ความลับแห่งจินเหลียน ส่วน 4 ตอน 55-60.1
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 55 - 1 สงคราม
จ่านป๋ายอยู่ๆ ก็รู้สึกว่า สิ่งที่ตัวเองหาข้อมูลของเธอมา ตอนนี้กลับไร้ประโยชน์ ทำไมเขาไม่เคยรู้เลยว่าเธอยังมีความสามารถนี้อยู่
ฆ่าปลาไหล แล้วฆ่างูอีก? จู่ๆ เขาคิดขึ้นมาว่าเธอคงไม่เอาเครื่องในงูออกแล้วตัดหัวตัดหางทิ้ง เหลือตรงกลางไว้ จากนั้นก็ตัดเป็นท่อนๆ เตรียมต้มใส่หม้อเพื่อจะกินหรอกนะ?
“จินเหลียน ที่คุณเรียกให้ผมมา คงไม่ใช่ว่าจะเอามันมาต้มกินนะ?” จ่านป๋ายถามลองเชิงเธอ นี่ไม่ใช่งานอดิเรกที่ดีอะไร แม้ว่าเขาจะกินงู แต่นั่นก็เป็นอาหารที่ทำมาจากโรงแรมอย่างเสร็จสรรพ ถ้าทำเองเขาก็ไม่เคยลองทำมาก่อน
ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่งูพลางส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “งูตัวนี้ผอมเกินไป ถูกเลี้ยงดูมาไม่ค่อยดี เนื้อคงไม่ได้เยอะมาก ผิวของมันคงจะไม่อร่อยแน่นอน ปกติฉันจะกินแค่งูเขียวเท่านั้น เนื้อมันก็แน่นเด้งนุ่มเหลือเกิน…”
ในเวลานี้จ่านป๋ายก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่เขลายิ่งนัก
“เสี่ยวป๋าย จะว่าไปท้องของฉันก็เริ่มร้องขึ้นมาแล้ว แต่ฉันเรียกคุณมาไม่ใช่จะมาพูดคุยเรื่องเนื้องูชนิดไหนอร่อยกว่ากัน ฉันอยากจะถามคุณว่างูนี้มาจากไหน” ซีเหมินจินเหลียนถาม “คุณก็เคยคุยโม้ไม่ใช่เหรอว่าคฤหาสน์ของเราแม้แต่แมลงวันยังบินเข้ามาไม่ได้เลย ถึงแม้ในห้องครัวจะมีแมลงวันบินเข้ามาหนึ่งตัว ฉันก็ไม่ได้หาเรื่องคุณ แต่นี่ห้องฉันมีกลับมีงูเข้ามา คุณก็น่าจะให้คำตอบอะไรฉันสักหน่อยไหม”
“ผมรับประกันได้เลยว่าผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับงูตัวนี้” จ่านป๋ายรีบสาบานต่อฟ้าดิน น่าตายยิ่งนัก งูตัวนี้มาจากไหนกัน?
โอเค บ้านหลังนี้อาจจะสร้างขึ้นตรงทางขึ้นภูเขา ทำให้แถวๆ คฤหาสน์มีสวนสาธารณะเป็นของตัวเอง ส่วนงูที่หลบซ่อนอยู่ในนั้นคงมีไม่น้อย แต่ปัญหาก็คืองูตัวนั้นช่างโชคร้ายนัก ทำไมถึงได้เลื้อยเข้ามาได้
นี่เป็นเพราะว่ามันเลื้อยขึ้นมาเอง หรือว่ามีคนตั้งใจเอามาปล่อยกันแน่? ถ้าหากมีคนตั้งใจเอามาปล่อยแล้วจะเป็นใครกัน
จินอ้ายหัวหรือหลิงซูฟาง? สองคนนี้เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ แต่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนที่จะกล้าบ้าบิ่นแบบซีเหมินจินเหลียน ที่เห็นงูแล้วคิดเพียงแต่ว่างูตัวไหนถึงจะอร่อย ผัดน้ำแดงหรือว่าจะต้มซีอิ้วดี…
นอกจากเธอสองคนแล้ว วันนี้ก็มีแค่หลินเสวียนหลานที่มาที่บ้าน แต่จ่านป๋ายรับรองได้ว่าคนอย่างหลินเสวียนหลานเองก็น่าจะกลัวงูอยู่เหมือนกัน เขาคงจะไม่กล้าเอางูมาปล่อยที่บ้านซีเหมินจินเหลียนแน่ แถมเขาก็เหมือนว่าจะไม่ได้ขึ้นมาด้านบนด้วย? ถ้าเขาเอางูมาปล่อยไว้ด้านล่าง ตนเองน่าจะเห็นตั้งแต่แรกแล้วสิ
จ่านป๋ายมองไปรอบๆ แล้วขมวดคิ้วไม่หยุด หน้าต่างภายในห้องก็ปิดเรียบร้อยดี นี่พวกเขาก็ถูกผีหลอกหรือ งูตัวนี้เข้ามาได้อย่างไรกัน
ไม่นานเขาก็รู้สึกตกใจ หน้าต่างในห้องน้ำ ถึงแม้ว่าจะมีผ้าม่านปิดอยู่ แต่หน้าต่างก็เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
“จินเหลียน คุณว่างูตัวนี้เลื้อยมาจากหน้าต่างนี่หรือเปล่าครับ” จ่านป๋ายพูดพลางสายตาตกไปอยู่ที่ต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่ กิ่งของมันบางส่วนทอดยาวเข้ามาประชิดที่หน้าต่าง
พรุ่งนี้คงจะต้องเรียกคนมาจัดการสวนสักหน่อยแล้ว
“ไม่มีทาง” ซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
“ทำไมครับ” จ่านป๋ายถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “คุณดูนี่สิ งูก็น่าจะเลื้อยมาจากทางต้นไม้ ถ้าหากมันมาจากทางนี้แล้วเลื้อยเข้ามาทางหน้าต่าง แน่นอนว่ามันก็สามารถเลื้อยเข้ามาในห้องของคุณได้”
“ถ้าหากเป็นคน อาจจะเป็นไปได้ แต่นี่เป็นงูนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “คุณไม่รู้เหรอว่างูใช้ส่วนท้องในการเลื้อย ถ้าหากลื่นจนเกินไป มันก็อยู่ได้แต่ที่ของมัน ไม่อย่างนั้นจะเลื้อยไปไหนก็ลำบากเอาการ ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ ฉันเคยจับลูกงูตัวเล็กๆ มาใส่ไว้ในขวดโหลแก้วที่ไม่ได้ใช้ ไม่ว่ามันจะเลื้อยยังไงก็เลื้อยขึ้นมาไม่ได้”
จู่ๆ จ่านป๋ายก็รู้สึกว่าสมองของตัวเองเฉื่อยชาไปทั้งหมด พวกเขาจะจับงูไปทำอะไรกัน
“เอาเถอะ ถ้าหากคุณไม่ได้จับงูมาแกล้งให้ฉันตกใจ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือเผาซากมันทิ้ง!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มขึ้น “รบกวนคุณจ่านบอร์ดี้การ์ดผู้ยิ่งใหญ่ช่วยฉันเอางูตัวนี้ไปฝังที่สวนสาธารณะด้วยนะคะ ฉันจะไปนอนแล้ว เวลาก็ย่างเข้าเช้ามืดแล้ว”
จ่านป๋ายพยักหน้า ในใจคิดแต่ว่างูตัวนี้เข้ามาได้อย่างไรกัน เขาต้องสืบหาให้ดี ครั้งนี้ยังดีที่เป็นงูเลี้ยง ใครจะไปรู้ว่าครั้งหน้าอาจจะเป็นงูพิษก็ได้
ซีเหมินจินเหลียนไม่กลัวงูก็จริง แต่ถ้าหากถูกงูพิษทำร้าย นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย
เขาก็รู้ว่าการที่ซีเหมินจินเหลียนสงสัยเขานั้นมันก็สมเหตุสมผล แล้วยิ่งมีแค่เขาที่เคยมาห้องของเธอ อีกทั้งนี่ก็ยังเป็นงูที่ถูกคนเลี้ยง สงสัยเธอคงคิดว่าเขาอยากจะแกล้งทำให้เธอตกใจ
เมื่อหาที่โกยขยะแล้วรีบดึงมีดจากตัวงูออกมา จ่านป๋ายก็เริ่มสงสัยอีกครั้ง เธอทำให้งูอยู่นิ่งได้จริงๆ จากนั้นค่อยเสียบมีดเข้าไปหรือ? ไม่เหมือนกับฤทธิ์มีดสั้นนั่น ที่ยืนอยู่ห่างๆ แล้วโยนมีดลงไปเสียบอย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว ตรงกับหัวพอดิบพอดี มีดเข้าไปโดนตัวงูขนาดยาวถึงเจ็ดนิ้วยังว่าไป นี่ยังเล็งให้พอดีช่องว่างระหว่างพื้นไม้อีก แถมยังไม่ทำให้พื้นไม้เสียหายแม้แต่นิด…
จ่านป๋ายนำซากงูที่น่าสงสารใส่ไว้ในถุงขยะพร้อมมีดผลไม้นั่นด้วย ก่อนจะวิ่งไปที่สวนสาธารณะ ทำตามที่ซีเหมินจินเหลียนกำชับไว้ โดยขุดหลุมเผาศพงูนั่น ขอให้เจ้าของของงูตัวนี้อย่ามาหาพวกเขาเลย!
เมื่อผ่านเรื่องราวยุ่งยากนี่ไป ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายก็ยังนอนหลับไม่สนิทนัก ไหนยังเจียระไนหินออกมาเป็นงู ไหนจะในห้องมีงูเข้ามาอีก ถ้าเป็นใครในใจคงจะไม่สงบแน่
เพราะอย่างนั้นตอนเช้าเวลาแปดโมงครึ่งซีเหมินจินเหลียนจึงตื่นนอนด้วยใบหน้าบวมปูดไปหมด เมื่อส่องกระจกดูก็พบกับตาหมีแพนด้าออกมาทักทาย
“คืนนี้คงต้องนอนเร็วสักหน่อย ฉันยังต้องพยายามให้ตัวเองแต่งงานให้ได้!” ซีเหมินจินเหลียนพูดคุยกับกระจกอยู่นานสองนาน พร้อมทำท่าตลกๆ แลบลิ้น ดูแล้วราวกับผู้หญิงสาวที่ซุกซน
ซีเหมินจินเหลียนปล่อยผมยาวสยายลงมา ผมของเธอเป็นผมหยักศกธรรมชาติ ถ้าไม่ดูแล ผมก็จะแตกปลายฟูฟ่อง ไม่มีหน้าไปพบเจอใคร เมื่อใช้น้ำคอยจัดทรงผม แล้วหยิบเสื้อยืดออกมาหนึ่งตัวใส่คู่กับกางเกงยีนส์ทรงหลวม ทำให้สามารถปกปิดสิ่งเหล่านั้นได้ เมืองเซี่ยงไฮ้นี้ถ้าบอกว่าใหญ่ก็ใหญ่ ถ้าจะบอกว่าเล็กก็เล็ก มักจะชอบเจอคนที่รู้จักหยกอยู่มาก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคิดว่าหยกเป็นแก้วเสียหมด
เธอสวมใส่สร้อยข้อมือลูกปัดหยกสีเขียวสดไว้ในมือ ช่างดูหรูหราเรียบง่าย
เวลาเก้าโมงตรง หลินเสวียนหลานมารับเธอตรงตามเวลาที่นัดหมาย ซีเหมินจินเหลียนตกปากรับคำกับเขาเมื่อคืนวาน เลยไม่ได้พูดอะไรมากนั่งรถพร้อมออกจากย่านหลานกุ้ยไปพร้อมเขา
แต่เมื่อรถออกจากย่านหลานกุ้ยแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกแปลกใจ จึงถามขึ้นว่า “พี่หลินคะ พี่ก็บอกว่าคุณปู่ป่วยหนักไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงไม่ไปโรงพยาบาลล่ะ” นี่มันก็เป็นทางไปบ้านตระกูลหลินนี่นา
“ทางโรงพยาบาลบอกว่าไม่ต้องรักษาแล้วล่ะครับ” หลินเสวียนหลานถอนหายใจ ในน้ำเสียงมีความเจ็บปวดอยู่ในนั้น
ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจที่เขาอธิบายเลยถามกลับไปว่า “หมายความว่ายังไงคะ”
“ก็หมายความว่าเขาไม่มีหนทางที่จะรักษาคุณปู่แล้ว” หลินเสวียนหลานพูดอย่างอ่อนแรง “บ้านพวกเรากำลังวุ่นวาย”
“เกิดอะไรขึ้นกันคะ”
“ทุกๆ วันอาสะใภ้รองมักจะหาเรื่องมาให้ผมกับคุณพ่อตลอด ทั้งๆ ที่คุณปู่ป่วยแบบนี้แต่เธอก็ยังไม่สนใจ วันๆ คอยกรอกหูอารองให้ทำให้คุณปู่เขียนจดหมายพินัยกรรมให้เอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดเป็นชื่อเธอให้ได้ ไม่สนว่าจะเป็นหุ้นของคุณปู่ หรือบ้าน อีกทั้งยังมีธุรกิจในอดีตของคุณปู่อีก ทุกวันนี้เธอก็เห็นพวกเราเป็นแค่ศัตรูเท่านั้น” หลินเสวียนหลานพูด
เมื่อเป็นเช่นนั้น ซีเหมินจินเหลียนจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เธอเพียงแต่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คุณปล่อยเธอไปเถอะค่ะ คุณปู่ก็ไม่มีทางที่จะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่อาสะใภ้รองคนเดียวหรอก”
“ผมไม่เป็นไรครับ ถ้าปล่อยได้ก็ปล่อย แต่น้องสาวของผมนี่สิ…” หลินเสวียนหลานพูดได้เท่านี้ก็ถอนลมหายใจอีกครั้ง “นิสัยของเธอเป็นคนอารมณ์ร้อน เมื่อวานความคิดไม่ลงรอยกัน พวกเขาทั้งคู่ก็เลย…มีเรื่องให้ต้องลงไม้ลงมือ ตอนที่ผมกลับไปก็วุ่นวายหนักเลย”
“แล้วอารองของคุณไม่สนใจเลยเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ
“ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไร อารองก็เอาแต่ฟังเธอทั้งหมด คุณไม่รู้หรือว่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของเขา อารองกับเธอแต่งงานกันมาตั้งนาน แต่ไม่เคยมีลูกเลย แต่พอตอนนี้มีลูก อารองก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากจะตามใจเธอเสียหมด” หลินเสวียนหลานพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นการที่ลงไม้ลงมือแบบนี้ ก็ไม่ใช่ทำให้เด็กในท้องได้รับอันตรายหรอกหรือคะ แล้วทำไมยังกล้าลงมืออีก?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว ทำให้เธอนึกขึ้นได้ในสิ่งที่จ่านป๋ายเคยพูดไว้ว่าหวังเซียงฉินท้อง แต่เหมือนเขาจะเคยบอกว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของหลินเจิ้ง?
“อาสะใภ้รองอยากจะให้เซียนเอ๋อร์แต่งงานออกไป แต่คุณก็รู้ว่าน้องของผมสวยขนาดไหน สเป็คก็สูง คนธรรมดาเธอจะไปมองที่ไหนกัน เมื่อก่อนมีคนมากมายที่พอใช้ได้ ส่วนตอนนี้เธอไม่รู้ว่าแม่สื่อจะแนะนำญาติสนิทที่รู้จักให้กับเซียนเอ๋อร์ แถมไม่สนใจว่าเธอยินยอมหรือไม่ เมื่อคืนก็พาเขามากินข้าวที่บ้าน ผู้ชายคนนั้นมือไม้ไว จับนู่นจับนี่เซียนเอ๋อร์ไปหมด เธอเลยโกรธมาก ตบชายผู้นั้นจนหูแทบบอด พร้อมชี้หน้าด่าหวังเซียงฉินอีก” หลินเสวียนหลานอธิบาย
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ชมว่า “ด่าได้ดีเลยค่ะ!” คุณปู่ป่วยหนักจนอาการไม่สู้ดีแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าเธอจะมีกระจิตกระใจนำหลานสาวไปแต่งงานอีก จิตใจของเธอทำด้วยอะไรกัน?
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 55 - 2 สงคราม
“ถึงในใจผมก็คิดแบบนั้นก็เถอะครับ” หลินเสวียนหลานพูดขึ้นเบาๆ “แต่ว่าก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเธอทะเลาะกันได้หรอก”
“แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
“อาสะใภ้รองกับเซียนเอ๋อร์ทะเลาะกัน ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ที่บ้านพอดี ส่วนคุณพ่อผมก็มัวยุ่งอยู่กับธุรกิจ อารองก็ออกไปข้างนอก อาสะใภ้รองอุ้มท้องเด็กเอาไว้อยู่ แน่นอนย่อมไม่ใช่คู่กรณีของเซียนเอ๋อร์ เมื่อเธอถูกเซียนเอ๋อร์จับตบ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง จากนั้นอาสะใภ้รองก็นอนกองอยู่ที่พื้น ไม่รู้ว่าเรื่องราวจริงแท้ขนาดไหน น้ำตาไหลร้องเรียกว่าเจ็บท้อง เซียนเอ๋อร์ก็ลนลานทำตัวไม่ถูก…โทรศัพท์ไปหาอารอง…” หลินเสวียนหลานพูด
“จากนั้นเรื่องเป็นยังไงต่อคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ถ้าพออารองกลับมา แล้วพาอาสะใภ้รองไปส่งโรงพยาบาลเสียโดยดี เรื่องนี้คงจบตั้งแต่แรก” หลินเสวียนหลานยิ้มขมขื่น
“หรือว่าอารองของคุณทำเรื่องอะไรอีก?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
หลินเสวียนหลานฉุกคิดอยู่ชั่วครู่ถึงเริ่มพูดออกมา “เขาตบเซียนเอ๋อร์ไปหนึ่งที“
“คุณหนูเซียนเอ๋อร์คงอาละวาดไม่หยุดแน่” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว เธอจำได้ว่าฉินเฮ่าเคยพูดว่า หลินเซียนเอ๋อร์เป็นผู้หญิงที่เรียกว่าเล็กพริกขี้หนู แสบซ่าแก่นแก้วยิ่งนัก
หลินเสวียนหลานมองเธอแล้วพูดขึ้นว่า “คุณเดาไม่ถูกหรอกว่าเธอทำอะไรต่อไป”
“ทำอะไรหรือคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามตามน้ำไป
“อารองของผมไปส่งอาสะใภ้รองที่โรงพยาบาล ส่วนเซียนเอ๋อร์ไปในครัวหามีดหั่นผักเข้าไปในห้องของอารอง ทำลายของทุกอย่างจนไม่มีชิ้นดี…” หลินเสวียนหลานพูดอย่างเหนื่อยหน่าย
จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกว่าคุณหนูหลินเซียนเอ๋อร์มีความเอาแต่ใจ เอาแต่ใจกว่าหลินเสวียนหลานที่ในตอนงานหมั้นทิ้งญาติสนิทและเพื่อนฝูงมา ไม่สนใจคู่หมั้นของตัวเอง เพื่อมาทำกับข้าวที่บ้านเธอเสียอีก
“คุณยังหัวเราะอีกเหรอครับ ตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว!” หลินเสวียนหลานพูดอย่างหมดแรง
“จะทำอะไรได้อีกล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ถ้าฉันไม่หัวเราะ แล้วจะทำอะไรได้กัน?”
ในระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากันนั้น หลินเสวียนหลานก็ได้ขับรถมาถึงหน้าประตูของบ้านตระกูลหลินแล้ว รถจอดลงอย่างสนิท ก็มีคนรับใช้คอยขับรถไปเก็บในโรงจอดรถ หลินเสวียนหลานเรียกให้ซีเหมินจินเหลียนเข้าไปด้านใน
ภายในห้องรับแขก ยังเหมือนในครั้งที่แล้วไม่มีผิด เพียงแต่ไม่มีหยกก้อนใหญ่แล้วจึงทำให้เห็นความโอ่โถงได้อย่างชัดเจน สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็น
“ไปกันเถอะครับ คุณปู่ของผมอยู่ด้านบน” หลินเสวียนหลานบอก
“โอเคค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเดินตามหลินเสวียนหลานขึ้นไปด้านบน แต่กลับเห็นสีหน้าซีดเซียวของหวังเซียงฉินที่กำลังประคองตัวเองเกาะราวบันไดลงมาด้านล่าง
ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะสังเกตเธอ ท้องของเธอไม่ได้ใหญ่มาก น่าจะไม่มีอาการหนักอะไร ใบหน้ามีรอยฟกช้ำเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าสวยมีร่องรอยบาดเจ็บฟกช้ำดำเขียว
หวังเซียงฉินเองก็เห็นซีเหมินจินเหลียนเช่นกัน เธอที่เดิมทีตั้งใจจะลงไปด้านล่างก็หยุดชะงักลง
หลินเสวียนหลานเงยหน้าขึ้นไปมองเธอสักพัก จากนั้นก็แกล้งทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน พาซีเหมินจินเหลียนขึ้นไปด้านบน เมื่อทั้งคู่เดินผ่านร่างของเธอไป หวังเซียงฉินก็พูดออกมาทันควัน “เสวียนหลาน ทำไมเธอถึงกลับมาเวลานี้”
“คุณปู่อยากจะพบคุณซีเหมิน ผมเลยไปพาคุณซีเหมินมาหา” หลินเสวียนหลานพูดความจริงออกไป เพราะว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องโกหกเธอ
“จริงเหรอ? ทำไมฉันไม่ยักจะได้ยินคุณพ่อพูดเลยล่ะ” หวังเซียงฉินควบคุมสถานการณ์ มองซีเหมินจินเหลียนด้วยสายตาที่เหยียดหยาม จากนั้นก็พูดจาเสียดสีใส่ “ฉันว่า ดูเหมือนคุณซีเหมินอยากจะเจอคุณพ่อเสียเองมากกว่า”
ซีเหมินจินเหลียนขี้เกียจจะหาเรื่องกับเธอ ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะทำตัวให้มันดีๆ บ้างหรืออย่างไร?
“อาสะใภ้รอง อาก็กำลังท้องอยู่ ควรนอนพักผ่อนอยู่ในห้องให้มากๆ น่าจะดีกว่านะครับ อย่าทำให้กระทบกระเทือนไปถึงเด็กในท้องเลย” หลินเสวียนหลานพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแล้วเดินขึ้นไปด้านบน
ซีเหมินจินเหลียนไม่มีเรื่องอะไรให้พูดอยู่แล้ว เธอจึงเดินตามหลังหลินเสวียนหลานเพื่อที่จะขึ้นไปด้านบน แต่หวังเซียงฉินก็ได้มาขวางทางเธอไว้
“คุณซีเหมิน ครั้งนี้คุณอยากจะส่งของขวัญอะไรเพื่อตอบแทนพระคุณคุณปู่อีกล่ะ?” หวังเซียงฉินขมวดคิ้วถามยกใหญ่ ตั้งใจหัวเราะแดกดัน “คุณซีเหมินก็ใจกว้างมากเลยนะ ถึงขนาดให้หยกสีเขียว คิดว่าหยกสีเขียวไม่ต้องใช้เงินซื้อหรือยังไง? หรือว่าเจตนาของคุณซีเหมินสูงกว่านั้น เลยส่งหยกมาสักชิ้นสองชิ้นเพื่ออยากได้บริษัทจิวเวอรี่มาเป็นของตอบแทน?”
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่หัวเราะน้อยๆ เธอก็อยากได้บริษัทจิวเวอรี่มาจริง แต่ไม่ใช่ทำด้วยวิธีที่เธอคิด ในใจอยากจะเดินอ้อมผ่านหวังเซียงฉินแล้วขึ้นไปด้านบน
แต่หวังเซียงฉินมาขวางเธอไว้ทุกทาง ทำให้เธอไม่สามารถเดินไปได้
“เธอคิดว่าบ้านตระกูลหลินของพวกเราเป็นสถานที่แบบไหนกัน นึกอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป? เธอคิดว่าคุณปู่เป็นคนยังไง เธออยากจะเจอก็ได้เจออย่างนั้นเหรอ?” หวังเซียงฉินยิ้มเยาะอย่างเยือกเย็น เธอจะไม่ยอมให้หลินเสวียนหลานพาผู้หญิงคนนี้เข้ามาในเวลานี้ เพื่อที่จะมาแบ่งมรดกไปจากเธอแน่ ถ้าอยากจะเจอคุณปู่หลิน ฝันไปเถอะ ไม่มีทาง!
เมื่อวานเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูก็ไม่ได้มีอาการร้ายแรงอะไร วันนี้ตอนเช้าเธอจึงไม่ฟังคำแนะนำจากหมอ รีบคิดค่าใช้จ่ายแล้วกลับบ้าน เธอจะต้องคอยตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ามอง นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ จะไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเป็นอันขาด ที่เธอรอมาทั้งชีวิตก็เพื่อไม่ใช่ว่าจะมาเป็นคุณนายมหาเศรษฐีหรอกเหรอ?
แต่การแต่งงานกับหลินเจิ้งอย่างเดียวมันยังไม่เพียงพอ เธอจะต้องทำให้หลินเจิ้งเป็นผู้นำของบริษัท ถึงจะมีสิทธิครอบครองอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าเป็นแบบนั้นเธอถึงจะสบายใจ
“อาสะใภ้รอง อาหลีกทางเถอะครับ คุณปู่อยากจะพบเธอ!” หลินเสวียนหลานขมวดคิ้ว
“ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าคุณพ่ออยากจะพอเธอ?” หวังเซียงฉินพูดอย่างเยือกเย็น “ฉันว่านะ เสวียนหลาน หลานก็อย่ามัวแต่ลุ่มหลงเหลวไหล แล้วปล่อยผู้หญิงที่ดีเพียบพร้อมอย่างเฟยอวี๋ไป แต่กลับมาคว้าผู้หญิงชั้นต่ำแบบนี้เลย อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านผู้ชายมามากเท่าไหร่แล้ว แต่หลานยังเอากลับมาที่บ้านของเราอีก หรือหลานก็ไม่สนใจว่าเธอจะมาทำให้บ้านเราแปดเปื้อน?”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็โกรธเป็นอย่างมาก เดิมทีเห็นว่าเธอตั้งท้องเลยไม่ได้อยากจะหาเรื่องอะไร แต่ปากผู้หญิงอย่างเธอน่าจะต้องจับมารีดให้บาง เหมือนว่าเธอจะไม่ได้หาเรื่องผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรก แถมไม่รู้ว่าเธอเริ่มหาเรื่องเธอจากตรงไหน?
“เธอกำลังพูดถึงใครเหรอ” ด้านหลังมีเสียงใสดังเข้ามา
ซีเหมินจินเหลียนหันหลังกลับไปมองก็เห็นใบหน้าเฉยเมยของหลินเซียนเอ๋อร์อยู่ตรงปากบันไดที่กำลังจดจ้องไปที่หวังเซียงฉิน “เรื่องที่บ้านเราแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรกโสมม ก็มาจากผู้หญิงที่ไร้ยางอายแบบเธอนั่นละ ใครๆ ก็รู้ว่าเธอท้อง แต่ไม่รู้ว่าท้องกับใคร แล้วเธอยังกล้าจะมาโทษคนอื่นอีก? ไม่รู้ว่าอารองตาบอดหรืออย่างไง ถึงได้เลือกผู้หญิงเจ้ามารยาแบบนี้เข้ามาในบ้าน”
“เธอกำลังว่าใคร?” หวังเวียงฉินสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วหันไปมองหลินเซียนเอ๋อร์ด้วยตัวสั่นระริก “เธอ…เธอ…ทำเกินไปแล้ว ฉัน…ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ฉันจะตายไปกับเด็กในท้องของตระกูลหลิน…” ผู้หญิงคนนี้พูดพลางร้องไห้ออกมา
“เธออยากจะตายงั้นเหรอ?” หลินเซียนเอ๋อร์แค่นเสียงเหอะออกมาพลางปรายตามองไปทางปากประตู “จำไว้ว่าออกไปนอกประตูก่อนแล้วค่อยตาย อย่าเอาเลือดสกปรกมาแปดเปื้อนบ้านของฉัน อยากตายก็เอาให้เจ็บหน่อยนะ อย่าทำให้มันไก่อ่อน แบบนี้จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้ ถ้าน้อยไปอีกคนฉันจะได้ตัดคนออกจากกองมรดกน้อยลงไปอีกหนึ่ง!”
ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หลินเซียนเอ๋อร์เป็นคนพูดตรงๆ ประโยคเช่นนี้ยังกล้าพูดออกได้ ไม่น่าล่ะฉินเฮ่าเลยเรียกเธอว่าเล็กพริกขี้หนู ไม่ใช่พริกทั่วๆ ไป
หวังเซียงฉินโกรธจนกลอกตาขาวเกือบจะเป็นลมล้มพับไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น แต่เธอก็ด่าและตบตีสู้หลินเซียนเอ๋อร์ไม่ได้ ได้แต่ยอมแพ้ไปก่อนเท่านั้น
ซีเหมินจินเหลียนเดินตามหลินเสวียนหลานไปถึงปลายทางด้านบน จากนั้นด้านหลังมีเสียงของ หลินเซียนเอ๋อร์แผดเสียงออกมา
“เธอหยุดก่อน!”
ซีเหมินจินเหลียนหยุดฝีเท้าลงและหมุนตัวหันไปมองหลินเซียนเอ๋อร์
“ฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นมากก็จริง แต่ฉันก็ไม่ได้ชอบเธอเหมือนกัน!” หลินเซียนเอ๋อร์จดจ้องมองไปที่เธอ
“ถึงเธอจะหน้าตาสะสวย แต่ฉันก็ไม่ชอบเธอเหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอ่อน
“เธอน่าจะขอบใจฉันที่มาช่วยเธอไว้” หลินเซียนเอ๋อร์เชิดคอขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนยืนอยู่บนชั้นสองแล้วเห็นสีหน้าเขียวฟกช้ำของหวังเซียงฉินแล้วได้แต่หัวเราะ อยากจะควบคุมจัดการคนคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่จะใช้วาจาคมคายก็จัดการได้
“ขอบใจ” หลังจากซีเหมินจินเหลียนพูดขอบใจแล้ว จากนั้นก็เดินตามหลินเสวียนหลานเพื่อที่ไปห้องคุณปู่หลินต่อไป
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 56 ชดใช้ด้วยชีวิตจนถึงที่สุด
หลินเสวียนหลานถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “จินเหลียน คุณอย่าโกรธไปเลยนะ อาสะใภ้รองก็เป็นอย่างนี้ พื้นเพที่บ้านของเธอไม่ดี เลยยังติดพฤติกรรมย่ำแย่มา พอเข้ามาอยู่ในตระกูลก็ประจบคนที่รวยกว่าเธอ แต่ก็เหยียบย่ำผู้หญิงที่มีพื้นเพไม่ดีอย่างที่เธอเคยเป็นมาก่อน คิดแต่ว่าคนอื่นก็เหมือนกับเธอ ที่อยากจะเล่นเกมเพ้อฝันเป็นเจ้าชายกับเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า”
“ฉันไม่ได้โกรธหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด เธอไมได้โกรธจริงๆ มีอะไรที่คู่ควรที่จะโกรธกัน เรื่องที่ไร้สาระกว่านี้เธอก็เคยเจอมาแล้ว
ห้องของคุณปู่หลินอยู่ทางทิศตะวันออก ตอนที่ซีเหมินจินเหลียนเข้าไปในห้อง เธอก็เห็นชายชรากำลังเอนกายอยู่บนเตียงด้วยท่าทางเหม่อลอย
หลินเสวียนหลานเดินเข้าไปแล้วเรียกขึ้น “คุณปู่ครับ”
ชายชราหลินถึงเงยหน้าขึ้นมามองเขา พร้อมพยักหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หลินเสวียนหลานโค้งตัวลงมาแล้วกระซิบบอกเขาว่า “จินเหลียนมาแล้วครับ”
“อืม…” ชายชราหลินตอบรับพร้อมหันหน้ามามองซีเหมินจินเหลียน ถึงพูดกับหลินเสวียนหลานว่า “หลานออกไปก่อนเถอะ ปู่มีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณซีเหมินตามลำพังสักหน่อย”
หลินเสวียนหลานไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้าลงตอบรับแต่โดยดี “ครับ” เขาพูดพลางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองซีเหมินจินเหลียน
ซีเหมินจินเหลียนเห็นเขาอย่างนั้นก็ได้แต่ยิ้ม หลินเสวียนหลานเพิ่งเดินออกไปพร้อมเดินปิดประตูลง ชายชราหลินเห็นหลินเสวียนหลานออกไปแล้วถึงเริ่มพูดขึ้นว่า “คุณซีเหมิน เชิญนั่งก่อนสิ”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเตียงของชายชราหลิน พร้อมพูดทักทายว่า “สวัสดีค่ะคุณปู่หลิน” ไม่ได้เจอตั้งหลายเดือน ชายชราหลินก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ร่างกายซูบผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูก เดิมทีที่หน้าตาผ่องใสมีสีเลือดฝาด ตอนนี้กลับเหลือแต่ใบหน้าเฒ่าชราซีดเซียว
แต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ซีเหมินจินเหลียนยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง ชายชราหลินยังคงมีสติครบถ้วนดีอยู่ ยังไม่ถึงขนาดหมดหนทางในการรักษาขั้นนั้นนี่นา ทำไมโรงพยาบาลให้เขากลับมาโดยไม่รักษาอะไรเลย
“คุณซีเหมิน อันนี้คืนให้คุณ” ชายชราหลินควานมือสั่นระริกหยิบหาหยกสีเขียวสดที่อยู่ใต้หมอนขึ้นมา พลางพูดออกมา “เก็บมันไว้ก็มีแต่ปัญหา มิสู้คืนคุณเสียดีกว่า”
“ทำไมคุณปู่หลินพูดแบบนั้นล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ไม่มีใครที่ให้ของขวัญแล้วยังรับคืนกลับมาแบบนี้หรอกนะคะ อีกอย่างจะว่าไปแล้วคุณปู่หลินก็มอบของขวัญให้ฉันเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ”
“อันนั้นเรียกว่าของขวัญยามพบหน้า” คุณปู่หลินรีบอธิบาย “คนอายุมากพบเจอคนอายุน้อย มักจะต้องให้ของขวัญเมื่อเจอกันเป็นธรรมดาไม่ใช่หรือ”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก เอาเถอะ หยกนี่เดี๋ยวค่อยให้หลินเสวียนหลานก็แล้วกัน ของที่ให้ไปแล้วจะรับกลับมาไม่ได้ แต่สาเหตุที่คุณปู่หลินอยากจะเจอเธอคงจะไม่ใช่แค่อยากคืนหยกง่ายๆ แค่นั้นหรอกนะ
“อายุห่างกันหนึ่งรอบ เธอก็อายุน้อยกว่าฉันมาก” อยู่ๆ ชายชราหลินก็พูดขึ้นมา
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ รอบอายุนี่คิดยังไงกันนะ
“เธออยากจะฟังเรื่องราวประวัติความเป็นมาก่อนจะมาเป็นตระกูลหลินของชายชราแก่ๆ อย่างฉันไหม?” ชายชราหลินเจตนามองไปที่ซีเหมินจินเหลียนครู่หนึ่งแล้วถาม
“อยากฟังสิคะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า
“ฉันก็ไม่ใช่คนเซี่ยงไฮ้หรอก” สายตาของชายชราหลินมองไปที่แสงแดดภายนอกหน้าต่าง แล้วหันไปมองซีเหมินจินเหลียนถึงเริ่มพูดออกมา “พื้นเพฉันเป็นคนเจียหยาง คุณก็รู้ว่าเมืองเจียหยางเป็นเมืองเฟื่องฟูของนักเดิมพันหินหยก เพราะว่ามีการเดิมพันหินหยก การพนันหลากหลายเลยผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คุณเป็นผู้หญิงคงไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องแบบนี้สินะ?”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เธอเคยไปเจียหยาง แต่ไม่เคยร่วมเล่นการพนันอื่นๆ นอกเสียจากเดิมพันหินหยก แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินเรื่องนี้ผ่านหูมาบ้าง
“พ่อของฉันก็จากไปไว เพราะอย่างนั้นตั้งแต่เด็กๆ ก็ไม่มีใครมาคอยตามดูแลฉัน ฉันเลยใช้ชีวิตอยู่ที่ถนนหยกโบราณที่เมืองเจียหยาง ใช้การเดิมพันหินหยกมาเป็นหลักชีวิต แต่ก็มักจะแพ้เดิมพันจนไม่เหลืออะไร” ชายชราหลินหัวเราะขึ้นมา ตอนนั้นเขายังหนุ่มแน่น มีพละกำลังในการหาเงิน จะให้ทำอะไรก็ทำหมดทั้งนั้น
“วีรบุรุษไม่กลัวพื้นเพที่ไม่ดี คุณปู่หลินประสบความสำเร็จจนมีวันนี้ได้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น แม้ว่าหลินเจิ้งกับหลินเหวินจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่ชายชราหลินก็ใช้มือเปล่าทั้งสองสร้างบ้านขึ้นมา มีธุรกิจใหญ่โตมหาศาลได้ มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
“วีรบุรุษหรือ?” ชายชราหลินส่ายหน้า เขาจะคู่ควรกับคำนี้ได้อย่างไรกัน
“ทรัพย์สมบัติของทางบ้านที่เหลือไว้เป็นมรดกครอบครัวก็ถูกฉันชะล้างไปจนหมด เป็นเพราะฉันแพ้เดิมพัน ชื่อเสียงเสื่อมเสียก็กระจายไปทั่วทั้งถนนหยกโบราณ จนไม่มีใครยินยอมจะคบหาหรือสนใจ แม้กระทั่งเพื่อนเก่าแก่ของคุณพ่อฉันก็ดูถูกฉันได้ หน้าหนาวปีนั้นฉันรู้จักกับคนคนหนึ่ง…ผู้ชายคนที่ดูเหมือนจะอายุเยอะกว่าฉันไม่มาก…” ชายชราหลินพูดต่อไป
ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ในใจ ไม่ค่อยเข้าใจเขาสักเท่าไหร่นัก คนคนนี้สินะถึงเป็นกุญแจสำคัญที่ชายชราหลินอยากจะเจอ
“เขาเลยรับฉันมาไว้ให้ติดตามข้างตัว นอกจากฉันแล้วก็ยังมีอีกคน…คนที่โดยปกติจะสอนหลักในการเล่นเดิมพันหยกให้กับพวกเรา ใช้ให้พวกเราวิ่งออกไปจัดการเรื่องให้ ส่วนตัวเขาเองก็ไปเดิมพันหินที่เมืองเจียหยาง แน่นอนว่าต้องเล่นการพนันอื่นๆ ไปด้วย สายตาของเขาเฉียบคมราวกับเหยี่ยว สามารถได้เดิมพันหยกชั้นดีมาตลอด ถึงแม้ว่าเขาจะสอนความรู้เรื่องการเดิมพันหินให้กับพวกเรามาบ้าง แต่ก็ไม่เคยยอมรับให้พวกเราเป็นผู้สืบทอด” ชายชราหลินพูดเท่านี้สายตาก็เหม่อลอยมองไปที่นอกหน้าต่าง
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้รีบร้อนเขาให้พูดต่อ ทำเพียงแค่รอฟัง
เป็นอย่างที่คิด เมื่อทิ้งช่วงไปครู่หนึ่ง ชายชราหลินก็พูดต่อว่า “เขาได้เก็บรวบรวมของชั้นดีไว้ วันนั้นแกะหินออกมาเป็นหยกฮกลกซิ่ว แต่ยังไม่ได้เอาไปขาย เอากลับมา ส่วนฉันเห็นของดีอยู่ตรงหน้าก็ใจเต้นแรง คืนวันนั้นใช้โอกาสที่เขาเข้านอนแอบย่องเข้าห้องเขาแล้วขโมยหินก้อนนั้นมา…”
“นั่นเป็นหยกแก้วชนิดโบราณกับหยกสามสีสีแดงเขียวม่วง สีใสสะอาด ความโปร่งแสงสูง น้ำงามสว่างไสว เป็นหยกชั้นดีเท่าที่เคยเห็นมา หยกก้อนนั้นน่าจะหนักประมาณสามสิบกิโลกรัมได้ ด้วยหยกก้อนนั้น ฉันเลยพูดโน้มน้าวให้เพื่อนสนิทของพ่อบางคน ขายกิจการที่เมืองเจียหยางทิ้ง แล้วย้ายมาอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน พวกเราร่วมมือกันเปิดบริษัทหลินซื่อ” ชายชราหลินพูด
“หา!” ซีเหมินจินเหลียนพูดได้แค่นี้ หยกฮกลกซิ่วชนิดแก้วหนักสามสิบกิโล เกรงว่าสำหรับคนนั้นแล้วไม่น่าจะเป็นอะไร? ถ้าหากคนนั้นเป็นตัวละครหลักในเรื่องนี้
ชายชราหลินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เขามีลูกศิษย์เรียกว่าเจียหยวนฮว่า ฉายาของเขาคือราชาแห่งการเดิมพันหิน ได้ยินมาว่าเขาเรียนวิชามาแค่เล็กน้อยเท่านั้น…”
“คุณปู่หลินคะ คนที่คุณพูดถึงใช่คนที่แซ่หูหรือเปล่าคะ” ซีเหมินจินเหลียนอมยิ้ม ผู้อาวุโสหูแปลกประหลาดคนนั้นดูมีอะไรจริงๆ ด้วย
“เขามาเมืองเซี่ยงไฮ้ ก็เพื่อมาหาหยกก้อนนั้น” หลินเสวียนหลานพยักหน้า “หยกก้อนนั้นถูกพวกเราตัดมาทำเป็นเครื่องประดับหลากหลายชนิด ก่อนจะขายไปตั้งนานแล้ว ของฉันเองก็เก็บสะสมเป็นกำไลหนึ่งคู่ ฉันไม่มีปัญญาเลยได้แต่รวบรวมของที่เก็บสะสมตลอดปีนี้รวมถึงหยกสีเขียวสดที่คุณให้มาออกมารวมกันไว้ ถึงแม้ว่าราคาของของพวกนี้จะประเมินราคาสู้หยกก้อนนั้นไม่ได้ แต่ก็หวังว่าเขาจะปล่อยพวกเราไป…”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไร เรื่องแบบนี้เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แต่ไม่รู้ว่าทำไมดูเหมือนชายชราหลินจะกลัวผู้อาวุโสหูเป็นอย่างมาก สิ่งที่เธอไม่เข้าใจก็คือชายชราหลินในตอนนี้ที่มีเงินมีอำนาจ มีบ้านมีธุรกิจ นอกจากนี้ฟังที่จ่านป๋ายบอกเล่าถึงประวัติชายชราหลินตอนวัยรุ่นดูเหมือนไม่ได้ทำเรื่องสุจริตมาก ตามหลักการแล้วเขาไม่ควรจะเกรงกลัวผู้อาวุโสหูถึงจะถูก
ผู้อาวุโสหูกล้ามาขอหยกจากเขา ภายใต้ความโกรธในตัวของชายชราหลินทำให้เขามาอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้
ชายชราหลินไม่รู้ว่าในใจของซีเหมินจินเหลียนคิดอะไรอยู่ ความจริงถ้าเป็นไปได้ เขาก็ยังคิดจะทำแบบนี้ อุตส่าห์มือเปล่าไต่เต้าปีนขึ้นมาถึงจุดนี้แล้ว คนที่มีคุณธรรมก็มีไม่เยอะ แต่เขารู้สัญชาตญาณของผู้อาวุโสหู แถมยังรู้ว่าเขามีผลต่อวงการนี้ ถ้าหากตัวเองกล้าทำอะไรบ้าบอไป เกรงว่าอนาคตจะสร้างความเดือดร้อนไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
ผู้อาวุโสหูจัดการเรื่องอะไร มักจะรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ ขอแค่เขาตายไปเขาก็ไม่น่าจะไปหาเรื่องคนอื่น
คนที่พึ่งกลับมาจากโรงพยาบาลอย่างชายชราหลิน กลับปฏิเสธการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แถมยอมรับอาการป่วยที่ตัวเองเป็น แต่ปัญหาในบ้านนี้เลยเถิดกว่าที่เขาคิดไปมาก คิดไม่ถึงว่าลูกสะใภ้และหลานสาวจะทะเลาะกันเองในบ้าน เมื่ออารมณ์ขึ้น อาการป่วยก็ทรุดหนักลง เสริมกับอายุอานาปูนนี้แล้ว เรื่องธุรกิจเขารู้ว่าน่าจะใกล้พังทลายหมดแล้ว
ครั้งนี้ที่หลินเจิ้งซื้อหยกกลับมา พื้นผิวของหยกดูดีแต่เมื่อตัดออกมากลับเป็นหินสีขาว ถึงจะมีแค่หยกสีเขียวเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเอาออกมา
เขาดูคนผิดเอง ไม่น่าเชื่อเขาตั้งแต่แรก
มักจะคิดเสมอว่าลูกคนนี้มีความแกร่งกร้าว ไม่เหมือนกับหลินเสวียนหลานและหลินเหวินที่เป็นคนนุ่มนวลอ่อนไหว ทำเรื่องอะไรก็ไม่กล้าตัดสินใจ แต่พอมาวันนี้แล้ว นอกจากเรื่องวุ่นวายไม่เป็นเรื่อง หลินเจิ้งก็ทำเรื่องอะไรไม่ได้เลย
“ครูผู้มีพระคุณเคยบอกว่า หยกนี้เป็นของคุณ ตอนนั้นผมก็แปลกใจมาก ไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไร” ชายชราหลินจัดการความคิดที่ยุ่งเหยิงทั้งหมดแล้วพูดออกมาอีกครั้ง “ตามที่เขาอธิบาย ฝีมือการแกะสลักนี่ มีแค่ผู้สืบทอดทางสายเลือดของเขาถึงทำได้”
“คุณปู่พูดเรื่องอะไรกันคะ” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะออกมาพูดไปว่า “คุณปู่หลิน ฉัน ไม่ใช่พูดถึงคุณ แต่พูดถึงท่านผู้อาวุโสหูคนนั้น ตอนที่ฉันไปเจียหยางครั้งนี้ได้มีโอกาสเจอเขาแค่สองครั้งเท่านั้น ที่เหลือก็ไม่เคยเจอเขามาก่อน ส่วนฝีมือในเรื่องการแกะสลักหยก นั่นเป็นเพราะครูของฉันสอนให้ ไม่มีความข้องเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย”
ชายชราหลินหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้แล้ว ครูผู้มีพระคุณดูรู้เรื่องเยอะ อาจจะมีเหตุบังเอิญอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะพูดยังไง ฉันก็ติดหนี้ครูมากเหลือเกิน เขาสอนให้ฉันเล่นเดิมพันหยก แต่ฉันไม่เคยตอบแทนบุญคุณของเขาเลย แถมยังไปขโมยหยกของเขาอีก คุณซีเหมิน ในเมื่อคุณเป็นผู้สืบทอด ฉันขอร้องให้คุณช่วยฉันขอร้องต่อหน้าผู้อาวุโสให้หน่อย ฉันติดหนี้เขา ฉันจะชดใช้ด้วยชีวิตตัวเองจนถึงที่สุด เพียงแค่อยากจะให้เขาอย่าทำอะไรคนในตระกูลหลินคนอื่นๆ เลย ลูกหลานพวกนี้เขาไม่รู้เรื่องอะไร”
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสับสน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เธอกับผู้อาวุโสหูไม่ได้สนิทกัน แล้วจะให้เธอไปพูดเรื่องนี้เพื่ออะไร? จะว่าไปนี่เป็นเรื่องศิษย์กับอาจารย์ มันเกี่ยวอะไรกับเธอ ถึงผู้อาวุโสหูจะดูแปลกประหลาด แต่นิสัยก็ไม่ได้แย่ การที่มาขอหยกนั้นคืนก็พอเข้าใจได้ แต่จะมาเอาชีวิตก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 57 เจ้าของงู
ชายชราหลินหันหน้ากลับมาจ้องซีเหมินจินเหลียนและถามขึ้นอีกครั้ง “คุณคงจะเป็นผู้สืบทอดจากทางใต้? ถึงจะไม่ใช่ผู้สืบทอดทางสายเลือดของครูผู้มีพระคุณของผม แต่คุณน่าจะเป็นผู้สืบทอดจากทางใต้ไม่มีผิดแน่?”
“ฉันไม่รู้ว่าผู้สืบทอดจากทางใต้คืออะไร! เกิดมาฉันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน” ซีเหมินจินเหลียนออกปากปฏิเสธลูกเดียว เธอยอมให้คุณย่าและคุณครูของตัวเองเป็นผู้หญิงชนบทแถวบ้านธรรมดาๆ มากกว่าจะให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอดจากทางใต้อะไรนั่น ถ้าหากพวกเขามีเรื่องราวมหัศจรรย์เกิดขึ้น แล้วแอบตัวตนอยู่ในหุบเขาลึก ถ้าอย่างนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในนั้นน่าจะมีความลับอะไรปิดซ่อนอยู่?
เธอไม่อยากจะค้นหาต่อไปให้ลงลึก การที่สืบหาความจริงอย่างไม่มีสิ้นสุด มักจะทำให้คนเรารับไม่ได้ในสิ่งที่เกิดขึ้น เธออยากจะแค่เล่นหิน นำหินมาแกะสลักทำเป็นเครื่องประดับแล้วสร้างบริษัทจิวเวอรี่ออกมาเป็นมหาเศรษฐีกับคนอื่นบ้างก็แค่นั้น ไม่อยากให้เวลาไปไหนแล้วถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ เธอไม่อยากกลับไปเป็นคนจนเหมือนเมื่อก่อนที่ไม่เหลืออะไรเลย วันๆ พบเจอแต่คนกลอกตาขาวดูถูกหัวเราะเยาะใส่
ชายชราหลินถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “ใครเป็นคนสอนให้คุณแกะสลักหยกหรือ”
ซีเหมินจินเหลียนกัดริมฝีปากแล้วยิ้มตอบไป “ตอนเด็กมีคุณครูท่านหนึ่งสอนฉันค่ะ แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้สืบทอดจากทางใต้อะไร”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงใช้กระดาษเก่าๆ ห่อหยกนั่นมาให้ฉันล่ะ” ชายชราหลินหัวเราะฝืดฝืนออกมา “คงไม่ได้จะแก้ตัวว่าลืมซื้อกล่องของขวัญมาหรอกนะ”
“ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้นค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นเดินแล้วพูดว่า “คุณปู่หลินวางใจเถอะนะคะ ถ้าหากฉันเจอผู้อาวุโสหู ฉันจะลองช่วยพูดให้คุณ แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันกับเขาไม่ได้คุ้นเคยกัน เรื่องบางเรื่องก็ไม่รู้จะพูดยังไง” สิ่งที่เธอพูดคือความจริง เธอไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับผู้อาวุโสหูท่าทางแปลกประหลาดคนนั้นเลยสักนิด พูดไปเธอก็ไม่อยากจะดึงตัวเองไปข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ของพวกเขา
ไม่พูดถึงผู้อาวุโสหูที่ท่าทางลึกลับ ถึงจะเป็นราชาแห่งนักเดิมพันหินอย่างเจียหยวนฮว่าก็รับมือได้ยาก ในอนาคตเธอยังอยากอยู่ในสายเดิมพันหินนี่อยู่นะ
“คุณปู่หลิน ร่างกายของคุณไม่สู้ดีนัก พักผ่อนแล้วทำใจให้สบายดีกว่าค่ะ เรื่องที่รบกวนใจพวกนี้ ให้พวกเขาไปจัดการเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดปลอบใจ
“ฮะๆ…ตกลง” ชายชราหลินพยักหน้า ซีเหมินจินเหลียนพูดได้เท่านี้ เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ที่หลินเจิ้งทำไว้ที่เจียหยาง ก็รู้สึกผิดกับครอบครัวเขาด้วย แม้ว่าหลินเจิ้งไม่ได้จัดการได้ดี แต่คำพูดบางเรื่องก็ไม่สามารถพูดต่อหน้าได้ ไม่เช่นนั้นเหมือนกำลังเตรียมตัวลอกหน้ากากตัวเองออก
ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นเตรียมกล่าวลา เดิมทีเธอก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจ เธอไม่รู้ว่าชายชราหลินต้องการจะเจอเธอเพื่ออะไร พอมาวันนี้ถึงพึ่งเข้าใจว่าสาเหตุต้นตอมาจากผู้อาวุโสหู
หลินเสวียนหลานพูดว่าหมดหนทางรักษา แต่นี่ดูเหมือนว่าเขาจะอยากหลบเจ้าหนี้มากกว่า ไม่กล้าไปนอนที่โรงพยาบาล แต่กลับมานอนที่บ้านแทน กลัวว่าชีวิตของเขาคงผ่านได้อย่างลำบาก?
เมื่อคืนเซียนเอ๋อร์และหวังเซียงฉินทะเลาะกันอย่างหนัก ถึงจะมีคนอยากจะปิดบังเขา แต่ก็เกรงว่าจะปิดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นการที่อยู่บ้านคิดว่าจะหลบหนีจากผู้อาวุโสหูได้หรือ?
“จินเหลียน” เสียงหลินเสวียนหลานดังเข้ามาจากด้านนอก
“พี่หลินคะ เดี๋ยวฉันเรียกรถกลับเองได้ คุณไม่ต้องไปส่งฉันหรอก” ซีเหมินจินเหลียนไม่รอให้หลินเสวียนหลานมีโอกาสพูด เธอก็พูดออกไปพลางรีบเดินลงข้างล่างออกจากประตูบ้านด้วยตัวเอง
แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ขณะที่ออกจากประตูนั้น บ้านช่างคับแคบกว่าที่คิด เธอบังเอิญเจอเข้ากับหลินเจิ้งที่ดูรีบร้อนเช่นกัน
ในขณะที่หลินเจิ้งเจอหน้าซีเหมินจินเหลียน เขาก็รู้สึกงงงัน พลันคิดถึงเรื่องที่เจียหยาง ที่ตัวเองหลงเชื่อไปซื้อหยกกลับมา หยกก้อนนั้นพอตัดออกมาแล้วแพ้เดิมพัน เงินปลิวหายไปหมด ทำให้เงินทุนของบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ลงปลักจมอยู่ในบ่อโคลน หาทางขึ้นไม่ไหว
ที่คุณพ่อป่วยหนักขนาดนี้ เรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนก่อขึ้นทั้งนั้น
“เธอ หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน!” หลินเจิ้งเรียกเธอด้วยน้ำเสียงโหดเ**้ยม
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้นก็หยุดฝีเท้าลงพร้อมหันหน้าไปถาม “คุณหลินเรียกฉันมีเรื่องอะไรหรือคะ”
“เธอมาทำอะไรที่บ้านฉัน?” หลินเจิ้งถาม
“ฉันจำเป็นต้องรายงานให้คุณรู้ด้วยหรือคะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวและพยายามไม่สนใจเขา เดิมทีไม่ได้รู้สึกดีด้วยอยู่แล้ว เลยไม่อยากจะขอไปยุ่งเกี่ยว รีบเดินจากไป
“อารอง คุณปู่อยากจะพบจินเหลียนน่ะครับ” หลินเสวียนหลานรีบร้อนพูดอยู่ด้านหลัง เจอหลินเจิ้งเข้าจึงรีบอธิบายเขาสักหน่อย
เมื่อหลินเจิ้งหายจากความสับสน เขาก็ส่งสายตาพิฆาตมองไปที่จินเหลียน แล้วสีหน้าเคร่งเครียดเดินเข้าไปในบ้าน
“จินเหลียน ให้ผมไปส่งคุณดีกว่านะ” หลินเสวียนหลานพูด
“ไม่ต้องค่ะ ขอตัวนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนรีบเอ่ยปากปฏิเสธ เมื่อออกจากบ้านตระกูลหลินแล้วเธอก็เรียกรถแท็กซี่ได้ หลินเสวียนหลานเห็นรถแท็กซี่สีแดงขับออกไป เขาก็ได้แต่ถอนหายใจ ในใจสงสัยไม่หยุด คุณปู่ทำอะไรเธอกันแน่?
“คุณพ่อเรียกเธอมาทำไม” เมื่อหลินเสวียนหลานเดินกลับเข้าไปข้างใน หลินเจิ้งก็เดินมาขวางทางเขาไว้
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลินเสวียนหลานพูดความจริงออกไป ในเมื่อคุณปู่ไม่อยากจะบอกเขา เขาก็ไม่มีหน้าจะไปถามอะไรคุณปู่ อยากจะถามซีเหมินจินเหลียน แต่เห็นเธอดูรีบร้อนออกไป เหมือนกับแค่วินาทีเดียวก็ไม่อยากจะอยู่บ้านนี้
“แกไม่รู้ แล้วใครจะรู้?” หลินเจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกพลางซ่อนสีหน้า “จริงสินะ ตอนนี้แกก็ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ แม้แต่งานหมั้นยังหนีออกมาได้ แล้วยังจะมีเรื่องอะไรที่ไม่กล้าทำอีกล่ะ”
“นี่มันคนละเรื่องกัน อารองอย่าพูดจาไร้สาระเลยครับ!” หลินเสวียนหลานส่ายหน้า ไม่น่าซีเหมินจินเหลียนถึงรีบร้อนกลับไป บ้านนี้ก็ดูเหมือนกับสถานที่ให้พักพิงอาศัยตรงไหนกัน? เขาไม่ได้สนใจหลินเจิ้งรีบเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อกลับห้องตัวเอง
หลินเจิ้งนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ห้องรับแขก จากนั้นก็รีบลุกขึ้นมาเดินจ้ำอ้าวไปที่ห้องของชายชราหลิน
“คุณพ่อครับ!” หลินเจิ้งผลักประตูเข้าไปในห้องของชายชราหลินพร้อมเปลี่ยนสีหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชายชราหลินหันหน้ามามองแล้วถามเขากลับไปว่า “ทำไมกลับมาเวลานี้ ที่บริษัทไม่มีเรื่องอะไรให้ทำเหรอไง”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากกลับมาดูคุณพ่อก็แค่นั้น” หลินเจิ้งพูดพลางนั่งลงบนข้างหน้าเตียง
ชายชราหลินหัวเราะ ดูเขา? เขายังมีอะไรที่น่าดูอีก
“คุณพ่อครับ เมื่อครู่นี้ตอนที่ผมกลับมาบังเอิญเจอซีเหมินจินเหลียนเข้า เอ่อ…คนที่ให้หยกกับคุณพ่อตอนงานเลี้ยงวันเกิด…”
หลินเจิ้งอธิบายอย่างเสร็จสรรพ
ชายชราหลินพูด “ฉันให้หลินเสวียนหลานเป็นคนพาเธอมาเอง ทำไมหรือ”
“คุณพ่อเรียกเธอมาทำไมหรือครับ” หลินเจิ้งถาม เดิมทีเขาคิดว่าหลินเสวียนหลานหาข้ออ้างที่จะพาซีเหมินจินเหลียนมาเที่ยวที่บ้าน แต่คิดไม่ถึงว่าชายชราหลินจะเป็นคนเชิญเธอมาจริงๆ
“แกจะถามฉันทำไม?” ชายชราหลินถอนหายใจ “ฉันทำอะไรที่ไหน ต้องคอยตอบคำถามแกด้วยหรือ”
“คุณพ่อ ที่ผมถามก็เพราะเป็นห่วงสุขภาพของคุณพ่อนะครับ เรื่องของเด็กๆ ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะครับ” หลินเจิ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย “ผมรู้ว่าวันนั้นที่หลินเสวียนหลานหนีจากงานหมั้น ทำให้คุณพ่อรู้สึกอับอายมาก แล้วไหนจะยังทะเลาะกับตระกูลลู่อีก เด็กอย่างหลินเสวียนหลาน ตั้งแต่เล็กก็ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจจนโต อยากได้อะไรก็ให้ในสิ่งที่ขอ เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนคนนั้นหน้าตาสะสวยเข้าหน่อย ก็อาจจะทำให้ใจเต้นแรงชื่นชอบเธอขึ้นมา สงสัยคงอยากจะมาขอให้คุณพ่อช่วยจัดการให้”
ชายชราหลินได้แต่มองเขา แต่ไม่ได้พูดอะไร
หลินเจิ้งคิดไปเองว่าตนพูดถูกเลยรีบพูดต่อว่า “คุณพ่อครับ คุณพ่อจะใจดีปล่อยหลินเสวียนหลานก่อเรื่องวุ่นวายแบบนี้ไม่ได้นะครับ! ผู้หญิงอย่างซีเหมินจินเหลียนก็แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง หลินเสวียนหลานคงแค่หลงใหลในความสวยของเธอ แค่ชั่วคราวเท่านั้น…”
“จริงเหรอ?” ชายชราหลินไม่รอให้เขาพูดจบ ก็ขัดจังหวะเขาเข้า “เสวียนหลานก็หล่อใช้ได้เลย”
หลินเจิ้งสับสน หลินเสวียนหลานรูปร่างหน้าตาดี นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างยอมรับ แต่เมื่อได้ยินชายชราหลินเยินยอหลานตัวเอง คนเป็นลูกได้ยินเข้าแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์
“อาเจิ้ง แกบอกว่าคุณซีเหมินสนใจหลินเสวียนหลานอย่างนั้นหรือ?” ชายชราหลินถามขึ้นมา
“คุณพ่อล้อเล่นแล้วครับ ผู้หญิงแบบนั้นจะมีอะไรมาคู่ควรกับตระกูลของเรา?” หลินเจิ้งยังคงพูดต่อ “ผมดูแล้วลู่เฟยอวี๋คนนั้นก็ดูใช้ได้เลย นิสัยดีแถมยังโตมาพร้อมกับหลินเสวียนหลานตั้งแต่เด็ก แต่ไม่รู้ว่าทำไมเสวียนหลานถึงได้หลงผิด เดี๋ยวผมจะไปคุยกับเขาสักหน่อย คุณพ่อ คุณพ่อก็อย่ามัวแต่เอาเรื่องของเสวียนหลานมากลัดกลุ้มใจอีกเลย ตอนนี้พักผ่อนให้มากๆ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดนะครับ”
“ฉันไม่ได้ถามแกเรื่องนี้ ฉันแค่อยากถามแกว่า…ในฐานะที่แกดูจะเข้าใจผู้หญิงดี คุณซีเหมินเธอสนใจในตัวหลินเสวียนหลานหรือเปล่า” จู่ๆ ชายชราหลินก็รู้สึกว่าลูกชายของตนคนนี้ก็เป็นคนเข้าใจอะไรยากนัก การที่เถาคุยเรื่องนี้กับลูกชายก็รู้สึกกระอักกระอ่วนมากพออยู่แล้ว แต่เจ้าหมอนี่ยังไม่เข้าใจอีก
“เรื่องนี้…” หลินเจิ้งรู้สึกสงสัยในตัวคุณพ่อของตัวเอง “ผู้หญิงที่เกิดในพื้นเพแบบนั้น ก็ต้องอยากจะแต่งงานเข้ามาในตระกูลของพวกเราอยู่แล้วสิครับ”
“ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนหรอกนะที่เป็นเหมือนผู้หญิงของแก!” ชายชราหลินผ่อนลมหายใจออก
สีหน้าของหลินเจิ้งเก็บอาการไม่อยู่ คนที่พูดประโยคนี้กลับเป็นพ่อของตน
“แกออกไปเถอะ คราวหน้าระวังผู้หญิงของตัวเองไว้ให้ดี เรื่องอื่นแกก็ยุ่งให้น้อยลงหน่อยแล้วกัน!” ชายชราหลินพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบ
“คุณพ่อ คุณพ่อหมายความว่ายังไง?” หลินเจิ้งดุดันขึ้นมา
“ที่ฉันพูดก็ชัดเจนพอแล้ว แกเอางานของแกส่งต่อให้เหวินเอ๋อร์ ไม่ต้องจัดการแล้ว คอยดูแลจัดการผู้หญิงของแกไว้ให้ดี แล้วค่อยมาจัดการเรื่องอื่นก็ไม่สาย”
หลินเจิ้งไม่เข้าใจอยู่ชั่วขณะ เดิมทีเขาอยากจะมาเจอชายชราหลินเพราะมีเรื่องจะมารายงาน แต่วันนี้ตอนเช้ากลับถูกเขามองข้ามไม่มีตัวตน
“ออกไป!” ชายชราหลินน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้น
ในใจของหลินเจิ้งทำได้แค่จิตตก หันหลังเดินออกไปข้างนอก คนเฝ้าอยู่หน้าประตูรีบเดินเข้าไปพร้อมได้ยินคำสั่ง “เรียกเสวียนหลานให้มานี่หน่อย!”
ทำไมถึงปล่อยเขาไว้แบบนี้ เดิมพันหยกแพ้มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาคนเดียว ทำไมผลร้ายที่เกิดขึ้นถึงต้องเป็นเขาที่ต้องรับผิดชอบ? ไม่ได้ ตอนนี้ร่างกายของคุณพ่อไม่ค่อยจะสู้ดี ถึงสติยังครบถ้วน แต่อายุปูนนี้ ถึงจะไม่ขนาดวัยหายใจลำบาก แต่ก็อันตรายมาก เขาต้องคิดแผนการขึ้นมา จะไม่ให้ตัวเองคอยเสียเปรียบ ใช้เขามาเป็นหุ่นเชิดทำงานแค่นั้นหรอกนะ
…
ซีเหมินจินเหลียนเรียกรถกลับบ้าน เมื่อถึงหน้าบ้านก็มีเด็กผู้ชายอายุราวสิบสี่ปีมาขวางทางเธอไว้
“พี่สาว!” สายตาของเด็กผู้ชายจดจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ พร้อมยิ้มเล็กน้อยอย่างเหนียมอาย “พี่สาวครับ ผมถามอะไรพี่หน่อยได้ไหม”
“เรื่องอะไรเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย เธอจำได้ว่าเด็กผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนบ้านฝั่งทางตะวันออก เธอเคยเห็นเข้าออกอยู่หลายครั้ง
“คือเรื่องเป็นแบบนี้ครับ” เด็กผู้ชายมีสีหน้าลังเลใจแต่ก็พูดออกไป “พอดีผมเลี้ยงงูไว้ตัวหนึ่ง แต่พี่สาววางใจได้นะ งูตัวนั้นไม่มีพิษ เมื่อวานไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ไม่รู้ว่าเลื้อยมาที่บ้านพี่สาวบ้างหรือเปล่าครับ”
“งู?” ซีเหมินจินเหลียนสับสน ไม่ทันไรก็รู้สึกว่าเกิดเรื่องแล้ว เจ้าของงูมาหางูถึงหน้าบ้าน ถ้ารู้อย่างนี้เธอก็ไม่น่าใช้มีดปลิดชีวิตงูตัวนั้นเลย! แต่เธอจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเด็กผู้ชายข้างบ้านจะมีงานอดิเรกพิเศษแบบนี้กันล่ะ เธอคิดว่าจ่านป๋ายเป็นคนซื้องูตัวนั้นจากตลาดสดมาเพื่อแกล้งให้เธอตกใจเสียอีก
“พี่สาวให้ผมเข้าไปหาข้างในได้ไหมครับ ผมคิดว่างูตัวนี้น่าจะอยู่ที่สวนดอกไม้บ้านพี่” เด็กน้อยหน้าตากระอักกระอ่วนพูดขึ้น “กลัวว่าจะทำให้พี่สาวตกใจ ผมสร้างความเดือดร้อนมากพอแล้ว!”
ซีเหมินจินเหลียนคิดเช่นนั้นก็แบกหน้าพูดออกไป “มันก็เลื้อยมาที่นี่จริงๆ”
“พี่สาวเห็นมันแล้วเหรอ” แววตาของเด็กน้อยสว่างวับขึ้น
“แต่ฉันนึกว่าผู้ชายบางคนอยากจะจงใจแกล้งฉัน ฉันเลยเอามีดฆ่ามันไปแล้ว…” ซีเหมินจินเหลียนมองหน้าเด็กผู้ชายคนนั้น “ถ้าอย่างนั้นให้พี่ชดใช้ให้เธอได้ไหม”
“พี่สาว พี่ฆ่าเสี่ยวฮวาไปแล้วจริงๆ เหรอครับ?” เด็กผู้ชายตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เธอฆ่างูตัวนั้นแล้ว? เป็นไปได้อย่างไรกัน งูหายไป เขาเลยกลัวว่าจะออกมาทำให้คนตกใจ แต่คิดไม่ถึงว่างูโชคร้ายตัวนั้น ที่ไม่ได้คิดทำร้ายคนจะมาจบชีวิตลงแบบนี้
“ขอโทษด้วยนะ” ซีเหมินจินเหลียนปัดมือบอกอย่างช่วยไม่ได้
“มะ…ไม่เป็นไรครับ” เด็กผู้ชายก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเพราะตัวเอง นี่จะโทษใครไม่ได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสลดใจ “ไม่ต้องชดใช้อะไรทั้งนั้นหรอกครับ เดี๋ยวอีกกี่วันผมค่อยซื้อมาใหม่ เพียงแต่ว่าผมเลี้ยงเสี่ยวฮวามาได้สองปีแล้ว…”
“สองปีน้องก็เลี้ยงให้โตเท่านี้เองเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัย “น้องให้มันลอกคราบหรือยัง”
เด็กผู้ชายท่าทางเห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจ เขาส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ผมได้ยินมาว่างูสามารถลอกครอบได้ แต่ว่ามันไม่เคยลอกมาก่อน”
“ตอนหน้าหนาวถือศีลหรือเปล่า” ซีเหมินจินเหลียนถามอีกรอบ
“ผมให้ความอบอุ่นมัน ไม่ได้ให้มันถือศีลครับ” เด็กผู้ชายรู้สึกประหลาดใจถามไป “พี่สาวก็เข้าใจการเลี้ยงงูด้วยเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “เคยเห็นคนอื่นเลี้ยงมาน่ะ” เมื่อก่อนตอนที่อยู่ชนบท มีชายแก่ท่าทางจิตไม่ปกติอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านชอบเลี้ยงงู งูที่เขาเลี้ยงไม่ใช่งูเลี้ยง แต่เป็นงูพิษ ได้ยินว่างูพิษสามารถนำมาทำเป็นยารักษาโรคได้หลายขนาน ตอนที่เธอเด็กก็เคยแอบไปดูอยู่ครั้งหนึ่ง ถึงกระทั่งเคยถามชายแก่เกี่ยวกับความรู้ในการเลี้ยงงู แต่ตัวเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเอามันมาเป็นงานอดิเรกความชอบส่วนตัว
แต่ทว่างูที่เลี้ยงมาถึงสองปี กลับยังตัวไม่ใหญ่เท่างูตัวเล็กๆ ที่เธอเคยจับมาเล่น ต้มใส่หม้อกินยังไม่อิ่มเลย
เด็กผู้ชายได้ยินดังนั้นก็หมดหวังอีกรอบ ถึงแม้ซีเหมินจินเหลียนฆ่าสัตว์เลี้ยงของเขา แต่เขาก็ยังมีมารยาทบอกลาเธอแล้วเดินจากไป ซีเหมินจินเหลียนจึงหันหน้าเดินเข้าบ้านตัวเอง ในใจรู้สึกสงสัย ถึงงูตัวนี้จะเป็นงูที่เด็กผู้ชายทำหาย แต่ทำไมถึงต้องเลื้อยไปที่ห้องของเธอ ทำไมถึงไม่เลื้อยไปห้องของจ่านป๋ายล่ะ?
แต่ว่าเรื่องนี้ก็ได้ล้างมลทินให้กับจ่านป๋ายแล้ว
เมื่อถึงหน้าประตู จ่านป๋ายก็เปิดประตูออกมาทักทาย “กลับมาแล้วเหรอครับ เรื่องของหลินเสวียนหลานเป็นยังไงบ้าง เขาไม่มาส่งคุณเหรอ”
“ฉันก็ไม่ได้ไม่มีแข้งไม่มีขาขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องให้เขามาส่งหรอก” ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไป สายตาหันไปเห็นตรงกลางของห้องรับแขกมีหินราชางูวางไว้อยู่ ได้แต่ถามจ่านป๋ายอย่างสงสัย “คุณเอามันมาวางไว้ตรงนี้ทำไม”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 58 กระแสไฟฟ้ากระตุ้น
จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ถาม “คุณก็นัดกับผู้อาวุโสหูเอาไว้ว่าตอนบ่ายจะมาดูหินหยกก้อนนี้ไม่ใช่เหรอครับ? แต่จะให้เขาลงไปห้องใต้ดินไม่ได้นี่นา เพราะอย่างนั้นผมว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เลยเอามันย้ายออกมา พลางศึกษาอะไรสักหน่อยน่ะ…”
สายตาของซีเหมินจินเหลียนสำรวจไปเห็นคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดอยู่ในห้องรับแขก ไหนจะเชือกหลายเส้นที่ผูกมัดหินหยกก้อนนั้นเอาไว้จึงขมวดคิ้วถามว่า “คุณจะศึกษาอะไรกัน”
“ผมจะลองดูว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า” จ่านป๋ายยิ้ม
“มีชีวิต?” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางนั่งลงบนโซฟา มองไปยังคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแสดงโชว์อยู่ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
“จินเหลียน เมื่อกี้ผมนำหยกก้อนนี้ไปเจียระไนดู แน่นอนฝีมือของผมยังไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่” จ่านป๋ายพูดต่อ “แต่คุณลองมาดูนี่สิครับ งู…งูตัวนี้ยิ่งดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่”
ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปดู เพราะว่าเจียระไนแค่ผิวหินเท่านั้น ลักษณะผิวจึงมีรอยตัดมากมายหลงเหลืออยู่ กลายเป็นกระจับหลากหลายชิ้น ภายใต้แหล่งกำเนิดไฟ การหักเหและการสะท้อนกลับของแสง เมื่อมองงูที่อยู่ข้างในหยก มันก็เหมือนกำลังเคลื่อนไหว ราวกับมีชีวิตอยู่จริงๆ
โดยเฉพาะการที่จ่านป๋ายไม่มีอะไรทำแล้วมาเจียระไน แต่ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าฝีมือในการเจียระไนของตัวเองยังขาดทักษะอีกเยอะ แต่คิดไม่ถึงว่าฝีมือของจ่านป๋ายกลับไม่มีอะไรต่างกัน เจียระไนกับไม่เจียระไนยังไม่ต่างกันเท่าไหร่
“ชายชราหลินเรียกคุณไปทำอะไรเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“เขาก็เรียกฉันไปฟังเขาเล่าเรื่องประวัติของบ้านเขาน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“หืม?” จ่านป๋ายยังคงไม่เข้าใจ แต่ก็ถามออกไปต่อว่า “ประวัติบ้านเขาไม่ได้เฟื่องฟูอะไร แล้วยังมีหน้าจะพูดอีก?”
“เมื่อตอนยังวัยรุ่นเขากับผู้อาวุโสหูเคยนับถือเป็นศิษย์อาจารย์กัน แต่เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรจากผู้อาวุโสเท่าไหร่ อีกทั้งกลับขโมยหยกของเขามาอีก จากนั้นก็ทำให้เขาร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ” ซีเหมินจินเหลียนคิดไปคิดมาแล้วเล่าเรื่องของชายชราหลินแบบสั้นๆ ให้เขาฟังอีกรอบ ชายชราหลินไม่ได้เรียนกับผู้อาวุโสหู ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ต้องซื้อหินหยกก้อนนั้นที่มาจากพม่า แล้วเดิมพันแพ้ราบคาบอย่างนั้น
สัญชาตญาณในการดูหินของผู้อาวุโสหู ซีเหมินจินเหลียนก็เลื่อมใสอย่างมาก เธอใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่าน แต่หยกที่ผู้อาวุโสหูเก็บสะสมมาทั้งหมดนั้น ทำให้เธอยังตกใจอย่างไม่มีสิ้นสุด
หยกฮกลกซิ่ว หยกสีเลือด หยกสีเหลือง หยกสีผสม ล้วนมากจากเขาทั้งนั้น เพียงแต่นิสัยของผู้อาวุโสท่านนี้ ดูจะแปลกไปสักหน่อย
“ผู้อาวุโสหูมาเซี่ยงไฮ้ก็เพื่อที่จะมาทวงหนี้” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“เขามาเซี่ยงไฮ้ก็เพื่อมาหาคุณต่างหาก” จ่านป๋ายส่ายหัว “0tพูดให้ถูกก็คือ เขามาเพื่อหินก้อนนี้!” พูดพลางเหลือบไปมองที่หินราชางูก้อนนั้น
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ ผู้อาวุโสหูอาจจะอยากรู้ว่าลักษณะข้างในของหินหยกก้อนนี้เป็นอย่างไร แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้แค่เรื่องเดียวที่เขาถึงยอมมาจากเจียหยาง? ถ้าหากเขาอยากจะรู้จริงๆ แต่หยกนี่ก็อยู่ในมือของเขามาตั้งหลายปี แล้วทำไมถึงไม่เป็นคนเปิดหินเสียเองล่ะ?
เอาเถอะ ถึงเขาจะมีความหวาดระแวง แต่เขาก็ไม่ใช่มีลูกศิษย์อย่างราชาแห่งนักเดิมพันหยกหรอกเหรอ สามารถให้เขาเจียระไนหินให้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร หรือไม่ก็หาคนธรรมดามาปอกผิวหยกก็ได้ คงไม่ต้องยืมมือเธอมาหรอกมั้ง?
“เรื่องนี้เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับคุณนี่ แล้วเขาจะเรียกหาคุณทำไมกัน” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันก็คิดอย่างนั้น แต่เขาคิดว่าฉันกับผู้อาวุโสหูสนิทกันดี อยากจะให้ฉันพูดเกลี้ยกล่อมให้ แต่เรื่องนี้อย่าว่าแต่ฉันกับผู้อาวุโสหูไม่สนิทกันเลย ถึงสนิทกันมันก็เป็นเรื่องของอาจารย์และลูกศิษย์ เรื่องหยกจะให้ฉันพูดอะไรได้” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า
จ่านป๋ายครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “จินเหลียน ที่จริงผมรู้สึกว่าผู้อาวุโสหูไม่ได้ตั้งใจที่จะมาทวงหนี้ตั้งแต่แรก เขาเพียงแค่บังเอิญเจอชายชราหลินเข้า ก็คิดได้ขึ้นมา ไม่พอใจเลยพูดใส่เขาไป คุณก็รู้ผู้อาวุโสหูท่าทางแปลกๆ สายตาในการมองหินก็ไม่ใช่มองอย่างคนธรรมดา หยกก้อนนั้นเขาอาจจะไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ แล้วจะมาทวงหนี้เขาจริงๆ งั้นเหรอ? เพียงแต่ชายชราหลินหวาดระแวงจนเกินไป ถ้าหากเขาอยากจะมาทวงหนี้จริงๆ คงไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านมานานขนาดนี้หรอก”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ผู้อาวุโสแปลกๆ คนนี้มีเงินมากมาย บางทีอาจไม่ได้สนใจหินหยกก้อนนั้นตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ สำหรับเขาแล้ว…” ซีเหมินจินเหลียนพูดได้เท่านี้ก็ไม่พูดอะไรต่อ ผู้อาวุโสหูเคยบอกว่านี่เป็นแค่เทพธิดาฝึกวิชาแล้วเหลือหินเอาไว้ สิ่งที่เขาอยากหาคือ หินที่นำมาปิดฟ้าเบื้องบน
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่ได้หาชายชราหลินเพื่อทวงหนี้อย่างแน่นอน
“อะไรเหรอครับ” จ่านป๋ายถาม
“สำหรับเขาแล้ว นี่ก็เป็นแค่ของกิ๊กก๊อก ไม่ได้มีค่าราคาอะไรหรอก” ซีเหมินจินเหลียนพูดด้วยเสียงนิ่งเฉย
“ผู้อาวุโสท่าทางแปลกประหลาดนี้เหมือนกับกินยาผิดขนาด หลังจากกลับมาจากเมืองเจียหยางก็ตามติดพวกเรามาตลอด” จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจ ซีเหมินจินเหลียนปิดบังอะไรตนอยู่ ในเมื่อเธอไม่พูด เขาก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้พร้อมถามว่า “เพียงแต่เขาอายุปูนนี้แล้ว ผมก็ไม่อยากจะไปหาเรื่อง ขอแค่เขาไม่ทำเรื่องอะไรแผลงๆ ก็พอ เขาอยากจะตามก็ตามไป อ้อ จริงสิ คุณรู้ไหมว่าช่วงนี้ผู้อาวุโสหูพักอยู่ที่ไหน”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาพักอยู่ที่ไหน?
“เขาซื้อที่พักไม่ไกลจากเราเท่าไหร่ พื้นที่ไม่ได้ใหญ่ธรรมดา ผู้อาวุโสนั่นก็มีระดับทีเดียว!” จ่านป๋ายพูดพลางยิ้ม “ดูแล้วเหมือนว่าเขาคิดที่จะอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ยาวเลยล่ะ!”
“เขานั่นเหรอ ที่อยู่วัดรกร้างจะเป็นคนมีระดับอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ครั้งแรกที่เธอเจอเขาที่เมืองเจียหยาง เธอยังคงไม่ลืมว่าเขาคนนั้นอยู่ที่วัดรกร้าง ร่างกายสวมใส่ชุดกังฟูยาวสีน้ำเงิน มือถือบุหรี่ ผู้อาวุโสคนนี้ชอบนึกถึงความหลัง ตอนนั้นได้ข่าวมาจากปากคนในอย่างเหล่าหลี่ว่า เขาเคยอยู่ที่ไหนก็ไม่อยากจะย้ายที่ แล้วเขาจะยอมตัดใจมาอยู่ยาวที่เมืองเซี่ยงไฮ้ได้ยังไงกัน?
“รสนิยมของคนแก่ไม่เหมือนกับพวกเราหรอกครับ” จ่านป๋ายส่ายหัว “เขาซื้อบ้านครั้งนี้ ในอนาคตถ้าคุณได้เห็นก็คงเข้าใจ นั่นไม่ใช่แค่มีเงินธรรมดาแล้วสามารถซื้อมาเล่นๆ ได้หรอกนะ”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าไปมา บ้านก็แค่ใช้อาศัยหลบลมฝน อยู่ได้ก็พอแล้ว เธอไม่เชื่อว่าบ้านของผู้อาวุโสหูจะทำมาจากทองทั้งหมดหรอกนะ? เอาเถอะ ถึงบ้านเขาจะทำมาจากทองทั้งหมด แล้วจะทำไม ผู้อาวุโสก็ไม่มีลูกมีหลาน ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เขาอายุปูนนี้แล้ว อยากจะใช้เงินที่หามาตอนมีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องที่เสพสุขอารมณ์ของเขา
“พูดอย่างละเอียดก็คือ ผู้อาวุโสมาเพื่อหินก้อนนี้” ซีเหมินจินเหลียนมองเป็นนัยไปที่หินราชางูก้อนนั้น ในใจได้แต่ครุ่นคิด ถ้าหากผู้อาวุโสหูเห็นหินราชางูนี่เข้า แล้วอยากจะซื้อกลับไปในราคาสูง ตอนนั้นเธอจะขายให้เขาดีหรือเปล่านะ?
ความเป็นไปได้ก็มีสูงมาก ผู้อาวุโสหูอยู่ๆ ก็มาจากเมืองเจียหยาง คงจะไม่ใช่แค่อยากเห็นผลลัพธ์เพียงแวบเดียวหรอกมั้ง?
แต่เมื่อคิดทบทวนดูอีกทีแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ตัดสินใจได้ หินที่แปลกประหลาดแบบนี้ เธอจะไม่ขายออกไปแน่ ถึงแม้ว่าจะมีความชั่วร้ายอยู่ในตัวมันก็ตาม
จ่านป่ายได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า ในใจเต้นรัวแล้วพูดว่า “จินเหลียน โชคดีที่พวกเราระวัง ไม่อย่างนั้น ผมว่านะ ถ้าหินหยกนี้ไปอยู่ในมือของคนธรรมดาเข้า พอมีดตัดลงไปที่หยกอาจจะทำให้งูขาดเป็นสองท่อนก็เป็นได้?”
ตอนที่เขากำลังพูดประโยคนี้อยู่ สายตาก็มองไปที่หินราชางูก้อนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เขาเห็นว่าดวงตาของงูตัวนั้นกะพริบ ด้วยท่าทางดูหวาดกลัว…
งูเมื่อแสนปีก่อนยังรู้จักกลัว? นี่เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะขบขันนัก จ่านป๋ายส่ายหน้าแล้วตั้งใจมองไปที่หยกก้อนนั้นอีกครั้ง
“คุณศึกษามาครึ่งค่อนวันแล้ว น่าจะดูออกว่างูตัวนี้มีชีวิตหรือว่าตายแล้วใช่ไหม” ซีเหมินจินเหลียนถาม
จ่านป๋ายลูบไปที่หินราชางูอย่างแผ่วเบาแล้วพูดว่า “ผมก็ไม่รู้ เมื่อกี้ผมแค่ถ่ายรูปออกมาไม่กี่ภาพ จากนั้นก็ศึกษาผ่านจากมุมกล้องที่แตกต่างกัน ยังไม่ได้เชื่อมต่อกับกระแสไฟฟ้า”
“คุณคิดจะวิจัยยังไง” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ถ้าผมพูดไปคุณอาจจะด่าผมก็ได้!” จ่านป๋ายคิดอะไรแผลงๆ ได้ “ผมเตรียมที่จะเปิดกระแสไฟ จากนั้นจะใช้ไฟไปกระตุ้นงูตัวนั้น ถ้าหากมันยังมีชีวิตอยู่คงจะมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าบ้าง จากนั้นผมสามารถดูผ่านคอมพิวเตอร์ได้…”
“นี่คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า เธอไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีนี้ “ถ้าหากมันมีชีวิตจริงๆ ถูกคุณใช้กระแสไฟโจมตี มันก็ตายอยู่ดี”
“ไม่หรอกครับ ผมจะควบคุมพลังงานของกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าไปในตัวของมัน” จ่านป๋ายพูดต่อ “ในเมื่อพวกเราไม่มีอะไรทำ จินเหลียน คุณก็ให้ผมศึกษาสักหน่อยเถอะนะ งูตัวนี้มันเหมือนมีชีวิตอยู่จริงๆ ไม่เช่นนั้นพวกเราหาวิธีให้มันออกมา คุณคิดดูนะ งูที่อยู่มาเมื่อแสนปีก่อน ล้านปีก่อน แม้กระทั่งพันปีก่อน แล้วยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าเรา มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นขนาดไหนกัน?”
“ไม่ได้!” ซีเหมินจินเหลียนรีบปฏิเสธทันควัน จะเอางูออกมาเนี่ยนะ? ล้อเล่นอะไรกัน “ฉันดูแล้วว่างูตัวนี้กับหยกรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งนานแล้ว มันก็กลายเป็นหยกแล้ว คุณก็อย่าทำอะไรแผลงๆ เก็บแหล่งกำเนิดไฟของคุณไปซะ ฉันไม่อนุญาตให้คุณทำอะไรไร้สาระกับงูตัวนี้ทั้งนั้น”
“จินเหลียน แค่ทดลองนิดเดียวเองครับ!” จ่านป๋ายทำหน้าตาสงสารหันไปมองเธอ ความจริงตอนที่เธอยังไม่กลับมา เขาก็เตรียมอุปกรณ์หลากหลายชนิดไว้แล้ว แต่เขาไม่กล้าจะทดลองเสี่ยงอันตราย กลัวว่ามูลค่าของหยกจะสูญหายไป
ซีเหมินจินเหลียนนั่งลงกับพื้นแล้วมองไปที่หยกที่มีงูอยู่ข้างใน เหมือนกับมีชีวิตอยู่จริงๆ มิน่าจ่านป๋ายถึงอยากจะวิจัยนักหนา เพื่ออยากจะรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า หรือว่ากลายเป็นหยกหมดแล้ว? ความจริงเธอเองก็สงสัยเป็นอย่างมาก
แต่การใช้กระแสไฟฟ้าไปโจมตีมัน มันจะเจ็บหรือเปล่า?
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกประหลาดที่ตัวเองคิดเช่นนี้ ถ้าเธอคิดแบบนี้ นั่นก็หมายความว่าเธอยอมรับว่างูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่? มีแค่สิ่งที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ถึงจะสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด…
วันนั้นที่โรงงานแปรรูปหยก เธอพยายามใช้สายตาในการมอง งูตัวนี้น่าสงสารมาก มันเบิกตากว้างมองเธอ เธอเลยรู้สึกว่ามันกำลังขยับอยู่ ใช่แล้วมันกำลังขยับตัว ราวกับอยากจะทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อที่จะได้ออกมาจากหยก ตอนนั้นเธอเลยตกใจร้องตะโกนออกมา ฉากนี้ช่างเหลือเชื่อเกินจริง แปลกซะยิ่งกว่าแปลก
แต่หลังจากนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็คิดหน้าคิดหลัง สงสัยตัวเองคงตาลายไป น่าจะเป็นเพราะงูตัวนั้นเหมือนจริงจนเกินไป บวกกับลายในตัวของมัน ทำให้มีอาการของภาพลวงตาเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นเธอไม่ลังเลใจที่จะซื้อมันกลับมา ไม่ว่ามันจะมีพลังชั่วร้ายยังไงก็ต้องแกะหินออกมาให้ได้ เพื่อให้รู้ว่าข้างในเป็นอะไรกันแน่ แต่เมื่อดูเสร็จเธอกับจ่านป๋ายต่างรู้สึกเหมือนกัน งูข้างในหยกนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ ตอนนั้นทำไมมันถึงถูกกลายเป็นหยกแบบนั้น
“มันกลายเป็นหยกไปเรียบร้อยแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูด ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่พูดประโยคนี้ ในใจของเธอถึงได้เจ็บปวดเสียใจออกมาโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ
ถ้าหากงูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ หินหยกก้อนนี้รวมตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ หลายปีที่ผ่านมาที่อยู่ในหินก้อนนี้เติบโตข้ามผ่านกี่วันและกี่ปี?
“ถ้าหากมันกลายเป็นหยกจริงๆ แล้ว คงจะไม่ใช่รูปทรงแบบนี้หรอกครับ” จ่านป๋ายส่ายหัว “ผมรู้สึกถึงความผิดปกติ ถ้าหากไม่ใช่หยกแก้วไร้สี ถ้าข้างในมีงูอยู่ พวกเราก็มองไม่เห็น อาจมีโอกาสที่จะตัดมันออกมา”
เขาพูดย้ำเตือนแก่ซีเหมินจินเหลียนครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าหากหยกก้อนนี้ไม่ได้ตกอยู่ในมือของเธอ แต่ไปอยู่ในมือของคนอื่น ถึงจะไม่ได้เริ่มตัดจากตรงกลาง แต่เวลาตัดข้างๆ ก็อาจจะทำให้งูขาดเป็นสองท่อนได้เช่นกัน…
“ยังไงก็ช่าง คุณไม่สามารถเอามันออกมาได้ และก็ห้ามใช้กระแสไฟกระตุ้นมันเด็ดขาด!” ซีเหมินจินเหลียนจ้องไปที่เขาแล้วส่งสัญญาณเตือน “ถ้าใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นมัน มันอาจจะเจ็บทรมานก็ได้นะ?”
“เมื่อคืนก็ไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งฆ่างูไปเหรอครับ!” จ่านป๋ายบ่นพึมพำ “โดนกระแสไฟฟ้าแค่ครั้งเดียว ไม่ถึงกับตายหรอก”
“ฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!” ซีเหมินจินเหลียนพูดย้ำด้วยความหนักแน่น
“โอเคครับๆๆ คิดเสียว่าผมไม่เคยพูดก็แล้วกัน ผมจะถ่ายรูปสักหลายๆ รูปเอามาวิเคราะห์ศึกษาก็ได้ โอเคไหม?” จ่านป๋ายพูด
“แน่นอนไม่มีปัญหา!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่า คุณยังมีอารมณ์แบบนี้ด้วย ความจริงถึงงูตัวนี้ยังมีชีวิตแล้วจะทำไม? หรือว่าคุณเตรียมจะเอามันออกมาเลี้ยง? มันจะมีชีวิตหรือว่าเป็นหยกไปแล้ว แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย”
จ่านป๋ายนิ่งอึ้งไปจากนั้นก็พูดออกมาว่า “พูดอย่างนี้ แสดงว่าคุณก็สงสัยว่ามันอาจจะมีชีวิตอยู่?”
“พูดจาอะไรไร้สาระ?” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ “คุณช่วยย้ายมันไปอีกฝั่งหน่อย แล้วก็หาผ้ามาปิดซะ ฉันไม่อยากถูกงูจ้องมองเวลากินข้าว”
จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหัวอย่างเอือมระอา โชคดีที่หินราชางูนี่ไม่ได้ใหญ่ เลยจัดการย้ายมันไปที่เก้าอี้ไม้แกะสลักขนาดใหญ่ได้สะดวก จากนั้นหาผ้าขนหนูมาปิดไว้ หมุนตัวกลับมาเห็นซีเหมินจินเหลียนนั่งเหม่อลอยอยู่ที่โซฟา
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอครับ”
“ใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นมัน มันจะไม่ตายจริงๆ เหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นไปถามเขา
“หา?” จ่านป๋ายได้ยินแล้วรู้สึกราวกับอยากจะร้องไห้ ความคิดของผู้หญิงช่างยากจะเข้าใจ แต่ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า เธอเองก็รู้สึกสงสัยมากเช่นกันว่างูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วกันแน่ “ถ้าหากคุณยังไม่สบายใจ พวกเราไปที่ตลาดขายสัตว์เลี้ยงแล้วลองซื้องูกลับมาทดลองดีไหม เพื่อทดสอบดูกระแสไฟ จากนั้นค่อยไปลองกับหินก้อนนั้น”
ซีเหมินจินเหลียนคิดพิจารณาถึงความเป็นไปได้จึงพูดออกมาว่า “ก็ได้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จแล้วรอให้ผู้อาวุโสหูกลับไป แล้วค่อยไปดีไหม?” จ่านป๋ายพูด
“โอเค…” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ทดลองดูก่อนจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าสัตว์โบราณมาตายแบบนี้ เธอคงรู้สึกผิดแน่ แต่ถ้าหากว่างูตัวนี้มีชีวิตอยู่จริง อายุของมันคงยาวนานมาก นี่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมาย กลัวว่าแค่กระแสไฟฟ้าธรรมดาก็ไม่อาจทำให้มันตายได้ ตรงกันข้ามในเมื่อกลายเป็นหยกแล้ว เธอจะเล่นยังไงก็เล่นได้เต็มที่ แม้กระทั่งตัดก็ตาม…
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 59 หยกกับตำนานเทพ
เวลาบ่ายโสงมองตรง ผู้อาวุโสหูก็ปรากฏตัวตามเวลาที่นัดหมายไว้ จ่านป๋ายเดินไปเปิดประตู
ผู้อาวุโสหูยังคงเหมือนเดิม เขาแต่งกายด้วยชุดกังฟูยาวสีน้ำเงิน การแต่งกายลักษณะนี้ช่างไม่เกรงกลัวว่าเดินไปไหนในเมืองเซี่ยงไฮ้แล้วจะถูกคนมองหรืออย่างไรกัน ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อหน้าประตูมีแขกมาเยือน เธอจึงได้แต่รีบทักทายเขา “ผู้อาวุโสหูเชิญนั่งก่อนค่ะ”
“อ่อ!” ผู้อาวุโสหูยิ้ม “สาวน้อยจินเหลียน คนแก่อย่างผมก็นำของฝากขึ้นชื่อเล็กๆ น้อยๆ มาให้น่ะ ออกไปดูข้างนอกที แล้วเอาของในรถย้ายเข้ามาในบ้านให้หน่อย” ผู้อาวุโสหูพูดระหว่างที่ตัวเองเดินย่างเข้ามาในบ้านแล้ว ชายคนนี้ได้ยินว่าแก่กว่าชายชราหลินกับเจียหยวนฮว่าค่อนข้างมาก แต่กระดูกกระเดี้ยวเรี่ยวแรงดูไม่ออกเลยสักนิดว่าแก่
“อะไรนะครับ?” จ่านป๋ายได้แต่งงงวย ของฝากขึ้นชื่อ? นี่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นของแบบไหนกัน
“ไปเถอะ อยู่ที่กระโปรงรถด้านหลังน่ะ ระวังหน่อยแล้วกัน อย่าทำให้แตกล่ะ!” ผู้อาวุโสหูลูบเคราแล้วเบิกตากว้าง พูดพลางหย่อนกายลงนั่งไปที่โซฟาของซีเหมินจินเหลียน ท่าทางไม่ได้มีความเกรงใจเห็นเป็นคนนอกเลยสักนิด
“เอ่อ…ครับ” จ่านป๋ายไม่มีทางเลือกได้แต่เดินออกไปข้างนอก
“ผู้อาวุโสคะ รถของคุณไม่ได้ล็อคไว้หรอกเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนกระแอมไอสองที เพื่อส่งเสียงเตือนเขา
จ่านป๋ายเลยตั้งใจหยุดฝีเท้าลงและหมุนตัวไปคุยกับผู้อาวุโสหู “จริงสิครับ ผู้อาวุโส คุณยังไม่ได้ให้กุญแจรถผมเลยนะครับ”
ผู้อาวุโสหู สัมผัสได้ถึงความหมายบางอย่างเลยหันไปยิ้มให้กับซีเหมินจินเหลียนแล้วหยิบกุญแจรถโยนไปให้ “ความคิดของสาวน้อยซับซ้อนไม่เบา”
“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
จ่านป๋ายก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหูท่านนี้จะเอาของฝากอะไรมาให้ ข้างนอกมีรถฮัมเมอร์จอดอยู่หน้าประตูคันหนึ่ง เมื่อเปิดกระโปรงรถออก เป็นอย่างที่คิดไว้ มีกระสอบป่านเก่าๆ ขนาดใหญ่วางไว้อยู่ ไม่รู้ว่าเป็นของอะไร สัญชาตญาณของเขายื่นมือไปแตะมัน เมื่อแตะจ่านป๋ายก็สีหน้าเปลี่ยน ไม่ต้องดูก็เดาได้ว่าภายในกระสอบข้างในใส่อะไรไว้อยู่
ตอนนั้น จมูกของเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นพิเศษเหม็นลอยเข้ามา
“หวังว่าซีเหมินจินเหลียนคงจะชอบสิ่งนี้นะ” จ่านป๋ายบีบจมูกกลั้นหายใจแบกกระสอบป่านเข้ามาในบ้าน
“อะไรเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนเมื่อเห็นกระสอบป่านพุพังนั้น ก็ช่างดูเข้ากับสไตล์ตัวผู้อาวุโสหูเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเขาหากระสอบป่านโบราณนี้มาจากที่ไหน
“เปิดออกมาดูสิ!” ผู้อาวุโสหูพูดอย่างภาคภูมิใจ
จ่านป๋ายจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสหู ไม่ช้าก็ทำการเปิดแกะกระสอบ ใช้แรงทั้งหมดนำของที่อยู่ในกระสอบออกมา ของสิ่งนั่นยิ่งส่งกลิ่นเหม็นประหลาดอบอวนกระแทกจมูกไปทั่ว
“ทุเรียน?” ซีเหมินจินเหลียนสีหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อเห็นฉายาของทุเรียน ที่เรียกว่า ‘ราชาแห่งผลไม้’ ลูกใหญ่มีหนามแข็งที่แหลมคม เสริมกับกลิ่นหอมที่แปลกประหลาด จำนวนไม่มากไม่น้อย แปดลูกพอดี
ผู้อาวุโสท่านนี้หาเรื่องมาเซอร์ไพรส์ได้ไม่หยุด มาส่งของถึงหน้าประตูบ้าน แล้วยังเป็นของที่คาดไม่ถึงอีก?
“ผู้อาวุโสหูคะ คุณมาก็พอแล้ว ยังจะต้องเอาของฝากอะไรมาด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนเจตนาพูดขึ้น เธอก็ชอบกินผลไม้ ทุเรียนก็กิน อีกอย่างก็ไม่ได้รู้สึกว่ากลิ่นของมันเหม็นแต่อย่างไร แต่เมื่อเห็นผู้อาวุโสหูเอาทุเรียนมามากมายขนาดนี้ เธอก็รู้สึกแปลกใจ
จ่านป๋ายถอยหลังไปเล็กน้อย เพื่อหลบหนีกลิ่นของทุเรียน ก่อนจะมองไปที่ผู้อาวุโสหูอีกครั้ง ผู้อาวุโสท่านนี้ก็จงใจอย่างแน่นอน เพราะกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่ไม่ได้เหม็นธรรมดาเลย
“โอเค ไม่ต้องพูดแล้ว เอาหยกนั้นมาให้ผมดูหน่อยได้ไหม” ผู้อาวุโสหูหันไปมองที่จ่านป๋ายด้วยสีหน้าปกติ
“ได้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเดินไปที่ข้างหน้าหินหยกนั่น เปิดผ้าขนหนูที่คลุมไว้ออกแล้วยิ้ม “ผู้อาวุโสหูจะดูอะไรก็ตามสบายเถอะค่ะ”
ผู้อาวุโสหูรีบเดินจ้ำอ้าวไปอยู่ข้างหน้าโต๊ะไม้นั่น จากนั้นก็นั่งลงกับพื้นยื่นมือไปสัมผัสหยกก้อนนั้น จดจ้องไปที่ตัวงู สีหน้าของเขาตอนนี้เหมือนกับจ่านป๋ายและซีเหมินจินเหลียนครั้งแรกที่ท่าทางตกใจจนสุดขีด
“ฉันมีอายุขนาดนี้แล้วก็คิดไม่ถึงว่า จะได้เห็นรูปร่างของมันอย่างแท้จริง…” ผู้อาวุโสหูมือสั่นระริก แล้วสัมผัสไปที่หินราชางูก้อนนั้น
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกกังวลใจแทน ผู้อาวุโสหูไม่ได้มีโรคความดันสูง หรือเป็นโรคอะไรใช่ไหม? คนแก่ปูนนี้ถ้าได้รับอะไรสะเทือนใจ อาจจะทำให้ยิ่งอาการหนัก…
“ผู้อาวุโสหู มันก็แค่งูที่กลายเป็นหยกแล้วไม่ใช่หรือคะ” ซีเหมินจินเหลียนเจตนาพูดไปอย่างนั้น
“งูที่กลายเป็นหยก?” ผู้อาวุโสหูพูดย้ำสิ่งที่ซีเหมินจินเหลียนพูดอีกครั้ง ส่วนสายตายังไม่ละวางไปจากงูที่อยู่ในหยกก้อนนั้น…
ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจไม่รบกวนเขาแล้ว ในเมื่อเขานั่งดูอย่างเงียบๆ เธอรู้ว่างูที่อยู่ข้างในหยก มันช่างมาพร้อมกับความสะเทือนใจให้กับผู้ที่พบเห็น ไม่ใช่เป็นเพราะว่ามันเหมือนกับสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่เพราะว่ามันห่างไกลจากโลกความเป็นจริง แต่เป็นเพราะว่าผิวของงูมันช่างเหมือนของคนเหลือเกิน มันเป็นไปได้ที่จะโค่นล้มทฤษฎีทั้งหมดของบรรพชีวินวิทยาที่ได้กล่าวไว้
บางทีนี่อาจจะเป็นผลที่เกิดขึ้นหลังจากกลายเป็นหยกแล้ว? ซีเหมินจินเหลียนคิดแบบนี้ เดิมทีลำตัวของงูตัวนี้ทั้งหมดเป็นสีดำ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ในหยกมานานเลยทำให้กลายเป็นหยก เมื่อมองเลยทำให้คล้ายกับผิวของคน แต่ถ้าหากกลายเป็นหยกไปแล้ว หงอนที่อยู่บนหัวของมันทำไมถึงไม่กลายเป็นหยกไปล่ะ? ไหนจะดวงตาของมันที่ดูราวกับมีชีวิตอยู่ ทำไมถึงไม่ได้กลายเป็นหยก?
คำอธิบายนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย
จ่านป๋ายรับไม่ได้กับกลิ่นของทุเรียน เขาเลยไปบอกลาซีเหมินจินเหลียนให้รับรู้ พร้อมเดินไปที่สวนดอกไม้ข้างนอก นี่ก็จริงๆ เลย ผู้อาวุโสท่านนี้ต้องโรคจิตแน่ๆ คิดได้ยังไงถึงให้ทุเรียนคนอื่นเป็นของฝากแบบนี้?
ซีเหมินจินเหลียนพอจะเข้าใจจ่านป๋าย คนส่วนมากไม่ชอบในกลิ่นของทุเรียน แม้กระทั่งบางคนเมื่อดมกลิ่นทุเรียนเข้าไปแทบอยากจะอาเจียนออกมา
ผู้อาวุโสหูใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการเพ่งมองไปที่หินราชางูก้อนนั้น เดิมทีที่นั่งอยู่กับพื้น ต่อมาสงสัยจะนานเกิน ขาเริ่มจะชา เขาเลยนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น
ท่าทางเช่นนี้ ซีเหมินจินเหลียนดูยังไงก็แปลก เหมือนกับกำลังทำพิธีบูชาอะไรอยู่…
“สาวน้อย” จู่ๆ ผู้อาวุโสหูก็พูดขึ้นมา
ซีเหมินจินเหลียนเดินไปที่ข้างๆ เขา เธอไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้อาวุโสหูท่านนี้ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา แต่เธอก็แกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วถามไปว่า “ผู้อาวุโสหูดูเสร็จแล้วหรือคะ”
“สาวน้อย คุณว่านี่คืองูอะไรหรือ” ผู้อาวุโสหูจับไปที่โต๊ะแล้วค่อยๆ ประคองตัวขึ้นมา พร้อมยกแขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาที่หลงเหลือ ส่ายหน้าพูด “เสียหน้าเลย!”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างแผ่วเบา “หลังจากที่ฉันเจียระไนหินเสร็จ ฉันก็ไปไม่ถูกอยู่เหมือนกัน…” ความจริงเธอคอยประคับประคองอารมณ์ให้นิ่งเฉยไว้อยู่ เพราะว่าเธอรู้มาก่อนว่าข้างในหินหยกก้อนนั้นมีอะไร
แต่ว่าคำถามของผู้อาวุโสหูนี้ ทำให้เธอชะงักไปอยู่นาน ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง งูตัวนี้เป็นงูอะไร? งูที่อยู่ในโลกใบนี้มีมากมายหลายชนิด นี่เป็นแค่ชนิดที่ถูกคนค้นพบ ยังมีอีกหลายชนิดที่คนทั่วไปยังไม่เคยพบเจอ ไม่รู้อีกเท่าไหร่…
แถมงูตัวนี้ น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตโบราณ เธอยิ่งไม่รู้เลยว่ามันเป็นงูประเภทไหน
“คุณยังจำได้ไหม เรื่องที่ผมเคยพูดกับคุณ เกี่ยวกับที่มาของหยก?” ผู้อาวุโสหูกวาดสายตาไปที่ห้องโถง ไม่มีเงาของจ่านป๋ายอย่างที่คิด ทุเรียนนี้ช่างมีประโยชน์เหลือเกิน
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าหงึกหงัก นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผ่านมานาน เธอจะลืมได้อย่างไร?
“ตำนานเล่าว่า เทพธิดาสร้างมนุษย์ขึ้นมาพร้อมฝึกหินเพื่อที่จะมาปิดฟ้า” ผู้อาวุโสหูยังคงพูดต่อไป “ในตำนาน ตอนแรกเทพธิดาอยู่ที่พม่า พื้นผิวของโลกส่วนนั้นก็ถูกปิดไป ดังนั้นหินที่เหลือจากการฝึกฝน ไม่สามารถนำมาปิดฟ้าได้เลยกลายเป็นหยก เพราะว่าถูกอุณหภูมิความร้อนแผดเผา และผ่านระยะเวลามาแสนนาน หยกพวกนี้เลยสภาพไม่ได้ดีมากเท่าไหร่”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ในใจก็แอบตื่นเต้น แต่หยกพวกนี้ก่อกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปีไหน เทพธิดาฝึกหินเพื่อมาปิดฟ้าเบื้องบนอยู่ในสมัยไหนกัน?
เคยได้ยินข้อมูลมาทั่วไปจากที่ที่ไม่น่าจะเชื่อถือสักเท่าไหร่ การเกิดหยกน่าจะห่างจากตอนนี้ประมาณหนึ่งพันปีก่อนได้? แถมการก่อตัวของหยก สามารถเรียนได้จากธรณีวิทยา มันยังคงเป็นปริศนาอยู่เหมือนกัน มีนักวิทยาศาสตร์เคยพูดว่า หยกถูกสร้างขึ้นภายใต้อุณหภูมิต่ำและความดันสูง แต่ทุกคนที่มีความรู้ทางภูมิศาสตร์ต่างรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้…
ส่วนนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศยังคงมีความขัดแย้งมากมายและคิดว่ามันดูไม่สามารถเป็นไปได้
ถ้าหากใช้ตำนานของผู้อาวุโสหูมาอธิบาย นี่ถึงสามารถแก้ต่างทุกอย่างได้หมด
แต่การฝึกหินเพื่อมาปิดฟ้ามันก็เป็นเรื่องในตำนานที่เล่าขานกันมาอยู่แล้ว ทุกวันนี้ยังมีร่องรอยหลักฐานที่สามารถมาอ้างอิงได้ นี่ไม่ได้พิสูจน์หรอกเหรอว่า ตำนานเทพเป็นเรื่องจริง?
ซีเหมินจินเหลียนเคยตรวจสอบปีของการก่อตัวของหยก แต่ยังไม่มีเวลาสำหรับการก่อตัวของหยกอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้เธอสงสัยว่าหยกที่ซ่อนอยู่ในพื้นดิน ก่อตัวขึ้นได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นฝีมือของเทพธิดาจากการเล่นหินมาปิดฟ้าจริงๆ?
วิทยาศาสตร์สมัยนี้พิสูจน์แล้วว่า มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง ไม่ได้มีเรื่องการถือกำเนิดสร้างมนุษย์ขึ้นมา เรื่องปิดฟ้าคงจะเป็นเรื่องที่สวยงามในตำนานเท่านั้น
“ผู้อาวุโสหูคะ ฉันขอไม่เชื่อเรื่องตำนานอะไรพวกนี้ดีกว่าค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวพูด “แต่ถ้าคิดว่าเป็นตำนานของเทพแล้ว ฟังไว้ก็เท่านั้นพอ”
“โอเค งั้นพวกเราคิดว่ามาเล่าเรื่องตำนานเทพกันก็ได้” ผู้อาวุโสหันไปมองที่หินราชางูก้อนนั้นแล้วพูดต่อ “คุณน่าจะรู้จักบันทึกจากคัมภีร์ทะเลและขุนเขา เทพธิดาและสามีของเธอหน้าเป็นคนแต่ตัวเป็นงู?”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน เหลือบไปมองงูที่อยู่ในหยก หน้าเป็นคนแต่ตัวเป็นงู…
แต่ว่าเธอยังคงพยักหน้า คนที่เรียนภาษาจีน ย่อมรู้จักบันทึกจากคัมภีร์ทะเลและขุนเขาอะไรนั่น สามีของเทพธิดามีบรรพบุรุษเป็นมนุษย์ ถ้าหากใช้ทฤษฎีตามหลักวิทยาศาสตร์มาอธิบาย ก็น่าจะอธิบายได้
“ถ้าหากคุณเป็นคนแต่งตำนานนี้ขึ้นมา คุณจะจินตนาการมนุษย์ เขียนให้มีหน้าเป็นคนแต่ลำตัวเป็นงูหรือเปล่า” จู่ๆ ผู้อาวุโสหูก็ถามขึ้นมา
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสับสน ไม่รู้จะพูดยังไงดี ปกติก็ดีอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงเขียนให้คนไปมีลำตัวเป็นงู? ถึงเขียนให้คนเป็นสัตว์ชนิดอื่นก็ยังดีเสียกว่าที่จะเลือกเขียนงูที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียด แถมยังเป็นสัตว์ที่น่ากลัวแบบนี้?
“พระคัมภีร์ตะวันตกกล่าวว่าจักรพรรดิสร้างสวนอีเดนและเตือนอดัมและอีฟไม่ให้กินผลไม้แห่งปัญญา แต่อดัมและอีฟได้รับคำแนะนำของงูเลยกินผลไม้แห่งปัญญาเข้าไป ทำให้มีสติปัญญาแข็งกล้า จักรพรรดิเลยโกรธหนัก ทำลายสวนอีเดนทิ้งและตัดเท้าของงู…” ผู้อาวุโสหูพูดอีกครั้ง “ตอนนั้น ทำไมงูถึงมีเท้าล่ะ”
ตอนนั้นทำไมงูถึงมีเท้า? สำหรับคำถามนี้ ซีเหมินจินเหลียนอึ้งอยู่นานไม่รู้จะตอบยังไง ตำนานเทพในอดีตกล่าวไว้เกี่ยวกับชนิดของงูว่ามีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นจากตะวันออกหรือตะวันตก แต่ถ้างูมีเท้านั่นจะเรียกว่างูอีกไหม?
ถ้างูมีเท้า นั่นก็คงเป็นมังกรแล้ว!
งูเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดและต่ำต้อย แต่มังกรเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงและอำนาจ ผู้ปกครองศักดินาเรียกตัวเองว่ามังกร นั่นเป็นแค่การเปรียบเปรยเท่านั้น
“ผู้อาวุโสหูคงไม่ได้จะบอกว่า งูตัวนี้เป็นเทพธิดา?” ซีเหมินจินเหลียนแกล้งทำเป็นหัวเราะออกมา “ถ้าหากเธอเป็นคนสร้างคนจริง มีความสามารถฝึกหินปิดฟ้าได้ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงถูกปิดอยู่ในหินข้างใน…” เอ๋ เธอกำลังพูดอะไรอยู่?
แม้ปากจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ในใจของเธอสั่นคลอนไปหมด หยกสามารถปิดฟ้าได้? มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
“ฉันไม่ได้จะพูดแบบนั้น เพียงแต่รู้สึกว่ามันดูไม่ชอบมาพากล!” ผู้อาวุโสหูส่ายหัวถึงจะค่อยพูดออกมา “ทำไมตำนานเทพโบราณ ไม่ว่าจะเป็นตะวันตกหรือตะวันออก ต่างแยกความสัมพันธ์ระหว่างงูไม่ออก ทำไมคุณเจียระไนหินถึงได้มีงูปรากฏออกมา คุณไม่เคยคิดถึงคำถามนี้เลยหรือ?”
“บังเอิญไงคะ!” ซีเหมินจินเหลียนหลบหลีกสายตาลง เพื่อปกปิดความสงสัยที่อยู่ในใจ
เทพธิดาเล่นหินมาปิดเบื้องฟ้า มีหน้าเป็นคนแต่มีลำตัวเป็นงู จากที่เคยได้ยินมาหยกเป็นร่องรอยของหินที่เหลืออยู่ จนถึงตอนนี้เธอได้เจียระไนหินหยกที่ข้างในมีงูผิวเหมือนคนออกมา
“คุณดูสิ ผิวของมัน ราวกับผิวของเด็กทารก!” ผู้อาวุโสถอนหายใจพูด “สาวน้อยจินเหลียน คุณสวยแล้วนะ แต่ผิวของคุณยังสู้กับผิวของงูที่ลื่นนุ่มไม่ได้เลย ถูกไหม?”
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าจู่ๆ ตัวเองก็แพ้อย่างราบคาบ เธอเทียบกับงูไม่ได้ แต่สิ่งที่ผู้อาวุโสหูพูดก็เป็นสิ่งที่เธอยอมรับ เพราะความจริงพิสูจน์ให้เห็นอยู่ซึ่งๆ หน้า
“ผู้อาวุโสหู หินราชางูก้อนนี้ฉันจะจัดการกับมันอย่างไรดีคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามออกไปโต้งๆ เธอคงจะไม่จุดธูปบูชามันไปตลอดหรอกนะ?
“นี่เป็นหยกที่ทำให้ผู้คนที่พบเห็นอาจจะบ้าคลั่งได้ สาวน้อยจินเหลียน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของมูลค่าหยกอย่างเดียวแล้ว คุณน่าจะรู้ ไม่ว่าจะเป็นนักโบราณคดีหรือว่านักภูมิศาสตร์ แม้กระทั่งลูกศิษย์ของลัทธิเต๋า หยกชิ้นนี้มันเป็นสิ่งที่หายาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้มีความต้องการจะทำอะไร ก็เก็บมันเอาไว้เถอะ!” ผู้อาวุโสยังคงพูดต่อ “ถ้ามีความคิดที่จะทำอะไรกับมัน บางทีอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้”
“ขอบคุณ ผู้อาวุโสหูที่เตือนฉันค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขอบคุณจากใจ
“นอกจากเสี่ยวป๋ายคนนั้น คนอื่นก็ไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม?” ผู้อาวุโสหูมองไปที่ทุเรียนที่เต็มพื้นแล้วยิ้มแห้ง
“ยังมีผู้อาวุโสไงคะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“อืม!” ผู้อาวุโสหูพยักหน้าไม่ได้พูดอะไรต่อ
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกประหลาดใจ จึงถามออกไป “ผู้อาวุโสหู เรื่องที่คุณตามหาหินที่หลงเหลือจากเทพธิดาที่ปิดฟ้า มีความคืบหน้าอะไรไหม” แม้รู้ว่าคำพูดนี้จะดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่ผู้อาวุโสหามาทั้งชีวิต ใช้เลือดเนื้อทั้งหมดลงแรงไปกับหิน เธอรู้สึกประหลาดใจแม้กระทั่งยังเก็บความสงสัยไว้ในใจตลอดมา
“พอจะมีข้อมูลมาบ้างแล้ว” ผู้อาวุโสหูขมวดคิ้วเข้าหากัน “ผมตามหามาทั้งชีวิต หวังว่าก่อนที่ผมจะหลับตาลงไป คงจะได้เจอมันก่อน”
“ผู้อาวุโสอย่างคุณยังกระดูกแข็งแรงอยู่!” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดเว่อร์วังแต่อย่างใด กระดูกกระเดี้ยวของผู้อาวุโสหูดูแข็งแรงจริงๆ
“จริงสิ วันนี้ตอนเที่ยง หลินเสวียเหวินคนนั้นโทรมาหาผม…” ผู้อาวุโสหูพูด “เขาบอกว่าเขาไม่อยากจะให้หยกผม แต่เปลี่ยนเป็นให้คนมาต่อรองหนี้กับผมแทน…”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 60 - 1 ตัวประกัน
ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดสงสัย หลินเสวียเหวิน? ฟังแล้วชื่อดูมีความสุภาพเรียบง่าย น่าจะเป็นชื่อของชราหลินสินะ?
“สาวน้อย ผมจะบอกคุณให้นะ คุณอย่าดูแต่ว่าตอนนี้หลินเสวียเหวินเป็นประธานบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ ในเมืองเซี่ยงไฮ้นับว่าเขาเป็นคนดังมีชื่อเสียง แต่ให้คิดถึงตอนนั้นที่เขาแพ้จนเป็นหนี้สิ้น หลายต่อหลายคนในเมืองเจียหยางเกือบจะโดนทำร้ายปางตาย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าผมแก่แล้วขาดคนมาคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ผมก็คงไม่เก็บเขาไว้ข้างตัวหรอก เขาคอยติดตามผม ผมจึงย่อมสอนความรู้เรื่องการเดิมพันหยกให้เขาเป็นธรรมดา” ผู้อาวุโสหูพูด
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเล็กน้อย ในอดีตถ้ามีคนมาพูดกับเธอแบบนี้ เธอคงไม่มีทางที่จะเชื่อแน่ ประธานบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ คนที่เป็นแบบอย่างในการก่อร่างสร้างธุรกิจด้วยมือเปล่า กลับเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสหู ไม่สิๆ ผู้อาวุโสหูยังไม่ยอมรับเลยว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของตน เขาก็เป็นแค่คนคอยรับใช้ข้างกายของผู้อาวุโสหูเท่านั้น
“อะไรกัน คุณก็ไม่เชื่อผมหรือ?” ผู้อาวุโสหูขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนถามขึ้นอย่างสงสัย
“ฉันจะไม่เชื่อได้อย่างไรกันคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ราชานักเดิมพันหินอย่างผู้อาวุโสเจี่ยก็ยังเป็นลูกศิษย์ของคุณ นับประสาอะไรกับเขา?”
“เห็นคุณเป็นแบบนี้แล้ว ผมก็นึกว่าคุณจะคิดว่าคนแก่อย่างผมหลอกคุณเสียอีก” ผู้อาวุโสหูพูดในขณะที่หยิบมีดผลไม้บนโต๊ะมาแกะทุเรียนลูกใหญ่ ใช้ทฤษฎีในการตัดตามรอยพูของทุเรียนลงไป ราวกับตัดเต้าหู้อย่างไรอย่างนั้น จากนั้นไม่นานเปลือกทุเรียนก็ถูกแกะออกอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นเนื้อสีขาวเหลืองที่อยู่ข้างในออกมา เขาเชื้อชวนเรียกซีเหมินจินเหลียน “รีบมานี่เร็ว นี่เป็นของดีทั้งนั้นเลยนะ!”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า เพราะอย่างนั้นผู้อาวุโสหูเลยไม่ได้บังคับจิตใจเธอ เดินเข้าไปในห้องครัวของเธอเหมือนกับเดินเข้าบ้านตัวเองก็ไม่ปาน จากนั้นก็นำเนื้อทุเรียนทั้งหมดมาใส่ไว้ในจานพร้อมหยิบช้อนตักซุปออกมาสองใบ ถือมาให้แล้วส่งต่อยังซีเหมินจินเหลียน “นี่เป็นราชาผลไม้ คนแก่อย่างฉันแบกมันกลับมาจากที่ที่แสนไกลเลยนะ”
“คุณคงไม่ได้ซื้อมันมาจากมาเลเซียใช่ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม เมื่อกี้พึ่งพูดถึงเรื่องของ หลินเสวียเหวิน แล้วทำไมจู่ๆ ถึงเริ่มเถลไถลไหลยาวมาถึงเรื่องทุเรียนได้แล้วล่ะ? ถ้าเธอจำไม่ผิดประเทศหลักๆ ที่ส่งออกทุเรียนก็คือมาเลเซีย
“ไม่ใช่หรอก” ผู้อาวุโสหูส่ายหน้าแล้วพูด “ผมซื้อมาจากแผงลอยผลไม้ข้างทางเท่านั้น พูดความจริงกลิ่นมันไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าไหร่”
ซีเหมินจินเหลียนสีหน้าบอกบุญไม่รับ ล้อเล่นอะไรกัน? ผู้อาวุโสคนนี้ไม่ได้ชอบกินทุเรียน แล้วทำไมเขาต้องซื้อทุเรียนเป็นกองมาให้เธอด้วย ไหนจะยอมปอกให้เธอตั้งหนึ่งลูก?
“แต่ข้อดีของทุเรียนก็คือสามารถทำให้คนที่เกลียดกลิ่นนั้นออกไปได้!” ผู้อาวุโสหูพูดด้วยน้ำเสียงสะใจ “คนแก่อย่างผมฉลาดไหมล่ะ ผมคิดอยู่ตั้งนานกว่าจะคิดวิธีที่ชาญฉลาดแบบนี้ออกมาได้ เอาเถอะ สาวน้อย พวกเราก็มาเข้าเรื่องกัน หลินเสวียเหวิน ขโมยหยกของผมไป ถ้าหากว่าชาตินี้ไม่ได้เจอเขาก็ยอมความไป เพราะมันก็แค่หินก้อนหนึ่งเท่านั้น แต่นี่ในเมื่อเจอเขาแล้ว คนแก่อย่างผมก็อยากจะทำอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นเขาจะดูถูกคนอย่างผมได้ว่ารังแกง่ายไปหน่อย?”
จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกว่า ผู้อาวุโสหูที่เธอรู้จักแต่ก่อนนิสัยนิ่งเฉยเยือกเย็น ไม่ชอบพูดจาให้มากความ ถ้าใช้คำพูดของคนสมัยนี้มาอธิบายก็คือ มีความเท่ห์อยู่บ้าง! แต่ตอนนี้เธอเพิ่งจะรู้สึกว่าเขาเป็นราวกับเพื่อนเก่าแก่มานาน แถมยังมีโรคที่คนสูงวัยชอบพบเจอ นั่นก็คือการพูดจาเรื่อยเปื่อยไม่หยุด
การที่เขาซื้อทุเรียนให้เธอ คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่อยากจะให้จ่านป๋ายออกไป? กลิ่นของทุเรียนแปลกไปหน่อย แต่ก็ไม่น่าขนาดทำให้คนรับไม่ได้ขนาดนั้น?
“ฉันรู้แล้วค่ะ วันนี้ตอนเช้าฉันก็ไปพบคุณปู่หลินมา” ซีเหมินจินเหลียนพูด “เขาพูดถึงคุณให้ฉันฟังด้วย”
“ใช่ไหมล่ะ!” ผู้อาวุโสหูเริ่มพูดต่อ “ตาแก่นั่นก็นิสัยไม่ดี ขโมยหยกของผมไปโดยไม่คิดที่จะคืน ทั้งยังบอกว่าไม่มีหยกแล้ว จะเอาก็เอาชีวิตเขาไปเถอะ! คุณว่าผมจะเอาชีวิตคนแก่ๆ อย่างเขาไปทำอะไรกัน แล้ววันนี้ตาแก่นั่นก็โทรศัพท์มาหาผม บอกว่าเขามีหลานอยู่คนหนึ่ง จะเอามาเป็นตัวประกันให้กับผม”
ซีเหมินจินเหลียนฝืนยิ้มออกมา หลินเสวียเหวินคงจะไม่คิดเอาหลินเสวียนหลานไปเป็นตัวประกันให้ผู้อาวุโสหูหรอกนะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?
“พอผมฟังแล้วก็โกรธ ทำไมต้องเอาหลานชายมาเป็นมัดจำให้กับผมด้วย ทำไมไม่เป็นหลานสาวเล่า?” ผู้อาวุโสหูอารมณ์โกรธจัด
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่หลุดขำออกมา ผู้อาวุโสท่านนี้ ตอนนี้ยิ่งดูเหมือนคนขี้งก ลักษณะเหมือนคนแก่ขี้งก!
“สุดท้ายคุณรู้ไหมว่าตาแก่นั่นพูดอะไรออกมา?”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ความคิดของผู้อาวุโสหูไม่อาจจะใช้มาตรฐานจากคนปกติมาวัดได้ ส่วนหลินเสวียเหวินก็เป็นชายชราแก่ที่มีนิสัยแปลกประหลาดเหมือนกัน ตอนนี้เธอเพิ่งค้นพบว่า เขาก็อยากให้เธอหาโอกาสพูดให้ผู้อาวุโสหูเห็นใจ ส่วนอีกทางก็เป็นกลอุบายที่เลวร้าย
“พูดว่ายังไงหรือคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามคำถามย้อนกลับไปที่เขาอีกครั้ง
“เขาบอกว่า หลานสาวของคุณชอบหลานของผม…” ผู้อาวุโสเลียนแบบคำพูดของหลินเสวียเหวิน
“คุณยังมีหลานสาวด้วยหรือคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ ผู้อาวุโสท่านนี้ไปมีหลานสาวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตอนนั้นที่เมืองเจียหยาง คนในอย่างเหล่าหลี่ก็ไม่ได้พูดอะไรนี่นา เขาก็อยู่ตัวคนเดียวไม่ใช่หรอกหรือ? จะว่าโดดเดี่ยวก็โดดเดี่ยว แต่คงไม่น่าถึงขนาดเดียวดายหรือไร้คนพึ่งพิง ชีวิตของเขาก็ดูราบรื่นดีนี่นา!
ผู้อาวุโสหูยิ้มอย่างไม่ชอบมาพากล “คนแก่อย่างผมได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่า ขอเพียงหลานสาวชอบเขาผมก็เห็นด้วย แม้คนแก่อย่างผมจะเสียเปรียบไปหน่อย รับคนเป็นๆ มาเป็นของกำนันก็ไม่เป็นไร แต่ยังไงผมก็ต้องถามหลานสาวผมคนนั้นก่อนว่าชอบหรือไม่ ไม่เช่นนั้นคนแก่อย่างผมคงเสียเปรียบสุดๆ”
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกอึดอัด ในใจรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ก็ถามออกไปว่า “มันก็จริงค่ะ แล้วหลานสาวของคุณชอบเขาหรือเปล่าคะ”
“ใช่แล้ว” ผู้อาวุโสหูถามเธออย่างเป็นทางการ “หลานสาว เธอชอบเขาหรือเปล่าล่ะ อย่างน้อยก็บอกให้ปู่ฟังสักหน่อย…”
ซีเหมินจินเหลียนยังคงเรียกสติกลับคืนมาไม่ได้ พูดมาตั้งนานสุดท้ายผู้อาวุโสกลับปั่นหัวหลอกเธอ? เธออุตส่าห์ตั้งใจฟังเขา แต่เขากลับทำเป็นเล่นเพื่ออะไร?
“ผู้อาวุโสหูคะ ฉันไม่ใช่หลานสาวของคุณนะ!” ซีเหมินจินเหลียนสีหน้าอมทุกข์ ผู้อาวุโสคนนี้ จะทำอย่างไรกับเขาดีนะ
“ยอมรับตอนนี้ก็ไม่สาย เป็นอย่างไร ลองคิดดูสิ ของขวัญวันพบหน้าก็คือหลานชายรูปหล่อแห่งตระกูลหลิน ถ้าเธอไม่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นคนแก่อย่างผมก็จะเอาเขาไปขายเหมือนเป็ดที่กว่างตง อย่างน้อยน่าจะได้ทุนกลับมาบ้าง”
…
ในสวนดอกไม้ จ่านป๋ายนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน ข้างหน้าของเขาเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ในคอมนั้นฉายภาพที่ซีเหมินจินเหลียนและผู้อาวุโสหูคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก เมื่อได้ยินประโยคนี้จ่านป๋ายก็อยากจะพุ่งเข้าไปแยกร่างผู้อาวุโสหูให้ฉีกขาดเป็นชิ้นๆ แล้วต้มลงไปในหม้อ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจทำให้เขาหายโกรธได้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
จ่านป๋ายเอาหูฟังออก ก่อนจะเก็บโน๊ตบุ๊คแล้วรีบเร่งไปที่ห้องรับแขก เขาอดทนกับกลิ่นทุเรียนที่ถาโถมเข้ามากระแทกสัมผัสรับกลิ่นของเขา พร้อมมองไปที่ผู้อาวุโสหูด้วยท่าทางเคร่งขรึม “คนแก่อย่างคุณสนใจแค่เรื่องขายคนก็พอ อย่าเอาเรื่องนี้มาเกี่ยวกับบ้านของพวกเราเลย”
ผู้อาวุโสหูสังเกตโน๊ตบุ๊คในมือของจ่านป๋ายเลยส่ายหน้า “คิดไม่ถึงว่าคุณจะแอบฟังพวกเราพูด จะว่าไปที่นี่ก็เป็นที่ของคุณได้ยังไง นี่ไม่ใช่บ้านของหลานสาวแสนน่ารักของผมหรอกหรือ”
จ่านป๋ายมองไปที่ผู้อาวุโสหูด้วยสายตาอาฆาต แล้วผ่อนเสียงพูดลง “ใครจะไปรู้ว่าแซ่หลินคนนั้นไม่ได้คิดอะไรกับซีเหมินจินเหลียน เขาอยากจะตามจีบซีเหมินจินเหลียนของผม คนแก่อย่างคุณก็เป็นอาจารย์ของหลินเสวียเหวิน คงไม่ใช่ว่าคุณอยู่เบื้องหลังในการช่วยจัดการเรื่องนี้หรอกนะ?”
“ทำไมจินเหลียนถึงเป็นของคุณไปแล้ว?” ผู้อาวุโสตั้งใจส่งสายตาที่เคลือบแคลงใจไปถามเขา กระแอมไอแล้วพูด “คุณเองก็หน้าด้านแบกหน้าเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ปกครองอย่างผมจะยินยอมคุณนะ”
“อายุปูนนี้แล้ว ยังไม่รู้จักละอายใจอีก จินเหลียนไม่ได้ยอมรับว่าคุณเป็นปู่ของเธอสักหน่อย แล้วนี่ยังมาบอกว่าคุณเป็นผู้ปกครองอีกเหรอ” จ่านป๋ายแสยะยิ้ม นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน? กลยุทธ์ที่หลินเสวียเหวินคิดออกมา ก็คือการเอาหลานตัวเองมาเป็นตัวประกันให้คนอื่นเนี่ยนะ?
“จินเหลียน หลานชายตระกูลหลินคนนั้น เธอต้องการเขาหรือเปล่า” ผู้อาวุโสหูหันมาถามซีเหมินจินเหลียนอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสหูคะ…” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มฝืน นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? เมื่อคิดไตร่ตรองถึงคำพูดที่จะพูดออกไป เธอก็ปริปากออกมา “ผู้อาวุโสหูคะ คุณไม่ใช่คุณปู่ของฉัน อีกอย่างการซื้อขายคนมันผิดกฎหมาย การที่คุณปู่หลินเอาหลินเสวียนหลานมาเป็นตัวประกันแทนการใช้หนี้ มันเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายทั้งนั้น”
ใช้คนมาเป็นตัวประกัน? คนที่มีชื่อเสียงมั่งคั่งอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้อย่างหลินเสวียเหวิน คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะคิดอะไรโหดร้ายแบบนี้ออกมาได้
“ฉันรู้” ผู้อาวุโสหูถอนหายใจออกมา “แต่ตอนนี้ถึงแม้ฉันอยากจะได้ชีวิตหลานชายตระกูลหลินเข้าจริงๆ เขาก็ไม่คืนหยกฉันแน่ๆ ช่างเถอะ หลานชายของเขาฉันจะรับมาไว้ชั่วคราวแล้วกัน ต้องการตอนไหนแล้วค่อยพูด เพราะฝั่งคนแก่อย่างผมก็ขาดคนใช้แรงงานอยู่พอดี”
พูดไป ผู้อาวุโสหูก็หันตัวบอกลา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น