กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 4 ตอนที่ 11-13

 ตอนที่ 11 พลังปราณไร้ลักษณ์ดั้งเดิม

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในกระแสน้ำทมิฬนั้นไร้ทั้งแสงและเสียง ทว่าการปรากฏตัวของยักษ์ใหญ่ขนาดเท่าเนินเขาทั้งสิบตนนั้นทรงพลังราวกับว่ามีพายุงวงช้างอยู่เบื้องหน้าพวกเขา หวังลู่ที่รับรู้ในความมืดได้ สามารถประทับใบหน้าที่ดุร้ายของอีกฝ่ายไว้ในใจได้เลยทีเดียว


มันคือใบหน้าที่มีความเกลียดชังล้ำลึก แม้ในหมู่วิญญาณร้ายด้วยกันเอง มีวิญญาณเพียงไม่กี่ตนที่จะมีความจงเกลียดจงชังที่มุ่งร้ายและรุนแรงเช่นนี้ ความจริงแล้ว ไม่ใช่วิญญาณทุกตนที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ณ ตอนนี้อาจพูดได้ว่าในอาณาจักรเก้าแคว้นนั้นสงบสุข ในหมู่สำนักต่างๆ เส้นแบ่งระหว่างคุณธรรมและความชั่วร้ายนั้นไม่ชัดเจนนัก หลายร้อยปีมานี้ในโลกบำเพ็ญเซียน ผู้บำเพ็ญเซียนหลายต่อหลายคนได้เขียนเรื่องรักใคร่ที่ไม่สมหวังระหว่างวิญญาณและมนุษย์ออกมาไม่น้อย บางพื้นที่มีกระแสนิยมรูปแบบใหม่ที่นำผีดิบสาวมาเป็นคนรักด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องงดงามมากพอ


ทว่าเหล่าวิญญาณร้ายในกระแสน้ำทมิฬนั้นแตกต่างจากผีดิบและวิญญาณทั่วไปในอาณาจักรเก้าแคว้นมาก การมีอยู่ของพวกมันนั้นบิดเบี้ยวและมุ่งร้ายมากกว่า แม้พวกมันจะมีสติปัญญา แต่พวกมันก็ไม่ปรารถนาจะอยู่ร่วมอย่างสันติกับสิ่งมีชีวิตอื่นแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่พวกมันปรากฏตัวออกมา พวกมันตั้งใจที่จะกวาดล้างสิ่งมีชีวิต โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆ ทั้งสิ้น


ไม่เช่นนั้นแล้ว ในปีที่ผ่านมานี้ หวังลู่ย่อมเปลี่ยนเหล่าวิญญาณร้ายเหล่านี้ให้กลายเป็นผู้ติดตามของสำนักภูมิปัญญา ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่เหล่ามนุษย์เป็นเพื่อให้โลกเคลื่อนคล้อยสู่สวรรค์ไปนานแล้ว


“เจ้าตูบโง่ เจ้าหลอกข้านี่”


เจ้าสุนัขหน้าโง่นี่นำทางให้เขามาเจอกับวงล้อมของวิญญาณร้ายขนาดมหึมาสิบตนนี้ เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจให้เจ้าสุนัขโง่นี่ออกตามหาพวกมัน แต่น่ามีบางอย่างที่ผิดธรรมดาอยู่ในใจกลางวงล้อมนั้น ที่ทำให้พวกมันต้องเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา… เคราะห์ดีที่เจ้ายักษ์ใหญ่พวกนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับราชาซากศพปรลัย จากความแข็งแกร่งของหวังลู่ในตอนนี้ การเผชิญหน้ากับเจ้ายักษ์ใหญ่สามถึงสี่ตนไม่ถือว่ากดดันอะไร เพียงแค่หากพวกมันทั้งสิบพุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกัน มันก็อาจจะเสี่ยงไม่น้อย แถมนอกจากวิญญาณร้ายยักษ์ใหญ่สิบตนนี่แล้ว ยังมีเหล่าผีดิบ ลูกไฟ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่มารวมตัวกันเป็นภูเขาอยู่ก่อนหน้านี้ด้วย


ทว่าในฐานะนักผจญภัยมืออาชีพ เขารู้ตัวดีว่าไม่ควรขวัญหนีในสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นหวังลู่จึงยื่นกระบี่ไปด้านหน้า “เจ้าตูบหน้าโง่ โจมตี”


“โฮ่ง”


เจ้าสุนัขหน้าโง่พุ่งเข้าใส่วิญญาณร้ายขนาดยักษ์ทั้งสิบอย่างไม่ลังเล อาหารจานพิเศษนี้อยู่ใกล้เสียจนมันสามารถได้กลิ่นอย่างชัดเจน แน่นอนว่าสิ่งนั้นอยู่ที่ใจกลางวงล้อมของวิญญาณขนาดยักษ์ทั้งสิบนี้ และด้วยสัญชาตญาณสัตว์ มันรู้ชัดว่าการพุ่งเข้าชนเหล่ายักษ์ใหญ่พวกนี้นั้นเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวง เพราะมันไม่อาจรับมือเจ้ายักษ์ใหญ่พวกนั้นได้สักตัว หากออกล่าพร้อมหวังลู่ก็อาจจะฆ่าพวกมันได้บ้าง ทว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่เหล่านี้สิบตนพร้อมกันก็เหมือนเดินเข้าไปหาที่ตาย


แต่สุดท้ายแล้วมันก็เลือกพุ่งตัวเข้าไปอยู่ดี หนำซ้ำยังโถมเข้าไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ ทิ้งหวังลู่ให้อยู่ด้านหลังเพียงลำพัง ทันใดนั้นวิญญาณยักษ์ใหญ่ทั้งสิบก็คำรามไร้เสียงและพุ่งตัวหมายจะคว้าเจ้าสุนัขไว้


ตู้ม!


ประกายไฟจำนวนไม่น้อยระเบิดขึ้นท่ามกลางความมืด ดวงไฟเหล่านี้ยากจะมองเห็นในความมืด และแม้จะเบาบางและสั่นไหวไปมาในความมืดที่ไร้ขอบเขตนี้ แต่เปลวไฟก็รุนแรงเพียงพอที่จะเผาไหม้ได้


ประกายไฟนี้ดูเหมือนจะเป็นเส้นแบ่งระหว่างหยินกับหยาง ความสว่างกับความมืด และขาวกับดำ ด้วยเส้นแบ่งนี้ ดินแดนที่แอบซ่อนอยู่ในความเงียบสงัดก็พลันสะท้อนสีสันขึ้นมา ภาพวิญญาณยักษ์ใหญ่ทั้งสิบที่กำลังยื่นมือน่าเกลียดน่าชังขนาดมหึมาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และถูกสะท้อนไปมาจากแสงและเงาของประกายไฟ เสียงคำรามจากวิญญาณที่อยู่รอบข้างในชั่วขณะที่ไฟกำลังเผาไหม้ไหลเอ่อเข้ามาในหูในทันที เสียงก่นด่าอย่างโกรธเกรี้ยวนับไม่ถ้วนรวมทั้งเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังจำนวนมากหมุนวนรวมกันจนกลายเป็นเสียงกรีดร้องคร่ำครวญไม่ขาดสาย


นี่คือไฟจากหยกเรืองแสง แหล่งที่มาของแสงเพียงอย่างเดียวในกระแสน้ำทมิฬ ขณะเดียวกันกับที่เจ้าสุนัขหน้าโง่พุ่งตัวออกไป หวังลู่ก็ล้วงเอาหยกเรืองแสงที่สะสมไว้ออกมาจากย่ามสีเหลืองหม่นและโปรยมันไปทั่ว


แสงไฟขับไล่กระแสน้ำทมิฬรวมถึงวิญญาณใหญ่ยักษ์ที่หวาดกลัวและรีบชักมือกลับจนร่างเซไปด้านหลังขณะรีบร้อนถอยหนี แน่นอนว่าวิญญาณปรลัยเหล่านี้หวาดกลัวไฟจากหยกเรืองแสงเป็นทุนเดิม ทว่าทันทีที่พวกมันถอยหลัง สิ่งที่พวกมันปกป้องอย่างแน่นหนาก็ปรากฏสู่สายตา ไฟจากหยกเรืองแสงของหวังลู่นั้นเจิดจ้า มันสะท้อนให้เห็นสิ่งที่วิญญาณใหญ่ยักษ์เหล่านั้นล้อมรอบอยู่


ทว่าทันทีที่วิญญาณเหล่านั้นถอยร่นไปจนเผยให้เห็นสิ่งที่พวกมันซ่อนไว้ หวังลู่ก็อดอุทานออกมาไม่ได้ “ระยำ!” จากนั้นเขาก็หยุดเท้า ไม่อาจพุ่งเข้าไปเปิดการโจมตีได้


รายรอบไปด้วยแสงไฟจากหยกเรืองแสง ภายในระยะการมองเห็นของเขา ปรากฏให้เห็นวิญญาณรูปร่างมนุษย์กายสีเข้มผิวหนังวาววับ มันซ่อนใบหน้าไว้ในฝ่ามือ ส่งเสียงขู่ออกมาด้วยความหวาดกลัวเปลวไฟ


วิญญาณตนนี้สูงเท่ามนุษย์ทั่วไป รูปร่างของมันคล้ายมนุษย์มาก และเพราะทั้งร่างเปลือยเปล่า ทำให้มองเห็นกลุ่มกล้ามเนื้อและผิวหนังเรียบลื่นวาบวาม แม้หวังลู่จะมองไม่เห็นหน้าของอีกฝ่าย เพราะถูกฝ่ามือปกปิดเอาไว้ แต่เขาก็เห็นบางอย่างที่ทั้งใหญ่และยาวห้อยอยู่กลางหว่างขาของมันอย่างชัดเจน


“ระยำจริงๆ ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าต้องมีวิญญาณแปลกๆ พรรค์นี้อยู่ในหมู่วิญญาณร้ายด้วย เจ้าตูบเดนตายเอ๊ย สิ่งที่เจ้าเรียกว่าทรงพลังและรุนแรงหมายถึงทรงพลังและรุนแรงเช่นนี้สินะ!”


ในฐานะนักผจญภัยมืออาชีพ หวังลู่นั้นมีจิตใจมั่นคงยิ่งยวดไม่หวั่นไหวแม้ต้องเผชิญกับภูเขาที่กำลังถล่มลงต่อหน้า หลังจากที่ก้าวเท้าเข้ามายังโลกบำเพ็ญเซียน และด้วยการช่วยเหลือจากจิตเซียนไร้ลักษณ์ พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาก็เฉียบแหลม สติปัญญาก็เฉียบคมขึ้น แม้เขาจะยังมีความรู้สึกแปลกใจอยู่ แต่ในความเป็นจริง ความรู้สึกที่ว่านั้นแทบไม่ส่งผลต่อการกระทำของเขาเลย


ทว่าครั้งนี้ วิญญาณสีเข้มตนนี้กลับทำให้หวังลู่ลังเลไปพักหนึ่ง แถมมันยังทำให้เขาหยุดการจู่โจมได้


ทว่าเจ้าสุนัขเดนตายกลับไม่รู้สึกรู้สาและยังเข้าโจมตีต่อไป ขณะที่อีกฝ่ายยังคงหวาดหกลัวแสงไฟจากหยกเรืองแสง มันจึงเผยช่องว่างให้เข้าจู่โจม เจ้าสุนัขเดนตายกัดเข้าที่แขนของอีกฝ่าย พยายามกระชากมันออกเพื่อเผยให้เห็นลำคอที่มือปิดอยู่


ในเมื่อเจ้านี่เป็นวิญญาณที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ มันอาจกัดเข้าที่ลำคอหรือขยี้กะโหลกจนแตกได้… ในทางทฤษฎี วิญญาณกับสิ่งมีชีวิตมีโครงสร้างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่าเมื่อไม่นานนี้ตอนที่พวกเขาออกล่าเหล่าวิญญาณร้าย พวกเขาก็สังหารวิญญาณที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ไปไม่น้อย เมื่อถูกเจ้าสุนัขหน้าโง่กัด เสียงขู่ของวิญญาณร้ายผิวคล้ำก็ดังขึ้นเป็นสองเท่า แสดงให้เห็นว่ามันเจ็บปวดมหันต์ อึดใจถัดมา กล้ามเนื้อแขนของมันก็ถูกสะบั้นออกเป็นสองส่วน


ทันใดนั้น แขนของวิญญาณตนนี้ก็คลายลง เผยให้เห็นสิ่งที่เชื่อมระหว่างศีรษะกับลำตัว ซึ่งก็คือลำคอ


เจ้าสุนัขหน้าโง่ยินดียิ่งนัก มันถีบขาหลังพุ่งตัวไปยังใบหน้าของวิญญาณตยนั้น ฟันทั้งสองแถวอ้ากว้างหมายมั่นที่จะเข้าไปขย้ำลำคอของอีกฝ่าย ตรายใดที่มันสามารถฝังเขี้ยวไปบนลำคอของอีกฝ่ายได้ ชัยชนะก็ไม่ไปไหนเสีย แม้จะไม่แจ่มชัดนัก แต่ระบบย่อยอาหารของเจ้าสุนัขเดนตายตัวนี้ก็ถือว่าฝืนลิขิตสวรรค์อย่างแท้จริง ทันทีที่สิ่งใดก็ตามเข้าปากของมัน สิ่งนั้นจะหายไปตลอดกาล… ต่อให้อีกฝ่ายระดับสูงกว่ามันหลายขั้นก็ตาม


วิญญาณร่างเข้มนั้นแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะมีวิญญาณยักษ์ใหญ่สิบตนคอยปกป้อง ทว่าพละกำลังของมันกลับมากกว่าเหล่ายักษ์ใหญ่พวกนั้นเสียอีก หากหวังลู่กับเจ้าสุนัขอยู่ภายใต้กระแสน้ำทมิฬ ต่อให้ทั้งคู่ร่วมแรงกัน โอกาสที่จะชนะก็มีเพียงครึ่งเดียว… ทว่าก่อนหน้านี้ ตาลุงผิวเข้มตนนี้มัวแต่หวาดกลัวไฟจากหยกเรืองแสง ทำให้ไม่อาจตั้งรับได้ทัน


ทว่าตอนที่คมเขี้ยวของเจ้าสุนัขกำลังจะบดขยี้ลงไปที่เป้าหมาย มันก็ได้ยินคำสั่งจากปากของหวังลู่


“เจ้าตูบหน้าโง่ มานี่”


เจ้าสุนัขจอมทึ่มตัวแข็งทื่อ มันไม่ได้กำลังคิดว่าเหตุใดหวังลู่จึงบอกให้ถอนตัว ทั้งยังไม่ได้คิดว่าจะทำตามใจตัวเอง… ความจริงแล้วมันไม่รู้จะตอบสนองต่อเสียงเรียกนี้อย่างไรต่างหาก


เจ้าสุนัขหน้าโง่มีสมองจำกัด เมื่อพลังสมองของมันถูกใช้ไปกับการต่อสู้หมดแล้ว การประมวลผลด้านภาษาจึงทำงานได้อย่างเชื่องช้า ในการออกล่าก่อนหน้านั้น พวกเขาไม่ได้เหนื่อยยากเท่าครั้งนี้ เจ้าสุนัขไม่ได้ใช้พละกำลังมากมาย จึงมีพลังสมองเหลือพอทำตามคำสั่งของหวังลู่ได้ ทว่าครั้งนี้ ต่อหน้าอาหารชั้นเลิศ แรงกระตุ้นที่มากเกินขนาดทำให้มันสูญเสียความสามารถในฟังคำสั่งไปชั่วคราว


แต่หวังลู่ที่อยู่ด้านหลังกลับตกใจวูบขึ้นมา


นั่นเป็นเพราะหลังจากที่ตกตะลึงไปในตอนแรก หวังลู่ก็จำวิญญาณผิวคล้ำนี่ได้ เขารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่หยุดเท้าตัวเองไว้เมื่อได้เห็นรยางค์ขนาดใหญ่โตของอีกฝ่าย


เพราะเจ้านี่คือแม่ทัพซากศพปรลัย หนำซ้ำเมื่อดูจากสีผิวที่ดำคล้ำของอีกฝ่าย เขาก็รู้ได้ว่ามันคือหนึ่งในแม่ทัพซากศพพิษทมิฬที่โด่งดัง เจ้านี่มีพละกำลังใกล้เคียงกับเสี่ยวหมิงที่อยู่ในขั้นพิสุทธิ์ระดับต้น หากจะบอกว่ามันทรงพลังไม่เบาก็อาจไม่ถึงขนาดนั้น แต่ทว่า… เจ้านี่เจ้าเล่ห์อย่างฉกาจฉกรรจ์เลยทีเดียว


ที่แม่ทัพตนนี้หวาดกลัวเปลวไฟจากหยกเรืองแสงอาจจะเป็นเรื่องจริง ทว่าถึงขั้นกลัวเสียจนเอามือปิดหน้าและไม่อาจต้านทานต่อแสงไฟได้นั้นดูเสแสร้งไปหน่อย การปล่อยให้แขนข้างหนึ่งถูกฉีกทึ้งเป็นสองส่วนดูเหมือนจะทำให้เจ้าสุนัขหน้าโง่ได้เปรียบ ทว่าอันตรายที่ซ่อนอยู่นั้นใกล้จะปรากฏออกมาแล้ว


นอกจากระบบย่อยอาหารที่ทรงพลังแล้ว เจ้าสุนัขหน้าโง่ก็ไม่มีจุดเด่นด้านอื่นแล้ว มันย่อมไม่อาจต้านทานต่อการจู่โจมกลับของแม่ทัพซากศพพิษทมิฬได้ และหากเจ้าสุนัขหน้าโง่นี่ตาย หวังลู่ก็ไม่มีทางเอาชนะเสี่ยวหมิงตบะขั้นพิสุทธิ์นี่ได้เพียงลำพัง ทำให้การออกล่าครั้งนี้ต้องล้มเหลว…


เคราะห์ดี…ที่เขายังมีไพ่ตายซ่อนอยู่


“โฮ่ง!”


ช่วงเวลาวิกฤตนั่นเอง เสียงเห่าก็ดังก้องไปทั่ว ทำเอาเจ้าสุนัขหน้าโง่อกสั่นขวัญแขวน มันรีบคลายกรามออกและวิ่งกลับมา


แม้เขาจะช่วยชีวิตเจ้าสุนัขหน้าโง่ได้สำเร็จ แต่เขากลับมีใบหน้าถมึงทึง ไม่ได้มีทีท่าภูมิอกภูมิใจในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาต่างด้าวเลยแม้แต่น้อย เสียงเห่าเมื่อครู่แน่นอนว่าออกมาจากปากเขา ซึ่งความอับอายครั้งนี้จะฝังตรึงอยู่ในสมองของเขาไปชั่วชีวิต หลังจากนี้พอพวกเขากลับถ้ำไป เขาจะต้องให้เจ้าสุนัขชดใช้ด้วยขาของมันเสียแล้ว


ในขณะเดียวกัน ผิวหนังของแม่ทัพซากศพพิษทมิฬก็ค่อยๆ หลอมละลาย มันไหลย้อยลงมาราวกับเป็นโคลนพิษสีดำ แม้ของเหลวพิษร้ายแรงนี้อาจจะถูกย่อยได้หากมันเข้าไปอยู่ในกระเพาะของเจ้าสุนัขหน้าโง่ แต่หากกระเด็นโดนตัวของเจ้าสุนัขละก็ ฝ่ายหลังมีแต่ตายสถานเดียวเท่านั้น ผิวหนังที่หลุดร่อนได้ของแม่ทัพซากศพพิษทมิฬนี้มีไว้ล่อหลอกและสังหารศัตรู


เจ้าสุนัขหน้าโง่ที่เกือบถูกฆ่าเพราะเล่ห์กลดังกล่าวตัวสั่นไปจนถึงกระดูกด้วยความกลัว มันหันกลับมาหาหวังลู่และเอ่ยถาม “ท่านพูดภาษาสุนัขได้จริงอ่ะ”


ทว่าทันทีที่มันหันหน้ามา เสียงคำรามของหวังลู่ก็ดังก้องในโสตประสาท “เจ้าโง่ มองไปข้างหน้า”


หวังลู่ไม่คาดคิดว่าเจ้าสุนัขจอมทึ่มจะโง่เง่าขนาดหนักในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อหน้าแม่ทัพซากศพพิษทมิฬ มันยังกล้าที่จะหันหน้ากลับมา หรือจริงๆ แล้วเจ้านี่อยากตายไวๆ กันแน่


ในขณะเดียวกัน มีหรือที่แม่ทัพซากศพพิษทมิฬจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป แส้กระดูกสีอ่อนพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วจากใต้ผิวหนังที่ละลายร่อนออกมา


ช้าไป…


ช่วงเวลาที่แส้กระดูกปรากฏขึ้น หวังลู่ก็คำนวณไว้แล้วว่าเจ้าสุนัขหน้าโง่ที่วอกแวกเพียงชั่วอึดใจเดียวจะต้องถูกแส้นั่นฟาดใส่แน่ ปฏิกริยาและการออกตัวของมันไม่สัมพันธ์กับความเร็วของแม่ทัพซากศพพิษทมิฬ หนำซ้ำอีกฝ่ายยังโจมตีตอนที่มันไม่ทันตั้งตัว ทำให้มันไม่มีโอกาสได้หลบหนี


ตอนออกล่าในกระแสน้ำทมิฬครั้งล่าสุด ความสำเร็จของพวกเขาเกิดขึ้นได้เพราะเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์คอยปกป้องเจ้าสุนัขหน้าโง่อยู่ ทว่าครั้งนี้เพราะเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ทำให้พวกเขาต้องแยกจากกัน เปิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ในการร่วมมือกัน น่าสมเพชชะมัด แม้ความเร็วในการคิดของเขาจะว่องไวมาก แต่ร่างกายของเขากลับตามไม่ทัน แถมวิชาไร้ลักษณ์ก็ไม่ได้ขึ้นชื่อด้านความเร็ว ต่อให้เขาพุ่งออกไปในตอนนี้ ก็ยังห่างจากพวกนั้นหลายจั้งอยู่ดี


นี่คือจุดอ่อนเรื่องวรยุทธ์ของเขา ในการต่อสู้หลายต่อหลายครั้ง ระยะห่างเพียงไม่กี่จั้งสามารถตัดสินความเป็นความตายได้ ทว่าต้องเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนเช่นนี้ล่ะ ที่เขาจะใช้ไพ่ตายที่ซ่อนไว้


หวังลู่ก้าวไปข้างหน้าและกวัดแกว่งกระบี่ไปมา ภายใต้แสงวิบวับของกระบี่แห่งเขาคุน แส้กระดูกที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้งกลับหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ไม่อาจขยับเขยื้อนไปได้แม้เพียงสักชุ่นราวกับปะทะเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น เจ้าสุนัขหน้าโง่ยังคงไม่รู้ตัวว่าตอนนี้มันอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างสุดซึ้งเพราะปลายแส้ที่แหลมคมกำลังพุ่งเข้าหามัน


อึดใจถัดมา ที่ผิวนอกของแส้กระดูกก็เกิดเป็นรอยร้าวขึ้นตลอดทั้งเส้น นั่นเป็นเพราะการโจมตีที่รุนแรงถูกสกัดเอาไว้ แส้กระดูกจึงเสียหายรุนแรง แม่ทัพซากศพพิษทมิฬชักแส้กลับพร้อมกรีดร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด มันตรึงสายตาดุร้ายไปที่หวังลู่ ซึ่งส่งยิ้มจริงใจกลับไป


แน่นอนว่าหวังลู่กับเจ้าสุนัขหน้าโง่อยู่ห่างกันหลายจั้ง แต่การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของเขาสามารถสกัดการโจมตีที่รุนแรงของวิญญาณร้ายระดับแม่ทัพซากศพได้ หวังลู่เพิ่งเคยใช้ไพ่ตายนี้เป็นครั้งแรก แต่เขากลับทำสำเร็จ พลังปราณไร้ลักษณ์ดั้งเดิมนี่ช่างทรงพลังจริงๆ…


…………………………………………………


ตอนที่ 12 ความรู้สึกที่ลึกซึ้งระหว่างอาจารย์และศิษย์ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางความมืดมิดไร้ขอบเขต มีเพียงหยกเรืองแสงไม่กี่ก้อนที่เป็นแหล่งกำเนิดแสง ภายใต้แสงน้อยนิดเหล่านี้ แม่ทัพซากศพพิษทมิฬผิวกายดำคล้ำชักแส้กระดูกกลับอย่างงงงวย พลางส่งสายตาของเสือที่กำลังจ้องมองเหยื่อมายังชายหนุ่มและสุนัข


ทุกอย่างหยุดชะงักไปไม่ถึงชั่วอึดใจ นั่นเพราะเจ้าสุนัขเห่าออกมาอย่างเกรี้ยวกราดและพุ่งตรงไปข้างหน้าหมายจะจู่โจม


ก่อนหน้านั้น แค่วอกแวกไปชั่วพริบตา มันก็เกือบถูกแส้กระดูกสะบั้นจนร่างกลายเป็นสองท่อน แต่พลังปราณไร้ลักษณ์ดั้งเดิมของหวังลู่เขามาขัดขวางได้ทันท่วงที… การโต้ตอบนั้นรวดเร็วมากเสียจนเจ้าสุนัขหน้าโง่ไม่มีเวลาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ มันรู้เพียงว่าตอนนี้ศัตรูอยู่ตรงหน้า ส่วนผู้เป็นนายยืนถือกระบี่ปกป้องอยู่ด้านหลัง เช่นนั้นมันจึงคิดจะทำสิ่งเดียวที่สามารถทำได้


กัดเจ้านั่นจนตาย


เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า แม่ทัพซากศพพิษทมิฬเพิ่งจะสลัดผิวกายที่เป็นพิษออกมา ทว่าดูเหมือนฉากที่ผิวหนังพิษร่วงหล่นลงพื้นจะถูกชะออกจากสมองเจ้าสุนัขหน้าโง่นี่ไปหมดแล้ว มันปรี่เข้าหาร่างของศัตรูอีกครั้งและกัดเข้าไปที่แขนของวิญญาณร้ายนั่นอย่างรุนแรง เนื้อหนังและกระดูกที่ดูน่าจะแกร่งกล้ากว่าเหล็กถูกฟันคมๆ ของเจ้าสุนัขฉีกออก ทำให้เกิดเป็นแผลลึก


ภายในสิบถึงยี่สิบวินาที แขนล่ำสันของมันก็ขาดออกจากลำตัวง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ


แน่นอนว่าเจ้าซากศพนี่ไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้ ในช่วงหลายสิบวินาทีก่อน มันพยายามใช้วิธีต่างๆ กว่าสามสิบวิธีเพื่อสังหารสุนัขบ้าที่พยายามจะกัดมัน แต่ถูกพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเซียนที่ยืนอยู่ห่างไม่กี่จิ้งสกัดเอาไว้


ไม่ว่าจะเป็นแก๊สพิษที่ไร้สีไร้กลิ่น แส้กระดูกทรงพลัง หรือแม้แต่วิชามารที่ควบคุมจากพลังปฐมกลียุค พวกมันต่างราวกับชนเข้ากับชั้นของกำแพงหนา ไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ก็ไม่อาจทำอันตรายอีกฝ่ายได้…


ภายในกระแสน้ำทมิฬนี้ แม่ทัพซากศพตนนี้เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้บางครั้งมันจะถูกสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าเอาชนะได้ แต่ก็ไม่เคยเจอสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน ความคิดที่จะล่าถอยนั้นไม่เคยอยู่ในหัวของมัน ทว่าตอนนี้เจ้าสุนัขโง่นี่เปลี่ยนเป้าหมายในการโจมตี มันกัดเข้าที่เข่าเพื่อให้อีกฝ่ายล้มลง


เมื่อก้มลงมอง แม่ทัพซากศพก็ได้เห็นดวงตาแดงก่ำของสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่ง


ดูเหมือนว่าขณะพยายามฉีกทึ้งร่างของแม่ทัพซากศพอย่างบ้าคลั่ง เจ้าสุนัขตัวนี้จะไม่สนใจชีวิตตัวเองแล้ว ฟันทั้งสองแถวของมันต้องทนต่อแรงกัดทรงพลังที่กดย้ำๆ ลงมาหลายครั้ง ฟันหลายซี่แตกบิ่น เลือดไหลท่วมออกมาจากปากของมัน ทว่าสัตว์ร้ายที่กำลังคลุ้มคลั่งจะไยดีสิ่งเหล่านี้ไปทำไม


เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บต่างๆ ถูกผู้เป็นนายยับยั้งเอาไว้ ดังนั้นมันจึงต้องการที่จะขย้ำแม่ทัพซากศพจนถึงตาย ทว่าสัญชาตญาณสัตว์ในสมองของเจ้าสุนัขหน้าโง่กำลังคำรามอย่างบ้าคลั่ง เร่งให้มันรีบกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้เร็วที่สุดไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม


ราวกับมันกำลังไต่อยู่บนเชือกที่ด้านล่างเป็นขุมนรก ส่วนปลายอีกฝั่งคือสรวงสวรรค์ หากมันก้าวได้อย่างดิบดี ก็จะไปถึงอีกฝั่งอย่างปลอดภัย แต่หากว่ามันก้าวพลาด ก็อาจจะถึงชีวิตได้


เจ้าสุนัขหน้าโง่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมันจึงรู้สึกเช่นนั้น ทว่าเมื่อเทียบกับการที่ต้องเค้นสมองคิด มันเชื่อในสัญชาตญาณตัวเองมากกว่า ดังนั้นภายใต้การปกป้องจากพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิม มันจึงบ้าคลั่งอย่างหนัก เข้าฉีกทึ้งอีกฝ่ายจนเห็นเป็นพายุชิ้นเนื้อและเลือดภายใต้แสงไฟรบหรี่ที่รอบล้อมอยู่


ที่สุดแล้วแม่ทัพซากศพพิษทมิฬจึงถึงแก่ชีวิต


เพราะเป็นวิญญาณ มันจึงไม่เคยคิดถึงความตายด้วยซ้ำ ในกระแสน้ำทมิฬ แม้กายหยาบของมันจะถูกทำลายลง แต่มันก็สามารถคืนร่างกลับมาใหม่ได้ใหม่ได้… ยกเว้นเสียว่าจะถูกสิ่งมีชีวิตสังหาร


และไม่ว่าจะเป็นหวังลู่หรือเจ้าสุนัขหน้าโง่ แน่นอนว่าทั้งสองย่อมเป็นสิ่งมีชีวิต ตอนที่เจ้าสุนัขหน้าโง่กัดเข้าที่ลำคอของแม่ทัพซากศพ มันได้ฉีกกระชากศีรษะของอรกฝ่ายให้หลุดออกจากร่าง ทำให้แม่ทัพซากศพพิษทมิฬที่เต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชังแตกดับไป


ปากของเจ้าสุนัขหน้าโง่อาบท่วมไปด้วยเลือด ความบ้าคลั่งเกินขีดจำกัดของมันทำให้ตัวมันเองเจ็บตัวไม่น้อย ทว่าจู่ๆ ดวงตาที่แดงก่ำของมันก็ค่อยๆ จางลง อึดใจถัดมามันก็หันหลังกลับมามองด้านหลัง


หวังลู่ที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่แห่งเขาคุนในมือยังมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า ทว่าจากริมฝีปากล่างมาจนถึงลำคอ และจากลำคอถึงทรวงอก เลือดกำลังไหลออกจากกายเขาราวกับน้ำตก


“ระยำแท้ หากช้ากว่านี้อีกนิดเดียวข้าได้ตายแน่”


หวังลู่กล่าว ขาของเขาดูซวนเซราวกับกำลังจะล้มลง


ที่ผ่านมาหวังลู่มองว่าตัวเองเป็นนักผจญภัยมืออาชีพมาตลอด แม้เขาจะไม่อาจหาญประกาศว่าจนเป็นบุคคลที่ชาญฉลาดที่สุดในโลก แต่เขาก็มั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะพวกที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย หลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การเอาชนะในการชุมนุมคัดเลือกเซียนไปจนถึงการก่อตั้งสำนักภูมิปัญญาในระหว่างการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ ชัยชนะเหล่านี้ก็พิสูจน์ให้เห็นได้เป็นอย่างดี


ทว่าเกือบหนึ่งปีในแดนปรลัยแห่งนี้ หวังลู่ต้องยอมรับว่าเขาทำเรื่องผิดพลาดมหันต์เข้าให้แล้ว


การที่อาจารย์ของเขาลวงเขามายังแดนปรลัยก็เพื่อที่จะให้เขาฝึกฝนพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิม ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีในภูเขาฝั่งตะวันตก หวังลู่เฝ้าบำเพ็ญเซียนอย่างอุตสาหะ ไม่ว่าจะเป็นตบะขั้นฝึกปราณ กระดูกกระบี่ จิตเซียนหรือวิชาอื่นๆ พวกมันล้วนแล้วแต่พัฒนาไปอย่างมาก ทว่าเขากลับไม่อาจฝึกพลังปราณไร้ลักษณ์ดั้งเดิมได้สำเร็จ


ตอนแรกหวังลู่คิดว่าเขาอาจยังไม่บรรลุถึงระดับที่กำหนด เพราะในทางทฤษฎี พลังปราณไร้ลักษณ์ดั้งเดิมอยู่ในหมวดวิชาไร้ลักษณ์ขั้นสูง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่วิชาจะต้องการพื้นฐานที่สูงกว่า ทว่าความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของเขาถือว่ารวดเร็ว ตอนนี้ตบะขั้นของเขาคือขั้นฝึกปราณช่วงกลาง ทั้งที่เข้าสำนักกระบี่วิญญาณมาได้เพียงห้าปีเท่านั้น…


ทว่าก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ตอนที่หวังลู่กำลังถกเถียงเรื่องคุณงามความดีของเนื้อสุนัขอยู่ เขากลับพบว่ามันไม่ได้เป็นไปตามที่คิด ที่เขาไม่สามารถฝึกพลังปราณไร้ลักษณ์ดั้งเดิมได้อาจเป็นเพราะเขาฝึกด้วยวิธีผิดๆ นั่นเอง…


สำหรับนักผจญภัยมืออาชีพ กลวิธีย่อมสำคัญกว่าความพยายาม การฝึกฝนอย่างหนักหน่วงตลอดหนึ่งปีไม่ใช่เรื่องที่จะโอ้อวด นั่นเพราะแม้แต่คนทึ่มอย่างเหวินเปาเองก็สามารถทำได้ไม่ยาก สิ่งที่ยากก็คือหาวิธีที่ถูกต้องเพื่อให้บรรลุผลทั้งที่ลงแรงน้อยกว่า ทว่าครั้งนี้นักผจญภัยมืออาชีพที่ชำนาญด้านความอุตสาหะคนนี้ก็เลือกวิธีที่เบาปัญญาเข้าให้แล้ว


พลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมไม่อาจฝึกได้ด้วยวิธีธรรมดา… ความจริงแล้วเรื่องนี้ดูเพียงแค่ชื่อของมันอย่างเดียวก็รู้ได้ วิชาทั้งหมดในแขนงวิชาลักษณ์จะมีคำว่าไร้ลักษณ์อยู่ข้างท้าย ทว่าทำไมวิชาพลังปราณไร้ลักษณ์นี้จึงมีคำว่าดั้งเดิมต่อท้ายเล่า เพราะมันทรงพลัง สูงส่ง หรืองดงามกว่าเช่นนั้นหรือ ด้วยบุคลิกที่ไร้คุณธรรมอย่างสุดโต่งของอาจารย์เขา การตั้งชื่อเพราะเหตุผลเช่นนั้นยิ่งชวนให้น่าหัวร่อไปกันใหญ่


พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าผู้เป็นอาจารย์อาจจะบอกใบ้มาตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว ความหมายที่แท้จริงของคำว่าดั้งเดิมคืออะไรกันแน่ เหตุใดวิชาสำหรับขั้นฝึกปราณจึงต้องมีคำว่าดั้งเดิมตามท้ายด้วยเล่า


แน่นอนว่ามันหมายถึงอายุขัยดั้งเดิม… ตอนที่หญิงผู้นั้นสอนวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาให้เขาเมื่อสามปีก่อน นางอาจจะคิดถึงวันนี้แล้วก็เป็นได้ สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนที่ยังไม่บรรลุถึงตบะขั้นฝึกปราณระดับสูง การปลดปล่อยพลังปราณและรักษาระดับพลังการตั้งรับที่รุนแรงของเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ทำได้ด้วยการผลาญอายุขัยในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อผลิตพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลสำหรับเป็นเชื้อเพลิงเพียงเท่านั้น จุดแข็งของวิชาไร้ลักษณ์ก็คือความทนทานและความแข็งแกร่ง แต่กลับมีความสามารถเป็นศูนย์ในการระเบิดพลังออกมา เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องนี้ ทางเดียวที่ทำได้คือใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา แต่เพราะที่ผ่านมา หวังลู่คิดอยู่เสมอว่าวิชานี้นั้นห่วยแตก จึงไม่เคยผสานมันเข้ากับวิชาไร้ลักษณ์ที่สูงส่งและสง่างาม


ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมแท้จริงแล้วก็คือขั้นเริ่มต้นของพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ เมื่อเติมคำว่าดั้งเดิมเข้าไป มันไม่เพียงไม่แข็งแกร่งขึ้น หนำซ้ำยังอ่อนแอลงอย่างมาก ทว่าหากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณต้องการปลดปล่อยพลังปราณออกมา นี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่พวกเขาจะใช้ได้


………………………………………………..


ตอนที่ 12 ความรู้สึกที่ลึกซึ้งระหว่างอาจารย์และศิษย์ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ในที่สุดหลังจากที่ตระหนักถึงจุดนี้ได้ หวังลู่ก็ใช้เวลาเพียงสามวันในการพัฒนาพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิม และตอนนี้ในการใช้งานจริงครั้งแรก ผลที่ได้รับถือว่าน่าพึงพอใจอย่างยิ่ง


ตั้งแต่แรก วิชานี้ไม่ได้ฝึกยากเย็น หากเขาคิดได้ตั้งแต่ช่วงรกๆ ว่ามันต้องเข้าคู่กับวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา หวังลู่คงสามารถฝึกมันจนเชี่ยวชาญได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน หากมองจากมุมนี้ก็เหมือนว่าการเอาตัวรอดในสถานที่แห่งนี้มาตลอดหนึ่งปีของเขานั้นสูญเปล่า ทว่าหากมองในอีกมุมหนึ่ง หากไม่มีประสบการณ์ที่ได้มาในหนึ่งปีนี้ หากไม่ได้เจอกับเจ้าสุนัขหน้าโง่และออกล่าวิญญาณมากมายในกระแสน้ำทมิฬด้วยกัน หากไม่มีความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในปีนี้ เขาก็ไม่อาจปลดปล่อยพลังปราณออกมาได้ไกลถึงสองวา และอาจสายเกินไปที่จะช่วยชีวิตเจ้าสุนัขทึ่ม หนำซ้ำยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถเอาชนะแม่ทัพซากศพที่อยู่ในขั้นพิสุทธิ์ระดับต้นได้


การที่เจ้าสุนัขจอมทึ่มสามารถโจมตีได้อย่างบ้าคลั่งเป็นเพราะเขาผลาญอายุขัยของตัวเอง ทุกครั้งที่เขาปลดปล่อยพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ออกมา นั่นแปลว่าเขาผลาญอายุขัยดั้งเดิมของตัวเองไปสามถึงห้าวัน และในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจนี้เอง หวังลู่ใช้พลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมไปมากกว่าหนึ่งร้อยครั้ง ทำให้ชีวิตของเขาสั้นลงไปมากกว่าหนึ่งปี


สำหรับคนที่มีอายุขัยดั้งเดิมมากกว่าหนึ่งร้อยปี เวลาแค่หนึ่งปีอาจไม่มีความหมาย ทว่าการผลาญมันไปภายในช่วงไม่กี่อึดใจทำให้ร่างกายเขาเหน็ดเหนื่อยสาหัส หากพวกเขาจัดการแม่ทัพซากศพช้ากว่านี้เพียงไม่กี่อึดใจละก็ ผลลัพธ์คงไม่ต้องพูดถึง


ทว่าในเมื่อสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นและพวกเขาเอาชนะมาได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งคำถามถ้าหากว่าแต่อย่างใด หวังลู่เดินตรงไปยังซากที่เหลืออยู่ของแม่ทัพซากศพ “ไหนของดีที่ว่า”


เจ้าสุนัขจอมทึ่มเห่าแล้วเริ่มดมไปตามร่างที่นอนอยู่ จากนั้นมันก็ฉีกส่วนอกออกแล้วคาบเอา ‘ชิ้นเนื้อ’ สีแดงสดที่ยังเต้นอยู่ออกมา มันทอดสายตาอ้อยอิ่งมองชิ้นเนื้ออยู่พักใหญ่ราวกับว่าไม่อยากที่จะแยกจากกัน จากนั้นก็คาบชิ้นเนื้อไว้ในปาก กระโดดมาหาหวังลู่และคายชิ้นเนื้อให้ผู้เป็นนาย


แม้เขาจะเป็นลูกศิษย์แถวหน้าที่มีความรู้กว้างขวาง แต่กลับก็ไม่รู้ว่าเจ้าชิ้นเนื้อนี้คืออะไร ทว่า… การร่วมแรงออกล่าในครั้งนี้ก็เพื่ออาหารที่พิเศษเหลือล้ำที่ทำให้เจ้าสุนัขหน้าโง่ต้องหัวปักหัวปำนี่ไม่ใช่หรือ


เขากัดชิ้นเนื้อเข้าไปคำหนึ่ง ทันใดนั้นของเหลวร้อนจัดก็พุ่งเข้าไปในลำคอ หวังลู่ไม่มีเวลาชิมรสด้วยซ้ำว่าเจ้าสิ่งนี้นั้นขมหรือหวาน เพราะของเหลวที่ร้อนผิดธรรมดานี้ลวกหลอดอาหารของเขาไปทั้งหลอด


ระยำเอ๊ย! ลาวารึนี่


หลังจากฝึกฝนกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์มาหลายปี ผิวหนังของหวังลู่ก็ทนทานขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก หนำซ้ำมันยังทนทานขึ้นทั้งภายในภายนอกจนแม้เขาจะเพิ่งดื่มน้ำมันร้อนๆ ลงไป เขาก็ยังจิบชาสมุนไพรตามลงไปได้ ทว่าครั้งนี้ของเหลวร้อนระอุกลับเผาไหม้หลอดอาหารของเขาในชั่วพริบตา ความเจ็บปวดไหลพล่านไปทั่วกะเพราะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แพร่กระจายไปทั่วร่าง


แต่ขณะที่กำลังเจ็บปวดแสนสาหัส พลังชีวิตก็พลุ่งขึ้นมาจากกระเพาะของเขา… หวังลู่ตัวแข็งทื่อไปพักหนึ่ง สุดท้ายเขาก็รู้ว่าเจ้าชิ้นเนื้อนี้คืออะไร


มันคือแหล่งพลังงานบริสุทธิ์ของสิ่งมีชีวิต มันคือพลังงานชีวิต แถมดียิ่งกว่าตรงทีเป็นอายุขัยดั้งเดิม


ในอาณาจักรเก้าแคว้น วัตถุวิเศษที่ยืดเวลาชีวิตไม่ใช่สิ่งหายาก ทว่าอันที่สามารถเพิ่มอายุขัยดั้งเดิมได้นั้นถือว่าประเมินค่าไม่ได้


หวังลู่ไม่มีเวลาวิเคราะห์ว่าเหตุใดร่างของวิญญาณปรลัยถึงได้มีแก่นอายุขัยดั้งเดิมได้ นั่นเพราะในตอนนี้สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้คือพลังงานที่ไหลหลากเข้ามาในร่างกายซึ่งท่วมท้นราวกับกระแสน้ำในแม่น้ำแยงซี สิบปี ยี่สิบปี… ไม่นานหลังจากนั้น อายุขัยของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเกินหนึ่งศตวรรษ


แต่เดิมอายุขัยของหวังลู่อยู่ที่ราวหนึ่งร้อยปี ทว่าตอนนี้มันกลับเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว ตอนนี้เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี จึงยังไม่ใส่ใจเรื่องอายุขัยของตัวเองมากนัก แม้ในฐานะมนุษย์ เขาก็ยังไม่ถือว่าอยู่ในช่วงสูงสุดของชีวิต ดังนั้นจึงไม่จำเป็นสักนิดที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับอายุที่ยืนยาว ทว่าการที่อายุขัยดั้งเดิมของเขาเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าก็แปลว่าชีวิตเขาก้าวไปสู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว


การมีอายุขัยสองร้อยปีถือเป็นสิทธิพิเศษของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐาน ทว่าตอนนี้ชีวิตของหวังลู่ได้ถูกเลื่อนให้อยู่ในระดับเดียวกับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานล่วงหน้าแล้ว


ในฐานะนักเรียนหัวแถวของสำนักกระบี่วิญญาณ เขารู้เป็นอย่างดีว่าอย่างน้อยที่สุดในอนาคตเขาย่อมไม่ต้องเผชิญกับสภาวะคอขวดในการที่จะบรรลุตบะขั้นสร้างฐาน ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆนั้น ต่อให้มีบุญได้ครอบครองรากวิญญาณในระดับเดียวกับรากวิญญาณนภา หากไม่มีปัจจัยภายนอกเข้ามาช่วย ก็ย่อมต้องสั่งสมการบำเพ็ญเซียนเพื่อที่จะทะลวงผ่านอุปสรรคและบรรลุสู่ตบะขั้นสร้างฐาน ทว่าในภายภาคหน้าหวังลู่เพียงแค่ต้องบำเพ็ญเซียนไปตามปกติเพื่อบรรลุขั้นสร้างฐาน หรือเขาอาจบรรลุสู่ขั้นสร้างฐานโดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นไปได้


นอกจากอายุขัยที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวแล้ว มันยังให้คุณประโยชน์อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน แม่ทัพซากศพพิษทมิฬนี้คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นรางวัลใหญ่ในแดนปรลัยจริงๆ ตามกฎปฐมกลียุคของสถานที่นี้นั้น ในสภาพการณ์ปกติ ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องสังหารวิญญาณมากมายสักเพียงใดกว่าที่มันจะทิ้งก้อนเนื้อคุณภาพดีที่บรรจุอายุขัยหนึ่งร้อยปีเอาไว้ คุณค่าของสิ่งที่มันทิ้งไว้นี้ไม่ต่างจากแก่นกระบี่ที่จูซือเหยาได้รับจากการสังหารราชาซากศพ ถือเป็นของชั้นเยี่ยมอย่างแท้จริง… เคราะห์ดีที่การดมกลิ่นของเจ้าสุนัขหน้าโง่นั้นยอดเยี่ยมจนสามารถตามรอยแม่ทัพซากศพพิษทมิฬได้ท่ามกลางกระแสน้ำทมิฬที่มืดมนไร้ของเขตเช่นนี้


อึดใจถัดมา หวังลู่ก็ลืมตาขึ้นและเห็นเจ้าสุนัขหน้าโง่กำลังกลืนชิ้นเนื้อและของเหลวที่เหลือ


หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือด คนและสุนัขก็แบ่งสรรของที่ได้มาในสัดส่วนเจ็ดต่อสาม ในฐานะเจ้านายและหัวหน้าคณะล่าสังหาร หวังลู่จึงได้ส่วนแบ่งก้อนโต ส่วนที่เหลือเจ้าสุนัขหน้าโง่ก็กลืนลงไปเงียบๆ ทั้งคู่ต่างรู้สึกพออกพอใจเป็นอย่างมาก


ทว่าคราวนี้เจ้าสุนัขจอมทึ่มกลับฉลาดหลักแหลมขึ้น หลังจากที่ได้กินของอร่อย มันก็มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง พร้อมพ่นคำถามออกมา


แน่ละว่ามันพออกพอใจที่ได้ล่าแลสังหารแม่ทัพซากศพได้สำเร็จ แต่แล้วอย่างไรเล่า ตอนนี้ทั้งสองก็ยังถูกกระแสน้ำทมิฬโอบล้อม และวิญญาณนับไม่ถ้วนก็ยังคงโจมตีพวกเขาอยู่ที่รอบนอก แน่ละว่าความโกรธขึ้นของเจ้าพวกนี้นั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีเมื่อแม่ทัพซากศพพิษทมิฬถูกสังหาร ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวันกว่าที่กระแสน้ำทมิฬจะล่าถอยไป ทว่าหยกเรืองแสงจำนวนไม่น้อยก็เกือบจะมอดลงหมดแล้ว หากเป็นในถ้ำ เปลวไฟพวกนี้อาจจะคงอยู่ได้อีกหลายชั่วโมง ทว่าที่นี่ภายใต้แรงดันโดยตรงของกระแสน้ำทมิฬ พวกมันเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อก็จะดับลง คณะที่ประกอบด้วยคนหนึ่งสุนัขหนึ่งพยายามจัดการกับเป้าหมายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนเวลาใกล้จะหมดลงทุกทีแล้ว


หนำซ้ำหยกเรืองแสงพวกนั้นก็เป็นชุดสุดท้ายที่หวังลู่มี ดูท่าว่าพวกเขาคงไม่มีหวังที่จะตีฝ่าการโอบล้อมนี้ไปได้


“โบร๋ว?” เมื่อเห็นว่าหยกเรืองแสงเริ่มอ่อนแสงลงอย่างรวดเร็ว เจ้าสุนัขพันทางจอมเขลาก็เริ่มวิตกขึ้นมา


“ไม่ต้องเสียขวัญไปหรอก หากหาตัวช่วยภายนอกได้ เราก็จะปลอดภัย”


หวังลู่กล่าวพร้อมหยิบไพ่ใบสุดท้ายของการผจญภัยในดินแดนปรลัยออกมาจากย่ามสีเหลืองหม่น มันคือยันต์นภารวมตัวสำนักกระบี่วิญญาณ


ทันทีที่ผู้ใช้จุดยันต์นี้ ไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่ใดแม้จะเป็นในนรกโลกันตร์ เขาก็จะถูกพาตัวกลับไปยังภูเขาในทันใด เมื่อสามปีที่แล้วก่อนที่จะออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ เขาได้ใช้แต้มสำนักแลกสิ่งนี้เอาไว้ กลายเป็นว่าเขาจำเป็นต้องใช้มันในเวลานี้


“อาจารย์ ข้าฝึกสำเร็จแล้ว รีบมารับข้าที”


อึดใจถัดมา เสียงของผู้เป็นอาจารย์ก็ดังเข้ามาในโสตประสาท “ตอนนี้ข้ายุ่งอยู่ รอไปอีกสองวันแล้วกัน”


“…”


……………………………………………..


ตอนที่ 13 จดหมายที่มาพร้อมความกดดันหลายหมื่นชั่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ในภูเขาฝั่งตะวันตกของแดนปรลัย เปลวไฟของหยกเรืองแสงค่อยๆ ริบหรี่ลงเรื่อยๆ ใบหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มหมดหวังและไม่มั่นใจ


“…อาจารย์ ข้ารอไม่ได้หรอก”


“โอ้ เจ้ายังเด็กยังเล็ก ทำไมถึงรอไม่ได้กัน แค่วันสองวันเท่านั้น เจ้าเอาตัวรอดจากที่นั่นมาได้ตั้งเป็นปี รออีกแค่วันสองวันจะเป็นไร เอาละ ไว้ค่อยเจอกัน”


“เฮ้ เฮ้ ข้าจะตายอยู่แล้วเนี่ย”


“แล้วเจ้ามัวพล่ามใส่ข้าอยู่ทำไมเล่า รีบรักษาชีวิตตัวเองเข้าซี่!”


เมื่อดูท่าว่าพวกเขาสนทนากันไม่เข้าใจ หวังลู่ก็หมดทางเลือก “อาจารย์ ท่านรับ ‘แขก’ อยู่งั้นหรือ”


“แค่ก!”


เสียงอีกฝ่ายกระอักเลือดทำให้หวังลู่สบายอกสบายใจขึ้นมาก


“เจ้าศิษย์ชั่วช้า เจ้ากล้าพูดจาใส่ร้ายข้ารึ”


“ท่านเปล่ารับแขกอยู่หรอกหรือ ด้วยระดับศีลธรรมในตัวท่านแล้ว ข้าว่ามันก็เป็นข้อสันนิษฐานที่สมเหตุสมผลทีเดียวนะ”


“ความจริงข้าตั้งใจใช้คำถามยั่วยุเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ สิ่งใดกันที่ทำให้ท่านยุ่งมากเสียจนไม่สนใจความเป็นความตายของศิษย์ตัวเอง หากไม่ใช่กำลังรับ ‘แขก’ อยู่”


เกิดความเงียบขึ้นเป็นเวลานานก่อนที่อีกฝ่ายจะถามเพื่อความแน่ใจ “นี่เจ้าอยู่ในอันตรายจริงหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดล่วงละเมิดทางเพศอาจารย์ตัวเองเพราะไม่มีอะไรจะทำหรอกใช่ไหม”


หวังลู่แหกปาก “บิดาท่านสิ ข้าเผายันต์นภารวมตัวเพื่อที่จะสนทนากับท่าน ยันต์ที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวชิ้นนี้ราคาเท่ากับเงินเดือนของท่านทั้งปี ทำไมข้าต้องสิ้นเปลืองขนาดนั้นเพื่อลวนลามท่านด้วย”


คราวนี้เสียงของผู้เป็นอาจารย์ก็เริ่มร้อนรนขึ้น “เดี๋ยวนะ เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าใช้ยันต์นภารวมตัวจริงหรือ งั้นรอแป๊บนึง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ละ”


ไม่กี่อึดใจถัดมา คลื่นระลอกใหญ่ก็พัดโหมขึ้นมาในกระแสน้ำทมิฬที่ไร้ขอบเขต ในสถานที่ที่เงียบสงัดเช่นนี้ แน่นอนว่าคลื่นดังกล่าวเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ง่าย ผ่านไปพักหนึ่ง รูหนึ่งปรากฏขึ้นบนกระแสน้ำทมิฬ ลำแสงเจิดจ้าสาดส่องเข้ามา จากนั้นร่างของหญิงสาวในชุดขาวที่ยืนอยู่บนกระบี่ไม้ไผ่ก็เคลื่อนลงมาจากฟากฟ้า ลำแสงสีทองของดวงอาทิตย์ส่องสว่างไปทั่วสถานที่แห่งนี้ กระแสน้ำทมิฬบนภูเขาฝั่งตะวันตกดิ้นรนอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะสลายไป ทำให้เหล่าวิญญาณทรงพลังต้องถอยรนไปอย่างเร่งรีบ แต่ตัวที่อ่อนแอกลับไม่มีโอกาสรอด ภายใต้แสงแห่งดวงอาทิตย์ พวกมันส่งเสียงกรีดร้องแสบหูขณะที่ร่างระเหยกลายเป็นควัน ไม่นานนักพวกมันก็สลายไป


เหล่าวิญญาณร้ายที่สร้างความหวาดผวาให้สิ่งมีชีวิตบนภูเขาฝั่งตกวันตกซึ่งมาพร้อมกระแสน้ำทมิฬทุกๆ สิบวันก็แตกดับไปทั้งอย่างนั้น


เจ้าสุนัขพันทางอ้าปากค้าง จ้องมองลูกบอลสีทองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าด้วยดวงตาเบิกกว้างอยู่พักใหญ่ จนน้ำตาของมันไหลพรากเพราะแสงที่เจิดจ้าจนเกือบทำให้ตาของเจ้าสุนัขบอด มันจึงยอมเบนสายตาออกไป


ความวิตกของท่านอาจารย์ผู้ทรงเกียรติเห็นได้อย่างเด่นชัดในระยะไกล แสงสีเขียวสว่างวาบตรงหน้าของหวังลู่


“ศัตรูอยู่ไหน”


หวังลู่มองหน้าหญิงสาวอย่างเงียบเชียบ


“ไหนเจ้าบอกว่ากำลังอยู่ระหว่างความเป็นความตาย แล้วไหนศัตรูของเจ้าเล่า”


หวังลู่ยังคงจ้องมองนางโดยไม่ปริปากพูด ความรู้สึกของเขาผสมปนเปกันไปหมด


ผู้เป็นอาจารย์มองไปรอบๆ และใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมตรวจสอบสถานที่รอบด้าน ครู่ถัดมา ดวงตาของนางก็กลับมาจับจ้องที่หวังลู่ นางขมวดคิ้วจากนั้นก็เอ่ยปากถาม “แปลกมาก เจ้าก็ยังดูดีอยู่ หนำซ้ำร่างของเจ้ายังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังไม่เหมือนคนที่บาดเจ็บหนักใกล้ตายสักนิด หือ แขนซ้ายเจ้าไปไหน โดนตัดงั้นรึ”


หวังลู่ถอนหายใจ “อาจารย์ ท่านนี่งี่เง่าบรม”


อย่างไรก็ตาม ด้วยการมาถึงของผู้เป็นอาจารย์ ประตูของแดนปรลัยจึงเปิดออก และการเดินทางตลอดหนึ่งปีของเขาก็สิ้นสุดลง


หวังลู่หอบหิ้วเจ้าสุนัขและของที่ได้มาจากภูเขาฝั่งตะวันตกเดินทางกลับเขากระบี่วิญญาณอย่างอิ่มอกอิ่มใจ


ระหว่างทาง หวังลู่คิดจะเล่าประสบการณ์ที่เขาพบเจอให้ผู้เป็นอาจารย์ฟัง แต่เมื่อคิดดูอีกที การพูดพล่ามให้หญิงไร้ศีลธรรมผู้นี้ฟังดูท่าจะเหนื่อยเปล่า


“เจ้าเก็บสุนัขได้หรือ”


เจ้าสุนัขหน้าโง่ยิ้มประจบ “โฮ่งๆ”


ผู้เป็นอาจารย์เหลือบสายตาไปด้านข้าง “อ๋อ หรือจะเป็นแหล่งอาหารสำรองของเจ้า”


สายตาของเจ้าพันทางจอมทึมขุ่นเคืองขึ้นทันที


หวังล่ครุ่นคิด “สติปัญญาของเจ้านี่ต่ำเกินไป กินไม่ได้”


“เช่นนั้นเจ้าก็หาโอกาสมอบเจ้านี่ให้เป็นของขวัญกับศิษย์พี่หลิวหลีของเจ้าสิ สมองของนางอาจจะกระเตื้องขึ้นมาหน่อยก็ได้”


“…ว่าแต่ ข้าฝึกวิชาพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมสำเร็จแล้ว”


“อ้อ ช้ากว่าที่คิดไว้นะ หืม”


“อืม ข้าฝืนมากไปหน่อย”


“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างไรเสียเจ้าก็ก้าวหน้าไปมาก ดึงช้าสักหน่อยก็จะช่วยให้อารมณ์ของเจ้ามั่นคงขึ้น แต่เห็นเจ้ามีพลังดั้งเดิมไหลพล่านตัวเช่นนี้ อีกไม่นานเจ้าคงจะบรรลุตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงแน่ๆ”


การต่อสู้กับแม่ทัพซากศพพิษทมิฬทำให้หวังลู่ต้องปลดปล่อยพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมออกมามากกว่าหนึ่งร้อยครั้ง การได้มาซึ่งพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงมาจากการผลาญอายุขัยดั้งเดิมจำนวนมากในเวลาสั้นๆ ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างโดยรวมของใต้ฐานวิหาร สำหรับผู้ที่รากฐานยังไม่ลึกซึ้ง ผลกระทบเช่นนี้อาจพอๆ กับการบาดเจ็บภายในรุนแรง ส่วนคนที่มีรากฐานปานกลาง การใช้โอสถช่วยรักษาอาการนี้อาจเป็นโชคดีในโชคร้าย เพราะมันช่วยเร่งการบำเพ็ญเซียนได้อย่างก้าวกระโดด… ทว่าการบำเพ็ญเซียนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้กลับเป็นเพียงสิ่งลวง เพราะมันได้แยกการฝึกพลังอิทธิฤทธิ์ออกจากขั้นบำเพ็ญเซียนอย่างสิ้นเชิง ทำให้ไม่อาจพัฒนาได้ก้าวไกลในภายภาคหน้า เฉพาะผู้บำเพ็ญเซียนที่มีรากฐานมั่นคงเท่านั้นที่จะขจัดอาการนี้และพัฒนาความเร็วในการบำเพ็ญเซียนต่อไปได้


ด้วยรากฐานที่ลึกซึ้ง หวังลู่ขจัดอาการดังกล่าวได้หมดสิ้นพักใหญ่แล้ว… ข้อบกพร่องเรื่องการขาดการฝึกฝนพลังอิทธิฤทธิ์ก่อนหน้านี้ก็ถูกทดแทนด้วยเหตุการณ์ในครั้งนี้ ถือเป็นโชคดีในโชคร้ายของเขาจริงๆ สิ่งเดียวที่กวนใจหวังลู่อยู่เล็กน้อยก็คือแผนเดิมที่เขาตั้งใจจะกระตุ้นการตั้งรับเพื่อบรรลุสู่เส้นแบ่งเขตของตบะขั้นฝึกปราณระดับห้าซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่วางแผนไว้…


แต่จากการคำนวณของผู้เป็นอาจารย์ ตราบที่เขารักษาอาการบาดเจ็บและซ่อมแซมฐานวิหารเรียบร้อย เขาย่อมบรรลุตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงแน่นอน


“จะว่าไป เร่งบำเพ็ญเซียนสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องดี หนึ่งปีที่เจ้าไม่อยู่นี้ มีการประชุมที่หอกระบี่นภาอยู่บ่อยครั้ง หัวข้อการประชุมส่วนใหญ่เน้นไปที่เรื่องว่าควรจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการศึกษาของเหล่าศิษย์ดีหรือไม่”


หวังลู่สงสัยไม่น้อย “หือ?”


“พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาต้องการเร่งระดับความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของเหล่าศิษย์ สำนักกระบี่วิญญาณของเรานั้น มุ่งเน้นไปที่รากฐานที่แข็งแรงมานมนาน ไม่บุกทะลวงไปข้างหน้าอย่างมุทะลุ… แต่จะว่าไป ระดับความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของเหล่าศิษย์ก็ไม่ถือว่าช้า โดยทั่วไปภายในสิบปีก็บรรลุตบะขั้นสร้างฐานได้ แถมพวกเขายังพัฒนาจากตบะขั้นฝึกปราณระดับเก้าสู่ตบะขั้นสร้างฐานระดับหนึ่งได้อย่างราบรื่น ซึ่งหาไม่ได้จากสำนักทั่วๆ ไป”


หวังลู่พยักหน้าเห็นด้วย จะว่าไปแล้ว ยิ่งระดับบำเพ็ญเซียนสูงก็ยิ่งฝึกได้ช้า ทว่าสำนักกระบี่วิญญาณนั้นรับรองเป็นมั่นเหมาะว่าการพัฒนาของเหล่าศิษย์จะเป็นไปอย่างราบรื่น นั่นเป็นเพราะสำนักควบคุมอัตราความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของเหล่าศิษย์ ซึ่งช่วยให้พวกเขามีรากฐานที่มั่นคงและสามารถท้าประลองกับคู่ต่อสู้ต่างขั้นได้ไม่ยาก


“ทว่าแม้การบรรลุตบะขั้นสร้างฐานภายในสิบปีจะถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับสำนักทั่วไป แต่ใครให้เราเป็นหนึ่งในห้าวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียนเล่า ในเหล่าห้าวิเศษ สำนักเราถือว่าค่อนข้างช้า สำนักที่เร็วที่สุดคือสำนักจอมทัพกษัตริย์ ศิษย์ของสำนักนั้นใช้เวลาเพียงสามปีก็บรรลุขั้นสร้างฐานแล้ว บ้าบอชะมัด! ส่วนสำนักอื่นๆ มาตรฐานของสำนักเซิ่งจิงคือหกปี เจ็ดปีสำหรับสำนักเซียนหมื่นเวท สำนักที่ช้าที่สุดคือสำนักคุณหลุนซึ่งใช้เวลาแปดปี แต่สำนักกระบี่วิญญาณของเรานั้นรั้งท้าย”


หวังลู่เหยียดยิ้ม “เราก็รั้งท้ายมาตั้งนานแล้ว ทำไมจู่ๆ พวกท่านถึงได้มาสนอกสนใจเปรียบเทียบเอาป่านนี้เล่า”


ผู้เป็นอาจารย์ยักไหล่ “ก่อนหน้านั้นเป็นเราเองที่ไม่คิดจะเปรียบเทียบ เคราะห์ร้ายมีบางคนเข้ามาหวังจะตบหน้าเรา แม้เราจะอดทนต่อความอับอายมาได้ตั้งหลายปี แต่เรื่องนี้ทำให้เราหมดความอดทน”


หวังลู่เริ่มสนอกสนใจขึ้นมา “ใครกันที่คิดจะตบหน้าเรา บอกข้ามาเร็วเข้า”


“ความจริงก็ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่เจ้าสำนักกับผู้อาวุโสหลายคนต้องเข้าร่วมการชุมนุมพันธมิตรหมื่นเซียน ผู้อาวุโสบางคนจากสำนักอื่นอ้างว่าคนจากสำนักเขาสามารถบรรลุขั้นสร้างฐานได้ภายในเวลาสามถึงสี่ปี หนำซ้ำคนผู้นั้นยังเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเซียนอัจฉริยะในระดับเดียวกันอยู่หลายขุม ความจริงแล้วพวกเขาแค่พูดสัพเพเหระออกมาเพื่อฆ่าเวลาตอนพักจิบชา ทว่าคนอื่นๆ กลับเก็บเอามาใส่ใจ หลังจากเริ่มประชุมต่อ กลายเป็นว่าพวกเขาอยากจะคุยเรื่องนโยบายการศึกษาของสำนักไปเสียได้ ช่างน่าขำชะมัด”


หวังลู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจอย่างจริงจัง “เราควรสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่”


“ใครว่าข้าไม่สนับสนุน แต่เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินควบคุมแล้ว เมื่อสองสามวันก่อน มีจดหมายทางการมาจากสำนักเซียนหมื่นเวท บอกว่าอยากจัดกิจกรรมระหว่างสำนักขึ้น… สองสามวันมานี้เจ้าสำนักจ้างให้ข้าทำงานล่วงเวลาทั้งวันทั้งคืน ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเจ้าสุขสบายดี แค่อยากลวนลามข้าเล่น ข้าเลยโมโหจนแทบกรี๊ดออกมา”


หวังลู่เมินถ้อยคำร้องทุกข์ของอีกฝ่ายและถามต่ออย่างสงสัย “กิจกรรมอะไร จับคู่นัดบอดหรือ เช่นนั้นก็รับคำเลย บอกให้พวกเขาคัดเอาผู้บำเพ็ญเซียนสาวคุณภาพดีมาหลายๆ คนล่ะ”


“…ขอมากไปแล้ว อัตราส่วนระหว่างผู้บำเพ็ญเซียนชายกับผู้บำเพ็ญเซียนหญิงคือสิบต่อหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนหญิงน่ะมีค่ามากกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์อีกเจ้ารู้ไหม แต่ถ้าหากเจ้าต้องการผู้บำเพ็ญเซียนชายใจหญิงละก็ นั่นก็เป็นอีกเรื่องนึง”


“เวรเถอะ เช่นนั้นพวกเขาจะมาทำไม กิจกรรมอะไรที่พวกเขาเสนอมา”


ผู้เป็นอาจารย์เหยียดยิ้ม “จะเป็นอะไรได้อีกเล่า ก็ต้องเป็นการประลองแหงล่ะ”


“ยังไง ชิงธงหรือสู้จนตายไปข้างหนึ่ง หรือเป็นการแข่งกันปีนบันไดสู่สวรรค์”


“…ไม่เกินจริงขนาดนั้นหรอก ก็แค่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนหน้าใหม่ของแต่ละสำนักมาประลองกันบนลานประลองก็เท่านั้น ใครที่ชนะก็จะคุยโวได้ว่าสำนักตนดีงามกว่าอีกฝ่าย ทว่าครั้งนี้ จำกัดตัวผู้แข่งขัน นั่นคือพวกเขาต้องบำเพ็ญเซียนไม่ถึงสิบปี”


หวังลู่ย่นคิ้ว “กฎอะไรเช่นนี้ สำนักเซียนหมื่นเวทต้องการเห็นมือใหม่สู้กันอย่างนั้นหรือ”


“แล้วเราจะเลือกอะไรได้ ตอนนี้พันธมิตรหมื่นเซียนให้ความสำคัญกับผู้บำเพ็ญเซียนรุ่นใหม่ ผู้บำเพ็ญเซียนที่บำเพ็ญเซียนมาได้สิบปีอายุก็จะประมาณยี่สิบห้าปี เมื่ออิงตามที่พวกเขาบอก การจะสร้างสิ่งที่เรียกว่าคนยุคทอง สำนักจึงต้องเพิ่มความแข็งแกร่งในการบำเพ็ญเซียนให้กับผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มนี้ ประเด็นหลักอยู่ที่การผลักผู้บำเพ็ญเซียนรุ่นเยาว์ไปสู่แสงไฟ หากสำนักมีผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพรสวรรค์ สำนักจะยินดียิ่งกว่าที่ผู้อาวุโสบรรลุขั้นเปลี่ยนวิญญาณเสียอีก”


หวังลู่ประหลาดใจไม่น้อย “เช่นนั้นก็แปลว่าข้านำมาความรุ่งโรจน์มาสู่สำนักน่ะสิ”


“เจ้า?” ผู้เป็นอาจารย์ส่งสายตาดูหมิ่นดูแคลนขนาดหนักมาให้อีกฝ่าย “สวะที่บำเพ็ญเซียนมาห้าปีแต่บรรลุได้เพียงขั้นฝึกปราณระดับสูงที่ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้อัจฉริยะตัวจริงอย่างเจ้าน่ะหรือ ครั้งนี้ศิษย์มากพรสวรรค์ซึ่งสำนักเซียนหมื่นเวทตระเตรียมที่จะพามาด้วยชื่อว่าจ้านจื่อเย่ ภายในแปดปีคนผู้นั้นบรรลุถึงขั้นสร้างฐานระดับกลาง มากกว่าเจ้าถึงหนึ่งขั้นเลยเชียวนะ”


หวังลู่ปัดประเด็นนี้ทิ้งอย่างไม่ไยดี “เดี๋ยวนี้น่ะ การที่ข้าจะประลองกับคนที่มีขั้นตบะมากกว่าหนึ่งขั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะยากเย็นอะไร”


“…ถ้าแค่ด้านตั้งรับมันก็ใช่ แต่เจ้าเอาอะไรมามั่นใจว่าตัวเอาจะเอาชนะผู้ที่สูงกว่าเจ้าหนึ่งขั้นได้”


“…ท่านว่าข้าทำไม่ได้หรือ”


“เหลวไหล นอกจากพวกมุทะลุอย่างสำนักจอมทัพกษัตริย์แล้ว เดี๋ยวนี้พวกอัจฉริยะในสำนักชั้นนำคนไหนบ้างที่ไม่ได้เก่งกาจจริงๆ แม้ข้าจะยังไม่เจอเจ้าจ้านจื่อเย่อะไรนั่น แต่จากสามัญสำนึกแล้ว เจ้านั่นเองก็ย่อมท้าประลองข้ามขั้นได้เช่นกันซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้น…”


หวังลู่พูดขัดขึ้น “ดังนั้นการแข่งขั้นระหว่างสำนักในครั้งนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าใช่ไหม”


ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้เป็นอาจารย์ก็ทำให้เขาตาโตขึ้นมาทันที


“ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า? ตรงกันข้าม มันเกี่ยวกับเจ้ามากเลยทีเดียว”


“ข้า?”


อาจารย์ของเขาพยักหน้าและยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้


“นี่คือจดหมายส่วนตัวที่แนบมากับจดหมายทางการของสำนักเซียนหมื่นเวท มันสำหรับเจ้า”


หวังลู่รับจดหมายไปอย่างสงสัย


จาก ไห่อวิ๋นฟาน


………………………………………..

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม