กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ ภาค 4 ตอนที่ 1-5

 ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 1 ศิษย์แห่งสำนักภูมิปัญญา

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อสายลมเย็นต้นฤดูใบไม้ผลิพัดมา การออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของสำนักกระบี่วิญญาณก็สิ้นสุดลง เหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณที่กระจายอยู่ทั่วอาณาจักรเก้าแคว้นก็เริ่มกลับขึ้นเขามาทีละคน


หนึ่งในนั้นก็คือหวังลู่


สุดท้ายแล้วหวังลู่ก็เลือกที่จะกลับมา และทิ้งสำนักที่เขาสร้างขึ้นกับมือไว้เบื้องหลัง หากจะพูดอย่างโหดร้ายก็คือ เขาสลัดรองเท้าขาดๆ ทิ้ง การจากมาของหวังลู่นั้นสามัญธรรมดามาก ก่อนหน้านั้น เขาได้แต่งตั้งเย่ชูเฉินให้ดูแลจัดการสถานการณ์ทั้งหมด ซึ่งสำหรับเย่ชูเฉินแล้วนั้นเรื่องนี้ราวกับฝันไป


จากศัตรูที่พ่ายแพ้มาเป็นรองเจ้าสำนัก สถานะที่เปลี่ยนไปของเขานั้นชวนตกตะลึงไม่น้อย เมื่อนึกถึงอำนาจและอิทธิพลในมือเขาตอนนี้ ในส่วนลึกของจิตใจของเย่ชูเฉิน ไฟแห่งความทะเยอทะยานที่มอดไปนานแล้วก็ลุกโชติช่วงขึ้นอีกครั้ง


แน่นอนว่าความทะเยอทะยานในครั้งนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่หวังลู่ แม้หวังลู่จะจากไปแล้ว แต่เย่ชูเฉินก็ไม่กล้าหวังตำแหน่งในสำนักของหวังลู่ ความจริงแล้ว ตำแหน่งรองเจ้าสำนักของเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกำมือของหวังลู่เท่านั้น เขาไม่ได้มีอิสระในการจัดการสิ่งต่างๆ มากนัก ก่อนที่หวังลู่จะกลับขึ้นเขา เขาได้เขียนแผนกลยุทธ์ที่ละเอียดลออเอาไว้ ซึ่งเป็นแผนพัฒนาสำนักภูมิปัญญาไปอีกยี่สิบปี ตามคำพูดของเขา ขั้นแรกในการพัฒนาสำนักภูมิปัญญานั้นต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงมากกว่าแค่รายได้ที่ตั้งเป้าไว้


เย่ชูเฉินไม่คิดว่าตนเองฉลาดกว่าหวังลู่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงทำตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด… แม้การใส่ตัวตนของตัวเองลงไปในฐานะสมาชิกที่ชำนาญการที่สุดจะเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เย่ชูเฉินก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้น


นั่นเพราะหวังลู่ก็ยังทิ้งปรมาจารย์หมิงอวิ๋น รองเจ้าสำนักอีกคนไว้ด้วย แม้สมาชิกผู้นี้จะไม่มีความสามารถแทนที่หวังลู่ได้ แต่ในฐานะผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ที่สุดของหวังลู่ ชายผู้นี้คือบุคคลที่ดีที่สุดที่จะจับตามองเย่ชูเฉิน เย่ชูเฉินรู้ชัดว่าหากเขาไม่อาจเป็นหมากที่ดีที่สุดของหวังลู่… ก็มีคนในสำนักไม่น้อยที่สามารถแทนที่ได้ อย่างน้อยตาแก่ลามกเหออวิ๋นก็ทะเยอทะยานมากพอ


นอกจากนั้น เย่ชูเฉินยังต้องกังวลเรื่องหอนภาเร้นลับด้วย ไม่กี่เดือนก่อน เพื่อที่จะผ่านวิกฤตไปให้ได้ หวังลู่เดิมพันกับหอนภาเร้นลับเพื่อขอเงินลงทุน การเดิมพันครั้งนี้ยังมีผลตามสัญญา หอนภาเร้นลับยังไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซงการดำเนินการของสำนักภูมิปัญญา พวกเขามีสิทธิ์เพียงรับรู้เท่านั้น ทว่าตอนนี้หวังลู่กลับไปแล้ว เย่ชูเฉินไม่มั่นใจว่าเขาจะต้านทานการแทรกซึมขององค์กรใหญ่นี้ได้หรือไม่


จากความสามารถและชื่อเสียงของเย่ชูเฉิน ไม่แปลกสักนิดหากเขาจะเป็นได้เพียงหุ่นเชิดของหวังลู่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ขอความช่วยเหลือจากหวังลู่เป็นพิเศษก่อนที่เขาจะกลับไป หวังลู่ก็สมกับที่เป็นหวังลู่ เขาเองก็คิดถึงปัญหาในข้อนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงตระเตรียมแผนการมหัศจรรย์พันลึกมากมายไว้ให้ในถุงผ้าไหม เมื่อใดที่เย่ชูเฉินรู้สึกว่าอำนาจของตนเริ่มสั่นคลอน เขาก็สามารถเปิดถุงผ้าออกมาและปฏิบัติตามแผนที่เขียนไว้ให้


เย่ชูเฉินอดสงสัยไม่ได้ เขาจึงแอบเปิดถุงผ้าเพื่อดูสิ่งที่อยู่ข้างในแล้วก็พบว่ามันคือจดหมายฉบับหนึ่ง หน้าซองเขียนไว้ว่า หลักการในการโจมตีสำนักงานใหญ่


ด้วยความรอบคอบ เย่ชูเฉินก็ไม่คิดจะดูต่อ เขาได้แต่ภาวนาว่าขอให้ไม่มีวันที่เขาต้องใช้จดหมายฉบับนี้


——


เมื่อต้องทิ้งสำนักภูมิปัญญาเพื่อกลับมายังเขากระบี่วิญญาณ หลายคนคิดว่าหวังลู่น่าจะเศร้าเสียใจอย่างหนัก ทว่าความจริงแล้ว เขากลับรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่ได้มีความโหยหาโลกมนุษย์แต่อย่างใด


สำหรับสำนักภูมิปัญญาแล้ว หวังลู่ไม่เคยใส่ใจมันในฐานะองค์กร แต่มองเป็นเพียงความคิดเพ้อฝันชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แทนที่จะรู้สึกฮึกเหิมที่สามารถขับเคลื่อนกำลังคนนับล้านเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก หวังลู่กลับสนุกสนานไปกับการสำรวจความลับบนเส้นทางแห่งเซียนของเขากระบี่วิญญาณมากกว่า


นอกจากนี้ หวังลู่ยังตัดขาดโลกมนุษย์อย่างเงียบๆ อีกด้วย


ประสบการณ์แสนขมขื่นที่เขาได้รับจากหมู่บ้านตระกูลหวัง ทำให้หวังลู่สิ้นศรัทธาและหมดความเชื่อมั่นต่อมนุษย์โลกจนหมดสิ้น การตั้งสำนักภูมิปัญญาและเปลี่ยนความคิดของผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน ทำให้หวังลู่ได้รับสถานะที่สูงส่งซึ่งช่วยดึงเขาให้ออกห่างเหล่ามนุษย์ปุถุชนขึ้นไปอีก เมื่อครั้งที่เขาต้องเผชิญหน้ากับภูเขาซากศพและทะเลเลือดในการสอบสวนของกระบี่แห่งสัจจะ ตอนนั้นจิตใจของหวังลู่ตัดขาดจากโลกมนุษย์ได้นานแล้ว


เรื่องเดียวที่เขาเป็นกังวลคือพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จุดยืนของหวังลู่ถือว่าเหี้ยมโหดมาก เขาไม่เคยเผยตัวตนให้บิดามารดาได้รู้ ไม่ยอมให้พวกเขาใช้รากวิญญาณเทียม หรือฝึกบำเพ็ญเซียน หวังลู่มั่นใจว่าบิดามารดาของเขาไม่มีความสามารถและไม่มีจิตใจที่จะบำเพ็ญเซียน เทียบกับการเป็นเซียนแล้ว คนทั้งคู่ชื่นชอบการเป็นมนุษย์ปุถุชนมากกว่า ในเมื่อมีความคิดเช่นนั้น ต่อให้พวกเขาครอบครองรากวิญญาณนภา ก็ไม่อาจบำเพ็ญเซียนได้ หวังต้าฟู่ และฮูหยินซุยชื่อจึงเป็นเพียงผู้ติดตามของสำนักภูมิปัญญาที่มีส่วนในการสร้างสิ่งก่อสร้างของสำนัก เมื่อมีหวังลู่คอยช่วยเหลืออย่างลับๆ ชีวิตของคนทั้งคู่ก็ดีงามขึ้นกว่าในอดีตมาก


เมื่อใกล้จบการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ สุดท้ายแล้วหวังลู่ก็เข้าไปเยี่ยมบิดามารดาจากนั้นก็อำลาจากมา ในชีวิตนี้เขาอาจได้พบบิดามารดาอีกหลายครั้ง ทว่าหลายสิบปีต่อมา บิดามารดาของเขาก็ย่อมต้องลาโลกไป ส่วนเขายังคงต้องบากบั่นอยู่ในเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียนที่ยาวไกล… ทว่าบิดาของเขาไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร เพราะก่อนที่หวังลู่จะจากมา เขาได้มอบยาครอบจักรวาลเพื่อบำรุงสุขภาพของบิดา ทำให้อนุภรรยาของหวังต้าฟู่ให้กำเนิดลูกชาย สืบทอดเชื้อสายของตระกูลหวังต่อไปได้


เช่นนั้นแล้วหวังลู่จึงไม่มีสิ่งใดในโลกมนุษย์ให้ต้องกังวลอีก


——


หลังจากไปเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์มาหนึ่งปี ศิษย์ทั้งหมดก็เดินทางกลับขึ้นเขามา หลายคนรู้สึกราวกับว่าใช้เวลาไปชั่วชีวิตแล้ว


“ศิษย์พี่… ประสบการณ์ที่ได้ในหนึ่งปีนี้ราวกับฝันไปจริงๆ”


เหวินเป่าที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าเมืองธาราวิญญาณอดถอนใจออกมาไม่ได้


หนึ่งปีผ่านไป เจ้าอ้วนบำเพ็ญตบะไปถึงขั้นฝึกปราณระดับหก ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตอย่างที่ได้ตั้งใจไว้และบรรลุขอบเขตของขั้นตบะไปได้ หนำซ้ำยังเคยลงสนามต่อสู้กับผู้จัดการระดับกลางของสำนักภูมิปัญญาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมและวิทยายุทธ์ของเขาก้าวหน้าไปไม่น้อย


นอกจากนั้นเขายังต้องเปลี่ยนร่างไปเป็นเหวินเป่าผู้รู้ตื่นหลายต่อหลายครั้ง ทำให้อุปนิสัยโดยรวมเป็นผู้ใหญ่กว่าหนึ่งปีก่อนมาก แม้ในการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ก้าวหน้าได้รวดเร็วเท่าศิษย์คนอื่นๆ แต่โดยรวมแล้ว สิ่งที่เหวินเป่าได้รับนั้นมากกว่าที่ศิษย์ส่วนใหญ่ได้รับมากนัก


“หากมีเวลาอีกสักสองสามเดือน ไม่แน่ว่าขั้นตบะของข้าอาจทะลุไปอีกระดับหนึ่งก็ได้” เหวินเป่ากล่าวอย่างผิดหวังที่การเรียนรู้ในครั้งนี้จบลงแล้ว


“หา? นี่เจ้ายังวิ่งเล่นไม่พออีกหรือ ข้าน่ะเหนื่อยแทบตาย…”


ผู้ที่มีปฏิกิริยาต่อความผิดหวังของเหวินเป่าคือหญิงสาวที่มีน้ำเสียงค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย


หนึ่งปีที่ผ่านมา เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ใช้ชีวิตในฐานะธิดาเทพมาพอแล้ว ในช่วงสองสามเดือนแรก สิ่งนี้ยังเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจสำหรับนาง ในทางหนึ่ง สำนักภูมิปัญญาของหวังลู่ยังใหม่และน่าสนุก ทว่าเมื่อสำนักภูมิปัญญาพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หลายสิ่งก็เริ่มจำเจมากขึ้น ยิ่งช่วงสองสามเดือนสุดท้าย ที่การพัฒนาของสำนักยังเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่รูปแบบในการพัฒนากลับไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ตามคำของหวังลู่ มันเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในด้านปริมาณซึ่งกำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และขั้นตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าจะเสร็จสิ้น เมื่อถึงเวลานั้นสำนักภูมิปัญญาจึงจะเป็นสำนักอิสระที่ทรงอำนาจอย่างแท้จริง นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่หวังลู่มั่นใจและวางใจว่าสำนักภูมิปัญญาไม่ได้เป็นเพียงของเล่นแก้เบื่ออีกต่อไป


ข้อสอง สถานะของธิดาเทพนั้นแปลกใหม่น่าสนใจ ไม่ว่านางจะไปที่ใด ผู้คนก็ต่างกราบไหว้บูชานาง ซึ่งทำให้หญิงสาวภูมิอกภูมิใจยิ่งนัก ทว่าเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนเห่อเหิมยศศักดิ์ นานวันที่ชาวบ้านเอาแต่กราบกรานนาง นางก็ยิ่งรู้สึกยุ่งยากใจ ก่อนการประชุมแต่ละครั้ง ทุกคนจะต้องคุกเข่าคำนับ ก่อนพวกเขาจะเข้าเรื่อง ก็ต้องเอ่ยวาจาชื่นชมยกย่องนางยาวเหยียด หลังจากจบการประชุม พวกเขาต้องคำนับนางสามครั้ง คุกเข่ากราบไหว้อีกเก้าครั้งก่อนจะจากไปได้… ความอดทนที่มีจำกัดของเสี่ยวหลิงเอ๋อร์หมดสิ้นไปนานแล้ว ในช่วงสองสามเดือนสุดท้าย ทุกครั้งที่นางได้เจอผู้ติดตามที่มีใจศรัทธาเช่นนี้ นางได้แต่อยากจะเตะพวกเขาไปไกลๆ ตลอดเวลา


ในฐานะธิดาเทพแห่งสำนักภูมิปัญญา แม้นางจะสามารถพูดและทำอะไรต่างๆ ได้อย่างเสรี แต่การเตะผู้ติดตามเป็นสิ่งที่นางไม่อาจทำได้ นางจึงต้องหักห้ามใจอย่างหนักที่จะไม่ทำเช่นนั้น ดังนั้นสองสามเดือนสุดท้าย นางจึงสุดแสนจะหดหู่ใจราวกับราวกับมารดาที่มีอาการซึมเศร้าหลังคลอดบุตร


โชคดีที่สุดท้ายแล้วนางก็ได้กลับมา เมื่อได้เห็นถนนที่คุ้นตาของเมืองธาราวิญญาณ ได้ยินคำพูดทักทายด้วยความรักใคร่ของชาวบ้านที่รู้จักกัน เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็พลันรู้สึกถึงความอบอุ่นของบ้านเกิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


“เฮ้อ อย่างไรเสียเมืองธาราวิญญาณก็ดีกว่าวันยังค่ำ เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนปีนขึ้นเข้าไปได้แล้ว ข้าจะกลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม สามวันนับจากนี้ห้ามมากวนข้าเด็ดขาด”


พูดจบเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว


สามนาทีให้หลังที่โรงเตี๊ยมตระกูลหรู


“มีใครอยู่บ้าง!?”


แขกไม่ได้รับเชิญผลักประตูหน้าของโรงเตี๊ยมเข้ามา หลังจากทักทายอย่างกันเองแล้ว ทั้งสองก็สืบเท้าไปยังโต๊ะยาวท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเถ้าแก่เนี้ย เด็กหนุ่มที่ร่างเพรียวกว่าหยิบเหรียญออกมาเก้าเหรียญ “เหล้าสองชาม แล้วก็…”


“สองชามน้องสาวเจ้าสิ! พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่เนี่ย!?”


เถ้าแก่เนี้ยขุ่นเคืองใจจนอยากจะร้องไห้ นางเพิ่งมาถึงบ้านยังไม่ทันจะได้วางสัมภาระ เจ้าเด็กพวกนี้ก็โผล่หน้ามาแล้ว พวกนั้นกล้าหวังว่านางจะตระเตรียมอาหารให้ได้อย่างไร!?


“ทำไมถึงมาก่อกวนข้าถึงที่นี่ พวกเจ้าควรปีนขึ้นเข้าไปเขียนรายงานให้เสร็จถึงจะถูก ไม่เห็นป้ายคำว่าปิดที่อยู่ด้านหน้าหรืออย่างไร”


หวังลู่กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องให้ท่านมาเตือนหรอก ข้าปลดป้ายนั้นลงให้แล้ว ตอนนี้โรงเตี๊ยมท่านก็เปิดทำการตามปกติ ความจริงท่านเองถือเป็นคนของสำนักกระบี่วิญญาณ ลืมช่วงเวลาพักฟื้นหนึ่งเดือนไปได้อย่างไร”


เถ้าแก่เนี้ยมีสีหน้างุนงงจากนั้นก็ตบหน้าผากตัวเอง สุดท้ายนางก็จำได้ว่ามีสิ่งที่ว่านี่อยู่จริงๆ


การเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของสำนักกระบี่วิญญาณกินเวลาสิบสองเดือน หลังจากนั้นศิษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ต้องกลับมายังสำนัก ทว่าพวกเขามีเวลานอกอีกหนึ่งเดือนก่อนที่จะส่งรายงาน เวลาบางส่วนของหนึ่งเดือนนี้หมดไปกับการเดินทางกลับ แต่ส่วนใหญ่จะหมดไปกับการทำแบบร่าง


แบบร่างอะไร แน่นอนว่าคือแบบร่างรายงานสรุปการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์! ตั้งแต่แรกสิ่งนี้คือหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่จะวัดความสำเร็จในการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของเหล่าศิษย์ การเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ไม่เพียงพัฒนาขั้นตบะของศิษย์เท่านั้น ที่สำคัญคือ ประสบการณ์ตลอดหนึ่งปีนั้นส่งผลต่อสติปัญญาและบุคลิกภาพของเหล่าศิษย์อีกด้วย และการพัฒนาในส่วนนี้ไม่ได้มาจากจำนวนพลังอิทธิฤทธิ์ หรือดูได้จากความหนาแน่นของพลังวิญญาณขั้นปฐม


ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงต้องเขียนรายงานบรรยายสิ่งที่ได้รับและสิ่งที่ได้ประสบตลอดหนึ่งปีนี้ลงไป เพื่อที่เหล่าผู้อาวุโสจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง


เมื่อหนึ่งปีก่อน เหวินเป่าเป็นกังวลในเรื่องนี้มาก ทว่าหนึ่งปีถัดมา เขากลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!


“ฮ่ะๆ ศิษย์พี่ ครั้งนี้ข้าคงต้องพึ่งท่านแล้ว!”


หวังลู่คำราม “ข้าก็ไม่ได้หวังว่าเจ้าจะเขียนได้เองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนที่เจ้าเป็นหัวหน้าหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน รายงานของเจ้าห่วยที่สุดหากเทียบกับรายงานจากหัวหน้าหน่วยคนอื่นๆ จนข้าน่าจะตั้งให้เจ้าเป็นหัวหน้าก๊กของพวกผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่รู้หนังสือ ความจริงแล้วเจ้าควรถนัดเรื่องนี้เพราะมาจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่ความรู้เรื่องบทกลอนและบทเพลงของเจ้ากลับเป็นศูนย์ เจ้าเขียนร้อยแก้วก็ไม่ได้ หนังสือทางการก็ไม่ได้ หรือแม้แต่ภาษาพูดธรรมดาที่มีประโยชน์เฉพาะตอนที่เจ้าอยากแต่งนิยาย เจ้ายังเขียนไม่ได้เลย”


เหวินเป่าเลิกคิ้ว “อย่าพูดเช่นนั้นเชียว ข้าได้แรงบันดาลใจมาแล้วเรียบร้อย ในสองวันแรกของการเดินทางของเรา ข้าก็นึกบทนำของมันออก งานชิ้นนี้มีชื่อว่าศิษย์แห่งสำนักภูมิปัญญา เป็นเรื่องเล่าของชายผู้เก่งกาจที่มีบุคลิกแปลกแยก ตอนที่เขาใส่หน้ากาก เขาจะเป็นเพียงคนขี้ขลาดไร้ตัวตน แต่พอเขาถอดหน้ากากออก เขาจะกลายเป็นทรราชที่ไร้ความปรานี…”


หวังลู่เหลือบสายตามองเหวินเป่าอย่างประหลาดใจนิดๆ และหลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน เขาก็ตบบ่าอีกฝ่าย “เขียนให้ดีๆ อย่าขันทีล่ะ[1]”


“หือ?”


…………………………………….


[1] คำว่า ‘ขันที’ ในภาษาจีนคือ 太监 (ไท่เจี้ยน) แต่ในประโยคนี้ 太监 ของหวังลู่คือ 太+监 หมายถึง หยาบเกินไป ก็คือ เขียนดีๆ อย่าหยาบเกินไปล่ะ


ตอนที่ 2 มาตรฐานในการวัดระดับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ครึ่งเดือนต่อจากนั้น หวังลู่และเหวินเป่าก็ทำตัวหน้าหนาอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลหรูอย่างสุขกายสบายใจเพื่อเขียนรายงานของตน


หลังจากที่คำประท้วงตั้งมากมายของนางไม่เป็นผล เถ้าแก่เนี้ยก็ขี้เกียจจะใส่ใจอีก ทุกวันนางเพียงต้มหัวไชเท้าเพื่อเป็นอาหารให้ผู้ทรงปัญญาแต่ไร้ประโยชน์ทั้งสอง เพื่อบรรลุหน้าที่ในฐานะเพื่อนร่วมกลุ่ม


ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา ศิษย์แห่งสำนักกระบี่วิญญาณจากทั่วอาณาจักรเก้าแคว้นก็ค่อยๆ กลับขึ้นเขาไป และเพราะเมืองธาราวิญญาณเป็นจุดที่ทุกคนจะต้องเดินทางผ่านไปยังภูเขา ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงบังเอิญเจอกันอย่างไม่อาจเลี่ยงได้


เทียบกับเมื่อหนึ่งปีก่อน ศิษย์ทั้งหลายที่กลับมาเหมือนได้เกิดใหม่ ศิษย์ส่วนใหญ่ทำตามคำแนะนำที่อยู่ในคู่มือของผู้อาวุโส พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่หายาก และเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากเติบโตขึ้นอย่างมากภายในหนึ่งปี ความมั่นใจของเหล่าศิษย์ก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ยามที่พวกเขาทักทายกัน จึงยากที่จะไม่พูดโอ้อวด ทำให้เกิดความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ขึ้น แน่นอนว่าที่เชิงเขากระบี่วิญญาณพวกเขาไม่คิดเรื่องการต่อยตี ทว่าการวิวาทกันบ้างตามโอกาสเพื่อให้อีกฝ่ายอับอายจนหน้าแดงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อย่างไรเสีย เกือบทุกคนต่างได้รับประสบการณ์อันหายากมาตลอดหนึ่งปี ดังนั้น ‘ลำดับชนชั้น’ ตั้งแต่ครั้งที่ยังอยู่บนเขาจึงถูกล้างทิ้งไปนานแล้ว และนี่ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะจัดลำดับใหม่อีกครั้งว่าใครต้องยอมก้มหัวให้ใคร


สำนักกระบี่วิญญาณไม่ใช่สถานที่ที่แบ่งชนชั้น ทว่าศิษย์แต่ละคนย่อมรู้โดยเลาๆ ว่าตนนั้นอยู่ในฐานะใด ใครที่แข็งแกร่งกว่า หรือใครที่อ่อนแอกว่า รวมถึงท่าทีที่พวกเขาจะปฏิบัติต่ออีกฝ่าย… ศิษย์เกือบทุกคนรู้ว่าตนอยู่ในตำแหน่งใด แม้สำนักกระบี่วิญญาณจะไม่สนับสนุนสิ่งนี้ แต่มันก็เป็นแนวคิดที่สลักแน่นอยู่ในจิตใจของผู้คนแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้


ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ หวังลู่เฝ้ามองการทะเลาะกันนับครั้งไม่ถ้วนของพวกเด็กเหลือขอด้วยความสนใจ


แน่ล่ะว่าการทะเลาะกันที่ว่านี้ไม่มากไปกว่าการพูดจาโอ้อวดหรือผลักกันไปมา บ้างก็โม้ว่าตนเอาชนะมารร้ายตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลายจากสำนักมารได้ บ้างก็อวดว่าตนสังหารสัตว์ประหลาดได้ด้วยแก่นแห่งเซียน… บ้างก็กล่าวว่าตนถูกผู้บำเพ็ญเซียนสาวตบะขั้นพิสุทธิ์ยั่วยวนและมีความสัมพันธ์ด้วย


การแข่งเล่านิทานนี้ช่างบันเทิงเริงใจเป็นที่สุด หวังลู่เพียงแค่ฟังนิ่งๆ อยู่ภายในโรงเตี๊ยม อีกฝั่งหนึ่ง เหวินเป่าที่ตัดสินใจจะเขียนรายงานโลกตะลึงก็เงี่ยหูพลางเกาแก้มอย่างชื่นชม เขาถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าขณะฟังเรื่องราวเหล่านั้น พลางคิดในใจว่าความรอบรู้นั้นมีอยู่ในตัวของทุกคน ขณะที่เขากำลังวิตกกังวลว่าจะเขียนเรื่องราวของทรราชหยาบคายนี้ออกมาอย่างไร เขาไม่คาดคิดสักนิดว่าขณะจิบน้ำชาอยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยมเช่นนี้ เขาจะได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น…


แน่ล่ะว่านอกจากเรื่องทะเลาะเบาะแว้งแล้ว พวกเขายังได้ยินเรื่องราวมากมายที่ศิษย์ทั้งหลายได้ประสบมา หลังจากออกไปเรียนรู้ถึงหนึ่งปี เหล่าศิษย์พวกนี้ต่างก็แลกเปลี่ยนข้อมูลกันมากมาย ตัวอย่างเช่น ศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงที่ได้พบเจอการเดินทางแสนทึ่ง คนหนึ่งทำให้อีกฝ่ายอับอายที่ด้อยกว่า ทั้งยังมีศิษย์น้องคนหนึ่งที่เกือบติดกับดักในซากปรักหักพังของสุสานโบราณ โชคดีที่สวรรค์คุ้มครองคนดี เขาจึงรอดมาได้ไม่ตายก่อนกำหนด…


ที่เหลือเป็นการเปรียบเทียบเรื่องราวกัน ศิษย์ส่วนใหญ่ต่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ พวกเขาจึงไม่ค่อยคล้อยตามเรื่องของคนอื่นนัก ทว่าเมื่อได้ฟังเรื่องต่างๆ มากเข้า พวกเขาก็เกิดเปรียบเทียบเรื่องราวของแต่ละคนจนกลายเป็นมติมหาชนขึ้นมา นั่นคือหนึ่งปีที่ผ่านมา มีคนส่วนน้อยที่ได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่าคนอื่นๆ หลายเท่านัก เรียกสั้นๆ ว่าพวกศิษย์พิเศษ แม้ศิษย์ที่เหลือจะมั่นอกมั่นใจในเรื่องราวของตน แต่พวกเขาก็รู้ว่าไม่อาจเอาชนะพวกศิษย์พิเศษเหล่านี้ได้


ตัวอย่างเช่น ศิษย์ผู้สืบทอดที่นั่งเขียนรายงานอยู่เงียบๆ ในโรงเตี๊ยม แม้ว่าหมอนี่จะดูเป็นมิตรและดูไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ หนำซ้ำยังใช้เวลาเกือบทั้งวันตวัดลายมือเร็วๆ ไปทั่วโต๊ะ ทว่าทันทีที่มีคนเข้าไปใกล้เขา คนผู้นั้นจะรู้สึกหายใจแผ่วลง ยากที่จะสูดอากาศเข้าปอด ทำให้ต้องก้มหัวลงต่ำโดยไม่รู้ตัว


เคราะห์ดีที่ปัญญาของคนพวกนี้พัฒนาขึ้นบ้างในหนึ่งปีที่ผ่านมา หลังจากที่หารือกันเอง พวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าภาวะอารมณ์ของผู้นำ ในปีที่ผ่านมา พวกเขาหลายคนได้เห็นคนระดับสูงที่มีลักษณะเช่นนี้ เช่น จักรพรรดิ เจ้าสำนักขนาดใหญ่และอื่นๆ ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงเริ่มทายกันว่าองค์กรใดที่หวังลู่เคยดูแลเมื่อหนึ่งปีก่อน ทว่าไม่มีใครเดาได้เลยว่า ก่อนที่จะกลับขึ้นเขามานี้ หวังลู่มีผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งล้านคน และสามัญชนเกือบทั้งหมดในประเทศต้าหมิงอยู่ในการควบคุมของเขา


เมื่อมีคนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ แล้วขั้นบำเพ็ญเซียนของพวกเขาจะดีกว่าได้อย่างไร นี่ยังไม่นับรวมว่าหวังลู่โด่งดังเรื่องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จของเขาในงานชุมนุมคัดเลือกเซียน หรือหลังจากนั้นที่เขาสามารถทำลายสถิติในเขาเมฆาครามเล็กได้ ความสำเร็จในอดีตเหล่านี้ทำให้ผู้คนต่างพากันเชื่อว่าการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในปีที่ผ่านมา สิ่งที่หวังลู่ได้รับย่อมมหาศาลจนแทบจะเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ แม้จะมีข้อขัดแย้งในตอนที่เขาเพิ่งเข้าสำนักมา แต่ตอนนี้เขาก็ถือว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดตัวจริง พวกเขาไม่ว่าจะเป็นศิษย์ชั้นในหรือศิษย์ชั้นนอกทางที่ดีก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย


ทว่าขนาดหวังลู่เองก็ไม่ได้อยู่อันดับหนึ่งในรายชื่อศิษย์พิเศษที่บรรดาศิษย์คนอื่นๆ ตั้งขึ้นมา


“ที่หนึ่งย่อมเป็นของศิษย์ผู้สืบทอดหลิวหลี”


ในครึ่งเดือนที่ผ่านมา นี่คือประโยคที่หวังลู่ได้ยินบ่อยที่สุด


ส่วนสาเหตุที่หญิงสาวที่มีชื่อเล่นว่าหลิวหลีน้อยประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจนั้น…


“ทำไมน่ะหรือ ก็นางสังหารปีศาจเมฆาโลหิตสิบสองตัวที่หุบเขาเมฆาโลหิตด้วยตัวคนเดียวน่ะสิ ปีศาจสิบสองตัวนี้มีตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ตบะของบางตัวอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ด้วยซ้ำ แต่ก็ยังถูกเด็กสาวที่ตบะแค่เกือบบรรลุขั้นสร้างฐานฟาดเอาซะคร่ำครวญเหมือนผีโหยหวนเหมือนหมาป่าไม่มีผิด พวกมันหมดเรี่ยวแรงจนไม่อาจสู้กลับได้ด้วยซ้ำ…ว่ากันว่าแม้แต่สำนักเซิ่งจิงก็ตื่นตะลึงกับการต่อสู้ครั้งนี้ไม่น้อย”


“ถูกต้องแล้ว เมื่อไม่กี่ปีก่อน ผู้บำเพ็ญเซียนสาวสวยตบะขั้นสร้างฐานช่วงต้นนามว่าฉยงฮว๋าจากสำนักเซิ่งจิง สามารถเอาชนะศัตรูที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ได้ จากนั้นนางก็ภาคภูมิใจเสียจนประกาศชัยชนะนี้ให้ชาวโลกได้รับรู้ ราวกับว่าตัวเองเป็นบุคคลตัวอย่างของพวกเด็กๆ รุ่นใหม่ แต่ดูท่าว่าตอนนี้เรื่องนี้คงไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นแล้ว”


“โอ้โห ตบะขั้นสร้างฐานเอาชนะตบะขั้นพิสุทธิ์ได้อย่างไรกัน…”


ขณะที่เหล่าศิษย์กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น หวังลู่ก็นั่งฟังบทสนทนาอยู่ที่มุมหนึ่งด้วยความขบขัน


เขาคิดในใจ ‘ก็แค่ขั้นพิสุทธิ์ มีอะไรให้โอ้อวดกัน สำนักภูมิปัญญาของข้าสามารถไล่ผู้อาวุโสขั้นพิสุทธิ์หลายคนออกได้ง่ายๆ ตอนที่ข้าตบหน้าพวกเขาเพราะทำงานไม่ถูกใจ ใครหน้าไหนกล้าเปลี่ยนใจย้ายสำนักบ้าง พวกเขาได้แต่ถอนใจเพราะรู้สึกว่าได้รับเกียรติจากเจ้าสำนัก จากนั้นก็ทำตามคำสั่งของข้าต่อ”


อาณาจักรเก้าแคว้นกว้างใหญ่เสียจนแม้ในแคว้นธาราครามที่อยู่ห่างไกลยังมีผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณและตบะขั้นสร้างฐานจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกเซียนในดินแดนส่วนนี้มีมากเหลือคณานับ บางคนมีรากวิญญาณสวรรค์ บางคนมีรากวิญญาณปฐพี พวกเขามีระดับสติปัญญา ปรีชาฌาน วิธีสร้างแก่นแห่งการบำเพ็ญเซียน และทรัพย์สมบัติที่แตกต่างกัน… แม้ผู้บำเพ็ญเซียนสองคนจะอยู่ในขั้นตบะเดียวกัน แต่ความแข็งแกร่งอาจแตกต่างกันถึงสิบส่วนหรือหนึ่งร้อยส่วน ไม่มีราคาที่จะอ้างอิงได้


สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์เหมือนกัน ศิษย์ตบะขั้นพิสุทธิ์ของสำนักกระบี่วิญญาณ ต่อให้เป็นพวกไม่มีอะไรดีก็ยังสามารถเอาชนะเย่ชูเฉินมากกว่าสิบคนได้ง่ายๆ! มิเช่นนั้นลองดูมู่เสี่ยวเป็นตัวอย่างก็ได้ เขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์ทั่วไป พละกำลังไม่ถือว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่ผู้บำเพ็ญเซียนหญิงตบะขั้นสร้างฐานของสำนักเซิ่งจิงก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้


ขั้นตบะไม่อาจใช้วัดค่าความแข็งแกร่งที่มีอย่างแม่นยำ ทว่าหากไม่ใช้สิ่งนี้ ก็ไม่มีมาตรฐานร่วมอื่นใดที่ใช้ตัดสินความแตกต่างด้านพละกำลังระหว่างผู้บำเพ็ญเซียนได้ ปัญหานี้ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในการสนทนากันของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณ การสนทนากันเรื่องดังกล่าวมักแปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหล ตัวอย่างเช่น…


“เดือนก่อน ข้าเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนสำนักมารตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลายได้ แล้วเจ้ามีดีอะไรจะมาก่อเรื่องต่อหน้าข้า”


“แค่ตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลายมันวิเศษวิโสที่ตรงไหนกัน ข้ากับศิษย์น้องเจ้าโหยวซินร่วมมือกันปราบผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานช่วงปลายได้ถึงสี่คน เช่นนี้พวกเราไม่เจ๋งกว่าเจ้าถึงสองเท่าหรือ”


“ศัตรูขั้นฝึกปราณช่วงปลายของพวกเจ้ามันสวะล่ะสิ กล้าดียังไงมาคุยโม้ คนที่ข้าเอาชนะมาได้นั้นโด่งดังไม่น้อย!”


“ศัตรูของข้าก็ไม่ได้ด้อย แม้ขั้นตบะของพวกเขาจะต่ำกว่าเล็กน้อย แต่อาวุธวิเศษของพวกเขาก็เป็นของแท้ราคาดี!”


“ศัตรูผู้บำเพ็ญเซียนมารของข้าก็ไม่ได้อ่อน…”


“ข้าสองคนต้านสี่คน!”


“เหลวไหล หากใช้ค่ายกลกระบี่ปฐพีและกระบี่นภาของสำนักกระบี่วิญญาณ ไม่เพียงพละกำลังของเราจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเซียนชั่วร้ายพวกนั้นจะลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน ดังนั้นที่เจ้าพูดว่าสองต้านสี่ แท้จริงแล้วก็คือสองต้านสองในห้าส่วนต่างหาก!”


“เหลือหนึ่งในสิบส่วนมารดาเจ้าสิ!”


“มารดาเจ้าต่างหาก!”


การโต้แย้งของทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนจากการถกเถียงมาเป็นการไม้ลงมือกัน และก่อนที่การลงไม้ลงมือจะกลายเป็นการวิวาทใหญ่โต เถ้าแก่เนี้ยก็จับปกเสื้อของคนทั้งสองขึ้นแล้วโยนทั้งคู่ออกนอกโรงเตี๊ยมไป


หลังจากคนทั้งคู่ลุกขึ้นและเดินกลับเข้ามาใหม่อย่างหมดท่า พวกเขาก็เห็นหวังลู่ที่นั่งเขียนรายงานอยู่ที่มุมห้อง ลุกขึ้นยืน


“ตามที่ข้าเห็น”


ทันทีที่หวังลู่เปิดปากพูด ทั้งโรงเตี๊ยมก็เงียบลงทันใด แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในรายชื่ออันดับหนึ่งของพวกศิษย์พิเศษ ทว่าเขาคือคนที่โด่งดังที่สุดที่อยู่ที่นี่ หนำซ้ำบรรยากาศของผู้นำในตัวเขายังทำให้ผู้อื่นไม่กล้าไม่เชื่อฟัง


“พวกเจ้าไม่คิดว่าตัวเองงี่เง่าบ้างหรือ รู้ทั้งรู้ว่าขั้นตบะนั้นเอามาวัดความแข็งแกร่งไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เถียงกันว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน พวกเจ้าก็มักเอาขั้นตบะมาเป็นตัวเปรียบเทียบทุกที”


เมื่อถูกหวังลู่ตั้งคำถาม ศิษย์คนอื่นๆ ก็พลันรู้สึกอับจนคำตอบ ทว่าผ่านไปพักหนึ่งใครบางคนก็กระซิบออกมา “แล้วจะให้ใช้อะไรเล่า นอกจากขั้นตบะแล้ว คุณสมบัติอื่นๆ ยิ่งเชื่อไม่ได้เข้าไปใหญ่ ตอนนี้ไม่มีมาตรฐานที่สมเหตุสมผลพอจะใช้วัดความแข็งแกร่งด้วยซ้ำ”


หวังลู่กัดฟัน “งี่เง่า หากไม่มีมาตรฐานใดที่จะใช้ได้ เช่นนั้นก็สร้างมันขึ้นมาสิ มันจะยากเย็นที่ตรงไหนกัน”


ศิษย์คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน ต่างคนก็ต่างคิดว่าข้อเสนอแนะของหวังลู่นั้นช่างหลักแหลม แต่ขณะเดียวกันก็แสนจะไร้สาระ


“จะ จะสร้างมาตรฐานที่ว่าขึ้นได้อย่างไรเล่า”


หวังลู่ถอนหายใจ ส่งสายตาเหยียดหยามไปยังศิษย์ร่วมสำนักไร้ประโยชน์ที่ถามคำถามนั้นออกมา จากนั้นก็เดินมากลางห้องโถง เจอโต๊ะตัวหนึ่งจากนั้นก็หยิบกระดาษและปากกาออกมา


“ง่ายมาก ขั้นแรกต้องตั้งค่ามาตรฐานก่อน”


“ค่ามาตรฐาน?” เหล่าศิษย์ถามขึ้นอย่างสงสัยขณะเดินเข้ามาล้อมรอบหวังลู่อย่างรวดเร็ว


หวังลู่พยักหน้าพลางอธิบาย “ขั้นแรกเราก็ตั้งผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่ว่าด้านไหนก็ไม่โดดเด่นและมีตบะขั้นต่ำสุดขึ้นมาเสียก่อน ตัวอย่างเช่น…”


หวังลู่กล่าวพลางวาดคนตัวเล็กๆ ลงบนกระดาษ


เหล่าศิษย์ต่างสงสัย “นี่ใครกัน”


“นี่คือเสี่ยวหมิง”


“…เสี่ยวหมิง?”


“เสี่ยวหมิงคือผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาที่พวกเจ้าพบเห็นได้ทั่วไปในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน ขั้นตบะของเขาคือขั้นสร้างฐานระดับเก้า รากวิญญาณของเขาคือรากวิญญาณสามประสานระดับเจ็ด มีวิชาแก่นบำเพ็ญเซียนระดับต่ำ มีของวิเศษระดับกลางสามชิ้น มีอาวุธธรรมระดับต่ำสิบชิ้น… สรุปแล้วผู้บำเพ็ญเซียนประเภทนี้พบเห็นได้ทั่วไปในอาณาจักรเก้าแคว้นจริงไหม”


เหล่าศิษย์ที่อยู่ล้อมรอบหันไปพูดคุยกันครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า


แน่นอนว่าแม้เสี่ยวหมิงจะค่อนข้างยากจนเมื่อเทียบกับศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณคนอื่นๆ ทว่าศิษย์เหล่านี้ซึ่งพบเห็นและคุ้นเคยกับความเจ็บปวดและความยากลำบากของคนทั่วไปดี พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าความยากจนคือสถานะที่เห็นได้ทั่วไปในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน แม้เสี่ยวหมิงจะดูข้นแค้น แต่ความจริงแล้วยังมีคนอีกหลายคนที่จนยิ่งกว่าเขา ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้บรรลุตบะขั้นสร้างฐานได้อย่างฉิวเฉียด และชั่วทั้งชีวิตก็อาจจะหยุดอยู่เพียงเท่านี้เพราะคุณสมบัติของรากวิญญาณที่แสนย่ำแย่ พวกเขายังห่างไกลจากผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มที่หวังลู่วาดบนกระดาษมากนัก อย่างไรเสีย แม้อาวุธวิเศษระดับกลางจะไม่ถือเป็นของหายาก แต่หากมีถึงสามชิ้นก็ถือว่าดีไม่น้อย หนำซ้ำยังมีอาวุธธรรมระดับต่ำอีกถึงสิบชิ้น เช่นนี้ก็ไม่ต่างจากเค้กที่มีน้ำตาลโรยหน้าแล้ว…


หวังลู่กล่าวต่อ “เราตั้งเสี่ยวหมิงเป็นมาตรฐานสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานระดับเก้า จากนั้นก็ตั้งผู้บำเพ็ญเซียนอีกคนขึ้นมา สมมติว่าให้เป็นเสี่ยวกัง”


พูดจบหวังลู่ก็วาดอีกคนขึ้นมาซึ่งดูคล้ายเสี่ยวหมิงถึงเก้าส่วน


“เสี่ยวกังก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาทั่วไปที่พบเห็นได้ทุกที่ในอาณาจักรเก้าแคว้น ทว่าเขาต่างจากเสี่ยวหมิง นั่นเพราะเขาอยู่ในขั้นสร้างฐานระดับแปด… ส่วนแก่นในการบำเพ็ญเซียนและข้าวของต่างๆ ข้าจะไม่ลงรายละเอียด เอาเป็นว่าพวกเขามีเหมือนๆ กัน ดังนั้นหากเสี่ยวหมิงและเสี่ยวกังต่อสู้กัน โดยพื้นฐานแล้วเสี่ยวกังย่อมมีโอกาสชนะถึงแปดส่วน พวกเจ้าเห็นชอบเช่นเดียวกันใช่ไหม”


แม้พวกเขาจะแตกต่างกันเพียงหนึ่งระดับ ซึ่งถือว่าเล็กน้อยมาก แต่ในเมื่อเงื่อนไขอื่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ความแตกต่างของระดับขั้นจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญขึ้นมา เมื่อดูตามปัจจัยโดยรวมแล้ว เสี่ยวกังจึงมีโอกาสชนะถึงแปดส่วน


หวังลู่ยิ้มจากนั้นก็หยิบปากกาขึ้นและแก้ข้อมูลบางอย่างที่ด้านบนภาพของเสี่ยวหมิง “เช่นนั้นสมมติว่าเสี่ยวหมิงไม่ได้มีอาวุธวิเศษระดับกลางแต่เป็นอาวุธวิเศษระดับสูง พวกเจ้าว่าผลจะเป็นอย่างไร”


เหล่าศิษย์ที่ถูกยิงคำถามใส่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปปรึกษากัน ผลที่ได้ก็คือ…


“โอกาสน่าจะเป็นห้าสิบห้าสิบ”


หวังลู่พยักหน้า “พูดอีกอย่างก็คือ เสี่ยวหมิงที่มีอาวุธวิเศษระดับสูงมีคุณสมบัติพอที่จะเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนที่เหนือกว่าเขาอยู่หนึ่งระดับ เช่นนั้น…”


หวังลู่หยิบปากกา เพิ่มข้อความลงในกรอบข้อมูลของเสี่ยวหมิง ออกมาเป็น ตบะขั้นสร้างฐานระดับเก้า + 1


เขียนเสร็จเขาก็วางปากกาลงจากนั้นก็ฉีกยิ้ม “นี่คือหลักการพื้นฐาน ที่เหลือคงไม่ต้องให้ข้าอธิบายต่อมั้ง”


…………………………………..


ตอนที่ 3 รายงานที่เขียนขึ้นด้วยเลือด (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


หากกล่าวอย่างเข้มงวด วิธีคำนวณที่หวังลู่เสนอขึ้นมานั้นไม่ได้แม่นยำเสียทีเดียว ทว่าในเมื่อไม่มีวิธีแก้ปัญหาอื่นที่น่าเชื่อถือมากกว่านี้ อย่างน้อย กฎ +1นี้ก็กระจ่าง กระชับและง่ายในการนำไปใช้


ด้วยวิธี +1 นี้ นอกจากต้องคำนึงถึงค่ามาตรฐานตั้งต้นแล้ว ขั้นที่เหลือนั้นง่ายมาก ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงใช้เวลาสร้างบัตรตัวละครซึ่งอยู่ในการถกเถียงขึ้นมา ทำให้การถกเถียงในครั้งต่อๆ มานั้นมีมาตรฐานและเป็นระบบระเบียบมากยิ่งขึ้น


“นี่ นี่ จากการคำนวณน่ะ ข้าอยู่ในขั้นฝึกปราณระดับสี่ +9 และสามารถสู้กับเสี่ยวหมิงที่อยู่ขั้นสร้างฐานระดับสี่ได้”


“ไม่ เจ้าผิดแล้ว ค่าความแตกต่างระหว่างขั้นฝึกปราณขั้นปลายกับขั้นสร้างฐานขั้นต้นอยู่ที่ห้าแต้ม ดังนั้นเจ้าสามารถสู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานระดับเก้าได้เท่านั้น”


“แค่ขั้นสร้างฐานระดับเก้าเองรึ… น่าผิดหวังจริงๆ”


“ฮ่ะๆ ข้าเองก็ไม่ได้ดีเหมือนกัน ข้าเป็นเพียงขั้นฝึกปราณระดับสาม +8 ดังนั้นจึงสามารถต่อสู้กับคู่แข่งในระดับเดียวกับเจ้าได้ ศิษย์น้อง แม้ทักษะพื้นฐานของข้าจะไม่แข็งแกร่งเท่าเจ้า แต่เจ้าขาดเพียงแค่ระดับของอาวุธวิเศษ หลังจากเจ้ากลับขึ้นเขาไปและได้อาวุธชิ้นใหม่ที่ดีกว่า เจ้าก็ไม่ย่ำแย่เท่าข้าแล้ว”


“ได้ยินมาว่าศิษย์พี่หญิงเจ้าอยู่ที่ขั้นฝึกปราณระดับห้า +10 แม้ระดับของนางจะไม่สูง แต่ความแข็งแกร่งถือว่าทรงพลังไม่น้อย โธ่เอ๋ย ในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ครั้งนี้ การจะเจอใครสักคนที่มีความแข็งแกร่ง +10 ถือว่ายากยิ่งนัก”


“ถูกต้อง ค่าเฉลี่ยของศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณอย่างเราคือ +8 ศิษย์พี่หญิงเจ้านั้น +10 ดังนั้นทักษะพื้นฐานของนางจึงแข็งแกร่งเสียจนทำให้ทุกคนขนหัวลุก… ทว่าหากพูดถึงทักษะความแข็งแกร่ง ศิษย์พี่หยูกับศิษย์คนอื่นๆ นั้นเทียบไม่ติด เพราะระดับขั้นการต่อสู้ของศิษย์พี่หญิงหลิวหลีคือขั้นสร้างฐานระดับเก้า + 15”


“…ว่าไงนะ!”


“ซึ่งเทียบได้กับเสี่ยวหมิงที่อยู่ในขั้นพิสุทธิ์ระดับแปด หนำซ้ำนางยังไม่ต้องพึ่งอาวุธวิเศษ อาวุธธรรม และตัวช่วยภายนอกอื่นๆ เลย เป็นคนที่ท้าลิขิตสวรรค์ได้โดยแท้…”


“เช่นนั้นแล้วฉยงฮว๋าของสำนักเซิ่งจิงเล่า”


“ข้อมูลที่เกี่ยวกับนางนั้นไม่สมบูรณ์ดังนั้นการคำนวณอาจจะไม่ถูกต้อง แต่นางน่าจะอยู่ในระดับ +14 นับว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง พวกเรายังห่างไกลจากนางหลายขุมนัก”


“พูดถึงเรื่องนี้ แล้วศิษย์พี่หวังลู่ผู้ที่คิดวิธีนี้ขึ้นมาเล่า… เจ้าว่าระดับขั้นการต่อสู้ของเขาจะเป็นเท่าไร”


“ใครจะรู้ได้ การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของเขาเป็นเรื่องลึกลับ นอกจากตบะขั้นฝึกปราณระดับหกที่อีกนิดจะระดับห้าของเขาแล้ว ข้าก็ไม่รู้ข้อมูลอื่นของเขาอีก ทว่าในเมื่อเขาเป็นศิษย์ผู้สืบทอด ข้าว่าน่าจะมากกว่า +10 ล่ะมั้ง”


เมื่อได้ยินการถกเถียงกันของเหล่าศิษย์ หวังลู่ที่นั่งเขียนรายงานอยู่มุมหนึ่งของโรงเตี๊ยมก็ผุดรอยยิ้มจางๆ ออกมา


เพียงแต่ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นมีความกระอักกระอ่วนซ่อนอยู่


ความสามารถในการโจมตีและการตั้งรับของเขาไม่สมดุลกันอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถคำนวณตามระบบการจัดระดับขั้นการต่อสู้ได้อย่างแม่นยำ! หากเป็นเรื่องความสามารถในการตั้งรับ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ยังยากที่จะเจาะกระบี่ตั้งรับของเขาได้ หากวัดกันที่ค่าการตั้งรับเพียงอย่างเดียว ไม่แน่เขาอาจจะบวกมากกว่า 20! ทว่าด้านการโจมตีนั้น เขาไม่ได้ดีไปกว่าเสี่ยวหมิงหรืออาจจะแย่กว่า…


วิธีคำนวณระดับขั้นการต่อสู้นี้ไม่ค่อยถูกต้องแม่นยำนัก แต่คำนวณง่ายและเป็นที่นิยม ทว่าในสถานการณ์จริง ย่อมมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย อย่างเช่น มันไม่อาจใช้จัดอันดับผู้บำเพ็ญเซียนที่มีความสามารถด้านการต่อสู้และการตั้งรับที่ไม่สมดุลกันได้แม่นยำ ทว่ากรณีของหวังลู่ถือว่าหาได้ยาก ดังนั้นเมื่อได้ฟังศิษย์คนอื่นพูดคุยกันถึงประเด็นนี้ หวังลู่ทำได้เพียงยิ้มและเพิกเฉยเสีย


ตอนนี้สำหรับเขาแล้ว การเขียนรายงานเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ถือว่าสำคัญสุด เมื่อเทียบกับศิษย์คนอื่นๆ ในห้องโถงที่เขียนรายงานไปพลาง ดื่มกินพูดคุยไปพลาง รายงานของหวังลู่ถือว่ามีหวังมากที่สุด


หนึ่งในคุณสมบัติพื้นฐานของนักผจญภัยมืออาชีพคือการทำความเข้าใจและความสามารถในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทั้งหมดที่มี ดังนั้นหวังลู่จึงตระหนักถึงคุณค่าของรายงานการเรียนรู้ประสบการณ์เล่มนี้เป็นอย่างดี


พูดอีกอย่างก็คือ ระบบการจัดลำดับขั้นการต่อสู้ที่เขาคิดค้นและทำให้เป็นที่รู้จักนี้คือส่วนสำคัญของรายงานที่ควรเน้นให้เด่นชัด


ความจริงแล้ว วิธีนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในหนึ่งปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสงครามการขยับขยายอำนาจของสำนักภูมิปัญญา


ในกระบวนการการขยายอำนาจนั้น สำนักภูมิปัญญาต้องเผชิญกับคู่แข่งจำนวนมาก สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือประเมินความแข็งแกร่งของศัตรู ทว่าบรรดาหัวหน้าหน่วยของสำนักภูมิปัญญามักทำผิดพลาดเช่นเดียวกับที่ศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณทำก่อนที่จะได้รู้จักวิธีจัดระดับขั้นการต่อสู้ พวกเขามักคำนวณความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามจากขั้นตบะและระดับ แม้พวกเขาจะรู้ทั้งรู้ว่าวิธีคำนวณนี้เชื่อถือไม่ได้ แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า


ในตอนนั้นเองหวังลู่ก็คิดค้นระบบการจัดระดับขั้นการต่อสู้นี้ขึ้นมา ซึ่งส่งผลดีอย่างมากในการต่อสู้จริง


ในอนาคต เขาย่อมต้องจดสิทธิบัตรวิธีคิดคำนวณนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วพอมันโด่งดังขึ้น เขาก็เพียงแค่รอเก็บค่าลิขสิทธิ์เท่านั้น เหมือนการเปิดเหมืองศิลาวิญญาณไม่มีผิด! หวังลู่มั่นอกมั่นใจในวิธีนี้มาก แม้พันธมิตรหมื่นเซียนจะเคยคิดค้นวิธีคำนวณความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเซียนแล้วก็ตาม แถมยังแม่นยำยิ่งกว่าวิธีจัดระดับขั้นการต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ แต่มันก็ซับซ้อนเสียจนทำให้หลายคนเลี่ยงที่จะใช้ ทำให้ไม่เป็นที่แพร่หลายนัก แม้แต่ศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณที่ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางและมีคุณภาพ ยังไม่เคยได้ยินวิธีคำนวณของพันธมิตรหมื่นเซียนนี้เลย นับประสาอะไรกับคนทั่วไป ทว่าครั้งนี้ วิธีที่เรียบง่ายของหวังลู่ย่อมต้องเป็นที่รักของหลายคนแน่นอน


ทว่าหากเขาคิดจะจดสิทธิบัตร เขาย่อมต้องเขียนเอกสารอย่างเป็นทางการก่อน ดังนั้นรายงานที่เขาต้องส่งให้ผู้อาวุโสของสำนักตรวจนี้จึงถือว่าเป็นก้าวแรกที่ถูกต้อง


นอกจากนั้น รายงานการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ที่มีคุณภาพย่อมเปลี่ยนเป็นเงินรางวัลหรือคะแนนความท้าทายได้ไม่น้อย… ในเมื่อเขาสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้จำนวนมากจากการเขียน เหตุใดจึงจะไม่ทำเล่า


จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อถกเถียงเกี่ยวกับสำนักภูมิปัญญานั้นยังต้องได้รับการแก้ไข หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาน่าจะผ่านอุปสรรคอีกไม่กี่อย่างไปได้อย่างราบรื่น และรายงานการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์นี้ก็คือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะจัดการเรื่องดังกล่าว


สองสามวันต่อมา เหล่าศิษย์ที่มารวมตัวกันที่เมืองธาราวิญญาณต่างก็พากันหิ้วรายงานของตนแยกย้ายกันขึ้นเขาไป แม้แต่เหวินเป่าเองก็กลับขึ้นเขาไปอย่างสบายใจหลังจากเขียนนิยายไปได้มากกว่าหนึ่งแสนตัวอักษร


ส่วนหวังลู่ยังคงขัดเกลาเรื่องราวของตัวเองให้สมบูรณ์อย่างสงบอยู่ที่โรงเตี๊ยมตระกูลหรู ความสงบเยือกเย็นของเขาทำเอาศิษย์น้องหญิงชายคนอื่นๆ ชื่นชมอยู่ไม่น้อย


สำหรับรายงานที่ต้องเขียนด้วยลายมือชิ้นนี้ หวังลู่พยายามขัดเกลามันให้สมบูรณ์ที่สุด จนกระทั่งหนึ่งวันก่อนจะถึงกำหนดส่ง หวังลู่ก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปในตอนเช้าตรู่ด้วยท่วงท่าสบายๆ มุ่งสู่ประตูทางเข้าสำนัก


ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าออกมา เขาก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างไม่คาดฝัน


“ศิษย์น้องจูฉิน?”


จูฉินที่กำลังเดินอยู่บนถนนไม่คาดคิดว่าจะได้เจอหวังลู่ เขามีสีหน้าตื่นตระหนกจากนั้นก็พยักหน้า “…อรุณสวัสดิ์ศิษย์พี่หวังลู่”


หวังลู่ยิ้มและถามกลับ “เพิ่งกลับมาหรือ”


“…ใช่แล้ว” จูฉินสาวเท้ากลับไปครึ่งก้าวอย่างเก้ๆ กังๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการร่วมทางไปกับอีกฝ่าย


ทว่าหวังลู่กลับไม่สนใจ เขาสืบเท้าเข้ามาพลางตบบ่าของจูฉิน


“ไปกันเถอะ”


จูฉินเบ้หน้าแต่ได้ตอบโต้อะไร ทว่าท่าทีต่อต้านเงียบๆ นี้ไม่เพียงพอจะทำให้หวังลู่ถอนตัวออกไปได้


“ไหน เจ้าไม่สบายรึเปล่า”


จูฉินกัดฟัน “ข้าไม่เป็นไร… ในเมื่อศิษย์พี่อยากจะเดินไปพร้อมข้า เช่นนั้นก็ไปเถอะ”


อย่างไรเสียจูฉินก็ไม่กล้าปฏิเสธหวังลู่ เพราะเมื่อครู่ตอนที่ทั้งสองสบตากัน เขารู้สึกว่าหวังลู่มองทะลุความคิดของเขาได้ ทำให้เขาตื่นตระหนกยิ่งนัก ดังนั้นแล้วจูฉินจึงไม่กล้าคิดที่จะเป็นปรปักษ์กับหวังลู่


ทว่าขณะที่เดินไปด้วยกัน เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่เชิงเขากระบี่วิญญาณ อีกฝ่ายจะทำอะไรเขาได้กันเล่า ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่สำนักภูมิปัญญาจะแผลงฤทธิ์ได้เสียหน่อย!


คนทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไปบนถนนในเมืองธาราวิญญาณ ยามรุ่งอรุณเช่นนี้ ทั้งเมืองปกคลุมด้วยหมอกจางๆ ทำให้ต่างเดินได้สะดวกขึ้น ทว่าบรรยากาศรอบตัวช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก


“ศิษย์น้องจูฉิน ตั้งแต่เมื่อสี่เดือนก่อนเราก็ไม่ได้เจอกันเลย ตั้งแต่นั้นมาเจ้าทำอะไรบ้างเล่า”


จูฉินตอบพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรมาก ข้าเพียงกลับบ้านไปเยี่ยมญาติพี่น้อง เพราะหลังจากนี้เราต้องตัดขาดจากโลกปุถุชน ข้าจึงใช้เวลาอยู่กับครอบครัวสองสามเดือน… ข้าเป็นคนที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ต่างจากคนที่ทะเยอทะยานเช่นท่าน ศิษย์พี่หวังลู่”


“อ้อ ไปเยี่ยมญาติพี่น้องงั้นหรือ ไม่เลวเลย”


หวังลู่พยักหน้า รอยยิ้มแฝงความนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้า


หลังจากเงียบไปพักใหญ่ หวังลู่ก็ถามขึ้น “แล้วรายงานของเจ้าเล่า”


หัวใจของจูฉินพลันเต้นแรงขึ้นมา ทว่าเมื่อเขาปรายตามองมาอีกด้าน ก็พบว่าหวังลู่เพียงยิ้มน้อยๆ ไม่มีความนัยแอบแฝง


“ก็แค่รายงานทั่วไป ข้าไม่ได้ใส่ความคิดอะไรลงไปมากมาย”


“งั้นหรือ แล้วเจ้าเขียนเรื่องอะไรเล่า ข้าจำได้ว่าก่อนที่เราจะลงจากเขาไป ผู้อาวุโสบอกให้พุ่งประเด็นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างโลกมนุษย์กับเส้นทางแห่งเซียน ในเมื่อเจ้ามาจากตระกูลผู้ปกครอง มุมมองของเจ้าย่อมไม่ธรรมดาแน่จริงไหม”


จูฉินรู้สึกราวกับว่าเหงื่อเย็นๆ กำลังไหลซึมออกมาทั่วร่าง เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ราบเรียบไม่บ่งบอกถึงความหวาดกลัว “เอ่อ ข้าจะมีมุมมองไม่ธรรมดาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน มันก็แค่รายงานทั่วไปจริงๆ”


………………………………………….


ตอนที่ 3 รายงานที่เขียนขึ้นด้วยเลือด (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“งั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็เสียแหล่งข้อมูลชั้นยอดไปเปล่าๆ ล่ะสิศิษย์น้อง หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะเขียนเรื่อง รัชทายาทแห่งโลกมนุษย์จะตอบโต้อย่างไรหากต้องเผชิญการแทรกแซงอย่างโหดเหี้ยมของสำนักเซียน”


ตู้ม!


ในใจของจูฉินราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาในวันที่แดดเปรี้ยง ส่งผลให้ภาพเบื้องหน้าของเขาพลันมืดลง เขาเดินซวนเซไปสองสามก้าว จนแทบจะสะดุดหน้าคะมำ!


หวังลู่ เจ้าหมอนี่… สามารถอ่านความคิดคนอื่นได้จริงๆ! เจ้านี่รู้ได้อย่างไรว่านี่คือสิ่งที่เขียนอยู่ในรายงานของเขา…


ถูกแล้ว หัวข้อรายงานของจูฉินนั้น แม้จะไม่ตรงไปตรงมาอย่างที่หวังลู่พูด แต่สารที่จะสื่อนั้นตรงกัน คือผู้ปกครองประเทศจะทำอย่างไรเมื่อสำนักเซียนใช้กำลังเข้าควบคุมอำนาจ!?


หัวข้อนี้ไม่ใช่ได้มาอย่างเลื่อนลอย แล้วมันจะมาจากไหนได้ แน่นอนว่าก็ต้องมาจากสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินด้วยตนเองน่ะซี่!


อย่างไรเสียสำนักงานใหญ่ของสำนักภูมิปัญญาก็อยู่ในประเทศต้าหมิง!


สี่เดือนก่อนหน้า ตอนที่จูฉินกลับไปเยี่ยมบ้าน เขาต้องผงะเมื่อสายลับของวังหลวงเข้ามารายงานเรื่องสำนักภูมิปัญญา จูฉินเข้าใจในทันทีว่านี่ไม่ใช่วิกฤตธรรมดาที่ราชสำนักต้องเผชิญ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป้าประสงค์ของการขยับขยายสำนักภูมิปัญญาคืออะไร แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าทุกสิ่งที่มาจากมือของหวังลู่นั้นย่อมไม่ธรรมดา! และไม่ควรจะประมาทแม้แต่น้อย!


ดังนั้นเขาจึงยอมเสี่ยงถูกศิษย์น้องหญิงเยวี่ยชิงชังมากกว่าที่จะยอมให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป! เขาตั้งใจส่งรายงานไปยังสำนักโดยหวังว่าอาจารย์ของเขารวมถึงผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะเข้ามาแทรกแซงและยุบสำนักภูมิปัญญาไปเสีย เพื่อคลี่คลายวิกฤตตำแหน่งผู้นำของประเทศต้าหมิงที่ตีขนาบเข้ามา ทว่าใครจะรู้… แม้แต่ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามก็ไม่อาจหยุดหวังลู่ได้! ภายหลังเขายังได้รู้อีกว่าสำนักภูมิปัญญาได้กลายสภาพเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนไปแล้ว จูฉินแทบกระอักเลือดเมื่อได้รู้ข่าวนั้น!


ความยุติธรรมเฮงซวยอะไรนั่นยังมีเหลืออยู่บนโลกนี้อีกไหมนะ แม้แต่พันธมิตรหมื่นเซียนบางครั้งก็ยังเลือกเดินทางสายมาร!พวกเขาสามารถซื้อได้ด้วยเงินสองล้านศิลาวิญญาณ!? คุณธรรมของคนพวกนั้นช่างราคาถูกนัก!


ทว่าก่อนหน้านี้ เพื่อแลกกับความคุ้มครอง ประเทศต้าหมิงจ่ายให้พันธมิตรหมื่นเซียนไปเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญศิลาวิญญาณ แม้เหมืองศิลาวิญญาณของพวกเขาจะมีมากมาย แต่ความสามารถในการทำเหมืองกลับน้อยนิด จูฉินจึงไม่อาจร้องทุกข์ในเรื่องนี้ได้ หลังจากนั้น เขายังส่งรายงานไปยังหน่วยงานระดับสูงที่เกี่ยวข้องในพันธมิตรหมื่นเซียน แต่ก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อผู้อาวุโสที่มีหน้าที่ลงทะเบียนสำนักเพื่อเป็นสมาชิกของพันธมิตรยังกล้าที่จะรับสินบน คนเหล่านั้นย่อมสามารถสกัดรายงานจากพวกปลาซิวปลาสร้อยได้อยู่แล้ว


ตลอดสี่เดือนนั้น สำนักภูมิปัญญาด้านหนึ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียน อีกด้านรวมหัวกับวิหารประทีปเพื่อฉวยโอกาสแทรกซึมเข้าหาประชาชนทุกระดับในประเทศต้าหมิง! หลังจากนั้น สิ่งที่ทำให้เขาต้องกระอักเลือดหนักที่สุดก็คือองค์จักรพรรดิ พระบิดาของเขาตรัสถามเขาว่า “จูฉิน พ่อฝึกวิชาหกประสานของสำนักภูมิปัญญาดีไหม”


“ท่านพ่อ ท่านอย่าหลงกลให้กับลัทธินั่นเชียว! วิชาหกประสานก็แค่วิชาชั้นต่ำที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลกบำเพ็ญเซียน!”


“จริงหรือ แต่ข้าเห็นหลายคนที่ฝึกวิชานี้ก็ได้ผลดีไม่น้อย”


“นั่นเพราะพวกเขาใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาร่วมด้วย ซึ่งวิชานี้ต้องใช้อายุขัยเข้าแลก!”


หลังจากที่อธิบายให้พระบิดาเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว จูฉินก็อยากจะร่ำไห้ออกมาแต่ติดที่ไม่มีน้ำตาสักหยด สำนักภูมิปัญญาสามารถแทรกซึมเข้ามาถึงระดับจักรพรรดิเชียวหรือ!? เช่นนั้นหลังจากนี้ประเทศของเขายังจะอยู่ในมือคนแซ่จูหรือเปลี่ยนไปอยู่ในมือคนแซ่หวังกันแน่!?


ช้าก่อน ตรรกะนี้ไม่ได้บอกเป็นนัยๆ ว่าบิดาของเขาถูกสวมเขาเข้าให้แล้วหรือ…


อย่างไรเสีย ในตอนนั้นจูฉินตัดสินใจยับยั้งไม่ให้อิทธิพลของสำนักภูมิปัญญาแพร่ขยายมากไปกว่านี้! จูฉินไม่สนหากสำนักภูมิปัญญาคิดจะแผ่อำนาจในประเทศอื่นๆ ขออย่างเดียวต้องไม่ใช่ประเทศต้าหมิง! เขาเป็นถึงรัชทายาทของประเทศต้าหมิงที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความเคารพจากคนนับหมื่น ชีวิตที่หรูหราของเขาเกิดจากชาวบ้านธรรมดานับล้านๆ คน ในรัชสมัยของสกุลจู! แม้เขาต้องตัดขาดจากโลกปุถุชน แต่เขาควรยึดถือความสัมพันธ์นี้เอาไว้!


ทว่าจูฉินเพียงลำพังจะสามารถทำอะไรได้ ฝ่ายตรงข้ามคือหวังลู่ ต่อให้เขากล้าหาญกว่าที่เป็นอยู่ถึงสิบเท่า เขาก็ยังไม่กล้าทำตัวเป็นปรปักษ์กับอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงจำต้องพุ่งเป้ามายังรายงานแทน


สิ่งเดียวที่จูฉินสามารถทำได้ก็คือ เขียนรายงานและเรียกร้องความเป็นธรรมจากเหล่าผู้อาวุโส!


สำหรับรายงานเล่มนี้ จูฉินลงแรงไปเยอะมากถึงขนาดที่ว่ายอมใช้เวลาสองสามเดือนสุดท้ายที่แสนมีค่าในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ไปกับมัน เขาเรียกประชุมบัณฑิตจำนวนมากเพื่อร่วมร่างรายงานนี้ไปด้วยกัน


จุดมุ่งหมายของรายงานก็คือคัดค้านการที่สำนักภูมิปัญญา เข้าแทรกแซงโลกปุถุชน ทว่ารายงานนี้ไม่อาจะเขียนอย่างตรงไปตรงมาได้ อย่างไรเสียตอนนี้สำนักภูมิปัญญาก็ได้เป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนแล้ว ตอนที่อาวุโสรองและอาวุโสสามได้รับรายงานจากเขาครั้งแรก ทั้งคู่ลงไปจัดการกับปัญหานี้ ทว่าหวังลู่กลับพลิกสถานการณ์และสุดท้ายก็ได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสทั้งสอง ดังนั้นหากถ้อยคำในรายงานของเขาเถรตรงเกินไป มันจะกลายเป็นการตบหน้าผู้อาวุโสทั้งสองไปเสีย


เคราะห์ดีเหล่าบัณฑิตที่จูฉินเรียกตัวมาล้วนเก่งกาจด้านการใช้ถ้อยคำ หากโจมตีซึ่งหน้าไม่ได้ พวกเขาก็แค่เปลี่ยนมุมในการโจมตีก็เท่านั้น


เหล่าบัณฑิตของประเทศต้าหมิงต่างขบคิดอย่างหนักและตัดสินใจใช้ “การเพิ่มความแข็งแกร่งในการควบคุมดูแลและชี้แนะเรื่องอำนาจการปกครองในโลกมนุษย์ของโลกบำเพ็ญเซียน” เป็นหัวข้อของรายงาน ซึ่งแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสองส่วน ส่วนแรกคือเมื่อผู้ปกครองของโลกมนุษย์ต้องเผชิญกับการแทรกแซงของผู้บำเพ็ญเซียน เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยพละกำลังที่ตนเองมี ดังนั้นจึงจำเป็นที่พวกเขาต้องร้องขอความช่วยเหลือจากโลกบำเพ็ญเซียน ส่วนที่สองคือมุมมองจากโลกบำเพ็ญเซียน การเข้าแทรกแซงเรื่องราวต่างๆ ในโลกมนุษย์โดยตรงนั้นไม่ได้เป็นที่ปรารถนาของผู้บำเพ็ญเซียน


ทว่าโลกทั้งสองไม่อาจเป็นอิสระต่อกัน หากมีเรื่องวุ่นวายขึ้นในโลกมนุษย์ ชาวบ้านทั่วไปเป็นผู้ที่ต้องทนทุกข์ที่สุด และเมื่อผู้บำเพ็ญเซียนมีความสามารถในการแก้ไขสิ่งเหล่านั้น พวกเขาจึงมีหน้าที่แบกรับความรับผิดชอบนั้น ดังนั้นโลกบำเพ็ญเซียนจึงควรควบคุมดูแลและชี้แนะเรื่องอำนาจการปกครองในโลกมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่อาจเกิดขึ้นเพราะฝีมือคนและฝีมือธรรมชาติที่จะทำให้ปุถุชนไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้ ในขณะเดียวกันการควบคุมดูแลกันเองภายในโลกบำเพ็ญเซียนก็ย่อมต้องแข็งแกร่ง เพื่อไม่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนหรือสำนักเซียนเพิกเฉยต่อกฎการห้ามหาผลประโยชน์ในตัวเองผ่านการทุจริตภายในของพันธมิตรหมื่นเซียน!


รายงานนี้ไม่ใช่ทั้งปลาและไก่ ทว่าจุดมุ่งหมายของมันนั้นแจ่มชัด นั่นคือหวังว่าสำนักจะจัดการกับปัญหาซึ่งก็คือสำนักภูมิปัญญา แม้เหตุผลที่หวังลู่สามารถส่งอาวุโสรองและอาวุโสสามกลับโดยไม่ได้จัดการอะไรกับสำนักภูมิปัญญาจะยังไม่กระจ่างชัด แต่แน่นอนว่ารายงานนี้ย่อมเป็นเหตุผลให้พวกเขากลับมาสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้งแน่


แน่ล่ะว่าสำนักภูมิปัญญาของเจ้าเป็นสำนักที่ถูกต้องและไม่อาจโดนยุบได้ แต่ความประพฤติของสำนักภูมิปัญญานั้นทำให้สำนักกระบี่วิญญาณของข้า ในฐานะห้าสำนักวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียนต้องลุกขึ้นมาควบคุมและชี้แนะเสียหน่อยแล้ว!


นี่คือกลยุทธ์ที่จูฉินคิดขึ้นมาได้หลังจากเค้นสมองอย่างหนักหน่วง แม้มันจะไม่ได้หลักแหลมเป็นพิเศษ แต่หากเขาได้รายงานเรื่องนี้โดยตรงกับหอกระบี่สวรรค์ จูฉินมั่นใจว่าเรื่องนี้ย่อมได้รับการตอบสนองแน่ ไม่ว่าจะมองจากมุมใด การมีอยู่ของสำนักภูมิปัญญาก็เป็นสิ่งบาดตาทั้งนั้น และเหล่าผู้อาวุโสก็ไม่อาจยินยอมให้เรื่องดำเนินไปง่ายๆ พวกเขาไม่มีเหตุผลอันใดที่จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้น


เพียงแค่… ไม่ว่าจูฉินจะคิดมารอบด้านเพียงใด เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าทันทีที่ได้พบกับหวังลู่ที่เมืองธาราวิญญาณ แผนการทั้งหมดของตนจะถูกมองทะลุได้ขนาดนี้!


“…ท่านต้องการอะไร”


ณ จุดนี้ การปฏิเสธย่อมไร้ประโยชน์ จูฉินไม่เชื่อว่าหวังลู่จะเป็นคนมีจิตเมตตา และยิ่งไม่เชื่อว่าจะตบตาหวังลู่ได้ง่ายๆ ในเมื่อถูกอ่านความคิดออกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือเตรียมตัวเตรียมใจรอรับผลที่ตามมา


ทว่าหวังลู่กลับยิ้มออกมา “ข้าต้องการอะไรรึ ข้าไม่ต้องการอะไรเลย เจ้าน่ะคิดมากเกินไปแล้ว เขียนรายงานให้ดีๆ อย่าทิ้งข้อได้เปรียบที่เป็นเอกสิทธิ์ของเจ้าไปเสียเฉยๆ”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูฉินก็รู้สึกสับสนขึ้นมา นี่แปลว่าหวังลู่จะปล่อยเขาไปเฉยๆ เช่นนั้นหรือ แม้เขาจะรู้ว่าหวังลู่ไม่ใช่คนผูกพยาบาท แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนมีเมตตาเช่นกัน… หรือหวังลู่เปิดโอกาสให้เขาได้ถอยหลังกลับเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายภาคหน้า


การถอยหลังกลับเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว ทว่าเมื่อคิดถึงความอุตสาหะในการเขียนรายงานเล่มนี้ จูฉินก็ไม่อาจยอมให้ตัวเองเลือกตัวเลือกนั้นได้


“ศิษย์พี่ อย่างไรเสียประเทศต้าหมิงก็คือที่ที่ข้าเกิด…”


ก่อนที่เขาจะทันได้พูดต่อ บนทางข้างหน้า พวกเขาก็เห็นนักบวชชุดสีทองวัยกลางคนกำลังขี่ลาตรงมาอย่างช้าๆ


ใบหน้าของนักบวชผู้นี้ไม่มีจุดใดโดดเด่น ส่วนลาที่เขาขี่อยู่นั้นสภาพย่ำแย่กว่ามาก นอกจากขนจะรุ่งริ่งแล้ว ทั่วทั้งร่างยังเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นราวกับว่ามีใครตั้งใจเฉือนเนื้อของมันออกเป็นชิ้นๆ สายตาของลาตัวนี้สะท้อนความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน


นักบวชผู้นี้ขี่ลาไปเงียบๆ ผ่านหน้าพวกเขาโดยไม่ได้ปรายตามองมาสักนิด


จนเมื่อร่างของคนทั้งคู่จะเลี้ยวพ้นหัวมุม ในที่สุดนักบวชคนดังกล่าวก็หันหน้ากลับมามองหวังลู่


จากนั้นก็พูดด้วยเสียงกดต่ำ “เห็นไหม พวกเจ้าทั้งคู่ต่างก็ใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา แต่เขาฉลาดกว่าเจ้าเป็นร้อยๆ เท่า”


เจ้าลาร้องออกมาอย่างฉุนเฉียวและปวดร้าว ฟังดูแสบหูยิ่งนักในเมืองเล็กๆ แห่งนี้


…………………………………..


ตอนที่ 4 วิธีการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างโลกเซียนและโลกมนุษย์อย่างถูกต้อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนสำนักกระบี่วิญญาณก็กลับมาคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนในอดีตอีกครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้สำนักที่ร่วงโรยแห่งนี้จะไม่ได้มีสมาชิกมากมายนักก็ตาม


ทว่าระหว่างการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อน สถานที่แห่งนี้ต้องขาดผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณที่มีชีวิตชีวาหลายสิบคนไป ดังนั้นภูเขาแห่งนี้จึงว่างเปล่าไปไม่น้อย นอกจากศิษย์ตบะขั้นสร้างฐานและขั้นพิสุทธิ์แล้ว คนอื่นๆ ก็แทบไม่ได้อยู่ประจำสำนักตลอดทั้งปี อย่าว่าแต่พวกผู้อาวุโสไม่กี่คนที่ชอบไปนั่นมานี่ตามใจชอบเลย แม้แต่ศิษย์ตบะขั้นสร้างแกนเองก็มักไม่อยู่นิ่ง พวกเขามักไปยังที่ต่างๆ อยู่เป็นประจำ ระหว่างการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ตลอดหนึ่งปีนั้น สำนักกระบี่วิญญาณก็ไม่ต่างจากบ้านร้างที่คนทั้งบ้านถูกฆาตกรรม ดังนั้นเมื่อเหล่าศิษย์ใหม่กลับมายังภูเขาอย่างร่าเริง ทั้งภูเขาจึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก


หลังจากกลับมาจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ สำนักก็มีมนุษยธรรมพอที่จะให้พวกเขาหยุดพัก ในแง่หนึ่งคือให้เวลาเหล่าศิษย์ในการปรับเปลี่ยนสภาพอารมณ์จากที่ไปเรียนรู้ในโลกมนุษย์ถึงหนึ่งปี เพื่อให้พร้อมกลับมาสู่การฝึกบำเพ็ญเซียน ในอีกทางหนึ่งก็เป็นการให้เวลาเหล่าผู้อาวุโสในการตรวจรายงานและจากความถนัดที่ปรากฏในรายงาน เหล่าผู้อาวุโสจะได้คิดหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อช่วยในการบำเพ็ญเซียนของเหล่าศิษย์ต่อไป


การตรวจรายงานเหล่านี้ถือเป็นงานที่ยุ่งยากไม่น้อย แม้คนตรวจส่วนใหญ่จะเป็นผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ แถมอีกคนยังเป็นถึงขั้นเปลี่ยนวิญญาณ มันสมองของพวกเขานั้นสามารถทำงานได้รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด ทั้งยังสามารถคิดเรื่องต่างๆ ได้เก้าเรื่องพร้อมกัน ซึ่งนับว่ามหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ทว่าแต่ละคนก็ต้องอ่านรายงานหลายสิบเล่มอย่างละเอียดรอบคอบ ใช้ภาษาเป็นรากฐาน สรุปเอาประสบการณ์ที่ศิษย์แต่ละคนได้เรียนรู้ตลอดหนึ่งปีออกมา ทั้งยังต้องอ่านเรื่องนี้ในมุมมองของ ‘บุคคลที่สาม’ จากนั้นพวกเขาก็ต้องวิเคราะห์จุดดีจุดเสีย รวมถึงผลสำเร็จและความล้มเหลวอย่างระมัดระวัง ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้พลังใจเป็นอย่างมาก


สองสามวันมานี้ ผู้อาวุโสหลักที่ต้องอ่านและกลั่นกรองรายงานเหล่านี้อย่างหลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อต่างหมดเรี่ยวแรงไม่น้อย


แน่ล่ะว่ารายงานไม่กี่สิบเล่มนี่ไม่ทำให้ผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่ทั้งสองเหน็ดเหนื่อยถึงตายได้ ทว่าก็ทำเอาคนทั้งคู่วุ่นวายเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับเหนื่อยหนัก สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คนทั้งคู่มีสีหน้าโหลเหลนั้นเป็นคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง


“…ศิษย์พี่ ขออภัยที่ข้าไร้ความสามารถ แต่ข้าไม่อาจตรวจรายงานพวกนี้ต่อได้อีก เหตุใดเราจึงไม่ส่งให้เจ้าสำนักจัดการไปเลยเล่า หากข้ายังต้องอ่านต่อ มีหวังได้เป็นโรคซึมเศร้าแน่ๆ”


“เฮ้ เหตุใดเจ้าถึงพูดเรื่องไร้ความสามารถกัน ข้าเองก็หดหู่ใจไม่น้อยตอนที่อ่านรายงานพวกนี้ ข้ารู้สึกสงสารเจ้าเด็กจูฉินที่อุตสาหะเขียนรายงานฉบับนี้ขึ้นมา หนำซ้ำรายงานของเขายังจัดได้ว่าเป็นบทความชั้นเยี่ยม แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ต่างกับการที่ต้องยกชุดแต่งงานของตัวเองให้คนอื่นไป”


“เอาเถอะ สิ่งที่เราต้องการก็คือพวกเขาได้พัฒนาการฝึกบำเพ็ญเซียนอย่างรวดเร็ว รายงานชั้นเยี่ยมมันก็แค่รายงานชั้นเยี่ยม เราไม่ได้คาดหวังให้เด็กพวกนี้เขียนอะไรที่ลึกซึ้งอยู่แล้ว การที่จูฉินสามารถสะท้อนมุมมองที่ลึกซึ้งได้ถึงเพียงนั้น เขาน่าจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ทว่าสุดท้ายแล้ว…” ฟางเฮ่อชะงัก จากนั้นจึงกล่าวต่ออย่างลังเล “สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่อาจเทียบหวังลู่ได้”


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฟางเฮ่อก็ไม่คิดอยากพูดต่ออีก เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่ ท่านได้อ่านรายงานของหลิวหลีหรือยัง ข้าว่าข้ายังไม่เห็นมันเลย…”


หลิวเสี่ยนส่ายศีรษะ “ยังอยู่กับอาจารย์ของนาง แม้ศิษย์น้องโจวจะส่งนางให้มาอยู่ในการดูแลของข้าก่อนที่เขาจะออกท่องเที่ยวและก่อนที่นางจะลงเขาไป อย่างไรเสียนางก็เป็นศิษย์ของยอดเขากระจ่าง และวิชาสร้างแก่นบำเพ็ญเซียนของนางก็คือวิชากระบี่กระจ่างใจของศิษย์น้องโจว แน่นอนว่ารายงานของนางควรส่งให้ศิษย์น้องโจวดูก่อน”


สำหรับเรื่องนี้นั้นเป็นประเด็นที่น่าเศร้าไม่น้อย เมื่อหนึ่งปีก่อน เนื่องจากศิษย์น้องของเขาออกเดินทางท่องเที่ยว หลิวเสี่ยนจึงได้เข้ามาเป็นอาจารย์ให้หลิวหลีน้อยได้ประมาณหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นเขารู้สึกว่าตนชื่นชอบความไร้เดียงสา ความเฉลียวฉลาดและสติปัญญาอันโดดเด่นของหลิวหลีไม่น้อย ดังนั้นจึงได้แต่งตั้งนางให้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตน หนำซ้ำยังคิดวางแผนลวงให้ศิษย์น้องเดิมพันหลิวหลีน้อยในการเล่นไพ่นกกระจอกกับตนเพื่อที่ว่าหลิวหลีน้อยจะได้เป็นผู้สืบทอดของตนอย่างถูกต้อง เคราะห์ร้ายที่ศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักไม่ใช่ของขวัญวันเทศกาลที่สามารถสับเปลี่ยนกันได้ตามใจ หลิวเสี่ยนจึงได้แต่ทอดถอนใจที่ตนไม่มีโชคที่จะได้ไม้งามหยกดีเช่นนี้มาครอง แน่ล่ะว่าในฐานะผู้อาวุโสฝ่ายสินรางวัล เป็นเรื่องยากที่เขาจะฝึกฝนศิษย์ผู้สืบทอดของตน เพราะในอนาคตหากเขาต้องการส่งต่อตำแหน่งของตนในฐานะเจ้าของยอดเขาเร้นลับ ก่อนอื่นเขาต้องเกษียณตัวเองจากการเป็นผู้อาวุโสฝ่ายสินรางวัลเสียก่อน


ขณะที่หลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็เห็นแสงกระบี่สายหนึ่งที่เบื้องหน้า เป็นศิษย์น้องสี่บนกระบี่บินที่พุ่งตรงมาหาพวกเขา สีหน้าของศิษย์น้องสี่สามส่วนดูอับจนหนทางอีกเจ็ดส่วนดูหดหู่ใจ เมื่อเห็นดังนั้นหลิวเสี่ยนก็รำพึงออกมา “หลิวหลีน้อยทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ”


โจวหมิงพ่นลมออกจมูกอย่างฉุนเฉียว


ฟางเฮ่อกล่าว “ศิษย์น้องได้รับรายงานของหลิวหลีหรือยัง ก่อนที่เราจะส่งรายงานของทุกคนให้เจ้าสำนักพรุ่งนี้ ศิษย์พี่รองและข้าจะต้องอ่านมันเสียก่อน”


ทันทีที่พูดจบ ฟางเฮ่อก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นเพราะสีหน้าของศิษย์น้องสี่ดูหม่นหมองลง ผ่านไปพักใหญ่เขาก็ได้ยินอีกฝ่ายถามเสียงแผ่ว “ศิษย์พี่ ท่านอยากอ่านมันจริงๆ หรือ”


ในส่วนนี้นั้น แน่นอนว่าฟางเฮ่อไม่คิดอยากอ่านสักนิด ทว่าโจวหมิงกลับถอนหายใจอย่างสิ้นหวังพลางยื่นรายงานมาให้ ฟางเฮ่อเปิดรายงานและปราดสายตาดูด้วยความสงสัย จากนั้นก็นิ่งเงียบไปในทันที


ไม่มีคำใดจะอธิบายสิ่งนี้ได้ดีกว่าคำว่าสมกับเป็นหลิวหลีจริงๆ


“วันแรกของการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ วันนี้ข้ากินเนื้อย่าง อร่อยมาก”


“วันที่สิบสามของการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ วันนี้ข้ากินปลาย่าง อร่อยมาก”


“วันที่เจ็ดสิบสองของการออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ วันนี้ข้ากินปอเปี๊ยะปู อร่อยมาก”


“วันที่เจ็ดสิบสาม วันนี้ข้าเจอกระโปรงตัวสวย แต่ข้าไม่มีเงินซื้อ แถมเจ้าของร้านก็ไม่ยอมยกให้ข้า ข้าจะทำอย่างไรดี”


“วันที่เจ็บสิบสี่ วันนี้ข้ากินข้าวโพดปิ้ง อร่อยมาก”


“วันที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด วันนี้ข้าไม่ได้กินอะไรเลย หิวจัง”


“วันที่สามร้อยหก วันนี้ข้าพบคนแปลกหน้าสิบสองคน พวกเขาบอกว่าอยากได้ข้าไปร่วมบำเพ็ญเซียนเตาหลอมสามประสาน ข้าอยากถามพวกเขากลับว่ามีอะไรอร่อยๆ ให้ข้ากินบ้าง ทว่าข้าจำคำท่านอาจารย์ได้ว่าอย่ายอมให้ตัวเองเป็นเตาหลอมให้ใคร จึงปฏิเสธพวกเขาไป แต่พวกเขาคิดจะจับตัวข้าไป ข้าก็เลยตีพวกเขาด้วยกระบี่ตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ พวกเขาดุร้ายแต่ข้าดุร้ายกว่า สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะข้าได้ หลังจากที่ถูกตีจนน่วม บางคนก็กระอักเลือดออกมา มันดูน่าอร่อยไม่น้อย แต่ท่านอาจารย์บอกไว้ว่าเราไม่ควรกินของที่ไม่รู้จักสุ่มสี่สุ่มห้า ดังนั้นข้าเลยต้องตัดใจ”


“วันที่สามร้อยสิบสอง วันนี้ข้ากินหมั่นโถว อร่อยมาก”


……


ใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าที่ฟางเฮ่อจะปิดรายงานลงและใช้เวลานานกว่าเขาจะเอื้อนเอ่ยออกมา “ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก”


โจวหมิงลืมตัวตบโต๊ะอย่างฉุนเฉียว “นางสิบเจ็ดย่างสิบแปดทั้งยังอยู่ที่นี่มาเกือบสิบปี แต่ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ เช่นนี้!? ก่อนที่นางจะลงจากเขาไป ข้าย้ำกับนางไม่ต่ำกว่าสิบรอบให้ตั้งอกตั้งใจเขียนรายงาน แถมยังบอกให้อ่านตัวอย่างรายงานก่อนด้วยซ้ำ แต่แล้วท่านดู นางกลับเขียนบันทึกประจำวันเรื่องอาหารมาให้เสียอย่างนั้น!? ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!”


ในตอนนั้นเอง เพื่อที่จะปลอบประโลมโจวหมิงและระบายความคับข้องใจของตน หลิวเสี่ยนจึงถอนหายใจพร้อมยื่นรายงานฉบับหนึ่งให้โจวหมิง “ศิษย์น้อง เจ้าลองอ่านรายงานเล่มนี้ก่อนเผื่อจะบรรเทาความขุ่นข้องในใจลงได้”


โจวหมิงรับรายงานมาและเริ่มพินิจพิเคราะห์เนื้อหาในเล่ม ทว่าผ่านไปพักใหญ่เขาก็ยังมิอาจเปิดปากพูดอะไรได้ เห็นได้ชัดว่าอับจนคำพูดอย่างแท้จริง


“รายงานนี้… ข้าไม่อาจตัดสินได้จริงๆ สมควรส่งต่อให้เจ้าสำนักแล้ว” พูดจบเขาก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “โชคดีที่ศิษย์น้องห้าเป็นคนดูแลเด็กคนนี้ หากไม่ใช่นางแล้ว ข้าว่าคงไม่มีใครสอนศิษย์เช่นนี้ได้”


——


สามวันต่อมาบนยอดเขาประกายดาว เจ้าสำนักปรมาจารย์เฟิงอิ๋นได้แต่ยิ้มขื่นค้างอยู่ขณะที่ในมือถือรายงานเล่มหนึ่งเอาไว้


“โอ้ ศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณเหล่านี้ อีกคนเยี่ยมยอด ส่วนอีกคนทำให้หลายคนเป็นกังวล หลิวหลีนี่… แน่นอนว่าย่อมทำให้ศิษย์น้องสี่ขุ่นข้องใจ แม้เงื่อนไขหลักในการฝึกเพลงดาบกระจ่างใจคือการทำจิตใจให้ผ่องใส แต่หากเป็นเช่นนี้ ภายภาคหน้านางจะรับตำแหน่งสำคัญได้อย่างไร”


น้ำเสียงไม่ไยดีดังมาจากด้านข้าง


“หืม เหตุใดหญิงสาวจึงต้องรับตำแหน่งสำคัญด้วย นางก็แค่ต้องหาเจ้าบ้านและฝากตัวเป็นอนุภรรยา จากนั้นก็จะได้สำราญกับชื่อเสียง เงินทองและความรุ่งโรจน์ไม่จบสิ้น”


เฟิงอิ๋นสะบัดศีรษะไปด้านข้าง “แล้วทำไมเจ้าไม่หาให้ตัวเองสักคนเล่า”


หญิงสาวตอบอย่างไม่สำนึกแม้แต่น้อย “ศิษย์พี่ ท่านก็รับข้าซี่”


“ก่อนอื่นเจ้าจ่ายหนี้ที่ค้างข้าเอาไว้ก่อนเถอะ” เฟิงอิ๋นปัดคำพูดของนางทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็กล่าวต่อ “เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อสองสามวันก่อน มีคนจากสำนักเซิ่งจิงมาหาเราด้วย”


“คนที่ขี่ลามาน่ะรึ ดูมีความสามารถไม่น้อย เขาต้องการอะไรล่ะ”


“จะอะไรเสียอีก แน่นอนว่าเพราะปัญหาที่ศิษย์รักของเจ้าสร้างขึ้นน่ะสิ”


หญิงสาวยักไหล่ “แล้วอย่างไร สำนักของเจ้านั่นตอนนี้ก็ได้เป็นสมาชิกพันธมิตรหมื่นเซียนแล้ว ชายผู้นั้นอยากทำอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว”


“เหลวไหล รู้ไหมว่าศิษย์ของเจ้ายัดสำนักตัวเองเข้าไปอยู่ในพันธมิตรหมื่นเซียนได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะหน้าตาของสำนักกระบี่วิญญาณ เขาย่อมไม่อาจหาเงินสองล้านศิลาวิญญาณมาได้แน่! ตอนนี้ผู้คนต่างไม่คิดหาความเพราะคิดว่ามีสำนักกระบี่วิญญาณอยู่เบื้องหลัง ทั้งยังทำเป็นไม่รู้ว่ามีการใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา ทว่าเจ้าต้องอย่าลืมว่าเมื่อปี


กว่าๆ ที่ผ่านมา เพราะวิชาโลหิตเพลิงโหมนภานี้เอง เจ้าทำให้สำนักเซิ่งจิงต้องเสียหน้าอย่างหนัก แล้วตอนนี้สำนักกระบี่วิญญาณกลับใช้เล่ห์กลอย่างเดียวกัน เจ้าว่าสำนักเซิ่งจิงจะคิดอย่างไรเล่า”


หญิงสาวขี้เกียจเกินจะใช้สมองคาดเดา “สั้นๆ เลยนะ เขาพบความผิดหรือไม่เล่า”


เฟิงอิ๋นกล่าวตอบ “ไม่พบ อย่างไรเสียหากสำนักกระบี่วิญญาณคิดจะปกปิดเรื่องนี้ เขาก็พูดอะไรไม่ได้ ในแคว้นภาคกลาง การกระทำของสำนักเซิ่งจิงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าสำนักภูมิปัญญาของศิษย์เจ้ามาก แม้จะไม่ใช้วิธีที่ฝืนลิขิตสวรรค์อย่างวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา แต่ก็รู้กันดีว่าพวกเขาใช้ให้ผู้คนนับล้านๆ คนออกไปรวบรวมทรัพย์สมบัติกลับมา สร้างความร่ำรวยให้ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อย และอย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีการทุจริตอะไรมากนักในสำนักของหวังลู่ เป็นความลับที่รับรู้กันทั่วไปว่าโลกบำเพ็ญเซียนย่อมกดขี่โลกปุถุชน เรื่องนี้ไม่มีใครติเตียนได้ หากเขายืนยันที่จะมีปัญหาในเรื่องนี้ นอกจากจะทำให้สำนักเซิ่งจิงดูย่ำแย่แล้ว สมาชิกคนอื่นๆในพันธมิตรหมื่นเซียนทั่วแคว้นธาราครามก็อาจถูกดึงมาพัวพันได้ ซึ่งรังแต่จะสร้างปัญหาให้เขาเข้าไปใหญ่”


“เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงต้องยกเรื่องนี้มาพูดด้วยเล่า”


เฟิงอิ๋นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ในโลกนี้ ความจริงก็มักเป็นเช่นนี้ นั่นคือเมื่อมีการกดขี่ก็ย่อมมีการต่อต้าน โลกบำเพ็ญเซียนขูดรีดโลกมนุษย์มาตลอด และโลกมนุษย์ก็มักก่อการจลาจลอยู่บ่อยครั้ง ทว่าหมื่นปีมานี้ การปกครองเช่นนี้ก็ยังไม่ถูกสั่นคลอน… อย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเซียนเช่นเราก็ถนัดเรื่องเข่นฆ่าอยู่แล้ว ทว่าการต่อต้านนั้นไม่ได้มาจากโลกมนุษย์เพียงอย่างเดียว เจ้าดูรายงานนี่สิ”


หญิงสาวรับรายงานนั่นมาเปิดอ่านคร่าวๆ ผ่านไปพักหนึ่งนางก็หัวเราะออกมา “ให้นักเขียนผีเขียนแทนชัดๆ”


“…เด็กจูฉินเป็นถึงรัชทายาทของประเทศ ไม่แปลกอะไรที่เขาจะมีเหล่าบัณฑิตช่วยเขียน สิ่งสำคัญคือเนื้อหาในรายงานต่างหาก”


หญิงสาววางรายงานเล่มนั้นลง “หมายความว่าอย่างไร มันก็แค่การร้องคร่ำครวญยามถูกขืนใจก็เท่านั้น เบื่อจะแย่แล้ว”


เฟิงอิ๋นกล่าว “ตัวรายงานน่ะไม่มีอะไรให้น่าแปลกใจหรอก แต่หากเจ้ารวมสิ่งนี้เข้าไปด้วย”


พูดจบเขาก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้นาง เมื่ออ่านจบหญิงสาวถึงกับอึ้งไป “ข้อมูลจากการประชุมสมัชชาพันธมิตรหมื่นเซียน นี่…นี่มันตัวแทนของโลกมนุษย์จากประเทศฉินแห่งแคว้นภาคกลางนี่ หนำซ้ำพวกเขาร้องขอให้โลกบำเพ็ญเซียนเพิ่มความแข็งแกร่งในการควบคุมดูแลและชี้แนะต่อโลกมนุษย์ น่าสนใจ ช่างบังเอิญจริงๆ”


เฟิงอิ๋นเหยียดยิ้ม “บังเอิญงั้นหรือ ข้อเสนอเช่นนี้มีขึ้นทุกครั้งที่มีการประชุมสมัชชา ทุกครั้งมีการเขียนร้องเรียนจากผู้นำสมัชชา แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีผลอะไรเพราะไม่มีวิธีในการดำเนินการ สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงท่องคำขวัญอะไรกันไป ในเมื่อมีสำนักเซิ่งจิงเป็นตัวตั้งตัวตี ก็ไม่มีใครหน้าไหนในการประชุมสมัชชาร่วมกล้าร้องขอให้มีการตรวจสอบการที่โลกบำเพ็ญเซียนเข้าแทรกแซงโลกมนุษย์ ต่อให้พวกเขายกประเด็นนี้ขึ้นมาก็ไม่เป็นผลเพราะพวกที่จะโดนจัดการก็มีแต่สำนักระดับล่างเล็กๆ ที่ก่อความผิดเท่านั้น ทว่าจำนวนคนที่เสนอเรื่องนี้นั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้แม้แต่สำนักกระบี่วิญญาณของเราก็ยังต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้เลย แม้สำนักเซิ่งจิงจะมีอำนาจมหาศาล แต่แรงกดดันที่พวกเขาต้องรับย่อมมีมากกว่าเรานับร้อยเท่า”


หญิงสาวกะพริบตา “เช่นนั้นนักบวชเต๋าที่ขี่ลาก็ต้องการมาแสดงความเห็นอกเห็นใจเราล่ะสิ”


“ไม่ใช่แค่เพียงแสดงความเห็นอกเห็นใจ แต่ข่งจ้างมาที่นี่ในฐานะบุคคลบุคคลหนึ่ง ภายใต้ฉากหน้านั้น เขาบอกเป็นนัยๆ ว่าต้องการจะหารือ”


“หารือ? เรื่องอะไร”


“ชายผู้นั้นระวังถ้อยคำมาก เขาไม่พูดอะไรออกมาตรงๆ ตอนแรกข้าคิดว่าเขามีอาการทางจิต แต่สองสามวันหลังจากที่เขากลับไป ข้าก็ได้อ่านรายงานนี้ สุดท้ายแล้วข้าจึงเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ โอ้ สมแล้วที่เป็นผู้ที่สวรรค์เลือกจริงๆ”


เฟิงอิ๋นถอนหายใจจากนั้นก็เปิดรายงานเล่มที่เขาอ่านจนทะลุปรุโปร่งมากที่สุด


………………………………………..


ตอนที่ 5 เหตุใดจึงต้องรับใช้มวลชน

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“…”


ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องไม้ไผ่บนยอดเขาประกายดาวอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเจ้าสำนักเฟิงอิ๋นก็หัวเราะเบาๆ พลางถามออกมา “ศิษย์น้องหญิง เจ้าอ่านจบหรือยัง”


ผู้เป็นศิษย์น้องฮึดฮัดจากนั้นก็เขวี้ยงรายงานกลับไปให้อีกฝ่าย “คิดเสียว่าท่านพบขุมทรัพย์ก็แล้วกัน” เฟิงอิ๋นยิ้มขันพลางส่ายศีรษะ แต่ก็มิได้ปฏิเสธเพราะเขาก็ได้พบขุมทรัพย์จริงๆ ตอนที่เขาได้รับรายงานเล่มนี้เมื่อสองสามวันก่อน ทั้งที่ตัวเขาเองอยู่ในตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณ แต่สิ่งนี้กลับทำให้เขาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่ง อึดใจถัดมาถึงค่อยๆ กลับเป็นปกติ


รายงานนี้ช่างเป็นงานประพันธ์ที่เยี่ยมยอดอย่างแท้จริง


รายงานนี้ตอบคำถามที่ไม่อาจไขได้มายาวนานของพันธมิตรหมื่นเซียนผ่านทฤษฎีที่ซับซ้อนและละเอียดลออด้วยถ้อยคำนับแสนตัวอักษร


วิธีการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างโลกเซียนและโลกมนุษย์น่ะหรือ


พูดง่ายๆ ก็คือ เพื่อรับใช้ประชาชน


เหตุใดต้องรับใช้ประชาชน ง่ายมาก ข้อแรกสุด พลังของมวลชนนั้นมีอิทธิพลมหาศาล


มันไม่ใช่พลังในการทำลายล้าง ในแง่ของพลังทำลายล้างนั้น ง่ายมากที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณคนหนึ่งจะทำลายประเทศที่มีประชากรนับล้านๆ คน คนนับล้านไม่อาจเอาชนะผู้บำเพ็ญเซียนเพียงคนเดียวได้ ช่องว่างนั้นมหาศาลเกินไป ทว่าหากมองในอีกมุมหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยเกิดมาจากประชาชนหลายล้านคนนั้น และท่ามกลางผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยคน อาจมีเจ็ดหรือแปดคนที่บรรลุถึงตบะขั้นสร้างแกน และท่ามกลางคนพวกนี้ อาจมีสักคนที่โชคดีพอจะเอาชนะกำแพงอุปสรรคและบรรลุถึงขั้นกำเนิดใหม่ได้ ขั้นกำเนิดใหม่หนึ่งคน ขั้นสร้างแกนเจ็ดถึงแปดคน ขั้นพิสุทธิ์จำนวนหนึ่งและขั้นสร้างฐานอีกไม่น้อย หากเทียบกับขั้นเปลี่ยนวิญญาณเพียงคนเดียวแล้ว ช่องว่างของพละกำลังก็ลดลงโขมิใช่หรือ นี่ยังไม่นับรวมว่าปัจจุบันนี้มีการใช้รากวิญญาณเทียมอย่างแพร่หลาย ประชากรนับล้านอาจกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีศักยภาพนับล้านได้เช่นกัน


นอกจากนั้นคนนับล้านก็สามารถเพิ่มจำนวนเป็นคนนับร้อยล้านได้ ขณะที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณ ต่อให้สามารถสืบพันธุ์ได้ราวกับอาชาหนุ่ม เขาจะมีทายาทได้สักกี่คนเชียว หนำซ้ำอัตราส่วนที่ทายาทจะกำเนิดมาพร้อมรากวิญญาณตามธรรมชาติก็มีพอๆ กับการเกิดมาเป็นปุถุชนธรรมดา เช่นนั้นแล้วการให้กำเนิดทายาทจึงไม่มีความหมาย


ยังไม่นับรวมว่าตลอดชีวิตของผู้คนนับล้าน พวกเขาสามารถปลูกข้าว ทอผ้า ตีเหล็ก… ย้ายภูเขาถมทะเล โยกย้ายเส้นฮวงจุ้ย ผลาญเลือดของตนด้วยวิชาโลหิตเพลิงโหมนภา เปลี่ยนจากคนธรรมดาให้กลายเป็นเซียนได้!


ในจุดนี้ หวังลู่ไม่ได้อ้อมค้อมเรื่องความสำเร็จของเขา ผลสัมฤทธิ์สุดมหัศจรรย์ของสำนักภูมิปัญญาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาปรากฏชัดเจนอยู่ในรายงานที่เขาเป็นคนเขียนขึ้น สำนักที่ตั้งขึ้นในหุบเขา ภายในเวลาหนึ่งปีสามารถขยับขยายไปทั่วประเทศต้าหมิงและประเทศใกล้เคียง ดึงดูดผู้ติดตามได้มากถึงเกือบสิบล้านคน สิ่งที่น่าชมเชยยิ่งกว่าก็คือ ในช่วงต้นของการพัฒนา พวกเขามีรากฐานซ่อนเร้นที่ดีเพราะมีการแยกช่วงการใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภามาเป็นการใช้กำลังคนในการรวบรวมศิลาวิญญาณ และจากศิลาวิญญาณที่ได้มา พวกเขาก็สามารถจัดหารากวิญญาณเทียมได้เป็นจำนวนมาก หนำซ้ำยังสามารถสรรหารากวิญญาณเทียมระดับสูงได้อีกด้วย


และในเมื่อมีรากวิญญาณเทียมระดับสูงและรากฐานที่มั่นคงคอยค้ำจุนสำนักที่ผลกำไรไหลมาเทมารอบด้านเช่นนี้ ดังนั้นแล้วความแตกต่างระหว่างสำนักที่เกิดจากความคิดเพ้อฝันของหวังลู่กับสำนักทั่วไปที่เป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนอยู่ที่ตรงไหนกัน


ในขณะเดียวกัน เพื่อเลี่ยงไม่ให้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาเป็นช่องโหว่ในการถูกโจมตี หวังลู่ก็ได้จัดทำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบของอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนในสำนักภูมิปัญญาขึ้นมา แม้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาจะเป็นสาเหตุหลักของการตาย แต่เพราะมีการจัดระเบียบสังคม รวมถึงเพิ่มการใช้ประโยชน์ของพลังปราณฟ้าดินและยาลูกกลอน ภายในหนึ่งปี อายุขัยของคนในสำนักกลับเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง!


ภายในหนึ่งปี การที่เริ่มจากเศษธุลีจนได้เป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนแสดงให้เห็นถึงพลังของมวลชน แม้พันธมิตรหมื่นเซียนไม่คิดจะใช้พลังมวลชน แต่ก็มีคนอื่นที่ใช้มันอยู่ดี!


ข้อสองคือจะใช้พลังมวลชนให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร


พันธมิตรหมื่นเซียนได้แสดงตัวอย่างให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วว่าการหาประโยชน์ใส่ตัวนั้นไม่ได้ผล


สิ่งเดียวที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาได้คือการรับใช้มวลชน


ปัจจัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาอย่างรวดเร็วของสำนักภูมิปัญญาก็คือการมีผู้นำที่ไม่เห็นแก่ตนเอง! ความสามารถในการรวบรวมทรัพย์สมบัติของสำนักนั้นน่าทึ่งอย่างมาก แต่ศิลาวิญญาณที่คนนับล้านๆ รวบรวมมาจากทั้งบนภูเขาและในที่ราบ หวังลู่ไม่เคยเอาเข้ากระเป๋าตัวเองแม้แต่เหรียญเดียว! ศิลาวิญญาณทุกเหรียญที่รวบรวมมาได้มีไว้ใช้ดำเนินการในสำนักเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไม่เห็นแก่ตนเอง แต่รับใช้มวลชน ที่สำนักภูมิปัญญาพัฒนาได้อย่างรวดเร็วในขั้นต้นเป็นเพราะมันไม่เสียแหล่งทรัพยากรเลยแม้สักนิด!


และตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็คือหวังลู่ แม้เขาจะไม่ได้มีรายรับโดยตรงในหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่ในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า ที่สำนักภูมิปัญญายังคงอยู่ในร่องในรอยที่ถูกต้อง โดยมีรากฐานที่แข็งแกร่งเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ รายได้ย่อมมีไม่จบไม่สิ้นแน่ จากวิธีการที่หวังลู่ใช้พัฒนาสำนักภูมิปัญญา เขาก็ได้ให้คำตอบที่เป็นสามัญว่าจะใช้ประโยชน์จากพลังมวลชนให้ดีได้อย่างไร


สุดท้ายแล้ว หากมองในอีกมุมมองหนึ่ง โลกของมนุษย์ปุถุชนและโลกบำเพ็ญเซียนนั้นไม่อาจแยกจากกันได้อีกต่อไป ในที่สุดผู้บำเพ็ญเซียนก็ต้องการแทรกซึมเข้าไปในโลกมนุษย์ให้มากยิ่งขึ้น แต่หากพวกเขาไม่ต้องการรับใช้มนุษย์ ก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาต้องการหาผลประโยชน์จากมนุษย์ ในยุคแรกๆ คนมักพูดกันว่ามนุษย์นั้นโง่เง่าและต้องการคำชี้แนะจากผู้บำเพ็ญเซียน โชคร้ายที่ภายหลังกลายเป็นว่าความสามารถของผู้บำเพ็ญเซียนในการหาผลประโยชน์จากมนุษย์นั้นกลับไม่ดีเท่าเหล่าจักรพรรดิของโลกมนุษย์ ความสามารถของฝ่ายหลังในการหาประโยชน์ใส่ตนนั้นเหนือกว่าและน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่า


ข้อมูลด้านบนนั้นหวังลู่ตระเตรียมเอกสารประกอบและหลักฐานจำนวนมากมาอย่างดี งานเขียนของเขายอดเยี่ยม แต่เนื้อหาส่วนนี้คิดเป็นสามส่วนของในเล่มเท่านั้น ส่วนที่เหลือต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ


ไม่ใช่เรื่องยากที่จะชักจูงกำลังคนมหาศาลด้วยผลประโยชน์ ทว่าคนผู้นั้นไม่ควรเอาเพียงหลักการของโลกบำเพ็ญเซียนมาเป็นผลประโยชน์ในการเชิญชวนผู้คน ไม่เช่นนั้นย่อมต้องมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากที่คิดจะฆ่าไก่เพื่อเอาไข่เป็นแน่


และทางแก้ของปัญหานี้นั้นวิเศษเป็นอย่างมาก


หวังลู่ใช้หลักการผู้เบิกทางหนึ่งล้านคนเพื่อทำให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์ในการจูงใจผู้ติดตามของสำนักภูมิปัญญา แนวคิดนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทรงพลังมากจนเพียงพอที่จะพลิกโลกได้ ดังนั้นแนวคิดของเขาที่มีให้พันธมิตรหมื่นเซียนก็ทำนองเดียวกัน


นั่นคือยังคงเป็นผู้เบิกทางหนึ่งล้านคนเพื่อทำให้โลกเคลื่อนสู่สวรรค์! ทว่าครั้งนี้หวังลู่ขัดเกลาถ้อยคำหลอกลวงมาเป็นอย่างดี!


ทฤษฎีของหวังลู่อิงแนวความคิดที่ว่าจุดประสงค์ของภารกิจของโลกบำเพ็ญเซียนในอาณาจักเก้าแคว้นคือการเพิ่มจำนวนผลผลิตอย่างรวดเร็ว เพื่อปรับปรุงการบำเพ็ญเซียนของทั้งโลกบำเพ็ญเซียน สมัยก่อนมีตำราทางประวัติศาสตร์จำนวนมากที่พิสูจน์เรื่องนี้ได้ แม้อาณาจักรเก้าแคว้นจะเคยเผชิญช่วงแห่งกลียุคและมหาสงครามระหว่างเซียนและปีศาจมาก่อน ท้ายที่สุดแล้วโลกบำเพ็ญเซียนก็ยังพัฒนาต่อไป แม้ระหว่างการพัฒนาอาจจะเจอจุดพลิกผันมากมาย และไม่อาจเทียบกับช่วงเวลารุ่งเรืองก่อนกลียุคได้ ทว่าหากเทียบกับยุคที่ดำมืดที่สุด มันก็ถือว่ารุดหน้าและค่อยๆ เข้าใกล้ความรุ่งโรจน์ก่อนกลียุคมากขึ้นเรื่อยๆ


ความก้าวหน้านี้ยังคงดำเนินมาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา อาจจะมีเสื่อมถอยไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถอยกลับไปเสียทั้งหมด หวังลู่คิดว่าสิ่งนี้คือกฎอมตะของอาณาจักรเก้าแคว้นที่มีต่อผู้บำเพ็ญเซียนนับล้านและปุถุชนนับพันล้านคน


ทว่าจะเป็นหากทั้งสังคมพัฒนาก้าวหน้าไปจนถึงขีดสุด


ในทางทฤษฎีหากทุกคนเคลื่อนคล้อยสู่สวรรค์แปลว่าจะมีเซียนที่แท้จริงอยู่ทุกหนแห่ง! ในทางปฏิบัติ รากวิญญาณหกประสานของปฐมาจารย์ลิ่วเหอไม่ได้หยิบยื่นโอกาสให้คนธรรมดาได้กลายเป็นเซียนหรอกหรือ แม้ปัจจุบันสิ่งนี้จะเป็นเหมือนความฝันแสนไกล แต่หากผลผลิตของคนนับสิบล้านคนถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นเล่า พลังปราณฟ้าดินนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากผู้คนสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว พลังปราณฟ้าดินย่อมต้องเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน วัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงย่อมต้องมีมากมาย ในโลกเช่นนี้ จะมีสิ่งใดหยุดยั้งคนนับล้านไม่ให้กลายเป็นเซียนได้เล่า


เช่นนั้นแล้ว การรับใช้มวลชนก็ไม่ได้ทำให้เกียรติของผู้บำเพ็ญเซียนตกต่ำลง และที่สำคัญที่สุด สิ่งนี้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของปุถุชน… แต่เพื่ออนาคตของผู้เบิกทางนับล้านและการเคลื่อนสู่สวรรค์ของอาณาจักรเก้าแคว้นต่างหาก! ผู้บำเพ็ญเซียนภายใต้ชื่อของสำนักภูมิปัญญาปลุกปั่นผู้เบิกทางนับล้าน ผลักดันขั้นตบะของผู้บำเพ็ญเซียน เพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกเขา ดังนั้นแล้วมีเหตุผลใดจะไม่สนับสนุนความทะเยอทะยานที่สูงส่งเช่นนี้กันเล่า


แต่เหตุใดจึงเพียงหนึ่งล้านไม่เป็นสิบล้าน หวังลู่อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า ตามการคำนวณของเขา ผู้เบิกทางเพียงหนึ่งล้านคนก็เพียงพอต่ออาณาจักรเก้าแคว้นในการเคลื่อนคล้อยสู่สวรรค์แล้ว เมื่อถึงตอนนั้น พลังปราณฟ้าดินของที่นี่จะหนาแน่นมากเสียจนไม่อาจแยกออกจากพลังปราณฟ้าดินของโลกเซียนจริงๆ ได้ นั่นแปลว่าทั้งอาณาจักรเก้าแคว้นได้กลายเป็นโลกเซียนที่แท้จริง ทั้งอาณาจักรเก้าแคว้นได้เคลื่อนคล้อยสู่สวรรค์!


ส่วนขั้นตอนการคำนวณนั้น ไม่ว่าจะเป็นเฟิงอิ๋นหรือหวังอู่ พวกเขาต่างไม่เข้าใจแม้แต่น้อย สองในสามส่วนหลังของรายงาน หวังลู่สร้างต้นแบบ สร้างสูตร และเปลี่ยนข้อมูลมหาศาลในโลกให้กลายเป็นตัวเลขจนได้คำตอบที่ไม่อาจจินตนาการได้ แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจขั้นตอนที่จำเพาะนี้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ แค่คำตอบเรื่องผู้เบิกทางนับล้านที่กินเนื้อที่มหาศาลในรายงานเล่มนี้ก็ถือว่าไร้สาระพอแล้ว


แม้ในส่วนของผลประโยชน์ที่ดูล่อตาล่อใจก่อนหน้านี้ก็ถือว่าไร้สาระ ตัวอักษรนับแสนตัวในรายงานเล่มนี้นับว่าเป็นขยะโดยแท้ ทว่าตอนนี้สิ่งที่พันธมิตรหมื่นเซียนต้องการมากที่สุดก็คือรายงานไร้สาระเช่นนี้ล่ะ ถ้อยคำของหวังลู่น่าดึงดูดขนาดที่ว่ามันสามารถล่อลวงผู้คนที่เริ่มอ่านให้อ่านจนจบได้!


สำหรับเฟิงอิ๋นแล้ว รายงานฉบับนี้มาถึงในเวลาที่เหมาะเหม็งเป็นอย่างยิ่ง


เหมาะเหม็งสำหรับอะไรกันเล่า สำนักเซิ่งจิงและสำนักชั้นนำสองสามสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนกำลังเผชิญปัญหาที่ว่าจะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างโลกมนุษย์และโลกบำเพ็ญเซียนอย่างเหมาะสมได้อย่างไร ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองโลกนั้นไม่มั่นคงและทุกคนก็มองออก ทว่าการจะจัดการกับการแทรกแซงที่หยั่งรากลึกในโลกมนุษย์โดยที่ไม่มีการเข้าถึงอย่างเหมาะสมนั้น ผลก็คือเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนที่สันโดษกลับถูกลากลงน้ำตามๆ กันลงไปและกลายเป็นผู้ล่าที่ชั่วร้ายเสียเอง นี่จึงเป็นเหตุผลของคำกล่าวหนึ่งในโลกแห่งเซียนที่ว่า เส้นทางแห่งเซียนแตกต่างจากเส้นทางของปุถุชน คำกล่าวนี้ตั้งใจที่จะแยกโลกบำเพ็ญเซียนออกจากโลกมนุษย์ ก่อนหน้านี้ในสำนักโบราณเมื่อหมื่นปีก่อน มีผู้บำเพ็ญเซียนสามร้อยห้าสิบคนปลีกวิเวกอยู่ตามภูเขา ฝึกบำเพ็ญเซียนอย่างหนัก.. แต่ปัจจุบันการกระทำเช่นนั้นถูกตีว่าไร้ประโยชน์ สมาชิกของสำนักกระบี่วิญญาณที่ปลีกตัวอยู่อย่างวิเวกนั้นนับว่าน้อยนิด สำนักใหญ่ๆ ต่างก็มีรากฐานในโลกเซียนของตนเอง ซึ่งก่อร่างเป็นพีระมิดที่มั่นคง ทว่าคำกล่าวที่ว่าเส้นทางแห่งเซียนแตกต่างจากเส้นทางของปุถุชนนั้นทำให้เกิดคูน้ำลึกอยู่รอบๆ พีระมิดที่มั่นคงนั้น สิ่งนี้บังคับให้ผู้คนต้องวนเวียนอยู่ที่ชั้นล่างของพีระมิดเพื่อค้ำจุนแรงกดจากชั้นที่อยู่เหนือตัวเองขึ้นไป แต่ในขณะเดียวกัน แรงต้านที่อยากจะเป็นอิสระก็ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ


โลกบำเพ็ญเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักใหญ่โตอย่างสำนักเซิ่งจิง ต้องการทฤษฎีใหม่อย่างเร่งด่วนเพื่อจัดการกับข้อขัดแย้งของโครงสร้างระหว่างโลกมนุษย์และโลกบำเพ็ญเซียนนี้


ทว่าแล้วมันจะมีประโยชน์อย่างไร รายงานนี้เกิดขึ้นจากสำนักกระบี่วิญญาณ แต่มันกลับไม่มีตราประทับของสำนักกระบี่วิญญาณ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าสำนักวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียน แม้หวังลู่จะโฆษณารายงานนี้สักเท่าไร เขาก็ยังไม่อาจสร้างความน่าเชื่อถือในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนได้ และหากเขาไม่ได้มาจากสำนักกระบี่วิญญาณ แน่นอนว่าด้วยชื่อของเขาเพียงลำพัง การพัฒนาสำนักภูมิปัญญาจะต้องพบเจอกับอุปสรรคที่ไม่อาจเอาชนะได้มากมายแน่


สำนักกระบี่วิญญาณคือตัวหนุนหลังที่ยอดเยี่ยมของหวังลู่


ส่วนมวลชนนั้นเล่า ยิ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ก่อนที่หวังลู่จะจากสำนักภูมิปัญญามา พวกเขาก็มีผู้ติดตามมากถึงสิบล้านคนที่กระหายความเป็นอมตะและโหยหาความรักจากสำนักภูมิปัญญา! หากไม่เรียกว่ามวลชนแล้วจะเรียกว่าอะไร


เงื่อนไขที่เหมาะสมทั้งหมดการใช้รายงานเล่มนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว หากไม่คิดใช้ประโยชน์จากมันก็จะถือว่าเสียของ!


“แล้วท่านจะทำอย่างไรกับสิ่งนี้”


เฟิงอิ๋นมีคำตอบให้คำถามนี้ของหวังอู่แล้ว


“บทความนี้ไม่ควรออกไปในชื่อของหวังลู่เพียงลำพัง อิทธิพลของเขายังไม่มากพอ เนื้อหาก็ยังต้องมีการปรับปรุง สองวันนี้ข้าจะแก้ไขมันอย่างละเอียดรอบคอบจากนั้นก็จะลงนามตัวเองลงไปด้วยแล้วค่อยส่งไปยังคณะกรรมการการศึกษาของพันธมิตรหมื่นเซียน รายงานเช่นนี้ย่อมได้คะแนนชื่อเสียงเป็นพันคะแนน และคะแนนด้านวิชาการอีกเป็นหมื่นคะแนน นอกจากจะบรรลุในส่วนที่คณะกรรมการต้องรับผิดชอบแล้ว ยังมากพอที่จะยกระดับการศึกษาของสำนักกระบี่วิญญาณให้ขึ้นไปเป็นระดับเก้าอีกด้วย”


……………………………………..


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม