สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด บทที่ 4 ตอนที่ 1-5

 ทราฟฟอร์ด ส่วนที่ 4 บทที่ 1 ค่าคุ้มครอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เอ่อ เข้าใกล้กันอีกหน่อยนะ…อืม โอเคแล้ว ชีส!”


หลังจากลุงถ่ายรูปให้เสร็จเรียบร้อย จึงถือโทรศัพท์มือถือเดินไปตรงหน้าลั่วชิว แล้วพูดชื่นชมว่า “สวยมากเลยนะ แฟนของคุณเนี่ย!”


“ขอบคุณครับ”


ลั่วชิวรับคำชมนี้


ตอนแรกเขาไม่ค่อยเข้าใจมาตรฐานที่จักรพรรดินีแคทเธอรีนที่สองแห่งรัสเซียใช้สร้างร่างกายโยวเย่ แต่บนเรือนร่างที่ผสมผสานความโดดเด่นของตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันนั้น มันช่างยากจะหาจุดบกพร่องได้จริงๆ


ลุงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นนักศึกษาที่เพิ่งมา? หรือเป็นนักท่องเที่ยวกันล่ะ?”


ลั่วชิวถามอย่างใคร่รู้ “หมายความว่ายังไงครับ?”


ลุงที่พวกเขาได้เจอก่อนถึงโรงละครบอลชอยเป็นคนประเทศเดียวกับลั่วชิว เขายิ้มแล้วพูดว่า “ก็เพราะถ้าคุณอยู่ที่นี่มานานจะไม่มาที่นี่ถ้าไม่ได้มาดูละคร ผมดูวัยของพวกคุณแล้ว ถ้าไม่ใช่นักศึกษาก็ต้องเป็นนักท่องเที่ยว”


“ถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวแล้วกันครับ” ลั่วชิวตอบ


ลุงกำลังแนะนำสถานที่บริเวณรอบๆ นี้ด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง อาศัยประสบการณ์ที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเกือบสิบปี แนะนำสถานที่บางแห่งที่ต้องสนใจ


“…ของจำพวกหลักฐานยืนยันตัวตนและวีซ่าจะต้องพกติดตัวไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าตำรวจที่นี่จะตรวจสอบเอกสารของพวกเราหรือไม่ ถ้าลืมพกมาจริงๆ ไม่ว่าตำรวจเขาจะถามอะไร ก็แกล้งทำเป็นตอบไม่รู้ก็แล้วกัน! ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็จะทำอะไรพวกคุณไม่ได้เอง อีกอย่างถ้าเจอเรื่องยุ่งยากอะไรให้หาทนายท้องถิ่นสักคนยังดีกว่าไปหาสถานทูตเสียอีก”


“ทนายความ?”


คุณลุงหัวเราะแล้วก็ยื่นนามบัตรออกมาใบหนึ่ง


ด้านหน้าเป็นคำอธิบายภาษารัสเซีย แต่ด้านหลังกลับเป็นภาษาจีนที่ลั่วชิวคุ้นเคย


สำนักงานใหญ่ทนายความ


เฉินหมิงจวิน


เขามองดูลั่วชิวรับนามบัตรด้วยท่าทางแปลกๆ แล้วคุณลุงคนนี้…เฉินหมิงจวินก็หัวเราะฮาพลางพูดว่า “ไม่ใช่ว่าผมตั้งใจหางานถึงได้บอกว่าสถานทูตไม่ดีนะ…อืม ของแบบนี้พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าพวกคุณอยู่ที่นี่นานไป ก็จะค่อยๆ เข้าใจเองแหละ”


“โอเคครับ” ลั่วชิวรับนามบัตรไว้


เฉินหมิงจวินยิ้มแล้วบอกว่า “งั้นผมไม่รบกวนพวกคุณแล้ว ผมยังมีธุระอื่นอีก”


ลั่วชิวมองเฉินหมิงจวินเดินจากไป แล้วส่งนามบัตรให้โยวเย่ คุณสาวใช้รับมาแล้วใส่ไว้ในกระเป๋าหนังในมือ


ในฐานะเจ้าของสมาคมน่าจะไม่มีเรื่องต้องหาทนายความมาช่วยเหลือล่ะมั้ง…ไว้ค่อยว่ากัน ความจริงแล้วเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นที่ทางของที่นี่เอาเสียเลย


แต่คุณสาวใช้ก็อยู่นี่…ก่อนหน้าที่สมาคมจะถ่ายโอนมาอยู่ในเมืองของเขา สมาคมก็เคยตั้งอยู่ในที่แห่งนี้มานานช่วงระยะหนึ่งแล้ว


ลั่วชิวก้มหน้า เขาส่งรูปถ่ายภาพนี้ไปให้เริ่นจื่อหลิง แบบนี้น่าจะพอช่วยอุดปากเริ่นจื่อหลิงไปได้ระยะหนึ่งล่ะนะ


“อยากไปเดินเล่นที่ไหนสักหน่อยไหม?” ลั่วชิวมองโยวเย่พลางถามขึ้น


เพราะการมามอสโกครั้งนี้ ก็เพื่อทำตามที่เขารับปากโยวเย่ในตอนแรกว่าจะมาเที่ยวชมที่นี่สักหน่อย ลั่วชิวซึ่งรับฟังความคิดเห็นมาโดยตลอด ในครั้งนี้ให้โยวเย่เป็นผู้ตัดสินใจเองแล้วกัน


“ไม่มีที่ไหนที่อยากไปเป็นพิเศษหรอกค่ะ” โยวเย่ส่ายหน้า พูดด้วยเสียงเบาว่า “ถ้านายท่านมีที่ไหนอยากไปเที่ยวดู โยวเย่เป็นไกด์ให้ได้นะคะ”


ลั่วชิวยิ้มแล้วบอกว่า “เล่นโยนกันไปโยนกันมาแบบนี้ ท้องฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว พวกเราคงได้แต่เอ้อละเหยกันอยู่ที่นี่ล่ะ”


โยวเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นไปถนนตเวอร์กันค่ะ ที่นั่นมีซูเปอร์มาเก็ตเจ๋งๆ แห่งหนึ่งค่ะ”


“ซุปเปอร์มาเก็ต?”


“เพราะใกล้จะถึงเวลาเตรียมมื้อเย็นให้นายท่านแล้วไงล่ะคะ” คุณสาวใช้พูดพร้อมยิ้มน้อยๆ


หลังจากลั่วชิวกลายเป็นเจ้าของสมาคมแล้ว ส่วนใหญ่เขาก็ไม่เคยรับประทานอาหารนอกบ้านเลย แต่ดูเหมือนโยวเย่ไม่ได้คิดจะปรับเปลี่ยนสไตล์การใช้ชีวิตแบบนี้เลย


“งั้นก็ไปซูเปอร์มาเก็ตกันเถอะ” ลั่วชิวยิ้มพลางพูด


วันแรกที่มาถึงมอสโก เจ้าของสมาคมและคุณสาวใช้ก็ไปเดินเล่นซูเปอร์มาเก็ตกัน




นอกจากสิ่งก่อสร้างมหึมาสไตล์พระราชวังโบราณหรูหราเหลืองอร่ามแวววาวแล้ว ยังมีถนนตเวอร์ที่มีชื่อเสียงและกว้างมากกว่าสิบเลน สามารถมองเห็นรถราสัญจรไปมาได้…นี่คือสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมากแห่งหนึ่ง แต่ความเจริญรุ่งเรืองแบบนี้สำหรับนิคิตะแล้วไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลย


สิ่งที่เขาห่วงตอนนี้ก็มีแค่ทำอย่างไรถึงจะสามารถหนีพ้นจากเงื้อมมือชายร่างสูงใหญ่สองคนนี้ในตอนนี้ได้


แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนสองคนนี้บีบไล่ต้อนเขาไปที่กำแพงในตรอก สองคนประกบซ้ายขวา ราวกับภูเขาใหญ่สองลูก สำหรับนิคิตะที่ตัวค่อนข้างผอมบางนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีพ้น


“ผมไม่มีเงินแล้ว” นิคิตะพูดด้วยเสียงอ้อนวอน


ชายร่างสูงใหญ่หนึ่งในนั้นกลับหัวเราะเยาะทันที ไม่พูดพร่ำอะไรสักคำ แค่ซัดหนึ่งหมัดไปที่ท้องของนิคิตะเอาดื้อๆ เลย


หมัดเดียวทำให้นิคิตะกุมท้องนั่งยองๆ อยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด จนสำลักน้ำลายออกมา “ผมเหลือเงินไม่มากแล้วจริงๆ ผมยังติดค่าเช่าห้องสองเดือน…ผมจะนอนข้างถนนอยู่แล้ว”


ชายร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ยื่นมือออกมาซัดเขา แต่กลับหัวเราะเยาะบอกว่า “ที่นี่เป็นถิ่นลูกพี่อีเกิล และไม่ใช่ว่าคุณจะมาอยู่ที่นี่เป็นครั้งแรกนี่ ถ้าไม่จ่ายค่าคุ้มครอง ก็ไสหัวไป!”


“แต่ผมไม่มีเงินจริงๆ นะ” นิคิตะไอแห้งๆ พลางพูดขึ้น


“คุณจะมีแน่”


ชายร่างสูงใหญ่ที่อัดคนหัวเราะอย่างเหี้ยมโหด บนแขนที่ผ่านการฟิตกล้ามเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ยกดึงนิคิตะขึ้นมาอย่างสบายๆ แล้วเล็งไปที่ท้องนิคิตะแล้วออกหมัดระยะประชิดอีกครั้งทันที


“หยุดนะ หยุด!”


และในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มอายุสามสิบกว่า หนวดเคราเต็มหน้าก็วิ่งพุ่งเข้ามา ชายหนุ่มมีรูปร่างกำยำไม่แพ้สองคนนั่นเลยสักนิด ทั้งยังสูงกว่าเล็กน้อย


เขาพุ่งมาอยู่ตรงหน้านิคิตะ ชายร่างใหญ่ที่ชกอยู่นั้นก็ชักมือกลับมา นิคิตะลื่นชนเข้ากับกำแพงไถลลงมานั่งกับพื้นทันที ที่ปากมีเลือดไหลออกมา


ชายหนุ่มย่อตัวลงมามองนิคิตะแวบหนึ่ง ในแววตาฉายความโกรธแค้นออกมา มือของเขากำหมัด แต่กลับคลายมือออกในชั่วพริบตา


“อย่าทำร้ายเขาเลย ผมจ่ายค่าคุ้มครองของเขาให้เอง” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไปเฮือกหนึ่ง แล้วลุกขึ้นมา


ตอนที่เขาเดินเข้าไปใกล้ ถึงได้พบว่าอันที่จริงชายคนนี้ยังสูงเลยหัวชายร่างสูงใหญ่สองคนนั้นไปอีก ในเวลานี้ถึงแม้ว่าชายหนุ่มที่ตัวสูงใหญ่ราวกับหอคอยจะถูกชายร่างสูงใหญ่สองคนนั่นเงยหน้ามอง…แต่สองคนนั้นก็ไม่ได้มีสีหน้าหวาดกลัวเลยสักนิด


ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าเงินออกมาอย่างรวดเร็ว ตอนที่เขากำลังจะนับธนบัตรนั้น ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งในสองคนนั้นกลับยื่นมือคว้าเอาธนบัตรทั้งหมดที่มีในกระเป๋าเงินของชายหนุ่มมา แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “แค่นี้แหละ”


“นี่มันมากกว่าสามเท่าเลยนะ!” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว


ชายร่างสูงใหญ่ที่คว้าเอาเงินไปนั่นกลับยิ้ม ธนบัตรบนมือพัดวีเบาๆ อยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม “คนที่ช่วยจ่ายก็เอาจำนวนเงินเท่านี้แหละ โดยเฉพาะคุณ ฮาๆ! ทำไม อยากลงไม้ลงมือเหรอ? เอาสิ”


“ได้เงินแล้วก็ไปสิ!” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เสียงเข้มทุ้มต่ำขึ้นมาเล็กน้อย


ชายร่างสูงใหญ่อีกคนหนึ่งผิวปาก ยิ้มเหยียดหยามแล้วก็ตบบ่าเพื่อน “คราวหน้า จำไว้ว่าเอาเงินเจ้าหมอนี่มาให้พอด้วยล่ะ!”


พูดไปพลาง สองคนก็เดินตรงออกจากตรอกถนนนั่นไป


ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก ตอนนี้เขาถึงได้หันมานั่งยองๆ ลง มองนิคิตะ “นิคิตะเป็นยังไงบ้าง?”


“โอเล็ก…ขอโทษนะ ครั้งนี้ทำให้นาย…”


“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่ม…โอเล็กส่ายหน้าแล้วพูดอีกว่า “ลุกขึ้นไหวไหม?”


นิคิตะพยักหน้า แม้ว่าสีหน้าเจ็บปวดก็ยังลุกขึ้นมา แต่ใบหน้านิคิตะกลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “โอเล็ก นายน่าจะอัดพวกมัน! ฉันรู้ นายจัดการเจ้าสองคนนั่นได้สบายๆ เลย!”


โอเล็กกลับพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “ฉันส่งสินค้าเรียบร้อยแล้ว ถ้านายไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันจะไปรับลูกฉันตอนเลิกเรียน”


นิติตะยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่โอเล็กกลับมุ่งหน้าเดินออกไปจากตรอก ริมฝีปากนิคิตะสั่นระริก สุดท้ายก็พิงกำแพงด้วยความเหนื่อยอ่อน


ผ่านไปนานสักพักหนึ่ง นิคิตะถึงได้เตะถังขยะที่อยู่ข้างๆ อย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์ แล้วกุมหัวนั่งลงไปอีก ผ่านไปไม่นาน เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากตรอกถนนนี้้ไปอย่างเหม่อลอยเช่นกัน


ตอนที่นิคิตะเดินออกจากตรอกถนนไป เขามองถนนที่เจริญรุ่งเรืองสายนี้อย่างไร้จุดหมาย…รถหรูพวกนั้นแล่นผ่านหน้าเขาไปตลอด เขาเผยให้เห็นแววตาอิจฉาอย่างเลี่ยงไม่ได้


เขายังมองเห็นหญิงสาวที่งดงามมากคนหนึ่ง แต่ผู้หญิงคนนี้กลับยืนอยู่ข้างกายชายชาวตะวันออกคนหนึ่ง ท่าทางดูสนิทสนมกันทีเดียว


“ถึงแม้จะเป็นชาวตะวันออก ถ้ามีเงินก็สัมผัสกับสาวงามได้เหมือนกันสินะ…เงิน เงิน เงิน!”


นิคิตะถ่มน้ำลายด้วยความหักห้ามใจ เขาละสายตาจากหญิงสาวงดงามคนนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะก้าวเลี้ยวจากไป



ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในซูเปอร์มาเก็ต Yeliseev’s Food Hall จู่ๆ ลั่วชิวก็ถามขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าที่รัสเซียนี่แก๊งอันธพาลคึกคักและอยู่ดีกินดีมากเลยนี่ พวกที่เก็บค่าคุ้มครองเมื่อกี้ก็ถือว่าใช่ล่ะสิ?”


คุณสาวใช้ตอบโดยอาศัยประสบการณ์ที่อยู่ที่นี่มานานหลายปี “พวกนั้นเกรงว่าอย่างมากก็คงเป็นแค่นักเลงหัวไม้ปลายแถวค่ะ น่าจะเป็นคนนอกสมาคมลับบางแห่งล่ะมั้งคะ คงได้แต่เก็บค่าคุ้มครองเท่านั้นค่ะ”


ลั่วชิวพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปในซูเปอร์มาเก็ตแห่งนี้


ที่บอกว่านี่เป็นซูเปอร์มาเก็ต…แต่เหลืองอร่ามแวววาวใหญ่โตราวกับพระราชวัง ความจริงที่นี่เป็นที่ที่จะมาชมวิวทิวทัศน์ใช่ไหม?


บทที่ 2 อันโตนิโอไม่อยากคุยกับเจ้าของร้านลั่ว และปาโคลนใส่เขาก้อนหนึ่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่โอเล็กมาถึงโรงเรียน กลับได้รับแจ้งว่าลูกชายของเขาหนีเรียนไปแล้วในคาบสุดท้าย จนตอนเลิกเรียนถึงได้รู้


คุณครูกำลังคิดจะโทรศัพท์หาโอเล็กสักหน่อย แต่ก็ถึงเวลามารับหลังเลิกเรียนพอดี


“หนีเรียน? ทำไมเขาต้องหนีเรียนครับ?” โอเล็กถามอย่างไม่เข้าใจ


คุณครูจะต้องเงยหน้าขึ้นมาถึงจะมองเห็นชายร่างสูงใหญ่ชาวไซบีเรียคนนี้ได้ชัดเจน เขาขมวดคิ้วพูดว่า “คุณโอเล็ก ปัญหานี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นผมที่ถามคุณมากกว่านะครับ ผมจำได้ว่าสัปดาห์นี้ผมแจ้งคุณไปแล้วสองครั้ง ถึงเชิญคุณมาโรงเรียนเพื่อคุยปัญหาลูกชายคุณสักหน่อย แต่เหมือนว่าคุณไม่ได้ตอบกลับผมมาอย่างเป็นทางการ”


โอเล็กพูดด้วยความทุกข์ใจรู้สึกผิดว่า “ขอโทษครับ ผมขับรถขนส่งสินค้า งานค่อนข้างยุ่ง อันที่จริงหาเวลาไม่ได้เลยครับ แค่มาส่งมารับลูกตรงเวลาทุกวันก็สุดความสามารถของผมแล้วครับ”


คุณครูส่ายหน้าพูดว่า “คุณครับ หรือว่ายังมีอะไรสำคัญกว่าคนในครอบครัวอีกเหรอครับ? ขอโทษนะครับ ผมก็ไม่ได้จะวิพากษ์วิจารณ์การใช้ชีวิตของคุณ แต่อันโตนิโอเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง คุณกรุณาสนใจความรู้สึกนึกคิดของเขาให้มากขึ้นหน่อยนะครับ อีกอย่างผมกำลังคิดจะแจ้งตำรวจแล้ว เพราะว่าอันโตนิโอยังเด็กมากจริงๆ เขาหนีออกไปจากโรงเรียนแบบนี้อาจจะเจออันตรายได้”


“ไม่ต้องหรอกครับ” โอเล็กกลับส่ายหน้าบอกว่า “ผมพอรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน…ถ้าอย่างนั้น ลาก่อนนะครับ”


“คุณโอเล็ก!คุณโอเล็ก! เฮ้อ…” คุณครูเห็นชายร่างสูงใหญ่คนนี้เดินจากไปไกลแล้วก็ถอนหายใจพลางส่ายหน้า


เขาได้แต่มองโอเล็กกำลังขับรถกระบะสีเหลืองเข้มไปตามถนน




การซื้อของครั้งนี้ของคุณสาวใช้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์


ทั้งสองคนต่างหิ้วถุงใส่ของใบใหญ่สองใบ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินแล้ว พวกเขากำลังเดินเรื่อยเปื่อยไปบนถนนมอสโก


สำหรับลั่วชิวแล้ว เมื่อก่อนเขาก็เคยหิ้วของกลับบ้านจากซูเปอร์มาเก็ตสัปดาห์ละสองครั้ง เขาคุ้นเคยตั้งนานแล้ว แต่ว่าคุณสาวใช้กลับคิดว่าไม่น่าจะให้นายท่านของเธอต้องออกแรงทำงานหนักแบบนี้เลย


แน่นอนว่าไม่โต้แย้งใดๆ


“ความจริงเดินกลับไปแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ แถมยังได้ชมวิวข้างทางด้วย”


ตั้งแต่มาถึงมอสโกเจ้าของร้านลั่วก็อารมณ์ดีมาตลอด แต่คุณสาวใช้ก็ไม่ได้ยืนกรานอะไรหลังจากรู้ว่านายท่านคนใหม่ของเธอไม่ชอบชีวิตแบบนั้น


สถานที่ซึ่งอยู่ละติจูดเหนือห้าสิบห้าองศา ถึงแม้จะเป็นหน้าร้อน แต่อุณหภูมิตอนกลางคืนก็แค่ยี่สิบกว่าองศาเท่านั้นเอง


อากาศเย็นสบาย แต่บนถนนกลับร้อนระอุด้วยผู้คนที่พลุกพล่าน


ลั่วชิวสังเกตถนนและผู้คนภายใต้แสงพระอาทิตย์ตกดินสีเหลืองนวลอย่างเพลิดเพลิน ในทันใดนั้นเอง เขาก็หยุดก้าวเดิน แล้วมองไปอีกฝั่งหนึ่งของถนนราวกับคิดอะไรบางอย่าง


การมามอสโกครั้งนี้ ส่วนใหญ่โยวเย่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งสถานที่ที่เป็นที่พักชั่วคราวด้วย


ถึงแม้ว่าเป็นแค่ที่พักชั่วคราว แต่ก็เป็นอะพาร์ตเมนต์ที่พิถีพิถันมากแห่งหนึ่ง…ส่วนค่าใช้จ่ายเท่าไรนั้น ลั่วชิวรู้สึกว่าเขาไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลย


แต่ทางนี้ก็ไม่ใช่ทางกลับไปอะพาร์ตเมนต์


เจ้าของร้านลั่วที่เปลี่ยนเส้นทางไปกะทันหัน เดินมุ่งไปยัง…สวนสาธารณะ


ในสวนสาธารณะ ผู้หญิงจำนวนประปรายกำลังพาลูกของตนมาเที่ยวเล่น และมีคนแก่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนม้านั่งกำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้า


แต่ในตอนนั้นเอง ก็เห็นเด็กชายสะพายกระเป๋าเป้คนหนึ่งนั่งบนชิงช้าฝั่งหนึ่งของสวนสาธารณะ แต่ไม่ได้แกว่งชิงช้า


เด็กน้อยมีผมหยิกสีน้ำตาลแดงทั่วทั้งหัว บนใบหน้ามีรอยกระจางๆ และตัวเล็ก


น่าจะอายุประมาณสิบขวบได้


“กินไหม?”


เด็กชายที่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงนี้ ก็เงยหน้าขึ้นมา มองเห็นเจ้าคนผมดำคนหนึ่งยื่นช็อกโกแลตแท่งหนึ่งมาให้เขา


เด็กชายนิ่งตะลึงงัน แต่กลับก้มหน้าไปอย่างรวดเร็ว สองเท้าถีบไปบนพื้นดินอย่างแรง ชิงช้าก็เริ่มแกว่งไกว


ลั่วชิวดูไม่ถือสาเช่นกัน แล้วนั่งลงบนชิงช้าข้างๆ จากนั้นก็บิซองช็อกโกแลตในมือ แล้วแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ หยิบใส่เข้าไปในปาก


วินาทีที่แบ่งช็อกโกแลต เสียงหักดังเป๊าะทำให้สายตาของเด็กชายคนนี้หันขวับมามอง แต่ก็หันกลับไปอีกทางอย่างรวดเร็ว


“อืม ค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย มีคนบอกไว้ว่า ตอนที่อารมณ์ไม่ดีกินของหวานสักหน่อยแล้วอารมณ์จะดีขึ้นเอง”


กึก!


สองเท้าของเด็กน้อยแตะพื้นหยุดทันที ชิงช้าก็หยุดไกวไป


กลับเห็นเด็กชายคนนี้จ้องมาที่ลั่วชิวอย่างดุดันโดยไม่พูอะไรสักคำ แล้วก็วิ่งไปทันที เพียงแต่เด็กน้อยไม่ได้วิ่งหนีไปไหนไกลมาก แล้วก็นั่งยองๆ บนพื้น


ไม่นานนัก เด็กชายก็ลุกขึ้นยืน ในมือของเขามีก้อนดินเหนียวที่ใช้มือปั้นขึ้นมา แล้วเด็กชายก็ปาก้อนดินเหนียวที่อยู่ในมือไปทางลั่วชิว


ก้อนดินเหนียวนี้แทบจะโดนใบหน้าของเจ้าของร้านลั่ว


ขณะเดียวกัน ในใจของลั่วชิวก็รู้สึกทึ่งกับสิ่งที่เรียกว่าการต่อสู้ระหว่างเชื้อชาติ เขาเอียงหัวเล็กน้อย ก้อนดินเหนียวนั่นก็ลอยเฉียดข้างหูเขาไป ไม่ได้โดนหน้าเขา


เด็กชายมีสีหน้าเสียดาย แต่กลับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ในทันที ไม่พูดพร่ำอะไรซ้ำอีกเขาก็วิ่งออกไปจากสวนสาธารณะ


แต่นึกไม่ถึงว่า เด็กชายเพิ่งจะหันหลังไปก็ชนเข้ากับอะไรใหญ่ๆ ในฉับพลัน จากนั้นก็ล้มลงไปบนพื้นทันที…เขาชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่แข็งแรงกำยำมากคนหนึ่ง


“อันโตนิโอ ลุกขึ้นมา”


ชายร่างสูงใหญ่คนนั้นกลับพูดขึ้นในทันที


เด็กชาย…อันโตนิโอเงยหน้าขึ้นเห็นชายร่างสูงใหญ่คนนี้ก็ก้มหน้าลงไปทันที ส่งเสียงทักทายเบาๆ คำหนึ่ง ‘พ่อ’



“อันที่จริงต้องขอโทษด้วยครับ ลูกชายของผมคนนี้ซนเหลือเกิน”


ชายร่างสูงใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่าโอเล็ก หลังจากที่เขาแนะนำตัวไปแล้ว จึงกล่าวขอโทษต่อหน้าลั่วชิวอย่างสุภาพมากๆ


ถึงแม้เขาจะเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนตะวันออก และรูปร่างเล็กเป็นสองเท่าของตนเองก็ตาม


“ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นคนมาชวนคุยเอง” ลั่วชิวลุกขึ้นมาพูดว่า “ผมเห็นเขาเหมือนไม่สบายใจ ก็เลยคิดจะให้ช็อกโกแลตเขากิน เขาคงคิดว่าผมเป็นคนไม่ดีมั้งครับ…อืม รู้จักป้องกันตัวไว้ก่อน อันที่จริงก็เป็นเรื่องดีมากเลยนะครับ”


โดยเฉพาะการต่อสู้ในนามชาติพันธุ์เนี่ย…


ฮึๆ


โอเล็กกลับตะลึงงัน “คุณเป็นชาวตะวันออกที่เติบโตที่นี่เหรอครับ?”


“ผมเป็นแค่นักท่องเที่ยวครับ” ลั่วชิวส่ายหน้าตอบ “เอ่อ…เดินทางท่องเที่ยวอิสระน่ะครับ”


โอเล็กพูดอย่างนึกไม่ถึง “โอ้พระเจ้า สำเนียงของคุณยอดมากเลย!ถ้าให้ผมปิดตา คงนึกว่าเป็นคนชาติเดียวกันเสียอีก!”


ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “ยังไงก็เป็นความสามารถที่แลกมาด้วยราคาประมาณหนึ่งเหมือนกันครับ”


“นั่นต้องเป็นการฝึกที่ลำบากไม่น้อยเลยนะครับ” โอเล็กพยักหน้าหงึกๆ ราวกับเห็นด้วย


อายุขัยห้าวันนับด้วยหรือเปล่า…


เวลานี้โอเล็กก็พูดอีกว่า “จริงสิ คุณ คุณพักอยู่ที่ไหนครับ? ผมไปส่งคุณได้นะ ถือว่าเป็นการไถ่โทษด้วย รถแท็กซี่รัฐวิสาหกิจในมอสโกค่อนข้างแพง นักท่องเที่ยวอย่างคุณจะถูกโกงเอาเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนรถที่เรียกบนถนน…ผมคิดว่าโดยปกติแล้วจะไม่หยุดรถให้คุณหรอก ถึงแม้ว่าคุณจะจ่ายเงินไหวก็ตาม อ้อ จริงสิ ผมคิดว่าผมน่าจะเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อถึงจะดี”


โอเล็กเห็นอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีตอบรับในทันที จึงพูดด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย “สบายใจได้ครับ ผมไม่ใช่คนเลวอะไร”


“เปล่าครับ เพียงแต่…” ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “เพิ่มอีกคนหนึ่งได้ไหมครับ?”


ลั่วชิวผายมือไปทางคุณสาวใช้ซึ่งเวลานี้กำลังนั่งจับตามองอย่างเงียบๆ อยู่ในสวนสาธารณะ


โอเล็กมองตามไป ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามน่าประทับใจมากจริงๆ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาครับ เพียงแต่ผมอาจจะต้องไปซื้อวัตถุดิบอาหารก่อนสักหน่อยนะครับ”


“พวกเราเพิ่งซื้อของบางอย่างมาครับ ถ้าไม่รังเกียจ เย็นนี้ก็กินของพวกนี้แล้วกันครับ” ลั่วชิวบอก


ดูเหมือนว่าการได้ไปสัมผัสกับห้องครัวของครอบครัวธรรมดาๆ ในต่างประเทศสักหน่อยนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเหมือนกัน ทันใดนั้นความสนใจของลั่วชิวก็เบี่ยงเบนไป ตอนนี้เขากำลังมองดูเด็กชายคนนี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังโอเล็กแวบหนึ่ง


ได้ยินความว้าวุ่นในดวงจิตของเด็กชายคนนี้


บทที่ 3 เด็กน้อยหนีออกจากบ้าน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คุณผู้หญิงคนนี้…ไม่ทานเหรอครับ?”


บนโต๊ะอาหาร โอเล็กเห็นหญิงสาวที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนี้แต่กลับไม่แตะอะไรสักนิด จึงถือโอกาสพูดขึ้น เพราะอาหารเย็นที่เต็มโต๊ะนี้ก็เป็นฝีมือของหญิงสาวคนนี้


พูดตามจริงแล้ว อาหารบนโต๊ะนี้ ทำให้โอเล็กรู้สึกเหมือนตัวเขาอยู่ที่ภัตตราคารทูรันดอตซึ่งคนรวยในมอสโกมักมารวมตัวกัน…แน่นอนว่าบ้านของเขาดูไม่ได้เลย


ชายร่างสูงใหญ่เลี้ยงดูเด็กชายตามลำพัง ทั้งยังต้องทำงานหาเลี้ยงชีพทุกวัน ส่วนใหญ่แล้วไม่มีเวลาว่างมาเก็บกวาดบ้านเลย โอเล็กลองคิดดู เหมือนว่านอกจากเตียงที่ใช้นอนและห้องน้ำแล้ว สิ่งที่สะอาดที่สุดน่าจะเป็นโต๊ะรับประทานอาหารที่ใช้บ่อยตัวนี้


“ไม่เป็นไรครับ ช่วงนี้เธอกำลังรักษาหุ่น” ลั่วชิวผู้ที่ใช้ส้อมจิ้มแตงกวาดองใส่ปากตอบไปเช่นนี้


โอเล็กพูดอย่างงงงวย “แต่ก็คงไม่ถึงกับไม่กินอะไรเลยมั้งครับ?”


“เลยเที่ยงไปแล้วไม่ทานครับ” เจ้าของร้านลั่วตอบง่ายๆ ไปประโยคหนึ่ง


พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหญิงสาวเรืองร่างงดงามสมบูรณ์แบบคนนี้จะดื้อดึงอดอาหารรักษาหุ่นไปทำไม? โอเล็กไม่ได้ถามต่อ แต่พูดว่า “อันโตนิโอ กินช้าๆ หน่อย ท่าทางการกินของลูกดูไม่ได้เลย”


โดยเฉพาะมีแขกอยู่ที่นี่…แม้บอกว่ารับประทานอาหารมื้อใหญ่อย่างมีความสุขเป็นสิ่งที่คนทำอาหารรู้สึกชื่นใจ แต่ยังไงก็เป็นแขกนะ


“พ่อ ถ้าปกติอาหารที่พ่อทำอร่อยได้สักครึ่งหนึ่ง ไม่สิ!อร่อยได้สักครึ่งของครึ่งหนึ่งล่ะก็ นั่นคงเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้ายังไม่ได้ทอดทิ้งผม”


อันโตนิโอพูดอย่างเย็นชา เด็กจอมซนผู้ทำสงครามเชื้อชาติอยู่เค้นพูดออกมา ทำให้โอเล็กหน้าเสียขึ้นมาบ้างทันที


แต่จะว่ายังไงดีล่ะ?


ลั่วชิวไม่เห็นความโกรธจริงๆ จากความจริงจังของโอเล็ก สิ่งที่เขารู้สึกได้มีเพียงสิ่งที่โอเล็กซ่อนไว้อยู่ เป็นความรู้สึกผิดและความเศร้าโศกลึกๆ ในใจ


โอเล็กถอนหายใจพูดว่า “ถ้าลูกจำได้ว่าก่อนกินข้าวต้องสวดขอพร พ่อคิดว่าพระเจ้าก็คงจะไม่ทอดทิ้งพวกเราแน่”


อันโตนิโอตะลึงงัน มือข้างหนึ่งตบหน้าผากเบาๆ ทิ้งมีดกับส้อมในมืออย่างรีบร้อน สองมือประสานกัน หลับตาลง “…ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน…”


แม้ไม่รู้ว่าระหว่างการอธิษฐานประชดคืนแบบนี้จะได้ผลหรือไม่กันแน่ แต่ลั่วชิวยังถามอย่างใคร่รู้ว่า “คุณโอเล็กก็เป็นชาวคริสต์ด้วยเหมือนกันเหรอครับ?”


โอเล็กส่ายหน้าตอบว่า “ผมไม่ใช่หรอกครับ แต่ว่าตอนที่ลูกชายคนนี้เกิดมาก็รับศีลล้างบาปแล้ว แม่เขาเป็นชาวคริสต์น่ะครับ”


ลั่วชิวพยักหน้า แล้วก็ไม่ได้ถามต่ออีก


ครอบครัวหนึ่ง ขาดผู้หญิงดูแลเป็นหลัก และรกสกปรกจนถึงระดับนี้ สภาพการณ์ไม่มีอะไรมากไปกว่าสองอย่างนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ไม่เหมาะจะพูดถึงในโอกาสนี้


แต่บางทีคงเป็นแบบที่แย่ที่สุดเลยล่ะมั้ง


สายตาลั่วชิวมองไปที่กรอบรูปเล็กๆ ข้างชั้นวางโทรทัศน์ในห้องรับแขก ในรูปนั้น นอกจากโอเล็กและเด็กทารกแล้ว ยังมีผู้หญิงผมสีน้ำตาลแดงที่สวยมากคนหนึ่ง


โอเล็กคิดว่าชายหนุ่มต่างชาติคนนี้เป็นคนดีมากเลย สุขุมใจเย็นอย่างยิ่ง อันโตนิโอสวดขอพรเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มรับประทานอาหารอย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง


อาหารมื้อนี้ สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมวิถีชีวิตในท้องถิ่นอยู่บ้าง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากมื้ออาหาร พูดอย่างไรโอเล็กก็ไม่ยอมให้คุณสาวใช้ล้างถ้วยชามให้ เขารวบถ้วยชามที่มีทั้งหมดโยนลงไปในอ่างล้างชามอย่างคล่องแคล่วคนเดียว แล้วพับแขนเสื้อขึ้น


ลั่วชิวเริ่มสังเกตการตกแต่งภายในบ้านของครอบครัวนี้อย่างละเอียด ตอนนี้อันโตนิโอจ้องมาที่ลั่วชิวตรงๆ…ราวกับว่าหลังจากที่เด็กซนได้ผ่านอาหารมื้อเย็นรสเลิศมื้อนี้แล้ว ความระแวดระวังในใจที่มีต่อคนแปลกหน้าคนนี้ก็ลดลงไปไม่น้อย


“คุณทำงานอะไรครับ?” อันโตนิโอเงยหน้า มองพี่ชายที่สูงกว่าเขาไม่น้อยคนนี้


เจ้าของร้านลั่วที่กำลังดูเครื่องประดับจากเขาสัตว์อันหนึ่ง วางมันลงอย่างเบามือแล้วยิ้มตอบว่า “ฉันเป็นพวกทำธุรกิจน่ะ”


“ธุรกิจ? ขายอะไรเหรอฮะ?”


ธุรกิจในความคิดของเด็กน้อยน่าจะเป็นแค่ร้านขายของที่ซื้อมาขายไปอะไรแบบนั้น “อืม อันที่จริงเป็นการขายของน่ะ”


“ขายอะไรฮะ?” อันโตนิโอถามด้วยความอยากรู้


ทันใดนั้นลั่วชิวก็ย่อตัวลงมาอยู่ในระดับสายตาของอันโตนิโอ เขายิ้มแล้วบอกว่า “ขายทุกอย่างนั่นแหละ ขอเพียงแค่ลูกค้าอยากได้ และจ่ายไหวก็ซื้อได้ทั้งนั้น”


อันโตนิโอเอียงหัวถามว่า “เครื่องบินขายไหมฮะ?”


“ขาย”


“รถไฟล่ะฮะ?”


“ก็ขายเหมือนกัน”


เด็กซนทำนิ้วมือเป็นปืน ทำท่าทางเล็งเป้า พูดด้วยใบหน้าตื่นเต้น “รถถังล่ะ? ขีปนาวุธล่ะ? ปืนใหญ่ล่ะ? ปืนซุ่มยิงดรากูนอฟ SVD ก็ขายไหมฮะ?”


“ขาย” ลั่วชิวพยักหน้า


เพียงแต่ว่า


เด็กน้อย เธอเพิ่งอายุสิบขวบเองนะ ทำไมอยู่ในวัยนี้อ้าปากพูดทีก็เป็นเครื่องบิน รถถัง ขีปนาวุธ และปืนใหญ่ล่ะ แถมยังมีปืนซุ่มยิงดรากูนอฟ SVD อีก นั่นเป็นปืนดักซุ่มยิงเลยนะ…


เด็กซนก็เลยพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณขายให้ผมได้ไหมฮะ? ผมมีเงินอยู่แปดพันสามร้อยรูเบิล! พอไหมฮะ?”


ลั่วชิวส่ายหน้า


อันโตนิโอก้มหน้าด้วยความผิดหวัง


ลั่วชิวลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปแตะศีรษะอันโตนิโอเบาๆ พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “จำไว้ว่า ตอนที่เธอมีสิ่งที่ต้องการ เธอจะหาฉันพบ…ตอนนั้นก็บอกสิ่งที่เธอต้องการซื้อจริงๆ อีกอย่าง ต้องใช้…”


เจ้าของร้านลั่วก้มหน้า กระซิบอะไรบางอย่างข้างๆ หูอันโตนิโอ


อันโตนิโอตาโต ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวทันที เผยความหวาดกลัวออกมาให้เห็น เขาได้ยินลั่วชิวพูดในตอนสุดท้ายว่า “พวกนี้เป็นค่าธรรมเนียมของสิ่งที่เธอต้องการจะซื้อ ได้ยินชัดเจนแล้วใช่ไหม?”


พูดไปพลาง ลั่วชิวก็ก้าวถอยหลังออกจากตรงหน้าอันโตนิโอทีละก้าวๆ แล้วโยวเย่ที่อยู่ข้างๆ ก็เดินมาข้างลั่วชิว หลังจากถอยไปสามสี่ก้าว เขาและเธอก็อยู่ตรงหน้าอันโตนิโอ แล้วก็หายตัววับไปทันที


อันโตนิโออ้าปากค้าง หลังจากนั้นก็ออกแรงขยี้ตาตัวเอง หลังจากขยี้ตาหลายครั้งก็ยังคงไม่อาจทำให้ตนเองสงบสติลงได้ เขามองไปยังพรมที่ว่างเปล่าตั้งนานแล้วอย่างเหม่อลอย



“อันโตนิโอ แขกสองคนนั้นล่ะลูก?”


โอเล็กเพิ่งล้างจานเสร็จก็ออกมาจากห้องครัว เขามองลูกชายตนเองแล้วถามขึ้น


“หะ หายไปแล้ว!” อันโตนิโอชี้ไปยังตำแหน่งที่สองคนนั้นหายตัวไป แล้วหันมาพูดว่า “ผมเห็นพวกเขาหายตัววับไปตรงนั้นเลย!”


โอเล็กตะลึงงัน แล้วก็เดินมาตรงหน้าอันโตนิโอ ย่อตัวลง ลูบหัวของเขาพลางพูดว่า “พระเจ้าบอกว่าห้ามโกหก วันนี้ตอนที่ลูกกินข้าวลืมสวดขอพร ตอนนี้ก็โกหกอีกแล้ว ลูกว่าควรทำยังไงดี?”


“ผมพูดความจริง!” อันโตนิโอพูดเสียงดัง


“อันโตนิโอ!” โอเล็กสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยเสียงค่อนข้างเข้มว่า “วันนี้ ลูกหนีเรียนใช่ไหม? เหมือนว่าพ่อยังไม่ได้ถามลูกเรื่องนี้เลย ทำไมลูกถึงหนีเรียน?”


อันโตนิโอกลับกำหมัดน้อยๆ ไม่พูดโต้แย้งสักคำ


โอเล็กพูดว่า “ลูกรู้หรือเปล่า ว่ามีเพียงเด็กเกเรถึงจะหนีเรียน ลูกอยากเป็นเด็กเกเรงั้นเหรอ?”


อันโตนิโอกลับพูดว่า “ผมโตแล้วนะ! ผมไม่ต้องไปโรงเรียน ผมจะทำในสิ่งที่ผมชอบทำ!”


“ลูกโตแล้ว?” โอเล็กกลับส่ายหน้า ยื่นมือออกมาคว้าแขนอันโตนิโอขึ้นเบาๆ แล้วก็ยกตัวเขาขึ้นมา พูดเสียงราบเรียบว่า “นี่ลูกรู้ไหม? แบบนี้ถึงจะเรียกว่าโต”


อันโตนิโอกลับใช้เท้าเตะสะเปะสะปะไปที่ตัวโอเล็ก “ปล่อยผมนะ! ปล่อยผม! ปล่อยผม! ปล่อยผม! คนขี้ขลาด!”


“ลูกพูดว่าอะไรนะ?” โอเล็กพูดเสียงเข้ม


“คนขี้ขลาด! พ่อเป็นคนขี้ขลาด! โอเล็กเป็นคนขี้ขลาด!!”


เพี๊ยะ!


โอเล็กไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ ตบไปที่ใบหน้าอันโตนิโอ แต่หลังจากที่ตบหน้าไปครั้งนี้ โอเล็กกลับนิ่งอึ้งทันทีและเสียใจเป็นที่สุด


เขาปล่อยอันโตนิโอลง อันโตนิโอกุมแก้มตัวเองไว้ จ้องมองพ่อตนเองอย่างดุดัน “โอเล็กเป็นคนขี้ขลาด!!”


หลังจากเด็กน้อยพูดปนเสียงร้องไห้ดังลั่นแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเบือนหน้าวิ่งกลับเข้าไปในห้องของตนเอง ปิดประตูอย่างแรง


โอเล็กยืนนิ่งไม่ไหวติงตรงที่เดิม ริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด สุดท้ายก็ทอดถอนใจออกมา เขาสูดลมหายใจยาวๆ หยิบกรอบรูปบนชั้นวางทีวีขึ้นมา ลูบเบาๆ ไปบนกระจกในกรอบรูปอย่างช้าๆ


ความหนาวเย็นบนกระจกได้แทรกซึมไปบนนิ้วมือของโอเล็กทีละนิด


ชายผู้ซึ่งมีร่างสูงใหญ่กำยำผู้นี้นั่งลงบนโซฟา หลับตาลง บ้านหลังนี้หลังจากที่ผ่านมื้อเย็นที่อิ่มหนำสำราญไป ก็กลับมาเงียบเหงาเหมือนวันปกติอีกครั้ง




วันถัดมา โอเล็กลืมตาขึ้นด้วยความปวดหัวเล็กน้อย ช่วงหลังเที่ยงคืนเขากรอกเบียร์ไปไม่น้อยอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว


โอเล็กผู้มีกลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่วตัวกุมหัวตนเองอีกครั้ง มองดูเวลา


“ถึงเวลาแล้วเหรอเนี่ย?”


โอเล็กตบหัวตัวเองเบาๆ อย่างหงุดหงิด และไม่ทันได้เช็ดคราบน้ำตาตนเอง ก็รีบลุกขึ้นพูดว่า “อันโตนิโอ อันโตนิโอ! ตื่นได้แล้ว พ่อจะพาลูกไปส่งโรงเรียน อันโตนิโอ!”


โอเล็กเดินไปห้องอันโตนิโอพลางตะโกนเรียก แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับ


เขาขมวดคิ้ว บิดลูกบิดประตู ลูกบิดประตูก็ไม่ได้ล็อก ประตูก็เปิดออกได้อย่างง่ายดาย


แต่อันโตนิโอไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว


โอเล็กกลับพบโน้ตข้อความบนตู้หัวเตียงเขียนไว้ว่า ‘ผมจะไปจากบ้านนี้!’


บทที่ 4 โตกว่า สูงกว่า แข็งแกร่งกว่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“มารีน่า รีบเก็บข้าวของเร็ว จะออกไปกันแล้วนะ!”


“ค่ะแม่!”


ในอีกด้านหนึ่งของประตู เด็กหญิงกำลังยุ่งกับการจัดกระเป๋าเรียนของเธออยู่ ด้วยแม่ของเธอจะรีบส่งเธอไปโรงเรียน แต่ในตอนนี้เองเด็กหญิงกลับนิ่งเฉย


เพราะมีคนกำลังเคาะหน้าต่างห้องนอนของเธอ เด็กหญิงเอียงศีรษะ จากนั้นจึงเปิดหน้าต่างไปเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย


“อันโตนิโอ? ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?” มารีน่าถามอย่างสงสัย


“มารีน่า ฉันหนีออกจากบ้าน!” อันโตนิโอมองมารีน่าพลางพูดด้วยท่าทางภูมิใจในตนเองนิดๆ ว่า “เธออยากมากับฉันไหมล่ะ?”


มารีน่าพูดอย่างไม่เข้าใจ “แล้วทำไมฉันต้องหนีออกจากบ้านไปกับเธอด้วยล่ะ? อันโตนิโอ หนีออกจากบ้านมามันไม่ถูกต้องนะ เธอทำแบบนี้คุณโอเล็กจะต้องเสียใจมากแน่ เธอน่าจะกลับไปขอโทษเขานะ”


อันโตนิโอบอกว่า “มารีน่า ฉันชอบเธอ เพราะงั้นถึงได้มาหาเธอไง”


มารีน่าส่ายหน้าพูดว่า “แต่ฉันไม่ได้ชอบเธอนะ อันโตนิโอ! ฉันชอบผู้ชายที่อายุมากกว่า เป็นผู้ใหญ่กว่า…นี่แม่ฉันกำลังเร่งฉันแล้ว อันโตนิโอ ลาก่อนนะ หวังว่าจะได้เจอเธอที่โรงเรียน”


“มารีน่า! มารีน่า!”


แต่เด็กหญิงมารีน่าไม่สนใจที่อันโตนิโอตะโกนเรียก เธอปิดหน้าต่างลงอย่างรวดเร็ว พร้อมดึงผ้าม่านปิดสนิท


อันโตนิโอก้มหน้าอย่างผิดหวังอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้มารีน่าออกจากห้องไปแล้ว และเธอได้อธิบายเรื่องบางอย่างกับแม่ของเธอ


“อะไรนะ? หนีออกจากบ้านเหรอ?”


แม่ของมารีน่าตะลึงงัน รีบร้อนอ้อมไปทางด้านหลังบ้าน แต่ตอนนี้เธอเห็นแค่ตัวอันโตนิโอปีนข้ามรั้วไปเท่านั้นเอง


คุณผู้หญิงคนนี้ตะโกนเรียกก็ไม่ทันแล้ว เธอขมวดคิ้วพูดว่า “มารีน่า ลูกไปเอาสมุดโทรศัพท์มา แม่ว่าต้องติดต่อคุณโอเล็กสักหน่อยแล้ว”


“ได้ค่ะ~”



แม้ว่าการสารภาพรักจะล้มเหลว แต่ดูเหมือนว่าอันโตนิโอก็ไม่ได้เสียใจอย่างที่คิด ความรู้สึกของเขากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


เพราะว่าตอนนี้เขากำลังเดินไปบนถนนเส้นที่คึกคัก


ปกติเวลานี้เขาต้องอยู่ในโรงเรียน และนั่งให้เรียบร้อยจนกว่าคุณครูจะมา


ดังนั้นในเวลานี้ทุกอย่างที่อันโตนิโอได้พบเห็นทั้งหมดจึงแปลกใหม่สำหรับเขา อันโตนิโอส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข สองมือของเขากางออก วิ่งกระโดดโลดเต้นอยู่บนถนนราวกับจินตนาการว่าตนเองกำลังโบยบิน


เขาเอาเงินที่มีทั้งหมดของตนเองออกมาจากบ้าน แปดพันกว่ารูเบิล เพื่อนนักเรียนในโรงเรียนส่วนใหญ่ต่างคุยกันถึง ‘เงิน’ของตนเอง แต่ว่าพวกเขาต่างใช้ ‘เงิน’ ซื้อของเล่นหรือขนมที่ไร้ประโยชน์


เพื่อนร่วมชั้นพวกนั้นอ่อนต่อโลกเกินไป ไม่รู้เลยสักนิดว่าจะใช้ ‘เงิน’ ของตนเองอย่างไรให้ถูกต้อง!


“กาแฟแก้วหนึ่ง แซนวิชที่หนึ่งครับ”


อันโตนิโอนั่งบนเก้าอี้ในร้านกาแฟ นี่คือที่ที่อันโตนิโอต้องใช้ความพยายามถึงจะตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ ที่สำคัญคือเก้าอี้ทั้งหมดเป็นเก้าอี้สำหรับผู้ใหญ่


อันโตนิโอคิดว่าตนเองนั่งได้เหมือนผู้ใหญ่ที่อยู่รอบๆ ตัวแล้ว แล้วเขายังถือโอกาสหันไปสั่งอาหารบางอย่างกับพนักงานในร้านอีกด้วย


“หนุ่มน้อย นี่พ่อแม่เธอให้เธอมาซื้อใช่ไหม?”


“ผมกินเองครับ” อันโตนิโอทำเสียงแบบผู้ใหญ่พูดตอบ


สวรรค์รู้ว่าเขาคิดว่าเป็นเสียงผู้ใหญ่ ส่วนพนักงานในร้านได้ยินแล้วรู้สึกอย่างไรกันแน่นั้น เห็นแต่พนักงานร้านขมวดคิ้วพูดว่า “หนุ่มน้อย เธอเชื่อฉันเถอะนะ กาแฟไม่เหมาะกับเธอหรอก เธอเอานมหนึ่งที่ยังดีกว่ากาแฟหนึ่งแก้วอีกนะ แล้วนี่เธอมาคนเดียวเหรอ? พ่อแม่เธอล่ะ?”


เขามองเห็นเด็กชายเดินเข้ามาเอง และปีนขึ้นเก้าอี้สูงแบบนี้ จึงอดเอาใจใส่ไม่ได้


“ขอแค่คุณเอากาแฟแก้วหนึ่งและแซนวิชหนึ่งที่ให้ผมก็พอแล้ว!” อันโตนิโอยื่นมือที่กำเงินมาวางบนโต๊ะ


พนักงานในร้านคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พยักหน้า แต่เขาก็แอบโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว “สวัสดีครับ คุณตำรวจ ที่นี่ถนน XX เลขที่ 12 เมื่อกี้มีเด็กมาในร้านผมคนหนึ่งครับ เหมือนจะมาคนเดียว…ได้ครับ ได้ครับ ผมจะดูเขาเอาไว้ พวกคุณรีบมาเลยนะครับ”



อันโตนิโอหนีออกจากบ้านได้แค่สามชั่วโมงก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง


นายตำรวจคนหนึ่งกำลังโทรศัพท์ แต่ตอนนี้นายตำรวจอีกคนกำลังมองดูอันโตนิโอและพูดว่า “พวกเรากำลังแจ้งพ่อของเธออยู่ เขาจะรีบมารับเธอทันที”


อันโตนิโอพิงประตูรถตำรวจลำพังคนเดียว ไม่เถียงอะไรสักคำ


นายตำรวจคนนี้ย่อตัวลง ถามด้วยความใจเย็นว่า “ทำไมเธออยากหนีออกจากบ้านล่ะ? พ่อตีเธอเหรอ?”


อันโตนิโอกลับพูดทันทีว่า “คุณตำรวจครับ ผมอยากเข้าห้องน้ำ ผมปวดท้อง”


นายตำรวจคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็คว้าแขนอันโตนิโอพาเดินกลับเข้าไปในร้านกาแฟ จนกระทั่งส่งเขาถึงประตูห้องน้ำ ก็สั่งกำชับไว้ว่า “อย่าลืมล้างมือด้วยนะ”


อันโตนิโอพยักหน้า ท่าทางว่านอนสอนง่าย


หลังจากนั้นไม่นาน โอเล็กก็เข้ามาอย่างรีบร้อน สีหน้าไม่สู้ดีรีบถามว่า “คุณตำรวจครับ ลูกชายของผมล่ะ?”


“เขาอยู่ข้างใน” คุณตำรวจตบประตูห้องน้ำพลางพูดว่า “เจ้าหนู เธอน่าจะออกมาได้แล้วนะ พ่อของเธอมาถึงแล้ว”


ตบประตูไปแค่สองครั้ง ในนั้นก็ไม่มีเสียงตอบมาเลย โอเล็กขมวดคิ้ว ยื่นมือออกไปบิดลูกบิดประตู เปิดล็อกออกได้อย่างง่ายดาย


ตำรวจนั่นไม่ทันได้ทึ่งกับพลังมือของชายร่างสูงใหญ่คนนี้ ได้แต่มองดูประตูห้องน้ำที่เปิดออกมาแล้ว…แต่ไร้เงาคน


“เขาล่ะ…” นายตำรวจพูดอย่างตกใจ


โอเล็กทอดถอนใจ ชี้ไปทางหน้าต่างบานเล็กๆ แล้วพูดว่า “ปีนออกไปแล้วครับ”



“เจ้าหนู ที่นี่เธอเข้าไปไม่ได้นะ ที่นี่ต้อนรับแต่ผู้ใหญ่ ถึงเธอจะมีเงินก็เข้ามาไม่ได้นะ อีกอย่างโทรศัพท์ของพ่อแม่เธอเบอร์อะไร? เจ้าหนู เจ้าหนู? เจ้าหนู…”



“เจ้าหนู หรือว่าพ่อแม่ของเธอไม่ได้บอกเธอเหรอ ว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่จะซื้อบุหรี่ไม่ได้น่ะ? เจ้าหนู เจ้าหนู? เจ้าหนู…”



“หนุ่มน้อย ทำไมเธอมาเดินเล่นเตร่อยู่บนถนนคนเดียวล่ะ? แล้วพ่อแม่ของเธอล่ะ? เธอหลงทางเหรอ? เจ้าหนู เจ้า…”




ทันใดนั้นอันโตนิโอก็คิดว่าตนเองไม่มีที่ไป เพราะอะไร เพราะอะไรผู้คนทุกที่มักจะถามถึงพ่อแม่ของเขาทุกครั้งที่อ้าปาก?


เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาดูแลตนเองได้เป็นอย่างดี


อันโตนิโอไม่รู้ว่าตนเองจะเดินไปที่ไหนกันแน่ เขารู้แค่ว่า ทุกครั้งตอนที่พบใครเดินมาหาเขาด้วยความสงสัย เขาก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว


ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์เหมือนตอนเช้าที่ร้านกาแฟอีก แล้วคราวนี้อันโตนิโอคิดว่าตนเองคงจะไม่ได้โชคดีปีนออกมาจากห้องน้ำได้อีก


แต่พอคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าขึ้นมา อันโตนิโอก็นึกถึงมันด้วยความหงุดหงิด เขาน่าจะเอาของที่ซื้อจากร้านกาแฟมาด้วย


“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย?”


อันโตนิโอไม่เพียงแต่ไม่เจอร้านอาหารเท่านั้น ขนาดร้านสะดวกซื้อก็ยังไม่เห็นสักร้านเหมือนกัน เขารู้สึกหิวจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว


แล้วจะให้กลับไปแบบนี้น่ะเหรอ?


ฉันโตแล้วนะ!


‘จำไว้ว่า ตอนที่เธอมีสิ่งที่ต้องการ เธอจะหาฉันพบ…’


ในทันใดนั้นเองในหัวอันโตนิโอก็นึกถึงคำพูดนั้นขึ้นมา เขานึกถึงสองคนนั่นที่มาบ้านเขาเมื่อเย็นวาน สองคนนั่นที่หายตัวไปอย่างน่าอัศจรรย์


อันโตนิโอเงยหน้ามองส่ายไปทั่ว เขากวาดสายตามองไปเรื่อย เหมือนว่าที่นี่จะเป็นเขตโรงงาน


สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาเดินมาถึงที่นี่ได้อย่างไร


แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้สิ่งที่อันโตนิโอเป็นกังวลมีแต่คำพูดที่พี่ชายคนนั้นเคยบอกไว้จะเป็นความจริงหรือไม่กันแน่


“คุณอยู่ที่ไหน?”


“คุณอยู่ที่ไหน?”


สองมืออันโตนิโอป้องปากไว้ ตะโกนเรียกเสียงดัง “ออกมานะ! คุณอยู่ที่ไหน! ออกมา!”


“อยากกินช็อกโกแลตเหรอ?”


วินาทีที่อันโตนิโอกำลังจะยอมแพ้ ทันใดนั้นเสียงที่เคยได้ยินเมื่อวานก็ดังขึ้นที่ด้านหลังเขา…แน่นอนว่า ยังเป็นคำพูดที่เหมือนกับครั้งก่อนด้วย!


อันโตนิโอหันกลับมาทันที เจ้าคนลึกลับนี่ยื่นช็อกโกแลตออกมาแท่งหนึ่งเหมือนเมื่อวาน บางทีเพราะว่าเขาหิวแล้วจึงคว้าซองช็อกโกแลตมาฉีกออกอย่างไม่ลังเล แล้วก็ใส่เข้าไปในปาก


“เธอเรียกหาฉันมีเรื่องอะไร?”


อันโตนิโอซึ่งช็อกโกแลตยังเต็มปากเงยหน้าขึ้นบอกว่า “พี่ชาย คุณขายทุกอย่างใช่ไหม?”


“อืม”


“งั้น…งั้น…” อันโตนิโอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ชูนิ้วโป้งข้างหนึ่งพูดว่า “ผมใช้อายุ…ไม่เอา ไม่เอา ผมใช้ ผมใช้ เอ่อ…”


ทันใดนั้น อันโตนิโอก็พูดว่า “มารีน่าไม่ชอบผมแล้ว!ถ้าอย่างนั้นผมก็ใช้ความรักมาแลกเปลี่ยนแล้วกัน!!คุณช่วยเปลี่ยนผมเป็นผู้ใหญ่ที!”


“ผู้ใหญ่?”


อันโตนิโอพยักหน้าพูดว่า “ใช่! ผู้ใหญ่!ผมอยากโต ตัวโตสูงเหมือนพ่อของผม! ไม่สิ ผมจะตัวโตกว่าเขา สูงกว่า แข็งแกร่งกว่า!”


เห็นพี่ชายคนนี้ไม่มีปฏิกิริยาอะไร อันโตนิโอเลยพูดอย่างกังวลว่า “พอ พอไหมครับ? ถ้าไม่พอ ผมยังต้องจ่ายอะไรอีกไหม?”


“ไม่หรอก…พอแล้ว”



เหมือนสายลมพัดผ่านไปครู่หนึ่ง


ทิวทัศน์ทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าก็เปลี่ยนไป


ตอนที่ม้วนหนังแกะมหัศจรรย์นั่นคลี่ออกตรงหน้าเขา อันโตนิโอรู้สึกว่าทั้งตัวเขาเหมือนฝังอยู่ในน้ำแข็งหิมะในหน้าหนาว จนเขาอดตัวสั่นเทาไม่ได้


พี่ชายคนนั้นบอกว่า ทำสัญญาข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็หายตัวไปต่อหน้าเขาอีกครั้งหนึ่ง


แต่อันโตนิโอรู้สึกว่าตนเองไม่เหมือนเดิมแล้ว!


เขายื่นมือออกมาดูแขนของตัวเอง มันใหญ่ขึ้นแล้ว แขนของเขาหนากำยำกว่าต้นขาของเขาเมื่อก่อนเสียอีก กล้ามเนื้อเป้นมัดๆ ขนาดไม่ต้องกำหมัดกล้ามก็เกร็งนูนได้เต็มที่!


ขนาดสองขาของเขายังยาวกว่าความสูงเมื่อก่อนเสียอีก!


อันโตนิโอลูบใบหน้าตนเองอย่างลืมตัว มีหนวดเคราอยู่บ้าง!จริงสิ ยังมีสายตาอีก! สายตาของเขาตอนนี้เหมือนยืนอยู่บนเก้าอี้เลย!


ยังมีอีก เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดออกด้วยร่างกายที่ใหญ่โตขึ้น มีแต่ผ้าขาดเป็นริ้วๆ ห้อยบนตัวเขา แต่สายสะพายกระเป๋าเป้ของเขาฉีกขาดไปตั้งนานแล้ว!


อันโตนิโอถอนหายใจอย่างไม่อยากเชื่อ เขาออกแรงหยิกใบหน้ารูปไข่ของตนเอง รู้สึกเจ็บแล้ว เจ็บสุดๆ เลย


แต่เขากลับยิ้ม


“ผมโตแล้ว!ผมโตแล้วจริงๆ! ตอนนี้ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”


บทที่ 5 อันโตนิโอเจอนิคิตะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนบ่าย


เลยมาเป็นเวลาแปดชั่วโมงแล้ว โอเล็กเปิดรถกระบะสีเหลืองคันนั้นของเขา แทบจะไปทั่วทุกแห่งในเมืองนี้แล้ว แต่เขายังคงหาตัวอันโตนิโอไม่พบ


“ฉันไม่น่าตีเขาเลย”


โอเล็กอดโทษตนเองไม่ได้


เริ่มตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนที่ชีวิตของเขาเหลือแค่อันโตนิโอ ชีวิตน้อยๆ นี้เป็นแรงผลักดันให้เขามีชีวิตต่อไป


“อันโตนิโอ ลูกอย่าเป็นอะไรไปนะ”


คุณโอเล็กซึ่งไม่ใช่ชาวคริสต์ แต่ตอนนี้เขากลับศรัทธามากกว่าเมื่อก่อน และศรัทธามากกว่าศาสนิกชนธรรมดาทั่วไปเสียอีก


แต่เขาคิดว่าความศรัทธาแบบนี้จะมากน้อยแค่ไหนก็ไม่ใช่ศรัทธาแท้จริงอะไร พอเกิดเรื่องถึงได้คิดจะไปสวดขอพร ดูเหมือนเขาจะเป็นพวกนับถือลัทธิผลประโยชน์ล่ะมั้ง?


ในที่สุด ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีจนเหมือนสีเหลืองของรถกระบะคันนี้ ซึ่งยังคงแล่นผ่านไปในเมืองวุ่ยวายแห่งนี้


แท้จริงแล้วแววตาของโอเล็กจดจ่ออยู่กับเด็กที่รูปร่างสูงกว่าหัวดับเพลิงหน่อย เขาเลยไม่ได้สังเกตเห็นวินาทีที่รถกระบะเลี้ยวไปเมื่อครู่นี้ มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่


เป็นสายตาที่มองมาจาก เรือนร่างที่แข็งแรงกำยำมากคนหนึ่ง


แข็งแรงมากขนาดไหนกันแน่?


ถ้าเป็นสายตาของคนที่เดินผ่านไปมา ก็น่าจะรู้สึกประมาณว่า ‘เจ้าหมอนี่แข็งแรงเหมือนหมีสีน้ำตาลเลย!’



อันโตนิโอได้แต่มองรถกระบะที่คุ้นเคยคันนี้ค่อยๆ แล่นผ่านตัวเองไปอย่างช้าๆ เขามองเห็นโอเล็กตรงที่นั่งคนขับอย่างชัดเจน


บางทีเป็นเพราะว่าเขาโตขึ้นแล้ว อันโตนิโอจึงคิดว่าการมองเห็นของตนเองนี่ดีขึ้นเยอะเลย ถึงได้มองเห็นความร้อนใจบนใบหน้าโอเล็กได้อย่างชัดเจน


“พ่อ…”


ในวินาทีที่รถกระบะแล่นผ่านไป ริมฝีปากอันโตนิโอสั่นระริกโดยไม่รู้ตัว เขาคิดจะโบกมือทักทาย แต่โอเล็กไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยสักนิด


อันโตนิโอมองดูรถกระบะขับเข้าไปในอีกซอยหนึ่ง เขาพูดพึมพำกับตนเอง “พ่อจำผมไม่ได้แล้วจริงๆ…ผมโตขึ้นแล้วจริงๆ!”


อันโตนิโอมองเงาสะท้อนตนเองในกระจกของร้านอาหารริมถนน ยิ่งมองก็ยิ่งพอใจที่โตขึ้นแล้ว จริงสิ ตอนที่เขาออกมาจากเขตโรงงาน ยังได้แอบเอาเสื้อผ้ามาจากสวนบ้านคนอื่นชุดหนึ่งด้วย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าตอนนี้คงตัวเปลือยไปแล้ว


“คุณครับ ต้องการสั่งอะไรไหมครับ?” พนักงานร้านเดินออกมา นี่เป็นร้านขนมเค้กร้านหนึ่ง


อันโตนิโอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เอาเค้กช็อกโกแลตให้ผมที่หนึ่ง”


ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่มันช่างดีจริงๆ เลย ชอบซื้ออะไรก็ซื้อ ไม่มีใครคอยบ่นอยู่ข้างๆ ว่าอันนี้ไม่ได้อันโน้นไม่ได้อีกต่อไป


อันโตนิโอกินขนมเค้กอย่างเอร็ดอร่อยพลางเดินเล่นอยู่ริมถนน เขาพบว่าคนจำนวนไม่น้อยหันมามองทางเขา โดยเฉพาะพวกพี่สาวที่มองมาทางเขาเป็นพิเศษ


แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวพวกนี้ถึงหัวเราะกระซิกมาทางเขา บางครั้งก็กระพริบตาใส่เขาไม่หยุด จริงสิ แถมเจอพี่สาวคนหนึ่งมาชนเขา แล้วยังลูบคลำหน้าอกของเขาอีก


รู้สึกจั๊กจี้


“ไฮ! พ่อรูปหล่อ อยากไปดื่มกาแฟด้วยกันสองคนไหม?”


“เอ่อ ไม่ไปล่ะ ผมคิดจะไปหาที่เที่ยวกับเพื่อน ทุกสัปดาห์วันนี้พวกเราจะนัดไปเล่นเกมกัน!”


“งั้นเหรอ…อืม บ๊ายบาย”


หลังจากนั้นรอยยิ้มของพี่สาวก็เลือนหายไปทันที แล้วก็จากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ อันโตนิโอกำผมตนเอง เขาไม่เข้าใจเลย คิดอยู่ในใจว่าตนเองควรจะตอบรับคำเชิญไปหรือเปล่านะ?


“ตอนนี้ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าครั้งหน้าเจออีกก็รับปากไปเลยแล้วกัน? นี่ถึงจะเป็นผู้ใหญ่…”


ตอนที่กำลังแอบคิดอยู่เงียบๆ ข้างหน้าก็มีคนพุ่งเข้ามา


คนนี้ตะโกนเสียงดังว่า “หลีกไป! หลีกไปๆ! หลีกไป!”


เห็นลุงสองคนวิ่งตามหลังเจ้าหมอนี่ที่ตะโกนวิ่งพรวดเข้ามา คนที่แหกปากกำลังถูกคนไล่ล่าอยู่


ในตอนนี้ชายคนนั้น…และลุงสองคนนี่วิ่งผ่านอันโตนิโอไป อันโตนิโอกลับต้องอ้าปากค้าง เขาจำได้แม่นว่าคนที่ถูกลุงสองคนนั่นไล่ล่าคือใคร“นิคิตะ คุณอานิคิตะ?”



“คุณหนีไม่พ้นหรอก”


ในที่สุดนิคิตะซึ่งถูกตามล่า ก็เข้ามาในซอยเปลี่ยวทางตัน เขาได้แต่มองข้างหน้าอย่างหงุดหงิด ทำไมตรงนี้เป็นทางตัน? นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ไอ้สารเลวที่ไหนมันก่อกำแพงเนี่ย?


แต่ไม่ว่าเขาจะสบถด่าคนที่สร้างกำแพงนี้ขึ้นมาอย่างไร เขาก็จำต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าเขาไร้ทางหนีแล้ว


นิคิตะได้แต่หันกลับมา สองมือยื่นไปข้างหน้าตัวเอง คิดลองเจรจากับอีกฝ่ายดู “เฮ้ พวกพี่ พี่ซ้อมผมให้ตายที่นี่ พี่ก็เอาเงินไปไม่ได้หรอก ทำไมพวกพี่ไม่ให้เวลาผมสักหน่อยล่ะ ให้ผมได้คิดหาวิธีน่ะ?”


“อืม นิคิตะที่รัก คุณก็รู้นี่ แต่ละเดือนมีคนมากมายเท่าไรขอพวกเราไปคิดหาวิธี ผลสุดท้ายก็แอบหนีไปได้? กฎของบ่อนหลังจากยืมแล้วจะต้องคืนภายในสิบสองชั่วโมง อ้อ คุณนิคิตะ**** หรือว่าก่อนยืมเงินไม่ได้ยินกฎของพวกเราเหรอ?”


“แต่ดอกเบี้ยของพวกพี่มันโหดเกินไปนะ!” นิคิตะมองสองคนนั่นอย่างตื่นกลัวเหงื่อแตกพลั่ก


เขารู้สึกเสียใจที่เมื่อคืนวานไปดื่มเหล้าแก้เซ็งคนเดียวจริงๆ!ถ้าไม่ใช่เพราะดื่มเมามายเกินไปทำให้สมองของเขาไร้ประสิทธิภาพ เขาคงจะไม่คิดเสี่ยงโชคเดินเข้าไปบ่อนพนันใต้ดินเด็ดขาด


ผลก็อย่างที่รู้ นี่ก็คือผลที่ตามมา


“ดอกเบี้ยเท่าไร ก็พูดไว้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วไม่ใช่หรือไง?” คนนั้นหัวเราะเยาะพูดว่า “คุณนิคิตะกลับไปกับพวกเรา ไปคิดหาวิธีที่นั่นก็แล้วกัน”


“ถ้าคุณคิดจะขัดขืนจนถึงที่สุด ก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจล่ะ”


นิคิตะมองดูชายร่างสูงใหญ่กำหมัดเสียงดังกรอบแกรบเดินเข้ามาใกล้ หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความหวาดกลัวทันที แต่ทว่าในตอนนี้เอง นิคิตะแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง!


หนึ่งในนั้นลอยขึ้นมา…ไม่ใช่ๆๆ ถูกยกลอยขึ้นมาต่างหาก!


เจ้าคนที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าปกติคนหนึ่ง มือข้างหนึ่งคว้าเข็มขัดของชายคนหนึ่งไว้ มืออีกข้างหนึ่งกำลังออกแรงบิดแขนของเขาอยู่ แล้วก็ยกตัวเขาขึ้นมาทั้งอย่างนั้น!


สวรรค์!แต่ไหนแต่ไรนิคิตะไม่เคยเห็นใครแข็งแรงกำยำขนาดนี้มาก่อนเลย!


เจ้าคนแข็งแรงกำยำคนนี้คำรามเสียงดัง แล้วก็โยนชายคนนั้นออกไปอย่างแรง ชายที่ถูกโยนออกไปนั้นจมอยู่ในถังขยะทันที ราวกับว่าหัวกระทบกับฝาปิด ถึงได้ร้องครางด้วยความเจ็บปวดแต่กลับปีนออกมาไม่ได้


ชายอีกคนเห็นเหตุการณ์ พอกัดฟันก็พุ่งไปที่คนร่างกำยำนี่ สองมือโอบเอวเขาเอาไว้ ผลักอีกฝ่ายไปชิดกำแพง


แต่คนร่างกำยำคนนี้กลับใช้กำปั้นอัดไปที่แผ่นหลังของชายคนนั้นอย่างเต็มแรง!


เพิ่งจะสองสามหมัด สองมือของชายคนนั้นก็คลายออก…เขารู้สึกว่ากระดูกสันหลังของตนเองเหมือนจะหักแล้ว ไม่เหมือนโดนกำปั้นเลยจริงๆ แต่เหมือนโดนค้อนเหล็กทุบต่างหาก!


เขาถึงได้ปล่อยมือ ร่างของเขาก็ถูกอีกฝ่ายยกขึ้นสูงอย่างง่ายดาย แล้วโยนลงไปในถังขยะเหมือนกัน กลิ่นเหม็นเน่าส่งกลิ่นเป็นระยะๆ ทำให้เขาแทบจะสลบ แต่เจ้าร่างยักษ์นั่นกลับดึงฝาถังขยะปิดลงไปซะอย่างนั้น และทุบด้านนอกถังขยะอย่างแรง


เสียงดังลั่นจากด้านนอกปังๆๆ ทำให้ชายคนนั้นวิงเวียนศีรษะทันที ยื่นมือคิดจะเปิดฝานี้ออก กลับเปิดไม่ออกสักที


กลิ่นเหม็นเน่าที่คละคลุ้งอยู่รอบตัวเขา ทำให้เขาอยากจะอาเจียนออกมา


ด้านนอก นิคิตะถ่มน้ำลายมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ตอนนี้เขามองดูชายร่างกำยำซึ่งจู่ๆ ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขา กำลังขึ้นไปอยู่บนถังขยะด้วยสีหน้าพอใจ


“โอเล็ก…เอ่อ ไม่ ผมดูผิดน่ะ” นิคิตะกำลังลังเล แล้วก็เดินมาตรงหน้าชายร่างกำยำ “โอ้ว พระเจ้า คุณหน้าตาเหมือนเพื่อนผมคนหนึ่งเลย แต่คุณยังหนุ่มกว่าเขามาก อันที่จริงพอดูชัดๆ แล้วก็มีหลายอย่างไม่เหมือนกัน!”


“อา…” เดิมอันโตนิโอคิดอยากเรียกอานิคิตะเหมือนอย่างที่เคย แต่คิดๆ ดูแล้วขนาดพ่อของตนเองก็ยังจำเขาไม่ได้เลย อานิคิตะก็น่าจะจำไม่ได้เหมือนกัน


เด็กซนในร่างผู้ใหญ่คนนี้ โดยธรรมชาติแล้วก็ยังคงเป็นเด็กซนอยู่ จู่ๆ เขาก็คิดเรื่องสนุกๆ ได้ “เพื่อนของคุณแข็งแรงเหมือนผมไหม?”


“โอ้ว!พระเจ้า คุณแข็งแรงกว่าโอเล็กเสียอีก!” นิคิตะอุทาน “เหมือนหมีสีน้ำตาลเลย! จริงสิ ขอบคุณมากนะที่ช่วยชีวิตผม”


อันโตนิโอนั่งอยู่บนถังขยะกำลังแกว่งขาพูดว่า “ผมเห็นคุณเหมือนถูกคนเลวรังแกเลยช่วยคุณไว้ เป็นยังไง พอใจไหมครับ?”


นิคิตะนิ่งตะลึง รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่แปลกๆ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเลยพูดว่า “พอใจมากเลย!ไม่มีทางพอใจไปมากกว่านี้แล้วล่ะ จริงสิ คุณชื่ออะไร? คุณเป็นคนที่นี่เหรอ? ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อนเลย?”


ในความคิดของนิคิตะ ตามปกติแล้วคนที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำแบบนี้น่าจะดึงดูดสายตาผู้คนมาก ถึงแม้ไม่เคยพบเคยรู้จักกันมาก่อนก็น่าจะเคยเห็นมาบ้าง


“ผมชื่ออัน…” อันโตนิโอกระพริบตาบอกว่า “อันทอน ผมเพิ่งมามอสโก คุณไม่เคยเห็นผมก็ไม่แปลกหรอกครับ”


“เพิ่งมา?” นิคิตะตะลึงงัน พยักหน้าราวกับเห็นด้วย “จริงสิ ถ้างั้นเราหาที่กินอะไรกันคุยกันไปพลางๆ ดีไหม?”


อันโตนิโอคิดว่าการพูดคุยกับอานิคิตะเป็นเรื่องแปลกใหม่มากเหมือนกัน ก็เลยพยักหน้าไป


ตอนนี้เองจู่ๆ นิคิตะก็พูดว่า “เดี๋ยวก่อน คุณช่วยลงมาก่อนได้หรือเปล่า?”


อันโตนิโอกลับใช้สองมือดันตัวกระโดดลงมาได้แล้ว แล้วนิคิตะก็หันหลังให้อันโตนิโอ แล้วเปิดฝาถังขยะ “ผมขอดูเจ้าสองคนนี้หน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง”


พูดไป มือของเขาก็ยื่นไปทางชายทั้งสองคน เจ้าสองคนนี้เจอกลิ่นเหม็นเน่ารมจนสลบไปแล้ว


นิคิตะล้วงกระเป๋าเงินสองใบออกมาจากถุงผ้าของสองคนนั่น แล้วก็หยิบธนบัตรข้างในออกมา หลังจากนั้นก็โยนกระเป๋าเงินกลับลงไปในถังขยะ


“พวกมันเป็นไงบ้าง?” อันโตนิโอถามด้วยความอยากรู้


นิคิตะรีบหันเดินกลับมาข้างๆ อันโตนิโอ เดิมคิดจะโอบบ่าของอีกฝ่าย แต่ส่วนสูงมันต่างกันเกินไป จึงเปลี่ยนเป็นตบหลังของอีกฝ่ายเบาๆ แทน เขายิ้มพลางพูดว่า “ไม่เป็นไร แค่สลบไปเท่านั้น อีกสักพักก็จะฟื้นเอง…จริงสิ ผมรู้จักร้านอาหารดีๆ ร้านหนึ่ง รสชาติอาหารใช้ได้เลย!เดี๋ยวผมพาคุณไปเอง! อ้อ ใช่แล้ว ผมน่าจะเลี้ยงคุณสักมื้อด้วยเป็นการขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม! ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ วันนี้ผมดูแลคุณเอง! อันทอน!”




“นี่ห้องทดลองของเธอเหรอ?”


คุณสาวใช้ก็เคยพูดไว้ ด้วยก่อนหน้านี้เจ้านายคนก่อนไม่ค่อยออกมาข้างนอก และเพื่อทำใฟ้ความปรารถนาของลูกค้าเป็นจริงได้ โยวเย่จึงมีห้องทดลองเป็นของตนเองห้องหนึ่ง


อยู่แถวๆ สถานีรถไฟใต้ดินที่งดงามตระการตาอย่างยิ่งในมอสโก พูดให้ชัดก็น่าจะอยู่ใต้ดินแถวๆ บริเวณจัตุรัสแดง อยู่ลึกกว่าทางรถไฟใต้ดินหน่อย


โยวเย่เคยบอกว่า ‘ถ้าให้ย้ายของที่นี่ไปจะค่อยข้างยุ่งยากพอสมควร’


พอเห็นการจัดวางสิ่งของด้านในห้องใต้ดินที่มโหฬารแห่งนี้ ในที่สุดลั่วชิวก็เข้าใจแล้วว่ามันยุ่งยากขนาดไหน


เจ้าของร้านลั่วอ้าปากค้าง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร


เขาแค่คิดอยู่เงียบๆ ว่า ‘เมื่อก่อนโยวเย่เคยปล้นชิงสถานที่จำพวกห้องวิจัยองค์การนาซ่าอะไรแบบนี้บ้างหรือเปล่า…’

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม