ความลับแห่งจินเหลียน ส่วน 4 ตอน 44-54
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 44 คลุมเครือ
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ถอนหายใจ เป็นคุณชายดีๆ ไม่ชอบ กลับอยากจะมาเป็นขโมย ไม่น่าล่ะพ่อของเขาถึงไม่อยากจะเจอเขา ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมีลูกไม่รักดีแบบนี้ เกรงว่าคงได้แต่โกรธโมโหเช่นกัน
อย่างไรถึงถามออกไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี ซีเหมินจินเหลียนจึงเลือกใช้วิธีหลบหนีความรู้สึกของตัวเอง เตรียมตัวขึ้นไปด้านบน อยากจะไล่เขาออกไปแต่เธอก็ไม่มีความสามารถนั้น คนคนนี้เลือกที่จะติดสอยห้อยตามไปกับเธอ อีกทั้งเธอก็ยังรู้สึกเสียใจถ้าเขาต้องจากไปจริงๆ
ช่วงที่ผ่านมานี้ เธอเคยชินกับการที่มีจ่านป๋าย เคยชินกับการที่เขาคอยแกล้งเธอ เธอไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตนเลือกที่จะพึ่งพาเขาและไม่อยากให้เขาจากไปขนาดนี้ เรื่องนี้มันเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย
ซีเหมินจินเหลียนเอนตัวพิงลงบนเตียง ไม่มีจ่านป๋ายอยู่ข้างกาย เธอได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำใจให้สบาย และเริ่มจัดการความคิดภายในจิตใจที่แสนยุ่งเหยิง
เพียงแต่ไม่คิดเลยว่า ยิ่งเธอคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งสับสนวุ่นวายใจมากเท่านั้น ประวัติส่วนตัวของจ่านป๋ายคงไม่ง่ายขนาดนั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ถูกคนทำร้ายจนเลือดตกยางออก จนมาหลบอยู่ที่โรงรถที่บ้านของเธอ
ทำไมรู้สึกซับซ้อนไปหมด? ซีเหมินจินเหลียนนอนถอนหายใจ “ช่างเถอะ จะคิดเยอะไปทำไมกัน อย่างมากก็แค่ไม่เหลืออะไร เดิมทีฉันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว บนโลกใบนี้ถ้าบางสิ่งเป็นของเรา ใครก็เอาไปไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ของเรา แย่งชิงไปก็ไม่มีประโยชน์ ฝืนทำต่อไปก็ไร้ค่า”
เมื่อคิดเช่นนี้ในใจก็สดใสขึ้นราวกับต้นไม้ที่เ**่ยวเฉาได้รับการรดน้ำ มนุษย์ที่ไม่มีความปรารถนาทางโลก จึงสามารถบรรลุธรรมที่ยิ่งใหญ่ นี่ก็ไม่ผิดแม้แต่นิด แต่ว่าพอมีพลังพิเศษมองเห็นทะลุ จนร่ำรวยขึ้นมา ทำไมเธอถึงปล่อยวางไม่ได้นะ?
ทุกวันนี้ บางเรื่องที่สามารถเสพสุขกับมันได้ เธอก็ถือว่าได้ทำมาหมดแล้ว สิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็นในความมหัศจรรย์ของหยก เธอก็เคยเห็นมันแล้ว เรียกได้ว่าชีวิตนี้เกิดมาคุ้มค่าทีเดียว แล้วทำไมเธอยังต้องคอยคิดมากอยู่อีก พวกเขามีจุดประสงค์อะไร จริงใจหรือเสแสร้ง มันก็แค่เท่านั้น ชีวิตคนเราไม่ได้อยู่จนถึงร้อยปีพันปี อีกทั้งเวลายังผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้ามัวแต่คิดมากอยู่ก็เหนื่อยเกินไปแล้ว…
ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนเตรียมตัวไปยังห้องอาบน้ำ
แต่เมื่อเธอออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่มีชุดคลุมอาบน้ำอยู่บนร่าง เธอก็เห็นจ่านป๋ายนั่งอึ้งอยู่บนเก้าอี้หวายตรงข้ามกับเตียง
“คุณนี่…ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เข้าห้องมาถ้าไม่ได้รับอนุญาต?” ซีเหมินจินเหลียนจ้องไปที่เขา ดีนะว่าเธอไม่ได้เป็นคนชอบเปลือยกายอยู่ในห้อง ไม่อย่างนั้นอับอายขายขี้หน้าแน่
“ผมก็แค่เอาซุปไก่มาให้คุณ” จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย
“ฉันเพิ่งกินข้าวเย็น แล้วจะกินซุปไก่อะไรอีก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ถ้าทุกวันยังกินแบบนี้อยู่เรื่อยๆ คาดว่าไม่ถึงหนึ่งเดือน เธอต้องอ้วนขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“คนเขาทำอย่างตั้งใจ กำชับมาอย่างแน่นหนาว่าให้ผมเอามาส่งให้คุณ ผมเลยรีบมาส่งให้คุณไง” จ่านป๋ายยิ้ม
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตอบกลับ “ทำไมฉันฟังประโยคนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ?”
“ผมเป็นแฟนที่อยู่บ้านเดียวกันกับคุณ แต่คุณให้เขาเข้ามายุ่งในบ้านอย่างสบายเฉิบ ผมจะมีความสุขได้ยังไง” จ่านป๋ายทำท่าราวกับถูกกลั่นแกล้งรังแก
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอา ถึงเธอจะไม่หิว แต่ในเมื่อนำขึ้นมาให้เธอแล้วก็กินแต่ตามเลย เพราะยังไงฝีมือของหลินเสวียนหลานก็สร้างความประทับใจให้อยู่แล้ว
“ใช่สิ แฟกซ์ของจางจิ้นที่ส่งมา ทำไมผมดูแล้วรูปแบบมันซับซ้อนนัก” จ่านป๋ายพูดพลางยื่นเอกสารที่แฟกซ์มาส่งให้เธอ
ซีเหมินจินเหลียนไม่สนใจในการกินซุปไก่อีกต่อไป เธอหยิบกระดาษที่ถูกส่งแฟกซ์มาไว้ในมือ ดูซับซ้อนอย่างที่จ่านป๋ายพูดไว้จริงๆ อีกทั้งความต้องการพิเศษยังเยอะเสียด้วย รูปแบบค่อนข้างย้อนยุคแล้วดูมีรายละเอียดที่มากมายเต็มไปหมด
แต่แม้จะมีความยุ่งยากซับซ้อนอย่างไร เธอก็ยังคิดว่าจะทำมันออกมาได้ดี
“จินเหลียน ทำไมผมรู้สึกว่าความต้องการของเขามากไปหน่อยนะ คุณบอกว่าในอดีตไม่มีเครื่องมือแบบปัจจุบัน ถ้าอย่างนั้นจะแกะสลักยังไง” จ่านป๋ายถือโอกาสแย่งกระดาษแผ่นนั้นมาและได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ
“แท่นหยกก็เป็นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าแท่นแกะสลักหยก ฝีมือการแกะสลักหยกในสมัยโบราณละเอียดละอ่อนกว่าปัจจุบันมาก แต่ยังไงฉันก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสมัยโบราณเขาทำกันยังไง” ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายหน้า แกะสลักหินที่แข็งออกมาได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อเทียบกับในปัจจุบันนี้
“เพราะอย่างนี้ในสมัยโบราณหยกถึงได้เป็นที่นิยมมากกว่า” จ่านป๋ายยิ้มอ่อน
ที่แท้ความนิยมเครื่องหยกก็มักจะมีเงื่อนไขจำกัด? ในหัวของซีเหมินจินเหลียนคิดยุ่งเหยิงไปหมด บางทีเรื่องอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ วันนี้หลังจากที่ฟังเขาพูดว่าบริษัทตระกูลหลินยังเป็นหนี้ธนาคารห้าร้อยล้าน ถ้าหากเธอซื้อหุ้นสำเร็จ แล้วเกิดธนาคารโทรมาเรียกร้องให้เธอจ่ายหนี้แล้วเธอจะเอาเงินมากมายมาจากที่ไหน
แต่ว่าถ้าทยอยขายหยกที่มีอยู่ออกไปหมด จ่านป๋ายก็เคยบอกว่าอาจจะทำให้ตลาดอิ่มตัว ถึงเวลานั้นสินค้าที่ทำมาจากหยกได้ลดราคาลงฮวบฮาบแน่…
ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่กระดาษ ในขณะนั้นก็หยิบช้อนขึ้นมาตักซุปกินด้วย แต่ในใจเหม่อลอยไปไกลแล้ว
จ่านป๋ายเรียกเธอถึงสองครั้ง สติที่ล่องลอยไปไกลถึงไหนต่อไหนของเธอก็ได้คืนกลับมา เธอถามเขาไปอย่างสงสัยว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ”
“เมื่อกี้จินอ้ายหัวโทรมา บอกว่าพรุ่งนี้ตอนหนึ่งทุ่มได้เหมาห้องจัดงานเลี้ยงรุ่นไว้ที่สุ่ยจงเซียนแล้ว ถามคุณว่าจะไปหรือเปล่า” จ่านป๋ายถาม
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนคิดดูแล้ว ในเมื่อไม่มีอะไรทำ พอเรียนจบก็ไม่ค่อยมีติดต่อกับเพื่อน ถ้าอย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้ไปกระชับความสัมพันธ์สักหน่อยก็ดี
เมื่อก่อนหวังหมิงเหยาเผด็จการเหลือเกิน เขาไม่ค่อยยินยอมให้เธอไปงานเลี้ยงสังสรรค์อะไรแบบนี้ แต่ในเมื่อเธอเลิกกับเขาแล้วตอนนี้ก็ได้มีอิสระกับเขาเสียที เธออยากจะทำอะไรก็ทำได้แล้ว
“ทำไมจินอ้ายหัวถึงโทรเข้ามาเบอร์บ้านได้ล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย ปกติจินอ้ายหัวจะโทรเข้ามือถือของเธอ ไม่ใช่สิ เธอเหมือนจะไม่เคยบอกเบอร์บ้านให้กับเธอรู้ด้วยซ้ำ พูดให้ถูกก็คือ ตั้งแต่ที่เธอย้ายบ้านมาอยู่ที่ย่านหลานกุ้ย ก็ไม่ค่อยจะมีคนที่รู้จักเบอร์ที่บ้าน
“ตอนที่คุณอาบน้ำอยู่ สงสัยคุณไม่ได้รับสาย เธอเลยโทรมาที่ผม”
“มนตร์เสน่ห์ของลังโคมยังไม่สูญสิ้นสินะ” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไร จ่านป๋ายใช้แค่ลังโคมหนึ่งชุด แต่กลับซื้อเธอได้อย่างง่ายดาย
จ่านป๋ายอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เดินเข้ามาข้างๆ แล้วหยิบช้อนตักซุปป้อนที่ปากของเธอ ซีเหมินจินเหลียนกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือ เลยไม่ได้ใส่ใจเขาที่กำลังป้อนซุปให้เธอ จ่านป๋ายจึงยิ้มไม่หุบป้อนให้เธอคำแล้วคำเล่า
“เอ๋…” ซีเหมินจินเหลียนกินไปได้แค่สองคำก็กลับรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ บ้านของเธอไม่ได้มีเวทมนตร์ทำให้ช้อนซุปขยับเองได้นี่นา? ในระหว่างที่เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นจ่านป๋ายกำลังมองเธออยู่พอดี
“ผมเห็นคุณตกอยู่ในภวังค์กับกระดาษแผ่นนั้นตั้งนาน เกรงว่าถ้าทิ้งซุปไว้นานเกินน่าจะเย็นชืดหมด” จ่านป๋ายพูดพลางเตรียมป้อนเข้าปากให้เธออีกครั้ง
เมื่อสักครู่เกิดจากความไม่รู้ตัว ถือว่าไม่เป็นไร แต่ตอนนี้รู้ตัวแล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงหน้าแดงโดยไม่รู้ตัวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย คุณไม่จำเป็นต้องป้อนก็ได้!”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบกินให้หมดก่อนแล้วค่อยอ่านสิครับ” จ่านป๋ายไม่ต้องรอคำตอบของเธอ เขาได้ยื่นช้อนไปให้
ซีเหมินจินเหลียนเอาแต่ส่ายหน้า “ไม่กินแล้ว เมื่อกี้ฉันเพิ่งกินข้าวเย็นไป จะกินไหวได้ยังไงกัน จริงสิ น่าจะยังมีอีกใช่ไหม คุณก็กินเถอะ ฉันเห็นว่ามื้อเย็นคุณก็ไม่ค่อยได้กินไม่ใช่เหรอ?”
“ผมกินที่คุณกินนี่ก็พอแล้วครับ” จ่านป๋ายพูดพลางหยิบช้อนตักซุปที่ซีเหมินจินเหลียนใช้กินไปเมื่อครู่เข้าไปในปาก
ไม่รู้ทำไมซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวไปหมด ราวกับมีคนจุดไฟเผาหน้าตัวเอง หน้าของเธอต้องแดงไปทั้งหน้าแล้วแน่ๆ…
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 45 หยกสีน้ำเงิน
จ่านป๋ายมองทางซีเหมินจินเหลียนที่กำลังเขินอายอย่างอึ้งๆ ความรู้สึกนี้มันช่างดีจริงๆ เดิมทีเขาอยากจะแซวหยอกล้อเธออีกสักหน่อย แต่ไม่ทันไรซีเหมินจินเหลียนก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันเพื่อที่จะเตรียมตัวเข้านอน
เธอยังไว้ใจเขาอยู่ใช่ไหม? จ่านป๋ายสติล่องลอยจ้องมองไปที่ร่างของเธอ
ซีเหมินจินเหลียนส่องกระจกที่อยู่ตรงหน้า ก็พบว่าแก้มทั้งสองข้างของเธอแดงระเรื่อราวกับถูกปัดด้วยบลัชออน เธอใช้มือทั้งสองวักน้ำแล้วสาดเข้าใบหน้าอย่างจัง ความรู้สึกอย่างนี้สิค่อยสบายหน่อย
เมื่อเธอออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าจ่านป๋ายยังคงอยู่ในห้องนอนไม่ไปไหน เช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”
“ไม่…ไม่มีแล้ว…” จ่านป๋ายรีบเก็บของ แล้วโกยฝีเท้าออกไปนอกห้องอย่างเร็วที่สุด
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ยิ้มพร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ฝ่ายนั้นเขียนราคาที่ตกลงจะจ่ายมาที่ห้าสิบล้าน
เมื่อมองไปยังขนาดที่ให้มา ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกว่าไม่ได้ใหญ่อะไรนัก แถมแท่นแกะสลักจากหยกก็ไม่ได้สิ้นเปลืองวัตถุดิบเท่าไหร่ เพียงต้องใช้ฝีมือในการแกะสลักมากขึ้นเท่านั้น ราคานี้ก็ไม่สามารถที่จะสูงกว่านี้ได้อีก ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็รีบร้อนที่จะต้องใช้เงิน ถ้าทำออกมาได้เธอหวังว่าคงจะได้เงินก้อนโตมาเป็นกอบเป็นกำ
ในขณะนั้นเธอก็รีบเร่งเปิดคอมส่งแฟกซ์กลับไปหาอีกฝ่ายว่าเธอตกลงในราคานี้ พรุ่งนี้จะเริ่มงานทันที อีกทั้งสินค้าจะเสร็จภายในหนึ่งสัปดาห์
รุ่งเช้าวันถัดมา ซีเหมินจินเหลียนก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังห้องใต้ดิน เมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับ ในหัวคิดแต่รูปทรงของแท่นหยกนั่น จะว่าไปความต้องการในการสั่งสินค้าของลูกค้ารายนี้เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายใหม่ของเธอก็ว่าได้
การแกะสลักหยกแบบธรรมดา โดยปกติใช้คนที่พอมีฝีมือในการแกะสลักก็ได้แล้ว ยิ่งเป็นกำไลยิ่งง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าแท่นหยกโบราณนี่ ไม่เพียงแต่จะต้องเจียระไนให้ใสวาวเท่านั้น อีกทั้งยังมีลวดลายและรูปทรงที่ค่อนข้างซับซ้อน
ซีเหมินจินเหลียนมองออกว่ากระดาษแผ่นนี้น่าจะมาจากการที่จางจิ้นเชิญคนฝีมือดีมาร่างแบบให้ ดูแล้วน่าจะเป็นการร่างแบบขึ้นมากับมือแล้วค่อยนำภาพมาแสกนลงคอม สำหรับเทคนิคฝีมือแกะสลักเรียกได้ว่าต้องประณีตเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ดูจากขนาดที่ให้มา เธอก็ได้ตัดหยกสีเลือดออกมาเป็นก้อนเล็กหนึ่งก้อน จิตวิญญาณของเธอได้เดิมพันแขวนผูกติดไว้กับหยกชิ้นนี้อย่างหมดใจ
จ่านป๋ายคอยจัดการอาหารมื้อเช้า กลางวันและเย็นให้เธอ พร้อมเรียกเธอมาพักผ่อน แต่ก็ถูกเธอปฏิเสธ
“คืนนี้คุณจะไปงานเลี้ยงรุ่นไม่ใช่เหรอ พักสักหน่อยไหมครับ” จ่านป๋ายพูดเกลี้ยกล่อม ถึงจะทุ่มเทใจให้กับธุรกิจ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำให้ร่างพังแบบนี้
“ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อคืนฉันนอนหลับเต็มที่แล้ว ช่วงนี้อากาศก็ค่อยๆ เย็นลงแล้ว ไม่ต้องนอนกลางวันก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางเดินออกไปข้างนอก
จ่านป๋ายส่ายหน้าพร้อมเดินลงมาห้องใต้ดินถามว่า “จะให้ผมเจียระไนหินหยกที่เหลือเลยไหมครับ”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นได้แต่เงยหน้าขึ้นไปมอง หินหยกที่ซื้อกลับมาจากบ้านผู้อาวุโสหูก็ไม่ได้ถูกเจียระไนเปิดออกมาหมด แม้กระทั้งหยกสีเหลืองและสีน้ำเงินก็ยังไม่มีความคืบหน้า
“ถ้าหากคุณไม่มีอะไรทำ ถ้าอย่างนั้นก็ลองเจียระไนหินหยกที่ซื้อมาจากงานประมูลดูก็ได้ อืม ทุกก้อนที่อยู่ในนี้ แต่ยกเว้นก้อนนี้ คุณอยากจะเปิดหินก้อนไหนมาเจียระไนก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนหันไปมองหินหยกที่วางไว้อยู่ที่มุมห้องก้อนนั้น
“ทำไมล่ะครับ?” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ แน่นอนเขาต้องการที่จะเปิดหินก้อนนั้น เขาสงสัยว่าทำไมซีเหมินจินเหลียนถึงให้ความสำคัญกับหินก้อนนั้นมากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นเขาอยากรู้ว่าลักษณะหินข้างในเป็นยังไงกันแน่
หินหยกฮกลกซิ่วก้อนใหญ่ เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่กลับไปสนใจหินก้อนนี้แทน? หรือว่าเป็นหินหยกสายรุ้งเจ็ดสี?
ตามที่เคยได้ยินมา ในบรรดาหยกมักมีแต่สิ่งมหัศจรรย์ ในนั้นมีหยกสายรุ้งรวมอยู่ด้วย แต่ว่าอย่าพูดถึงหยกสายรุ้งเจ็ดสีเลย แค่ห้าสีก็ยังหายากมาก แม้กระทั่งหยกฮกลกซิ่วก้อนนั้นก็เหมือนกัน
จนถึงวันนี้ ซีเหมินจินเหลียนก็ยังกำชับเขาว่าสามารถเปิดหินก้อนไหนออกมาก็ได้ แต่ยกเว้นก้อนนั้น ดูจากลักษณะภายนอกของหินแล้ว เขาก็ดูอะไรไม่ออกจริงๆ เพราะอย่างนั้นเขาเลยคาดเดาเองว่าลักษณะภายในของหินหยกก้อนนี้คงไม่เลวเลย น่าจะเป็นสายรุ้งเจ็ดสีหรือไม่ก็ห้าสี?
“เดี๋ยวต่อไปก็รู้เอง” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสนใจแต่แกะสลักพวงกุญแจหยก ไม่พูดไม่จาอะไรอีก
หินหยกก้อนนั้นเป็นเพียงหยกแก้วชนิดโบราณ โปร่งใสไม่มีสี แต่ข้างในกลับมีอะไรบางอย่าง
บวกกับเรื่องแปลกมหัศจรรย์ที่ผู้อาวุโสเล่ามา ยิ่งทำให้เธอลังเลและสับสนในใจ ยิ่งไปกว่านั้นผู้อาวุโสหูรู้แก่ใจว่าหินหยกนี้มีปัญหา แต่เขาก็เก็บมันไว้กับตัวมาตั้งหลายปีโดยที่ไม่ได้ตัดหินออกมาดู นี่ยิ่งทำให้เธอไม่กล้าที่จะเริ่มเปิดหินอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
มีบางครั้งที่เธอมีความคิดย้อนกลับไปว่า ตัวเองไม่ควรจะซื้อหินหยกแปลกประหลาดก้อนนี้กลับมาเลย แต่ในเมื่อเธอเห็นว่าข้างในหินหยกมีอะไรอยู่ ถ้าไม่ซื้อกลับมา ชาตินี้คงนอนไม่หลับ กินอาหารคงไม่อร่อยแน่
“ก็ได้ครับ” จ่านป๋ายเห็นท่าว่าเธอคงไม่อธิบายแน่ เขาจึงไม่ถามให้มากความ หยิบเครื่องเจียระไนขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเจียระไนลงไปที่หินหยกก้อนที่ซื้อมาจากงานประมูล
เพียงแต่ว่าเมื่อผิวที่ถูกเจียระไนเปิดออก เขากลับรู้สึกเศร้าเสียใจเล็กน้อย เนื้อหินที่เผยออกมาให้เห็นล้วนเป็นแต่สีขาว หรือว่าซีเหมินจินเหลียนจะแพ้เดิมพัน?
ในใจได้แต่คิดเช่นนั้น แต่ก็ยังคงระมัดระวังในการใช้เครื่องเจียระไนต่อไป เพียงแต่ขยายพื้นที่เจียระไนออกมาได้ประมาณหนึ่งฟุต ความลึกสองฟุตก็ยังคงเป็นเนื้อหินสีขาว ไม่มีท่าทีว่าจะเห็นสีเขียวออกมาเลย
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาได้ดูซีเหมินจินเหลียนเปิดหินออกมา หินหยกเกือบทั้งหมดล้วนมีสีสันทั้งนั้น จิตใต้สำนึกก็ได้รับการยืนยัน แต่ตอนนี้เห็นลักษณะของหินที่ปรากฏออกมาแล้ว มันทำให้เขารับไม่ได้
แต่เมื่อย้อนคิดกลับไป การเดิมพันหิน ในเมื่อมีคำว่าเดิมพัน อย่างไรก็ย่อมมีแพ้มีชนะเป็นธรรมดา อย่าพูดถึงแพ้เดิมพันแค่ชิ้นเดียวเลย ถึงแพ้ไปแปดชิ้นในสิบชิ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เคยได้ยินมาหลายต่อหลายครั้งว่าการเดิมพันหินล้วนเป็นการเดิมพันสิบครั้งแพ้เก้าครั้ง ส่วนข่าวลือที่สืบทอดกันมาก็มักจะเป็นเรื่องของการชนะเดิมพัน เพราะเดิมพันแพ้ไม่มีความจำเป็นต้องเล่าขานบอกต่อให้ใครรู้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากอีก ใช้เครื่องเจียระไนเปิดผิวหินออกไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังคงไร้สีเช่นเดิม ในใจก็กลับฉุกคิดขึ้นมาทันทีว่า วิธีปอกลอกผิวหินของซีเหมินจินเหลียนอาจจะช้าไปสักหน่อย ในเมื่อลักษณะของหินไม่ดี หรือจะเปลี่ยนมาเป็นการผ่าแทน?
เมื่อเห็นแบบนั้นจ่านป๋ายก็หยิบเครื่องผ่าหยกขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนหันหน้าขึ้นไปมองเขา แล้วหันไปเห็นหินหยกที่ถูกเจียระไนลอกเปลือกออกมาแล้วครึ่งหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาแกะสลักหยกสีเลือดต่อไปโดยไม่พูดอะไร
เปลือกของหินหยกก้อนนี้แค่หนาไปหน่อยเท่านั้น แต่ลักษณะข้างในก็ไม่เลวเลย
รอดูไปก่อนสักพัก เมื่อจ่านป๋ายใช้ใบมีดผ่าลงไปแล้วเห็นเนื้อหยกเข้า ไม่รู้ว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร
แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับคิดไม่ถึงว่าจ่านป๋ายจะใช้เครื่องผ่าหยกขนาดเล็กตัดลงไปยังหินอีกฝั่งที่ไม่ได้เจียระไนออกมา เมื่อมีดตัดลงไปได้แค่สามเซนติเมตรก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นหินสีขาวธรรมดาแค่นั้น จ่านป๋ายส่ายหัวถอนหายใจไม่หยุด ไม่รีรอใช้เครื่องตัดหินตัดผิวหินออกไปให้หมด เพียงแต่การลงมีดแต่ละครั้งใช้เพียงแค่สองถึงสามเซนติเมตร จ่านป๋ายก็ยังคงเห็นว่าหินก้อนนี้ยังคงเป็นหินธรรมดาก้อนหนึ่ง
“แพ้แล้ว…แพ้เดิมพันแล้ว…” จ่านป๋ายถอนหายใจฟึดฟัดไม่หยุด หรือว่าวันนี้เขาจะดวงไม่ดี?
“จินเหลียน ดูเหมือนว่าพวกเราจะแพ้เดิมพันเข้าแล้วล่ะครับ” จ่านป๋ายสีหน้าไม่รับบุญนัก
“อืม…นี่ก็เป็นเรื่องปกติ” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ ถ้าคิดจะเดิมพันหิน ใครจะกล้ารับรองว่าจะชนะหรือแพ้ เว้นเสียแต่คนขี้โกงอย่างเธอถึงจะสามารถรับรองได้
แน่นอนส่วนผู้อาวุโสหูก็อีกกรณี เมื่อคิดถึงท่านผู้อาวุโสหูแล้ว สายตาของเธอก็ตกไปอยู่ที่หินแปลกประหลาดก้อนนั้น
“ถ้าอย่างนั้นยังจะต้องผ่าอีกไหมครับ” จ่านป๋ายถาม
“ผ่าสิ ต้องลองผ่าออกมาดู” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “ถ้าหากเป็นหินทั้งหมดจริงๆ คุณก็ตัดมันออกมาทำเป็นไพ่นกกระจอก คิดว่าน่าจะทำได้สักหนึ่งร้อยสี่สิบสี่ใบพอดี พวกเราก็ใช้โอกาสนี้ทำไพ่นกกระจอกขึ้นมา แล้วมาประลองฝีมือกัน”
“จินเหลียน ความคิดของคุณนี่โอเคเลย!” จ่านป๋ายพูดพลางหยิบเครื่องตัดหินอีกครั้ง ถึงซีเหมินจินเหลียนจะพูดอย่างนั้น แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ยังคงใช้มีดค่อยๆ ตัดผิวหินหยกออกมาประมาณสามเซนติเมตร พร้อมพูดขึ้นว่า “ถ้าหากอยากจะทำไพ่นกกระจอกจากหยกสักชุด คุณคงคิดที่จะใช้หยกชนิดแก้วสีเขียวสดใช่ไหม อีกอย่างมุมห้องที่วางกองหินหยกพวกนั้นก็มากพอแล้ว”
“ฉันก็ไม่ได้เบื่ออะไรขนาดนั้นหรอกนะ” ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นเหลือบไปมองเวลา ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว แท่นหยกสีเลือดพึ่งจะได้เริ่มสร้างโครงร่าง ที่เหลือต้องใช้ฝีมือในการแกะสลักอย่างพิถีพิถัน นั่นเป็นเรื่องที่จำไม่ค่อยแล้ว เธอยกมือขึ้นมาปิดปากที่กำลังหาวหวอด “ตอนนี้ใช้เครื่องอัตโนมัติเล่นไพ่นกกระจอกกันแล้ว ถึงจะเป็นไพ่นกกระจอกที่ทำมาจากหยก แต่ก็คงไม่มีใครอยากจะเล่นหรอก”
“จินเหลียนคุณไม่เข้าใจ!” จ่านป๋ายส่ายหัว “เครื่องเล่นไพ่นกกระจอกแบบอัตโนมัติมีไว้ใช้ก็เพื่อไม่ต้องล้างไพ่จัดไพ่ด้วยตัวเอง แต่เมื่อเทียบกับคนที่เป็นนักพนันไพ่ตัวจริง ถ้าไม่ล้างไพ่จัดไพ่ด้วยตัวเองก็ไม่เรียกว่าเป็นการเล่นไพ่ เพราะว่าถ้าใช้เครื่องล้างไพ่มันสามารถโกงได้”
“คุณพูดแบบนี้ นี่ก็กำลังหลอกล่อให้ฉันทำชุดไพ่นกกระจอกจากหยกเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ว้าว…” จ่านป๋ายปิดการทำงานของใบมีดเครื่องตัดลง จากนั้นหยิบหินที่ตัดออกขึ้นมาอย่างเบามือ สายตามึนงงอย่างไม่ขาดสาย
เดิมทีคิดว่าหินหยกก้อนนี้เป็นหินไร้ค่า แต่เมื่อตัดออกมาแล้วเห็นสี อีกทั้งยังเป็นสีน้ำเงินใสสดที่ไม่เคยเห็น เขาเคยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับหยกมา แน่นอนย่อมรู้ว่าความหมายของหยกสีน้ำเงินหมายถึงอะไร “จินเหลียน คุณมาดูนี่สิ พวกเราจะรวยแล้ว…”
ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เป็นหยกสีน้ำเงินใสสะอาดอย่างที่คิดไว้จริงๆ ลักษณะสีภายนอกของหินค่อนข้างอ่อน แต่ถ้าเธอจำไม่ผิดยิ่งลงลึกข้างในไปเท่าไหร่ สีน้ำเงินกลับเข้มสดขึ้นเรื่อยๆ
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นหยกสีน้ำเงิน จินเหลียนพวกเราก็โชคดีเกินไปแล้ว สีแดง ม่วง เขียว ฟ้า ผมเคยเห็นมาหมดแล้ว” จ่านป๋ายพูดพลางหันไปมองหยกทั้งหมดที่เคยตัดออกมา
ยังมีหยกสีเหลืองอีกนะ! ซีเหมินจินเหลียนเพิ่มเข้าไปในใจ เพียงแต่ว่าหินหยกสีเหลืองก้อนนั้นยังไม่ถูกตัดออกมา ความจริงตัวเธอเอนเอียงชอบหยกสีแดงมากกว่า เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยสนใจหยกสีอื่นๆ เท่าไหร่ ยืมคำพูดของผู้อาวุโสหูมาพูดก็คือ หินพวกนี้เป็นเพียงแค่หินที่แลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ก็เท่านั้น
“จินเหลียนคุณไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ตอนนี้ยังพอมีเวลา ถ้าผมเจียระไนออกมาได้หมด แล้วจะไปส่งคุณที่งานเลี้ยงรุ่น” จ่านป๋ายมองไปที่หยกอย่างตกตื่นดีใจ
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 46 งานเลี้ยงรุ่น (1)
ซีเหมินจินเหลียนเดิมทีที่กำลังจะเดินออกไปข้างนอก เมื่อได้ยินเช่นนั้นเลยหยุดฝีเท้าถามไปว่า “ฉันไปงานเลี้ยงรุ่น แล้วคุณจะไปทำอะไร”
“ผมเป็นแฟนที่อยู่บ้านเดียวกันกับคุณนะครับ” จ่านป๋ายพูดอย่างไม่ลังเล “คุณคงจะไม่คิดที่จะข้ามแม่น้ำเสร็จแล้วพังทลายสะพานลงนะ ที่คิดอยากจะใช้เมื่อไหร่ก็เรียกออกมา ผมได้ยินจินอ้ายหัวบอกว่าสามารถพาแฟนไปได้ เธอก็ยังพาไปเลย”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าไม่พูดจาอะไร มนตร์เสน่ห์ของลังโคมชุดหนึ่ง จินอ้ายหัวก็สามารถขายเธอได้อย่างหมดเปลือกจริงๆ
“อีกอย่างคุณสวยแบบนี้แล้วจะให้ผมปล่อยคุณออกไปคนเดียวได้ยังไง ผมไม่ไว้วางใจ ใครจะไปรู้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นผู้ชายของคุณจะไว้ใจได้หรือเปล่า?” จ่านป๋ายพูดอีกรอบ
ซีเหมินจินเหลียนไม่อยากจะต่อปากต่อคำอะไรกับเขาอีก เช่นนั้นจึงเพียงแค่หมุนตัวเดินออกไปข้างนอก แต่ในใจบ่นด่าเขาพึมพำ นี่เขาเห็นว่าเธอเป็นใครกัน? มีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นผู้ชายแล้วไม่วางใจ? ถ้าหากเธอมีเสน่ห์มากมายขนาดนั้น ทำไมถึงโดนแฟนเก่าทิ้งได้ล่ะ
แกะสลักหยกมาทั้งวัน เธอก็คิดจะไปอาบน้ำพักผ่อนสักหน่อย เปิดเพลงเบาๆ ขับกล่อมด้วยเสียงบรรเลงไพเราะของขลุ่ย เข้าถึงอารมณ์เศร้าโศกเล็กน้อย กระจายไปทั่วทุกมุมของห้อง
ยืนอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าอยู่นาน ซีเหมินจินเหลียนก็ลังเลใจว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าแบบไหนดี การเป็นผู้หญิง สำหรับเรื่องเสื้อผ้านั้น แน่นอนว่าต้องมีสไตล์ที่โดดเด่น หลังจากที่เธอเริ่มมีเงินขึ้นมา เธอก็ไม่ยอมให้ใครมาว่าเธอได้ ในตู้เสื้อผ้าของเธอจึงมีเสื้อผ้าแบรนด์เนมให้เลือกสรรต่างๆ นานา
แต่ปัญหาก็คือ ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงก็ต้องสวมใส่ชุดราตรีอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นชุดราตรีที่ดูสไตล์จะดั้งเดิมเกินไป ซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่ส่ายหน้าครุ่นคิดไปมา ชุดพวกนี้เหมาะสำหรับออกงานเลี้ยงระดับหรูหราเท่านั้น งานเลี้ยงรุ่นเช่นนี้หากใส่ไปคงไม่เหมาะสม
เธอรื้อเสื้อผ้าในตู้อยู่นานก็ยังหาไม่เจอชุดที่เหมาะสมที่จะใส่ไปในงาน ไม่นานสายตาของเธอก็ตกไปอยู่ที่ชุดที่ปักด้วยผ้าไหมแท้
ฉินเฮ่าพาเธอไปเดินที่ซิ่วฟางมาแล้วครั้งหนึ่ง เสื้อผ้าก็ซื้อมาแล้ว อีกทั้งยังสั่งทำชุดโบราณในสมัยราชวงศ์ถังมาด้วย ชุดประเภทนั้นที่มีลักษณะคล้ายกับชุดสมัยราชวงค์ฮั่น เพียงแต่แค่มีความเคร่งขรึมเป็นทางการน้อยกว่า แต่ก็ยังเพิ่มความหรูหราของเสื้อสมัยราชวงศ์ถังเอาไว้ ทำให้เธอเสียดายจนไม่กล้าจะหยิบมาใส่ แต่ชุดแบบนี้เหมาะสมแค่ใส่อยู่ในบ้านให้ชอบใจก็พอ ถ้าจะใส่ออกไปข้างนอกเกรงว่าคงต้องเตรียมความกล้าที่จะถูกคนรุมล้อมจ้องมอง
ซีเหมินจินเหลียนยอมรับว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ถ่อมตัวอะไร แต่ก็ไม่ถึงกับมีความกล้าที่พร้อมจะสู้กับสายตาคนที่หันมารุมล้อม เพราะฉะนั้นชุดราคาเป็นแสนเช่นนี้คงได้แต่แขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า
ไม่นานสายตาของเธอก็หันไปเห็นชุดเดรสกระโปรงยาวสีขาวที่ปักลายผีเสื้อไว้ มีแค่ปลายกระโปรงเท่านั้นที่ปักเป็นผีเสื้อ ดูมีเอกลักษณ์โดดเด่นสง่างามเฉพาะตัวใ
ดึงเสื้อออกมาจากไม้แขวนเสื้อแล้วสวมใส่เข้าที่ตัว ส่องกระจกมองตัวเองไปมา เรียบง่ายดี ไม่ได้สะดุดตาใครมาก ส่วนผมเพียงแค่ใช้ปิ่นหยกสีเขียวรวบเข้าด้วยกันก็ถือว่าโอเคแล้ว
ต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มเย็นลง เธอเลยหยิบผ้าคลุมไหล่สีขาวมาคลุมพาดไหล่ประดับไว้บนตัว
เมื่อเดินลงมาข้างล่างก็เห็นว่าจ่านป๋ายกำลังรอเธออยู่ มองเธออย่างไม่ละสายตาแล้วพูดว่า “สวยจริงนะ แต่ว่าดูธรรมดาเรียบง่ายเกินไป ไม่ใช่ว่าคุณมีเข็มกลัดหยกสีแดงทองเหรอ เอามาติดที่หน้าอกสิ”
“เจียระไนหยกสีน้ำเงินอกมาหมดแล้วเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่กลับถามคำถามใหม่เพิ่ม
“ครับ” จ่านป๋ายหยักหน้าตอบ “ถึงเปลือกผิวของหินจะหนาไปหน่อย แต่ลักษณะเนื้อข้างในของหินไม่เลวเลย ผิวข้างนอกดูสีอ่อน แต่พอยิ่งลึกไปข้างในเข้าสีก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มสดใสสะอาดตาขึ้นมา สีนี้น่าจะเป็น…” พูดได้เท่านี้เขาก็ปิดปากลง
“น่าจะเป็นอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความอยากรู้ เธอยกชายกระโปรงขึ้นมาแล้วเดินลงไปยังห้องใต้ดิน
อย่างที่จ่านป๋ายพูด หยกสีน้ำเงินเมื่อถูกเจียระไนออกมาหมด ภายใต้แสงไฟที่ส่องลงมา ทำให้หยกสีน้ำเงินนี้ยิ่งสว่างไสวเข้าไปอีก ราวกับฟ้าหลังฝน หรือไม่ก็น้ำทะเลที่กว้างใหญ่
แถมอยากจะทำเป็นเครื่องประดับขนาดใหญ่แค่ไหนก็ทำได้อย่างเพียงพอตามใจต้องการ
“เสี่ยวป๋าย คุณว่าหยกสีน้ำเงินนี้จะทำอะไรได้บ้าง” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“คุณอยากจะทำอะไรก็ได้หมดเลย” จ่านป๋ายพูด “กำไล แหวน ปิ่นปักผม ป้ายหยกพก จี้หยก สร้อยคอ…”
“ฉันว่าถ้าหยกสีนี้ถ้าทำเป็นเครื่องประดับออกมาคงจะไม่สวยเท่ากับหยกสีเลือด” ซีเหมินจินเหลียนบ่ายหน้าปฏิเสธ “อีกอย่างก็ยังไม่รู้ว่าจะขายได้หรือเปล่า”
“คุณพูดอะไรกันครับ” จ่านป๋ายส่ายหัวพูด “คุณชอบสีแดง ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะชอบสีแดงเหมือนกันหมดนี่นา บางคนก็ชอบสีน้ำเงินกับสีเขียว สำหรับคนที่ชอบสีน้ำเงินแล้ว หยกสีน้ำเงินนี่คือของล้ำค่าชิ้นดี คุณดูสิหยกแก้วใสบริสุทธิ์แถมยังโปรงใสวาววับ เนื้อสัมผัสไหลลื่นน้ำงาม ไร้ที่ติจริงๆ”
“คุณชอบหยกสีน้ำเงินเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความสงสัย
“ผมเฉยๆ ครับ” จ่านป๋ายส่ายหน้า “แต่ผมรู้ว่าจะต้องมีคนที่ชอบหยกสีนี้อย่างแน่นอน”
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนถาม “ใครเหรอ” จะพูดออกมาทีเดียวก็ไม่ได้ มาทำลีลาอยู่นั่น จ่านป๋ายพูดไม่ผิด อย่างไรก็ย่อมมีคนชื่นชอบหยกสีน้ำเงินอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นลองคิดเปลี่ยนเป็นเธอที่ชอบสีแดง ไม่เคยพิจารณาสีน้ำเงินให้เข้ามาในใจเลย ถึงจะเป็นหยกสีเขียวสดที่ซื้อกลับมาพร้อมกันด้วยมูลค่าเท่ากัน เธอก็ยังไม่สนใจสีน้ำเงิน
“หลินเสวียนหลาน” จ่านป๋ายพูด “คุณไม่เคยสังเกตเหรอว่าเขาชอบสีน้ำเงินมาก?”
“เขาเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ถึงเขาจะชอบสีน้ำเงินจริง แต่ตอนนี้เขาคงมีเงินไม่พอที่จะมาซื้อหยกสีน้ำเงินนี่แน่
เมื่อมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาหกโมงครึ่งพอดี ซีเหมินจินเหลียนยกชายกระโปรงขึ้นและสั่งให้จ่านป๋ายล็อคประตูห้องใต้ดินไว้ให้ดี “ฉันจะขึ้นไปหยิบเข็มกลัดด้านบนก่อน คุณจะไม่ไปกับฉันแล้วใช่ไหม?”
“โอเค เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเสื้อ” จ่านป๋ายแกล้งทำเป็นไม่สนใจประโยคหลังที่เธอพูด
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มกลบเกลื่อน คนแบบนี้น่ะหรือที่เป็นประธานของจิ่นติง ทำไมถึงได้ว่างงานขนาดนี้นะ?
เพราะว่าเป็นงานเลี้ยงรุ่น ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่อยากถูกดูถูก เธอจึงกำชับให้จ่านป๋ายขับรถเบนซ์ออกมา ส่วนสำหรับรถบีเอ็มดับบิวของตัวเองก็ปล่อยขังไว้ในโรงจอดรถที่บ้านเห็นจะดีที่สุด
จ่านป๋ายขับรถไปที่สุ่ยจงเซียน เมื่อขับไปได้ครึ่งทางซีเหมินจินเหลียนก็รับสายของจินอ้ายหัวที่ถามเธอว่า “มาแล้วหรือยัง?”
แต่เมื่อลงจากรถจ่านป๋ายก็ได้รับโทรศัพท์ จากนั้นสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีพร้อมกระซิบบอกซีเหมินจินเหลียนว่าเขาไปกับเธอไม่ได้แล้ว เพราะเขามีธุระที่ต้องไปจัดการนิดหน่อย ตอนสี่ทุ่มค่อยเข้ามารับเธอ ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้โทรหาเขาได้ทันที
ซีเหมินจินเหลียนเฉลียวฉลาด แน่นอนว่าเธอไม่ได้ถามเขาออกไปว่าเกิดเรื่องอะไร เพียงแต่กำชับให้เขาระวังตัว จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินลงจากรถอย่างสง่างาม เมื่อมาถึงที่ลิฟต์ ในใจก็อดห่วงจ่านป๋ายไม่ได้ นี่คงจะไม่ได้เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เธอคุ้นชินกับการที่มีจ่านป๋ายเข้ามามีตัวตนอยู่ในชีวิตของเธอแล้ว…
ภายในห้องโถงใหญ่ฝูหลงชั้นสิบสอง ซีเหมินจินเหลียนเดินไปถึงหน้าประตูก็เห็นจินอ้ายหัวกวักมือเรียกเธอพอดี เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนก็กอดรัดซะแน่น “เธอมาแล้ว ฉันคิดถึงเธอแทบแย่!”
“เว่อร์แล้ว เธอคิดถึงฉันอะไรกัน ฉันไม่ใช่ผู้ชายสักหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนขัดจังหวะ
“มาเถอะ จินเหลียน ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จัก นี่แฟนของฉัน ชื่อซุนหมิงหมิง!” จินอ้ายหัวลากผู้ชายที่สูงราวร้อยแปดสิบที่ยืนอยู่ข้างๆ เข้ามา ผู้ชายเด็กหนุ่มไฟแรงที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำมาแนะนำให้เธอรู้จัก
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซีเหมินจินเหลียน” ซีเหมินจินเหลียนเผยยิ้มไปให้แฟนของจินอ้ายหัว หน้าตาของเขาธรรมดา ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ก็ไม่ได้หล่อระเบิดระเบ้อขนาดนั้น
“ได้ยินอ้ายหัวพูดถึงคุณมาตั้งหลายครั้ง แต่ไม่มีโอกาสเจอกันสักทีนะครับ” ซุนหมิงหมิงยิ้มอย่างสุภาพพร้อมคล้องแขนจับมือกับจินอ้ายหัว
“จินเหลียน แล้วแฟนของเธอล่ะ?” จินอ้ายหัวถาม
ซีเหมินจินเหลียนมึนงง ไม่เข้าใจในคำถามของเธอ “ฉันไปมีแฟนตอนไหนกัน”
“ก็จ่านป๋ายคนนั้นไง?” จินอ้ายหัวยิ้มพร้อมส่ายหัว “เธอยังจะปิดบังฉันอยู่อีกเหรอ? เขาก็บอกกับฉันหมดแล้ว”
“เขามาพูดจาไร้สาระอะไรกับเธออีก” ซีเหมินจินเหลียนคิ้วขมวดถามออกไป
“เขาบอกว่าเขาเป็นแฟนที่อยู่บ้านเดียวกันกับเธอ เธอช่วยชีวิตเขาไว้ เขาไม่รู้จะตอบแทนยังไงเลยใช้ร่างกายตอบแทน ฮ่าๆ…” พูดถึงตอนนี้จินอ้ายหัวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา คิดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นเธอที่ต้องพบเจอ แต่ถึงจ่านป๋ายจะหล่อเทียบกับหลินเสวียนหลานไม่ได้ แต่เขาก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง เรียกว่ายังจัดอยู่ในกลุ่มคนหล่อ ถ้าจะคู่กับซีเหมินจินเหลียนแล้ว ดูจากประวัติพื้นเพของบ้านก็ดูไม่เลว เพราะฉะนั้นเธอก็ยินดีกับซีเหมินจินเหลียนด้วย
“เพื่อนของเธอชอบพูดจาไร้สาระ!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว
“อ้ายหัว คุณซีเหมิน พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะครับ อย่าขวางทางกันอยู่หน้าประตูเลย” ซุนหมิงหมิงเอ่ย
“ดีค่ะ” ทั้งสามคนเดินเข้าไปที่ห้องพร้อมกัน เพื่อนร่วมรุ่นบางคนที่เธอไม่ค่อยสนิทสนมก็ค่อยๆ ทยอยเดินเข้ามาในงาน
นิสัยของซีเหมินจินเหลียนไม่ใช่เป็นคนเปิดเผยตัวเองสักเท่าไหร่ ยิ่งบวกกับเมืองเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่บ้านเกิดของเธอ เธอจึงไม่คุ้นเคยกับคนพวกนี้สักเท่าไหร่ ไม่เหมือนอย่างจินอ้ายหัว เธอมองจินอ้ายหัวกับเถียนเถียนทักทายทุกคนในงาน เธอกลับรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวบนโลก…
เมื่อหามุมเงียบๆ นั่งลงแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็เริ่มแกะเล็บของตัวเองด้วยความเบื่อหน่าย คนส่วนใหญ่เธอค่อนข้างคุ้นหน้า แต่สำหรับการจดจำชื่อนั้นเธอก็จำไม่ได้ ช่างเถอะ รออีกสักพักค่อยกลับก็ได้! ตอนเรียนก็เหมือนกัน เธอเข้ากับสังคมของพวกเขาไม่ได้ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
เซียวเหอคอยลอบสังเกตซีเหมินจินเหลียน สิ่งที่ดึงดูดใจเขาก็คือปิ่นปักผมสีเขียวสดใสภายใต้แสงไฟของเธอที่ช่างสว่างไสวโดดเด่นขึ้นมา ตามความรู้สึกของเขา นี่คงไม่ใช่ปิ่นชนิดหยกแก้วอย่างเดียวแน่ น่าจะเป็นปิ่นหยกแก้วสีเขียวสด…
แต่ปิ่นหยกลักษณะแบบนี้ ถ้าในตลาดคงราคาทะลุล้าน ทำให้เขาไม่กล้าที่จะถาม
หลังจากนั้นสายตาของเขาตกไปอยู่ที่ลำคอของเธอที่เต็มไปด้วยสร้อยคอหยก นั่นก็ยังเป็นหยกแก้วสีเขียวสดเช่นกัน! เซียวเหอลอบตกใจอยู่คนเดียว นอกจากนี้เข็มกลัดที่หน้าอกของเธอน่าจะเป็นหยกสีแดงใช่ไหม? แต่ทำไมหยกสีแดงถึงได้มีแสงระยิบระยับของสีทองอยู่ด้วยล่ะ หรือว่าจะเป็นหยกสีแดงทองคำที่กำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้?
แต่สิ่งที่ทำให้เขานิ่งอยู่นานก็คือ กำไลหยกฮกลกซิ่วที่เธอสวมใส่ ถ้าไม่เกรงว่ามีสายตาของคนที่อยู่ในงานตั้งมากมาย เขาคงตื่นเต้นจนตัวสั่นเทาไปหมด พระเจ้า ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหยกโบราณชนิดแก้วอย่างหยกฮกลกซิ่วกับตาตัวเอง?
อีกทั้งสีสันยังสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่ติอีกด้วย? แดงเขียวม่วงรวมทั้งไร้สีหลอมหลวมผสานเข้ากัน มันช่างงดงามเกินคำบรรยาย น้ำงามสว่างไสว ภายใต้แสงไฟส่องประกายวิบวับเรืองรอง เครื่องประดับที่อยู่บนเรือนร่างของเธอถ้านำไปวางขายในตลาด ราคาคงประมาณหลักร้อยล้านเห็นจะได้? แต่เธอกลับสวมใส่มันประดับไว้บนตัวอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 47 งานเลี้ยงรุ่น (2)
เซียวเหอมีความรู้สึกอึดอัดใจ เหมือนจะไม่เคยได้ยินว่าเพื่อนคนนั้นจะร่ำรวยขนาดนี้นี่นา? ถึงจะมีเงินซื้อเครื่องประดับพวกนั้น แต่ก็น่าจะเก็บไว้ในตู้เซฟที่บ้านเป็นทรัพย์สมบัติไว้สิ ไม่ใช่มาสวมใส่ประดับไว้บนตัวอย่างนี้
เขาสังเกตรูปลักษณ์ภายนอกของซีเหมินจินเหลียนอย่างละเอียด เหมือนว่าจะเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่ว่าคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเธอชื่ออะไร
“เธอ?” เซียวเหอทักทายไปอย่างสงสัย
“อ๊ะ?” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นมา เห็นใบหน้าที่ค่อนข้างจะคุ้นเคย แน่นอนว่าเธอไม่รู้จักกับเซียวเหอ เลยถามไปอย่างสงสัยว่า “มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันขอนั่งด้วยได้ไหม” เซียวเหอมองเป็นนัยน์ไปที่โซฟาข้างๆ ของเธอแล้วถามขึ้น
“อ่อ?” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าลง ก่อนจะขยับที่นั่งรักษาระยะห่างเอาไว้ “ตามสบายเลย”
เซียวเหอกล่าวขอบคุณแล้วก็นั่งลงถามเธอ “เธอ…เหมือนฉันรู้สึกว่าเธอหน้าคุ้นๆ แต่ก็คิดไม่ออกสักที”
“ฉันชื่อซีเหมินจินเหลียน อยู่ภาคภาษาจีน!” ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ของเขาก็ไม่รู้ว่าเขามีเรื่องอะไร เช่นนั้นจึงถามไปว่า “ฉันก็ไม่รู้จักชื่อของนายเหมือนกัน”
“ฉันชื่อเซียวเหอ” เซียวเหอรู้สึกแปลกใจ เขาไม่รู้จักซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลกอะไร แต่เธอกลับไม่รู้จักเขาอย่างนั้นเหรอ? ย้อนไปตอนสมัยเรียน เขาก็เรียกได้ว่าเป็นคนดังของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ เป็นทั้งประธานนักเรียน โค้ชทีมบาสของโรงเรียน อีกทั้งทักษะการเล่นบาสที่โดดเด่น รวมกับความหล่อเหลาที่เปล่งประกายในตัว ทำให้มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาจีบเขา
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินชื่อก็รู้สึกว่าคุ้นหูอยู่บ้าง เมื่อคิดทบทวนดีๆ แล้วจึงคิดได้ว่าเขาเคยเป็นประธานนักเรียน เธอรู้จักชื่อนี้เพราะว่าเพื่อนร่วมหอของเธอเคยตามจีบเขามากว่าสองปีเต็ม เพียงแต่ว่าเขารูปหล่อเลยแค่มองเธอผ่านสายตาแวบเดียวเท่านั้น ทำให้เพื่อนผู้หญิงคนนั้นเสียใจร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด จนถึงตอนเรียนจบก็ยังคงลืมเซียวเหอชื่อนี้ไม่ได้ กลายเป็นเรื่อเล่าของหอเธอไป
“นี่เป็นนามบัตรของฉัน” เซียวเหอหยิบนามบัตรแล้วส่งไปให้
ซีเหมินจินเหลียนยังรู้สึกงงๆ แต่ก็รับมาแล้วมองไปที่นามบัตร ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการขาย บริษัทเสียงเฟิงจิวเวลรี่ ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าบริษัทเสียงเฟิงจิวเวอรี่นี้ เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้ มีประวัติยาวนานมาหลายร้อยปีแล้ว หยกสีแดงทองของเธอก็มาจากประธานสวี่จากบริษัทเซียงเฟิงเป็นคนทำให้รูปร่างกลายเป็นเครื่องประดับได้
ฝ่ายการขายเหรอ? คิดแล้วเขาคงจะต้องมีลูกค้าอยู่ในมือไม่น้อยเลย? ซีเหมินจินเหลียนคิดถึงเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ซีเหมิน ตอนนี้เธอทำงานอยู่ที่ไหนเหรอ” เซียวเหอถามอย่างสงสัย
“คือ…” ซีเหมินจินเหลียนไม่พูดอะไร เมื่อสักครู่เธอคิดอยากจะหามุมเงียบๆ นั่งคนเดียว คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะถามคำถามนี้ขึ้นมา
นอกจากนี้เธอยังไม่ได้ซื้อหุ้นจากบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ อยากจะถามอย่างขุดลึกก็ไม่กล้า เอาเถอะ อย่างไรก็รับนามบัตรไว้ก่อน อนาคตอาจจะต้องได้ใช้
เห็นซีเหมินจินเหลียนเงียบไม่พูดจา เซียวเหอจึงได้แต่ส่งยิ้มไป เป็นฝ่ายการขายเขาค่อนข้างจะมีความใส่ใจในลูกค้า ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่อยากพูด เขาก็ไม่ได้ถามซอกแซกต่อ เลยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ซีเหมินจินเหลียน ถ้าเธอสนใจที่จะซื้อเครื่องประดับก็มาหาฉันได้นะ ฉันให้ราคาที่ถูกกว่าในตลาดเลย”
“จริงเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนปรับสีหน้า แล้วถามว่า “รายได้ของนายคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดการขายเครื่องประดับหรอกนะ”
เซียวเหอได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ อย่าพูดถึงฝ่ายการขายเลย ไม่ว่าจะธุรกิจสายไหน เงินเดือนย่อมขึ้นกับผลงานที่ทำออกมาไม่ใช่เหรอ
“เพชรหนึ่งกระรัต ราคาประมาณเท่าไหร่เหรอ” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็ถามขึ้นมา เธอมีหยกมากมายแต่ไม่เคยมีเครื่องประดับจำพวกเพชร ครั้งที่แล้วที่ในกระทู้หยก เธอก็เห็นแหวนเพชรวงหนึ่งสวยมาก ในใจได้แต่อิจฉา
เซียวเหอมองไปที่กำไลของเธอแล้วพูดขึ้นว่า “เพชรก็ต้องดูจากน้ำและสี ไหนจะแหล่งกำเนิด การตัดการเจียระไนต่างๆ…”
ซีเหมินจินเหลียนคิดไปคิดมา เธอชอบสีแดงเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนที่เคยดูหนัง ภายในมีเพชรสีเลือดสดที่สะดุดตาเธอเลยถามไปว่า “มีเพชรสีเลือดไหม?”
เซียวเหอตกตะลึงอยู่บ้าง เมื่อเธอเริ่มพูดออกมาก็อยากได้ของที่อยู่ในตำนานเลย? ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงจะดูถูกเหยียดหยามไปแล้ว ถ้าพูดแค่สองประโยคสั้นๆ ยังพอรับได้ แต่ถ้าฟาดมายาวแล้วคงจะด่าไปสักประโยค แต่นี้เขาไม่กล้าที่จะหุนหันพลันแล่น
สายตาของเขาตกไปอยู่บนเครื่องประดับที่ราคาประเมินไม่ได้บนเรือนร่างของซีเหมินจินเหลียน เขาก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขารู้ว่าเธอคงจะมีกำลังซื้อ คนที่สวมใส่หยกที่มีมูลค่าหลักร้อยล้าน แถมยังต้องการเพชรสีเลือดยังพอเข้าใจได้ คนที่เห็นโลกมาเยอะสายตาย่อมที่จะรู้ลึกเป็นธรรมดา…
เมื่อย้อนคิดกลับไปตอนที่เขาเข้ามาทำงานฝ่ายขายที่บริษัทเซียงเฟิงจิวเวอรี่ครั้งแรก เพื่องานเขาเลยต้องศึกษาเรื่องเครื่องประดับหยกอย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งที่เขาพบเจอย่อมมีขอบเขตที่จำกัด เขาเป็นแค่ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายตำแหน่งเล็กๆ ปกติเคยเห็นแต่หยกระดับกลางก็ถือว่าพึงพอใจแล้ว หยกชั้นดีแน่นอนไม่ได้วางไว้ในตู้กระจกเพื่อจัดโชว์ นอกเสียจากมีงานนิทรรศการเครื่องประดับอัญมณีครั้งใหญ่ที่บริษัทเครื่องประดับอัญมณีหลากหลายแห่งจะนำสินค้าหยกชั้นดีที่เก็บสะสมกันมาเปิดเผย แต่ของแบบนี้โดยปกติไม่ได้มีไว้เพื่อขาย หรือจะพูดก็คือไม่มีช่องทางที่จะมีไว้ในครอบครอง ไม่มีทางที่จะซื้อได้
“มีหรือเปล่า?” ซีเหมินจินเหลียนยังคงค้างคาใจ จึงถามไปอีกครั้ง “หรือไม่ก็สีแดงกุหลาบก็ได้ ฉันเคยเห็นแหวนเพชรสีแดงกุหลาบ รู้สึกว่าสวยมากเหมือนกัน…” เสียดายที่นั่นเป็นของหมั้นในอนาคตของหลินเซียนเอ๋อร์ ของสะสมของบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ หลินเสวียนหลานก็เคยให้เธอดูมาแล้ว
แน่นอนสำหรับของหมั้นประจำตระกูล ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ได้โง่เง่าที่จะถามราคาไปโต้งๆ
“เพชรแบบนี้ต้องสั่งทำน่ะ” เซียวเหอส่ายหัวแล้วพูด “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันจะลองถามให้นะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว ถ้าหากเธอต้องการให้บริษัทอัญมณีเซียงเฟิงเป็นคนออกแบบให้ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกหาผู้ช่วยฝ่ายขายอย่างเขา สู้ไปหาประธานสวี่โดยตรงง่ายยิ่งกว่า
“เซียวเหอ…” ในขณะที่เซียวเหอกำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้นนั้น ก็มีผู้หญิงหน้าตาดี หุ่นเพรียวคนหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดที่นำแฟชั่น สวมใส่รองเท้าส้นสูงเดินส่ายเอวไปมาเข้ามาหาเขา
“หลิงหลิง” เซียวเหอลุกยืนขึ้น “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เธอสวยขึ้นกว่าเดิมอีกนะเนี่ย!”
สายตาของซีเหมินจินเหลียนมองไปที่เรือนร่างของเธอ ถ้าเธอจำไม่ผิด เธอน่าจะชื่อว่าหลิงซูฟาง ตอนนั้นเป็นดาวคณะภาควิชาการเงินและการธนาคาร สวยจริงอย่างที่คนพูดไว้ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ตอนนี้เป็นผู้หญิงสวยดึงดูดคนไปแล้ว หลังจากที่เรียนจบกันไปก็ได้สลัดความสวยหวานกลายเป็นหญิงมั่น แถมยังมีเสน่ห์ที่น่าค้นหา
ซีเหมินจินเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของจ่านป๋ายตอนที่ส่งดอกกุหลาบให้เธอ สีน้ำเงินเย้ายวน ไม่ผิดจริงๆ กระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนปลิวปราย เผยให้เห็นความงามของเรือนร่าง
“ผู้หญิงคนนี้คือ?” สายตาของหลิงซูฟางมองไปที่กระโปรงผ้าไหมปักของเธอ ในใจได้แค่สงสัย กระโปรงจากซิ่วฟางราคาไม่ใช่แพงหู่ฉี่หรอกเหรอ กระโปรงยาวๆ ตัวหนึ่งราคาต่ำสุดก็หลักหมื่นแล้ว
จากงานปักมาถึงงานผ้า เธอเคยเห็นมาก่อน น่าจะเป็นสินค้ามาจากซิ่วฟาง ไม่ใช่สั่งทำจากข้างนอกแน่
“ฉันชื่อซีเหมินจินเหลียน ภาคภาษาจีน สวัสดี!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้ายิ้มให้เธอ นี่ก็ถือเป็นการทักทายใช่ไหมนะ
หลิงซูฟางตอบกลับเธอด้วยรอยยิ้มดึงดูดใจ “สวัสดีซีเหมิน ชื่อของเธอดูมีเอกลักษณ์ดีนะ!”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างเก้อเขิน ไม่รู้ทำไมตอนนั้นคุณยายถึงต้องตั้งขื่อที่ทำให้คนรู้สึกถึงชีวิตความยากลำบากด้วย แซ่ซีเหมินไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่ชื่อ ‘จินเหลียน’ นี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี
“หลิงหลิง นี่ ขอกอดหน่อยสิ นับวันเธอยิ่งสวยนะเนี่ย!” ข้างๆ นั้นมีผู้หญิงรูปร่างอ้วนท้วมคนหนึ่งทักทายเธอ รอยยิ้มที่สดใสนี้ ซีเหมินจินเหลียนเหมือนจะจำได้ว่าเขาคือเป่าเอ๋อร์ แต่แซ่อะไรนั้นคิดยังไงก็คิดไม่ออก
เป่าเอ๋อร์ก็ไม่ได้เรียกว่าอ้วนขนาดนั้น เพียงแต่มองแล้วมีชั้นไขมันน้อยๆ เนื้อเยอะหน่อย เมื่อเห็นแล้วอดไม่ได้ที่อยากจะเดินเข้าไปบีบเล่น นิสัยสดใสร่าเริง ซีเหมินจินเหลียนจำได้ว่าเธอก็เรียนคณะภาษาจีนเหมือนกัน
“ซีเหมินจินเหลียนเหรอ?” สายตาของเป่าเอ๋อร์มองมาที่ซีเหมินจินเหลียน พร้อมกระแอมชมว่า “เป็นอย่างที่บอกไว้ว่าผู้หญิงมักเปลี่ยนไปตลอดจริงๆ เธอก็สวยขึ้นนะเนี่ย สวยกว่าหลิงหลิงอีกก็ว่าได้!” เมื่อเป็นเพื่อนร่วมคณะเดียวกัน เป่าเอ๋อร์จึงจำเธอได้ในแวบแรก
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นได้แต่ยิ้ม “เป่าเอ๋อร์อย่าพูดจาไร้สาระเลย หลิงหลิงเป็นผู้หญิงที่ใครทุกคนก็ยอมรับว่าสวยกันทั้งนั้น ฉันจะเทียบได้ยังไงกัน”
“จินเหลียน” หลิงหลิงยืนมือมาแตะบ่าของเธอ “เป่าเอ๋อร์พูดไม่ผิดหรอก ฉันพูดตามตรงนะ สมัยเรียนเมื่อก่อนเธอก็แต่งตัวเฉิ่มเกินไป เลยทำให้ปกปิดความสวยในตัวเธอ คนเราย่ะไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ถ้าตอนเรียนเธอแต่งตัวได้ทันสมัยแบบนี้ ดาวคณะภาษาจีนคงไม่ตกไปอยู่ที่คนอื่นหรอก ว่าไหมเป่าเอ๋อร์?”
“ใช่ๆๆ ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าจินเหลียนจะสวยขนาดนี้ เธอซ่อนรูปนะเนี่ย” เป่าเอ๋อร์พูดเสริมทัพขึ้นมา พลางเบ้ปากมองตัวเอง “ไม่เหมือนกับฉัน ทั้งอ้วนทั้งเตี้ย ใส่เสื้อผ้าอะไรก็ไม่สวย”
ซีเหมินจินเหลียนพูด “เป่าเอ๋อร์เธอก็น่ารักนะ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”
เป่าเอ๋อร์ยิ้ม “เธออย่าปลอบให้ฉันดีใจเลย ฉันเหรอจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นยังไง”
เมื่อผู้หญิงอยู่ด้วยกัน หัวข้อสนทนาก็มักจะพูดถึงความสวยความงาม เรื่องไดเอท เสื้อผ้า เครื่องประดับและผู้ชาย…
เมื่อสามคนสนทนาอยู่ด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นเพื่อนเก่ากันทำให้วงสนทนาคึกครื้นขึ้นมา ลืมเซียวเหอที่ถูกทอดทิ้งไว้อีกด้าน หลิงซูฟางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาถามขึ้นว่า “เป่าเอ๋อร์เหมือนมีคนบอกฉันว่าเธอจะแต่งงานแล้วเหรอ แล้วทำไมวันนี้ไม่พาผู้ชายคนนั้นมาให้พวกเรารู้จักล่ะ”
“เขายุ่งมากน่ะ วันนี้ก็ต้องทำโอทีต่อ” เป่าเอ๋อร์เบ้ปากอีกรอบพลางส่ายหัว “จะมีเวลาว่างมากับฉันที่ไหนกัน จริงสิ หลิงหลิง เธอมีแฟนแล้วหรือยัง”
หลิงซูฟางได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าถอนหายใจ แฟนหรือ? คนที่ชอบเธอเธอกลับไม่ชอบเขา ส่วนคนที่เธอชอบเขา เขากลับไม่ชอบเธอ เมื่ออายุมาถึงขั้นหนึ่งแล้ว การเลือกแฟนก็ไม่ใช่เหมือนการเล่นเกมให้จบง่ายๆ ไปด่านหนึ่ง ต้องคิดทบทวนพิจารณาหลากหลายด้าน ไหนจะรูปร่างหน้าตาเอย บุคลิกเอย เธอต้องเลือกให้ดี
แต่ว่าเมื่อเธอมีสเป็คสูงในการเลือกแฟน คนอื่นก็ย่อมมีสเป็คสูงในการเลือกเธอเช่นกัน สองสามปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้มีแฟนเลยด้วยซ้ำ
“แล้วจินเหลียนล่ะ มีแฟนแล้วหรือยัง” หลิงซูฟางถามต่อ
“ไม่มีหรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ฉันเลิกกับแฟนเก่าไปได้หลายเดือนแล้วล่ะ ตอนนี้โสดน่ะ”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 48 แอบรัก
หลิงซูฟางถามขึ้นว่า “ใครกันที่เป็นคนโชคร้ายคนนั้น”
“เขาเป็นคนเอ่ยปากขอเลิกก่อน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอ่อน เธอต่างหากที่เป็นคนถูกทิ้ง โชคดีที่วันนี้หวังหมิงเหยาไม่ได้มางานด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงทำตัวไม่ถูกแน่
“เขาต้องมีปัญหาทางสายตาแน่!” เป่าเอ๋อร์พูด
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ยิ้ม ส่วนเป่าเอ๋อร์มองเซียวเหอครู่หนึ่งจึงพูดว่า “นี่ เซียวเหอ”
“ไม่ทราบว่าคุณเป่าเอ๋อร์มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ” เซียวเหอยิ้มกวนถามกลับไป
“ได้ยินมาว่านายอยู่ที่บริษัทเซียงเฟิงจิวเวอรี่ เป็นผู้จัดการฝ่ายขายใช่ไหม” เป่าเอ๋อร์ถาม “ฉันอยากจะซื้อแหวนแต่งงานสักวง แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนถึงเหมาะสมดี”
“อันนี้ก็ต้องดูว่าเธอต้องการเกรดระดับไหน ขอแค่เธอไม่ได้มีความต้องการเหมือนคุณซีเหมินที่อยากได้เพชรสีเลือด บริษัทของฉันก็พร้อมตอบรับความต้องการของเธอได้หมด” เซียวเหอพูด
“เพชรสีเลือด?” เป่าเอ๋อร์และหลิงซูฟางหันไปมองทางซีเหมินจินเหลียนอย่างสงสัย
“ฉันก็แค่ล้อเล่นน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ “ฉันไม่ได้จะแต่งงาน แล้วจะซื้อเพชรมาทำไมกัน เพียงแต่แค่เซียวเหอเสนอจะขายเพชรให้ฉัน ฉันก็เลยถามไปเล่นๆ”
เมื่อเธออธิบายออกไปอย่างนั้น หลิงซูฟางกับเป่าเอ๋อร์ก็ยิ้มออกมา เพชรสีเลือดไม่ได้เป็นสิ่งที่จะพบได้ง่ายๆ ถึงจะมีก็เป็นของที่หายาก ไม่มีใครกล้าเอาออกมาขายเผยแพร่ง่ายๆ หรอก
“ถ้าแพงเกินไปฉันก็ซื้อไม่ไหวนะ” เป่าเอ๋อร์พูด “ประมาณหมื่นสองหมื่นฉันยังพอรับได้”
“เธอว่างเมื่อไหร่ล่ะ ลองมาเลือกแบบที่ร้านดูสิ” เซียวเหอพูดพลางหยิบนามบัตรส่งไปให้ “ฉันจะลดราคาให้เธอยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย รับรองว่าถูกกว่าราคาในตลาดแน่นอน”
“ดีเลย” เป่าเอ๋อร์รับนามบัตรของเซียวเหอมา เมื่อได้ยินว่ากำลังพูดถึงเรื่องเพชรกันอยู่ เพื่อนร่วมรุ่นผู้หญิงก็เดินเข้ามารุมล้อมให้ความสนใจมากมาย เมื่อได้ยินว่าเป่าเอ๋อร์จะแต่งงาน ก็พากันอิจฉากันถ้วนหน้า
เถียนเถียนเห็นซีเหมินจินเหลียนก็เลยยิ้มเดินเข้ามาทักทาย “จินเหลียนทำไมไม่พาแฟนมางานด้วยล่ะ”
“เอ่อ…เขามีธุระน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดไปอย่างนิ่งเฉย
“จินเหลียน ไหนเมื่อกี้เธอยังบอกว่าตัวเองไม่มีแฟนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ” หลิงซูฟางถามพลางโอบซีเหมินจินเหลียนเข้ามา สัมผัสของใยผ้าไหมที่นุ่มนิ่ม ทำให้เธอนึกอิจฉาอีกครั้ง “จินเหลียน เธอซื้อชุดเดรสตัวนี้มาจากที่ไหนเหรอ”
“ซิ่วฟางน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตอบ “เรียบง่ายใช่ไหม ฉันชอบการปักของที่นี่”
“ฉันก็ชอบ!” หลิงซูฟางพูด “ราคาเท่าไหร่เหรอ รอให้เงินเดือนออก ฉันจะไปซื้อมาสักตัว”
ราคาเท่าไหร่งั้นเหรอ? ซีเหมินจินเหลียนสับสน รายละเอียดยิบย่อยว่าราคาเท่าไหร่ เธอก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ยังจำได้ตอนที่จ่ายเงินตอนนั้น จ่านป๋ายก็โทรเข้ามาพอดี อีกอย่างก็เป็นฉินเฮ่าที่ไปรูดบัตร ส่วนเธอนั้นได้มองราคาแค่แวบเดียว เหมือนว่าจะเป็นสามหมื่นกว่าล่ะมั้ง?
“น่าจะประมาณสองสามหมื่นน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกทำตัวไม่ถูก พูดเสียงเบา
“สองสามหมื่น?” เป่าเอ๋อร์พูดอย่างโอเว่อร์ “จินเหลียน ราคาสองสามหมื่นนี่ก็ซื้อแหวนเพชรได้เลยนะ! เธอก็ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว?”
“ก็เพราะต้องมางานเลี้ยงรุ่นวันนี้ ฉันเลยตั้งใจใส่มาโชว์สักหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
ไม่นานผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เถียนเถียนพูดว่า “แฟนของซีเหมินจินเหลียนมีเงิน เขาขับรถเบนซ์ราคาตั้งหลักล้านเชียวนะ จะใช้เงินเล็กน้อยมาซื้อกระโปรงให้เธอแค่หลักหมื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก” วันนั้นที่จ่านป๋ายขับรถเบนซ์ไปส่งพวกเธอกลับบ้าน เธอก็ไม่ได้คิดว่าซีเหมินจินเหลียนเป็นคนแต่งตัวล้าสมัยในยุคนี้
คนที่สามารถขับรถเบนซ์ได้ ถึงแม้ในเมืองเซี่ยงไฮ้จะยังมีน้อย โดยเฉพาะรถเบนซ์รุ่นนำเข้ามาจากประเทศเยอรมัน ถูกสุดคงน่าจะประมาณหลักล้านเริ่มต้น
“จินเหลียน ทำไมเธอถึงโชคดีแบบนี้นะ!” หลิงซูฟางพูดด้วยความอิจฉาไม่หยุด
“ไม่หรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า จ่านป๋ายเป็นแค่โล่บังหน้า เขาก็ไม่ใช่แฟนของเธอ…
“หลิงหลิง เธอไม่มีคนที่เล็งไว้เลยเหรอ?” เถียนเถียนถาม “เธอก็สวยออกขนาดนี้ อย่าพลาดโอกาสแบบนี้เชียวนะ”
“มันก็มีอยู่หรอก แต่แค่ฉันเข้าไม่ถึงเขาก็เท่านั้น” หลิงซูฟางได้ยินเช่นนั้นได้แต่ถอนหายใจพูดว่า “พวกเธอรู้จักจินโอวกรุ๊ปไหม?”
“เฮ้ย ใครจะไม่รู้จักจินโอวกรุ๊ปบริษัทใหญ่ข้ามประเทศกันล่ะ? คงมีแต่คนบ้านนอกเท่านั้นแหละที่ไม่รู้จัก” เป่าเอ๋อร์ดูถูกหลิงซูฟาง ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ยิ้มเฝื่อน เธอนั่นแหละที่เป็นคนบ้านนอก เธอไม่รู้จัก จินโอวกรุ๊ปจริงๆ
“ลูกชายของประธานจินโอวกรุ๊ป เป็นคนฝังใจรัก น่าเสียดาย!” หลิวซูฟางถอนหายใจ “ทำไมผู้ชายคนที่มีความรักฝังใจให้ใครแบบนี้ แถมมีเงินเยอะขนาดนี้ ฉันถึงไม่เจอกับตัวเองบ้างสักครั้ง?”
“ไม่ใช่ว่าเธอทำงานอยู่ที่จินโอวกรุ๊ปเหรอ ลองเข้าใกล้เขาสักครั้งแล้วทำให้เขาติดกับสิ!” เถียนเถียนโอบไหล่หลิงซูฟาง แล้วพูดขึ้นด้วยสายตายิ้มแย้มว่า “หุงข้าวดิบให้กลายเป็นข้าวสุกก่อน หลังจากนั้นค่อยแต่งงาน กลายเป็นภรรยาของมหาเศรษฐี ใช้ชีวิตดื่มด่ำอยากได้อะไรก็ไม่ต้องกังวลเลย”
หลิงซูฟางได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะแห้งๆ “ฉันก็คิดแบบนั้น แต่แค่ไม่มีโอกาส! ฉันเคยเจอเขาครั้งหนึ่ง หน้าตาก็ไม่ได้แย่เลย ฉันยังแอบถ่ายรูปเขามาด้วยนะ เพียงแต่เขามีคนอยู่ในใจแล้ว ฉันคงหมดหวังแล้วล่ะ”
“ก็แค่มีคนที่ชอบ ไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย เธอจะกลัวอะไร?” จินอ้ายหัวเดินเข้ามาพูด
“ใช่แล้ว เอารูปมาให้พวกเราดูหน่อยสิ อยากจะรู้นักว่าลูกคนรวยจะหน้าตาเป็นยังไง” เป่าเอ๋อร์ตื่นเต้นขึ้นมา
“ไม่มีหรอก!” หลิงซูฟางรีบพูด
“เอามาดูเดี๋ยวนี้เลยนะ!” เป่าเอ๋อร์ใช้โอกาสนี้ดันตัวหลิงซูฟางนั่งลงที่โซฟา ยื่นมือไถ่ของให้เธอนำรูปออกมา หลิงซูฟางยิ้มด้วยดวงตาสั่นเทา
ซีเหมินจินเหลียนเห็นพวกเธอวุ่นวายเกาะกลุ่มกันอยู่ ส่วนผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ได้แต่หัวเราะกันคิกคัก งานเลี้ยงรุ่นนี้ช่างสนุกเสียจริง พูดจายิ้มแย้ม ดื่มกินกันอย่างมีความสุข…
“เป่าเอ๋อร์อย่าทำให้ยุ่งยากเลย ฉันให้ดูก็ได้!” หลิงซูฟางไม่มีกำลังที่จะเอาชนะเธอ จึงได้แต่จำยอมเอารูปออกมา
“ต้องอย่างนี้สิ!” เป่าเอ๋อร์ลดมือลงมา แล้วปล่อยหลิงซูฟาง
หลิงซูฟางหยิบกระเป๋าสะพายข้างๆ แล้วส่ายหน้าพูด “ยอมพวกเธอเลยจริงๆ อยากจะดูอะไรขนาดนั้น ก็ไม่ใช่มีสองตาหนึ่งจมูกหรอกเหรอ?”
“แล้วอย่างนั้นเธอจะแอบพวกเราทำไมล่ะ” เถียนเถียนพูดอย่างไม่เกรงใจ
หลิงซูฟางหยิบโน้ตบุ๊คสีชมพูหวานแหววออกมาจากกระเป๋าสะพาย จากนั้นเปิดเครื่องขึ้ร
ไม่นานเธอก็เปิดแฟ้มภาพออกมาเปิดรูปให้ดู “หน้าตาประมาณนี้แหละ!”
ผู้คนต่างอดไม่ได้ที่อยากจะแย่งกันดู ซีเหมินจินเหลียนมองผ่านตาแค่แวบเดียว ไม่นานก็ตกใจค้างนิ่ง เขาอย่างนั้นเหรอ? ที่แท้จินโอวกรุ๊ปอะไรนั่นก็เป็นของบ้านเขา?
จินอ้ายหัวมองครู่หนึ่งก็รู้สึกตกใจแล้วหันไปมองซีเหมินจินเหลียนแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนเถียนเถียนสีหน้าแสดงความผิดปกติออกมา
เห็นได้ชัดว่าภาพที่เอามาให้ดูเป็นภาพที่หลิงซูฟางเป็นคนแอบถ่าย ทำให้ภาพที่ได้ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ มีอยู่รูปหนึ่งเห็นเพียงแค่เงาเท่านั้น ส่วนอีกรูปเป็นภาพเต็มทั้งตัว แต่เพราะระยะทางไกลเกินทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด แต่ในนั้นมีรูปหันข้างรูปหนึ่งที่พอดูได้อยู่
“ทำไมฉันรู้สึกว่าเขาหน้าตาคุ้นๆ?” เถียนเถียนตบหัวตัวเองอย่างเบาๆ หลายครั้ง “ยับวันสมองฉันก็ยิ่งเบลอ คนคนนี้เหมือนฉันจะเคยเห็นมาก่อน”
“จริงเหรอ?” หลิงซูฟางถามอย่างกระวนกระวาย “เธอเห็นเขาเมื่อไหร่”
ซีเหมินจินเหลียนคิดทบทวนอย่างละเอียด วันนั้นตอนที่ฉินเฮ่ามา เถียนเถียนก็มึนเมาสติเลือนรางแล้ว หวังว่าเธอจะจำความไม่ได้
แต่เห็นได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าเธอจะดื่มจนเมาเละเทะ แต่ก็ไม่ได้โซซัดโซเซขนาดนั้น “อ้ายหัว จินอ้ายหัว…”
“เถียนเถียน เธอจะเรียกฉันเสียงดังทำไมกัน ฉันก็อยู่ข้างๆ เธอเนี่ย!” จินอ้ายหัวจับใบหูของตัวเอง พูดพลางมองไปทางซีเหมินจินเหลียน ผู้ชายที่อยู่ในรูปนั่นน่าจะเป็นฉินเฮ่า เธอเคยเห็นเขาสองครั้ง ไม่มีทางจำผิดอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าการถ่ายภาพของเธอจะไม่ค่อยได้เรื่องก็ตาม
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจ ถ้าหากมีใครแอบรักหลินเสวียนหลาน เธอยังพอจะเข้าใจได้ เพราะว่าหลินเสวียนหลานหล่อเหลาราวกับเทพบุตร แต่นี่ก็เป็นฉินเฮ่า! เขาก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร นอกจากหัวโตไปหน่อย อย่างอื่นก็ถือว่าใช้ได้ แต่ว่าผู้ชายที่เห็นทั่วไปตามท้องถนน แต่เมื่อรวมกับความหล่อแล้ว ถ้าครอบครองได้ก็ถือว่าเป็นโชคชั้นใหญ่ ส่วนเขาไม่น่าจะทำให้คนอื่นมีแอบรักได้นี่น่า? จ่านป๋ายยังดูดีกว่าเขาตั้งเยอะ
แต่หลิงซูฟางรูปร่างหน้าตาสวย หากจะแอบรักใคร อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะเป็นผู้ชายที่ธรรมดาแบบนี้นี่นา?
“เขา…ไม่ใช่ว่าเขาคือผู้ชายที่อยู่กับจินเหลียนวันนั้นหรอกเหรอ?” เถียนเถียนพูดพลางหันหน้ามามองเธอ
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “เถียนเถียน วันนั้นเธอก็เมามาก สองคนนั้นอาจจะแค่หน้าตาเหมือนกันนิดหน่อยเท่านั้น” เห็นผู้คนที่กำลังรายล้อมมองด้วยสายตาจ้องจับผิด ยิ่งเหมือนกับกำลังถูกสปอร์ตไลท์สาดเข้ามา เธอเลยจนปัญญาต้องสร้างเรื่องขึ้น
“จริงเหรอ? ฉันดื่มมากไปเหรอ?” เถียนเถียนพยายามส่ายหัวไปมา แล้วหันไปมองรูปที่อยู่บนหน้าจอคอมอีกครั้ง แต่ทำไมยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนขนาดนี้นะ?
ระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะพูดนั้น หลิงซูฟางก็ร้อนใจรีบถามขึ้นมาก่อน “เธอเคยเจอเขาที่ไหนเหรอ”
“ถนนคนเดินแห่งหนึ่งแถบย่านพักน่ะ!” เห็นได้ชัดว่าวันนั้นเถียนเถียนไม่ได้ดื่มจนจำความอะไรไม่ได้
“หา?” หลิงซูฟางส่ายหัว “ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นคนที่หน้าตาคล้ายๆ กันเท่านั้น เขาจะไปอยู่ถนนคนเดินที่แบบนั้นได้ยังไงกัน”
ซีเหมินจินเหลียนพึมพำในใจ ทำไมเขาถึงจะไปไม่ได้? เหมือนว่าเขาจะชอบปิ้งย่างเสียด้วยซ้ำ
“เธออย่าเชื่อคำพูดของเถียนเถียนเลย” จินอ้ายหัวรีบเข้ามาอธิบาย “วันนั้นเธอดื่มจนไม่มีสติ จะจำอะไรได้ที่ไหนกัน”
“ใช่ๆ!” ซีเหมินจินเหลียนรีบตอบสมทบ
ขณะนั้นเสียงทำนองไพเราะของขลุ่ยก็เรียกความสนใจของผู้คนในห้อง เป่าเอ๋อร์หันมาถามอย่างสงสัย “เสียงโทรศัพท์ใครน่ะ?”
ซีเหมินจินเหลียนรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋าขึ้นมาดูเบอร์โทร คิดว่าเป็นจ่านป๋าย แต่สุดท้ายกลับเป็นคนที่ถูกคนแอบรักอย่างฉินเฮ่า เธอจึงเดินถอยหลังออกมาหลายก้าวแล้วกดปุ่มรับสาย
“มีธุระอะไรเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ไม่มีครับ” ฉินเฮ่ายิ้มบางเบา “พอดีจ่านป๋ายติดธุระเลยไปรับคุณไม่ได้ เขาเลยสั่งให้ผมไปรับคุณแทนน่ะ ผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ตอนนี้เลยอยากจะถือโอกาสนี้ไปร่วมสังสรรค์ในงานเลี้ยงรุ่นคุณด้วย คุณยินดีไหมครับ”
ซีเหมินจินเหลียนปาดเหงื่อใจเต้นแรง เขาอยากจะมางานเลี้ยงรุ่นด้วย? นี่ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย ที่นี่ยังมีคนที่แอบรักเขาอยู่ทั้งคน…
“ไม่ได้ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนรีบปฏิเสธออกมาทันควัน
“ทำไมล่ะ” ฉินเฮ่าถาม “จ่านป๋ายบอกว่างานนี้พาแฟนไปได้ ผมไม่เชื่อว่าเพื่อนของคุณจะไม่มีใครพาแฟนไปเลย”
“แต่คุณไม่ใช่แฟนของฉันนี่” ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตามองไปยังผู้คนรอบๆ แล้วพูดว่า “คุณไม่ต้องมารับฉันหรอก เดี๋ยวฉันค่อยเรียกรถกลับไปเองได้”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 49 - 1 เครื่องรางหยก
ฉินเฮ่าได้แต่กำโทรศัพท์ไว้พร้อมหัวเราะ ได้อย่างไรกัน เขาอุตส่าห์ใช้แผนการทำให้จ่านป๋ายออกไป แน่นอนว่าจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดพ้นไปแน่ เขาไม่อยากจะให้ซีเหมินจินเหลียนใช้จ่านป๋ายมาเป็นโล่กำบังเพื่อประกาศต่อคนภายนอกว่าเขาเป็นแฟนของเธอ
ถึงจะรู้แก่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่นี่ก็ทำให้เขาไม่สบายใจ
“แย่แล้วสิครับ” ฉินเฮ่าพูด “ตอนนี้ผมก็มาถึงประตูหน้าห้องโถงที่สุ่ยจงเซียนแล้วล่ะ…”
ซีเหมินจินเหลียนเกือบจะทำโทรศัพท์ตก เขาล้อเล่นอะไรกันเนี่ย? เวลานี้เขาจะมาร่วมงานที่นี่ทำไมกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นงานทั่วไปไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ยังพอว่า เพราะไม่มีใครรู้จักเขา แต่นี่ไม่เพียงแต่หลิงซูฟางที่รู้จักเขา แถมเธอยังแอบรักเขาอีก มากไปกว่านั้นเธอก็ยังรู้ประวัติของเขา
ถ้าเขามาที่สุ่ยเซียนตอนนี้ อย่างนั้นเธอคงต้องเป็นศัตรูของทุกคนในงาน เธอยอมอยู่เงียบๆ ในมุมเล็กๆ ของตัวเองดีกว่าต้องมายืนให้ผู้คนในงานจดจ้อง
“จินเหลียน เป็นอะไรไป” จินอ้ายหัวถามด้วยความห่วงใย “ถ้าแฟนเธอจะมาก็ให้เขาเข้ามาเลย ไม่ต้องอายหรอก พวกเราก็เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ทันได้พูดอะไร ที่ประตูก็มีเสียงการเคาะดังขึ้นอย่างมีมารยาท จินอ้ายหัวส่ายหน้าแล้วแย้มยิ้มออกมา “ดูสิ อะไรจะขนาดนั้น ให้เขาเข้ามาก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงได้แต่กระซิบกับเธอว่า “ฉันไปก่อนแล้วกัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เข้ามาไม่ได้…” พูดพลางหยิบกระเป๋าและหันตัวเดินออกไปข้างนอก
“เฮ้…” จินอ้ายหัวไม่เข้าใจ “เธออย่าเป็นแบบนี้สิ…”
ซีเหมินจินเหลียนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและสะพายกระเป๋าจะเดินออกไปข้างนอก หลิงซูฟางได้ยินเสียงโทรศัพท์จึงเดินมาขวางทางซีเหมินจินเหลียนไว้ “แฟนของเธอจะมาแล้วจะรีบไปทำไมกัน มานั่งด้วยกันก่อนสิ”
“ใช่ๆๆ!” เสี่ยวเป่าเป็นลูกรับ “จินเหลียน ถึงแฟนของเธอจะไม่ได้หล่อเหลาอะไรก็ไม่เป็นไรหรอก อายุขนาดนี้กันแล้วนอกจากดารา ใครๆ ก็หน้าตาเหมือนกันทั้งนั้นแหละ ขอแค่ดูแลใส่ใจเธอดีก็พอ ก็เหมือนแฟนของฉันที่คอยดูแลฉันอยู่ตอนนี้ไง”
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ฝืนยิ้ม เมื่อถูกหลิงซูฟางขัดไว้ ต่อให้เธออยากจะออกไปแค่ไหนก็ไปไม่ได้ ถ้ารู้อย่างนี้เธอน่าจะออกไปรับสายข้างนอก ไม่ใช่ยืนอยู่ที่นี่
เซียวเหอมีความเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมา เขาลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ ความจริงในใจของเขาก็รู้สึกสงสัยว่าแฟนของซีเหมินจินเหลียนจะเป็นใคร ผู้ชายคนที่สามารถทำให้ซีเหมินจินเหลียนใส่เครื่องประดับหยกได้ เขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ?
เมื่อประตูเปิดออก ฉินเฮ่าก็ถือดอกไม้ช่อใหญ่จำนวนร้อยดอกยืนอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นเซียวเหอก็ได้แต่ยิ้มให้ตามมารยาท
เพราะว่าตอนนั้นเซียวเหอกำลังรอคนอื่น เขาเลยไม่ได้ไปรุมดูรูปที่หน้าจอของหลิงซูฟาง เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่รู้จักฉินเฮ่า ได้แต่เดินถอยหลังและเปิดทางให้เขาเข้ามา “สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ” ฉินเฮ่าพยักหน้าให้เขา
สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่หน้าประตูอย่างไม่ละสายตา ส่วนหลิงซูฟางเดิมทีที่มือวางไว้บนบ่าของซีเหมินจินเหลียนนั้น ตอนนี้กลับไร้เรี่ยวแรงอย่างไม่รู้ตัว เขา? เป็นเขาได้อย่างไรกัน?
คนที่ดูรูปจากในโน้ตบุ๊คของหลิงซูฟางย่อมดูออกว่าเขาคือฉินเฮ่า แต่ฉินเฮ่ากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพียงแค่รู้สึกสงสัยว่าทำไมผู้คนถึงมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ขนาดนั้น หรือว่าหน้าตาของเขาจะเหมือนดอกไม้? ไม่ใช่สิ! ฉินเฮ่ารู้ว่าหน้าตาของตัวเองจัดอยู่ในเซฟโซน สถานการณ์ทั่วไปไม่น่าจะสร้างเรื่องให้ผู้หญิงทะเลาะกันได้ แต่แน่นอนว่านั่นยกเว้นคนที่รู้ฐานะของเขา
สายตาของผู้คนหันมามองเขาด้วยสายตาเดียวกัน มันทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นชิน แต่เขาก็เป็นคนพบปะคนนอกอยู่ตลอด เลยได้แต่เดินไปที่ข้างหน้าของซีเหมินจินเหลียนแล้วยิ้มให้ “จินเหลียน นี่สำหรับคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะ” จินเหลียนถอนหายใจออกมาแล้วโอบรับดอกไม้ช่อใหญ่นั่นไป
“เห็นจ่านป๋ายบอกว่าสามารถพาแฟนมาได้ เพราะอย่างนั้นผมเลยเชิญตัวเองมา” เขาคุ้นชินกับการควงแขนของซีเหมินจินเหลียน
วันนี้คนที่จะมารับบทบาทเป็นแฟนของเธอ ก็แค่เปลี่ยนคนเท่านั้น
“คุณคือ…ฉินเฮ่า?” ในที่สุดหลิงซูฟางก็เรียกสติกลับคืนมาได้ ได้แต่กัดฟันปั้นสีหน้าไว้ เวลานี้ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดี เลยได้แต่พูดจาติดๆ ขัดๆ
“ใช่ครับ คุณผู้หญิงรู้จักผมด้วยเหรอ หรือได้ยินมาจากจินเหลียน?” ฉินเฮ่ายิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน
“ไม่ใช่ค่ะ” หลิงซูฟางหันไปมองซีเหมินจินเหลียนอีกครั้ง ไม่น่าล่ะที่เธอไม่ยอมให้แฟนเข้ามา เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง “ฉันทำงานอยู่ที่จินโอวกรุ๊ป เคยเห็นประธานฉินอยู่ครั้งหนึ่ง” เธอไม่ได้บอกกับเขาไปว่าตัวเองแอบรักเขามานาน ถ้าหากไม่มีคนอื่นอยู่ในงาน บางทีเธออาจจะยอมหน้าหนาใช้ความกล้าสักครั้งเพื่อที่จะสารภาพรักกับเขาอย่างสุดซึ้ง แต่กลัวว่าจะเหมือนที่เถียนเถียนและเสียวเป่าพูดไว้ เสน่ห์ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
แต่ในเมื่อเขามีแฟนแล้ว อีกทั้งแฟนของเขาก็ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นซีเหมินจินเหลียน ในบรรยากาศแบบนี้เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“อย่างนั้นเหรอครับ?” ฉินเฮ่ายังคงพิมพ์รอยยิ้มไว้อยู่ที่หน้า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นผมแนะนำให้รู้จักเลยแล้วกัน นี่แฟนของผมครับ ซีเหมินจินเหลียน”
“จินเหลียน คุณจะไม่แนะนำเพื่อนๆ ของคุณให้ผมรู้จักหน่อยเหรอ?” ฉินเฮ่าหันไปทางซีเหมินจินเหลียนแล้วถามขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนเห็นสายตาของคนในงานเต็มไปด้วยความแปลกใจ จึงได้แต่พูดแนะนำไป “นี่คือจินอ้ายหัว คุณคงรู้จักแล้ว ส่วนนี่ก็คือเถียนเถียน ครั้งที่แล้วคุณเคยเจอ ส่วนหลิงซูฟางฉันคงไม่ต้องแนะนำแล้วใช่ไหมคะ ส่วนนี่เป่าเอ๋อร์…” ซีเหมินจินเหลียนแนะนำเพื่อนที่เมื่อสักครู่เกือบลืมแม้กระทั่งชื่อมาแนะนำทีละคนอีกรอบ
จากนั้นเธอก็พูดขึ้นว่า “แต่ว่าฉันอยากจะพูดให้ชัดเจนสักหน่อย คุณไม่ใช่แฟนของฉันนะ” เธอพูดพลางหันไปมองเขา
เพียงแต่ดวงตากลมวาวที่สดใสกลับไม่ได้มีพลังในการทำให้ใครกลัวได้เลย ฉินเฮ่าเลยไม่ได้สนใจอะไร ปั้นหน้าพูดต่อไปว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมก็กำลังตามจีบคุณอยู่นี่ไง? รับจ้างเป็นแฟนกับประธานสักหน่อย!”
เป่าเอ๋อร์และเถียนเถียนไม่ได้ยิ้มออกมา แต่จินอ้ายหัวกับหลิงซูฟางได้แต่หัวเราะแผ่วเบา แฟนที่อยู่ด้วยกันสามารถมารับจ้างเป็นแฟน? ถ้าทุกคนไม่รู้ถึงประวัติของเขาคงคิดว่าเขาตามตื้อจีบซีเหมินจินเหลียนแน่
“จินเหลียน คุณฉินเฮ่าก็ดูไม่เลวเลย ทำไมเธอถึงไม่พิจารณาเขาสักหน่อยล่ะ?” เป่าเอ๋อร์ยิ้ม
เถียนเถียนเคยเห็นจ่านป๋ายมาก่อน แต่ครั้งนั้นเธอแนะนำว่าจ่านป๋ายเป็นแฟนของเธอ ในใจก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะเสียดายแทนซีเหมินจินเหลียน แต่นี่ประวัติของฉินเฮ่าไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าพลาดโอกาสนี้ในชีวิตไปก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับชีวิตอันหรูหรามีอนาคตแล้ว อีกทั้งฉินเฮ่าก็ยังยอมที่จะมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นกับเธอ อีกทั้งยังยอมรับฐานะของเธอได้ ยิ่งเป็นโอกาสที่ต้องไขว่คว้าไม่ให้หลุดมือ
ได้ยินว่าคุณชายของลูกมหาเศรษฐีชอบพูดจาไม่น่าฟังเท่าไหร่ เหมือนกับอยู่บนโลกอีกใบ แถมยังชอบดูถูกผู้หญิงที่ไม่มีเงิน มักคิดแต่ใช้เงินซื้อผู้หญิงมาเลี้ยง มาเล่นแล้วค่อยเขี่ยทิ้ง แต่ถ้าเขาตามจีบซีเหมินจินเหลียนขนาดนี้ก็ถือว่าซื้อใจได้อย่างมาก
“จินเหลียน ความสุขอยู่รอบตัวเธอแต่กลับไม่รู้ได้ยังไงกัน” หลิงซูฟางพูดพลางหันไปสบสายตาที่ฉินเฮ่า พร้อมใช้สายตาเย้ายวนมองไปที่เขาอย่างไม่ลดละ
แม้กระทั่งซีเหมินจินเหลียนยังอดไม่ได้ที่เผลอใจไปกับเธอ เสน่ห์ของผู้หญิงช่างมีพลังทำลายล้างคนได้เสียจริง
ไม่นานนักพนักงานก็เข้ามาเสิร์ฟอาหาร ฉินเฮ่าหน้าตายิ้มแย้มนิสัยร่าเริง ไม่นานก็กลมกลืนกับคนในงานได้อย่างสบาย พูดคุยกับทุกคนอย่างสนุกสนาน แถมยังสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครง ราวกับเป็นเจ้าของงานที่คอยต้อนรับแขก ซื้อใจพวกผู้หญิงในงานไปทั้งหมด ทำให้พวกเธอลืมเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น เริ่มจัดการเครื่องเสียงที่ตู้คาราโอเกะพร้อมเตรียมตัวร้องเพลงกัน…
หลิงซูฟางดื่มไวน์ไปหลายแก้ว ใบหน้าของเธอราวกับถูกปัดด้วยบลัชออน สายตาพร่าเลือนเหมือนอยู่ในเมฆหมอก ท่าทางจะโดนฤทธิ์เหล้ากำเริบ เธอไม่ได้สนใจว่าซีเหมินจินเหลียนจะอยู่ในงานด้วย เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ลากฉินเฮ่ามาร้องเพลงรักคู่กัน
ฉินเฮ่าปฏิเสธอย่างทันท่วงที ถ้าหากเป็นซีเหมินจินเหลียนเขาคงไม่สนใจที่จะโชว์ลูกคอ ร้องเพลงรักด้วยกันอย่างเบิกบานไปแล้ว แต่เธอคือคนที่รู้ว่าฐานะเขาเป็นอย่างไร แถมยังเป็นพนักงานในจินโอวกรุ๊ป ถึงเขาจะมีความสนใจแต่ก็ไม่เอาดีกว่า
เมื่อหลิงซูฟางทำตามแผนไม่สำเร็จ เพื่อที่จะชะล้างความสนใจ เธอเลยไปหาประธานนักเรียนอย่างเซียวเหอให้มาร้องเพลงคู่กับเธอ เพื่อช่วยแก้หน้าให้
“จินเหลียน ผมเชิญคุณให้ไปร้องเพลงด้วยกันได้ไหมครับ” ฉินเฮ่ามองผู้คนที่กำลังสนุกสนานเลยกระซิบไปทางซีเหมินจินเหลียน
“อย่าดีกว่าค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว “ถ้าให้ฉันร้องเพลงตอนกลางดึกแบบนี้ ผู้คนคงต้องรีบโกยฝีเท้าวิ่งออกจากงานแทบไม่ทันแน่”
“หมายความว่ายังไงครับ?” ฉินเฮ่าไม่เข้าใจ
“ก็หมายความว่าฉันร้องได้แย่มากน่ะสิคะ แย่จนผียังกลัวฉันเลย” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ ไม่ว่าเธอจะร้องเพลงอะไรก็ผิดคีย์ไปหมด เธอเลยมีความสามารถพิเศษทำให้โน้ตเพลงผิดคีย์ได้ พรสวรรค์นี้ไม่มีใครสู้เธอได้แน่
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 49 - 2 เครื่องรางหยก
ในขณะนั้น เซียวเหอก็ใช้โอกาสนี้ยื่นนามบัตรให้ฉินเฮ่าแล้วแนะนำว่า “คุณฉินเฮ่า ถ้าหากในอนาคตสนใจอยากจะซื้อเครื่องประดับให้ซีเหมินจินเหลียน อย่าลืมติดต่อบริษัทเสียงเฟิงจิวเวอรี่นะครับ”
“ครับ?” ฉินเฮ่ารู้สึกแปลกใจ “คุณขายเครื่องประดับเหรอ” แน่นอนเขาก็เหมือนกับซีเหมินจินเหลียน ได้แต่คิดว่าขนาดอยู่ในงานเลี้ยงรุ่นยังจะทำหน้าที่การขาย คนคนนี้ก็ช่างรักในหน้าที่การงานของตนเองเสียจริง นอกจากนี้เมื่อกี้เขายังแอบสังเกตท่าทาง คนคนนี้ดูจะชอบการพูดคุยพบปะกับคนอื่น คนที่ชอบทำธุรกิจมักจะชอบเข้าสังคม พูดกันต่อหน้าต่อตาทำให้ลูกค้าพึงพอใจเป็นสิ่งที่สำคัญ
“ใช่แล้วครับ” เซียวเหอเผยยิ้มออกมา “ผมพอดูออกว่าคุณฉินเฮ่าค่อนข้างใส่ใจคุณซีเหมินเป็นอย่างมาก ถึงหยกจะดี แต่ถ้ามีเพชรหลายสีคอยเพิ่มเสริมเติมแต่งก็ดูไม่เลวเลยนะครับ”
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ทำตัวโง่เง่าเมื่อเห็นเครื่องประดับบนตัวของซีเหมินจินเหลียน แถมยังเสนอขายเครื่องประดับให้กับฉินเฮ่า เครื่องประดับธรรมดา ฉินเฮ่าคงไม่สนใจ
“ได้เลยครับ ถ้าในอนาคตผมอยากจะซื้อเพชรแล้วจะไม่ลืมคุณแน่นอน คุณเซียว” ฉินเฮ่าพยักหน้าตอบรับพูดพลางเหลือบหันไปมองหลิงซูฟาง หน้าตาของเธอสวยใช้ได้ แถมยังชอบเข้าสังคม ถ้าในอนาคตให้เธอไปอยู่ฝ่ายขายเครื่องประดับของบริษัท ความสวยนี้คงสามารถใช้ประโยชน์ทำให้คนลังเลอยากจะซื้อได้
แน่นอนว่าเครื่องประดับหยกลักษณะโบราณคงต้องเป็นคนท่าทางอย่างซีเหมินจินเหลียนถึงจะขายได้ แต่สำหรับเจ้าของกิจการใหญ่ของบริษัทเครื่องประดับอัญมณีในอนาคต เธอคงไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผยตัวตนไปนำเสนอขายสินค้าต่อสาธารณะชน
เมื่อทานข้าวกันเสร็จแล้ว ผู้คนในงานก็สนุกสนานกันเต็มที่ เพียงแต่ตอนสุดท้ายที่จะคิดเงิน ฉินเฮ่าก็ขอจัดการเป็นนายใหญ่ยื่นบัตรออกไปให้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในงานได้แต่ส่งสายตาพริ้งพราว คนอายุรุ่นนี้ ยังหนุ่มยังแน่นแถมมีเงินเช่นนี้ หาพบเจอได้ยากเหลือเกิน
เมื่อออกมาจากสุ่ยจงเซียน ซีเหมินจินเหลียนก็ใช้สายตาพิฆาตหันไปมองเขา
เมื่อเข้าไปนั่งในรถของฉินเฮ่าแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วถามเขาว่า “จ่านป๋ายล่ะคะ?” ในเมื่อฉินเฮ่ารู้ว่าเธอมางานเลี้ยงรุ่น อีกทั้งยังรู้เวลาและสถานที่ดิบดี แม้กระทั่งรู้ว่าพาแฟนเข้าไปในงานได้ นั่นก็หมายความว่าเขาเจอกับจ่านป๋ายมาก่อน
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน?” ฉินเฮ่าแกล้งพูดไป “เหมือนเขาจะมีธุระบางอย่างนะ”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ฉินเฮ่าเลยสตาร์ทเครื่องยนตร์ขับรถแล่นออกมา ไม่นานก็ขับมาถึงย่านหลานกุ้ย
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ของซีเหมินจินเหลียนแล้ว จ่านป๋ายก็ยังคงไม่กลับมาอย่างที่คิด ยังดีที่ฉินเฮ่ายังพอรู้เวลา เมื่อส่งเธอเสร็จก็ได้บอกลาขอตัวกลับก่อน
ซีเหมินจินเหลียนเอนตัวพิงพนักโซฟา ก่อนที่จะโทรศัพท์ไปหาจ่านป๋าย เวลาหนึ่งนาทีเต็มๆ เธอก็ได้ยินแต่เสียงข้อความอัตโนมัติ
[เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งคะ]
เมื่อวางสายลงแล้วโทรไปหาอีกรอบก็ยังคงไม่มีใครรับ
ซีเหมินจินเหลียนวางโทรศัพท์ไว้บนโซฟา เดินไปเดินมาวนอยู่ทั่วห้องรับแขก จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่านะ? ไม่ใช่ว่าไปทำเรื่องอันตรายอะไรอีก หรือว่าจะเป็นเรื่องแบบครั้งนั้นที่ถูกคนทำร้ายจนเลือดตกยางออก?
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นโคมไฟที่ห้อยอยู่ด้านบนส่ายไปมา ทำให้เธอจิตใจสงบลง สัมผัสที่หกของเธอบอกอะไรไม่ได้เลย…แม้กระทั่งในใจยังซ่อนความระแวงกลัวเอาไว้ เขาคงไม่เป็นอะไรนะ?
เดินไปมาอยู่ที่ห้องรับแขก จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาเขาอีกครั้ง ยังไม่มีคนรับสายอีกเช่นเคย คนที่นั่งอยู่ที่ห้องรับแขกอย่างเธอได้แต่นิ่งเงียบ ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจว่าจะเดินลงไปยังห้องใต้ดิน
ในเมื่อว่างขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็มาเจียระไนหินต่อดีกว่า ใช้ความอึดอัดไม่สบายใจนี่มาลงกับหินหยกพวกนี้แล้วกัน หินหยกที่ซื้อมาจากงานประมูลที่เจียหยาง เก้าสิบเปอร์เซ็นถูกจ่านป๋ายจัดการลอกผิวหินไปหมดแล้ว
ได้ยินมาว่าการเปิดหินทำให้คนตกหลุมรักได้ จ่านป๋ายเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ตอนที่เธอแกะสลักหยก เขาก็คอยตัดหินอยู่ข้างๆ กับเธอ แม้กระทั่งหินตามมุมห้องยังเปลี่ยนเป็นเหมือนก้อนเต้าหู้ชิ้นเล็กๆ
เมื่อเหลือบไปเห็นหินที่วางไว้ตรงมุมห้องพวกนั้น หินหยกไม่ว่าก้อนเล็กใหญ่มีหมด ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ถอนหายใจก่อนหยิบเครื่องผ่าหยกขึ้นมา ตอนนี้หินที่ถูกเปิดออกมาเกือบหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อเหลือเพียงแค่สามก้อน
นอกเสียจากหินแปลกประหลาดก้อนนั้นที่ดูมีอะไรบางอย่าง ก็เหลือแค่สองก้อนที่น่าจะหนักประมาณยี่สิบสามสิบกิโลกรัม ทั้งหมดนี้เธอล้วนซื้อมาจากผู้อาวุโสหู
ซีเหมินจินเหลียนคิดแล้วคิดอีก หินหยกสองก้อนที่เหลือ ก้อนหนึ่งเป็นชนิดแก้วสีเหลือง อีกก้อนเป็นสองสี
หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง เธอก็ตัดสินใจที่จะตัดหินหยกสีเหลืองออกมาก่อน ใช้วิธีเจียระไนหิน แล้วก็กดปุ่มสวิตซ์ทำงาน ใบมีดได้เปิดผิวหินหยกออกไปเรื่อยๆ ในเมื่อมีความสามารถในการมองทะลุผ่านเข้าไปข้างใน เมื่อใบมีดนี้ลงไปด้วยความลึกกำลังดี ไม่มากหรือน้อยก็ทำให้หยกสีเหลืองตัดออกมาได้อย่างสมบูรณ์
ไฟของห้องใต้ดินสว่างไสว ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่ผิวที่ถูกตัดออกมา ได้แต่พูดอยู่ในใจว่า สีสวยจังเลย แต่ได้ยินว่าหยกสีเหลืองมีเพียงแค่สีน้ำซุปไก่สีทองที่ถึงเรียกว่าดี แต่ของเธอไม่ใช่สีน้ำซุปไก่นี่สิ แต่เป็นสีราวกับทองแท้อย่างใดอย่างนั้น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเรียกว่าสีเหลืองสด
ไม่นานหินหยกสีเหลืองก็ตัดออกมาได้ ไม่ได้ใหญ่แต่ก็ไม่ได้เล็ก ซีเหมินจินเหลียนคิดน้ำหนักไว้อย่างพอประมาณ หินหยกนี้น่าจะหนักสักยี่สิบห้ากิโลกรัม ส่วนข้างในที่เป็นสีเหลืองสดจริงๆ น่าจะไม่เกินสิบกิโลกรัมแน่ๆ อัตราเปรียบเทียบไม่ได้ถือว่าดี!
แน่นอนถ้าหากคนที่ชื่นชอบในหยกคงจะรู้ดี หยกที่หนักประมาณสิบกิโลกรัมนั้น ในสายตาเธอไม่คิดว่าใหญ่มาก อยากจะกระอักออกมาเป็นเลือด โมโหชีวิตจนแทบจะบ้าคลั่ง
แต่ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่หินหยก ไม่รู้ว่านี่เป็นลักษณะโรคที่ติดมากับผู้หญิงหรือเปล่า เธอชื่นชอบที่จะเลือกหยกก้อนใหญ่ ถ้าหากมีหยกเธอก็ไม่กังวลในเรื่องการใช้วัตถุดิบ กลับมาเธอจะตัดเท่าไหร่เธอก็ตัดเท่านั้น
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว ใช้แรงทั้งหมดที่มีย้ายหยกสีเหลืองไปวางไว้ข้างหยกสีผสม จากนั้นเอนพิงนั่งนิ่งคิดอยู่นาน หยกสีเหลืองนี่จะเอาไปทำอะไรถึงจะดีนะ?
เพียงแต่เวลานี้ สมองของเธอสับสนวุ่นวายไปหมด สมองไม่แล่นคิดอะไรสร้างสรรค์ไม่ออก ได้เพียงแต่นั่งมองหินหยกสองสีที่เหลืออยู่อีกก้อน
ใช้เวลาไม่นาน หยกสีผสมก็ถูกเปิดออกมา สีแดงอ่อนราวกับแก้มเด็กแดงระเรื่อ ลงลึกไปข้างในเป็นเส้นหยกสีเหลือง สีไม่เลวเลย
ถึงจะไม่ใช่หยกชนิดแก้วกระจก แต่ก็ถือว่าเป็นหยกชนิดน้ำแข็งชั้นสูง แถมผิวสัมผัสยังหนานุ่มลื่นเรียบเนียน
สีชมพูอ่อนหรือ? ซีเหมินจินเหลียนใจเต้น รีบหยิบเครื่องตัดออกมาตัดส่วนของหยกสีแดงอ่อนออกมาทำเป็นเครื่องรางหยก
เครื่องรางหยกนี้ช่วยในเรื่องความปลอดภัย แน่นอนเครื่องรางกับกำไลล้วนใช้วิธีที่เรียบง่ายเหมือนกัน การทำก็ไม่ซับซ้อน เพียงแต่การเจียระไนอาจจะค่อนข้างยุ่งยากเสียหน่อย แต่ว่าในเมื่อไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงเริ่มขัดเจียระไน
เมื่อเจียระไนทำเครื่องรางเสร็จ เธอก็ลูบไล้สัมผัสไปที่เครื่องรางนั่น ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจหันไปมองเวลา ตีสองครึ่งแล้ว ทำไมจ่านป๋ายยังไม่กลับมาอีก?
เธอหยิบโทรศัพท์โทรไปหาจ่านป๋ายอีกรอบ แต่ยังคงไม่มีคนรับสาย เลยรู้สึกว้าวุ่นไม่สบายใจที่จะกดปุ่มโทรต่อไป แต่ก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะรับ…
ซีเหมินจินเหลียนเริ่มแกะสลักทำหยกที่เธอกำลังทำอยู่ เธอมองไปที่โครงร่างของแท่นหยกนั่น อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำที่จางจิ้นอยากจะให้แกะสลัก ช่างลึกซึ้งเหมือนหยก! ตอนแรกตอนที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะสัมผัสจ่านป๋าย ความรักมันก็เหมือนหยกไม่ใช่เหรอ?
หยิบมีดแกะสลักขึ้นมา ก่อนที่เธอเริ่มจะแกะสลัก
…
“จินเหลียน จินเหลียน…” ในความเงียบสงบนั้น มีเสียงที่กำลังร้องเรียกเธออยู่
ซีเหมินจินเหลียนเบิกตากว้าง หันไปทางจ่านป๋ายอย่างมึนงง พร้อมมองไปที่รอบๆ แต่ยังคงสติไม่คืนกลับมา
“ทำไมคุณมานอนอยู่ที่นี่ ไม่หนาวเหรอครับ?” จ่านป๋ายถอนหายใจยื่นมือมาสัมผัส หน้าผากของเธอมีไอร้อนแผ่วเบากระจายขยายรังสีออกมา เหมือนจะเป็นไข้ “แค่ผมไม่อยู่คืนเดียว คุณก็เป็นแบบนี้แล้ว”
“เสี่ยวป๋าย คุณกลับมาแล้ว?” ในความมึนงงของซีเหมินจินเหลียน เธอยังสงสัยว่านี่อาจเป็นความฝัน เช่นนั้นจึงออกแรงกัดลิ้นตัวเอง และนั่นทำให้เธอเกือบจะร้องลั่นออกมา เธอตื่นแล้วนี่นา เมื่อเห็นจ่านป๋ายยืนอยู่ตรงหน้าเธออย่างปลอดภัย ไม่ได้เลือดตกยางออก เธอก็ผ่อนคลายลง
เมื่อมองไปรอบด้าน ก็เห็นว่าที่แท้เธอก็นอนอยู่ในห้องใต้ดิน เมื่อวานแกะสลักหยกดึกไปหน่อยเลยง่วงเผลอตัวฟุบลงนอนบนโต๊ะทำงาน
จริงสิ แล้วเครื่องรางของเธอล่ะ?
ตอนที่จ่านป๋ายกลับมา ห้องรับแขกก็สว่างไสว ที่แท้กลัวว่าซีเหมินจินเหลียนอยู่คนเดียว เลยกลัวว่าเธอจะกลัวความมืด เขาเลยไม่ได้ปิดไฟไว้ แต่ผลคือเขาเห็นว่าประตูห้องใต้ดินกลับเปิดออก กำลังจะโทษว่าเธอหละหลวมเกินไป ของภายในห้องใต้ดิน เรียกได้ว่าเป็นเมืองหยกเลยก็ว่าได้ ทำไมเธอถึงได้เปิดประตูไว้แล้วไปนอน?
ตอนที่เขาเดินลงไปที่ห้องใต้ดินก็เห็นซีเหมินจินเหลียนฟุบตัวอยู่ที่โต๊ะทำงาน อีกทั้งเธอยังใส่ชุดกระโปรงตัวเดิมกับที่ไปงานเลี้ยงรุ่นอีก เมื่อคืนเธอไม่ได้เปลี่ยนชุด…
มองซีเหมินจินเหลียนพลิกตัวไปมาอยู่ไม่เป็นที่ จ่านป๋ายก็เลยถามว่า “จินเหลียน คุณหาอะไรอยู่เหรอครับ”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 50 สิ่งประหลาด
เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนเดินไปเดินมามือไม้พันกันเจ้าละหวั่น จ่านป๋ายเลยถามว่า “จินเหลียน คุณหาอะไรอยู่เหรอครับ”
“นี่ไง…” ซีเหมินจินเหลียนหาเครื่องรางหยกเจอสักที จึงยื่นไปให้จ่านป๋าย “นี่คือเครื่องรางช่วยเรื่องความปลอดภัย…”
“คุณให้ผมเหรอ?” จ่านป๋ายรู้สึกประทับใจเล็กน้อย
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณกลับมาสักที ฉันฝันร้ายตลอดเลย ฝันว่าคุณมีเลือดอาบไปทั้งตัว…”
“ผมไม่มีทางเป็นอะไรหรอกครับ ครั้งหน้าผมจะอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะ” จ่านป๋ายปลอบใจซีเหมินจินเหลียน “จินเหลียน คุณก็ป่วยแล้ว ผมพาคุณไปโรงพยาบาลนะ”
“ไม่เอา” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ฉันแค่อาจจะโดนความเย็นมากไปหน่อย อาบน้ำร้อนแล้วนอนพักให้เพียงพอก็น่าจะดีขึ้นแล้ว” เมื่อวานเธอมัวแต่เป็นห่วงจ่านป๋าย ทำให้อยู่ในห้องใต้ดินทั้งคืน น่าจะได้รับความเย็นอยู่พอสมควร ตอนนี้ก็เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศก็เริ่มจะหนาวขึ้นแล้ว
“ก็ได้ครับ” จ่านป๋ายพยักหน้า แต่ในใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ รออีกสักพักค่อยโทรไปหาจินอ้ายกั๋วให้มาดูหน่อย สั่งยาให้น่าจะดีกว่า
ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายกลับมาแล้ว เดิมทีใจที่หวาดกลัวเป็นกังวล ตอนนี้ก็ได้ผ่อนคลายลงได้บ้าง เธอรีบวิ่งออกมาจากห้องใต้ดิน จ่านป๋ายเห็นเงาด้านหลังของเธอจากไปก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ในใจของเธอเขาก็มีความสำคัญอยู่บ้าง? นี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจเป็นอย่างมาก
ชั่วพริบตา เงาที่ตามหลอกหลอนอยู่เมื่อวานตอนกลางคืนก็ได้หายไป เมื่อเดินออกมากข้างนอกห้อง รับแสงอาทิตย์ที่สดใสสาดมาทางหน้าต่าง นั่งอยู่ในห้องรับแขก ปัดเป่าอารมณ์และซึมซับความรู้สึกไว้ทั้งหมด
ซีเหมินจินเหลียนเดินไปชั้นบนเข้าห้องน้ำแล้วเปิดน้ำอุ่นไว้ เธอเดินเข้าไปข้างในและสูดดมกลิ่นของสบู่อาบน้ำที่ล่องลอยไปทั่ว ในใจก็สดใสเบิกบาน เมื่อคิดย้อนไปแล้วเธอก็รู้สึกสงสัย เธอจะกังวลอะไรกัน? จะว่าไปจ่านป๋ายก็เป็นประธานบริษัท เป็นถึงลูกชายของมหาเศรษฐี เขาจะอยู่ทำตัวไร้สาระข้างเธอแบบนี้ตลอดได้อย่างไร
สักวันเขาก็ต้องกลับไปในที่ของเขา เขามีบ้านมีพ่อแม่ มีธุรกิจที่ต้องดูแล เธอก็คิดบ้าบออะไรอยู่เนี่ย
ประคองมือทั้งสองตักฟองสบู่ขึ้นมาและใช้แรงจากปากเป่าให้เป็นฟอง ไม่นานฟองสบู่มากมายก็ลอยล่องทั่วห้องน้ำ จากนั้นก็แตกกระจายอย่างไร้รูปร่าง…
ของบางอย่าง มาเร็วเกินไป ดีเกินไป แต่กลับขาดความเสมือนจริง เธอไม่ใช่เจ้าหญิงในนิทานเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยความฝันและจินตนาการ แต่เธอเป็นมากกว่าผู้หญิงทั่วไป อย่างน้อยเธอก็ไม่เหมือนหลิงซูฟางที่จินตนาการอยากจะให้ตัวเองเป็นสะใภ้เดินเข้าสู่ประตูบ้านของมหาเศรษฐี
เธอถอดกำไลหยกฮกลกซิ่วออกมา มองดูเงาที่สะท้อนบนนั้น กำไลนี่ก็สวยงามจนไม่เหมือนความจริง แดงเขียวม่วงสามสีสะท้อนแสงให้แก่กัน ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความฝันลวงตา
มูลค่าของหยกยังคงอยู่ในจิตใจคน ไม่เช่นนั้นก็เป็นได้แค่หิน ไร้ค่า ไร้ความหมาย! ประโยคนี้เกรงว่าจะใช้ได้แค่คนที่มีหยกอยู่เต็มห้องเช่นเธอ ที่สามารถจะสัมผัสได้
เมื่อเห็นห้องใต้ดินเต็มไปด้วยหยกขนาดเล็กใหญ่มากมาย ถึงเธออยากจะนำหยกพวกนี้เก็บไว้ในตู้เซฟอัญมณีแค่ไหน แต่ก็ยังเรียกว่ายากพอสมควร
หยกฮกลกซิ่วก็ดี ไหนจะหยกสีแดงทอง ราชาหยกสีเขียว ก็เป็นหินทั้งหมดไม่ใช่เหรอ? ประโยคนี้มาจากราชาแห่งการเดิมพัน ผู้อาวุโสเจี่ยบอกกับเธอไว้ แต่เธอก็รู้ว่าประโยคนี้น่าจะมากจากผู้อาวุโสลึกลับอย่างผู้อาวุโสหูมากกว่า
คนคนนี้ดูมีอะไรลึกลับ ทำให้คนอยากจะเข้าไปค้นหา ซีเหมินจินเหลียนจ้องมองไปยังกำไลหยกฮกลกซิ่ว ครั้งนี้ที่เจียหยางได้รับของมาไม่น้อยเลย สามารถพูดได้เลยว่าหินหยกที่ได้มาล้วนซื้อมาจากผู้อาวุโสหู ไม่ว่าจะเป็นหยกสีเลือดหรือหยกฮกลกซิ่ว ต่างมาจากเขาทั้งนั้น
แต่ผู้อาวุโสท่านนี้รู้ดีว่าลักษณะข้างในของเนื้อหยกเป็นอย่างไร ทำไมเขากลับไม่ตัดออกมาเพื่อขายเองล่ะ? ทั้งๆ ที่เขามีโรงงานแปรรูปหยกเป็นของตัวเองแท้ๆ แต่กลับไม่คิดจะตัด…
เธอถอดปิ่นปักผมออกมาจากบนหัว และวางไว้อีกฝั่ง เปิดฝักบัวและเริ่มชำระล้างตัว ในใจคิดแต่ว่าผู้อาวุโสท่านนี้ก็เหมือนจ่านป๋าย ชอบทำตัวให้น่าค้นหา ส่วนตัวเธอเองก็ไม่รู้จะเริ่มค้นจากตรงไหนดี
เมื่ออยู่ในห้องน้ำประมาณครึ่งชั่วโมงเต็มๆ ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าตัวเองสบายตัวขึ้นมาก เธอลุกขึ้นมาเช็ดตัวที่เปียกปอน พันผ้าเช็ดตัวหุ้มเรือนร่างแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ นั่งเล่นอยู่บนเตียง เมื่อก่อนตอนที่เธอรู้สึกเริ่มไม่สบายคั่นเนื้อคั่นตัวขึ้นมา เธอก็ไม่ชอบไปโรงพยาบาล เพียงแค่อาบน้ำร้อนแล้วนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ทำตัวให้เหงื่อออกก็จะดีขึ้นมาเอง
ตั้งแต่เล็กจนโต ร่างกายของเธอก็แข็งแรงดีมาตลอด
เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มตัวเองไว้ คุ้นเคยกับการหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ พร้อมเลื่อนช่องอย่างไร้จุดหมายเพื่อหาซีรี่รักกุ๊กกิ๊กหรือการ์ตูนดูสักเรื่อง
เพราะงานอดิเรกนี้ เธอไม่รู้ว่าถูกคนอื่นหัวเราะเยาะมากี่ครั้ง โตขนาดนี้แล้วยังชอบดูอะไรเหมือนเด็กๆ? เมื่อก่อนหวังหมิงเหยาก็พูดอยู่ตลอด เขาพูดทิ่มแทงใจบอกว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่บนโลกความจริง มัวแต่เพ้อฝันเข้าไปอยู่บนโลกจินตนาการ…
แต่ตอนนี้เธอกับอยากอยู่ในโลกแห่งจินตนาการนี่เสียแล้ว คิดถึงประโยคที่กำลังฮิตในโลกออนไลน์ตอนนี้อยู่ประโยคหนึ่ง ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ ไม่ใช่ว่าคุณจะเอาชนะทุกสิ่งได้ แต่คุณต้องรับมือกับมันให้ได้ ในเมื่อไม่มีหนทางที่จะขัดขวาง ถ้าอย่างนั้นก็ลองเปลี่ยนมาเสพสุขแทน
พวกเราไม่มีทางที่จะรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือ ตอนนี้! เพราะฉะนั้นทำตอนนี้ให้ดีที่สุด!
ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพ้อเจ้อไปเรื่อยนั้น ประตูห้องก็มีเสียงเคาะประตูอย่างมีมารยาทจากจ่านป๋าย ซีเหมินจินเหลียนจึงพูดอย่างไม่ได้ตั้งใจไปว่า “ประตูไม่ได้ล็อค คุณเข้ามาได้เลย!” ถึงแม้จะล็อค แต่ถ้าเขาอยากจะเข้ามาก็ขวางอะไรไม่ได้เหมือนกัน
“ผมก็บอกคุณไว้ก่อนไงครับ” จ่านป่ายยิ้มตอบ พลางผลักประตูพูดเดินเข้ามา “จินเหลียน คุณดื่มน้ำขิงสักหน่อยนะ แล้วค่อยนอนพัก แท่นหยกอันนั้นก็ไม่ได้เร่งรีบอะไร คุณจะรีบทำไปทำไมกัน”
ซีเหมินจินเหลียนเห็นน้ำขิงที่เขาถือมาให้ก็ยื่นมือมารับเอาไว้ พลางส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะแท่นหยกอันนั้นหรอก แต่เพราะว่าฉันเบื่อต่างหาก…”
“อากาศแบบนี้เหมาะแก่การเป็นหวัดได้ง่าย” จ่านป๋ายพูด “ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรจริงๆ ตอนกลางคืนก็อย่าไปห้องใต้ดินเลย ถึงห้องนั้นจะมีฮีตเตอร์ แต่ก็ไม่พอให้คลายหนาวหรอก”
“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับ แล้วดื่มน้ำขิงภายในอึกเดียวจนหมด สัมผัสได้ว่าร่างทั้งร่างอบอุ่นพร้อมยิ้มพูดไปว่า “เมื่อคืนฉันนอนไม่เพียงพอ ขอนอนอีกสักหน่อย ฉันว่าคุณก็ไม่ได้นอนเหมือนกันใช่ไหม”
จ่านป๋ายพยักหน้า เขาก็ไม่ได้นอนจริงๆ อย่างที่ซีเหมินจินเหลียนว่า แต่ก็ไม่ได้ปิดบังเธอ และไม่ได้พูดจาปลอบใจเธอ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปพักผ่อนเถอะ พวกเรานอนถึงสักบ่ายแล้วค่อยตื่นขึ้นมาออกไปกินข้าวกัน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“จินเหลียน…” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย “คุณจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเมื่อวานผมไปทำอะไรมา?”
“ถ้าคุณอยากบอก คุณก็คงบอกฉันเอง” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างใสซื่อ รอยยิ้มของเธอเหมือนเมฆสีขาวอ่อนและลมที่พัดอย่างแผ่วเบา “ถ้าคุณไม่อยากจะพูด แล้วฉันจะถามให้ได้อะรำขึ้นมา ถึงจะมีสักวันที่คุณจะต้องไปจากที่นี่ หรือเมื่อวานคุณอาจจะไม่ได้กลับมา หรือต่อจากนี้จะไม่มีวันกลับมาอีก ฉันก็คงต้องเสียใจอย่างแน่นอน แต่ว่าชีวิตของฉันก็สำคัญ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าคุณจะอยู่หรือไป ถึงได้ส่งผลกับฉัน”
จ่านป๋ายเห็นเธอในตอนนี้ก็พยักหน้า “คุณคิดได้แบบนี้ก็ดีแล้วครับ”
ซีเหมินจินเหลียนหลุบตาลงและถอนหายใจ “ฉันเชื่อในทางสายกลางมาโดยตลอด” เธอเรียนเอกภาษาจีน ในกระดูกของเธอมีแต่ความภาคภูมิใจและสายเลือดของนักปรัชญา แต่กลับไม่ชอบออกตัวต่อที่สาธารณะชน ความจริงหลายครั้งเธอก็ชอบใช้วิธีหลบหลีกจากความจริง หลบไปอยู่ในมุมเงียบมองคนอื่นใช้ชีวิตกัน…
จ่านป๋ายเผยยิ้มออกมา เมื่อซีเหมินจินเหลียนเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ ความเข้มแข็งและยืนหยัดของเธอ บางครั้งมีมากกว่าที่เขาคิดไว้ด้วยซ้ำ ตอนแรกที่เลือดเขาไหลไม่หยุดอยู่บนรถของเธอนั้น เธอก็ยังใจเย็น จัดการกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่ขาดสติลนลานมือไม้สั่น
“ผมไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณแล้ว คุณนอนสักพักเถอะ” จ่านป๋ายลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอกห้อง
ฤดูใบไม้ร่วงในตอนเช้า แสงของพระอาทิตย์ช่างสุกสกาว อากาศในเดือนตุลาแล้วสินะ ทางฝั่งใต้ได้แบ่งอากาศเป็นสี่ฤดูอย่างชัดเจน ทำให้รับรู้ถึงความเย็นของฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังย่ำกรายเข้ามา
บ่ายสองโมงโดยประมาณ ซีเหมินจินเหลียนถูกเสียงโทรศัพท์รบกวน เธอยื่นมือคว้าโทรศัพท์ไปกดรับ พร้อมส่งเสียงสะลึมสะลือถามออกไปว่า “ใครคะ”
“คุณซีเหมิน…” เสียงในสายที่เปล่งออกมา เหมือนจะเป็นเสียงที่ไม่ค่อยคุ้นชินนัก
“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนยังคงไม่ตื่นดี
“ผมจางจิ้นครับ” เสียงปลายสายรายงานตัวเองให้กับเธอฟัง “คุณซีเหมิน แท่นหยกนั่น…”
ซีเหมินจินเหลียนเรียกสติกลับคืนมาหมดแล้ว ได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในใจ เธอก็บอกว่าใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเร่งขนาดนี้ล่ะ แท่นหยกต้องใช้ระยะเวลาในการขัดวาวอีก แกะสลักอีกถึงจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ นี่ยังดีว่าคือยุคปัจจุบันที่มีเครื่องมืออัตโนมัติ ถ้าลองเปลี่ยนเป็นในอดีตสิ ใช้เวลาสามปีกว่าก็คงยังแกะสลักออกมาไม่เสร็จเลย
“ขอโทษด้วยนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนลอบก่นด่าในใจแต่ก็ยังรักษาความเกรงใจไว้ “คุณจาง แท่นหยกยังไม่เสร็จดี แต่ฉันจะรีบทำให้อย่างเร็วที่สุดเลยค่ะ”
“คุณซีเหมิน มันไม่ใช่แบบนั้นครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว” จางจิ้นพูดอย่างร้อนใจ
“อ้อ?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ เธอเข้าใจอะไรผิดกัน?
“เรื่องเป็นแบบนี้ครับ…” จางจิ้นลังเลอยู่นาน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดขึ้นมา “ช่วงนี้ธุรกิจของผมไม่ค่อยดี เงินหมุนเวียนเลยไม่คล่อง เพราะอย่างนั้นผมอยากจะยกเลิกแท่นหยกไว้ก่อนได้ไหม ผม…ขอโทษจริงๆ นะครับ แต่ตอนนี้ผมหาเงินมาจ่ายไม่พอ”
ที่แท้ก็อยากจะยกเลิกสินค้า? ในความมึนงงของซีเหมินจินเหลียน เธอก็ได้พูดไปอย่างเกรงใจว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ทำธุรกิจ ไม่ว่าใครก็ต้องเจอปัญหาเรื่องหมุนเงินกันอยู่แล้ว ถ้าอนาคตคุณจางอยากจะได้หยกเมื่อไหร่ มาสั่งทำกับเราได้ตลอดนะคะ”
“ขอโทษจริงๆ นะครับ” จางจิ้นเอ่ยขอโทษอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาอย่างสุภาพอ่อนโยนแล้ววางสายไป แม้ว่าการยกเลิกสินค้าจะทำให้รู้สึกไม่สบายใจ แต่อย่างน้อยจางจิ้นก็ซื้อกำไลข้อมือหลักร้อยล้านกับเธอถึงสองวง เธอยังหวังว่าในอนาคตเขาจะมาหาเธอเมื่อต้องการหยก
เมื่อถูกสายโทรศัพท์ของเขาที่โทรมารบกวน เธอก็ไม่มีอารมณ์ที่อยากจะนอนต่อ ลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินลงไปข้างล่าง เหมือนทุกที เธอเห็นจ่านป๋ายนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องรับแขก เมื่อเห็นเธอเดินลงมาจึงยิ้มถามไปว่า “เพิ่งบ่ายสองโมงเอง ทำไมคุณไม่นอนพักอีกสักหน่อยล่ะครับ”
“ถูกจางจิ้นโทรมารบกวนให้ตื่น เลยนอนไม่หลับน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจส่ายหน้า “เขาขอยกเลิกสินค้า”
“ครับ?” จ่านป๋ายยังคงไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ เขาสงสัยในเรื่องราคาที่สูงของพวกเราหรือว่าลังเลว่าคุณภาพจะไม่ดี?”
“เขาบอกว่าช่วงนี้ระบบหมุนเวียนเงินไม่ดี เพราะอย่างนั้นเลย…” ซีเหมินจินเหลียนโบกมือสะบัดไปมา ราคาของเธอถูกกว่าในบริษัทจิวเวอรี่อื่นๆ ทุกแห่งอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องคุณภาพ ไม่ใช่เธออยากจะโอ้อวด แต่หยกชองเธอเป็นหยกคุณภาพดี ส่วนมากเป็นหยกโบราณชนิดแก้วทั้งนั้น
จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนเดินไปทางห้องใต้ดินอีกรอบเลยถามว่า “ในเมื่อเขาไม่สนใจแล้ว คุณก็อย่าเพิ่งโหมนักเลย พักผ่อนก่อนเถอะครับ”
“ฉันจะไปทำเครื่องประดับจากสีม่วงดอกไลแอค สีนั้นฉันชอบ แล้วก็หยกแสงดาวระยิบระยับนั่น ฉันคิดว่าจะเอามาทำเป็นแหวนสวมใส่ไว้สักวง” ซีเหมินจินเหลียนยังคงพูดต่อ “ฉันเคยลองดูแหวนที่ทำมาจากเพชรแล้วผสมหยก สวยมากเลย ถ้าหากใช้หยกประกายดาวมาทำเป็นตัวแหวน จากนั้นใช้เพชรสีอะไรถึงจะเข้ากันดีนะ?”
จ่านป๋ายลองคิดตาม หยกประกายดาวก็มีความสามารถพิเศษในการส่องแสงอยู่แล้ว ถ้าอยากจะใช้เพชรมาเสริมให้เข้ากัน สีที่น่าจะเข้ากันคงยากเหมือนกัน สีแดงก็ไม่เข้า สีเขียวกับสีน้ำเงินก็ดูจะไปด้วยกันไม่ได้ สีดำก็ทำให้มืดไป เขาคิดว่าสีที่ดีคือเพชรที่ไม่มีสี เลยพูดกับซีเหมินจินเหลียนไปทันที
ซีเหมินจินเหลียนคิดดูแล้วเหมือนว่าจะมีแค่สีนี้ที่เข้ากัน “ก็จริงอย่างที่คุณพูด ใสสะอาดบริสุทธิ์”
“หยกสีม่วงดอกไลแอคนั่น คุณคิดจะทำเป็นเครื่องประดับอะไรเหรอ” จ่านป๋ายเดินตามเธอลงไป
“ยังไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะทำอะไร แค่เบื่อๆ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“โอเค ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเจียระไนหินต่อ” จ่านป๋ายยิ้ม ตอนที่เขาเห็นในห้องใต้ดินเหลือเพียงแค่หินหยกก้อนประหลาดนั่นเพียงแค่ก้อนเดียว ได้แต่ถอนหายใจออกมา “จินเหลียน ทำไมคุณถึงได้แย่งหน้าที่ของผมไปหมด ผมจะตกงานแล้วนะครับ ยังดีนะที่มีอีกก้อน”
“ก้อนนั้นยังไม่ต้องเจียระไนนะ!”
“หา?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ หินหยกทั้งหมดถูกเปิดออกมาหมดแล้ว แต่ทำไมหินหยกก้อนนั้นถึงเจียระไนไม่ได้สักที?
“เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ก็อย่าเพิ่งเจียระไนก็แล้วกัน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าแล้วหันไปมองหินหยกก้อนนั้นพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉันไม่ได้สนใจหินนั่นมากเท่าไหร่”
จ่านป๋ายรู้ว่าเธอพูดโกหก เห็นได้ชัดว่าเจียระไนหินหยกอื่นออกมาหมดแล้ว ถึงหินนี้จะแพ้เดิมพัน แล้วจะเป็นอะไรไป? นอกจากนี้หินหยกก้อนนี้ซื้อมาจากโรงงานแปรรูปหยก ซีเหมินจินเหลียนดูสนใจเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ทำให้จ่านป๋ายสงสัยก็คือ เวลาที่เธอมองหินหยกก้อนนั้นทุกครั้ง เธอก็เหมือนประหลาดใจอยู่เสมอ…
แต่ตอนนั้น ในโกดังของโรงงานแปรรูปหยก นอกจากหินหยกก้อนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เธอประหลาดใจได้
“จินเหลียน หินหยกก้อนนั้นมีอะไรแปลกอย่างนั้นเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
ซีเหมินจินเหลียนหยิบเครื่องตัดขนาดเล็กออกมาวัดขนาด และหยิบหยกสีม่วงดอกไลแอคขึ้นมาพลางพูดว่า “ผู้อาวุโสหูบอกว่า เพราะหินหยกก้อนนี้อาจารย์ของเขาถึงได้ตายไป เพราะฉะนั้นหินหยกนี่มีพลังชั่วร้ายอยู่”
“อาจารย์ของผู้อาวุโสหู?” จ่านป๋ายถามอย่างมึนงง ผู้อาวุโสหูก็อายุปูนนี้แล้ว อาจารย์ของเขาก็น่าจะตายไปก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ? อาชีพเดิมพันหินมีความตื่นเต้นและท้าทายสูง บางทีด้วยความที่แก่เขาคงจะตื่นเต้นตกใจตายไป มันก็เป็นเรื่องปกติ
“หินหยกก้อนนี้อยู่ในมือของผู้อาวุโสหูมาระยะหนึ่ง แต่เขาไม่เคยเปิดหินออกมาดูเลย” ซีเหมินจินเหลียนอธิบายต่อ
อาจารย์ของผู้อาวุโสหู ตอนนั้นเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ หินก้อนที่ไม่ได้เปิดออกมาดู ไม่ว่าจะมีลักษณะดีหรือร้าย แต่ก็ไม่เคยทำให้ผู้ชายที่มีรูปร่างแข็งแรงอย่างเขาตกใจจนตายได้ จ่านป๋ายครุ่นคิดอยู่ครู่ หรือว่าจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะเอามันไว้ในบ้านแบบนี้อย่างนั้นเหรอครับ” จ่านป๋ายขมวดคิ้วถาม ในเมื่อมีรังสีร้ายแฝงไว้ก็ไม่ควรจะซื้อกลับมาสิ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับพลังวิเศษอะไรแบบนี้ก็ตาม
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 51 ฤกษ์งามยามดี
ในเมื่อซื้อแล้ว ถ้าไม่เจียระไนเปิดหินออกมาดูก็คงจะรู้สึกผิดกับความเคลือบแคลงใจของตัวเอง จ่านป๋ายก็ไม่เชื่อว่าแค่หินหยกก้อนหนึ่งจะสามารถทำให้คนคนหนึ่งตายได้
ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงเก้าอี้ มองไปยังหินก้อนนั้นแล้วพูดขึ้นว่า “จะพูดยังไงดีล่ะ หินก้อนนั้นก็ดูแปลกจริงๆ ฉันไม่กล้าที่จะผ่าออกมา แต่อีกใจก็อยากจะเปิดออกมาดู ทั้งยังหวังว่าตัวเองจะเป็นคนเจียระไนเองเพื่อที่จะบอกเขาว่าข้างในมีลักษณะเป็นเช่นไร”
“หินก้อนนี้ดูแล้วลักษณะเป็นอย่างไรบ้างเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“อืม…” ซีเหมินจินเหลียนเงียบไปชั่วขณะ แต่ก็พูดต่อว่า “ฉันเดาไว้น่าจะเป็นชนิดแก้วโบราณ ผู้อาวุโสหูบอกว่าถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ตอนนั้นก็ยังไม่ถูกค้นพบเลย”
หยกชนิดแก้วโบราณ ขอแค่ข้างในมีสีเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าไม่แพ้เดิมพันแล้ว จ่านป๋ายขมวดคิ้วถาม “สามารถเดาสีได้ไหมครับ“
“ผิวของเปลือกหยกหนาเกินไป ดูไม่ออกเลย แต่ว่าถึงจะไร้สี ตอนนี้หยกแก้วไร้สีก็กำลังเป็นที่นิยมมาก” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ถ้าอย่างนั้นคุณยังต้องกังวลอะไรอยู่อีกล่ะ” จ่านป๋ายพูด “พวกเรากำลังเบื่อไม่มีอะไรทำ ถ้าอย่างนั้นก็มาตัดหินเปิดดูกันหน่อยเป็นไง”
“ไม่เอา” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า คิดไปมาแล้วพูดขึ้น “ค่อยหาวันที่ฤกษ์งามยามดี จากนั้นจุดธูปไหว้บูชาก่อน แล้วค่อยทำการเจียระไนเปิดหินออกมา”
“จินเหลียน คุณแน่ใจนะ?” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“แน่ใจ!” ซีเหมินจินเหลียนยังคงยืนยันตามนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเชื่อมั่นในตัวเอง
“ก็ได้ครับ” จ่านป๋ายฝืนยิ้มขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผมจะไปหาฤกษ์มาก่อน ถ้าคุณไม่พูดขึ้นก็คงไม่เป็นไร พอคุณพูดขึ้นมาแล้วผมก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน”
ซีเหมินจินเหลียนเริ่มงานเจียระไนหยกสีม่วงดอกไลแอคของเธอ ส่วนจ่านป๋ายวิ่งไปหาฤกษ์ ไม่นาน เขาก็วิ่งกลับมา “จินเหลียน…”
“ทำไมต้องเสียงดังด้วย หูของฉันยังดีอยู่นะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “หาฤกษ์ได้แล้วเหรอ”
“วันนี้ คุณดูนี่สิ วันนี้ก็เหมาะแก่การเริ่มต้นทำเรื่องใหม่ๆ” จ่านป๋ายพูดพลางยื่นปฏิทินไปที่ด้านหน้าให้เธอเห็น
“อะไรจะบังเอิญขนาดนี้?” ซีเหมินจินเหลียนฝืนยิ้มแหยๆ ออกมา
“จินเหลียน คุณก็อย่าแสร้งทำเป็นขี้เกียจเลย คืนนี้พวกเราก็เริ่มกันเถอะครับ!” จ่านป๋ายยิ้มอย่างดีใจ “ผมก็รอไม่ไหวแล้ว คุณก็ห้ามหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยง ดูเรื่องฮวงจุ้ยอะไรอีกล่ะ”
“ฉันก็ไม่เชื่อเรื่องฮวงจุ้ยอะไรพวกนี้หรอก” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ “คืนนี้ก็คืนนี้ เดี๋ยวเราไปกินข้าวข้างนอกกันก่อน แล้วรีบกลับมา จะได้ไปซื้อธูปเทียนที่ถนนโบราณด้วย”
“คุณจะจุดธูปเทียนจริงๆ เหรอครับ”
“จริงสิ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันจะทำตามที่ผู้อาวุโสบอก”
“ทำไมคุณถึงไม่ทำตามเขาในเรื่องอื่น” จ่านป๋ายถอนหายใจ “ก็ได้ครับๆ ตามใจคุณแล้วกัน ตอนนี้ยังเร็วไป ถ้าอย่างนั้นผมจะไปซื้อธูปเทียนมาก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยออกไปกินข้าวกัน กลับมาค่อยจุดธูปบูชาขอเปิดหิน ตกลงไหม? ถ้าดึกเกินไปอาจจะซื้อธูปเทียนไม่ได้แล้ว”
“รีบไปรีบมานะ” ซีเหมินจินเหลียนมอบหมายคำสั่ง
จ่านป๋ายตอบรับแล้วรีบออกไปข้างนอก ส่วนซีเหมินจินเหลียนก็ได้วุ่นกับการเจียระไนหยกสีม่วงดอกไลแอคของเธอ เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เธอได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น
“ลืมกุญแจอีกแล้วเหรอ? ผู้ชายคนนี้ก็เลอะเลือนเหมือนกันนะเนี่ย” ซีเหมินจินเหลียนรีบลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตูข้างนอก
เมื่อประตูเปิดออก ซีเหมินจินเหลียนกลับตกใจ เขาก็ไม่ใช่จ่านป๋ายอย่างที่เธอคิด แต่เป็นจินอ้ายหัวกับหลิงซูฟาง ทำไมพวกเธอถึงมาที่นี่ได้? แต่ว่าไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังยินดีต้อนรับเชื้อเชิญให้พวกเธอเข้ามาในบ้าน พร้อมเสิร์ฟชาผลไม้ให้กับทั้งคู่
“จินเหลียน นี่บ้านของเธอเหรอ” หลิงซูฟางเห็นของตกแต่งในคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยของโบราณแล้วก็แทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง
ส่วนนี่ก็เป็นครั้งแรกที่จินอ้ายหัวเข้ามาข้างในคฤหาสน์ การตกแต่งภายในห้องรับแขกทำให้เธอหยุดมองไม่ได้
“พวกเธอตามสบายเลยนะ” ซีเหมินจินเหลียนเรียกให้พวกเธอนั่งลงและถามว่า “ว่าแต่มีธุระอะไรกันเหรอ”
“จินเหลียน เธอซื้อบ้านแล้วก็ไม่เลี้ยงข้าวฉันสักมื้อเลยนะ” จินอ้ายหัวถอนหายใจ “บ้านนี้คงแพงน่าดู?” เมื่อรู้ว่าซีเหมินจินเหลียนอาศัยอยู่ที่ย่านหลานกุ้ย อีกทั้งยังซื้อคฤหาสน์อยู่ในนั้น เมื่อมาเห็นเข้ากับตาตัวเองก็เหมือนเป็นอีกเรื่อง
การซื้อบ้านในเมืองเซียงไฮ้ แค่เงินเดือนระดับมาตรฐานถึงจะซื้อบ้านหลังเดี่ยวก็คงจะแบกรับหนี้จากการกู้เงินยาวนานถึงสิบยี่สิบปีแล้ว เรียกได้ว่าแบกรับภาระไว้ตลอดชีวิต ถ้าหากตกงานเข้า นั่นก็หมายความว่าหาเงินมาใช้คืนไม่ได้ ผลที่ตามมาแทบไม่อยากจะคิดว่าจะย่ำแย่ขนาดไหน
คฤหาสน์แบบนี้ นอกจากคนที่มีเงินเหลือใช้แล้ว คนธรรมดามีหวังก็ซื้อไม่ได้
“ได้สิ เอาไว้เราหาเวลานัดกัน ฉันจะเลี้ยงเอง!” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางหันไปมองหลิงซูฟาง ความจริงเธอกับหลิงซูฟางไม่ได้สนิทสนมกันเท่าไหร่ เมื่อคืนที่งานเลี้ยงรุ่นก็คุยกันแค่ไม่กี่ประโยค แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้เธอจะมาหาเธอถึงที่บ้าน ซีเหมินจินเหลียนไม่เชื่อว่าเธอแค่มาหาตนอย่างเดียว และยิ่งไม่เชื่อว่าพวกเธอแค่ผ่านมาแถวนี้
“จินเหลียน ฉันไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี หลิงหลิง เธอพูดเองเถอะ!” จินอ้ายหัวทำตัวลึกลับน่าสงสัย หันไปยิ้มมองหลิงซูฟาง จากนั้นก็เข้าสู่เรื่องที่ตั้งใจจะมา
หลิงซูฟางมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน จากนั้นก็อ้ำอึ้งอยู่นาน ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสับสน คิดดูอย่างละเอียดก็เลยถามออกไป “เธอมาหาฉันเพราะเรื่องของฉินเฮ่าใช่ไหม?”
หลิงซูฟางได้ยินเช่นนั้น หน้าก็แดซ่านขึ้นมา ไม่นานก็พยักหน้าตอบรับพลางรีบอธิบายว่า “ฉันถามอ้ายหัวดูแล้ว เธอบอกว่าประธานฉินไม่ใช่แฟนของเธอ แฟนของเธอคืออีกคน…”
ในขณะที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังอ้าปากพูดอะไรออกมา ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นจ่านป๋ายที่ถือถุงเล็กถุงใหญ่เดินเข้ามา เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนแล้ว เขาก็ถอนหายใจบ่นออกมาว่า “จินเหลียน ธูปแบบโบราณหาซื้อยากมากเลย… คุณมีแขกเหรอครับ?” เขาพูดพลางเหลือบไปเห็นจินอ้ายหัวกับหลิงซูฟางเข้าพอดี
“พวกเธอเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของฉันน่ะ นี่จินอ้ายหัวคุณคงรู้จักแล้ว ส่วนนี่คือหลิงซูฟาง” ซีเหมินจินเหลียนรีบแนะนำเขาให้รู้จัก ทันใดนั้นเธอก็เห็นถุงเล็กถุงใหญ่สีใสที่จ่านป๋ายถือมาล้วนเป็นผักกับเนื้อ และน่าจะมีไข่ไก่…
“จ่านป๋าย คุณซื้อกับข้าวมาทำไมตั้งเยอะแยะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย สมัยก่อนจ่านป๋ายอยากจะลองทำอาหารพัฒนาฝีมือ แต่ว่าหลายต่อหลายครั้ง ถึงผลยังไม่ออกมา เขาก็มักจะทิ้งอาหารไว้ก่อนทุกครั้ง ต้องขอขอบคุณร้านอาหารที่อยู่แถวบ้านที่คอยเป็นที่พึ่งของพวกเขา
“เพราะว่าผมมายังไงล่ะครับ!” หลินเสวียนหลานไม่สนใจจ่านป๋าย เขาเดินตรงเข้ามาหาเธอ สายตาของเขาหันไปเห็นจินอ้ายหัวกับหลิงซูฟาง แล้วรับของที่อยู่ในมือจ่านป๋ายพร้อมเดินเข้าไปในครัว ซีเหมินจินเหลียนยังไม่ทันได้พูดสักประโยค เขาไม่มีเรื่องอะไรแล้วจะมาเป็นเชฟบ้านเธอเนี่ยนะ?
“เอ่อ คุณสุภาพสตรีทั้งสอง ยินดีต้อนรับครับ ว่าแต่มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ” จ่านป๋ายทักทายหลิงซูฟางกับจินอ้ายหัว
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าสมองของตัวเองปวดตุบ เหมือนว่าไข้จะหายไปแล้วนี่? แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน คืนนี้เธอคิดจะเจียระไนเปิดหินพลังชั่วร้ายนั่นออกมา แล้วทำไมถึงได้พากันมาถูกเวลาอย่างนี้นะ?
“ฉัน…” หลิงซูฟางมองไปที่จ่านป๋าย ได้ยินว่าคนนี้คือแฟนของซีเหมินจินเหลียน ลักษณะท่าทางหน้าตาดูไม่เลวเลย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ใช้ได้ หน้าตามีเสน่ห์ดี แต่ผู้ชายที่รีบลนลานเข้าห้องครัวไปคนนั้น น่าหลงใหลกว่ามาก เขาก็หล่อราวกับดาราชายที่เห็นตามโทรทัศน์ ให้คนแบบนี้เข้าครัว มันเหมือนกับเป็นการลงโทษเขาก็ไม่ผิด
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 52 เจ้าชายไม่คู่ควรกับซินเดอเรลล่า
ซีเหมินจินเหลียนรู้ดีแก่ใจว่าหลิงซูฟางตั้งใจมาหาเธอเพื่ออะไร ถึงจะไม่ใช่เรื่องของฉินเฮ่า แต่เมื่อวานฉินเฮ่าก็ได้ประกาศต่อหน้าทุกคนแล้วว่าเธอเป็นแฟนของเขา ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือความรู้สึก เธอก็คงไม่ได้มาหาตนเพื่อให้ช่วยหรอกนะ?
ส่วนเรื่องที่ทำไมจินอ้ายหัวถึงพาหลิงซูฟางมาหาเธอด้วยกันได้ เมื่อเธอคิดอย่างละเอียดดูก็เข้าใจ จินอ้ายหัวบอกว่าอยากจะมาดูบ้านของเธอหลายครั้งแล้ว แต่ก็ถูกซีเหมินจินเหลียนหาข้ออ้างไม่ให้เธอมาตลอด ในใจเธอเข้าใจดีว่าเครื่องประดับหยกที่ใส่ไว้ในตัวเธอ มีแต่คนที่อยู่ในสายนี้เท่านั้นถึงจะรู้มูลค่า
งานเลี้ยงรุ่นเมื่อคืน ถ้าหากเซียวเหอไม่ได้ทำงานเป็นฝ่ายขายอยู่ที่บริษัทเสียงเฟิงจิวเวอรี่ เขาก็คงดูไม่ออกว่าเครื่องประดับหยกของเธอจริงหรือปลอม แล้วราคาเท่าไหร่ คงจะไม่ใช้โอกาสเข้ามาใกล้เธอขนาดนี้ ในสายตาของผู้คนในงานคนอื่นๆ หยกที่ระยิบระยับพวกนี้ บางทีก็อาจจะแค่แก้วที่ทำเลียนแบบหยกก็เท่านั้น มีแม้กระทั่งบางคนที่แอบหัวเราะเยาะรสนิยมการแต่งตัวของเธอ
เรื่องนี้เธอไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าเป็นแก้วกระจกก็อปเลียนแบบก็ดีไป หรือจะเป็นหยกก็ดี แต่ในใจของเธอนั่นรู้ดีที่สุดก็พอแล้ว
แต่บ้านไม่เหมือนกับหยกนี่สิ บ้านสามารถบอกถึงฐานะว่าอยู่ระดับไหน พื้นที่เล็กใหญ่ ไหนจะการตกแต่ง คนคนหนึ่งที่มีอารยะธรรมในตัว แค่ดูแวบเดียวก็ดูออก
คฤหาสน์ของเธอเดิมทีตกแต่งตามสไตล์เก่าแก่ เป็นสไตล์ของคนวัยชราที่เล่นหยกมาทั้งชีวิตเป็นคนตกแต่งบ้านให้เธอ ของตกแต่งโบราณ กลิ่นอายบรรยากาศต่างๆ แม้รายละเอียดยิบย่อยก็สามารถถ่ายทอดให้เห็นถึงความคลาสสิค ต่อมาหลังจากที่เธอพอมีเงินจากการเดิมพันหยก แน่นอนก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองมีข้อบกพร่อง ในความช่วยเหลือของฉินเฮ่า บ้านของเธอก็มีความเป็นมรดกโบราณ ราคาประเมินค่าไม่ได้
ตอนที่เรียนอยู่ในมหาลัย ซีเหมินจินเหลียนกับจินอ้ายหัวความสัมพันธ์ดีกันโดยตลอด ไม่มีเหตุผลที่ต้องขัดแย้งกัน จินอ้ายหัวนิสัยดีร่าเริง ถึงเธอจะเกิดในเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรือดูถูกคนชนบทต่างถิ่นที่ย้ายมา แถมยังช่วยเหลือด้วยซ้ำ แต่คนที่เธอเคยช่วยมาก่อน เดิมทีเธอเป็นแค่คนที่ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ ตอนนี้จู่ๆ มีเงินมากมายกว่าเธอเป็นหลายเท่า
คนอื่นๆ เกรงว่าจะรับไม่ได้กับความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันถึงขนาดนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนก็คือการกลัวเปรียบเทียบ
ในการเปรียบเทียบนั้น สิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็คือความอิจฉา และสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวก็คือความริษยา
ซีเหมินจินเหลียนเป็นคนที่ระวังตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่เมืองเซี่ยงไฮ้ เธอไม่มีใครเป็นเพื่อน รู้จักแค่สองพี่น้องจินอ้ายเท่านั้น…
เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่อยากให้จินอ้ายหัวเข้ามาในคฤหาสน์ของเธอ แต่อย่างน้อยก็ยังรักษาความเป็นผู้หญิงจิตใจดี สองคนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนได้
หลังจากรู้จักกับจ่านป๋าย ฉินเฮ่าและหลินเสวียนหลาน เธอเพิ่งจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เพื่อนไม่มีการแบ่งแยกฐานะรวยหรือจน แต่เพื่อนสามารถแบ่งจากฐานะของที่บ้าน มีแต่คนที่ฐานะเท่ากันถึงจะอยู่ด้วยกันได้
เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่จินอ้ายหัวนัดเธอ เธอเลยพยายามให้ออกไปข้างนอก ไม่ให้มาหาเธอที่บ้าน
แต่วันนี้ เธอก็มาเองโดยที่เธอไม่ได้เชิญ
ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาเบาๆ หันไปมองหลิงซูฟางและจินอ้ายหัว เพื่อรอให้พวกเธอปริปากพูดอะไรออกมา ส่วนจ่านป๋ายก็แค่ทักทายพวกเธอไปตามมารยาท แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องครัว
หลิงซูฟางยิ้มขึ้นมาแต่ก็ยังคงมีความเคอะเขินถามว่า “จินเหลียน คนเมื่อกี้คือ?”
ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าคนที่เธอถามน่าจะเป็นหลินเสวียนหลาน หน้าตาอย่างหลินเสวียนหลาน สำหรับผู้หญิงแล้วถือเป็นพลังพิฆาตให้ล้มตายอย่างมหาศาล ลองสมมติว่าหลิงซูฟางจะมีปัญหาเรื่องสายตา แต่เมื่อเห็นคนที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับดาราอย่างหลินเสวียนหลานแล้ว ต่างก็รู้สึกสงสัยอยากรู้จัก
“ฉันเชิญเชฟมาที่บ้านน่ะ ให้มาทำอาหารให้กินสักมื้อ ทำอร่อยกว่าคุณปู่ของฉันอีกนะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างภาคภูมิใจ
จินอ้ายหัวเคยเห็นหลินเสวียนหลานมาก่อน เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะคิกคักออกมา ทำให้ภาพลักษณ์ของเชฟใหญ่จากบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่เสียหายซะแล้ว
แต่เธอคิดอย่างไรก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ซีเหมินจินเหลียนรูปร่างหน้าตาก็โอเค จัดอยู่ในประเภทหญิงสาวสวยใสสไตล์คลาสสิค แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่ผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากมาย ที่จะทำให้ฉินเฮ่าและหลินเสวียนหลานตามติดจีบไม่ปล่อยแบบนี้?
ส่วนจ่านป๋ายและหลินเสวียนหลานที่อยู่ในห้องครัวก็ได้ยินอย่างชัดเจน จ่านป๋ายหัวเราะ หลินเสวียนหลาที่เริ่มขยับมีดหั่นผัก เกือบที่จะทำนิ้วตัวเองตัดขาดเสียแล้ว
“เชฟบ้านของเธอหน้าตาหล่อเหลาเหลือเกินนะ ทำไมถึงไม่ไปเป็นดาราหนังล่ะ น่าเสียดาย” หลิงซูฟางหัวเราะแผ่วเบา การมาในวันนี้ถือว่าไม่เสียเที่ยวเลย ถึงจะไม่รู้ประวัติของหลินเสวียนหลาน แต่ดูจากการแต่งตัวคงจะไม่ใช่เชฟแน่ๆ
แล้วไหนจะจ่านป๋ายอีก? ได้ยินมาว่าเขานั่นแหละที่เป็นแฟนของซีเหมินจินเหลียน ดูแล้วเหมือนจะไม่ธรรมดาเลย เมื่อก่อนหากอยากจะตามหาผู้ชายสไตล์แบบนี้ หายังไงก็หาไม่เจอ แต่ตอนนี้กลับมาเจอพร้อมกันทีเดียวถึงสองคน
“คุณหลิง…” ซีเหมินจินเหลียนถามอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าที่เธอมาหาฉัน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เมื่อคืนเธอบอกว่าประธานฉินไม่ใช่แฟนของเธอ?” หลิงซูฟางคิดพลางกัดฟันถาม คำถามนี้เมื่อสักครู่เธอก็ถามออกมา เดิมทีคิดว่าซีเหมินจินเหลียนจะพูดจาต่อไปเรื่อยๆ ตามหัวข้อที่เธอเปิด แต่เธอกลับแกล้งทำเหมือนไม่ได้ยิน
“คุณหลิง…” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวพูด “ฉันว่านี่เป็นคำถามที่เจาะลึกไปหน่อย พวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ฉันเลยไม่จำเป็นต้องบอกเธอไม่ใช่เหรอ?” เธออยากจะทอดสะพานให้ฉินเฮ่ามันก็เป็นเรื่องของเธอ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับซีเหมินจินเหลียนเลย
อีกอย่างข้างกายฉินเฮ่าก็ยังมีคนป่วยอย่างอวิ๋นเจียอยู่ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่โตที่คิดถึงผลที่จะเกิดไม่ได้เลย
“เธอ…” หลิงซูฟางนิ่งอึ้งไป ซีเหมินจินเหลียนทำให้คนรู้สึกว่าเธอเป็นตรงๆ และง่ายๆ แต่จินอ้ายหัวให้คำมั่นสัญญาบอกกับเธอว่าซีเหมินจินเหลียนจะต้องช่วยเธอแน่ๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเธอมาหาซีเหมินจินเหลียนถึงที่ แต่กลับถูกตอบกลับแบบนี้ คำพูดของเธอทำให้เธอยังคงจมปลักอยู่ในนั้นไม่หยุด พวกเราไม่ได้สนิทกัน ฉันกับเขาจะมีความสัมพันธ์อย่างไร มันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ…
จินอ้ายหัวสับสนไม่เข้าใจ ซีเหมินจินเหลียนไม่เคยจะพูดจาแข็งกร้าวกับคนอื่นแบบนี้ นี่ดูไม่เหมือนเธอเลยสักนิด
หลิงซูฟางไม่รู้จะปรับสีหน้าของตนอย่างไรดี เธอได้แต่ลุกขึ้นยืนแล้วยิ้ม “ในเมื่อพูดมาแบบนี้ ก็หมายความว่าเขาก็คือแฟนของเธอเหรอ? ถ้าอย่างนั้นผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นอะไรกับเธอกัน”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่พยายามอดกลั้นความโกรธที่ปะทุขึ้นในใจ พร้อมลุกขึ้นยืนพูดว่า“คุณหลิง คุณไม่ใช่พ่อแม่ของฉัน แฃ้วคุณมีสิทธิอะไรมาถามฉันว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?” เธอพอใจจะคบหากับผู้ชายคนไหนหรือคบหากับใครสักกี่คนมันก็เป็นเรื่องของเธอ อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้อยากจะขึ้นเตียงกับเขาสักหน่อย ใช้การทอดสะพานทำข้าวดิบให้เปลี่ยนเป็นข้าวสุก จากนั้นค่อยแต่งงาน? วิธีสารพัดหนทาง? เธอกำลังขายหน้าทำลายสติปัญญาที่ตัวเองมี แล้วยังจะทำลายฉินเฮ่าอีก?
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรื่องของหลิงซูฟาง จินอ้ายหัวก็คงหาสาเหตุที่จะมาหาเธอถึงบ้านไม่ได้ แต่อย่างไรถ้าพวกเธอจะมาก็น่าโทรศัพท์มาบอกเธอก่อน แล้วพูดหว่านล้อมเธอสักหน่อยยังดี แต่นี่เดินยังมั่นหน้าเข้าประตูมา เห็นว่าเธอเป็นอะไรกัน?
เพื่อนร่วมรุ่นเหรอ? ก็แค่เพื่อนที่ไม่สนิทกันก็เท่านั้น!
“ประธานฉินตาบอดหรือยังไง คิดไม่ถึงว่าเขาจะสนใจผู้หญิงแบบเธอ?” หลิงซูฟางเข้าใจเป็นอย่างดี ถ้าอยากจะใช้ซีเหมินจินเหลียนเป็นทางผ่านช่วยเธอเรื่องฉินเฮ่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อซีเหมินจินเหลียนใช้อารมณ์พูดมาแบบนั้น คำพูดคำด่าก็พูดออกมาแล้ว
“จ่านป๋าย ส่งแขก!” ซีเหมินจินเหลียนตะโกนเรียก
“หลิงหลิง…จินเหลียน…อย่าเป็นแบบนี้กันสิ…” จินอ้ายหัวรู้สึกไม่เข้าใจในสถานการณ์ ทำไมเรื่องถึงได้บานปลายไปขนาดนี้กัน? ตอนแรกก็พูดจากันดีๆ แต่ต่อมาคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคำด่าโมโหขนาดนี้ได้ ส่วนซีเหมินจินเหลียนที่สุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด คนที่แม้แต่พูดก็กลัวจะทำร้ายคนอื่น ทำไมวันนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นแบบนี้แล้ว
จ่านป๋ายเดินออกมาจากข้างใน มองหลิงซูฟางอย่างเยือกเย็น เขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะทำให้ซีเหมินจินเหลียนโกรธได้ขนาดนี้ เหมือนได้รับโทษหนักเอาการ
“อย่าให้ผมต้องใช้กำลังเลยนะครับ คุณหลิงกลับไปเถอะ!” จ่านป๋ายพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“คุณไม่ต้องมาไล่ฉันหรอก ฉันไปแน่!” หลิงซูฟางเชิดคอแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไป
จินอ้ายหัวมองซีเหมินจินเหลียนอย่างทำตัวไม่ถูก และหันไปมองหลิงซูฟางพร้อมถอนหายใจออกมา จะขอร้องคนอื่น เธอก็ถ่อมเนื้อถ่อมตนสักหน่อยไม่ได้หรือยังไง? พูดตรงๆ แบบนี้เพื่ออะไรกัน นี่ก็ไม่ใช่หาเรื่องให้คนโมโหหรอกเหรอ
“จินเหลียน…ฉันขอโทษนะ” จินอ้ายหัวขอโทษเสียงเบา
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจออกมา “อ้ายหัว ฉันทำให้เธออึดอัดแล้ว วันนี้ฉันมีธุระนิดหน่อย คงให้เธออยู่ต่อไม่ได้ ค่อยหาเวลามาใหม่เถอะนะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” วันนี้ตอนกลางคืนเธอจะผ่าหินหยก เพราะอย่างนั้นก็ไม่มีจิตใจที่จะวอกแวกกับเรื่องอื่น
“ตกลง เอาแบบนั้นก็ได้” จินอ้ายหัวยิ้มอย่างใจเย็น แล้วออกไปข้างนอก จ่านป๋ายไปส่งด้านนอก ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็ยังคงรู้สึกว่าตระกูลจินอ้ายสองพี่น้องเป็นผู้มีพระคุณต่อเขา ถึงแม้ว่าตอนแรกพวกเขาจะช่วยเขาเพราะเห็นแก่ซีเหมินจินเหลียนก็ตาม
เมื่อรอจนพวกเธอกลับไปหมดแล้ว หลินเสวียนหลานที่อยู่ในห้องครัวก็เดินออกมา พร้อมหยิบเค้กมาไว้ข้างหน้าซีเหมินจินเหลียนแล้วพูดว่า “คุณกินอะไรให้ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะนะ ความจริงก็เข้าใจว่าทำไมเธอเป็นแบบนั้น หน้าตาท่าทางดี แต่จิตใจไม่ดี อยากจะเดินทางสบาย จินตนาการเป็นซินเดอเรลล่า หวังว่าจะได้เจอเจ้าชายในฝัน แต่ว่าซินเดอเรลล่าเวอร์ชั่นนี้อยากจะได้เจ้าชายเป็นของตัวเอง”
“เธอเป็นซินเดอเรลล่าไม่ผิดหรอก แต่ฉินเฮ่าก็ไม่ใช่เจ้าชายของเธอ” จ่านป๋ายส่ายหน้า “ผู้หญิงคนนี้ถ้าบ้าคลั่งขึ้นมาก็น่ากลัวใช่เล่น คุณชายหลิน คุณเคยถูกผู้หญิงตามจีบมากี่คนแล้วเนี่ย?”
หลินเสวียนหลานยิ้มหัวเราะ หน้าตาอย่างเขาไม่ว่าจะไปไหนก็เหมือนว่าไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ส่วนผู้หญิงที่ตามจีบเขานั่นก็มีให้เลือกมากมาย หนึ่งในนั้นก็ขาดไม่ได้ที่จะมีคนอยากเป็นซินเดอเรลล่าอย่างหลิงซูฟาง
“โตขนาดนี้แล้ว ยังจะอยู่ในโลกนิทานอยู่อีก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ อายุราวยี่สิบกว่าปี ทำไมถึงได้คิดเพ้อเจ้อแบบนี้นะ
“ถ้าหากไม่เจอกับคุณ เธอก็คงจะอยู่ในโลกจินตนาการนั้นไปตลอดชีวิต” หลินเสวียนหลานยิ้ม “เพราะว่าคุณ เธอเลยน่าจะเริ่มเข้าใจโลกความจริงขึ้นบ้าง คงจะไม่พลาดโอกาสนี้แน่ เหมือนคำหนึ่งที่พูดกันว่า ความสุขเพียงแค่ต้องคว้ามันไว้ เธอเลยต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อมัน”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเฝื่อน เธอก็คือซินเดอเรลล่า แต่เจ้าชายของเธอจะเป็นใครกัน? ความเป็นจริงผู้ชายที่หลิงซูฟางจะทอดสะพานไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเธอสักนิด แต่จะใช้เธอมาเป็นสะพานเชื่อม เห็นว่าเธอเป็นอะไรกัน แล้วเห็นว่าฉินเฮ่าเป็นคนยังไง?
“แต่ว่าเหมือนมีเรื่องหนึ่งที่เธอทำผิดไป” จ่านป๋ายพูด “จินเหลียนของผมไม่ใช่ซินเดอเรลล่า แต่เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการหยกต่างหาก”
ซีเหมินจินเหลียนไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก เธอหันไปมองหลินเสวียนหลานด้วยท่าทีสงสัย ทำไมเขาถึงมาทำกับข้าวที่บ้านเธอได้ ครั้งนี้เป็นงานหมั้นหรือว่างานแต่งล่ะเนี่ย?
“ทำไมคุณถึงมาทำกับข้าวที่บ้านฉันได้คะ บอกถึงจุดมุ่งหมายที่จะมาก่อน ไม่อย่างนั้นกับข้าวที่คุณทำ ฉันจะไม่กินอีกต่อไป!” ซีเหมินจินเหลียนถาม เธอไม่อยากจะรับมือกับสงครามของลู่เฟยอวี๋อีกครั้ง เพราะตอนกลางคืนเธอจะเจียระไนเปิดหิน!
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 53 - 1 หินราชางู
หลินเสวียนหลานได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “ปู่ของผมอยากเจอคุณครับ”
“มีเรื่องอะไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่ทันได้พูดอะไรต่อ จ่านป๋ายชิงพูดขึ้นมา “เขาเป็นแค่ชายแก่คนหนึ่ง ไม่เหมือนหนุ่มหล่อเหมือนคุณ แล้วทำไมซีเหมินจินเหลียนของพวกเราจะต้องไปพบกับเขาด้วย เขามีอะไรน่ามองกัน”
ซีเหมินจินเหลียนที่เดิมทีหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา จ่านป๋ายพูดได้เรื่อยเปื่อยเก่งจริงๆ
หลังได้รู้การกระทำทุกอย่างที่หลินเจิ้งทำลงไป เธอก็พอรู้ว่าคนที่เป็นเบื้องหลังของเรื่องนี้น่าจะเป็นคุณปู่ตระกูลหลิน แน่นอนว่าเธอไม่ได้รู้สึกสนใจคุณปู่หลินอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไปตรงๆ เหมือนจ่านป๋าย
“จินเหลียน?” หลินเสวียนหลานเรียกเธออีกครั้ง “คุณปู่ผมอาการไม่ดีแล้ว…ท่านเลยอยากจะพบคุณ…”
“ทำไมคุณปู่หลินถึงต้องอยากเจอฉันด้วยคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย ความจริงแล้วเธอกับเขาก็ไม่ใช่ศัตรูกัน เขาก็ปล่อยไปไม่ได้เลยเหรอ น่าจะจัดการสะสางกับมรดกหลังจากนี้สิ หรือไม่ก็อยากจะเจอลูกหลานหรือคนในตระกูล แต่เขาอยากจะเธอนี่นะ? เธอเป็นแค่คนนอกเท่านั้น
“คุณปู่ผมคิดมาตลอดเลยว่าคุณคือศิษย์ทางสำนักใต้” หลินเสวียนหลานถอนหายใจพูด
“ศิษย์สำนักใต้?” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ หรืออาจจะใช่? หรืออาจจะไม่ใช่…มีแค่เบื้องบนเท่านั้นที่รู้ ญาติสนิทของเธอก็ได้ล้มหายตายจากโลกนี้ไปแล้ว ส่วนพ่อแม่ของเธอก็ตายไปนานแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอเลยไม่รู้จักประวัติของตัวเองดีพอ แต่เธอยินดีที่จะเชื่อว่าคุณย่าและคุณครูของเธอเป็นแค่คนแก่ธรรมดาอยู่ในชนบทคนหนึ่ง ส่วนเรื่องราวที่บอกว่าผู้สืบทอดจากทางใต้ที่มีเงินอะไรนั่น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธอ
ถ้าหากเธอเป็นผู้สืบทอดจากทางใต้จริงๆ มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ ใช้ชีวิตผ่านความยากลำบากมาเนิ่นนาน เธอก็เป็นเด็กผู้หญิงบ้านนอกคนหนึ่งมาตลอด
แต่ถ้าหากเธอเป็นเด็กผู้หญิงบ้านนอกธรรมดา แล้วทำไมที่หลังมือของเธอถึงมีดอกบัวสีทอง มีพลังวิเศษที่สามารถมองทะลุได้?
ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่รอยดอกบัวสีทองที่อยู่บนหลังมือนั่น ดอกบัวนั้นเหมือนกึ่งบานกึ่งตูม แต่สีไม่เหมือนลายสัก มันจะสว่างหรือมืดขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาส แต่ว่าสว่างสะดุดตาอย่างชัดเจน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าวันนั้นหลินเสวียนหลานดื่มเหล้ามากไป บางทีพลังวิเศษของเธอทั้งชาตินี้คงไม่ได้รับการปลุกขึ้นมา แต่พลังวิเศษนี้มาได้อย่างไร? คงไม่ได้จะหายไปในพริบตาหรอกนะ นี่เธอก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องขอบคุณเขา เมื่อคิดได้เช่นนั้นซีเหมินจินเหลียนจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เช้าตอนเก้าโมงเป็นยังไงคะ” กฎของการเยี่ยมแขกของพวกเขาคือ คนที่มาเยี่ยมไม่สามารถรอถึงบ่าย ไม่เช่นนั้นจะฤกษ์ไม่ดี มีแค่งานศพเท่านั้นที่เริ่มมาในตอนบ่าย
“ตกลงครับ ผมจะมารับคุณ!” หลินเสวียนหลานได้ยินคำตอบรับของเธอก็ดีใจ รีบเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง
เมื่อได้กลิ่นหอมอบอวนของเค้กที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะลองชิม รสชาติก็ไม่เลวเลย ไม่หวานไม่เลี่ยนกำลังดี
พูดตามความจริงแล้ว ฝีมือในการทำอาหารของหลินเสวียนหลานก็นับว่าไม่ธรรมดา อาจจะอร่อยกว่าร้านอาหารที่มีเชฟชำนาญการอยู่ตั้งหลายคน ถ้าหากรับเข้าไว้เป็นเชฟประจำบ้าน ต่อจากนี้ไปคงมีความสุข กินอิ่มนอนหลับแน่
แต่ความคิดนี้ก็แปลกเกินไป ซีเหมินจินเหลียพยายามควบคุมสติตัวเอง บางทีเธอก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป อยากจะให้เขามาเป็นเชฟประจำตัวเธอเนี่ยนะ?
หลินเสวียนหลานทำกับข้าวเสร็จแล้ว เขาก็ไม่ได้ยื้อที่จะอยู่กินข้าวต่อ หาข้ออ้างบอกลาแล้วไปจากที่นี่ทันที ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าน่าจะเป็นเรื่องภายในบ้านของเขา เพราะอย่างนั้นเลยไม่ได้รั้งเขาเอาไว้ เมื่อมื้อเย็นผ่านไปเธอขึ้นไปอาบน้ำข้างบน
จ่านป๋ายก็ไปอาบน้ำเช่นกัน ทั้งสองคนเดินลงไปห้องใต้ดินข้างล่างพร้อมกันแล้วเปิดไฟ ตอนที่จ่านป๋ายซื้อธูปเทียนมานั้น เขาได้หยิบกระถางธูปมาด้วย
ซีเหมินจินเหลียนมองกระถางธูปสีมืดนั่นเลยถามว่า “ของโบราณเหรอ”
“เขาว่ากันอย่างนั้นนะครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “ผมได้มาจากคุณยายคนหนึ่ง ท่านบอกว่าของชิ้นนี้ก็อยู่ในบ้านของท่านมานานกว่าหลายสิบปีแล้ว ผมไม่ได้สนใจว่าเป็นของจริงหรือปลอม เพราะยังไงตอนกลางคืนพวกเราก็ต้องใช้”
ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ ก็จริง จะสนใจไปทำไมว่าเป็นของจริงหรือของปลอม? คืนนี้พวกเขาต้องการธูปก็ได้แล้ว ถึงจะเป็นราคาแพงหรือของโบราณแล้วมันจะแตกต่างอะไรกัน
จ่านป๋ายหยิบธูปออกมาสามดอกแล้วจุดไฟ จากนั้นส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียน
ซีเหมินจินเหลียนรับมันมา แล้วหันหน้าไปที่หินหยกก้อนนั้นพร้อมปักธูปลงไปที่กระถางธูป สมัยก่อนตอนที่ผ่าหินหยกก็มักจะทำพิธีขอกราบไหว้บูชาก่อน แต่ตอนนี้นับว่ามีคนทำน้อยมาก แต่ว่าหินหยกที่จะผ่าวันนี้ดูมีพลังร้ายแรงที่น่ากลัว เธอเลยต้องขอขมาก่อนถึงจะรู้สึกจิตใจสงบลง
เมื่อเอาธูปวางไว้อีกฝั่ง ซีเหมินจินเหลียนก็มองไปที่จ่านป๋าย จ่านป๋ายพยักหน้าพร้อมหยิบเครื่องเจียระไนมาแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณใส่ใจเป็นพิเศษแบบนี้ ผมก็ต้องระวังให้มากขึ้น”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าแล้วเดินไปที่ข้างหน้าหินหยกพลังชั่วร้ายนั่น ก่อนยื่นมือไปสัมผัสจากนั้นชี้ไปที่จุดที่ต้องการ “เริ่มผ่าจากตรงนี้ได้เลย”
“โอเคครับ” จ่านป๋ายพยักหน้าแล้วหยิบเครื่องเจียระไนเปิดสวิตซ์ทำงาน ก่อนจะเริ่มเจียระไนลงไป
ซีเหมินจินเหลียนลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงของเครื่องเจียระไนกระทบไปที่ผิวหินหยกแล้ว ห้องใต้ดินข้างล่างก็เงียบสงัดราวกับไม่มีคนอยู่
“เสี่ยวป๋าย…” ซีเหมินจินเหลียนริมฝีปากแห้งจัด เหมือนมีเรื่องอยากจะพูด เพื่อที่จะขจัดสิ่งที่รบกวนในใจ
“หืม?” จ่านป๋ายเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าของซีเหมินจินเหลียนหวาดผวามองมาที่เขา “ไม่เป็นอะไรหรอก จินเหลียน อย่างมากก็แค่แพ้เดิมพัน จะเป็นอะไรไปได้ครับ?” ถึงปากจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่ในใจก็สั่นเทาอยู่ไม่น้อย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซีเหมินจินเหลียนผ่าหยก ถึงจะเป็นหยกฮกลกซิ่วก้อนใหญ่ แต่เธอก็ไม่เคยจะกังวลใจขนาดนี้มาก่อนเลย แล้วตอนนี้เธอกังวลใจอะไรอยู่กัน? มันก็แค่เรื่องที่ผู้อาวุโสหูเล่ามา ทำไมถึงได้คิดมากขนาดนี้
เสียงของเครื่องเจียระไนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เปลือกหินหยกถูกปอกออกมาหมด จ่านป๋ายมองไปทางซีเหมินจินเหลียน เขาจำได้ในสิ่งที่เธอบอกว่าผิวหยกหนาไปสักหน่อย จนถึงวันนี้ผิวหยกก็ไม่ได้หนาขนาดนั้นนี่? เพียงแค่หนึ่งเซนติเมตรจะเรียกว่าหนาได้อย่างไรกัน
แต่เมื่อคิดได้นั้นจ่านป๋ายก็โล่งใจ การเดิมพันหยก ใครจะสามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าเดิมพันหินได้อย่างไรกัน มันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง นี่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยไม่ใช่หรือ?
เมื่อวางเครื่องเจียระไนลง จ่านป๋ายก็ตักน้ำสะอาดราดไปที่พื้นผิวของหิน หยกชนิดแก้วไร้สีสะอาดผุดผ่อง เขาหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องดู ก็เห็นว่าโปร่งใสมาก ความโปร่งใสสะอาดนี้ยิ่งกว่าหยกชนิดแก้วปกติเสียอีก เมื่อมองดูแล้วก็ไม่เหมือนกับหยกเลยสักนิด นี่ก็ดูราวกับคริสตัลใสบริสุทธิ์สะอาดมาจากธรรมชาติ
แต่เขารู้ว่านี่ก็ไม่ใช่คริสตัล คริสตัลกับหยกอย่างไรก็ยังมีความแตกต่างกัน นี่เป็นแค่หินหยกที่มีความโปร่งใสกว่าหยกชนิดอื่นก็เท่านั้น
“จินเหลียน นี่เป็นหยกชนิดแก้วไร้สีครับ!” จ่านป๋ายพูดพลางยิ้มออกมา “เป็นอย่างที่คุณพูดไว้จริงๆ หยกชนิดที่ผู้หญิงวัยรุ่นสมัยนี้นิยมกัน ถ้าหากหินหยกทั้งชิ้นเป็นหยกไร้สีชนิดแก้วแบบนี้ละก็ ราคาคงประเมินค่าไม่ได้เลย”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบ “ลองเจียระไนออกมาให้หมดก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
จ่านป๋ายเห็นท่าทางของซีเหมินจินเหลียนที่ระวังแบบนั้นแล้วก็เริ่มเจียระไนต่ออีกครั้ง ผิวหินอีกข้างก็ถูกเจียระไนเปิดออกแล้ว อยู่ๆ สายตาของจ่านป๋ายก็เบิกกว้างขึ้น เหมือนข้างในหยกใสไร้สีนี่จะมีอะไรอยู่ในนั้น คิดไม่ถึงว่าข้างในเหมือนจะมีสีดำอะไรอยู่?
รอยมลทิน? คิดไม่ถึงเลยว่าภายในหยกแก้วไร้สียังมีรอยมลทินอยู่
ตอนแรกที่ผู้เฒ่าหลินซื้อหินหยกก้อนใหญ่กลับมาจากพม่าก็รู้สึกเหมือนปิดบังหยกสีเขียวไว้หมดเลย หรือหยกก้อนนี้จะเป็นอย่างสถานการณ์ตอนนั้น
“ไม่ใช่สิ?” จ่านป๋ายคิดพลางหยิบตักน้ำมาราดลงไปอีกครั้ง เพื่อชะล้างผงหินที่เกาะติดอยู่บนผิว ทำให้หยกแก้วไรสีที่อยู่ข้างในมองเห็นได้ชัดกว่าเดิม
เมื่อหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องดู ก็มีรอยสีดำอยู่เล็กน้อยอย่างที่คิดไว้ แต่มองยังไม่ชัดว่าข้างในซ่อนอะไรเอาไว้…
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 53 - 2 หินราชางู
“เกิดอะไรขึ้น” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ ในตอนนี้เธอใช้กำลังที่มีอยู่กำหมัดไว้แน่น จนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เธอก็ยังไม่รู้สึกว่าเจ็บ เพียงแต่จิตใจเต้นรัวไม่สบายใจเป็นที่สุด
“เหมือนว่าจะมีอะไรอยู่ข้างใน?” จ่านป๋ายเลิกคิ้วขึ้น “รอยมลทินที่หยก? เดี๋ยวผมลองเจียระไนออกให้หมดก่อน”
“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนได้แต่พยักหน้า
ไม่นานพื้นผิวของหินก็ถูกเจียระไนออกมา หยกก้อนนี้มีความโปร่งใสสูง สูงกว่าหยกชนิดแก้วธรรมดาเป็นหลายเท่า ราวกับแก้วใสบริสุทธิ์ก็ไม่ปาน เมื่อจ่านป๋ายเจียระไนพื้นผิวหินออกมาหมดแล้ว สีดำข้างในนั้นก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
จ่านป๋ายหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องดูอีกครั้ง จากนั้นก็ถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว มองหยกก้อนนั้นอย่างตกใจ….
“จินเหลียน…ข้างในหยกเหมือนจะมี…มี…มีงู?” จ่านป๋ายพูดติดๆ ขัดๆ เขาไม่ได้กลัวงู แต่หินหยกข้างในมีงู มันเป็นสิ่งที่เหมือนจะเกิดขึ้นไม่ได้ภายในโลกใบนี้
เพียงแต่ว่าสรีระของงูที่คดงอ มีเกล็ดที่ปกคลุม ต่างพิสูจน์ออกมาให้เห็นว่าข้างในหยกมีสิ่งใดปรากฏอยู่ให้เห็น
ซีเหมินจินเหลียนมองเขาอย่างสับสน แล้วถามกลับไปว่า “ข้างในมีอะไรอยู่เหรอ”
“อืม สีดำ ดูแล้วเหมือนจะเป็นงู…” จ่านป๋ายพูดพร้อมฝืนยิ้ม “ไม่ใช่สิ่งที่สวยงามอะไรหรอกครับ” เห็นหยกที่สวยงามมาก็เยอะ แต่พอมาเห็นหยกพลังชั่วร้ายที่เจียระไนออกมาวันนี้ เขากลับไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย
“น่าจะเป็นรอยมลทินสีดำ จะมีงูได้ยังไงกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูดประโยคนี้เอง แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังปกปิดสิ่งไม่ดีไว้อยู่อย่างชัดเจน
“ก็จริงครับ” จ่านป๋ายหันไปมองเธออย่างเข้าใจ พร้อมยิ้มออกมาอย่างบางเบา “บางทีอาจจะเป็นรอยมลทินของหยกที่รูปร่างคล้ายกับงูก็เท่านั้น พวกเราลองมาเจียระไนต่อกันอีกสักหน่อยเถอะ”
ซีเหมินจินเหลียนได้แต่หยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อจุดธูปทำพิธีขอขมาบูชาแล้ว ในเมื่อเจียระไนออกมาได้ด้านหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าต้องเจียระไนเพื่อดูต่อไปว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ ถ้าหากข้างในหยกมีงูอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ อย่างน้อยก็ไม่สามารถทำให้เธอตกใจได้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเธออาศัยอยู่ในชนบท แถมยังเป็นภูเขาล้อมรอบ เคยเห็นงูมาตั้งเยอะ อย่าพูดถึงว่าข้างในหยกจะมีงูอยู่ตัวเดียวเลย ถึงแม้จะมีสักสิบตัวแล้วยังมีชีวิตอยู่ เธอก็ไม่กลัว
จ่านป๋ายหยิบเครื่องเจียระไนออกมาเพื่อจะเจียระไนต่ออีกครั้ง เสียงของเครื่องเจียระไนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว…
หินหยกถูกเปิดออกมาโดยหมด จ่านป๋ายตักน้ำขึ้นมาราดไปที่ผิวหินอีกครั้งเพื่อให้เห็นหยกแก้วไร้สีอย่างชัดเจน ภายใต้แสงไฟ หยกนั่นส่องประกายระยิบระยับ ส่วนความโปร่งใสของหยกสอดแทรกไปด้วยร่างของงู…
เป็นงูอย่างที่คิดจริงๆ!
จ่านป๋ายสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาสามารถมองเห็นถึงส่วนท้องของงู ส่วนท้องนั้นมีเกล็ดสีขาวเป็นแผ่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ตัวของงูน่าจะเป็นสีดำ เพราะระหว่างที่เริ่มเจียระไนหินก็มองเห็นสรีระของงูได้อย่างชัดเจน
นี่ไม่ใช่แค่ร่องรอยของงู แต่เป็นตัวงูอย่างแท้จริง ในอดีตมีงูอยู่ด้วยเหรอ? จ่านป๋ายคิดสงสัยอยู่ในใจ
จ่านป๋ายเงยหน้าขึ้นหันไปมองซีเหมินจินเหลียน สีหน้าของซีเหมินจินเหลียนก็ดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก พูดออกมาว่า “เจียระไนผิวออกมาให้หมดก่อน”
“ครับ” จ่านป๋ายไม่พูดอะไร หินที่ถูกเจียระไนออกมาดูเหมือนจะผ่านอะไรมาเยอะ
พื้นผิวที่เหลือสามส่วนถูกเปิดออกมาจากห้าส่วน สามารถตัดสินใจได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นงูสีดำสลับสีทอง จ่านป๋ายเคยเห็นงูมาตั้งมากมายหลายสายพันธุ์ แต่เขาไม่เคยเห็นงูที่มีรูปร่างลักษณะแบบนี้มาก่อนเลย
“งูตัวนี้ถ้ายังมีชีวิตอยู่คงต้องสวยมากแน่ๆ” จ่านป๋ายอยากสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงขึ้นมา เลยตั้งใจพูดขึ้น ในความจริงแร่ธาตุในอดีตที่ผสมสอดแทรกไปด้วยสัตว์ข้างในมีอยู่ไม่มาก แต่สิ่งที่สำคัญก็คือภายในหยกมีสัตว์อยู่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
แต่เคยได้ยินมาว่ามีอำพันอยู่ สำหรับฟอสซิลขนาดใหญ่ สิ่งที่มีชื่อเสียงคงเป็นไดโนเสาร์กับนกต้นกำเนิด แต่เหมือนจะเคยได้ยินเรื่องอำพันหยกมีแมลงอยู่ข้างใน เมื่อคิดได้เช่นนี้วันนี้ที่เจียระไนหินออกมาก็เป็นเรื่องปกติ
“สวยกับผีคุณน่ะสิ ฉันไม่เคยเห็นงูที่สวยแบบนี้มาก่อนเลย!” ซีเหมินจินเหลียนพูดออกมา “ตอนเด็กๆ ฉันเคยเห็นงูตัวหนึ่ง รูปร่างเป็นหยกสีเขียว ถึงจะเป็นหยกสีเขียวสดก็ไม่อาจสู้ได้กับสีสันหลากสี แต่คุณรู้หรือเปล่าว่างูชนิดนี้เรียกว่าอะไร”
“งูเขียวหางไหม้?” จ่านป๋ายคิดถึงตำนานที่เล่าขานกันมา
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ไม่ใช่ ฉันไม่รู้ว่าชื่อทางการมันเรียกว่าอะไร แต่ว่าแถวบ้านเกิดฉันเรียกมันว่างูเทพพ่าย เพราะแม้กระทั่งเทพเซียงยังเกรงกลัวที่จะถูกมันกัด จนเกือบจะไม่มีชีวิตรอด”
“เก่งกาจขนาดนั้นเลย?” จ่านป๋ายมีความรู้สึกแปลกใจ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญมากมายจะดูถูกไม่เชื่อเรื่องตำนานที่เล่าขานกันมา คิดว่าเป็นการเพ้อเจ้องมงาย หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าเทคนิคการแพทย์ในอดีตยังไม่เจริญ ทำให้คนมัวแต่เชื่อถึงพิษร้ายกาจของงู
แต่ว่าเขากลับรู้ว่าพิษของงูที่อยู่ตามป่าเขาลึกนั้นมักมีพิษสงร้ายแรงกว่าที่คิดไว้นัก
“ตอนเด็กฉันเคยเจอมาก่อน โชคดีที่ไม่ถูกฉก” ซีเหมินจินเหลียนเผยยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ปกติงูชนิดนี้มักจะไม่จู่โจมคนก่อนเหรอครับ” จ่านป๋ายถาม
“นี่ก็พูดยากค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “บนภูเขามีสมุนไพรที่สามารถแก้พิษงูได้ แถวบ้านฉันทุกๆ บ้านต่างมีเก็บไว้”
จ่านป๋ายพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ พิษงูตามป่าเขาถ้าหากไม่มีสมุนไพรรักษาโดยเฉพาะ ถูกกัดเข้าไม่อันตรายเกินไปเหรอ? แถมคนที่อาศัยตามหมู่บ้าน คนที่มีความรู้ในการรักษาแค่เบื้องต้นเท่านั้นยังหายากเลย
พูดถึงเรื่องนี้จ่านป๋ายก็นึกได้ว่า ตอนที่ซีเหมินจินเหลียนจะกลับมาจากบ้านเกิด กำนันที่หมู่บ้านให้ของเธอมา ตอนนั้นเขาไม่ได้ถามอะไร แต่ตอนนี้ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาแล้ว “จินเหลียน ของที่คุณเอามาจากบ้านเกิดของคุณ เป็นยาสมุนไพรทำมาจากงูหรือเปล่าครับ”
“ใช่” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ปิดบังอะไรเขา พร้อมพยักหน้าพูด “สมุนไพรจากงู แล้วยังมีสมุนไพรแห้งและเครื่องหอม”
“เครื่องหอม?” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ แถวนั้นมีเครื่องหอมด้วยเหรอ
“จะพูดยังไงดีล่ะ มันเป็นดอกไม้แปลกๆ ชนิดหนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้าน เด็ดออกมาตากแห้งแล้วจะหอมมาก เด็กผู้หญิงแถวบ้านชอบนำมาทำเป็นถุงหอมจากนั้น…” พูดได้แค่นี้ซีเหมินจินเหลียนก็หยุดพูดไป
จ่านป๋ายถามออกไปอย่างสงสัย “จากนั้นเอาไปทำอะไรเหรอครับ”
“มอบให้คนรักน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบอย่างส่งๆ
“แล้วเมื่อไหร่คุณจะทำให้ผมล่ะ” จ่านป๋ายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ไปเลย ไปเจียระไนหินของคุณต่อเลย!” ซีเหมินจินเหลียนตอบอย่างสงเดช ในใจแอบคิดว่า พูดถึงเรื่องเจียระไนหินอยู่ดีๆ ทำไมจู่ๆ หัวข้อสนทนาถึงถูกเปลี่ยนมาไกลขนาดนี้กัน เป็นเพราะงูนี่ลากพามาแท้ๆ
จ่านป๋ายเจียระไนต่อไปอย่างไม่บ่นสักคำ เหลือแค่ด้านเดียวแล้ว ถึงจะเจียระไนออกแค่ทีละนิดแต่เครื่องเจียระไนนี่ถือว่าอึดใช้ได้
กลางดึกเวลาห้าทุ่มครึ่ง หินทั้งหมดก็ถูกเจียระไนหินออกจนหมด จ่านป๋ายตักน้ำมาล้างคราบผงหินที่เกาะไว้อยู่บนผิวหยก…
“จินเหลียน…จินเหลียน…นี่คืออะไรกันแน่?” จ่านป๋ายมองไปที่หินหยกก้อนแปลกประหลาดนั่นพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไป…
ซีเหมินจินเหลียนที่ยืนอยู่ข้างเขาก็เข้าใจอย่างชัดเจน แต่สีหน้าก็ค่อนข้างย่ำแย่เช่นกัน หยกชนิดนี้โปรงใส่มาก ใสจนเหมือนคริสตัล แต่ก็ใสกว่าหยกชนิดแก้วมาก เพราะฉะนั้นของที่อยู่ข้างในถึงเห็นได้ชัดขึ้นไปอีก
นี่เป็นงูอย่างที่คิดไว้จริงๆ หางกับลำตัวคดงอ ส่วนเกล็ดเป็นสีดำมีลายสีทองสามเส้น ถือว่าธรรมดามาก แม้ว่าจ่านป๋ายไม่กล้าพูดว่าบนโลกใบนี้ยังคงมีงูชนิดนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ถือว่าหาพบเจอได้ยาก
หัวของงูแผ่แม่เบี้ยขึ้นด้วยท่ากำลังจู่โจม นี่เป็นท่าที่พบเห็นได้ทั่วไป ส่วนหัวของมันเป็นลักษณะสามเหลี่ยม
แต่สิ่งที่พิเศษอยู่ตรงที่บนลำตัวเจ็ดนิ้วของงูตัวนี้ กลับไม่ใช่เกล็ดสีดำอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นหยกสีขาวชั้นดีที่วาววับ แน่นอนถ้าหากเป็นแค่นี้อาจจะไม่ทำให้ตกใจถึงขนาดนี้
จ่านป๋ายสังเกตไปอย่างละเอียดที่ส่วนหัวของงู บทสรุปก็คือเหมือนกับผิวของมนุษย์…
ใช่แล้ว เหมือนกับผิวของมนุษย์จริงๆ บางทีอาจจะลื่นนุ่มมากกว่าผิวของมนุษย์เสียด้วยซ้ำ งูมีดวงตาที่กลมโต จ่านป๋ายมีความรู้สึกรับรู้ได้ว่ามันกำลังมองเขาอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหม่อลอยก็คือ ลำตัวของงูตัวนี้มีเส้นลายสีทองสามเส้นลากยาวไปถึงส่วนหัว บนหัวของมันมีหงอนสีทองงอกขึ้นมา
แต่ดูจากส่วนหงอนที่งอกออกมา เขายิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกเหมือนดอกบัว ดังนั้นเขาเลยหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องแสงมองไปอย่างละเอียดอีกครั้ง
ไม่นานจ่านป๋ายก็สีหน้าตื่นตกใจกลัวก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว พร้อมส่งเสียงตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“มันขยับตัวอยู่…” จ่านป๋ายบอกใบ้ไปทางที่หยกนั่นแล้วกระซิบเสียงเบา แม้ว่าความจริงจะพบเจอเรื่องแปลกประหลาดมาก็เยอะ บางทีอาจจะไม่ได้ทำให้เขาตกใจ แต่นี่เป็นเรื่องที่ทั้งชีวิตคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น ก็ไม่เคยตกใจกลัวเท่าวันนี้มาก่อน เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของงูเหมือนกับดวงตาของคน กำลังมองมาที่เขา
เขาจดจ้องงูตัวนั้นจนงูตัวนั้นเบิกตาขึ้นกว้างมองเขากลับอย่างจดจ่อ
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา วันนั้นที่เธอใช้ความสามารถในการมองทะลุเข้าไปก็ได้เห็นว่างูตัวนั้นกำลังขยับตัวอยู่
เธอไม่สามารถกระโตกกระตากทำอะไรมากได้ เพราะฉะนั้นเธอจึงพูดว่า “บางทีอาจจะเป็นเส้นแสงกระทบเข้าหากันเฉยๆ เลยทำให้เกิดภาพลวงตาขึ้นมา”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 54 - 1 บังเอิญ
จ่านป๋ายมองอย่างไม่คลาดสายตา พลันหันไปมองซีเหมินจินเหลียน จากนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าไปเผลอจับมือข้างขวาของซีเหมินจินเหลียนเข้าไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จากนั้นมองดอกบัวสีทองดอกนั้นอย่างละเอียด “จินเหลียน ถ้าผมพูดไปแล้วคุณอย่าโกรธผมนะ หัวงูนี่ทำไมถึงทำเป็นดอกบัวสีทองกัน? คงไม่ใช่ว่ามันชอบคุณหรอกนะ?”
ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าเขาตั้งใจ แต่ก็ยังเดินกระทืบเท้าออกไปอย่างหงุดหงิด นี่เขาพูดอะไรของเขากัน?
“ฉันชื่อว่าจินเหลียนที่แปลว่าดอกบัวสีทอง เพราะอย่างนั้นเลยสักรูปดอกบัวสีทองบนตัว นี่คุณก็พูดอะไรของคุณกัน?” ซีเหมินจินเหลียนพูดอธิบาย แต่รู้แก่ใจว่านั่นไม่ใช่รอยสัก
“จินเหลียน คุณดูนี่สิ” จ่านป๋ายปลีกตัวออกมา ก่อนจะเริ่มเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาขึ้นมาแล้วมองไปที่งูที่อยู่ในหยก “ผิวของส่วนหัวนี่…”
“ผิวส่วนหัวเป็นไงเหรอ คุณไม่เคยเห็นงูขาวหรือยังไงกัน” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ได้แต่มองปฏิกิริยาของเขา พลางถามไปตรงๆ ว่า “คุณไม่เคยดูตำนานนางพญางูขาวเหรอ”
“งูตัวนั้นฟื้นพละกำลังมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ” จ่านป๋ายไม่มีอะไรที่จะพูด เขาไม่เคยดูเรื่องตำนานนางพญางูขาว แต่ยังดีว่าเขาเคยไปตำหนักเหลยเฟิงที่หางโจวมาก่อน เพราะอย่างนั้นถึงรู้จักเรื่องนี้เข้า โอเค ยอมรับก็ได้ว่าเขาคิดว่างูขาวตัวนั้นเป็นปีศาจ…
“ใครจะสามารถกำหนดได้ว่างูตัวนี้กำลังฝึกวิชาเซียนอยู่” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางสังเกตไปบนงูที่อยู่ในหยก
ผิวของงูตัวนี้ดีจริงๆ แน่นอนซีเหมินจินเหลียนไม่ใช่อิจฉาตาร้อนเรื่องผิวส่วนล่างที่เป็นเกล็ดมันวาวของงู แต่เป็นส่วนหัวที่นุ่มลื่นราวกับผิวขาวนวลของคน ช่างเหมือนหยกสีขาวชั้นดีเหลือเกิน ละเอียดนุ่มลื่น เมื่อผ่านหยกใสที่คั่นกลางไว้ อย่างน้อยเธอก็รู้สึกถึงผิวสัมผัสที่นุ่มนิ่ม เธอยอมรับว่าผิวของงูนี้ดีกว่าของเธออีก ถึงจะเปรียบเทียบอย่างนี้ก็เถอะ แต่พอคิดได้อย่างนี้ก็รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา
โดยเฉพาะดวงตาของงูตัวนั้น ดูแล้วเหมือนจะไม่มีพิษสงอะไร ตรงกันข้ามรู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างไร้กังวล เธอไม่เคยเจองูที่ไหนที่มีสายตาเช่นนี้มาก่อน
ไม่ใช่ว่าซีเหมินจินเหลียนไม่เคยเห็นงูในเมืองเสียที่ไหน เธอเติบโตอยู่ท่ามกลางภูเขาห้อมล้อม แน่นอนว่าต้องเคยเจองูหลากหลายชนิดมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นว่ามีงูแบบนี้อยู่บนโลก แม้กระทั่งเธอเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ไม่นานซีเหมินจินเหลียนก็คว้าไฟฉายที่จ่านป๋ายถือไว้ในมือมา เธอดูอย่างละเอียดและพบว่าดอกบัวสีทองในส่วนของหัวงูน่าจะเป็นหงอน?
ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดอยู่ในใจ เคยได้ยินว่าส่วนหัวของงูพวกนี้เหมือนกับหงอนของไก่ตัวผู้…
แต่ซีเหมินจินเหลียนมองไปทางส่วนหัวของงูแล้ง ดูแล้วเหมือนจะเป็นหงอนของพระราชา หยกชิ้นนี้เป็นหินราชางู!
ซีเหมินจินเหลียนลอบตั้งชื่อให้กับหยกชิ้นนี้ในใจ แต่ไม่รู้ทำไมหงอนของงูกลับกลายเป็นดอกบัวแบบนั้น ราวกับได้เห็นผีซึ่งๆ หน้า
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้หญิงที่ชื่อจินเหลียนก็มีล้นตลาดทั่วไป แน่นอนคนที่มีชื่อเสียงหน่อยก็ฟ่านจินเหลียน รูปร่างลักษณะของงูที่มีหงอนอยู่ด้านบนพบได้น้อยมาก ถึงจะเป็นหงอนรูปมังกรออกมาเธอก็ยังรับได้ แต่ทำไมถึงต้องเป็นดอกบัวสีทองด้วยเล่า นี่เธอก็ไปมีเรื่องกับใครหรืออย่างไรกัน
“จินเหลียน คุณคิดจะจัดการกับหยกก้อนนี้ยังไง” จ่านป๋ายถาม พูดตามตรงหยกชิ้นนี้ดูมีพลังเหลือร้ายกว่าที่คิด แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจก็คือ คนอย่างซีเหมินจินเหลียน ทำไมเธอถึงได้รู้อย่างละเอียดว่าหินหยกข้างในมีปัญหาอะไร ตอนนั้นที่อยู่ในโรงงานแปรรูปหยก เธอตกใจกลัวอะไรกันแน่?
ถ้าหากนำหยกก้อนนี้ไปวางให้คนอื่นมาชม เกรงว่าคนส่วนมากคงจะไม่เชื่อว่าเป็นหยกจริง
แต่หยกก้อนนี้เป็นหยกที่เขากับซีเหมินจินเหลียนซื้อกลับมาด้วยกัน เขาเป็นคนเจียระไนมันออกมาด้วยมือของตัวเอง มันทำให้เขาแทบที่จะไม่เชื่อรูปลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นข้างในตัวหยกที่ตอนนี้วางอยู่ตรงหน้าของเขา…
“เสี่ยวป๋าย” ซีเหมินจินเหลียนล้อมรอบหินหยกก้อนนั้นไว้แล้วถามขึ้นมา “คุณเห็นอะไรมาตั้งเยอะแยะ แล้วเคยเห็นงูที่มีหงอนแบนี้หรือเปล่า”
“มันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เพียงแต่ว่าน้อยมาก แถมได้ยินว่าเป็นสิ่งของชั้นสูงราคาดีเชียว” จ่านป๋ายพูด
“ถ้าอย่างนั้นคุณว่าหินหยกก้อนนี้ก่อตัวขึ้นได้อย่างไร” ซีเหมินจินเหลียนถามพลางคิดไปด้วยเช่นกัน “ในอดีตที่ผ่านมา เปลือกโลกอาจมีการขยับเปลี่ยนแปลง งูตัวนี้อาจจะโดนถูกฝังไว้อยู่ข้างใน จากนั้นก็รวมเป็นส่วนหนึ่งของหยก?” พูดแบบนี้ก็เหมือนจะอธิบายได้ ในอำพันสามารถมีร่องรอยของสัตว์ได้ แล้วทำไมข้างในหยกจะมีงูอยู่ไม่ได้?
จ่านป๋ายคิดแล้วคิดอีก ก็มีแต่เหตุผลนี้เท่านั้นที่สามารถอธิบายได้อย่างถูกหลักที่สุด ไม่อย่างนั้นหรือจะบอกว่าเป็นหยกที่เกิดจากฝีมือคน? แต่ว่าเขาก็รู้สึกเคลือบแคลงใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถึงข้างในหยกจะเป็นซากฟอสซิลไดโนเสาร์ เขาก็ไม่น่าจะรู้สึกกลัว แต่นี่มันเหมือนงูที่ยังมีชีวิตอยู่ มันมีความรู้สึกแปลกๆ
“แล้วงูตัวนี้เป็นของชั้นดียังไงกัน” ซีเหมินจินเหลียนหันกลับมาประเด็นเดิมอีกครั้ง คำถามนี้เธอคิดวนเวียนอยู่ในใจ แม้กระทั่งตอนที่กลับมาจากเจียหยาง เธอก็ยังแอบไปหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์หรือทางอินเทอร์เน็ต เธอก็หาข้อมูลเกี่ยวกับงูตัวนี้ไม่พบ
งูที่ลำตัวมีผิวลักษณะเหมือนผิวของคน อีกทั้งยังมีหงอนงูงอกออกมาจากบนหัว ถ้าหากเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ นี่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้คนบ้าคลั่งได้
“บางทีคนโบราณน่าจะลักษณะแบบนี้?” จ่านป๋ายยิ้มฝืน “คุณน่าจะรู้ว่ามนุษย์ตอนนี้ สามารถใช้ซากฟอสซิลโบราณมาศึกษา แต่นี่เหลือแต่กระดูก ถึงจะมีสภาพดั้งเดิม แต่ถ้าเบื้องบนรู้ว่ามีเลือดมีเนื้อแล้วเป็นยังไง คุณลองดูหนังที่เกี่ยวกับไดโนเสาร์สิ ไหนจะรูปภาพ แต่คุณอาจจะคิดไม่ถึงว่าบางทีไดโนเสาร์อาจจะไม่ใช่สีเทาอย่างที่เห็น แต่เป็นสีแดงสดก็ได้”
ซีเหมินจินเหลียนกล้ำกลืนฝืนทน ไดโนเสาร์ที่มีสีแดงสด นี่ตรรกะอะไรกันแน่ เชื่อเขาเลย
แต่งูที่มีผิวเหมือนคน นี่ก็ตรรกะอะไรกัน? แปลกไม่ต่างกันเลย…นอกจากนี้ถ้าหากงูตัวนี้ตายอย่างปกติแล้วเป็นซากฟอสซิล ถ้าให้นักโบราณคดีมาศึกษาข้อมูล ก็เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่ธรรมดาไป
พูดตามความจริง หางของงูที่ซ่อนไว้อยู่ที่ลำตัวของมันมองได้ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ นอกจากนี้ยังดูแล้วไม่ค่อยจะแตกต่างจากงูปกติมากนัก นอกจากมีหงอนอยู่บนหัว และลำตัวมีผิวที่ลื่นราวกับผิวของคน
“งูในสมัยก่อนก็คิดไม่ถึงว่าจะมีดวงตาที่สวยขนาดนี้” จ่านป๋ายจดจ้องมองไปที่ดวงตาของงูแล้วชื่นชมไม่หยุด ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าเขาตาฝาด แต่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าสายตาของมันกำลังเบิกกว้างขึ้น
“นะ…นี่…ดูแล้วเหมือนกำลังมีชีวิตอยู่!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจอย่างอ่อนแรง มีความรู้สึกขึ้นมาแวบหนึ่งที่อยากจะให้จ่านป๋ายเจียระไนหยกให้เสร็จแล้วดูว่าข้างในเป็นอะไรกันแน่ ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า…
“ใช่แล้ว สวยจนไร้ที่ติ!” จ่านป๋ายพูดชมไม่หยุด
“เสี่ยวป๋าย คุณย้ายหยกก้อนนี้ได้ไหม” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“แน่นอนครับ” จ่านป๋ายพยักหน้า หยกก้อนนี้ไม่ได้ใหญ่ เขาต้องย้ายมันได้อยู่แล้ว
ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยนำมันไปใส่ในตู้เซฟนิรภัยที”
จ่านป๋ายไม่ได้พูดอะไรอีก ห้องใต้ดินมีหยกตั้งมากมาย แต่ไม่เคยเห็นเธอจะใส่ใจขนาดนี้เลย แต่หยกก้อนนี้ไม่เหมือนกับก้อนอื่น จำเป็นที่จะต้องใส่ตู้นิรภัยล็อคไว้อย่างแน่นหนา
เขาเร่งรีบนำหยกย้ายออกไปวางไว้ที่ตู้เซฟนิรภัย ในระหว่างที่จ่านป๋ายเตรียมตัวจะปิดประตู เขาก็เห็นภาพลวงตาขึ้นอีกครั้ง…
เขาส่ายหัวแล้วรีบปิดประตูตู้เซฟเอาไว้ พร้อมถอนหายใจออกมา เป็นหยกที่แปลกประหลาดมาก! เขาทำได้แค่คิดอย่างนั้น
ซีเหมินจินเหลียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินออกมาจากห้องใต้ดิน พลางกดโทรออกไปหาปลายสาย ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนเข้าแล้ว ถ้าโทรไปรบกวนผู้อาวุโสตอนนี้น่าจะไม่ค่อยดีนัก
แต่เมื่อคิดถึงท่าทีของผู้อาวุโสหูที่แปลกๆ ซีเหมินจินเหลียนจึงยอมเป็นคนไร้มารยาทโทรไปรบกวนเขา
ไม่ได้ปล่อยให้ซีเหมินจินเหลียนถือสายรอนาน ปลายสายก็รับ ผู้อาวุโสหูถ่ายทอดเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็น “สวัสดีครับ?”
“ฉันเองค่ะ สวัสดีค่ะผู้อาวุโสหู ขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ ที่โทรมารบกวนเวลาดึกดื่นแบบนี้” ซีเหมินจินเหลียนพูดด้วยท่าทางอ่อนน้อม
“ครับ ผมเข้าใจ คุณก็คือสาวน้อยซีเหมินจินเหลียนใช่ไหม เบอร์โทรศัพท์ของผมมีไม่กี่คนที่รู้หรอก” ผู้อาวุโสพูดความจริงออกมา
ซีเหมินจินเหลียนกำโทรศัพท์ไว้แน่น รู้สึกเหมือนมีความสะเทือนใจ นี่นับว่าเป็นเกียรติของเธอใช่หรือเปล่า เพราะเขายังได้ฉายาว่าเป็นผู้สืบทอดของราชาแห่งการเดิมพันหิน
“ฉันคิดว่าคนแก่อายุราวๆ คุณจะไม่ใช้โทรศัพท์เสียแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มแย้ม
ผู้อาวุโสหูหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดออกมา “ปกติผมก็ไม่ได้ใช้หรอกครับ นี่ผมก็รอแต่สายของคุณ”
“จริงเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจว่ายังไม่บอกเรื่องนี้กับเขา ผู้อาวุโสท่านนี้แกล้งเธอมาครั้งหนึ่งที่งานประมูลเจียหยาง ถึงแม้ว่าคราวหลังจะขายให้กับเธอ แต่เธอก็ยังจำความรู้สึกที่ใจไม่ดี หายใจไม่คล่องได้
ตอนนี้มีโอกาสให้เอาคืน ใครจะยอมพลาดโอกาสนี้ไปล่ะ?
“จริงสิครับ!” ผู้อาวุโสหูรู้ว่านี่เป็นการลองใจของซีเหมินจินเหลียน จึงได้แต่ถอนหายใจถามว่า “วันๆ ผมเอาแต่มองโทรศัพท์ เผลอๆ มองมากกว่าสมัยผมตอนหนุ่มๆ เสียอีก ชาร์จแบตรอสายตลอด กลัวว่าจะพลาดสายโทรศัพท์จากคุณไป”
ซีเหมินจินเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“เอาล่ะ คุณซีเหมิน ขอร้องละครับ ได้โปรดบอกผมว่าหินหยกก้อนนั้น…คุณได้เจียระไนมันออกมาแล้วใช่ไหม” เสียงปลายสายเห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงมีความกังวล
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 54 - 2 บังเอิญ
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรต่ออีกเลยตอบไปอย่างตรงๆ “ใช่ค่ะ เปิดหินออกมาหมดแล้ว เป็นหยกชนิดแก้วไร้สี ความโปร่งใสขั้นสูงสุด ราวกับคริสตัลธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ฉันคิดว่าโปร่งใสที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา น้ำงามละเอียด คุณภาพดีมาก”
“อย่างนี้เองหรือ…” น้ำเสียงของผู้อาวุโสหูเห็นได้ชัดว่ากำลังสั่นคลอน
ซีเหมินจินเหลียนกุมโทรศัพท์เอาไว้ เงียบเพียงชั่วครู่ถึงพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสหู ฉันรู้ว่าเรื่องนี้แปลกมาก แถมสะเทือนใจมาก…”
“ผมไม่สนว่าจะแปลกขนาดไหน คุณซีเหมิน คุณพูดมาตรงๆ เถอะครับ”
“ข้างในของหยกมีงูอยู่หนึ่งตัว อีกทั้งงูตัวนี้ยังมีรูปร่างประหลาด” ซีเหมินจินเหลียนพูด
ในโทรศัพท์ ไม่ได้ยินเสียงปลายสายอยู่นาน ซีเหมินจินเหลียนรอเกือบหนึ่งนาทีก็ไม่ได้ยินว่าเขาจะพูดอะไร เลยถามไปว่า “ผู้อาวุโสหู คุณยังโอเคอยู่ไหมคะ”
“ผมไม่เป็นไรครับ” ผู้อาวุโสหูถอนหายใจลงลึกพร้อมถาม “ไม่ต้องกังวลไป ผมไม่ได้เป็น โรคความดันโลหิตสูง…”
ซีเหมินจินเหลียนอยากจะร้องไห้ก็ไม่ปาน ผู้อาวุโสท่านนี้จะเป็นโรคความดันหรือไม่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอ เขาไม่ใช่คุณปู่ของเธอเสียหน่อย
“คุณซีเหมิน เอ่อ ผมอยากจะดูสักหน่อยได้ไหม?” ผู้อาวุโสหูถามขึ้นมาอีกครั้ง
“เอ่อ…” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มพลางพูด “ถ้าหากคุณไม่คิดว่าเมืองเซี่ยงไฮ้อยู่ไกลเกินไป เข้ามาดูก็ไม่มีปัญหาค่ะ คุณจะดูยังไงก็ตามสบายเลย”
“ตอนนี้ผมอยู่ที่เซี่ยงไฮ้!” ผู้อาวุโสหูหัวเราะแห้งอีกครั้ง
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าเหมือนเธอจะโดนผู้อาวุโสท่านนี้แกล้งเข้าอีกแล้ว ขิงแก่นี่เผ็ดร้อนกว่าจริงๆ
“โอเค สาวน้อยจินเหลียน ชายแก่อย่างผมไม่ล้อเล่นแล้ว พรุ่งนี้หลังมื้อเที่ยงคุณพอมีเวลาว่างไหมครับ ถ้าคุณว่างผมจะไปหา สบายใจได้ผมไม่ได้มาเพื่อที่จะดูหยกอย่างเดียวหรอก”
“เข้าชมไม่เสียเงินค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างแผ่วเบา “พรุ่งนี้ตอนบ่ายสองโมง ถ้าคุณมีเวลาก็มาดูได้เลยนะคะ”
“ตกลงตามนั้นครับ” ผู้อาวุโสหูพูดเสร็จก็วางสายไป ซีเหมินจินเหลียนก็เดินขึ้นไปด้านบน
“จินเหลียน…” จ่านป๋ายเรียกเธอ “วันพรุ่งนี้ตอนบ่ายผู้อาวุโสหูจะมาหรือครับ”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพลางถามว่า “มีอะไรเหรอ”
“ผมก็แค่รู้สึกว่าผู้อาวุโสท่านนี้ก็เหมือนกับหินหยกนั่นที่มีพลังความชั่วร้ายแฝงอยู่”
“พลังความชั่วร้าย?” ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่จ่านป๋ายแล้วพูดต่อ “ไม่มีใครเคยตั้งนิยามชื่อสี่พยางค์ให้คุณสินะ“
“ผมเป็นคนปกติ” จ่านป๋ายบ่นพึมพำ ส่วนซีเหมินจินเหลียนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
จ่านป๋ายส่ายหน้ารีบวิ่งไปที่ห้องครัว ซีเหมินจินเหลียนกำลังรักษาหุ่น ส่วนมากตอนดึกมักจะไม่กินอะไร แต่ถึงจะกิน ก็กินแค่ผลไม้สักนิดสักหน่อย ส่วนเขาเหนื่อยมาจากการทำงานทั้งวัน ท้องร้องโครกคราก ถ้าไม่หาของกินมาใส่ท้อง คงได้แต่นอนไม่หลับแน่
จำได้ว่ามื้อเย็นยังมีอาหารเหลืออยู่ ถ้านำไปอุ่นในไมโครเวฟก็สามารถกินได้แล้ว กับข้าวอุ่นเสร็จพอดีร้อนๆ จ่านป๋ายยังไม่ทันได้เริ่มกินก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์สายด่วนโทรเข้ามา
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู คิดไม่ถึงว่าเป็นซีเหมินจินเหลียน “เสี่ยวป๋าย คุณมานี่หน่อย!” ไม่นานสายก็ได้ตัดออกไป…
เสียงที่อยู่ปลายสายข้างในเต็มไปด้วยเสียงเยือกเย็น จ่านป๋ายรีบวิ่งขึ้นไปด้านบน เห็นประตูห้องของเธอเปิดอยู่ แสงไฟสว่าง หลอดไฟที่ขาวใส พื้นไม้ที่แวววับมีงูตัวหนึ่งส่ายไปมา ถูกมีดผลไม้ขนาดเล็กปักเข้าไปอย่างจัง
งูมีความยาวเจ็ดนิ้ว ถูกปักด้วยมีดผลไม้อยู่ จ่านป๋ายก็มองออกว่า มีดผลไม้เล่มนั้นเป็นมีดที่ซีเหมินจินเหลียนใช้ปอกผลไม้…
การใช้มีดที่แม่นยำ เปี่ยมไปด้วยพลัง เพียงแค่ลงมีดก็ฆ่าปลิดชีวิตได้อย่างเฉียบคม
มือของซีเหมินจินเหลียนยังมีแอปเปิ้ลที่ยังไม่ได้ปอกอยู่ จ่านป๋ายนิ่งไปชั่วครู่ถึงพูดว่า “จินเหลียน มีดของคุณไม่เลวเลย” พูดพลางอดไม่ได้ที่จะลูบไล้ไปที่ลำคอของตัวเอง ถ้าหากมีดนี้ปักลึกเข้าไป เส้นเลือดในลำคอคงถูกตัดขาด ไม่น่ารอดชีวิตเช่นกัน…
“ฉันเรียกคุณมาถามว่างูตัวนี้มาได้ยังไง ไม่ใช่ให้คุณมาดูมีดนะ!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว คืนนี้มีแต่เรื่องแปลกประหลาด เจียระไนหินออกมาแล้วเห็นงูถือว่าแล้วไป แต่นี้ยังมีงูอยู่ในห้องของเธออีก? เมื่อกลับมาที่ห้อง เธอก็รู้สึกหิวเล็กน้อยเลยจะหยิบมีดปอกผลไม้เตรียมจะปอกแอปเปิ้ล แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาดูกลับเห็นพื้นไม้ที่เดิมทีแวววับขัดมัน กลับมีงูตัวใหญ่ยาวนอนขวางไว้
งู? ในขณะนั้นในใจของซีเหมินจินเหลียนก็สั่นคลอน คงจะไม่ใช่งูที่อยู่ข้างในหยกออกมาก่อกวนหรอกนะ? แต่ว่าเท่าที่เธอเห็น งูตัวนี้ลักษณะธรรมดาเท่านั้น แถมดูจากลักษณะแล้วเหมือนจะเป็นงูเลี้ยง ดูท่าทางเชื่องๆ ไม่มีท่าทางที่จะจู่โจมหรือล่าเหยื่อแต่อย่างใด
เมื่อหลังจากที่แน่ใจแล้วว่างูตัวนี้เป็นงูที่ถูกเลี้ยงไม่มีพิษ ซีเหมินจินเหลียนก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นี่เป็นการจัดฉาก หรือจ่านป๋ายจะเล่นอะไรแผลงๆ อีกแล้ว?
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนเธอคงหัวเราะแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่วันนี้เมื่อเจียระไนหินออกมาเจองูอยู่ในหยกนั่น มันทำให้เธอรู้สึกลังเลใจ อยู่ๆ ห้องก็มีงูมาจากไหนไม่รู้ พูดอะไรเธอก็ไม่เข้าใจ แต่จ่านป๋ายคงจะไม่รู้ว่าเธอไม่ได้กลัวงู ถ้าหากเป็นงูที่มีพิษ เธออาจจะมีความกลัวอยู่บ้าง แต่นี่เป็นงูเลี้ยงไร้พิษ เธอย่อมไม่เกรงกลัวอยู่แล้ว
จากเล็กจนโตเธอก็อาศัยอยู่ในชนบท สัตว์ประเภทงูเช่นนี้ เธอก็เห็นจนคุ้นตา เพียงแต่เธอยังคงไม่เข้าใจมาตลอดว่าทำไมเด็กผู้หญิง เมื่อเห็นหนูหรือแมลงสาบต้องร้องเรียกตะโกนออกมา มันมีอะไรที่น่ากลัวกัน เพราะฉะนั้นเธอเลยใช้มีดรีบไปปักลงที่ตัวงูที่อยู่บนพื้น
จากนั้นก็โทรศัพท์ไปหาจ่านป๋ายให้เอางูตัวนี้ออกไปจัดการ
จ่านป๋ายเดินเข้าไปดูอย่างละเอียด สิ่งแรกที่คิดได้คืองูตัวนี้ไม่มีพิษ ขอบคุณฟ้าดิน ไม่เช่นนั้นถ้ามันมาทำร้ายซีเหมินจินเหลียนแล้วจะเป็นอย่างไรกัน
“จินเหลียน เหมือนว่างูตัวนี้จะไม่มีพิษ” จ่านป๋ายยิ้ม
“ฉันรู้ว่านี่เป็นงูที่ถูกคนเลี้ยงมา แต่ปัญหาก็คือทำไมมันมาอยู่ที่ห้องฉันได้” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างไม่เข้าใจแล้วจ้องไปที่จ่านป๋าย “ถึงคุณอยากจะเล่นอะไรแผลงๆ แต่ก็ไม่น่าจะเอามันมาไว้ที่ห้องของฉัน”
จ่านป๋ายยังคงไม่เข้าใจ คิดจะอ้าปากพูดขึ้น เขาถูกใส่ร้าย ทำไมเธอถึงคิดว่าเขาจะเอางูไปไว้ในห้องของเธอ? วันนี้ทั้งวันหลังจากเจียระไนหินเสร็จ เขาถึงรู้ว่าซีเหมินจินเหลียนไม่ได้กลัวงูเลย
เมื่อกี้ตอนที่เห็นงู เขาก็รู้สึกกังวลแทน ถึงแม้ว่างูตัวนี้ไม่ได้ทำร้ายเธอ แต่ก็น่าจะทำให้เธอตกใจอยู่มาก
“จินเหลียน ผมไม่ได้เอามันมาแกล้งคุณนะครับ” จ่านป๋ายยิ้มเฝื่อน “คุณจะใส่ร้ายผมแบบนี้ไม่ได้นะ แต่ว่าการใช้มีดของคุณเยี่ยมยอดเหลือเกิน ฤทธิ์มีดสั้นก็สู้คุณไม่ได้!” เขาไม่ได้พูดเกินจริงเลย มีดเล่มนี้ปักเข้าไปที่งูอย่างจัง มันยากมาก แต่จากการสำรวจของเขา เขาก็พบว่ามีดนี้ทิ่มลงไปที่ช่องว่างระหว่างพื้นไม้ ปักไปที่งูอยู่บนพื้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมยังไม่ทำร้ายพื้นให้เสียหายแม้แต่นิดเดียว
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา “ฉันหยิบมีดผลไม้แล้วเดินแบบนี้ จากนั้นก็พางูไปในที่ที่มีช่องว่างระหว่างพื้นไม้เพื่อที่จะทำให้มันคงที่ มีดจะได้ลงไปได้อย่างลึกขึ้น! ฉันกับหลี่สวินฮวนไม่มีความเกี่ยวข้องกันสักหน่อย…”
จ่านป๋ายสับสน แบบนี้ก็ได้เหรอ?
“ตอนเด็กฉันเคยฆ่าปลาไหลมาก่อน คุณรู้ไหมว่ามันคืออะไร” ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่จ่านป๋ายที่ท่าทางอ้ำอึ้งอยู่ ก็รู้สึกตลกขึ้นมา เลยอธิบายไปว่า “นี่ก็จัดอยู่ในประเภทของเล่นคล้ายงู โปรตีนสูง ความชุ่มชื่นในตัวมีเยอะมาก การฆ่าสัตว์ลำตัวยาวเช่นนี้ก็ง่ายดายมาก เพียงแค่ทำให้มันนิ่งไว้แล้วใช้มีดปักไปที่กลางท้อง เอาเครื่องในออกมา เพราะฉะนั้นของแบบนี้ฉันถนัดอยู่แล้ว…”
ซีเหมินจินเหลียนกล้ารับรองว่าจ่านป๋ายคงไม่เคยเห็นใครฆ่าปลาไหลมาก่อน วันนี้เธอได้เข้าใจว่า เวลาที่จ่านป๋ายซื้อผักล้วนมาจากห้างสรรพสินค้า แต่ไม่ใช่ในตลาดสด ส่วนเธอเกิดในพื้นเพชนบท เคยเห็นอะไรมาตั้งเยอะ ฆ่าหมูฆ่าแพะ ก็เห็นมาบ่อย แล้วเธอจะกลัวอะไร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น