้ำหลายที่ไหลออกมาท่วมปาก หวังลู่เหยียดยิ้มและตามมันไปในทันที


อึดใจหนึ่งผ่านไป เขาก็ได้กลิ่นที่ทรงพลังและรุนแรงดังกล่าว


“…เจ้าตูบโง่ เจ้าหลอกข้าหนิ”


ทรงพลังและรุนแรง? ไม่แปลกเลย…


ที่ตรงหน้าเขา สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ราวเนินเขาย่อมๆ สิบร่างกำลังจ้องมาที่พวกเขาอย่างดุร้าย


…………………………………………


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม