ความลับแห่งจินเหลียน ส่วน 4 ตอน 30-43
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 30 ฐานรองนั่งดอกบัวหยกสีเลือด
ซีเหมินจินเหลียนส่งลู่เฟยอวี๋เสร็จก็ส่ายหัวถอนหายใจออกมา ผู้หญิงทั้งสองคนนี้ไม่ใช่คนที่จะมาก่อเรื่องเคาะประตูอยู่หน้าบ้าน แต่กลับถูกเธอจัดการออกไปอย่างง่ายดาย? หรือเธอจะมีความสามารถพิเศษอะไร
ดูยังไงก็เหมือนฉากตลกในละคร แล้วเธอก็เป็นตัวละครตลกในนั้น
หลังจากส่ายหัวไปมา ซีเหมินจินเหลียนก็หันหลังเดินกลับไป เมื่อเห็นจ่านป๋ายกำลังเตรียมทำความสะอาดห้อง ซีเหมินจินเหลียนก็พูดว่า “เสี่ยวป๋าย คุณหยุดเลย ไม่ต้องขยับ!”
“อ้อ…” จ่านป๋ายยิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ
ซีเหมินจินเหลียนหยิบที่โกยขยะมาจากเขา ก่อนที่เธอจะหัวเราะเมื่อเห็นจ่านป๋ายเตรียมตัวจะทำงานบ้าน แต่ตอนนี้เมื่อเธอเห็นเขาท่าทางงุ่มง่าม นั่นก็เสมือนเป็นบาปกรรมของเธอ ถึงจะไม่รู้ว่าประวัติของจ่านป๋ายเป็นอย่างไร แต่คนคนนี้น่าจะไม่เคยทำงานบ้านมาก่อน
บางคนเกิดมาก็เพื่อให้คนมาดูแล จ่านป๋ายเหมือนจะเป็นอย่างนั้น
เมื่อโกยเศษแก้วที่แตกละเอียดไว้ในที่โกยขยะเป็นที่เรียบร้อย ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายนั่งมึนงงอยู่ที่โซฟาเลยถามไปว่า “คุณเป็นอะไร”
“ไม่มีอะไรครับ” จ่านป๋ายยิ้ม
“จ่านป๋าย ไม่ใช่ว่าคุณจัดการผู้หญิงทั้งสองคนไม่ได้ เลยโทรมาหาฉันหรอกนะ?” ซีเหมินจินเหลียนรีดถามความจริงแล้วหัวเราะ
“ผม…” จ่านป๋ายไม่รู้จะพูดอะไร เขายอมรับว่าเขาตั้งใจ เมื่อเห็นว่าเธอกับฉินเฮ่าไปเดินเล่นด้วยกัน เขาก็ไม่สบายใจ ไม่มีข้ออ้างก็แล้วไป แต่ในเมื่อมีข้ออ้าง ถ้าไม่ให้เธอกลับมาก็ต้องโทษตัวเองแน่ๆ “ผมเป็นแฟนที่อยู่บ้านเดียวกันกับคุณ ผมเห็นคุณเดินไปเดินมากับผู้ชายคนอื่น ผมจะยังมีความสุขได้เหรอครับ”
“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น อยากจะยิงระเบิดจู่โจมไปยังเขา
“จินเหลียน ถ้าคุณอยากเล่นบท SM ผมก็ยอมเล่นเป็นเพื่อนได้นะ!” จ่านป๋ายเห็นนัยตาซีเหมินจินเหลียนคล้ายกับระเบิดจะลง เลยตั้งใจพูดประโยคนั้นออกมา
“หือ? SM?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ มันคืออะไร?
“คุณอยากได้แส้หรือว่าเทียนดีครับ?” จ่านป๋ายถาม ขณะนั้นก็ถอยหลังอีกก้าวเพื่อความปลอดภัย
ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจแล้วว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร เช่นนั้นจึงพยักหน้า “หรือว่าคุณก็มีงานอดิเรกเป็นสิ่งนี้? งั้นก็ดี คุณไปห้องใต้ดินเจียระไนหินให้ฉัน รอฉันทำความสะอาดห้องเสร็จ ฉันจะหาเชือกสักเส้นมามัดคุณไว้ แล้วลิ้มรสชาติของการหวดแส้”
“สำหรับการเจียระไนหิน ผมรู้สึกให้ความสนใจมาก!” จ่านป๋ายพูด “คุณอยากจะเจียระไนชิ้นไหน?”
“เอาชิ้นที่ใหญ่ที่สุดที่ซื้อจากบ้านผู้อาวุโสหูมาเจียระไนออกให้หมด หยกในงานประมูลที่ซื้อมาสองชิ้นอย่าเพิ่งแตะต้องนะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“ข้างในมีหยกสีเขียวมรกตเหรอ? อย่าทำให้ผมต้องเจียระไนแบบว่างเปล่านะ”
“ไม่มี!” ซีเหมินจินเหลียนไม่ทันได้คิดก็พูดออกมา หินหยกใหญ่ชิ้นนั้นมีแต่หยกสีเลือด ไม่มีสีเขียวมรกตอย่างที่บอกสักนิด
“ถ้าไม่มีแล้วจะให้ผมเจียระไนออกมาทำไมกัน” จ่านป๋ายบ่นพึมพำ “คุณกำลังแกล้งผม!” ปากก็พูดออกไป แต่ร่างกายก็เดินลงไปที่ห้องใต้ดิน
ซีเหมินจินเหลียนทำความสะอาดห้องเสร็จแล้ว เธอขึ้นไปอาบน้ำด้านบน แต่ยังอาบน้ำไม่เสร็จก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังเข้า เธอหยิบขึ้นไปดูเห็นว่าเป็นจ่านป๋ายโทรเข้ามา
“ฉันอยู่ที่บ้าน อย่าโทรมาไร้สาระแบบนี้ โทรฟรีหรือยังไง?” ซีเหมินจินเหลียนบ่นรัว
“ผมรู้ ผมเรียกคุณ คุณก็ไม่ตอบ เลยได้แต่โทรมา จินเหลียน คุณ…กำลังอาบน้ำอยู่เหรอ?” เสียงต้นสายได้ยินเสียงน้ำไหลเลยถาม
ใบหน้าซีเหมินจินเหลียนเหมือนกับถูกอบไอน้ำร้อนผ่าว “มีเรื่องอะไรว่ามา?”
“จินเหลียน หินหยกชิ้นนั้น” จ่านป๋ายมองไปทางหินหยกที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไร
“เห็นสีเขียวมรกตแล้วเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนตั้งใจถามออกไป เธอแน่ใจว่าหยกก้อนนั้นไม่ใช่สีเขียวมรกตแน่ มีแต่สีแดงสดของหยกสีเลือด
“ไม่ใช่ครับ…” จ่านป๋ายตอบ
“ถ้างั้นคุณไม่มีเรื่องอะไร แล้วจะโทรหาฉันมาทำไม”
“ไม่ใช่สีเขียว แต่เป็นสีแดง สีแดงสด จินเหลียนคุณต้องชอบแน่ๆ”
ซีเหมินจินเหลียนตกอกดีใจ “จริงเหรอ? คุณรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันลงไปหา!” พูดไปเธอก็เร่งรีบตัดสาย เมื่อรู้ว่าเป็นหยกสีแดงก็เป็นข่าวที่ดี แต่พอตัดออกมาจริงๆ มันก็เป็นอีกเรื่อง
เปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อหลวมสบาย ชุดนอนจากผ้าฝ้ายธรรมชาติทั้งตัว ซีเหมินจินเหลียนใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่เช็ดไปที่ผมที่เปียกโชกให้แห้งลง จากนั้นรีบลงไปยังห้องใต้ดิน
“จินเหลียน คุณรีบมาดูสิ สีช่างสดใสเหลือเกิน!” ห้องใต้ดินมีแสงสว่างเพียงพอ แต่จ่านป๋ายเกรงว่ายังเห็นไม่ชัดเลยหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องประกอบฉากเพิ่ม
ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เพราะว่าเธอบอกให้เขาเจียระไนหิน จ่านป๋ายก็เลยเจียระไนหินตามที่เธอสั่ง ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ผ่าแต่อย่างใด ผิวของหินถูกเปิดออกเพียงแค่เล็กน้อย แต่สีแดงสดนั่นช่างสว่างไสวยิ่งนัก ราวกับเลือดสดที่ก็ไม่ปาน ต้องค่อยๆ เจียระไนออกมาถึงจะเห็น
สีแดงสดนั่นถูกแสงของไฟฉายส่องเข้าไปยิ่งทำให้สีสันสดใสมากขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนยื่นมือไปสัมผัส หยกมีคุณสมบัติที่ละเอียดอ่อนเมื่อสัมผัสไปยังนิ้วมือก็ราวกับลงไปที่ก้นบึ้งขอหัวใจ ถึงจะรู้เป็นอย่างดีว่าต้องเป็นหยกสีแดงแน่นอน แต่เมื่อเห็นกับตาตัวเอง เธอก็ควบคุมจิตใจลำบากอยู่เอาการ
“สวยมากเลย!” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยชม
จ่านป๋ายพับแขนเสื้อขึ้นพยักหน้าแล้วพูดว่า “จินเหลียน คุณถอยไปก่อนครับ เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดี๋ยวจะเลอะเอา เดี๋ยวผมจะเจียระไนออกให้หมดเลย” หยกแบบนี้ เขาไม่กล้ารับประกันความอันตราย จึงค่อยๆ ใช้เครื่องเจียระไนผิวให้เปิดออกมาทีละนิดยังจะดีกว่า
“ค่อยไปอาบอีกรอบก็ได้ มาฉันเอง!”
“อย่า…” จ่านป๋ายปฏิเสธ การเจียระไนต้องใช้กำลัง เรื่องแบบนี้ให้เขาจัดการเถอะ
เพราะว่าการดึงดันของจ่านป๋าย ซีเหมินจินเหลียนจึงหมดหนทาง ทำได้แค่ดู จ่านป๋ายเจียระไนไปพร้อมกับถามเธอว่า “จินเหลียน สีแดงนี่คุณตั้งใจจะทำอะไรครับ”
“แน่นอนว่าต้องทำเครื่องประดับแน่ แต่หยกนี้ชิ้นใหญ่ ถ้าหากเจียระไนผิวออกมาทำเครื่องประดับทั้งหมด คงจะเสียดายของแย่…” ซีเหมินจินเหลียนลูบคางแล้วหันไปมองหยกสีแดงก้อนนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์
“ผมก็คิดแบบนั้น” จ่านป๋ายพูด “แต่ให้คิดตอนนี้ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอะไร”
ซีเหมินจินเหลียนเพ่งมองไปที่หินหยกสีแดงชิ้นใหญ่นั่น ในใจก็เต้นแรงขึ้น ขมวดคิ้วถามจ่านป๋าย “จ่านป๋าย คุณว่าถ้าเอามันมาแกะสลักเป็นฐานรองนั่งดอกบัว จะดีไหม”
“ฐานรองนั่งดอกบัว?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ คิดอยู่สักพักถึงพูดว่า “เกรงว่านี่จะเป็นฐานรองนั่งดอกบัวที่หรูหราที่สุดในโลก แม้แต่พระพุทธเจ้ายังนั่งไม่ได้เลย”
“ฉันนั่งได้ก็พอแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “คุณลองช่วยฉันดูว่าถ้าเอามาทำฐานรองนั่งจะสวยจริงไหม?”
“ตำนานกล่าวไว้ว่า ในนรกมีไฟแห่งความชั่วร้ายอยู่ในดอกบัวสีแดง สามารถเผาบาปที่ก่อเอาไว้ได้ทั้งหมด ถ้าอย่างนั้นฐานรองนั่งดอกบัวของคุณก็เรียกว่าไฟชั่วร้ายแห่งดอกบัวแดง!” จ่านป๋ายพูด สำหรับตำนานดอกบัวสีแดงในนรกที่เล่าขานกันมานี้ ย่อมเป็นเรื่องปลอมแปลงแต่งเติมขึ้นมา ไม่มีอยู่จริง เพียงแค่ถูกแต่งตั้งให้เป็นตำนานขึ้นเล่าขานต่อๆ กันมา
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 31 แบล็คเมล์
ซีเหมินจินเหลียนคิดดูแล้ว เธอเรียนภาษาจีน สำหรับตำนานไฟชั่วร้ายแห่งดอกบัวแดงเธอก็เคยได้ยินมาก่อน “ดอกบัวแดงในตำนานน่าจะไม่ใหญ่ขนาดนี้? แต่หยกสีเลือดนี้ใหญ่ใช้ได้ พวกเราสามารถเล็มเอาเนื้อหยกจากข้างๆ มาทำเป็นเครื่องประดับกับดอกบัวแดง ในส่วนของตรงกลางเอามาทำฐานรองนั่งดอกบัวหยกสีเลือด ขนาดแค่คนนั่งได้ก็พอแล้ว”
จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา คนนั่งได้ก็พอแล้ว? นี่ยังไม่ใหญ่อีกเหรอ หรือเธอคิดจะทำให้สำหรับพระพุทธรูปนั่งลงจริงๆ? พระพุทธรูปที่อยู่ตามวัดวาอารามที่กราบไว้บูชากัน ขนาดก็ไม่ได้เล็ก ถ้าอยากจะทำเป็นฐานรองนั่งดอกบัวใหญ่ขนาดนั้น คิดว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง
“คุณหัวเราะอะไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ไม่มีอะไร แต่เมื่อครู่นี้ที่คุณบอกว่าคนสามารถนั่งได้ก็พอแล้ว รอให้คุณทำออกมาเสร็จ ผมอยากจะลองนั่งดูให้สบายใจเฉิบเลย”
“คุณอยากจะนั่งยังไงก็ตามสบาย พอพวกเราเล่นเบื่อแล้วค่อยขายก็ไม่สาย” ซีเหมินจินเหลียนพูด “แต่ตอนนี้ฉันกำลังคิดว่าจะทำอะไรที่สามารถได้เงินมากกว่านี้!”
จ่านป๋ายทำได้แค่ยิ้มออกมา สำหรับเรื่องของการแกะสลักหยกเขาไม่มีความรู้เลยสักนิด เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาเจียระไนหินต่อไป ส่วนสายตาของซีเหมินจินเหลียนตกไปอยู่ที่หินหยกที่เคยซื้อมาจากร้านเถ้าแก่โจวก่อนหน้านั้น เนื้อหยกชิ้นนี้ไม่ได้ถูกใช้ไปเยอะ จริงๆ แล้วเธอก็แค่ตัดออกไปทำเพียงแค่จานผลไม้หยกรูปทรงใบบัวเท่านั้น
แน่นอนถ้าหากขายจานผลไม้หยกรูปใบบัวจริงๆ คงประเมินราคาไม่ได้ แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับอยากจะเก็บไว้ใส่ผลไม้เอง ตอนนี้ถ้าหากเธออยากเปลี่ยนเป็นเงินคงจะเอาหินหยกชิ้นนี้ไปขายแลกแทน
สีของเนื้อหยกชิ้นนี้เป็นสีเขียวมรกตสดใส ราวกับต้นไม้พืชหญ้าที่ถูกสรรสร้างขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนคิดไปคิดมาก็รู้สึกใจเต้นแรงอย่างกะทันหัน หรือจะทำเป็นขลุ่ยหยกแล้วแกะสลักตัวอักษรโบราณลงไปเล็กน้อย เมื่อครู่นี้ที่จ่านป๋ายบอกก็ไม่ผิด เครื่องประดับหยกบางครั้งก็เหมือนกับของเล่นโบราณ เพียงแค่เพิ่มเรื่องราวเข้าไป ถึงจะสามารถเพิ่มราคาได้
แต่ว่าขลุ่ยที่ออกมาคงจะไม่เข้ากันถ้าจะสลักตำนานโบราณลงไป? อย่าพูดถึงว่าหากสลักไม่เหมือนเลย ถึงแม้ว่าจะเหมือนก็ยังคงถูกคนหัวเราะเยาะ ไม่ใช่เพียงแต่ไม่ได้เพิ่มราคาให้ตัวสินค้า และยังถือเป็นการลดคุณค่าของมันอีกด้วย
จริงสิ ครั้งก่อนหลินเสวียนหลานก็บอกไม่ใช่เหรอว่าตอนนี้กู้กง[1]สะสมขลุ่ยหยกอยู่หนึ่งชิ้น? ถ้าขลุ่ยของเธอลักษณะเหมือนกับของในกู้กง อย่างนี้ก็สามารถขายออกได้ในราคาที่สูงไม่ใช่เหรอ?
เมื่อคิดได้อย่างนี้ซีเหมินจินเหลียนก็ลุกขึ้นวิ่งออกไปข้างนอก
“จินเหลียน คุณจะไปไหนครับ” จ่านป๋ายถาม “ตอนนี้ก็มืดแล้ว คุณอย่าออกไปจะดีกว่านะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันจะขึ้นไปหาข้อมูลข้างบน เดี๋ยวฉันมา!” ซีเหมินจินเหลียนพูด ฟังจากที่จ่านป๋ายเคยพูด เธอก็รู้ว่าหลินเจิ้งวางแผนจะทำร้ายเธอ คนนิสัยชั่วช้าแบบนี้ไม่ใช่คนดีอะไร มีความคิดที่เห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่กล้าออกไปข้างนอก
เดิมทีคิดว่าข้อมูลในอินเตอร์เน็ตน่าจะมีครบ แต่พอลองหาออกจริงๆ แล้วซีเหมินจินเหลียนก็รู้เลยว่าข้อมูลพวกนี้หาไม่ง่ายเลย หลังจากนั้นเธอหมดหนทาง จึงเข้าไปที่กระทู้หยกเพื่อสอบถาม คิดไม่ถึงเลยว่าคุณลุงหน้ากากผีคนนั้นที่เคยซื้อหยกแอปเปิ้ลของเธอในครั้งก่อนจะเป็นให้ข้อมูลเธอมาอย่างละเอียด
ซีเหมินจินเหลียนกล่าวขอบคุณเขาไม่หยุด คุณลุงหน้ากากผีได้แต่สงสัยว่าทำไมเธอถึงต้องการข้อมูลเหล่านี้ ซีเหมินจินเหลียนจึงบอกไปอย่างคร่าวๆ ว่าเธออยากจะเลียนแบบหยกสักชิ้น ทำให้คุณลุงหน้ากากผีรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก
เมื่อมองเวลาก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว จ่านป๋ายยังคงเจียระไนหินอยู่ในห้องใต้ดิน ซีเหมินจินเหลียนจึงลงไปด้านล่างอีกครั้ง “จ่านป๋าย คุณไม่นอนเหรอคะ”
“ตอนนี้ยังดีกว่าครับ วันนี้ผมอยากจะเจียระไนเปลือกหยกออกมาให้หมดก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยนอนก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ ฉันคิดว่าจะทำขลุ่ยหยกสักชิ้นน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดไป พร้อมเดินไปที่หินหยกก้อนใหญ่เก่าแก่ที่อยู่ข้างหน้า หยิบอุปกรณ์มาจากโต๊ะทำงาน แล้วเริ่มวัดขนาด
“ขลุ่ยหยกเหรอครับ?” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้ว ฉันจะเลียนแบบหยกที่กู้กงชิ้นนี้” ซีเหมินจินเหลียนกางกระดาษที่ถือในมือ ในนั้นมีรายละเอียดของขนาดขลุ่ยหยกและรูปภาพ ข้อมูลพวกนี้มาจากคุณลุงหน้ากากผีส่งให้เธอ
จ่านป๋ายตกตะลึง แต่ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิดไป ประโยคที่ธรรมดาขนาดนั้น แต่ทำไมเขาถึงได้ยินอีกความหมายหนึ่งนะ? ฉับพลันก็ก้มหน้าลงเจียระไนหยกสีเลือดต่อไป ถ้าหากซีเหมินจินเหลียนรู้ถึงความคิดชั่วร้ายในใจของเขานั้น เธอคงจะต้องหยิบแส้มาฟาดเขาแน่…
“เสี่ยวป๋าย หรือว่าเราจะทำสักสองชิ้น แล้วอีกชิ้นหนึ่งเก็บไว้ดูเล่นดีคะ” ซีเหมินจินเหลียนหยิบเครื่องตัดแล้ววัดเทียบขนาดกับหินหยกนี้
“หืม…” จ่านป๋ายลากเสียงยาวจากนั้นพูด “ก็ได้ครับ” ในใจบ่นอุบอิบ ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายที่เขาคิด คำพูดของเธอช่างหลอกใจคนให้คิดไปเองเหลือเกิน
ทั้งสองคนยังคงยุ่งกันไปจนถึงตีสอง จ่านป๋ายเจียระไนหยกสีเลือดออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ข้างในเผยให้เห็นหยกเลือดสีแดงที่ใสบริสุทธิ์ เขาดีใจเป็นอย่างมาก
ส่วนขลุ่ยหยกของซีเหมินจินเหลียนนั้น เป็นเพราะเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยในยุคนี้เลยทำให้การทำงานรวดเร็วยิ่งขึ้น ตอนนี้เริ่มเผยรูปทรงออกมาให้เห็น สิ่งที่เหลือก็แค่งานประณีตแล้ว
เมื่อทำความสะอาดห้องใต้ดิน จ่านป๋ายจึงล็อกประตูกุญแจเป็นอย่างดี ประตูนี้เขาได้เป็นคนออกแบบเอง เขามั่นใจว่าไม่มีใครสามารถมาทุบประตูได้
ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านบน เตรียมตัวเข้านอน คิดไม่ถึงว่าเวลานี้เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นมา เมื่อมองนาฬิกาที่แขวนไว้ที่ฝาผนังด้านบน เธอก็ได้แต่ส่ายหน้า เวลานี้แล้วยังมีใครไม่นอนอีก โทรมารบกวนดึกๆ ดื่นๆ?
เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เธอก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง ไม่คิดว่าจะเป็นหวังหมิงเหยา? ชื่อที่เธอเกือบจะลืมไปแล้ว แต่เขากลับโทรมาหาเธอ?
“ใครครับ จินเหลียน? นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” จ่านป๋ายได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังเลยถามออกไป
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ตอบ เพียงแค่กดปุ่มรับสายไป ปลายสายก็มีเสียงที่พักนี้เธอไม่คุ้นเคยดังขึ้น “จินเหลียน…”
“ฉันเอง” ซีเหมินจินเหลียนตอบอย่างเย็นชา
“ตกใจใช่ไหมที่ฉันโทรหาเธอ?” หวังหมิงเหยาหัวเราะฝืดฝืน
“ว่ามา คุณมีเรื่องอะไร” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ฮะๆ เธอคิดว่าเรื่องอะไรล่ะ” หวังหมิงเหยาหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“ฉันไม่รู้!” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาสั้นๆ ห้วนๆ กลับไป เธอไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาถึงโทรมาหาเธอ อีกอย่างเธอก็ขี้เกียจจะเดา
“แฟนของเธอหลับแล้วเหรอ ตอนนี้เธอก็ใช้ได้นี่น่า จับคนรวยๆ ได้ อีกทั้งยังขับรถเบนซ์อีก”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาตัดบทอย่างเยือกเย็น เลิกกันไปแล้ว เธอจะไปไหนกับใคร ก็ไม่เกี่ยวกับเขาสักหน่อย แปลกคนจริงๆ เธอเลยรีบตัดสายไป หมุนตัวเตรียมขึ้นไปด้านบน
แต่ว่าโทรศัพท์ที่วางไปเมื่อครู่นี้ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกหมดความอดทนที่จะดู ยังเป็นหวังหมิงเหยาที่โทรมาอยู่นั่น จากนั้นเธอจึงตัดสินใจกดปุ่มรับแล้วรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
“เธอกล้าตัดสายฉันเหรอ? เธอไม่กลัวเหรอว่าฉันจะเอาเรื่องของเราสองคนไปพูด แล้วดูสิว่าผู้ชายที่อยู่ข้างเธอคนนั้นจะยังต้องการเธออีกไหม”
“เรื่องระหว่างเราทั้งสองคน มันไม่มีอะไร!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าแล้วเตรียมจะกดวางสายอีกครั้ง
“จริงเหรอ?” หวังหมิงเหยาหัวเราะ “เธอบอกว่าไม่มี แล้วจะไม่มีจริงๆ น่ะเหรอ? อย่าทำตัวเป็นนางฟ้าอยู่เลย ความจริงแล้วเธอก็แค่เห็นแก่เงินถึงได้ทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอไง ถ้าฉันไปบอกแฟนของเธอว่าเธอเคยอยู่กินกับฉันมาหนึ่งปี เธอว่า…เขาจะยังอยากได้ของเหลืออยู่อีกไหม?”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกไป เธอรู้สึกว่าตัวเองก็ตาบอดจริงๆ ที่เคยหลงผิดไปรักผู้ชายแบบนั้น…
“ซีเหมินจินเหลียน เธอก็มีเงินไม่ใช่เหรอ” หวังหมิงเหยาพูด “ให้ฉันสักห้าแสนสิ รับรองฉันจะไม่พูดอะไรออกไปเลย”
“ชีวิตนี้ฉันก็เคยพบคนหน้าไม่อายนะ แต่ฉันไม่เคยพบเคยเจอคนที่หน้าด้านเท่านายมาก่อนเลย อย่าว่าแต่ห้าแสนเลย แม้แต่ห้าเหมา[2]ก็ไม่เอาให้นาย นายอยากจะพูดอะไรก็พูดไปเลย” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างเรียบเฉย แต่ภายในใจของเธอแสนจะเจ็บปวด คิดไม่ถึงเลยว่าคนคนนี้จะกล้าทำเรื่องขายขี้หน้า คิดจะเอาเรื่องออกมาแบล็คเมล์แบบนี้
เธอนี่ก็ตาบอดจริงๆ ที่เคยหลงรักคนแบบนั้นได้ ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาเบาๆ ปิดโทรศัพท์ ตัดคำพูดหยาบคายที่ไม่เข้าหูของหวังหมิงเหยาทิ้งไปจนหมด เธอและเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน เขาอยากจะพูดอะไร ก็ปล่อยให้เขาพูดไป
จะว่าไปแล้วทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่ได้ใช้ความสวยไปยั่วยวนชายที่ไหนให้มาติดกับ แล้วเธอจะกลัวเขาทำไม?
เหมือนจะมีอยู่เรื่องหนึ่งที่หวังหมิงเหยาเข้าใจผิด เธอไม่ได้เกาะผู้ชายรวยให้เลี้ยงชีวิตให้หรูหราไปวันๆ
“จินเหลียน ใครโทรมาครับ สีหน้าของคุณดูไม่ดีเลย” จ่านป๋ายถามเธออย่างห่วงใย ความจริงแล้วคุณภาพเสียงของโทรศัพท์เธอค่อนข้างใช้ได้ เขายืนอยู่ข้างๆ ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
“คุณก็รู้ แล้วจะถามทำไมอีก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ฝืนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “คิดไม่ถึงเลยว่าฉันจะเคยรักผู้ชายแบบนั้น”
“นี่ก็ไม่แปลกหรอกครับ ใครกันจะสามารถมองธาตุแท้ของคนคนหนึ่งออกได้อย่างชัดเจน” จ่านป๋ายพูด “บางคนถึงแม้จะอยู่ด้วยกันตลอดทั้งชีวิต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองจ่านป๋ายแล้วยิ้มขึ้น “นี่ก็ดึกมากแล้ว เสี่ยวป๋าย คุณรีบนอนเถอะ ฉันก็ง่วงแล้วเหมือนกัน”
“อืม ฝันดีนะครับ” จ่านป๋ายพยักหน้า เขาตั้งใจอยากจะปลอบเธออีกสักหน่อย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน…
เมื่อเห็นแผ่นหลังของซีเหมินจินเหลียนขึ้นบันไดหายไปแล้ว จ่านป๋ายก็นั่งลงบนโซฟาหนังแท้ในห้องรับแขกก่อนจะครุ่นคิด เรื่องแบบนี้ควรจะให้ฉินเฮ่าเป็นคนจัดการ เพื่อที่ว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วซีเหมินจินเหลียนรู้เข้า ตัวตนของเขาจะได้ไม่ถูกเปิดเผย…
อย่างไรเสียฉินเฮ่าก็ดูเหมือนเป็นคนว่างงานไม่มีอะไรทำ เพื่อกีดกั้นไม่ให้เขามาหาซีเหมินจินเหลียนบ่อยๆ คิดเพียงเท่านี้จ่านป๋ายก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาฉินเฮ่า
เมื่อปลายสายกดรับ น้ำเสียงของฉินเฮ่าสดใสร่าเริงออกมา “ดึกดื่นแบบนี้ไม่หลับไม่นอน โทรหาฉันมีอะไร”
“คุณก็ยังไม่นอนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” จ่านป๋ายถามออกไป
“มีเรื่องอะไร” ฉินเฮ่าถามขึ้นอย่างสงสัย
“จินเหลียนมีเรื่องลำบากนิดหน่อย ผมไม่กล้าลงมือ คุณจัดการให้หน่อยได้ไหม” จ่านป๋ายพูดออกไปตามตรง “แม้ว่าเธอจะไม่สนใจ แต่ผมก็ไม่อยากฟังเรื่องฉาวที่ไม่ดีเกี่ยวกับเธอ”
“ว่ามาเถอะ เรื่องอะไรกัน!” ฉินเฮ่าพูด
“แฟนเก่าของเธอคิดจะแบล็คเมล์เธอ อีกทั้งยังพูดจาหยาบคายใส่ด้วย” จ่านป๋ายขมวดคิ้วแน่น
ฉินเฮ่าจับโทรศัพท์แล้วพูดออกมาว่า “คุณขยายความหน่อย!” เรื่องนี้จัดการได้ง่ายมาก แต่ก็ไม่สามารถบุ่มบ่ามเกิน ไม่เช่นนั้นถ้าซีเหมินจินเหลียนรู้เข้า คงจะเกิดเรื่องเลวร้าย แม้กระทั่งอาจจะทำให้เธอตกใจ
เธอไม่ได้เป็นคนโง่ เรื่องบางเรื่องเธอก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนทำ แต่เขาไม่อยากทำเรื่องที่ผลลัพธ์ออกมาตรงข้าม แล้วย้อนกลับไปแก้ไม่ได้
[1] กู้กง พระราชวังต้องห้ามของจีน
[2] เหมา หน่วยเงินของจีน โดยที่ 10 เหมาเท่ากับ 1 หยวน
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 32 ไล่ออก
จ่านป๋ายคิดพลางเหม่อมองไปที่ชั้นบน “เรื่องนี้คุณก็แค่คิดว่าเล่นขายของก็ได้ ไม่ต้องทำอะไรรุนแรง แค่ทำให้ตกใจนิดหน่อยก็พอ อย่าให้ถึงกับต้องฆ่าฟันกัน”
ปลายสายฉินเฮ่าอึ้งเงียบไปสักพัก “คุณนี่ก็ดีจริงๆ นะ ยื่นหินมาให้คนอื่นโยน คุณคิดจะเป็นคนดีแล้วให้ผมเป็นคนเลวอย่างนั้นใช่ไหม”
“คุณก็อยากใช้ประโยชน์จากผมไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อเป็นอย่างนั้น คุณก็ยอมเป็นคนเลวให้ผมสักครั้งเถอะ” จ่านป๋ายพูดอย่างเรียบเย็น
“จ่านมู่หรง ที่ผมทำไม่ใช่เพราะคุณ แต่เป็นเพราะจินเหลียนหรอกนะ หึ!” ฉินเฮ่าพูดจบก็ไม่รอให้จ่านป๋ายพูดต่อ จึงตัดสายไป
จ่านป๋ายทำได้เพียงหัวเราะ ทำเพื่อจินเหลียน? พูดเพราะกว่าร้องเพลงอีกนะเนี่ย ถ้าหากซีเหมินจินเหลียนไม่เหลืออะไร ไม่รู้ว่าเขาจะยังสนใจเธออยู่ไหม แต่เขาคิดจนหัวแทบจะระเบิดก็คิดไม่ออกว่าทำไมฉินเฮ่าถึงสนใจซีเหมินจินเหลียนขนาดนี้ แม้กระทั่งยอมทิ้งตัวตนของเขาเพื่อไล่จีบเธอ เรื่องนี้มันดูไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย
สำหรับเรื่องนี้เขาก็เคยหาข้อมูลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่พบอะไร เพราะว่าสงสัย? แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง ซีเหมินจินเหลียนเป็นผู้หญิงสวยโดดเด่นสะดุดตา แต่อายุรุ่นนี้ ไม่ว่าจะสวยจากธรรมชาติหรือว่าศัลยกรรม ตามถนนมากมายก็พบเจอได้บ่อย ฉินเฮ่าเองก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ไม่เคยเจอผู้หญิงสวย
ถ้าหากจะพูดก็คือ เขามีทั้งเงินมีทั้งอำนาจ อยากจะได้ผู้หญิงแบบไหนก็มีหมดไม่ใช่เหรอ
ถ้าพูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตา อวิ๋นเจียคงถูกจัดอันดับไว้แรกๆ แต่เธอกลับป่วยเป็นโรคแบบนั้น ถ้าหากดูจากจุดนี้จ่านป๋ายก็ยอมรับอวิ๋นเจียสวยจริง สาวงามแห่งเมืองเจียงหนาน สามารถดึงดูดใจชายให้อยากพาเธอกลับบ้านไปเก็บสะสมไว้ดูเล่นคนเดียว
เมื่อโยนโทรศัพท์ไว้อีกด้านหนึ่ง จ่านป๋ายก็ลงไปอาบน้ำที่ห้องน้ำด้านล่าง
ที่มุมของบันได ซีเหมินจินเหลียนถือรองเท้าแตะอย่างระมัดระวัง แล้วรีบวิ่งขึ้นไปข้างบน สัมผัสการฟังของจ่านป๋ายค่อนข้างดี จะให้เขาไหวตัวรู้ว่าเธอแอบฟังไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ตายแน่…
เพียงแค่อยู่ในบ้านของตัวเองทำไมมันดูเหมือนเป็นนักโทษก็ไม่รู้ ความรู้สึกนี้มันไม่ค่อยดีเลย ซีเหมินจินเหลียนคิดในใจ เธอรู้ว่าสายโทรศัพท์ที่โทรมาหาเธอเมื่อครู่นี้ จ่านป๋ายก็ได้ยินหมดแล้วทุกถ้อยคำ เธอก็ไม่รู้จะทำยังไง เธอเคยรักกับหวังหมิงเหยา นี่ไม่ใช่ความลับอะไร แล้วไม่จำเป็นต้องปิดบังด้วย เขาอยากจะพูดอะไรก็เป็นสิทธิ์ของเขา คนที่เคยรักกัน เมื่อเลิกกันแล้ว ต่างคนต่างใส่ร้ายป้ายสีกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
ความคิดของคนเรา ช่างน่าแปลกจริงๆ
เธอเพียงแค่อยากจะรู้ว่าพวกจ่านป๋ายคิดจะทำอะไรกันแน่? ตามหลักแล้ว จ่านป๋ายน่าจะไม่ให้อภัยหวังหมิงเหยาที่ทำร้ายเธอแน่ ขอแค่พวกเขาไม่ทำเกินไป ก็แล้วแต่พวกเขาเถอะ
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้แห็นจ่านป๋ายอยู่ในรถของเธอด้วยร่างที่เต็มไปด้วยเลือด เธอก็รู้แล้วว่าเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา คงจะเป็นคนอันตรายที่คุ้นชินกับกลิ่นคาวเลือดคนหนึ่ง
…
หวังหมิงเหยาจับโทรศัพท์แน่น คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะกล้าตัดสายเขาแบบนี้ หึ!
เมื่อก่อนตอนที่เธออยู่กับเขา ก็คงแสร้งทำเป็นนางฟ้านางสวรรค์สินะ? บอกว่าถ้ายังไม่แต่งงาน เธอก็ไม่ยอมนอนกับผู้ชายคนไหน เธออยากจะปกป้องความบริสุทธิ์ไว้ในคืนวันแต่งงาน แต่ว่านี่เลิกกันได้ไม่กี่เดือน รอบกายของเธอก็มีผู้ชายหลากหลายหน้ามาให้เปลี่ยน แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือทำไมเธอถึงอ่อยผู้ชายรวยๆ ติดได้?
เด็กสาวที่มาจากบ้านนอกคนหนึ่ง ตอนนี้กลับขับบีเอ็มดับเบิลยู พักในคฤหาสน์หรู แถมยังใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม…
แต่เขายังต้องเช่าบ้าน เช่ารถทำงานอย่างลำบาก คนรอบข้างที่แนะนำผู้หญิงมาให้ก็มีแต่ผู้หญิงที่จู้จี้จุกจิก
หวังหมิงเหยารู้ว่าชาติกำเนิดของเขาไม่ได้แย่ รูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว ไม่เคยทำเรื่องผิดศีลธรรมอะไร เรียนจบมหาลัยติดอันดับ ธุรกิจที่บ้านตอนนี้รายได้ก็เลยแสน ถึงจะไม่เทียบเท่าคนรวยๆ ลำดับสูงๆ แต่ก็ไม่ได้ล้าหลัง เขามีเงื่อนไขในการหาผู้หญิงที่คุณสมบัติดีในเมืองเซี่ยงไฮ้ เพราะฉะนั้ ภายใต้คำโน้มน้าวของพ่อแม่ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกจนต้องเลิกกับซีเหมินจินเหลียน
แต่นครเซี่ยงไฮ้นี้ ถ้าจะพูดว่าใหญ่ก็ไม่ได้ใหญ่ พูดว่าเล็กก็ไม่ได้เล็ก ซีเหมินจินเหลียนที่เพิ่งเลิกกันได้ไม่กี่เดือน คิดไม่ถึงว่าเธอจะขับรถเบนซ์ นอนพักอยู่ที่คฤหาสน์ เขาไม่รู้ว่าซีเหมินจินเหลียนเล่นเดิมพันหยก สัญชาติญาณของเขาคิดว่าเธอคงเกาะผู้ชายรวยๆ กิน ใช้ร่างกายหาเงินมา ไม่อย่างนั้นผู้หญิงบ้านนอกแบบนั้น อยากจะมาหางานที่มีหน้ามีตาในนครเซี่ยงไฮ้ก็คงไม่ง่ายขนาดนี้ หรือว่าเธอจะรวยข้ามคืน?
เพราะอย่างนั้นเมื่อคืนเขาก็แทบนอนไม่หลับ กลางดึกตีสองเลยหักห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ที่จะโทรศัพท์ไปหาซีเหมินจินเหลียน
หลับๆ ตื่นๆ อยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกเสียงของนาฬิกาปลุกเรียกให้ตื่นขึ้น หวังหมิงเหยาชะโงกหน้าขึ้นมาดูเวลา เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นพรวดพราดไปอาบน้ำแต่งตัว ส่องกระจกและพบว่ามีรอยดำหนาอยู่รอบดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขานอนหลับไม่เพียงพอ
เขาขับรถราคาไม่กี่แสนของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศออกไป รีบเร่งไปทำงานที่บริษัท เก้าโมงเช้าพอดี! หวังหมิงเหยารีบร้อนเข้าไปที่ออฟฟิศ
เมื่อผลักประตูของออฟฟิศเข้าไป หวังหมิงเหยาก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆ ดูแปลกไปจากปกติ ปกติเวลานี้ทุกคนต้องแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง หรือไม่ก็ยุ่งกับการจัดการกับอาหารเช้าที่ซื้อมา แต่วันนี้ดูเหมือนว่าเมื่อเห็นเขาเข้ามาแล้ว ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมามอง สายตาสื่อแววให้เห็นว่ามีอะไรลับลมคมใน
หรือว่าตนจะสวมกางเกงในไว้ด้านนอก? หวังหมิงเหยารีบร้อนตรวจสอบเสื้อผ้าการแต่งกายของตัวเอง ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา? จากนั้นเขาจึงรีบเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน แต่ว่าทำไมโต๊ะทำงานของเขา ถึงมีคนอื่นมานั่งแทนล่ะ?
“คุณหยาง ทำไมคุณถึงมานั่งที่ของผมล่ะ” หวังหมิงเหยารู้จักคนที่แซ่หยางคนนี้ ปกติเขาทั้งสองไม่เคยทักทายอะไรกัน แต่ทำไมเขาถึงมานั่งเชิดหน้าอยู่ที่ที่นั่งของตนได้
“คุณหวัง นี่เป็นที่นั่งของผมครับ” คนแซ่หยางยิ้มอย่างได้ใจ “ส่วนคุณ ถูกไล่ออกแล้ว!”
“คุณว่ายังไงนะ?” หวังหมิงเหยาเสียอาการ เช้าแบบนี้ มุกอย่างนี้ไม่เห็นจะขำตรงไหนเลย
“หวังหมิงเหยา ขอเชิญคุณไปที่ห้องการเงินจัดการเรื่องเงินเดือนด้วยค่ะ คุณถูกไล่ออกแล้ว!” ผู้ช่วยบัญชีการเงินเดินเข้ามาเรียกหวังหมิงเหยาให้ตามเข้าไป
ผู้ช่วยบัญชีฝ่ายการเงินกับหวังหมิงเหยาก็ไม่ได้สนิทสนมเช่นกัน เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ แต่ว่าทำไมเขาถึงถูกไล่ออกล่ะ ไม่เห็นมีสัญญาณออกมาบอกกล่าวล่วงหน้าเลย
ภายในออฟฟิศ ทุกคนกำลังมองดูเรื่องที่น่าขบขันของเขา มีทั้งสายตาที่เห็นอกเห็นใจ แต่ก็โดนกลบไปด้วยการยิ้มเยาะเย้ย…
หวังหมิงเหยายืนงงอยู่อย่างนั้น เขาไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดี เรื่องนี้ก็กะทันหันเกินไปหรือเปล่า อยู่ดีๆ ทำไมเขาถึงโดนไล่ออกได้ ผลงานเขาก็ดีมาโดยตลอดนี่
“รีบหน่อยค่ะ!” ผู้ช่วยบัญชีฝ่ายการเงินเร่งรัดเขาให้ตามมา “พวกเรายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ!”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมเซ็นสัญญากับบริษัทแล้วนะ!” หวังหมิงเหยาพูดจาเสียงดัง
ภายในออฟฟิศ ไม่รู้ว่าเป็นใครที่เริ่มหัวเราะออกมาก่อนคนแรก ทันใดนั้นคนอื่นๆ จึงเริ่มพากันส่งเสียงกระซิบกระซาบกันขึ้นมา! สัญญาเหรอ? ของแบบนั้นมีประโยชน์แค่ในเวลาที่ต้องการจะใช้เท่านั้นแหละ…แต่หากไม่ได้ใชเ มันก็เหมือนกับกระดาษไร้ค่าแผ่นหนึ่งเท่านั้น
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 33 ขลุ่ยหยก
หวังหมิงเหยาไม่รู้ว่าทำไมตนถึงได้ถูกไล่ออก ตอนที่เขาเดินออกจากบริษัท สติของเดขาก็ยังคงล่องลอย การถูกไล่ออกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่มีใครจะทำงานบริษัทได้ตลอดชีวิต แต่ว่าการถูกไล่ออกของเขามันดูมีอะไรไม่ชอบมาพากล ทำให้เขารู้สึกรับความจริงไม่ได้
หัวหน้าฝ่ายการเงินบอกเล่าเหตุการณ์กับเขาว่าเป็นยังไง จะชดเชยอย่างไรบ้าง แต่ว่าในนั้นดูเหมือนไม่มีความจริงหลงเหลืออยู่เลย หลังจากนั้นก็ให้เงินชดเชยมาน้อยนิดและให้เขาเซ็นยินยอมแล้วก็ไล่ออกมา
เขาตั้งใจเดินไปหาผู้จัดการแผนกแล้ว เพื่อที่จะขอให้ได้อยู่บริษัทต่อไป เดิมทีเขาก็ไม่เคยกลัวกับผู้จัดการแผนกอยู่แล้ว พูดได้ว่าความสัมพันธ์ค่อนข้างดี
แต่เมื่อเขาได้ฟังจากผู้จัดการแผนก เขาถึงได้รู้ว่าสาเหตุที่เขาถูกไล่ออกนั้น ไม่ใช่อย่างที่ฝ่ายการเงินแจ้งว่าเรื่องผลประโยชน์บริษัท แต่เป็นเพราะว่าเขาไปมีเรื่องกับคนระดับสูง?
การที่เขาถูกไล่ออก ไม่สิ ผู้จัดการบอกว่าที่เขาถูกกำจัดครั้งนี้เป็นคำสั่งโดยตรงจากบริษัท อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ก่อนที่เขาจะจากไปนั้น ผู้จัดการแผนกรูปร่างอ้วนท้วนก็ได้ตบบ่าเขาเบาๆ แล้วเจตนาเอ่ยไปว่า “น้องชาย ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ผมไม่อยากช่วยคุณนะ แต่ว่านี่เป็นคำสั่งจากหัวหน้า คุณลองกลับไปคิดดูให้ดีๆ ล่ะกันว่าช่วงนี้ไปทำอะไรขัดหูขัดตาใครบ้างหรือเปล่า”
ช่วงนี้เขาจะไปขัดหูขัดตาใครได้? เขาไม่เคยทำอะไรใคร หวังหมิงเหยาคิดไม่ตก ถ้าหากมีโอกาสได้เจอกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เขาคงจะรีบประจบเดินคลานเข่าไปหาก่อนตลอด ทำไมยังโดนเล่นงานอีก
ช่วงนี้เข้าไปหาเรื่องใครกัน? ทำไมคิดยังไงก็คิดไม่ออก ระหว่างที่ขับรถนั้น เขาก็ได้ครุ่นคิดจนถึงบ้านโดยไม่รู้ตัว เห็นว่าแม่ของเขาเดินมาเปิดประตูด้วยสีหน้าโสร้าสลด ก่อนจะถามเขาอย่างแปลกใจว่า “ทำไมแกถึงกลับมาเวลานี้?”
หวังหมิงเหยารู้สึกอึดอัดใจ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่ปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในบ้าน เมื่อเข้าไปก็เห็นพ่อกำลังนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกด้วยสีหน้าอมทุกข์
“พ่อ ทำไมพ่อถึงอยู่บ้านได้ล่ะ” หวังหมิงเหยาสงสัยว่าทำไมพ่อถึงอยู่บ้านได้ หรือว่าจะ…?
“หมิงเหยา พ่อของแกถูกไล่ออกแล้ว!” พูดไปพลางร้องไห้ “พ่อของแกทำงานที่บริษัทนี้มาทั้งชีวิต แต่วันนี้อยู่ๆ เขาก็บอกว่าอายุมากเกินไป แก่แล้ว ไม่ต้องการเขาแล้ว…ฮือๆ…”
“หมิงเหยา ทำไมแกถึงกลับมาตอนนี้?” คุณพ่อหวังเงยหน้าขึ้นมาถาม
หวังหมิงเหยานั่งตัวตรงอยู่บนโซฟา สีหน้าอมทุกข์ฝืนทนแล้วถอนหายใจ ก่อนจะปลดเน็คไทให้ผ่อนคลาย “ผมถูกไล่ออกแล้ว..”
“อะไรนะ?” สวีจวิ้นหลานตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เธอรับไม่ได้จึงค่อยๆ ล้มพับลงไปนั่งที่โซฟา ไม่นานร้องไห้ฟูมฟายยกใหญ่
“แกทำอะไรผิด เขาถึงไล่แกออก!” คุณพ่อหวังเสียงฟึดฟัด
สวีจวิ้นหลานไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ผลิตน้ำตาแทนที่เสียงตอบรับ
คุณพ่อหวังกับหวังหมิงเหยามองหน้าสบตากัน ทันใดนั้นก็ครุ่นคิดพิจารณา ถูกไล่ออกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะอายุคุณพ่อหวังก็ปูนนี้แล้ว แต่ว่าพ่อลูกถูกไล่ออกวันเดียวกัน ความรู้สึกเช่นนี้ก็ยากเกินจะรับได้ นี่คงมีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลแน่
แต่คุณพ่อหวังกับหวังหมิงเหยาไม่ได้อยู่บริษัทเดียวกัน แล้วใครกันที่จะมีความสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้?
“ฉันน่ะก็แก่แล้ว แล้วแกล่ะ?”
หวังหมิงเหยาส่ายหน้า ถูกคนเบื้องบนเล่นงาน ที่แท้เขาก็ไปหาเรื่องใครกันแน่? ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องอะไรสักนิด ทำไมเรื่องทั้งหมดถึงมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หวังหมิงเหยาคิดทบทวนอย่างละเอียด คิดแล้วคิดอีก นอกเหนือจากเมื่อคืนวานที่เขาโทรศัพท์ไปแบล็คเมลซีเหมินจินเหลียน เขาก็ไม่ได้ไปหาเรื่องใครอีก…
หรือว่าจะเป็นเธอ? แต่ว่า จะเป็นไปได้ยังไงกัน?
…
ซีเหมินจินเหลียนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผ่านไปสิบโมงเช้าแล้ว เธอจึงรีบล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปข้างล่าง เห็นจ่านป๋ายกำลังนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟา
“อรุณสวัสดิ์ครับ” จ่านป๋ายได้ยินเสียงฝีเท้าเลยเงยหน้าขึ้นมา
“เสี่ยวป๋าย พวกเราออกไปกินข้าวเช้าข้างนอกกัน” ซีเหมินจินเหลียนลูบท้องที่ส่งเสียงดังโครกคราก
“เห็นคุณนอนหลับอยู่ ผมเลยไปซื้อมาให้แล้วเมื่อกี้ อยู่ในห้องครัวน่ะ อุ่นสักหน่อยก็กินได้แล้วครับ” จ่านป๋ายยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วลุกขึ้นเดินไปในครัว
“อืม โอเค” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า มีของกินก็ดีแล้ว เธอไม่เคยเลือกที่จะกิน
ยังไม่ทันได้กินข้าวเช้าเสร็จ ซีเหมินจินเหลียนก็รีบลงไปห้องใต้ดิน จ่านป๋ายพูดรั้งท้ายมาว่า “คุณรีบอะไรขนาดนั้นกันครับ”
“ฉันจะรีบทำขลุ่ยหยกให้เสร็จออกมาไวๆ จากนั้นก็หาคนมาซื้อ แล้วเปลี่ยนเป็นเงินแทน!” ซีเหมินจินเหลียนอยากจะซื้อหุ้นของตระกูลหลิน แต่ไม่ใช่ว่าเธอจะนั่งอยู่ที่บ้านหรือจะพึ่งพาเงินชองฉินเฮ่ากับจ่านป๋ายอย่างเดียว จำเป็นต้องมีเงินของเธออยู่ในนั้นด้วย
อีกอย่างตอนนี้เธอก็มีเงินติดตัวน้อยลงไปทุกที ถ้าอย่างนั้นก็ต้องผลิตสินค้าแปรรูปจากหยกชั้นดีออกมา แล้วเอาไปขายต่อ
แม้ว่าพ่อค้าคนกลางอาจจะแบ่งค่านายหน้าไว้อยู่ไม่น้อย แต่ใครใช้ให้เธอไม่มีตลาดขายเป็นหลักเป็นแหล่งล่ะ?
จ่านป๋ายเห็นเช่นนั้นทำได้แค่ยิ้มชอบใจ แล้วเดินตามเธอลงไปที่ห้องใต้ดินด้วยกัน ทั้งสองคนแทบไม่ได้ก้าวเท้าออกไปไหน ยุ่งอยู่กับห้องใต้ดินมาเป็นเวลาห้าวันเห็นจะได้ ซีเหมินจินเหลียนไม่เพียงแต่แกะสลักขลุ่ยหยกเสร็จ เธอยังแกะสลักดอกบัวแดงหยกสีเลือดแล้วเรียกชื่อไปว่า “ไฟชั่วร้ายแห่งดอกบัวแดง”
เพราะว่าหยกสีเลือดมีสีเข้มสดที่น่ากลัว ดอกบัวทั้งสองเมื่อแกะสลักออกมาแล้ว ขัดให้แวววาบแล้ววางไว้บนชั้นวาง ภายใต้แสงไฟที่ส่องมามันช่างเปล่งประกายส่องแสง ด้านข้างยังมีขลุ่ยหยกทั้งสองชิ้นวางเรียงอยู่ข้างกัน
“จินเหลียน ฝีมือคุณพัฒนาแล้ว!” สายตาของจ่านป๋ายมองไปยังโต๊ะที่เรียงวางหยกทั้งสี่ชิ้นเข้าไว้ด้วยกันพร้อมพูดเอ่ยชมอย่างไม่หยุดปาก เขาไม่ได้จะชมเพื่อประจบ แต่ฝีมือของซีเหมินจินเหลียนละเอียดและพิถีพิถันขึ้นมาก
อย่างเช่นขลุ่ยหยกนี้ ช่องว่างระหว่างรูของแต่ละเสียงก็ได้ทำออกมาราวกับของจริง
เขาระมัดระวังในการหยิบขลุ่ยหยกขึ้นมาแล้วก็ใช้มือสัมผัสไปยังผิวลื่นมันสะอาดนั่น “ไม่รู้ว่าขลุ่ยหยกนี้จะเป่าได้หรือเปล่า”
“ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการเป่าหรอก ถ้าคุณรู้ก็ลองเป่าดูได้นะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม เธอคิดว่าจ่านป๋ายไม่สามารถเป่าได้ ถ้าเขาเป่าได้ก็น่าแปลกแล้ว
แต่ว่าเรื่องนี้ก็มักจะหักมุมเสมอ จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นจึงหยิบขลุ่ยมาไว้ในมือ ไม่นานก็พูดว่า “อันนี้ก็พอได้แล้ว ถ้าปรับสักนิดก็คงเป่าได้แล้วล่ะ ผมว่านี่โอเคเลยครับ”
ซีเหมินจินเหลียนให้ความสนใจ “ต้องปรับยังไงเหรอ”
“ผมจะหาเพื่อนที่รู้เรื่องการทำเครื่องดนตรีมาช่วยแล้วกัน” จ่านป๋ายพูด “ถ้าคุณเชื่อมั่นในตัวผม เดี๋ยวอีกสักพักผมออกไปหาคนมาช่วย”
“มีอะไรที่ฉันต้องไม่เชื่อใจคุณด้วยล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้ายิ้ม ถ้าหากจ่านป๋ายเป็นคนที่มีเจตนาไม่ดี เขาคงไม่ขโมยแค่ขลุ่ยหยกอย่างเดียวหรอก ของภายในห้องใต้ดินทั้งหมดก็ก่ายกองไปด้วยหยก แถมเธอก็เป็นสาวโสด เขาน่าจะฆ่าแล้วชิงทรัพย์ไปนานแล้ว…
“ถ้าอย่างนั้นตอนบ่ายผมจะไปหาคนมาช่วย คุณเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรตอนบ่ายก็พักผ่อนำเถอะนะครับ”
“คุณเอาไปพร้อมกันทั้งสองเลาเลยก็ได้ คุณไม่มีอะไรที่ฉันต้องระแวงหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม เขาพูดถูก เธอยุ่งมาหลายวันแล้ว ควรจะใช้เวลานี้พักผ่อนสักหน่อย
เพียงแต่ว่าตอนบ่ายหลังจ่านป๋ายออกไป ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกว่าน่าเบื่ออยู่บ้าง อีกทั้งเธอก็ยังไม่อยากออกไปข้างนอก เช่นนั้นจึงเดินลงไปที่ห้องใต้ดินอีกครั้ง
แม้ว่าห้องใต้ดินจะมีตู้เซฟนิรภัย แต่หินหยกของเธอก็มากเกินกว่าที่ตู้เซฟจะรับไหว เพราะฉะนั้นหินหยกส่วนมากจึงวางกองสะเปะสะปะอยู่ด้านนอก มองไปที่สีแดงสีเขียว ทะลุผ่านไปยังเนื้อหยกที่ใสสะอาด มันช่างอิ่มอกอิ่มใจเสียเหลือเกิน
สายตาของเธอตกไปอยู่ที่หินหยกรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่ใหญ่มาก
มองหยกชิ้นนี้อย่างไรก็รู้สึกสงสัย ลักษณะคล้ายกับหยกปกติ แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือน ซีเหมินจินเหลียนนั่งลงบนหยกสีเลือดที่ถูกเจียระไนออกมาจนหมด แล้วมองไปที่หยกก้อนนั้นอย่างไตร่ตรองว่าจะเจียระไนออกมาดูดีไหม ว่าข้างในเป็นยังไงกันแน่
จะเปิดออกมาดีไหมนะ? ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่นานกว่าสองชั่วโมง สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจว่าจะตัดมันออกมาดู ตั้งเครื่องเตรียมจะเจียระไนหิน แต่ทันใดนั้นกริ่งประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้นเสียก่อน
ซีเหมินจินเหลียนสงสัย หรือว่าจ่านป๋ายจะกลับมาแล้ว? ไม่น่าจะใช่ ถึงเขาจะลืมกุญแจ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกดกริ่งนี่น่า การปีนรั้วกำแพงก็คือความสามารถพิเศษของเขา
เมื่อคิดเช่นนี้ซีเหมินจินเหลียนก็วางเครื่องเจียระไนลง เดินออกไปและปิดประตูห้องใต้ดิน ในใจคิดว่าสวรรค์คงตั้งใจไม่ให้เธอเปิดเผยหินหยกข้างในออกมาดู เมื่อคิดถึงเวลาที่มองเข้าไปข้างในหินก้อนนั้นทุกครั้ง ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายหัว ให้จ่านป๋ายเป็นคนจัดการดีกว่า
เขาค่อนข้างใจกล้า แต่ถ้าเกิดเขาเห็นว่าข้างในหยกแก้วซ่อนอะไรไว้อยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะตกใจหรือเปล่า
ความคิดชั่วร้ายโผล่เข้ามา ซีเหมินจินเหลียนเดินออกไปที่ประตู ถัดไปคือครื่องกันขโมย เมื่อเห็นว่าเป็นจ่านป๋ายที่ยืนอยู่หน้าประตู ซีเหมินจินเหลียนสงสัย “ทำไมคุณยังต้องกดกริ่งอีก?”
“ผมลืมเอากุญแจไป”
ซีเหมินจินเหลียนเปิดประตูให้เขาเข้ามาแล้วถามว่า “แต่ก่อนตอนที่คุณลืมกุญแจ คุณก็เข้ามาได้ไม่ใช่เหรอ?”
“มันไม่เหมือนกันนี่ครับ ตอนนี้ประตูล็อกมีลักษณะพิเศษ ถ้าหากลักลอบเข้ามาได้ อย่างนั้นคงอันตรายแน่” จ่านป๋ายอธิบาย แน่นอนเขาสามารถเปิดเองได้ แต่มันก็ยุ่งยาก ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนอยู่ที่บ้าน เขาก็ไม่อยากจะต้องใช้กำลัง
ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าเขาเปลี่ยนที่ล็อกประตูทั้งหมด แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาติดตั้งระบบป้องกันกันขโมยยังไง เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงถามไปว่า “ถ้าหากใช้กำลังในการเปิดจะเป็นยังไงเหรอ”
“มันก็จะระเบิดครับ!” จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย
“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนหมดคำจะพูด ได้แต่มองเขา ระเบิด? พูดแล้วก็คือถ้าเธอลืมกุญแจต้องยุ่งยากขนาดไหนกัน? เดิมทีคิดว่าเขาแค่ใส่ระบบติดตั้งกุญแจ ที่แท้ยังมีสิ่งนี้อยู่..
ห้องใต้ดินต้องใช้ลายนิ้วมือในการแสกนถึงจะเข้าไปได้ ทุกครั้งซีเหมินจินเหลียนรู้สึกเหมือนหนังแนวสายลับอย่างที่เธอเคยดู แต่ว่าประตูหน้าบ้านที่ติดตั้งระเบิดนั้น น่ากลัวเกินไปแล้ว
“ถ้าหากคุณลืมกุญแจ ผมก็สามารถเปิดได้ เพียงแค่ยุ่งยากนิดหน่อยก็เท่านั้น” จ่านป๋ายปลอบให้เธอวางใจ
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 34 คนเล่นหยกจะสอนเป่าขลุ่ยได้อย่างไร
ซีเหมินจินเหลียนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ มองไปทางจ่านป๋ายชั่วครู่ก็หมุนตัวเดินเข้าไปที่ห้องรับแขก
“จินเหลียน คุณไม่ได้ออกไปเที่ยวข้างนอกเหรอครับ” จ่านป๋ายเดินถามมาจากข้างหลัง
“ถ้าฉันไปเที่ยวแล้ว ใครกันที่เปิดประตูให้คุณ? หรือว่าจะให้คุณปีนกำแพงเข้ามา ถ้ามีปัญหา ตอนฉันกลับมา อาจจะเห็นย่านหลานกุ้ย บ้านของจินเหลียนระเบิดไปแล้ว?” ซีเหมินจินเหลียนพูด
จ่านป๋ายทำตัวไม่ถูก “ผมก็กลับมาแล้วนี่ไงครับ คุณก็ออกไปเที่ยวได้แล้ว”
“คุณกลับมาแล้ว ฉันก็ไม่คิดที่จะออกไปไหนหรอก ขลุ่ยหยกเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ นี่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร”
“เอาออกมาให้ฉันดูหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย นำขลุ่ยหยกดัดแปลงให้สามารถเป่าได้จริง มันไม่น่าสนใจกว่าเหรอไง
จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่ได้ครับ ตอนนี้ให้คุณดูไม่ได้! ผมจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์ตอนกลางคืน…”
ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ โอเค ตอนกลางคืนก็กลางคืน ของแบบนี้จะสามารถเซอร์ไพรส์อะไรได้? ช่างเถอะ เขาอยากจะทำให้เป็นความลับก็ให้เขาเล่นไป ช่วงที่ผ่านมาเห็นเขาหมกอยู่แต่ในห้องใต้ดิน เจียระไนหินอย่างหนัก เหนื่อยแย่เหมือนกัน คิดเสียว่าชดเชยให้เขาสักหน่อย
เมื่อคิดเท่านี้ซีเหมินจินเหลียนก็ทำได้แค่หัวเราะ ไม่ได้ยืนกรานอยากจะขอดูอีกต่อไป เวลานั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เมื่อรับสายก็เป็นจินอ้ายหัวโทรมาถามว่าเธอมีเวลาไปเดินช็อปปิ้งหรือเปล่า
ซีเหมินจินเหลียนบอกว่าไม่มีปัญหา ถึงเธอจะยุ่งแต่ก็ยังมีเวลาว่าง ตอนนี้ไม่ต้องทำงาน แน่นอนว่าจะทำอะไรไม่ต้องคอยดูท่าทีของใคร อย่างนั้นเลยตอบตกลงอย่างเสียงใส นัดแนะเวลาและสถานที่เจอกัน แล้วบอกจ่านป๋ายว่าจะขับรถออกไปเอง
จ่านป๋ายเมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนออกไปแล้ว เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ดูแล้วเหมือนกับขโมย ในใจแอบคิดว่า “จินอ้ายหัวโทรมาได้เวลาพอดี ถ้าโทรมาเร็วกว่านี้สองนาที วันนี้เขาคงได้ปีนกำแพงแน่”
ประตูอื่นยังไม่เป็นอะไร แต่ประตูล็อคของซีเหมินจินเหลียน เขาเป็นคนออกแบบเอง ถ้าเกิดทำไม่ดีอาจจะระเบิดได้
…
เดินเล่นเป็นเพื่อนกับจินอ้ายหัวเกือบครึ่งวัน ทั้งสองกินข้าวเย็นด้วยกัน ก่อนที่ซีเหมินจินเหลียนจะขับรถไปส่งเธอกลับ เมื่อเห็นว่าดึกแล้ว สามทุ่มครึ่งจึงขับรถกลับไป
เมื่อจอดรถที่โรงจอดรถเรียบร้อยแล้ว จ่านป๋ายที่ได้ยินเสียงของเครื่องยนต์จึงเดินมาเปิดประตู
ซีเหมินจินเหลียนเดินจ้ำอ้าวเข้าบ้าน ภายในห้องรับแขกดับมืดสนิทไร้แสงไฟ ไม่ทันไรเธอก็ถามออกไปด้วยสัญชาตญาณว่า “ไฟดับเหรอ”
ไม่ใช่สิ เมื่อกี้ตอนที่เธอเข้ามาในหมู่บ้าน สองข้างทางก็มีแสงไฟอยู่เลย อืม! เมื่อกี้ก็เห็นๆ อยู่ว่าโรงรถไฟเปิดสว่างจ้า เมื่อถอยหลังเดินกลับไปดูก็ยังเห็นว่าบ้านตรงข้ามและข้างหลังไฟไม่ดับ…
“เสี่ยวป๋าย เดือนที่แล้วคุณไม่ได้จ่ายค่าไฟเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถาม “ฉันจำได้ว่าจ่ายแล้วนี่นา?”
จ่านป๋ายไม่มีคำจะพูด เขาขอให้จินอ้ายหัวช่วยนัดเธอออกไปข้างนอก ถ่วงเวลาไปครึ่งวัน เพราะอยากจะเซอร์ไพรส์สุดแสนจะโรแมนติก แต่เธอกลับพูดออกมาว่า ทำไมไฟดับ?
“คุณไม่คิดว่าบรรยากาศมันเป็นใจบ้างเหรอครับ”
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนงุนงง คำพูดลักษณะเดียวกัน ใช่แล้วหลินเสวียนหลานก็เคยพาเธอไปที่สถานที่หรูหรา ดื่มกาแฟภายใต้แสงเทียน
“อืม ก็ดีค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “แต่ที่คุณทำแบบนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่”
“ไปเถอะ พวกเราขึ้นไปข้างบนกัน” จ่านป๋ายพูดพร้อมจูงมือเธอขึ้นไปพร้อมปิดประตูหน้าบ้านขึ้นไปด้านบน
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสับสน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจับมือเธอ แต่ว่าการจับมือครั้งนี้กลับเป็นมือขวาของเธอ…สมองของเธอครุ่นคิดบอกตัวเองไปมา อย่าทำอะไรบ้าบอ! อย่านะ…
เหมือนว่าจะสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่ามีความรู้สึกแปลกๆ
ที่ชั้นสาม ห้องกระจกทั้งห้อง วันนี้เพราะว่าซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ใส่ใจมาก ดอกไม้ใบหญ้าที่แห้งไปหมดได้โดนเขากำจัดทิ้งไปหมดแล้ว ครั้งหน้าเธอจะไม่ปลูกดอกไม้ใบหญ้าอีกแล้ว ดอกไม้พวกนี้มีชีวิตจิตใจ เธอดูแลไม่ดี เพราะฉะนั้นสู้ไม่เลี้ยงตั้งแต่แรกเสียดีกว่า
แต่ห้องกระจกในวันนี้ กลับมีดอกไม้หลากหลายชนิดอยู่เต็มไปหมด ตรงกลางของห้องมีเก้าอี้เล็กๆ สองตัวและโต๊ะกระจกกลม ด้านบนจุดเชิงเทียนเอาไว้ จานหยกใส่ผลไม้ใบบัวถูกจัดวางไปด้วยผลไม้สดหลากหลายชนิด ขลุ่ยสีเขียววางไว้อยู่ข้างๆ…บานกระจกที่ใสวาวทำให้แสงจันทร์สาดแสงตกลงมาสะท้อนกลับแสงไฟ ช่างไม่เหมือนความจริง
“ดีมากเลยค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า สวยมาก
จ่านป๋ายวิตกกังวลแต่ก็ถามออกไปว่า “ชอบไหมครับ”
“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหัวหงึกหงัก ผู้หญิงทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้กับบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติกแบบนี้ เพียงแค่ความโรแมนติกมักจะมากับปัจจัยเรื่องเงินทุน คิดเช่นนั้นเธอก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาเล่นแบบนี้ เธอไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่
“นั่งลงสิครับ” จ่านป๋ายประคองมือของเธอและให้เธอนั่งบนเก้าอี้หวาย ส่วนตัวเองก็หาที่นั่งข้างๆ เธอ จากนั้นก็หยิบขลุ่ยหยกบนโต๊ะมาแนบไว้ที่บริเวณริมฝีปาก
“คุณเป่าขลุ่ยเป็นด้วยหรือคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
จ่านป๋ายไม่ได้พูดอะไรออกมา นิ้วมือเรียวยาวของเขาทาบลงไปที่ช่องรูโน้ต เสียงของขลุ่ยบรรเลงขับกล่อมภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
ซีเหมินจินเหลียนยกมือขึ้นมาจับหน้า อาศัยแสงจากพระจันทร์แอบมองเขาอย่างเงียบๆ ความจริงแล้วจ่านป๋ายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งเลย ไม่ว่าอะไรเขาก็ทำได้หมด น่าเสียดายที่เขาเป็นคนพิการ
เธอรู้สึกเศร้าใจ ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ หรือว่านี่เป็นสิ่งที่คนพูดกันว่า ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบไปเสีบทุกอย่าง? แต่ว่าถ้าหากเขาไม่พิการล่ะ? ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่ซีเหมินจินเหลียนคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวดั่งคนมาจุดไฟแผดเผาอย่างไม่มีสาเหตุ
ให้ตายสิ เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ ทั้งหมดนี่ก็ต้องโทษแสงเทียน ไหนจะแสงจันทร์อีก! เมื่อมองขึ้นไปดูผ่านกระจกห้องสีใส ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางนภา…
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นครเซี่ยงไฮ้ก็สามารถมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ ความรู้สึกนี้มักจะทำให้เธอคิดถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก ปีนอยู่ตามเนินเขาเพื่อไปดูดวงดาว หมู่บ้านสงบสุข เพียงแค่มีลมพัดบางๆ คอยชะล้างจิตใจของคนเรา ทันใดนั้นเธอมีความรู้สึกประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรจ่านป๋ายก็เป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและระลึกถึงความทรงจำวัยเด็กที่สวยงาม…
เสียงของหยกช่างใสก้องกังวาน เหมือนกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่ทยอยกันเบ่งบาน
ภายใต้แสงจันทร์ ผลไม้สด ขลุ่ยหยก หนุ่มรูปงามและหญิงสาวแสนสวย บรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก และความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ แต่ว่าเวลานี้กลับมีลมพายุโหมเข้ามา โทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนส่งเสียงดังออกมาอย่างไม่เป็นใจ
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 35 เงาเปลวเทียนที่พลิ้วไหว
เสียงของขลุ่ยยังคงขับกล่อมอย่างไพเราะ ซีเหมินจินเหลียนกำลังคิดจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่กลับไม่คิดว่าในช่วงเวลานั้น นิ้วเรียวยาวของจ่านป๋ายจะจับโทรศัพท์ของเธอโยนไปอีกด้าน ก่อนจะยื่นมือไปโอบเธอจากด้านหลังแล้วพูดว่า “อย่าไปสนใจเลยครับ”
“โทรศัพท์ของใครกกัน” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วมุ่น
“สนใจทำไมกันครับ” จ่านป๋ายเอนศีรษะไปพิงบนไหล่ของเธอแล้วพูดว่า “คุณดูสิ พระจันทร์ส่องแสงในคืนนี้ ขลุ่ยหยกช่างสวยงามขนาดไหน”
ซีเหมินจินเหลียนเอนกายลงบนเก้าอี้ และตีมือของเขาให้ออกไป “สวยจริงๆ ค่ะ คุณเตรียมตัวมานานแล้วใช่ไหม” พูดพลางมองไปที่เชิงเทียนที่ดูพิเศษกว่าที่ไหน เชิงเทียนพวกนี้มีด้วยกันห้าสี เมื่อจุดไฟจะไม่มีกลิ่นควันออกมา อีกทั้งยังได้กลิ่นกุหลาบจางๆ ลอยมาด้วย
ตัวเทียนค่อยๆ หลอมละลาย เปลวไฟที่พลิ้วไหวราวกับกำลังเต้นระบำ ดูแล้วก็โรแมนติกจริงๆ ช่างมีเสน่ห์เหลือล้น…
“ก็ไม่ขนาดนั้นครับ ตั้งแต่ตอนที่คุณบอกว่าจะทำขลุ่ยหยกน่ะ” จ่านป๋ายเปิดเผยความจริงออกมา
“วันนี้คุณให้จินอ้ายหัวโทรมานัดฉันออกไปข้างนอกใช่ไหม” ซีเหมินจินเหลียนคิดย้อนปะติดปะต่อเรื่องราว ไม่นานก็เข้าใจขึ้นมา ไม่น่าล่ะจินอ้ายหัวถึงลากเธอเดินไปนู่นไปนี่ตั้งครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร…
จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีเลศนัย ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้แล้วถามขึ้นว่า “คุณไปหว่านเสน่ห์เธอไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“จินเหลียน อย่าพูดเรื่องที่ไม่น่าฟังแบบนั้นได้ไหมครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “วันนั้นที่คุณให้ผมไปส่งเธอกลับ ผมก็เลยขอเบอร์ของเธอเอาไว้”
“คุณไปส่งเธอแค่ครั้งเดียว เธอก็เอาเพื่อนสนิทอย่างฉันไปขายแล้วเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนก็นึกไม่ถึงเลย
“โอเค ผมยอมรับก็ได้ ผมยังให้ลังโคมเธอไปชุดหนึ่ง…” จ่านป๋ายพูด
“ฉัน…” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็อยากจะต่อยเขาขึ้นมา ลังโคมทั้งชุด? เขาก็ยอมทุ่มทุนขนาดนี้เลยหรือไง
“ผมซื้อให้คุณอีกชุดก็ได้นะครับ ไม่สิๆ ขอแค่คุณยอมรับ ต่อจากนี้ไปเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมความงามทั้งหมด ผมจะเป็นคนดูแลให้เอง เป็นอย่างไรครับ?” จ่านป๋ายกลัวว่าซีเหมินจินเหลียนจะโกรธเลยพ่นคำหวานใส่
“ฉันไม่หลงกลหรอก!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มขึ้น มันไม่น่าจะง่ายที่เขาจัดการทำให้บรรยากาศโรแมนติกขึ้นมา แต่ก็ถูกทำลายอย่างหมดสิ้น
“เดินไปเปิดไฟเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว “มืดแบบนี้ คุณยังว่าสนุกอีก?”
จ่านป๋ายหมดหนทาง เขาได้แต่เดินไปเปิดไฟ เพียงไม่นานทั้งห้องก็สว่างขึ้นมา ทำให้สิ่งของที่ถูกบดบังด้วยความมืดเห็นได้อย่างชัดแจ๋ว จ่านป๋ายหยิบไวน์แดงกับแก้วไวน์สองแก้วมาจากลิ้นชักข้างๆ เปิดไวน์แดงและรินลงไปใส่แก้วส่งให้ซีเหมินจินเหลียน
“ฉันไม่ดื่มค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวปฏิเสธ สายตาตกไปที่ดอกไม้บริเวณรอบห้อง ดอกไม้ส่วนมากไม่ได้มีแต่ดอกกุหลาบหลากสี แต่ยังมีดอกลิลลี่และดอกทิวลิป ดอกไม้เยอะขนาดนี้น่าจะเหมาร้านดอกไม้สักร้านมาหมดแน่ “ดื่มไวน์แดงสักหน่อย ส่งผลดีต่อสุขภาพนะครับ” จ่านป๋ายโน้มน้าว
“ฉันเชื่อก็แปลกแล้ว!”
จ่านป๋ายยิ้มและรินไวน์ให้ตัวเองอีกแก้ว ควงขลุ่ยหยกไปมาถามว่า “คุณคิดจะทำยังไงต่อไปครับ”
“ขายออกไปสักเลา ส่วนอีกเลาก็เก็บไว้” ซีเหมินจินเหลียนหยิบมะม่วงในจานหยกผลไม้ทรงใบบัวขึ้นมาเล่น
“ทำไมล่ะครับ?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ
“ก็ให้คุณอย่างไรล่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ต่อจากนี้ถ้าฉันเบื่อเมื่อไหร่ ฉันจะเรียกให้คุณมาเป่าให้ผ่อนคลาย คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะสามารถเป่าขลุ่ยได้ด้วย”
“เปียโน หมากรุก เขียนพู่กัน วาดภาพล้วนเป็นงานอดิเรกของคนรวย ผมก็ต้องเป็นแบบนั้น” จ่านป๋ายยิ้มอ่อน มีอีกประโยคที่เขายังไม่ได้บอก บางครั้งของเล่นพวกนี้ก็สามารถต้อนสาวให้ตกอยู่ในมือได้
“ฉันคิดไม่ถึงเลยว่า ขลุ่ยหยกจะเป่าได้จริง” ซีเหมินจินเหลียนสัมผัสลงไปบนขลุ่ยหยกอย่างแผ่วเบา เดิมทีเธอแค่คิดว่าจะทำออกมาขายอย่างเดียว คิดไม่ถึงว่าจะเป่าออกมาได้จริง
“ถ้าคุณจะขาย ก็น่าจะให้ฉินเฮ่าจัดการได้นะครับ” จ่านป๋ายพูดขึ้น
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนก้มหน้ามองดูขลุ่ยหยกมรกตโปร่งใสแล้วพูดว่า “ของสิ่งนี้ส่งไปเข้าประมูลน่าจะสบายใจกว่า ไม่อย่างนั้นฉันก็รู้สึกกังวล จริงสิ ที่คุณพูดถึงดอกบัวแดง ฉันก็คิดจะขายออกไปสักดอก”
“อืม!” จ่านป๋ายพยักหน้า ของตกแต่งที่แปรรูปจากหยกต้องขายออกไปอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าวางไว้อยู่ที่ห้องใต้ดินของเธอ มันก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินทื่อๆ ก้อนหนึ่ง
ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น โทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง จ่านป๋ายจึงเดินเข้าไปเตรียมจะรับ แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับแย่งคืนกลับไปได้ เมื่อมองดูไปที่หน้าจอโทรศัพท์ ก็เห็นว่าเป็นชื่อของหลินเสวียนหลานแสดงขึ้นมา
เมื่อกดปุ่มรับสาย น้ำเสียงของหลินเสวียนหลานที่ฟังดูไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้างก็ดังขึ้น “จินเหลียน…”
“ฉันพูดอยู่ค่ะ สวัสดีค่ะพี่หลิน!”
“อย่างนี้นะ ทางผมมีลูกค้ารายใหญ่อยากจะได้กำไลสักวง เพียงแต่ว่าบริษัทตระกูลหลินไม่มีวัตถุดิบจากหยก ไม่รู้ว่าทางคุณพอจะมีบ้างหรือเปล่าครับ” หลินเสวียนหลานพูด “ครั้งนี้ที่เจียหยางคุณได้สินค้าไปไม่น้อย ได้เปิดหินออกมาดูหมดแล้วหรือยังครับ”
“อืม ยังเปิดออกมาไม่หมดค่ะ ไม่รู้ว่าลูกค้าคนนี้ต้องการกำไลแบบไหนหรือคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม เธอมีเนื้อหินหยกมากมาย จะกังวลก็แต่การขาย เพราะเนื้อหยกชั้นดีไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะสามารถซื้อจับจองได้
“เขาอยากจะได้หยกโบราณชนิดแก้วที่เป็นสีผสมหรือไม่ก็ฮกลกซิ่ว” หลินเสวียนหลานพูด ความต้องการของลูกค้ารายนี้ไม่ธรรมดา เรียกร้องว่าต้องเป็นหยกชนิดนี้ อย่าพูดถึงบริษัทตระกูลหลินไม่มีของเลย ขนาดบริษัทอัญมณียักษ์ใหญ่ก็ไม่แน่ว่าจะมี
“สีผสมกับฮกลกซิ่วราคาต่างกันนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ในใจก็เหมือนได้โชคครั้งใหญ่ ถ้าลูกค้าอยากจะได้ชนิดละหนึ่งชิ้น เธอก็จะรวยแล้ว
“นั่นแน่นอนอยู่แล้วครับ” หลินเสวียนหลานพูด “ถ้าคุณมีละก็ ผมจะได้นัดเวลามาตกลงคุยกันเรื่องรายละเอียดราคา”
“โอเคค่ะ ขอบคุณค่ะพี่หลิน” ซีเหมินจินเหลียนพูดขอบคุณอย่างไม่หยุดปาก
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราค่อยตกลงรายละเอียดกัน แล้วผมจะโทรมาหาคุณอีกที” หลินเสวียนหลานพูด
“ได้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตบปากรับคำและกำลังจะวางสายไป แต่ต้นสายก็ได้ส่งเสียงเข้ามาอย่างกระวนกระวายใจที่จะพูด “จินเหลียน…พวกคุณเตรียมการสำหรับเรื่องนั้นถึงไหนแล้ว?”
ซีเหมินจินเหลียนย่อมรู้ว่าเรื่องที่หลินเสวียนหลานพูดถึงคืออะไร เรื่องซื้อหุ้นจากบริษัทตระกูลหลิน “ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ”
“จินเหลียนยังไงก็เร่งหน่อยนะครับ คุณปู่ของผมป่วยอยู่…” หลินเสวียนหลานพูดต่อ “เราต้องอาศัยโอกาสก่อนที่คุณปู่จะจากไป”
“ทำไมล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องรีบจัดการก่อนที่คุณปู่จะจากไปด้วยเดิมทีจ่านป๋ายและฉินเฮ่าก็เตรียมตัวรอเวลาหลังจากที่คุณปู่หลินจากไป สงครามภายในตระกูลหลิน จะเป็นสาเหตุให้พวกเขาขายหุ้นออกมา
ไม่ใช่สิ คุณปู่หลินพึ่งจะจัดงานครบรอบวันเกิดอายุเจ็ดสิบได้ไม่นาน ครั้งนั้นที่เธอเห็นเขา สุขภาพร่างกายของเขาก็ดูแข็งแรงดี อยู่ต่ออีกสามปีก็ไม่มีน่าจะมีปัญหาอะไร แต่ทำไมฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ราวกับว่าคุณปู่หลินจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน หรือจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น?
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 36 ออเดอร์จากลูกค้ารายใหญ่
เสียงปลายสายโทรศัพท์มีความลังเลอยู่ไม่น้อยที่จะพูดออกมา “จินเหลียน พูดกันในโทรศัพท์คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ผมยังมีเรื่องที่อยากจะพูดกับคุณ ถ้าอย่างนั้นเราค่อยหาเวลานัดกันเถอะครับ”
“คุณว่างเมื่อไหร่” ซีเหมินจินเหลียนถาม เพราะเธออย่างไรก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าตอนไหนหลินเสวียนหลานถึงมีเวลา เพราะว่าช่วงนี้บริษัทตระกูลหลินคงจะต้องการตัวเขาอยู่ไม่น้อย
“วันมะรืนนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมไปหาคุณ ตกลงไหมครับ” หลินเสวียนหลานถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนตอบออกไป
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงกันตามนี้นะครับ พรุ่งนี้ผมจะให้ลูกค้าคนนั้นไปหาคุณ พวกคุณก็คุยรายละเอียดกันได้เลย” หลินเสวียนหลานพูดจบก็วางสายไป
ซีเหมินจินเหลียนถือโทรศัพท์เอาไว้และได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ฟังน้ำเสียงจากต้นสายเมื่อสักครู่นี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีหลายเรื่องที่ไม่เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ เขาน่าจะเป็นคนที่มีความตั้งใจสูง ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้
“คนแซ่หลินนั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก” ในใจของจ่านป๋ายรู้สึกเหยียดหยาม เรื่องกำลังไปได้ดีอยู่แล้วแท้ๆ เขาอุตส่าห์สร้างบรรยากาศที่โรแมนติกขึ้นมา แต่ก็ถูกหลินเสวียนหลานทำให้พังทลายต่อหน้าต่อตาได้
“ฉันจะลงไปอาบน้ำนอนแล้ว คุณก็เก็บกวาดห้องนี้ด้วยล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนหมุนตัวบอกไปยังจ่านป๋าย พร้อมส่งยิ้มอย่างชั่วร้าย
“อะไรนะครับ?” จ่านป๋ายรู้สึกตั้งตัวไม่ถูก เก็บกวาด? ห้องนี้มีอะไรให้เก็บกวาดกัน
“ดอกไม้พวกนี้ถ้าอยู่ในห้องนี้ก็อาจจะแห้งเ**่ยวเฉาตาย ไม่สู้เอาไปวางไว้ที่ด้านล่าง จะเห็นได้ชัดหน่อยอย่างไรคะ”
“ยังจะให้ย้ายลงไปด้านล่างอีกเหรอครับ” จ่านป๋ายมองไปยังดอกไม้สดที่เรียงรายอยู่นั้น ได้แต่ส่งสีหน้าโศกเศร้าเสียใจ นานๆ ทีจะโรแมนติกขึ้นมา แต่คิดไม่ถึงว่าซีเหมินจินเหลียนจะเปลี่ยนให้กลายเป็นการใช้แรงงานไปเสียได้
“ฉันไม่ได้สั่งให้คุณขายทิ้งไป ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูดจบก็เดินลงไปด้านล่าง จ่านป๋ายเห็นเงาด้านหลังของเธอ เขาก็ได้แต่ส่ายหน้า แม้ว่าแผนการโรแมนติกจะไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็คุ้มค่า เพราะวันนี้เธอก็ดูมีความสุขมาก
เราจะไม่รีบร้อน ในอนาคตยังมีโอกาสอยู่ อย่างน้อยก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ซีเหมินจินเหลียนก็พูดถูก ปกติพวกเขาจะเดินขึ้นชั้นสามมาน้อยมาก ถ้าจะวางดอกไม้ไว้บนนี้ก็คงจะแห้งเ**่ยวอยู่บนนี้จริงๆ มันก็ดูจะเปลืองเงินไปหน่อย แต่ถ้าย้ายลงไปด้านล่าง วางไว้ที่ห้องรับแขกน่าจะไม่เลว
เมื่อคิดได้เท่านี้ จ่านป๋ายก็จัดการนำดอกไม้ทั้งหมดลงไปที่ห้องรับแขกด้านล่าง เมื่อซีเหมินจินเหลียนกลับห้อง เธอก็ปิดประตูลงกลอนสนิท แล้วก็โทรศัพท์ไปหาเบอร์ที่คุ้นเคย
“บอกว่าอย่าหลงรักพี่ไง พี่น่ะเป็นตำนาน…” เมื่อรับสาย เสียงของจินอ้ายกั๋วก็บ่นพึมพำออกมา
“ฉันเองค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ ถือว่ามีศีลธรรมผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง
“จินเหลียน!” เสียงภายในโทรศัพท์ชัดขึ้นมา
“ทำอะไรอยู่คะ” ซีเหมินจินเหลียนถามพร้อมเงยหน้าไปมองที่นาฬิกา ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสี่ทุ่ม ตามหลักแล้วยังไม่ใช่เวลานอนของจินอ้ายกั๋ว
“จินเหลียน พี่…พี่…แพ้อย่างน่าสงสาร…” เจ้าของเสียงพูดออกมาด้วยเสียงที่เหมือนร้องไห้ขี้มูกโป่ง
“สมควรแล้วค่ะ ก็บอกแล้วว่าให้เลิกพนันได้แล้ว” ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะด่ายังไง “พี่ก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ถึงจะไม่ได้คิดเพื่อตัวเองก็ควรจะคิดเพื่อน้องสาว หรือคุณป้าคุณลุงไว้บ้าง”
“ชีวิตของพี่ก็ไม่มีงานอดิเรกอะไร เลยอยากลองเสี่ยงดูบ้าง ไม่สามารถตัดขาดได้ ถึงจะตัดนิ้วของฉัน ก็ยังไม่ทำให้ฉันเลิกพนันได้” จินอ้ายกั๋วถอนหายใจ “จินเหลียน เธอโทรหาพี่มีเรื่องอะไรเหรอ”
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนตอบรับ อึ้งอยู่นานถึงเริ่มปริปากถาม “คนเจ็บที่ฉันส่งไปที่คลินิกพี่ครั้งก่อน พี่ยังจำได้ไหมคะ”
“จำได้สิ ทำไมเหรอ หรือว่าเขาได้รับบาดเจ็บอีกแล้ว?”
“นี่พี่ก็หวังให้เขาบาดเจ็บอีกหรือไงกัน” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันขอถามพี่สักเรื่อง…”
“เธอถามมา ฉันฟังอยู่…” จินอ้ายกั๋วพูด
ซีเหมินจินเหลียนถือโทรศัพท์เอาไว้ แต่ก็อ้ำอึ้งอยู่นานไม่ยอมพูดออกมาสักที จนจินอ้ายกั๋วเร่งเร้า “จินเหลียน มีเรื่องอะไรกันแน่ เธอก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ ทำไมอ้ำๆ อึ้งๆ กับพี่อยู่ได้”
“เขา…พิการจริงๆ เหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนทำใจกล้าพูดออกไปต่อ แม้ว่าจะไม่มีใครเห็น แต่สีหน้าก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
เสียงปลายสายอย่างจินอ้ายกั๋วเงียบอยู่ชั่วครู่จึงค่อยๆ พูดออกมา “จินเหลียน ทำไมเธอถึงอยากจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา”
“อย่าสนใจเลย พี่ตอบคำถามฉันมาก็พอแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนนั่งอยู่บนปลายเตียงถามเขาอีกครั้ง
“อืม จะว่าอย่างไรดีล่ะ” จินอ้ายกั๋วขมวดคิ้ว “ตามหลักแล้ว ดูจากอาการที่เขาเป็นมันก็พิการจริงๆ แต่ว่าถ้าดูจากการฟื้นฟูพละกำลัง กำลังของเขาเรียกได้ว่ามากกว่าคนธรรมดาถึงสิบเท่า ฉันทำงานอยู่โรงพยาบาลมาตั้งนาน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นคนแปลกแบบนี้ แต่ว่าที่นั่นฉันไม่สามารถรับรองได้ว่า ตอนนั้นการบาดเจ็บของเขาไม่ได้รักษาให้หายดี ไม่ทันได้บอกลาก็ออกจากโรงพยาบาลไป…”
ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย “ความหมายของพี่ก็คือ พี่ก็ไม่แน่ใจ?”
“ใช่!” จินอ้ายกั๋วพูด “แต่ว่าดูจากการฟื้นตัวแล้ว เขาอาจจะหายดีแล้ว แต่ว่าคำถามนี้ก็ตอบได้ยากนะ เธอก็รู้ถึงจะไม่ใช่คนป่วย ก็มีความเป็นผู้ชายเยอะ ยิ่งกว่านั้นตอนนั้นอาการเจ็บสาหัส…” ชายหนึ่งหญิงหนึ่งพดคุยกันเรื่องนี้ มันก็น่าจะมีเคอะเขินบ้าง เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ซีเหมินจินเหลียนนิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่นาน เสียงปลายสายจึงถามว่า “จินเหลียน เธอถามแบบนี้ไปทำไมกัน คนคนนั้นเป็นใครกันแน่?”
“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ เธอไม่รู้ว่าจ่านป๋ายเป็นคนยังไงกันแน่
“เธอจะถามแค่นี้เหรอ”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ”
“หือ?” จินอ้ายกั๋วถามอย่างสงสัย “เธอไม่สบายตรงไหน หรือถ้าอยากจะทำแท้ง ฝีมือของพี่เป็นที่หนึ่งเลยนะ!”
“ไปให้พ้นเลย!” ซีเหมินจินเหลียนระเบิดลง “ระวังไว้เถอะ ฉันจะไปบอกน้องสาวของพี่!”
“อย่านะๆ…คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน!” จินอ้ายกั๋วพูด น้องสาวของเขาไม่ใช่คนชอบหาเรื่องใคร เขาไม่อยากให้น้องสาวถือมีดผ่าตัดขึ้นมาฆ่าเขา
“ฉันอยากจะให้พี่พนันสักรอบ”
“พนัน?” จินอ้ายกั๋วได้ยินเช่นนั้นก็รวบรวมสติกลับมา “พนันกับใคร? จินเหลียน เธอไม่เล่นพนันไม่ใช่เหรอ”
“พี่ชนะได้อย่างเดียว ห้ามแพ้เด็ดขาด!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“จินเหลียน ความสามารถอย่างพี่ ขนาดตอนนี้พี่ยังหาแฟนไม่ได้เลย?” จินอ้ายกั๋วยิ้มเฝื่อนออกมา ที่ไหนมีแต่ชนะไม่มีแพ้กัน?
“พนันสิบแพ้เก้า หรือพี่ไม่เคยรู้เรื่องนี้คะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
เสียงปลายสายไม่ได้พูดอะไรออกมา เส้นทางการพนันมักจะพนันสิบแพ้เก้า แต่เขาก็รู้ว่าไม่สามารถหาทางหลุดพ้นออกมาจากการพนันได้ ถึงจะรู้ว่าเป็นกับดักของคนอื่นที่ผลักให้เขาลงไป แต่เขาก็ขอทำตัวไม่รับรู้อะไร ชนะก็เป็นเรื่องที่ดี ถ้าแพ้ก็ยิ่งปล่อยมือลงไม่ได้
“พี่คะ ถ้าเรื่องสำเร็จไปด้วยดีฉันจะให้รางวัลตอบแทนเป็นเงินห้าล้าน!”
จินอ้ายกั๋วไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นเงิน แต่เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนบอกว่าจะให้ค่าตอบแทนเป็นเงินห้าล้าน หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมา “เธอวางแผนมา อย่างไรฉันก็ไม่เคยแพ้!”
“ตกลงค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้!” ซีเหมินจินเหลียนพูดต่อ “แค่นี้นะคะ” จากนั้นก็วางสายไปทิ้งตัวลงนอนพร้อมเบิกดวงตากว้างใหญ่
ถ้าทำตามอย่างที่ฉินเฮ่าและจ่านป๋ายวางแผนไว้ ต้องชนะหุ้นพนันของหลินเจิ้งก่อน จากนั้นหุ้นของบริษัทอัญมณีที่เหลือ ตระกูลหลินที่เหลือจะยินยอมเปลี่ยนเป็นเงินสดเท่าไหร่ก็เท่านั้น
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่นานประตูก็เปิดออก จ่านป๋ายหิ้วดอกกุหลาบสีน้ำเงินเข้ามาในห้อง “จินเหลียน ดอกกุหลาบนี้วางไว้ในห้องคุณ น่าจะสวยดีนะ”
ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นมาและรับดอกไม้ไปจากเขา “ดอกกุหลาบสีน้ำเงิน?”
“อืม ได้ยินว่าดอกกุหลาบมีชื่อเรียกเพราะๆ ด้วย เรียกกันว่า ‘แม่มดสีน้ำเงิน’ ”
“เรียกว่ามนต์เสน่ห์สีน้ำเงินไม่ดีกว่าหรือ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า เธอไม่เข้าใจจ่านป๋ายเลยสักนิด
“ผมดูยังไงก็ปีศาจ!”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าไม่อยากจะสนใจเขา เธอหาแจกันแก้วแล้วใส่ดอกกุหลาบเข้าไปในนั้น ก่อนจะวางไว้บนหัวเตียง “ฉันชอบดอกไม้ เมื่อก่อนเฝ้าแต่รอให้คนมาส่งดอกไม้ให้…” วันนี้ได้เห็นดอกไม้พวกนี้วางเรียงกันก็ซาบซึ้งใจมาก เธอก็ชอบมากเลย
“จินเหลียน ถ้าคุณชอบ หลังจากนี้ผมจะส่งให้คุณทุกวันเลย” จ่านป๋ายยกมือโอบไหล่ของเธอ
“นานๆ ครั้งน่าจะดีกว่าค่ะ ส่งให้ทุกวันน่าจะเลี่ยนไป!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพร้อมเบิกดวงตากลมใสขึ้นมา “ขอบคุณคุณมากนะ”
“รีบเข้านอนเร็วๆ ดีกว่าครับ ตอนนี้ดึกแล้ว พรุ่งนี้ยังมีธุระที่ต้องเจรจา ถ้าอย่างนั้นผมออกไปแล้วนะ” จ่านป๋ายพูดพร้อมหมุนตัวออกไป
ซีเหมินจินเหลียนก็เหนื่อยมากจริงๆ เมื่ออาบน้ำเสร็จเธอก็เข้านอนไปอย่างรวดเร็ว
เช้าวันถัดมาหลินเสวียนหลานไม่ได้พูดแต่ปาก เขาพาคนวัยกลางคนสวมชุดสูทผูกเนคไทเดินเข้ามา จากการแนะนำของหลินเสวียนหลาน คนคนนี้เป็นเจ้าของธุรกิจแซ่จาง ชื่อจิ้น ปีนี้ธุรกิจได้กำไรใหญ่โตเลยอยากจะทำของเล่นเอาไว้สะสม
“ฟังจากคุณหลินแนะนำ เขาบอกว่าคุณซีเหมินเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำหยกชั้นดีหรือครับ” จางจิ้นพูดติดสำเนียงคนเจียงเจ้ออย่างชัดเจน รีบถามเข้าประเด็นทันที
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าน้อยๆ “ปกติก็ทำธุรกิจแต่กับเนื้อหยกชั้นดีค่ะ ฟังจากที่พี่หลินพูดแล้วคุณจางต้องการหยกสีผสมกับฮกลกซิ่วมาทำเป็นกำไลเหรอคะ”
“ต้องเป็นหยกแก้วชนิดโบราณด้วยนะครับ” จางจิ้นยังพูดเสริมต่อว่า “ส่วนราคาเราก็สามารถตกลงกันได้”
“หยกของฉันส่วนใหญ่ก็เป็นหยกแก้วโบราณค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม เธอไม่ได้พูดเว่อเกินจริงไปแม้แต่น้อย สิ่งที่เธอลงมือทำลงไปล้วนเป็นแต่หยกชนิดแก้วไม่ก็ชนิดน้ำแข็ง เธอรอให้ถึงเวลาซื้อหุ้นตระกูลหลินเสร็จก็จะให้คนงานมาช่วยกันทำเป็นเครื่องประดับหยกและของตกแต่งแปรรูปจากหยก
“ถ้าอย่างนั้นคุณมีของตรงตามเงื่อนไขของผมหรือเปล่าครับ” จางจิ้นถามอย่างรีบร้อน
“หยกแก้วโบราณฮกลกซิ่ว กำไลวงหนึ่งราคาก็หกสิบห้าล้าน ส่วนหยกสีผสมราคาสี่สิบห้าล้าน” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ถ้าหากคุณสนใจจะทำทั้งคู่แล้วละก็ ฉันจะให้ส่วนลดสักหน่อย ให้เลขสวยขึ้นก็แล้วกันค่ะ”
จางจิ้นได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจรีบพูดขึ้น “ของทั้งสองชนิดคุณซีเหมินก็มีทั้งหมดเลยหรือครับ”
“เอาอย่างนี้ ฉันอยากจะขอไปเช็คสินค้าก่อนได้ไหมคะ ตอนนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบได้อย่างแน่ชัด ถ้าหากคุณจางต้องการจริงๆ สามารถทิ้งเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะโทรไปให้คำตอบคุณ เป็นอย่างไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด แม้ว่าเธอรู้ว่าห้องใต้ดินจะมีหยกสีผสมและฮกลกซิ่วจากการประมูลอยู่ แต่เพื่อความปลอดภัยป้องกันไว้ก่อนดีกว่า
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 37 ปอกผิวหิน
จางจิ้นมองไปยังซีเหมินจินเหลียนแล้วหยุดพูดเล็กน้อย ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจจึงถามขึ้นว่า “ถ้าหากคุณจางมีข้อสงสัยอะไร สามารถพูดมาตรงๆ ได้เลยนะคะ”
จางจิ้นหันไปมองทางหลินเสวียนหลานถึงเอ่ยออกมาว่า “คุณซีเหมิน ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมขออนุญาตถามสักหน่อยได้ไหมครับ คุณซีเหมินไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเครื่องประดับใช่ไหม แล้วเครื่องประดับหยกของคุณ มีรับประกันหรือเปล่า”
ซีเหมินจินเหลียนนิ่งเงียบไป สำหรับคำถามของจางจิ้น เธอพอที่จะเข้าใจได้ เพราะว่าสิ่งของราคาระดับหลายสิบล้าน ไม่แน่ก็อาจจะถึงพันล้านนั้น เธอก็ไม่มีบริษัทอย่างเป็นทางการที่คอยรับประกันในสินค้า สิ่งที่เขาถามมาก็มีเหตุผล
“คุณจางต้องการการรับประกันแบบไหนครับ” จ่านป๋ายถามขึ้น
“ผมได้ยินมาว่า ที่เซี่ยงไฮ้นี้มีสมาคมอัญมณีโดยเฉพาะ สามารถประเมินค่าราคาและให้ความคิดเห็นได้?” จางจิ้นยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “คุณซีเหมิน ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ของราคาหลายสิบหลายพันล้านแบบนี้ ถ้าผมไม่ระวังเป็นพิเศษก็คงไม่ได้หรอกนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “ฉันขอตัวไปดูของก่อน ถ้ามีสิ่งที่คุณจางต้องการทั้งสองชิ้นแล้ว ฉันจะแจ้งไปให้ทางคุณทราบ แต่ว่าขอให้คุณช่วยแจ้งขนาดของกำไลและรายละเอียดมาให้ฉันได้ไหมคะ ถ้ามีสินค้าฉันจะได้ทำมันไว้ได้ก่อน”
“ไม่มีปัญหาครับ” จางจิ้นยิ้ม “กำไลทรงกลมก็ได้แล้วครับ รอบวงประมาณห้าสิบแปดมิลลิเมตร”
“โอเคค่ะ ถ้ามีสินค้าแล้วฉันจะแจ้งคุณให้ทราบอีกครั้งนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด
เมื่อส่งจางจิ้นออกไปแล้ว หลินเสวียนหลานก็เหมือนมีเรื่องให้กลับไปจัดการ เขานัดซีเหมินจินเหลียนให้เจอกันพรุ่งนี้แล้วรีบออกไป ส่วนซีเหมินจินเหลียนเอนหลังพิงไปบนโซฟา นวดขมับ ในใจยิ่งกดดันอยากจะมีบริษัทอัญมณีเป็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นลูกค้าต้องไม่มั่นใจในการซื้อสินค้าของเธอแน่
คนคนนี้คือคนที่หลินเสวียนหลานแนะนำมา ส่วนหลินเสวียนหลานก็คือลูกชายของตระกูลหลิน แต่คนอื่นก็ยังสงสัย ถ้าเปลี่ยนเป็นเธอก็คงคิดพิจารณาซื้อเครื่องประดับหยกจากบริษัทเครื่องประดับอัญมณีที่ได้มาตรฐาน มากกว่าการเลือกซื้อของสะสมส่วนตัวเช่นของเธอ…
คนชอบหยกมีอยู่มาก แต่คนที่เข้าใจในหยกมีน้อยเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าแค่สัมผัสหยกก็รับรู้ได้ว่าจริงแท้หรือของปลอมแปลง ถ้ากลัวว่าจะใช้เงินลงทุนไปเพื่อซื้อของปลอม คนส่วนมากก็ย่อมเลือกบริษัทอัญมณีที่ถูกต้องตามมาตรฐานอยู่แล้ว
การซื้อหุ้นของตระกูลหลินไม่ใช่เรื่องที่ต้องปล่อยไว้เล่นๆ แล้ว
“จินเหลียน พวกเรามีหยกสีผสมกับฮกลกซิ่วที่ไหนกันครับ” จ่านป๋ายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“หยกที่ซื้อมาจากการประมูลที่เจียหยางทั้งสองชิ้นใหญ่ ฉันดูจากลักษณะภายนอกแล้ว ในนั้นมีอยู่สองชิ้นที่น่าจะมีสีผสมสองสีหรือไม่ก็สามสี พรุ่งนี้พวกเราค่อยผ่าหินออกมาดู ถ้าหากไม่มีแล้วค่อยบอกเขา อย่างไรเงื่อนไขของเขาก็สูงไปหน่อย ถ้าพวกเราไม่มีสินค้า เขาก็คงไม่ว่าอะไร” ซีเหมินจินเหลียนพูด
เธอรู้ว่าข้างในของหินหยกทั้งสองมีลักษณะอย่างไร แต่ถึงจะเป็นจ่านป๋าย เรื่องแบบนี้เธอก็ยังไม่กล้าที่จะปริปากเอ่ยออกมา ถ้าหากทำให้ความโลภของคนบังเกิดขึ้น เธอก็จะยิ่งอันตราย
คนส่วนมากที่เดิมพันหยก เมื่อมองดูผิวของหินหยกแล้วก็จะสามารถมองได้จากการทาย เธอทายว่าข้างในน่าจะเป็นฮกลกซิ่วหรือไม่ก็สีผสม นี่นับว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกตื่นตาแต่อย่างไร ถ้าทายถูกก็คือชนะเดิมพัน แต่ถ้าทายผิดก็คือแพ้ นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์
“เสี่ยวป๋าย คุณจะไปไหน” ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายมุ่งหน้าเดินลงไปห้องใต้ดินจึงถาม
“ผมยังไม่เคยเห็นหยกแก้วฮกลกซิ่ว ผมจะไปด้านล่างเพื่อเจียระไนดูสักหน่อย” จ่านป๋ายพูด
“คุณรีบทำไมกัน” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นแล้วรีบเดินตามลงไป
เมื่อประตูใต้ดินถูกเปิดออกมา จ่านป๋ายก็กดสวิตซ์ไฟและเดินเข้าไปข้างใน อยู่ๆ ก็ถามซีเหมินจินเหลียนขึ้นว่า “จินเหลียน คุณอยากผ่าหินหยกก้อนนั้นก่อนหรือเปล่า” สายตาของเขามองไปยังหินหยกก้อนนั้น ขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็กมาก…
ถ้าหากจำไม่ผิด นี่เป็นหินหยกที่ซีเหมินจินเหลียนซื้อมาจากโรงงานแปรรูปหยก แถมยังเป็นหินหยกลูกรักของเธอ เธอแทบที่จะกอดนอนเกือบทุกคืน เครื่องเจียระไนก็ยังวางอยู่บนหินหยกชิ้นนั้น เห็นได้ชัดว่าเธออยากที่จะผ่าออกมา…
“ไม่ค่ะ ลองเปิดทั้งสองชิ้นนั้นดูก่อนดีกว่า” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า แล้วมองไปที่หินหยกที่ดูมีพลังชั่วร้าย ช่างมันก่อนแล้วกัน
วันนั้นเกือบจะใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีปลุกใจตัวเองให้ผ่าหินก้อนนั้นออกมา แต่สุดท้ายกลับโดนจ่านป๋ายทำลายแตกสิ้น
ในเมื่อแผนแตกไปแล้ว เธอก็ไม่มีความกล้าที่จะปลุกใจให้ผ่าหินขึ้นมาใหม่…โดยเฉพาะเมื่อคิดไปถึงเรื่องที่ผู้อาวุโสหูเคยพูด เธอก็ยิ่งไม่รู้จะเอาความกล้ามาจากไหน
ถึงสมองคอยคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ แต่ว่าข้างในของหินนั้นกลับทำให้เธอหวาดกลัว ช่างมันเถอะ รออนาคตไม่มีอะไรทำค่อยมาเปิดก็ได้
“สองชิ้นไหนครับ” จ่านป๋ายถาม
“ชิ้นนี้…แล้วก็ชิ้นนี้” ซีเหมินจินเหลียนชี้นิ้วไปที่ฮกลกซิ่วกับสีผสม
จ่านป๋ายพยักหน้าพร้อมหยิบเครื่องเจียระไนมาถือไว้ในมือ หินหยกทั้งสองชิ้นนี้ไม่ได้มีขนาดเล็กเลย ชิ้นหนึ่งน่าจะประมาณห้าหกร้อยกิโลกรัมได้ ส่วนอีกชิ้นใหญ่มาก คงจะประมาณหนึ่งตันกว่าได้ หากจะขัดถูเจียระไนผิวหินออกมาทั้งหมด คงจะใช้กระบวนการทำไม่น้อยเลย
“ไม่ต้องใช้เครื่องเจียระไนหรอก พวกเราอย่าทำตัวเป็นพวกใจเสาะเลย” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“หา?” จ่านป๋ายมองเธออย่างไม่เข้าใจ หินหยกทั้งสองชิ้นราคามหาศาล ต้องค่อยๆ ระวังในการเจียระไนออกมา ถึงจะไม่มีผลเสีย
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเจ้าเล่ห์ “ใช้เครื่องผ่าหยกแล้วกัน พวกเราตัดไปตรงๆ”
“แล้วถ้าตัดผิดไปจะทำยังไง?” จ่านป๋ายถาม เขาไม่เข้าใจในการผ่าหยก แต่เขารู้มูลค่าของหยก โดยปกติ ซีเหมินจินเหลียนให้เขาทำยังไง เขาก็ทำตามที่เธอบอก
“หินหยกทั้งสองชิ้นนี้ใหญ่พอ ถ้าตัดผิดไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “พวกเราลองเปิดออกมาดู ถ้าข้างในมีหยกจริง พวกเราก็ค่อยทำเหมือนปอกผิวฟักแล้วกัน ค่อยๆ เอาเปลือกทั้งหมดออก แบบนี้ก็สะอาดไร้ที่ติแล้ว?”
“คุณพูดถูก” จ่านป๋ายพยักหน้า เขาเกือบจะพลาดพลั้งไปแล้ว ชอบคิดแต่ว่าหยกมูลค่าแพงมหาศาล แต่ไม่ได้คำนึงถึงขนาดเล็กใหญ่ หินหยกทั้งสองชิ้นนี้ถึงจะตัดลงไป ตัดสีเขียวออกมาก็ไม่มีอะไรน่าแปลก ขอแค่เปิดออกมาก็พอแล้ว
แต่ว่ามองหินสองชิ้นนี้ จ่านป๋ายก็นิ่งอึ้งไปอีกครั้ง หินหยกทั้งสองชิ้นนี้ใหญ่พอควร ถึงจะใช้เครื่องผ่าหยกจัดตำแหน่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาคนเดียวจะทำได้
แปลกแหะ แต่ก่อนที่เขามา ห้องใต้ดินของซีเหมินจินเหลียนก็เต็มไปด้วยหินหยกชิ้นใหญ่ๆ เธอคนเดียวตัดหินหยกได้ยังไง? หินหยกที่ดูเหมือนจะหนักถึงสองตัน ถึงจะพูดว่าเธอเป็นผู้หญิงแกร่งก็เถอะ แต่เรื่องแบบนี้แม้ว่าจะเป็นผู้ชายก็ไม่มีทางที่จะย้ายหินให้ขยับได้ เรื่องแบบนี้เธอก็คงไม่สามารถขอคนอื่นให้มาช่วยเหมือนกัน
“คุณมัวแต่เหม่ออะไรอยู่?” ซีเหมินจินเหลียนหยิบเครื่องปอกหินอัตโนมัติออกมาจากมุมห้อง “รีบมาช่วยหน่อยสิ”
“ใหญ่ขนาดนี้จะย้ายยังไงกันครับ” จ่านป๋ายถาม
“พวกเราใช้เครื่องนี้ในการผ่า ทำให้เปลือกผิวปอกออกมาก็เป็นอันสำเร็จ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “นี่เป็นสิ่งที่ฉันคิดขึ้นมา ไม่อย่างนั้น หินหยกที่หนักอึ้งแบบนี้ ฉันจะตัดออกมาได้ยังไง?”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 38 ตำนาน
ใช้วิธีปอกลอกผิวหินหยกของซีเหมินจินเหลียน ถึงแม้ว่าจะเสียของไปนิดหน่อย แต่ก็ใช้ได้เลยทีเดียว ท่าทางของจ่านป๋ายดูคล่องแคล่วกว่าเมื่อเทียบกับซีเหมินจินเหลียน เขาใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันก็สามารถปอกผิวหินทั้งสองชิ้นออกมาได้หมด
หินหยกชิ้นหนึ่งมีน้ำหนักประมาณหนึ่งตัน เห็นได้ชัดว่าเป็นสีม่วงดอกไลแอค ขั้นบนสุดมีลายสีเขียวมรกต เพียงแต่ไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีความลึกตื้นหนาบางขนาดไหน จ่านป๋ายก็ไม่แน่ใจ ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวของเธอจนอยากก้มตัวลงคำนับ สีเขียวมรกตจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่แต้มอยู่บนสีม่วงก็พิสูจน์ได้แล้วว่าหินหยกชิ้นนี้เป็นสีผสม เพียงแต่ว่าสีม่วงดอกไลแอคมีเยอะกว่าเท่านั้น
ส่วนอีกชิ้นนั้นเป็นชนิดแก้วไร้สี แต่ตรงกลางมีเส้นคาดแต่งแต้มสีคั่นไว้ระหว่างหยก
“จินเหลียน ชิ้นนี้สวยดีนะครับ…” จ่านป๋ายใช้ไฟฉายพลังสูงส่องแสงฉายไฟไปที่หยกฮกลกซิ่วชิ้นนั้น ภายใต้หยกชนิดแก้วที่โปร่งใส คั่นกลางด้วยเส้นสีที่มีความกว้างประมาณสี่นิ้ว สีสันสดใสทั้งแดงเขียวม่วง สมบูรณ์แบบอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ความเข้มของสียังสว่างจ้าโปร่งใส
“นี่ก็คือหยกฮกลกซิ่วในตำนานน่ะหรือ?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เคยเห็นลายเส้นหยกที่งดงามขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่ที่เคยพบเคยเห็นมา ยังจะหาสีที่ไหนที่สดใสขนาดนี้ได้อีกหรือ
“จินเหลียน ถ้าทำเป็นกำไลคงสวยมากแน่ๆ” จ่านป๋ายชื่นชม สำหรับหยกสีเขียวมรกต ช่วงที่ผ่านมาที่เขาติดตามเธอนั้นก็ได้พบเจออยู่บ่อยครั้ง ขนาดสีที่หายากอย่างหยกสีเลือด เขายังไม่สนใจ แต่หยกฮกลกซิ่วที่สีสันดึงดูดแบบนี้ กลับทำให้เขาตกหลุมรักอย่างไม่รู้ตัว
“ถ้าหากไร้สีสามารถรวมเป็นสีอีกชนิดได้ หยกชิ้นนี้ก็ถือว่าเป็นฮกลกซิ่วแห่งโชค” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มพลางหยิบเครื่องวัดมาทำการวัดสัดส่วน
“เสียดายชิ้นนี้มีเพียงแค่สีม่วง สีเขียวเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่” จ่านป๋ายหันหน้าเข้าไปคุยกับหินก้อนเล็กนั่น แม้ว่าปากจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ในใจก็ยังตะลึงไม่หาย หยกก้อนเล็กคือใช้มาตรฐานของฮกลกซิ่วตั้งไว้ เพราะก้อนนั้นหนักถึงหนึ่งตัน แต่ก้อนนี้น่าจะแค่ห้าหกร้อยกว่ากิโลกรัมเห็นจะได้
หยกทั้งก้อนเป็นคริสตัลโปร่งใส มองข้ามผิวหินออกไป ข้างในก็เผยให้เห็นสีม่วงใสบริสุทธิ์จากตื้นลงลึก มองแล้วสร้างความประทับใจให้กับคนที่พบเห็นเป็นแน่ ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอทำได้ยังไง? หยกชั้นดีเนื้องามพวกนี้ ชีวิตทั่วไปคงพบเจอได้ยาก แต่ตอนนี้ภายในห้องใต้ดินของเธอกลับมีเต็มไปหมด?
คิดดูแล้ว ในนี้ก็รวบรวมหยกสีเลือด สีเขียวสด ม่วงดอกไลแอครวมไปถึงหยกสีสันต่างชนิดเอาไว้ แน่นอนเขาไม่รู้ว่ามีหินหยกก้อนหนึ่งที่ไม่ได้ใหญ่มาก ข้างในมีหยกสีเหลืองไว้อยู่ ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พิศวาสสีเหลืองชนิดนี้ อีกทั้งไม่มีใครระบุว่าต้องการสิ่งนี้ เธอเลยวางกองไว้ที่มุมห้องไม่ได้ทำการเจียระไนออกมา
“จ่านป๋าย คุณอย่ามัวเล่นอยู่เลย รีบเอาหยกชิ้นนั้นมาตัดจากตรงกลางเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนเตรียมตัวจะเซอร์ไพรส์เขา ภายในหินหยกก้อนนั้นมีหยกสีสดดึงดูดคนไว้อยู่ หยกสีเขียวและสีม่วงดอกไลแลค ความรู้สึกของฤดูใบไม้ผลิที่แท้จริง สีผสม…
“หา?” จ่านป๋ายสับสน เขาได้แต่รับผิดชอบในการเจียระไนหิน ในเรื่องตัดผ่าหินไม่ใช่เรื่องที่เขาถนัดเท่าไหร่
“จากตรงกลาง แล้วก็ค่อยๆ ตัดลงไปตามแนวสีหยก” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางหยิบปากกาไฮไลต์มาทำสัญลักษณ์ไว้ ตามที่เธอใช้ความสามารถพิเศษในการมองทะลุผ่าน ข้างในน่าจะมีเส้นลายหยกสีม่วง ถ้าตัดจากมุมนี้ลงไปก็จะสามารถรักษาหยกให้คงสภาพไว้ทั้งหมด จากนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็สะดวกในการหยิบใช้วัตถุดิบ
ฝีมือในการตัดของจ่านป๋าย ระมัดระวังมากกว่าเธอพอตัว ถ้าหากทำไม่ดีอาจจะทำให้ตัดหยกเอียงได้ ความเสียหายคงมหาศาล เพราะฉะนั้นงานที่ต้องใช้เทคนิคในตัว ให้จ่านป๋ายจัดการถึงจะสมควร
“จินเหลียน ผมจะทำได้หรือครับ?” จ่านป๋ายถาม นี่เป็นวัตถุดิบหยกที่ประเมินราคาได้ยาก ถ้าขืนยังตัดต่อไป มันก็เป็นเงินทั้งนั้นนะ
“ฉันยังทำได้ แล้วทำไมคุณจะทำไม่ได้ล่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ฉันแค่กลัวตัวเองจะตัดเบี้ยว เลยเรียกให้คุณมาช่วย คุณมีความสามารถในการหั่นเต้าหู้ เลยน่าจะตัดดีกว่าฉันเยอะ “เธอพูดพลางมองไปที่หินหยกที่จ่านป๋ายจัดการไปก่อนหน้านี้ที่วางกองอย่างมีระเบียบที่มุมห้อง
“โอเค ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกผมแล้วกันว่าจะเริ่มตัดจากตรงไหนดี!” จ่านป๋ายพูด
ซีเหมินจินเหลียนกำลังวัดขนาดอยู่คร่าวๆ ไม่นานจ่านป๋ายก็มาพร้อมแรงใจฮึดสู้หยิบเครื่องตัดไว้ เขาเป็นคนที่เห็นโลกกว้างมาเยอะ แน่นอนใจไม่เสาะอยู่แล้ว ใบมีดกำลังตัดลงไป
เมื่อรอให้ใบมีดหยุดหมุน สองวันได้แต่รีบร้อนแทบรอไม่ได้ พื้นผิวสะอาดเรียบ รอยที่ตัดเรียบเนียนลื่นไหล ที่ซีเหมินจินเหลียนพูดไว้ไม่ผิด การตัดหินของจ่านป๋ายใช้ความระมัดระวังอย่างสูง เมื่อเทียบกับเธอที่ฝีมือการตัดแสนธรรมดา
อีกด้านของผิวที่ถูกตัดออกมา เป็นสีม่วงดอกไลแอคใสบริสุทธิ์ อีกฝั่งของสีม่วงมีหยกสีเขียวมรกตขนาดความกว้างสองนิ้วมือเห็นจะได้ ความหนาน่าจะเท่าๆ กัน เป็นลายเส้นพาดสีม่วงดอกไลแอคไว้อยู่ ตาแพรวพราวทุกครั้งเมื่อได้เห็น
“สวยมากเลยครับ!” จ่านป๋ายพูด
“จะสวยกว่านี้อีก รีบมาช่วยกันตัดดูอีกสักครั้งเถอะ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“โอเค ยินดีรับใช้ครับ!” จ่านป๋ายพูดแล้วรีบเดินเข้าไป
เมื่อข้ามผ่านหยกแก้วไร้สีก็จะสามารถเห็นลายเส้นสีหยก ครั้งนี้จ่านป๋ายไม่ต้องรอให้ซีเหมินจินเหลียนคอยสั่งการก็รู้แล้วว่าควรจะตัดลายเส้นสีหยกนี้ออกมาได้อย่างไร เมื่อมีดได้ลงไปก็ตัดลงไปในจุดที่เหมาะสม
จ่านป๋ายยื่นมือไปสัมผัสคริสตัลใสนั่น สีสันสดใสทั้งสามสีเลย เขาเอ่ยชมไม่หยุดปาก” ไม่รู้จริงๆ ว่าหยกก่อตัวมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง มันช่างสวยเย้ายวนสายตาเหลือเกิน?
ซีเหมินจินเหลียนเห็นแล้วก็ใจสั่นแรงระรัวเช่นกัน สำหรับทฤษฎีเรื่องการรวมตัวของหยก แน่นอนวิทยาศาสตร์ย่อมอธิบายได้ แต่เธอยังรู้จักอีกตำนานที่แสนงดงาม
ตอนนั้นเธอลากเก้าอี้แล้วนั่งลงพลางถามจ่านป๋ายไปว่า “คุณยังจำผู้เฒ่าหูคนนั้นได้ไหม”
“ผู้เฒ่าที่ดูสติแปลกๆ ทำไมผมจะจำไม่ได้ล่ะครับ”
“หยกทั้งสองชิ้นนี้ ต่างเป็นของสะสมที่มีมูลค่าของผู้เฒ่าหู แต่ครั้งนี้เขาส่งไปประมูล วันนั้นเขาเล่าเรื่องหนึ่งให้ฉันฟัง เกี่ยวกับตำนานของหยก คุณสนใจที่จะฟังหรือเปล่า” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มถาม
“ผมจำได้ว่าครั้งก่อนผมเคยถามคุณ แต่คุณก็ไม่ได้พูดอะไร”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มพร้อมส่ายหัว สายตาหันไปมองหินหยกก้อนนั้น วันนั้นเธออุตส่าห์รวบรวมจิตใจอันแรงกล้าเพื่อเอาชนะหินหยกพลังชั่วร้ายที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับมองข้ามความงดงามของตำนานไป
“ตามตำนานจีนเล่าขานมาว่า ฟ้าเบื้องบนได้มีช่องโหว่เกิดขึ้น มีเทพธิดาคนหนึ่งฝึกหินเพื่อช่วยปิดรอยหลุมนี่ ใช่ไหม?”
“อือ…” จ่านป๋ายนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ตำนานเทพเจ้าเล่าขานกันมาเนิ่นนาน แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าเชื่อถือ
“ผู้เฒ่าหูบอกว่าในตำนานนั้นตำแหน่งที่เทพธิดาเติมเต็มรอยโหว่ที่อยู่ด้านบนก็คือประเทศพม่าในตอนนี้ ในตำนานตอนนั้นพม่าก็ถูกจัดว่าอยู่ในประเทศจีนใช่ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามไปอีกรอบ
“อืม!” สำหรับเรื่องนี้จ่านป๋ายไม่อยากจะโต้แย้งอะไร สำหรับตำนานเทพเจ้าที่อยู่ในพม่าจะจัดรวมอยู่ในประเทศจีนหรือเปล่า นั่นเป็นเรื่องบองนักประวัติศาสตร์ที่จะสืบค้นหา แต่ตอนนี้เขาทำหน้าที่แค่รับฟังอย่างเดียว
“ฟ้าแยกออกจากกัน เทพธิดาเล่นหินเพื่อจะปิดท้องฟ้าที่เป็นรูนั่น ตอนแรกไม่สำเร็จ แต่ภายหลังหินที่ถูกเทพธิดาฝึกอยู่พวกนั้นกลับกลายมาเป็นหยกในปัจจุบันนี้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “มันก็เป็นแค่เรื่องเล่าที่ไม่รู้จะเชื่อถือได้แค่ไหน แต่ฉันก็ไม่เคยได้ยินตำนานแบบนี้มาก่อน”
“ผู้เฒ่าท่านนั้นช่างแต่งเรื่องไร้สาระเก่งจริงๆ ไม่แปลกที่เขาใช้แซ่หู[1]” จ่านป๋ายพูดไปแล้วหยุด จากนั้นจึงเริ่มพูดต่อ ”แต่ว่าตำนานของจีนที่ว่าเทพธิดาใช้หินปิดหลุมโหวของฟ้า กลับเป็นที่รู้จักของคนหลายหน้า ถ้าที่ดังหน่อยก็คงจะเป็นเรื่องความฝันในหอแดง[2]”
“นั่นก็เป็นเรื่องไร้สาระอีกเหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเขาพูดถึงความฝันในหอแดง ในใจก็ตื่นเต้นพูดออกไป”ฉันจำได้ว่าในเรื่องความฝันในหอแดง หยกของเจียเป่าอวี้เป็นคริสตัลห้าสี ใสสว่างเหมือนน้ำค้าง กลัวว่าจะเป็นแต่หยกนี่สิ”
จ่านป๋ายคิดตามที่เธอพูด “หยกชิ้นนั้นแข็งมาก น่าจะเป็นหยกมรกต ผมจำได้ว่าตอนที่อ่านหนังสือ ในนั้นพูดถึงเจียเป่าอวี้ต้องการที่จะทำลายหยกอยู่หลายครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ พิสูจน์ได้ว่าความแข็งของหยกสูงพอควร แต่หยกชั้นดีนั่นไม่ได้มีความแข็งได้ถึงขนาดนี้”
“ได้ยินมาว่า หินหยกก้อนนั้นคือก้อนที่เทพธิดาไม่ได้ใช้เพื่อปิดหลุมโหว่ของฟ้า!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ไม่น่าล่ะหยกถึงดูมีมูลค่าสูง คงเป็นเพราะว่าผ่านการฝึกฝนมาจากเทพธิดา!” จ่านป๋ายแตะไปที่หยกสีผสมแล้วพูด ”แต่ว่าในตำนาน เทพธิดาแค่เหลือหินไว้ก้อนหนึ่งที่ไม่ได้ใช้ แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีหยกมากมายขนาดนี้?”
“ผู้อาวุโสคนนั้นพูดจาเพ้อเจ้อ เทพธิดายังฝึกฝนไม่สำเร็จแต่ทำไมมีหยกสีสันมากมายในตอนนี้ สำหรับหินที่ฝึกฝนสำเร็จ ทำให้ฉันอยากจะหาหยกวิเศษชิ้นนั้นให้เจอ ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่แห่งไหน” ซีเหมินจินเหลียนพูด ”เขายังบอกอีกว่า ถ้าในอนาคตมีโอกาส เขาจะให้ฉันออกไปตามหาหยกวิเศษนั่นให้เจอ”
“นั่นไม่ใช่เจียเป่าอวี้เหรอ?” จ่านป๋ายยิ้ม ”ไม่ต้องหาหรอก ไปดูความฝันในหอแดงก็ได้แล้ว”
“ก็แค่พูดไป จะหาหยกวิเศษมาจากไหนได้ล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวยิ้มเยาะ “แต่ผู้อาวุโสคนนั้นดูมีอะไร หยกที่เขาสะสมทั้งหมดล้วนเป็นแต่หยกชั้นดีทั้งนั้น
ครั้งนี้ที่เธอซื้อมาจากผู้อาวุโสหูก็มีหยกสีเลือด สีผสมกับฮกลกซิ่ว ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าผู้อาวุโสหูยังมีหยกที่เหลือสะสมอีกหรือเปล่า ถ้ามีเขาก็เป็นคนที่เก่งกาจใช้ได้ เก่งจนเธอก็ยังสงสัยผู้อาวุโสท่านนี้ก็มีพรสวรรค์ในการมองทะลุผ่านหิน? ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะหาหยกเนื้องามเช่นนี้มาจากไหนกัน
แต่ปัญหาอีกอย่างที่ทำให้ซีเหมินจินเหลียนคิดไม่ตกก็คือ ท่านผู้อาวุโสหูมีสายตาในการเดิมพันหยก ได้ยินมาว่าโรงงานแปรรูปหยกก็เป็นของเขา แต่เขามีของดีขนาดนี้ทำไมถึงไม่เปิดหินออกมาดูเอง นี่ก็น่าแปลก
ถึงจะไม่ได้ทำเป็นเครื่องประดับจากหยก แต่ขายเนื้อหินหยกก็น่าจะกินราคาได้อย่างมาก ไม่น่าจะยอมขายถูกๆ ให้เธอไม่ใช่เหรอ?
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จ่านป๋ายก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ”จินเหลียนมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมไม่ได้บอกคุณมาโดยตลอด”
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ ”เรื่องอะไรเหรอ”
“ตอนที่พวกเราออกจากเจียหยางเตรียมไปยังบ้านเกิดของคุณ ผู้อาวุโสหูก็ตามเรามา”
“คุณว่าอะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนอึ้งอยู่นาน ”เขาตามพวกเรามาทำไม”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน“ จ่านป๋ายส่ายหน้า “ผมเห็นว่าเขาตามติดพวกเรามา แต่ไม่ได้มีเจตนาร้าย เลยไม่ได้พูดอะไรออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เป็นชายชราที่อายุอานามขนาดนั้นแล้ว…”
[1] หู (胡) เป็นแซ่หนึ่งของคนจีน นอกจากนี้ยังมีอีกความหมายหนึ่งที่แปลว่า ไม่มีเหตุผล
[2] ความฝันในหอแดง เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมของจีน
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 39 แท่นหยกหลิงหลง
กำไลเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดในการทำเครื่องประดับ ไม่ต้องใช้ฝีมือมาก แค่เจียระไนและขัดให้วาวก็ได้แล้ว เพราะอย่างนั้นกำไลที่ซีเหมินจินเหลียนทำออกมาก็ใช้เวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น แน่นอนว่ากำไลที่สวยอย่างฮกลกซิ่ว ถ้าเธอไม่ทำเป็นของตัวเองอีกสักวงก็คงจะรู้สึกไม่ดีต่อตัวเอง เพราะฉะนั้นเธอก็ได้ทำตามขนาดของเธอออกมาหนึ่งวง แล้วก็ถอดกำไลหยกประกายดาวระยิบระยับออกไป
เดิมทีหลินเสวียนหลานพูดว่าอยากจะนัดเธอกินข้าว แต่วันนั้นเธอก็มัวยุ่งกับการทำกำไลจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ส่วนหลินเสวียนหลานก็ไม่ได้โทรศัพท์เข้ามาหาเธอเลย…
เมื่อกำไลทำเสร็จแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ตั้งใจให้จ่านป๋ายสั่งทำกล่องพิเศษสำหรับใส่กำไลขึ้นมา ของที่งดงามล้ำค่าขนาดนี้ ไม่สามารถที่จะห่อกับกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ เปื่อยๆ ได้ ถ้าส่งให้คนอื่นยังอีกเรื่อง แต่นี่ขายก็เป็นอีกเรื่อง แน่นอนเธอยังไม่ลืมที่จะหาฉินเฮ่าเพื่อติดต่อเรื่องสมาคมเครื่องประดับอัญมณีในนครเซี่ยงไฮ้ ให้ช่วยออกใบรับประกันให้อีกสองใบ เพื่อเพิ่มราคา
กำไลสองวงนี้หากส่งไปที่สมาคมเพื่อยืนยัน คงจะกระตุ้นความสนใจจากภายนอกไม่น้อย แต่คนที่ทำงานในสมาคมน่าจะมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง พวกเขาไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ยิ่งบวกกับประวัติของฉินเฮ่าเข้าแล้วคงไม่มีใครกล้าทำอะไร รองประธานเหลียงจากสมาคมเครื่องประดับอัญมณีหยกในเมืองเซี่ยงไฮ้เป็นคนการันตียืนยันสินค้า คงจะรับประกันความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง
ทุกเรื่องถูกจัดเตรียมอย่างเหมาะสม ซีเหมินจินเหลียนโทรศัพท์ไปหาจางจิ้น จางจิ้นรับโทรศัพท์ท่าทางดีใจไม่หาย บอกว่าจะรีบไปหาในทันท่วงที
จางจิ้นคนนี้ความเร็วใช้ได้ ไม่ถึงสามสิบนาทีก็ขับรถมาถึงบ้านซีเหมินจินเหลียนแล้ว
เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนก็ยิ้มถามว่า “คุณซีเหมินมีสินค้าหรือเปล่าครับ” เขาหันไปเห็นข้อมือของซีเหมินจินเหลียนมีหยกแก้วฮกลกซิ่วอยู่ สายตาไม่ละไปไหน
“คุณจางเชิญนั่งก่อนค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนเรียกเขาให้นั่งลง เขาจึงได้เรียกสติคืนกลับมา
“คุณซีเหมิน ขอโทษทีครับ ผมสติหลุดไป กำไลวงนี้ก็สวยมากเลยครับ!” จางจิ้นเรียกสติกลับมาได้แล้วก็ชมความงามไม่หยุด รีบถามไปว่า “แน่นอน คุณก็สวยเช่นกัน! คู่ควรเหมาะสมกับคุณมากจริงๆ เห็นจนผมไม่อยากจะซื้อแล้ว…”
“ทำไมล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
จ่านป๋ายยกชาขึ้นมาเสิร์ฟ จางจิ้นจึงยิ้มให้ “ถ้าหากผมซื้อไปแล้ว คุณซีเหมินคงจะไม่มีใส่ ถ้าอย่างนั้นผมคงทำผิดมหันต์แน่!”
“คุณจางก็พูดเล่นไปค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ จ่านป๋ายถือกล่องผ้าไหมสองกล่องเดินเข้ามา แล้ววางไว้ตรงหน้าจางจิ้น จางจิ้นยังคงไม่เข้าใจ แต่ก็รีบเปิดกล่องออกมาหนึ่งกล่อง
ภายในกล่องนั้นใส่กำไลหยกสีผสมไว้อย่างพอดีเหมาะเจาะ สีม่วงดอกไลแอคถูกแต้มสีด้วยสีเขียวมรกต ทำให้เพลิดเพลินจนหัวใจแทบจะวาย จางจิ้นหยิบออกมาใส่ไว้ในมือ แล้วมองชื่นชมในความงามที่เห็นนี้ “ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นหยกมาก่อน แต่หยกชั้นดีแบบนี้…ก็พบเจอได้บนโลกยากนัก”
“แน่นอนครับ พวกเราก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องประดับหยกชั้นดี” จ่านป๋ายนั่งข้างซีเหมินจินเหลียนแล้วพูดว่า “คุณจางลองดูกำไลอีกวงสิครับ”
“ได้ครับๆ…” จางจิ้นตอบตกลงและท่าทางตื่นเต้นเงอะงะทำตัวไม่ถูกเปิดกล่องอีกอัน กำไลวงนั้นเป็นกำไลหยกฮกลกซิ่วลักษณะเหมือนกันกับซีเหมินจินเหลียนทุกประการ หยกแก้วไร้สี เมื่อรวมแล้วถือว่าเป็นสี่สี คุณภาพสีสดใส แดงเขียวม่วงสามสีก็เข้มสดเสมอกัน สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ
“ถ้าไม่เห็นกับตาตัวเอง ผมก็ไม่เชื่อว่าโลกใบนี้ยังมีหยกที่งดงามสมบูรณ์แบบขนาดนี้อยู่ “จางจิ้นชม
“เห็นทีว่าคุณจางคงจะเป็นคนรักหยกเหมือนกัน กำไลสองวงนี้ถ้าวางขยายในตลาดอัญมณี ราคาคงจะประเมินค่าไม่ได้” ซีเหมินจินเหลียนซ่อนรอยยิ้ม
“คุณจางครับ” จ่านป๋ายหยิบใบรับประกันหยกสองใบออกมา ก่อนจะส่งไปให้เขา “นี่เป็นใบรับประกันราคาหยกของสมาคมเครื่องประดับอัญมณีในนครเซี่ยงไฮ้ครับ”
“อ้อ ครับ” จางจิ้นรับมา เขาก็เคยรู้จักกับคนในสมาคมมาก่อน เพียงมองก็รู้ว่าใบรับประกันนั้นไม่ใช่ของปลอม ความจริงแล้วตั้งแต่ที่จ่านป๋ายวางกำไลสองวงลงตรงหน้าเขานั้น เขาก็รู้แล้วว่าของตรงหน้าไม่มีทางเป็นของปลอมได้อย่างเด็ดขาด เพราะอย่างนั้นถึงจะมีใบรับประกันหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน
“คุณซีเหมินครับ ผมก็ต้องการกำไลวงนี้” จางจิ้นพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “คุณบอกเลขที่บัญชีผมมา แล้วผมจะโทรศัพท์บอกทางธนาคารให้โอนเงินให้คุณ เป็นอย่างไรครับ?”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตกลง การค้าที่ซื้อง่ายจ่ายคล่องแบบนี้ อีกทั้งอีกฝ่ายก็มีความสุข ก็หาได้ยากยิ่งนัก
จางจิ้นเดินออกไปโทรศัพท์ข้างนอก ก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้ง เขานั่งลงบนโซฟา ถามขึ้นยิ้มๆ ว่า “ว่ากันตามหลักแล้ว ผมที่เป็นผู้ชายคงไม่ค่อยเหมาะสมนักหากจะถามเกี่ยวกับเครื่องประดับส่วนตัวของสุภาพสตรี เพียงแต่ว่า…ผมก็แปลกใจจริงๆ ครับ ตอนที่ผมมาครั้งนั้น ผมเห็นว่าที่ข้อมือของคุณสวมกำไลไว้วงหนึ่ง คิดว่าคงเป็นกำไลหยกใช่หรือเปล่าครับ?”
ตอนที่เขาเห็นกำไลหยกที่เปล่งประกายระยิบระยับบนข้อมือของซีเหมินจินเหลียนนั้น ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าเป็นเครื่องประดับจากโรงงานทั่วๆ ไป แต่ตอนนี้เมื่อมาย้อนคิดดูอีกทีแล้วก็ต้องตกใจขึ้นมา ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าหยก อีกอย่างยังเป็นหยกชั้นดี แล้วกำไลบนข้อมือของเธอจะเป็นของจากโรงงานได้อย่างไรกัน?
แต่ว่าหยกที่สามารถเปล่งประกายได้ เขาก็กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน จางจิ้นกลับไปหาข้อมูล รวมทั้งสอบถามคนอื่นๆ แต่ว่าก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่สำคัญเลย วันนี้เมื่อได้มาพบกันอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อดถามออกไปไม่ได้
“คุณหมายถึงหยกประกายดาวหรือคะ?” หลังจากซีเหมินจินเหลียนชะงักไปเล็กน้อย เธอก็นึกขึ้นมาได้ ตั้งแต่ที่เธอทำกำไลประกายดาวเสร็จ เธอก็ใส่มันไว้บนข้อมือมาโดยตลอด จนกระทั่งเร็วๆ นี้ถึงได้เปลี่ยนมาใส่กำไลหยกฮกลกซิ่วแทน
“ประกายดาว?” จางจิ้นออกแรงตบเข่าฉาด ก่อนจะพูดชื่นชมขึ้นว่า “เป็นชื่อที่ดีจริงๆ ครับ! เหมือนกับประกายของดวงดาว คุณซีเหมิน นั่นก็เป็นหยกเหมือนกันหรือครับ?”
“ใช่แล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบ “เพียงแต่ว่าฉันก็ไม่ขายหรอกนะคะ ถ้าหากคุณจางอยากได้ ลองดูเป็นชิ้นอื่นดีกว่าค่ะ”
“ถ้าผมจะขอดูใกล้ๆ ได้หรือเปล่าครับ?” จางจิ้นถามขึ้น
ซีเหลินจินเหลียนได้ฟังแล้วก็ให้จ่านป๋ายขึ้นไปยิ้มกำไลหยกประกายดาวลงมา กำไลวงนั้นเธอก็เก็บไว้ในกล่องเช่นเดียวกัน ตอนที่ซีเหมินจินเหลียนเปิดกล่องออก แล้วส่งไปตรงหน้าของจางจิ้น เขาก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายสายตาออกไปได้เป็นนาน
ประกายดาว นี่ก็เปล่งประกายแสงเหมือนกับดวงดาวจริงๆ ด้วย สวยงามจนเหมือนกับไม่ใช่ของจริง ยามที่เขายื่นมือออกไปสัมผัสนั้น ก็รู้ว่าเป็นหยกบ่อเก่าจากพม่าจริงๆ เพียงแค่หยกนี้ เพียงแค่สัมผัสอันเรียบลื่นนี้ก็ไม่มีอะไรมาทดแทนได้แล้วจริงๆ
ตอนนั้นเสียงโทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขึ้น เมื่อหยิบออกมาดูก็เห็นว่าเป็นธนาคารที่โทรมาแจ้งว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีของเธอจำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวน สำหรับลูกค้ารายใหญ่แบบเธอ แน่นอนว่าธนาคารต้องเอาใจใส่เป็นอย่างมาก เมื่อมีเงินก้อนใหญ่โอนเข้าหรือโอนออก พนักงานของทางธนาคารต้องโทรมาแจ้งเสมอ
“คุณจางคะ กำไลสองวงนั้นก็เป็นของคุณแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นยิ้มๆ “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ขายกำไลประกายดาว แต่คราวหน้าหากคุณต้องการสินค้าตัวไหน ก็สามารถจองได้เลยนะคะ หรือว่าถ้าคุณต้องการสั่งทำเป็นพิเศษก็ไม่มีปัญหาค่ะ…อย่างเช่นพวกเครื่องประดับสลักชื่อ อะไรแบบนั้นก็ได้ค่ะ”
จางจิ้นยังรู้สึกเสียดายกำไลประกายดาววงนั้นไม่หาย เขาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นว่า “คุณซีเหมินครับ ที่นี่ก็มีหยกสีแดงด้วยหรือเปล่าครับ” สำหรับของล้ำค่าอย่างหยกประกายดาวนั่น หากได้เห็นสักครั้งหนึ่งในชีวิตก็ถือว่าโชคดีเป็นอย่างมากแล้ว หากคิดอยากจะได้เอามาไว้ในครอบครอง ไม่ใช่แค่ว่ามีเงินก็จะซื้อหามาได้ แต่ก็ต้องมีโชคด้วย
“หยกสีแดงเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ต้องการแบบไหน ชนิดไหนคะ”
จ่านป๋ายเก็บกำไลแสงดาวไว้แล้วพูดว่า “พวกเรามีชนิดน้ำแข็งสีแดงอมชมพู อันนั้นเหมาะสมกับคนระดับปานกลางสวมใส่ ถ้าหากคุณต้องการ เราก็มีหยกสีเลือดอยู่ครับ”
“หยกสีเลือด?” จางจิ้นถามอย่างสงสัย ชื่อนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเลย หรือว่าในนิยามของหยกสีแดง จะมีหยกสีคล้ายเลือดอยู่ไหนนั้น?
จ่านป๋ายมองไปทางซีเหมินจินเหลียนและอธิบายว่า “ได้ยินมาว่า ในหยกสีแดง หยกสีเลือด หยกสีไฟล้วนเป็นตระกูลหยกสีแดงชั้นดีอย่างไม่ต้องสงสัย คุณจางน่าจะรู้ว่าหยกสีเลือดเป็นหยกคุณภาพดี ถ้าหากคุณสนใจผมจะไปนำสินค้าตัวอย่างมาให้คุณดูครับ”
ถึงจางจิ้นจะไม่มีความสนใจ แต่เขาก็อยากจะเห็นหยกสีเลือดในตำนานสักครั้ง ดังนั้นจึงรีบพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว “แน่นอนอยู่แล้วครับ”
ตอนที่จ่านป๋ายถือดอกบัวสีแดงออกมาวางไว้ข้างหน้าของจางจิ้น แววตาของจางจิ้นก็ไม่ละสายตาไปไหนเลย…
หยกสีเลือดอย่างที่คิด สีสันสดใสบริสุทธิ์กำลังดี ฝีมือการแกะสลักของซีเหมินจินเหลียน กลีบดอกบัวแต่ละชั้นสะท้อนให้เห็นถึงความพิถีพิถันราวกับมีชีวิตอยู่จริง
“นี่คือดอกบัวไฟสีแดงแห่งความชั่วร้าย!” ซีเหมินจินเหลียนอธิบาย” แต่ว่าชิ้นนี้ฉันได้ติดต่อกับบริษัทประมูลจินติ่งไว้แล้ว” ถึงแม้ว่าดอกบัวไฟสีแดงแห่งความชั่วร้ายจะมีสองดอก แต่ดอกนั้นใหญ่กว่าหน่อย เธอตั้งไว้ประดับที่หัวเตียง ไม่ได้คิดจะขาย
“ถ้าผมสั่งทำสีนี้ สามารถรับประกันว่าคุณภาพเนื้อหยกจะเหมือนกับดอกบัวแดงนี้หรือเปล่าครับ” จางจิ้นหยิบดอกบัวสีแดงมาอย่างระมัดระวัง
“แน่นอนค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “เพียงแต่คุณจางอยากจะสั่งทำแบบไหนหรือคะ”
“คุณซีเหมินรู้จักพวงแท่นหยกหลิงหลงหยกไหมครับ” จางจิ้นถาม
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า แท่นหยกหลิงหลงหยกโบราณทำไมเธอจะไม่รู้จักล่ะ?
จางจิ้นพูด “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบสิบปีการจากไปของภรรยาผมแล้ว ผมหวังว่าอยากจะออกแบบแท่นหยกเพื่อตั้งไว้หน้าสุสาน”
ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายไม่เข้าใจ ดูไม่ออกว่าจางจิ้นคนนี้จะเป็นคนมีความผูกพัน ซีเหมินจินเหลียนคิดเลยถามไปว่า “คุณจางต้องการให้สลักอะไรลงไปบนนั้นหรือเปล่าคะ อย่างเช่นชื่อของภรรยาคุณ?”
“ชื่อไม่ต้องหรอกครับ” จางจิ้นส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มีประโยคหนึ่งที่ผมชอบมาก ผมอยากให้คุณซีเหมินช่วยสลักประโยคนั้นลงไปก็พอครับ”
“อ้อ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม “ประโยคอะไรหรือคะ”
“ความลุ่มหลงอยู่ได้ไม่นาน คนที่โดดเด่นเกินไปก็มักถูกคนรังแก ผู้มีคุณธรรมนอบน้อมควรจะจิตนิ่งสงบ” จางจิ้นพูดพลางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกยาวใหญ่
ซีเหมินจินเหลียนรู้ความหมายของประโยคนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนทำธุรกิจอย่างเขา จะมีเรื่องราวที่คล้ายกับบทละครนิยายด้วย แถมยังให้แกะสลักลงบนแท่นหยกอีก ถือว่าเป็นสมบัติตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น…
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 40 อยู่บ้านทำกับข้าว
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า อายุขนาดนี้เฝ้าแต่คิดถึงภรรยาที่จากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสน่ห์ของคำที่มีความหมายนั่น มันช่างไม่มีสิ้นสุดยิ่งนัก
“ต้องการรูปทรงแบบไหน ขนาดเล็กใหญ่ยังไงคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม หยกชนิดเดียวกันแต่ขนาดไม่เท่ากัน ราคาก็ย่อมแตกต่างเป็นธรรมดา
“เอ่อ…” จางจิ้นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดออกมา ”คุณซีเหมินจินเหลียน เดี๋ยวผมกลับไปหาคนร่างแบบ พร้อมกับบอกลักษณะและขนาดส่งให้คุณพร้อมกัน คุณว่าอย่างไรครับ? คุณบอกหมายเลขแฟกซ์กับผมแล้วกัน”
“ตกลงค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบตกลง ของแบบนี้จางจิ้นคงอยากจะทำให้เป็นทรัพย์สมบัติสืบทอดของตระกูล คงจะทำแบบลวกๆ ไม่ได้ ส่วนเรื่องการหาคนมาวาดแบบให้ เธอย่อมเข้าใจดี
เมื่อส่งจางจิ้นกลับไปแล้ว อารมณ์ของซีเหมินจินเหลียนก็สดชื่นขึ้นมา ขายกำไลสองวงเงินสดที่ได้มาย่อมเพิ่มขึ้นอีกร้อยล้าน ถ้ายิ่งขายขลุ่ยหยกและดอกบัวสีแดงออกไป คิดๆ เงินที่กำไว้ในมือคงจะพอแล้ว
“เสี่ยวป๋าย ตอนเย็นพวกเราออกไปกินข้าวฉลองกันสักหน่อยเป็นอย่างไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“อืม ผมก็กำลังคิดอยู่เลยครับ…” จ่านป๋ายยิ้ม ”ตอนนี้ผมไม่มีพรสวรรค์ในการทำกับข้าวแล้วจริงๆ”
ส่วนซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ พวกเขาสองคนเคยทำอาหารตามสูตรก็แล้ว แต่สิ่งที่ออกมาถึงจะไม่ได้ดำไหม้เกรียมจนกินไม่ได้ แต่รสชาติก็ไม่อร่อยคล้ายกับตามร้านอาหาร ทำได้แค่แค่นกินอย่างเดียว ถ้าหากมีธุระพวกเขาทั้งสองคนก็จะอยู่ที่บ้านไม่ออกไปไหน แต่ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ซีเหมินจินเหลียนก็ไม่อยากที่จะทำร้ายตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“โอเคครับ คุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวผมไปเอารถออกมารอ” จ่านป๋ายยิ้ม
ระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะขึ้นไปด้านบนนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา จ่านป๋ายเห็นดังนั้น คิ้วก็ย่นขมวดเข้าหากันอย่างไม่ต้องสงสัย ขอให้ไม่มีคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเข้ามาทีเถิด…
แต่ว่ายิ่งจ่านป๋ายกลัว สิ่งนั้นก็ยิ่งเข้าหา
ซีเหมินจินเหลียนกดปุ่มรับสาย จ่านป๋ายแอบได้ยินว่าเป็นเสียงของหลินเสวียนหลาน “จินเหลียน ว่างหรือเปล่าครับ?”
“ว่างค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบ
“ผมเข้าไปกินข้าวกับคุณได้ไหม” หลินเสวียนหลานยิ้ม
“ฝีมือการทำอาหารของฉันกับจ่ายป๋าย เกรงว่าไม่น่าจะอร่อยหรอกนะคะ…” ซีเหมินจินเหลียนสีหน้าอมทุกข์ “ไม่อย่างนั้น เราออกไปกินข้าวข้างนอกกันดีกว่าไหม ฉันเลี้ยงพี่เอง?”
“ไม่ต้องหรอก ผมไม่อยากออกไปกินข้างนอก พวกเราออกไปซื้อวัตถุดิบกันดีกว่า ผมรับผิดชอบทำอาหารเอง จินเหลียนตอนนี้ผมอยู่ที่ประตูหน้าบ้านของคุณ…” หลินเสวียนหลานยิ้ม
ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะทำอย่างไร เธอได้เพียงแต่รีบวิ่งไปเปิดประตู ในทางกลับกันจ่านป๋ายก็กัดฟันกรอดอย่างไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วจะมาที่นี่ทำไมกัน เดทที่คิดไว้อย่างดิบดี กลับถูกเขาทำลายลงแบบนี้ แล้วยังจะมาขอร่วมวงกินข้าวด้วย เขาคิดได้ยังไง
หลินเสวียนหลานใส่เสื้อสูทสีน้ำเงินทั้งชุด แววตาที่แสนอบอุ่นราวกับพระอาทิตย์ตกในฤดูใบไม้ร่วงช่วงแรก เหมือนกับเทพบุตรส่งลงมาให้เกิดก็ไม่ปาน ซีเหมินจินเหลียนมองนิ่งอยู่นาน ในใจมีคำพูดของขงจื้อลอยเข้ามาหนึ่งประโยค ความชื่นชอบในสิ่งสวยงาม เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์…
คนที่คุณสมบัติเพียบพร้อมขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายต่างยอมรับ เธอไม่ใช่คนบ้า เมื่อเห็นดาราชายหล่อๆ ในโทรทัศน์ก็ยังต้องมีใจเต้นแรงกันบ้าง ยิ่งลักษณะภายนอกของหลินเสวียนหลาน ไม่มีสิ่งไหนเปรียบเทียบได้จริงๆ
จ่านป๋ายลอบด่าเขาอยู่ในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ…
“เป็นไงมาไงถึงว่างมาหาพวกเราได้ล่ะ” จ่านป๋ายยิ้มด้วยสีหน้าชั่วร้าย
หลินเสวียนหลานสับสน ทำไมถึงเป็นบ้านของเขาไปได้ล่ะ ไหนจะคำว่าพวกเราอีก? บอดี้การ์ดจู่ๆ ก็ตีตนเสมอเจ้านายแล้วหรือ แต่ว่าเขาไม่ใช่ฉินเฮ่า ที่อยู่ๆ จะไปมีเรื่องกับจ่านป๋ายซึ่งๆ หน้า เช่นนั้นจึงได้แต่ยิ้มแล้วพูดออกไปว่า “คิดถึงจินเหลียน ผมก็เลยมาหาน่ะ ช่วงนี้ที่บ้านมีแต่เรื่องวุ่นวายไปหมด…ผมทนดูต่อไปไม่ไหว อยากหาสถานที่เงียบๆ หลบผู้คนสักหน่อย แถมที่นี้ค่อนข้างใช้ได้ หรือว่าคุณจ่านไม่ยินดีต้อนรับเหรอ?”
ถ้าหากไม่มีซีเหมินจินเหลียนอยู่ข้างๆ ด้วย จ่านป๋ายคงจะไม่พูดคำว่า ‘ยินดี’ อย่างเด็ดขาด แต่นี่เมื่อเห็นท่าทางดีอกดีใจของเธอ บวกกับคำพูดจาสุภาพของเขาที่ทำให้คนตกหลุมรัก บางครั้งก็หมดหนทาง เหมือนกับไม่มีแรงที่จะไปต่อกรได้…
“ยินดีสิครัล!” จ่านป๋ายหลีกทางและให้เขาเข้ามา
“จินเหลียน พวกเราออกไปซื้อชากันเถอะ กลับมาผมจะทำกับข้าวให้!” หลินเสวียนหลานถาม “คุณอยากกินอะไร เดี๋ยวผมทำให้คุณกินเอง”
“คุณทำกับข้าวเป็นเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ จ่านป๋ายก็เหมือนกัน หลินเสวียนหลานทำกับข้าวเป็น แม้ว่าการขับรถของเขาจะสู้ฉินเฮ่าไม่ได้ และยังสู้เขาไม่ได้เช่นกัน แต่เขาคือคุณชายแห่งบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ ย่อมมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ตั้งแต่เด็ก คิดไม่ถึงเขาจะทำกับข้าวเป็น
“ก่อนที่คุณแม่ของผมจะจากไป ท่านก็เคยสอนผมเป็นวิชาติดตัวเอาไว้ เพียงแต่หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ค่อยมีเวลาได้ลงมือทำ ไม่รู้ว่าฝีมือจะถอยหลังหรือเปล่า ตอนนี้ได้เวลาทดสอบพอดี ยังไงย่านหลานกุ้ยนี้ก็มีตลาดสดอยู่ คงจะดีถ้าซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารทานเองกัน” หลินเสวียนหลานพูด “ถ้าออกไปกินข้าวข้างนอก รสชาติตามร้านอาหารก็มีแต่รสเดิมๆ ร้านอาหารดังตามโรงแรมก็คงไม่อร่อยเท่าตัวเองทำหรอกครับ”
ซีเหมินจินเหลียนคิดไม่ถึงว่าหลินเสวียนหลานจะทำกับข้าวเป็นด้วย นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของเธอ ถ้าอย่างนั้นก็ดี! ในเมื่อเขาอยากจะลอง พวกเราก็ให้โอกาสเขาสักหน่อย แถมการที่ให้ผู้ชายหล่อเหลาไปเดินเล่นที่ตลาดสดก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปตลาดสดกันค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางเรียกหลินเสวียนหลาน
เพราะว่าระยะทางไม่ไกล อีกทั้งยังอยู่ในบริเวณย่านหลานกุ้ย ซีเหมินจินเหลียนจึงพาหลินเสวียนหลานไป อีกทั้งยังตั้งใจมอบหมายหน้าที่ให้จ่านป๋ายออกไปซื้อข้าวสารมาหนึ่งกระสอบ
หลินเสวียนหลานเตรียมตัวอำพรางตัว จึงหยิบแว่นตากันแดดสีดำขึ้นมาใส่ แว่นตาปิดบังหน้าเขาไว้เกือบครึ่งหน้า แต่ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทีงุ่มง่ามของเขา เสริมกับท่าทางที่ไม่คุ้นเคยกับตลาดสกปรกเปรอะไปด้วยกลิ่นสารพัด เขาไม่รู้เลยว่าจะย่างเท้าเดินต่อไปทางไหนดี เห็นแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา…
ครั้งหน้า ครั้งหน้าเธอจะพาฉินเฮ่าหรือไม่ก็จ่านป๋ายมาด้วยกัน ให้พวกคุณชายที่ไม่สนใจเรื่องแบบนี้มาลองเห็นโลกอีกใบของชีวิตคนธรรมดา อืม ไม่ใช่สิ เมื่อก่อนจ่านป๋ายก็เคยทำกับข้าว เขาอาจจะเคยมาที่ตลาดนี้แล้วก็ได้ ไม่จำเป็นต้องพาเขามาสัมผัสกับบรรยากาศนี้อีกครั้งแล้ว
หลินเสวียนหลานกำลังมองซีเหมินจินเหลียนจับจ่ายซื้อวัตถุดิบอย่างหลากหลาย ต่อรองเพื่อราคาหนึ่งเหมากับเจ้าของร้าน ในใจก็รู้สึกประหลาดยิ่งนัก โดยทั่วไปซื้อขายกันด้วยเงินหลักหลายล้าน ไม่เคยเห็นเธอจะต่อรองแบบนี้…
เขาก็ทำกับข้าวได้จริงๆ แต่เมื่อก่อนเป็นเพราะว่าคนรับใช้ที่บ้านเป็นคนเตรียมของให้ ส่วนหน้าที่ซื้อวัตถุดิบ ไม่ใช่เรื่องของเขาที่ต้องรับผิดชอบ
ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทีของเขาแล้วก็หัวเราะ เขาทำกับข้าวเป็นจริงใช่ไหมเนี่ย? ดูเหมือนเป็นคนที่ไม่เคยมาเหยียบตลาดมาก่อนเลย
ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะรอซีเหมินจินเหลียนเลือกซื้อของทุกอย่างจนเสร็จ หลินเสวียนหลานแสดงความเป็นสุภาพบุรุษช่วยเธอถือถุงเล็กใหญ่ ทั้งสองคนเตรียมตัวจะกลับ เมื่อผ่านร้านค้าก็แวะซื้อของสัพเพเหระ
“เป็นยังไงบ้างคะ ความรู้สึกในการมาจ่ายตลาดไม่เลวเลยใช่ไหม?” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะคิกคัก
“ยังพอไหว…” หลินเสวียนหลานยิ้มอย่างกระดากอาย เพราะว่าความคิดไปซื้อของมาทำกับข้าวเป็นความคิดของเขาแท้ๆ นี่จะโทษใครไม่ได้ แต่ว่าตลาดสดทำไมถึงได้ดูน่ากลัวขนาดนี้นะ แม้ว่าเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อน ใช้แว่นกันแดดปิดบังใบหน้า แต่ก็ยังมีป้าคอยมองเขาอย่างไม่ละสายตา มองเขาจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว…
แต่สิ่งที่ทำให้เขารับไม่ได้เห็นจะเป็นมีคนพวกหนึ่งใช้โอกาสที่ซีเหมินจินเหลียนจ่ายเงิน ลูบไล้มือของเธอ…เขาก็เกลียดจนอยากจะเอามีดฆ่าหมูมาฆ่าคน
“งั้น…ถ้ามีเวลาเรามากันใหม่ดีไหมคะ?” ซีเหมินจินเหลียนส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับถามเขาขึ้น
“อย่า…” หลินเสวียนหลานส่ายหัว “ตลาดสดก็น่ากลัวจริงๆ”
“น่ากลัว?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “คุณเป็นลูกคุณหนู ถ้าหากคุณไม่ใช่ลูกชายของตระกูลหลิน ก็คงต้องหลีกเลี่ยงสถานที่แบบนี้ไม่ได้” แม้กระทั่งต่อรองราคากับแม่ค้า ประโยคนี้เธอไม่ได้พูดออกไป
เธอรู้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่มักจะรับไม่ได้กับตลาดสดที่แสนสกปรกเช่นนี้ เมื่อก่อนเธอก็เคยพาหวังหมิงเหยามาด้วยกัน ทั้งๆ ที่ฐานะครอบครัวปานกลาง แต่เขาทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายและรับไม่ได้ ยิ่งคุณชายหลินก็เหมือนกัน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเสนอมา เธอก็คงไม่มีความรู้สึกเลวร้ายเช่นนี้
หลินเสวียนหลานไม่พูดอะไรต่อ ส่วนซีเหมินจินเหลียนได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดว่า ”ถ้ามีวันนั้น วันที่พวกเราไม่เหลืออะไร ถึงตอนนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำงาน รองรับอารมณ์เจ้านาย โดยสารรถสาธารณะที่แออดัก ไปตลาดสดซื้อกับข้าว…”
“เพราะอย่างนั้น เพื่อที่จะไม่ต้องมีวันเวลาเหล่านั้น ผมจะพยายาม!” หลินเสวียนหลานแบกของน้อยใหญ่แล้วกระซิบเธอไปว่า ”จินเหลียนผมรู้นะครับ”
“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขารู้อะไร? เธอก็แค่รู้สึกอะไรก็พูดไปแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยยากจน ความจริงแล้วตอนที่เธอยังเป็นเด็กน้อย แทบที่จะจนกว่าคนจนด้วยกันด้วยซ้ำ
เธอเคยแออัดเบียดเสียดกับผู้คนบนรถโดยสาร ต่อรองราคากันที่ตลาด ใส่เสื้อผ้าราคาตลาดนัด รองรับอารมณ์ของคนอื่น แต่ชีวิตตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนเมฆหมอกในภวังค์ บางครั้งตื่นขึ้นมา ยังคงคิดไปว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องเช่าหลังเท่ารูหนู ได้แต่กังวลว่าเมื่อไหร่ที่จะถึงเวลาจ่ายค่าเช่า…
ส่วนตอนนี้นั้นมองโคมไฟแขวนจากคริสตัล สัมผัสเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้ ตกแต่งบ้านด้วยสไตล์คลาสสิก คิดดูยังไงเธอก็เหมือนแค่แขกที่ผ่านมาเยี่ยม ไม่ใช่เจ้าของบ้าน
“ใส่กำไลราคาเจ็ดสิบล้านมาต่อรองราคาแค่หนึ่งเหมา สนุกมากไหม?” สายตาของหลินเสวียนหลานตกไปอยู่ที่กำไลข้อมือหยกฮกลกซิ่วของเธอพร้อมบ่ายหน้า
“ใครจะไปคิดว่าเป็นของจริงกัน คนอื่นๆ ก็คงคิดแค่ว่าเป็นแก้วธรรมดาทั่วไป” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม กำไลที่สวยขนาดนี้คงไม่มีใครคิดว่าเป็นของจริงหรอก
เมื่อกลับไปที่คฤหาสน์ของซีเหมินจินเหลียน หลินเสวียนหลานก็ได้ผ่อนลมหายใจออกมา เขาเห็นจ่านป๋ายนั่งอยู่ที่โซฟากำลังดูโน้ตบุ๊ค เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมาแล้วเลยยิ้มถามไปว่า ”วันนี้ผมจะลองเป็นคุณชายแล้วกัน รอกินก็พอใช่ไหม?”
“รีบมาช่วยกันสิ คุณยังจะแอบขี้เกียจอีก?” ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี “ฝีมือในการตัดเต้าหู้ของคุณไม่เลวเลย ดูท่าทางแล้วฝีมือในการหั่นผักก็คงใช้ได้เลย”
หลินเสวียนหลานถอดชุดสูทออกเรียบร้อยแล้วเพื่อเตรียมตัวเข้าครัว จ่านป๋ายกำลังเข้าไปช่วยแต่กลับได้ยินเสียงกดกริ่ง ก็บ่นพึมพำไปว่า ”ป่านนี้แล้วคงจะไม่ใช่ว่ามีใครมาร่วมวงกินข้าวกันอีกนะ?”
ประตูถูกเปิดออก กลับเป็นลู่เฟยอวี๋และหลินเซียนเอ๋อร์ ยืนสีหน้าเย็นยะเยือกอยู่ที่หน้าประตู
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 41 งานวันหมั้น
สายตาของจ่านป๋ายจ้องไปยังลู่เฟยอวี๋กับหลินเซียนเอ๋อร์ หลินเซียนเอ๋อร์สวมใส่ด้วยชุดกระโปรงเดรสสีขาวไข่มุก แต่งหน้าโทนสีอ่อนสบายตา หน้าตาละหม้ายคล้ายกับหลินเสวียนหลาน แต่แค่มีความชดช้อยสมบูรณ์แบบมากกว่า
สองพี่น้องตระกูลหลินรูปลักษณ์สวยหล่อจริงอย่างที่ตาเห็น จ่านป๋ายแอบคิดในใจ ส่วนลู่เฟยอวี๋สวมใส่กระโปรงเดรสเช่นกัน เพียงแต่ว่าเป็นสีฟ้าอ่อนปลายกระโปรงค่อนข้างบานฟูฟ่อง ให้ความรู้สึกถึงการแต่งตัวสไตล์จีนโบราณ
นี่น่าจะเป็นสีและทรงกระโปรงในแบบที่หลินเสวียนหลานชอบ จู่ๆ จ่านป๋ายก็เหมือนจะคิดปัญหาอะไรได้ขึ้นมา เมื่อกี้ตอนที่หลินเสวียนหลานมาก็ใส่ชุดสูทสีน้ำเงิน ข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวสลับฟ้า…ดูแล้วเหมือนชุดพิธีการอะไรสักอย่าง
“คุณผู้หญิงทั้งสอง ขับรถมาถึงบ้านที่นี่กลางดึกแบบนี้ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือครับ” จ่านป๋ายยิ้ม ในใจมีความคิดชั่วร้ายปรากฎขึ้นมา หลินเสวียนหลานทำอะไรกันแน่ ทำไมดวงตาของผู้หญิงทั้งสองคนนี้ราวกับจะมีไฟปะทุออกมา?
“หลินเสวียนหลานอยู่ที่นี่ใช่ไหม” ลู่เฟยอวี๋ถามออกมาตรงๆ
“อยู่ครับ!” จ่านป๋ายพูดไปแล้วก็เปิดทางให้เข้ามา “เขาอยู่ในครัวกำลังยุ่งกับการทำกับข้าวอยู่ คุณผู้หญิงทั้งสองคนคงไม่ได้จะมาร่วมวงกินข้าวกับพวกเราหรอกนะ ความจริงผมไม่ค่อยอยากจะต้อนรับเท่าไหร่”
ลู่เฟยอวี๋ไม่ได้ให้ความสนใจกับจ่านป๋าย เธอจูงมือหลินเซียนเอ๋อร์ให้เดินเข้าไปข้างในด้วยกันกับตนแล้วพูดตะเบ็งเสียงให้ดังขึ้น “หลินเสวียนหลาน คุณรีบออกมาเลยนะ!”
หลินเสวียนหลานสวมใส่ผ้ากันเปื้อนเดินออกมาจากในห้องครัว เขารู้ว่าลู่เฟยอวี๋จะต้องมาหาเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำขนาดนี้ “มีอะไร”
“พี่ พี่คิดจะทำอะไรกันแน่?” หลินเสวียนเอ๋อร์ยกชายกระโปรงแล้วเดินเข้าไปหาหลินเสวียนหลาน ขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่ก็รู้ดีแก่ใจว่าวันนี้เป็นวันหมั้นของพี่กับพี่เฟยอวี๋ แต่ทำไมพี่ถึงหนีออกมา?”
ซีเหมินจินเหลียนนั่งอยู่บนโซฟาอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมทั้งกลอกตาชมละครดราม่าที่อยู่ตรงหน้า วันหมั้น? ที่แท้วันนี้ก็เป็นวันฤกษ์งามยามดีระหว่างหลินเสวียนหลานกับลู่เฟยอวี๋ แล้วเขาจะหนีมาหาเธอทำไมกัน
“ฉันรับปากเมื่อไหร่ว่าจะแต่งงานกับลู่เฟยอวี๋?” หลินเสวียนหลานแค่นเสียงเหอะออกมา เขาเคยคุยกับหลินเจิ้งมาก่อนแล้วว่าเขาไม่ยินยอมที่จะแต่งงาน แถมยังพูดเรื่องเลิกอย่างชัดเจนกับลู่เฟยอวี๋แล้ว
“พี่ พี่กำลังพูดอะไรอยู่รู้ตัวหรือเปล่า” หลินเซียนเอ๋อร์ถามอย่างโกรธเคือง “พี่กับพี่เฟยอวี๋หมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กๆ เติบโตมาด้วยกัน วันนี้เรื่องมาถึงขั้นต้องเจรจาเรื่องงานแต่งงาน แถมคุณปู่ก็ป่วยอาการโคม่าหนัก รอคอยที่จะเห็นพวกพี่ลงเอยกันด้วยดี…”
หลินเสวียนหลานส่ายหน้า แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยทะเลาะกับใคร และก็ไม่อยากพูดจาให้มากความด้วย เพราะอย่างนั้นจึงหันหลังกลับเข้าไปในห้องครัว
“หลินเสวียนหลาน คุณหมายความว่ายังไง?” ลู่เฟยอวี๋เดินเข้ามาขวางทางเขาไว้ ที่จริงงานหมั้นไม่ควรจะเรียบง่ายขนาดนี้ แต่เพราะคุณปู่หลินป่วยหนัก การเจรจาของหลินเหวินและตระกูลลู่เลยต้องยืมการแต่งงานของพวกเขาทั้งคู่มาแก้หน้า บางทีถ้าคุณปู่ดีใจจนอาการดีขึ้นมา อาการป่วยอาจจะมีโอกาสฟื้นกลับมา…
ตระกูลลู่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ให้สิทธิในการพูดกับหลินเสวียนหลาน ทั้งสองตระกูลได้ตกลงกันไว้แล้ว ไหนจะหาฤกษ์งามยามดีพร้อมเสร็จสรรพ จัดงานพิธีเล็กๆ กันเองในบ้านตระกูลหลิน นี่ก็เรียกว่างานหมั้นแล้ว
แขกที่มาเยือนก็มีแค่ญาติสนิทมิตรสหายของคนทั้งสองตระกูล แต่ทว่าระหว่างก่อนที่งานจะเริ่ม ลู่เฟยอวี๋เดินหาทั่วบ้านก็ไม่เจอแม้แต่เงาของหลินเสวียนหลาน
ในห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลิน ได้ยินเสียงของญาติมิตรถามไถ่ ในใจของเธอก็ราวกับถูกโจมตีอย่างหนัก ในขณะนั้นไม่รู้ว่าความรู้สึกในชีวิตเป็นอย่างไรกันแน่ ตลอดเวลาเขาเป็นคนที่ทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง แต่ผู้ชายที่สุภาพอ่อนโยนอย่างเขา ทำไมถึงได้หนีไปต่อหน้าแขกมากมาย แล้วทิ้งให้เธอต้องอับอายขายขี้หน้าอยู่คนเดียวแบบนี้? ก่อนเกิดเรื่องก็ไม่เห็นจะทำท่าทางที่ผิดสังเกตอะไร
“ผมจะทำอาหารให้ซีเหมินจินเหลียน” หลินเสวียนหลานมองไปทางลู่เฟยอวี๋ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ทำอาหารให้เธอ?” ไม่ใช่แค่ลู่เฟยอวี๋ที่อยากจะบ้าคลั่ง แม้แต่หลินเสวียนเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ตอนที่คุณแม่ยังอยู่ เขามีทักษะในการเรียนทำอาหารมาไม่น้อย แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาแทบจะไม่ได้จับตะหลิวถือกระทะเข้าครัวเลย อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ถึงคุณปู่จะอยากกินกับข้าวฝีมือเขาแค่ไหนก็ไม่มีทางได้ลิ้มรส
แต่ตอนนี้ไม่คิดเลยว่าเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว เขาจะถลกแขนเสื้อพร้อมสวมเสื้อกันเปื้อน นี่ก็เกินไปแล้ว วันนี้เป็นงานวันหมั้นของเขานะ
ลู่เฟยอวี๋นิ่งงันอยู่เป็นนาน หลินเสวียนหลานก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องครัว เธออยากจะเจอเขาเพื่อที่จะถาโถมอารมณ์เข้าใส่ แต่เธอก็รู้ว่าตามนิสัยของหลินเสวียนหลานนั้นเป็นอย่างไร เขากับหลินเซียนเอ๋อร์ไม่เหมือนกันสักนิด ถึงเธอจะหาเรื่องเขาอย่างไร แต่ปฏิกิริยาของเขาก็นิ่งเงียบไม่พูดจาสักประโยค มองอย่างเงียบๆ อยู่แบบนั้น…
หากอยากเจอเขาเพื่อชวนทะเลาะ แต่มันคงจะง่ายกว่าถ้าไปหาเรื่องทะเลาะกับก้อนหิน
ในห้องครัวมีเสียงของมีดดังออกมา ถ้อยคำสุภาพอ่อนโยนส่งเสียงถามซีเหมินจินเหลียนว่า “จินเหลียน กระดูกหมูนี่จะเอาไปทำต้มซุปหรือว่ากระดูกหมูผัดซอสดีครับ”
“คุณว่ายังไงก็ตามนั้นเลย!” ซีเหมินจินเหลียนยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ไม่รู้ว่าหยิบกรรไกรตัดเล็บมาจากไหน ก่อนจะค่อยๆ ตะไบเล็บของเธอ
“ซีเหมินจินเหลียน สิ่งที่เธอเคยพูดเชื่อถือได้บ้างไหม?” ลู่เฟยอวี๋หันไปค้อนถามเธอ
“เชื่อได้ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้ารับ “คุณลู่เชิญนั่งก่อน ฉันกับคุณหลินเราเป็นเพื่อนกันมาจนถึงตอนนี้ เป็นเพื่อนร่วมธุรกิจ ฉันมีแฟนแล้ว คุณก็รู้ คุณคิดดูสิขนาดงานหมั้นของพวกคุณ เขายังไม่เชิญฉันเลย” สำหรับเรื่องที่ลู่เฟยอวี๋ต้องขายหน้าเพราะคู่หมั้นหายตัวหนีไปจากงานหมั้นนั้น เธอก็รู้สึกเห็นใจ แต่ถ้าหากจัดการเรื่องวันนี้ไม่ดีแล้วละก็ เกรงว่าลู่เฟยอวี๋คงต้องเกลียดเธอไปตลอดชาติแน่ๆ
เวลานี้ วิธีที่ดีที่สุดของเธอคงจะเป็นการทำตัวให้เป็นคนนอก
“คุณลู่น่าจะทราบ ตอนแรกคุณหลินก็เป็นคนแนะนำให้ฉันรู้จักการเดิมพันหยก เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าเข้าจะมากินข้าวสักมื้อ ฉันก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรได้ ใครจะสามารถไล่เขาออกไปได้ตรงๆ กัน จริงไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา บางทีเธอน่าจะไปโน้มน้าวหลินเสวียนหลานให้กลับไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ น่าจะยังทันอยู่
เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองเวลา ก็เห็นว่ายังเร็วไป แต่เมื่อคิดว่าประมาณหกโมงน่าจะถึงเวลางานหมั้น ก็น่าจะยังเพิ่งเริ่มต้น
“เธออย่ามาพูดไร้สาระนะ!” หลินเซียนเอ๋อร์พุ่งตัวไปประจันหน้ากับซีเหมินจินเหลียน ชี้หน้าเธอแล้วพูดว่า “ตั้งแต่ที่พี่ฉันรู้จักสุนัขจิ้งจอกอย่างเธอ เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้ หึ อย่าคิดนะว่าไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องการอะไร ไม่ใช่ว่าเธออยากแต่งงานกับพี่ชายฉันหรอกเหรอ? ตอนวันเกิดคุณปู่ของฉัน เธอก็ส่งของขวัญราคาแพงมาให้ นั่นก็ไม่ใช่เพราะอยากจะประจบคนแก่ๆ อย่างท่านหรือไง?”
“คุณปู่อายุเจ็ดสิบปีแล้ว อีกทั้งยังชอบหยก และหยกชิ้นนั้นก็เป็นหยกที่ฉันได้มาจากการชนะเดิมพัน ราคาไม่เกินหนึ่งหมื่น สำหรับฉันแล้วราคานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ซีเหมินจินเหลียนมองไปยังเธอแล้วส่ายหน้า “คุณหลิน ขอให้คุณรู้ไว้ด้วยว่าฉันมีแฟนแล้ว!”
ใช้จ่านป๋ายมาเป็นไพ่บังหน้า มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
“เขา?” หลินเซียนเอ๋อร์ขมวดคิ้วถาม “เขาไม่ใช่บอดี้การ์ดของเธอเหรอ”
“เซียนเอ๋อร์ เธออย่าทำให้คนอื่นต้องหัวเราะเยาะไปมากกว่านี้เลย!” หลินเสวียนหลานเดินออกมาจากในครัว แล้วมองไปทางหลินเซียนเอ๋อร์ “ประธานใหญ่ของจินติ่งกรุ๊ปอย่างคุณชายใหญ่ตระกูลจ่าน จ่านมู่หรงน่ะเหรอจะมาเป็นบอดี้การ์ดของคนอื่น? บนโลกใบนี้ก็ไม่มีใครเชิญเข้ามาเป็นบอดี้การ์ดได้หรอกนะ”
“ทำไมผมถึงรู้สึกว่า ปากของฉินเฮ่านั้นก็รั่วยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีกนะ?” จ่านป๋ายส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ ฉินเฮ่ารู้พื้นหลังของเขา แต่หลินเสวียนหลานไม่น่าจะค้นหาเจอ
ซีเหมินจินเหลียนสติเลื่อนลอยอยู่นาน ประธานเของจินติ่งกรุ๊ป? คุณชายตระกูลจ่าน? บริษัทประมูลจินติ่ง หรือว่าวันนั้นที่ฉินเฮ่าปล่อยเขาไว้หน้างาน แต่เขาก็เข้าไปได้ นั่นเป็นเพราะว่าเขาเป็นประธานบริษัท
แต่ว่าจ่านป๋ายทำอะไรกัน? สำหรับเรื่องคนดังในตระกูลไฮโซ เธอเข้าไม่ถึงจริงๆ
ไม่นานหลินเสวียนหลานก็พูดประโยคหนึ่งออกมาที่ทำให้ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกอยากจะขว้างถ้วยชาทิ้งซะ “แป้งมันอยู่ไหนเหรอ”
ซีเหมินจินเหลียนฉุกคิด บ้านเธอมีแป้งมันด้วยเหรอ? จ่านป๋ายก็เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน “เหมือนผมจะจำได้ว่าเคยซื้อมา แต่ลืมแล้วว่าวางไว้ที่ไหน ผมไปหาดูก่อนแล้วกัน” ระหว่างที่พูดไปเขาก็เผ่นหนีไปที่ห้องครัว ตั้งอกตั้งใจหาแป้งมันเป็นพิเศษ หลินเสวียนหลานจึงเดินตามเข้าไป
เหลือผู้หญิงสามคนอยู่ในห้องด้วยกัน บรรยากาศภายในห้องรับแขกก็เงียบสงัด ไม่มีใครยอมปริปากพูดอะไรออกมา
ถ้าหากจ่านป๋ายเป็นคนธรรมดา ลู่เฟยอวี๋อาจจะไม่เชื่อคำพูดของเธอ แต่ถ้าจ่านป๋ายเป็นจ่านมู่หรง ประธานใหญ่ของจินติ่งกรุ๊ป คุณชายจ่านป๋ายอย่างที่ว่า ซีเหมินจินเหลียนคงจะไม่ได้พูดจาหาข้ออ้าง ไร้สาระหรอก
ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายอยู่ด้วยกัน นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้
เรื่องที่เธออยากจะหาเรื่องทะเลาะกับซีเหมินจินเหลียน คงทำได้แต่ระบายความอัดอั้นภายในใจ ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นคนบ้าไร้เหตุผล เธอมีแฟนและอยู่ด้วยกันกับแฟน แถมแฟนยังอยู่ข้างกายตลอด…
หลินเสวียนหลานเป็นแค่เพื่อนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นแขกที่บ้านของเธอ เธอเลยไม่มีเหตุผลที่จะหาทางไล่เขาออกไป
แต่ว่า เธอควรจะทำยังไง? จะให้ญาติมิตรเพื่อนสหายหัวเราะเยาะเธออย่างนี้เหรอ คู่หมั้นหายในงานหมั้น …
ส่วนหลินเซียนเอ๋อร์ที่ถูกลู่เฟยอวี๋บังคับให้มา เมื่อรู้ว่าจ่านป๋ายคือจ่านมู่หรงก็ได้แต่ยืนทื่ออยู่ตรงนั้น จนกระทั่งจ่านป๋ายเดินเข้าไปในห้องครัว เธอก็ยังเหม่อลอยไม่ได้สติกลับมา
ลู่เฟยอวี๋หันหลังเตรียมตัวเดินออกไปข้างนอก
ในความมึนงงของหลินเซียนเอ๋อร์ก็ได้แต่รีบวิ่งตามเธอไป “พี่เฟยอวี๋…พี่จะไปไหน”
“ฉันจะกลับบ้าน!” หน้าของลู่เฟยอวี๋เต็มไปด้วยไอร้อนผ่าว หรือว่าคนอย่างเธอลู่เฟยอวี๋จะไม่ได้แต่งงานแล้ว? แม้แต่ตายตามเขาไปก็คงเป็นไปไม่ได้?
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่บ้านทำยังไงดีล่ะคะพี่” หลินเซียนเอ๋อร์ค้างอยู่นาน ลู่เฟยอวี๋ก็จะกลับบ้าน อย่างนั้นงานหมั้นคืนนี้จะเป็นอย่างไรต่อ?
“นั่นเป็นเรื่องของที่บ้านเธอ เกี่ยวอะไรกับฉัน?” ลู่เฟยอวี๋แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น ทิ้งหลินเซียนเอ๋อร์เอาไว้แล้วหมุนตัวเดินจากไป
หลินเซียนเอ๋อร์ยืนทื่ออยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เมื่อซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทีว่าพวกเธอทั้งสองคนกำลังจะกลับ จึงเดินไปทางห้องครัวเห็นจ่านป๋ายกำลังช่วยหั่นผัก ส่วนหลินเสวียนหลานใส่ผ้ากันเปื้อนพับแขนเสื้ออยู่ ท่าทางราวกับเป็นเชฟอย่างแท้จริง
“พี่หลิน คุณลู่กลับไปแล้ว แล้วพี่ไม่กลับเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียน
“กินข้าวเย็นกันก่อน รอให้ผมตุ๋นซุปให้เสร็จก่อนนะ คุณไม่ต้องไล่ผม เดี๋ยวผมก็ไป วางใจเถอะ” หลินเสวียนหลานเงยหน้าขึ้นมายิ้ม “ในเมื่อคุณทำกับข้าวไม่เป็น ก็ออกไปรอข้างนอกเถอะ ไม่ต้องช่วยอะไรหรอก”
“แล้วญาติพี่เพื่อนพี่ที่อยู่ที่บ้าน พี่จะปล่อยเขาไว้อย่างนั้นเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างฝืดฝืน
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 42 หยางป๋ายเหลาแสนรูปหล่อ
หลินเสวียนหลานเงยหน้าขึ้นมายิ้ม “ถ้าไม่ปล่อยพวกเขาไป แล้วจะให้ผมทำยังไงเหรอ หรือว่าจะให้ผมกลับไปไล่คนพวกนั้น แม้กระทั่งอาหารเย็นก็ไม่เลี้ยงรับผิดชอบ?”
ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ พร้อมส่ายหัวไม่เห็นด้วย “พี่หลิน ถ้าพี่ไม่อยากแต่งงานกับคุณลู่เฟยอวี๋ นั่นก็เป็นเรื่องของพี่ แต่ว่าพี่จะเอาฉันไปเป็นโล่บังหน้าพี่ไม่ได้ ถ้าพี่เล่นแบบนี้ พี่เห็นฉันเป็นอะไรกัน เมียน้อยที่ทำลายงานแต่งของพี่เหรอคะ?”
หลินเสวียนหลานที่เดิมทีกำลังก้มหน้าก้มตาปรุงรสหมูผัดเปรี้ยวหวานก็ได้เงยหน้าขึ้นมาถาม “คุณยังไม่ได้แต่งงาน ผมก็ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วจะกลายเป็นเมียน้อยได้ยังไงกัน?”
“แต่พี่มีคู่หมั้นแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนอึดอัดใจ นี่มันตรรกะอะไรกัน?
“นี่ คุณหลินครับ คุณเห็นผมไม่มีตัวตนหรือไง” จ่านป๋ายใช้มีดหั่นผักฟาดไปแรงๆ ที่เขียง “เมื่อกี้จินเหลียนก็บอกอยู่ว่าผมเป็นแฟนของเธอ”
หลินเสวียนหลานเห็นมีดที่ปักลงไปที่เขียงลึกอยู่พอควร รับรู้ได้ถึงพลังแห่งการระเบิดอารมณ์ เขาควรจะนิ่งสยบความเคลื่อนไหวเสียดีกว่า
“พี่หลิน พี่กลับไปก่อนดีกว่าค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดหว่านล้อมอย่างระอาใจ “ถึงแม้พี่จะไม่อยากแต่งงานกับคุณลู่เฟยอวี๋ แต่ยังไงพี่ก็ต้องไปหาเธอ ไปอธิบายให้เธอเข้าใจอย่างชัดเจน ไม่ใช่มาหนีปัญหาอยู่แบบนี้”
“ใช่!” จ่านป๋ายเห็นด้วยกับคำพูดของซีเหมินจินเหลียน ถ้าไม่อยากแต่งงานก็พูดออกไปตรงๆ แต่นี่กลับทิ้งคู่หมั้นไว้ในงานคนเดียว ไหนจะทำลายชื่อเสียงของเธอ รวมไปถึงของตัวเองอีก
“หลังจากผมกินข้าวเย็นเสร็จ ตุ๋นซุปเสร็จก็จะกลับไปจริงๆ!” หลินเสวียนหลานพูดอย่างเฉื่อยชา
จ่านป๋ายอยากจะฟาดมีดลงไปที่เขียงเพื่อระบายอารมณ์อีกสักครั้ง แต่กลับเห็นว่าซีเหมินจินเหลียนหันหลังเดินออกไปยังห้องรับแขกแล้ว นี่เขาล้อเล่นอะไรกันอยู่เนี่ย? รอให้เขากินข้าวให้เสร็จอย่างอ้อยอิ่ง กินเสร็จรอให้ตุ๋นซุปให้เสร็จ…เวลาคงเลยเถิดไปถึงเที่ยงคืน งานหมั้นคงล้มเลิกไปนานแล้ว…
แต่เธอก็ทำถูกต้อง ถ้าเอาแต่ไล่เขาให้กลับไป ถึงเขาจะกลับไปจริงๆ แต่ไม่แน่ว่าอาจจะไปหลบอยู่ที่อื่น แล้วใครจะหาเขาเจอ?
ซีเหมินจินเหลียนเปิดโทรทัศน์ในห้องรับแขก ก่อนจะหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดเครื่อง แต่จิตใจของเธอกลับไม่ได้อยู่ที่หน้าจอเลย สมองของซีเหมินจินเหลียนคอยแต่คิดถึงผู้ชายที่มัวแต่รบกวนจิตใจอยู่ในห้องครัวทั้งสองคนนั่น
“เสี่ยวป๋าย!” ซีเหมินจินเหลียนตะโกนเรียกชื่อเขา
“ครับ!” จ่านป๋ายวางมือในสิ่งที่เขาทำแล้ววิ่งออกมา ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “จินเหลียน คุณมีอะไรเหรอ”
ซีเหมินจินเหลียนทำไม้ทำมือชี้ไปในห้องครัวแล้วถามเขาว่า “เอายังไงดี”
“จะผัด ต้มหรือนึ่งดี?” จ่านป๋ายตั้งใจพูด “แต่ได้ยินว่าถ้าใช้เนื้อมนุษย์ทำมันไม่อร่อยหรอก”
ซีเหมินจินเหลียนถูกเขาหยอกล้ออีกแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะด่าออกไป “แม้แต่คุณก็ยังแกล้งฉันเหรอ คุณช่วยฉันคิดเลยว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี”
“ตามใจเขาเถอะ” จ่านป๋ายพูด “ก็แค่เรื่องทิ้งคู่หมั้นไว้ในงานหมั้นไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ปัญหาโลกแตกอะไรสักหน่อย พูดไปแล้วนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย พวกเราก็ใช้นิยามคำว่าเพื่อน ต้อนรับเขากินข้าวด้วยกันสักมื้อก็เท่านั้น แหะๆ!” พูดจบเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ฟังจากที่พูดออกมา ดูเหมือนไม่มีน้ำใจเลยนะ” หลินเสวียนหลานยกหมูผัดเปรี้ยวหวานออกมาแล้ววางไว้ที่ข้างหน้าซีเหมินจินเหลียน พร้อมพูดว่า “คุณอย่าลืมนะว่าพวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน อยู่บนเชือกเส้นเดียวกันอยู่นะ… ”
“นั่นเป็นแค่เรื่องของธุรกิจ เรื่องปัญหาที่บ้านและความรักของคุณ พวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” จ่านป๋ายพูดไปแล้วเอื้อมมือไปหยิบหมูผัดเปรี้ยวหวานเข้าไปในปาก เอ่ยปากชมว่า “รสชาติไม่เลว ถ้าในอนาคตบริษัทตระกูลหลินเกิดล้มละลายขึ้นมา คุณลองพิจารณาเป็นเชฟที่โรงแรมสักที่สิ อย่างน้อยก็ไม่อดตายแล้ว”
หลินเสวียนหลานไม่สนใจในคำพูดกระแทกแดกดันของเขา “เงื่อนไขงานหมั้นของผมกับลู่เฟยอวี๋ก็คือให้โอนชื่อหุ้นของผมห้าสิบเปอร์เซ็นโยกย้ายเป็นชื่อของเธอแทน ผมไม่เห็นด้วยเลยต้องหนีออกมาจากงาน…”
“ทำไมล่ะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าถูกหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก ประกาศออกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นเนื้อคู่กันเหรอ แล้วทำไมพอถึงงานหมั้นกลับใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ?
“ครั้งนี้ที่อารองซื้อหินหยกมาจากงานประมูลเจียหยาง ไม่ฟังคำเตือนจากคุณปู่จู้ สุดท้ายเสียเงินไปตั้งก้อนใหญ่ ส่วนหินหยกที่ซื้อกลับมา เมื่อดูจากลักษณะภายนอกเหมือนจะโอเค แต่พอตัดออกมาแล้วข้างในมีแต่หินสีขาว แถมครั้งนี้ตระกูลของผมใช้เงินสดในการจ่าย เป็นเงินที่ได้มาจากตอนที่คุณปู่แบกหน้าไปยืมมาจากลู่เจิ้ง ท่านบอกว่าจะยืมแค่สองเดือน แต่จนถึงตอนนี้ตระกูลของเราก็ยังหาเงินคืนมาไม่ได้ สิ่งที่แย่ก็คือตอนนี้หุ้นบริษัทตระกูลหลินตกลงมาอย่างฮวบฮาบ ญาติพี่น้องเลยอยากจะพากันขายหุ้นเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสด คุณปู่เลยรับไม่ได้กับเรื่องที่จู่โจมเข้ามากะทันหัน เดิมทีร่างกายก็ย่ำแย่อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งทรุดลงเรื่อยๆ” หลินเสวียนหลานพูด
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับงานหมั้นของพี่คะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างไม่เข้าใจ
“ลู่เจิ้งเหอยืดอกตั้งใจมาทวงเงินคืนจากคุณปู่ พ่อของผมกลัวว่าคุณปู่จะรับการแรงกระทบครั้งนี้ไม่ไหวเลยกีดกั้นไม่ให้พบ อ้างว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำให้ยืดเวลาไปได้สักระยะ ลู่เจิ้งที่เห็นคนล้มแล้วเขาจะไม่ใช้โอกาสนี้ในการโจมตีเหรอ?” หลินเสวียนหลานยิ้ม วันนี้เขาพอจะมองออก ขนาดตระกูลหลินยังไม่ทันได้ล้มลงเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วถ้าวันนั้นมาถึง หลินเสวียนหลานไม่เหลืออะไรเลย เขาจะทำอย่างไร…
“ไม่ใช่ว่าตระกูลคุณไม่มีเงินกู้ธนาคารหรอกเหรอ เวลานี้ถ้ากู้เงินมาจากธนาคาร คงจะไม่มีปัญหาอะไร” จ่านป๋ายขมวดคิ้วเข้าหากัน ถึงบริษัทตระกูลหลินจะกำลังเจอปัญหา แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะตกอับได้ถึงขนาดนี้นี่นา
“ใครบอกคุณว่าไม่มีเงินกู้ธนาคาร?” หลินเสวียนหลานยิ้มอ่อน
จ่านป๋ายมึนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็คิดถึงเรื่องน่ากลัวขึ้นบางอย่างเลยรีบถามไปว่า “ตระกูลคุณคงไม่ได้…”
“ใช่ ตระกูลผมมีหนี้จากธนาคาร เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องที่เปิดเผยออกมา แต่ถ้าหากอยากจะกู้ยืมเงินต่อไปเรื่อยๆ ก็คงจะไม่มีธนาคารหน้าโง่ที่ไหนให้กู้หรอก” หลินเสวียนหลานพูด “คุณซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินก็เท่ากับว่ากำลังรับภาระเงินกู้จากธนาคารของตระกูลเรา…”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็ได้แปรเปลี่ยนไป ถ้าหากบริษัทอัญมณีตระกูลหลินมีหนี้สิ้นจากธนาคารเป็นกองพะเนิน นั่นก็หมายความว่าถ้าเธอซื้อหุ้นหมด เธอก็ต้องรับผิดชอบในการใช้หนี้ที่ติดมาด้วย?
“มีเท่าไหร่คะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
“ไม่เยอะหรอก แค่พระอาทิตย์น้อยๆ ห้าดวง” หลินเสวียนหลานนั่งลงบนโซฟาแล้วโปรยยิ้มออกมา
“นี่เรียกว่าไม่เยอะเหรอ?” จ่านป๋ายมีความรู้สึกอยากจะฆ่าคนขึ้นมา ที่เขาสนใจในบริษัทตระกูลหลินก็เพราะว่าสืบดูข้อมูลแล้วว่าไม่มีหนี้ข้องเกี่ยวทุกชนิด ตอนนี้เมื่อฟังในสิ่งที่หลินเสวียนหลานพูด ได้แต่นิ่งทื่อเป็นหินอยู่อย่างนั้น
“พระอาทิตย์น้อยหมายความว่าอะไรคะ” ซีหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถาม ทำไมฟังประโยคนี้แล้วเหมือนจะดูมีพลังด้านมืดซ่อนเร้นอยู่
“มันคือห้าร้อยล้าน!” จ่านป๋ายสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ “ทำไมครั้งที่แล้วคุณถึงไม่บอกพวกเรา?”
“ผมนึกว่าคุณรู้แล้ว!”
“โชคดีหน่อยที่เป็นห้าร้อยล้าน ไม่ใช่ห้าพันล้าน!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ในใจก็มีความรู้สึกอึดอัด ไม่มีเหตุผลเลย ซื้อหุ้นตระกูลหลินแล้วเธอยังจะต้องรับภาระหนี้ไปอีกห้าร้อยล้าน ระหว่างที่ปากก็พูดออกไป แต่สายตานั้นหันไปจ้องที่จ่านป๋าย เรื่องที่สำคัญขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำผิดพลาดได้?
ถ้าหากเป็นห้าพันล้าน เธอคงต้องไปกระโดดตึกไม่อยากจะใช้ชีวิตอีกต่อไปแล้ว
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมธุรกิจการค้าเป็นเหมือนสนามรบ ถ้าพลาดพลั้งไปไม่ระวังก็อาจจะเสียกระดูกไป คำนี้ดูเหมือนจะมีเหตุผล ดูท่าหากอยากจะทำธุรกิจ เธอคงต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก
“โอเค ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้!” ซีเหมินจินเหลียนมองไปทางหลินเสวียนหลานแล้วถาม “แล้วทำไมงานหมั้นของพี่กับคุณลู่เฟยอวี๋ถึงยังต้องมีการโอนย้ายหุ้นเป็นชื่อเธอด้วย?”
“ตอนนี้พวกเขาเป็นเจ้าหนี้ เฉกเช่นกับหวงซื่อเหรินที่คอยกดขี่คนจน ส่วนคุณชายหลินก็ช่างเหมือนหยางป๋ายเหลา เป็นคนใช้แรงงานที่น่าสงสาร…” เมื่อจ่านป๋ายคิดดู เขาก็เข้าใจในใจความสำคัญของเรื่อง ตอนนี้ตระกูลหลินดูใกล้จะล้มละลายเข้าไปทุกที สำหรับคนชั่วช้าชอบเอาเปรียบคนอื่นอย่างลู่เจิ้งเหอ ตลอดชีวิตทำแต่ธุรกิจ ถึงจะให้ลูกสาวแต่งงานไปก็ไม่ได้ทำให้เธอพบความลำบาก ให้หลินเสวียนหลานโอนชื่อหุ้นไปให้เธอห้าสิบเปอร์เซ็น ภายหน้าธุรกิจก็ย่อมตกเป็นของตระกูลลู่…
ในอนาคตถึงแม้ว่าบริษัทตระกูลหลินจะล้มละลายไปหรือว่าถูกซื้อหุ้น เขาก็สามารถทำเงินได้ด้วยการทิ้งหุ้นไว้ในมือ ไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน
พูดแล้วบริษัทตระกูลหลินถือว่ามีรากฐานก่อตั้งเกือบสิบกว่าปี จะบอกว่าล้มก็ล้มลงได้อย่างนี้เลยน่ะหรือ? ขอแค่บริษัทตระกูลหลินปรับปรุงฟื้นตัวขึ้นมา เขาก็ยิ่งทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
ส่วนหลินเหวินคิดเพียงแค่ว่าถึงหุ้นจะตกไปอยู่ในมือของลูกสะใภ้ มันก็ไม่เห็นมีค่าต่างกัน? ขอแค่ผ่านเรื่องราวที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าก่อนก็ถือว่าขายผ้าเอาหน้ารอด เป็นเพราะแบบนี้เขาเลยขายหลินเสวียนหลานไปอย่างง่ายๆ…
ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วถามตอบกลับไป “ช่างเถอะค่ะ”
“ว่าแต่ที่คุณหลินหนีมาวันนี้ ถ้ากลับไปจะรับผิดชอบกับคุณพ่อของคุณยังไง” จ่านป๋ายถาม
เมื่อฟังคำถามนี้แล้ว หลินเสวียนหลานก็ได้แต่ถอนหายใจเดินหันหลังกลับไปที่ห้องครัว “ผมจะทำปลากะพงราดซีอิ๊วกับผัดผักอีกสักหน่อย พวกคุณก็กินข้าวกันได้แล้ว”
เมื่อเห็นเงาด้านหลังของหลินเสวียนหลานเดินออกไปแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็หันไปถามจ่านป๋ายว่า “เขา…หลินเหวินคงไม่ทำอะไรเขาหรอกใช่ไหม?”
จ่านป๋ายส่ายหน้าแล้วเอื้อมมือไปหยิบหมูผัดเปรี้ยวหวานอีกชิ้น “ผมไม่ใช่พ่อของเขา ผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน แต่ว่าถ้าหากผมเป็นพ่อของเขา ผมก็คงไม่ทำให้เขามารับความลำบากอยู่แบบนี้หรอก”
ซีเหมินจินเหลียนไม่พูดอะไร ในใจได้แต่คาดเดาว่าหลินเหวินคงไม่ทำอะไรหลินเสวียนหลานหรอกนะ? ดูจากลักษณะภายนอกแล้ว หลินเหวินเป็นคนซื่อสัตย์และใจดี ไม่เหมือนหลินเจิ้งที่หยิ่งยโสไม่น่าเชื่อถือ…
“จินเหลียน ถ้าอยากจะช่วยเขาตอนนี้ก็ทำได้แค่ซื้อหุ้นในบริษัทตระกูลหลินให้เร็วขึ้น ขอแค่ควบคุมหุ้นให้อยู่ในมือเรา หลินเหวินก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว” จ่านป๋ายพูด
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเห็นด้วย ไม่น่าล่ะตอนนั้นหลินเสวียนหลานจึงโทรศัพท์มาหาเธอ ให้เธอรีบซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินก่อนที่คุณปู่จะจากโลกนี้ไป…
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ก็น่ากลัวว่าอาการของคุณปู่หลินคงจะไม่ไหวแล้ว
เมื่อคิดเช่นนั้นเธอก็พ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง ตอนที่เจอกันครั้งก่อนสภาพร่างกายคุณปู่หลินยังแข็งแรงอยู่เลย ใบหน้าสีแดงระเรื่อ แต่เมื่อแพ้เดิมพันหินไปครั้งนั้น คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับการแพ้เดิมพันในชีวิต
“หุ้นที่เหลืออยู่ในมือตระกูลหลิน คุณคิดว่าจะจัดการกับมันยังไง” ซีเหมินจินเหลียนถาม
จ่านป๋ายหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดมือแล้วพูดไปว่า “ผมขอเวลาประมาณสองเดือน ไม่อย่างนั้นเงินของผมก็คงแลกเปลี่ยนออกมาไม่ได้ ไม่ใช่ว่าแค่อยากจะซื้อหุ้นตระกูลหลินอย่างเดียว แล้วทำให้จินติ่งกรุ๊ปล้มละลายลง”
ส่วนที่ 4
ตอนที่ 43 หล่อไม่ใช่ความผิดของเขา
ซีเหมินจินเหลียนมองไปยังเขาด้วยความสับสน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จ่านป๋ายก็เช่นกัน เดิมทีที่คิดจะยื่นมือไปหยิบหมูผัดซอสเปรี้ยวหวานอีกครั้งก็ได้นิ่งวางมือลง ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ถามไปว่า “จินเหลียน ทำไมเอาแต่มองผมอยู่อย่างนั้นล่ะครับ?”
“คุณกับคุณชายหลินก็เหมือนกัน กินข้าวเสร็จก็ออกไปให้หมด!” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“อะ…ไร?” จ่านป๋ายยังคงตะลึงอยู่ กินข้าวเย็นเสร็จแล้วให้เขาออกไป จะให้เขาออกไปที่ไหน?
“ตามนั้นแหละ กินเสร็จแล้วก็ออกไปซะ!” ซีเหมินจินเหลียนใช้ตะเกียบเคาะโต๊ะพูดอีกครั้ง
“คุณจะให้ผมไปที่ไหนครับ” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย
“คุณอยากไปไหนก็ไปเถอะ! ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอก็แค่ผู้หญิงโง่เง่าคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ใครที่ไหนสามารถมาหลอกเธอได้ ประธานบริษัทจินติ่งกรุ๊ปมาที่บ้านของเธอเพื่อเป็นบอดี้การ์ด นี่ก็เป็นไปได้เหรอ? เธอยอมให้เขาเป็นแค่ขโมยแล้วมาอยู่กับเธอยังจะดีเสียกว่า
“คุณอย่าเป็นแบบนี้ได้ไหมครับ” จ่านป๋ายยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเป็นแบบนี้…”
“หึ” ซีเหมินจินเหลียนแค่นเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “หรือว่าคุณลืมไปว่าคุณมีบริษัทนี้อยู่? แล้วตอนที่ฉันมีของที่ต้องส่งไปงานประมูล แต่คุณกลับให้ฉันไปหาฉินเฮ่า ทั้งๆ ที่มันเป็นบริษัทของคุณ…คุณเป็นประธานแท้ๆ แต่กลับไม่ทำงานทำการ มัวแต่มาเตร็ดเตร่อยู่แต่บ้านของฉันทำไมกัน ผ่าหินมันสนุกมากนักเหรอ”
จ่านป๋ายเหลือบไปมองที่ห้องครัวแล้วกระซิบพูดว่า “รอให้หลินเสวียนหลานกลับไปก่อนแล้วผมจะอธิบายให้คุณฟัง”
“เหอะ คุณก็ใช้เวลานี้ในการหาเหตุผลมาอธิบายแล้วกัน ไม่อย่างนั้น…” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างจริงจัง
“ไม่อย่างนั้นผมจะเป็นยังไง ผมรู้ครับ!” จ่านป๋ายพูดอย่างไม่เกรงกลัว
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ก็พยายามที่จะกลั้นขำออกมา จ่านป๋ายส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปใกล้เธอ “ผมจะบอกคุณให้นะครับ ถึงคุณทำร้ายผม ยังไงก็สู้ทำร้ายเขาไม่ได้!” พูดไปก็สื่อไปยังคนที่อยู่ในห้องครัว
“เขา…” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ “ทำไมฉันต้องทำร้ายเขา เขาไม่ได้ทำอะไรฉันสักหน่อย?”
“เกิดมาหล่อไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เสน่ห์ที่เย้ายวนนั่น มันทำให้เขาผิด!” จ่านป๋ายยิ้มหัวเราะแหะๆ “ได้ยินมาว่าผู้ชายที่หล่อจะรู้สึกเหมือนถูกทำร้าย”
ซีเหมินจินเหลียนจ้องมองไปที่เขาอยู่นานถึงพูดออกมา “คุณก็เหมือนกัน นั่นก็หมายความว่าฉันควรจะหาโอกาสทำร้ายคุณดูสักครั้ง เพื่อดูว่าคุณจะรู้สึกยังไง”
“ผมยินยอมที่จะถูกคุณกระทำชำเรา” จ่านป๋ายยิ้ม
ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทางดูเหมือนคนเกเรแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา คนแบบนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นประธานของจินติ่งกรุ๊ป ประธานที่ทำตัวลอยชาย ส่วนงานอดิเรกคือชอบถูกทารุณกรรม
“จ่านมู่หรง คุณมานี่หน่อย!” ภายในครัวมีเสียงของหลินเสวียนหลานร้องเรียกออกมา
“โอ้โห ขนาดเขายังเรียกใช้ผม?” จ่านป๋ายทำเสียงชิชะอยู่เบาๆ แล้วถามไปว่า “มีเรื่องอะไร”
“คุณมาดูนี่ คุณหุงข้าวอะไรของคุณ?” หลินเสวียนหลานปรับระดับเสียงให้สูงขึ้น
“หุงข้าว?” จ่านป๋ายยังคงไม่เข้าใจ เหมือนเขาไม่ได้เป็นคนหุงนะ ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเสียงกริ๊งประตูดังพอดี เขาเลยไปเปิดประตู จากนั้นซีเหมินจินเหลียนเลยไปหุงข้าว…
“ฉัน…เหมือนฉันจะลืมกดปุ่มทำงาน…” ซีเหมินจินเหลียนฟังเมื่อครู่ก็นึกขึ้นได้ถึงต้นตอความเป็นมาของเรื่อง รีบวิ่งไปยังห้องครัว เธอแอบดูหลินเสวียนหลานเท่านั้น แต่ผลเหมือนไปทำผิดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้รออาหารเลิศรสอย่างเสียเวลาเปล่า
รีบเดินเข้าไปในครัวเปิดฝาหม้อหุงข้าวออกมา สีหน้าของซีเหมินจินเหลียนก็อึมครึม ภายในหม้อหุงข้าวมีแต่น้ำใส ผสมกับข้าวที่ยังคงเป็นเมล็ดข้าว ไม่มีผ่านการหุงอย่างหอมหวน
“จ่านมู่หรง ไม่น่าล่ะถึงว่าทำไมซีเหมินจินเหลียนยิ่งอยู่ยิ่งผอม เป็นเพราะว่าคุณทำให้เธออดตายแน่!” หลินเสวียนหลานด่าเขา เส้นประสาทที่ตึงเครียดเหมือนกับได้ผ่อนคลายลงมาก็ไม่ปาน
“นี่ไม่ใช่ความผิดของผมนะ เธอเป็นคนหุงข้าว เกรงว่าเธฮจะไม่อยากให้พวกเรากินมากกว่า” จ่านป๋ายสีหน้าอมทุกข์
“อย่างนั้นวันนี้คุณก็ไม่ต้องกินเลย!” ซีเหมินจินเหลียนรีบกดปุ่มทำงาน “ฉันเป็นเจ้าของบ้าน ฉันจะใช้มาตรการโหดเ**้ยมสั่งให้พวกคุณอดตาย”
หลินเสวียนหลานและจ่านป๋ายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ฝีมือของหลินเสวียนหลานไม่เลวเลยทีเดียว มื้อนี้เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่อิ่มหนำสำราญ จ่านป๋ายยังเปิดไวน์แดงออกมาหนึ่งขวด
แต่หลินเสวียนหลานเหมือนมีเรื่องมากมายที่ต้องกลับไปจัดการ เมื่อกินข้าวเสร็จเลยกำชับจ่านป๋ายว่าบนเตายังมีซุปไก่ดำที่ยังตุ๋นไว้อยู่
เมื่อกินข้าวเสร็จซีเหมินจินเหลียนก็จัดเก็บถ้วยชาม ส่วนจ่านป๋ายก็คอยเป็นผู้ช่วยอยู่ไม่ห่าง เมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยซีเหมินจินเหลียนจึงถามไปว่า “จ่านป๋าย ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว คุณก็จะอธิบายกับฉันมาได้หรือยัง”
จ่านป๋ายได้ยินเธอถามคำถามนี้ ก็ปวดหัวขึ้นมา คำถามนี้ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
“ผมยอมรับ จินติ่งกรุ๊ปเป็นของผม นอกจากงานประมูลแล้วยังมีบริษัทเล็กๆ อีกสองบริษัท แต่ว่า…แต่ว่า…” จ่านป๋ายใช้มือลูบคลำผมตัวเอง แล้วก็มองไปทางซีเหมินจินเหลียนอย่างไร้เดียงสา
“ทั้งๆ ที่คุณเป็นถึงประธาน แล้วทำไมทุกวันนี้ถึงต้องมาคอยตามติดฉันเหมือนคนไม่มีอะไรทำด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนรู้ แต่อยากจะได้ยินคำพูดของเขา คำถามนี้ผู้ชายแทบจะไม่รู้ว่าสารภาพยังไง เพราะฉะนั้นเธอเลยใช้กลยุทธ์ในการถาม
“ผมก็แค่มีชื่อไว้ในนามเท่านั้น เรื่องในบ้านผมก็ไม่ใช่คนรับผิดชอบ รอให้บริษัททั้งสองในเครือไม่เหลือแม้แต่ทุนทรัพย์ ผมก็จะให้ล้มละลายไป สิ่งที่ผมต้องการมีแต่งานประมูลเท่านั้น” จ่านป๋ายพูดอย่างเรียบเฉย สิ่งที่พึ่งพูดออกไป แต่ข้างในกลับรู้สึกเสียดาย เรื่องเลวร้ายแบบนี้เขาจะบอกเธอไปเพื่ออะไร?
ซีเหมินจินเหลียนสับสน หรือว่าการที่เขาจะซื้อหุ้นบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ มันเป็นเพียงอุตสาหกรรมภายใต้ชื่อของกลุ่มจินติ่ง จากนั้นใช้วิธีที่แยบยลทำให้ได้มา แล้วล้มละลายลงอย่างย่อยยับ?
“อืม…อย่างนั้นแหละ…” จ่านป๋ายมองเธอที่เหมือนจะกำลังทำท่าทีทำร้ายเขาจึงพูดว่า “บริษัทจินติ่งกรุ๊ปเป็นของพ่อของผม เขาทำมาให้ผม ผมก็แค่มีชื่อในฐานะประธาน แต่ต่อมาก็ได้รับโทษจากพ่อ พ่อเลยเอารายชื่อผมออกไป แต่ว่าช่วงนี้เขาก็ยุ่งจนแทบไม่มีเวลานั่งเลยไม่มีเวลาสนใจผม ผมก็ไม่ใช่คนโง่นะ ในเมื่อไม่มีใครอยู่ในบริษัท แล้วผมจะอยู่ทำไม ส่วนเรื่องที่บริษัทจะล้มละลายหรือเปล่า มันก็ไม่เกี่ยวกับผมเลยสักนิด…”
จ่านป๋ายพูดเหมือนไม่มีอะไร ซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่น่าล่ะที่เขาอยากจะได้หุ้นของบริษัทตระกูลหลินทั้งหมดมาครอบครอง ดูแล้วทางบ้านของเขาก็เหมือนจะทำอะไรเขาไม่ได้
“แต่คุณก็ไม่ต้องโกหกว่าเป็นขโมยก็ได้นี่นา” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา เรื่องนี้ยังไงก็ให้อภัยไม่ได้ พูดจาให้สงสาร หลอกเอาความเห็นใจจากเธอ สุดท้ายก็ใช้เธอมาเป็นช่องทางในการล้างเงิน ไม่ใช่ว่าพอใช้เธอเสร็จก็จะลืมคุณค่า แล้วทิ้งเธอไปหรือ?
“เดิมทีผมก็เป็นขโมยนี่นา!” จ่านป๋ายพูดอย่างไร้เดียงสา “เพียงแต่ผมไม่ใช่ขโมยกระจอก ผมคือ…”
“ถึงคุณจะมีความสามารถขโมยฟากฟ้าบนโลกใบนี้ แต่คุณก็ยังเป็นขโมย!” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น