ความลับแห่งจินเหลียน ส่วนที่ 4 ตอน 12-29

 ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 12.1

 

 ชีวิตคือการเดิมพันครั้งใหญ่

 


 


 


 


หลินเสวียนหลานมองไปยังประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดลงอย่างช้าๆ แต่แทบจะหนีบลู่เฟยอวี๋อยู่แล้ว ไม่รู้ทำไมเขาถึงมีความคิดชั่วร้าย ที่อยากจะยิ้มออกมา… 


 


 


“อยากจะยิ้ม ก็ยิ้มออกมาเถอะครับ” จ่านป๋ายพูดขึ้น 


 


 


“หือ?” หลินเสวียนหลานแม้จะอึ้ง แต่ก็เผยยิ้มออกมาบางๆ บนใบหน้า ถ้าแก้มของเขาแตกได้ ก็คงจะแตกไปนานแล้ว     


 


 


“คุณใช้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่เหนื่อยเหรอครับ” จ่านป๋ายถาม 


 


 


หลินเสวียนหลานได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้าน้อยๆ พลางส่ายหัวเบื่อหน่ายกับชีวิตแบบนี้ มันเหนื่อยจริงๆ นั่นล่ะ แต่เขาก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้น ตอนที่เขายังเด็ก เขาก็รู้อนาคตของตัวเองแล้วว่าต้องมีรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนประดับไว้บนใบหน้า ต้องแสดงภาพลักษณ์ที่สวยงาม เพื่อปกปิดข้างในจิตใจที่แสนว่างเปล่าและมัวหมอง เก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ 


 


 


เขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ สุภาพอ่อนโยน เกิดมาในชาติตระกูลที่ดี รูปลักษณ์หน้าตาดี เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นจุดด่างพร้อย 


 


 


แต่ว่าการที่คนอื่นคิดว่าเขาสมบูรณ์แบบเท่าไหร่ เขากลับยิ่งมีความกดดันเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น 


 


 


“คนเราน่ะ ควรจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองสักครั้งนะครับ” จ่านป๋ายพูดพลางยื่นนิ้วมือเรียวยาวของเขากดไปที่เลขชั้น หลินเสวียนหลานมองเลขนั่น คิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่ส่วนของห้องพัก” 


 


 


“ผมรู้ ผมจองห้องไว้ที่นั่น” จ่านป๋ายยังพูดต่อว่า “ผมคิดว่า เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันหน่อย” 


 


 


ชั้นสามสิบสอง ที่นี่ดูจะไม่ใช่ส่วนของห้องพักจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ให้ความบันเทิงของแขกระดับวีไอพี จ่านป๋ายเดินนำทางหลินเสวียนหลานผ่านระเบียงทางเดินยาว จากนั้นผลักประตูเข้าไป ข้างในนั้นพบกับซีเหมินจินเหลียนที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังแท้สีขาวกำลังกอดหมอนอิงไว้อยู่ มือก็เล่นเส้นผมของตัวเอง 


 


 


“จินเหลียน…” หลินเสวียนหลานรีบทักทายเธอ 


 


 


“พี่หลินมาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปที่โซฟาเป็นนัยบอกให้เขานั่ง 


 


 


“จินเหลียน ทำไมถึงทำอะไรลึกลับแบบนี้?” หลินเสวียนหลานเห็นซีเหมินจินเหลียน จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง แต่สำหรับจ่านป๋ายนั่น เขาไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ แต่สัญชาตญาณของเขาบ่งบอกว่า คนคนนี้มีความลับมาก อันตรายมากเหลือเกิน 


 


 


“แฟนของพี่ มองตาของฉันแล้วแทบจะพ่นไฟออกมาแหน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยังคงพูดต่อ “ไหนจะอารองกับอาสะใภ้ของพี่อีกอีก ฉันไม่อยากจะมีข่าวฉาวอะไรอีกนะคะ” 


 


 


หลินเสวียนหลานเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด จึงทำได้แค่ฝืนยิ้มกลบเกลื่อน ใช่แล้ว เบื้องบนรู้ว่าอารองกำลังคิดอะไร ทั้งที่รู้ว่าตระกูลหลินกำลังเผชิญวิกฤต แต่เขากลับยังคิดจะก่อเรื่องอีก 


 


 


จ่านป๋ายปิดประตูห้องแล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ ซีเหมินจินเหลียน พูดจาถามเขาอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “คุณหลิน ขอโทษด้วยที่ผมต้องถามคุณ วันนี้สาเหตุที่คุณโอนเงินไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าคุณปู่ที่นอนป่วยเป็นคนทำใช่ไหม?” 


 


 


ใบหน้าของหลินเสวียนหลานสื่อถึงความผิดปกติ แต่ก็ยังพยักหน้าตอบ “ใช่ เป็นอารอง” 


 


 


“คุณไม่เคยลองคิดพิจารณาเพื่อตัวเองดูหน่อยเหรอ?” จ่านป๋ายคิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย 


 


 


หลินเสวียนหลานถอนหายใจออกมา พิจารณา? อย่างเขาจะทำอะไรได้? ถ้าพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกไป ไม่มีบ้านตระกูลหลิน เขาก็เหมือนกับไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณปู่ถึงได้เชื่อแต่อารอง จากหลายเรื่องที่ผ่านมา คุณปู่เหมือนจะปล่อยให้เขาออกไปจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ความเป็นจริงแล้วกลับมีอารองคอยเกาะติดจับตามองเขาอยู่ตลอด 


 


 


“คุณจ่าน คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?” หลินเสวียนหลานถามขึ้น “ที่คุณนัดผมมา คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้อย่างเดียวหรอกนะ?” 


 


 


 


 


 


 


 


 


“คือแบบนี้ครับ…” จ่านป๋ายพิงโซฟาแล้วยิ้ม “หลายปีนี้ผมหาเงินตอนที่อยู่ต่างประเทศมาได้นิดหน่อย แต่จริงๆ แล้วหากจะพูดแบบไม่ปิดบังก็คือเงินของผมไม่ได้ถูกกฎหมายอะไร เพราะอย่างนั้น ผมจึงคิดจะนำเข้ามาในประเทศ เพื่อลงทุนทำธุรกิจสักหน่อยน่ะครับ” 


 


 


หลินเสวียนหลานเมื่อหายตกตะลึงก็เข้าใจขึ้นมาทันที “คุณจะทำธุรกิจเครื่องประดับอัญมณี?” 


 


 


“พูดตามตรงก็คือ ธุรกิจเกี่ยวกับหยก” จ่านป๋ายยิ้มบางๆ “ผมเคยศึกษาดูแล้ว ธุรกิจภายในประเทศก็มีไม่น้อยเลย ส่วนกำไรก็ดีสุดๆ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือในต่างประเทศเครื่องประดับจากหยกไม่ได้เป็นที่นิยมอะไร แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงแค่สถานการณ์ในตอนนี้ ในอนาคตก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น เป้าหมายของผมง่ายมาก ก็คือทำธุรกิจค้าหยก แถมยังเป็นเส้นทางธุรกิจเพื่อที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศ” 


 


 


“คุณฝันไปหรือเปล่า!” หลินเสวียนหลานเกาจมูกตัวเองเบาๆ การที่จะส่งหยกออกนอกประเทศนั้น ภายในจีนก็มีบริษัทอัญมณีมามายแต่ก็ไม่เห็นจะทำได้ แล้วคนอย่างเขาน่ะเหรอ? 


 


 


“บางเรื่องคนเราก็ต้องลองทำดู ถูกไหม?” จ่านป๋ายยิ้มออกมา 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มมุมปาก จ่านป๋ายคนสมควรตายนี่ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ อยากจะนำเครื่องประดับหยกส่งออกต่างประเทศ เขาพูดอะไรไม่คิด ในอนาคตจะส่งออกไปทั่วจักรวาลเลยหรือไง? 


 


 


“เอาเถอะ แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับผม?” หลินเสวียนหลานนวดขมับตัวเองถามออกไป เขาอยากจะทำธุรกิจค้าหยก ก็เป็นเรื่องของเขา จะมาเรียกหาเขาทำไม? ถึงจะอยากหาหุ้นส่วน แต่ในประเทศก็มีบริษัทอัญมณีอีกมากมายให้เลือก ทำไมจะต้องเลือกเขาด้วย? 


 


 


“ต้องเกี่ยวอยู่แล้ว เพราะว่าผมอยากจะซื้อหุ้นของบริษัทตระกูลหลิน” 


 


 


หลินเสวียนหลานได้ยินดังนี้ก็ลุกขึ้นมาทันที แล้วมองไปที่จ่านป๋าย “คุณว่าอะไรนะ?!” 


 


 


“ผมบอกว่า ผมจะซื้อหุ้นของตระกูลหลิน!” จ่านป๋ายพูดซ้ำอีกครั้ง 


 


 


“อาศัยอะไร คุณคิดว่าคุณเป็นใคร?” เสียงของหลินเสวียนหลานดังขึ้นหลายเดซีเบล 


 


 


“อย่าพึ่งตกอกตกใจอะไรไป” จ่านป๋ายหันไปมองซีเหมินจินเหลียน เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไร จึงพูดต่อไปว่า “บ้านตระกูลหลินของคุณที่กำลังเผชิญวิกฤตอยู่ตอนนี้ คุณก็รู้ดีกว่าใคร ถ้าหากไม่มีการค้าส่งออก ตระกูลหลินก็จบเห่ คุณจะรอให้คุณปู่มอบบริษัทให้หลินเจิ้งก่อนอย่างนั้นเหรอ จะยอมทำงานรับอารมณ์โกรธต่อไปงั้นเหรอ หรือจะยอมให้ซีเหมินจินเหลียนซื้อหุ้นจากบ้านของคุณ อย่างน้อยคุณก็ยังมีหุ้นส่วนอยู่” 


 


 


“จินเหลียน?” หลินเสวียนหลานยังเรียกสติกลับมาไม่หมด หรือว่าการซื้อหุ้นจากบ้านตระกูลหลินคือเจตนาของซีเหมินจินเหลียน? ไม่สิๆ เขาเข้าใจว่าซีเหมินจินเหลียนจะไม่ซื้อหุ้นจากบ้านตระกูลหลินแล้วซะอีก 


 


 


“ใช่แล้ว ผมแค่เป็นคนออกเงิน ส่วนจินเหลียนเป็นผู้ถือหุ้น ถ้าไม่มีเธอซื้อหินมาเดิมพัน ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ อย่าพูดถึงทำธุรกิจค้าหยกอะไรเลย ถึงแม้ผมจะซื้อหุ้นมาจากตระกูลหลิน มันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเงินที่สูญเสียไป” จ่านป๋ายพูด “คุณก็น่าจะรู้นี่ครับว่าธุรกิจค้าหยกสิ่งที่สำคัญนั้นไม่ใช่การขาย แต่เป็นวัตถุดิบ” 


 


 


หลินเสวียนหลานไม่ได้พูดอะไร สิ่งสำคัญในธุรกิจการค้าหยกก็คือวัตถุดิบจริงๆ นั้นล่ะ ไม่ใช่การขาย ถ้ามีหยกเนื้องามอยู่ในมือก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก 


 


 


แต่หยกธรรมชาติ กลับไม่เหมือนกับหยกที่ขายตามตลสดทั่วไป ไม่ใช่แค่มีเงินก็จะซื้อได้ แต่ต้องมีพรสวรรค์ในการเดิมพันหยกด้วย ต้องแยกให้ออกระหว่างหินกับหยก 


 


 


แต่ครั้งนี้คุณปู่แพ้เดิมพันไป…ถ้าหากครั้งนี้ที่พม่าคุณปู่ยังไม่ชนะเดิมพันอีก ตระกูลหลินคงไม่มีใครนับหน้าถือตา แย่ไปกว่านั้นคงไม่มีใครซื้อของจากตระกูลเขา 


 


 


ตอนนี้เขารับประกันได้ ถึงแม้ว่าจ่านป๋ายจะไม่มีความคิดนี้ แต่บริษัทอัญมณีที่เหลือคงจะถือโอกาสนี้เขมือบหลินซื่อจิวเวอรี่แน่ มันเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต ไม่มีใครรังเกียจที่เงินของตัวเองจะเยอะขึ้นหรอกว่าไหม? 


 


 


“พวกเราไม่ได้กังวลเรื่องวัตถุดิบ” จ่านป๋ายลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้าหลินเสวียนหลาน “แต่ว่าพวกเราต้องการที่จะขาย ต้องการมีบริษัทเป็นของตัวเอง” 


 


 


“พวกเรา?” หลินเสวียนหลานรู้สึกพูดไม่ออก สิ่งที่จ่านป๋ายพูดคำว่า ‘พวกเรา’ ก็คือเขากับซีเหมินจินเหลียน เขารู้สึกกระวนกระวายถามไปว่า “พวกคุณหมายความว่ายังไง? หรือว่าพวกคุณต้องการที่จะให้ผมร่วมมือด้วย?” 


 


 


“ถูกต้อง ที่พวกเราต้องการ ก็คือให้คุณมาร่วมมือ!” จ่านป๋ายยิ้มร่าออกมา 


 


 


“เหอะ!” หลินเสวียนหลานอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมา 


 


 


“เรื่องเงิน…ผมมี!” จ่านป๋ายยิ้ม “ส่วนจินเหลียนมีหยก แต่ว่าพวกเราไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจ…แต่คุณมีความรู้นี้” 


 


 


หลินเสวียนหลานยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ประโยคนี้ ทำไมผมฟังก็กำลังถูกทิ่มแทงอย่างไรอย่างนั้น” 


 


 


“ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดทิ่มแทงคุณนะ แล้วก็ไม่ได้บังคับให้คุณตัดสินใจตอนนี้ ตามนิสัยสุภาพอ่อนโยนของคุณผมก็เข้าใจ แต่ว่าคุณก็ลองคิดทบทวนดูแล้วกันว่าจะเป็นลูกน้องทำงานให้หลินเจิ้ง ที่ไม่แน่ว่าอาจจะถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลหลิน หรือจะออกมาก่อร่างสร้างตัวตั้งแต่ตอนนี้?” จ่านป๋ายยิ้มอย่างเยือกเย็น 


 


 


หลินเสวียนหลานสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ มองซีเหมินจินเหลียนที่เอนตัวอยู่บนโซฟา ราวกับเป็นแมวน้อยที่แสนขี้เกียจ ไม่รู้ทำไม สายตาของเขามองแต่หลังมือของเธอที่มีลายดอกบัวสีทองที่ยังไม่ผลิบานเต็มที่ ในวันที่ฝนฟ้ามืดครึ้มเช่นนี้ ดอกบัวสีทองดอกนี้สีไม่ได้จางหายไปเลย ตรงกันข้ามกลับสว่างขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


ชาตินี้เขา คงไม่มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเท่าครั้งนี้อีกแล้ว ในเช้าวันนี้ที่เกิดเรื่องขึ้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนระเบิดลงใส่เขาอย่างจัง เขาจึงไม่รีรอพยักหน้าพูดออกไป “โอเค ตกลง!แต่ผมอยากรู้ว่า ผมจะได้ผลประโยชน์อะไร?” 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 12.2

 

ชีวิตคือการเดิมพันครั้งใหญ่

 


 


 


 


“ผลประโยชน์ง่ายมาก!” จ่านป๋ายยืนอยู่หน้าเขา “ตอนนี้คุณได้ถือหุ้นเอาไว้อยู่ ในอนาคตหุ้นที่พ่อของคุณถืออยู่ก็จะเป็นของคุณ ในส่วน…หุ้นของปู่คุณและหุ้นของอารอง ผมก็จะซื้อ รวมไปถึงหุ้นที่อยู่ด้านนอกของบ้านคุณ…” 


 


 


“ส่วนที่เหลือที่อยู่ในมือของญาติๆ ผม คิดเป็นสามสิบเปอร์เซ็นต์ของหุ้น” หลินเสวียนหลานพูดออกมา “ถ้าคุณอยากจะถือหุ้นธุรกิจตระกูลหลินเต็มตัว มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ผมลองคิดคำนวณดูแล้ว อย่างน้อยต้องใช้เงินถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้าน คุณก็มีเงินมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?” 


 


 


“พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็หดหู่อยู่บ้าง ในวงการเครื่องประดับอัญมณีถือว่าผมยังไม่มีเงินหรอก!” จ่านป๋ายได้แต่ส่ายหัว ของบางอย่างก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ถึงเขาจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ไม่อาจหาเงินมาได้มากขนาดนี้ 


 


 


“ซื้อหุ้นที่กระจัดกระจายอยู่ข้างนอก อย่างน้อยคุณต้องมีสามร้อยล้าน ถ้าหากเงินเท่านี้คุณยังไม่มี ผมก็แนะนำให้คุณล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ ผมไม่อยากร่วมงานกับคนที่ไม่มีเงินทุนในการซื้อขาย สุดท้ายแล้วผมก็ไม่เหลืออะไรเลย” 


 


 


“ถ้าหากแค่เงินสามร้อยล้านผมยังไม่มี แล้วผมจะใช้อะไรทำให้จินเหลียนไว้วางใจได้ล่ะครับ?” จ่านป๋ายหมุนตัวหันไปมองหน้าซีเหมินจินเหลียน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนแค่นยิ้มออกมา เธอก็เคยเห็นคนไร้ยางอายมากก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครที่ไร้ยางอายมากเท่าเขา เธอไว้ใจเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่ใช่เป็นเพราะหน้าหนาๆ ของเขาหรอกเหรอที่ขออยู่ต่อเอง? 


 


 


“จินเหลียน ผมต้องการคำพูดจากคุณ!” จู่ๆ หลินเสวียนหลานก็หันกลับมา จับไหล่ของซีเหมินจินเหลียนเอาไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ หูของเธอ ไอความร้อนกระทบหน้าเธอเข้าอย่างจัง “คุณก็รู้ว่าถ้าผมตกลงจะร่วมงานกับพวกคุณ จากนี้ไปผมก็ไม่มีทางย้อนหลังกลับไปได้อีก ถ้าหากผมล้มเหลว ก็ไม่เหลืออะไรอีกเลย” 


 


 


“ชีวิตคือการเดิมพันครั้งใหญ่…และพวกเรากำลังทำมันอยู่ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูดด้วยน้ำเสียงเบาบาง ชีวิตเธอในตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่ากำลังเดิมพันอยู่เหรอ? 


 


 


ใช่แล้ว ถึงแม้เธอจะพนันหยกจนร่ำรวยแล้วอย่างไร? ในเมื่อยังไงเธอก็เป็นเด็กผู้หญิงบ้านนอกที่ไม่มี 


 


 


ชาติตระกูลคนหนึ่ง การมีเงินแต่ไม่มีอำนาจก็ง่ายที่จะถูกรังแก 


 


 


หวังเซียงฉินสามารถทำให้เธอขายหน้าได้อีกหลายครั้ง นี่เป็นการพิสูจน์ว่าเธอไม่มีชาติตระกูล ดังนั้นการสร้างบริษัทของตัวเอง ไม่เพียงแต่เพื่อเงินเท่านั้น แต่ยังคงเป็นเครื่องหมายยืนยัน… 


 


 


“คุณไม่ควรจะพูดว่าพวกคุณ แต่ควรจะพูดว่า…พวกเรา!” จ่านป๋ายยังพูดต่ออีกว่า ”ตอนที่คุณเข้ามาในห้องนี้ ก็ถือว่าคุณเหยียบขึ้นมาบนเรือของพวกเราแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ต้องคิดมากหรอก ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ พวกเราจะไม่เสียใจในภายหลังแน่” 


 


 


“ในเมื่อไม่มียารักษาความเสียใจ แล้วผมจะเสียใจได้อย่างไร?” หลินเสวียนหลานยิ้มเย้ยหยัน ”อย่างมากที่สุดคือการสูญเสียทุกอย่าง ไม่เหลืออะไร แต่ก็ยังดีกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้!” 


 


 


“ดีๆๆ!” จ่านป๋ายปรบมือยกนิ้วให้ ”ผมดูคนไม่ผิดจริงๆ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกลับรู้สึกคาดไม่ถึงว่าหลินเสวียนหลานตอบตกลง? ตอนที่จ่านป๋ายพูดเรื่องนี้กับเธอ เธอยังบอกกับเขาว่าบ้าไปแล้ว ความคิดของเขามันไร้สาระ…ไม่ว่าจะอย่างไรหลินเสวียนหลานก็เป็นหลานของตระกูลหลิน จ่านป๋ายต้องการจะซื้อบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ แล้วเขาจะช่วยพวกเราเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง 


 


 


แต่จ่านป๋ายก็พูดจากรอกหูกับเธออยู่หลายครั้งว่าความสำเร็จมีถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าจ่านป๋ายประสบความสำเร็จในการพูดหว่านล้อมให้หลินเสวียนหลานคว่ำบาตรตระกูลของเขา 


 


 


“คุณชายหลิน ปีนี้ธุรกิจของตระกูลคุณนับว่าไม่เลวเลย แต่ทำไมถึงเกิดวิกฤตที่ตกต่ำย่ำแย่ได้ถึงเพียงนี้ เป็นเพราะอะไรกันที่ทำให้เงินทุนของตระกูลหลินเกิดปัญหาขึ้นมา” จ่านป๋ายถาม 


 


 


“ชีวิตคือการเดิมพันครั้งใหญ่อย่างไรล่ะ…ปู่ของผมไม่เพียงแต่แพ้เดิมพันหิน แต่ท่านแพ้กระทั่งพนันเงินด้วย” หลินเสวียนหลานเหมือนกับได้ระเบิดเสียงหัวเราะดังออกมาอีกครั้ง นี่เป็นความลับของบ้านตระกูลหลิน คนภายนอกไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่วันนี้เขาก็ได้พูดมันออกมาอย่างกล้าหาญ ข่มกลั้นความเคียดแค้นที่อยู่ในใจมาแสนนาน ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลง 


 


 


“คุณว่าอะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนมีอาการตกใจ ”คุณปู่….คุณปู่หลินก็เล่นพนันเหรอ?” 


 


 


หลินเสวียนหลานพยักหน้า มีคนมากมายที่ภาพลักษณ์กับจิตใจไม่ตรงกัน ถ้าคุณปู่ไม่ได้สูญเสียมากในครั้งนั้น อย่างน้อยก็อาจจะไม่ทำให้ส่งผลเรื่องการเงินที่เกิดขึ้นในตอนนี้ 


 


 


 ไม่! ถ้าหากคุณปู่หลินไม่แพ้เดิมพันหินครั้งนี้ แม้ว่าจะเสมอกัน ก็สามารถพลิกเหตุการณ์ได้ ไม่ทำให้เรื่องจบลงแบบนี้แน่… 


 


 


“ผมเริ่มมีความเลื่อมใสในตัวชายชราหลินท่านนี้แล้วล่ะสิ เยี่ยม มีสไตล์เป็นของตัวเอง!” จ่านป๋ายยังพูดอีกว่า ”ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทั้งๆ ที่อารองคุณเป็นแบบนั้น ทำไมคุณถึง…พูดยังไงดีล่ะ? แบบเป็นหงส์ที่ออกมาจากฝูงกา” 


 


 


“หุบปาก!” หลินเสวียนหลานได้ยินเช่นนั้นจึงด่าจ่านป๋ายออกไป ”คุณคิดว่าตัวเองดีนักเหรอไง?” 


 


 


“นี่ผมกำลังยกย่องคุณอยู่ไม่ใช่เหรอไง?” จ่านป๋ายยิ้มแห้ง 


 


 


“เอาเถอะ ผมขี้เกียจจะพูดกับคุณให้มากความ ไหนคุณลองพูดแผนการอย่างละเอียดให้ฟังหน่อย!” หลินเสวียนหลานถอนหายใจเฮือกใหญ่ 


 


 


จ่านป๋ายพยักหน้าตอบรับ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขายังคงอยู่ เขาหยิบโน้ตบุ๊คเปิดออกมา นิ้วมือก็ละเลงไปบนคีย์บอร์ด จากนั้นจึงยื่นโน้ตบุ๊คส่งต่อไปให้หลินเสวียนหลาน  


 


 


หลินเสวียนหลานรับมาพิจารณาดู สิบห้านาทีต่อจากนั้น ”น่าจะไม่มีปัญหาอะไร…พวกคุณจะเริ่มกันเมื่อไหร่?” 


 


 


“เมื่อกลับไปที่เซี่ยงไฮ้!” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“โอเค!” หลินเสวียนหลานลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “วันนี้ตอนเที่ยงผมมีนัดกินข้าวกับจินเหลียน คุณอย่าตามมาก็แล้วกัน ผมไม่อยากให้ตอนที่นัดกับแฟน มีคนนั่งอยู่เป็นก้างขวางคออยู่ข้างๆ!” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง นี่มันเรื่องอะไรกัน? เธอไปเป็นแฟนของเขาตอนไหน? 


 


 


แต่หลินเสวียนหลานก็หันหลังเดินออกจนถึงหน้าประตูแล้ว เขาเปิดประตูแล้วเดินออกไป จ่านป๋ายลูบจมูกตัวเองแล้วยิ้มกลบเกลื่อนว่า “ไม่คิดเลยว่าคนคนนี้มีสไตล์เป็นของตัวเอง…” 


 


 


“รู้สึกคุณเคยบอกว่าเขาเป็นคนโลเลตัดสินใจไม่ได้?” ซีเหมินจินเหลียนเล่นผมยาวสลวยของเธอพลางพูดออกมา “แอบคิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าเขาจะตอบตกลง” 


 


 


“จินเหลียน คนคนนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ!” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูดต่อไปว่า “ถึงจะพูดแบบนี้ แต่พวกเราก็ต้องระวังเขาไว้สักหน่อย ยิ่งดูเหมือนจะเป็นคนอ่อนโยน ก็ยิ่งไม่รู้ว่าภายในใจของเขาคิดอะไรอยู่” 


 


 


 ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่ยิ้ม เธอสามารถมองหยกที่ซ่อนอยู่ข้างในหินได้อย่างชัดเจน แต่เธอกลับมองทะลุสิ่งที่ห่อหุ้มหัวใจของคนไม่ออกจริงๆ… 


 


 


 เธอนึกถึงหมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นบ้านเกิดของเธอ ทั้งหมู่บ้านดูเรียบง่าย บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีการแย่งชิงผลประโยชน์กัน จิตใจของคนจึงไม่ได้ซับซ้อนอะไร 


 


 


“เสร็จการประมูลที่เจียหยางนี้ คุณกลับไปกับฉันนะ!” 


 


 


“กลับไป?” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว “ทำอะไรครับ?” ที่บ้านเกิดของเธอไม่มีญาติสักคนแล้วนี่นา? 


 


 


“ฉันอยากจะไปจัดการเรื่องหลุมศพของคุณย่ากับอาจารย์น่ะ แล้วก็อยากจะบริจาคเงินไปซ่อมแซมถนนสักหน่อย…” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาแผ่วเบา”เมื่อก่อนไม่มีเงินฉันก็หมดหนทาง ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็มีเท่านี้แหละ” 


 


 


“โอเคครับ!” จ่านป๋ายไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ขอแค่เธอมีความสุขก็พอ 


 


 


ในมื้อเที่ยงที่หลินเสวียนหลานนัดกินข้าวกับซีเหมินจินเหลียนสองต่อสองไว้อย่างดิบดี แต่แผนการกลับล้มเหลวเพราะว่าฉินเฮ่ามาที่เจียหยางอย่างกะทันหัน 


 


 


สุดท้ายเมื่อตกลงกันแล้ว ฉินเฮ่าจึงอาสาเป็นคนเลี้ยง จองห้องอาหารเดี่ยวไว้อยู่ใกล้ๆ โรงแรม เตรียมตัวกินมื้ออาหารท้องถิ่นสุดแสนพิเศษ 


 


 


ฉินเฮ่าแปลกใจที่ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายอยู่ด้วยกัน นี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของเขา แต่หลินเสวียนหลานไม่ได้พาลู่เฟยอวี๋มา เป็นสิ่งที่ไม่เข้ากับนิสัยของเขาเอาซะเลย 


 


 


ภายในห้องอาหาร ฉินเฮ่าตั้งใจถามเขาว่า ”คุณชายหลิน เฟยอวี๋ล่ะ?” 


 


 


“ฉันเลิกกับเธอแล้ว!” หลินเสวียนหลานยิ้มออกมา 


 


 


“ละ…เลิกกันแล้ว?” ฉินเฮ่าเกือบจะพ่นอาหารที่อยู่ในปากออกมา เป็นไปได้อย่างไรกัน? “คุณชายหลิน นายล้อเล่นอะไรเนี่ย นายกับเฟยอวี๋เลิกกันแล้ว?”    


 


 


“ใช่ พวกเราเลิกกันแล้ว” เขาตอบด้วยสีหน้าที่ปกติ 


 


 


“บอกเหตุผลให้ฉันฟังสักข้อได้ไหม” ฉินเฮ่าขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขารักกันดีหรอกเหรอ ทำไมถึงเลิกกันได้ ในเมื่อเขากับลู่เฟยอวี๋เลิกกันแล้ว นั่นก็หมายความว่าการร่วมงานกันของตระกูลหลินกับตระกูลลู่ถึงทางต้องสิ้นสุดลง? แต่สิ่งที่เขาได้ยินมามันไม่ใช่แบบนี้นี่ ตระกูลหลินส่งของหมั้นไปให้ตระกูลลู่ เพื่อเตรียมตัวจัดงานแต่งงานแล้ว 


 


 


“ต้องมีเหตุผลที่เลิกกันด้วยเหรอ” หลินเสวียนหลานเลียนแบบประโยคคำพูดในละครที่ได้ยินทั่วไป 


 


 


“ประโยคนี้…ดูยังไงก็ไม่เหมือนสิ่งที่คนอย่างคุณชายหลินจะพูดออกมาได้” ฉินเฮ่าพูดพลางมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน 


 


 


“ผมแค่ไม่อยากให้เรื่องที่ผิดพลาดเกิดขึ้นต่อไปอีก” ในเมื่อไม่รัก แล้วทำไมจะต้องทนด้วย? ถ้าไม่มีเขา    ลู่เฟยอวี๋ก็จะหาผู้ชายดีๆ มาแต่งงานด้วยไม่ได้เชียวเหรอ 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 13.1

 

 ร่วมมือกัน

 


 


 


 


ฉินเฮ่าฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว “ในเมื่อพูดมาแบบนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นตระกูลหลินจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไงต่อ ฉันได้ยินมาว่าบ้านของพวกนายทั้งสองคนกำลังจัดเตรียมงานแต่งงานกันอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าคำพูดของนายเมื่อครู่นี้ นายต้องการจะเลิก?” 


 


 


 “ที่บ้านเหรอ?” หลินเสวียนหลานแค่นยิ้ม เช้าวันนี้เขายังขอร้องตระกูลนี้…แบกหน้าขอร้องบริษัทตระกูลหลินด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าหลินเจิ้งก็กลับเมินเฉยไม่สนใจ หลินเสวียนหลานไม่มีสิทธิในการใช้เงินอย่างอิสระ เรื่องกำลังเป็นไปได้ด้วยดีแล้วแท้ๆ แต่ก็กลับมาพังลงไม่เป็นท่า ในเมื่อไม่เชื่อใจเขาแล้ว เขาก็จะปล่อยมือ แล้วคอยดูสิ่งที่เขาจะทำก็แล้วกัน 


 


 


“ที่บ้านมีอารองก็พอแล้ว ฉันยังต้องทำอะไรอีก?” หลินเสวียนหลานพูด 


 


 


“นี่นายกำลังพูดจากระแทกแดกดันอยู่ใช่ไหม” ฉินเฮ่าส่ายหัวยิ้มเฝื่อน 


 


 


“นี่เป็นคำพูดที่จริงใจจากเขาเลยล่ะ ก็เหมือนคุณ ที่ชอบพูดไปทั่วไม่ใช่เหรอว่าเรื่องภายในบ้านทั้งหมดคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย แล้วตอนนี้ล่ะ?” จ่านป๋ายพูดแทรกขึ้นมา เขาพูดพลางรินน้ำผลไม้คั้นสดใส่แก้วให้ซีเหมินจินเหลียน นี่เป็นของเด็ดของร้านนี้เลยก็ว่าได้ 


 


 


“จ่านมู่หรง ผมยังไม่ได้หาเรื่องอะไรคุณเลยนะ!” ฉินเฮ่าจ้องเขม็งไปยังดวงตาของจ่านป๋าย 


 


 


“ได้ยินมาว่าคุณกับฉินซินมีปัญหากัน ผมเกรงว่าข่าวลือจะผิดไป” จ่านป๋ายกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรที่ฉินเฮ่ารู้ชื่อจริงของเขา 


 


 


เมื่อครั้นที่ฉินเฮ่าเรียกชื่อจริงของจ่านป๋ายออกไป เขาก็ตั้งใจสังเกตไปที่สีหน้าของซีเหมินจินเหลียน แต่ว่าเธอกลับไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไร 


 


 


“จินเหลียน ผมจะบอกคุณไว้เลยนะ เจ้าหมอนี่…เจ้าหมอนี่กับไอ้ผู้ชายเจ้าสำอางนี่ พวกเขาก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก!” ฉินเฮ่าพูดพลางชี้ไปทางจ่านป๋ายกับหลินเสวียนหลาน 


 


 


หลินเสวียนหลานกับจ่านป๋ายหันหน้ามาสบตากัน ทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ซีเหมินจินเหลียนก็เผยรอยยิ้มออกมา 


 


 


“จริงสิ ทำไมนายถึงมาที่เมืองเจียหยางได้ล่ะ” หลินเสวียนอดไม่ได้ที่จะถาม 


 


 


“จะให้ฉันอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เพื่ออะไรกัน?” พอพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของฉินเฮ่าก็ดูลำบากใจขึ้นมา ส่ายหัวแล้วพูดว่า “อาการป่วยของอวิ๋นเจียกลับมาอีกแล้ว แถมยังหนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วย”  


 


 


“นายคงหลบเธอไม่พ้นสินะ” หลินเสวียนหลานรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเพื่อน เขากับลู่เฟยอวี๋ มันเป็นเพียงเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวเท่านั้น ทะเลาะบาดหมางกันเสร็จก็จบกันไป เมื่อไม่มีเขาแล้ว บางทีลู่เฟยอวี๋อาจจะหาผู้ชายที่รักเขาจริงเจอก็ได้ 


 


 


แต่สำหรับอวิ๋นเจียนั้นไม่เหมือนกัน เพราะโรคที่เธอเป็น สาเหตุมาจากจิตใจของเธอผูกติดไว้ที่ฉินเฮ่าจนหมด ถ้าหากฉินเฮ่าไม่ขอเธอแต่งงานก็เกรงว่าเธอคงจะตายเพราะความทรมานอย่างช้าๆ แต่เมื่อคิดว่าตัวเองเป็นฉินเฮ่าดูแล้ว ผู้ชายที่ปกติอย่างเขาจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้น่ะเหรอ? 


 


 


ผู้หญิงที่วันๆ เอาแต่ร้องไห้ ทั้งสติยังไม่สมประกอบอีกเนี่ยนะ? 


 


 


ฉินเฮ่ามองจ่านป๋ายอย่างทำตัวไม่ถูก จ่านป๋ายจึงพูดขึ้นว่า “เรื่องเหลวไหลของอวิ๋นเจียกับบ้านของคุณนั้น ผมรู้หมดแล้ว” 


 


 


ฉินเฮ่ากลอกตาเหลือบมองจ่านป๋าย เมื่อเห็นว่ามีซีเหมินจินเหลียนอยู่ เขาเลยทำได้แค่ถอนหายใจออกมา ส่วนซีเหมินจินเหลียนเองก็รู้สึกเห็นใจอวิ๋นเจีย จึงพูดปลอบว่า “พี่ฉิน ถึงจะเป็นอย่างนั้น คุณก็แค่ปลอบเธอก็พอแล้ว” อวิ๋นเจียก็เหมือนกับเด็ก เมื่อปลอบเธอ เธอก็จะดีขึ้นมา… 


 


 


“ผมก็อยากจะปลอบเธอนะ” ฉินเฮ่าถอนหายใจพูดเสียงต่ำออกมา “จินเหลียน คุณไม่รู้หรอกว่าผมมองเธอเติบโตมา เห็นเธอเป็นเหมือนแค่น้องสาวเท่านั้น แต่ว่าเธอมีอาการทางโรคประสาท พ่อของเธอจึงบังคับให้ผมแต่งงานกับเธอ แต่ผมเป็นคนปกติ ผมไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเธอ แล้วที่สำคัญผมก็มีสิทธิที่จะตามจีบผู้หญิงที่ผมชอบ” 


 


 


“ฉันก็เคยได้ยินเรื่องของเธอมาจากจ่านป๋ายเหมือนกันค่ะ” อวิ๋นเจียเป็นเด็กผู้หญิงที่สวย คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นผู้ป่วยอาการทางโรคประสาท น่าเสียดายจริงๆ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นนายคิดจะทำยังไงต่อไป” หลินเสวียนหลานพูด “การที่นายหลบซ่อนอยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นะ” 


 


 


“ฉันว่าจะไปฮ่องกงก่อน พอดีผ่านมาที่นี่ก็เลยอยากจะมาคุยกับพวกนาย พรุ่งนี้ก็ไปแล้วล่ะ” 


 


 


จ่านป๋ายอาศัยโอกาสที่ทั้งสองคนไม่ได้ใส่ใจ จู่ๆ เขาก็คว้ามือข้างหนึ่งของซีเหมินจินเหลียนผ่านทางใต้โต๊ะ ซีเหมินจินเหลียนตกใจจนชะงัก ในระหว่างที่เธอจะดึงมือของเขาออกนั้น จ่านป๋ายก็ได้วาดรูปลงไปบนมือของเธอ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนตั้งสติพิจารณาอย่างละเอียด กลับเห็นว่าจ่านป๋ายเขียนตัวอักษรหนึ่งตัวให้เธอ ‘หลิน!’ 


 


 


เธอเงยหน้ามองจ่านป๋ายอย่างค้างคาใจ แต่กลับเห็นจ่านป๋ายแกล้งส่งยิ้มให้เธอ ในขณะที่กินข้าวยังไม่เสร็จ หลินเสวียนหลานก็มีสายเรียกเข้าของหลินเจิ้งตามให้เขารีบกลับไป 


 


 


จ่านป๋ายเรียกให้พนักงานเสิร์ฟเข้ามาจัดการโต๊ะและสั่งเหล้าเพิ่ม เมื่อพนักงานออกไป เขาก็พูดขึ้นว่า “เอาล่ะ เขาไปแล้ว คุณก็บอกจุดประสงค์ที่คุณมาที่นี่จริงๆ เถอะครับ” 


 


 


“จ่านมู่หรงก็คือจ่านมู่หรง ไม่มีอะไรที่ปิดบังคุณได้เลย” ฉินเฮ่ายิ้ม 


 


 


“เบี่ยงเบนความสนใจไปที่ตระกูลหลินแล้วเหรอ” จ่านป๋ายถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


ฉินเฮ่าไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เขานั่งอยู่บนเก้าอี้แค่นยิ้มออกมา “หรือว่าคุณไม่ได้คิด?” 


 


 


“คิดสิ!” จ่านป๋ายพูด “แถมคิดแล้วลงมือแล้วด้วย” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกลับรู้สึกคาดไม่ถึง ตอนที่จ่านป๋ายให้เธอซื้อหุ้นจากตระกูลหลิน เธอก็ยังลังเลใจอยู่ตลอด แต่ฉินเฮ่ากับหลินเสวียนหลานเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วเขายังกล้าทำเรื่องแบบนี้อีกเหรอ? ถ้าหากหลินเสวียนหลานรู้เรื่องนี้ขึ้นมา พวกเขาจะยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่อีกเหรอไง 


 


 


ฉินเฮ่าสังเกตเห็นว่าสีหน้าของซีเหมินจินเหลียนผิดปกติไป เขาก็รู้ว่าเธอไม่เข้าใจกลยุทธ์เชิงธุรกิจ จึงอธิบายกับเธอว่า “จินเหลียน ผมไม่ได้ใช้โอกาสนี้ทำร้ายเขานะ แต่ผมกำลังช่วยคุณชายหลินต่างหาก” 


 


 


“ฉันไม่เข้าใจค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว เธอไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจ แล้วเธอจะรู้กลยุทธอะไรแบบนี้ได้ยังไงกัน? 


 


 


“คุณปู่หลินอายุปูนนี้ แถมยังไม่สนใจคุณชายหลิน ผมสามารถกล้าพูดได้เลยว่าขอแค่คุณชายหลินแพ้การซื้อหินหยกครั้งนี้ เขาคงไม่ยอมให้พบหน้าแน่ แต่คุณชายหลินไม่มีสิทธิอำนาจอะไร เขาจะใช้อะไรมาซื้อหยกได้? ใครจะรู้การประมูลที่เจียหยางเป็นการผลาญทรัพย์” ฉินเฮ่ายิ้ม ตอนนั้นเขาเคยเล่นมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะว่าไม่รู้เรื่องการเดิมพันหินเลยได้แต่ตามน้ำไป เขาก็ไม่ได้ขาดทุนมาก แต่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับการเดิมพันหินไปเรื่อยๆ 


 


 


“ซื้อหุ้นตระกูลหลิน คุณมีเงินเท่าไหร่” จ่านป๋ายถาม 


 


 


“ผมมีเงินไม่เยอะขนาดนั้นหรอก เพราะฉะนั้นผมก็กำลังคิดว่าจะขายร้านที่ถนนขายของโบราณออกไปดีไหม รวมถึงของสะสมในปีที่ผ่านมานี้ เกรงว่าในอนาคตผมจะไม่มีเวลาเล่นของพวกนี้อีกแล้ว” พูดถึงเรื่องนี้ฉินเฮ่าก็ยิ้มออกมาอีก เรื่องที่บ้านของเขา ซับซ้อนกว่าที่คิดไว้มาก 


 


 


ในอนาคตถ้าอยากจะกลับไปเล่นของโบราณแบบตอนนี้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นคุณรีบร้อนมาเจียหยางเพื่ออะไร” จ่านป๋ายถาม 


 


 


“อย่างแรกคือหลบอวิ๋นเจีย อย่างที่สองคือมาหาจินเหลียน” ฉินเฮ่าตอบ 


 


 


“หาฉัน?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ “เพื่ออะไรคะ” 


 


 


“ผมคิดว่าคุณมีหลักการในการเดิมพันหยก เลยจะมาปรึกษากับคุณว่าสนใจจะร่วมมือกันตั้งบริษัทอัญมณีอะไรทำนองนั้นไหม เดิมทีผมก็คิดจะคุยกัยคุณและคุณชายหลินสามคน แต่ในเมื่อคุณจ่านก็อยากร่วมด้วย ถ้าอย่างนั้นก็รวมเป็นอีกหุ้นหนึ่ง” ฉินเฮ่ากล่าว 


 


 


จ่านป๋ายยิ้ม หุ้นส่วนของเขาก็รวมเป็นของซีเหมินจินเหลียน แต่ว่าประโยคนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องบอกฉินเฮ่า ถ้าหากมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ จิตใจของคนย่อมยากที่จะคาดเดายิ่งกว่าการเดิมพันหยกเสียอีก 


 


 


“ฉันยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ…” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพร้อมพูดขึ้น “ทำไมตอนนี้บริษัทตระกูลหลินถึงได้ดูมีค่าขนาดนี้คะ” 


 


 


“เรื่องนี้ไม่เห็นมีอะไรให้เข้าใจยาก” จ่านป๋ายอธิบาย “คุณลองคิดดูสิครับว่าถ้าหากผู้เฒ่าหลินตายไป ตระกูลหลินก็จะแก่งแย่งชิงดีกัน ไม่ต้องพูดถึงหลินเจิ้งกับหลินเหวินเลย ทั้งคู่คงจะทะเลาะกันเรื่องสมบัติในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีบรรดาญาติๆ ในตระกูลหลินที่ถือหุ้นไว้ในมืออีก เห็นได้ชัดว่าปีที่ผ่านมานี้รายได้ตระกูลหลินตกลง อาจจะเป็นไปได้ที่จะขายหุ้นโดยตรงในมือเปลี่ยนเป็นเงินสด จากนี้ต่อไปสิ่งที่ตระกูลหลินต้องพบเจอก็คือการถูกซื้อหุ้น ส่วนพวกเราต้องวางแผนรับมือกันไว้ล่วงหน้า…” 


 


 


“อืม…” ซีเหมินจินเหลียนยังไม่เข้าใจดีนัก สำหรับการค้าที่หลอกกันไปมา เธอยังคงรู้สึกเป็นสิ่งที่แปลกหน้า 


 


 


“การที่จะซื้อหุ้นตระกูลหลิน สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือเงิน สิ่งที่สองคือหยก ไม่อย่างนั้นคนธรรมดาทั่วไปใครจะยอมหาเรื่องเข้าใส่ตัวเองละครับ” จ่านป๋ายพูด “เพราะฉะนั้นบริษัทที่อยากจะซื้อหุ้นตระกูลหลินในเมืองเซี่ยงไฮ้ก็มีเพียงแค่ไม่กี่แห่ง ส่วนบริษัทค้าอัญมณียักษ์ใหญ่ สภาพคล่องในการหมุนเวียนเงินคงต้องมีทางตันเข้าสักวัน เพราะอย่างนี้ตระกูลหลินจึงไม่ได้กระวนกระวายใจไป” 


 


 


“แต่ว่าพวกเราไม่เหมือนกัน!” ฉินเฮ่ายิ้มและพูดต่อไป “ในมือของพวกเราพอจะมีเงินเก็บเล่นๆ เหลืออยู่บ้าง ปล่อยไว้ก็ไม่มีอะไร ถ้าคุณเข้าใจการเดิมพันหยก เนื้อหยกก็จะไม่เกิดปัญหา ความรู้เชิงธุรกิจที่ติดตัวคุณชายหลินมา ผสมกับการออกแบบเครื่องประดับหยกมันช่างดีเลิศเหลือเกิน เพราะอย่างนั้นขอแค่ดึงตัวคุณชายหลินมาได้ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร” 


 


 


“ฉันไม่สามารถรับประกันได้ ว่าฉันจะไม่แพ้เดิมพัน!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวพูด ถึงเธอจะมีพรสวรรค์ในการมองทะลุ แต่ใครจะไปรู้ว่าสักวันพรสวรรค์นี้อาจจะหายไปเมื่อไหร่ก็ได้ ก็เหมือนกับตอนที่มันมานั่นล่ะ ไม่มีที่มาและไม่มีเหตุผล… 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 13.2

 

ร่วมมือกัน

 


 


 


“ใครที่ไหนจะรับประกันได้ว่าละครับว่าจะไม่แพ้เดิมพัน” ฉินเฮ่ามัวแต่พูดปลอบ “ไม่เป็นไรหรอกครับ จินเหลียน ขอแค่คุณเดิมพันแบบสบายๆ ก็ได้แล้ว เพียงแค่ทำเหมือนตอนนี้ ส่วนเรื่องที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง”


 


 


“ปัญหาที่ใหญ่ในตอนนี้ ก็คือคุณชายหลิน…” ฉินเฮ่าถอนหายใจ “ผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดกับเขายังไงดี ถ้าได้ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ได้แม้แต่คำว่าเพื่อนก็คงจะไม่เหลือ”


 


 


“เรื่องนี้คุณวางใจได้ ก่อนที่คุณมา ผมก็พูดหว่านล้อมไว้แล้ว” จ่านป๋ายพูดขึ้น


 


 


“หา?” ฉินเฮ่าส่งเสียงตกใจ เขากับหลินเสวียนหลานเห็นพ้องต้องกัน “เขาเห็นด้วย?”


 


 


“ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่เห็นด้วยนี่ครับ!”


 


 


จ่านป๋ายขมวดคิ้วเข้าหากัน “คุณลองคิดดูสิว่าถ้าหากผู้เฒ่าหลินตายไป ผู้มีสิทธิสืบทอดมรดกคงจะไม่ใช่เขาแน่ๆ ดูจากตอนนี้ก็ได้ ความจริงผมคิดว่าผู้เฒ่าหลินคงจะหวังให้เขาเข้าไปในตระกูลลู่ เพื่อเป็นทายาทสืบทอดตระกูลลู่คนถัดไปในอนาคต…”


 


 


“ชายชราคนนี้คิดแต่อยากจะได้เงินจนเป็นบ้าไปแล้ว!” ฉินเฮ่าโกรธ


 


 


“เขากล้าเปิดปากที่จะยืมเงินตระกูลลู่ แถมใช้โอกาสนี้พูดถึงเรื่องงานแต่งงาน นี่คือความตั้งใจเขาแล้วล่ะ!” จ่านป๋ายพูด “แต่ว่าหลินเสวียนหลานไม่ใช่คนโง่ วันนี้เขาและพวกเราร่วมมือกัน เขาก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ นี่ก็เท่ากับว่ามีธุรกิจเป็นของตัวเอง แล้วทำไมเขาจะไม่เห็นด้วยล่ะ?”


 


 


“ในเมื่อพวกคุณเตรียมพร้อมไว้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็บอกแผนการของพวกคุณมาเถอะ!” ฉินเฮ่าถามออกไปตรงๆ


 


 


“อีกสักพักไปที่ห้องของผม แผนการทั้งหมดเขียนไว้อยู่ในโน้ตบุ๊ค ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากรู้ก็คือ คุณสามารถหาเงินได้เท่าไหร่” จ่านป๋ายกล่าว


 


 


“เท่านี้!” ฉินเฮ่าชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว


 


 


จ่านป๋ายยิ้มออกมา เวลานี้มีเงินทุนเพิ่มมาอีกสองร้อยล้าน ในที่สุดปัญหาทางการเงินก็จัดการได้แล้ว ขอแค่มีสิทธิ์ถือหุ้นบริษัทตระกูลหลิน เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้ว เงินทุนต่างประเทศบางส่วนสามารถโอนผ่านบริษัทเข้ามาอย่างเปิดเผย ส่วนสิ่งอื่นที่ยังจัดการไม่ได้ ก็สามารถอาศัยโอกาสนี้ลงมือ…


 


 


ในนั้นมีหลายอย่างที่ซีเหมินจินเหลียนน่าจะชอบ เก็บไว้ให้เธอเล่นก่อนแล้วกัน รอให้อนาคตเมื่อเธอเล่นจนเบื่อซะก่อนแล้วค่อยขายไปก็ไม่สาย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองซีเหมินจินเหลียน แต่กลับเห็นเธอเหม่อลอยมองออกไปที่นอกหน้าต่าง


 


 


“จินเหลียนครับ…” จ่านป๋ายเรียก


 


 


“อืม…” ซีเหมินจินเหลียนได้สติกลับมา


 


 


“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ” จ่านป๋ายถาม


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก” ซีเหมินจินเหลียนหลบสายตา ขนตางอนยาวของเธอบดบังแววตาสดใสคู่นั้น ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก บริษัทตระกูลหลินที่ยิ่งใหญ่จะมาล้มลงแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?


 


 


การที่เธอเดิมพันหยก มันเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ? ทำไมจ่านป๋ายกับฉินเฮ่าถึงสนใจเธอ แล้วไหนจะหลินเสวียนหลานอีก หรือเธอควรจะซื้อหินสักหลายๆ ก้อนมาดี ลองตัดหินออกมาให้แพ้เดิมพันต่อหน้าพวกเขาดู?


 


 


แถมสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาก็คือ จริงๆ แล้วคนพวกนี้ใครจริงใจ ใครแกล้งทำเสแสร้งอยู่กันแน่? ใครกำลังใช้ผลประโยชน์ใครอยู่ หรือจะพูดว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์บนโลกใบนี้นั้น ก็เพื่อผลประโยชน์ซึ่งกันและกันเท่านั้น?


 


 


มื้อกลางวันผ่านไป ฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เช้าก็ได้หยุดลงเสียที ดวงอาทิตย์โผล่หน้าออกมาจากก้อนเมฆ แสงแดดเผาไหม้มายังพื้นโลก นี่ยังคงเป็นฤดูร้อน


 


 


จ่านป๋ายกับฉินเฮ่ากลับห้องไปปรึกษาเรื่องรายละเอียดของงานต่างๆ ส่วนซีเหมินจินเหลียนขอกลับห้องไปเพื่อนอนกลางวัน


 


 


เวลาบ่ายสี่โมงเย็น เมื่อพระอาทิตย์ตกลงในยามเย็น ซีเหมินจินเหลียนจึงลากจ่านป๋ายออกมาเดินเล่นที่ตลาดขายหยก แผนการของเธอก็คือเลือกหินหยกที่ไม่ได้ราคาแพงมากแล้วตัดออกมาให้เห็นว่าเนื้อหยกไม่ได้มีดีอะไร เมื่อจ่านป๋ายเห็นอย่างนั้นก็คงจะปลอบใจเธอสักหน่อย


 


 


เดินเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เธอก็เลือกซื้อหินหยกชิ้นน้อยใหญ่ไปถึงสิบห้าชิ้น ในนั้นมีสิบชิ้นที่เธอเล็งไว้ อีกสองชิ้นเป็นหิน ส่วนสามชิ้นที่เหลือไม่มีความโปร่งแสงคาดเดาไม่ได้ ต้องใช้ความรู้สึกล้วน


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยราชาแห่งนักเดิมพันหินเคยบอกไว้ว่า การเดิมพันหยก บางครั้งก็ต้องใช้ความรู้สึก สายตา เทคนิค ประสบการณ์ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมดหรอก


 


 


ในเมื่อพรุ่งนี้เป็นวันประมูลหยก ซีเหมินจินเหลียนจึงกลับไปที่โรงแรมและเตรียมตัวเข้านอนแต่หัววัน จ่านป๋ายรับคำสั่งเร่งด่วนให้หาช่องทางขนส่งหินสิบห้าก้อนนี้ รวมไปกับหินหยกครั้งที่แล้วที่โรงงานแปรรูปหยก ซีเหมินจินเหลียนกำชับแน่นหนาว่าให้ดูแลสินค้าให้ดี แล้วส่งไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้


 


 


หลินเสวียนหลานนั่งพิงโซฟาดูโทรทัศน์ สำหรับเขาแล้ววันนี้คือวันเริ่มต้นใหม่ของเขา


 


 


เริ่มตัดสินใจที่จะร่วมมือกับจ่านป๋าย หลังจากผ่านการไตร่ตรองมาครึ่งวัน เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว เพราะนอกเหนือจากทางเลือกนี้ เขาก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีก เขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะสัมผัสไม่ได้ว่าจ่านป๋ายพูดความจริงหรือเท็จ


 


 


หลังมื้ออาหารกลางวัน จ่านป๋ายก็โทรศัพท์มาหาเขา และยิ่งทำให้เขามั่นใจที่จะเลือกการตัดสินใจแบบนี้เข้าไปอีก เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าฉินเฮ่าก็สนใจบริษัทตระกูลหลินในเวลานี้


 


 


คงมีคนที่คิดแบบนี้ไม่น้อยเลยสินะ? ระบบการถือหุ้นของตระกูลหลินเช่นนี้ ขอแค่สมาชิกภายในครอบครัวไม่สามัคคีกันก็คงเหมือนกับจานที่มีเม็ดทรายกระจัดกระจายไปทั่ว คนที่ถือโอกาสฮุบหุ้นไว้ในครอบครองคงมีไม่น้อยแน่


 


 


การดูถูกคนอื่นก็ไม่เท่ากับการลุกขึ้นมาแข่งขันกับตัวเอง ถึงว่าจะแพ้เดิมพันไปรอบนี้ เขาก็ไม่เสียดาย มากสุดก็แค่ดูคนไม่เป็น ขุดหลุมกับดักให้กับตัวเอง


 


 


ชีวิตคนเราย่อมพบเจอกับตัวเลือกมากมาย แต่ไม่มีใครเคยคิดค้นยาแก้อาการเสียดาย เพราะฉะนั้น ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาก็จะเดินหน้าต่อไป


 


 


งานประมูลที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ถ้าตระกูลหลินได้เนื้อหยกที่มีปัญหาไป มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขาได้ปล่อยมือไปแล้ว ทำได้แต่นั่งดูละครโทรทัศน์อย่างเหงาหงอยที่จะเริ่มมาตอนสองทุ่ม…


 


 


ขณะที่การพักผ่อนกำลังผ่านไปได้ด้วยดี ก็มีคนรบกวนเวลาของเขาเสียก่อน เสียงกระดิ่งจากนรกก็มาโปรด


 


 


หลินเสวียนหลานเบื่อหน่าย ทำได้แค่ยืนขึ้นเดินไปดู เขาเห็นเงามืดของหลินเจิ้งกำลังยืนอยู่ด้านหน้าของประตู


 


 


“อารอง เข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ” หลินเสวียนหลานท่าทางสุภาพเรียบร้อยเหมือนทุกครั้ง


 


 


“เสวียนหลาน แกก็ยังสบายใจอยู่ได้นะ!” หลินเจิ้งเดินเข้าไปข้างในแล้วนั่งลงบนโซฟา


 


 


หลินเสวียนหลานทำได้แค่ยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หยิบรีโมทลดเสียงโทรทัศน์ลง รอให้หลินเจิ้งพูด หลินเจิ้งหาเขาเวลานี้ คงไม่ใช่เพราะคุยเรื่องในบ้านแน่นอย


 


 


 “วันนี้ฉันออกไปข้างนอกวุ่นอยู่ทั้งบ่าย แต่แกกลับหลบมาอยู่ในห้องดูโทรทัศน์เหรอ?” หลินเจิ้งอารมณ์เดือดพล่านมองไปที่หลานของตน


 


 


“ผมไม่รู้ว่าอารองยุ่งตลอดทั้งบ่าย ซื้อหินหยกมาได้เยอะไหมครับ” หลินเสวียนหลานถาม


 


 


“ไม่ได้เลย!” หลินเจิ้งส่ายหัว เขาแทบไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการเดิมพันหยก เพราะฉะนั้นการที่ยุ่งอยู่ทั้งบ่ายก็เพราะอยากจะซื้อเนื้อหยก แต่การขายหยกที่เมืองเจียหยาง ราคาก็สูงมากเกินความจริง สีเข้มไปหน่อย ความอิ่มน้ำก็ไม่มาก แต่ราคาสูงจนเทียบไม่ติด ทั้งบ่ายนี้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เห็นหยกชนิดแก้ว


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าอารองกำลังดูโทรทัศน์กับผมอยู่หรอกเหรอครับ?”


 


 


“แกพูดอะไร?” หลินเจิ้งฟังจากที่เขาพูด สีหน้าก็เปลี่ยนทันควัน


 


 


“ป่านนี้แล้วจะซื้อหยกอะไรกันครับ” หลินเสวียนหลานพูดพร่ำต่อไป “พวกเรารองานประมูลหยกในวันพรุ่งนี้ก็ได้แล้ว มีหยกชนิดดีๆ ที่ถูกส่งมาในงานประมูล”


 


 


หลินเจิ้งเห็นนิสัยที่กินลมชมวิวของเขาก็รู้สึกรับไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าโดยปกติแล้วเขาก็ชอบพูดจาแบบนี้ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ได้แต่จ้องมองเขาด้วยสายตาพิฆาตกลับไป “การประมูลครั้งนี้ อย่าทำให้พวกเราผิดหวังล่ะ”


 


 


ในใจหลินเสวียนหลานคิดแต่ว่า ‘รับรองว่าอาต้องผิดหวังแน่ง คนที่ไม่รู้เรื่องการเดิมพันหยก แต่ไปร่วมงานประมูล นอกจากจะผลาญเงินไปซื้อหินฟรีๆ แล้วจะทำอะไรได้อีก?


 


 


แน่นอน ยังมีผู้อาวุโสจู้อยู่ หวังว่าผู้อาวุโสจู้จะช่วยเขาซื้อหินหยกเนื้อดีไปได้


 


 


“เสวียนหลาน” หลินเจิ้งเปลี่ยนโทนเสียง ให้ความรู้สึกเหมือนผู้อาวุโสเรียกเด็กๆ ไปคุยอย่างไรอย่างนั้น “เกิดอะไรขึ้นระหว่างแกกับเฟยอวี๋กันแน่”


 


 


 “พวกเราเลิกกันแล้วครับ!” หลินเสวียนหลานบอกไปตรงๆ เดิมทีเขาคิดว่าจะรอให้กลับไปก่อนแล้วไปบอกคุณปู่ แต่ในเมื่อถามมาก็บอกไปเลยแล้วกัน เมื่อรออารองออกจากห้องไปแล้ว เขาคงรีบโทรศัพท์ไปรายงานคุณปู่ทันที อย่างนี้เขาก็ไม่ต้องปริปากพูดออกมาเอง


 


 


“อะไรนะ?” หลินเจิ้งได้ยินดังนั้น ก็เกือบที่จะดีดตัวเด้งขึ้นมา “เสวียนหลาน แกพูดอะไรออกมา? พวกแก…เลิกกันแล้ว?”


 


 


“ใช่ครับ พวกเราเลิกกันแล้ว” หลินเสวียนหลานไม่สนใจอาการตกใจของเขาสักนิด


 


 


“แกรู้หรือเปล่าว่า ปู่ของแกเตรียมของหมั้นหมายไปให้ที่บ้านตระกูลลู่แล้ว!” หลินเจิ้งตะคอกเสียงดัง “ทำไมแกถึงได้ทำแบบนี้?”


 


 


หลินเสวียนหลานยิ้มเยือกเย็น ให้ของหมั้นหรือ? ทำไมตัวละครที่อยู่ในฉากอย่างเขาถึงไม่รู้เรื่องล่ะ


 


 


“ส่งของหมั้นไปแล้ว ก็เอากลับมาได้นี่ครับ!” หลินเสวียนหลานไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพต่อไป


 


 


“แกรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรออกมา?” หลินเจิ้งเดือดจนมือไม้สั่นระริกไปหมด หลานคนนี้ช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก…


 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 14

 ซื้อ

 


 


 


 


 


หลินเสวียนหลานยิ้มอ่อน “ผมรู้ตัวว่าผมพูดอะไรออกไป ถ้าอารองไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เชิญกลับได้แล้วครับ”


 


 


“แก…แก…” หลินเจิ้งรีบกระโจนลุกหันไปทางเขาแล้วพูดว่า “ฉันจะดูว่าแกจะกลับไปจัดการเรื่องนี้กับคุณปู่ยังไง!”


 


 


“มันเป็นเรื่องการแต่งงานของผม ไม่ใช่ของคุณปู่!” หลินเสวียนหลานพูดเสียงดังอย่างชัดเจน


 


 


“ได้ ได้เลย…” หลินเจิ้งไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ตอนนั้นเขาก็เคยพูดประโยคนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ฉะนั้นเขาหันหลังกลับรีบเปิดประตู จากนั้นก็จงใจปิดประตูเสียงดัง


 


 


หลินเสวียนหลานนั่งพิงบนโซฟา ใจล่องลอยออกไป ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ? ขนาดตอนนี้ยังเกิดเรื่องแบบนี้ แล้วอนาคตจะเป็นยังไง? จ่านป๋ายพูดถูก ถึงตนจะลงทุนลงแรงไปชั่วชีวิตก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นคนใช้ให้เขาน่ะเหรอ? แถมทำไปก็ไม่ได้สิ่งตอบแทนกลับมา ช่างมันแล้ว ชีวิตคนเรามันต้องอยู่เพื่อตัวเองสักครั้ง


 


 


เขาโทรศัพท์ไปหาซีเหมินจินเหลียน เธอก็น่าจะกำลังดูโทรทัศน์อยู่ ในใจของหลินเสวียนหลานมีความรู้สึกอบอุ่นไหลเวียนอยู่เมื่อคิดถึงเธอ


 


 


“จินเหลียน ความจริงแล้วผมหลอกคุณ” หลินเสวียนคุยผ่านสายโทรศัพท์


 


 


“อ่อ…พี่หลิน คุณกำลังหลอกใช้ฉันหรือหลอกเงินฉันล่ะคะ” เสียงจากปลายสายพูดหยอกล้อออกมา


 


 


หลินเสวียนหลานถูกเธอล้อจนยิ้มออกมา ถอนหายใจแผ่วเบาแล้วพูดว่า “จินเหลียน ผมพูดจริงๆ นะ คุณปู่ผมคิดว่าคุณอาจจะเป็นศิษย์ฝ่ายใต้ เพราะฉะนั้นถึงมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการเดิมพันหยกอย่างลึกลับ ทำให้คุณชนะเดิมพันอยู่ตลอด… “


 


 


“หือ…” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี มีครั้งหนึ่งที่คุณปู่หลินกับหลินเสวียนหลานแอบพูดคุยกันอยู่นั้น ความจริงเธอก็รู้ ต่อมาจ่านป๋ายก็ได้อัดเสียงเอาไว้ให้เธอ


 


 


“จินเหลียน ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกคุณ หวังว่าคุณฟังจบแล้วจะไม่โกรธผม” หลินเสวียนหลานสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาต้องพูดกับเธอให้ได้ ไม่อย่างนั้นวันพรุ่งนี้ก่อนเข้างานประมูลเธออาจจะถูกขัดขวางให้เข้างานไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเธอต้องบ้าคลั่งแน่ๆ


 


 


“อืม พี่พูดมาเถอะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนสงสัย เขาจะบอกอะไรกับเธอเหรอ หรือเขาเตรียมตัวจะขายเธอ?


 


 


“งานประมูลหยกที่เจียหยาง ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้นถึงจะเข้างานได้ครับ” หลินเสวียนหลานระมัดระวังในการพูดจา


 


 


“หืม…” ที่แท้ก็เรื่องนี้เองเหรอ? ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย เธอก็รู้เรื่องนี้ ตั้งแต่ตอนที่ฉินเฮ่าส่งบัตรสมาชิกสมาคมอัญมณีมาให้แล้ว


 


 


“จินเหลียน ผมยอมรับว่าผมเห็นแก่ตัว คุณ…อย่าโกรธผมได้ไหมครับ มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเลย เพียงแค่ยัดเงินไปให้เจ้าหน้าที่หน้างานสักหน่อย…” หลินเสวียนหลานถอนหายใจ ทุกๆ ปีย่อมเกิดเรื่องแบบนี้ สำหรับคนที่อยากเข้าร่วมงาน ถ้าไม่ได้เป็นบริษัทอัญมณีหรือสมาชิกก็ล้วนแต่ใช้วิธีแบบนี้ทั้งนั้น


 


 


แต่ถ้าอยากจะร่วมประมูลก็ช่วยไม่ได้ จำเป็นต้องใช้บัตรสมาชิกมายืนยัน ไม่เช่นนั้นผู้จัดงานจะไม่ให้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมประมูลหยกอย่างง่ายๆ


 


 


“พี่หลินคะ พี่ฉินให้บัตรสมาชิกสมาคมอัญมณีกับฉันแล้วล่ะค่ะ”


 


 


“หา?” หลินเสวียนหลานมึนงง ฉินเฮ่าให้บัตรสมาชิกกับเธอนี่เอง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ถึงจ่านป่ายจะไม่ได้ร่วมหุ้น ถึงอารองจะยกสิทธิในทรัพย์สินให้เขาเป็นคนจัดการ เขาก็จะไม่เสียเปรียบอะไร


 


 


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็สบายใจหน่อย” หลินเสวียนหลานน้ำเสียงผ่อนคลายลง เพียงแต่ว่าภายในใจยังมีคำพูดที่ยากจะเอ่ย ฉินเฮ่า…น่าจะรู้มาก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้บัตรสมาชิกกับเธอไปสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก


 


 


    


 


 


ใช่แล้ว  ปีที่แล้วเขาเคยเข้าร่วมงานประมูลที่เจียหยาง แต่ว่าเขาก็แค่มาผลาญเงินเล่นเท่านั้น  แต่กฎงานประมูลที่เจียหยางเขาก็รู้ทั้งหมด แถมยังรู้ว่าควรจะแอบซ่อนปิดบังเพื่อนรักด้วยวิธีใด? ในเมื่อเขาตั้งใจที่จะซื้อหุ้นในบริษัทอัญมณีตระกูลหลิน คงจะไม่ใช้ให้ซีเหมินจินเหลียนเดิมพันหยกคุณภาพดีหรอกนะ…


 


 


ตระกูลหลินแพ้แล้ว! นี่คือความตั้งใจของฟ้า ความตั้งใจของฟ้า!


 


 


หลินเสวียนหลานพูดไม่กี่ประโยคก็วางสายลง นั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา ธุรกิจภายในไม่สามัคคี ก็ย่อมถูกคนภายนอกจับจ้องเล่นงาน


 


 


เช้าวันถัดมา ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายเรียกรถไปที่งานประมูลหยก


 


 


งานประมูลหยกครั้งนี้จัดที่เจียหยาง สถานที่จัดงานเป็นโรงงานใหญ่ที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง มองจากไกลๆ สามารถเห็นกำแพงสูงยาวล้อมรอบเอาไว้ ถึงแม้เมื่อวานฝนจะตก แต่อากาศวันนี้ก็ยังคงร้อนเป็นอย่างมาก ฤดูร้อนนี้เมื่อไหร่ถึงจะหมดไปนะ


 


 


เมื่อลงจากรถ เธอก็คอยสังเกตดูเจ้าหน้าที่ที่คุมอยู่หน้าประตู ดูเข้มงวดใช้ได้เลย แต่ก็สมควรแล้วล่ะ เพราะข้างในนั้นล้วนมีแต่หินหยกล้ำค่าเรียงรายอยู่ ใครจะไปรู้ว่าข้างในหินพวกนี้ จะมีหยกแอบซ่อนเร้นไว้อยู่หรือเปล่า ดูแล้วไม่ได้เข้างานได้ง่ายๆ เลย


 


 


 ทางเข้างาน ซีเหมินจินเหลียนให้บัตรสมาชิกสีเขียวมรกตไป แล้วหันไปทางจ่านป๋ายพูดว่า “เขาเป็นแฟนของฉันค่ะ”


 


 


ถึงจะบอกไปอย่างนั้น แต่เจ้าหน้าที่ที่หน้าประตูก็ยังคงยืนยันให้จ่านป๋ายจ่ายมัดจำด้วยเงินสามพันหยวน แล้วถึงจะปล่อยเขาเข้าไปได้ จ่านป๋ายยิ้มเฝื่อนพูดว่า “จินเหลียน งานประมูลครั้งนี้ไม่ใสสะอาดแล้ว เงินมัดจำสามพันหยวน เลิกงานจะคืนให้ไหมเนี่ย?”


 


 


“พูดตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!” ซีเหมินจินเหลียนตอบคำถามพลางส่ายหัว


 


 


“ผมขอคัดค้าน เงินนี้ต้องใช้เงินกองกลาง!”


 


 


“กองกลาง?” สมองของซีเหมินจินเหลียนยังคงไม่กลับมา แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็เข้าใจที่เขาพูด “ความหมายของคุณก็คือ เงินนี้ฉันจ่าย?”


 


 


“ไม่ๆๆ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นแน่นอน…” ระหว่างที่จ่านป๋ายพูด เขาก็ลนลานถอยหลังไปสองก้าว แน่นอนผู้คนในงานตั้งเยอะแยะ ซีเหมินจินเหลียนคงไม่ทำอะไรเขา แต่ว่าห่างกันสักหน่อยก็ปลอดภัยกว่านะ เขาไม่เคยลืมว่าบางครั้งเธอก็ชอบระเบิดลง


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทางของจ่านป๋ายก็อยากจะหัวเราะออกมา ถ้าไม่ใช่ว่าหน้างานประมูลคนเยอะ เธออยากจะเดินเข้าไปหยิกแก้มเขาสักที


 


 


“ไปกันเถอะ!” ซีเหมินจินเหลียนเรียกเขา “ถ้าหากได้หินหยกเนื้อดี ฉันจะถือว่าเข้ากองกลาง…”


 


 


“แล้วถ้าหากไม่มีหินหยกเนื้อดี ผมก็ต้องควักเงินในกระเป๋าตัวเองใช่ไหมครับ?”


 


 


“ถูกต้องค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า


 


 


“ผมคือบอดี้การ์ดที่น่าสงสารที่สุดบนโลกใบนี้…” จ่านป๋ายบ่นพึมพำ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนแอบยิ้ม ผู้ชายคนนี้ชอบทำหน้าน่าสงสารเพื่อให้เธอมีความสุข พูดไปก็น่าแปลก ไม่อยากจะคิดเลยว่าเพียงแค่เวลาไม่กี่วันเธอก็ชินกับการที่มีเขาอยู่ข้างๆ แล้ว


 


 


“ว้าว! หินหยกเยอะแยะเลย” ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งจะได้เดินเข้างานมา ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงตกตะลึง มันช่างมีความสุขจริงๆ ที่ได้เห็นหินหยกมากมายก่ายกองแบบนี้


 


 


เมื่อกวาดสายตามองออกไป ข้างในก็มีหินหยกวางตั้งอยู่เต็มไปหมด ด้านบนมีเขียนน้ำหนักและหมายเลขกำกับไว้ รวมถึงราคาขั้นต่ำ การแข่งประมูลหยกไม่เหมือนกับการซื้อทั่วๆ ไป ต้องปิดบังราคา


 


 


หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เมื่อสนใจหินหยกชิ้นไหนก็ต้องจดจำหมายเลขไว้แล้วเขียนราคาที่ตัวเองตั้งลงไปในสมุดประมูล สุดท้ายแล้วผู้จัดงานจะรวบรวม โดยผู้ที่ให้ราคาสูงที่สุดก็ได้รับไป โดยที่คุณไม่มีทางที่จะรู้เลยว่าคนอื่นประมูลหินหยกชิ้นไหน และไม่รู้ว่าประมูลไปเท่าไหร่…


 


 


แต่สิ่งที่ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกรับไม่ได้ก็คือ ถ้าหากเขียนราคาสูงเกินไป เจ้าของสินค้าจะคิดว่าได้ผลประโยชน์ ราคาอาจจะเลยกว่าที่เจ้าของตั้งไว้ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วถึงจะอยากจะซื้อหินหยกที่สนใจ ก็มีปัญหา แม้จะสามารถผ่านผู้จัดงานให้ติดต่อกับเจ้าของสินค้าโดยตรง แต่เมื่อจะทำก็เป็นไปได้ยาก


 


 


“รีบดูเถอะครับ งานประมูลมีแค่สามวันเองนะ” จ่านป๋ายเตือนสติเธอ พูดให้ถูก เหลือเพียงแค่สองวันครึ่งต่างหาก งานประมูลที่เจียหยางมีทั้งหมดสามวัน ส่วนวันสุดท้ายตอนสิบเอ็ดโมงจะเปิดเผยราคา แล้วรวบรวมข้อมูล ตอนบ่ายสองถึงห้าโมงเย็นถึงจะประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลออกมา


 


 


“เสี่ยวป๋าย เหมือนพวกเราจะลืมเรื่องสำคัญอะไรไปอย่าง” ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ มองไปที่หินหยกแล้วนึกเรื่องสำคัญออกขึ้นมา


 


 


“อะไรเหรอครับ” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ


 


 


“คุณดูหินหยกพวกนี้ แต่ละชิ้นได้ทำหมายเลขกำกับเอาไว้ อีกสักพักถ้าฉันสนใจชิ้นไหน อยากจะซื้อ ฉันจะจดจำเลขพวกนี้ได้ยังไงกัน พวกเราลืมพากระดาษปากกามาเขียนจดบันทึกเอาไว้ ถ้าจำเลขผิด…ความเสียหายคงจะมหาศาลแน่” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเจื่อน ต้องโทษที่เธอไม่มีประสบการณ์สินะ


 


 


เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองพบว่า เหล่าบรรดาผู้ชื่นชอบหยกหรือผู้เดิมพันหยก แล้วไหนจะพนักงานจากบริษัทอัญมณีล้วนแต่พากระดาษปากกาติดตัวมาเพื่อจดบันทึกกันทั้งนั้น


 


 


“เรื่องนี้ง่ายนิดเดียวครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “คุณรับผิดชอบดูในส่วนของคุณ อยากจะซื้อชิ้นไหนก็บอกกับผม ผมจะช่วยจำให้ เมื่อคิดดูแล้วความจำของผมก็ไม่ได้แย่นะ”


 


 


“คุณห้ามจำผิดเด็ดขาดเลยนะ ฉันเห็นตัวเลขก็ปวดหัวแล้ว! ถ้าเป็นอย่างอื่นยังพอถูๆ ไถๆ ไปได้”


 


 


“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ ผมจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่จำตัวเลขเก่งนะ!” จ่านป๋ายพูดพลางหยิบหน้ากากสีเงินขาวออกมาจากกระเป๋าสะพายของเขาส่งไปให้เธอ “ผมซื้อมาเมื่อวาน ไว้สำหรับอำพรางตัวเอง คุณใส่สักหน่อย แดดร้อนขนาดนี้สามารถเผาไหม้คนให้สุกได้เลยนะเนี่ย”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรับหน้ากากขึ้นมาดู น่าจะเป็นหน้ากากเพื่อความงาม เหมือนเธอจะเคยเห็นในโฆษณาโทรทัศน์ ในฤดูร้อนแบบนี้ แม้แต่ในห้องยังร้อนผ่าว แต่นี่ใต้ดวงอาทิตย์? ไม่รู้ว่าคนที่เจียหยางเขาคิดอะไรกันอยู่ ทำไมถึงเลือกจัดงานประมูลหยกในวันที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้?


 


 


แม้ด้านบนจะมีกันสาดบังแดดยื่นออกมา พร้อมติดตั้งพัดลม แต่ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกอยากจะเอากันสาดนี้รื้อออกไปซะ ไม่แน่อาจจะมีลมพัดเข้ามามากกว่านี้


 


 


แน่นอนว่าสำหรับเธอแล้วความร้อนยังเป็นเรื่องรอง การที่แสงแดดแผดเผาลงไปที่ผิวของหญิงสาว ไม่ว่าใครคงจะรับไม่ได้ ลำบากเขาแล้วที่คิดเรื่องแบบนี้ออกมาได้


 


 


“ขอบคุณนะ” ซีเหมินจินเหลียนใส่หน้ากาก


 


 


เมื่อเดินไปสักพักซีเหมินจินเหลียนก็ยังไม่เห็นหยกที่น่าสนใจ แถมหยกที่ต้องเดิมพันครึ่งหนึ่งก็เปิดเผยแค่ช่องรูเล็กๆ ให้เห็นสีเขียวโผล่ออกมา แต่ราคากลับพุ่งสูงปรี๊ดเป็นเท่าตัว


 


 


ใช้ความรู้สึก เธอก็ยังไม่รู้สึกสัมผัสได้ว่ามีอะไรดีเป็นพิเศษ เดินไปเดินมาทั้งเช้าก็ไม่เห็นมีอันไหนเตะตาต้องใจเธอสักชิ้น


 


 


ตอนสิบเอ็ดโมง เจ้าหน้าที่ในงานก็เรียกให้คนออกไปข้างนอก ซีเหมินจินเหลียนเห็นเงาของคนที่คุ้นเคย หลินเจิ้งกับผู้อาวุโสจู้ ไหนจะประธานเฉินและประธานหม่ากำลังทักทายกัน ไม่รู้ว่าพวกเขามีชิ้นไหนที่ถูกใจแล้วหรือยัง?


 


 


แน่นอน นี่จัดเป็นความลับของธุรกิจ อย่าพูดถึงคนที่ไม่สนิทเลย ถึงเป็นเพื่อนที่สนิทก็ไม่สามารถบอกได้ สิ่งที่ทดสอบในการเดิมพันหยกก็คือประสบการณ์ทางสายตา เมื่อคนอื่นรู้ว่าเราจะซื้ออันไหน แล้วตั้งราคาสูงเพื่อแย่งไป มันก็แย่น่ะสิ


 


 


บ่ายสองโมง งานประมูลหยกได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายมาตรงเวลาพอดี เดิมทีที่คิดไว้อากาศร้อนแทบจะฆ่าคนได้แบบนี้ คนน่าจะน้อยลงหน่อย แต่ที่ไหนได้เมื่อพวกเขาเข้างานไป ความจริงแทบไม่เป็นเหมือนสิ่งที่คิด คนที่อยากได้เงินไม่คิดถึงชีวิตเช่นนี้มีเยอะเกินไปแล้ว


 


 


ตอนบ่ายยังดีหน่อย เมื่อมองไปที่หยกหมายเลขหนึ่งร้อยหก ซีเหมินจินเหลียนก็ได้หยุดฝีเท้าลง หินหยกก้อนนี้ดูไม่เลวเลย พื้นผิวสีเหลืองเขียว เม็ดหินละเอียด ลายเส้นหยกแนวนอน หินหยกก้อนนี้น่าจะหนักประมาณหนึ่งร้อยกิโลกรัม ลักษณะก้อนกลมโตราวกับฟัก ราคาขั้นต่ำคือแปดแสน


 


 


ดูจากคุณภาพของหินหยกแล้ว ราคาขั้นต่ำนี้ไม่ถือว่าแพง เพียงแต่ไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นยังไง เธอรีบหยิบแว่นขยายออกมาจากในกระเป๋าส่องเข้าไปข้างใน


 


 


ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมผู้จัดงานประมูลที่เจียหยางถึงต้องจัดงานในช่วงเวลาแบบนี้ แสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง แต่ก็กลับสว่างไสวในคราเดียวกัน แม้จะมีกันสาดบดบังไว้อยู่นิดหน่อย แต่ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นขยายก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน


 


 


เมื่อใช้มือสัมผัสลงไป เม็ดหินละเอียดอย่างที่คิดเอาไว้ ความรู้สึกของเธอไม่ได้โกหกเลย มือซ้ายถือแว่นขยายส่องดู เมื่อเจออะไรก็แค่สัมผัสลงไป


 


 


ความร้อนเบาๆ ถูกส่งไปที่มือของเธอ สีเขียวเหลืองของพื้นผิวนี้ได้จางหายไปตรงหน้า  สีเขียวมรกตของหยกนี้แทรกซึมตรงไปยังก้นบึ้งหัวใจ ทำให้อากาศที่ร้อนเช่นนี้ได้ดับคลายลงไปไม่น้อย


 


 


เป็นหยกชนิดแก้ว? เธอช่างโชคดีเหลือเกิน ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ในใจ ทันได้นั้นสีเขียวมรกตก็ได้หายไปในชั่วพริบตา เมื่อมองไปข้างในก็เป็นหินสีขาวนวล…


 


 


สีเขียวติดเปลือก? ซีเหมินจินเหลียนสับสน เมื่อเธอส่องดูหินไปครบทั่วทั้งก้อน นอกจากใกล้ๆ บริเวณที่เป็นพื้นผิวที่มีสีเขียวติดเปลือกแล้ว ก็ไม่เห็นเส้นหยกอื่นๆ อีกเลย…นี่เป็นผิวสีเขียวติดเปลือกที่แทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเปลี่ยนเป็นอะไร ใครซื้อใครขาดทุน


 


 


“จินเหลียน เป็นยังไงบ้างครับ” จ่านป๋ายเห็นเธอลุกขึ้นมาก็รีบเข้าไปพยุง


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะพูด แต่เห็นหลินเจิ้งกำลังเฝ้าตามเธอ เลยอดไม่ได้ที่จะขมวดหัวคิ้ว คุณปู่หลินคิดว่าเธอคงจะเป็นศิษย์ฝ่ายใต้ หรือว่าเขาคนนี้คิดจะซื้อตามเธออย่างนั้นเหรอ?


 


 


“มีคนมองพวกเราอยู่ด้านหลัง” ซีเหมินจินเหลียนกระซิบ


 


 


“ผมรู้แล้ว เขาเดินตามติดพวกเรามาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วครับ” จ่านป๋ายกระซิบ “คุณยังไม่รู้ว่ามีเรื่องที่น่าขำกว่านั้น!”


 


 


“อะไรเหรอ?”


 


 


“ตอนเที่ยงที่คุณนอนกลางวัน เขาแอบมาหาผมแล้วให้เช็คเงินหนึ่งล้านหยวน!” จ่านป๋ายพูด


 


 


“ว้าว!” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น ในใจก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอย่างไร “ซื้อคุณอย่างนั้นเหรอ”


 


 


“อืม เขาบอกว่าให้ผมเอาหมายเลขที่คุณจะประมูลไปให้เขา ก่อนส่งราคาประมูลค่อยบอกเขา แล้วยังพูดอีกว่า ถ้าเรื่องนี้สำเร็จด้วยดี ก็ยังมีรางวัลตอบแทนอื่นอีก”


 


 


“แล้วคุณได้รับมาหรือเปล่า” ซีเหมินจินเหลียนกัดปากตัวเองเพื่อหลบหลีกอาการส่งเสียงหัวเราะออกมา หลินเจิ้งคิดที่จะหาเรื่องใส่ตัวเอง?


 


 


“รับมาสิครับ คุณก็รู้ผมจนจะตาย มีคนยื่นเงินส่งมาให้ซึ่งๆ หน้า ใครจะไม่รับกัน?” จ่านป๋ายยิ้มแหะๆ


 


 


“คุณจำเลขหินหยกที่ฉันดูเมื่อกี้ไว้ให้ดี แล้วตอนกลางคืนไปบอกเขาว่าราคาประมูลของฉันคือสามล้าน!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม คนคนนี้ไม่รู้จักเข็ดหลาบหรือยังไงกัน? ครั้งที่แล้วก็เป็นเพราะว่าสีเขียวติดเปลือกนี้ทำให้เขาแพ้ย่อยยับ ครั้งนี้ในเมื่อคุณยังจะตามน้ำกับพวกเรา ถ้างั้นก็ตามมาเลย ขนาดคนยังซื้อได้ ถ้าอย่างนั้นก็มาซื้อสีเขียวติดเปลือกนี้เถอะ


 


 


“หยกก้อนนั้นไม่ดีเหรอครับ” จ่านป๋ายถาม “คุณดูดีแล้วเหรอ อย่าได้เสียเปรียบเชียว”


 


 


“วางใจได้!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันคิดว่าหินหยกก้อนนั้นเป็นแค่สีเขียวติดเปลือก”


 


 


จากนั้นซีเหมินจินเหลียนก็เดินดูหินหยกอื่นๆ แล้วกำชับให้จ่านป๋ายจำหมายเลขเอาไว้ สำหรับราคาขั้นต่ำให้จ่านป๋ายไปจัดการก็ได้แล้ว เพียงแค่ทำให้คนอื่นขาดทุน ในนั้นต้องมีสักชิ้นที่มีสีเขียวสูงที่สุด แถมยังเป็นชนิดแก้ว เพียงแค่ว่าไม่เหมือนกับหินครั้งก่อนที่คุณปู่หลินเดิมพันกลับไป ทั้งหมดเต็มไปด้วยรอยร้าว ไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ในใจ ถ้าหากหลินเจิ้งกลับไปตัดหินก้อนนั้น ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร


 


 


ส่วนของเธอนั้นได้เลือกหยกน้ำแข็งสีเขียว ขนาดไม่ใหญ่อะไรแต่สีกับความโปร่งแสงกลับเยี่ยมยอด ไม่ว่าจะทำเป็นเครื่องประดับหรือของตกแต่งบ้าน นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทั้งคู่ เอาเป็นว่าไม่มีทางขายขาดทุนแม้แต่สตางค์เดียว


 


 


เวลาพลบค่ำ เธอก็ได้เดินมาหยุดตรงที่หมายเลขหนึ่งร้อยแปดสิบเก้า จากการคาดเดาเบื้องต้น หินหยกก้อนนี้น่าจะหนักสักหนึ่งร้อยกิโลกรัม วางตั้งอยู่บนพื้น สีของผิวหินเป็นทรายสีดำ บนนั้นเขียนว่าโรงงานหมาเหมิง เนื้อหยกเก่าแก่คุณภาพดี


 


 


ซีเหมินจินเหลียนใช้มือสัมผัสลงไป รู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว มีลายเส้นของหยก แถมสีเขียวก็ชัดเจน ติดก็แค่ราคาขั้นต่ำที่เขียนไว้ให้คนตกใจว่า…ห้าล้าน


 


 


“เจ้าของหินก้อนนี้คงจะอยากได้เงินจนบ้าไปแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนบ่นพึมพำ จากนั้นหยิบแว่นขยายขึ้นมาส่องดูอย่างละเอียด ลักษณะภายนอกดูไม่ออกว่าเป็นยังไง มือซ้ายสัมผัสลงไป พื้นผิวสีดำค่อยๆจางหายไป ข้างในเป็นหินสีขาว…


 


 


“ของแบบนี้ยังจะขายห้าล้านอีกเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนดูสินค้ามาทั้งวัน เมื่อเห็นแบบนี้ก็แทบอยากจะสบถด่า แม้แต่สีเขียวติดเปลือกก็ยังไม่มี?


 


 


แต่ว่าเมื่อส่องดูไปที่ความลึกห้าเซนติเมตรแล้ว ซีเหมินจินเหลียนประหลาดใจขึ้น หินสีขาวก้อนนั้นถูกสีน้ำเงินคริสตัลสีใสมาแทนที นี่คือหยกชนิดแก้ว!


 


 


หยกสีน้ำเงิน? ซีเหมินจินเหลียนสงสัย ดูมาทั้งวันในที่สุดก็เจอสักที? ถ้าดูจากแสงที่เธอยิงส่องเข้าไป ข้างในก็ค่อยๆ เผยให้เห็นหยกคริสตัลสีน้ำเงินใส สว่างแวววาวเหมือนกับท้องฟ้าที่แสนอบอุ่น ทั้งยังเหมือนกับท้องทะเล…


 


 


 “สีใช้ได้เลย แต่ว่าฉันไม่ชอบหยกสีน้ำเงินสักเท่าไหร่” ซีเหมินจินเหลียนบ่นงึมงำ “แถมยังไม่ใหญ่มากด้วย”เธอลองคิดคำนวณดูสักครู่ หินหยกก้อนนี้น้ำหนักประมาณหนึ่งร้อยกิโลกรัม แต่ผิวของหินหนามาก เธอรับรองได้เลยว่าข้างในมีหยกสีน้ำเงินแน่ๆ เพียงแค่ต้องตัดผ่าเข้าไปตรงกลาง ไม่อย่างนั้นถ้าค่อยๆ ตัด อาจจะทำให้เห็นแต่หินสีขาว คนคงคิดว่าแพ้เดิมพันแล้ว


 


 


เนื้อหยกสีน้ำเงินมีไม่เยอะ ความยาวไม่น่าจะเกินยี่สิบเซนติเมตร ความหนาคงจะประมาณเจ็ดถึงแปดเซนติเมตร ความกว้างก็น่าจะเหมือนกัน


 


 


ถ้าจะทำเป็นเครื่องประดับก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าจะทำเป็นของตกแต่งก็ไม่น่าจะได้ เธอจำในสิ่งที่หลินเสวียนหลานพูดได้ หยกสีน้ำเงินมีสีที่ใสสะอาดที่สุด ขายออกได้ราคาดี ไม่เช่นนั้นสีน้ำเงินคงจะไม่ใช่สิ่งที่คนตามหากันขนาดนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็มีแค่ญี่ปุ่นกับไต้หวันที่ชื่นชอบหยกสีน้ำเงิน…

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 15

 

 สีม่วงดอกไลแอค

 


 


 


 


ช่างเถอะ เอากลับไปทำกำไลให้ตัวเองก็ได้ อย่างน้อยก็เป็นหยกชนิดแก้ว ซีเหมินจินเหลียนแอบคิดอยู่ในใจ พร้อมกับจดจำหมายเลขนี้ไว้ แต่เมื่อดูราคาแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวถอนหายใจไม่หยุด ห้าล้าน เธอคงต้องตั้งราคาประมูลที่แปดล้าน ถึงจะได้มาไว้ในครอบครอง งานประมูลหยกครั้งนี้จัดมาเพื่อแย่งชิงเงินกันเหรอ? 


 


 


แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นหยกสีน้ำเงิน ถ้าไม่นำมันกลับไปตัดดู เธอก็คงรู้สึกไม่สบายใจ แถมจ่านป๋ายกับฉินเฮ่าที่ได้เจรจาตกลงจะซื้อหุ้นของบริษัทตระกูลหลินอีก ตอนนี้ไม่ขายหินหยกให้พวกเขาก็อีกเรื่อง แต่ถ้าซื้อหุ้นสำเร็จ บริษัทจำเป็นต้องหาเครื่องประดับจากหยกที่พอใช้ได้มาเป็นหน้าเป็นตา นี่ก็เป็นเรื่องที่สมควร 


 


 


ลักษณะของเนื้อหยกที่ดี ต้องมีความโปร่งใส ผลึกเงางาม อย่างน้อยจากการที่เธอส่องแสงดูก็ไม่ได้พบเจอตำหนิอะไร 


 


 


เธอกระซิบกระซาบกับจ่านป๋ายว่าให้จำหมายเลขนี้เอาไว้ ไม่สามารถประมูลในราคาสูงและต่ำเกินไป หินหยกก้อนนี้คุณภาพดีเลยทีเดียว ถ้าราคาน้อยไปก็คงจะเอามาไว้ในครอบครองไม่ได้ ถ้าสูงเกินไปก็เกรงว่าเจ้าของสินค้าจะสงสัยแล้วเก็บสินค้าไว้ไม่ขายให้อีก 


 


 


เดิมทีเธอคิดจะเขียนลงไปในสมุดประมูลสักแปดล้าน แต่ว่าคิดไปคิดมา กัดฟันสู้เพิ่มไปอีกสักหนึ่งล้าน เป็นเก้าล้านก็ได้ ถ้ายังไม่สามารถซื้อหยกสีน้ำเงินนั้นได้อีก ก็จะปลอบใจตัวเองเสียว่า เธอกับหยกชิ้นนี้ไม่มีวาสนาต่อกัน! 


 


 


ตอนห้าโมงเย็น ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ผู้คนที่เข้าร่วมงานค่อยๆ ทยอยออกมา โดยที่ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่คอยต้อนออก 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนก็ได้ดูสินค้าประมาณสองร้อยกว่ารายการแล้ว ก่อนรายการที่สองร้อยสิบเอ็ด เธอได้ครุ่นคิดตัดสินใจว่าถ้าดูเสร็จชิ้นนี้ก็พอก่อน ที่เหลืออีกร้อยกว่ารายการ พรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่ ยังมีเวลาอีกตั้งหนึ่งวันครึ่ง นี่ก็เพียงพอแล้ว  


 


 


แม้ว่าเธอจะคิดว่าพรุ่งนี้จะกวาดสายตาดูเนื้อหยกคร่าวๆ ก่อนสักรอบ ถ้าหากมีเวลาเหลือค่อยมาลงลึกดูอย่างละเอียดอีกที ลองใช้พลังมองทะลุสำรวจดูสักหน่อยว่ามีตำหนิอะไรหรือไม่ 


 


 


พูดโดยรวมก็คือหินหยกจากงานประมูล ลักษณะของมันก็ไม่ได้โดดเด่นเตะตาอะไรมากนัก เธอยังหาสิ่งที่ทำให้เธอหัวใจเต้นแรงไม่เจอเลย นอกเสียจากหยกสีน้ำเงินที่พอจะดูได้ชิ้นนั้น หยกชนิดอื่นๆ เช่น หยกใสแบบไข่ขาว สีเขียวอ่อน รูปร่างเหมือนเม็ดถั่ว กลับไม่ได้อยู่ในสายตาของเธอเลย 


 


 


จ่านป๋ายบอกไว้ว่าในอนาคตถ้าหากซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องเดินเส้นทางเหมือนตอนนี้ แต่เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นหินหยกที่เธอต้องการ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นชนิดหยกน้ำแข็งสีเขียว  


 


 


แถมหยกน้ำแข็งนั้น เมื่อวานเธอได้เดินสำรวจถนนหยกไปแล้ว หินหยกทั้งสิบห้าก้อน นอกเหนือจากก้อนที่ไม่ได้ดูห้าก้อน ก้อนที่เหลืออีกหกก้อนก็เป็นชนิดน้ำแข็ง 


 


 


หมายเลขที่กำลังดูหินอยู่ตอนนี้คือสองร้อยสิบเอ็ด สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอก็คือหินหยกชิ้นนี้ใหญ่กำลังพอดี ถึงจะเทียบกับหยกสีแดงหนักหนึ่งตันที่เคยซื้อไปไม่ได้ และก็ไม่สามารถเทียบกับหยกแก้วสีเขียวสดหนักสองตันที่อยู่ที่บ้านของเธอ แต่ก็ถือว่าไม่ได้เล็ก 


 


 


เธอคิดคำนวณอยู่พริบตาหนึ่ง เต็มที่น่าจะหนักสักห้าหกร้อยกิโลกรัมขึ้นไป สีค่อนข้างแดงน้ำตาล ไม่มีลายเส้นหยกสีเขียว แต่ว่าซีเหมินจินเหลียนมีประสบการณ์จากครั้งที่แล้วที่บ้านชายชราหู ถึงรู้ได้ว่าผิวด้านล่างของหินหยกก้อนนี้ แอบซ่อนสีขาวหมอกอ่อนๆ ไว้อยู่ 


 


 


“หมอกขาว?” ซีเหมินจินเหลียนสงสัยเหลือเกิน หรือว่านี่จะเป็นสีใส? ช่วงสองปีนี้ หยกแก้วสีใสกำลังเป็นที่นิยมอยู่ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเด็กสาววัยรุ่น ความหมายก็คือสะอาดใสบริสุทธิ์ 


 


 


แต่ว่าซีเหมินจินเหลียนกลับชอบหยกที่มีสีสันเติมแต่งมากกว่า ในบรรดาสีทั้งหมด สีที่เธอชอบกลับถูกคนเรียกว่าสีแดงไร้รสนิยม 


 


 


เมื่อเอื้อมมือเข้าไปสัมผัสผิวสีน้ำตาลแดง เวลาก็เหลือไม่มากแล้ว ไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้จักกับหินหยกก้อนนี้มากพอ ซีเหมินจินเหลียนใช้มือขวาสัมผัสลงไปโดยตรง 


 


 


พื้นผิวสีน้ำตาลค่อยๆ จางหายลงไป สิ่งที่ปรากฏให้เห็นกลับเป็นสีม่วงอ่อน 


 


 


“สีควันม่วงอีกแล้วเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนยังรู้สึกค้างคาใจ สีควันม่วงไม่ใช่ไม่ดี แต่ว่าสีของมันก็อ่อนเกินไปสักหน่อย 


 


 


เมื่อมองไปยังเส้นแสงที่ได้ยิงส่องแทรกซึมลงไป สีม่วงอ่อนๆ ก็เริ่มเข้มจัดขึ้นเรื่อยๆ แสงแทรกซึมไปได้ประมาณหกเซนติเมตร นี่คือสีม่วงเข้มที่ใสบริสุทธิ์ 


 


 


“สีม่วงดอกไลแอค” ซีเหมินจินเหลียนหาคำที่จะมานิยามสีชนิดนี้ได้แล้ว ที่จริงสีม่วงเข้มนี้ ก็เหมือนกลับปลายฤดูใบไม้ผลิเริ่มฤดูร้อน เมืองเจียงหนานที่เต็มไปด้วยต้นสีเขียวอ่อน ผสมผสานกับดอกไลแอค 


 


 


งานประมูลครั้งนี้นับว่ามาไม่เสียเที่ยว ขายหยกน้ำแข็งสีควันม่วงออกไป ในงานประมูลหยกก็มาเจอสีม่วงเข้มดอกไลแอคอีก มีเพียงสีม่วงเข้มสดใสชนิดนี้ เมื่อทำเป็นเครื่องประดับก็จะส่องแสงเจิดจรัสออกมา 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเริ่มจินตนาการ กำไลสีม่วงดอกไลแอค ปิ่นปักผม สร้อยคอ…แน่นอนชิ้นใหญ่ขนาดนี้ เธออยากจะทำเครื่องประดับอะไรก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น 


 


 


แต่ว่าเมื่อเธอมองทะลุไปได้ครึ่งหนึ่ง ซีเหมินจินเหลียนก็ต้องตกใจ เส้นหยกสีเขียวที่คาดไว้ในแนวนอน เมื่อดูจากตรงกลางเข้าไป… 


 


 


มีสองสี? ซีเหมินจินเหลียนรวบรวมสติไม่ได้ แม้แต่นิ้วมือของเธอยังสั่นระริกไปหมด นี่เป็นสีผสมหรือ? 


 


 


เส้นสีเขียวมรกต กว้างไม่ถึงสองนิ้วมือ แต่เหมือนจะข้ามผ่านสีม่วงดอกไลแอคทั้งหมด เขียวม่วงผสมผสานกัน ยากที่จะแยกออกจากกัน นี่ต่างหากถึงเรียกว่าสีผสมของจริง 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนชื่นชมความงดงามอยู่ในใจไม่หยุด หยกสีผสมที่ซื้อมาจากบ้านชายชราหู ไม่เพียงแต่สีอ่อนไป แถมยังไม่ใช่หยกชนิดแก้วกระจก ถึงจะโปร่งแสงแต่ก็ยังซีดไปหน่อย 


 


 


แต่สิ่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นชนิดแก้วกระจก เนื้อคริสตัลใสสะอาด ความเข้มของสีสมดุลกัน แถมสียังสว่างสดใส… 


 


 


หินหยกชิ้นนี้ เธอต้องคว้ามาให้ได้ ไม่สนใจแล้วว่าจะเดิมพันชนะหรือว่าแพ้ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือเธอชื่นชอบสีนี้มาก ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ชาตินี้คงไม่มีโอกาสหาหยกสีผสมแบบนี้ได้จากที่ไหนอีกแล้วแน่ 


 


 


สายตาของเธอหันเหลือบไปมองที่ราคาขั้นต่ำที่เด่นสง่าออกมา สิบสองล้าน ราคาก็ไม่ใช่เล่นๆ เลย? 


 


 


 คิดไปคิดมา ซีเหมินจินเหลียนจึงตัดสินใจเพิ่มราคาเป็นเท่าตัว ภายนอกของหินหยกก้อนนี้ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่คนที่เข้าใจในการดูหยกในที่นี้คงจะไม่น้อยเลย ถ้าราคาน้อยไปคงจะไม่ได้หินหยกมาไว้ในครอบครองแน่ 


 


 


เพียงแต่ราคายี่สิบสี่ล้าน…ซีเหมินจินเหลียนคงต้องเข้ากระดูกตัวเองสักหน่อย ถึงจะรู้ว่าจะชนะเดิมพัน แต่เมื่อคำนึงถึงเงินสดที่อยู่ในมือมีไม่มากแล้ว เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอก็ยังเป็นแค่คนจนคนหนึ่งสินะ ในโลกธุรกิจอัญมณีแห่งนี้ เงินของเธอแทบที่จะอุดรูโหว่ของฟันยังไม่ได้เลย  


 


 


นอกจากนี้เมื่องานประมูลสิ้นสุดลง เธอก็อยากกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของตัวเอง อย่างไรก็ต้องเก็บเงินไว้ไปซ่อมถนนหนทางที่หมู่บ้านสักหน่อย 


 


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กลับไปเมืองเซี่ยงไฮ้คงจะต้องขายหยกออกไปบ้างแล้ว ถึงจะอยู่รอด 


 


 


“จินเหลียน พรุ่งนี้ค่อยมาดูกันเถอะครับ นี่ก็ถึงเวลาแล้ว เจ้าหน้าที่เริ่มไล่คนให้ออกแล้ว” จ่านป๋ายคอยอยู่ข้างๆ เธอตลอด เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น เจ้าหน้าที่ก็เริ่มเรียกคนให้ออกไปข้างนอก  


 


 


“อืม ไปกันเถอะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าแล้วสื่อแววตาไปทางจ่านป๋าย 


 


 


จ่านป๋ายรู้เจตนาว่าซีเหมินจินเหลียนต้องการจะซื้อหินหยกชิ้นนี้ เขาจึงได้แอบจำหมายเลขนี้ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อทั้งคู่กลับไปที่โรงแรมก็เขียนลงไปที่สมุดประมูล แน่นอนว่าปัญหาอยู่ที่ราคา ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะตั้งยังไง เรื่องนี้ต้องพึ่งคำแนะนำจากจ่านป๋ายซะแล้ว  


 


 


สำหรับหยกสีน้ำเงินก้อนนั้น ซีเหมินจินเหลียนเขียนไปเก้าล้าน เขาเองก็เห็นด้วยกับราคานี้ ถึงจะไม่รู้เรื่องการเดิมพันหยก แต่สองสามวันที่ตามติดเธอมานี้ เขาก็ได้เรียนรู้มาไม่น้อยเลย โดยประเมินจากพื้นผิวของหินหยกและขนาดเล็กใหญ่ เขาก็สามารถคาดเดาราคาในใจของผู้ขายได้ 


 


 


เพียงแต่ว่าหยกสีผสม เมื่อซีเหมินจินเหลียนบอกว่าจะเพิ่มราคาอีกเป็นเท่าตัว เป็นยี่สิบสี่ล้าน จ่านป๋ายก็ได้แต่ส่ายหัววิเคราะห์ “หยกก้อนนั้น ผมว่าคงมีคนเรียกมากสุดแค่ประมาณสิบแปดล้าน ถ้าคุณอยากจะได้มันมา เขียนไปยี่สิบล้านก็พอแล้วครับ” 


 


 


“แต่หินหยกก้อนนั้นก็ไม่เล็กเลยนะ” ซีเหมินจินเหลียนบ่นพึมพำ เธอไม่สนใจว่าจะเพิ่มเงินเข้าไปอีกเท่าไหร่ แต่ปัญหาก็คือถ้าหากราคาสูงไปก็กลัวเจ้าของสินค้าจะปฏิเสธได้ หรือไม่แน่อาจจะพูดว่าราคาที่ให้ไม่เป็นตามที่คาดไว้ ถึงเวลานั้นก็ลำบากแย่ 


 


 


“ผมรับรองครับ ราคาแค่ยี่สิบล้านก็สามารถซื้อมันมาได้ ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิด ผมจะเป็นขโมย ขโมยของกลับมาชดใช้ให้คุณเอง!” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา หยิกแก้มจ่านป๋ายแล้วพูดว่า “ห้ามโขมยนะ” 


 


 


จ่านป๋ายยิ้มแล้ววิ่งหลบเธอ เขาพบว่าตอนที่เขาหยอกล้อเธอ บางครั้งเธอก็เห็นว่าเขาเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น หยิกแก้มเขาเล่น…ความรู้สึกแบบนี้ไม่เลวเลย 


 


 


“ผมกลับตัวกลับใจแล้วล่ะครับ ต่อไปเป็นบอดี้การ์ดดีกว่าไม่เป็นขโมยแล้ว แน่นอนขอแค่คุณออกคำสั่งมา ไม่ว่าจะไปขโมยกางเกงในประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ผมก็จะไปทำ” จ่านป๋ายยิ้ม 


 


 


“ฉันจะเอากางเกงในประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาไปทำไมกัน?” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะจนน้ำตาไหล “ฉันไม่ได้มีงานอดิเรกพิเศษอะไรแบบนั้นหรอกนะ” 


 


 


“จินเหลียน คุณดูมาทั้งวันแล้ว ตั้งใจจะซื้อหินหยกสามชิ้นนี้ใช่ไหมครับ” จ่านป๋ายเขียนสมุดประมูลอยู่ แต่เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนดูเหมือนว่าจะไม่ได้เขียนอะไรลงไปอีกจึงเอะใจถามเธอขึ้นมา 


 


 


“คุณก็บอกว่าให้เดินเส้นทางที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณไม่ใช่เหรอ” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตาบนถามออกไป 


 


 


“อืม ผมเตรียมตัวสำหรับบริษัทหยกของพวกเราในอนาคต ทำแต่ธุรกิจค้าหยกอย่างเดียว นอกจากนี้เดินแต่เส้นทางที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ” จ่านป๋ายยิ้ม “ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ ผมก็สังเกตแล้วว่ายังไม่มีบริษัทอัญมณีแบบนี้!” 


 


 


“คุณยังคิดที่จะตีตลาดต่างประเทศอยู่เหรอคะ” 


 


 


“ทำไมล่ะ หรือว่าไม่ได้ครับ” จ่านป๋ายถาม “หยกเนื้องามขนาดนี้เชียวนะ?” เขาพูดในขณะที่กำลังเล่นปิ่นปักผมหยกสีเขียวมรกตของซีเหมินจินเหลียนที่วางกองไว้อยู่บนโต๊ะ 


 


 


“แต่ต่างประเทศเหมือนจะชอบเพชรมากกว่านะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดเตือนเขา คนที่อยากจะส่งเครื่องประดับหยกออกนอกประเทศไม่ใช่มีแค่จ่านป๋ายคนเดียว แต่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีใครทำได้สำเร็จสักคน 


 


 


“ถ้ามองเพชรจนเอียนแล้ว ก็มาลองมาเล่นหยกก็ไม่แย่นะ จากนั้นผสมผสานไปกับวัฒนธรรมหยกแบบดั้งเดิมของจีน ก็นับว่าเป็นจุดขายที่ดี” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“คุณก็พูดไปเรื่อย” ซีเหมินจินเหลียนพูด “วัฒนธรรมหยกของจีนโดยปกติจะหมายถึงถึงหยกเนื้ออ่อน หยกไม่ได้เป็นที่นิยมในสมัยโบราณ?” 


 


 


 “คนต่างชาติใครจะไปแยกออกระหว่างหยกกับหยกขาวล่ะครับ” จ่านป๋ายยิ้ม 


 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 16

 

ซีเหมินจินเหลียนยิ้มไม่หุบ อย่าพูดถึงชาวต่างชาติแยกไม่ออกเลย ของแบบนี้คนในชาติก็ยังแยกไม่ได้ หยกมีการแบ่งเป็นหยกอ่อนหยกแข็ง หยกชั้นดี ชั้นกลาง ชั้นทั่วไป เหมือนอย่างที่มีคนเคยกล่าวไว้ ผู้ที่ไม่ใช่สายอาชีพนั้นย่อมมักไม่เข้าใจในสายนั้นหรอก ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะได้หลินเสวียนหลานแนะนำ เธอก็ไม่รู้เรื่องการเดิมพันพวกนี้หรอก สัญชาตญาณคิดตลอดว่าหยกทั้งหมดก็เหมือนกันทั้งนั้น ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง 


 


 


ในขณะที่สัมผัสลูกปัดหยกสีเขียวสดใสบนข้อมือ เธอก็คิดถึงสำนวนที่พบเจอบ่อยๆ สิ่งที่ดีๆ รวมตัวกันเพื่อสรรสร้างสิ่งที่สวยงาม เพียงแต่ไม่รู้ว่าตรงกลางระหว่างความสวยงาม จะเป็นหยกสีเขียวหรือจะเป็นหยกสีขาว? 


 


 


“ถ้าหากมีวันนั้นจริงๆ คุณอยากจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!” ซีเหมินจินเหลียนเผยยิ้ม สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ไม่ใช่การพัฒนาวัฒนธรรมของชาติ แต่เป็นการศึกษาวิธีที่จะซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินอย่างไรให้ราบรื่น 


 


 


“ต้องมีวันนั้นแน่ จินเหลียน!” จ่านป๋ายพูด “ต้องมีสักวัน ผมจะทำให้วัฒนธรรมหยกจีนก้าวไกลไปยังตลาดโลก” 


 


 


“นี่นับเป็นการพัฒนาวัฒนธรรมเลยหรือเปล่าคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม ลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนพูดว่า ถ้าอยากจะพัฒนาประเทศ จะต้องเริ่มจากการพัฒนาวัฒนธรรมของเขา แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละนิด… 


 


 


จ่านป๋ายนิ่งไปชั่วครู่ พยักหน้าตอบ “ถ้าทำได้จริงก็เป็นเรื่องที่ดีครับ” 


 


 


“แต่ว่าพวกเรามีเงินไม่พอที่จะไปซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลิน” ซีเหมินจินเหลียนพูดด้วยโทนเสียงต่ำ เมื่อพูดถึงซื้อหุ้น ถึงจ่านป๋ายจะทำหนังสือร่างแผนโครงการ ฉินเฮ่าบอกว่าไม่มีปัญหา แต่เธอก็ยังคลายกังวลไม่ได้ สิ่งที่สำคัญก็คือเธอไม่มีเงินร่วมลงทุน 


 


 


แม้ว่า…แม้ว่าตอนนี้จ่านป๋ายกับเธอจะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันดี แต่ว่าเมื่อเห็นผลประโยชน์กองอยู่ตรงหน้า ใครก็ไม่อาจรับรองได้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น? เธอไม่อยากให้มีปัญหาในอนาคต เธอไม่มีอะไรเลย 


 


 


แต่ถ้าไม่ซื้อหุ้นจากบริษัทอัญมณีอื่นเลย เกิดอยากจะเปิดบริษัทอัญมณีขึ้นมา ไม่ต้องคำนึงถึงช่องทางการขาย เพียงแค่เงินเริ่มลงทุนก็กลัวว่าจะห่างไกลซะเหลือเกิน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจในธุรกิจการค้าแบบนี้ และยิ่งไม่เข้าใจการซื้อขายอัญมณี แต่เธอรู้ว่าธุรกิจก็เหมือนกับสงคราม บางครั้งก็มักจะเกิดเรื่องที่เกินความคาดหมาย ถ้าหากพลั้งมือทำพลาดไป ขาดทุนย่อยยับก็หมดสิ้นกัน เธอกลัวว่าจะเป็นการขุดหลุมให้ตัวเอง กลัวว่าเงินลงทุนของจ่านป๋ายกับฉินเฮ่า ท้ายที่สุดแล้วจะปลิวหายไม่หวนคืนมา… 


 


 


“ผมกับฉินเฮ่าสามารถรวมเงินกันทั้งหมดห้าร้อยล้าน” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“แต่นั่นก็เป็นเงินของพวกคุณ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “มาถึงตอนนี้ฉันก็พึ่งรู้ตัวเองว่ายังไงก็ยังเป็นคนจนอยู่ดี…” 


 


 


“จินเหลียน คุณอย่าได้ทำตัวเหมือนคนนอกได้ไหมครับ” ปัญหานี้ เขาจะอธิบายอย่างไรให้เธอเข้าใจดี? 


 


 


เงินของตัวเอง ส่วนมากก็เป็นเงินสกปรก ความจริงเขาอยากจะอาศัยโอกาสการเล่นหุ้นครั้งนี้ล้างเงินของเขาให้ใสสะอาด ล้างประวัติที่ไม่ดีของจ่านมู่หรง เมื่อปีนป่ายไปถึงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทอัญมณี ประวัติที่ไม่ดีของเขาก็จะถูกลบล้างเลือนหายไป แม้จะเคยคิดว่าต่อจากนี้จะไม่ทำสิ่งที่เคยทำอีกต่อไปแล้ว แต่ใครจะไปสามารถคาดเดาได้ ไม่แน่ในอนาคตเขาอาจจะกลับมาทำเรื่องแบบนั้นอีกก็ได้ โดยใช้ชื่อเสียงความซื่อสัตย์มาปกปิดฐานะตัวตน ก็เป็นความคิดที่ดี… 


 


 


โจรระดับนานาชาติ เป็นใครก็ย่อมสร้างประวัติชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือมาปิดบังตัวตนของตัวเองทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? สิ่งที่สำคัญก็คือการซื้อขายหยกเกรดคุณภาพสูง อาจจะไปขยับเงินไปถึงหลายๆ ล้านหยวนก็ได้ สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลย 


 


 


 


 


 


 


 


 


ชาตินี้เขาไม่เคยกังวลกับปัญหาเรื่องเงินมาก่อนเลย เว้นเสียแต่ไม่สามารถใช้เงินได้อย่างเปิดเผย 


 


 


“หุ้นทั้งหมดในมือของผม จะใช้เป็นชื่อของคุณทั้งหมด ผมไม่มีทางหลอกคุณครับ” จ่านป๋ายจับไหล่ของเธอและพูดปลอบประโลม “ผมรู้ว่าคุณรู้สึกไม่ปลอดภัย” 


 


 


“ฉันไม่รู้เรื่องของธุรกิจ และไม่เข้าใจในการขาย ฉันเรียนแต่ภาษาจีน…” ซีเหมินจินเหลียนพูด “คุณไม่รู้เหรอว่าประเทศจีนนับแต่อดีตมามีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่ง?” 


 


 


“หืม?” จ่านป๋ายสงสัยจึงถามขึ้น “คำพูดอะไรเหรอครับ” 


 


 


“บนโลกนี้มีอาชีพตั้งมากมาย แต่คนเรียนหนังสือกลับไร้ค่าไม่มีประโยชน์” จินเหลียนยิ้มเยาะเย้ย ถ้ารู้อย่างนี้เธอน่าจะเรียนการบริหารธุรกิจหรือการบริหารเงิน…เธอเรียนภาษาจีนเพื่ออะไรกัน ถึงจะดูอักษรจารึกเก่าแก่ของจีนบนกระดองเต่าออก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแลกเป็นเงินสักหยวนได้เสียหน่อย หลังจากเรียนจบ งานก็ยังหายาก บางบริษัทเมื่อได้ยินว่าจบหลักสูตรภาษาจีนก็ส่ายหัวอย่างไม่ต้องคิด ยิ่งถ้าเป็นองค์กรของรัฐ เธอก็ยิ่งไม่มีโอกาสเข้าไป… 


 


 


“เรียนภาษาจีนไม่เห็นจะแย่ตรงไหนเลยนี่ครับ คุณสามารถเขียนนิยาย เขียนบทละคร…” จ่านป๋ายยิ้มอย่างอ่อนโยนสุขุมพูดว่า “ส่งเสริมวัฒนธรรมจีน” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ยิ้มพูดออกไป “หลังจากกลับไปแล้วฉันจะขายของบางอย่างแล้วก็จะแลกมาเป็นเงินสักสองร้อยล้าน” เธอไม่สามารถที่จะยืนบนหลังเขาเอาเปรียบเขาได้หรอก 


 


 


“คุณห้ามขายกำไลหยกสีแดงทองของคุณเป็นอันขาดนะครับ คุณตัดใจไม่ได้ผมก็เช่นกัน” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“อันนั้นฉันไม่ขายหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนคิดใคร่ครวญ ที่บ้านของเธอยังมีหยกแก้วชิ้นใหญ่สีเขียวบริสุทธิ์ ขอแค่ทำรูปร่างเลียนแบบเหมือนกับขลุ่ยหยกที่พระราชวังสะสมเอาไว้ คงจะตีราคาขายได้เงินมหาศาล 


 


 


นอกจากนี้ยังมีหยกสีเลือด เมื่อเทียบกับหยกสีแดงทองแล้วก็ต้องตกตะลึงในความมหัศจรรย์ เพียงแค่ทำเป็นกำไลออกมา ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้ 


 


 


“เรื่องนี้กลับไปค่อยคุยกันอีกทีเถอะครับ” จ่านป๋ายพูด “เรายังมีไม้ตายเป็นหลินเจิ้งอีก ขอแค่สายตาคุณไม่พลาด ผมรับรองเลยว่าหุ้นของตระกูลหลินในช่วงนี้คงต้องตกลงอีกแน่” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น สองมือกอดเข่า คางแหลมคมของเธอวางลงไปนั้น ผมยาวพลิ้วไสวบดบังใบหน้าไปเสี้ยวหนึ่ง ไม่นานก็พูดว่า “สายตาฉันไม่มีทางพลาดแน่นอนค่ะ” 


 


 


คำพูดง่ายๆ เพียงหนึ่งประโยค แต่กลับซ่อนความมั่นใจไร้ซึ่งความกังวล 


 


 


 “จินเหลียน ขอแค่คุณเชื่อมั่นในตัวผม เหมือนที่คุณเชื่อมั่นในตัวเอง ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล!” จ่านป๋ายพูด “พวกเราจะต้องซื้อหุ้นตระกูลหลินได้อย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาอะไรแน่ๆ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้ารับคำ เชื่อมั่นในตัวเขาเหมือนที่เชื่อมั่นตัวเอง? บางครั้ง เธอก็ไม่กล้าเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะไปเชื่อเขาได้อย่างไร? เขาลึกลับซะอย่างนั้น… 


 


 


ภายในงานประมูลหยกที่เจียหยาง มีสินค้าหยกรวมแล้วประมาณสามร้อยห้าสิบห้ารายการ สำหรับวันแรกซีเหมินจินเหลียนดูไปสองร้อยกว่ารายการ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ไม่ต้องรีบร้อนที่จะดู ถ้าหินหยกก้อนไหนเตะตาเธอ เธอก็อดไม่ได้ที่จะขอมองทะลุเข้าไปสำรวจสักหน่อยว่าข้างในจะปรากฏลักษณะเป็นเช่นไร 


 


 


 หากจะอาศัยดูแค่พื้นผิวอย่างเดียว เธอก็ไม่อาจจะรู้ลึกได้ ในช่วงเช้าเธอดูไปห้าสิบกว่ารายการ ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ถอนหายใจ  


 


 


 สายตาเธอดึงดูดไปที่หินหยกครึ่งเดิมพันก้อนหนึ่ง เป็นชนิดแก้ว แต่ขนาดไม่ใหญ่ น้ำหนักไม่น่าจะถึงสามกิโล เปิดมาแค่รูโหว่ช่องหนึ่ง คนที่ตัดหินคงจะฝีมือไม่เบาเลย เพียงแค่ตัดแบบนี้ก็ทำให้เห็นลักษณะของหยกออกมาทั้งหมดได้ 


 


 


 คริสตัลหยกสีเขียวมรกตถูกห้อมล้อมไปด้วยหินผิวสีเทาขาว หยกชนิดนี้ราคามาตรฐานย่อมไม่ธรรมดา แต่ขนาดเล็กเท่านี้ไม่คิดว่าราคาจะพุ่งไปถึงสามล้าน 


 


 


“หน้าเลือดไปแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนบ่นอุบอิบในใจ ถ้าหากราคาไม่ได้สูงมากเช่นนี้ เธอก็อยากจะซื้อเก็บเอาไว้ แต่ว่าหยกครึ่งเดิมพันนี้ลักษณะดีเหลือเกิน คนอื่นก็คงเล็งไว้ไม่น้อย ราคาเลยขึ้นสูงไปอย่างนั้น เธอเลยตัดสินใจไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยน 


 


 


นอกจากนี้ยังมีหินหยกเดิมพันเต็มตัว หนักเกือบสองกิโลกรัม แถมยังเป็นชนิดแก้ว สีเขียวอ่อนๆ แต่ถึงกระนั้นสีก็ยังมีปัญหานิดหน่อย ไม่ได้มาตรฐาน ซีเหมินจินเหลียนคิดไปอยู่นานว่าจะทำอย่างไร แต่สุดท้ายก็ให้จ่านป๋ายจดจำหมายเลขเอาไว้ ลองดูสักตั้งว่าจะซื้อได้ไหม 


 


 


ในงานประมูลยามบ่ายที่พึ่งจะเริ่มงานแค่สามสิบนาที ก็ปรากฏตัวประธานหม่ากับประธานเฉินอยู่ด้วยกันตามเคย พวกเขากำลังมองดูคนตัดหินของผู้อาวุโสเจียกำลังยืนมุงล้อมรอบหินหยกที่น่าจะหนักประมาณหนึ่งตันครึ่ง และกำลังปรึกษากันอย่างลับๆ 


 


 


เมื่อพวกเขาเห็นซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ได้สนใจมองนัก แถมไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจว่านักเดิมพันหินไม่หวังจะให้ใครรู้ความในใจที่เขาคิด เพื่อที่จะหลบหลีกปัญหาแก่งแย่งชิงราคาให้สูงขึ้น 


 


 


เพราะว่าหินหยกก้อนนี้ก้อนใหญ่ใช้ได้ แถมลักษณะภายนอกก็ดูโดดเด่นสะดุดตา ซีเหมินจินเหลียนจึงยืนรออยู่ด้านหลังรอให้พวกเขาดูให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเข้าไป 


 


 


เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด คนพวกนั้นเมื่อดูเสร็จก็ปรึกษาหารือกัน แล้วก็แยกย้ายออกไปดูหินหยกชิ้นอื่นต่อ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้จังหวะเดินเข้าไปดู เมื่อเห็นหินก้อนนั้น สายตาของเธอก็สับสน เจ้าของหินหยกก้อนนี้ ทำเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย 


 


 


เธอยอมรับว่าภายนอกของหินหยกก้อนนี้ดูโดดเด่นไม่ธรรมดาเลย พื้นผิวสีส้มเหลือง สีเขียวพันล้อมหินทั้งก้อนเอาไว้ ในสองส่วนสามของพื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยลายเส้นหยก 


 


 


แต่ว่าไม่รู้ว่าใครช่างชั่วร้าย คิดไม่ถึงเลยว่าใกล้กับลายเส้นหยก จะมีรอยมีดปรากฏให้เห็น 


 


 


ตรงนั้นเป็นจุดที่สามารถมีสีเขียวได้มากที่สุด แต่การเอามีดตัดลงไปแบบนั้น ไม่ได้คิดคำนึงถึงเรื่องนี้เลยหรืออย่างไร ผิวที่ตัดออกมาเป็นเนื้อหินสีขาว ซีเหมินจินเหลียนใช้มือสัมผัสลงไปบนนั้น ยังดีว่าผิวที่ตัดมีความลื่นละเอียด ถ้าข้างในสามารถเห็นสีเขียวได้จริงๆ ก็คงจะเป็นชนิดแก้ว 


 


 


แต่ไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะเจ้าของตัดเองหรือใครเป็นคนตัด เลยทำให้หินหยกที่ลักษณะดูดีเช่นนี้ราคาลดฮวบลงมาอย่างชัดเจน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเหลือบไปมองหมายเลขและราคาแปดล้าน! 


 


 


ถ้าหากไม่มีการถูกตัดผ่าออกมา เมื่อเห็นลักษณะด้านนอกที่เผยให้เห็น ราคาก็คู่ควรกับแปดสิบล้านอยู่ แต่ว่าเมื่อตัดออกมาแล้วก็ทำได้แค่ให้คนที่อยากซื้อ ถอยหลังเดินหนีไม่สู้ราคา? 


 


 


“ดูสิ ยังดีว่าหินหยกชิ้นนี้ใหญ่หน่อย เพียงแค่เจ้าของกำลังทดสอบคน” ซีเหมินจินเหลียนพูดเงียบๆ วิเคราะห์อยู่ในใจ หินก้อนนี้น่าจะถูกตัดออกมาไม่นาน อย่างมากก็ไม่เกินห้าวัน 


 


 


เอาหินที่ผ่ามาประกบติดกัน แล้วใช้ทรายมาโปะทำให้ปลอม ก็ยังดีกว่าอันนี้ ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวยิ้ม มือขวาสัมผัสลงไป ส่งความร้อนแทรกซึมไปที่พื้นผิวไหลผ่านเข้าไป ผิวสีเหลืองส้มก็ค่อยๆ จางหาย เมื่อส่องแสงไปประมาณสามเซนติเมตร เธอก็ตกใจขึ้นมา 


 


 


เป็นอย่างที่เธอทายไม่ผิดว่าเป็นชนิดแก้ว สีเขียวมรกตสะท้อนไปยังก้นลึก แต่ว่านี่ไม่ใช่มรกตที่บริสุทธิ์ ข้างๆ ของมันยังมีสีแดงสดและสีม่วงของดอกไลแอคอยู่ตรงนั้นด้วย… 


 


 


“ฮกลกซิ่ว?” ซีเหมินจินเหลียนพึมพำอยู่ในใจ สีเขียวมรกตกว้างเพียงแค่สองนิ้ว ข้างๆ ยังมีสีแดงสดและสีม่วงดอกไลแอคที่น่าจะกว้างประมาณหนึ่งนิ้ว ที่เหลือก็เป็นแก้วใสชั้นดี ล้อมรอบสีทั้งสามเส้นเอาไว้ 


 


 


“สวยจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นจริงเลย” ซีเหมินจินเหลียนชื่นชมอยู่ในใจ 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 17

          ซีเหมินจินเหลียนสายตาเหลือบไปเห็นราคาที่ตั้งเอาไว้ ในใจก็กระอักกระอวน แปดสิบล้าน? ถ้าไม่ได้ซื้อหยกสีเลือดมาจากบ้านชายชราหู เธอก็จะซื้อมาไว้ได้ แต่ว่าตอนนี้ถ้าเอาของทั้งบ้านมาตีราคาก็คงจะเหลืออีกแค่ประมาณหนึ่งร้อยล้าน แถมคนที่ถูกใจหินหยกชิ้นนี้คงมีอยู่ไม่น้อย แย่งชิงราคาจนต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ แน่ 


 


 


พูดตามตรงแล้วลักษณะข้างในของหินหยกก้อนนี้เธอค่อนข้างพึงพอใจเป็นอย่างมาก หยกสีผสมก้อนนั้นก็สวย แต่ว่าสีเขียวกับสีม่วงสะท้อนเข้าหากัน สีก็ค่อนข้างเข้มจัดไปหน่อย ไม่ได้ใสบริสุทธิ์เหมือนกับแบบนี้ 


 


 


เธอเคยเห็นของตกแต่งที่เป็นฮกลกซิ่ว โดยทั่วไปฮกลกซิ่วก็คือสีแดงเหลืองเขียว สีเข้มไปก็ไม่ได้ว่าจะล้ำค่า สีที่เคยเห็นดูหมองหม่นไม่เหมือนกับหยกชิ้นนี้ที่ดูสว่างไสว 


 


 


สิ่งที่ทำให้เธอใจเต้นแรงก็คือหินหยกก้อนนี้มีลายเส้นกว้างประมาณห้าถึงหกเซนติเมตร ส่วนที่เหลือเป็นหยกแก้วไร้สี หรือจะนับสีใสเข้าไปอีกสีก็ควรจะเป็นสี่สี สีใสไร้สีนี้สะท้อนกลับมายังสีแดงเขียวม่วง ยิ่งทำให้สีดูสดใสกระจ่างแสงมากขึ้น 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดในใจ ถ้าหากทำเป็นกำไลก็คงสวยไม่น้อย หรือจะทำเป็นของตกแต่งดี…แต่ราคานี้ แพงเกินไป 


 


 


ถ้าจะแพ้เดิมพัน เรื่องนี้ไม่มีทางแน่ แต่ถ้าอยากจะซื้อหินหยกนี้มาครอบครอง เงินของเธอที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คงจะไม่พอ 


 


 


“จินเหลียน เป็นอะไรไปหรือครับ” จ่านป๋ายเดินเข้ามาประคองไหล่เธอแล้วกระซิบถาม 


 


 


“ไม่มีอะไร เพียงแค่หยกชิ้นนี้เนื้อดีเลยทีเดียว แต่ว่าราคาแพงเหลือเกิน” 


 


 


จ่านป๋ายดูราคาแล้วกระซิบตอบไปว่า “ไม่อย่างนั้นคุณก็ยืมเงินของผมก่อนได้นะ?” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนออกจากจากอ้อมแขนของเขา แล้วเดินไปข้างหน้า “คุณคิดว่าจะตั้งราคาหินหยกชิ้นนี้ไว้เท่าไหร่ถึงจะชนะประมูลได้” 


 


 


“เก้าสิบล้าน” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนสับสน นี่เป็นฮกลกซิ่วเลยนะ? ถึงจะไม่รู้ว่าลักษณะเนื้อข้างในเป็นอย่างไร แต่เมื่อดูจากข้างนอกที่มีสีเขียวกระจัดกระจายอยู่นั้น แถมยังมีลายเส้นหยก อีกทั้งก้อนใหญ่พอสมควร มีดที่ตัดลงไปนั้นถึงจะไม่โดนตรงสีเขียว แต่ชนิดแก้วก็ปรากฏออกมา 


 


 


“เก้าสิบล้านยังแพงไปเลยครับ” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“แต่ลักษณะของเนื้อหินหยกก้อนนี้ไม่เลวเลยนะ!” 


 


 


“ผมรู้” จ่านป๋ายยังคงพูดต่อ “ถึงผมจะไม่เข้าใจในการเดิมพันหยก แต่ว่าผมที่ติดตามคุณมาตลอด ผมก็พอรู้เรื่องอยู่บ้าง ถ้าหากหินหยกชิ้นนี้ไม่ถูกผ่าออกมา อย่าพูดถึงเก้าสิบล้านเลย หนึ่งร้อยแปดสิบล้านก็มีคนแย่งแน่นอน แต่เมื่อถูกผ่าออกมาแล้ว ก็เป็นเหมือนแค่มีดสาปแช่งตัวมันให้ราคาลดลง…” 


 


 


“ก็ได้ พวกเราประมูลเก้าสิบล้านไปก็ได้ ถ้าหากได้มาในครอบครองก็ถือเป็นโชคของฉัน ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าไม่มีวาสนาต่อกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูด 


 


 


เมื่อคิดไปแล้วเธอก็กลับดีใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะไม่ได้หยกฮกลกซิ่วมาครอบครอง แต่นั่นก็แปลว่าเธอกับมันไม่มีวาสนาต่อกัน เธอซื้อหินหยกมาเยอะพอสมควรแล้ว หยกสีเลือดก้อนนั้น แล้วไหนจะจากโรงงานแปรรูปหยกอีก ได้รับหินหยกที่แปลกประหลาดนั้นมา บวกกับหยกชนิดน้ำแข็งอีกกี่ชิ้น สีของพวกมันโดยรวมถือว่าสะอาดบริสุทธิ์ทั้งหมด 


 


 


เมื่อคิดเช่นนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็อารมณ์ดีขึ้นมา 


 


 


“หินหยกก้อนนั้นดีมากเลยเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย 


 


 


“ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับ 


 


 


ตลอดทั้งบ่าย ซีเหมินจินเหลียนก็ได้เจอกับหยกน้ำแข็งอีกสองก้อน เพียงแต่ว่าสีไม่ค่อยสวย เธอไม่ได้ชอบเท่าไหร่ แต่ก็ให้จ่านป๋ายจดบันทึกเอาไว้ เธอคิดว่าคงจะยากที่จะประมูลชนะ 


 


 


เช้าวันสุดท้ายของงาน ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ไปร่วมงานประมูล สิ่งที่ถูกใจเธอก็ดูเกือบหมดแล้ว บันทึกไว้อย่างดิบดี เหลือก็แต่รอตอนบ่ายที่จะประกาศราคาออกมาว่าจะชนะการประมูลไหม 


 


 


จ่านป๋ายได้ให้ข้อมูลแก่หลินเจิ้งไปไม่น้อย แต่ว่าเมื่อซีเหมินจินเหลียนรู้ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือกลัดกลุ้มดี ถ้าหากหลินเจิ้งประมูลตามอย่างที่จ่านป๋ายบอกแล้วละก็ เกรงว่าจะต้องย่อยยับดับสลายแน่ 


 


 


หลายวันมานี้เธอก็ไม่เห็นหลินเสวียนหลานเลย ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรที่ไหน อีกทั้งหวังเซียงฉินกับลู่เฟยอวี๋ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา… 


 


 


ตอนบ่าย เพราะว่าเป็นครึ่งวันสุดท้าย และยังเป็นการเปิดเผยราคาการประมูล จะชนะประมูลหรือไม่ก็ต้องรอลุ้นในบ่ายวันนี้ 


 


 


สถานที่ประกาศผลประมูลอยู่ที่ชั้นสองของบริษัท ไม่เพียงแต่มีเครื่องปรับอากาศเครื่องใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีเครื่องดื่มและเหล้าเบียร์หลากหลายชนิดมาบริการฟรีให้เลือกสรร บรรยากาศเลยไม่ร้อนระอุอย่างที่ผ่านมา เมื่อซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายมาถึงคนก็แออัดเต็มไปหมดแล้ว ผู้คนหน้าตาคุ้นเคยจากการเจอที่งานประมูล ตอนนี้หน้าตาสดใสตั้งหน้าตั้งตารอพร้อมกัน 


 


 


เมื่อมีคนรู้จักก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้าไปทักทายตามมารยาท ซีเหมินจินเหลียนเห็นประธานหม่า ประธานเฉินและคนอื่นๆ รวมไปถึงผู้อาวุโสเจียราชาแห่งการเดิมพัน ก็เลยเดินเข้าไปทักทาย หลังจากนั้นเธอและจ่านป๋ายหามุมเงียบๆ เพื่อนั่งรอฟังผลประมูล 


 


 


การประกาศผลเริ่มต้นจากรายการแรกเป็นต้นไป เมื่อครึ่งชั่วโมงผ่านไปซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายอดที่จะยิ้มเฝื่อนออกมาไม่ได้ หินหยกที่เธอสนใจต่างถูกคนอื่นๆ แย่งไปด้วยราคาสูงทั้งหมด 


 


 


“ฉันคงไม่ได้กลับบ้านมือเปล่าหรอก” ซีเหมินจินเหลียนให้จ่านป๋ายอย่างฝืดฝืน 


 


 


“ไม่มีทาง!” จ่านป๋ายยิ้มปลอบเธอ ในใจร้อนรนจนนั่งไม่ติดแล้ว หยกพวกนี้ถูกตั้งราคาให้สูงขึ้นเกินความจริง ส่วนหยกที่เธอสนใจก็ถูกเขาช่วยตั้งราคาประมูลทั้งหมด ถ้าจะกลับอย่างว่างเปล่าแบบนี้ ในอนาคตความสามารถในการคิดประเมินของเขาคงต้องฝึกเข้มขึ้นอีก 


 


 


ในเวลานี้ หน้าจอมาถึงหมายเลขหนึ่งร้อยแปดสิบเก้า จ่านป๋ายมองดูราคาอยู่ที่เก้าสิบล้าน เป็นราคาที่ซีเหมินจินเหลียนตั้งไว้ แต่เพื่อความปลอดภัยในการซื้อขาย ทางงานจะไม่มีการเปิดเผยชื่อจริงของผู้ซื้อหรือชื่อบริษัท โดยทั่วไปจะเปิดเผยหมายเลขกับราคาที่สูงที่สุด ชนะหรือไม่ชนะ ในใจย่อมรู้ดี นอกเหนือจากผู้ซื้อและผู้ขาย คนอื่นๆ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ 


 


 


ถึงรู้ว่ามีคนสนใจในหยกชิ้นเดียวกัน แต่ถ้าใครซื้อด้วยราคาที่สูงกว่าตัดหน้าไป ก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้ซื้อเป็นใคร 


 


 


“จินเหลียน หมายเลขหนึ่งร้อยแปดสิบเก้า พวกเราชนะประมูลครับ” จ่านป๋ายพูด 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดทบทวนดู หินหยกก้อนนั้นไม่ได้เล็ก แถมยังเป็นหยกชนิดแก้วสีน้ำเงิน เธออดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมา ในที่สุดก็ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่าแล้ว… 


 


 


ต่อมาเป็นหยกสีผสม หมายเลขสองร้อยสิบเอ็ด ซีเหมินจินเหลียนเห็นหมายเลขสองร้อยสิบกะพริบหายไป สายตาไม่วอกแวกไปที่ไหนนอกจากหน้าจอ นั่นเป็นหยกแก้วสีผสม สีเขียวมรกตกับสีม่วงดอกไลแอคที่สดใส… 


 


 


แต่ว่าราคาบนจอเผยออกมายี่สิบเอ็ดล้าน! ซีเหมินจินเหลียนสายตาว่างเปล่า สีหน้าของจ่านป๋ายเองก็ดูจะไม่สู้ดีนัก ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะซีเหมินจินเหลียนอยู่ตรงหน้า เขาก็เกือบจะสบถด่าออกมาแล้ว… 


 


 


พวกเขาประมูลไปแค่ยี่สิบล้าน! 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 18

 

   ขาดเพียงแค่หนึ่งล้าน แต่ถูกคนอื่นแย่งซื้อไป? ซีเหมินจินเหลียนนั่งไร้เรี่ยวแรงสติเลื่อนลอยอยู่บนเก้าอี้ นั่นเป็นหยกชนิดแก้วสีผสม ไม่เพียงแต่สีสันเข้มสด ความโปร่งแสงยังเต็มเปี่ยม แถมยังเป็นหยกชนิดเก่าแก่โบราณ ความสวยงามไม่ต้องพูดถึง…    


 


 


           อะไรจะบังเอิญขนาดนี้? เธอประมูลไปยี่สิบล้าน แต่คนอื่นประมูลสูงกว่าเธอแค่หนึ่งล้านแล้วได้หยกไป? ถ้าสูงกว่าสักห้าหกล้าน เธอถึงจะยอมรับหน่อย 


 


 


หรือว่าคนที่แย่งซื้อไปจะรู้ราคาประมูลของเธอ? เป็นไปไม่ได้?! นอกจากจ่านป๋ายแล้วก็ไม่มีใครรู้ราคาที่เธอตั้งประมูลไป 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกไม่สบายใจถกแขนเสื้อขึ้นมา รอคอยให้หมายเลขประมูลแต่ละรายการค่อยๆ เลื่อนผ่านไป นอกจากรายการนี้ ยังมีอีกรายการหนึ่งนั่นก็คือหยกชนิดน้ำแข็งสีเขียว และเธอก็ได้ไป 


 


 


แต่ว่าสิ่งที่เธอให้ความสนใจมากกลับไม่ใช่หยกชนิดน้ำแข็งสีเขียวนี้ แต่เป็นหยกฮกลกซิ่วก้อนนั้น 


 


 


ถ้าหากหยกฮกลกซิ่วก้อนนั้นถูกคนแย่งไปด้วยราคาที่สูงกว่ากันไม่มาก เธอจะต้องเจ็บช้ำระกำใจ ร้องไห้ออกมาอย่างไร้น้ำตาแน่ เธอจำได้ว่าหมายเลขของมันคือสามร้อยหก 


 


 


รอคอยให้หน้าจอเริ่มเปลี่ยนเป็นเลขสามร้อย หัวใจของซีเหมินจินเหลียนก็เต้นแรงออกมาราวกับเสียงกลองชุดที่กำลังตีอย่างบ้าคลั่ง จ่านป๋ายจับมือเธอด้วยความตื่นเต้น เขารับรู้ได้ว่ามือของเธอสั่นน้อยๆ… 


 


 


“จินเหลียน คุณผ่อนคลายลงหน่อยครับ” จ่านป๋ายไม่รู้จะปลอบใจเธออย่างไรดี 


 


 


“ฉัน…ฉัน…” ซีเหมินจินเหลียนตะกุกตะกักพูดออกมา ผ่อนคลายหรือ? เวลานี้ใครจะไปผ่อนคลายลงได้ รู้ทั้งรู้ว่ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่เธอก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ หัวใจเต้นตึกตักๆ ใบหน้ามีเลือดฝาดแดงระเรื่อ ราวกับว่าถูกแต่งแต้มด้วยสีสัน 


 


 


หน้าจอแสดงเลขสามร้อยหกขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนมองเห็นอย่างชัดเจน เก้าสิบเอ็ดล้าน… 


 


 


ชั่วขณะนั้น เธอก็รู้สึกเหมือนสมองแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายอ่อนยวบนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทั้งร่างไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับสักนิด  


 


 


“ทำไม…ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้?” ซีเหมินจินเหลียนหันไปถามจ่านป๋าย ทำไมหินหยกที่เธอสนใจทั้งสองชิ้น กลับมีคนให้ราคาสูงกว่าเธอแค่หนึ่งล้าน แล้วแย่งไปได้สำเร็จ? 


 


 


“จินเหลียน ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร หินหยกพวกนั้นอาจจะเป็นหินก็ได้ คนที่ซื้อไปอาจจะขาดทุน” จ่านป๋ายประคองไหล่เธอแล้วปลอบโยน 


 


 


แต่ปัญหาก็คือลักษณะของหินหยกทั้งสองชิ้นไม่ใช่หินแน่ๆ สิ่งที่ทำให้เธอคับข้องใจขึ้นก็คือ ทำไมต้องเป็นหินหยกทั้งสองชิ้นนั้นด้วย แถมราคายังสูงกว่าแค่หนึ่งล้านก็แย่งไปได้แล้ว? 


 


 


นอกเสียแต่ว่า มีคนรู้ราคาประมูลของเธอ? 


 


 


แต่จะเป็นใคร เพราะนอกจากจ่านป๋ายก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้? 


 


 


“จินเหลียน คุณคงไม่ได้สงสัยผมหรอกนะครับ” จ่านป๋ายสีหน้าไม่สู้ดีนัก เรื่องแบบนี้มันต้องมีเงื่อนงำแน่ๆ ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามให้ราคาที่สูงกว่าซีเหมินจินเหลียนสักหน่อย ยังพอจะเข้าใจได้ 


 


 


การเดิมพันหินมีแต่ความเสี่ยง หรือจะมีคนที่สายตาเฉียบคมเห็นหินหยกสองก้อนนั้นคุ้มค่าที่จะเดิมพัน เลยจ่ายไปด้วยราคาสูงเพื่อแย่งยิง แต่เห็นชัดๆ ว่าราคาของฝ่ายตรงข้ามสูงกว่าเธอแค่เล็กน้อย เหมือนกับเอาอะไรมาฟาดหน้าเธออย่างจัง เขารู้อย่างดีว่าซีเหมินจินเหลียนกำลังเสียใจ 


 


 


แต่หมายเลขที่ซีเหมินจินเหลียนจะประมูลก็มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ แถมราคาประมูลก็เป็นเขาที่ช่วยเธอตั้งขึ้นมา 


 


 


ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็น่าจะสงสัยเธอเหมือนกัน ถ้าไม่รู้ความเป็นมาของเรื่องนี้ เธอเกรงว่าจะต้องค้างคาใจไปตลอดชีวิตแน่ ความพยายามที่ผ่านมาในช่วงนี้สูญแรงไปเปล่าๆ ใครกันที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ได้? 


 


 


“ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ซีเหมินจินเหลียนพึมพำออกมา “เสี่ยวป๋าย ฉันเชื่อคุณนะ แต่ว่าเรื่องในวันนี้มันน่าสงสัยมาก ถ้าฝ่ายตรงข้ามตั้งราคาสูงกว่านี้อีกสักหน่อย ฉันก็อาจจะยอมรับได้…” 


 


 


“ผมรู้ครับ” จ่านป๋ายลูบไหล่เธออย่างอ่อนโยนแล้วพูด “ผมจะลองสืบดูว่าใครกันแน่ที่เป็นคนชนะประมูลหยกทั้งสองชิ้นไป” 


 


 


“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอคอยขัดขวางจ่านป๋ายไม่ให้ใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องในการสืบค้นประวัติของคนอื่น แต่ว่าครั้งนี้เธอกลับอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้กันแน่ 


 


 


งานประมูลที่เจียหยางได้สิ้นสุดลงแล้ว สำหรับใครที่ชนะการประมูลหยกที่ตัวเองหมายปอง ย่อมจะเดินฉีกยิ้มออกมาแทบไม่หุบ แน่นอนย่อมมีคนที่หน้าหมองหม่นน้ำตาตก กลับบ้านมือเปล่าด้วยสติเลื่อนลอย 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนชนะการประมูลหยกชนิดแก้วสีน้ำเงินไปหนึ่งชิ้น ชนิดน้ำแข็งสีเขียวหนึ่งชิ้น ส่วนหยกชนิดน้ำแข็งชิ้นอื่นๆ โดนคนอื่นแย่งไปด้วยราคาที่สูงกว่า แต่หยกสองชิ้นที่เธอต้องตาต้องใจ ชิ้นหนึ่งเป็นสีผสม อีกชิ้นเป็นฮกลกซิ่วนั้นกลับเกิดเหตุการณ์น่าสงสัยถูกคนแย่งชิงไปด้วยราคาที่สูงกว่าเพียงเล็กน้อย 


 


 


เมื่อจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว จ่านป๋ายก็จ้างรถมาหนึ่งคัน หินหยกทั้งสองชิ้น หยกสีน้ำเงินมีน้ำหนักประมาณหนึ่งร้อยกิโลกรัม ส่วนหยกชนิดน้ำแข็งสีเขียวหนักประมาณสามสิบกิโลกรัม น้ำหนักของทั้งคู่ไม่ถือว่าน้อย แม้เป็นหยกชนิดน้ำแข็งสีหญ้าเขียวนั้นก็ยังโดนคนแย่งไป 


 


 


 ระหว่างทางจากงานประมูลกลับไปโรงแรม ซีเหมินจินเหลียนได้แต่คิดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา จะว่าไปก็โทษใครไม่ได้ ต้องโทษที่ประสบการณ์ตัวเองมีไม่มากพอ ไม่เข้มงวดเวลาทำอะไร 


 


 


เมื่อเทียบกับประธานบริษัทอัญมณียกใหญ่อื่นๆ เธอก็เป็นแค่เด็กน้อยในรังเท่านั้น ครั้งหน้าจะต้องไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อีก 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ โชคดีที่ครั้งนี้เธอยังซื้อหยกสีน้ำเงินไว้ในครอบครองได้ ไม่อย่างนั้นต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่ๆ 


 


 


เมื่อกลับถึงโรงแรม จ่านป๋ายเตรียมตัวจัดการนำหินหยกทั้งสองชิ้นไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยของโรงแรม ซีเหมินจินเหลียนนั่งรออยู่ที่ห้องโถง เตรียมตัวขึ้นไปข้างบนด้วยกัน พรุ่งนี้ค่อยทำเรื่องขนส่งของ งานประมูลที่เจียหยางสิ้นสุดลงแล้ว เธอใช้เงินไปไม่น้อยเลย ควรจะเตรียมตัวกลับได้แล้ว  


 


 


เธอคิดจะกลับที่บ้านเกิดเธอสักครั้ง ก่อนจะตรงกลับไปที่เซี่ยงไฮ้ ตอนนี้เธออยากกลับไปใจจะขาด อยากจะตัดหินที่ซื้อช่วงนี้ให้หมด  


 


 


ถึงครั้งนี้จะพลาดโอกาสของหยกสีผสมและหยกฮกลกซิ่วไป แต่เธอก็ยังมีของดีๆ อยู่ในมือ คิดเช่นนี้แล้วอารมณ์ของเธอก็ดีขึ้นมา 


 


 


จู่ๆ ในเวลานี้ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู คิดไม่ถึงว่าปลายสายเป็นผู้อาวุโสเจี่ยราชาแห่งนักเดิมพัน 


 


 


เธอกดรับไปตามสัญชาตญาณ พลันมีเสียงของปลายสายดังเข้ามา “คุณซีเหมิน?” 


 


 


“สวัสดีค่ะผู้อาวุโสเจี่ย!” ซีเหมินจินเหลียนตอบรับ 


 


 


“งานประมูลวันนี้ชนะไปเยอะไหมครับ” ผู้อาวุโสเจี่ยถามด้วยเสียงเจือหัวเราะ 


 


 


“อย่าพูดถึงมันเลยค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ราคาประมูลหยกในงานครั้งนี้ เกินความจริงไปเยอะเลย สิ่งที่ฉันสนใจก็ถูกคนอื่นแย่งไปหมด” 


 


 


“ฮะๆ งานประมูลหยกก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น” ผู้อาวุโสเจี่ยปลอบ “คุณประมูลมาได้กี่ชิ้นหรือ” 


 


 


“สองชิ้นค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเจื่อน ก่อนพูดออกไป “แล้วทางคุณละคะ” ตอนนั้นในงานประมูลเธอแทบที่จะไม่เห็นหน้าของผู้อาวุโสเจี่ยเลย แต่เธอรู้ว่าราชาแห่งนักเดิมพันย่อมป้องกันคนที่จะสืบเสาะข้อมูลตลอดเวลา เลยจำเป็นต้องปิดบังตัวตน เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ 


 


 


“เฮ้อ..?” พูดถึงเรื่องนี้ ผู้อาวุโสเจี่ยถอนหายใจออกมายกใหญ่แล้วพูดว่า “คุณซีเหมิน ทางผมมีของดีอยู่สองชิ้น คุณสนใจจะเข้ามาดูหรือเปล่าครับ” 


 


 


“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนมึนงง ผู้อาวุโสเจี่ยตั้งใจโทรหาเธอ ไม่ได้เป็นเพราะว่าโทรมาพูดปลอบใจที่แพ้การประมูล แต่ประเด็นอยู่ที่ประโยคสุดท้าย 


 


 


แต่ว่า เขาเป็นราชาแห่งการเดิมพันหินไม่ใช่หรอกเหรอ? ถ้ามีสินค้าดี แล้วทำไมถึงไม่ตัดขายเองล่ะ 


 


 


เนื่องจากซีเหมินจินเหลียนจิตใจบอบช้ำกับหยกทั้งสองชิ้นที่ถูกแย่งไป ภายในใจของเธอก็อยากจะหาสินค้าใหม่เข้ามาเติมเต็ม “แน่นอนค่ะ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเจี่ยอยู่ที่ไหนคะ” 


 


 


“โรงงานแปรรูปหยก ที่คุณมาครั้งก่อนครับ” ผู้อาวุโสเจี่ยพูด “ตอนนี้คุณสะดวกที่จะมาไหม?” 


 


 


“อืม เดี๋ยวฉันเรียกรถไปค่ะ คุณรอสักครู่นะคะ” 


 


 


หลังจากที่วางสายเธอก็สติหลุดไปชั่วขณะ เมื่อเห็นจ่านป๋ายจัดการเรื่องเสร็จแล้วเดินเข้ามาหาเธอ ซีเหมินจินเหลียนเรียกเขาให้มากับเธอ 


 


 


“จินเหลียน พวกเรากำลังจะไปไหนกันครับ” 


 


 


“ไปโรงงานแปรรูปหยก” ซีเหมินจินเหลียนพูด ตอนนี้พวกเข้าอยู่หน้าประตูโรงแรมเรียกรถแท็กซี่ไปที่โรงงานแปรรูป 


 


 


เมื่อเข้าไปนั่งในรถเป็นที่เรียบร้อย จ่านป๋ายจึงถามขึ้นว่า “ไปโรงงานแปรรูปหยกทำไมกันครับ” 


 


 


“ราชาแห่งการเดิมพันหยกคนนั้นโทรมาหาฉัน บอกว่ามีสินค้าดี” ซีเหมินจินเหลียนเล่าเรื่องที่เธอคุยกับผู้อาวุโสเจี่ยให้จ่านป๋ายฟัง 


 


 


“คุณก็ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ไม่เหนื่อยเหรอครับ” 


 


 


“เหนื่อยสิ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าหงึกหงัก ร่างกายอ่อนล้ายังเป็นเรื่องเล็ก แต่ตอนนี้เธอไม่สบายใจมากกว่า เพราะฉะนั้นเธอยิ่งคาดหวังว่าหินหยกของฝั่งผู้อาวุโสเจี่ยจะสามารถทำให้เธอคาดไม่ถึง ทำให้เธอซ่อมแซมส่วนที่ขาดหายไป 


 


 


แต่ว่าดูจากท่าทางของผู้อาวุโสเจี่ยแล้ว เขาคงจะไม่เรียกแค่เธอมาดูสินค้าคนเดียวหรอก? ถ้าเป็นสินค้าที่ดีจริงๆ เขาคงอยากจะได้ประโยชน์สูงสุดไม่ใช่เหรอ 


 


 


จิตใจคิดวกวนไปมา เพียงไม่นานรถก็ได้ขับมาจอดที่หน้าโรงงานแปรรูปหยก จ่านป๋ายจ่ายเงินค่ารถ จากนั้นทั้งคู่ลงรถมา หน้าประตูของโรงงานไม่มีใครยืนอยู่เลย พวกเขาทั้งสองจึงเดินเข้าไปอย่างสงสัย 


 


 


ข้างใน ผู้อาวุโสเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มต้อนรับพวกเขา 


 


 


“คุณซีเหมิน เชิญเข้ามาข้างในครับ” ผู้อาวุโสเจี่ยยิ้มทักทาย 


 


 


“สวัสดีค่ะผู้อาวุโสเจี่ย” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มทักทายตอบกลับไป พลางกวาดสายตาไปทั่วโรงงาน โรงงานแปรรูปหยกเหมือนกับครั้งที่แล้วไม่มีผิด ที่มุมของห้องกองไปด้วยหินหยก แต่ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าสินค้าที่ดีไม่ได้อยู่ภายในกองนั้นแน่ แต่ต้องระมัดระวังเก็บไว้ในโกดังเป็นอย่างดี 


 


 


“คุณซีเหมินจินเหลียนมาเร็วเหมือนกันนี่” 


 


 


“ฉันได้ยินผู้อาวุโสเจี่ยบอกว่ามีสินค้าดี ก็เลยรีบมาเลยค่ะ” 


 


 


“ถ้าอย่างนี้ คนแก่อย่างผมก็ไม่พูดจาให้มากความแล้ว ตามผมมาเลยครับ!” ผู้อาวุโสเจี่ยพูดไปพลางพาทั้งสองคนไปที่โกดังด้านหลัง ตรงกลางของโกดังวางหยกไว้อยู่สองชิ้น ในนั้นชิ้นหนึ่งมีน้ำหนักสักประมาณห้าหกร้อยกิโลกรัม ส่วนอีกชิ้นหนึ่งใหญ่กว่า น่าจะหนักประมาณหนึ่งตัน วางไว้อยู่ตรงกลางห้องให้เห็นชัดขึ้น 


 


 


“สองชิ้นนี้เหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนมึนงงเมื่อเห็นหินหยกทั้งสองชิ้นนี้ ชั่วพริบตาเธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา… 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 19

 

ผู้อาวุโสเจี่ยควักบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนพร้อมจุดไฟแล้วค่อยๆ พ่นควันออกมา พร้อมพยักหน้าพูดว่า “หินหยกทั้งสองชิ้นนี้ คุณซีเหมินคิดว่าเป็นยังไงบ้าง”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่จำเป็นต้องดู ก็รู้ว่าหินหยกสองชิ้นนี้มาจากงานประมูล นี่เป็นหยกที่เธอสนใจและถูกคนอื่นแย่งตัดหน้าไปด้วยราคาหนึ่งล้านหยวน ทำให้เธอรู้สึกโศกเศร้ามาจนถึงตอนนี้ ชิ้นหนึ่งเป็นหยกสีผสม ส่วนอีกชิ้นเป็นหยกฮกลกซิ่ว


 


 


“เป็นฝีมือผู้อาวุโสเจี่ยเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


 


“นี่ไม่ใช่สินค้าของผม” ผู้อาวุโสเจี่ยส่ายหน้า


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกดเก็บความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ แต่บนใบหน้าปรากฏเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น “ผู้อาวุโสเจี่ยแกล้งฉันสนุกมากไหมคะ”


 


 


“ไม่ใช่ๆๆ…” ผู้อาวุโสเจี่ยส่ายหน้า “หินหยกสองชิ้นนี้ต่างมีเจ้าของ อีกไม่นานเขาคงจะใกล้มาถึงแล้ว ส่วนใครจะเป็นคนลงมือตัด ผมไม่สามารถตัดสินใจได้ ผมแค่ทำหน้าที่นัดคุณตามที่เขาสั่งเอาไว้”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนิ่งสงบลง จ่ายป๋ายก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ในใจได้แต่คิดว่าเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงดูลึกลับเช่นนี้? คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้ราคาที่ประมูล แถมที่สำคัญยังรู้ว่าเป็นซีเหมินจินเหลียนที่ประมูล


 


 


เรื่องนี้ดูมีพิรุธอย่างไม่ต้องสงสัย ตามกฎกติกาในงานประมูล นอกเหนือจากผู้จัดงานแล้ว คนอื่นก็ไม่สามารถรู้ชื่อของผู้ประมูลได้ ยิ่งโดยเฉพาะราคาประมูล


 


 


แต่คนคนนี้ ไม่เพียงแต่รู้หมายเลขที่เธอประมูล แต่กลับรู้ราคาที่เธอตั้งประมูลไว้ด้วย จากนั้นเขาจึงตั้งราคาสูงกว่าเธอเล็กน้อยเพื่อซื้อเอาไว้ แถมยังให้ผู้อาวุโสเจี่ยนัดเธอมาที่นี่อีก


 


 


ในเมื่อเป็นแบบนี้ คนผู้นั้นคงจะตามติดซีเหมินจินเหลียนมาโดยตลอด แล้วใช้โอกาสนี้ในการแย่งประมูล?


 


 


เมื่อจ่านป๋ายคิดเช่นนี้ หัวใจก็แสนจะปวดร้าว ดูจากสีหน้าของซีเหมินจินเหลียนที่แทบจะบ้าคลั่งแล้ว เธอก็สนใจหยกสองชิ้นนี้เป็นอย่างมาก ถ้าหากตอนนี้เจ้าของสินค้าคิดจะขึ้นราคา เธอก็คงทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้การค้าจะคือการลงทุน แต่วิธีการเช่นนี้ก็โหดร้ายเกินไป แม้กระทั่งพูดได้ว่าเป็นวิธีการที่สกปรก


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเดินไปนั่งบนหินหยกชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อหินหยกทั้งสองชิ้นอยู่ตรงหน้าเธอ เธอก็จะไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ


 


 


แน่นอนว่าถ้าเจ้าของสินค้าอยากจะโก่งราคาให้สูงขึ้นเกินกว่าที่เธอจะยอมรับได้ เธอก็คงจะยอมแพ้แล้วปล่อยมันไป


 


 


เวลาผ่านไปไม่นาน ข้างนอกก็มีชายชราผู้หนึ่งกำลังเดินเยื่องย่างเข้ามา ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายมองชายชราผู้นั่นเพียงแวบเดียวก็รู้เลยว่าคือชายชราหูที่พักอยู่ที่หมู่บ้านเก่าแก่คร่ำครึโบราณ


 


 


“อาจารย์!” ผู้อาวุโสเจี่ยเดินเข้าไปต้อนรับ


 


 


“ฉันบอกตั้งหลายครั้งว่าฉันไม่ใช่อาจารย์ของเธอ!” ชายชราหูไพล่มือทั้งสองไว้อยู่ที่ด้านหลัง ยังคงเป็นคนเย็นชา ไม่น่าเข้าใกล้เช่นเดิม


 


 


“ผู้อาวุโสหู!” ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นมาและเดินไปที่ข้างหน้าหินหยกสองชิ้นนั่น บนใบหน้าแสดงออกถึงอาการทุกอย่างโดยไม่ต้องเอ่ยปากพูด


 


 


“คุณซีเหมินจินเหลียนคงอยากจะถามใช่ไหมว่าหินหยกทั้งสองชิ้นนี้เป็นของฉันหรือเปล่า” ชายชราหูพูดขึ้น ซีเหมินจินเหลียนจึงพยักหน้า ชายชราหูหัวเราะยิ้มแหะๆ แล้วตอบไปว่า “ใช่แล้ว หินทั้งสองชิ้นนี้เป็นของผม มันควรจะเป็นอย่างนั้น”


 


 


“ว่าไงนะ?” จ่านป๋ายกำมัดไว้แน่น พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา เมื่อมองชายชราท่าทางดูไม่เดือดร้อนอะไรจึงรู้สึกอึดอัดใจ


 


 


“พลังความโกรธแค้นของคนหนุ่มสาวนี่ช่างมหาศาลนัก!” ชายชราหูถูจมูกตัวเอง จากนั้นใช้สายตาเย็นชามองไปที่จ่านป๋าย


 


 


จ่านป๋ายรู้สึกได้ว่าสายตาของชายชราหูผู้นี้เหมือนกับไฟฟ้าที่กำลังช็อตไปที่หัวใจของเขาอย่างจัง เขาเลยไม่ยอมแพ้ที่จะส่งสายตาพิฆาตแค้นกลับไปอย่างไม่ละสายตา


 


 


“ไม่เลวนี่ เป็นคนรุ่นใหม่ที่ใช้ได้ทีเดียว” ชายชราหูพูดชื่นชมเขา แต่สายตากลับหันไปจ้องซีเหมินจินเหลียน “คุณซีเหมิน เจ้าของที่แท้จริงที่ขายหินหยกทั้งสองชิ้นนี้ก็คือผม หรือจะพูดก็คือผมเป็นเจ้าของสินค้าและก็เป็นคนที่ขัดขวางรายการประมูลของคุณ”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยายามสงบสติอารมณ์แล้วหายใจเข้าลึกๆ “ให้เหตุผลฉันมาหน่อยได้ไหมคะ ราคาที่ฉันตั้งมาไม่ทำให้คุณพึงพอใจเลยอย่างนั้นเหรอ”


 


 


“ผมแก่ปูนนี้แล้ว เรื่องเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญหรอก” ชายชราหูพูด


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดไม่ออกว่าเขาทำไปเพราะอะไร ในมือของชายชราหูผู้นี้มีหินหยกที่ใช้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว…


 


 


“ชิ้นนี้เป็นสีผสม ผมไม่สามารถคาดเดาได้ทั้งหมดแต่ก็ไม่น่าจะผิดพลาด” ชายชราหูมองไปที่หินชิ้นที่เล็กหน่อยแล้วสายตาก็เลื่อนไปพูดถึงหินชิ้นใหญ่ “ส่วนชิ้นนี้ ถ้าทายไม่ผิดก็น่าจะเป็นฮกลกซิ่ว…”


 


 


 “อาจารย์ จริงเหรอครับ” ผู้อาวุโสเจี่ยสีหน้าตื่นอกตื่นใจ


 


 


“การวิเคราะห์ของฉันมักแม่นยำไม่น้อยกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็น” ชายชราหูพูดอย่างมั่นใจ


 


 


ในใจของซีเหมินจินเหลียนสงบลงไม่ได้จริงๆ บนโลกใบนี้มีคนที่มองจากภายนอกอย่างเดียวแล้วรู้ลึกไปถึงลักษณะเนื้อหินหยกข้างในเชียวเหรอ? ไม่เช่นนั้นความมั่นใจของชายชราหูจะมาจากไหนกัน


 


 


เขาขายหยกสีเลือดชิ้นนั้น แถมยังมีอีกสองชิ้น ในมือของผู้อาวุโสหูมีหินหยกลักษณะดีอีกกี่ชิ้นกันแน่? แต่ว่าคำถามของซีเหมินจินเหลียนก็ยังคงค้างคาใจ ในเมื่อเขารู้แก่ใจว่าหินหยกพวกนี้เป็นแบบไหน แล้วทำไมถึงไม่ผ่าหยกเองซะเลย เมื่อผ่าให้เห็นตัวหยกทั้งหมดราคาย่อมสูงกว่าขายเป็นหินหยกทั้งก้อน


 


 


“ในเมื่อรู้แบบนี้แล้วทำไมคุณถึงไม่ผ่าหยกเสียเองล่ะ ถ้าแบบนั้นคงทำเงินได้มากอยู่” จ่านป๋ายพูดจากระแทกแดกดันอย่างช้าๆ


 


 


“เพราะว่าผมอยากจะใช้หินหยกสองชิ้นนี้ แลกเปลี่ยนกับคำพูดจริงใจของคุณซีเหมินสักประโยค”


 


 


“คุณ…หมายความว่ายังไง” ซีเหมินจินเหลียนสงสัยเหลือเกิน


 


 


“ที่ผมจะพูดก็คือ หินหยกสองชิ้นนี้ผมจะไม่เอาเงินจากคุณแม้แต่แดงเดียว ผมจะให้มันกับคุณซีเหมิน แต่ผมอยากจะให้คุณซีเหมินบอกกับผมเรื่องหนึ่ง” ชายชราหูตอบคำถามที่ค้างคาใจเธอ


 


 


“เรื่องอะไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบกลับไป บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างฟรีๆ หรอก นี่คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร ถ้าชายชราไม่ได้บ้าไปแล้วก็คงจะต้องมีเรื่องลำบากใจอะไรบางอย่าง…


 


 


“เสี่ยวเจี่ยออกไปก่อน” ชายชราหูพูด


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยงุนงงแต่ก็หันหลังกลับออกไปด้านนอกแต่โดยดี ชายชราหูมองไปทางจ่านป๋ายแล้วหันไปมองซีเหมินจินเหลียน ซีเหมินจินเหลียนจึงมองไปยังจ่านป๋ายสื่อให้เข้าออกไป


 


 


จ่านป๋ายแม้ว่าจะไม่วางใจที่จะปล่อยเธอไว้กับชายชราหู แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินออกไปข้างนอกเช่นกันแล้วพูดว่า “จินเหลียน ถ้าเขาทำอะไรคุณ คุณเรียกผมได้เลยนะ…”


 


 


“หึๆ…” ชายชราหูแค่นหัวเราะออกมา


 


 


ซีเหมินจินเหลียนส่งยิ้มบางๆ ไปให้เขา เมื่อเห็นจ่านป๋ายออกไปข้างนอกแล้ว ชายชราหูจึงเดินไปปิดประตู สายตาหันไปมองหลังมือขวาของเธอที่มีรูปดอกบัวสีทองแล้วพูดว่า “คุณเคยเลือกซื้อหยกในโกดังมาแล้วหนึ่งชิ้น”


 


 


“ใช่ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เขาคงไม่ได้จะถามแค่นี้หรอกนะ?


 


 


“ทำไมกัน?” ชายชราหูถาม


 


 


“ท่านผู้อาวุโสหูถามอะไรแปลกๆ คะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มผ่อนคลายพูดออกไป “การเดิมพันหยกก็ไม่ใช่แค่เดิมพันหรอกเหรอ ฉันแค่คิดว่าลักษณะของหินหยกชิ้นนั้นไม่ธรรมดาก็เลยตัดสินใจซื้อไปก็เท่านั้น”


 


 


“ถึงจะเป็นคนที่เข้าใจในการเดิมพัน แต่ก็ไม่เลือกซื้อหินหยกชิ้นนั้นไปจากโกดังหรอก!”


 


 


“ฉันชอบหินหยกชิ้นนั้นค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ชายชราผู้นี้ดูสงสัยอะไรกับเรื่องแค่นี้


 


 


“คุณซีเหมิน คุณอยากรู้เรื่องเล่าเกี่ยวกับหินหยกก้อนนั้นไหม” ชายชราหูเปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้นมา


 


 


“คะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม “มีเรื่องเล่าด้วยเหรอคะ”


 


 


“ใช่ครับ” ชายชราหูพยักหน้า “คุณซีเหมินก็เล่นเดิมพันหยก ไม่รู้ว่าเคยได้ยินเรื่องเล่าการเบิกเนตรนักเดิมพันหยกมาบ้างไหม”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกำมือแน่น เล็บมือของเธอจิกเข้าไปในเนื้อ เพื่อที่จะลดจิตใจที่ฟุ้งซ่านให้สงบลง ชายชราผู้นี้จะพูดอะไรกันแน่?


 


 


“นั่นไม่ใช่เรื่องไร้สาระที่เล่าต่อกันมาเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างสำรวมออกไป


 


 


“ใช่ครับ คนทั่วไปเรียกทักษะนี้ว่าตำราไร้สาระ” ชายชราหูหยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวนแล้วจุดไฟขึ้นมาอย่างมีสไตล์เป็นของตัวเอง สูดเข้าไปเต็มปอด เมื่อหัวบุหรี่ติดไฟสีแดงก็สูดควันพ่นออกมา…


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไร รอให้ชายชราหูเล่าต่อ เมื่อชายชราหูพ่นควันออกมาแล้วพูดว่า “การเบิกเนตรไม่ได้มีแต่ใช้ในการเดิมพันหยก…แต่ถูกค้นพบว่าในนั้นมีผลประโยชน์มหาศาล ใครก็ไม่อาจที่จะยั้งสติได้”    


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยังคงไม่พูดต่อไป รอให้เขาเล่าเรื่องให้จบ จนถึงตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าพลังพิเศษของเธอยังสามารถทำอะไรอย่างอื่นได้หรือเปล่า หรือเธอควรไปโรงพยาบาลบอกกับคุณหมอว่าควรจะยกเลิกรังสีเอกซ์ไป แล้วใช้เธอแทนรังสีเอกซ์ดี?


 


 


หรือว่าเธอควรจะใช้พลังพิเศษให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นแอบดูผู้ชายหล่อๆ ผ่านเสื้อผ้าของเขา? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เธอก็อดที่จะคิดถึงจ่านป๋ายไม่ได้ ตอนที่เธอสัมผัสไปที่ร่างของเขา ก็ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังใช้พลังพิเศษนี้ไปสอดส่องดูเขาอยู่


 


 


 


 


“หินหยกที่คุณซื้อไปครั้งก่อน เป็นของอาจารย์ของผมที่เก็บเอาไว้ ตอนนั้นอาจารย์ได้เบิกเนตรไว้ เพื่ออยากรู้ว่าหินข้างในจะมีสีเขียวออกมาหรือเปล่า แล้วคุณรู้ไหมว่าผลเป็นยังไง?” ชายชราหูถาม


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายหน้า ถ้าหากอาจารย์ของชายชราหูสามารถเห็นลักษณะข้างในของเนื้อหยกได้จริง เกรงว่าคงจะเหมือนเธอ ตกใจจนขวัญเสีย …


 


 


“ตอนที่ดูสินค้าตอนนั้น เขาอยู่ที่ร้านค้าแปรรูปหยกที่พม่า” ชายชราหูพูดพลางถอนหายใจแล้วจัดการสูบบุหนี่ที่เหลืออยู่ ก่อนจะปล่อยก้นบุหรี่ให้หล่นลงไปบนพื้นและบดขยี้มัน “ตอนนั้นสีหน้าของอาจารย์ ไม่ค่อยสู้ดีเหมือนตอนที่คุณเห็นหยกก้อนนั้นในครั้งแรก…”


 


 


“อะไรนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นมองชายชราหู


 


 


“คุณอย่าพึ่งตกใจไป ฟังผมพูดก่อนเถอะ” ชายชราหูพูด “ตอนนั้นอาจารย์ก็แสดงอาการตกใจจนใบหน้าซีดขาว แต่ก็ยังยืนกรานที่จะซื้อหยกชิ้นนั้นเอาไว้ เมื่อผ่านการต่อรองราคาเขาก็ยังยืนหยัดที่จะซื้อมาไว้ในครอบครอง”


 


 


“หลังจากนั้นล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความสงสัย ในเมื่อตกเป็นของอาจารย์ของเขาแล้ว หลังจากซื้อหินหยกเสร็จทำไมถึงไม่ผ่าออกมา?


 


 


“แน่นอนว่าคืนนั้น อาจารย์ก็เสียอย่างไม่ทราบสาเหตุ” ชายชราหูถอนหายใจ


 


 


“หา?” ซีเหมินจินเหลียนอุทานออกมาอย่างตกใจ


 


 


“หลังจากที่เขาเสียไป บนใบหน้าของเขามีอาการตื่นกลัว เหมือนกับว่าโดนอะไรมากระตุ้นให้ตกใจจนตายไป” ชายชราหูยังคงพูดต่อ “คุณรู้ไหมว่าตอนที่ผมยังเด็กก็เป็นช่วงที่วุ่นวาย ผมตามติดอาจารย์ไปทั่วทุกทิศ สงครามการต่อสู้ก็เห็นมาหมด อาจารย์ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นความจริงของโลกนี้มาก่อน แต่ว่าเขาก็ตายจากไปโดยไม่มีร่องรอยของบาดแผลหรือการถูกทำร้าย ตายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ…”

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 20

 

ซีเหมินจินเหลียนมองเขาด้วยสายตามึนงง เสียแล้ว? อาจารย์ของเขาตายไปเช่นนี้น่ะหรือ? จากสิ่งที่เขาพูด อาจารย์ท่านนี้น่าจะได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจเลยทำให้ตกใจแล้วจากไป แต่ว่าเธอก็รู้ว่าอาจารย์ของผู้เฒ่าหูเป็นผู้ผ่านโลกมามากจริงๆ ทำไมอยู่ดีๆ เขาจึงจากไปด้วยอาการตกใจเช่นนี้ล่ะ


 


 


 “ผมยังมีศิษย์น้องชาย ศิษย์น้องสาว เพราะเหตุนี้พวกเขาก็คิดว่าผมเป็นสาเหตุทำให้อาจารย์จากไป” ผู้เฒ่าหูถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง


 


 


 “ของที่อาจารย์เหลือเอาไว้ ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกเสียจากหินหยกก้อนนั้น” ผู้เฒ่าหูยังคงพูดต่อ


 


 


“ท่านผู้เฒ่าหู สิ่งที่ฉันอยากรู้ก็คือเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับฉันเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาแทรกตัดบทสนทนา


 


 


“ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรหรอก!” แววตาของผู้อาวุโสเจี่ยยังคงจดจ้องไปที่หลังมือเธอที่มีรูปดอกบัวสีทองปรากฏอยู่ น้ำเสียงเย็นชาเรียบเฉยนั้นราวกับไม่ได้แฝงไว้ด้วยความรู้สึกใด แต่กลับมีความเจ็บปวดซ่อนไว้อยู่ในนั้น “เพราะว่าผมเห็นใบหน้าของคุณ เหมือนตอนที่เห็นสีหน้าของอาจารย์ครานั้น คุณซีเหมิน ผมอยากจะรู้ว่าภายในหินก้อนนั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่”


 


 


“หินหยกก้อนนั้นอยู่ในมือคุณมาตั้งนาน ถ้าคุณอยากจะรู้จริงๆ ทำไมถึงไม่ผ่ามันออกมาพิสูจน์ดูล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามกลับไป


 


 


“ตอนนั้นผมให้คำสาบานด้วยยาพิษ นอกเสียจาก…” ผู้เฒ่าหูพูดถึงประโยคนี้ก็หยุดค้างเอาไว้ มองไปที่เธอ


 


 


“นอกเสียจากอะไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


 


“ช่างมันเถอะครับ!” ผู้เฒ่าหูส่ายศีรษะอย่างอ่อนแรงแล้วพูดว่า “นี่เป็นความลับภายในสำนักของเรา ผมคงจะพูดมากไม่ได้ ตอนนี้ผมขอใช้หินหยกทั้งสองชิ้นนี้แลกกับคำตอบของคุณซีเหมินเพียงประโยคเดียว ภายในของหินหยกก้อนนี้มีอะไรกันแน่?”


 


 


“ฉัน…ไม่รู้!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ถ้าเธอบอกเขาว่าเธอเห็นว่าภายในหินมีอะไรซ่อนไว้อยู่ นั่นก็เป็นการยอมรับว่าเธอสามารถมองเห็นลักษณะภายในของหินได้ “ถ้าหากผู้เฒ่าหูอยากรู้จริงๆ กลับไปฉันจะผ่ามันออกมา แล้วถึงตอนนั้นจะบอกคุณว่ามันคืออะไร”


 


 


ผู้เฒ่าหูทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าตอบรับ “ก็ได้ครับ แต่หวังว่าคุณซีเหมินจะรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้”


 


 


“ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ฉันต้องรักษาสัญญาแน่ค่ะ!”


 


 


“ดีครับ!” ผู้เฒ่าหูพูดขึ้น “อย่างนั้นคนแก่อย่างผมก็จะรักษาสัญญา หยกทั้งสองชิ้นนี้คุณรับกลับไปเถอะครับ”


 


 


“ฉันไม่สามารถที่จะเอาเปรียบคุณได้หรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว “ในเมื่อหินทั้งสองชิ้นนี้มาจากคุณ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะใช้ราคาเดิมที่เขียนเอาไว้ซื้อมันกลับไปทั้งสองชิ้น”


 


 


ผู้เฒ่าหูได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมา


 


 


 ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหัวเราะออกมา เธอได้แต่มองเขา ส่วนผู้เฒ่าหูหลังจากที่หัวเราะออกมาเต็มแรงถึงปริปากพูดออกขึ้นว่า “คุณซีเหมิน เงินคืออะไร?”


 


 


 ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี


 


 


 แต่ผู้เฒ่าหูก็ไม่ได้คาดคั้นคำตอบของเธอแต่อย่างใด “คนมากมายต่างพูดว่าเป็นความมั่งคั่ง ตอนนั้นผมถามเสี่ยวเจีย เขาก็ตอบกลับมาเช่นนี้  ใช่แล้ว ในสายตาของคนอื่นๆ เงินเป็นตัวแทนของความมั่งคั่งร่ำรวย ตอนนี้เหมือนจะมีประโยคหนึ่งที่พูดกันมาไม่ใช่เหรอ? เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง แต่ว่าผมกลับรู้สึกว่าเงินเป็นเพียงสิ่งที่ให้คนเล่นเพื่อตอบสนองในสิ่งที่ต้องการ ก็เหมือนกับกฎกติกาในเกม”


 


 


หัวใจของซีเหมินจินเหลียนเหมือนถูกทิ่มแทงอย่างแรง ใช่แล้ว นี่ก็กฎกติกาในเกม ผู้คนมากมายต่างอาศัยอยู่ภายในเกมนี้ ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้


 


 


“เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้!” ภายในน้ำเสียงของผู้เฒ่าหู มีถ้อยคำกระตุ้นบาดใจผู้ฟัง “ตอนที่คนเราตกอับก็แค่ประหยัดเงิน แล้วผมจะต้องการเงินไปเพื่ออะไร? คุณก็น่าจะรู้ ผมไม่มีลูกชายลูกสาว คนรอบข้างก็ไม่มีใครที่จะพึ่งพาได้ แล้วผมจะมีเงินมากมายไปเพื่ออะไรกัน”


 


 


“ก็จริงค่ะ” ในใจของซีเหมินจินเหลียนที่อัดอั้นมาโดยตลอด ตอนนี้ก็ได้ผ่อนคลายลงมาบ้างแล้ว “ขอขอบคุณคำสอนจากผู้เฒ่าหูนะคะ” พูดจบเธอก็ก้มตัวโค้งคำนับ


 


 


“ดีมาก คนแก่อย่างผมก็มองคนไม่ผิดจริงๆ!” ผู้เฒ่าหูพยักหน้า “หินหยกทั้งสองชิ้นนี้คุณรับไปเถอะครับ ถึงตอนที่คุณผ่ามันออกมาเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมบอกผมให้รู้ด้วยล่ะ”


 


 


“แน่นอนค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนให้คำสัญญาอย่างหนักแน่น ความจริงแล้วตอนนี้เธอก็สามารถบอกผู้เฒ่าหูได้ว่าภายในหินหยกชิ้นนั้นมีอะไร แต่ว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยาก เธอจึงตัดสินใจรอให้ผ่าหยกออกมาก่อนแล้วค่อยบอกเขา ตอนนั้นก็ยังไม่สาย


 


 


ประตูของโกดังเปิดออกมา ซีเหมินจินเหลียนเดินออกมาข้างนอกพร้อมทักทายผู้อาวุโสเจี่ยที่อยู่หน้าประตู พลางพูดว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าจะมารับสินค้าไป ผู้อาวุโสเจี่ยตบปากรับคำ โรงงานแปรรูปหยกนี้ไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของผู้เฒ่าหู ในเมื่อเธอและผู้เฒ่าหูตกลงเจรจากันเป็นที่เรียบร้อยก็ไม่มีอะไรต้องพูดจากันอีก


 


 


ระหว่างทางที่นั่งแท็กซี่กลับโรงแรม จ่านป๋ายรู้สึกสงสัยจึงถามขึ้นว่า “จินเหลียน ผู้เฒ่าคนนั้นดูแล้วท่าทางแปลกๆ เขาพูดคุยอะไรกับคุณเหรอครับ”


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว การที่เธอสามารถมองออกถึงลักษณะของหิน ไม่ว่าจะเป็นหินธรรมดาหรือหยก นี่ก็เป็นความลับของเธอ ถึงแม้จะเป็นจ่านป๋าย แต่เธอก็ไม่สามารถบอกเรื่องนี้ให้หลุดลอดออกมาได้แม้แต่คำเดียว


 


 


 เธอหลับตาลง ในใจค่อยๆ ปรากฏภาพของหินหยกก้อนนั้นขึ้นมาอย่างช้าๆ ภาพนั้นยังคงน่าตกตะลึงเช่นนั้น แล้วนี่…ยังจะเป็นหยกอยู่อีกหรือ?


 


 


ผู้เฒ่าหูเล่าเรื่องเพียงแค่คร่าวๆ แต่ว่าเธอก็อดไม่ได้ที่จะฉุกคิดสงสัยว่าอาจารย์ของผู้เฒ่าหูเสียไปด้วยเรื่องอะไร? รูปลักษณ์ของหินก้อนนั้นคงไม่ทำให้อาจารย์เขาตกใจจนสิ้นลมหรอกนะ


 


 


ถ้าหากหินก้อนนั้นมีเวทมนตร์จริงๆ ผู้เฒ่าหูอยู่กับมันมาตั้งกี่ปี ก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไม่ใช่หรือ?


 


 


หลังจากกลับไปที่บ้านแล้ว ฉันจะต้องผ่ามันออกมาให้ได้ ดูให้รู้ว่ามีอะไรกันแน่ ซีเหมินจินเหลียนพึมพำในใจ


 


 


“จินเหลียน สีหน้าของคุณดูไม่ดีเลย” จ่านป๋ายขมวดคิ้วถาม


 


 


“ฉันสบายดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เธอสัมผัสไม่มีทางที่จะผิดพลาด ไม่มีทาง ถ้าเธอไม่เอาหินหยกก้อนนั้นมาผ่าดู ชาตินี้เธอคงจะต้องนอนตายตาไม่หลับแน่ ถึงสิ่งนั้นจะดูลี้ลับอย่างไรเธอก็ไม่กลัว


 


 


“หินหยกสองชิ้นนั้น ผู้เฒ่าหูขายราคาเท่าไหร่หรือครับ”


 


 


“ให้ฟรีค่ะ!” ซีเหมินยิ้ม


 


 


“อะไรนะ?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจ ให้ฟรีอย่างนั้นหรอ? ชายชราผู้นี้สติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือยังไง


 


 


“ใช่แล้ว ให้ฟรี…” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับ “ฉันหลอกล่อเขาด้วยกลยุทธ์”


 


 


จ่านป๋ายถูกเธอหยอกเล่น เขารู้ว่าเธอมีเรื่องที่ไม่อยากจะพูด แต่ก็ไม่ได้เค้นความอะไร ในใจได้แต่สงสัยว่าชายชราผู้นี้ต้องการทำอะไรกันแน่ ผู้เฒ่าหูไม่น่าจะใช่พวกโง่เง่าที่จะถูกหลอกได้ง่ายเพียงนี้


 


 


เช้าวันต่อมา จ่านป๋ายไปที่โรงงานแปรรูปหยกแล้วนำหยกทั้งสองชิ้นนั้น รวมไปถึงหินหยกสีน้ำเงินในงานประมูลกับหินหยกชนิดน้ำแข็งสีเขียวทั้งหมดส่งไปให้ที่บริษัทขนส่งสินค้า แล้วให้ส่งไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ส่วนตัวเองก็มุ่งหน้ากลับไปกับซีเหมินจินเหลียนที่บ้านเกิดของเธอในมณฑลเสฉวน


 


 


ซีเหมินจินเหลียนอยู่ที่บ้านเกิดของเธอสามวัน ใช้เงินสิบห้าล้านหยวนบริจาคแก่คนยากคนจนในหมู่บ้าน รวมไปถึงเงินต่อยอดสร้างถนนหนทาง อีกทั้งยังเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อให้ทุกคนสำหรับซ่อมแซมสร้างบ้านหลังใหม่ วันสุดท้ายตอนบ่าย จ่านป๋ายมาเป็นเพื่อนซีเหมินจินเหลียน เธอยืนอยู่บนเนินเขาที่แห้งแล้งสายตามองไปที่สุสานที่โดดเดี่ยวทั้งสองแล้วน้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมา


 


 


สุสานทั้งสองนี้ ที่หนึ่งได้ฝังร่างของอาจารย์ที่คอยอบรมสั่งสอนเธอ ส่วนอีกที่ได้ฝังร่างของคุณย่าของเธอเอาไว้…


 


 


ตอนเด็กเธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องฝังร่างของอาจารย์และคุณย่าไว้ข้างๆ กัน แต่ตอนนี้สิ่งที่ทั้งสองคนเหลือไว้ให้เธอมา มันช่างมีแต่ปริศนาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


 


 


เพียงแต่ว่าคนที่จากไป สิ่งของของพวกเขาก็ได้ถูกฝังให้ตายตามไปด้วย


 


 


ไม่มีธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทอง การไหว้เคารพหลุมศพช่างง่ายดาย แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับได้ยินเสียงกระซิบจากข้างหู มันเป็นสิ่งที่คุณย่าเคยพูดเอาไว้ ‘ทองคำเป็นสิ่งสูงค่า ผู้หญิงที่ดีคือผู้หญิงที่เข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้!’


 


 


 คำพูดแบบนี้ดูจะไม่เหมือนคำพูดที่จะออกมาจากปากของหญิงชราจากชนบท แต่อย่างไรซีเหมินจินเหลียนก็ยังไม่รู้เลยว่าคุณครูและคุณย่าของตนมีชื่อว่าอะไรกันแน่…


 


 


 ซีเหมินจินเหลียนแทบไม่รู้เลยว่า ในวันที่สองที่เธอจากไปจากบ้านเกิดของเธอ ก็มีแขกที่ไม่คาดคิดขึ้นมาบนเนินเขาที่แห้งแล้งนี้เช่นกัน อีกทั้งยังยืนร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าสุสานทั้งสองไม่หยุด


 


 


 “พวกเราต่อสู้มาทั้งชีวิต แล้วสุดท้าย…เหลืออะไร?”


 


 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกลับถึงนครเซี่ยงไฮ้ได้สองวันแล้ว เธอกับจ่านป๋ายไปรับของมาจากโกดังขนส่งสินค้า พร้อมทั้งตรวจเช็กจำนวนให้เรียบร้อยว่าไม่มีอะไรตกหล่น หยกสีเลือด ฮกลกซิ่ว สีผสมรวมไปถึงหยกมหัศจรรย์ ภายนอกกลับธรรมดาไม่ได้เตะตาอะไร ถ้าเอาไปกองเอาไว้ในกองหยกอื่นๆ ก็ไม่ได้ทำให้สะดุดตา


 


 


จ้างรถขนส่งสินค้ามาหนึ่งคัน เพื่อที่จะนำสินค้าทั้งหมดส่งไปที่ห้องใต้ดินของที่บ้าน ซีเหมินจินเหลียนไม่เพียงแต่ยิ้มร่าออกมา เดิมทีห้องใต้ดินของเธอก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก แต่ตอนนี้จะเต็มไปด้วยหินหยกมากมาย แถมหินหยกพวกนี้ก็ไม่ได้เล็กซะด้วย ห้องใต้ดินต้องแออัดแน่ๆ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายขอเวลาพักฟื้นพละกำลังอยู่หนึ่งวัน เพื่อที่จะจัดการทำความสะอาดห้องให้สะอาดหมดจด


 


 


วันถัดมาเธอรู้สึกเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ ห้องใต้ดินมีหินหยกวางกองอยู่มากมายที่รอให้เธอจัดการผ่าออกมา ขอเพียงแค่ตัดหินหยกพวกนี้ออกมาได้จนหมดแล้วทำเป็นเครื่องประดับหรือของตกแต่ง นี่ถึงเรียกว่าหยกอย่างแท้จริง


 


 


ถ้าหยกไม่ได้เจียระไนออกมา มันก็ไม่สามารถเป็นเครื่องประดับได้ ถ้าคนไม่หมั่นขยันเรียน เขาก็จะไม่เข้าใจเหตุผล! ประโยคนี้ช่างมีเหตุผลยิ่งนัก


 


 


แต่ว่าจะผ่าชิ้นไหนก่อนดี ปัญหานี้เธอยังคงคิดไม่ตก สิ่งที่เธอสงสัยที่สุดก็คือหินหยกที่ซื้อมาจากโรงงานแปรรูปหยก หินหยกที่อาจารย์ของผู้เฒ่าหูส่งทอดให้เขานั่นเอง


 


 


แต่ในขณะที่เธอคิดจะลงมือกับมันมาครึ่งวัน เธอก็ยังไม่ได้ลงมือสักที ในความรู้สึกของเธอกลับคิดว่าหยกก้อนนี้มีสัมผัสอันเลวร้ายบางอย่าง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าฟังจากที่ผู้เฒ่าหูเล่ามา? เมื่อคิดทบทวนอยู่นานเธอจึงเลือกที่จะผ่าหยกที่ซื้อมาจากเจียหยางก้อนแรกก่อน


 


 


เกือบไปแล้ว เธอเกือบลืมหินหยกก้อนนี้เสียแล้ว ถ้าจำไม่ผิดข้างในของหยกก้อนนี้จะเป็นสีเขียวส่องแสงระยิบระยับ…


 


 


เธอเร่งหาหินหยกนั้นออกมา แล้ววิเคราะห์ดู น้ำหนักน่าจะประมาณสักสามสิบสี่สิบกิโลกรัม ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็ไม่ได้เล็กจนเกินไป เมื่อใช้พลังพิเศษส่องดูด้านในอีกรอบ ซีเหมินจินเหลียนก็ยังเห็นไม่ชัดเจนนัก แสงสีเขียวระยิบระยับนั่นคืออะไรกันแน่ แสงสีเขียวของหยกมักจะเป็นเงาที่อ่อนโยนไม่ใช่แสงระยิบระยับแบบนี้นี่น่า


 


 


ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจที่จะเริ่มตัดจากหินหยกก้อนนี้ แม้จะพูดว่าผ่า แต่เธอก็หยิบเครื่องเจียระไนขึ้นมา ก่อนจะเริ่มบรรจงเจียระไนทีละน้อย…

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 21

 

การเจียรหินนับว่าเป็นงานที่หนัก อีกกทั้งยังต้องใช้พละกำลังพอสมควร ซีเหมินจินเหลียนกังวลว่าถ้าหากไม่ระมัดระวังในการผ่าหิน อาจจะทำให้หินหยกที่อยู่ข้างในได้รับความเสียหายได้ เพราะอย่างนั้นจะต้องคอยระวังเป็นพิเศษ เธอจึงไม่กล้าที่จะใช้เครื่องผ่าหยก แต่เลือกใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุดแทน นั่นก็คือการค่อยๆ เจียระไนผิวด้านนอกของหินออก


 


 


“จินเหลียน ให้ผมทำเถอะครับ” จ่านป๋ายเดินเข้ามาจากข้างนอก เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “งานแบบนี้ต้องใช้กำลัง คุณเป็นผู้หญิง อาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เอาเป็นว่าคอยบอกผมแล้วกันครับว่าต้องทำยังไง ส่วนที่เหลือผมจัดการเอง?”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นได้แต่พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณแล้ว”


 


 


“รบกวนอะไรกันครับ” จ่านป๋ายอมยิ้มพร้อมเอาเครื่องเจียระไนจากมือของเธอแล้วพูดว่า “เจียรใช่ไหมครับ?”


 


 


“ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ฉันคิดว่าหินหยกชิ้นนี้เนื้องามเลยทีเดียว ถ้าหากไม่ระวังอาจจะทำให้หยกข้างในเสียหายได้ เพราะอย่างนั้นยอมใช้วิธีเจียรเปลือกหินแบบนี้แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว”


 


 


“ที่คุณพูดก็ถูก!” จ่านป๋ายพูดไปในขณะที่ตัวเองก็พยายามใช้เครื่องมือมายึดหินหยกให้คงที่ เขาค่อยๆ ใช้เครื่องเจียระไนอย่างระมัดระวัง


 


 


เนื้อหินถูกเปิดเผยออกมาเพียงแค่สามเซนติเมตร แต่กลับใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเต็มๆ เมื่อเอาเปลือกหินออก เนื้อข้างในก็เผยให้เห็นถึงความขาวราวกับฝ้ายบริสุทธิ์ แต่ก็ยังไม่มีสีเขียวปรากฏให้เห็นแต่อย่างใด


 


 


จ่านป๋ายเริ่มสงสัยในการคาดเดาของซีเหมินจินเหลียนแล้ว หินหยกชิ้นนี้ คงจะไม่ใช่แพ้เดิมพันหรอกนะ?  ถ้าหากเขาจำไม่ผิด หลังจากถึงเมืองเจียหยาง เธอก็ซื้อมันเป็นสิ่งแรก


 


 


อย่างไรถึงจะแพ้เดิมพันสักครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาครุ่นคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่ทว่าการเดิมพันหิน หัวใจหลักอยู่ที่คำว่าเดิมพัน แน่นอนมันอาจจะมีแพ้มีชนะบ้าง แต่ถ้ามัวแต่ชนะเดิมพันไม่เคยแพ้ แบบนี้ถึงเรียกว่าปัญหา ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรสู้มาเจียระไนต่อดีกว่า


 


 


 ซีเหมินจินเหลียนคอยอยู่ข้างๆ เขาอย่างไม่ห่าง เมื่อเห็นเหงื่อที่ไหลทั่วหัวของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแซวทันทีว่า


 


 


“เสี่ยวป๋าย คุณพักสักหน่อยก่อนไหม เดี๋ยวฉันไปหยิบอะไรเย็นๆ มาให้”


 


 


“ดีเลยครับ!” จ่านป๋ายพยักหน้ายิ้มตอบรับ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนวิ่งออกมาจากห้องใต้ดิน เธอมุ่งไปยังห้องครัวเปิดตู้เย็นแล้วหยิบไอศกรีมออกมา วันแบบนี้ถึงแม้จะเข้าหน้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อุณหภูมิก็ยังไม่ลดลงสักที ปกติถ้าไม่ขยับตัวไปไหนก็ยังพอทนได้ แต่พอขยับเท่านั้นก็ร้อนเสียเหลือเกิน


 


 


“คุณ…จินเหลียน” เสียงของจ่านป๋ายร้องตะโกนออกมาจากห้องใต้ดิน


 


 


ซีเหมินจินเหลียนอึ้งไปเล็กน้อย พร้อมหยิบโค้กสองขวดกับไอศกรีมรีบวิ่งไปยังห้องใต้ดิน เธอเห็นจ่านป๋ายแสดงสีหน้าร้องเรียกด้วยความตกใจ “จินเหลียน คุณมาดูนี่สิครับ เริ่มเห็นสีเขียวแล้ว!”


 


 


ถึงแม้ว่าซีเหมินจินเหลียนจะมั่นใจว่าหินชิ้นนี้เป็นหินหยกแน่ๆ ไม่ว่ายังไงก็ต้องเผยให้เห็นสีเขียวอย่างแน่นอน แต่ฟังจ่านป๋ายพูดแบบนั้น เธอก็เผยยิ้มอย่างสดใสเดินเข้าไปหาเขาทันที


 


 


เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ


 


 


จ่านป๋ายเริ่มเจียระไนให้เห็นเนื้อสีขาวอีกครั้ง ข้างในมีสีเขียวเปล่งประกายออกมาให้เห็น แต่ทว่าสีเขียวที่เห็นนั้นเป็นเพียงแค่เงาที่สะท้อนแสงไปที่เนื้อสีขาว ยังไม่เห็นเนื้อของหยกอย่างแท้จริง เขาราดน้ำสะอาดชุบลงไปที่ผิวของหิน เพื่อให้เงาของสีเขียวที่ส่องแสงออกมาเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น


 


 


“สีเขียวโผล่มาอย่างที่คิดไว้จริงๆ เสี่ยวป๋าย ฝีมือคุณนี่ไม่เบาเลยนะ!” ซีเหมินจินเหลียนลากเก้าอี้มาข้างๆ พร้อมเรียกให้จ่านป๋ายมานั่งกินไอศกรีมด้วยกัน ยิ้มแล้วพูดว่า “มากินอะไรเย็นๆ กันก่อน แล้วพวกเราค่อยไปเจียระไนกันต่อ”


 


 


“ผมไม่กินไอศกรีมครับ” จ่านป๋ายเปิดขวดโคล่า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นดื่มอย่างเต็มอึก


 


 


“ถ้าคุณไม่กินแล้วซื้อมาทำไมตั้งเยอะแยะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างประหลาดใจ ในตู้เย็นมีไอศกรีมมากมาย ส่วนมากก็เป็นของฮาเก้นดาส ไอศกรีมที่จัดอยู่ในชนิดที่แพงที่สุด แถมรสชาติก็อร่อยซะด้วย


 


 


“ซื้อให้คุณกินไง” จ่านป๋ายยิ้มแล้วพูดว่า “ก็คุณชอบกินไม่ใช่เหรอ?”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเขินๆ บางครั้งเธอก็ทำตัวเหมือนกับเด็ก ชอบกินไอศกรีม ผลไม้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ นานา


 


 


ส่วนจ่านป๋ายก็สังเกตทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ แน่นอนว่าอะไรที่เธอชอบ เขาก็เข้าใจเป็นอย่างดี


 


 


“คุณทำให้ฉันเสียคนหมดแล้วนะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ


 


 


“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยครับ ผมจะทำให้คุณอย่างนี้ตลอดชีวิตเลย” จ่านป๋ายยิ้มอย่างมีความสุข นี่คือคำให้สัญญาของเขาตลอดชีวิต


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนิ่งไปชั่วขณะ เธอรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง ถ้าหากมีผู้ชายสักคนมาคอยดูแลเธอแบบนี้ตลอดชีวิต เธอก็ไม่ต้องการอะไรอีกทั้งนั้น? แต่ทว่า…เขากลับทำร้าย…


 


 


จ่านป๋ายสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ จึงถามเธอว่า “จินเหลียน คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”


 


 


“มะ…ไม่มีอะไร!” ซีเหมินจินเหลียนรีบปรับสีหน้าพร้อมส่ายหัวเป็นพัลวัน เธอได้แต่คิดว่า ให้ตายเถอะ นี่เธอคิดไปถึงไหนกันเนี่ย รู้สึกเหมือนใบหน้าถูกไฟแผดเผาร้อนรุ่มไปหมด เธอก้มหน้าก้มตาทำเป็นกินไอศกรีมปิดบังต่อไป


 


 


จ่านป๋ายเห็นท่าทีแบบนั้นแล้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาดื่มน้ำอีกรอบพร้อมมองไปที่หินหยกก้อนนั้น “จินเหลียน ถ้าอย่างนั้นเราไปเจียระไนหินต่อเลยไหมครับ”


 


 


“ค่ะ คุณไปเจียระไนต่อเลย ดูว่าเนื้อข้างในเป็นยังไง ตอนนี้ยังเป็นสีขาวอยู่ สีขาวยังขายไม่ได้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตอบกลับอย่างอ่อนโยน


 


 


“โอเค!” จ่านป๋ายพยักหน้าตอบรับ สายตาเหลือบไปเห็นพื้นที่เต็มไปด้วยเศษหิน เขาเลยถามว่า “จินเหลียน แล้วเศษหินพวกนี้ล่ะครับจะจัดการกับมันยังไง”


 


 


“มันเอาไปขายได้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่เคยที่จะลืมร้านเถ้าแก่โจว ร้านรับซื้อเศษหิน เธอเคยถามหลินเสวียนหลาน เขาบอกว่าเศษหินพวกนี้ถึงแม้ว่าจะมาจากผิวเผินๆ ของหินหยก แต่โดยทั่วไปแล้วขอแค่มีเศษหยกเล็กๆ ติดอยู่ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากตอนตัดหินไม่ระวังไปโดนหยกเข้า ก็สามารถทำเป็นเครื่องประดับเกรดซีได้ แม้ว่าราคาจะเทียบกันไม่ได้ แต่ว่าก็สามารถนำไปขายออกได้เหมือนกัน


 


 


“สิ่งนี้น่ะเหรอครับที่ขายได้” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย


 


 


“ใช่แล้วล่ะ สิ่งนี้นี่แหละ สามารถทำเครื่องประดับราคาประหยัด ขายตามตลาดกลางคืนเยอะแยะทีเดียว มีตั้งแต่ราคาสิบกว่าหยวนถึงหลักร้อยเชียวนะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบคำถามของเขา


 


 


“ผมก็กำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะช่วยคุณเอามันไปทิ้งเสียอีก” จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ายิ้ม


 


 


 “ไม่ต้องๆ รอให้เปลือกหินหยกพวกนี้เปิดออกให้หมดแล้วค่อยเรียกเถ้าแก่โจวมารับไปก็ได้แล้วค่ะ คุณอย่าเพิ่งดูถูกของพวกนี้เชียวนะ ถ้าขายได้ทั้งหมด ราคาอาจจะถึงหลายหมื่นเลยทีเดียว” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มและพูดว่า “นี่ก็เป็นเศษหยกนะ ไม่ใช่หิน”


 


 


“ครับ!” จ่านป๋ายทำหน้าที่ของเขาต่อ แต่ก็ยังมีคำถามคาใจที่อยากจะถามต่อ “จินเหลียน คุณรู้ไหมว่าหยกชิ้นนี้มีรูปร่างยังไง” เขาสงสัยว่าหินที่อยู่ใต้ดินพวกนี้ จะผ่านสภาพแวดล้อมอะไรมาบ้างถึงกลายสภาพมาเป็นหินหยกแบบนี้


 


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวพูด “เสี่ยวป๋าย คุณชอบเครื่องประดับแบบไหน สีอะไรเหรอ ฉันว่าจะทำแหวนหยกหรือไม่ก็กำไลหยกให้คุณ” แม้ว่าเสี่ยวป๋ายเป็นบอดี้การ์ดของเธอ แต่เขาไม่เคยรับเงินเดือนแม้แต่หยวนเดียว แถมช่วงนี้เขายังมาช่วยเธออยู่ตลอด


 


 


แม้ว่าจ่านป๋ายเป็นคนมีฐานะ เขาคงไม่สนใจเงินเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ แต่ภายในใจของซีเหมินจินเหลียนก็ยังคงไม่สบายใจ ถ้าหากให้เงินเขา เขาก็เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว แต่หากทำของดีๆ จากหยกสักชิ้นมอบให้เขา นี่ก็น่าจะไม่เป็นอะไร


 


 


“ผมจะเอาไปทำอะไรล่ะครับ” จ่านป๋ายส่ายหัว


 


 


“เก็บสะสมไงคะ คุณไม่คิดว่าหยกพวกนี้สวยเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตอบกลับ


 


 


“มันก็สวยอยู่หรอกครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “แต่ว่าผมชอบสีแดง สีแดงสด ไม่เหมือนสีแดงลายทองคำแบบของคุณ”


 


 


“ถึงคุณอยากได้สีแดงลายทองคำ ฉันก็ตัดใจให้คุณไม่ลงหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม หยกพวกนี้ บางครั้งก็ต้องดูความชอบของแต่ละคนด้วย บางคนชอบดูจากสี บางคนชอบดูจากชนิด แต่เมื่อดูจากคนชอบเลือกอย่างจ่านป๋ายแล้ว ก็พบเจอยากเหมือนกัน “ครั้งนี้พวกเราซื้อหินหยกกลับมาเยอะแบบนี้ ถ้ามีสีแดงสด ฉันจะทำเครื่องประดับติดตัวให้คุณ ดีไหม”


 


 


“ดีครับ!” จ่านป๋ายตอบรับด้วยความดีใจ ภายในมือของเขามีเสียงของเครื่องเจียระไนดังกึกก้องอยู่ เขากำลังเอาเปลือกหินออกทีละชั้นๆ


 


 


“จินเหลียน…หยกนี้…” จ่านป๋ายส่งเสียงตกใจขึ้นมา


 


 


“มีอะไรอย่างนั้นหรอ” ซีเหมินจินเหลียนเข้าไปดู เห็นจ่านป๋ายเอาน้ำราดเข้าไปที่เนื้อของหิน สีเขียวอ่อนๆ ของหยกก็ส่องแสงเปล่งประกายออกมา เงาข้างในสะท้อนถึงความสง่างามแถมยังมีแสงสีเงินสาดส่อง


 


 


“สวยจังเลย!” ซีเหมินจินเหลียนชื่นชมถึงความงามของหยก ถึงแม้จะยังเจียระไนออกมาไม่หมด แต่ข้างในก็มีแสงส่องเปล่งประกายเสียแล้ว


 


 


“เหมือนแสงของดวงดาว…” จ่านป๋ายเอ่ยชม “ไม่อยากจะเชื่อเลย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหยกจะสามารถส่องแสงได้?”


 


 


“พวกเรามาเจียรออกให้หมดเถอะ!” ซีเหมินจินเหลียนว่า


 


 


“โอเค!” จ่านป๋ายพยักหน้า เขายุ่งกับการเจียระไนต่อไป การที่โผล่ให้เห็นเนื้อหยกออกมาแบบนี้ เขาแทบที่จะไม่กล้าสัมผัสและระวังเป็นอย่างมาก ถ้าหากเกิดไม่ระวังขึ้นมา อาจจะทำให้เสียมูลค่าไปหลายล้านก็เป็นได้ ทั้งหมดนี่ก็เป็นเงินทั้งนั้น!


 


 


ใช้เวลาเกือบครึ่งวันเต็มๆ ถึงจะเจียระไนเปลือกหินหยกออกทั้งหมด ตอนแรกที่ซีเหมินจินเหลียนเห็นแบบนั้น ข้างในมีหยกไม่เยอะ พื้นที่ส่วนใหญ่คือสีขาว แต่หยกที่เจียระไนออกมาในตอนนี้กลับทำให้จ่านป๋ายและซีเหมินจินเหลียนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก


 


 


หยกข้างในที่เจียระไนออกมาไม่มีรูปร่างที่เฉพาะตัว ข้างบนเล็กข้างล่างใหญ่ ราวกับแก้วสีเขียวสดที่ใสบริสุทธิ์ ความจริงแล้วซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าสีเขียวนี้อาจจะไม่ใช่สีเขียวสด เมื่อเทียบแล้วอาจจะอ่อนกว่าหน่อย แต่ว่าตรงกลางของหยกชิ้นนี้มีเหมือนแสงของดวงดาวสอดแทรกส่องแสงเปล่งประกรายระยิบระยับ  นี่อาจเกิดเป็นจุดต้นกำเนิดแสงสะท้อนของสีเขียวก็เป็นได้…


 


 


“จินเหลียน ข้างในนี้คืออะไรหรือครับ” จ่านป๋ายมาจากข้างๆ ในมือของเขาถือไฟฉาย เขาพยายามที่จะดูว่าคืออะไร อยากจะรู้ว่าข้างในที่มีแสงสว่างมันคืออะไรกันแน่?


 


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ในเมื่อมีหยกสีแดงทองอยู่ หรือว่าจะเป็นเงิน?”


 


 


“ผมดูแล้วไม่น่าจะใช่เงินนะครับ เงินไม่น่าจะส่องแสงได้” จ่านป๋ายส่ายหน้า “คุณดูนี่สิ นี่ก็เหมือนกับดวงดาวที่ถูกประดับตกแต่งขึ้นมา หรือว่าจะเป็นต้นกำเนิดของแสงสีเขียว ถ้าเป็นอย่างนั้นทำเป็นกำไลข้อมือ ความรู้สึกคงเหมือนกำลังถือดาวไว้ในมืออยู่


 


 


“อย่างนี้ฉันก็มีดาวอยู่ในมือแล้วสิคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถือหยกชิ้นนั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ใบหน้ามีแต่ความสดใส ตอนนี้คิดแต่ว่าสิ่งนี้คืออะไร ขอแค่สวยก็เพียงพอแล้ว แม้ว่าจะไม่มีคนซื้อ แต่ความรู้สึกที่เหมือนถือดาวไว้ในมือก็เป็นความรู้สึกที่ดีไปอีกแบบ…


 


 


จ่านป๋ายมองดูแสงของหยกชิ้นนั้นที่สะท้อนผ่านมายังหน้าของซีเหมินจินเหลียน ในใจก็รู้สึกดีใจ แต่เมื่อเห็นหยกที่มีคุณค่าสวยงามเช่นนี้ เขาก็เหมือนราวกับได้พรชั้นดี บางคนทำงานมาทั้งชีวิต อาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ด้วยซ้ำ


 


 


 อืม ไม่ใช่สิ อาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยก็ได้  หยกอะไรจะส่องแสงได้? ถึงจะเป็นเพชร แต่ก็ต้องผ่านการเจียระไนออกมา ผ่านการสะท้อนของเส้นแสงถึงจะส่องแสงเจิดจรัส แต่หยกชิ้นนี้ แม้จะอยู่ในที่มืดมิด แต่มันก็ยังเปล่งประกายได้ด้วยตัวของมันเอง

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 22

 

จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนดีอกดีใจ เขาก็พลอยดีใจไปด้วย “จินเหลียน คุณวางมันลงก่อนได้ไหมครับ ผมอยากจะดูชัดๆ ว่าเป็นอะไรกันแน่?”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า แล้วนำหยกสีเงินส่องแสงระยิบระยับนี้วางไว้บนแท่นแกะสลักหยก จากนั้นจึงเปิดไฟที่ตัวเครื่องเพื่อเพิ่มความสว่าง


 


 


ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่ถูกแสงไฟหรือว่าจุดที่เป็นมุมอับของแสง หยกก้อนนั้นก็ยังคงเหมือนแสงดาวระยิบระยับ สาดประกายจนทำให้ผู้คนไม่อาจลืมตาได้


 


 


“จินเหลียน นี่ไม่ใช่เงินแน่นอน!”


 


 


“ฉันก็ว่าไม่น่าจะใช่เงิน เหมือนกับแร่ธาตุอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน!”


 


 


“จินเหลียน คุณน่าจะรู้ว่าโลกทั้งใบกำลังตามหาแหล่งกำเนิดแสงเย็น!” จ่านป๋ายวิเคราะห์ สายตาจ้องไปที่หยกที่ส่องแสงระยิบระยับก้อนนั้น


 


 


“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนเหลือบไปมองเขาอย่างสงสัย


 


 


“ถึงผมไม่รู้ว่าข้างในหยกจะมีอะไรมาคั่น แต่ผมก็รู้ว่านี่คือแหล่งกำเนิดแสงเย็น!”


 


 


“ฉันเคยได้ยินแค่ว่าหิ้งห้อยเป็นแหล่งกำเนิดแสงเย็น” ซีเหมินจินเหลียนคิ้วย่นเข้าหากัน เมื่อก่อนที่เคยได้ยินมาภายในตัวหิ้งห้อยจะสามารถส่องแสงได้ในตัวเอง จัดอยู่ชนิดของแหล่งกำเนิดแสงเย็น แต่จนถึงตอนนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ไม่ได้มีผลศึกษาค้นคว้าวิจัยที่จะมีสิ่งใดมาแทนที่แหล่งกำเนิดแสงเย็น ภายในหินข้างในนี้ก็สามารถส่องแสงได้ น่าจะจัดอยู่ในแหล่งกำเนิดแสงเย็นเช่นกัน…


 


 


เมื่อยื่นมือไปสัมผัสหยกที่ส่องแสงระยิบระยับเปล่งประกายก้อนนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็ส่ายหน้า “เสี่ยวป่าย นี่ก็คือหยกก้อนหนึ่ง ฉันไม่สนใจว่าจะเป็นแหล่งกำเนิดแสงเย็นหรือไม่ แต่นี่ก็คือหยกของฉัน ในอนาคตฉันจะทำเป็นเครื่องประดับหลากหลายรูปแบบ!”


 


 


จ่านป๋ายได้ยินจึงอมยิ้มออกมา ใช่แล้ว นี่เป็นเพียงแค่หยกก้อนหนึ่งเท่านั้น ถึงจะเป็นแหล่งกำเนิดแสงเย็นแล้วอย่างไร? ถึงข้างในจะมีแร่ธาตุ ถึงจะไม่มีใครเคยค้นพบธาตุนี้ แล้วอย่างไร? มันก็เป็นแค่หยกก้อนหนึ่ง มากสุดก็แค่ถูกเพิ่มมูลค่าด้วยการทำเป็นเครื่องประดับ เป็นของสะสมส่วนตัวของซีเหมินจินเหลียน แน่นอนถ้าในอนาคตเธอขาดแคลนเงินเมื่อไหร่ ก็อาจจะขายออกไปสักหนึ่งชิ้นสองชิ้นก็ไม่เสียหาย


 


 


“ฉันจะทำกำไลสองคู่ เจียระไนเป็นแหวนสักสองสามวง” ซีเหมินจินเหลียนพูดไปก็ยื่นมือทำท่าทางกะขนาดบนก้อนหยก เธอคิดว่าคงทำเป็นของตกแต่งลำบาก ไม่ๆๆ…ทำเป็นของตกแต่งจะเสียของเปล่าๆ ของแบบนี้ต้องเหมาะสมกับพกพาติดตัวให้สวยงาม


 


 


แต่หยกก้อนนี้ไม่ได้ถือว่าใหญ่มาก หากทำเป็นกำไลสองคู่น่าจะยังเหลือเนื้อหยกอยู่ จากนั้นก็ใช้แสงระยิบระยับข้างในเจียระไนเป็นแหวน มันก็จะส่องแสงเปล่งประกาย ส่วนเศษที่เหลือยังสามารถทำเป็นพวงกุญแจหยก จี้หยกได้…   


 


 


“จินเหลียน มาตั้งชื่อให้หยกก้อนนี้กันเถอะครับ”


 


 


“ตั้งชื่อเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิด ในเมื่อไม่เคยมีใครค้นพบสิ่งนี้มาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตั้งชื่อให้ดูสวยงามสักหน่อย จะตั้งว่าอะไรดีนะ? หยกก้อนนี้เหมือนกับแสงของดาวที่ส่องประกายระยิบระยับ…


 


 


 “ถ้าอย่างนั้นก็ชื่อประกายดาวก็แล้วกัน!” ซีเหมินจินเหลียนกล่าว


 


 


 “ดีครับ” จ่านป๋ายพยักหน้าเห็นด้วย “ชื่อไม่เลวเลย!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนบอกว่าจะลงมือก็ลงมือ ตอนนี้เธอเริ่มเจียระไนหยกออกมาเพื่อทำกำไล ส่วนจ่านป๋ายไม่มีอะไรทำจึงได้รับคำสั่งจากซีเหมินจินเหลียนให้จัดการกับหินหยกที่เหลือ


 


 


หินหยกพวกนั้นเป็นแค่ชนิดน้ำแข็ง ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้สนใจมากจึงกำชับจ่านป๋ายว่าขอแค่ตัดอย่างระมัดระวังก็พอแล้ว ให้หยกข้างในเผยออกมาเป็นอันสำเร็จ


 


 


ใช้เวลาไปทั้งหมดสามวัน ในที่สุดซีเหมินจินเหลียนก็จัดการกับหยกที่ซื้อมาจากถนนหยกทั้งสิบห้าชิ้นได้สำเร็จ เมื่อตัดทั้งหมดออกมา จ่านป๋ายมองเห็นมีทั้งชิ้นเล็กใหญ่คละกันไป เขียวอ่อน เขียวพอดี เขียวสด เขียวพระอาทิตย์ เขียวถั่วเขียวล้วนเป็นแต่ชนิดน้ำแข็ง รู้สึกว่าตาลายไปหมด


 


 


ถ้าหากบอกว่าซีเหมินจินเหลียนใช้ดวงในการเล่นเดิมพันหิน ตีเขาให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ หินหยกทั้งสิบห้าชิ้นนี้ มีสิบชิ้นที่เป็นชนิดน้ำแข็ง แถมสีสันยังใสบริสุทธิ์ ความโปร่งแสงยิ่งไม่ต้องพูดถึง


 


 


ส่วนที่เหลืออีกสองชิ้น ก็ยังพอมีหยกอยู่เล็กน้อย เพียงแต่สีไม่สวยงาม ที่เหลืออีกสามชิ้นเป็นแค่หินสีขาวเท่านั้น


 


 


จ่านป๋ายรู้สึกเบื่อจึงนำหินที่ตัดออกทั้งเล็กใหญ่มาเรียงไว้เป็นแถวเหมือนก้อนเต้าหู้ ซีเหมินจินเหลียนเห็นแล้วได้แต่ยิ้มหัวเราะ ดูไม่ออกจริงๆ ว่าผู้ชายหนุ่มเติบโตขนาดนี้แล้วแต่ยังชอบเล่นอะไรแบบนี้อีก?


 


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยังมีเรื่องที่รู้สึกไม่สบายใจ ผู้ชายกับผู้หญิงก็แตกต่างกันจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นเธอ อยากจะผ่าหยกทั้งหมดออกมา เกรงว่าคงใช้เวลาอย่างต่ำห้าถึงหกวัน มากสุดก็คงสิบวันหรือไม่ก็ครึ่งเดือน แต่จ่านป๋ายกลับใช้เวลาเพียงแค่สามวัน แถมดูแล้วก็ไม่ได้เหนื่อยล้าอะไร


 


 


หรือบางที…เธอควรจะจ้างคนมาผ่าหยกโดยเฉพาะ? ถึงเธอจะไม่รู้ว่าในอดีตจ่านป๋ายจะทำอะไรมาก่อน แต่ก็พอมองออกว่าจ่านป๋ายน่าจะเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย เขาไม่เคยตกระกำลำบาก ทำงานที่ใช้แรงงานแถมสกปรกแบบนี้ การที่ให้เขาทำเรื่องเช่นนี้ก็เอาเปรียบเขาอยู่เหมือนกัน


 


 


แต่ว่า เธอจะจ้างใครดีล่ะ? ห้องใต้ดินของเธอไม่สามารถเทียบได้กับโรงงานแปรรูปหยกทั่วๆ ไป ของที่นำเข้ามาก็เป็นแต่หวยหยก หวยหยกกว่าร้อยก้อนที่อยู่ในนี้ ถ้าเผยให้เป็นชนิดน้ำแข็งสีเขียวก็ถือว่าได้พรจากสวรรค์มากยิ่งนักแล้ว


 


 


หยกที่เธอมีอยู่ที่นี้ นอกจากที่เธอตั้งใจเลือกมาไม่ดีนั้น ชิ้นอื่นๆ ต่างก็ต้องเป็นหยกแน่นอน


 


 


ถึงแม้จะเป็นจ่านป๋าย แต่การผ่าหยกทั้งสามวันผ่านมาเขาก็ยังตกตะลึงตาค้าง เมื่อมองไปที่หินหยกราคาหลายสิบล้านแล้ว เธอก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกยาว…หรือจะต้องลำบากตัวเองเสียแล้ว?


 


 


ตอนที่เธอเรียกหาจ่านป๋ายมาเจรจาปัญหานี้ จ่านป๋ายกลับไม่รู้สึกอะไร เขาเพียงยิ้มแล้วพูดว่า “ความจริงแล้ว ผมก็มีคนหนึ่งที่เหมาะสม!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนสงสัย ทันใดนั้นก็รู้ว่าเขาหมายถึงใคร จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เขาก็เป็นคุณชาย ตั้งแต่เด็กก็ถูกเลี้ยงมาอย่างดี แล้วจะมาทำงานใช้แรงงานสกปรกแบบนี้ได้ยังไงกัน”


 


 


จ่ายป๋ายยิ้ม “ถ้าหากเขารู้ว่าในนี้มีหยกตั้งมากมาย เกรงว่าไล่ยังไงเขาก็คงไม่ไป”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเบ้ปาก แล้วหันไปใส่ใจในการเจียระไนกำไลประกายดาวของเธอต่อ แต่ทำได้เพียงแค่ชั่วครู่เธอก็หยุดแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “สิ่งที่พวกคุณเตรียมไว้ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้วคะ”


 


 


“ผมบอกข้อมูลหลินเจิ้งไปผิดๆ ตระกูลหลินตอนนี้กำลังตกอยู่สถานการณ์ลำบาก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


 


 


“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนก้มหน้าเจียระไนกำไลประกายดาวต่อไป กำไลสองคู่นี้เธอใช้กระบวนการทำแบบโบราณ เป็นกำไลกลมแบบคลาสสิค เมื่อเจียระไนเสร็จทั้งหมด ข้างในกำไลก็จะส่องแสงระยิบระยับ ออกมาอย่างเห็นได้ชัด


 


 


“จินเหลียน…” จ่านป๋ายลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งตรงข้ามกับเธอ


 


 


“หืม…มีอะไรเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นไปถามเขา


 


 


“ตระกูลฉินเกิดปัญหาแล้วครับ”


 


 


“เกิดอะไรขึ้นคะ” ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ เต้นแรงขึ้นอย่าง ตระกูลฉิน? ตระกูลของฉินเฮ่า?


 


 


“ผู้เฒ่าฉินถูกคนฆ่าตายที่บ้านของตัวเอง” จ่านป๋ายพูด “ตรงกลางกระหม่อม ด้วยปืนนัดเดียว!”


 


 


“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้นก็ร้องออกมาอย่างตกใจ คดีฆาตกรรมหรือ? ช่วงที่ผ่านมานี้เธอก็ดูข่าวอยู่บ่อยๆ แต่ทำไมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้?


 


 


มุมปากของจ่านป๋ายเชิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เยาะเย้ยพูดต่อไปว่า “ถูกปิดข่าวอยู่แล้ว คุณเลยไม่รู้!”


 


 


“แล้วฉินเฮ่าล่ะ เขาเป็นอะไรไหม?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างกระวนกระวายใจ


 


 


“ผู้เฒ่าฉินตายไป ทั้งตระกูลฉินก็วุ่นวายขึ้นมา ถ้าตามหลักการแล้วทรัพย์สมบัติทั้งหมดต้องตกเป็นของพ่อของฉินเฮ่า แต่ฉินเฮ่า ฉินซินและยังมีลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ อีก ก็มีสิทธิที่จะครอบครองมรดกในครอบครัว เลยเป็นการต่อสู้อย่างดุเดือด” จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะพูดอย่างไร คนรวยแย่งสมบัติกันในตระกูล ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเธอเลย เธอชอบการปิดประตูอยู่เงียบๆ แล้วมุ่งความสนใจไปที่หยก!


 


 


“ตระกูลฉินในตอนนี้เกิดเปลวไฟของสงครามแล้ว!” จ่านป๋ายยังคงพูดต่อ “ฉินเฮ่าที่นิ่งเงียบมาตลอด ตอนนี้ก็ออกมาต่อสู้ด้วย สำหรับเรื่องหัวหน้าตระกูลคนถัดไป เขามีสิทธิที่จะชนะ…”


 


 


“ฉันกับฉินเฮ่าเป็นแค่เพื่อนกัน ขอแค่เขาไม่เป็นอะไร ที่เหลือก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันนี่นา” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าเบาๆ เรื่องแบบนี้ เธอไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่


 


 


จ่านป๋ายหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์ยับย่นแผ่นหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ แล้วเปิดส่งออกไปให้เธอ “คุณดูเองก็แล้วกันครับ”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนสงสัยจึงรับหนังสือพิมพ์มาจากเขา หนังสือพิมพ์ฉบับเย็นของเซี่ยงไฮ้พาดหัวข่าวใหญ่ด้วยตัวหนังสือใหญ่โตเห็นชัดสองตาว่า ‘สองตระกูลใหญ่ขัดแย้ง…เพราะสาวงาม!’


 


 


“ฉินเฮ่าจัดงานแถลงข่าว ประกาศออกไปว่าการที่เขาแย่งตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลฉิน ก็เพียงแค่เพราะเพื่อนสาวคนสนิท!” จ่านป๋ายพูด


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยังคงสงสัย เธอขยับข้อมือที่ใส่กำไลประกายดาวไปอย่างไร้ทิศทาง แล้วถามไปว่า “เขาแย่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แย่งมรดก มันก็เหมือนเป็นแค่เรื่องภายในของตระกูลฉิน ทำไมถึงจะต้องเรียกนักข่าวมาจัดงานแถลงข่าวด้วยคะ”


 


 


เขาไม่ใช่ดารา จะต้องทำเรื่องใหญ่โตไปทำไม? ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างไม่เข้าใจ


 


 


“คุณยังรู้จักเขาไม่ดีพอ” จ่ายป๋ายพูด “ธุรกิจของตระกูลฉินเป็นธุรกิจใหญ่ ทำให้มีผลกระทบต่อธุรกิจในสายงานอื่นๆ สำหรับคนที่จะสืบทอดเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ไม่เพียงแต่มีอำนาจใหญ่ดูแลเรื่องภายในตระกูล เขาได้เตรียมตัวมาไว้หมดแล้ว เพียงแต่ว่าผมคิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้วิธีการนี้”


 


 


“แล้วเรื่องนี้…เกี่ยวอะไรกับฉันกัน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า การที่เป็นเพื่อน เธอแค่หวังว่าฉินเฮ่าจะสามารถสืบทอดธุรกิจของตระกูลต่อไป แต่ว่าการที่เขาจะแย่งมายังไงนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของเขา เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา จะไปช่วยอะไรได้


 


 


“เพื่อนสาวคนสนิทที่เขาว่า ก็หมายถึงคุณครับ” จ่ายป๋ายตอบกลับไป


 


 


“ฉัน?” ซีเหมินจินเหลียนนิ่งอยู่นานพูดอะไรไม่ออก แม้ในข่าวหนังสือพิมพ์เธอจะพอคาดเดาได้ แต่เมื่อจ่านป๋ายพูดยืนยันออกมา มันก็เหมือนอีกเรื่องหนึ่ง


 


 


“ฉันเป็นแค่ผู้หญิงจนๆ ที่เล่นแต่หินนะ!”


 


 


“ตัวตนของคุณปิดไม่ได้หรอก คุณกับเขาเคยไปออกงานด้วยกันในวันเกิดของผู้เฒ่าหลิน” จ่านป๋ายถอนหายใจ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อย่างมากคนก็จะพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างฉินเฮ่าและซีเหมินจินเหลียนก็แค่นั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร


 


 


เพียงแต่ว่า ถ้าหากมีนักข่าวขุดค้นประวัติของเขาออกมาละก็ นี่คงเป็นเรื่องใหญ่แน่


 


 


ส่วนฉินซินคงไม่ยอมให้ฉินเฮ่าสืบทอดเป็นหัวหน้าตระกูลแน่ เวลานี้คงหาโอกาสที่จะแก้แค้นฉินเฮ่า


 


 


คิดมาถึงตรงนี้ จ่านป๋ายก็รู้สึกสมองจะระเบิดออกมา เขาไม่เข้าใจ ฉินเฮ่าแย่งสิทธิในการเป็นผู้สืบทอดตระกูลนี่เป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้ แต่ทำไมจะต้องเอาซีเหมินจินเหลียนมาเกี่ยวข้องเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมด้วย?


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 23 ไม่ควรเร็วเกินไป

 

ซีเหมินจินเหลียนก้มหน้าก้มตาเจียระไนทำกำไลประกายดาวของเธอต่อไป เรื่องแย่งชิงทรัพย์สมบัติของคนรวยช่างห่างไกลจากเธอนัก นับตั้งแต่เลิกกับหวังหมิงหยางเธอก็รู้สึกว่าเธอเหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝัน…


 


 


เพียงแค่รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเหมือนไม่ใช่ความจริง เธอมีเงิน มีบ้าน มีรถ แต่ก่อนมีโอกาสได้แค่มองหยกชั้นดีผ่านทางกระจกที่ขวางกั้นเท่านั้น แต่ตอนนี้เหมือนกับมีไว้เป็นของเล่น ถืออยู่ในมือแล้วเล่นมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เครื่องประดับราคาเป็นพันล้าน แต่เธอไม่ได้เก็บไว้ในตู้นิรภัย กลับเอาไปใส่ประดับบนตัว


 


 


“จินเหลียน…ผมกำลังคุยกับคุณอยู่นะครับ” จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนก้มหน้าไม่พูดไม่จา


 


 


“ฉันกำลังฟังอยู่…” ซีเหมินจินเหลียนพูด “เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอะไร สงครามระหว่างพวกเขา ฉันเกี่ยวข้องอะไรด้วย? ฉันแค่อยากมีชีวิตเรียบง่ายอยู่กับการเจียระไนหยก ไปตลอดชีวิตก็เท่านี้”


 


 


เธอใส่กำไลที่เจียระไนเสร็จไว้ในข้อมือ ภายในหยกมีแสงระยิบระยับสะท้อนพรั่งพราว ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังคว้าดวงดาวไว้ในมือ แต่ว่าจิตใจของเธอกลับไม่แจ่มใส


 


 


“สวยมาก!” จ่านป๋ายเห็นข้อมือสีขาวเนียนใส่กำไลหยกสีเขียวที่มีแสงระยิบระยับ จึงเอ่ยปากชมออกไป “กำไลสวยมาก คนก็สวยเหมือนกัน ถ้าหากมีเพื่อนสาวคนสนิทอย่างนี้ มันก็คุ้มที่จะยอมต่อสู้”


 


 


 ซีเหมินจินเหลียนหลบหลีกสายตา ขนตาที่งอนยาวได้ปิดสายตาที่เปล่งประกายออกมาราวกับแสงของดาว ช่างน่าสดใสอะไรเช่นนี้!


 


 


“เสี่ยวป๋าย ช่วยออกความคิดเห็นให้ฉันหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนหันไปมองเขาด้วยสีหน้าขอร้อง


 


 


“อะไรหรือครับ” จ่านป๋ายสงสัย ออกความคิดเห็น เธอให้เขาออกความคิดเห็นเรื่องอะไร?


 


 


“ฉันกับอนาคต!” ซีเหมินจินเหลียนยังคงพูดต่อ”บางที ฉันควรจะกลับไปที่บ้านเกิด เหมือนกับอาจารย์และคุณย่า ที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายมีความสุขไปจนแก่เฒ่า”


 


 


“คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณย่ากับอาจารย์ใช้ชีวิตเรียบง่ายแล้วมีความสุข?” จ่านป๋ายขมวดคิ้วถาม “ศิษยฝ่ายใต้ที่ลึกลับ ท้ายที่สุดจะกลับไปฝังตัวเองอยู่ที่เนินเขาแห้งแล้ง ในนั้นมีความลับอะไรซ่อนเอาไว้อยู่ คุณจะรู้ได้ยังไง?”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนั่งเท้าคางถอนหายใจ ใช่แล้ว ถ้าหากอาจารย์และคุณย่าเป็นผู้สืบทอดจากทางใต้ แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องปกปิดชื่อของตัวเองฝังลงไปที่เนินเขาด้วย สุดท้ายใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว?


 


 


“ฉันไม่ใช่ศิษย์ฝ่ายใต้” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ผู้เฒ่าหลินจะเข้าใจผิดก็เข้าใจผิดไป เพราะยังไงเธอก็ต้องการสถานะอื่นเพื่อที่จะมาปิดบังพรสวรรค์ของตน แต่ว่าเธอหวังว่าจ่านป๋ายจะไม่เข้าใจผิดไปด้วย


 


 


“จินเหลียน สำนักทางใต้จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่ครับ”


 


 


“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าหันไปมองเขา


 


 


“จินเหลียน ผมพูดตามตรง” จ่านป๋ายห่างจากเธอพอสมควร ถึงกล้าพูดออกไปว่า “ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับศิษย์ฝ่ายใต้ ผมคิดว่าคุณย่าของคุณและอาจารย์ของคุณ น่าจะเป็นศิษย์ทางฝ่ายใต้…”


 


 


“เหลวไหล!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ฉันยอมให้พวกเขาเป็นหญิงชรากับชายแก่ที่อยู่ในชนบทดีกว่า!”


 


 


 “ช่างเถอะครับ เราไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว” จ่านป๋ายยิ้มอย่างอ่อนโยน “แล้วตอนนี้คุณจะเตรียมตัวทำยังไงต่อไป”


 


 


“นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว คุณก็ชอบโม้นักไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่คุณจะแสดงออกมาให้เห็นแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วพูดว่า “ถ้าไม่อยากให้ฉันไล่คุณออก คุณก็ต้องพยายามแสดงความสามารถให้ฉันดู”


 


 


จ่านป๋ายยิ้ม โอเค อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่า หากมีเขาอยู่แล้วจะมีใครกล้าทำร้ายซีเหมินจินเหลียน ขอแค่เธอมีความสุข เรื่องสิ่งอื่นก็ช่างมันเถอะ เขาก็ทำตัวหยาบคายอารมณ์ร้อนเกินไป มักจะพาตัวเองไปผูกติดกับเรื่องแบบนี้ เพราะฉะนั้นเขาใช้ชีวิตเหมือนเธอที่สงบนิ่งไม่ได้


 


 


เดิมทีเขายังคงเป็นกังวลว่าซีเหมินจินเหลียนจะไม่สบายใจ เลยเก็บไว้ค่อยบอกเธอ แต่เรื่องมาขนาดนี้แล้วใครจะสามารถปิดบังต่อไปได้อีก?


 


 


แน่นอน เขาไม่คิดว่าซีเหมินจินเหลียนจะผ่อนคลายจิตใจลงได้อย่างสงบ นั่นเป็นเพราะว่าเธอคงผ่านความรักขมขื่นมาเยอะเหลือเกิน ถึงมีพลังบวกได้ขนาดนี้ เมื่อคนเจอเรื่องที่ทำให้สิ้นหวัง ต่อให้ไม่พูดจาอะไร ก็จะเข้าใจได้ด้วยตัวของมัน สำหรับเรื่องของความรู้สึก ซีเหมินจินเหลียนเป็นคนมั่นใจ ถึงแม้ภูเขาไท่ซานจะพังทลายลงมาต่อหน้า สีหน้าของเธอก็ไม่แปรเปลี่ยนเลยสักนิด…


 


 


“คุณคงไม่เลือกทดสอบผมแบบนี้หรอกนะครับ?” จ่านป๋ายถาม


 


 


“ทำไมจะเป็นไม่ได้คะ?” ซีเหมินจินเหลียนตอบ


 


 


จ่านป๋ายกำลังจะพูด แต่ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาก่อน เขาก็อดที่จะนิ่งอึ้งไม่ได้ ก่อนที่เขาจะมาหาซีเหมินจินเหลียน เขาก็ตั้งใจเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่แล้ว คนทั่วไปไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเขา


 


 


จ่านป๋ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นเบอร์แปลกโทรเข้ามา ไม่ทันได้คิดอะไรเขาก็กดรับ


 


 


“จ่านมู่หรง…” ฉินเฮ่าเรียกชื่อเขาผ่านโทรศัพท์ออกมาด้วยน้ำเสียงที่สดใส


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นมามองไปทางจ่านป๋าย เธอได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูดออกมา คิดไม่ถึงว่าฉินเฮ่าจะโทรมาหาเขา เขารู้ว่าชื่อเดิมของจ่านป๋ายคือจ่านมู่หรง?


 


 


“ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามารบกวนผม!” จ่านป๋ายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


 


“ต้องมีเรื่องอยู่แล้ว จินเหลียนอยู่หรือเปล่า”


 


 


“นี่ก็ไม่ใช่เรื่องไร้สาระเหรอ?” จ่านป๋ายพูดอย่างไม่มีใยดี


 


 


“พวกคุณอยู่ที่บ้านกันอย่างนั้นเหรอ” ฉินเฮ่าถามอีกครั้ง


 


 


จ่านป๋ายขี้เกียจจะพูดจากับเขา ฉินเฮ่าเลยพูดต่อว่า “ผมโทรเข้าเบอร์ของจินเหลียน แต่ไม่มีใครรับสาย ถ้าอย่างนั้นผมจะเข้าไปหา!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้น ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอวางโทรศัพท์ของตัวเองไว้ที่ห้องนอน ส่วนจ่านป๋ายรีบกดวางสายไป สำหรับเรื่องที่ฉินเฮ่าได้เบอร์ของเขามาได้ยังไงนั้นเขาไม่ได้ถามออกไป เรื่องเล็กน้อยแค่นี่ถ้าเขายังทำไม่ได้ ก็ดูจะไก่อ่อนเกินไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะใช้อะไรมาต่อสู้กับฉินซินเพื่อแย่งสิทธิครอบครองมรดกไว้ล่ะ?


 


 


“อย่างนั้นฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนและเดินออกไปข้างนอก กลับไปที่ห้องนอนเธอแล้วจัดการอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนไปสวมชุดเดรสกระโปรงยาว เมื่อจับบันไดเดินลงมาก็เห็นจ่านป๋ายและฉินเฮ่านั่งอยู่ด้วยกันที่ห้องรับแขกด้านล่าง


 


 


“จินเหลียน!” ฉินเฮ่าลุกขึ้นมา โอบช่อดอกทิวลิปสีขาวช่อใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาส่งไปให้เธอ


 


 


“ดอกไม้สวยจังเลยค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนรับมาแล้วพูดขอบคุณ ดอกทิวลิปที่พบเจอได้ทั่วไป แต่ทิวลิปสีขาวถือว่าไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก โดยเฉพาะเมื่อจัดช่อเคียงคู่กับใบไม้สีเขียวเรียวยาวที่แทรกแซมกับดอกไม้สีขาวสดนั่น ช่างทำให้มีความรู้สึกอ่อนโยนละเอียดอ่อน


 


 


จ่านป๋ายพูดกลับไปอย่างเย็นชา “คุณจินเหลียนชอบแต่ดอกบัว ไม่ชอบดอกทิวลิป”


 


 


“ผมไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับคุณ!” ฉินเฮ่านั่งลงบนเก้าอี้


 


 


“พี่ฉิน มีเรื่องอะไรเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนกล่าวพลางนั่งลงไปบนโซฟา


 


 


ฉินเฮ่าพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาก็รู้!” พูดไปพลางหันหน้าไปมองจ่านป๋าย


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหันหน้าไปมองจ่านป๋ายด้วยความสงสัย หรือว่าจ่านป๋ายจะมีเรื่องอะไรที่ปิดบังเธออยู่งั้นเหรอ? จ่านป๋ายเลยพูดว่า “หุ้นของตระกูลหลินที่อยู่ด้านนอก พวกเราได้ซื้อไว้แล้วสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าผู้เฒ่าหลินแพ้เดิมพันหยกก้อนนั้นไปเลยทำให้หุ้นของตระกูลหลินตกลงอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นพวกเราใช้เงินซื้อไปแค่สองร้อยสามสิบล้าน ถูกกว่าที่คิดไว้ลงไปเยอะทีเดียว


 


 


“พวกเราไม่ได้จัดการเรื่องทั้งหมดให้เรียบร้อย!” ฉินเฮ่าอธิบาย “ยังมีหุ้นที่แตกสะพัดอยู่ข้างนอก พวกเราไม่ได้ซื้อไว้ทั้งหมด มากสุดก็แค่ถือไว้แปดเปอร์เซ็นต์ รวมแล้วในมือของพวกเราตอนนี้ถือหุ้นของตระกูลหลินอยู่สิบห้าเปอร์เซ็นต์”


 


 


“จินเหลียน หุ้นพวกนี้ ผมได้ใส่ชื่อเป็นชื่อคุณทั้งหมด!” จ่านป๋ายพูด


 


 


สำหรับหุ้นที่ได้โอนเป็นชื่อของซีเหมินจินเหลียน เขาและฉินเฮ่าได้เคยเจรจากันไว้แล้ว ถึงจะเป็นความร่วมมือในการทำงาน แต่ทั้งสองคนก็ไม่สามารถที่จะเชื่อใจใครได้ กลัวว่าจะถูกใครเล่นงานเข้า เพราะฉะนั้นจึงใส่ชื่อไปในนามของซีเหมินจินเหลียน ทั้งสองจึงวางใจ


 


 


“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า สำหรับเรื่องนี้เมื่อคืนตอนกลางคืนจ่านป๋ายได้บอกกับเธอไว้แล้ว เพียงแต่เธอไม่ค่อยเข้าใจเลยไม่ได้ถามรายละเอียด


 


 


“จินเหลียน ความหมายของพวกเราก็คือ พวกเราต้องทำบริษัทอัญมณีหยกนี้ขึ้นมา จะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบใคร!” ฉินเฮ่าพูด


 


 


“เอาเปรียบใคร?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไงคะ”


 


 


“ยกตัวอย่างแล้วกัน ถ้าหากพวกเราก่อตั้งบริษัทอัญมณีนี้ขึ้นมา ยอดขายจากหนึ่งร้อยล้านก็กลายเป็นหนึ่งพันล้าน ดังนั้นผู้ถือหุ้นเดิมที่ถือหุ้นในบริษัทนี้ มูลค่าจะสูงเป็นสิบเท่า” จ่านป๋ายอธิบายต่อ “เพราะฉะนั้นพวกเราเจรจา ตกลงกันว่าจะต้องซื้อหุ้นตระกูลหลินที่เหลือเก็บมาไว้ด้วย”


 


 


“ต้องใช้เงินเท่าไหร่” ซีเหมินจินเหลียนเริ่มกังวลเกี่ยวกับเงิน เธอไม่กังวลไม่ได้เพราะว่าเงินที่เธอมีอยู่ตอนนี้ ไม่เพียงพอ ยังห่างไกลอีกนัก


 


 


“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงินครับ!” ฉินเฮ่าพูดต่อ “ปัญหาที่สำคัญก็คือ…กลัวว่าพวกเขาจะไม่ขาย!”


 


 


“ในส่วนหุ้นของเครือญาติตระกูลหลิน ถ้าพวกเขาไม่ขาย มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ ถึงจะเป็นการทำธุรกิจ แต่ว่าก็ไม่อาจจะบังคับบีบเค้นให้ซื้อขายได้


 


 


“วันนี้ตระกูลหลินกำลังตกที่นั่งลำบาก หนทางเดียวของคุณปู่หลินก็คือขอยืมเงินจากตระกูลลู่มาหมุนเวียน แต่ว่าถึงจะเป็นอย่างนั้น…” ฉินเฮ่าวิเคราะห์สถานการณ์ของตระกูลหลินตอนนี้แล้วยังพูดต่อว่า “ตอนนี้เครือญาติของตระกูลหลินจะต้องใช้โอกาสนี้ถอนมือจากหุ้นบริษัทตระกูลหลินเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย ดังนั้นหุ้นที่อยู่ในมือของคนพวกนี้ ไม่น่าจะต้องกังวล ขอแค่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อ”


 


 


 ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ถึงเธอจะไม่เข้าใจกลยุทธ์การค้า แต่เธอก็คิดว่าบริษัทตระกูลหลินไม่น่าจะล้มละลายลงง่ายๆ เพราะตระกูลหลินผ่านลมร้อนผ่านหนาวมาก็มากนัก ยังยืนหยัดขึ้นมาได้


 


 


สถานการณ์ของตระกูลหลินตอนนี้ สาเหตุน่าจะมาจากคุณปู่หลินเป็นคนหาเรื่องมาให้ แต่ในสายเลือดแท้ๆ ลูกหลานก็ไม่ได้ติโทษโกรธเคืองอะไร แต่ทางเครือญาติกลับไม่คิดอย่างนั้น คำกล่าวโทษย่อมมีแน่นอน ถ้าหากมีโอกาสเปลี่ยนหุ้นในมือเป็นเงินสดประกัน ย่อมจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ?


 


 


“แต่ว่า มีหุ้นของคนหนึ่งที่ไม่น่าจะยอมขายง่ายๆ” ฉินเฮ่าพูดอีกครั้ง


 


 


“หลินเจิ้ง?” ซีเหมินจินเหลียนลองทายดู


 


 


“ใช่แล้วครับ!” จ่านป๋ายพูดต่อ “ถ้าหากซื้อหุ้นที่อยู่ในมือของเขาไม่ได้ พวกเราก็จะควบคุมบริษัทตระกูลหลินไม่ได้ และผมก็คงไม่สบายใจอย่างมาก นี่ก็เหมือนกับว่าเอาเงินตัวเองไปให้คนอื่นลงทุนฟรีๆ!”


 


 


“คุณดูมีความมั่นใจมาก!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม


 


 


“ผมว่าตอนนี้พวกเราไม่ควรจะไหวตัวเร็วเกินไป!”


 


 


“ทำไม?” ซีเหมินจินเหลียนและฉินเฮ่าถามขึ้นมาพร้อมกัน

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 24 สัญญาต่อฟ้าว่าจะไม่รังแกเธอ

 

จ่านป๋ายเคาะนิ้วเรียวยาวของเขาไปที่โต๊ะน้ำชา “ขอแค่ผู้เฒ่าหลินจากไป สงครามภายในของตระกูลหลินก็จะเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อใจคนไม่คงที่ ตอนที่เราอยากจะซื้อหุ้น ก็คงจะขายออกมาง่ายๆ พวกเราไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ดูสถานการณ์ไปก็พอครับ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้นจึงส่ายหัวออกมา “ดูจากคุณปู่หลินตอนนี้ร่างกายยังแข็งแรงดี คงจะไม่จากไปเร็วหรอก อยู่อีกสักสามปีห้าปีก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไร” หรือพวกเขารอเวลานานขนาดนั้นไม่ได้? จากที่เธอเข้าใจจ่านป๋ายและฉินเฮ่า สองคนนี้คงไม่มีความอดทนรอนานถึงสามปีห้าปีแน่… 


 


 


ไม่สิ ถ้าหากว่าเป็นเธอ เธอก็ไม่มีความอดทนรอนานขนาดนั้น ชีวิตคนเราสั้นแค่นิดเดียว จะรอไปถึงสามปีห้าปีเพื่ออะไร? 


 


 


“ไม่ต้องรอนานขนาดนั้นหรอกครับ” จ่านป๋ายยิ้มนิ่ง 


 


 


ฉินเฮ่าได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ซีเหมินจินเหลียนลองคิดดู ในใจก็เกิดความรู้สึกตกใจขึ้นมา การซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลิน เธอก็รับข้อนี้ได้ถ้ามาด้วยวิธีที่ถูกกฎหมาย แต่ถ้าใช้วิธีไม่ถูกกฎหมายและแลกมาด้วยคราบเลือดแล้วละก็ เธอไม่ขอรับฟังและยุ่งเกี่ยวอะไรทั้งนั้น 


 


 


“พวกคุณคิดจะทำอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสีหน้าวิตกกังวล 


 


 


“จินเหลียน คุณวางใจได้ครับ พวกเราไม่ทำอะไรทั้งนั้น” จ่านป๋ายรีบพูดปลอบใจเธอ เขาไม่ต้องทำอะไรจริงๆ เรื่องบางเรื่องขอแค่อดทนเฝ้ารอสถานการณ์อย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว 


 


 


“พวกคุณทำอะไรกันแน่” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


“คุณปู่หลินอายุปูนนี้แล้ว” ฉินเฮ่ายิ้มออกมา “เขาคงต้านรับการถูกโจมตีครั้งนี้ไม่ไหวหรอกครับ” 


 


 


“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คะ?” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินเป็นเพียงบทนำของเรื่องเท่านั้น 


 


 


“ผมได้ยินมาว่า หวังเซียงฉินท้องแล้วครับ” ฉินเฮ่ายิ้มออกมา 


 


 


“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิด การที่หวังเซียงฉินท้อง สำหรับคุณปู่หลินแล้วคงจะเป็นของขวัญล้ำค่าที่ได้มาจากฟากฟ้า… 


 


 


“เรื่องอะไรที่คุณไม่รู้ คุณปู่หลินก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าตัวของหลินเจิ้งนั้นรู้ดีว่าลูกในท้องของหวังเซียงฉินไม่ใช่ลูกของหลินเจิ้ง” ฉินเฮ่าเผยยิ้มขึ้นมาอีกรอบ 


 


 


“คุณรู้ได้ยังไง” ซีเหมินจินเหลียนมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย หรือว่าเขาเป็นคนทำให้หวังเซียงฉินท้อง ไม่อย่างนั้นเรื่องแบบนี้ เขาจะรู้มาได้จากที่ไหน? 


 


 


“ในเมื่ออยากจะซื้อหุ้นของตระกูลหลิน ผมก็ต้องทำอะไรสักหน่อย ใช้เงินนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ฉินเฮ่าพูดขึ้น 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี จ่านป๋ายเลยขมวดคิ้วพูดว่า “ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ยังไงผู้เฒ่าหลินก็ต้องบังคับให้หลินเสวียนหลานแต่งงานกับลู่เฟยอวี๋…” 


 


 


“เรื่องแบบนี้ ก็ต้องดูว่าคุณชายหลินจะจัดการยังไง” ฉินเฮ่าส่ายหัวเบาๆ ถ้าหากหลินเสวียนหลานอยากจะได้อำนาจของผู้เฒ่าหลินมาครอบครอง เขาก็ต้องยินยอมแต่งงานกับลู่เฟยอวี๋ การทำแบบนี้จะทำให้บริษัทตระกูลหลินหลุดพ้นจากวิกฤตได้ในตอนนี้ แต่ว่าตระกูลลู่จะยอมอดยากปากแห้งเหรอ? 


 


 


ธุรกิจสายอัญมณี ได้กำไรมหาศาล ใครๆ ก็อยากจะมีส่วนร่วมอยากได้ผลประโยชน์  


 


 


ไม่มีเพื่อนแท้ตลอดไป มีเพียงแต่ผลประโยชน์ตลอดกาล ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ก็มีแค่ใช้ผลประโยชน์กับถูกใช้ผลประโยชน์… 


 


 


“จินเหลียน คุณมีเพื่อนที่ชื่อจินอ้ายกั๋วหรือเปล่าครับ” ฉินเฮ่าถาม 


 


 


สีหน้าของจ่านป๋ายไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ส่วนซีเหมินจินเหลียนก็มีท่าทีที่ผิดสังเกต จู่ๆ ทำไมฉินเฮ่าถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาได้? 


 


 


“ผมรู้ว่า น้องสาวของเขากับคุณเป็นเพื่อนสมัยมหาลัย ความสัมพันธ์ของพวกคุณดีมาตลอดไม่ใช่หรือ?” ฉินเฮ่าพูด ครั้งแรกที่เขาเจอซีเหมินจินเหลียน เธอก็อยู่กับหญิงสาวที่กำลังกินไอศกรีม ภายหลังเขาถึงได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นก็คือน้องสาวของจินอ้ายกั๋วชื่อว่าจินอ้ายหัว… 


 


 


“ใช่แล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “พี่ฉิน ถามถึงเรื่องนี้ทำไมคะ?” 


 


 


“ให้จินอ้ายกั๋วช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหมครับ” 


 


 


“คะ?” ใบหน้าของซีเหมินจินเหลียนเต็มไปด้วยอาการสงสัย เธอรู้ว่าฝีมือทางการแพทย์ของจินอ้ายกั๋วนั้นไม่ธรรมดา แต่ว่าฉินเฮ่ามีเงินตั้งมากมาย ถ้าหากป่วยก็ควรจะไปรักษาที่โรงพยาบาลเครือใหญ่สิ ไม่น่าจะมาโรงพยาบาลเล็กๆ แบบนี้ หรือว่าเขาจะเป็นโรคอะไรที่ไม่กล้าพูดออกมา? 


 


 


“จินอ้ายกั๋วคนนั้น ไม่เพียงแต่ฝีมือทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม แต่เขายังเป็นนักพนันชั้นหนึ่ง!” ฉินเฮ่ายิ้มออกมา คนที่ชอบการพนันไม่แบ่งแยกฐานะรวยจนหรอก 


 


 


“ความหมายของคุณคือ?” จ่านป๋ายขมวดคิ้วขึ้นนิดหน่อย 


 


 


“จ่านมู่หรง สำหรับคุณแล้ว การวางแผนเรื่องแค่นี้ คงไม่ยากหรอกนะ?” ฉินเฮ่าพูด 


 


 


“จัดการกับหลินเจิ้ง เป็นเรื่องที่ง่ายมาก!” เส้นผมยาวของเขาลงมาปรกดวงตาของเขาพอดี บดบังสายตาพิฆาตที่วาบประกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่เหลือทั้งหมดก็ไม่น่ามีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว!” ฉินเฮ่ายิ้มออกมา ขอแค่จ่านป๋ายตอบตกลงในการเดิมพันครั้งนี้ เรื่องที่เหลือก็ตกอยู่ในกำมือของเขา เขารู้ว่าการปรากฏตัวของซีเหมินจินเหลียน ทำให้ชะตาชีวิตของเขามาถึงจุดเปลี่ยน เขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เขาจะต้องไม่ใช่คนทั่วไป 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิ้วขมวดขึ้นมาไม่คลาย เรื่องบางเรื่องมักจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้เลย หรือว่าเธอเกี่ยวข้องกับพวกคนรวยที่ชอบซ่อนสิ่งสกปรกๆ ไว้ในตัวอยู่?  


 


 


“จินเหลียน กำไลที่อยู่บนข้อมือของคุณสวยมากเลยครับ” สายตาของฉินเฮ่าตกไปอยู่ที่ข้อมือที่สวมใส่กำไลประกายดาว หยกมรกตสีเขียวที่แสนสดใส เคียงคู่กับแสงดาวระยิบระยับ ทำให้สายตาเปล่งประกายขึ้นมา 


 


 


ตั้งแต่เกิดมา เขาก็ไม่เคยเห็นหยกที่สามารถส่องแสงได้ราวกับดวงดาวเช่นนี้ เธอมักจะทำให้คนอื่นๆ ตื่นตาตื่นใจได้เสมอ… 


 


 


“นี่คือประกายดาวค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “สวยใช่ไหมล่ะคะ?” ระหว่างที่พูดนั้นเธอก็ยกข้อมือขึ้นมายื่นไปให้ฉินเฮ่าถึงข้างหน้า 


 


 


“หยกที่สามารถส่องประกายได้หรือครับ?” ฉินเฮ่าดูอย่างละเอียดแล้วจึงถามออกไป “นี่คือ…อะไรกันแน่?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า เธอและจ่านป๋ายศึกษามาทั้งวัน แต่ก็ไม่สามารถหาค้นตอบของมันได้อย่างชัดเจนว่าคืออะไร ฉินเฮ่าพูดเตือนสติเธออย่างเป็นห่วงว่า “จินเหลียน ของบางอย่างที่ใส่รังสีก็สามารถส่องประกายได้ มันจะไม่ส่งผลดีต่อร่างกายนะครับ” 


 


 


“นี่ไม่ใช่รังสี!” จ่านป๋ายพูดอย่างมั่นใจ “นี่น่าจะจัดอยู่ในหมวดแหล่งกำเนิดแสงเย็นที่พวกเรายังไม่รู้จัก…” 


 


 


“แหล่งกำเนิดแสงเย็นที่ทุกคนกำลังพูดถึงกัน?” สายตาของฉินเฮ่าเพ่งมองไปที่กำไลหยกที่ข้อมือของเธออีกครั้ง ประกายดาวนี้เป็นชนิดเดียวกับแสงของดาวที่อยู่บนท้องฟ้า… 


 


 


ถ้าหากกำไลข้อมือหยกที่เธอใส่อยู่นี้เป็นแหล่งกำเนิดแสงเย็นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นมูลค่าของมัน ก็แทบจะมหาศาล… 


 


 


ฉินเฮ่าแทบที่จะยับยั้งหัวใจของตัวเองไม่ได้ เธอ…ไม่ใช่คนธรรมดา เบื้องบนต้องรักใคร่เมตตาเธอขนาดไหนกันถึงขนาดส่งของขวัญที่ล้ำค่ามาให้เธออย่างง่ายดาย 


 


 


“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เช่นนั้นผมก็ขอตัวกลับก่อนแล้ว จ่านมู่หรง หากคุณวางแผนเสร็จแล้วบอกผมด้วยนะ” ฉินเฮ่าลุกขึ้นมาแล้วส่งสายตาหันไปมองจ่านป๋าย 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นแล้วเข้าใจดี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงบอกให้จ่านป๋ายเดินไปส่งเขาเท่านั้น เรื่องบางเรื่อง ในเมื่อเธอไม่สามารถขัดขวางได้ ไม่สามารถทำอะไรได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงแต่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง! จิตใจสงบจดจ่อกับการเล่นหวยหยกของเธอก็พอแล้ว… 


 


 


 จ่านป๋ายส่งฉินเฮ่าที่หน้าประตู ความรู้สึกของเขารู้ว่าซีเหมินจินเหลียนยังอยู่ที่ห้องรับแขกไม่ไปไหน จึงพิงกับกำแพงประตูถามเขาว่า “ฉินเฮ่า คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ คุณน่าจะรู้ว่าจินเหลียนไม่ชอบใช้วิธีการแบบนี้” 


 


 


“วิธีแบบนี้เร็วที่สุด และได้ผลที่สุด!” ภายใต้รอยยิ้มของฉินเฮ่าแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย 


 


 


“ใช่! ผมยอมรับว่าวิธีนี้เร็วที่สุดและได้ผลมากที่สุด แต่ผมอยากจะรู้ว่าเรื่องนี้คุณก็สามารถปิดบังเธอได้ แต่ทำไมคุณถึงอยากจะพูดต่อหน้าเธออยู่ได้” จ่านป๋ายถามด้วยน้ำเสียงโมโห 


 


 


“คุณน่าจะรู้ว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ตระกูลหลินกำลังทำอะไร” ฉินเฮ่าพูดต่อ “คุณจะปกป้องเธอไปถึงเมื่อไหร่กัน คุณอาจจะคุ้มกันเธอได้แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือคุณคิดจะคุ้มกันเธอไปตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ? คุณบอกผมมาสิว่าช่วงที่ผ่านมาที่ตระกูลหลินส่งพรรคพวกมาทำร้าย คุณก็จัดการไปกี่กลุ่มแล้ว? การคิดจะทำการใหญ่ แต่ไม่มีความคิดที่อันตรายอยู่ในหัว สำหรับเธอแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ดี” 


 


 


จ่านป๋ายไม่ได้พูดอะไรออกมา ฉินเฮ่าเลยพูดต่อว่า “ในเมื่อคุณอยากจะเป็นคนดี ถ้าอย่างนั้นผมจะเป็นคนเลวให้เอง!” 


 


 


“โอเคๆ ผมเบื่อจะถกเถียงกับคุณแล้ว” จ่านป๋ายพยักหน้า “เรื่องของตระกูลฉิน ทำไมคุณถึงดึงเธอไปเกี่ยวข้องด้วย คุณคิดจะทำอะไร?” 


 


 


 “ทำไมคุณถึงใส่ใจเธอขนาดนี้ล่ะ” ฉินเฮ่ายิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “เพราะว่าเธอเคยช่วยชีวิตคุณไว้อย่างนั้นเหรอ?” 


 


 


จ่านป๋ายไม่มีอะไรจะพูดอีก ในเมื่อเขากล้าพูดถึงเรื่องจินอ้ายกั๋ว เขาก็น่าจะรู้ความสัมพันธ์ของตนกับซีเหมินจินเหลียน เรื่องนี้ปิดบังอะไรไม่ได้ 


 


 


“ในเมื่อคุณใส่ใจเธอแบบนี้ อีกทั้งกำลังว่างอยู่…” ฉินเฮ่าพูด 


 


 


“เดี๋ยวก่อน…” จ่านป๋ายสูดลมหายใจลึกๆ ด้วยอารมณ์ดุดัน “คุณต้องการให้ผมช่วยคุณจัดการกับฉินซิน?” 


 


 


“ต้องมีสักวัน ที่ผมจะทำให้ฉินซินมาก้มลงแทบเท้าแล้วขอร้องผมด้วยตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องช่วยผม ผมแค่ต้องการให้คุณช่วยอีกเรื่องหนึ่ง” 


 


 


 “ว่ามา!” จ่านป๋ายไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธ เขาลากซีเหมินจินเหลียนเข้ามา นี่เป็นความรับผิดชอบชั่วชีวิตของเขา 


 


 


“ฉินซวี่!” รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยรังสีแห่งความชั่วร้าย ทั้งๆ ที่ปกติกลับดูสุภาพอ่อนโยน  


 


 


“คุณน่าจะรู้ว่าถ้าไม่มีข้อแลกเปลี่ยนผมก็ไม่ทำ!” ครั้งนี้จ่านป๋ายก็เสนอตัวให้เขารังแกแล้ว? 


 


 


“คุณต้องการอะไร” 


 


 


“ถ้าผมช่วยคุณในครั้งนี้ จากนี้ต่อไปคุณห้ามมายุ่งกับซีเหมินจินเหลียนอีก” จ่านป๋ายยังพูดต่ออีกว่า “เธอกับคุณอยู่ด้วยกัน มันก็อันตรายเกินไป คุณน่ากลัวกว่าฉินซินเป็นหลายเท่า” 


 


 


“คนอย่างฉินเฮ่า ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่เคยตั้งใจทำอะไรเท่าครั้งนี้มาก่อน ความพยายามทั้งหมดของผมก็เพื่อเธอ ให้ผมปล่อยเธอไป นั่นก็เป็นไปไม่ได้” ฉินเฮ่าพูดต่อ “ผมให้คำสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเธอ เพราะฉะนั้นคำขอร้องของคุณ ผมไม่อาจยอมรับได้ คุณไม่ทำ ผมก็สามารถหาคนอื่นมาทำแทนได้” 


 


 


“ทะเลาะกับครอบครัวเพื่อเพื่อนสาวคนสนิท?” จ่านป๋ายยิ้มแล้วพูดต่อ “ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นผมขอเปลี่ยนขอต่อรอง ผมขอหุ้นห้าเปอร์เซ็นของตระกูลฉิน เมื่อทำสำเร็จ!” 


 


 


“ตกลง!” ฉินเฮ่าเหมือนไม่ได้คิดไตร่ตรองอะไร รีบตอบตกลง 


 


 


“แต่ขอให้คุณจำคำพูดของคุณวันนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้น…” จ่านป๋ายยังพูดไม่ทันจบ  


 


 


ฉินเฮ่าหันหลังกลับไปแล้วเดินออกไปข้างนอก ไม่พูดไม่จาสักคำ เขาจะประสบความสำเร็จ ไม่มีใครมาห้ามเขาได้ 


 


 


จ่านป๋ายยืนพิงกำแพงบ้านข้างหน้าบ้าน ความคิดฟุ้งซ่านไปหมด…บางทีเรื่องบางเรื่อง เขาอาจจะทำผิดไปจริงๆ ระหว่างที่เหม่อลอยอยู่นั้น โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา เมื่อหยิบออกมาดูก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ซีเหมินจินเหลียน? เขายืนอยู่หน้าประตู เธอกลับโทรมาหาเขาเพื่ออะไร?  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 25 ลืมพกเงินมา

 

จ่านป๋ายรีบหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน ก็เห็นซีเหมินจินเหลียนนั่งอยู่บนโซฟา 


 


 


“จ่านป๋าย ฉันว่า…เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นไปมองเขา 


 


 


จ่านป๋ายนั่งลงข้างๆ เธอแล้วถามด้วยความระแวงว่า “เรื่องเมื่อกี้เหรอครับ?” 


 


 


“ใช่!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ ฉันแค่ต้องการมีบริษัทอัญมณีเป็นของตัวเอง ครั้งที่แล้วที่คุณวางแผนก็ราบรื่นไปด้วยดี ฉันก็คิดไว้ว่าในอนาคตจะมีวันนั้น วันที่หยกจะสามารถตีตลาดต่างประเทศได้ วันที่หยกสามารถได้รับความสนใจมากกว่าเพชร แต่ฉันไม่หวังว่าความสำเร็จของฉันจะมาจากการทำเรื่องชั่วร้ายผิดศีลธรรมหรอกนะ” 


 


 


“จินเหลียน พวกเราไม่ได้ทำเรื่องชั่วช้าผิดศีลธรรมแบบนั้น!” จ่านป๋ายจับมือเธอขึ้นมาแล้วปลอบใจ “หลินเจิ้งเป็นคนไร้คุณธรรม นี่ก็โทษพวกเราไม่ได้ คุณน่าจะรู้ดีนี่ว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เขาทำอะไรไว้บ้าง” 


 


 


“ทำอะไรไว้?” ซีเหมินจินเหลียนเบิกตากว้างขึ้นถามออกไป 


 


 


จ่านป๋ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะบอกความลับที่เคยแอบฟังหลินเสวียนหลานกับหลินเจิ้งคุยกัน ไหนจะช่วงที่พวกเขากลับมาถึงเมืองเซี่ยงไฮ้แล้วหลินเจิ้งจ้างคนมาสืบเสาะ สะกดรอยตามซีเหมินจินเหลียนมาถึงที่บ้าน แต่ยังไม่ทันได้ข้อมูลอะไรก็โดนจ่านป๋ายจับได้เลยไล่ออกมา  


 


 


นอกจากนี้ คนพวกนี้ก็ถูกเงินจ้างให้มาทำงาน ความลับจึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะหลุดออกจากปากเมื่อไหร่ ไม่แน่ผ่านไปไม่กี่วันอาจจะเอาข้อมูลของหลินเจิ้งเปิดเผยออกมาก็ได้ 


 


 


“มีเรื่องแบบนี้ด้วย” ซีเหมินจินเหลียนฟังแล้วนิ่งไป 


 


 


“จินเหลียน ถึงคุณไม่มีจิตใจที่ทำร้ายคนอื่น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำร้ายใจคุณไม่ได้ คนที่มีความสามารถ มีจิตใจที่ดีก็ถูกทำร้ายได้ คุณน่าจะเข้าใจ!” จ่านป๋ายพูดต่อ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ ลูบข้อมือที่ใส่กำไลแสงดาวระยิบระยับของเธอ สมบัติที่หายากเช่นนี้ ใครเห็นก็เป็นอันต้องใจเต้นแรง เมื่อคิดดูแล้ว ถ้าไม่มีจ่านป๋าย ตอนนี้เธอคงตกอยู่ในน้ำมือของหลินเจิ้งไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้รับโทษแบบไหน… 


 


 


คิดได้เท่านี้ เธอก็ตัวสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


จ่านป๋ายลูบมือเธออย่างอ่อนโยนแล้วปลอบว่า “คุณวางใจได้!” 


 


 


“ฉันจะวางใจได้อย่างไร?” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา “ฉันไม่เพียงแต่ไม่วางใจ แต่ในใจฉันก็ไม่สงบเลย!” 


 


 


“จินเหลียน คนเราก็เป็นอย่างนี้ ชอบกลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่า แต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่า รอวันที่พวกเรามีบริษัทเป็นของตัวเอง รอวันที่คุณพร้อม รับรองจะไม่มีทางที่จะมีคนมากลั่นแกล้งคุณได้ ถึงจะมีคนอยากจะทำร้ายคุณ เขาก็ต้องดูถึงพละกำลังในตัวเขา เพราะฉะนั้นการซื้อหุ้นของตระกูลหลิน ข้อหนึ่งคือประกาศว่าคุณมีทรัพย์สินและศักยภาพที่เพียงพอ ข้อสองเป็นการพิสูจน์ว่าคุณมีอิทธิพล มีเครือข่ายในสังคม” 


 


 


จ่านป๋ายวิเคราะห์สิ่งที่เขาคิดออกมา “อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ใช่แล้ว เธอต้องมีเครือข่ายในสังคม โลกใบนี้มีแต่คนคอยจับตามองคนอื่น ไม่ใช่แค่มีเงินก็จะอยู่รอด ถึงจะรู้ว่าเงินทองและอำนาจมีความเกี่ยวข้องกันอย่างจำเป็น แต่สิ่งที่เธอพบเจอในความจริงกลับพบว่าข้างในมีแต่ความแตกต่าง ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะมองออกได้ชัดและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถเข้าใจได้…  


 


 


ไม่น่าล่ะคนถึงพูดกันว่า ชีวิตเรียบง่ายคือความสุข! มีเงินทองร่ำรวยไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีเสมอไป เธอโชคดีแค่ไหนที่มีจ่านป๋ายคอยช่วยเหลือ จนถึงตอนนี้ถึงเธอจะไม่รู้ประวัติของเขา และก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจเขาได้สักแค่ไหน แต่ว่าอย่างน้อยตอนนี้ จ่านป๋ายก็ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย 


 


 


“จินเหลียน คุณไม่ต้องกังวลเรื่องที่คนข้างนอกเขาพูดกัน เรื่องทุกอย่างจะราบรื่นเป็นตามแผนที่พวกเราวางไว้” จ่านป๋ายพูดอย่างมั่นใจ 


 


 


“ฉันพอจะทำอะไรได้บ้าง” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


“ผ่าหยกครับ” จ่านป๋ายยิ้มอ่อน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้า “โอเค พรุ่งนี้พวกเรามาผ่าหยกกันต่อเถอะ” 


 


 


“ห้องใต้ดินยังมีหยกอีกตั้งมากมาย คุณไม่ทำงานต่อเหรอ?” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย 


 


 


“หยกตั้งมากมายถ้าหากจะให้ฉันทำคนเดียวทั้งหมด ฉันคงเหนื่อยตายแน่” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด หยกชนิดน้ำแข็งพวกนั้นทำเป็นเครื่องประดับธรรมดาหรืออาจจะเป็นของตกแต่ง ในอนาคตเมื่อซื้อหุ้นตระกูลหลินสำเร็จ ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการแกะสลักหยกมาจัดการก็เป็นอันใช้ได้  


 


 


ถ้าหากเธอมีชิ้นไหนที่สนใจ ก็อาจจะเอามาทำเป็นเครื่องประดับ เช่นหยกสีแดง ที่เธอเตรียมเอามาทำเป็นปิ่นปักผม กำไลข้อมือต่างๆ… 


 


 


สำหรับการจะนำหยกมาทำเป็นเครื่องประดับและของตกแต่งอย่างไรนั้น เธอก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ถ้าจะให้ทำออกมาแต่แบบเดิมๆ มันก็จะดูน่าเบื่อเกินไป แถมเครื่องประดับหยกตอนนี้ต่างก็มีแต่รูปทรงแนวเดิมผุดขึ้นอยู่มาก 


 


 


ตอนที่บริษัทเสียงเฟิงจิวเวอรี่แปรรูปหยกสีทองแดงให้กลายเป็นเครื่องประดับ พวกเขาได้ตั้งใจส่งภาพรูปแบบของหยกมาให้เธอเลือก เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีรูปแบบไหนพิเศษสะดุดตาสักภาพ 


 


 


ลูบคางอย่างพินิจพิเคราะห์ หรือว่าเธอควรจะหาสิ่งแปลกใหม่? เอาเถอะ ไว้ค่อยหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเอา พรุ่งนี้ตัดหยกสีผสมกับฮกลกซิ่วออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ฮกลกซิ่วเธอจะทำเป็นกำไล สีสันสวยงามเช่นนั้น ทำให้เธอพึงพอใจเป็นอย่างมาก ส่วนสีม่วงทำเป็นปิ่นปักผมหยกทรงโบราณลายผีเสื้อแล้วกัน 


 


 


เมื่อคิดถึงปิ่นปักผม ซีเหมินจินเหลียนก็ใจเต้นแรงขึ้นมา ในหนังจีนโบราณ หญิงสาวชอบใช้ปิ่นปักผมชนิดนี้ ถึงจะเป็นของปลอมก็สวยงามเหลือเกิน แต่ถ้าหากสามารถใช้หยกจริงทำออกมาได้ มันจะยิ่งสวยขนาดไหนกันนะ 


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เครื่องประดับที่ละเอียดอ่อนและพิถีพิถันของชุดโบราณเหล่านี้ ในความจริงคงจะไม่สามารถสวมใส่ได้ ทำออกไปคงจะไม่เป็นที่นิยม 


 


 


ขนาดปิ่นปักผมของเธอ ถึงจะสามารถปักเข้าไปที่ผมได้เหมือนกัน แต่ว่านอกจากเธอแล้ว คนอื่นที่ซื้อกลับไปก็เอาไปวางไว้บนหิ้งเท่านั้น คงจะหาได้ยากที่จะนำออกมาใส่ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ตอนที่เลือกซื้อเครื่องประดับ คนส่วนมากคงยอมเลือกเครื่องประดับโบราณแบบเรียบง่ายธรรมดาหรือเปล่านะ 


 


 


“จินเหลียน…จินเหลียนครับ…” จ่านป๋ายเห็นเธอสติล่องลอย จึงใช้โอกาสตอนที่เธอยังโกรธพูดออกมา 


 


 


“คะ!” ซีเหมินจินเหลียนฟังเขาเรียกชื่อเธออยู่สองครั้งจึงได้สติกลับมา พูดต่อว่า “มีอะไรเหรอ” 


 


 


“คุณกำลังคิดอะไรอยู่ครับ ถึงได้เหม่อลอยเชียว? ผมเรียกคุณตั้งสามครั้งแล้ว” จ่านป๋ายพูด “เรื่องของบริษัทตระกูลหลิน คุณไม่ต้องกังวลใจไปนะ” 


 


 


“ไม่มีอะไร ฉันก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่กำลังคิดเกี่ยวกับการแกะสลักหยกน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันแค่รู้สึกว่าเครื่องประดับหยกแบบโบราณมันค่อนข้างล้าสมัยไปแล้ว ไม่สามารถดึงดูดใจคนได้มากพอ” 


 


 


“เครื่องประดับหยกไม่ใช่นิยมความเรียบง่ายหรอกเหรอครับ” จ่านป๋ายไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้เลยถามออกไปอย่างสงสัย 


 


 


“มันแน่นอนอยู่แล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูดต่อ “เพราะฉะนั้น กำไลหยกถึงเป็นที่นิยมมากที่สุด” 


 


 


“คุณก็อย่าเพิ่งคิดหนักจนปวดหัวเลยครับ อยากจะมีความสร้างสรรค์ ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ แล้วคิดออกมาได้ เรื่องนี้ต้องมีแรงบันดาลใจ อย่างไรพวกเราก็มีหยกมากมายให้เลือก คุณค่อยๆ คิดดูก็ยังไม่สาย” 


 


 


“เอาเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาผ่าหินต่อแล้วกัน!” ซีเหมินจินเหลียนพูด 


 


 


“แล้วตอนนี้ล่ะ?” จ่านป๋ายถามพลางอดไม่ได้ที่จะมองไปข้างนอก ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ฟ้ามืดค่ำลงแล้ว พลบค่ำของฤดูใบไม้ร่วงในช่วงแรก ไม่ร้อนไม่หนาว ช่างเหมาะสมกับการออกไปเดทยิ่งนัก 


 


 


“ถ้าหากคุณไม่ได้เตรียมจะทำกับข้าว ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกไปกินข้าวข้างนอกกัน!” ซีเหมินจินเหลียนยอมรับว่าจ่านป๋ายมีฝีมือในการทำอาหารพอๆ กับเธอ นอกจากหมูผัดที่ไหม้ในครั้งนั้น กับข้าวอย่างอื่นก็ทำเพื่อความอยู่รอดของปากท้องประทังความหิวไปวันๆ  


 


 


ถ้าไม่มีเงินก็ว่าไปอย่าง ในเมื่อตอนนี้มีเงินเก็บเหลือใช้ ของกินที่วางแผงอยู่ข้างทางก็ไม่ได้แพงนัก ยังพอจะกินได้ ไม่จำเป็นต้องทรมานกระเพาะของตัวเอง 


 


 


“ฝีมือผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย!” จ่านป๋ายบ่นพึมพำ 


 


 


“ใช่ ก็อร่อยเหมือนกับที่ฉันทำนั่นล่ะ!” 


 


 


ตอนที่ซีเหมินจินพูดประโยคนี้ครั้งแรก จ่านป๋ายคิดว่านั่นเป็นคำชม แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่ยิ้มแห้งเ**่ยวส่งกลับไป กับข้าวที่ซีเหมินจินเหลียนทำนั้น เป็นแค่การปรุงแต่งอย่างเรียบง่ายไม่มีหลักการ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยักไหล่แล้วพูดออกมา “ฉันก็ทำตามสูตรอาหาร แต่รสชาติมันออกมาเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด” 


 


 


“มีคนพูดว่า การทำอาหารก็เหมือนการเขียนบทความ ต้องมีพรสวรรค์ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเราไม่มีสิ่งนี้” จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น “ไปเถอะครับ เราออกไปกินข้าวข้างนอกกัน” 


 


 


“โอเค!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับ จ่านป๋ายออกไปข้างนอกสตาร์ทรถเบนซ์ขับออกมา ทั้งสองคนขับรถไปที่ถนนคนเดินใกล้บ้าน 


 


 


ถนนคนเดินห่างจากย่านหลานเหมยไม่ไกลนัก ของส่วนมากจะเป็นแผงขายอาหารวางเรียงกันเป็นสาย มีทั้งปิ้งย่างไปจนถึงกับข้าวทั่วไป รสชาติอร่อยถูกปาก ราคาไม่แพง ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายชอบมากินที่นี้เพื่อลิ้มรสอาหารใหม่ๆ เปลี่ยนรสชาติอาหารเดิมๆ 


 


 


เพียงแต่ว่าถนนคนเดินไม่สามารถนำรถเข้าไปได้ โชคดีที่ปากประตูทางเข้าไม่ได้ไกลจากที่จอดรถของห้างสรรพสินค้าบริเวณนั้น จ่านป๋ายเลยจอดรถและจูงมือซีเหมินจินเหลียนอย่างที่เขาเคยชิน พวกเขาหาร้านอาหารเล็กๆ ที่สะอาดสะอ้าน แล้วสั่งอาหารที่ทั้งคู่ชอบกินเป็นประจำ จ่านป๋ายยังสั่งเบียร์ธรรมดาอีกขวด 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนขอแค่ข้าวหนึ่งถ้วย จากนั้นค่อยๆ กินลิ้มรสความอร่อยอย่างช้าๆ จ่านป๋ายกรอกเบียร์เข้าไปลงท้อง จู่ๆ ก็นึกถึงปัญหาสำคัญขึ้นมา เมื่อเห็นละแวกนั้นไม่มีคน จึงกระซิบเข้าไปถามเธอ “จินเหลียน คุณพกเงินติดตัวมาหรือเปล่าครับ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนอ้าปากค้าง เธอถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตอนที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ได้เอากระเป๋าออกมาด้วย ในตัวเธอก็ไม่มีเงินสักหยวนเช่นกัน… 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าของซีเหมินจินเหลียนแล้ว จ่านป๋ายก็เข้าใจได้ในทันที ซวยแล้ว พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พกเงินติดตัวมา 


 


 


จ่านป๋ายหยิบถ้วยข้าวใส่เข้าไปในน้ำซุป แล้วรีบโซ้ยเอาจนหมดในไม่กี่คำ สายตามองไปที่ซีเหมินจินเหลียนอย่างเงียบๆ ซีเหมินจินเหลียนยิ้มแห้งๆ ใส่ เวลานี้มองเธอให้ได้อะไรขึ้นมา เธอจะมีหนทางอะไรเล่า? 


 


 


“จินเหลียน ฝีมือในการขโมยของผมไม่เลวเลยนะ ถ้าอย่างนั้นผมออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อน คุณรออยู่ที่นี่ก่อนนะ?” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“หยุดพูดเลยนะ!” ซีเหมินจินเหลียนด่าเขา ถ้าหากจะต้องให้จ่านป๋ายไปขโมย เธอยอมโดนเจ้าของร้านด่าเสียดีกว่า 


 


 


ดวงตาทั้งสองคู่จ้องมองกันไปมา จ่านป๋ายก็ยิ้มออกมาอย่างหุบไม่ได้ เสียงของความชั่วร้ายพูดออกมาอีกครั้ง “จินเหลียน ไม่อย่างนั้นพวกเราวิ่งกัน! คุณลองหันไปดูสิ เจ้าของร้านอ้วนท้วมใช้ได้ คงวิ่งไม่ทันพวกเราแน่…”  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 26 ราคาสูง

 

วิ่ง? ซีเหมินจินเหลียนชะงักไปชั่วครู่ นี่จะกินแล้วเผ่นจริงๆ เหรอ? 


 


 


“คุณไม่มีวิธีอื่นอีกเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มกลบเกลื่อนใบหน้า 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็เอาผมเป็นตัวประกันไว้กับเจ้าของร้าน แล้วคุณกลับไปเอาเงินมาไถ่ผม?” จ่านป๋ายออกความคิดเห็นอีกครั้ง 


 


 


“คุณเงียบไปเลยนะ!” ซีเหมินจินเหลียนด่าออกมาเสียงเบา เมื่อคิดดูแล้วเธอก็ไม่ได้มีความคิดอะไรจะเสนอ แต่ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ใช่แล้ว หรือจะเอาโทรศัพท์ค้ำประกันไว้ก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยเอาเงินมาไถ่โทรศัพท์คืน? 


 


 


เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็ไม่คิดว่าจะเป็นฉินเฮ่าโทรมาหาเธอ ซีเหมินจินเหลียนกดปุ่มรับสาย เธอได้ยินเสียงจากต้นสายพูดมาอย่างสดใส “จินเหลียน ว่างไหมหรือเปล่าครับ ผมอยากจะเลี้ยงข้าวคุณ” 


 


 


สวรรค์ส่งคนมาโปรดเธอจริงๆ ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ในใจแล้วรีบพูดไปว่า “พี่ฉิน ฉันอยู่ที่ถนนคนเดินตรงโซนอาหารค่ะ คุณรีบมาเร็วๆ นะ” 


 


 


เห็นได้ชัดว่าต้นสายมีอาการมึนงง เขาอยากจะพาเธอไปกินข้าว นั่นก็หมายถึงการพาไปดินเนอร์ภายใต้แสงเทียน ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนโรแมนติก แต่ว่าตอนนี้เธอกลับเรียกให้เขาไปกินที่ถนนคนเดินแบบนั้น 


 


 


อาหารดั้งเดิมก็น่าจะไม่เลว? เอาเถอะ ในเมื่อเธอตกลง เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ 


 


 


“พี่ฉิน ฉัน…กินข้าวเสร็จแล้ว แต่ว่าไม่ได้พกเงินมา…” เมื่อซีเหมินจินเหลียนพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าก็เผยสีแดงระเรื่อๆ สายตากวาดไปมองรอบข้างว่ามีคนรู้จักหรือเปล่า 


 


 


แต่การที่ยิ่งกลัวว่าจะเจอคนรู้จัก ก็ยิ่งทำให้เจอ 


 


 


หวังหมิงเหยาเดินจูงมือมากับผู้หญิงหน้ากลมผมสั้นคนหนึ่ง เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนแล้ว เขาก็อ้ำอึ้งอยู่นาน และตอนนั้นสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นจ่านป๋าย เธอเปลี่ยนแฟนแล้ว? 


 


 


สายตาของซีเหมินจินเหลียนกำลังกวาดมองไปที่ผู้หญิงผมสั้นคนนั้น หลังจากนั้นเธฮก็เก็บสายตากลับมา นั่งเฝ้ารอให้ฉินเฮ่าเข้ามาจ่ายเงิน ในเมื่อเลิกกันแล้ว เขาและเธอก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน 


 


 


จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนท่าทางเก้ๆ กังๆ จึงมองตามสายตาของเธอ จากนั้นจึงตกใจขึ้นมา เขาใช้สายตาเย็นชาจ้องเขม็งลึกไปที่หวังหมิงเหยา 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ต้องถามก็รู้ว่าจ่านป๋ายคงต้องรู้จักหวังหมิงเหยาอยู่แล้ว เขาเคยหาข้อมูลประวัติที่ผ่านมาในอดีตของเธอ เรื่องนี้เขาไม่มีทางที่จะไม่รู้ 


 


 


“คุณอย่าหาเรื่องนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนกำชับด้วยเสียงหนักแน่น 


 


 


“ถ้าผมจะหาเรื่องคนสารเลวคนหนึ่ง ก็จะไม่ทำต่อหน้าคุณหรอกครับ” จ่านป๋ายยิ้มแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ผู้ชายคนนี้เลิกกับเธอไปแล้ว เขาจึงไม่ได้ให้ความใส่ใจเท่าไหร่ ขนาดมองยังไม่อยากจะมอง 


 


 


ผู้ชายแซ่หวังคนนี้ เมื่อเทียบกับหลินเสวียนหลานแล้ว เขาก็เป็นแค่สวะสังคมเท่านั้น 


 


 


แต่ว่าการที่จ่านป๋ายไม่ได้หาเรื่อง ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่อยากหาเรื่อง ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายขอโค้กขวดหนึ่งระหว่างนั่งรอการมาของฉินเฮ่า คิดไม่ถึงมีคนรู้จักสองคนกำลังเดินเข้ามาในร้าน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกตกใจที่เห็นจินอ้ายหัวกับผู้หญิงที่เธอไม่รู้จักเดินเข้ามาพร้อมกัน อะไรจะบังเอิญขนาดนี้? จินอ้ายหัวก็มองเธออยู่พอดี จึงเรียกชื่อทักทายเธอ “จินเหลียน…” 


 


 


“อ้ายหัว!” ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนทักทายเธอ จินอ้ายหัวยื่นมือเข้ามาโอบกอดเธอแล้วยิ้ม “ทำไมเธออยู่ที่นี่ได้ล่ะ” 


 


 


“ฉันมากินข้าว เธอล่ะ? คนนี้ก็คือเพื่อนของเธอเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


“จินเหลียน ทำไมแม้แต่เพื่อนเก่าเธอก็ไม่รู้จักแล้ว เธอก็คือเถียนเถียนไง!” จินอ่ายหัวส่ายหน้าพูด “เมื่อไหร่เธอจะเลิกเลอะเลือนเสียทีนะ?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มกลบเกลื่อน ทำไมเธอถึงเลอะเลือน? คนเราก็รูปลักษณ์เหมือนกันหมดนั่นล่ะ มีสองตาหนึ่งจมูก พอเวลาผ่านไปจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้นเธอกับเถียนเถียนก็ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกันมาก แถมยังไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน 


 


 


“จินเหลียนงานเยอะคงจะลืมน่ะ” เถียนเถียนยิ้ม “จินเหลียน เธอไม่แนะนำสักหน่อยเหรอ?” เถียนเถียนพูดพลางเหลือบสายตาไปมองยังจ่านป๋าย 


 


 


“เขาชื่อจ่านป๋าย เป็นเพื่อนของฉัน” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นจึงรีบแนะนำเขาให้ทุกคนรู้จัก ไม่นานเธอก็นึกขึ้นได้ว่าจินอ้ายหัวเคยพูดถึงเถียนเถียนให้เธอฟัง เถียนเถียนเรียนภาควิชาการเงินและการธนาคาร เธอกับจินอ้ายหัวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด 


 


 


ตอนนี้จินอ้ายหัวถึงได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ จ่านป๋ายนอนอยู่ที่คลินิกของพี่เธอเกือบครึ่งเดือนเต็มๆ เธอย่อมรู้จักเขาแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากออกจากโรงพยาบาลไปอย่างไม่ได้บอกกล่าวแล้ว เขาจะมาอยู่กับซีเหมินจินเหลียนได้… 


 


 


“สวัสดีค่ะ!” จินอ้ายหัวหันหน้าไปทางจ่านป๋าย 


 


 


“สวัสดีครับคุณจิน!” จ่านป๋ายพูดพลางเรียกให้เถียนเถียนและจินอ้ายหัวนั่งลง จากนั้นเรียกพนักงานให้มาเปลี่ยนอุปกรณ์บนโต๊ะอาหาร แล้วสั่งอาหารมาใหม่ ไม่ต้องพูดแล้ว ดูแบบนี้เหมือนว่ามื้อนี้เขาจะเป็นคนเลี้ยง แต่ปัญหาอยู่ที่มือช่างว่างเปล่าไร้สิ้นเหรียญสตางค์…รอให้ฉินเฮ่ามาเห็นเหตุการณ์นี้ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร 


 


 


“จินเหลียน ฉันได้ยินอ้ายหัวพูดว่าเธอกับแฟนของเธอก็เลิกกันแล้วเหรอ” เถียนเถียนพูดไปแล้วก็หันหน้าไปมองจ่านป๋ายแวบหนึ่ง 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกับเธอไม่ได้สนิทกัน แต่เพราะสนิทกับจินอ้ายหัวเลยได้รู้จักกับเธอ จินเหลียนได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้า “ใช่แล้ว เลิกกันหลายเดือนแล้วล่ะ” 


 


 


จินอ้ายหัวกวาดสายตาออกไป จึงเห็นหวังหมิงหยางกับผู้หญิงหน้ากลมผมสั้นนั่งอยู่อีกฝั่ง ไม่ทันไรคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน ทำไมเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย? 


 


 


“จินเหลียน เธอน่าจะยังไม่รู้ว่าวันนี้เถียนเถียนกับแฟนก็เลิกกันแล้ว ผู้ชายสมัยนี้ก็ช่าง…” พูดไปจินอ้ายหัวก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เมื่อย้อนคิดกลับไปมองคู่ของตัวเองยังพอมีดีบ้าง เข้าออกตามประตูและผ่านการยินยอมของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ถ้าเธอแต่งงานเข้าไปไม่น่าจะโดนกลั่นแกล้งรังแก ชีวิตคนเราก็อยู่แค่หายใจไปจนถึงวันสุดท้าย? พอคิดได้เท่านี้ เธอก็พึงพอใจแล้ว 


 


 


“อย่าพูดถึงผู้ชายเลย ยิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจ!” เถียนเถียนได้ยินเท่านั้นสีหน้าก็แสดงความไม่พอใจ “พบเจอคนหน้าไม่อาย ฉันไม่เคยเจอใครหน้าด้านเท่านี้มาก่อน ดีนะยังไม่ได้แต่งงานกับเขา ไม่อย่างนั้นถ้ามารู้ตัวหลังแต่งงาน คงรู้สึกเสียใจหันหลังกลับแทบไม่ทัน มาๆๆ ยกเหล้าขึ้นมา พวกเรามาดื่มกัน!” 


 


 


จ่านป๋ายเรียกพนักงานให้มาเปิดขวดให้เธอ ผู้หญิงที่อกหัก มักจะห้ามอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เขาจึงไม่ขอพูดแทรก เพื่อหลีกเลี่ยงกลายเป็นผงถ่าน 


 


 


จินอ้ายหัวเห็นเช่นนั้น ได้แต่ส่ายหัว วันนี้เถียนเถียนโทรศัพท์มาหาเธอ บอกว่าเธอเลิกกับแฟนแล้ว อกหัก ในสายร้องไห้ฟูมฟายยกใหญ่ ในระหว่างนั้นก็โกรธจนพ่นไฟด่าผู้ชายคนนั้นออกมา เธอทำได้แค่ปลอบใจแล้วนัดมากินข้าวเย็นกันที่ร้านนี้ พูดคุยให้จิตใจผ่อนคลายลงไป คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋าย 


 


 


เถียนเถียนถือแก้วเหล้าอยู่ สายตาก็หันไปเห็นกำไลประกายดาวที่อยู่บนข้อมือของซีเหมินจินเหลียน แวบเดียวสายตาก็เปล่งประกาย กำไลวงนี้ช่างสวยสดงดงามเหลือเกิน ตอนที่จินอ้ายหัวทักทายกับซีเหมินจินเหลียนเมื่อครู่นี้ เธอก็ได้ให้ความสนใจมองไปที่กำไลนั่นแล้ว แม้แต่จี้ราคาหลายแสนเธอก็เคยให้กับตัวเอง ในข้อมือที่เธอใส่อยู่นั้น ราคาคงไกลเกินจะไขว่คว้า เธอเลยไม่เจาะแจะถามเรื่องที่ไม่น่าสนใจแบบนี้หรอก 


 


 


แต่เถียนเถียนไม่รู้เรื่อง เธอคิดว่าก็แค่งานฝีมือเลียนแบบเครื่องประดับระดับธรรมดา เลยยื่นมือไปสัมผัสข้อมือของซีเหมินจินเหลียนแล้วเอ่ยชม “กำไลสวยจัง จินเหลียน เธอซื้อจากไหนเหรอ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหันหน้าส่งสัญญาณไปขอร้องจ่านป๋าย มูลค่าของกำไลนี้ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะรับได้ ไม่ๆๆ ถึงคนธรรมดาต่อสู้หาเงินมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถซื้อกำไลนี้ได้ พูดได้ว่าถ้าเธอไม่ขาย โลกใบนี้คงไม่มีกำไลหยกสีมรกตแสงดาวระยิบระยับแบบนี้ 


 


 


“คุณเถียนเถียนสนใจอยากจะซื้อเหรอครับ” จ่านป๋ายถาม 


 


 


เถียนเถียนมองไปทางจ่านป๋ายพบว่า ผู้ชายคนนี้เวลายิ้มช่างดูดี ให้ความรู้สึกสุภาพอ่อนโยน เมื่อได้ยินสิ่งที่จ่านป๋ายถามเธอจึงรีบตอบออกไป “ใช่ค่ะ กำไลวงนี้สวยมาก เหมือนกับเอาดวงดาวมาไว้อยู่ในมือเลย ไม่เคยพบเจอร้านเครื่องประดับที่ไหนมีกำไลแบบนี้เลย” 


 


 


“คุณน่าจะลองไปดูที่บริษัทอัญมณี แทนที่จะเป็นร้านเครื่องประดับนะครับ” จ่านป๋ายพูดอย่างนิ่มนวล 


 


 


หา? เถียนเถียนอุทานขึ้นในใจ ที่แท้ก็คือมาจากบริษัทอัญมณีเหรอ ของแท้เหรอ! ไม่น่าล่ะถึงได้สวยขนาดนี้ แต่ว่าเธออยากจะถามเรื่องราคาว่าเงินที่สะสมมาหลายปีนี้จะสามารถซื้อกำไลสักวงได้ไหมนะ? เงินที่เดิมทีจะใช้มาแต่งงาน แต่ว่าวันนี้เธอกับแฟนเลิกกันแล้ว ถึงอยากจะแต่งงานก็ไม่มีเจ้าบ่าว 


 


 


“ต้องใช้เงินเท่าไหร่คะ บริษัทอัญมณีที่ไหน?” เถียนเถียนถือแก้วเหล้าแล้วถาม 


 


 


จินอ้ายหัวขมวดคิ้ว ซีเหมินจินเหลียนดึงเสื้อของจ่านป๋ายอย่างเบาแรงจากใต้โต๊ะ ส่งสัญญาณให้เขาไม่ต้องพูดต่อ 


 


 


จ่านป๋ายจับมือเธอที่ใต้โต๊ะเป็นการปลอบเธอว่าไม่ต้องกังวล จากนั้นยกนิ้วทำมือขึ้น “ราคาเท่านี้ครับ!” 


 


 


เถียนเถียนตกใจค้าง สัญชาตญาณอ้าปากถามออกไป “ห้าหมื่น?” 


 


 


จ่านป๋ายส่ายหัว ห้าหมื่น? ที่ไหนจะมีขายกัน ถ้ามีขายราคาเท่านี้เขาก็จะกว้านซื้อให้หมดเลย เห็นว่าหยกไม่มีค่าเลยหรือไงกัน? 


 


 


“ห้าแสนเหรอคะ” จินอ้ายหัวคิดถึงหยกของตัวเอง ราคาก็ประมาณสองสามแสนแล้ว แต่กำไลที่ซีเหมินจินเหลียนใส่ในวันนี้ อย่างน้อยก็น่าจะสักห้าหกแสนได้? 


 


 


“แพงขนาดนี้เชียว?” เถียนเถียนสายตาเพ้อ 


 


 


“ไม่ใช่ห้าแสนครับ!” ในขณะที่จ่านป๋ายเตรียมตัวจะพูดต่อ หวังหมิงเหยาก็หันมาทางนี้พอดี สายตาของผู้หญิงผมสั้นคนนั้นเลยให้ความสนใจมาที่กำไลหยกประกายดาวที่อยู่ในมือของซีเหมินจินเหลียน ล่อตาผู้คนอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด  


 


 


“ถ้าอย่างนั้นราคาเท่าไหร่กันแน่คะ คุณอย่ามัวลีลาอยู่เลย” เถียนเถียนทำเสียงฟึดฟัดในจมูก จากที่เธอรู้มา ฐานะทางบ้านของซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ดีมากนัก คิดไม่ถึงว่าจะสวมใส่กำไลที่มีมูลค่ามหาศาลขนาดนี้ หรือว่าผู้ชายคนนั้นจะพูดจามั่วซั้ว เอาหยกชนิดแก้วไร้ค่ามาหลอกเป็นหยกชั้นดี 


 


 


“ห้าร้อยล้านครับ” จ่านป๋ายยิ้ม 


 


 


“คุณแกล้งใช่ไหมเนี่ย?” ระดับเสียงของเถียนเถียนสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะมีใครซื้อได้ ก็น่าจะล็อคกุญแจเก็บไว้ในเซฟที่ธนาคารเป็นอย่างดี ไม่ใช่มาใส่ไว้ที่ข้อมือให้มันส่องแสงเปล่งประกายแบบนี้ 


 


 


จ่านป๋ายยิ้มไม่หยุด นี่คือผลสรุปที่เขาต้องการ เขาเลยพูดต่อว่า “ห้าร้อยล้านดอลล่า ก็ซื้อได้หนึ่งวงครับ!” 


 


 


เถียนเถียนหัวเราะออกมาจนน้ำหูน้ำตาไหล ห้าร้อยล้านดอลล่าซื้อได้แค่หนึ่งวง? นี่ล้อเล่นอะไรเนี่ย มากสุดก็น่าจะแค่ของเล่นราคาห้าหยวนเถอะ ใช่แล้ว ต้องใช่แน่ๆ ใครจะใส่กำไลราคามูลค่าหลักร้อยล้านเดินไปเดินมาแบบนี้เล่า เมื่อคิดแบบนี้ สายตาที่เธอมองไปยังซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกดูถูกดูแคลนเพิ่มขึ้น…  

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 27 ซิ่วฟาง

 

ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจแล้วพูดว่า “เถียนเถียน เธอก็อย่าไปฟังเขาพูดจาเพ้อเจ้อเลย เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ อยากแกล้งให้เธอยิ้มเท่านั้นเอง”


 


 


“ฉันก็ว่าแล้ว…จินเหลียน เพื่อนเธอนี่ตลกจัง!” เถียนเถียนยิ้มออกทั้งตาและคิ้ว


 


 


“นี่เป็นของที่ฉันซื้อตอนเดินเล่นที่ริมชายหาดน่ะ ราคาแค่ห้าหยวนเอง ขายตามถนนโบราณแถวนั้น ถ้าเธออยากซื้อก็ลองไปดูสิ” ซีเหมินจินเหลียนโกหกไปอย่างไหลลื่น เพราะยังไงถนนโบราณแถวนั้นก็มีร้านค้ามากมาย ถ้าเถียนเถียนจะหาไม่เจอ ก็คงจะไม่โทษว่าเธอโกหก


 


 


 จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนพูดไปอย่างนั้น ก็ได้แต่ส่งยิ้ม ถ้าเธอพูดความจริงออกไปเมื่อไหร่ คงจะไม่มีใครเชื่อแล้วแน่ๆ


 


 


“จินเหลียน เพื่อนของเธอชอบเป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” เถียนเถียนถามไปในขณะที่มือก็กำลังรินเหล้า


 


 


“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตามองไปที่จ่านป๋าย ส่งสัญญาณเตือนให้เขาไม่ต้องพูดจาให้มากความ จ่านป๋ายเลยแกล้งทำเป็นหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกรู้สาว่าเธอกำลังพูดอะไร


 


 


“จริงสิ จินเหลียน อาทิตย์หน้าเป็นงานเลี้ยงคืนสู่เหย้า ไหนๆ เธอก็อยู่ที่เซี่ยงไฮ้แล้ว งั้นก็มาร่วมงานด้วยกันสิ” จินอ้ายหัวปริปากเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาใหม่


 


 


“งานเลี้ยงคืนสู่เหย้า?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วเป็นปม แต่ก่อนถ้าหากมีงานเลี้ยงพบปะกันแบบนี้ ปกติแล้วจะเป็นคนที่มีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้อยู่แล้วที่หลังจากเรียนจบก็จะหาเวลาว่างมานัดเจอกัน หรือไม่ก็เป็นคนที่หลังจากเรียนจบแล้วหางานที่มีหน้ามีตาได้ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ เธอเคยถูกจินอ้ายหัวเชิญชวนให้ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เพราะหวังหมิงเหยาคัดค้านจึงไม่ได้ไปร่วมงาน เมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอจึงพูดว่า “ถ้าไม่มีงานอะไร ฉันจะเข้าไป ว่าแต่ครั้งนี้ใครเป็นคนจัดงานล่ะ?” ทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยงแบบนี้ แม้ตอนสุดท้ายจะแชร์ค่าใช้จ่าย แต่ยังไงมันก็จะมีคนต้นคิดอยู่ด้วย!


 


 


เถียนเถียนยิ้มแล้วพูด “ในเมื่อฉันเลิกกับแฟนแล้ว ก็ย่อมจะต้องป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรับรู้ ยังมีคนหล่อร่ำรวยอีกมากมาย กำลังรอฉันอยู่นะ!”


 


 


ครั้งนี้ไม่แค่จ่านป๋ายที่หัวเราะออกมา แม้แต่ซีเหมินจินเหลียนและจินอ้ายหัวก็หักห้ามตัวเองให้หยุดหัวเราะไม่ได้


 


 


“เอาล่ะ ในเมื่อเธอไม่เสียใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มให้น้อยๆ ลงหน่อยเถอะ!” จินอ้ายหัวพูดอย่างห่วงใย “เธอคิดว่าเหล้าเบียร์พวกนี้ไม่คิดเงินเหรอ?”


 


 


“อืม ในเมื่อแฟนของซีเหมินจินเหลียนเลี้ยง โอกาสแบบนี้ก็หาได้ยาก ฉันก็ต้องกินให้เต็มที่สิ”


 


 


เถียนเถียนยิ้มพลางรินเหล้าใส่แก้วตัวเองจนเกือบล้น ก่อนจะมองไปที่จ่านป๋าย เพราะว่าเธอดื่มไปหลายแก้ว ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยอารมณ์มึนเมา เมื่อสะท้อนกับแสงไฟยิ่งเพิ่มความเย้ายวนมากขึ้น “คุณจ่าน คุณว่าใช่ไหมคะ?”


 


 


“พูดอย่างนี้ก็ถูกครับ!” จ่านป๋ายพยักหน้า “เพียงแต่ก่อนหน้านี้ก่อนที่จะเจอพวกคุณ ผมยังปรึกษากับจินเหลียนอยู่เลย ว่าจะวิ่งเผ่นด้วยความเร็วสูงออกไปดีไหม”


 


 


“อะไรนะ?” เถียนเถียนเบิกตากว้าง ใบหน้ามีแต่ความสงสัย จินอ้ายหัวก็เช่นกัน


 


 


“พวกเราทั้งคู่ลืมพาเงินมาน่ะครับ” จ่านป๋ายยิ้มเห็นฟัน เพียงแต่ว่าภายใต้รอยยิ้มมีความชั่วร้ายที่แฝงซ่อนไว้อยู่


 


 


“คุณว่าอะไรนะ?” เถียนเถียนตกใจจนลุกขึ้นมา ไม่ได้พาเงินมา? เมื่อกี้ซีเหมินจินเหลียนไม่ใช่เป็นคนพูดเหรอว่าเธอจะเลี้ยงเอง ถ้าทั้งคู่ไม่ได้พาเงินมา นี่ก็ไม่เท่ากับว่าเธอต้องออกเองเหรอเนี่ย? ตอนที่สั่งอาหารไปเมื่อครู่ เธอก็เลือกแต่อาหารราคาแพงๆ อาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน เพราะว่ามาเจอคนเลี้ยงเข้า ก็ต้องกินอย่างจัดเต็มสักมื้อ แล้วนี่ถ้าจ่านป๋ายกับซีเหมินจินเหลียนไม่มีเงิน คนที่จะต้องควักเงินออกมาจ่ายก็เห็นจะมีแค่เธอกับจินอ้ายหัวแล้ว


 


 


อาหารทั้งโต๊ะราคาน่าจะประมาณสามสี่ร้อยหยวนได้ ถ้าเธอกับจินอ้ายหัวแบ่งกันจ่ายก็คงจะคนละประมาณสองร้อยกว่าหยวน


 


 


นี่ก็โดนกับดักซะแล้ว! นี่คือสัญชาตญาณแรกที่เธอรับรู้ เมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งคู่เหมือนจะกินไปไม่น้อยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าใบเสร็จที่เขากินเมื่อสักครู่จะมารวมกับของพวกเธอทั้งสองด้วยนะ? ไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้


 


 


เมื่อคิดอย่างนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะสะกิดจินอ้ายหัวอยู่ใต้โต๊ะ “พวกเราโดนแกล้งให้จ่ายเงิน?” เถียนเถียน กระซิบข้างหูของเธอ


 


 


“จินเหลียนไม่ใช่คนแบบนั้น” จินอ้ายหัวขมวดคิ้ว “เธอน่าจะลืมพาเงินมาจริงๆ ใครๆ ก็เคยเจอปัญหาที่อึดอัดใจแบบนี้”


 


 


“เหอะ!” เถียนเถียนทำเสียงชิชะ ในเมื่อสั่งอาหารไปแล้ว ถ้าไม่กินก็เสียดาย


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นเถียนเถียนกับจินอ้ายหัวกระซิบกระซาบกัน ก็พอเดาออกว่าพวกเธอกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่จึงยิ้มแล้วพูดไปว่า “ไม่เป็นไร ฉันพูดเองว่าฉันจะเลี้ยง เมื่อกี้ฉันก็โทรไปหาเพื่อนให้มาหาแล้ว”


 


 


“หา?” เถียนเถียนขมวดคิ้วเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว สีหน้ามีแต่ความไม่เชื่อใจ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรต่อ ในเมื่อสั่งอาหารมาแล้วเธอก็รู้สึกว่าเสียดาย ตัวเองก็กินอิ่มแปล้แล้ว…แต่ก็หยิบตะเกียบที่ถูกนำมาเปลี่ยนใหม่ขึ้นมา พร้อมคีบผักฮ่องเต้ผัดน้ำมันหอยขึ้นมาลองกิน รสชาติอร่อยใช้ได้ ผักฮ่องเต้แสนธรรมดาพอเอามาผัดช่างเกิดเป็นอาหารที่อร่อยขนาดนี้ได้ยังไง


 


 


เห็นว่ามีจ่านป๋ายอยู่ จินอ้ายหัวเลยยังนิ่งไม่ขยับอะไร ทำตัวไม่ถูก แต่เมื่อเห็นเถียนเถียนผ่อนคลายกินเยอะดื่มเยอะ เธอก็คิดเพียงว่าอย่างแรกเธอหิว อย่างที่สองจ่านป๋ายเคยมารักษาตัวอยู่ที่คลินิกของจินอ้ายกั๋วระยะหนึ่ง นับว่าเป็นคนคุ้นเคยกัน ดังนั้นเธอจึงไม่คิดมากหยิบตะเกียบคีบอาหารแล้วกินเข้าไป เมื่อกินอาหารจนเริ่มหมดเกลี้ยงแล้ว เถียนเถียนดื่มไปเยอะจนไม่มีสติแล้ว


 


 


ซีเหมินจินเหลียนและจินอ้ายหัวได้แต่ทำสีหน้าเอือมระอา จ่านป๋ายไม่รู้สึกรู้สา ขอแค่ซีเหมินจินเหลียนไม่เป็นอะไร ที่เหลือเขาก็ไม่มีอยากเอาตัวเข้าไปยุ่ง


 


 


ฉินเฮ่าปรากฏตัวขึ้นในขณะที่ทุกคนอิ่มท้องมึนเมา


 


 


ซีเหมินจินเหลียนอธิบายเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง ฉินเฮ่าไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงเรียกพนักงานแล้วจัดการจ่ายค่าอาหารทั้งหมด จากนั้นก็พูดกำชับกับจ่านป๋ายอย่างไม่เกรงใจว่า “คุณไปส่งพวกเธอทั้งสองกลับไปเถอะ ผมกับจินเหลียนจะไปเดินเล่นต่อ”


 


 


“ทำไมต้องเป็นผมที่ไปส่งพวกเธอสองคนกลับ ผมไม่สามารถเดินเล่นกับซีเหมินจินเหลียนเหรอ” จ่านป๋ายไม่ยินยอมในข้อเสนอที่ฉินเฮ่าพูดออกมา นอกเสียจากสมองบวมน้ำเท่านั้น เขาถึงจะเห็นด้วย


 


 


“จินเหลียนพวกเราไปเดินเล่นที่ห้างกันเถอะครับ คุณคงไม่อยากไปกับคนที่ลืมพกเงินมาหรอกนะ?” ฉินเฮ่าไม่สนใจจ่านป๋าย ตั้งใจหันหน้าไปคุยกับซีเหมินจินเหลียน


 


 


“หือ?” ซีเหมินจินเหลียนสับสน คิดไปแล้วถ้าไปเดินเล่นที่ห้างแต่ไม่พกเงินไป แล้วจะไปเพื่ออะไร? น่าเบื่อแบบนั้น สู้กลับไปนอนดูโทรทัศน์เสียดีกว่า…


 


 


เธออยากจะปฏิเสธฉินเฮ่า แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้ว ตัวเองก็เรียกเขาให้มาจ่ายค่าอาหารให้ ถ้าจะพูดปฏิเสธออกไปมันก็อย่างไรอยู่ไม่ใช่เหรอ? เอาเถอะ เดินเล่นก็เดินเล่น บางทีตนอาจจะหาโอกาสคุยกับเขาให้เข้าใจ


 


 


“เสี่ยวป๋าย คุณช่วยไปส่งจินอ้ายหัวกับเถียนเถียนให้ฉันหน่อย เดี๋ยวฉันเดินเล่นเสร็จแล้วกลับมา!”            ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น


 


 


จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนปริปากพูดเช่นนั้น เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดออกมา พยักหน้าตอบตกลง ภายในโรงจดรถใต้ดิน เบนซ์ทั้งสองคันถูกจอดไว้ ของฉินเฮ่าคือความเร็วสูงสุดสีบลอนเงิน แต่ของจ่านป๋ายเป็นเบนซ์ธรรรมดาสีดำ ไม่มีลักษณะพิเศษโดดเด่นอะไร


 


 


แต่เสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวของรถคันนี้กลับดึงดูดยั่วยวนสายตากลุ่มคนรักรถให้หัวใจเต้นแรง จินอ้ายหัวและเถียนเถียนที่สติเลอะเลือน ลูบสัมผัสไปที่รถสีบลอนเงินของฉินเฮ่า แล้วมีอาการตกหลุมรัก


 


 


ฉินเฮ่าเปิดประตูออกมา จูงมือซีเหมินจินเหลียนให้เข้าไปนั่งแล้วปิดประตู เดินไปนั่งยังฝ่ายคนขับแล้วหันไปยิ้มให้กับพวกเธอทั้งสอง


 


 


เถียนเถียนรู้สึกลมจากเหล้าตีขึ้นมา ร่างกายอ่อนปวกเปียก เกือบจะยืนไม่นิ่ง ถ้าไม่มีจินอ้ายหัวอยู่ข้างๆ คอยประคองเธอไว้ เธอคงล้มลงไปต่อหน้าแน่ๆ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนใช้กระจกรถมองดูสถานการณ์อย่างเกาะติด ก่อนจะได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ฉินเฮ่าอาจจะหล่อเหลาไม่เท่าหลินเสวียนหลานที่ยังกับดารา แต่ว่าเกิดในชาติตระกูลที่ร่ำรวย ไหนจะลักษณะนิสัยอ่อนโยนที่ถูกอบรมปลูกปั้นมา สำหรับผู้หญิงแล้วคงจะมีแรงดึงดูดพวกเธอไม่น้อย


 


 


“พวกคุณทั้งสอง ขึ้นรถเถอะครับ!” จ่านป๋ายส่ายหัว ผู้ชายเจ้าชู้กับผู้หญิงบ้า เป็นเรื่องที่ทนไม่ได้จริงๆ


 


 


จินอ้ายหัวยังพอมีสติ เธอใช้พละกำลังทั้งหมดลากเถียนเถียนให้ขึ้นรถของจ่านป๋าย จ่านป๋ายสตาร์ทรถและถามว่า “ไปไหนครับ”


 


 


“คลินิคของพี่ฉัน คุณรู้จักใช่ไหม” จินอ้ายหัวพูด


 


 


“โอเค!” จ่านป๋ายพยักหน้า คลินิกของพี่เธอเขาย่อมรู้จัก


 


 


“ผู้ชายที่ขับเบนซ์ได้…” เถียนเถียนที่นั่งอยู่บนเบาะรถ แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “คุณมีแฟนแล้วหรือยังคะ”


 


 


“ครับ?” จ่านป๋ายสับสน ผู้หญิงคนนี้เมื่อกี้เห็นได้ชัดว่าสนใจในตัวของฉินเฮ่า แต่เวลานี้กลับมาถามเขาว่ามีแฟนหรือยัง “ทำไมเหรอครับคุณผู้หญิง คุณอยากจะแนะนำแฟนให้ผมเหรอ?”


 


 


จินอ้ายหัวได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา จ่านป๋ายตอนที่อยู่ที่คลินิคของพวกเขาได้แต่นอนเป็นเวลาครึ่งเดือน ไม่เคยพูดอะไรเลยสักประโยคเดียว ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีมุมที่ตลกขี้เล่นอยู่ด้วย


 


 


“หรือ…หรือคุณไม่คิดว่าผู้หญิงสวยๆ ที่อยู่ตรงนี้ก็เหมาะสมเหรอ?” เถียนเถียนถามแล้วยิ้มแห้ง


 


 


“พูดตามตรงนะครับ คุณไม่ใช่คนสวย!” จ่านป๋ายตอบ


 


 


“เหอะ!” เถียนเถียนเหอะออกมา ถูกคำพูดของเขาทิ่มแทงเข้าไปในใจ เธอก็ได้แต่พิงตัวไปที่จินอ้ายหัว


 


 


ในขณะที่ฉินเฮ่ากำลังขับรถ ซีเหมินจินเหลียนก็ถามว่า “คุณจะพาฉันไปที่ไหนคะ?”


 


 


“ไปที่ที่เยี่ยมสุดยอดไปเลยครับ” ฉินเฮ่ายิ้ม


 


 


“ฉันไม่อยากไปที่ที่มีคนวุ่นวายมากนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด


 


 


“ที่วุ่นวายอะไรกันครับ” ฉินเฮ่าพูด “ผมจะพาคุณไปที่ร้านขายเสื้อผ้าในเมืองเซี่ยงไฮ้ต่างหาก”


 


 


 “ฉันไม่ได้สนใจในการซื้อของเท่าไหร่ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนก้มหน้าพูดจาที่สวนทางกับใจของเธอ ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่ชอบการซื้อของช้อปปิ้งหรอก


 


 


“ลองไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะครับ” ฉินเฮ่ายิ้ม


 


 


 ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกประหลาดใจ แต่ไหนๆ ก็ออกมากับเขาแล้ว เธอก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงแต่สถานที่นั้นก็ผิดไปจากที่เธอคาดคิด สิ่งที่เขาพูดว่าร้านขายเสื้อผ้า แต่ไม่ได้เปิดในแวดวงเมืองที่วุ่นวาย พูดได้ว่าไปเปิดในสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลจากผู้คน ป้ายร้านก็ไม่เหมือนร้านขายเสื้อผ้า แต่เขียนอยู่สองคำว่า ‘ซิ่วฟาง’


 


 


 ตัวอักษรโบราณ ป้ายโบราณ แม้แต่ซีเหมินจินเหลียนก็ยังสงสัยว่า แผ่นป้ายสีดำตัวอักษรสีเขียวนั่น เป็นของโบราณไหม?


 


 


จ่านป๋ายจอดรถเสร็จเรียบร้อย จูงมือเธอเดินไปพร้อมกัน  แต่ประตูร้านปิดอยู่


 


 


“พี่ฉิน ไม่ใช่ว่าเขาปิดร้านแล้วหรอกนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


 


“ร้านนี้ก็เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงครับ ไปกันเถอะ!” ฉินเฮ่าพูดพลางจูงมือเธอเข้าไปข้างใน 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 28 หญิงที่รู้ใจ

 

ในขณะฉินเฮ่าผลักประตูไม้เข้าไป ซีเหมินจินเหลียนก็ตาวาววับกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ข้างในนั้นไม่ได้ใหญ่โตมาก เสื้อผ้าที่แขวนอยู่นั้น ทำให้เธอตกใจกับสิ่งที่เห็น


 


 


“ทั้งหมดนี้คือปักมือเหรอคะ แฮนด์เมคเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนยื่นมือไปสัมผัสกระโปรงยาวสีขาวตัวหนึ่งที่แขวนไว้ที่ผนัง มองไปยังชายกระโปรงที่ปักไปด้วยดอกโบตั๋นเกือบครึ่งหนึ่ง น่าจะเป็นผ้าไหม ความรู้สึกแห่งการสัมผัสช่างไหลลื่น


 


 


“เป็นยังไงบ้าง ไม่เลวเลยใช่ไหมครับ?” ฉินเฮ่ายิ้มแล้วพูด “การเย็บปักแบบโบราณและเนื้อไหม ผสมผสานระหว่างแฟชั่นที่นิยมในสมัยนี้กับสไตล์โบราณรวมเข้าด้วยกัน เสริมไปด้วยเครื่องประดับหยกของคุณ คุณว่ายังไงบ้าง?”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้น หัวใจเต้นแรง ชุดการเย็บปักสไตล์โบราณ เสริมแต่งไปด้วยเครื่องประดับหยกของเธอ ความสวยที่หรูหรามีระดับเช่นนี้ เข้ามากระตุ้นหัวใจของเธอเป็นที่เรียบร้อย


 


 


“ราคาเสื้อที่นี้ ก็ไม่น่าจะถูกใช่ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม


 


 


“ผมจ่ายเอง!” ฉินเฮ่ายิ้มอ่อน รอยยิ้มเต็มไปด้วยความอ่อนโยน  


 


 


“พี่ฉิน ฉันรับของของพี่ไม่ได้หรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวแล้วพูดว่า “เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้”


 


 


“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ครับ?” ฉินเฮ่าขมวดคิ้วถาม


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพูดความจริงออกมา ไม่นานพนักงานของร้านก็เดินเข้ามา ชุดที่สวมใส่ไม่เหมือนกับร้านอื่นๆ ทั่วไป ชุดกี่เพ้าสไตล์โบราณอยู่บนเรือนร่างของผู้ที่สูงเพรียว ทำให้พนักงานหญิงสาวที่เดิมทีหน้าตาธรรมดาไร้เสน่ห์กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง ต้องการสินค้าชิ้นไหนคะ” พนักงานถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม คนที่เป็นพนักงานของร้านนี้ สายตาก็แยกแยะออกได้ว่าใครคือลูกค้าที่แท้จริง หรือใครคือคนที่ไม่ได้ตั้งใจเดินเข้ามา


 


 


โดยทั่วไปแล้ว ที่แห่งนี้คนธรรมดามักจะไม่ค่อยเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า มีแต่คนมีระดับเท่านั้น ถ้าไม่ใช่คนที่รู้จักแนะนำต่อๆ กันมา ก็ยากที่จะรู้ว่ามีร้านแบบนี้อยู่ แถมไม่สามารถเข้ามาได้ง่ายๆ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนแต่งกายด้วยกระโปรงเรียบง่าย แต่พนักงานสังเกตเห็นว่าแบรนด์เสื้อผ้าที่เธอใส่ ถึงจะไม่ได้แพงที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ก็ไม่ใช่เสื้อผ้าธรรมดาที่คนทั่วไปจะซื้อได้ ส่วนการแต่งกายของฉินเฮ่าดูภายนอกอาจจะธรรมดา แต่เมื่อมองอย่างละเอียดลึกลงไปก็สังเกตเห็นความประณีตในการตัดเย็บ…


 


 


สองคนนี้ ดูแล้วต้องเป็นคนมีฐานะแน่ๆ! นี่เป็นความคิดเห็นผ่านการแสกนของพนักงาน “ช่วยพาพวกเราไปดูในโซนลูกค้าวีไอพีหน่อยนะครับ” ฉินเฮ่าพูด


 


 


พนักงานรู้สึกสับสนแต่ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “เชิญทางนี้ค่ะ”


 


 


“ที่นี่ยังมีโซนลูกค้าวีไอพีด้วยเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความแปลกใจ


 


 


“นี่เป็นธุรกิจของตระกูลอวิ๋นครับ” ฉินเฮ่าอธิบาย


 


 


“หา? ธุรกิจของคุณอวิ๋นเจีย?” ซีเหมินจินเหลียนถามออกไป


 


 


“จะว่าแบบนั้นก็ได้ครับ” ฉินเฮ่าตอบกลับ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจจึงถามออกไปว่า “ถ้าอย่างนั้นเรื่องของคุณกับอวิ๋นเจีย สนุปแล้วว่าอย่างไรคะ”


 


 


ฉินเฮ่าจูงมือเธอเข้าไป แล้วถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “จินเหลียน ผมไม่ได้สนใจที่จะดูแลอวิ๋นเจียไปตลอดชีวิตหรอกนะครับ ผู้ชายที่ไหนบ้างจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงแบบนั้นกัน? ถึงเธอจะสวยมาก แต่ผมก็หวังไว้ว่าจะได้เจอผู้หญิงที่รู้ใจ”


 


 


“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้ากระซิบถามเขาไปว่า “ไม่ใช่ว่าคุณหาผู้หญิงที่รู้ใจคนนั้นเจอแล้วเหรอคะ?”


 


 


 “หืม?” ฉินเฮ่างงกับที่เธอพูด “คุณพูดอะไรนะครับ”


 


 


 “ไม่ใช่ว่าคุณป่าวประกาศออกไปข้างนอกว่า ต้องการที่จะแย่งสืบทอดมรดกก็เพราะว่าเพื่อนสาวคนสนิทเหรอคะ”


 


 


 จ่านป๋ายสมควรตาย! ฉินเฮ่าด่าเขาอยู่ในใจ แต่ภายนอกก็ยิ้มแล้วพูดออกมา “จินเหลียน ผู้หญิงที่รู้ใจของผม คุณก็เคยเห็นนะ”


 


 


“จริงเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ฉันเคยเจอตอนไหนกัน ทำไมไม่รู้เรื่องเลย?”


 


 


“คนๆ นั้นอยู่ตรงหน้านี่แล้วไง!” ฉินเฮ่าพูด


 


 


“หา?” ซีเหมินจินเหลียนตั้งใจมองไปทั่วรอบทิศ ใบหน้ามึนงง


 


 


“จินเหลียน คนคนนั้นก็คือคุณครับ” แม้ว่าบรรยากาศจะไม่เอื้ออำนวย เวลาจะไม่ใช่ รอบข้างยังมีโคมไฟดวงใหญ่ยักษ์ แต่ฉินเฮ่าก็ใช้โอกาสนี้สารภาพรักออกไปแล้ว


 


 


“เพื่อนที่สนิทก็เหมาะสมเป็นได้แค่เพื่อนค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนก้มหน้าถอนหายใจออกอย่างเบาแรง ตอนที่เธอเลิกกับหวังหมิงเหยา เธอไม่รู้สึกว่าตัวเองอยากจะมีความรัก ทุกคนล้วนมีอิสระ ใครก็ไม่สามารถเป็นตัวตนของอีกคนได้ แล้วก็ไม่ได้มีใครบันทึกไว้ด้วยว่าถ้าใครไม่มีใคร แล้วจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้


 


 


อย่างน้อยเธอก็เคยมีความรักที่ลึกซึ้ง แต่ความรักก็ไม่สามารถชนะชีวิตที่ไม่ราบรื่น  สีชมพูหวานโรแมนติก นานวันผ่านเข้าไปก็ค่อยๆ จางหาย สิ่งทั้งหมดก็เอามาเชื่อมโยงเกี่ยวกัน  ราวกับดอกกุหลาบที่ถูกแช่ไว้ในแจกัน ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงแค่เศษซากสีเทา…


 


 


ปล่อยมือลง ถึงจะสามารถจุดไฟในชีวิตอีกครึ่งหนึ่งได้ แต่ถ้าจมปลักก็อาจจะพาตัวเองตกลงไปในโคลนตม ถอนตัวก็ไม่ขึ้น


 


 


“สาวคนสนิทเป็นแค่เพื่อนสนิท จินเหลียน แม้ผมอยากจะจีบคุณ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าอยากจะแต่งงานกับคุณหรอกนะครับ” ฉินเฮ่ากระซิบไปที่ข้างหูของจินเหลียน


 


 


ในใจของซีเหมินจินเหลียนสั่นระริก สับสนก่อยจะเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นฉินเฮ่าเข้าใกล้เธอแบบนี้ บวกกับรอยยิ้มที่อยู่บนหน้าแบบนั้น หัวใจก็เต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ถ้าหากสาวคนสนิทเป็นได้แค่เพื่อน ถ้าสำหรับเขาที่เป็นผู้ชายสุภาพอ่อนโยน เธอก็ไม่ได้ใส่ใจถ้าจะมีเพื่อนสนิทเพิ่มขึ้นมา…


 


 


“ไปเถอะ พวกเราเลือกเสื้อผ้ากัน ถ้าหากไม่ถูกใจ ก็สามารถสั่งทำได้นะครับ!” ฉินเฮ่าจูงมือเธอแล้วมองพนักงาน


 


 


เมื่อบทสนทนาของทั้งคู่จบลง พนักงานได้ยินประโยคนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรง ใคร่ครวญอยู่ในใจ ถ้าหากมีวันนั้นที่สามารถมีเพื่อนแบบนี้จะเป็นยังไงนะ?


 


 


ภายในห้องโซนวีไอพี พนักงานถูกเปลี่ยนมาเป็นหญิงสาวที่แสนสวยอีกคน ถือชามาให้ทั้งคู่


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองไปทั่วห้อง เสื้อผ้าในห้องลูกค้าโซนวีไอพี คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนอัญมณี ถูกกั้นขวางด้วยกระจกใสใหญ่ยักษ์ ข้างในมีชุดเดรสอยู่ ภายใต้แสงไฟช่างดูสวยงามยิ่งนัก


 


 


เหมือนกับที่ฉินเฮ่าพูด เสื้อผ้าของที่นี่ล้วนเป็นกระโปรงทั้งหมด ผสมผสานสไตล์ระหว่างโบราณกับปัจจุบัน เสื้อผ้าจากใยไหมที่ถูกเย็บปักอย่างประณีต ดูแล้วราวกับผลงานศิลปะ ไม่เหมือนเสื้อผ้า


 


 


“ฉันลองได้ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม คำถามนี้เธอถามฉินเฮ่า ในเมื่อฉินเฮ่าคุ้นเคยกับที่นี่ดี เขาก็น่าจะรู้ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนจะสามารถปฏิเสธสิ่งสวยงามได้ เธอเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


 


“ได้ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงสนใจชิ้นไหนคะ” พนักงานเดินเข้ามาถาม


 


 


ซีเหมินจินเหลียนตาลาย ไม่รู้ว่าจะเลือกตัวไหนดี สุดท้ายฉินเฮ่าจึงเลือกกระโปรงที่ปักไปด้วยผีเสื้อสีขาวให้เธอ แล้วยิ้มขึ้น “กระโปรงตัวนี้ดูเรียบหรู น่าจะเหมาะกับคุณดีนะครับ และยังสามารถเสริมไปกับกำไลและปิ่นปักผมหยกได้”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นก็รู้สึกชอบขึ้นมา ใช้เวลาอยู่ตั้งนาน เธอเลือกได้สามตัวที่ดูเรียบง่าย แต่ถูกปักไปด้วยรายละเอียดที่ซับซ้อนและสวยงาม ท้ายที่สุดภายใต้ความดูแลของฉินเฮ่า เขาให้พนักงานมาวัดตัวเธอ แล้วออกแบบชุดโบราณสมัยราชวงศ์ถังอีกสองชุด ชนิดแขนยาว


 


 


ระหว่างที่เลือกแบบในคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขึ้นมา


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกประหลาดใจ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่าที่แท้ก็เป็นจ่านป๋าย หลังจากที่เธอกดปุ่มรับสาย ที่ปลายสายก็มีเสียงดังขึ้นมา “จินเหลียน คุณอยู่ที่ไหนครับ”


 


 


“ผมไม่ได้พาเธอมาหลอกขายแน่ คุณวางใจได้!” ฉินเฮ่าแย่งโทรศัพท์ในมือของซีเหมินจินเหลียนแล้วคุยกับปลายสายแทน


 


 


“เหอะ!” จ่านป๋ายถอนหายใจออกมา “ฉินเฮ่า คุณลองเข้ามาดู ผู้หญิงของคุณมาก่อกวนที่บ้านของจินเหลียน ถ้าคุณไม่มาผมจะบีบให้เละแล้วให้สุนัขกินแน่!


 


 


“อะไร?” ฉินเฮ่าสับสน


 


 


“อวิ๋นเจียอยู่ที่บ้านของจินเหลียน คุณรีบพาจินเหลียนกลับมาด้วย ความอดทนของผมใกล้จะพังทลายลงแล้ว!” จ่านป๋ายกัดฟันกรอดพูดออกมา


 


 


“เกิดอะไรขึ้นคะ” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถาม


 


 


“ไม่มีอะไรครับ! ไปที่บ้านของคุณก่อยเถอะแล้วค่อยว่ากัน!” ฉินเฮ่าพูดพลางช่วยซีเหมินจินเหลียนเลือกชุด รวมไปถึงชุดที่ถูกปักไปด้วยลายผีเสื้อนั่น สั่งให้พนักงานใส่ถุงลงไปทั้งสามชิ้น รีบร้อนรูดบัตร จากนั้นหยิบกระเป๋าและจูงมือซีเหมินจินเหลียน ใบหน้าคร่ำเครียดออกไปข้างนอก


 


 


    


 


 


 “ฝนใกล้จะตกแล้ว?” ซีเหมินจินเหลียนเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคร่ำเครียดของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหัวเราะออกมา ก็แค่อวิ๋นเจียไปที่บ้านของเธอไม่ใช่หรอกเหรอ? เขาต้องเครียดอย่างกับถูกลงโทษขนาดนั้นด้วยเหรอไง


 


 


“จินเหลียน ผมอยากจะอยู่กับเธออย่างสงบสุข แต่ถ้าหากเธอทำเกินไป…” ฉินเฮ่าส่ายหัว ส่วนคำพูดต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่อยากจะเอ่ย


 


 


“คุณอย่าพูดจาทำร้ายเธอนะคะ เธอก็น่าสงสารพอแล้ว ถึงคุณจะไม่ชอบเธอ ปลอบใจเธอก็พอแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมา อวิ๋นเจียเป็นเด็กผู้หญิงที่น่าสงสาร เธอรักเขาก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแค่ใครใช้ให้เธอเป็นโรคกันเหล่า?


 


 


ขับรถมุ่งตรงไปที่ย่านหลานกุ้ย เมื่อจอดรถไปที่หน้าบ้านของซีเหมินจินเหลียน จ่านป๋ายก็ได้ยินเสียงรถขับเข้ามาเลยเปิดประตูไปดู ฉินเฮ่าจูงมือเธอเข้ามา เมื่อเขาเห็นเช่นนั้นความโกรธในตัวก็ยิ่งประทุเพิ่มขึ้น


 


 


ที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลถูกทำลายแตกเป็นชิ้นละเอียด ไม่รู้ว่าตั้งใจทำให้แตกหรือว่าไม่ตั้งใจไปโดนทำให้หล่นกระแทกพื้นลงมา อวิ๋นเจียนั่งอยู่ที่โซฟาร้องห่มร้องไห้ แถมคนข้างๆ ของเธอยังเป็นลู่เฟยอวี๋ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจ


 


 


“จินเหลียน คุณระวังตัวด้วยนะครับ” จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนกลับมาเลยรีบรายงาน


 


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ซีเหมินจินเหลียนกระซิบถาม


 


 


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” จ่านป๋ายถอนหายใจออกมา “หลังจากที่ผมขับรถกลับมาจากส่งเพื่อนของคุณทั้งสองคนนั้น ก็เจอพวกเธอทั้งคู่มาหาคุณ หลังจากนั้นก็เป็นแบบที่เห็น…” จ่านป๋ายมองไปยังที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลที่แตกกระจายอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “ที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลชิ้นนั้นก็ตายในหน้าที่”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกไม่สบายใจ แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นมา


 


 


“เจียเจีย เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเฮ่าย่างเท้าเข้าไปหาเธอ พร้อมจับตัวเธอขึ้นมาถามอวิ๋นเจียที่ร้องไห้ไม่หยุด


 


 


“ฮือๆ…” อวิ๋นเจียได้แต่ส่งเสียงร้องฮือๆ ออกมา เมื่อเห็นฉินเฮ่าก็ยิ่งน้ำตาแตกปล่อยโฮออกมาไม่หยุด น้ำหูน้ำตาไหลไปเป็นสาย แต่ถูกเช็ดไปด้วยเสื้อผ้าของเขา


 


 


“คุณยืนดีๆ แล้วรวบรวมสติพูดออกมาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกคุณถึงอยู่ที่นี่?” ระหว่างที่พูด เขาก็มองไปที่ลู่เฟยอวี๋และสลับกับมองที่จ่านป๋าย


 


 


จ่านป๋ายจูงมือซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปนั่งที่โซฟา ส่ายหัวแล้วพูดว่า “เรื่องก็เป็นแบบนี้ ตอนที่ผมกลับมา ก็เห็นพวกเธอยืนเรียกอยู่ที่หน้าประตูแล้ว” พูดไปเขาก็หันไปมองอวิ๋นเจียกับลู่เฟยอวี๋ 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 29 ใครเป็นตัวละครนำของใคร

 

ซีเหมินจินเหลียนนวดขมับของตัวเองที่ปวดตุบๆ ทั้งหมดนี่มันเรื่องอะไรกัน? เดิมทีเธอคิดว่าบ้านของหวังหมิงเหยาก็ทำให้เกลียดเกินพอแล้ว แต่ตอนนี้กลับพบว่า คนเราเมื่ออยากไปจุดสูงสุด ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน ไม่ว่าจะหญิงชายคนแก่หรือเด็กต่างก็ไม่มีความแตกต่าง 


 


 


“คุณทั้งสองคนมาที่นี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามเสียงใส 


 


 


ลู่เฟยอวี๋จ้องไปที่เธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ส่วนทางด้านอวิ๋นเจียได้แต่กอดฉินเฮ่าร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด ร้องจนซีเหมินจินเหลียนรู้สึกหวาดผวา ราวกับว่าเธอเป็นผู้หญิงชั่วช้า แย่งแฟนของชาวบ้านก็ไม่ปาน 


 


 


“คุณอวิ๋นเจีย…” ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปประคองให้อวิ๋นเจียนั่งลงที่โซฟา 


 


 


ในที่สุดฉินเฮ่าก็ผ่อนคลายลงมา เดินไปนั่งที่โซฟาอีกฝั่ง ซีเหมินจินเหลียนหยิบกระดาษทิชชู่จากบนโต๊ะแล้วส่งให้อวิ๋นเจีย “ฉันรู้ว่าคุณตั้งใจมาหาฉัน” 


 


 


อวิ๋นเจียเงยหน้าขาวซีดนิดหน่อยขึ้นมา รูปหน้าสวยได้รูป ถึงจะร้องไห้จนสภาพดูไม่ได้ แต่เธอก็ยังคงความสวยไว้อยู่ ซีเหมินจินเหลียนคิดในใจว่า ไม่แปลกใจที่เป็นสาวแห่งเมืองเจียงหนาน สวยอย่างที่เขาว่ากัน! 


 


 


 “คุณกังวลว่าฉันจะแย่งฉินเฮ่าไปใช่ไหม?” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


 อวิ๋นเจียเช็ดคราบน้ำตาที่อยู่บนใบหน้า ใบหน้าขาวซีดนั่นก็เริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาแล้วก็พยักหน้าลง “ฉันมีแค่พี่ฉินคนเดียว นอกจากเขาแล้ว ฉัน…ก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว…” 


 


 


ไม่รู้ว่าทำไม ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนมีอะไรมากระแทกใจ ภายในใจของหญิงสาวคนนี้ เหลือไว้ให้แค่ฉินเฮ่าคนเดียว ไม่มีเหลือให้ใครอื่นแล้ว ผู้หญิงประเภทนี้มักจะพบเจอแต่ความเสียใจ 


 


 


“คุณอวิ๋นคะ ฉันกับฉินเฮ่าเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ คุณลองดูสิ ฉันก็มีแฟนแล้ว!” พูดไปเธอก็เงยหน้าหันไปทางจ่านป๋าย 


 


 


อวิ๋นเจียมองจ่านป๋ายตามซีเหมินจินเหลียนแล้วพูดว่า “คุณหมายถึง จ่านป๋ายเหรอ?” 


 


 


“ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า เวลานี้รู้แค่ว่าถ้าใช้จ่านป๋ายมาเป็นโล่กำบัง ช่างเหมาะสมที่สุดแล้ว “คุณดูสิ พวกเราอยู่ด้วยกันแล้ว หญิงชายสองต่อสองภายในบ้านเดียวกัน ฉันไม่พูดคุณคงเข้าใจ” 


 


 


จ่านป๋ายยังคงไม่ได้สติกลับมา เขารู้ว่าซีเหมินจินเหลียนกำลังใช้เขาเป็นโล่บังหน้า แต่ว่านี่ก็ตรงไปไหมนะ 


 


 


อวิ๋นเจียเงยหน้าไปมองเธอและพูดด้วยเสียงอ่อนแรง “จริงเหรอคะ?” 


 


 


“จริงแน่นอนค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “เมื่อกี้ฉันไปกินข้าวกับจ่านป๋าย และบังเอิญเจอเพื่อนอีกสองคน เขาเลยไปส่งเพื่อนฉันกลับบ้าน ส่วนพี่ฉิน เขาก็พาฉันไปแนะนำร้านซิ่วฟางของบ้านคุณให้รู้จัก” เธอพูดถึงเรื่องที่ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่เล่าให้อวิ๋นเจียฟัง “คุณดูสิคะ ฉันยังสั่งตัดชุดโบราณที่ร้านคุณอีกสองชุด คุณต้องลดราคาให้ฉันยี่สิบเปอร์เซ็นต์นะคะ!” 


 


 


อวิ๋นเจียสายตาเหลือบไปมองถุงใส่ของร้านซิ่วฟางแล้วพยักหน้า “ขอโทษค่ะพี่จินเหลียน ฉันทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป!” 


 


 


ลู่เฟยอวี๋คิดในใจ ความสัมพันธ์ระหว่างซีเหมินจินเหลียนกับฉินเฮ่าต้องไม่ใช่เพื่อนทั่วไปแน่ สำหรับผู้หญิงแล้วถ้าเรื่องแค่นี้ยังมองไม่ออก ก็ถือว่าแพ้ราบคาบ 


 


 


เธอเพียงแค่ล้มเหลวในการทายใจของหลินเสวียนหลาน ส่วนเรื่องอื่นๆ เธอยังคงมั่นใจ อย่างไรฉินเฮ่าก็เห็นซีเหมินจินเหลียนไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาคนหนึ่งแน่ๆ… 


 


 


อวิ๋นเจียจับมือของจินเหลียนอย่างอ่อนแรง “พี่จินเหลียนคะ รอให้ชุดโบราณทำเสร็จแล้ว ฉันจะให้คนมาส่งให้พี่ พี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงิน ถือซะว่าเจียเจียชดใช้ให้กับพี่ พี่อย่าโกรธนะคะ” 


 


 


“ฉันไม่ได้โกรธค่ะ พี่ฉินเขาเป็นผู้ชายที่ดี คุณจะชอบเขาก็ไม่แปลก” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม บางครั้งโกหกแบบเจตนาดี กับผู้หญิงที่บอบบางยังกับสายน้ำเช่นนี้ นั่นก็ถือว่าเป็นการทำบุญ เธอเป็นเหมือนเจ้าหญิงที่อยู่ในทุ่งลาแวนเดอร์ เมื่อเจอเรื่องบนโลกที่เลวร้ายหรือจิตใจคนที่ต่ำช้าก็มักจะทำอะไรไม่ถูก เธอชอบฉินเฮ่าเลยคิดว่าฉินเฮ่าก็อาจจะชอบเธอ… 


 


 


ฉินเฮ่าได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา เขารู้ว่าซีเหมินจินเหลียนแค่ปลอบใจอวิ๋นเจีย และยังรู้ว่าซีเหมินจินเหลียนก็ไม่ได้พูดผิด เพียงแค่ตอนที่เธอบอกว่าจ่านป๋ายเป็นแฟนของเธอ ทั้งสองอยู่บ้านเดียวกัน เขาก็รู้สึกอยากจะฉีกจ่านป๋ายออกมาเป็นชิ้นๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าซีเหมินจินเหลียนพูดเป็นข้ออ้าง แต่ทำไมในใจของเขาถึงได้อึดอัดใจเช่นนี้? 


 


 


“คุณเจียเจีย ให้พี่ฉินไปส่งคุณกลับบ้านเถอะนะคะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูดหว่านล้อมให้เธอกลับไป 


 


 


อวิ๋นเจียเงยหน้าขึ้นมองไปทางฉินเฮ่าอย่างน่าสงสาร ซีเหมินจินเหลียนก็มองไปทางเขา ฉินเฮ่าจึงได้แต่พยักหน้า เขาไม่ได้มองไปที่อวิ๋นเจียแต่กลับหันไปทางซีเหมินจินเหลียน เขาไม่สามารถให้อวิ๋นเจียอยู่ก่อเรื่องที่บ้านของเธอต่อไป เช่นนั้นจึงลุกขึ้นประคองอวิ๋นเจียเดินออกไปข้างนอก 


 


 


“จินเหลียน ขอโทษด้วยนะครับ” ฉินเฮ่าพูดขอโทษเธออยู่หน้าประตู 


 


 


“คุณขอโทษแทนคุณอวิ๋นเจียเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


ฉินเฮ่ารู้สึกสับสน ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา จะพยักหน้าก็ไม่ใช่ จะส่ายหัวก็ไม่ใช่ “ผมต้องไปส่งเจียเจียกลับบ้านแล้ว จินเหลียน ไว้เจอกันนะครับ!” 


 


 


รถเบนซ์สีบลอนเงินได้ขับออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับสาวงามแห่งเมืองเจียงหนาน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหันหลังเดินเข้ามาในบ้าน เห็นภายในห้องรับแขกยังมีลู่เฟยอวี๋อยู่ ลู่เฟยอวี๋รู้สึกแปลกใจ ซีเหมินจินเหลียนพูดแค่สองสามประโยคก็ทำให้อวิ๋นเจียถอนทัพกลับไปได้ ความโง่เง่าบ้าคลั่งของอวิ๋นเจีย เธอเคยสอนให้กับเธอ เรียกได้ว่าเธอและอวิ๋นเจียก็เหมือนลงเรือลำเดียวกัน แต่ทำไมตอนที่อวิ๋นเจียกลับไปถึงไม่ทักทายบอกกล่าวเธอสักคำ 


 


 


ถึงจะรู้ว่าอวิ๋นเจียเป็นคนแบบนั้น ขอแค่มีฉินเฮ่าอยู่ด้วย เธอก็คิดว่าเขาเหมือนโลกทั้งใบ สายตาของเธอไม่มีที่ว่างให้กับใคร เพียงแต่วันนี้เธอรู้สึกไม่สบายใจและละอายใจ 


 


 


เมื่อเผชิญหน้ากับซีเหมินจินเหลียน เธอก็มีอะไรอยากจะพูด แต่ว่าไม่รู้ว่าจะปริปากออกมาอย่างไร เดิมทีคิดไว้ว่าจะอาศัยเวลาอวิ๋นเจียอาละวาดสักหน่อย อวิ๋นเจียเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลอวิ๋น ถึงเธอจะเป็นโรค ถึงเธอจะไม่มีอะไร แต่เธอก็ยังมีผู้สนับสนุนใหญ่ตระกูลอวิ๋นอยู่เบื้องหลัง ตระกูลอวิ๋นมีแค่ลูกสาวที่น่ารักเพียงแค่คนเดียว เลยรักเสมือนไข่ในหิน แน่นอนย่อมทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอถูกกลั่นแกล้งรังแก 


 


 


ขอแค่ซีเหมินจินเหลียนรับโทษจากอวิ๋นเจีย ก็ไม่มีที่ยืนในเมืองเซี่ยงไฮ้อีกต่อไป เธอไม่มีแผนการอะไร แม้ว่าเธอจะแต่งงานกับใครก็เหมือนกัน ในที่สุดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้กับการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว สิ่งที่คาดหวังเอาไว้ บางครั้งก็ไม่สำคัญ 


 


 


แต่เธอก็ไม่อยากจะให้ซีเหมินจินเหลียนเป็นสาเหตุให้หลินเสวียนหลานเลิกกับเธอ 


 


 


เธอยิ่งไม่เข้าใจว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง ไม่เคยเห็นโลกที่กว้างใหญ่ แต่ทำไมกลับมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้คนใจเต้นแรงได้ 


 


 


“คุณลู่เฟยอวี๋คะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มและถามเธอไปว่า “คุณมาเป็นเพื่อนคุณอวิ๋นเจียหรือมาเพราะเรื่องของตัวเอง?” 


 


 


“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีคนมาช่วย ฉันมาเพื่อตัวเองอยู่แล้ว” ลู่เฟยอวี๋เงยหน้าขึ้นมาพูด “ในเมื่อคุณซีเหมินมีแฟนแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันก็สบายใจ” 


 


 


“นี่ก็ดึกแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่รั้งคุณให้อยู่ต่อไปแล้วนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด 


 


 


“ฉันเตรียมตัวจะแต่งงานก่อนปีหน้า ถึงเวลานั้นจะเรียนเชิญคุณซีเหมินมาร่วมในวันงานด้วยนะ!” ลู่เฟยอวี๋ลุกขึ้นพูด 


 


 


“อืม ยินดีด้วยนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มให้เธอ “ถ้าหากคุณลู่ต้องการเครื่องประดับหยก ก็สามารถมาดูที่ฉันได้นะคะ ราคาถูกกว่าในตลาดแน่นอน” 


 


 


“แน่นอนค่ะ!” ลู่เฟยอวี๋ยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนั่นมีแต่ความเจ็บปวดและสิ้นหวัง หยก สมควรจะตายไปซะ ภายในใจของหลินเสวียนหลานก็มีแต่หยก… 


 


 


คนงามเหมือนหยก แต่คนงามก็ไม่ใช่หยก! เพราะฉะนั้นคนงามก็ไม่สามารถเข้าไปในใจแทนที่ของหยกนั่นได้ หยกบ้าแกสมควรตายจากไป… 


 


 


อีกทั้งซีเหมินจินเหลียน ไม่ใช่แค่คนสวยอย่างเดียว เธอยังมีหยก! 


 


 


สายตาของลู่เฟยอวี๋มองไปที่ข้อมือของเธอที่สวมใส่กำไลประกายดาวไว้ แสงระยิบระยับนั่นสะท้อนไปที่ผิวสีขาวใสของเธอ เปล่งประกายแพรวพราว คนสวยเหมือนหยกจริงๆ ด้วย! 


 


 


หยกชั้นดี ก็ไม่ใช่แค่ใช้เงินจ่ายมาก็สามารถครอบครองได้ จากประโยคที่เคยได้ยินบ่อยๆ ว่า ทองคํามีราคามาตรฐาน แต่หยกไม่มีราคามาตรฐาน หยกที่ไม่มีราคามาตรฐานตายตัวนี้ กลับมีแรงดึงดูดเขาอย่างไร้ขีดจำกัด แต่อย่างไรเธอก็ไม่ได้มีเงินมากมายที่จะซื้อหยกที่ไม่มีราคาตายตัวเช่นนี้… 


 


 


หรือว่าเธอควรจะปล่อยวาง? ทายใจผู้ชายคนนั้นมันช่างเหนื่อยเหลือเกิน ขมขื่นเหลือเกิน แต่ภายนอกของเขาเป็นผู้ชายสุภาพอ่อนโยน ใครจะไปรู้จิตใจของเขาคิดอย่างไรกันแน่? หลายปีที่ผ่านมานี้ อาการไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขาก็ทำให้เธอเจ็บใจอยู่ตลอด 


 


 


“คุณซีเหมิน ในฐานะเจ้าของบ้าน คุณก็ไม่คิดจะออกไปส่งฉันหน่อยเหรอคะ?” ลู่เฟยอวี๋เดินออกไปหน้าประตูเรียบร้อย จากนั้นรีบหันกลับมาถามไปยังซีเหมินจินเหลียน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่สับสน แต่ก็ยังเดินไปส่งที่หน้าประตู ลู่เฟยอวี๋มองไปที่จ่านป๋ายที่จับมือเธออย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับเพื่อนสนิทกัน เลยเดินออกไป 


 


 


เมื่อเดินไปถึงสวนข้างหน้า ลู่เฟยอวี๋ก็หยุดฝีเท้าลงถามว่า “ผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่แฟนคุณใช่ไหม?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่ยิ้มกลับไป ใช่ไม่ใช่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ เธอไม่ใช่คนที่เธอสนิทอะไรสักหน่อย? 


 


 


 “ถึงฉันไม่รู้ว่าหลินเสวียนหลานเป็นอะไรสำหรับคุณ แต่ฉันรู้ว่าอย่างน้อยคุณก็ใส่ใจเขา ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่เกลียดหวังเซียงฉินขนาดนั้น มันไม่เหมือนลักษณะนิสัยของคุณ!” ลู่เฟยอวี๋ยิ้มอย่างเจ็บปวดเคียดแค้น ภายใต้รอยยิ้มแฝงไปด้วยความสิ้นหวัง 


 


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจเบาๆ “คืนวันนั้นฉันกับแฟนเลิกกัน รักขื่นขมมาสามปี สุดท้ายก็เลิกกันแบบไม่ไยดี แม้แต่ประโยคสักประโยคยังไม่พูดออกมา ความรู้สึกของมนุษย์บางครั้งไม่ตรงกับความเป็นจริงที่แสนโหดร้าย คืนวันนั้นฉันรู้สึกว่าฉันไม่เหลืออะไร เหมือนโลกทั้งใบทิ้งไว้ให้ฉันอยู่คนเดียว…” 


 


 


ไม่รู้ทำไมซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าในใจเธอรู้สึกปิดกั้น ในใจของเธอมีร่องรอยของเขาเหลือไว้อยู่อย่างนั้นเหรอ? ถ้าไม่มีเขาเธอก็ยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่างน้อยตอนที่เธอได้ยินเรื่องที่ลู่เฟยอวี๋จะแต่งงาน เธอก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร ชีวิตคนก็เหมือนเกม ทุกคนล้วนอยู่ในนั้น เพียงแค่ใครเป็นตัวละครนำก็แค่นั้น 


 


 


เธอไม่ใช่ของเขา เขาก็ไม่ใช่ของเธอ เขาจะแต่งงานกับใคร ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอเลยสักนิด 


 


 


เพียงแต่ฤดูใบไม้ร่วงช่วงแรกของพลบค่ำที่ฝูงนกโผบินกลับรังกันอลหม่าน ความรู้สึกของเธอรู้สึกสับสน ไม่สามารถหาหนทางระบายออกมาได้ เธอเพียงแค่ต้องการหาคนที่สามารถเข้าใจเธอ และพร้อมจะรับฟังเธอ ถึงแม้ลู่เฟยอวี๋ไม่ใช่คนที่เธอคิดไว้… 


 


 


“เขาทำร้ายฉัน และพาฉันมาเดิมพันหยกด้วยกัน จากนั้นก็เปลี่ยนชีวิตของฉันทั้งหมด!” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างสงบนิ่ง “ฉันกับเขาเป็นเพื่อนกันทั่วไป ก็เหมือนฉันกับคุณ บางทีแค่เพื่อนกันก็อาจไม่จำเป็นต้องพูด” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม