ความลับแห่งจินเหลียน ส่วน 4 ตอน 127-133

ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 127 เรื่องแปลกที่บังเอิญ

 

คืนนี้ คุณนายซูไม่เพียงแต่ต้องเสียหุ้นบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ไปถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ มิหนำซ้ำยังต้องชดใช้ด้วยเงินสดอีกห้าร้อยล้าน โชคดีที่อัตราต่อรองหนึ่งต่อหนึ่ง ไม่เช่นนั้นคืนนี้เธอคงต้องประกาศล้มละลายเข้าแล้ว ไม่สิ…คืนนี้ก็เธอล้มละลายลงไปแล้วจริงๆ


ผู้ชนะได้ตัดสินเป็นที่เรียบร้อย ซีเหมินจินเหลียนสะบัดผม และไม่รู้ว่าเอากระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ มาจากที่ไหน เธอห่อหินหยกล้ำค่าก้อนนั้นไว้ด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์นั่นก่อนจะใส่เข้าไปลงในกระเป๋า จากนั้นดวงตาสดใสราวกับแสงดาวของเธอก็มองไปที่คุณนายซู


“ดวงตาคู่นี้ของพี่สาว ก็เพียงพอในการดึงดูดผู้ชายภายในโลกนี้ ฉันก็ชอบมากเลยค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้มออกมาบางๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันนี้คำพูดเปื้อนรอยคราบเลือดจะออกมาจากปากของเธอได้ นอกจากนี้เธอยังพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


โลกใบนี้ก็บ้าจนเกินไปหรือว่าเธอบ้ากว่ามันกันแน่?


“ฉันบอกว่าจะเดิมพันด้วยดวงตาคู่หนึ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าจะเดิมพันด้วยดวงตาของฉัน” คุณนายซูพูด แม้รอยยิ้มจะกล้ำกลืนฝืนทน


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ผลแบบนี้เธอก็คาดคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว คืนนี้ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ หลังจากนี้คุณนายซูคงต้องผิดสัญญาที่ให้ไว้ เธอก็เตรียมใจพร้อมมาก่อนแล้ว ค่อยให้จ่านมู่ฮวาไปทวงหนี้ทีละเล็กทีละน้อยก็แล้วกัน อย่างไรเขาก็มีวิธีรับมือกับผู้หญิง


ภายใต้ความช่วยเหลือจัดการดูแลของจ่านป๋าย พวกเขาก็กวาดเก็บของที่ชนะในค่ำคืนนี้ ถือว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงในการทำธุรกิจต่อบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะต้องรุดหน้ามากกว่านี้


“จินเหลียน ให้ผมไปส่งคุณดีกว่า จ่านป๋ายคงจะยุ่งอีกสักพัก” ฉินเฮ่ามองไปทางซีเหมินจินเหลียนและพูดขึ้น “ถือโอกาสฉลองสักหน่อยเป็นไงครับ? ผมคิดว่าคุณน่าจะหิวแล้วใช่ไหม”


“ถ้าคุณไม่พูดฉันก็เกือบลืมไปแล้วเหมือนกัน ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น


“ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว” ฉินเฮ่ายิ้ม ซีเหมินจินเหลียนเข้าไปหาจ่านป๋ายเพื่อบอกกล่าว จากนั้นเดินไปข้างนอกพร้อมฉินเฮ่า


“จินเหลียน ยินดีด้วยๆ!” จ่านมู่ฮวายืนอยู่ที่ประตูทางออกในงานนิทรรศการ ขวางทางซีเหมินจินเหลียนเอาไว้ “จินเหลียน คุณหยุดเดินก่อนได้ไหม ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”


“เอามือของคุณออกไป!” สีหน้าฉินเฮ่าเคร่งขรึม ช่วงนี้เขายุ่งเกินไปจนไม่มีเวลาว่างนัดซีเหมินจินเหลียนไปกินข้าวหรือเดินช้อปปิ้ง ไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสเหมือนวันนี้ จ่านป๋ายมีเรื่องที่ต้องทำจนปลีกตัวมาไม่ได้ แล้วนี่เขายังวิ่งมาสร้างปัญหาอีกหรือ?


“ฉินเฮ่า คุณเงียบปากหน่อยเถอะ!” จ่านมู่ฮวาตวาดอย่างไม่เกรงใจกลับไป “จินเหลียน ผมเตรียมอาหารไว้ด้านหลัง คุณมานั่งทานกันก่อนเถอะ”


ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว จ่านมู่ฮวาไม่ใช่คนที่คล่องแคล่วว่องไวขนาดนั้น แม้เมื่อก่อนจะพูดออกมาจากปากว่าตามจีบเธอ แต่เขาก็ไม่เคยจะกระวีกระวาดขนาดนี้ หรือคืนนี้มีบางอย่างแปลกไป?


“จินเหลียน…”ภายในดวงตาของจ่านมู่ฮวาฉายความว้าวุ่นใจ


“เกิดอะไรขึ้น?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย “คุณน่าจะตามหาคุณนายซูเพื่อให้เธอชดใช้หนี้การเดิมพันของเราสิ”


“จินเหลียน เรื่องนั้นผมต้องทำอยู่แล้ว แต่คืนนี้คุณอย่าออกไปไหนเลยนะ!” จ่านมู่ฮวารีบพูด “ฉินเฮ่า ถ้าคุณไม่วางใจ ก็มากับซีเหมินจินเหลียนเลยก็ได้!”


ฉินเฮ่าได้ยินเช่นนั้น ในใจก็ได้แต่ตกตื่น มองข้ามความโกรธนั้นและพยักหน้าพูด “ก็ได้!”


ซีเหมินจินเหลียนเห็นฉินเฮ่าตบปากรับคำแล้ว ไม่นานเธอก็เดินตามหลังจ่านมู่ฮวาไปยังด้านหลัง ยังคงเป็นบ้านสวนสไตล์หยวนหลินครั้งก่อน โดยจ่านมู่ฮวาสั่งให้คนเตรียมไวน์และอาหารอย่างพร้อมสรรพ


“พวกคุณสองคนเชิญนั่งก่อน ทานอาหารได้ตามสบายเลย ผมมีเรื่องต้องไปจัดการ” สีหน้าจ่านมู่ฮวาดูรีบร้อน เขาพูดพลางเดินออกไป


ฉินเฮ่าเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งลงบนเก้าอี้ไม้จันทน์แกะสลัก ส่วนซีเหมินจินเหลียนนั่งฝั่งตรงข้ามเขา


เวลาผ่านไปไม่นาน จ่านมู่ฮวาก็เดินเข้ามาอีกครั้ง ฉินเฮ่าถามขึ้นว่า “คุณทำตัวลับๆ ล่อๆ คิดจะทำอะไร?”


“รอให้มู่หรงมาค่อยว่ากัน!” จ่านมู่ฮวาพูด


ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วขึ้น ฉินเฮ่าก็ไม่ได้พูดอะไรอีก รอจนเกือบสิบห้านาที ภายใต้การนำทางของพนักงานเสิร์ฟ จ่านป๋ายก็เดินมาถึงด้วยความกระวนกระวาย


“พวกเธอออกไปก่อน!” จ่านมู่ฮวาโบกมือไล่ สั่งให้พนักงานเสิร์ฟที่อยู่ในห้องทั้งหมดออกไป เมื่อเห็นประตูปิดลงถึงพูดขึ้นว่า “เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!”


“นายก็ยังไม่ตายนี่ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” จ่านป๋ายถามอย่างไร้อารมณ์ เวลานี้ไม่กลับไปหลับไปนอน แล้วยังจะเรียกพวกเขามาอย่างลับๆ ล่อๆ เพื่ออะไรกัน? ถ้าเป็นแค่เขายังพอว่า แต่ถ้าซีเหมินจินเหลียนนอนหลับไม่เพียงพอ ตอนเช้าอาจไม่มีกำลัง บางครั้งอาจจะเกิดอาการปวดหัว


จ่านมู่ฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ก่นด่าออกมา “หรือว่าจะต้องให้ฉันตายก่อนถึงจะเกิดเรื่อง?”


“คุณพ่อเสียแล้วเหรอไง?” จ่านป๋ายหัวเราะฮะๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเกิดเรื่องแล้วล่ะ!” สำหรับเขา ตระกูลจ่านก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่จริงๆ


“แกมัน…” จ่านมู่ฮวาอ้าปากค้าง ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี


“นอกเหนือจากนี้ ถ้าฟ้าไม่รั่ว แผ่นดินไม่ไหว โลกไม่ได้มีสงครามใหญ่ สำหรับฉันก็ไม่ถือว่าเรื่องใหญ่ อย่างมากสุดก็แค่ทางฝั่งแกมีเรื่อง โปรดจำเอาไว้ว่านอกจากแซ่จ่านที่พวกเราใช้เหมือนกันแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีก” จ่านป๋ายพูด


จ่านมู่ฮวาแค่นเสียงใส่ “หวังหมิงเหยา แกรู้ใช่ไหมว่าเป็นใคร?”


ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว เวลานี้เขาจะพูดถึงคนคนนั้นขึ้นมาเพื่ออะไรกัน?


ฉินเฮ่าและจ่านป๋ายไม่ได้เลอะเลือน พวกเขาย่อมรูู้ว่าหวังหมิงเหยาเป็นใคร จ่านป๋ายไม่ได้พูดขัดอะไรขึ้นมา แต่ฉินเฮ่าอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


“เมื่อสักครู่เขาก็ตายแล้ว ตายที่คลับหยก!” จ่านมู่ฮวาพูด “เพราะอย่างนั้นคืนนี้ผมเลยไม่ให้จินเหลียนกลับไป!”


ซีเหมินจินเหลียนสับสน สติเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดขึ้น “เขา…ตายแล้ว?” ในขณะที่ปากพูดออกไปนั้น แต่ในใจไม่สามารถบอกได้เลยว่าเธอรู้สึกอย่างไร เขาตายแล้ว ตายทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ?


“ใช่ หวังหมิงเหยาตายแล้ว ตายที่คลับหยก เขาถูกคนยิง!” จ่านมู่ฮวาพูดด้วยเสียงราบเรียบ


“ใครเป็นคนฆ่า?” จ่านป๋ายถามขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม “ฝีมือแบบนี้ ก็เหมือนกับนายมาก?”


“ถ้าเป็นฉันจริง แล้วมำไมฉันต้องมาบอกแกให้ยุ่งยากด้วย?” จ่านมู่ฮวาพูด “ถ้าฉันจะฆ่า มีความจำเป็นอะไรที่ต้องฆ่าในคลับหยก? ฉันจะมาทำให้ที่ของฉันสกปรกไปทำไมกัน?”


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น นี่กำลังพูดอะไรกัน? เธอเป็นแฟนเก่าของเขา แต่ทำไมพอรู้ว่าเขาตาย เธอถึงไม่ได้รู้สึกเสียใจมากขนาดนั้น? บางที วันที่เลิกกันวันนั้นเธอก็คงตัดใจได้แล้ว?


“แล้วใครฆ่า” ฉินเฮ่าถามต่อ “นี่มีคนตายในที่ของคุณเชียวนะ แล้วคุณยังไม่รู้อีกเหรอว่าฆาตกรเป็นใคร”


“ปัญหาก็คือ ผมไม่รู้!” จ่านมู่ฮวาพูดอย่างดุดัน


ซีเหมินจินเหลียนคิดพลางขมวดคิ้วพูดขึ้น “ห้องนิทรรศการในคลับหยกก็มีกล้องวงจรปิดอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาดูก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรือไง?”


“จินเหลียน ปัญหามันก็อยู่ที่ตรงนี้” จ่านมู่ฮวาพูด “ฆาตกรคนนั้นคุ้นเคยกับตำแหน่งการติดตั้งกล้องวงจรปิดของคลับหยกเป็นอย่างมาก มุมนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด นั่นก็ช่างเถอะ แต่เพราะว่าตอนนั้นคุณขอให้ดับไฟหนึ่งนาที เวลานั้นไฟก็ดับพอดี!” 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 128 กลซ้อนกล

 

ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไรออกมา ฉินเฮ่าจึงถามขึ้นว่า “คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?”


 


“คนที่คุ้นเคยกับคลับหยก คนที่รู้ว่าเวลานั้นผมจะดับไฟ คนคนนี้จะต้องไม่ใช่คนนอกแน่ๆ” จ่านมู่ฮวาส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา “อีกอย่าง คนอย่างหวังหมิงเหยาจะอยู่จะตายก็ไม่มีอะไรแตกต่าง ฆ่าเขาก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าหมาตัวหนึ่ง คงจะไม่มีใครได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้ เพราะอย่างนั้นเป้าหมายของเขาก็คือทำเพื่อจินเหลียน”


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ เงยหน้าขึ้นไปมองจ่านมู่ฮวา เป็นเพราะหวังหมิงเหยายุ่งเกี่ยวกับเธอ เขาถึงได้ต้องมาตายอย่างนั้นหรือ?


 


จ่านป๋ายคิดดูแล้วถึงพูดว่า “ในเมื่อนายบอกว่าฆ่าเขาก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าหมา บางทีนายอาจจะได้ผลประโยชน์ไม่ใช่เหรอ นายอาจจะอยากจะฆ่าเล่นๆ ก็ได้?”


 


“เสี่ยวป๋าย!” ซีเหมินจินเหลียนทนฟังต่อไปไม่ไหว แม้ว่าหวังหมิงเหยาจะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเธอสักนิด แต่อย่างน้อยนี่ก็ถือว่าเป็นชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง พวกเขาพูดแบบนี้ก็เกินไป มีคนตายทั้งคน แต่พวกเขากลับนั่งโต้เถียงในประเด็นที่ไม่มีความสร้างสรรค์ อ้อ…จริงสิ ในเมื่อมีคนตายก็ต้องมีคนแจ้งความสิ?


 


จ่านป๋ายรูดซิปปิดปากอย่างสนิท ส่วนซีเหมินจินเหลียนก็หันไปมองที่จ่านมู่ฮวา “คุณแจ้งความแล้วหรือยัง” เธอเดาว่าเขาคงยังไม่ได้แจ้งความ ไม่อย่างนั้นคลับหยกคงจะไม่เงียบสงัดขนาดนี้ คงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นตั้งแต่แรกแล้ว


 


“แจ้งความทำไมครับ” จ่านมู่ฮวาถามกลับ


 


“นี่คุณ…” ซีเหมินจินไม่พอใจกับท่าทางของจ่านมู่ฮวาที่ไม่รู้เรื่องเช่นนี้ “ที่ของคุณเกิดคดีใหญ่ขึ้นมา แต่คุณกลับไม่ได้แจ้งความเนี่ยนะ?”


 


“ชีวิตของคนพวกนี้ ในสายตาของเขาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” จ่านป๋ายพูดต่ออย่างเยือกเย็น


 


“ที่ผมเรียกพวกคุณมา ไม่ใช่จะปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกับคดีความ แต่พวกเราจะแก้ปัญหาต่อไปยังไงต่างหาก” จ่านมู่ฮวาไม่พอใจจ่านป๋าย พูดขึ้นอย่างฟึดฟัด


 


“วิธีที่ดีที่สุดนั่นก็คือรักษาสภาพเดิมของที่เกิดเหตุเอาไว้และรีบแจ้งความ!” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นอย่างขมขื่น ทำไมพวกเขาถึงได้เลอะเลือนขนาดนี้นะ? มีเงินก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ชีวิตมนุษย์ก็เป็นอีกเรื่อง ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็มักพูดกันว่าชีวิตมนุษย์ขึ้นอยู่กับชะตาฟ้า! เรื่องใหญ่แบบนี้ หรือพวกเขาจะแค่ใช้เงินจัดการนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้แล้ว?


 


“จินเหลียน ผมส่งคนไปจัดการที่สถานีตำรวจแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ!” จ่านมู่ฮวาพูด


 


“แล้วอะไรล่ะที่สำคัญ?” ซีเหมินจินเหลียนผ่อนลมหายใจลง ที่แท้เขาก็แจ้งความแล้วสินะ? ก็ถือว่ายังดี ที่เขายังรู้อยู่ว่าควรจะต้องทำอะไร


 


“เรื่องสำคัญก็คือ…ใครเป็นคนฆ่าเขา และเป้าหมายของฆาตกรคนนั้นคืออะไร” จ่านป๋ายรับช่วงพูดต่อ


 


“ใช่!” ฉินเฮ่าพยักหน้าพูด “จริงๆ แล้วหวังหมิงเหยาก็ไม่ได้มีความสำคัญต่อใคร แล้วใครกันที่อยากจะฆ่าเขา”


 


จ่านมู่ฮวามองไปที่ซีเหมินจินเหลียนและพูดขึ้นว่า “จินเหลียน ที่นี่ไม่มีคนนอก ผมอยากจะถามอะไรคุณสักหน่อย”


 


“อะไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ


 


“หวังหมิงเหยา…คุณส่งคนมาจัดการเขาหรือเปล่า?” จ่านมู่ฮวาถามขึ้น


 


ซีเหมินจินเหลียนสมองว่างเปล่า เวลาผ่านไปนานเธอก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา จ่านมู่ฮวาเห็นท่าทีของเธอแล้วก็รู้ว่าตนประเมินสถานการณ์ผิดไป


 


“ทำไมคุณถึงได้มีความคิดอะไรแบบนี้ได้?” ในที่สุดซีเหมินจินเหลียนก็เรียกสติคืนกลับมาได้และพูดขึ้น


 


“มีเพียงคุณที่มีแรงจูงใจในการฆ่าเขา” จู่ๆ จ่านป๋ายก็พูดขึ้นมา


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ่งรู้สึกมึนงงมากกว่าเดิม ฆ่าคน? ทั้งชีวิตนี้เธอก็ไม่เคยมีความคิดที่จะฆ่าใครมาก่อน แล้วพวกเขามาสงสัยเธอได้อย่างไรกัน? จ่านมู่ฮวาก็ช่างเถอะ แต่นี่แม้แต่จ่านป๋ายเขาก็คิดแบบนี้ด้วยเหรอ?


 


“ทำไมฉันจะต้องฆ่าเขาด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนถามออกไปซื่อๆ


 


“เพราะว่า…เขาเคยขู่จะแบล็กเมล์คุณถึงสองครั้ง อีกอย่าง ถ้าหากคุณไม่อยากจะจดจำช่วงเวลาเหล่านั้น ก็มีแต่ต้องจัดการคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดให้สิ้นซาก” จ่านป๋ายพูดวิเคราะห์ขึ้น เขารู้ว่าซีเหมินจินเหลียนไม่ได้เป็นคนลงมือทำ แต่ปัญหาก็คือ…จากรูปการณ์แล้วเธอเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด


 


ซีเหมินจินเหลียนทบทวนเล็กน้อยก่อนจะปริปากถามขึ้น “คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาขู่แบล็กเมล์ฉันถึงสองครั้ง?” ถ้าหากเธอจำไม่ผิด ทั้งสองครั้งนั้นจ่านป๋ายไม่ได้อยู่ข้างๆ เธอ ในเมื่อเป็นอย่างนี้หรือว่าเขาจะดักฟังมือถือของเธออย่างนั้นเหรอ?


 


ในเมื่อจ่านมู่ฮวายังสามารถติดตั้งอุปกรณ์พิเศษในคลับหยกเพื่อไว้ให้เธอใช้ฟังเสียงโทรศัพท์ของคุณนายซูได้ แล้วการที่จ่านป๋ายจะทำอะไรกับมือถือเธอมันคงจะไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน


 


“เห็นได้ชัดว่ามีคนแอบฟังคุณคุยโทรศัพท์” ฉินเฮ่ายิ้มออกมาอย่างประสงค์ร้าย


 


จ่านป๋ายสีหน้าเรียบนิ่ง “ผมยอมรับว่าผมแอบฟัง แล้วอย่างไรครับ?”


 


“ฉันไม่เคยมีความคิดที่จะฆ่าใคร และไม่เคยคิดอยากจะลบล้างความทรงจำเก่าๆ นั่น!” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็เผยยิ้มออกมา “ทำไมฉันต้องลบล้างเรื่องในอดีตทั้งหมดด้วย? เป็นเพราะว่าฉันเคยจนมาก่อน เคยลำบากมาก่อนอย่างนั้นเหรอ?”


 


มนุษย์เราก็แค่ใช้ชีวิตไปเพื่อเดินหาหนทางแห่งความตายในตอนสุดท้าย ถึงจะเคยจนเคยลำบากตรากตรำมาก่อน แต่นั่นก็เป็นบทเรียนอันล้ำค่า ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีทางที่จะไปปกปิดเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาได้หรอก


 


“จินเหลียน ขอเพียงแค่คุณไม่ได้ฆ่า ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องลากตัวไอ้ฆาตกรคนนั้นออกมาให้ได้!” จ่านมู่ฮวายิ้ม “วันนี้เขาสามารถมาฆ่าหวังหมิงเหยาถึงที่คลับหยกได้ ก็ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะมารัวกระสุนยิงจ่อหัวผมก็ได้?” คลับหยกเป็นสถานที่ของเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะยังมีคนมาสร้างคดีฆาตกรรมอย่างโหดเ**้ยมเช่นนี้ได้


 


“ความจริงแล้ว ถ้าอยากจะหาก็ง่ายมาก” จ่านป๋ายพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน


 


“อ้อ” จ่านมู่ฮวาขมวดคิ้ว “ไม่ทราบว่าท่านมีความคิดเห็นเช่นไรหรือครับ?”


 


“ง่ายมาก อย่างแรกคนคนนี้รู้ตำแหน่งที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดของคลับหยก ถึงสามารถหามุมหลบกล้องและลงมือฆ่าได้ อย่างที่สองคนคนนี้รู้ถึงความสัมพันธ์ของจินเหลียนกับหวังหมิงเหยา อย่างที่สามคนคนนี้รู้ว่าไฟจะต้องดับ และนั่นถึงเป็นเหตุผลที่เขาสามารถหลบหนีออกไปได้อย่างสะดวกหลังจากที่ไฟได้ดับลง” จ่านป๋ายวิเคราะห์ “และคนที่รู้ทั้งสามข้อนี้นั้น มีไม่เยอะ”


 


ซีเหมินจินเหลียนฉุกพูดขึ้น “คนที่รู้ทั้งสามข้อ เหมือนจะมีแค่พวกคุณสองคน” แม้แต่ฉินเฮ่าก็ยังไม่รู้ว่าคืนนี้เธอจะใช้ให้จ่านมู่ฮวาดับไฟในคลับหยก โดยใช้เวลาแค่หนึ่งนาทีเพื่อทำให้คลับหยกมืดสงัดลง


 


เพราะฉะนั้นคนที่รู้สามข้อนี้ก็มีแค่จ่านป๋ายกับจ่านมู่ฮวา คลับหยกเป็นสถานที่ของจ่านมู่ฮวา ไม่มีใครจะคุ้นเคยได้เท่าเขาอีกแล้ว ส่วนจ่านป๋ายก็เป็นคนในตระกูลจ่านเช่นกัน เขาคงจะคุ้นเคยในคลับหยกไม่มากก็น้อย


 


“ตอนนั้นผมอยู่ที่งานนิทรรศการนะ!” จ่านป๋ายพูด “จ่านมู่ฮวา นายอยู่ที่ไหน” เขาช่วยซีเหมินจินเหลียนสับเปลี่ยนหินหยก เพราะฉะนั้นตอนนั้นเขาไม่ได้ปลีกตัวไปไหน


 


“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่มีความจำเป็นจะต้องฆ่าคน!” จ่านมู่ฮวาสูดลมหายใจลึกๆ และส่ายหน้าพูดออกมา “ถ้าฉันจะฆ่าใคร ฉันก็ไม่ต้องลงมือเอง แค่ปริปากก็มีคนมากมายพร้อมจะไปตายแทนฉันแล้ว แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่รู้การวางหมากในคลับหยกของเรา และเรื่องราวของพวกเรา”


 


“ใคร?” ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายถามขึ้นพร้อมกัน


 


“หลินเสวียนหลาน!” จ่านมู่ฮวาพูด


 


“เขาเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียน จ่านป๋ายและฉินเฮ่าหันมามองหน้ากัน เป็นไปได้อย่างไรกัน?


 


“เรื่องในคืนนี้เขาน่าจะรู้ทั้งหมด ถึงคุณจะให้เขากลับไป แต่เขากลับไปหรือเปล่าใครจะไปรู้” จ่านมู่ฮวาพูด


 


เพราะว่าเกี่ยวข้องกับหลินเสวียเหวิน เรื่องบางอย่างซีเหมินจินเหลียนจึงไม่อยากให้หลินเสวียนหลานมารับรู้ รวมถึงการเดิมพันหินใหญ่ในคืนนี้ด้วย แต่นั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาโง่ คนที่ไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลย


 


“ทำไมคุณถึงสงสัยเขา” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองไม่เคยเต้นแรงขนาดนี้มาก่อน เรื่องนี้เมื่อเทียบกับข่าวที่หวังหมิงเหยาตายแล้วก็ยิ่งทำให้เธอรับไม่ได้ขึ้นกว่าเก่า


 


จ่านมู่ฮวายิ้มอย่างมีเลศนัย “เขาขโมยของผมไปบางอย่าง แต่เพราะเห็นแก่หน้าคุณ ผมเลยไม่ได้พูดออกไปก็เท่านั้น”


 


“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะลุกขึ้นมาในทันที “คุณก็หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว!” หลินเสวียนหลานจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?


 


“ของอะไร” จ่านป๋ายไม่ได้ตกใจอะไรนัก เขาถามขึ้นอย่างเรียบเฉย


 


“แปลนก่อสร้างของห้องจัดนิทรรศการ” จ่านมู่ฮวาพูด “ผมคิดมาตลอดแต่ก็คิดไม่ออกว่าเขาจะเอาสิ่งนี้ไปทำอะไร แต่ตอนนี้ก็พอจะเข้าใจได้แล้ว ที่แท้เขาก็เตรียมตัวมาอย่างดี คุณนายซูใช้หวังหมิงเหยามาเป็นของวางเดิมพัน เกรงว่าคงไม่ใช่ความตั้งใจของคุณนายซูเองหรอก?”


 


“เขา…ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย?” ในใจของซีเหมินจินเหลียนยากที่จะสงบความว้าวุ่นได้ ทำไม? ทำไมหลินเสวียนหลานต้องทำแบบนี้?


 


“คุณชอบผู้ชายหน้าตาดี!” จู่ๆ ฉินเฮ่าก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ข้อนี้ผมกับจ่านป๋ายสู้ไม่ได้จริงๆ แต่ว่าไม่ใช่กับคุณชายใหญ่จ่าน ถ้าจัดการคุณชายใหญ่จ่านได้ เขาถึงมีโอกาส!” และนี่ต่างหากคือนิสัยที่แท้จริงของหลินเสวียนหลาน ของที่ชอบเขาจะไม่ไปแก่งแย่ง แต่จะหาหนทางจัดการศัตรูฝ่ายตรงข้ามเพื่อแย่งมันมา แล้วเขาก็จะได้สิ่งนั้นมาครอบครองทุกอย่าง


 


ยกตระกูลหลินที่ไม่เหลืออะไรเลยให้กับซีเหมินจินเหลียนแล้วยังไง? ขอแค่เขาสามารถแต่งงานกับซีเหมินจินเหลียนได้ ทุกอย่างก็ยังคงเป็นของเขา สาวงามกับหยก เขาก็จะได้ครอบครองทั้งหมด นี่ถึงเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเขา


 


เรื่องทั้งหมดน่าจะเป็นความตั้งใจของหลินเสวียเหวิน สุนัขจิ้งจอกเฒ่าคนนั้น เขามันก็เจ้าเล่ห์จริงๆ!


 


ฉินเฮ่าคว้าแก้วคริสตัลหรูทรงสูงขึ้นมารินเหล้าจนเต็มแก้วของตน จากนั้นกระดกดื่มเข้าไปในลำคอ “เขาไม่มีโอกาสที่จะกำจัดคุณชายจ่านได้ และไม่สามารถไปแย่งชิงอะไรกับคุณชายจ่าน แต่การปรากฏตัวของคุณนายซูช่วยพลิกวิกฤติให้เขา เรื่องที่คุณนายซูแอบรักคุณชายจ่านดูเหมือนว่าไม่ใช่ความลับอะไรสินะ?”


 


ซีเหมินจินเหลียนออกแรงจับเก้าอี้ไม้จันทน์ และเป็นเพราะออกแรงมากไป ข้อนิ้วมือจึงกลายเป็นสีซีดขาว ทำไม…ทำไมถึงเป็นแบบนี้?


 


 หรือการที่คุณนายซูเอาหวังหมิงเหยามาเดิมพันกับจ่านมู่ฮวา จะเป็นความตั้งใจของหลินเสวียนหลาน? หรือว่าเรื่องทั้งหมดก็ถูกพวกเขากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว?


 


“ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของผม คือผมไม่น่าไปเจียหยางเลย!” ฉินเฮ่าพูด


 


จู่ๆ จ่านป๋ายก็พูดขึ้นว่า “ที่คุณไปที่เจียหยาง ก็เป็นเพราะความตั้งใจของหลินเสวียนหลานใช่ไหม?”


 


ฉินเฮ่าพยักหน้า “ผมคิดว่าผมฉลาด แต่จนกระทั่งวันนี้ผมถึงเพิ่งได้รู้ว่า ที่แท้ผมก็ตกเป็นเครื่องมือของเขา ตอนนั้นก็เป็นเขานี่แหละ ที่ให้ผมจีบซีเหมินจินเหลียน”


 


จ่านป๋ายนั่งพิงกับเก้าอี้ นวดขมับที่ปวดตุบก่อนพูดขึ้นว่า “พวกเราซื้อหุ้นตระกูลหลินนั่นก็เป็นเรื่องที่ผิดพลาดแล้ว แต่ในเมื่อเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ควรจะหาว่าใครต้องรับผิดชอบ แต่เขาก็จำเป็นที่จะต้องฆ่าคนคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยเหรอ?” ความคิดที่จะซื้อหุ้นตระกูลหลิน หากมองผิวเผินก็คงจะคิดว่าเป็นพวกเขาที่เริ่มต้นคิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่ก็เป็นแผนการของหลินเสวียนหลานที่คิดจะหลีกทางในหุ้นบริษัทตระกูลหลินอยู่แล้ว ตอนที่อยู่ในงานประมูลที่เจียหยางนั้น ถ้าห้ามปรามหลินเจิ้งได้ ตระกูลหลินคงไม่ล้มละลายลงถึงขนาดนี้ 


 


แต่เขากลับเฝ้าดูอยู่เรื่อยๆ มองหลินเจิ้งที่ทำให้ตระกูลหลินค่อยๆ ล้มละลายลงจนหาทางออกไม่เจอ 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 129 คดีปล้นสะเทือนวงการ

 

ฉินเฮ่าคิดทบทวนดูแล้วก็พูดขึ้นว่า “ไม่แน่ฆาตกรอาจจะไม่ใช่หลินเสวียนหลาน เรื่องทุกอย่างที่พวกเราพูดกันตอนนี้ก็เป็นแค่การคาดเดาทั้งนั้น อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ก็ได้”


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา คดีฆาตกรรมไม่สามารถที่จะด่วนสรุปตัดสินใจในผลคดีได้ ในเมื่อจ่านมู่ฮวาได้แจ้งความไปแล้ว ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องหาตัวคนฆ่าเจอ เธอยินดีที่จะเชื่อว่าหลินเสวียนหลานเป็นผู้บริสุทธิ์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมในใจของเธอกลับรู้สึกไม่สบายใจ


 


เธอรู้ว่าตอนนั้นฉินเฮ่าเป็นคนเข้ามาจีบเธอเอง เหตุผลส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะหลินเสวียนหลาน จากการเล่นละครของฉินเฮ่า เธอก็พอจะสังเกตได้ว่าหลินเสวียนหลานรู้สึกดีกับเธอ แต่เพราะว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว ตอนนี้ ถึงแม้เขาจะเลิกกับแฟนแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยพูดวาจาคลุมเครืออะไรกับเธอเลยแม้แต่ประโยคเดียว


 


 ถึงครั้งก่อนเขาจะหาข้ออ้างพูดถึงเรื่องพินัยกรรมของคุณปู่ของเขา แต่นั่นมันก็แค่คำพูดที่เลื่อนลอย พินัยกรรมของคุณปู่เขาก็ไม่ได้จะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความตั้งใจของเขาสักหน่อย


 


แต่ตอนนี้เรื่องที่สับสนยิ่งกว่าก็คือ จริงๆ แล้วคุณปู่ของเขายังไม่ตาย


 


ไหนจะตอนนี้ที่หลินเสวียเหวิน เถ้าแก่โจวและคุณนายอวิ๋นอยู่ด้วยกันอีก เรื่องราวทั้งหมดยิ่งดูวุ่นวายเข้าไปใหญ่ ในการแข่งขันทางธุรกิจไม่มีใครที่ถูกหรือผิด มันเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเองทั้งนั้น แต่ตอนนี้เรื่องก็บานปลายไปถึงการฆ่าคน นี่ทำให้เธอรู้สึกเสียใจ และที่สำคัญก็คือคนที่ตายนั้นก็เป็นแฟนเก่าของเธอ


 


นิ้วมือของจ่านมู่ฮวาเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะไม้กลม ทำไมเวลานี้ถึงยังไม่มีข้อมูลอะไรอีก หรือว่าทางนั้นจะทำพลาด?


 


ฉินเฮ่านั่งพิงเก้าอี้ไม่พูดไม่จา ซีเหมินจินเหลียนมองไปทางจ่านป๋าย เห็นเพียงจ่านป๋ายได้แต่ส่ายหัวให้เธอ เขารู้เพียงแค่บางอย่าง คืนนี้จ่านมู่ฮวาร่วมมือกับตระกูลฉินเพื่อที่จะบดขยี้ความมั่งคั่งของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ การแข่งขันธุรกิจอย่างเที่ยงธรรมนั้น ยากที่จะเขย่ารากฐานของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ได้ เพราะอย่างนั้นพวกเขาเลยมีความเคลื่อนไหวอย่างอื่นนอกจากนี้


 


การเดิมพันของซีเหมินจินเหลียนและคุณนายซูเป็นแค่ฉากหนึ่งเท่านั้น


 


เพียงแต่เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา ขอแค่ซีเหมินจินเหลียนไม่เป็นอะไร เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญ ในโลกธุรกิจมีแค่การร่วมมือกันกับไม่ร่วมมือกันเท่านั้น ไม่มีมิตรหรือศัตรูที่ถาวร


 


ส่วนการตายของหวังหมิงเหยา เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมาย ใครกันที่ก่อเรื่องฆ่าคนในที่ของเขา? การตายของคนคนนี้แม้ว่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไร แต่ชีวิตคนก็คือชีวิตคน แตกต่างกันตรงที่แมวตายหมาตายมันไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่การฆ่าคนตายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ถ้าเรื่องแพร่งพรายออกไปก็คงจัดการได้ยากแล้ว


 


เสียงขลุ่ยประสานเสียงดังขึ้นอย่างไพเราะ ทำลายความเงียบสงัดลง ซีเหมินจินเหลียนคว้ามือถือขึ้นมา เมื่อพูดถึงก็มาทันที คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสายตรงจากหลินเสวียนหลาน


 


เมื่อกดปุ่มรับ ปลายสายก็มีเสียงของหลินเสวียนหลานดังเข้าด้วยความสุภาพอ่อนโยน “จินเหลียน กลับบ้านแล้วหรือยังครับ”


 


“ยังเลย…คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


“ไม่มีอะไร ผมแค่อยากจะถามว่าเรื่องการเดิมพันหินใหญ่คืนนี้เป็นยังไงบ้าง” หลินเสวียนหลานถามขึ้น “คุณเดิมพันชนะแล้วก็น่าจะโทรมาหาผมหน่อย ผมรอจนถึงตอนนี้ก็อดจะกังวลไม่ได้ ก็เลยโทรศัพท์มาถามคุณ”


 


“ฉันชนะแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มน้อยๆ “แต่มีเรื่องทำให้ฉันไม่สบายใจนิดหน่อย”


 


“เกิดอะไรขึ้นครับ? ทำไมคุณชนะแล้วถึงไม่ดีใจล่ะ หรือว่ามีใครทำอะไรคุณ จ่านมู่ฮวาเหรอ?” หลินเสวียนหลานถามขึ้น ในความรู้สึกของเขามีแค่จ่านมู่ฮวาที่จะสร้างเรื่องได้ ฉินเฮ่าตามจีบเธอ แต่คงไม่ได้หาเรื่องให้เธอไม่สบายใจ ส่วนจ่านป๋ายก็เห็นดีเห็นงามกับคำพูดซีเหมินจินเหลียนตลอด คงไม่มีเรื่องขัดแย้งอะไร ในเมื่อเป็นเช่นนั้นคนที่กล้าหาเรื่องเธอ ก็มีแต่คุณชายใหญ่แห่งตระกูลจ่าน ที่นิสัยไม่รู้จักโตสักที


 


“ไม่ใช่หรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนถามหยั่งเชิง “เป็นหวังหมิงเหยา”


 


“เขาเหรอครับ?” หลินเสวียนหลานขมวดหัวคิ้วถาม “พวกคุณเลิกกันตั้งนานแล้ว คุณจะไปสนใจเขาทำไมกัน”


 


“เขาตายแล้ว ตายที่คลับหยก!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจพูด “ถูกคนฆ่าตาย…”


 


“อะไรนะ?” ในโทรศัพท์มีเสียงตกใจของหลินเสวียนหลานดังเข้ามา “จินเหลียน นี่…มันเป็นไปได้ยังไง?”


 


“ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่ว่านี่มันเป็นความจริง เขาตายแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนผ่อนลมหายใจออกใส ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนคนนี้ก็เคยเป็นแฟนของเธอ ตอนนี้เขาตายแล้ว เกรงว่าเรื่องคงจะเชื่อมโยงมาถึงตัวเธอ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครคิดที่จะฆ่าคนแบบนี้หรอก


 


“เดี๋ยวก่อนนะครับ…” จู่ๆ หลินเสวียนหลานก็พูดขึ้น “จินเหลียน นี่มันมีอะไรแปลกๆ!”


 


“อะไรที่แปลกคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


“หวังหมิงเหยาไม่สามารถเข้ามาในคลับหยกได้!” หลินเสวียนหลานพูด “สถานที่แบบนั้น มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา โดยเฉพาะหลายวันที่จัดงานนี้ ถ้าเขาเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ ถึงจะมีคนพาเขาเข้าไป แต่ก็ต้องถูกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ก่อน…”


 


“คุณนายซูพาเขาเข้าไป” ซีเหมินจินเหลียนอธิบาย ความรู้สึกของเธอบอกว่าไม่น่าจะใช่หลินเสวียนหลาน แต่ว่าเมื่อหลินเสวียนหลานได้ยินเรื่องที่หวังหมิงเหยาตาย แม้ว่าการแสดงออกของเขาจะดูตกใจ แต่ก็ยังใจเย็น


 


ในโทรศัพท์ มีช่วงหนึ่งที่หลินเสวียนหลานเงียบไป แล้วถึงค่อยปลอบโยนซีเหมินจินเหลียน “จินเหลียน ไม่เป็นไร พวกคุณก็เลิกกันตั้งนานแล้ว…”


 


ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา หลินเสวียนหลานปลอบใจเธออยู่หลายประโยคก่อนจะวางสายไป


 


“ไม่ว่าพวกคุณจะพูดอย่างไร แต่ฉันคิดว่าหลินเสวียนหลานไม่น่าจะเป็นคนฆ่า” ซีเหมินจินเหลียนพูด คนที่ฆ่าคนทำไมถึงใจเย็นได้ขนาดนี้


 


ถึงเขาจะฆ่าหวังหมิงเหยา แต่เขาก็ไม่สามารถกำจัดจ่านมู่ฮวาไปได้ ถึงจะเกิดคดีความขึ้นที่คลับหยก แต่คดีแบบนี้จ่านมู่ฮวาก็สามารถทำให้มันเงียบลงได้อย่างง่ายดาย ซีเหมินจินเหลียนเชื่อว่าสิ่งที่เธอคิดได้ หลินเสวียนหลานเองก็คงคิดได้ วิธีแบบนี้ค่อนข้างกระจอกเกินไป


 


“พวกเรายังไม่ได้ฟันธงว่าเขาเป็นคนฆ่า” ฉินเฮ่ายิ้ม “ก็แค่เขาดูน่าสงสัยมากที่สุดก็เท่านั้น แน่นอนยังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง”


 


“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว “ความเป็นไปได้อะไรคะ”


 


“เมื่อกี้คุณชายจ่านบอกว่าหลินเสวียนหลานขโมยแปลนก่อสร้างของห้องนิทรรศการของคุณไปใช่ไหม?” ฉินเฮ่าถาม


 


“ใช่” จ่านมู่ฮวาพยักหน้าพูด “ทำไมเหรอ”


 


“ผมเริ่มแปลกใจอยู่บ้าง หลินเสวียนหลานก็ไม่ใช่น้องชายคุณ ที่จะมีความสามารถในการขโมยของลับเฉพาะอย่างนั้น คุณคงจะเก็บมันไว้ในตู้เซฟเพื่อความปลอดภัย แล้วเขาจะขโมยไปได้อย่างไร?”


 


จ่านมู่ฮวาไม่ได้พูดอะไรออกมา ฉินเฮ่าเลยพูดขึ้นอีกครั้งอย่างใจเย็น “ถ้าผมคิดไม่ผิด คุณน่าจะตั้งใจเอารูปแปลนห้องนิทรรศการไปให้เขาใช่ไหม?”


 


“จ่านมู่ฮวา คุณคิดจะทำอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


“ผมก็แค่จะสับเปลี่ยนหินนิดหน่อย!” จ่านมู่ฮวาพูด


 


“ในงานจัดนิทรรศการวันแรก คุณคงเอาแปลนก่อสร้างห้องจัดนิทรรศการให้กับหลินเสวียนหลาน ถ้าหากผมเดาไม่ผิด คุณน่าจะอาศัยโอกาสที่ขโมยอัญมณีจากบริษัทอื่นมาเพื่อที่จะใส่ร้ายน้องชายคุณ? นี่เป็นแผนการขโมยของของคุณใช่ไหมสินะ? พอถึงเวลาคุณร่วมมือกับทางตำรวจ ส่งจ่านป๋ายเข้าคุก ข้างกายของจินเหลียนก็จะไม่มีใครคอยขัดขวาง หึๆ…ส่วนหลินเสวียนหลาน สำหรับคุณแล้ว ขอแค่คุณพูดออกมา คุณนายซูก็จะจัดการเขาอย่างราบคาบ” ฉินเฮ่าพูด


 


“จากนี้เป็นต้นไป ผมจะเห็นคุณเป็นศัตรูอย่างเป็นทางการ” จ่านมู่ฮวาพูด “แต่เรื่องของหวังหมิงเหยา ผมไม่ได้เป็นคนลงมือ ฆ่าเขาผมมีแต่เสียประโยชน์ ไม่ได้ประโยชน์อะไร”


 


ฉินเฮ่ายื่นมือไปรินเหล้าใส่แก้วตัวเองอีกครั้ง ก่อนยกแก้วทรงสูงด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยพร้อมพูดขึ้น “คุณชายหลิน ผมรู้จักเขา ตั้งแต่แรกเขาก็วางแผนมาโดยตลอด แต่แผนที่เขาวางก็เพราะอนาคตของตระกูลเขา ส่วนคนที่สมควรตายและหยกของคนที่เย้ายวนใจ พูดอย่างไรดีล่ะ? ตอนแรกเขาก็แค่อยากรู้อยากเห็นในตัวซีเหมินจินเหลียน ไม่คิดที่จะจีบเธอ หรือว่ามีความตั้งใจอยากจะให้เธอมาเป็นภรรยา แต่ภายหลังพอเขารู้ว่าจินเหลียนมีสายตาพิเศษในการเดิมพันหิน หลังจากนั้นก็เป็นเช่นนี้ เขาคลั่งไคล้ในหยกเป็นอย่างมาก เรื่องนี้คงไม่น้อยไปกว่าคุณนายซูเลย” 


 


“คุณพูดมาตั้งมากมาย ก็คิดอยากจะพูดอะไรกันแน่?” จ่านมู่ฮวาถาม


 


“คุณจ่าน ความทะเยอทะยานของคุณสูงเกินไปหน่อยหรือเปล่า?” ฉินเฮ่าพูดขึ้นอย่างใจเย็น “เครื่องประดับอัญมณีเป็นสินค้าระดับไฮเอนด์มาโดยตลอด และสำหรับงานแสดงสินค้าเช่นนี้ เครื่องประดับอัญมณีทั้งหมดล้วนแต่เป็นของคุณภาพดี ไม่ว่าจะเป็นจากบริษัทเก่าแก่ยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ หรือบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่ต่างก็มีมูลค่ามหาศาล ประเมินค่าไม่ได้เลยจริงๆ คุณอยากจะจัดการกลืนกินพวกเขาให้หมด คุณก็ไม่กลัวสำลักตายบ้างเหรอ? จริงอยู่ที่การตายของหวังหมิงเหยาไม่มีความเกี่ยวข้องกับคุณ แต่ถ้าเรื่องไปพัวพันให้ซีเหมินจินเหลียนถูกฟ้องคดีมันก็เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา จากนั้นเธอก็จะไม่มีที่ยืนในเซี่ยงไฮ้ ถึงเวลานั้นคุณคงจะอาศัยจังหวะนี้ในการปล้นสินะ? สุดท้ายคนที่ได้ผลประโยชน์ที่สุดก็เป็นตัวคุณเอง ยิงปืนนัดเดียวได้ทั้งคนและทรัพย์สิน”


 


จ่านมู่ฮวาก้มหน้าลงต่ำแล้วพูดขึ้น “จินตนาการของคุณนี่ก็ไม่เบาเลย ทำไมคุณไม่ไปเป็นตำรวจในเมืองเซี่ยงไฮ้เสียล่ะ? ถ้าหากผมจะให้จินเหลียนไปพัวพันกับการฟ้องร้องคดี คืนนี้ผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร จากนั้นก็นำภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดในคืนนี้ไปให้ตำรวจ ถึงแม้เธออยากจะหลุดจากข้อกล่าวหา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย”


 


“ฉันต้องซาบซึ้งในตัวคุณสินะ?” ซีเหมินจินเหลียนดุดัน การเดิมพันยุ่งเหยิงในวันนี้ เป็นกลอุบายที่เขาคิดออกมาทั้งหมด แล้วเวลานี้ยังมีหน้ามาพูดอีก?


 


อยู่ดีๆ เขาจะวิ่งไปหาเรื่องคุณนายซูทำไม? ไหนยังจะแอบไปเดิมพันกับคุณนายซูลับหลังเธออีก? ถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้นเธอก็คงเป็นแค่แขกในงานคนหนึ่ง หาเงินใช้สักหน่อยก็พอ ไม่ต้องมาวุ่นวายขนาดนี้


 


ในระหว่างที่จ่านมู่ฮวากำลังพูดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เมื่อคว้าขึ้นมาดูเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว รีบกุมมือถือเดินไปทางประตู


 


ไม่นานจ่านมู่ฮวาก็กลับเข้ามาอีกครั้ง สีหน้าอึมครึมพูดขึ้นว่า “คืนนี้ บริษัทที่มาร่วมงานนิทรรศการทั้งสิบสามแห่งถูกปล้นเครื่องประดับไปอย่างประเมินค่าไม่ได้ ส่วนคนที่ลงมือไม่ใช่คนของพวกเรา!”


 


จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็กุมท้องหัวเราะขึ้นมา ฉินเฮ่าที่ได้ยินก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น? งานจัดแสดงสินค้าเครื่องประดับ ดำเนินมาถึงวันสุดท้ายแต่เครื่องประดับกลับถูกคนขโมยไป หนำซ้ำยังถูกขโมยไปถึงสิบสามบริษัท?


 


“จ่านมู่ฮวา ครั้งนี้ถึงนายจะบอกว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ไม่มีใครเชื่อนายแล้วล่ะ ฮ่าๆ…” จ่านป๋ายหัวเราะ “นายวางใจเถอะ ถ้านายไปนอนในคุก ฉันจะเห็นถึงความเป็นพี่น้องไปเยี่ยมนายสักครั้ง พระเจ้า เครื่องประดับอัญมณีทั้งสิบสามแห่งถูกขโมย? ไอ้พี่ชาย นายก็รวยแล้ว…” 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 130 สิ่งที่จะมา หนีไม่พ้นหรอก

 

จ่านมู่ฮวาถลึงตามองเขาด้วยความดุร้าย พูดอย่างโกรธเกรี้ยวออกมาว่า “กูบอกแล้ว ว่ากูไม่ได้เป็นคนทำไงวะ!” 


 


 


“กูกับใครวะ?” จ่านป๋ายได้ยินแบบนั้นก็รีบลุกขึ้น ดูจากท่าทางของคนทั้งคู่แล้วคำพูดไม่ค่อยถูกคอ ตั้งท่าที่จะกระโจนเข้าหากัน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบตะเกียบจากข้างๆ มาเคาะที่จานแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันหิวแล้ว!” 


 


 


จ่านมู่ฮวามองไปที่ซีเหมินจินเหลียน ความโกรธที่มียังไม่หายไป แต่ในที่สุดก็เลือกที่จะอดกลั้นเอาไว้ มันเห็นเขาเป็นใคร? ถ้าไม่เห็นแก่ซีเหมินจินเหลียน เขาคงซัดหน้ามันไปสักหมัดแล้ว! 


 


 


จ่านป๋ายก็นั่งลงไปข้างๆ ซีเหมินจินเหลียน ขอแค่เธอไม่เป็นไร เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญ แต่คดีปล้นในคืนนี้ไม่มีบริษัทจินเหลียนจิวเวอรี่อยู่ในนั้น ยังดี! นับว่าโชคดีเหลือเกิน! 


 


 


“กินข้าวเถอะ” จ่านมู่ฮวาพูด “คืนนี้ก็มีเรื่องมากมายจริงๆ” 


 


 


“ก็แค่คนตายคนหนึ่ง และเกิดคดีปล้นขึ้นพร้อมกันไม่ใช่หรอกเหรอ?” ฉินเฮ่าเริ่มขยับตะเกียบ ถอนหายใจพูดขึ้น “เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยๆ เห็นได้บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอไง?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรต่อ กินข้าวต่อไปอย่างกลัดกลุ้ม เรื่องนี้เมื่อก่อนเธอเคยเห็นได้แต่ในโทรทัศน์ พอตอนนี้มาเกิดเรื่องขึ้นกับตัวเอง เธอก็ยังจะมานั่งกินข้าวอย่างสบายใจเช่นนี้เหรอ? 


 


 


อาหารมื้อหนึ่ง แต่ทำให้ทุกคนกินกันอย่างเหนื่อยหน่ายไร้รสชาติ เมื่อมื้อเย็นจบลง จ่านมู่ฮวาก็หวังว่าซีเหมินจินเหลียนจะพักค้างที่คลับหยกสักคืน อย่างไรคฤหาสน์สวนเล็กสไตล์หยวนหลินก็มีตั้งหลายห้อง 


 


 


แต่ซีเหมินจินเหลียนก็ปฏิเสธความหวังดีของเขา จากไปพร้อมกับจ่านป๋าย 


 


 


ฉินเฮ่ายิ้มอย่างมีเลศนัย ระหว่างที่ออกจากประตูนั้นก็ถามขึ้นว่า “เป็นอะไร ไม่เชื่อมั่นในตัวเองเหรอ?” 


 


 


“จะเป็นไปได้ยังไงกัน?” จ่านมู่ฮวายิ้มบางๆ 


 


 


“รูปร่างหน้าตาเป็นสิ่งที่พ่อแม่ให้มา ผมก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่เรื่องอื่นผมจะพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มา!” ฉินเฮ่ายิ้มและหันตัวเดินจากไป 


 


 


“จินเหลียน เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” ฉินเฮ่าบอกลาซีเหมินจินเหลียนอย่างสุภาพอ่อนน้อม 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนโบกมือและยิ้มให้เขา “วันนี้ขอบคุณคุณมากนะคะ” 


 


 


“คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ” ฉินเฮ่ายิ้ม 


 


 


จ่านป๋ายขับรถอยู่ ระหว่างทางเขากลับเห็นซีเหมินจินเหลียนไม่พูดไม่จาจึงถามขึ้นว่า “คุณโกรธเหรอครับ” 


 


 


“เปล่า” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า โกรธเหรอ? เธอสามารถโกรธอะไรได้ด้วยเหรอ? 


 


 


“การตายของหวังหมิงเหยาไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่เป็นความโง่ของเขาเอง” จ่านป๋ายจู่ๆ ก็พูดขึ้น ถึงซีเหมินจินเหลียนจะไม่พูด แต่เขาก็เข้าใจความคิดของเธอ เมื่อสักครู่จ่านมู่ฮวากับฉินเฮ่าต่างก็วิเคราะห์ว่าหวังหมิงเหยาไม่มีความสัมคัญสำหรับใคร แม้เขาจะเป็นหรือตายก็ไม่มีใครได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนที่ฆ่าเขา ต้องมีความสัมพันธ์อะไรกับซีเหมินจินเหลียนสักอย่าง… 


 


 


“อ้อ?” ซีเหมินจินเหลียนกล้ำกลืนฝืนยิ้ม 


 


 


“จินเหลียน ความจริงแล้วเมื่อกี้นี้มีอีกอย่างที่ผมยังไม่ได้บอก” จ่านป๋ายพูด “หลินเสวียนหลานไม่มีทางที่จะลงมือฆ่าหวังหมิงเหยาหรอก แต่มีอีกคนที่น่าจะเป็นไปได้” 


 


 


“หลินเจิ้ง?” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน 


 


 


“หา?” จ่านป๋ายนึกไม่ถึงว่าเธอก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน 


 


 


“จ่านมู่ฮวาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน” จ่านป๋ายถอนหายใจ “นอกจากนี้เขาก็เป็นคนที่ใช้รูปร่างหน้าตาให้เป็นประโยชน์ วางแผนชั่วร้าย ในข้อนี้ผมเทียบกับเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นตอนนั้นผมก็แพ้อย่างอนาถจนเกือบจะรักษาชีวิตไว้ไม่รอด! แต่ผมคิดยังไงก็คิดไม่ออก หวังหมิงเหยาก็ไม่ได้ไปขัดอะไรเขา ทำไมเขาต้องเล่นแบบนี้ด้วย?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนั่งหลังพิงเบาะหนังแท้บนรถและถอนหายใจออกมา “คุณกำลังจะบอกว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเขาเป็นคนทำ?” 


 


 


“มีความเป็นไปได้ครับ” จ่านป๋ายพูด “ผมลองมาคิดดูแล้ว หวังหมิงเหยาคงไปทำเรื่องโง่เง่าอะไรบางอย่าง ที่อาจจะไปก่อความวุ่นวายให้จ่านมู่ฮวาเข้า เพราะอย่างนั้นเขาจึงหาวิธีจะปิดปากเขาไปตลอด!” 


 


 


“ห๊ะ?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ 


 


 


“จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้ผมก็ไม่อยากจะบอกกับคุณเลย หวังหมิงเหยาเคยมาหาผม เขาบอกกับผมว่าคุณ…” จ่านป๋ายพูดถึงท่อนนี้ก็ยิ้ม “ช่างเถอะ เขาก็แค่ขู่ผมนิดหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหยักหน้า ถึงแม้จ่านป๋ายจะไม่พูด แต่เธอเองก็เข้าใจดี หวังหมิงเหยาเคยพูดต่อหน้าเธอ ทำให้เธออับอายอยู่ตั้งหลายครั้ง แม้กระทั่งด่าเธอว่าเป็นคนเกาะผู้ชายกิน ผู้หญิงชั้นต่ำหน้าไม่อายต่างๆ นานา ที่เขาไปหาจ่านป๋าย ก็คงคิดว่าจ่านป๋ายเป็นคนเลี้ยงดูเธอสินะ? 


 


 


“ผมเดาว่าเขาคงไปหาคนอื่นด้วย” จ่านป๋ายพูดต่อ “ถึงผมจะไม่ได้สนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่สนใจจริงไหมครับ?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า หวังหมิงเหยามักจะเอาความผิดพลาดประมาทเลินเล่อของคนอื่น และใช้โอกาสนี้ในการโจมตีอย่างหนัก เมื่อก่อนตอนที่พวกเธอคบกัน เธอเองก็โน้มน้าวเขาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยฟัง อีกทั้งยังพูดไม่หยุด 


 


 


“จินเหลียน ผมเคยคิดว่า ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะไม่เลือกคุณอย่างนั้นอย่างนี้ ทำราวกับว่าคุณไม่มีความรู้สึก แต่ยังไงในอนาคตคุณก็ต้องเลิกกับเขาอยู่ดี” จู่ๆ จ่านป๋ายก็พูดขึ้น 


 


 


“ทำไม?” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น ตลอดมานั้นความปรารถนาของเธอก็คือการหาผู้ชายธรรมดาๆ สักคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะมีข้อเสียไปบ้าง แต่เมื่อตัวเองแต่งงานมีลูกไป ตลอดชีวิตนี้เธอก็จะสามารถมีชีวิตที่เรียบง่ายสุขสบาย 


 


 


ถึงจะมีแม่สามีที่คอยเคี่ยวเข็ญเธอ ต้องทนรับสายตาเย็นชาจากญาติมิตร หรือเจอปัญหาสามีภรรยาทะเลาะกัน แต่นี่ก็เป็นชีวิตทั่วไปของคนธรรมดา ไม่ใช่เหรอ? 


 


 


ไม่ต้องมีเงินทองมากมาย แค่เพียงพอมีให้ใช้ก็ได้แล้ว ทำงานเหนื่อยแต่ก็สุขใจ! 


 


 


แต่ไม่เหมือนกับตอนนี้ จ่านมู่ฮวากับจ่านป๋ายทั้งคู่เป็นเหมือนน้ำกับไฟ แต่สามารถกินข้าวและพูดคุยด้วยกันได้ อาจจะพูดคุยหัวเราะกัน แต่พอหันหลังแค่ชั่วพริบตาก็อาจจะดึงมีดออกมาแทงกันได้ ไม่เห็นอีกฝ่ายตายไปข้างก็ไม่ยอมหยุด 


 


 


ข้อเสนอการค้าเครื่องประดับหลายสิบล้านอยู่ตรงหน้าเธอ แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด หยกไม่ใช่แค่เป็นตัวบ่งบอกถึงราคา แต่ยังมีความมหัศจรรย์ที่ลี้ลับและความมันวาวสะกดใจคน… 


 


 


ส่วนฉินเฮ่า? ได้ยินว่าตระกูลของเขาทำเรื่องค้าขายผิดกฎหมาย จนไปถึงคดีเกี่ยวกับชีวิตคน แต่ในสายตาของเขามันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย 


 


 


พูดตามตรงแล้ว ความเฉยเมยแบบนี้ เธอก็ทำไม่ได้จริงๆ ความทะเยอทะยานของจ่านมู่ฮวาผ่านงานนิทรรศการอัญมณีครั้งนี้ เปิดเผยอย่างหมดเปลือกว่าทั้งหมดนั้นเขาทำเพื่ออำนาจเงินทอง ผลประโยชน์เป็นหลัก!  


 


 


ผ่านคืนนี้ไป บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่คงไม่ได้มั่งคั่งเหมือนเก่าสินะ? บริษัทเก่าแก่ยักษ์ใหญ่มาหลายร้อยปีกลับมาล้มละลายลงฮวบฮาบถึงครึ่ง แน่นอนถ้าหากยังมีวาสนาดี บางทีคุณนายซูอาจมีโอกาสจะได้พยุงตัวขึ้นมาบาง 


 


 


 โดยที่ไม่รู้ตัวในใจของซีเหมินจินเหลียนก็คิดถึงคุณนายอวิ๋นขึ้นมา ตราบใดที่เธอมีชีวิตอยู่ บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ก็ไม่มีทางล้มละลายลงแน่ๆ! ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของเธอเองถึงคิดฟุ้งซ่านอยู่เรื่อย เวลาที่เห็นเธอก็จะมีความเศร้าโศกชั่วครู่ขึ้นมา ทำให้มีความรู้สึกพูดได้ยาก ราวกับต้นไม้ที่แห้งแล้งแล้วจู่ๆ มีฝนตกมาชโลมจิตใจ… 


 


 


 มือถือของจ่านป๋ายดังขึ้น จ่านป๋ายแปลกใจเล็กน้อย เวลานี้แล้วจะมีใครโทรมาหาเขาอีก? 


 


 


 เขากดปุ่มรับสาย 


 


 


“คุณจ่าน ตั้งแต่จากกันที่อเมริกาคุณก็ยังดูดีเหมือนเคยนะ ไม่ทราบว่าคุณจะสนใจคุยเรื่องธุรกิจอัญมณีกับฉันไหม?” น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาทางโทรศัพท์มีความไพเราะลื่นหู แต่จู่ๆ จ่านป๋ายก็อยากจะโยนมันออกไปให้ห่างเหลือเกิน สิ่งที่ควรจะมา ในที่สุดก็มาแล้วสินะ!  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 131 คุยธุรกิจ

 

ซีเหมินจินเหลียนหันไปมองจ่านป๋ายที่มีท่าทีมีพิรุธ ใบหน้าที่สดใสเหมือนแสงอาทิตย์ ตอนนี้กลับยับย่นไม่เป็นท่า สายตาดูหมองหม่นลง 


 


“ผมไม่สนใจ ไม่สนใจเลยสักนิด!” จ่านป๋ายพูดอย่างใจเย็นและเตรียมจะวางสาย 


 


“คุณจ่าน ฉันแนะนำให้คุณสนใจจะดีกว่า” ในโทรศัพท์มือถือนมีเสียงชวนฟังส่งผ่านมา “ไม่อย่างนั้น คุณก็คงรู้กฎการปฏิบัติของพวกเรา” 


 


จ่านป๋ายจับโทรศัพท์ไว้แน่น มือสั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาไม่ได้กลัวอะไรจริงๆ และไม่กลัวการขู่เข็ญจากใครทั้งนั้น แต่ถ้าหากพวกเขาทำอะไรจินเหลียนขึ้นมาจะทำอย่างไร? ความตั้งใจแต่แรกของเขาก็คือการปกป้องเธอไปตลอดชีวิต แต่ไม่ใช่เอาตัวเองไปสร้างความวุ่นวายให้กับเธอ หรืออาจจะเป็นการใช้อำนาจข่มขู่เอาชีวิตเธอ? 


 


“พวกคุณจะเอายังไง?” จ่านป๋ายถาม 


 


“คืนนี้ฤกษ์ดี คุณจ่าน ฉันจะรอคุณอยู่ที่หลานรั่วซื่อ” เสียงของฝ่ายตรงข้ามไพเราะหวานหู “พาแฟนสาวคนสวยของคุณมาด้วยกันสิ ฉันก็อยากจะเจอเธอเหมือนกัน!” 


 


พูดจบอีกฝ่ายก็ตัดสายไป จ่านป๋ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเขวี้ยงมือถือไปอีกฝั่ง ทันใดนั้นก็เหยียบคันเร่งสุดแรง ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้เตรียมใจ ทำให้ร่างของเธอหงายหลังอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะล้มลงบนเก้าอี้อย่างแรง 


 


“อารมณ์ไม่ดีคุณก็ไม่ควรจะไปลงกับคันเร่งสิ!” ซีเหมินจินเหลียนพูดกลั้วหัวเราะน้อยๆ 


 


“จินเหลียน…ผม…ขอโทษครับ” จ่านป๋ายพูด 


 


“ฉันรู้ว่าคุณเป็นตัวสร้างปัญญา แต่ตั้งแต่ตอนนั้นฉันก็ยังรับคุณมาอยู่ด้วยกัน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม พูดขึ้นอย่างใจเย็น “ไปกันเถอะ ฉันก็อยากจะไปดูหลานรั่วซื่ออะไรนั่นสักหน่อย” 


 


“คุณไม่โกรธเหรอ?” จ่านป๋ายถามอย่างแปลกใจ 


 


“ถึงฉันจะโกรธแต่ก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะอย่างนั้นสู้เผชิญหน้ารับมือกับมันไม่ดีกว่าเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ “คุณไม่รู้สินะว่าก่อนที่คุณย่าของฉันใกล้เสีย ท่านก็เคยจับมือฉันแล้วพูดว่า… ‘จินเหลียน ยอมยากจนไปชั่วชีวิต ก็ดีเสียกว่าไปสัมผัสหิน ไม่อย่างนั้นหลานจะต้องเสียใจ’ ” 


 


เมื่อซีเหมินจินเหลียนพูดถึงตอนนี้ก็ถอนหายใจออกมา “หลายปีที่ผ่านมาฉันก็ไม่เคยรู้ว่าทำไมคุณย่าถึงพูดแบบนั้น ความจนกับหินมันเกี่ยวอะไรกัน หินขรุขระพวกนั้นจะสามารถทำให้ฉันรวยได้เหรอ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหยกที่ดึงดูดผู้คนจะมาจากหินหยาบๆ พวกนั้น ครั้งแรกที่หลินเสวียนหลานพาฉันไปที่ร้านเถ้าแก่โจว ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งตอนที่ฉันเห็นคุณนายอวิ๋น ฉันถึงเพิ่งจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องแม้ว่าเราจะหลบหลีกมันยังไง แต่ก็ไม่มีทางที่จะหลีกพ้น ไม่ว่าคุณย่าของฉันจะกังวลกับเรื่องนี้ และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงมากแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็เป็นชะตากรรมที่ฉันต้องเผชิญอยู่ดี” 


 


จ่านป๋ายยิ้ม มนุษย์หนอ! ทำทุกอย่างก็เพื่อเพราะเงิน แต่บางคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจ เกรงว่าอาจไม่คิดเช่นนี้ อย่างเช่นผู้อาวุโสหูแปลกประหลาดผู้นั้น? เขาอยากได้เงินมันเป็นเรื่องที่ง่าย แต่สิ่งที่เขาต้องการกลับไม่ใช่แค่เงินนี่สิ! 


 


“ฉันเคยจนเคยลำบากมาก่อน เคยถูกคนอื่นดูถูกเหยียดหยาม ตอนนั้นชีวิตของฉันธรรมดาแต่ฉันก็พอใจมาก ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฝัน แต่ถ้าหากสามารถย้อนเวลาไปได้ ฉันก็ยังคงทำเช่นนี้ นี่เป็นชะตากรรมที่หวนเปลี่ยนไม่ได้” ซีเหมินจินเหลียนพึมพำ เมื่อเธอเห็นคุณนายอวิ๋น เธอก็สามารถเผชิญหน้ากับทุกสิ่งได้แล้ว 


 


หากประสบการณ์ในวัยเด็กไม่ได้เป็นเพียงความฝันฉากหนึ่ง แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ถ้าอย่างนั้นการดำรงอยู่ของเธอก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ชีวิตนี้จะไม่ถูกปิดกั้นฝังตัวเองไว้ และวันหนึ่งในอนาคตเธอจะมีชีวิตอยู่อย่างประสบความสำเร็จ 


 


จ่านป๋ายผ่อนความเร็วรถลง ซีเหมินจินเหลียนก็มองออกไปทางนอกหน้าต่างรถอย่างแปลกใจ ที่แห่งนี้ดูแปลกตา ในเซี่ยงไฮ้ที่วุ่นวายยังมีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วยหรือ? 


 


มันดูทรุดโทรมและเก่าแก่มาก มองไปรอบๆ มันเป็นสีเทาราวกับว่าในเวลานั้นได้ย้อนกลับไปยังหลายร้อยปีก่อน แม้แต่ถนนยังเป็นหลุมเป็นบ่อ เขาขับรถเบนซ์เบียดเสียดเข้าไปยังตรอกซอกซอย 


 


“สถานที่นี้ยังไม่ได้ถูกรื้อทำลายอีกเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนสงสัย 


 


“ไม่มีใครซื้อพื้นที่ในสถานที่นี้ได้ต่างหากล่ะครับ” จ่านป๋ายพูด “ถนนทั้งเส้นนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลทั้งหมด” 


 


พื้นที่ส่วนบุคคล? ซีเหมินจินเหลียนสูดลมหายใจ สถานที่แห่งนี้แม้ว่าจะเก่าคร่ำครึไปหน่อย แต่พื้นที่ไม่ได้เล็กเลย พื้นที่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ทุกตารางนิ้วต่างเป็นเงินเป็นทอง การที่มีพื้นที่ส่วนบุคคลกว้างขวางขนาดนี้คงจะประมาทไม่ได้จริงๆ 


 


“จินเหลียน คุณก็พูดถูก!” จู่ๆ จ่านป๋ายก็พูดขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป 


 


“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนไม่ค่อยเข้าใจ จึงถามกลับไป “คุณว่าอะไรนะ” 


 


“เดิมทีผมก็คิดว่าผมแพ้แล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว เพราะอย่างนั้นผมจึงหลบหนีปัญหามาโดยตลอด แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเรื่องบางเรื่องถึงเราจะอยากหนีไปไกลแค่ไหน ก็คงหนีมันไม่พ้น เพราะฉะนั้นก็ไม่สู้ใช้วิธีเผชิญหน้ากับมันดีกว่า!” ในขณะที่จ่านป๋ายพูดประโยคนี้ แววตาของเขาก็ฉายแววอำมหิตขึ้น 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมา ใช่ เรื่องบางเรื่องก็ทำได้แค่เผชิญหน้า ไม่มีทางหลบหลีกได้ 


 


“ที่นี่เหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายหยุดรถเป็นที่เรียบร้อย 


 


“ที่ตรงนี้ใหญ่หน่อย สามารถจอดรถได้ ถ้าขับไปข้างหน้าอีก รถก็เข้าไม่ได้แล้ว” จ่านป๋ายอธิบาย 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ก่อนจะเปิดประตูรถลงมา บรรยากาศโดยรอบมืดสงัด ภายในตึกเก่าไม่มีแม้แต่แสงไฟ เธอหยิบไฟฉายออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะเปิดมันพร้อมพูดว่า “ที่นี่ไม่มีใครอยูู่เลยเหรอ?” 


 


“น่าจะมีแค่สองสามครัวเรือน” จ่านป๋ายพูดไปพลางก็เดินเข้าไปจูงมือของซีเหมินจินเหลียน “ระวังหน่อยครับ ที่นี่ค่อนข้างเดินลำบาก” 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม ถึงจะเดินยากแค่ไหนก็คงเดินง่ายกว่าทางบนเขาเป็นแน่ เธอไม่ได้สนใจ แต่ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของจ่านป๋าย  


 


“คุณจอดรถไว้ตรงนี้ก็ไม่กลัวว่าใครจะขโมยไปเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนปิดไฟฉายและถามขึ้น 


 


“อ้อ?” จ่านป๋ายยิ้มขึ้นมาบางๆ ก่อนที่เสียงอ่อนโยนของเขาจะส่งผ่านมาในความมืด “ที่นี่คนก็ไม่ได้เยอะสักหน่อย แล้วจะมีขโมยมาจากไหน? อีกอย่างที่แห่งนี้เป็นรังพญาโจร! โจรกระจอกไม่กล้าเข้ามาหรอกครับ” 


 


“รังพญาโจร?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ 


 


“ครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “พญาโจรที่แท้จริง เป้าหมายของพวกเขาก็ยิ่งใหญ่กว่านั้น แค่รถคันหนึ่ง พวกเขาไม่สนใจหรอก วางใจได้” 


 


ซีเหมินจินเหลียนเผยยิ้มออกมา ไม่น่าล่ะเมื่อสักครู่ที่ลงมาจากรถเขาก็ไม่ได้ล็อครถ จอดอย่างโจ่งแจ้งไว้ที่นั่น ที่แท้สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่ของโครตโจร และโจรธรรมดาก็ไม่กล้าเข้ามาข้องเกี่ยวโดยง่าย 


 


ในตรอกมืดนี้ทันใดนั้นก็มีแสงไฟสีเหลืองสลัวอยู่ที่ประตูบ้าน ดูอบอุ่นเล็กน้อย จ่านป๋ายจับมือของซีเหมินจินเหลียนแล้วเดินไปที่ประตูที่มีแสงสว่างสอดผ่านเข้ามา 


 


โคมไฟกระดาษสีขาวสองอันแขวนไว้ที่หน้าประตู แผ่นป้ายสำนักเก่าแก่ทรุดโทรมมีรอยคราบสกปรก แต่ยังสามารถเห็นตัวอักษรด้านบนทั้งสามตัวได้อย่างชัดเจน ‘หลานรั่วซื่อ!’ 


 


 จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็อยากจะด่าคนขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าแผ่นป้ายสำนักนี้ใหม่เอี่ยม แต่ถูกทำให้เก่า นี่ก็เป็นกลวิธีในการแปลงให้เป็นของเก่าที่ขายตามถนนโบราณ! 


 


ประตูไม้ขนาดใหญ่สองฝั่งถูกเปิดออกกว้าง  


 


ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเธอไม่ทันได้ทำอะไร ก็มีลมพัดกรูเข้ามาจนโคมลอยที่แขวนอยู่กวัดแกว่งไปมา บรรยากาศดูน่ากลัววังเวงเหมือนอยู่ในป่าช้า 


 


 


 


“พี่ใหญ่จ่านมาแล้ว?” ผู้หญิงที่แต่งตัวน้อยชิ้น เรือนร่างดูเย้ายั่ว ชั่วพริบตาเดียวเธอก็แนบตัวเข้าใกล้ร่างของจ่านป๋าย  


 


ผู้หญิงคนนี้ดูแล้วอายุยังไม่มาก แต่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น มีผ้าคลุมโปร่งแสงเบาบางอำพรางตัวไว้อยู่ เสริมกับเรือนร่างที่ได้สัดส่วนก็ยิ่งสะกดท่วงท่าอารมณ์ให้สง่างาม ซีเหมินจินเหลียนอดสงสัยไม่ได้ว่าภายใต้ผ้าคลุมของผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ใส่อะไรเลยหรอกนะ? หรือเธอจำเป็นต้องเตือนเธอสักหน่อยไหมว่าหากจะใช้วิธีนี้ยั่วยวนผู้ชายก็ต้องดูแลสุขภาพตัวเองบ้าง อากาศหนาวแบบนี้จะเป็นหวัดเอาง่ายๆ! 


 


จ่านป๋ายไม่ได้ไว้หน้าแม้แต่น้อย รีบผลักผู้หญิงที่สวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นให้ออกห่างจากตัวและถามขึ้นว่า “ซาลี่ล่ะ” 


 


“พี่ก็เอาแต่ถามถึงพี่ซาลี่!” ผู้หญิงน้อยชิ้นคนนั้นแค่นเสียงใส่ ก่อนจะเหลือบไปมองซีเหมินจินเหลียน 


 


พอดีที่ซีเหมินจินเหลียนก็กำลังมองเธออยู่พอดี ผู้หญิงสวยคนหนึ่ง แต่งหน้าจัดจ้าน หน้ารูปทรงรียาวได้มาตรฐาน ผิวสีขาวนวล น่าจะเป็นเพราะอยู่ใต้แสงไฟ? ซีเหมินจินเหลียนคิด บางทีตอนกลางวันเธออาจจะหน้าตาธรรมดาก็ได้? 


 


“มีอะไรกัน?” ด้านในนั้น เมื่อประตูเปิดออกก็มีผู้หญิงสวมใส่ชุดโบราณสีขาวมัดแกะสองข้างเดินมา… 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองอย่างตกตะลึง พระเจ้าช่วย เธอก็ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม การแต่งกายของผู้หญิงคนนี้เหมือนกับเนี่ยเสี่ยวเชี่ยน[1]ในละครเลย? 


 


ประตูไม้ด้านหลังปิดลงอย่างช้าๆ ผู้หญิงสวยในชุดโบราณเข้ามาทักทายจ่านป๋ายกับซีเหมินจินเหลียน แล้วพูดว่า “เชิญนั่งสิ” 


 


จ่านป๋ายยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน ในขณะซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ ขยับเข้าไปข้างโต๊ะเล็กน้อย และนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่แกะสลักเป็นดอกไม้ ก่อนถามขึ้นว่า “พี่สาวคงจะไม่ตะโกนขึ้นมาว่า…มีผี? หรอกนะ” 


 


หญิงงามในชุดโบราณได้ยินเข้าก็หัวเราะ “น้องสาวน่าสนใจดีนะ” 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ถ้าตามในละครก็ควรจะเป็นแบบนั้น แต่เรามาที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ว่าคนหรือผีก็ไม่สำคัญทั้งนั้น!” 


 


“โอเค!” ดวงตาของหญิงงามในชุดโบราณยิ้มชื่นชมและปรบมือพูด “พูดได้ดี พวกเรามาคุยแค่เรื่องธุรกิจ ส่วนอีกฝ่ายจะเป็นคนหรือผีก็ไม่สำคัญ” 


 


“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เชิญพี่สาวคุยธุรกิจเถอะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น 


 


หญิงงามในชุดโบราณเลิกคิ้วขึ้น “เธอสามารถตัดสินใจแทนเขาได้หรือ?” พูดพลางเธอหันไปมองจ่านป๋าย 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่พูดอะไรต่อ สายตาของเธอตกไปอยู่ที่จ่านป๋าย จ่านป๋ายพูดอย่างเยือกเย็นว่า “เธอตัดสินใจแทนผมได้ แต่คุณสามารถตัดสินธุรกิจเหล่านี้ได้ไหม เรื่องนี้ก็พูดยาก” 


 


“จนถึงตอนนี้ธุรกิจนี้มีฉันเป็นคนดูแลรับผิดชอบ!” หญิงงามในชุดโบราณพูด 


 


“โอเค เริ่มพูดเถอะ” จ่านป๋ายยกเก้าอี้มาและนั่งลงฝั่งตรงข้ามของซีเหมินจินเหลียน “บริษัทจิวเวอรี่สิบสามแห่งในคืนนี้ พวกคุณเป็นคนขโมยใช่ไหม?” 


 


“ไม่อย่างนั้นพวกเราจะคุยธุรกิจอัญมณีอะไรนี่หรือ?” หญิงงามใส่ชุดโบราณยิ้ม “แม้ว่าฉันจะชอบเล่นเกมฉ้อโกงโดยไม่ได้ลงทุนอะไรมาก แต่วิธีนี้สำหรับคุณชายจ่านของคุณก็ไม่มีประโยชน์สักนิด เพราะฉะนั้นพวกเราเลยต้องลงทุนสักหน่อย” 


 


แม้ว่าภายนอกซีเหมินจินเหลียนจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจของเธอก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไหว พระเจ้า! คดีขโมยใหญ่หลวงเช่นนี้ เป็นฝีมือของหญิงงามในชุดโบราณที่อยู่ตรงหน้าเธอน่ะหรือ? อีกทั้งเธอยังกล้ามาคุยธุรกิจกับจ่านป๋ายอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้อีก? 


 


 


 


[1] เนี่ยเสี่ยวเชี่ยน ตัวละครจากเรื่องโปเย โปโลเย เป็นผีสาวรูปงามดั่งภาพวาด ที่ใช้ความงามล่อลวงบุรุษหนุ่มจนเมื่อพลั้งพลาดเผลอ สูบเลือดเนื้อวิญญาณนำมาเป็นพลังงานให้กับตนเอง  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 132 ของในตำนาน

 

จ่านป่ายพยักหน้าพูด “ว่ามาเถอะ คุณจะเอายังไง” 


 


“อัญมณีนี้เป็นของดี” หญิงงามในชุดโบราณพูดในขณะที่กำลังเล่นกำไลข้อมือทองคำสีดำประดับพลอย 


 


ซีเหมินจินเหลียนจำได้ว่ากำไลทองคำดำนี้น่าจะมาจากบริษัทอัญมณีสักแห่งในตัวเมือง ในตอนแรกเธอดูด้วยความสนอกสนใจและเคยถามราคา อีกฝ่ายตั้งราคาไว้แต่บอกว่าไม่ได้ขายสินค้า 


 


“แต่ของพวกนี้มีเก็บไว้สักชิ้นสองชิ้น นำมันออกไปใส่โชว์สักครั้งก็พอแล้ว” หญิงงามในชุดโบราณขมวดคิ้้วเรียวบางน้อยๆ พร้อมถอนหายใจออกมา “น่าเสียดาย ว่ากันว่าฆ้องที่ขโมยมาไม่สามารถเคาะได้ ส่วนเครื่องประดับที่ถูกขโมยมาก็ไม่สามารถสวมใส่ได้เช่นกัน” 


 


“คุณรู้ก็ดีแล้ว!” จ่านป๋ายยิ้มอย่างเยือกเย็น 


 


“เพราะว่าใส่ไม่ได้ อย่างนั้นพวกเราจึงอยากนำสิ่งของแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด” หญิงงามในชุดโบราณพูด “พอเป็นแบบนี้แล้ว พวกเราก็สามารถนำเงินไปซื้อเครื่องประดับอัญมณีได้อย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง คุณจินเหลียน คุณว่าถูกไหม?” 


 


“ถูกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “นี่ก็เป็นตรรกะทั่วไป” 


 


หญิงงามถือโอกาสถอดกำไลในข้อมือออกและพูดว่า “คุณจินเหลียนก็รู้ใจดีจริงๆ” พูดพลางเธอก็นำกำไลในมือคล้องใส่ไปในข้อมือของซีเหมินจินเหลียน “สวยมาก คุณจ่าน คุณว่าไหมล่ะ?” 


 


“จินเหลียนสวยอยู่แล้ว” จ่านป๋ายพูดอย่างใจเย็น 


 


“ใช่เลย!” หญิงงามในชุดโบราณพูด “คนสวย ก็ยิ่งต้องเสริมแต่งไปด้วยเครื่องประดับที่ประณีตล้ำค่า! คุณดูนี่สิ กำไลวงนี้กับคุณจินเหลียนก็ช่างเข้ากันได้ดีอะไรขนาดนี้?” 


 


“ฉันชอบหยกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางค่อยๆ ถอดกำไลวงนั้นออกมาจากข้อมือและนำไปวางไว้บนโต๊ะพร้อมยื่นส่งกลับไปให้ “คุณคงไม่ได้คิดที่จะขายของที่ขโมยมาให้กับพวกเราใช่ไหมคะ?” 


 


หญิงงามในชุดโบราณปรบมือเบาๆ พลางชื่นชม “คุณจินเหลียนฉลาดอย่างที่คิดไว้จริงๆ” 


 


“แต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าคุณกำลังทำเหมือนกับฉันเป็นคนโง่?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “ตัวเองฉลาด แต่ก็อย่าคิดว่าคนอื่นๆ บนโลกเขาจะโง่สิคะ? ของที่ปล้นมาจะเอามาขายฉันหรือ? คุณกลัวเรื่องเดือดร้อน ก็ไม่คิดว่าฉันจะกลัวเรื่องเดือดร้อนบ้างหรือไง?” 


 


หญิงงามในชุดโบราณถอนหายใจออกมา “ที่ฉันเรียกคุณมาก็เพราะคิดถึงปัญหานี้ ถ้าพวกคุณมีปัญหา พวกเราก็คงหนีไม่พ้นหรอก!” 


 


“คุณรู้แล้วก็ดี!” จ่านป๋ายพยักหน้าพูด “ตลอดเวลาที่ผ่านมา การทำธุรกิจสนใจแต่เรื่องผลประโยชน์ ไม่เคยสนใจเรื่องคุณธรรม ถ้าผมเดือดร้อย สุดท้ายก็ต้องดึงคุณลงไปในเหวด้วยกัน!” 


 


“ฉันต้องการที่จะหาผู้ซื้อที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมถึงสองอย่าง อย่างแรกคือในมือมีเงินทุนเพียงพอและเหลือใช้ที่จะซื้อเครื่องประดับเหล่านี้ อย่างที่สองคนที่มีลู่ทางในการขายของที่ขโมยมาอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น!” หญิงงามในชุดโบราณยิ้ม “คุณจ่าน สำหรับคนอื่น เรื่องพวกนี้เป็นประเด็นร้อนแรงที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม แต่สำหรับคุณแล้วนี่ยังเทียบไม่ได้กับเนื้อติดมันเลย คุณน่าจะกินมันต่อไป คุณจินเหลียนเปิดบริษัทจิวเวอรี่ ขอแค่เก็บอัญมณีพวกนี้ไว้แล้วส่งไปขายที่ต่างประเทศ คงไม่น่ากังวลเรื่องช่องทางการขายหรอกมั้ง?” 


 


ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ต่างประเทศ? ถ้าหากเป็นร้อยปีก่อน การคมนาคมไม่ได้เจริญเหมือนสมัยนี้ ข้อมูลข่าวสารยังไม่ได้แพร่หลายทั่วโลก สินค้าจากทางใต้ไปขายทางเหนือยังพอมีทางเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ถ้าหากจะใช้วิธีขายของที่ขโมยมา เท่ากับว่าเป็นการรนหาที่ตาย นอกจากนี้นี่ยังเป็นคดีปล้นอัญมณีมีผลกระทบเลวร้าย คงจะต้องเข้าหูตำรวจนานาชาติแน่ เธอไม่อยากจะหาเรื่องใส่ตัวสักหน่อย 


 


“ฉันเรียกพวกคุณมาร่วมงาน แน่นอนว่าก็ต้องช่วยพวกคุณคิดหาช่องทางการขายสินค้าที่สมบูรณ์แบบไว้หมดแล้ว!” หญิงงามพูด 


 


“น่าจะเพราะว่าช่องทางการขายนั้นไม่ได้ราบรื่นอะไรสินะ ไม่อย่างนั้นคุณจะมาร่วมมือกับพวกเราทำไม?” จ่านป๋ายพูด 


 


“พวกเราต้องการบริษัทจิวเวอรี่สักแห่ง เพราะถ้าหากพวกเราขายเอง คงไม่มีเงินสดมาหมุนเวียน พวกเราต้องการเงินสดก้อนใหญ่ ตอนนี้…” หญิงงามในชุดโบราณส่ายหน้าพูด 


 


“แล้วถ้าพวกเราไม่ตกลงที่จะร่วมงานด้วยล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามกลับ 


 


“คุณต้องตกลงอยู่แล้ว!” หญิงงามในชุดโบราณพูดอย่างมั่นใจ 


 


“คุณเอาอะไรมามั่นใจ?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ทำไมฉันต้องร่วมมือด้วย เงินสดที่มีอยู่ในตอนนี้ย่อมดีกว่าซื้อเครื่องประดับอัญมณีที่ขายได้ยากอีก หนำซ้ำนี่ก็กำลังเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอยู่” 


 


หญิงงามในชุดโบราณขมวดคิ้ว ได้แต่มองจ่านป๋าย ในเมื่อจ่านป๋ายมาแล้วก็เท่ากับว่าเขาคิดจะร่วมมือแล้ว 


 


“ในนามของผู้ประมูลบริษัทจินติ่ง อยากจะนำอัญมณีเหล่านี้ขนย้ายไปต่างประเทศ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกใช่ไหม?” หญิงงามในชุดโบราณพูด “ตอนแรกคุณจ่านใช้การประมูลจินติ่งไปไม่รู้เท่าไหร่ในการชะล้างสินค้าผิดกฎหมาย!” 


 


จ่านป๋ายไม่พูดอะไรอีก หญิงงามในชุดโบราณจึงพูดขึ้นว่า “นอกจากนี้ คุณจ่านกับการประมูลใต้ดินในยุโรปมีความสัมพันธ์กันมาตลอด เครื่องประดับชั้นนำบางชิ้นในชุดนี้สามารถส่งไปประมูลได้ ส่วนเพชรที่เจียระไนออกมาลักษณะธรรมดาก็นำมาตกแต่งทำเครื่องประดับต่างๆ แล้วค่อยขายน่าจะไม่มีปัญหาอะไร คงไม่มีใครคอยสงสัยแหล่งที่มาของเพชรที่มาจากบริษัทจิวเวอรี่ชั้นนำหรอก คุณจินเหลียนน่าจะนำเพชรนำเข้ามาจากคุณชายใหญ่จ่านใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นขอแค่คุณชายใหญ่จ่านเปิดบิลสร้างจำนวนปลอมแปลงขึ้นมา เพชรของคุณก็จะถูกตามหลักกฎหมาย” 


 


ซีเหมินจินเหลียนยังคงส่ายหน้า พระเจ้า นี่เป็นการปล้นกันชัดๆ… 


 


“อัญมณีเหล่านี้มูลค่าทั้งหมดเท่าไหร่” จู่ๆ จ่านป๋ายก็ถามขึ้น 


 


“เท่านี้!” หญิงงามยกสองนิ้วขึ้นและส่ายไปมา 


 


 ซีเหมินจินเหลียนแอบสูดหายใจ ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ราคาเท่านี้ในเวลารวดเร็ว เธอจะไปหาเงินสดออกมามายมายจากที่ไหน 


 


“พวกเรามีสินค้าที่ขโมยมาได้ แน่นอนว่าไม่สามารถขายได้ในราคาเดิม!” หญิงงามในชุดโบราณพูดน้ำเสียงนิ่ง “เพราะฉะนั้นพวกเรามาเจรจาธุรกิจกันดีกว่า กำไรห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะพวกคุณก็ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น! อีกทั้งครั้งนี้พวกเรายังขโมยอัญมณีมาถึงสิบสามแห่ง ทั้งหมดล้วนเป็นของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ที่แยกมาจากธุรกิจของตระกูลอวิ๋นทั้งนั้น ฉันว่าคุณจินเหลียนน่าจะยินดีที่จะคิดบัญชีกับคุณนายซูใช่ไหม?” 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนกะพริบตาและพยักหน้าลง “ชัยชนะฉันไม่ต้องการ แต่ฉันจะทำให้เธอโชคร้ายแน่ๆ” 


 


“ฉันหวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมงานกันได้ในระยะยาว เพราะฉะนั้นพวกเราจึงให้คุณนายซูเดิมพันทรัพย์สิน!” หญิงงามในชุดโบราณพูด 


 


“ไม่ใช่ว่าเดิมทีพวกคุณก็ร่วมมือกับคุณนายซูหรอกเหรอ?” จู่ๆ จ่านป๋ายถามขึ้น 


 


“ในเมื่อเป็นการร่วมมือกัน ก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่ทำผิดสัญญา ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนโง่!” หญิงงามในชุดโบราณพูดขึ้น “ที่บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่สามารถมีวันนี้ได้ คุณจ่านก็น่าจะรู้ว่าพวกเราก็ช่วยเหลือไว้เยอะ แต่เธอคิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งก็เลยพลิกสีหน้า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษด้วย ก็อย่างที่คุณจินเหลียนพูดไว้ ไม่มีใครโง่ เธอคิดว่าขอแค่มีคุณนายอวิ๋นอยู่ เธอก็จะรู้สิ่งของที่อยู่ในตำนาน ฝันหวานไปหน่อยมั้ง!” 


 


“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามแปลกใจ “หาของอะไรในตำนานนะ?” 


 


“คุณจินเหลียน หรือว่าบรรพบุรุษของคุณก็ไม่ได้บอกไว้ ของที่คุณกำลังตามหา ก็ไม่ได้มีแต่ตระกูลของคุณที่กำลังตามหาหรอกนะ?” หญิงงามในชุดโบราณพูด  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 133 ตามล่าหาสมบัติ

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดไปมาเลยพูดขึ้น “ฉันไม่ได้สนใจสิ่งนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรเลย!” ถ้าหากไม่ใช่ผู้อาวุโสหูเป็นคนพูดขึ้นมา เธอคงไม่รู้อะไรจริงๆ 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าคุณโชคดีแล้ว” หญิงงามในชุดโบราณถอนลมหายใจ “ฉันชื่อไห่ถัง บางทีคุณอาจจะคิดไม่ถึงว่าเพื่อตำนานที่ไม่มีจริงแล้ว พวกเราต้องลำบากไม่รู้ต่อกี่รุ่น โดยที่ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไรอยู่!” 


 


“แต่พวกคุณก็เลือกที่จะปล่อยวางได้” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “อย่างคืนนี้ก็ไม่มีใครจ่อปืนบังคับคุณไปปล้นเครื่องประดับสักหน่อยนี่? พวกคุณเป็นคนเลือกเองที่จะเดินบนเส้นทางหายนะนี้เอง!” 


 


“คุณจินเหลียน ฉันขอถามคุณหน่อย มนุษย์เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร” ไห่ถังถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน 


 


ซีเหมินจินเหลียนสับสน มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรหรือ? ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะพยายามเท่าไหร่ ในอนาคตก็คงหลีกเลี่ยงความตายไม่ได้อยู่ดี ขอทานกับพระราชายังไม่มีทางที่จะหลุดพ้นวงจรเช่นนี้เลย 


 


“ชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะมีสีสันหลากหลายขนาดไหน และไม่สนว่าจะมีอำนาจเงินทองอยู่เท่าไหร่ สุดท้ายก็คือเส้นทางแห่งความตาย” ไห่ถังถอนหายใจยาว คิ้วงามขมวดเข้าหากันอีกครั้ง “คนทั่วไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่พวกพระราชาที่มีอำนาจล้นฟ้ายิ่งใหญ่ย่อมคิดแตกต่างโดยสิ้นเชิง เขาหวังว่าจะมีชีวิตยืนยาวกว่าคนทั่วไป” 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าและหวนคิดถึงตำนานไซอิ๋ว ตอนที่ซุนหงอคงถามว่า ‘คนส่วนมากขอแค่มีอายุที่ยืนยาว!’ 


 


“ความรุ่งเรืองของเราน่าจะกลับไปตอนยุคราชวงศ์หมิง” ไห่ถังพูดขึ้นอีกครั้ง 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิ้วขมวดคิดถึงยุคราชวงศ์หมิง มีฮ่องเต้พระองค์หนึ่งที่ใช้แรงงานประชาชนอย่างสิ้นเปลือง เคร่งครัดในการบรรลุพระธรรม แน่นอนความตั้งใจก็เพื่ออยากจะมีอายุยืนยาว 


 


ไห่ถังเงียบไปชั่วครู่และพูดขึ้นว่า “รายละเอียดเป็นอย่างไร ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ชัด แต่มีราชาที่เชื่อเรื่องนี้ เร็วสุดคือเมื่อสมัยโบราณกาล มียาเทพที่กินแล้วไม่ตาย คนในช่วงนั้นมีพลังเทพกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นฮ่องเต้พวกนี้จึงเริ่มรวบรวมอำนาจทั้งประเทศ อยากจะมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ ชีวิตอมตะไม่เป็นแค่ตำนานความฝันอีกแล้ว เวลานั้นข้อมูลมหาศาลที่รวบรวมไว้ ถูกเผาทำลายล้างโดยทหารราชวงศ์ชิงทั้งหมด แต่ก็ยังคงเหลือตำนานเผยแพร่ออกมาได้” 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่จ่านป๋าย ประจวบเหมาะกับที่จ่านป๋ายมองมายังเธอพอดี ตำนานแบบนี้แม้ว่าประวัติยุคไหนก็มีทั้งนั้น ที่เป็นที่รู้จักที่สุดคงจะเป็นจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ส่งคนไปตามหายาที่กินแล้วเป็นอมตะไม่มีทางแก่จากที่ไกลโพ้นทะเล แต่ละฉบับต่างมีปรากฏให้เห็น จนถึงตอนนี้เธอคิดฟังมันจนคิดเสียว่าเป็นนิทาน 


 


“ในราชวงศ์มีความลับที่ถูกเก็บเอาไว้ ในสมัยยุคเริ่มราชวงศ์ชิง บ้านเมืองรุ่งเรือง แต่ไม่เห็นจะมีใครสนใจเรื่องพวกนี้ แต่หลังจากผ่านไปหลายชั่วอายุคน มีฮ่องเต้องค์หนึ่งที่เริ่มสนใจขึ้นมา!” ไห่ถังพูดต่อ 


 


“อ้อ?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ในใจมีแต่ความสงสัยไม่รู้จบ เป็นใครกันแน่ที่เริ่มสนใจในสิ่งไร้สาระพวกนี้? 


 


“คุณจินเหลียน คุณลองทายดูสิว่าเป็นใคร?” ไห่ถังยกมุมปากและยิ้มด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย 


 


ซีเหมินจินเหลียนเงียบอยู่นานถามขึ้น “เฉียนหลง?” 


 


“ทำไมคุณถึงคิดถึงเขาได้ล่ะ?” ไห่ถังถามอย่างสงสัย 


 


จ่านป๋ายรู้สึกสงสัย ทำไมเธอถึงคิดถึงเขาได้? ซีเหมินจินเหลียนพูด “เมื่อเผชิญหน้ากับการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เราต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์เพื่อเข้าสู่การปฏิวัติ ย้อนกลับมาก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ในช่วงต้นราชวงศ์ชิงเพียงต้องการที่จะรักษาเสถียรภาพของอำนาจทางการเมือง แต่หลังจากที่จักรพรรดิต่างๆ มีเจตจำนงเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ในยุคของเฉียนหลง ดวงชะตาของประเทศเจริญรุ่งเรือง ทำให้คนคงไม่มีอะไรทำ เกิดเหตุร้ายไม่คาดฝันขึ้น มีจักพรรดิคนหนึ่งเพลิดเพลินไปกับความมั่งคั่งจนความทะเยอทะยานพุ่งสูงขึ้น!” 


 


ไห่ถังพูด “คุณพูดถูก เป็นเฉียนหลงฮ่องเต้นั่นล่ะ ไม่รู้ว่าเขาค้นหาประวัติความลับของราชวงศ์ก่อนหน้าได้อย่างไร จากนั้นเขาก็เริ่มเชื่อเรื่องหินที่มีเนื้อหยกซ่อนไว้อยู่ นั่นก็คือหินปิดฟ้าของเทพธิดาฝึกหิน จากนั้นเขารวบรวมนักปราชญ์บัณฑิตจำนวนมาก ให้คนทั่วแดนบริจาคหนังสือและซ่อมแซมประมวลสาส์นสี่พระคลัง…”  


 


จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “หรือว่าการที่เขาให้คนมาบริจาคหนังสือ ก็เพื่อซ่อมแซมประมวลสาส์นสี่พระคลัง แต่ความจริงเป็นนั้นแค่ตรวจสอบพิสูจน์ตำนาน?” 


 


ไห่ถังพยักหน้าลงน้อยๆ “ข้อดีของคนคนนี้ แน่นอนพวกเราแสดงความคิดเห็นอะไรไม่ได้ มันเป็นปัญหาของนักประวัติศาสตร์ สิ่งที่ฉันรู้คือใช้สี่ห้องสมุดนี้เพื่อเก็บรวบรวมหนังสือมหัศจรรย์ ผลการตรวจสอบหาตำนานปิดฟ้าของเทพธิดาอย่างบากบั่น ทำให้เขาเชื่อจนถึงขั้นต้องส่งทัพไปพม่าหลายต่อหลายครั้ง” 


 


“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ไม่สนว่าตอนแรกเป้าหมายของฮ่องเต้พระองค์นี้จะอยู่ที่ไหน แต่เธอยังคงตั้งใจฟัง 


 


“เฉียนหลงก็ช่างเถอะ รอให้ซูสีไทเฮากุมอำนาจไว้ในมือ รู้ความลับนี้ก็เริ่มที่จะทำตัวเองให้เป็นที่ใกล้ชิดและไว้วางใจมากขึ้น ตามหาของในตำนาน อย่างเป็นความลับ” เมื่อไห่ถังพูดถึงตอนนี้ก็ถอนหายใจออกมา “สำนักของพวกเราสืบทอดมาจากตอนนั้น ตอนนี้หัวหน้าสำนักก็ตายไปนานแล้ว แต่ตัวเองยังติดอยู่ในนั้นและปรารถนาที่จะหาวิธีที่ไม่มีวันตาย ดังนั้นผู้คนนับไม่ถ้วนเลยสืบทอดเจตนารมณ์กันต่อ” 


 


“เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการปล้นอัญมณีของพวกคุณ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น “พวกคุณอยากจะหาหินปิดฟ้าก็ไปหาที่พม่าเองก็ได้แล้ว ทำไมต้องไปขโมยอัญมณีของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ด้วย?” 


 


“คุณจินเหลียน ตอนนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว!” ไห่ถังถอนหายใจ “เมื่อก่อนทำงานเพื่อหัวหน้าสำนักพวกเขาให้เงินมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่อั้น ไม่ต้องกังวลใจเรื่องแหล่งที่มาของเงินทุน จนบางครั้งเขาก็มีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว มีเรื่องอะไรบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน? พวกเราไม่มีเงิน อย่าพูดถึงการตามหาหินปิดฟ้าเลย แต่แม้แต่เงินทุนในการซื้อหินหยกพวกเรายังไม่มี! พวกเราต้องซื้อเครื่องมือต่างๆ ต้องจ้างพนักงาน ไหนจะรัฐบาลพม่าที่ดูดเลือดซะยิ่งกว่าแดรกคูล่าเสียอีก อยากจะขุดหยกจากเหมืองแร่ของพวกเขามันง่ายนักเหรอ? ถ้าไม่มีเงินพวกเราจะทำยังไง?” 


 


ซีเหมินจินเหลียนนวดขมับที่ปวดตุบแล้วถามขึ้น “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับฉัน?” 


 


“เกี่ยวสิ!” ไห่ถังพูด “สำนักของพวกคุณทางนั้นพิเศษมาตลอด ความสามารถในการเดิมพันหินเป็นที่ยอมรับของทุกคน แต่จนถึงตอนนี้ดูจากทุกคนแล้ว คุณน่าจะอยู่จุดที่สูงสุด ถึงจะเป็นราชาหูผู้ลึกลับคนนั้นก็สู้คุณไม่ได้เลย!” 


 


ราชาหู แน่นอนว่าต้องเป็นผู้อาวุโสหู 


 


ไห่ถังคิดแล้วก็พูดอีกครั้งว่า “เพียงแต่ระหว่างพวกคุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงทะเลาะกันอย่างรุนแรง สู้ความสามัคคีของอันธพาลไม่ได้ เดิมทีพวกเราร่วมมือกับบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่เพราะเล็งเห็นถึงเทคนิคความสามารถการเดิมพันหินของเธอ แต่หลายปีมานี้คุณนายซูกุมอำนาจไว้ เลยทำให้หัวหน้าใหญ่ของพวกเราไม่สบายใจเท่าไหร่” 


 


“เพราะอย่างนั้นพวกคุณเลยเรียกพวกเรามา?” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


“ใช่!” ไห่ถังพยักหน้าพูดขึ้น “ความหมายของหัวหน้าก็คือ ความสามารถในการเดิมพันหินของคุณเก่งกาจจริงๆ การเดิมพันหินใหญ่ครั้งนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึงและยอมรับ เพราะฉะนั้นร่วมมือกับคุณน่าจะไม่ผิดแล้ว อีกอย่างข้างกายคุณก็ยังมีคุณชายตระกูลจ่านคอยสนับสนุน!” 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็มุ่นคิ้วขึ้น ที่พวกเขาพูดว่าคุณชายตระกูลจ่าน คงจะไม่ได้หมายถึงจ่านป๋าย แต่เป็นจ่านมู่ฮวาสินะ 


 


“ก่อนหน้านี้ฉันเคยคุยๆ กับคุณชายจ่านแล้ว เขาบอกว่าขอแค่คุณจินเหลียนเห็นดีเห็นงามด้วย เรื่องทั้งหมดที่เหลือก็เจรจาคุยกันได้ง่าย” ไห่ถังพูดต่อ 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่จ่านป๋าย จ่านป๋ายรู้ถึงเจตนาเธอเลยพยักหน้า “จะร่วมมือกันยังไง?” 


 


“นี่เป็นหนังสือร่างสัญญาความร่วมมือ!” ไห่ถังพูดขึ้นและเปิดลิ้นชักด้านล่างคว้ากระดาษหลายแผ่นที่พิมพ์ออกมาแล้วส่งไปให้ 


 


อยู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็อยากจะยิ้มออกมา ไห่ถังคนนี้สวมใส่ด้วยชุดโบราณกระโปรงยาวม้วยผม แม้แต่พูดจายังมีจังหวะเว้นวรรคเหมือนคนโบราณ สถานที่แห่งนี้ดูโบราณคร่ำครึ เก่าแก่เป็นอย่างมาก แต่กระดาษที่พิมพ์ออกมาหลายแผ่นที่วางบนโต๊ะนั้นก็ช่างทำลายบรรยากาศเหลือเกิน เพราะมันไม่เข้ากับบรรยากาศของสถานที่นี้เลย 


 


จ่านป๋ายเริ่มใช้สมาธิจดจ่อไปกับหนังสือสัญญานั่น ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “คุณไห่ถัง ทำไมคุณถึงทำสถานที่ให้เป็นอย่างนี้ล่ะ” 


 


ไห่ถังยิ้ม “สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล คุณก็น่าจะรู้ใช่ไหม?” 


 


“ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เมื่อสักครู่จ่านป๋ายได้บอกเธอแล้ว 


 


“ฉันมีพี่สาวอยู่คนหนึ่งที่ชอบเรื่องโปเยโปโลเยมาก เธอชอบพาแฟนของเธอมาที่นี่เพื่อสร้างบรรยากาศ ดังนั้น…” ไห่ถังพูดเท่านี้ก็ปัดมืออย่างจนใจ “นี่เป็นแค่ความชอบส่วนบุคคล หลังจากนั้นบางครั้งพวกเราก็ชอบสวมใส่ชุดโบราณเพื่อเล่นเป็นภูตผีสาวนี่ให้เข้ากับบรรยากาศสักหน่อย!” 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อสักครู่เธอก็สงสัยมาตลอดว่าสถานที่ดีๆ แบบนี้ ทำไมถึงมาทำให้เป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นความชอบของใครบางคน? 


 


ก็เหมือนกับจ่านมู่ฮวา ในคลับหยกมีสวนสไตล์หยวนหลินโบราณ ทิวทัศน์สวยงามตระการตา แต่ไม่ได้ใช้จริง แล้วยิ่งเป็นพื้นที่ทำเลทองในตัวเมือง ส่วนบางคนนั้นก็ยิ่งกว่า ถึงขนาดทำตรอกซอกซอยเพื่อเล่นเป็นภูตผีสาวเนี่ยนะ… 


 


“ฉันรู้สึกว่าเล่นเป็นภูตผีสาว น่าจะไปสถานที่ห่างไกลความเจริญหน่อย ถ้าให้ดีก็ควรมีวัดร้างเก่าแก่โบราณ และมีโรงศพสักหน่อย ให้ดีก็มีโครงกระดูกทั้งตัว ถ้าหาของจริงไม่ได้ก็ใช่พวกยิปซั่มมาทำก็ไม่เลว!” ซีเหมินจินเหลียนพูดไปเรื่อยเปื่อย 


 


ไห่ถังลูบหน้าอก ท่าทางหวาดกลัว “จินเหลียน คุณอย่าทำให้ฉันตกใจสิ ฉันกลัวนะ!” 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คนคนนี้…กลัวหรือ? เรื่องใหญ่อย่างคดีปล้นเธอยังกล้าทำ แล้วเธอยังมีเรื่องที่กลัวด้วย? 


 


“คุณไห่ถังคะ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ “ความจริงพวกเราร่วมมือกันก็ได้แล้วนี่ ทำไมถึงจะต้องไปปล้นอัญมณีด้วยล่ะ? ทำอย่างนี้มันอันตรายมากนะ” ถ้าหากทำได้ เธออยากจะเกลี้ยกล่อมให้ไห่ถังนำอัญมณีพวกนั้นคืนให้เจ้าของไป ส่วนเรื่องที่จะร่วมมือกันขอแค่มีผลประโยชน์ร่วม เธอก็ไม่ได้คัดค้าน แต่การปล้นมันแบบนี้มันก็ออกจะเกินไป 


 


“คุณจินเหลียนอาจจะยังไม่รู้ พวกเราไม่รู้เรื่องการทำธุรกิจเลย เพราะอย่างนั้นหลายปีมานี้ทรัพย์สมบัติที่สะสมมาเลยให้บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่เป็นคนจัดการดูแลทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ถูกคุณนายซูฮุบเงินก้อนใหญ่ของพวกเราไป ทำให้แหล่งเงินทุนของพวกเราหวนเห จนกระทั่ง…” ไห่ถังพูดเท่านี้ก็หยุดนิ่งไป 


 


ซีเหมินจินเหลียนพูด “ไม่รู้ว่าความร่ำรวยของพวกคุณนี้มาจากไหนหรือคะ” 


 


“พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญตามหาอัญมณีไปทั่วโลก เหมืองหยกเป็นเป้าหมายของพวกเขา!” จ่านป๋ายพูด “เงิน พวกเขามีแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ทำธุรกิจไม่เป็น สุดท้ายก็ติดกับดักของบริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่ ตอนนี้เลยเล่นได้แค่วิธีนี้ ถือว่าขายขี้หน้าไม่น้อยแล้ว” 


 


 ซีเหมินจินเหลียนคิดไปถึงนักล่าขุมทรัพย์เหล่านั้นในอเมริกา ในใจพูดด้วยความตื่นเต้นถามว่า           “ตามหาอัญมณีนี่ท้าทายไหมคะ?” 


 


ไห่ถังส่ายหน้า ตามหาอัญมณี? จะน่าตื่นเต้นได้อย่างไร?  ทำไม่ได้ก็เท่ากับเอาชีวิตตัวเองไปแขวนไว้บนเส้นดาย 


 


“ส่วนมากฉันทำหน้าที่แค่ขาย เรื่องการตามหาอัญมณีจะเป็นหัวหน้าที่รับผิดชอบ” ไห่ถังอธิบาย 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม